จารใจรัก 90.2-95.1

ตอนที่ 90-2 ล้อมคอกก่อนวัวหาย

 

 


 


ไม่นานเซี่ยอวิ๋นจี้ก็เปิดประตูออกมาด้วยท่าทางสดชื่น เห็นใบหน้ากลัดกลุ้มของเซี่ยม่อหานก็สงสัย “ไม่ใช่เรื่องเจ้าเด็กบ้าคนนั้น หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในเมืองอีกแล้ว มีคนก่อเหตุอีกแล้วรึ”


 


 


           “นั่นก็ไม่ใช่ เจ้าอย่าเดาสุ่มเลย เข้าไปคุยกันข้างใน” เซี่ยม่อหานกล่าว


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าก่อนเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ระหว่างนั้นก็เอ่ยปากพูด “เด็กรับใช้ตัวน้อยที่เจ้าได้มาจากฉินเจิงช่างมีคุณสมบัติไม่เพียบพร้อม ใช้งานยากยิ่ง กลับไปแล้วคืนให้เขาเถอะ ข้าจะช่วยเลือกคนที่ใช้งานง่ายมาให้เจ้าแทน”


 


 


           ทิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็โมโห ทว่ายังมิทันได้โต้กลับ เซี่ยม่อหานก็ปิดประตูเสียก่อน ขณะเดียวกันก็ดันหลังเซี่ยอวิ๋นจี้เข้าไปในห้อง


 


 


           ทิงเหยียนทำได้เพียงแค่นเสียงโมโหโดยทำอันใดมิได้ พอเจอเรื่องนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ล่วงเกินใครก็ได้แต่อย่าล่วงเกินคนแบบเซี่ยอวิ๋นจี้


 


 


           หลังเข้ามาในห้อง เซี่ยม่อหานไม่ทันนั่งก็เอ่ยถามเซี่ยอวิ๋นจี้ด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าถามเจ้า หลังเจ้ากลับไปเป่ยฉี ได้พบฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าแล้วหรือยัง นอกจากนี้ ได้พบฉีเหยียนชิงกับคนตระกูลอวี้หรือไม่”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้” เขาพูดพลางก็นั่งลง รินน้ำชาสองแก้ว ยื่นแก้วหนึ่งให้เซี่ยม่อหาน แล้วยกแก้วของตนเองขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง นั่งไขว้ห้างกล่าวอย่างสบายใจ “เจอหมดแล้ว”


 


 


           “เจ้าบอกข้ามา เป็นเช่นไรบ้าง” เซี่ยม่อหานถาม


 


 


           “จะเป็นเช่นไรได้ ฉีอวิ๋นเสวี่ยจับตัวข้าไปยังเป่ยฉี ระหว่างทางข้าสร้างอุบายแอบหนีออกมา แม้นางได้รับคำสั่งของตาแก่นั่นให้มารับข้าที่หนานฉิน แต่ข้าก็ไม่อาจถูกนางจับตัวกลับไปจริงๆ มิฉะนั้นคงขายหน้าแย่ว่าข้าไร้ความสามารถ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสลัดฉีอวิ๋นเสวี่ยทิ้งแล้วไปยังวังหลวงแห่งเป่ยฉีด้วยตัวเองแทน นางคิดว่าข้าหนีกลับมาหนานฉินจึงสั่งคนไปสกัดที่พรมแดนเป่ยฉี แล้วตามหาตัวข้าทุกพื้นที่ ไหนเลยจะรู้ว่าข้ากลับไปวังหลวงแห่งเป่ยฉีด้วยตัวเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้เล่าอย่างสบายอารมณ์


 


 


           “แอบหนีจากเงื้อมมือฉีอวิ๋นเสวี่ยได้ ย่อมมีความสามารถไม่น้อย” เซี่ยม่อหานพยักหน้า


 


 


           “ถูกสตรีจับตัวไว้ หนีจากเงื้อมมือนางมาได้จะนับว่ามีความสามารถอันใด แต่ตอนข้าหนีมาได้ลงโทษนางไปแล้ว ไม่ได้ติดค้างอันใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ขัดจังหวะ


 


 


           “อย่าดูถูกความสามารถของสตรี คิดดูแล้วนางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์เป่ยฉี ถือว่าเป็นอาแท้ๆ ของเจ้า ไม่ใช่สตรีทั่วไป” เซี่ยม่อหานกล่าว


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอ “ข้าสนใจที่ไหนว่านางเป็นอาของข้าหรือไม่ นางจับข้าไปโดยที่ข้าไม่ยินยอม ถือว่าเป็นการล่วงเกินข้า” พูดจบก็กล่าวอีก “หลังไปถึงเป่ยฉี ข้าก็แอบไปวังหลวง”


 


 


           “ไปพบท่านป้าก่อนหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม


 


 


           “ไปพบอวี้กุ้ยเฟย” เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า


 


 


           “เจ้าไปถึงเป่ยฉี เข้าไปในเมืองได้แล้ว ทั้งไปถึงวังหลวง เหตุใดถึงไม่ไปพบท่านป้าแต่ไปหาพบ


 


 


อวี้กุ้ยเฟยก่อน พบนางไปทำไมกัน” เซี่ยม่อหานชะงัก


 


 


           “ลือกันว่าอวี้กุ้ยเฟยงดงามอย่างยิ่ง ข้าอยากเห็นว่านางงามสักเพียงใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ


 


 


           เซี่ยม่อหานหมดคำจะกล่าว


 


 


           “กะแล้วว่าคำเล่าลือนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเพียงสตรีอาฆาตพยาบาทในวังหลวงคนหนึ่งเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง


 


 


           “อวี้กุ้ยเฟยงดงามเป็นเรื่องจริง ข้าเคยเห็นภาพวาดเหมือนครั้งหนึ่ง เพียงแต่ท่านป้ากับฮ่องเต้เป่ยฉีต่างรักใคร่กัน ท่านป้าทั้งฉลาดเป็นกรด เข้าใจกลอุบายการควบคุมสมดุลดีจึงมัดพระหฤทัยของฮ่องเต้เป่ยฉีไว้ได้ อวี้กุ้ยเฟยแม้เล่นกับฮ่องเต้เป่ยฉีมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้มีตระกูลอวี้ช่วยสนับสนุน แต่ฮ่องเต้เป่ยฉีก็ทรงเข้าข้างท่านป้า สะสมนานวันเข้าย่อมกลายเป็นความคับแค้นกลุ้มใจ ทำให้ไม่งดงามเหมือนเมื่อก่อน” เซี่ยม่อหานกล่าว


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก “หากท่านแม่ฉลาดจริง ไฉนถึงไปชอบตาแก่นั่นได้ ไฉนต้องทะเลาะเบาะแว้งกับพระสนมในวังหลัง ถึงแม้ความโปรดปรานเพิ่มพูนยากเสื่อมคลาย แต่ก็ไม่ใช่หัวใจคน”


 


 


           “ไฉนฮ่องเต้เป่ยฉีถึงกลายเป็นตาแก่ไปแล้ว” เซี่ยม่อหานหลุดยิ้ม


 


 


           “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอันใดน่ามอง เป็นตาแก่ผู้หนึ่ง อ่อนเยาว์กว่าโหวเหยียผู้เฒ่าเล็กน้อยเท่านั้น” เซี่ยอวี้นจี๋บอก


 


 


           เซี่ยม่อหานส่ายหน้า ไม่เข้าใจความไม่จริงจังของเขา กล่าวด้วยใบหน้านิ่งขรึม “ข้ารีบร้อนมาหาเจ้าเพราะเมื่อครู่คำพูดของทิงเหยียนเตือนสติข้าได้ เขาบอกว่าเป่ยฉีกับหนานฉินปรองดองกัน คำว่าปรองดองนี้ ตอนนี้เจ้าไปเป่ยฉีแล้วกลับมารอบหนึ่ง แม้ฐานะเจ้าพิเศษกว่าใครอื่น แต่เพราะเติบโตมาในหนานฉินตั้งแต่เด็ก ดังนั้นควรมีความคิดเที่ยงธรรม เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”


 


 


           “ปรองดอง” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะเยาะ “ท่านแม่หลายปีมานี้เป็นโฉมสะคราญวางแผนการได้ดี สยบความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่จะยกทัพไปสังหารของตาแก่ได้สนิท ไม่มีความคิดอยากรุกรานดินแดนหนานฉินอีกแล้ว มีเพียงอยากให้หนานเป่ยปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าคนอื่นไม่ได้คิดเช่นนี้ หากพูดถึงความปรองดองก็เป็นเพียงน้ำที่ทะลักออกมาปกคลุมบนแผ่นน้ำแข็งชั้นบางเท่านั้น”


 


 


           “ในเมื่อเจ้าก็คิดเช่นนี้ ใช่รู้อันใดมาหรือไม่” เซี่ยม่อหานมองเขา “ข้าถามเจ้าอีก ใช่ตระกูลอวี้กับ


 


 


ฉีเหยียนชิงมีแผนการลับคิดโจมตีหนานฉินหรือไม่ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหนานฉินครั้งนี้ เท่าที่ข้าทราบมานั้นเกี่ยวข้องกับสายลับของภูเขาลับในราชสำนัก ใช่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉีด้วยหรือไม่”


 


 


           “อาจจะกระมัง ใครจะรู้เล่า ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉีนานสักหน่อย แค่ไปสำรวจดูรอบหนึ่งเท่านั้น เห็นว่าท่านแม่สบายดี ตาแก่นั้นเพราะได้แต่จำใจส่งข้าออกไป พอพบหน้าข้าก็เกิดความละอายใจ แทบอยากจะคว้าเดือนคว้าดาวมาให้ดังปรารถนา ส่วนคนตระกูลอวี้เห็นข้าแล้วก็แทบจะกลืนกินข้าลงไป ในวังหลวงเป็นไฟ หลังออกจากวังมาเป็นน้ำแข็ง ข้ารับไม่ได้จึงถือโอกาสกลับมาดีกว่า หนานฉินดีกว่าตั้งเยอะ สูดอากาศแล้วบริสุทธิ์กว่า” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ


 


 


           “เจ้าเพิ่งอยู่ได้ไม่กี่วันเอง” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรอง “ตระกูลอวี้ไม่ต้อนรับเจ้าเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรหลายปีที่ผ่านมาอวี้กุ้ยเฟยกับตระกูลอวี้ก็ทำอะไรท่านป้าไม่ได้ ครั้งก่อนท่านป้าป่วยหนัก เดิมคิดว่าจะทำให้นางตายได้ แต่กลับกลายเป็นเรือล่มเมื่อจอด ตอนนี้เจ้ากลับไปเป่ยฉีอีก ทั้งยังเป็นทายาทแท้ๆ ท่านป้าวางรากฐานมาหลายปี ไม่อาจดูถูกได้เลย หากเจ้าต้องการตำแหน่งนั้น ด้วยแรงสนับสนุนจากท่านป้าและฮ่องเต้เป่ยฉี ถึงแม้เจ้าไม่อยู่เป่ยฉีนานก็ไม่ต้องกลัวว่าครองตำแหน่งนั้นไม่ได้ เดิมฉีเหยียนชิงซึ่งเป็นลูกหลานทายาทเพียงคนเดียวกับตำแหน่งของอวี้กุ้ยเฟยนั้นอันตรายนัก ไม่แปลกที่คนตระกูลอวี้แทบอยากสังหารเจ้า”


 


 


           “ใครอยากได้ตำแหน่งนั้นกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “ต้องทนทุกข์และมีแต่ความเหนื่อยล้า ถึงนำมาประเคนตรงหน้าก็ไม่อยากได้ พวกเขาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย ตำแหน่งนั้นไหนเลยจะมีความสุข แค่โฉมสะคราญรายล้อม ทิวทัศน์งดงาม อาหารรสเลิศจะทำให้สุขสบายได้หรือ”


 


 


           เซี่ยม่อหานหมดคำพูด เงียบลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ทุกคนล้วนชอบที่สูง แต่ไม่รู้ว่าที่สูงนั้นเอาชนะความหนาวเหน็บไม่ได้ โดยเฉพาะตำแหน่งจักรพรรดิที่ยิ่งต้องตัดอารมณ์ทั้งเจ็ด*[1] ดับปรารถนาทั้งหก**[2] ถึงขยันหมั่นเพียรทำงานหนักทุกวันก็ไม่เห็นว่าจะเหลือไว้ซึ่งชื่อเสียงอันดีงามร้อยปีหรือถูกจารึกชื่อไว้พันปี ยิ่งไปกว่านั้นหากเกียจคร้านในวันหนึ่ง ทำให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เกิดภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์ เช่นนั้นก็ต้องทบทวนและลงโทษตัวเอง เจ้าไม่ต้องการตำแหน่งนั้น หากคนทั่วไปทราบเข้าคงไม่เข้าใจ แต่สำหรับข้าไม่ใช่สิ่งที่ผิดอันใด ไม่ต้องการก็ดีแล้ว”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ดื่มน้ำชาอึกใหญ่ก่อนทอดถอนใจขึ้น “แม้เมืองหลินอันเต็มไปด้วยโรคห่าระบาด แต่ดื่มชาแก้วนี้แล้วยังได้กลิ่นหอมฉุย”


 


 


           “ตอนนี้ฐานะเจ้ายังไม่ถูกประกาศต่อใต้หล้า ใช่เพราะเจ้าไม่ชอบตำแหน่งนั้น ไม่อยากได้มันหรือไม่” เซี่ยม่อหานถามขึ้นอีก


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “ตาแก่ละอายใจ หยั่งเชิงถามข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนท่านแม่กลับเหมือนพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดก็มิปาน เห็นแจ้งทุกอย่างจึงไม่กดดันข้า บอกเพียงนางถูกขังอยู่ในวังหลวงมาทั้งชีวิตแล้ว วันข้างหน้าหากข้าต้องการชีวิตแบบใดก็ขอให้ข้าเป็นคนเลือกเอง แม้นางให้กำเนิดข้ามาแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงดูจึงไม่อาจก้าวก่ายชีวิตข้าได้ ทุกสิ่งให้ข้าเป็นคนตัดสินใจเอาเอง”


 


 


           “ชีวิตนี้ของท่านป้าไม่ง่ายนัก วังหลวงเป่ยฉีกักขังนางมาทั้งชีวิตแล้ว” เซี่ยม่อหานถอนหายใจ “ตั้งแต่นางไปเป่ยฉีก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลย ในใจมีหรือจะไม่คิดถึงบ้านเกิด มีหรือจะไม่อยากก้าวออกจากวังหลวง ออกไปทัศนาจรภูเขาเลื่องชื่อธาราผืนใหญ่ ท่านปู่บอกว่าท่านป้ามีนิสัยกระตือรือร้นชอบเที่ยวเล่น น่าเสียดายที่การตามท่านแม่ไปม่อเป่ยเพียงครั้งเดียว ชั่วชีวิตก็ถูกผูกติดไว้ที่ม่อเป่ยแล้ว”


 


 


           “นั่นเป็นการตัดสินใจของนาง นางยินยอมแต่โดยดี” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก


 


 


           “เจ้ากลับมาหนานฉิน ฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าทราบหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม


 


 


           “ข้าแอบหนีตาแก่นั่นมา แต่ท่านแม่ทราบแล้ว นางมอบองครักษ์เงาให้ข้ากลุ่มหนึ่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดพลางนัยน์ตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “ท่านแม่ช่างร้ายกาจนัก องครักษ์เงาของนางแม้มีจำนวนไม่มาก ทว่าแต่ละคนยอดเยี่ยมมาก ใช้งานเพียงคนเดียวก็ต่อกรกับร้อยคนได้ ไม่เสียแรงที่ไปถึงเป่ยฉี ระหว่างทางคนตระกูล


 


 


อวี้คิดสังหารข้า บาดเจ็บไปไม่น้อย หึหึ…”


 


 


           “แล้วองครักษ์เงาที่ท่านป้ามอบให้เจ้าตอนนี้เล่า ไฉนข้าถึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ใกล้เลย” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว


 


 


