ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 90.1-91.2

ตอนที่ 90-1 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอาย...

 

อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นตึกตัก รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่ชูซย่าที่ยืนอยู่อีกด้านกลับหันไปเอ็ดเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


“โง่จริง! คนที่มาหาคุณหนูกับคุณชายเราในตอนกลางคืน จะเป็นคนดีได้อย่างไร ไม่ขวางก็แล้วกันไป แต่ยังจะมาชวนให้ออกไปอีกนี่สิ มันใช่เรื่องที่ไหน! ถ้านายท่านเห็น ต้องแย่แน่ๆ!”


 


 


“ไม่เห็นหรอกหน่า” เมี่ยวเอ๋อร์ขวัญกล้าเทียมฟ้า หัวเราะคิกคัก “ไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน ปลอดภัยหายห่วง! คุณหนูใหญ่ก็รู้จัก” ว่าแล้วก็หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“บ่าวเห็นว่าในวันเทศกาลเช่นนี้ ข้างนอกคึกคักดี ถ้าคุณหนูใหญ่กับคุณชายไม่ออกไปสนุกสนานหน่อย ก็เสียดายแย่ ถึงได้มาถามดู ถ้าคุณหนูใหญ่ไม่อยากไป บ่าวก็จะไล่พวกเขาไปเดี๋ยวนี้”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งสนที่ไหนว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคือใคร พอได้ยินก็กระฉับกระเฉงขึ้นทันที จับมือพี่สาวแกว่งไปมา


 


 


“ท่านพี่ หน่าท่านพี่ ท่านดูสิ หมู่นี้ข้าขยันเรียนหนังสือหรือไม่ แป๊ปเดียวเอง หน่านะ”


 


 


ท่าทางวอแวเว้าวอนน่ารักเหมือนเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น สายตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความหวัง แม้เหตุและผลจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ทำให้คนปวดใจได้


 


 


ชูซย่ารู้ว่า คุณหนูใหญ่ในตอนนี้เห็นคุณชายเป็นดั่งเทวดาตัวน้อยก็มิปาน ไม่ว่าคุณชายชอบอะไร ต่อให้เป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ก็ต้องสอยลงมาให้ พอคุณชายอ้อนเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ย่อมตกปากรับคำ


 


 


และแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงเสื้อของน้องชายให้เข้าที่ แล้วหันไปกำชับสาวใช้คนสนิท


 


 


“ชูซย่า เจ้าเฝ้าห้องให้ข้าหน่อย ตามปกติแล้ว ค่ำคืนแบบนี้ไม่มีใครมาหาข้าหรอก แต่ถ้ามี เจ้าก็ต้องขวางเอาไว้”


 


 


ชูซย่าพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร จึงไม่ถามมากความอีก เพียงเตือนสติเสียงต่ำ


 


 


“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่กับคุณชายรีบกลับมาก็แล้วกัน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า จากนั้นก็ดึงมือน้องชายเดินตามเมี่ยวเอ๋อร์จนมาถึงประตูข้าง


 


 


เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว พอพระอาทิตย์ตกดิน ฟ้าก็มืดค่ำลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งตอนนี้เลยเวลาอาหารเย็นแล้ว ปากซอยนอกประตูข้างที่ทั้งเงียบทั้งเย็นอยู่เป็นทุนเดิม ก็ยิ่งมืดตึ๊ดตื๋อเข้าไปอีก ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย คนเฝ้าประตูเพียงคนเดียวจึงถูกเมี่ยวเอ๋อร์ไล่ไปแต่แรก


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ปิดประตู แล้วเดินย่องตามคุณหนูกับคุณชายไปที่ปากซอย


 


 


รถม้าไม้หอมหลังคาสีม่วงดูดีมีระดับสองคัน ม่านประตูผ้าไหมประดับมุกระย้า สารถีที่นั่งอยู่ด้านหน้าสวมชุดรัดกุมเรียบร้อย ม้าแต่ละตัวเป็นม้าโตเต็มวัยสีน้ำตาลเข้ม กำลังจอดเรียงกันหน้าหลัง รอแขกคนสวยอยู่อย่างสงบนิ่ง


 


 