           “ข้าทิ้งไว้ที่พรมแดนม่อเป่ย ฉีเหยียนชิงคิดจะทำสิ่งใด สายตาที่ข้าได้รับการฝึกฝนในจวนโรงเก็บเกลือมาตั้งแต่เด็กไม่อาจมืดบอดได้ ถึงไม่ใช้ตาก็มองออกเช่นกัน หนานฉินวุ่นวายตลอดมา แถมเจ้ายังติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ไม่อาจปลีกตัวไปยังพรมแดนม่อเป่ยได้ในตอนนี้ หากเขาลงมือในเวลานี้ พรมแดนม่อเป่ยวุ่นวายขึ้นมา หนานฉินจะยิ่งผีซ้ำด้ำพลอย ดังนั้นข้าจึงให้คนเหล่านั้นอยู่ที่ม่อเป่ย ขอเพียงฉีเหยียนชิงเคลื่อนไหวที่พรมแดน พวกเขาจะได้เข้าสกัดได้ทันกาล ถ้าต้านไม่อยู่ก็มารายงานข้า จะได้ช่วยเจ้าถ่วงเวลาออกไปก่อน เป็นการล้อมคอกก่อนวัวหาย” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกมือปัด


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ “ข้ามาหาเจ้าก็เพราะเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าเตรียมการให้ข้าล่วงหน้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็สบายใจ โชคดีที่มีเจ้า”


 


 


       


 


 


[1] *อารมณ์ทั้งเจ็ด คือ อารมณ์ความรู้สึกอย่างคนทั่วไป ประกอบด้วย ดีใจ โกรธ กังวล ครุ่นคิด โศกเศร้า หวาดกลัว และตกใจ


 


 


[2] **ปรารถนาทั้งหก คือ ความปรารถนาของมนุษย์อันเกิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ 

 

 


ตอนที่ 91 เยี่ยนถิงกลับมา

 

 


 


           หากฉีเหยียนชิงฉวยโอกาสปลุกปั่นก่อเหตุที่พรมแดนในช่วงที่หนานฉินกำลังเผชิญความวุ่นวายและความตกทุกข์ได้ยาก เช่นนั้นหนานฉินก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ภายในวุ่นวายภายนอกถูกรุกราน กลายเป็นผีซ้ำด้ำพลอย


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ป้องกันฉีเหยียนชิงล่วงหน้า มีสายลับฝีมือดีระดับหนึ่งต่อหนึ่งร้อยที่เซี่ยเฟิ่งมารดาของเขามอบให้ เช่นนั้นฉีเหยียนชิงก็จะมีอุปสรรคขัดขวาง ไม่อาจประสบความสำเร็จได้โดยง่ายดาย


 


 


           เซี่ยม่อหานฟังการเตรียมการของเซี่ยอวิ๋นจี้จบก็เสมือนยกภูเขาออกจากอก หัวใจที่เคยหนักอึ้งผ่อนคลายลงหลายส่วน เอ่ยถามเซี่ยอวิ๋นจี้ว่า “กล่าวเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ไม่ได้นำสายลับที่ท่านป้ามอบให้กลับมาสักคนเลยหรือ ตั้งแต่พรมแดนม่อเป่ยจนถึงเมืองหลินอัน ตลอดการเดินทางมีเจ้าเพียงคนเดียว ตั้งแต่ท่านอาจวนโรงเก็บเกลือทราบว่าเจ้าถูกฉีอวิ๋นเสวี่ยนำตัวไปก็พากันออกตามหาเจ้า เจ้าได้ติดต่อกับพวกเขาหรือไม่ ได้พบหน้ากันหรือยัง”


 


 


           “ไม่ใช่ข้าคนเดียว ยังมีอีกคนหนึ่ง เยี่ยนถิงกลับมาพร้อมข้าด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ “จวนโรงเก็บเกลือเลี้ยงดูข้ามาหลายปี มีบุญคุณหนักแน่นต่อข้าดั่งภูผา แม้ข้าไปเป่ยฉีกลับมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจไม่แยแสจวนโรงเก็บเกลือได้ หลังหลุดจากการจับกุมของฉีอวิ๋นเสวี่ยก็ส่งข่าวบอกพวกเขาแล้ว ตอนนี้ทุกคนในจวนโรงเก็บเกลืออยู่กับโหวเหยียผู้เฒ่า”


 


 


           “เยี่ยนถิงกลับมาแล้วหรือ” เซี่ยม่อหานชะงัก


 


 


           “อืม กลับมาแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า “ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวงหนานฉิน เดิมเพราะความอัดอั้นที่สะสมมาเป็นเวลานานในจวนหย่งคังโหวจนไร้ทางระบาย ทั้งคะนึงหาน้องฟางหวาแต่ไม่สมปรารถนา ดังนั้นจึงตัดสินใจไปจากหนานฉิน น้องฟางหวาแม้ตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้ กลับช่วยเขาให้หนีพ้นจากการไล่ตามมาขัดขวางของจวนหย่งคังโหวกับสายลับราชสำนัก รวมถึงตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ขอให้เหยียนเฉินคุ้มครองเขาไปยังเป่ยฉี และพักอาศัยที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีตลอดมา ต้องยอมรับว่าเหยียนเฉินมีอุบายร้ายกาจยิ่ง แม้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉี แต่กลับส่งคนคุ้มครองเขาให้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉีได้อย่างดี ตาแก่กับคนตระกูลอวี้แม้ทราบว่าเขาคือท่านโหวน้อยเยี่ยนจากจวนหย่งคังโหวแห่งหนานฉิน ทว่าก็แสร้งไม่รู้ ขี่ม้าสัญจรบนท้องถนนได้โดยไม่มีใครทำอะไรเขา เขาที่หลุดพ้นจากจวนหย่งคังโหวแล้วนั้นใช้ชีวิตในเป่ยฉีได้อย่างมีอิสระมาก”


 


 


           “เยี่ยนถิงเดิมมีนิสัยกระฉับกระเฉง สนิทสนมกับฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก จึงติดนิสัยชอบทำตามอำเภอใจของฉินเจิงมาหลายส่วน เวลาสองคนอยู่ด้วยกันก็มีนิสัยเข้ากันได้อย่างดี เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีใจใฝ่หาน้องสาวข้ากันทั้งคู่ ทำให้มิตรภาพพี่น้องห่างเหิน ช่าง…” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา


 


 


           “เพราะเขาทราบเรื่องพระราชโองการหย่าร้างจึงนั่งอยู่ในเป่ยฉีไม่ติดแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะหึ


 


 


           “เขาไปตั้งครึ่งปีกว่าแล้ว ยังตัดใจจากนางไม่ได้อีกหรือ” เซี่ยม่อหานตกใจ


 


 


           “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ ถึงอย่างไรพอได้ยินเรื่องน้องฟางหวาได้รับพระราชโองการหย่าร้าง เขาก็รีบห้อตะบึงม้ากลับมา ข้าอวดตนว่ามีทักษะการขี่ม้าเหนือชั้น มีวิทยายุทธ์สูงกว่าเขา ทว่ายังไล่ตามเขามาไม่ทัน หลังมาถึงพรมแดนม่อเป่ย ระหว่างที่ข้าเตรียมการรับมือเขาก็ไม่แม้แต่จะรอข้า ขี่ม้าเร็วห้อตะบึงกลับมาเพียงลำพัง ข้าไล่ตามมาทีหลัง แต่ตลอดทางไม่เห็นแม้แต่เงาเลย” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว


 


 


           “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขากลับมาก่อนเจ้าก้าวหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไปที่ใด หรือกลับเมืองหลวงไปแล้ว” เซี่ยม่อหานพูดพลางก็ส่ายหน้า “ไม่สิ หากจะกลับเมืองหลวงจำต้องผ่านเมืองหลินอัน ตอนนี้เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด ปิดประตูเมืองห้ามสัญจรผ่านทั้งสี่ทิศ เขาจะกลับเมืองไปได้อย่างไร”


 


 


           “คนที่เขาเป็นห่วงคือน้องฟางหวา อาจไม่ได้มาที่เมืองหลินอัน แต่ตรงไปหานางแทน” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ


 


 


           “ไปหานาง” เซี่ยม่อหานมึนงง เอ่ยด้วยความสงสัย “เขาจะนำสิ่งใดไปหา แม้แต่ข้ายังติดต่อนางไม่ได้ หากจะติดต่อนางจำต้องพึ่งเหยียนเฉิน เขาจะติดต่อนางได้อย่างไร”


 


 


           “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาได้เหยียนเฉินนำไปส่งที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี ตอนนี้เหยียนเฉินออกจากเมืองหลินอันไปแล้ว เขากับเหยียนเฉินน่าจะติดต่อกันได้ หากติดต่อเหยียนเฉินได้ก็เท่ากับติดต่อน้องฟางหวาได้ไม่ใช่หรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว


 


 


           “ก็จริง” เซี่ยม่อหานพยักหน้า “แต่ตอนนี้เหยียนเฉินล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกจากเมืองหลินอันไปแล้ว มุ่งหน้าไปหาน้องสาวข้า การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก เขาจะยอมให้เยี่ยนถิงเสี่ยงอันตรายหรือ เกรงว่าน้องสาวข้าก็ไม่ยอมเช่นกัน”


 


 


           “กังวลอันใดถึงเพียงนั้น เจ้ายังไม่แก่แต่ทำตัวเหมือนคนแก่ก็มิปาน เอาแต่กลุ้มอกกลุ้มใจทุกวัน มิน่าถึงรักษาตัวได้ไม่ถึงไหนสักที” เซี่ยอวิ๋นจี้หาวหวอด โบกมือไล่อย่างไม่ยี่หระ “เดินทางมาทั้งวัน ง่วงจะตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องใดแล้วก็ปล่อยให้ข้านอนสักงีบเถอะ”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นจึงเห็นว่าใต้ตาเซี่ยอวิ๋นจี้นั้นคล้ำเพียงใด ทำได้เพียงยอมเลิกราแล้วลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นเจ้านอนเถอะ มื้อเย็นค่อยมาตามเจ้า”


 


 


           “ถ้าในเมืองไม่เกิดเรื่องใดก็ไม่ต้องเรียกข้า ข้าไม่กินมื้อเย็น” เซี่ยอวิ๋นจี้ลุกขึ้น เดินหาวหวอดเข้าไปในห้องชั้นใน


 


 


           เซี่ยม่อหานจนปัญญา ออกมาจากห้องแล้วกลับไปที่ห้องของตนเองที่อยู่ด้านข้าง


 


 


           ทิงเหยียนเดินตามหลังเซี่ยม่อหานพลางกระซิบถาม “ท่านโหว ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมาแล้วจริงหรือ”


 


 


           “อืม กลับมาแล้ว” เซี่ยม่อหานทราบดีว่าทิงเหยียนเฝ้าอยู่หน้าประตูย่อมได้ยินบทสนทนาระหว่างตนกับเซี่ยอวิ๋นจี้ ทว่าทิงเหยียนแม้ถูกฉินเจิงปกป้องมาอย่างดีเกินไป มีความสามารถไม่มากนัก แต่เพราะติดตามฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก แม้เรื่องการพูดจาดูเชื่อถือไม่ได้ แต่เก็บความลับได้เข้มงวดมาก ไม่เผลอหลุดปากพูดออกไปง่ายๆ


 


 


           “ตอนนี้ท่านอ๋องน้อยกับคุณหนูฟางหวาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเยี่ยนจึงฉวยโอกาสกลับมา ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะนัก คุณหนูฟางหวาไม่ได้ชอบเขาแท้ๆ เขายังกลับมาทำไมอีก หรือว่าอยากแย่งคุณหนูไป เช่นนั้นท่านอ๋องน้อยจะทำอย่างไร” ทิงเหยียนเกาศีรษะ เอ่ยขึ้นด้วยความกลุ้มใจ


 


 


           “เยี่ยนถิงเป็นห่วงนางจึงรีบกลับมา ไม่แน่ว่ายังไม่ตัดใจจากนาง อีกอย่าง ฉินเจิงเป็นคนประเภทที่จะปล่อยให้คนอื่นแย่งไปง่ายๆ หรือ เว้นเสียแต่เขากับนางไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วจริงๆ ฉะนั้นแล้ว…สังเกตดูไปก่อนเถอะ” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอย่างจนปัญญา


 


 


           “เช่นนั้นก็ยังดี” ทิงเหยียนผ่อนลมหายใจ


 


 


           “เจ้าก็กังวลเกินไปเหมือนกัน” เซี่ยม่อหานยิ้มขำก่อนยกมือไล่ “ไปถามดูว่าท่านหญิงฟื้นหรือยัง มีอาการแทรกซ้อนหรือไม่”


 


 


           ทิงเหยียนพยักหน้าแล้ววิ่งออกไป


 


 


           เซี่ยม่อหานนั่งพิงตั่งบุนวม คลึงหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้า หลับตาลงพักสายตาครู่หนึ่ง


 


 


           ไม่นานทิงเหยียนก็วิ่งกลับมา กล่าวกับเซี่ยม่อหานว่า “ท่านโหว ท่านหญิงยังไม่ฟื้นขอรับ พวกผิ่นจู๋ทำตามคำสั่งของท่าน เฝ้าไว้เป็นอย่างดี บอกว่าหากฟื้นแล้วจะส่งคนมาบอกท่านแน่นอน ตอนนี้ไม่ได้ตัวร้อน ขอให้ท่านสบายใจได้”


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วยกมือไล่ทิงเหยียนออกไป


 


 


           ทิงเหยียนทราบดีว่าเขาก็เหนื่อยแล้วเช่นกันจึงกลับออกมาจากห้อง ไม่รบกวนเขาอีก


 


 


           แสงอาทิตย์อัศดงลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนเข้ามาในห้องของเซี่ยม่อหาน แม้เขากำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ทว่ากระแสความกลุ้มใจและความกังวลบริเวณหว่างคิ้วนั้นไม่ยอมคลายลงเลย


 


 


           คนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดย่อมเป็นเซี่ยฟางหวา


 


 


           ห้องด้านข้าง หลังจากเซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากห้องเซี่ยม่อหานแล้วก็เดินมาที่หน้าต่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เปิดหน้าต่างออกมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ภายในเรือนไม่พบผู้ใด เขากระโดดออกจากทางหน้าต่างแผ่วเบา เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นก็ปิดหน้าต่างลงเงียบเชียบ ขณะเดียวกันก็เหินกายขึ้น ไม่กี่ก้าวก็มาถึงกำแพงเรือนทิศตะวันตก ก่อนกระโดดออกไป


 


 


           ตั้งแต่เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด สายลับจวนโหวที่เซี่ยม่อหานนำออกจากเมืองก็ถูกสั่งไปตามหาสมุนไพรดำม่วงทั้งหมด เหลือไว้เพียงอวิ๋นเย่ซึ่งเป็นสายลับประจำกาย เพียงแต่หากไม่ใช่สถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เซี่ยม่อหานก็ไม่ยอมให้เขาปรากฏกายขึ้น


 


 


           ทว่าการที่เขาไม่ปรากฏกาย มิได้หมายความว่าเขาไม่อยู่


 


 


           ดังนั้นเมื่อเซี่ยอวิ๋นจี้กระโดดข้ามกำแพงเรือนออกไป เขาก็ปรากฏกายขึ้นที่นอกหน้าต่างห้อง


 


 


เซี่ยม่อหาน ก่อนตะโกนเรียกเสียงต่ำ “ท่านโหว”


 


 


           เซี่ยม่อหานลืมตาขึ้นทันที เขาทราบดีว่าอวิ๋นเย่สายลับประจำกายของตนนั้น หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นง่ายๆ ทั้งตอนนี้ยิ่งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยามนี้การเคลื่อนไหวแม้เพียงหญ้าปลิวก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เขาปรากฏตัวขึ้นได้จะต้องเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญแน่ เขารีบถาม “อวิ๋นเย่ มีเรื่องใดรึ”


 


 


           “คุณชายอวิ๋นจี้เพิ่งแอบออกไปจากเรือน มิทราบว่าไปที่ใด จะให้ข้าน้อยไปขัดขวางหรือปล่อยไปขอรับ” อวิ๋นเย่รายงานเสียงต่ำ


 


 


           “อวิ๋นจี้แอบออกไปจากเรือนหรือ” เซี่ยม่อหานมึนงง


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           เซี่ยม่อหานก้มหน้าไตร่ตรอง ก่อนเข้าใจเรื่องราว “ตอนเพิ่งมาถึงเมืองหลินอัน พอได้ยินว่าเหยียนเฉินล่อผู้อยู่เบื้องหลังไปหาน้องสาวข้า เขาก็เกิดสนใจขึ้นมาบ้าง คิดอยากตามไปด้วย แต่ข้าห้ามไว้ก่อน ตอนนี้เขาคงนั่งไม่ติดอยากไปผสมโรงด้วย กลัวว่าข้าจะห้าม จึงฉวยโอกาสบอกว่าเหนื่อยอยากพักผ่อนแล้วแอบหนีไป”