ซือเหยาอันยืนอยู่หน้าปากซอย ทำความเคารพมาแต่ไกล เขาไม่พูดอะไรมาก เพียงผายมือไปที่รถม้าคันหน้า แล้วเลิกม่านประตูขึ้น


 


 


“คุณหนูอวิ๋นกับคุณชายอวิ๋นนั่งรถม้าคันหน้าขอรับ”


 


 


ม่านหน้าต่างรถม้ามิได้ม้วนขึ้น แต่ก็เห็นเงาคน คลับคล้ายมีคนนั่งอยู่ด้านใน


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งที่เดิมทีรีบร้อนแทบไม่ทัน จึงหยุดชะงัก หันมากระซิบ “พี่ใหญ่ ใครน่ะ”


 


 


เมื่อครู่กลัวแต่ว่าจะไม่ได้เที่ยว จึงไม่สนใจอะไร แต่ตอนนี้กลับได้สติ ค่อยหันมาถาม อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้ที สอนไปตามน้ำ


 


 


“ตอนนี้ถามไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจอพวกมิจฉาชีพ เจ้าก็ถูกจับขายแล้ว ร้องไห้ไม่ทันด้วยซ้ำ”


 


 


แล้วจึงบอกให้อวิ๋นจิ่นจ้งขึ้นรถไปก่อน ตนค่อยขึ้นตาม ส่วนซือเหยาอันกับเมี่ยวเอ๋อร์ขึ้นรถคันหลัง แล้วรถม้าทั้งสองคันค่อยวิ่งตามกันไป


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงคิดอยู่แล้วว่า คืนนี้ต้องมีน้องชายนางมาอีกคน รถม้าที่เตรียมไว้จึงกว้างเป็นพิเศษ


 


 


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามุดศีรษะเข้ามา เขาสวมเสื้อสองชั้นทอลายดอกสน สร้อยคอกับเครื่องประดับตรงหน้าอก บ่งบอกว่าเป็นลูกคนใหญ่คนโต ผิวขาวแลดูสะอาดสะอ้าน


 


 


พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น นางก็ตามเข้ามา ผงกศีรษะให้เขาพอเป็นพิธี “ท่านสาม” แล้วจึงหันบอกน้องชาย


 


 


“จิ้นจ้ง ท่านนี้คือท่านสาม”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งแม้ยังอายุน้อย แต่มีเพื่อนเรียนที่เป็นลูกท่านหลานเธออยู่ไม่น้อย พอเห็นพี่สาวมีท่าทีกับผู้ที่นั่งตรงหน้าเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าสถานะของชายผู้นี้ต้องไม่ต่ำต้อยแน่ จึงผงกศีรษะและเรียกตามพี่สาว


 


 


“ท่านสาม”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคาดว่า จากนิสัยตามปกติของเขา อย่างมากก็แค่ขานรับคำเดียว คิดไม่ถึงว่าภายใต้แสงไฟสลัวๆ ในรถ คิ้วเข้มของชายหนุ่มจะนิ่ง ก่อนปรายตาสวยไปด้านข้าง


 


 


“อืม นั่งสิ” ในดวงตามีรอยยิ้ม


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นชายหนุ่มสวมชุดพอดีตัว เอวแคบแขนแคบ คลุมผ้าคลุมแคชเมียร์สีเขียวเข้มกุ้นขอบทอง สวมแหวนหยกปานจื่อที่นิ้วมือ แม้นั่งไม่ขยับ แต่ตัวตรงหลังตรง ดูแล้วรูปร่างค่อนข้างสูง


 


 


ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อนั่งอยู่ในที่แคบๆ มักทำให้ผู้ที่นั่งด้วยรู้สึกกดดัน บวกกับท่าทีเย็นชาเฉยเมยของชายหนุ่ม ที่ไม่เหมือนผู้ซึ่งเข้าถึงได้ง่าย ทำให้อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่พอเห็นเขามีสีหน้าเป็นกันเอง แถมยังยิ้มให้ตน ค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง เด็กหนุ่มจึงไม่เกรงใจอีก นั่งลงข้างๆ ซย่าโหวซื่อถิง แต่นั่งไม่สุก รถยังไม่ทันวิ่งก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองไปทั่ว


 


 


“จิ้นจ้ง อย่าเสียมารยาท” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไปเช่นนั้นเอง มิได้ห้ามปราม เห็นชัดว่าตามใจน้อง


 


 


นางก้าวเข้ามานั่งลงข้างๆ น้อง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ชายผู้นี้วันนี้เป็นอะไรไป เปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ แปลก ไม่เคยเห็นเขายิ้มให้ตนอย่างเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อน แต่กลับยิ้มให้เด็กหนุ่มซนๆ เมื่อแรกพบ ยิ้มนั่น ยัง…เปี่ยมความเอ็นดูอีกต่างหาก


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงก็นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาแอบหยิกแก้มตัวเองในความมืด เพื่อไม่ให้ใบหน้าเป็นตะคริว และพอเห็นน้องชายนางเข้ามา หัวก็งงไปชั่วขณะ คิดแต่ว่าเด็กตัวเล็กๆ นี่เป็นน้องชายนาง และเด็กกำลังโต ถ้าตนทำหน้าเย็นชาใส่ เด็กอาจตกใจได้ ซึ่งไม่ค่อยจะสู้ดี จึงแย้มยิ้มออกมา


 


 


และตอนนี้ รถม้าก็ออกตัว วิ่งไปตามท้องถนน


 


 


ขณะวิ่ง สายลมในยามค่ำคืนพัดม่านหน้าต่างรถปลิวพึ่บพั่บ พอเข้าสู่ถนนสายหลัก แสงไฟก็สว่างไสว พร้อมเสียงอึกทึกครึกโครม


 


 


เศรษฐกิจของเยี่ยจิงอยู่ในช่วงขาขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงปิดทำการดึกกว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งยังมีร้านรวงที่ได้รับอนุญาตให้เปิดตลอดทั้งคืน จากฟ้ามืดยันฟ้าสว่างของวันรุ่งขึ้น ยิ่งวันนี้เป็นวันย่างเข้าฤดูหนาว ซึ่งปีหนึ่งๆ มีเพียงครั้งเดียว คนในเมืองจึงออกมาเฉลิมฉลองกัน มองไปทางไหนก็มีแต่ความคึกคัก


 


 


เสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนเรียกให้ซื้อของตามท้องถนน เสียงเสี่ยวเอ้อขานรับเมื่อวางอาหารลงในเหลาสุรา เสียงเรียกให้เก็บเงินในร้านน้ำชา ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ความมีชีวิตชีวาดุจคลื่นถาโถมเข้าทางหน้าต่างรถระลอกแล้วระลอกเล่า อวิ๋นจิ่นจ้งไม่เคยออกนอกบ้านท่องราตรีมาก่อน แค่เห็นบรรยากาศสนุกสนานเช่นนี้ก็ตื่นเต้นไม่หยุด ขยับตัวยุกยิกไปมาขณะนั่งอยู่ระหว่างคนทั้งสอง บางครั้งก็จับหน้าต่างแล้วชะโงกออกไปดู


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าน้องจะจับไข้เพราะลมหนาว จึงพยายามดึงให้กลับมานั่งดีๆ แต่ไม่เป็นผล จึงปล่อยให้น้องเกาะหน้าต่างชมแสงสีไป ขณะจะหันตัวให้ตรง มือที่ยันเก้าอี้ ก็ถูกอะไรอุ่นๆ กุมเอาไว้


 


 


ฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งใหญ่ทั้งหยาบ ขณะอ้อมผ่านแผ่นหลังอวิ๋นจิ่นจ้ง แนบผนังรถมาตามช่อง จึงดูคล้ายงูหลาม ที่พลันมาจับมือนางในความมืด


 


 


มือนางเย็นยะเยือก ไม่มีความร้อนสักนิด ซย่าโหวซื่อถิงจึงชะงัก และเอ่ยปากทันที


 


 


“ไม่หนาวหรือ มือเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว”


 


 


นางรีบร้อนออกจากบ้าน จนลืมหยิบเสื้อคลุม เพียงสวมเสื้อซับในเนื้อหนาพอดีตัวสีเหลืองน้ำผึ้งขอบเงิน ทับด้วยเสื้อกั๊กยาวสีกุหลาบ กับกระโปรงจีบผ้าฝ้ายสีชมพู นี่มันชุดอยู่บ้านชัดๆ


 


 


เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ กุลสตรีสวมชุดบางเบา ไหนเลยจะทนความเย็นของค่ำคืนฤดูหนาวได้


 


 


พอจับถูกมือนาง ก็เป็นอย่างที่คิด เย็นจับใจ 

 

 


ตอนที่ 90-2 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอาย...