 


 


           อวิ๋นเย่เงียบ


 


 


           เซี่ยม่อหานครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้นอีก “ตระกูลเซี่ยมีวิชาแกะรอยเป็นของตัวเอง ตอนที่ท่านปู่กับท่านลุงจวนโรงเก็บเกลือรับอวิ๋นจี้มาจากเป่ยฉี ได้หารือกันเรื่องอบรมเลี้ยงดูอย่างรอบคอบ ต่อมาก็ตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูตามกฎเกณฑ์ของผู้สืบทอดจวนโรงเก็บเกลือ อนาคตเป็นอย่างไร จะกลับเป่ยฉีหรืออยู่ที่จวนโรงเก็บเกลือต่อ นั่นเป็นการตัดสินใจของเขา ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับการเลี้ยงดูมาในจวนโรงเก็บเกลือ หากเขาอยากตามหา


 


 


เหยียนเฉิน ย่อมหาร่องรอยได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีแค่เหยียนเฉินที่ออกจากเมืองหลินอัน เขาล่อคนกลุ่มใหญ่ออกไปด้วย จะต้องมีบางคนทิ้งร่องรอยไว้แน่”


 


 


           อวิ๋นเย่ยังคงเงียบ


 


 


           “อวิ๋นเย่ เจ้าตามอวิ๋นจี้ไปเถอะ ไม่ใช่ไปเพื่อขัดขวาง แต่คอยติดตามสังเกตเขาเงียบๆ หากเกิดอันตรายจะได้รับมือทัน เผื่อว่าเขาหาน้องสาวข้าพบจริงๆ เจ้าจะได้ช่วยเหลือได้” เซี่ยม่อหานไตร่ตรองอีกพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น


 


 


           “ท่านโหว ข้าน้อยไม่เคยห่างจากท่าน ตอนนั้นโหวเหยียผู้เฒ่าให้ข้าจดจำไว้ ไม่ว่ายามใดก็ห้ามห่างจากกายท่านโดยเด็ดขาด” อวิ๋นเย่ส่ายหน้า


 


 


           “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” เซี่ยม่อหานกล่าว “ท่านปู่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องกับนางเช่นกัน นอกจากนี้ผ่านเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันมา น่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรเหยียนเฉินก็ล่อพวกเขาออกไปหมดแล้ว”


 


 


           “เรื่องอื่นย่อมฟังคำสั่งท่านโหว เว้นแต่เรื่องห่างจากกายท่านเท่านั้นที่ทำมิได้ โดยเฉพาะตอนนี้ท่านติดโรคห่า หากพรุ่งนี้ยังไม่มีสมุนไพรดำม่วง ถ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าจำต้องนำท่านออกจากเมืองไปหาสมุนไพรดำม่วงแทน” อวิ๋นเย่ยังคงส่ายหน้า ยืนนิ่งไม่ไหวติง


 


 


           “เช่นนี้เรามาตกลงกัน คืนนี้คงไม่เกิดเรื่องใดในเมืองหลินอันแล้ว เจ้าตามอวิ๋นจี้ไปก่อน แล้วค่อยรีบกลับมาหาข้าก่อนฟ้าสว่างวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีใครก่อเหตุในเมืองหลินอันแล้ว ข้าไม่เป็นไรแน่นอน” เซี่ยม่อหานถอนหายใจออกมา


 


 


           อวิ๋นเย่ยังคงส่ายหน้า ไม่ยอมจากไปไหน


 


 


           “ช่างเถอะ ปล่อยอวิ๋นจี้ไปแล้วกัน ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว” เซี่ยม่อหานจนปัญญา ได้แต่โบกมือไล่


 


 


           อวิ๋นเย่เห็นเซี่ยม่อหานไม่บังคับตนอีกแล้วจึงผงกศีรษะแล้วกลับออกไป


 


 


           เมื่อเข้าสู่กลางคืน เมืองหลินอันเงียบสงัดอย่างยิ่ง


 


 


           หลังเซี่ยอวิ๋นจี้ออกมาจากเรือนก็ตรงไปยังประตูเมือง พวกซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านกำกับดูแลคนเก็บกวาดคราบเลือดและความไร้ระเบียบที่หน้าประตูเมืองจนเรียบร้อยแล้ว ขณะเตรียมตัวกลับก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจี้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเมือง


 


 


           ทั้งสี่คนทำความเคารพเขา


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่งเสียงปราม ซ่อนตัวในที่ลับ แล้วกวักมือเรียกทั้งสี่คนมาหา


 


 


           ทั้งสี่ฉงนใจ เดินไปหาเขาด้วยความสงสัย


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้รอให้ทั้งสี่คนเดินเข้ามาหา ก่อนเอ่ยบอกพวกนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะออกจากเมืองไปรับน้องฟางหวา พวกเจ้าสี่คนเฝ้าเมืองหลินอันให้ดี” หยุดชั่วครู่ก็กล่าวอีก “แต่ข้าคาดการณ์ว่า คืนนี้คงไม่มีใครก่อเหตุในเมืองหลินอันแล้ว พวกเจ้าอยากนอนก็นอนเถอะ แต่ตื่นตัวไว้สักหน่อยก็ดี”


 


 


           “ท่านจะออกไปรับคุณหนู” ทั้งสี่ตกใจ “ท่านทราบที่อยู่ของคุณหนูแล้วหรือเจ้าคะ”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “ยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่ข้าสำรวจประตูเมืองทั้งสี่ทิศแล้ว และพบร่องรอยบ้างแล้วเช่นกัน ถ้าตามร่องรอยนั้นไปจะต้องได้เบาะแสเป็นแน่ แต่แวะมาบอกพวกเจ้าก่อน พรุ่งนี้ครบกำหนดวันสุดท้ายที่โรคห่าระบาดใช่หรือไม่ ในเมื่อฟางหวาไปหาสมุนไพรดำม่วงมาแล้ว ด้วยอุบายของนางต้องนำกลับมาได้แน่นอน ระหว่างนี้นอกจากพวกเจ้าดูแลเมืองหลินอันแล้วก็คุ้มครองเซี่ยม่อหานด้วย อย่าให้เขาเป็นอะไรไป”


 


 


           ทั้งสี่พยักหน้ารับ “ท่านออกไปรับคุณหนู ใช่ปิดบังท่านโหวหรือไม่”


 


 


           “เด็กผู้หญิงฉลาดถึงเพียงนี้ทำไมกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดพลางก็นำโซ่ปีนกำแพงออกมาก่อนกระโดดลงไป


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อสี่คนมองหน้ากัน เห็นเพียงเซี่ยอวิ๋นจี้ใช้โซ่ปีนกำแพงลงไปได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็ออกจากเมืองไปแล้ว พักใหญ่ต่อมาก็เดินออกไปไกลยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


 


 


           เมืองหลินอันตั้งอยู่ในตำแหน่งพิเศษ ด้านหนึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาจึงเรียกว่าภูผาวกวน อีกด้านหนึ่งโอบล้อมด้วยแม่น้ำจึงเรียกว่าธาราคดเคี้ยว ไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำล้วนเดินทางสะดวก เพราะมีการคมนาคมสะดวกเป็นจุดเด่น ทำให้เมืองหลินอันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งมา ด้วยความเจริญรุ่งเรืองนี้เองจึงกลายเป็นเมืองหลักที่ผู้คนจากทุกสารทิศแห่มาทำการค้าและการเจรจาค้าขาย


 


 


           ดังนั้นเมืองทั่วไปมีประชาชนอาศัยเพียงไม่กี่หมื่นคน แต่เมืองหลินอันกลับมีประชาชนและผู้สัญจรผ่านนับหลักแสน


 


 


           และทิศทางที่เซี่ยอวิ๋นจี้มุ่งไปเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่โอบล้อมด้วยภูเขา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเพียงภูเขาด้านเดียว ที่บอกว่าหนานฉินมีการคมนาคมสะดวกก็เพราะแม้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นภูเขาโอบล้อม แต่ก็ไม่คล้ายกับภูเขาลูกอื่นที่สูงชันยากจะสัญจรผ่าน หรือแม้แต่นกยังบินผ่านลำบาก ในทางกลับกันเป็นทางสลับคดเคี้ยว วกไปวนมา มีเส้นทางภูเขามากมาย ทะลุผ่านถึงกันได้ทุกทิศทาง


 


 


           ทางภูเขาเหล่านี้มีจุดร่วมกันจุดหนึ่งคือ ขอเพียงอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลินอันก็สามารถเชื่อมต่อกับเมืองหลินอันได้ทั้งหมด หรือก็คือแม้ไม่มีถนน แต่ก็สามารถมาถึงเมืองหลินอันได้


 


 


           ยิ่งไปกว่านั้น ภูผาวกวนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือลูกนี้เชื่อมต่อกับธาราคดเคี้ยวในทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วย ไม่ว่าจะทางบกหรือทางน้ำต่างมาบรรจบกันทั้งสิ้น


 


 


           เนื่องด้วยมีภูมิประเทศเช่นนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหยียนเฉินตัดสินใจล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกจากเมืองหลินอัน ในสถานที่แบบนี้สามารถกระทำในสิ่งที่ทำในเมืองหลินอันมิได้มากมาย


 


 


           ศัตรูซุ่มในที่ลับแต่เราอยู่ในที่แจ้งมิสู้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งแต่เราอยู่ในที่ลับ


 


 


           หลังเซี่ยอวิ๋นจี้หาร่องรอยพบก็มุ่งหน้าไปตามร่องรอยนั้น ไปยังภูผาวกวน 

 

 


ตอนที่ 92-1 การดักซุ่มของฟางหวา

 

           ภูผาวกวน คดเคี้ยวซับซ้อน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดลงที่ใจกลางเส้นทางบนภูผาวกวน กวาดตามองรอบกายครั้งแล้วครั้งเล่า สำรวจมองถนนทุกเส้นด้วยความละเอียดถี่ถ้วน


 


 


           พักใหญ่ถัดมาก็หยิบเข็มภูมิดาราออกมาจากอกเสื้อ โน้มกายย่อตัวลง วางเข็มดังกล่าวลงบนพื้น


 


 


           เมื่อเข็มภูมิดาราสัมผัสผืนดิน ตัวเข็มก็เริ่มหมุนตามเข็มทิศ


 


 


           ชั่วพริบตามันก็ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามองแล้วเก็บเข็มภูมิดาราขึ้นมา เดินไปยังทิศทางตามที่เข็มชี้บอก


 


 


           เขามาเพียงลำพัง มิได้ขี่ม้า เคลื่อนไหวกายแผ่วเบา ปลายเท้าแตะพื้นเดินไปตามทางเล็กๆ แสนคดเคี้ยว มุ่งตรงขึ้นเขา


 


 


           ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นเส้นทางที่เดินทางลำบากที่สุดบนภูผาวกวน


 


 


           ฟ้ามืดสนิทแล้ว จากเดิมที่ได้สังเกตบรรยากาศฟ้าโปร่งเมื่อช่วงกลางวัน ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็ต้องมีดวงดาราประดับเต็มนภา ทว่าตอนนี้กลับมีเมฆครึ้มค่อยๆ เคลื่อนปกคลุม มองไม่เห็นดาวแม้แต่ดวงเดียว เส้นทางภูเขาเงียบสงัดยิ่ง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มิได้นำสิ่งกำเนิดแสงใดใดมาด้วย หลังเดินไปได้พักหนึ่งก็เริ่มคุ้นชินกับความมืด


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมาก็เดินตามทางมาได้ยี่สิบลี้ มาถึงปากช่องแคบที่ด้านข้างเป็นภูเขาขนาบสองข้าง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดเท้า เงยหน้ามองรอบกาย ด้านหน้าเป็นหน้าผาสองแห่ง ตรงกลางมีเพียงช่องแคบทางเดียวเท่านั้น ไม่มีเส้นทางอื่นแล้ว เขาหยิบเข็มภูมิดาราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ย่อกายลงกับพื้น ตัวเข็มเริ่มหมุนทำงาน พักต่อมาก็ชี้ไปยังปากช่องแคบข้างหน้า


 


 


           เขามองด้วยความจำใจแวบหนึ่ง บ่นพึมพำขึ้น แล้วเดินเข้าไปในช่องแคบนั้น


 


 


           ทันทีที่เข้ามาก็พลันมีธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างใน ธนูดอกนี้พุ่งมาหาเขาอย่างเงียบเชียบ ทั้งรวดเร็วทั้งโหดเ**้ยม


 


 


           แรกเริ่มเซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อเห็นชัดเขาก็หลบไม่ทันเสียแล้ว เขาตกใจจนหน้าถอดสี อุทานขึ้นเสียงหนึ่ง ใจคิดว่าจบเห่แล้ว


 


 


           ขณะที่ธนูดอกนั้นใกล้ทะลวงผ่านต้นแขนซ้ายที่เขาหลบไม่ทัน พลันมีกระบี่เล่มหนึ่งทะลวงผ่านมาจากภูเขาด้านซ้าย ธนูกับกระบี่ชนกันจนเกิดเสียงกังวาน ธนูดอกนั้นถูกหักทิ้ง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยังตกใจไม่หาย รีบหันไปมอง เมื่อเห็นร่างคนที่ร่อนกายลงมาจากฝั่งซ้ายก็ดีใจ “ฟางหวา”


 


 


           “พี่อวิ๋นจี้ ไฉนถึงเป็นท่าน ท่านกลับมาหนานฉินตั้งแต่เมื่อไร มาทำอันใดที่นี่” เซี่ยฟางหวาเก็บกระบี่ ขมวดคิ้วมองเซี่ยอวิ๋นจี้


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยื่นมือลูบแขนซ้ายของตนเอง เมื่อพบว่าแขนยังอยู่ดีก็ถอนหายใจโล่งอก ก้าวขึ้นมากอดนาง เอ่ยอย่างโชคดีที่รอดตายมาได้ “ข้าตกใจแทบแย่ ยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้คงเสียแขนข้างนี้ไปแล้ว โชคดีที่เป็นเจ้า”


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ชินที่ถูกเขากอดไว้ คิดว่าตั้งแต่เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกฉีอวิ๋นเสวี่ยจับตัวไปก็มิได้พบกันหลายเดือนแล้ว ครั้งแรกที่ได้พบกันเขาราวกับสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ ยกมือดันตัวเขาออก “ข้าถามท่านอยู่นะ ท่านกลับมาหนานฉินตั้งแต่เมื่อไร ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


           “เจ้ายังถามข้าอีกรึ ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกดันตัวออก ทอดถอดใจกล่าว “ข้าได้ยินว่าเมืองหลินอันมีภัย ทั้งเจ้าเองก็ถูกหย่าร้าง ข้าไม่สบายใจจึงขี่ม้าเร็วกลับมาจากเป่ยฉี เพิ่งมาถึงเมืองหลินอันก็ได้รู้ว่าเจ้าจะนำสมุนไพรดำม่วงไปยังเมืองหลินอัน เหยียนเฉินเตรียมเรื่องน่าสนุกเอาไว้ ข้าจึงตามร่องรอยมาหาเจ้า ไม่นึกเลยว่าตัวข้าเพิ่งมาถึงก็เกือบจะเสียแขนข้างหนึ่งไป”


 


 


           “ไม่ว่าเมื่อไรก็แก้นิสัยชอบเรื่องสนุกของท่านไม่ได้ เมื่อครู่ควรตัดแขนท่านไปข้างหนึ่งเสียจริงๆ” เซี่ยฟางหวาฟังเขาอธิบายคร่าวๆ จบก็ถลึงตามอง


 


 


           “ธนูเมื่อครู่เป็นฝีมือเจ้ารึ” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง


 


 


           “ไม่ใช่ข้า เป็นฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “ฉินอวี้” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าอยู่กับฉินอวี้”


 


 


           “ข้าอยู่กับเขาแล้วน่าแปลกใจตรงไหน” เซี่ยฟางหวามองค้อน


 


 


           “ไม่น่าแปลกอันใด…เพียงแต่ พวกเจ้าเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรแล้ว แล้ว…นั่นใครเล่า” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบแต่หันไปมองบริเวณปากทางเข้า ก่อนเอ่ยถามขึ้น “ท่านมาคนเดียวใช่ไหม”


 


 


           “ใช่แล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า


 


 


           “ในเมื่อท่านตามร่องรอยของเหยียนเฉินมา แต่ตอนนี้เหยียนเฉินยังมาไม่ถึง ไฉนท่านดันมาถึงก่อน”


 


 


เซี่ยฟางหวาเกิดความฉงนใจ


 


 


           “ข้าไหนเลยจะรู้ เหยียนเฉินนัดแนะกับเจ้าไว้จริงหรือ เขายังไม่มาหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักครู่หนึ่ง


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ไตร่ตรองพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ท่านใช้สิ่งใดถึงมาถึงที่นี่ได้”


 


 


           “เป็นเข็มภูมิดาราที่ตาแก่มอบให้ข้า มีประโยชน์ยิ่งนัก” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะ


 


 


           “เข็มภูมิดารา” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ “ตาแก่คนใด ท่านหมายถึงท่านปู่ข้า ท่านตาท่านหรือ”


 


 


           “ไม่ใช่” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือ “โหวเหยียผู้เฒ่าเป็นตาแก่ที่อาวุโสแล้ว ตาแก่ที่ข้าพูดถึงอ่อนกว่าเขาเล็กน้อย เป็นฮ่องเต้เป่ยฉี พ่อของข้า”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม มองเขาอย่างหมดคำพูด “ไปเป่ยฉีมาแล้วรอบหนึ่ง กลับมาก็ยิ่งไม่ปกติ ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ อนาคตผู้ใดยังกล้าออกเรือนกับท่านอีก คาดว่าทั้งชีวิตคงแต่งภรรยาไม่ได้” พูดจบก็คว้ามือเขาออกจากปากถ้ำ ก่อนกล่าวขึ้น “เข็มภูมิดาราฟังว่าเป็นหนึ่งในสิ่งล้ำค่าของเผ่าภูตผี ในเมื่อสิ่งที่ท่านใช้คือเข็มภูมิดารา มันค้นหาตำแหน่งคนผ่านพื้นดินและตำแหน่งดวงดวง คนที่ท่านอยากตามหาเดิมไม่ใช่เหยียนเฉิน แต่เป็นข้า เข็มภูมิดาราเดินเป็นเส้นตรง ดังนั้นจะหาตัวข้าเจอก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”


 


 


           “เด็กน้อย เจ้าอย่าแช่งข้า ใต้หล้ามีสตรีอยู่มากมาย ต้องมีสักคนที่อยากแต่งกับข้า” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “แล้วเหยียนเฉินเล่า ยังมาไม่ถึงจริงหรือ เขาออกมาก่อนข้าตั้งเกือบหนึ่งชั่วยาม”


 


 


           “ภูเขาวกวน ธาราคดเคี้ยว ด้วยนิสัยของเหยียนเฉินแล้ว คงจะพาคนพวกนั้นอ้อมไปอ้อมมาก่อน” เซี่ยฟางหวาละสายตามากล่าวกับเขา “ตรงนี้ไม่ใช่ที่สนทนากัน ขึ้นไปข้างบนกับข้าก่อน”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เงียบปาก ไม่ส่งเสียงใดอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยิบกระบี่ใต้แขนเสื้อกับโซ่ไต่หน้าผาออกมา เหวี่ยงมันขึ้นไปข้างบน ชั่วพริบตาก็มีเสียง ‘ตึก’ ดังขึ้น โซ่ไต่หน้าผาตอกเข้ากับผนังหินที่ความสูงหลายสิบจั้ง นางใช้มือข้างหนึ่งจับโซ่ไต่หน้าผา ก่อนใช้มืออีกข้างดึงเซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นไปข้างบน


 


 


           ทั้งสองเดิมทีมีวิทยายุทธ์ ชั่วพริบตาก็ขึ้นมาได้หลายสิบจั้ง


 


 


           บริเวณนี้มีศิลางอกนูนออกมาตรงกึ่งกลางหน้าผา พอจะนั่งได้สองสามคน


 


 


           บนศิลามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน นั่นคือฉินอวี้


 


 


           เมื่อมาถึงศิลา เซี่ยฟางหวาก็เก็บโซ่ไต่หน้าผา ก่อนดึงเซี่ยวอวิ๋นจี้ขึ้นไปบนศิลา


 


 


           “ที่แท้เป็นพี่อวิ๋นจี้ ไม่พบกันนาน” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วส่งยิ้มบางให้ น้ำเสียงละมุนละม่อมเช่นเดิม “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ธนูของข้าใช้พลังครบสิบส่วน ขออภัยด้วย”


 


 


           หลังเซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นมาบนศิลาก็พินิจมองฉินอวี้ถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้วกล่าว “ได้ยินว่าองค์รัชทายาทติดโรคห่า ดูท่าเป็นเรื่องหลอกลวง”


 


 


           “ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เพียงแต่หลังข้าหาฟางหวาพบก็ได้กินยาที่นางใช้สมุนไพรดำม่วงปรุงให้” ฉินอวี้ส่ายหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ลากเสียงอ๋อยาว “ในเมื่อเจ้าหายจากโรคห่าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะแพร่เชื้อใส่ข้า” พูดจบ เขาก็ยกแขนโอบไหล่อีกฝ่าย ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่เมืองหลินอันตลอดเวลา น้องฟางหวามาจากเมืองลวง พวกเจ้าติดต่อกันได้อย่างไร”


 


 


           ฉินอวี้ปล่อยให้เขาโอบไหล่ มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มบางไม่ตอบคำถาม


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กวาดตาสอดส่อง เห็นว่าเซี่ยฟางหวาเก็บโซ่ไต่หน้าผากับกระบี่ใต้แขนเสื้อเสร็จแล้วก็หยิบธนูคันใหญ่ที่แขวนไว้ข้างผนังหินออกมา เขาไม่ถามฉินอวี้ต่อแล้ว หากแต่เอ่ยขึ้น “ช่องแคบแบบนี้เป็นแนวป้องกันอันตรายโดยธรรมชาติ พวกเจ้าตั้งใจดักซุ่มที่นี่ รอให้เหยียนเฉินล่อคนพวกนั้นมา แล้วทำลายให้สิ้นซาก”


 


 


           “พี่อวิ๋นจี้เดาถูกแล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหยิบธนูด้านข้างมาด้วยเช่นกัน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เพิ่งสังเกตเห็นว่า บนผนังหินทั้งสองข้างระหว่างเซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ล้วนมีลูกธนูแขวนเอาไว้เป็นแถว มีจำนวนราวยี่สิบถึงสามสิบดอก แต่ละดอกล้วนสร้างขึ้นอย่างประณีต หยาบหนากว่าลูกธนูทั่วไปสามเท่า ปลายลูกธนูแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง


 


 


           ลูกธนูเช่นนี้หากใช้ด้วยวิทยายุทธ์สูง ต่อให้เป็นทัพทหารและม้าจำนวนมากล้วนถูกเด็ดหัวออกจากบ่าได้ มิน่าเมื่อครู่นี้เขาถึงหลบไม่ทัน


 


 


           “น้องฟางหวา เรามาตกลงกันดีหรือไม่ ประเดี๋ยวเมื่อเป้าหมายมาถึงแล้ว ให้ข้ายิงสักสองสามดอกด้วย” เขาเกิดความสนใจขึ้นมาทันที หันมากล่าวกับเซี่ยฟางหวา


 


 


           “ท่านไม่เคยฝึกยิงธนูแบบนี้มาก่อน เกรงว่าจะไม่คุ้นชิน นั่งรอเฉยๆ ดีกว่า อย่าทำลายแผนการของข้า” เซี่ยฟางหวาเน้นย้ำ “วันนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้ ท่านอย่าก่อกวน มิฉะนั้นนอกจากเราสามคนก็มีเพียงเหยียนเฉินคนเดียว แค่เราสี่คนเกรงว่าจะรับมือกับศัตรูหลายสิบคนกระทั่งหลักร้อยไม่ได้ หรือบางทีอาจหลายร้อยคน หากไม่ทำตามแผนการ ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ที่นี่ก็จะกลายเป็นที่ฝังกระดูกของเราแทน”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ “หนักหนาถึงเพียงนี้เชียว” เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อ “แล้วองครักษ์เงาเล่า ไปไหนกันหมด”


 


 


           “ข้ามีอีกแผนการ ให้คุ้มครองนำสมุนไพรดำม่วงไปส่งที่เมืองหลินอันทางธาราคดเคี้ยวแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “สายลับทั้งหมดล้วนถูกส่งไปคุ้มกันสมุนไพรดำม่วงแทน”


 


 


           “ตัวข้าแม้อยู่เป่ยฉี แต่ได้ยินมารางๆ ว่าความวุ่นวายในหนานฉินครั้งนี้เป็นฝีมือของปรมาจารย์ ปรมาจารย์ภูเขาลับมีใจออกห่างราชสำนักหนานฉิน ปรมาจารย์เป็นปีศาจคนเป็นที่บำเพ็ญตบะมาไม่น้อยกว่าพันปี ยากรับมือด้วยอย่างยิ่ง เจ้าเป็นแค่เด็กตัวน้อยไฉนถึงกล้าหาญเช่นนี้ หากอีกฝ่ายขนกันมามาก ด้วยลูกธนูเพียงเท่านี้ของพวกเจ้าจะรับมือไหวหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ทำหน้าสิ้นหวัง


 


 


           “รับมือไม่ไหวก็ต้องไหว” เซี่ยฟางหวากดเสียงต่ำลง เอ่ยเตือนขึ้น “ข้ายังเตรียมกลไกไว้ด้วย จากนี้ท่านควรรอตรงนี้อย่างเชื่อฟัง ประเดี๋ยวคอยส่งลูกธนูให้เรา”


 


 


           “ข้าส่งลูกธนู” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยแววตาไม่พอใจ


 


 


           “มิฉะนั้นก็ถือโอกาสกลับไปเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวาบีบบังคับ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เองก็ทราบเช่นกันว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าเข้มงวดมาก เดิมทีตอนที่นึกอยากมาร่วมสนุกด้วยก็คิดว่าพอจะช่วยอันใดได้บ้าง ทว่าไม่คิดเลยว่าหลังมาถึงจะทำได้แค่เป็นคนส่งลูกธนูให้ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวา ยิ่งเห็นว่าเซี่ยฟางหวาแสดงท่าทางไม่ยอมให้ปฏิเสธ เขาจึงได้แต่ยอมจำนน “ก็ได้ ส่งลูกธนูก็ส่งลูกธนู ได้รับลูกธนูจากฝ่ามืออันสูงส่งของข้า นับว่าเป็นวาสนาที่สะสมมาหลักร้อยหลักพันปี พวกเจ้าสองคนต้องยิงให้แม่นยำ อย่าให้ข้าส่งให้โดยเสียแรงเปล่า”


 


 


           “ไม่ทำให้พี่อวิ๋นจี้ต้องส่งมาเปล่าๆ แน่” ฉินอวี้ยิ้มบางพลางผงกศีรษะ


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด สายตาจับจ้องไปยังปากช่องแคบ นิ่งสังเกตการณ์อย่างมีสมาธิ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ก็สำรวมสีหน้าติดตลกไม่จริงจังเช่นกัน คิดว่าถึงแม้ตนเองเป็นผู้ช่วยส่งลูกธนู แต่เหตุการณ์ที่หาได้ยากเช่นนี้ ได้มีส่วนร่วมก็นับเป็นวาสนาแล้ว เขารวบรวมสมาธิ นิ่งรอเงียบๆ เช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 92-2 การดักซุ่มของฟางหวา

 

ครึ่งชั่วยามถัดมา นอกช่องแคบก็มีการเคลื่อนไหว 


 


 


           ฉินอวี้หันไปมองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก็หันไปมองเช่นกัน พลางพยักหน้าให้เขา 


 


 


           ทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว หยิบธนูและลูกธนูขึ้นมา ตั้งท่วงท่าง้างคันธนูอย่างสุดแรง 


 


 


           ไม่นานก็มีคนถลันเข้ามาในช่องแคบ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตาโต เห็นเพียงเงาดำเลือนรางร่างหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง เขารอเซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ปล่อยลูกธนูออกไป ทว่าทั้งสองกลับไม่ขยับมือจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ แต่ชั่วพริบตาก็ฉุกคิดได้ว่า ผู้ที่เข้ามาก่อนย่อมเป็นเหยียนเฉินแน่นอน ดังนั้นทั้งสองจึงมั่นใจไม่ปล่อยลูกธนูออกไป แต่เมื่อทบทวนอีกครั้งก็คิดว่าไม่ถูกต้อง เขากับเหยียนเฉินล้วนเข้ามาคนเดียวเหมือนกัน จากตำแหน่งสูงเช่นนี้มองลงไปน่าจะเห็นเพียงเงาคน มองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แล้วเหตุใดเขาจึงถูกธนูยิงใส่จนเกือบเสียแขนข้างหนึ่งไป แต่เหยียนเฉินกลับไม่ถูกยิง เดิมอยากถามเหตุผล แต่เมื่อหันไปเห็นว่าทั้งสองกำลังมีสมาธิจดจ่อจึงไม่อยากรบกวน ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไปก่อน 


 


 


           หลังเงาร่างนั้นเข้ามาในช่องแคบและเดินมาได้ราวสิบกว่าก้าวก็ผิวปากขึ้นเสียงเบา 


 


 


           เสียงผิวปากนี้มีทักษะเฉพาะตัว นึกไม่ถึงว่าจะแกะเสียงฟังออกว่าเรียกชื่อฟางหวา 


 


 


           เมื่อเสียงผิวปากจบลง ก็มีเสียงผิวปากตอบกลับมาในระยะหลายสิบหมี่ ใช้ทักษะเฉพาะแบบเดียวกันตอบกลับว่าเหยียนเฉิน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง มองไปยังบริเวณหลายสิบหมี่จากในช่องแคบ 


 


 


           เหยียนเฉินได้ยินเสียงผิวปากตอบก็คล้ายดีใจ เดินไปยังบริเวณหลายสิบหมี่ข้างใน 


 


 


           เขาเพิ่งก้าวขาเดินเข้าไปข้างในได้ไม่นาน ปากทางเข้าช่องแคบพลันมีกลุ่มบุรุษชุดดำบุกเข้ามา ทันทีที่บุรุษชุดดำกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเข้าช่องแคบก็แผ่กลิ่นอายเยือกเย็น ท่ามกลางความมืดมิดตอนกลางคืน ทำเอาภายในช่องแคบที่เดิมทีมืดอยู่แล้วก็ยิ่งมืดมิดกว่าเดิมหลายส่วน ราวกับมาจากขุมนรกก็มิปาน 


 


 


           บุรุษชุดดำกลุ่มแรกมีจำนวนราวสิบกว่าคน แต่ละคนมีลมปราณสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหมด 


 


 


           ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากัน ต่างไม่ลงมือเคลื่อนไหว 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เดิมเป็นคนฉลาดจึงเดาออกได้เช่นกัน สิบกว่าคนที่เข้ามาก่อนเกรงว่าจะเป็นสายลับเดนตายธรรมดาที่เป็นแนวหน้า เพราะมีลมปราณในระดับสม่ำเสมอ ในกลุ่มคนพวกนี้ไม่น่าจะมีปรมาจารย์แฝงตัวอยู่ ลมปราณของปรมาจารย์นั้นน่าจะไม่เหมือนคนทั่วไป 


 


 


           หลังคนกลุ่มแรกเข้ามาก็มองรอบกาย จากนั้นก็มีผู้นำยกมือให้สัญญาณ มุ่งตรงเข้าไปในช่องแคบ 


 


 


           สิบกว่าคนที่เข้ามาในช่องแคบ นึกไม่ถึงว่าจะก้าวเดินได้เงียบเชียบ มีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย 


 


 


           หลังกลุ่มแรกเข้าไปได้พักหนึ่งก็มีกลุ่มที่สองปรากฏตัวขึ้นหน้าปากทางเข้าช่องแคบ กลุ่มนี้ทั้งหมดคล้ายไม่มีตัวตน ในนั้นมีลมปราณนิ่งเงียบแต่ทรงพลังอยู่คนหนึ่ง เหนือกว่าคนอื่นๆ ที่มาด้วยกัน 


 


 


           ตัดสินจากลมปราณ คนผู้นี้เป็นปรมาจารย์คนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ลอบสูดหายใจเข้า กักลมหายใจครึ่งหนึ่งไม่กล้าปล่อยออกมา คิดในใจว่าปรมาจารย์สายลับที่ร่ำลือกันนั้นร้ายกาจจริงดังคาด แค่ลมปราณก็กดดันคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา เกรงว่าถึงมีสองคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์สายลับคนนี้ 


 


 


           ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากันอีกครั้ง เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ฉินอวี้พยักหน้ารับ 


 


 