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นมนุษย์เลือดเย็น ตลอดสี่ฤดูในหนึ่งปี ไม่ค่อยเป็นไข้ตัวร้อน ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวมือก็มักจะเย็น เป็นเช่นนี้มาแต่เด็ก ตอนมารดานางยังมีชีวิตอยู่ ยังเคยให้หมอหญิงมาตรวจชีพจรนางดู แต่หมอกลับบอกว่า ไม่มีอะไร ผู้หญิงส่วนใหญ่มีธาตุหยิน (เย็น) มากกว่าธาตุหยาง (ร้อน) จึงชอบอุ่นกลัวหนาว นี่ไม่ใช่อาการป่วย เพียงแต่นางหยางไม่พอ ตัวอาจเย็นง่ายหน่อย และต่อมาก็เป็นจริงดังที่ว่า นางจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร กลับภูมิใจที่ตนเองเป็นมนุษย์น้ำแข็ง จึงมักกลิ้งไปมาบนเตียงมารดาในหน้าร้อน และกอดมารดาเวลานอน มารดาจะได้เย็นสบาย


 


 


ทว่าคำพูดที่ลอยมาตามลมของชายหนุ่ม กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง นี่เป็นคำพูดที่มารดามักพูดกับนางมาแต่เด็ก พออากาศเริ่มเย็น หรือนางวิ่งเล่นในจวนจนเหนื่อยหอบ สวี่ฮูหยินก็จะเรียกให้บ่าวไปพาลูกสาวมา แล้วดวงตาที่อ่อนโยนดุจโคมไฟริมระเบียงก็กระพริบปริบๆ แล้วว่า


 


 


“เด็กน้อย ไม่หนาวหรือ มือเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว”


 


 


นางดึงสติคืนกลับ มือขยับ คิดจะดึงออก “ไม่หนาว” เกรงว่าน้องจะเห็นเข้า


 


 


แต่เขากลับจับแน่นขึ้น ซ้ำยังใช้ฝ่ามือบีบนวดมือนางไปมา ให้โลหิตไหลเวียน


 


 


นางดึงออกอีก เขาก็กด! นางพยายามดึง เขาก็ยิ่งจับให้แน่นขึ้น!


 


 


สองมือคล้ายกำลังต่อสู้อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็มิปาน


 


 


เจ้ายิ่งดิ้น ข้าก็ยิ่งไม่ปล่อย สู้กันไม่หยุด และดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเคืองอยู่บ้าง จึงจ้องเขาเขม็งผ่านศีรษะน้องชาย ใช้สายตาข่มขู่ให้เขาคลายมือออก แต่เห็นชัดว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย กลับกระชับมือเล็กๆ ของนางเข้ามาตรงหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทันที


 


 


“พี่…เป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเกาะหน้าต่างดูแสงสีอยู่ดีๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ที่ด้านหลังของตนมีเสียงลมดังฟึ่บฟั่บ จึงหันกลับมา กวาดตามองไปทั่ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฮึดสู้ จ้องมองชายหนุ่มอย่างดุดัน เสียง ‘ฟึ่บ’ ดึงมือหลุดออกจากการจับกุมจนได้!