           ทั้งสองยังไม่มีใครลงมือเช่นเดิม 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เดาว่าในเมื่อไม่มีใครลงมือ แสดงว่ายังรอคนอื่นอยู่ 


 


 


           ไม่ผิดจากที่เดาไว้ หลังกลุ่มที่สองเข้าไปข้างในก็มีกลุ่มที่สามปรากฏตัวขึ้นหน้าปากถ้ำ กลุ่มนี้มีกันเพียงสามคน ทว่าลมปราณของสามคนนี้ล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง สามปรากฏตัวขึ้นพร้อมด้วยลมปราณทมิฬดุจเมฆครึ้มปกคลุม ราวกับจะปิดตายช่องแคบแห่งนี้ทั้งหมด ลมปราณทมิฬแผ่ขยายออกมา 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจจนเบิกตาค้าง ไม่ต้องกลั้นหายใจก็เหมือนลืมวิธีการหายใจไปแล้ว 


 


 


           หลังสามคนนั้นมาถึงก็ยืนเรียงหน้าปากทางเข้าช่องแคบ มิได้รีบเข้ามาเหมือนอย่างสองกลุ่มแรก ทว่ากวาดตามองโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยลมปราณทั่วสารทิศ ปกคลุมไปทั่วหน้าผาทั้งสองแห่ง 


 


 


           “แย่แล้ว พวกเข้าใช้ปราณแท้ค้นหา หากปราณแท้ปกคลุมถึงตัวเรา จะต้องถูกจับได้แน่นอน” ฉินอวี้พลันใช้วิธีการสื่อสารทางลับบอกเซี่ยฟางหวากับเซี่ยอวิ๋นจี้ 


 


 


           “วางใจเถอะ ไม่ปล่อยให้พวกเขาหาตัวเจอแน่” เซี่ยฟางหวาตอบกลับผ่านวิธีลับ ยกมือขึ้นแผ่วเบา ควันสีอ่อนผุดออกมาจากข้อมือนาง ชั่วพริบตาก็แปรสภาพเป็นตาข่ายถี่ยิบ ล้อมศิลาก้อนใหญ่กับตัวนาง รวมถึงฉินอวี้และเซี่ยอวิ๋นจี้ไว้ภายในตาข่ายไร้รูปร่าง 


 


 


           นางเพิ่งกางม่านป้องกันเสร็จ พลังภายในของสามปรมาจารย์ก็ดั่งมรสุมจากขุมนรก พัดนำความมืดมิดไร้ขอบเขต ชั่วพริบตาก็ปกคลุมจนทั่ว 


 


 


           ลมปราณทมิฬกดทับตาข่ายถี่ เพียงพริบตาก็ขยายไปถึงยอดหน้าผาทั้งสองข้าง 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองเบื้องหน้าด้วยความใคร่รู้ ระหว่างที่ถูกตาข่ายล้อมเขารู้สึกถึงความอบอุ่นดั่งวสันต์ สบายกายเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะกะพริบตามอง อ้าปากอยากเอ่ยถามเซี่ยฟางหวาว่าใช้พลังภายในรูปแบบใด ทว่าทราบดีว่าไม่ใช่เวลา จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน 


 


 


           ฉินอวี้มองตาข่ายถี่รอบกายที่บางและละเอียดอย่างยิ่ง ระหว่างที่ปราณแท้ทมิฬกดทับครอบคลุม ตาข่ายถี่หาได้ขยับเขยื้อนไม่ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นดั่งวสันต์ที่ชวนสบายกายเช่นกัน แรกเริ่มก็ประหลาดใจ แต่สักพักต่อมาก็เข้าใจ 


 


 


           วิชาพลังภายในที่แตกต่างเช่นนี้ มีเพียงเคล็ดวิชาลับของเผ่าภูตผีเท่านั้นถึงจะทำการคุ้มกันและแผ่คลุมโดยไม่ส่งเสียงได้ ถึงแม้เป็นปรมาจารย์สายลับที่ฝึกฝนวิชานอกรีตด้านมืดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งใช้ปราณแท้อันแข็งแกร่ง แต่ก็ยากจะค้นพบลมปราณผู้อื่นด้วยเช่นกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองทั้งสามหน้าทางเข้าช่องแคบเงียบๆ ใบหน้าเย็นชาท่ามกลางความมืดมิดที่กดทับอยู่ 


 


 


           ผ่านไปพักใหญ่ ปราณแท้ของสามปรมาจารย์ก็ทำการค้นหาหน้าผาทั้งสองข้างและอาณาเขตหนึ่งลี้ นอกจากการเคลื่อนไหวและลมปราณของสองกลุ่มก่อนหน้านี้ในบริเวณครึ่งลี้เบื้องหน้า ก็ไม่พบสิ่งอื่นอีกเลย 


 


 


           ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนเดินเข้ามาในช่องแคบพร้อมกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวานับในใจ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว… 


 


 


           สามปรมาจารย์มีพลังภายในอันทรงพลัง เพียงหนึ่งก้าวเสมือนสี่ห้าก้าวของคนทั่วไป 


 


 


           หลังรอให้พวกเขาเดินเข้ามาข้างในสามก้าว เซี่ยฟางหวาพลันคลายเกราะวิชาลับ หันไปมองฉินอวี้ 


 


 


           ในเวลานี้ฉินอวี้ก็พยักหน้าให้นางเช่นกัน 


 


 


           ทั้งสองง้างคันธนูเต็มเหนี่ยว ลูกธนูสามดอกบนหนึ่งคันธนูถูกปล่อยออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


           ทั้งสองล้วนเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม ดังนั้นระหว่างที่ยิงธนูออกไปจึงเงียบไร้ซุ่มเสียง ดุดันรุนแรงกว่าตอนที่ฉินอวี้ยิงธนูใส่เซี่ยอวิ๋นจี้ก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองธนูสามดอกที่ทั้งสองยิงออกไปพร้อมกัน จึงทราบว่าก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี้บอกว่าใช้พลังภายในครบสิบส่วนแล้ว แท้จริงใช้แค่เพียงเจ็ดแปดส่วนเท่านั้น มิฉะนั้นด้วยความที่เขาไม่มีวิทยายุทธ์มากเหมือนสามปรมาจารย์ อย่าว่าแต่จะเบี่ยงหน้าอกหลบแล้วถูกยิงเข้าตรงข้อมือเลย เดิมทีกระทำไม่ได้ ต้องตายในธนูดอกเดียวแน่นอน  

 

 


ตอนที่ 93 การสังหารที่ช่องแคบ

 

          เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ยิงธนูสามดอกต่อเนื่อง หลังยิงออกไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจี้ก็ไม่มัวพะวงคอยจะชื่นชมทักษะการยิงธนูของทั้งสอง หากแต่รีบส่งลูกธนูให้ 


 


 


           ทั้งสองง้างคันธนูยิงออกไปด้วยความคล่องแคล่วอีกครั้ง 


 


 


           “แย่แล้ว มีการดักซุ่ม!” ปรมาจารย์ท่านหนึ่งตะโกนขึ้น 


 


 


           ปรมาจารย์อีกสองท่านที่เหลือก็สังเกตเห็นลูกธนูที่ถูกยิงมาแล้วเช่นกัน 


 


 


           ลูกธนูไร้เสียงขณะอยู่ห่างไกล พอเข้าใกล้ถึงทำให้พวกเขารู้สึกตัว อีกอย่างลูกธนูทั้งหกดอกก็ดุดันรุนแรงอย่างมาก 


 


 


           ทั้งสามรีบใช้พลังภายในสร้างเกราะป้องกันปกคลุมรอบกาย ทว่าเจ้าของลูกธนูอัดพลังภายในใส่ลูกธนูอย่างเห็นได้ชัด ธนูหกดอกทะลวงฝ่าเกราะป้องกัน มุ่งโจมตีทำร้ายพวกเขาโดยตรง 


 


 


           ทั้งสามตกใจจนหน้าถอดสีก่อนถอยหลังหนีหลายจั้ง สมกับเป็นปรมาจารย์ ย่อมหลบธนูหกดอกได้อย่างปลอดภัย 


 


 


           ทว่าถึงแม้หลบลูกธนูหกดอกได้ แต่ก็มิทันระวังกลไกอื่น หนึ่งในลูกธนูที่เซี่ยฟางหวายิงออกไปยิงโดนกลไกที่ติดตั้งไว้บนพื้น เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ดินปืนที่ถูกฝังใต้ดินถูกลูกธนูยิงจนระเบิดขึ้นมา 


 


 


           ทั้งสามติดอยู่ใจกลางดินปืนพอดี 


 


 


           เวลานี้ ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาก็ยิงธนูระลอกที่สองใส่ทั้งสามคนอย่างเต็มแรง 


 


 


           ได้ยินเพียงเสียง ‘สวบสวบ’ ของลูกธนูที่ยิงโดนเนื้อผ้าและผิวหนังดังออกมา ครั้งนี้ยิงโดนตัวคนแล้ว 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ดีใจ รีบส่งลูกธนูให้ทั้งสองเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง 


 


 


           ทั้งสองไม่เว้นจังหวะให้ปรมาจารย์ด้านล่างหอบหายใจ โจมตียิงธนูระลอกสามซ้ำอีกครั้ง 


 


 


           “ผู้ใดกัน!” ปรมาจารย์ตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาลดั่งปีศาจร้าย 


 


 


           เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ต่างไม่พูดจา เซี่ยอวิ๋นจี้เองก็ไม่พูดจาเช่นกัน หลังเห็นทั้งสองยิงธนูโจมตีระลอกสามเสร็จแล้วก็ส่งลูกธนูให้เพิ่มอีก 


 


 


           “บนหน้าผาด้านซ้าย!” ปรมาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างโมโห 


 


 


           “ขึ้นไปข้างบนกัน!” ปรมาจารย์อีกท่านบอก 


 


 


           พูดจบ เงาคนสองร่างก็ดีดตัวแหวกอากาศฝ่าม่านควันโขมงของดินปืนระเบิดขึ้นมา ตรงมายังที่ซ่อนตัวของทั้งสามบนหน้าผาด้านซ้าย พร้อมด้วยกระบี่สองเล่มที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมหาศาล 


 


 


           ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวายิงธนูในมือออกไปอีกครั้ง 


 


 


           เนื่องด้วยลูกธนูหกดอกรวมเข้าด้วยกัน เงาร่างของสองผู้นั้นที่เหินกายขึ้นมายากจะหลบพ้น ดังนั้นจึงตวัดกระบี่โดยพร้อมเพรียงกัน ใช้พลังภายในกระแทกลูกธนูพวกนั้นออกไป 


 


 


           เห็นเพียงสะเก็ดไฟจากลูกธนูปะทะกับกระบี่ เกิดเสียงแสบแก้วหูดังขึ้น 


 


 


           อย่างไรปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ สมกับคำร่ำลือ หากเป็นคนธรรมดาอย่าว่าแต่ลูกธนูหกดอกเลย ต่อให้ลูกธนูแค่ดอกเดียวก็ยากจะต้านทานได้ ทว่าสองท่านนี้หาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ภายใต้การตวัดกระบี่ที่รวมพลังกัน สามารถต้านทานลูกธนูหกดอกที่พุ่งมาด้วยความรุนแรงได้ ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย 


 


 


           เซี่ยฟางหวากับฉินอวี้เผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตื่นตระหนกขึ้นมา ด้วยพลังแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าแรงระเบิดจากดินปืนเมื่อครู่มิได้สร้างความบาดเจ็บให้สองท่านนี้เลย น่าจะโดนเพียงปรมาจารย์ท่านหนึ่งข้างล่าง หากสองท่านนี้ขึ้นมาได้ ด้วยวิชานอกรีตอันทรงพลังแกร่งกล้าเช่นนี้ ถึงพวกเขาสามคนร่วมกันต่อสู้ก็ไม่แน่ว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้ 


 


 


           ขณะที่เขากำลังไตร่ตรอง เซี่ยฟางหวาพลันส่งคันธนูมาให้เขา “ท่านมาแทน” 


 


 


           “ข้า เจ้าไม่ใช่ว่า…” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก ก่อนหน้านี้นางมิได้ยังบอกว่าห้ามเขาสอดมือ มีหน้าที่ส่งลูกธนูให้อย่างเดียวหรือ ไฉนตอนนี้ถึงส่งคันธนูมาให้ตนได้ 


 


 


           “ข้าจะปิดล้อมพวกเขาไว้ เจ้าสองคนฉวยโอกาสนั้นยิงธนูใส่ มิฉะนั้นหากพวกเขาขึ้นมาได้ เราคงไม่ใช่คู่ต่อสู้” เซี่ยฟางหวาตัดสินใจเร่งด่วน พลิกฝ่ามือทั้งสองข้าง ควันสีดำอ่อนแล่นออกมาจากกลางฝ่ามือ ชั่วพริบตาก็มุ่งไปหาปรมาจารย์สองท่านนั้น 


 


 


           “ได้” ฉินอวี้เข้าใจทันที ผงกศีรษะรับ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แม้มิทราบว่าเซี่ยฟางหวาจะล้อมสองท่านนั้นอย่างไร แต่ก็คิดว่านางคงใช้วิธีเดียวกับตอนที่หลบปราณแท้ของสามปรมาจารย์เมื่อครู่ เขารีบรับลูกธนูมา ง้างคันธนูรอจังหวะ 


 


 


           ควันสีดำของเซี่ยฟางหวารวมเข้าด้วยกันกลายเป็นตาข่ายไร้รูปร่าง ล้อมสองปรมาจารย์ไว้ในนั้น 


 


 


           ร่างกายของสองปรมาจารย์หยุดชะงักทันที ขยับเขยื้อนมิได้ แสดงท่าทีตื่นตระหนกโดยพร้อมกัน 


 


 


           “ยิงธนู!” เซี่ยฟางหวาตะโกนเสียงต่ำ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ดีใจ ยิงลูกธนูสามดอกออกไปดัง ‘สวบ’ 


 


 


           ลูกธนูของฉินอวี้พุ่งออกไปทีหลัง โจมตีโดนสองปรมาจารย์อย่างแม่นยำเช่นกัน 


 


 


           ขณะที่ลูกธนูใกล้จะปะทะกับตาข่ายถี่ที่เซี่ยฟางหวาถักทอขึ้น นางพลันคลายตาข่ายลงอย่างรวดเร็ว เสียง ‘สวบสวบ’ ของลูกธนูที่แทงทะลุเนื้อผ้าดังขึ้น สองปรมาจารย์ต้านไม่ทัน ถูกธนูยิงเข้า ร่วงตกลงไปข้างล่างโดยพร้อมเพรียง 


 


 


           “ดีมาก” เซี่ยอวิ๋นจี้อุทานขึ้น “เยี่ยม” 


 


 


           เสียงกระแทก ‘ตุบตุบ’ ดังขึ้น สองคนนั้นตกลงบนพื้นในช่องแคบพร้อมกัน 


 


 


           ภายในช่องแคบ นอกจากกลิ่นดินปืนและเลือดคาวคลุ้ง ยังมีควันดินตลบนับไม่ถ้วน 


 


 


           “น่าจะตายแล้วกระมัง” เซี่ยอวิ๋นจี้ขยับตัว หันไปถามเซี่ยฟางหวา “เราลงไปดูไหม” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า กล่าวบอกฉินอวี้ “ปลอดภัยไว้ก่อน เปิดกลไกที่ยังปิดอยู่ให้หมด” 


 


 


           ฉินอวี้ผงกศีรษะ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นถึงปรมาจารย์ ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป” พูดจบ เขาก็ยิงธนูที่เหลืออีกดอกไปยังตำแหน่งหนึ่ง 


 


 


           ทันทีที่ลูกธนูถูกยิงออกไป เสียงแกรกดังติดต่อกัน ตามมาด้วยเสียงระเบิด ‘ปังปังปัง’ ดังขึ้นต่อเนื่อง 


 


 


           เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นจากตำแหน่งไม่ไกลกันนัก 


 


 


           หลังเสียงระเบิดต่อเนื่องจบลง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “ลงไปกันเถอะ” 


 


 


           ฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าพร้อมกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวานำมุกราตรีออกมา ทั้งสามลงจากหน้าผาหลายสิบหมี่มาถึงช่องแคบเบื้องล่าง 


 


 


           พบศพบุรุษชุดดำแยกชิ้นส่วนสองศพกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทั้งหมดถูกธนูยิงเข้าใส่สองดอก ทั้งถูกดินปืนอัดกระแทก ศพแรกเสียแขนไปข้างหนึ่ง อีกศพเสียขาไปหนึ่งข้าง 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้อุทาน “เอ๋” ก่อนกล่าวต่อ “ไฉนถึงตายไปแค่สองคน อีกคนหนึ่งเล่า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 