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกแต่ว่าบรรยากาศในรถไม่ถูกต้อง จึงหันมองคนทั้งสองซ้ายขวา


 


 


“ไม่มีอะไร ดูทิวทัศน์ของเจ้าต่อเหอะ!” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอ็ดน้องชายแบบพี่สาว พลางผลักศีรษะน้องเบาๆ


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งทำปากยื่นปากยาว ทำหน้าบริสุทธ์ไร้เดียงสา แบบคนไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนหันกลับไปใช้มือเล็กๆ เท้าคาง มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างต่อ


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงจึงยืดตัวตรง ยกมือดึงผ้าผูกที่หน้าอกออก ถอดผ้าคลุม แล้วโยนให้อวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใช้สองมือรับไว้ตามสัญชาติญาณ ชายหนุ่มจึงว่า


 


 


“สวมซะ อีกสักพักยังต้องลงจากรถ”


 


 


ม่านหน้าต่างปลิวขึ้น ลมหนาวพัดเข้ามา ให้ความรู้สึกหนาวเย็นเข้ากระดูกจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจับผ้าคลุมผืนใหญ่ที่มีไออุ่นอยู่ ลังเลใจสักพัก ก่อนฉวยจังหวะที่น้องไม่ทันสนใจ พลิกมือกลับ คลุมผ้าคลุมอย่างรวดเร็ว แล้วถาม “ไปไหนหรือ”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเห็นครั้งนี้นางเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด จึงตอบอย่างพอใจยิ่ง


 


 


“ชานเมือง”


 


 


ลอยกระทง? อวิ๋นหว่านชินยังไม่ทันพูด อวิ๋นจิ่นจ้งก็ตบมือดังป๊าป


 


 


“ดีเลย! ไปลอยกระทง ดูดอกไม้ไฟ!”


 


 


เด็กเหลือขอ ไม่ได้ดูทิวทัศน์บนท้องถนนอย่างเดียวนี่! หูยังผึ่งด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองน้อง


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งยักคิ้วให้ คิดว่าเขาเป็นเด็กสามขวบหรือไง หรือต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังเลียนแบบผู้ใหญ่ได้! ตอนที่เขารู้สึกว่าแผ่นหลังช่วงล่างมีอะไรแปลกๆ นั้น ก็แอบดูไปแล้วทีหนึ่ง…นิ้วของทั้งสองประสานกัน เนื้อแนบเนื้อ กุมมือกันเสียแน่นเชียว!


 


 


มิน่าเล่า คนผู้นี้ถึงได้มารับพี่สาวออกไปฉลองวันเริ่มฤดูหนาว ซึ่งคนอย่างพี่สาวก็ตอบตกลง!


 


 


ที่แท้ทั้งสองมีใจให้กันนี่เอง!


 


 


เมื่อเทียบกับความคึกคักในยามราตรีของเยี่ยจิงที่อยู่นอกหน้าต่าง อวิ๋นจิ่นจ้งในตอนนี้กลับสนใจชายหนุ่มที่อยู่ในรถมากกว่า


 


 


หลังจากพี่สาวเข้าวังไปครั้งเดียว ได้ยินว่าถูกตาต้องใจคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่หลายคน หรือคนผู้นี้ ก็คือหนึ่งในนั้น? แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ตามนิสัยของพี่สาว ไม่น่าจะสนิทกับเขาเร็วขนาดนี้ หรือรู้จักกันมานานแล้ว?


 


 


คิดจะเป็นเขยสกุลอวิ๋น เป็นพี่เขยตน? ต้องเก่งกล้าสามารถทีเดียว


 


 


ขณะน้าตัวจ้อยมองดูพี่เขย จะมากจะน้อยก็มีเจตนาคล้ายแม่ยายมองดูลูกเขยอยู่บ้าง ทั้งชอบและทั้งอยากตรวจสอบ


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงพลันรู้สึกว่า สายตาของเด็กหนุ่มมีความไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง เมื่อครู่ยังเป็นแกะที่ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่เลย พริบตาเดียวกลายเป็นลูกหมาป่าที่จ้องเขาตาเป็นมันไปเสียแล้ว


 


 


“ท่านสามทำงานอะไรหรือ”


 


 


เสียงเด็กๆ ของเด็กหนุ่มดังขึ้น หลังจากกระแอมไอเบาๆ ไปสองที ชาติตระกูลต้องชัดเจน ถ้าชาติไม่ใช่ ตระกูลไม่เหมาะ จะคบกันได้อย่างไร


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแอบดึงแขนเสื้อน้องชาย แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงไม่หลบเลี่ยง แจงสถานะทางบ้านทันที


 


 