 


 


           ฉินอวี้นำมุกราตรีออกมาสอดส่องให้ทั่วรอบหนึ่ง เม้มปากเอ่ยขึ้น “เกรงว่าอีกคนจะอาศัยจังหวะหนีออกไปจากช่องแคบแล้ว หลุดรอดไปได้” 


 


 


           “หนีออกไปแล้ว?” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย “เราจับตามองตลอดเวลา ไฉนถึงหนีไปได้” 


 


 


           “ตอนยิงเปิดกลไกก่อนหน้านี้ ดินปืนระเบิดแตกเป็นเสี่ยง หนึ่งในนั้นน่าจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นสองปรมาจารย์ที่เหลือจึงพบที่ซ่อนตัวของเรา หมายจะลงมือโต้ตอบ ต่อมาถูกฟางหวาปิดล้อมไว้ เรายิงธนูใส่จนพวกเขาเสียหลักตกลงมา และถูกกลไกโจมตีซ้ำอีกหน” ฉินอวี้มองสองศพไม่สมบูรณ์บนพื้น “สองคนนี้น่าจะเป็นคนที่เรายิงธนูใส่ตอนหลัง ส่วนอีกคนแม้ได้รับบาดเจ็บ แต่น่าจะฉวยโอกาสหนีออกไปจากช่องแคบแล้ว” 


 


 


           “เจ็บหนักอยู่แท้ๆ ถึงหนีออกไปก็ไปได้ไม่ไกล” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ตามไปเถอะ” 


 


 


           “ไม่ต้องตามหรอก คนที่หนีออกไปถึงไม่ตายก็เกือบตาย แต่สองกลุ่มแรกที่เราปล่อยให้เข้าไปข้างใน แม้เตรียมการไว้แล้ว แต่เหยียนเฉินคนเดียวเกรงว่าจะรับมือไม่ไหว อย่างไรเหยียนเฉินก็สำคัญกว่า” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็เดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ทราบดีว่าเหยียนเฉินมีความสำคัญต่อเซี่ยฟางหวาจึงพยักหน้ารับ ย่อกายลงกระชากผ้าคลุมหน้าสองศพนั้น มองแวบหนึ่งแล้วพึมพำขึ้น “นึกว่าจะเป็นปีศาจลิ้นยาว ไม่นึกเลยว่าจะมีหน้าตาเหมือนคนทั่วไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าไปฝึกฝนจนมีวิชานอกรีตอันร้ายกาจได้อย่างไร รุนแรงเสียจนเหมือนวิญญาณร้ายปรากฏกายอย่างไรอย่างนั้น” 


 


 


           ฉินอวี้ไม่มีความเห็นกับการไม่ไล่ตามคนที่หนีไปหรือไปช่วยเหยียนเฉิน แต่เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้กระชากผ้าคลุมหน้าออก เขาก็มองแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ปรมาจารย์สายลับย่อมมีพลังภายในร้ายกาจ แต่ฟังว่าผู้ฝึกวิชานี้สวนทางกับความถูกต้องของโลก ถูกเรียกว่าศาสตร์มืด ใช้ลมปราณกดดันผู้อื่น ใช้พลังทำร้ายผู้คน ผู้ที่ฝึกสำเร็จสามารถทำลายต้นไม้ใบหญ้ามิให้เจริญเติบโตได้ในระยะสิบลี้” 


 


 


           “ร้ายกาจถึงเพียงนี้” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง 


 


 


           “วันนี้ข้าก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน เพียงแต่สายลับที่มาจากราชสำนักหนานฉิน ข้าก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           “หายนะระดับนี้ ราชสำนักยังเก็บไว้ทำไมกัน ควรกำจัดพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ยิ่งตายเร็วก็ยิ่งได้ไปผุดไปเกิดเร็ว จะได้ไม่ต้องออกมาทำร้ายผู้อื่น” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก 


 


 


           “สายลับเลี้ยงมาไม่ง่าย ทำลายทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เติบโตมาในหนานฉิน ย่อมทราบสถานการณ์ที่ผ่านมาของหนานฉินเช่นกันจึงไม่กล่าวต่อ หากแต่รีบย่ำเท้าไปหาเซี่ยฟางหวา ขยับเข้าใกล้นาง “ฟางหวา เมื่อครู่เจ้าใช้พลังภายในอะไร นึกไม่ถึงว่าแค่ครู่เดียวก็ล้อมปีศาจร้ายสองคนนั้นได้แล้ว” 


 


 


           “เคล็ดวิชาเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “เคล็ดวิชา…เผ่าภูตผี” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักงัน 


 


 


           “ท่านฟังไม่ผิด อย่ามัวไร้สาระเลย รีบไปกันเถอะ ข้าได้ยินเสียงต่อสู้มาจากทางนั้น เหยียนเฉินจะเป็นอะไรไปไม่ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ายืนยัน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยังอยากถามอีกว่านางเรียนเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีมาตั้งแต่เมื่อไร ทำได้เพียงเงียบลง แล้วเร่งฝีเท้าตามนางไปข้างหน้า 


 


 


           ทั้งสามเดินไปราวสี่สิบถึงห้าสิบก้าว พลันได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยิบมุกราตรีขึ้นมาส่อง พบว่าเบื้องหน้าไร้ความเป็นระเบียบ พื้นดินถูกดินปืนระเบิดจนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ ศพจำนวนมากนอนระเกะระกะ มีทั้งแขนหักและขาหัก ลูกธนูและกระบี่หล่นเกลื่อนกลาด แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดมากเพียงใด ผู้ที่บาดเจ็บล้มตายล้วนเป็นบุรุษชุดดำสองกลุ่มนั้นที่พวกเซี่ยฟางหวาปล่อยเข้ามา 


 


 


           ในเหตุการณ์ชุลมุนนั้น เหยียนเฉินกำลังต่อสู้กับบุรุษชุดดำคนหนึ่ง คนผู้นั้นมีลมปราณทมิฬแข็งแกร่งมาก เหยียนเฉินได้รับบาดเจ็บไปบ้างแล้ว และแผ่นหลังของบุรุษชุดดำคนนั้นก็คล้ายกับได้รับบาดเจ็บเช่นกัน 


 


 


           แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เหยียนเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าชัดเจน 


 


 


           พอทั้งสามเข้ามาใกล้ บุรุษชุดดำผู้นั้นก็สังเกตเห็นได้ทันที เขามีสีหน้าเปลี่ยนไป พลันแสร้งออกกระบวนท่าเพื่อคิดหลบหนี 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไหนเลยจะปล่อยให้เขาหนีไปได้ ควันสีดำแล่นออกจากฝ่ามือในชั่วพริบตา ตรงไปล้อมและกักขังเขาเอาไว้ในตาข่ายถี่ เหยียนเฉินเห็นเซี่ยฟางหวามาแล้วก็ดีดกายพุ่งไปข้างหน้า ประชิดตัวผู้นั้น ใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจจากข้างหลังทันที 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเรียกควันสีดำกลับมา เหยียนเฉินแทงหัวใจคนผู้นั้นจากข้างหลังในกระบี่เดียว คนผู้นั้นล้มลงกับพื้นเสียงดังสะเทือน 


 


 


           เหยียนเฉินดึงกระบี่ออกมาแล้วแทงซ้ำอีกครั้งบนตำแหน่งกดจุด คนผู้นั้นถีบเท้ากลางอากาศทุรนทุรายครู่หนึ่ง ก่อนหมดลมหายใจไป 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ก้าวขึ้นมากระชากผ้าคลุมหน้าคนผู้นั้น ก่อนโยนทิ้งทันทีด้วยความขยะแขยง “วิชานอกรีตร้ายกาจเพียงนี้ เจ้าของร่างกลับไม่น่าชมแม้แต่นิดเดียว ท่าทางแข็งทื่อเหมือนปลาตาย แปดเปื้อนลูกตาข้านัก” 


 


 


           พูดจบเขาก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “น้องฟางหวา เจ้ามีวิชาร้ายกาจถึงเพียงนี้ สังหารคนพวกนี้ไหนเลยต้องใช้พวกเราอีก เจ้าทำเองคนเดียวก็ได้กระมัง หากรู้ไวกว่านี้ข้ารอชมคงดีกว่า ทำข้าตื่นตระหนกเสียเปล่า” 


 


 


           เขาเพิ่งพูดจบ เซี่ยฟางหวาก็พลันตัวอ่อน ทรุดลงไปกับพื้น 


 


 


           ฉินอวี้ที่อยู่ใกล้นางที่สุดรีบประคองรับตัวนางไว้ เห็นว่านางหมดสติก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้นิ่งค้าง ก่อนรีบเดินเข้ามาหา “ฟางหวาเป็นอะไร” 


 


 


           เหยียนเฉินเก็บกระบี่แล้วเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือตรวจชีพจรให้เซี่ยฟางหวา 


 


 


           ฉินอวี้กับเซี่ยอวิ๋นจี้มองเขา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งเหยียนเฉินก็เอ่ยขึ้น “ท้องของนางถูกสูบจนกลวง ลมปราณชี่กับเลือดบางเหมือนเส้นไหม บาดเจ็บหนักมาก” 


 


 


           “ร้ายแรงหรือไม่” ฉินอวี้รีบถาม 


 


 


           “นางน่าจะใช้เคล็ดวิชาเผ่าภูตผีต่อเนื่องกัน เพราะใช้มากจนเกินไปทำให้หัวใจเสียหายอย่างหนัก ข้าจะให้นางกินยาลูกกลอนประคองชีพจรหัวใจไปก่อน เพื่อมิให้หัวใจเสียเลือดไปมากกว่านี้ พอกลับไปแล้วต้องค่อยๆ บำรุงร่างกาย อย่างน้อยภายในครึ่งปีก็ห้ามใช้วิชาภูตผีใดๆ ภายในหนึ่งเดือนห้ามใช้กระบี่หรือพลังภายใน” เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “ร้ายแรงถึงเพียงนี้” เซี่ยอวิ๋นจี้มองเหยียนเฉิน เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าก่อนหน้านี้นางปิดล้อมสองคนนั้นได้เพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ก็ล้อมคนผู้นี้ได้อีกในชั่วพริบตาเช่นกัน ดูร้ายกาจอย่างยิ่ง ไฉนถึงได้ฝืนตัวเองจนอยู่ในสภาพเช่นนี้” 


 


 


           “เจ้าอาจยังมิทราบ วิชาภูตผีใช้หัวใจเป็นหลักจึงสามารถควบคุมสรรพสิ่งในใต้หล้าได้ ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่สวนทางกับธรรมชาติ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้วิชาภูตผีจะสร้างความเสียหายแก่หัวใจ อีกอย่างวิชาภูตผีก็ขึ้นอยู่กับว่าพลังนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เดิมทีนางอ่อนแอนัก กลับนำมาใช้ต่อกรกับปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ปรมาจารย์ฝึกฝนคือศาสตร์มืด เป็นวิชานอกรีต ทำให้เกิดลมปราณทมิฬได้ ดังนั้นแม้เจ้าเห็นว่านางกักขังเหล่าปรมาจารย์ได้อย่างสบายๆ แต่ความจริงแล้วนางต้องใช้จิตวิญญาณและเลือดถึงสิบเท่าเพื่อควบคุมพวกเขา พอจะนึกภาพได้หรือไม่ว่าสร้างความเสียหายร้ายแรงเพียงใด” 


 


 


           “ที่แท้เป็นเช่นนี้” เซียอวิ๋นจี้ย่นหัวคิ้ว ก้าวขึ้นมากล่าวกับฉินอวี้ “ส่งนางมาให้ข้า ข้าอุ้มนางเอง” 


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า “ข้าอุ้มเอง” พูดจบก็อุ้มเซี่ยฟางหวาแนบอก 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เลิกคิ้ว ยื่นมือบังคับเพื่อจะแย่งเซี่ยฟางหวามาอุ้มไว้เอง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินงาม แต่ฐานะของข้านั้น ไตร่ตรองดูแล้วนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของนาง ไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องขอบเขตของชายหญิง ข้าเป็นคนอุ้มนางเองจะดีกว่า” 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี “เช่นนั้นลำบากพี่อวิ๋นจี้แล้ว” 


 


 


           “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กคนนี้เบาจะตาย ไม่ลำบากหรอก” เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวา ก่อนหันกลับไปมองเหยียนเฉิน “สามปรมาจารย์ที่สกัดไว้ข้างหลังฉวยโอกาสหนีไปได้คนหนึ่ง ที่เจ้าเล่า” 


 


 


           “หนีไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว” เหยียนเฉินตอบ 


 


 


           “เจ้าร้ายกาจดังคาด แล้วจะทำเช่นไรต่อ เราจะไปไหนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม 


 


 


           “กลับเมืองหลินอันเถอะ” ฉินอวี้บอก “ฟางหวากับข้าร่วมมือกันส่งคนคุ้มกันสมุนไพรดำม่วงทั้งหมดไปทางธาราคดเคี้ยว ไม่รู้ว่าตอนนี้สมุนไพรดำม่วงไปยังอย่างราบรื่นหรือไม่ เรากลับไปดูที่เมืองกันดีกว่า” 


 


 


           “ถูกต้อง ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน จำต้องกินสมุนไพรดำม่วงโดยเร็วที่สุด หากสมุนไพรดำม่วงไปถึงเมืองหลินอันอย่างราบรื่นแล้ว เราก็ต้องรีบกลับไปตั้งหม้อปรุงยาในคืนนี้ ให้ประชาชนได้ดื่มโดยเร็วที่สุด หากช้าไปกว่านี้ ประชาชนต้องล้มตายอีกไม่น้อยเป็นแน่” เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ” เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติย้อนกลับไปทางเดิม 


 


 


           ฉินอวี้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้ากลับไปกันก่อน ข้าจะลองค้นตัวศพเหล่านี้แล้วค่อยตามไปทีหลัง” พูดจบก็บอกเซี่ยอวิ๋นจี้ “เจ้าอุ้มนางอยู่ด้วย ระมัดระวังหน่อย” 


 


 


           “คนพวกนี้มีอันใดให้ค้นหา” เซี่ยอวิ๋นจี้หยาม 


 


 


           “บางทีบนตัวพวกเขาอาจมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่นคนพวกนี้มาจากภูเขาลับลูกไหน รวมถึงรายนามผู้อาวุโส ทั้งยังต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ทุกสิ่งล้วนไม่กระจ่าง ยังต้องรอการตรวจสอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่หนีรอดไปได้อีก ข้าคิดว่าการที่ปรมาจารย์ภูเขาลับก่อเหตุพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ไม่คล้ายกับเป็นฝีมือของภูเขาลับแค่ลูกเดียว น่าจะยังมีปีศาจอื่นอยู่เบื้องหลังอีกด้วยเป็นแน่” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “ก็จริง เช่นนั้นเจ้าก็ระวังระหว่างค้นตัวด้วยแล้วกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดจบก็เดินต่อ 


 


 


           “เจ้าระวังตัวด้วย เพราะปรมาจารย์สายลับฝึกฝนวิชามาตั้งแต่เด็กจึงป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ที่คนธรรมดาเข้าใกล้มิได้ หนึ่งเพราะพลังภายในของเขากดดัน สองเพราะมีพิษซ่อนอยู่ทั่วกาย” เหยียนเฉินเตือน 


 


 


           “ได้” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 


 


 


           เหยียนเฉินตามเซี่ยอวิ๋นจี้ออกไป ไม่นานก็เดินจากไปไกล  

 

 


ตอนที่ 94 ผลงานของฟางหวา

 

        ฉินอวี้ทำการค้นตัวบุรุษชุดดำที่ถูกสังหารหลังการสู้รบจบลงภายในช่องแคบรอบหนึ่ง ได้ป้ายคำสั่งสีดำและสมุดบันทึกสีดำกลับมา ส่วนของจำพวกยาพิษอื่นๆ มิได้เก็บกลับมาด้วย จากนั้นก็จุดไฟเผาศพทั้งหมด 


 


 


           หลังเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้ก็ใช้วิชาตัวเบาตามเซี่ยอวิ๋นจี้กับเหยียนเฉินไป 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวาออกจากช่องแคบ อุ้มเดินไปได้สิบลี้ จากนั้นก็ยัดเยียดนางให้เหยียนเฉินเป็นคนอุ้มต่อ “สลับกัน เจ้ามาอุ้มแทน” 