“จัดการงานธุรการในบ้าน ปรับเปลี่ยน เลื่อนตำแหน่ง ย้ายถิ่นฐาน เลิกจ้าง ทำโทษ ให้รางวัลบ่าวในบ้าน”


 


 


หลังจากองค์ชายได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็นอ๋อง พอถึงวัยตามเกณฑ์ จะถูกส่งตัวไปฝึกงานในหน่วยงาน


 


 


ของกรมต่างๆ ตามแต่กำหนด เช่นเว่ยอ๋อง ถูกกำหนดให้ไปหน่วยการเงินการบัญชีในกรมพระคลัง ย่อมรวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน นี่ก็เป็นเหตุให้เว่ยอ๋องเกิดโลภโมโทสัน ด้วยสามารถเข้าควบคุมสายงานการขุดเจาะเหมืองแร่บนภูเขาชิงเหออย่างง่ายดาย


 


 


เยี่ยนอ๋อง แม้อายุยังน้อย แต่ขวบปีที่ผ่านมาได้เข้าฝึกงานบริหารการทูตในกองการทูต ค่อยๆ เริ่มสัมผัสกับงานที่ต้องติดต่อกับคนต่างแดน


 


 


ฉินอ๋องฝึกงานในสำนักพระราชวัง จัดการดูแลคนในราชวงศ์ หน้าที่นี้งานเบา เงินใต้โต๊ะหนัก สำหรับผู้ที่รักสบาย นับเป็นงานในฝันจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คิดจำกัดตัวเองอยู่แค่ตำแหน่งอ๋องแล้วล่ะก็ นับเป็นงานที่ไม่ค่อยจะมีอนาคตสักเท่าไหร่ ตอนที่หนิงซีฮ่องเต้พิจารณาอนุมัติ เพียงตรัสว่า ฉินอ๋องสุขภาพไม่ค่อยดี ลักษณะงานเช่นนี้ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจมาก เหมาะสมแล้ว


 


 


แต่ซย่าโหวซื่อถิงไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฮ่องเต้ ตำแหน่งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายนายทหาร ไม่เกี่ยวกับปากท้องประชาชน ไม่เกี่ยวกับความลับทางการทหาร เป็นสายงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ซึ่งเหมาะสมกับองค์ชายเลือดผสมอย่างตนยิ่ง จึงไม่พูดอะไรมาก ยอมรับโดยดุสดี


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเลิกคิ้วงามๆ ขึ้น “ที่แท้ท่านสามก็คือ…พ่อบ้านหรือ”


 


 


มิน่าเล่า ถึงได้จัดอะไรใหญ่โตขนาดนี้ได้ เอารถม้ามาตั้งสองคัน ต้องเป็นพ่อบ้านในตระกูลใหญ่แน่ ถึงใช้รถม้าได้ตามอำเภอใจเช่นนี้


 


 


พ่อบ้าน? สำนักพระราชวังแม้มีอำนาจมาก แต่ก็เป็นเหมือนพ่อบ้านของราชวงศ์ น้องชายพูดไม่ผิด อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยกมุมปากขึ้น ไม่ได้ท้วงติงแต่อย่างใด 

 

 


ตอนที่ 90-3 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอาย...

 

อวิ๋นจิ่นจ้งจับศีรษะ รู้สึกปวดกบาลเล็กน้อย ถึงพ่อบ้านจะใหญ่แค่ไหน ก็เป็นแค่บ่าวในบ้าน แต่…คำโบราณว่าไว้ คนเฝ้าหน้าห้องสมุหนายกเป็นถึงขุนนางชั้นสอง ท่านสามนี่ดูๆ ไปก็ไม่เหมือนคนระดับล่าง แสดงว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังต้องยิ่งใหญ่มาก อย่ากระนั้นเลย ถามต่อดีกว่า


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งท้าวคาง “นายของท่านสามแซ่อะไร”


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ซย่าโหว”


 


 


ซย่าโหว? นี่มิใช่สกุลของราชวงศ์หรอกหรือ หรือคนผู้นี้ทำงานในสำนักพระราชวัง อวิ๋นจิ่นจ้งสำรวจมองเขาอีกครั้ง หรือเป็นพ่อบ้านของอ๋องคนใดคนหนึ่ง ถ้าเป็นพ่อบ้านในจวนอ๋อง ก็มีอำนาจมากโขอยู่ แต่…แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นบ่าวคนหนึ่งอยู่ดี!


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกว่า ผักกาดขาวราคาแพงถูกหมูกัด จึงไม่ยอม


 


 


ตนไม่มีมารดาแล้ว บิดาก็พึ่งไม่ได้ ในบ้านมีตนเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว การที่พี่สาวจะแต่งกับใครนั้น ตนก็มีสิทธิเลือกให้เหมือนกัน


 


 


ขณะจะเอ่ยปากถามอีก พี่สาวก็พูดขึ้น “จิ่นจ้ง สวมหมวกด้วย ถึงแล้ว”


 


 


รถม้าวิ่งผ่านตลาด ไปตามทางเล็กทางน้อย จนมาถึงริมแม่น้ำชานเมืองหลวง


 


 


แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่ยาวมาก ไหลผ่านเมือง ชานเมือง จนถึงภูเขาหลงติ่ง ตามปกติแล้ว พอมืดค่ำ แถวนี้จะเงียบและหนาวเย็น ไม่มีแม้แต่เงาคน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาล ทั้งสองฝั่งแม่น้ำจึงเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนเมืองที่มาจากในเมืองและชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ ถ้าจะบอกว่าผู้คนมากันอย่างมืดฟ้ามัวดินก็ไม่เกินเลยแต่อย่างใด


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงบอกให้ซือเหยาอันนำรถม้าไปจอดให้ไกลออกไปหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน


 


 


ฟ้าโปร่งยามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เส้นขอบเทือกเขาหลงติ่งปรากฏอยู่ไกลลิบ น้ำในแม่น้ำทั้งนิ่งและลึกทอดตัวยาวออกไปไกล กระทงนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนผิวน้ำ กระทงแต่ละอันมีเทียนจุดอยู่ข้างใน ลอยตามกันไป ราวกับวิญญาณโลดแล่นอยู่บนผิวน้ำ


 


 


 การลอยกระทงมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน แรกเริ่มเดิมทีผู้คนนิยมลอยกระทงในวันชีซี (เทศกาลแห่งความรักของจีน) แต่เนื่องจากกระทงดูสง่างามและราคาไม่แพง จึงค่อยๆ เป็นที่นิยมตามเทศกาลอื่นๆ ในเวลาต่อมา


 


 


ซือเหยาอันนำกระดาษสีและเทียนที่เตรียมมาทั้งหมดออกจากรถม้า ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น น้องชาย และเมี่ยวเอ๋อร์กว่าหาที่เหมาะๆ ปักหลักได้ก็แทบแย่ ทั้งสามเลือกนั่งริมน้ำ อาศัยแสงสว่างจากแสงจันทร์และแสงเทียน สาละวนพับกระดาษสีเป็นกระทง แต่อวิ๋นหว่านชิ่นพับได้เพียงครึ่งเดียว ก็พลันนึกอะไรได้


 


 


จึงเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนเดินไปใต้ต้นหลิว หักกิ่งหลิวมาหนึ่งกิ่ง แล้วออกแรงฝนปลายกิ่งกับพื้นไปมา


 


 


ฝนจนปลายกิ่งดำมะเมี่ยม จากนั้นก็ใช้ปลายกิ่งขีดเขียนลงบนกระดาษสี และแล้ว กระดาษสีก็มีตัวอักษรสีดำ


 


 


ปรากฏ เหมือนเขียนด้วยหมึกดำอย่างไรอย่างนั้น


 


 


การลอยกระทง ถ้าไม่ได้เขียนคำอธิษฐานไว้บนกระทง ก็เหมือนกับทำกับข้าวแล้วไม่ได้ใส่เกลือ


 


 


นานๆ ทีซือเหยาอันจะได้ทำอะไรตามประเพณีเช่นนี้ เขานั่งพับกระดาษสีอยู่ใกล้ๆ พอชะเง้อมาเห็น ก็แปลกใจ “คุณหนูอวิ๋น กิ่งหลิวนี่ เอามาเขียนหนังสือได้ด้วยหรือ”


 


 


กิ่งหลิวลนไฟก็คืออุปการณ์ที่ใช้เขียนคิ้วรุ่นแรกๆ ทำไมจะใช้เขียนหนังสือไม่ได้เล่า อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งใจ


 


 


เขียนให้จบ แล้วส่งกิ่งหลิวให้ซือเหยาอันลองใช้ดู จากนั้นก็วางกระทงลงน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี


 


 


“พี่เขียนอะไรน่ะ” อวิ๋นจิ่นจ้งนั่งมองกระทงที่ลอยออกไป พลางถาม


 


 


“คำอธิษฐานเขาไม่บอกกันหรอก ไม่งั้นจะไม่ขลัง” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น จึงยื่นมือออก คิดหยิบขึ้นมาดู แต่ถูกอวิ๋นหว่านชิ่นดึงมือไว้ แล้วแกล้งขู่ “อย่าหยิบ เพราะถ้าหยิบแล้วพลิก คำอธิษฐานจะไม่เป็นจริง!”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งจึงเก็บมือลงแต่โดยดี


 


 


ซือเหยาอันถือกิ่งหลิวไว้ในมือ คิดอย่างเอาจริงเอาจังสักพัก แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งป้อง มืออีกข้างหนึ่งแอบเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระทง


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงอยู่ด้านหลังของเขา เห็นแล้วก็หันมองไปอีกทาง “ไร้สาระจริงๆ”


 


 


ซือเหยาอันคอตก รีบนำกระทงสีที่เขียนว่า “ขอเมียสวยๆ สักคน” วางลงในแม่น้ำ แล้วผลักออกไปไกลๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงนายลอยมา


 


 


“ขอกิ่งไม้หน่อย กระทงอันหนึ่งด้วย”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงใช้กิ่งหลิวเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระทง จากนั้นก็ถือกระทง กำลังจะนำไปลอย


 


 


“พี่พ่อบ้านเขียนอะไรหรือ” อวิ๋นจิ่นจ้งทักพลางยิ้มตาหยี


 


 


ได้ยินคำว่าพี่พ่อบ้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขนลุกซู่


 


 


ทว่าซย่าโหวซื่อถิงกลับปล่อยให้เด็กหนุ่มเรียกตามสบาย ดวงตากึ่งมืดกึ่งสว่างภายใต้แสงเทียนจาก


 


 


กระทง ชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วพูดทีเล่นทีเจริง


 


 


“พี่สาวเจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า คำอธิษฐานถ้าพูดออกมาจะไม่ขลัง”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเชื่อฟังคำพี่สาว แต่ไม่คิดเชื่อฟังคำเขา เกิดนึกซุกซน อาศัยจังหวะที่เขากำลังจะปล่อยกระทงลงน้ำ และไม่ทันตั้งตัว ยื่นมือลงไปหยิบกระทงของเขา


 


 


พอเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเข้ามาแย่ง ซย่าโหวซื่อถิงจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัน ทำให้กระทงเสียศูนย์ ตกลงไปลอยเอียงกระเท่เร่ในน้ำ เทียนก็ล้มไปโดนตัวกระทง ไฟลามทั่วกระดาษอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกไฟแทน


 


 


“อ้าว…กระทงของท่านไหม้หมดแล้ว พี่ข้าบอกว่า กระทงพลิกไม่ได้ มิฉะนั้นคำอธิษฐานจะไม่เป็นจริง!”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งยังมีนิสัยปากไม่มีหูรูดแบบเด็กๆ จึงตะโกนกวนๆ ออกมา


 


 


สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ เปลี่ยน เขายื่นมือลงไป คิดจะเก็บกระทงไฟกลับมา แต่ซือเหยาอันที่กำลังเหงื่อตกรีบเรียกไว้ “ท่านสาม”


 


 


“จิ่นจ้ง!” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ็ดตะโร นี่ค่อยทำให้ซย่าโหวซื่อถิงยั้งมือไว้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแกล้งหงุดหงิด จ้องน้องชายเขม็ง


 


 


โวยวายอะไร ถ้าคนเขาเขียนว่า ชิงบัลลังก์เป็