 


 


           “ข้ากับนางไม่ควรใกล้ชิดกันด้วย” เหยียนเฉินเลิกคิ้ว 


 


 


           “ประโยคนั้นแค่พูดให้ฉินอวี้ฟัง เจ้านำมาเปรียบเทียบทำไมกัน จะอุ้มหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา 


 


 


           เหยียนเฉินหลุดยิ้ม รับตัวเซี่ยฟางหวาไปอุ้มแทน 


 


 


           เขาเพิ่งอุ้มเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉินอวี้ก็ไล่ตามมาจากข้างหลัง 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เดินตัวปลิว หันไปเห็นว่าฉินอวี้ตามมาทันแล้วจึงเลิกคิ้ว “เร็วถึงเพียงนี้รัชทายาทก็จัดการเสร็จสิ้นแล้วหรือ” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า เห็นเหยียนเฉินอุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติก็ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           “ได้เบาะแสหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นจี้กอดไหล่เขา เอ่ยถามอย่างเป็นมิตร “หากมีของดีก็อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย พี่ชายเองก็อุตส่าห์ช่วยเหลือด้วย สังหารปีศาจนั้นตายไปก็เป็นคุณงามความดีข้าด้วยเช่นกัน” 


 


 


           ฉินอวี้ปัดมือเขาออก ก่อนยื่นสมุดบันทึกสีดำให้เขา 


 


 


           “นี่คืออะไร” เซี่ยอวิ๋นจี้รับมาแล้วเอ่ยถาม 


 


 


           “ข้ายังไม่ได้อ่าน” ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เปิดออก อาศัยมุกราตรีเพิ่มแสงสว่าง พบว่าข้างในเป็นเพียงกระดาษเปล่าขาวโพลน เขาแค่นหัวเราะขึ้น “นี่ไม่ใช่กระดาษเปล่าหรอกหรือ ไว้ใช้ทำสิ่งใด” 


 


 


           “ไม่แน่ว่าเป็นกระดาษเปล่า” เหยียนเฉินหันมามอง 


 


 


           “สิ่งที่ค้นเจอบนตัวปรมาจารย์ พกติดตัวตลอดเวลาเช่นนี้ จะเป็นแค่กระดาษเปล่าธรรมดาหรือ” 


 


 


ฉินอวี้กล่าว “ข้าไม่เชื่อ” 


 


 


           “ก็จริง” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ก่อนยึดเก็บเข้าอกเสื้อตนเองโดยพลการ “กลับไปข้าจะศึกษาดู” 


 


 


           ฉินอวี้แย้มยิ้ม มิได้ว่าอันใดที่เขานำไปเก็บไว้เอง 


 


 


           ทั้งสามกลับมาถึงเมืองหลินอันอย่างปลอดภัย 


 


 


           กลางดึก ในเมืองหลินอันจุดไฟสว่างโร่ ทุกหนแห่งมีแต่เสียงผู้คน ดูวุ่นวายอย่างยิ่ง 


 


 


           ทหารอารักขาเมืองเห็นว่าเป็นฉินอวี้ก็ตกใจครู่หนึ่ง ก่อนรีบเปิดประตูเมืองให้แล้วคุกเข่าถวายบังคม 


 


 


           “สมุนไพรดำม่วงมาถึงหรือยัง” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “ทูลองค์รัชทายาท สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ถูกส่งไปยังจวนผู้ว่าการแล้ว ท่านโหวเซี่ยออกคำสั่งประกาศทั่วเมืองว่าขอให้รอหน้าบ้านของตน เมื่อรัชทายาทกับคุณชายหมอเทวดากลับมาจะทำการปรุงยา เมื่อต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทหารจะนำไปแจกจ่ายให้ทีละครัวเรือน เพื่อมิให้ทุกคนแย่งกรูกัน สร้างความวุ่นวายขึ้นอีก” คนผู้นั้นรีบกล่าว “สมุนไพรดำม่วงมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากต้มตอนนี้ ก่อนยามอู่วันพรุ่งนี้ ประชาชนทุกคนในเมืองหลินอันก็จะได้ดื่มยารักษาโรคห่า วิกฤตการณ์ในเมืองก็จะคลี่คลายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “เช่นนี้ก็ดี” ฉินอวี้ดีใจ กล่าวกับเหยียนเฉินและเซี่ยอวิ๋นจี้ “ไปกันเถอะ เข้าข้างในกัน” 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           ทั้งสามเข้าไปในเมืองด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการ 


 


 


           บนถนนมีเหล่าประชาชนรออยู่ตลอดสองข้างทาง เมื่อเห็นฉินอวี้ต่างก็รีบคุกเข่า “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ตามหาสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยพวกเราได้” 


 


 


           ฉินอวี้ยกมือปราม ชี้ไปยังเซี่ยฟางหวาที่เหยียนเฉินกำลังอุ้มอยู่ “ผู้ที่หาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากได้มิใช่ข้า แต่เป็นคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว นางช่วยข้าไว้เช่นกัน เพราะการตามหาสมุนไพรดำม่วง ยามนี้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อทุกคนหายขาดจากโรคห่าแล้วค่อยมาขอบคุณนางเถอะ” 


 


 


           “ที่แท้เป็นคุณหนูฟางหวา” 


 


 


           “คุณหนูฟางหวาเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาโปรด” 


 


 


           “บุญคุณอันใหญ่หลวง เราทุกคนในเมืองหลินอันมิอาจลืมเลือน” 


 


 


           “ขอให้อาการบาดเจ็บของคุณหนูฟางหวาหายโดยเร็ววัน” 


 


 


           … 


 


 


           ทุกคนมองเห็นเซี่ยฟางหวาที่ถูกเหยียนเฉินอุ้มไว้ได้อย่างชัดเจน ต่างคนต่างกล่าวสรรเสริญ เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง 


 


 


           ถ้อยคำยกย่องสรรเสริญดังขึ้นตลอดทางไปจนถึงจวนผู้ว่าการ 


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินว่าฉินอวี้ เหยียนเฉิน เซี่ยอวิ๋นจี้ และเซี่ยฟางหวากลับมา ทั้งทราบว่าเซี่ยฟางหวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรีบออกมารอรับที่หน้าประตู 


 


 


           “พี่จื่อกุย” ฉินอวี้เห็นเซี่ยม่อหานก็ประสานมือคำนับเป็นการขอโทษ “ฟางหวาบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ” 


 


 


           เซี่ยม่อหานโล่งอก เห็นเซี่ยฟางหวาที่หมดสติในอ้อมอกเหยียนเฉินแล้วเช่นกัน รีบรับมาอุ้มเอาไว้เอง พลางกล่าวบอกเหยียนเฉิน “ประชาชนในเมืองกำลังรอเจ้าอยู่ พวกชูฉือ ชิงเหยียน และชิงเกอแม้มีวิชาแพทย์เบื้องต้น แต่กับโรคห่าระบาดนั้นล้วนไม่กล้าเขียนเทียบยาโดยพลการ” 


 


 


           “เข้าข้างในก่อน ข้าจะเขียนเทียบยาให้ฟางหวา อาการบาดเจ็บของนางแม้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง รีบดื่มยาโดยเร็วจะดีกว่า จะได้ห้ามเลือดที่หัวใจนาง” เหยียนเฉินบอก 


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า 


 


 


           ทุกคนพากันเข้าไปในห้องรับรอง 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป ทุกคนล้วนมีเบ้าตาแดงก่ำ รีบเข้ามาช่วยกางกระดาษและฝนหมึกให้ 


 


 


           เหยียนเฉินเขียนเทียบยาให้เซี่ยฟางหวาอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นให้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนำออกไป 


 


 


           เหยียนเฉินเขียนเทียบยารักษาโรคห่าอีกแผ่นหนึ่งส่งให้ฉินอวี้ 


 


 


           หลังฉินอวี้รับไปมองก็อ่านแวบหนึ่ง ก่อนส่งให้เซี่ยม่อหานแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าตรวจทานดู ไม่ขาดเหลือสมุนไพรชนิดอื่นแล้วใช่ไหม” 


 


 


           เซี่ยม่อหานรีบไปอ่านดูรอบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ขาดสมุนไพรอื่นแล้ว หลายวันก่อนเมื่อเหยียนเฉินศึกษาหายารักษาโรคห่าสำเร็จก็ได้บอกสมุนไพรชนิดอื่นที่สำคัญรองจากสมุนไพรดำม่วงกับข้า ข้าให้คนจัดเตรียมเอาไว้แล้ว ตอนนี้สมุนไพรที่เหลือถูกเก็บไว้ที่คลังเก็บของในศาลาว่าการ แค่ให้คนไปย้ายออกมาก็พอแล้ว” 


 


 


           “หลายวันนี้เจ้าต้องรักษาการเมืองหลินอันแทนคงเหนื่อยแย่แล้ว ข้าจะไปกำกับดูแลเร่งต้มยาด้วยตัวเอง เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ฉินอวี้ผงกศีรษะแล้วกล่าวบอกเซี่ยม่อหาน 


 


 


           “แม้สมุนไพรดำม่วงมาถึงแล้วก็ยังเกียจคร้านมิได้ จนกว่าประชาชนที่ติดโรคห่าในเมืองจะได้รับการรักษาแล้วถึงสบายใจได้อย่างแท้จริง หากมีคนฉวยโอกาสที่กำลังต้มยารักษาก่อเหตุขึ้นอีก หากเกิดอะไรขึ้น ที่ทำมาก็สูญเปล่า ข้าจะไปดูแลกำกับกับท่านด้วย” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า 


 


 


           “ตอนเดินทางกลับ ข้าได้ยินพี่อวิ๋นจี้บอกว่าเจ้าก็ติดโรคห่าแล้วด้วย ร่างกายเจ้ารับไหวหรือ” ฉินอวี้เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายย่ำแย่มาก 


 


 


           “ไหว รัชทายาทวางใจเถิด” เซี่ยม่อหานตอบ 


 


 


           “เช่นนั้นก็ได้ เรารีบไปกันเถอะ ตั้งแต่วางหม้อ ต้มยา กระทั่งนำออกไปแจกจ่าย ทุกขั้นตอนจำต้องมีคนจับตามอง” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “มิผิด ต้องเป็นคนของเราเท่านั้นด้วย ขุนนางในเมืองหลินอันมีคนเป็นสายสอดแนมให้ผู้อยู่เบื้องหลัง ตอนสมุนไพรดำม่วงมาถึง ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่า หนึ่งในขุนนางที่ถูกท่านหญิงเหลียนขังไว้ที่โถงประชุมเสียชีวิตด้วยโรคห่ากำเริบ สรุปได้ว่าพวกขุนนางใช้งานมิได้ อย่าใช้งานเลยจะดีกว่า” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           “หลังคลี่คลายโรคห่าระบาดได้แล้ว ขุนนางทั้งหมดในเมืองหลินอันจำต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด และอบรมสั่งสอนวิถีขุนนางใหม่” ฉินอวี้หรี่ตาลง 


 


 


           “หากไม่ใช่ว่าผู้ว่าการเมืองหลินอันจงใจปิดบังก่อนหน้านี้ หากเราทราบข่าวได้ทันกาล เตรียมการป้องกันรับมือแต่เนิ่นๆ เมืองหลินอันคงไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ ครั้งนี้ในเมื่อองค์รัชทายาทอยู่ที่หลินอันแล้ว เพื่อให้ขุนนางมีมาตรฐานกฎเกณฑ์เดียวกัน จำต้องอบรมสั่งสอนใหม่” เซี่ยม่อหานพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้ผงกศีรษะ หันกลับไปมองพวกซื่อฮว่าที่ยืนล้อมเตียงเซี่ยฟางหวาอยู่พร้อมเอ่ยกำชับ “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ อย่าออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว ดูแลนางให้ดี อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด” 


 


 


           “รัชทายาทวางพระทัยเถิด พวกหม่อมฉันย่อมต้องดูแลคุณหนูให้ดีแน่นอน มิกล้าถอยห่างไปไหนแม้แต่ครึ่งก้าวอีกแล้ว” พวกซื่อม่อรีบกล่าว 


 


 


           ฉินอวี้ผงกศีรษะ เอ่ยบอกเซี่ยม่อหาน “ไปกันเถอะ รีบออกไปดีกว่า” 


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วมองไปยังเหยียนเฉิน เขาผงกศีรษะรับ ทั้งสามออกไปจากห้องรับรองด้วยกัน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มิได้ตามออกไปด้วย เขามิได้สนใจเรื่องการตั้งหม้อ ต้มยา นำไปแจกจ่าย หรือรักษาโรคห่าอันใดทั้งนั้น สิ่งที่เขาสนใจคือสมุนบันทึกสีดำที่นำมาจากฉินอวี้ต่างหาก 


 


 


           เขารอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงหยิบสมุดบันทึกสีดำเล่มนั้นออกมา จากนั้นก็นั่งลงหน้าโต๊ะ หยิบตะเกียงมาส่อง มองอยู่เป็นนานก็มิได้ความ จึงสั่งงานซื่อม่อ “ไปนำตะเกียงมาเพิ่มหน่อย” 


 


 


           ซื่อม่อขานรับ ก่อนไปหยิบตะเกียงมาเพิ่ม 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้วางตะเกียงขนาบทั้งซ้ายขวา แสงสว่างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เขาเปิดสมุดสีดำพลิกมองอีกครั้ง 


 


 


           มองอยู่นานก็ยังมองไม่ออก ทราบเพียงหน้าปกเป็นหนังวัวสีดำ ข้างในเป็นกระดาษฟางสีขาวเหลือง 


 


 


           เขาวางสมุดลงด้วยความท้อแท้ กวักมือเรียกพวกซื่อม่อมา “มานี่ซิ พวกเจ้าช่วยข้าดูหน่อยว่าสมุดสีดำเล่มนี้มีความลับอันใด” 


 


 


           พวกซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็เดินมาหา หยิบขึ้นมาพินิจดู 


 


 


           มองอยู่เนิ่นนาน ซื่อม่อก็ส่ายหน้า 


 


 


           ผิ่นจุ๋ลูบเนื้อกระดาษฟาง เอ่ยขึ้นด้วยความฉงน “นี่มิคล้ายกระดาษฟาง คล้ายกับ…” 


 


 


           “คล้ายสิ่งใด” เซี่ยอวิ๋นจี้จ้องนางแล้วเอ่ยถาม 


 


 


           “คล้ายหนังมนุษย์” ผิ่นจู๋กระซิบบอก 


 


 


           “อะไรนะ” เซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นเสียงสูงพลางมองผิ่นจู๋ 


 


 


           “คุณชายอวิ๋นจี้ ท่านคงทราบว่าบ่าวเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม ดังนั้นเพื่อประดิษฐ์หน้ากากอันสมบูรณ์แบบแล้ว จำต้องศึกษาวัสดุในการแปลงโฉมทุกชนิดอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัสดุที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทำหน้ากากแปลงโฉมก็คือหนังมนุษย์ เพราะทั้งบางและสวมใส่ง่าย เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง” ผิ่นจู๋รีบกล่าว 


 


 


           “เจ้าบอกว่า…นี่คือหนังมนุษย์” เซี่ยอวิ๋นจี้ใช้ปลายนิ้วคีบกระดาษขาวที่เริ่มเหลืองพร้อมเลิกคิ้วถาม 


 


 


           “น่าจะทำจากเศษฟางผสมกับหนังมนุษย์เจ้าค่ะ ดังนั้นเนื้อกระดาษแบบนี้เมื่อลูบดูแล้วจึงมิได้หยาบเหมือนกระดาษฟางขนาดนั้น ค่อนข้างเหนียวและทนทาน” ผิ่นจู๋กล่าว 


 


 


           “จริงด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ลองลูบดู 


 


 


           พวกซื่อม่อก็ยื่นมือมาสัมผัสดูเช่นกัน 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองไปยังผิ่นจู๋อีกครั้ง แสดงท่าทางราวกับค้นพบเรื่องน่าสนุก เอ่ยขึ้นด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าลองดูอีกครั้ง ยังพบสิ่งใดอีกบ้าง พอจะทราบหรือไม่ว่าข้างในนี้ซ่อนความลับใดไว้” 


 


 


           ผิ่นจู๋พยักหน้า หยิบสมุดสีดำขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง เนิ่นนานก็ส่ายศีรษะ “บ่าวมองสิ่งอื่นไม่ออกแล้ว แต่ในเมื่ออุตส่าห์ใช้เวลาประดิษฐ์กระดาษอันประณีตเช่นนี้ขึ้นมา ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” 


 


 


           “มองไม่ออกแล้วจริงหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง 


 


 


           “มองไม่ออกแล้วเจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋ส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ท้อใจ 


 


 


           ผิ่นจู๋ครุ่นคิดก่อนหันไปมองที่เตียงแวบหนึ่ง เซี่ยฟางหวายังคงมิได้สติ นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “วิชาแปลงโฉมของคุณหนูยอดเยี่ยมกว่าบ่าวมาก หากคุณหนูฟื้นแล้วเห็นสมุดเล่มนี้ ไม่แน่ว่าอาจมองอันใดออกบ้างก็เป็นได้ คุณชายอวิ๋นจี้รอคุณหนูฟื้นมาแล้วค่อยดูกันใหม่ดีกว่า” 


 


 


           “ก็ดีเหมือนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ก่อนเก็บสมุดกลับเข้าอกเสื้อ 


 


 


           เวลานี้ ซื่อฮว่ากับซื่อหว่านก็ต้มยาเสร็จแล้วและยกเข้ามาในห้อง 


 


 


           พวกซื่อม่อกับผิ่นจู๋มารวมตัวกันที่หน้าเตียง คนหนึ่งประคองเซี่ยฟางหวาขึ้น คนหนึ่งถือถ้วยยาค้างไว้ คนหนึ่งใช้ช้อนตักยาป้อนให้นาง  

 

 


ตอนที่ 95-1 ความปรองดองของฉินเซี่ย

 

        หลังเซี่ยฟางหวาดื่มยาแล้วก็ยังมิได้สติดังเดิม 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เฝ้าที่ห้องนางร่วมหนึ่งชั่วยาม เห็นว่านางยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วจึงไม่อยู่รออีกต่อไป เดินออกมาจากห้อง กลับไปนอนในห้องที่เซี่ยม่อหานจัดเตรียมไว้ให้ตนก่อนหน้านี้ 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมิกล้าห่างกายเซี่ยฟางหวา อยู่เฝ้านางตลอดเวลา 


 


 


           ภายในจวนผู้ว่าการ ฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานกำกับดูแลตั้งแต่ขั้นตอนตั้งหม้อและการต้มยา เหยียนเฉินคอยคุมระดับความร้อนของไฟขณะต้มยา ส่วนชูฉือกับทิงเหยียนนำผู้คุ้มกันและทหารไปแจกจ่ายยาที่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ประชาชนในแต่ละครัวเรือน 


 


 


           การป้องกันรอบเมืองหลินอันยังเข้มงวดดังเดิม ภายในเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ไร้ซึ่งเหตุวุ่นวาย 


 


 


           เมื่อฟ้าสว่าง ประชาชนในเมืองก็ได้ดื่มยารักษาโรคห่าแล้วครึ่งหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้หลับไปตื่นหนึ่ง แม้ไม่กี่ชั่วยามแต่ก็ขับไล่รอยคล้ำใต้ดวงตาได้ ดูมีชีวิตชีวาเต็มที่ หลังเขาตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาอย่างเกียจคร้านแล้วก็เดินออกจากห้องมาที่สนาม พบว่าทั้งฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานต่างดูเหนื่อยล้า แต่เนื่องจากฉินอวี้มีพื้นฐานร่างกายดี ดังนั้นจึงแข็งแรงกว่าเซี่ยม่อหาน ย่อมอดทนต่อความทรมานได้ เขาจึงโบกมือไล่เซี่ยม่อหาน “เจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะดูแลกำกับแทนเอง” 


 


 


           “จื่อกุยกลับไปพักผ่อนเถอะ หากฟางหวาฟื้นมาเห็นเจ้าในสภาพนี้คงเป็นห่วงแย่” ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยเร่งด้วย 


 


 


           “ท่านโหวรีบไปพักผ่อนเถอะ” ทิงเหยียนเองก็โน้มน้าวเช่นกัน “สุขภาพท่านสำคัญที่สุด หลังวิกฤตในเมืองหลินอันคลี่คลายแล้ว ท่านมิใช่ว่ายังต้องเดินทางไปพรมแดนม่อเป่ยอีกหรือ หากไม่พักผผ่อนจะทนไหวได้อย่างไร” 


 


 


           “ก็จริง” เซี่ยม่อหานไม่ฝืนต่อไป ลุกขึ้นบอกกับเซี่ยอวิ๋นจี้ “เช่นนั้นรบกวนอวิ๋นจี้แล้ว” 


 


 


           “พูดได้ดี” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือไล่ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


           เซี่ยม่อหานมิได้รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง หากแต่ไปที่ห้องของเซี่ยฟางหวาก่อน 


 


 


           “ฟางหวายังไม่ฟื้นอีกหรือ” ฉินอวี้เอ่ยถามคนข้างกาย 


 


 


           “กระหม่อมจับตามองการเคลื่อนไหวภายในห้องคุณหนูฟางหวาตลอดเวลา ยังมิได้ยินว่าฟื้นขึ้นมาแล้ว น่าจะยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ หากคุณหนูฟางหวาฟื้นแล้ว จะมีคนรีบมารายงานฝ่าบาท” คนข้างกายส่ายหน้า  


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “เจ้าเป็นห่วงฟางหวาขนาดนี้ทำไมกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พลันหันไปมองฉินอวี้ 


 


 


           “ฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากเจอ คลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ถือว่าเป็นขุนนางที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้บ้านเมืองหนานฉิน เรียกได้ว่าเป็นคุณงามความดียิ่งใหญ่ มิฉะนั้นบางทีเมืองหลินอันแห่งนี้อาจกลายเป็นเมืองร้าง ผลลัพธ์ไม่อาจจินตนาการได้ เจ้าว่าข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท ควรเป็นห่วงนางหรือไม่” ฉินอวี้หันไปมองเขาเช่นกัน  


 


 


           “วาจาของรัชทายาทมีเหตุผลน่ายกย่อง แต่ถ้อยคำแบบนี้เก็บไว้พูดกับคนอื่นดีกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดกับข้าหรอก ข้าไม่เชื่อ เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ามิได้เห็นแก่ตัวเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้หรี่ตาลง  


 


 


           “ข้าเลื่อมใสฟางหวามิใช่แค่วันสองวันแล้ว มิได้ปิดบังผู้ใด” ฉินอวี้ยิ้มบาง มิได้ปฏิเสธเช่นกัน 


 


 


           “ตอนนี้นางเป็นสตรีที่ถูกหย่าร้าง องค์รัชทายาทมีฐานะสูงศักดิ์ ในเมื่อเป็นถึงรัชทายาทของบ้านเมือง เช่นนั้นก็น่าจะทราบว่าไม่ควรเป็นห่วงนางเกินหน้าเกินตา เรื่องขุนนางสร้างคุณูปการแก่บ้านเมืองก็อีกเรื่อง เรื่องอื่นควรแยกแยะให้ชัดเจน” เซี่ยอวิ๋นจี้เลิกคิ้ว  


 


 


           “แม้เป็นเรื่องขุนนางสร้างคุณูปการแก่บ้านเมืองก็จริง แต่เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเกินไป” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           “องค์รัชทายาทกำลังบอกข้าว่า ความจริงแล้วเจ้ามิได้มีเจตนาดีต่อน้องสาวข้าหรือ เจ้าอย่าลืมว่าตนเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว คุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับเจ้าได้รับสมรสพระราชทานร่วมกัน เสนาบดีฝ่ายขวาเป็นขุนนางอาวุโส วางมาดบริสุทธิ์น่าศรัทธาเสมอมา มีลูกศิษย์กระจายทั่วใต้หล้า ทั้งมีบทบาทสำคัญ มีหรือรับพระราชโองการแล้วแต่ฝ่าฝืนมิกล้าแต่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ  


 


 


           “นี่มิใช่เรื่องที่พี่อวิ๋นจี้ต้องกังวล เสนาบดีฝ่ายขวาเข้าใจทุกอย่างดี เขารู้เจตนาของข้ามาตั้งแต่ต้น” ฉินอวี้กล่าว “ข้าย่อมมีวิธีทำให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่มีปัญหา และมีวิธีทำให้บรรดาลูกศิษย์ไม่มีปัญหาเช่นกัน” 


 


 


           “ดูท่าเจ้าคงวางแผนไว้ก่อนแล้ว ไม่สนใจว่าฟางหวาจะถูกหย่าร้างหรือไม่ ไม่สนใจว่าตัวเจ้าเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว หรือว่าไม่สนใจชื่อเสียงร้อยปี การถูกจารึกชื่อในบันทึกประวัติศาสตร์พันปีด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้จุปาก  


 


 


           “ไม่สน ข้าไม่เหมือนกับเสด็จพ่อ ชื่อเสียงพันปีนั้นไม่สำคัญกับข้าเช่นเดียวกัน สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงบ้านเมืองในการปกครองของข้าสงบสุข มีคนรู้ใจรักใคร่ปรองดองกันข้างกาย” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ  


 


 


           “แล้วฟางหวาเล่า หัวใจนางล่ะ” เซี่ยอวิ๋นจี้คลี่ยิ้มเย็น “อย่าบอกว่าข้าว่านางก็มีใจให้เจ้าด้วย” 


 


 


           “ก่อนหน้านี้นางได้ตกลงแล้ว” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “อะไรนะ” เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ ผุดลุกขึ้นยืนพลางมองเขา “ข้ามิได้ฟังผิดกระมัง นางตอบตกลงแล้ว เมื่อไรกัน ไฉนข้าถึงไม่ทราบ” 


 


 


           “เมื่อวันก่อน เจ้าย่อมมิทราบ” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้ แย้มยิ้มบางกล่าว “พี่อวิ๋นจี้ แม้เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของนาง แต่ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายเกินเหตุ จื่อกุยเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง หากรู้ว่านางตอบตกลงคงไม่สอดปากสอดคำ” 


 


 


           “นางรับปากอันใดกับเจ้า เหตุใดถึงตอบตกลง” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง 


 


 


           “นางรับปากว่าขอเพียงคลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันแล้ว ข้าถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้ นางก็จะยอมรับการสู่ขอจากข้า มาเป็นชายาของข้า เป็นฮองเฮาในอนาคต” ฉินอวี้กล่าว “ส่วนเพราะเหตุใด สองวันนี้เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ความรู้สึกเพิ่มพูนมากขึ้น อีกอย่างในใจนางมีบ้านเมือง ข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท ด้วยเหตุนี้แล้วเมื่อมีเจตนาตรงกัน มีใจเพื่อบ้านเมืองและการปกครอง ทำให้หนานฉินเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ทำให้ราชวงศ์กับตระกูลเซี่ยยุติความบางหมาง ฉินเซี่ยปรองดองกัน” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตกตะลึง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


           “พี่อวิ๋นจี้ดูไม่เชื่อ” ฉินอวี้ยิ้มบาง 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยืนนิ่งพักหนึ่ง ก่อนหย่อนกายนั่งเชื่องช้า แค่นหัวเราะขึ้น “เจ้าสู่ขอนาง สิ่งที่เหนี่ยวรั้งพวกเจ้าคือหัวใจดวงเดียวกันหรือความปรองดองของฉินเซี่ยกันแน่” 


 


 


           “แล้วต่างกันอย่างไร” ฉินอวี้ยิ้มกล่าว “เมื่อก่อน นางรังเกียจข้า ขยะแขยงข้า ทั้งหมดเพียงเพราะตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยไม่ลงรอยกัน ตระกูลฉินวางแผนการเบื้องหน้า แต่ตระกูลเซี่ยก็ไม่เคยยอมอยู่ข้างหลัง หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลฉินเหนื่อย ตระกูลเซี่ยก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ข้ามีฐานะเป็นผู้สืบทอดในราชวงศ์ เป็นเสาหลักของตระกูลฉิน ฟางหวาเป็นบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว นางรักและอยากปกป้องท่านปู่ พี่ชาย และคนในครอบครัว ไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยต้องสลายกลายเป็นเม็ดทรายไปตามกาลเวลา เราจึงเกี่ยวดองเป็นสามีภรรยากัน มีหรือจะทำมิได้” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา 


 


 


           “พี่อวิ๋นจี้เป็นโอรสของฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮา เดือนก่อนข้าได้รับข่าวว่า เจ้ากลับไปยังเมืองหลวงเป่ยฉีและทำการยืนยันฐานะตนเองที่กำแพงวังหลวง เนื่องด้วยเจ้ามีหน้าตาละม้ายคล้ายกับฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮาทุกส่วน ดังนั้นขุนนางเป่ยฉีจึงให้การยอมรับฐานะของเจ้าอย่างดีเช่นกัน อีกทั้งถ้อยคำน่าคับแค้นใจว่าตำหนักกลางไร้โอรสธิดาที่มีมาตลอดหลายปีก็จางหายไปด้วย หลายปีมานี้ฮองเฮาอบรมสร้างอำนาจของตนเองในเป่ยฉี ฮ่องเต้และฮองเฮาเป่ยฉีมีใจรวมเป็นหนึ่งหลายปี จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาทแห่งเป่ยฉี หากเจ้าเป็นรัชทายาทคงได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้เป่ยฉี ฮองเฮา และขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักง่ายดายอย่างยิ่ง ตระกูลอวี้แม้เดือดดาลนึกก้าวก่าย แต่ก็คงมิได้ลำบากนัก” ฉินอวี้มองเขา  


 


 


           “ข้าจึงไม่อยากเป็นรัชทายาทอันใดนั่น ข้าแค่อยากดื่มด่ำความสุข ชมโฉมสะคราญ ทัศนาจรทั่วใต้หล้า มีอิสระไร้กฎเกณฑ์ ใครจะอยากเอาแต่อ่านฎีกาบ้าๆ นั่นทุกวันกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้เอ่ยขัด  


 


 


           “ต่างคนต่างปณิธาน” ฉินอวี้หลุดยิ้ม 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา 


 


 


           “แม้พี่อวิ๋นจี้ไม่ต้องการตำแหน่งนั้น ทว่าตระกูลอวี้กับฉีเหยียนชิงคงไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ที่ผ่านมาเป่ยฉีมีองค์ชายเพียงคนเดียว ในสายตาของคนตระกูลอวี้กับเขา ราชบัลลังก์ต้องเป็นของเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้จู่ๆ เจ้าก็โผล่ออกมา ทั้งยังเป็นทายาทแท้ๆ ของฮ่องเต้กับฮองเฮา อีกอย่างเจ้าก็กลับไปยืนยันฐานะตนเองที่เป่ยฉีแล้ว ดังนั้นถึงแม้เจ้าอยากมีอิสระ แต่เกรงว่าคงทำมิได้เช่นกัน” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           “มิได้แล้วอย่างไร ภายภาคหน้าอย่างมากข้าก็แค่ติดตามน้องฟางหวา นางอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ที่นั่น ด้วยความสามารถของนาง ใครจะกล้าทำอันใดข้า” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวอย่างเกียจคร้าน  


 


 


           “ก็จริง ด้วยความสามารถของนาง ย่อมไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้” ฉินอวี้ยิ้มขำ 


 


 


           “อย่าพูดจาเหลวไหลเลย จนกว่าเจ้าจะได้แต่งกับนางกลายมาเป็นน้องเขยของข้าจริงๆ ค่อยว่ากัน แม้ข้าไม่ชอบท่าทางไม่เอาจริงเอาจัง อวดดีไม่สนใจใครของฉินเจิง แต่ข้าก็คร้านจะมองใบหน้าจิ้งจอกปลิ้นปล้อนที่แสร้งอ่อนโยนละมุนละม่อมของเจ้าเช่นนี้ หากเจ้ามิได้นำสิ่งใดมาขู่บังคับนาง หรือพวกเจ้ามิได้มีข้อตกลงร่วมกัน ทำให้นางออกเรือนกับเจ้า ถึงตีจนตายข้าก็ไม่เชื่อ ฟางหวามักทำทุกสิ่งโดยมีขอบเขต สิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำมิได้ มีขอบเขตในใจเสมอมา” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือปัด  


 


 


           ฉินอวี้อมยิ้มแล้วพยักหน้า มิได้โต้กลับเช่นกัน “ใช่แล้ว นางมิใช่สตรีธรรมดา ดังนั้นเรื่องความรักดั่งสายลมดุจเมฆา” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “อีกอย่าง สิ่งที่ข้าปรารถนามีไม่มาก นางให้ได้แค่เล็กน้อยก็พอใจแล้ว” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้หมดคำจะกล่าว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม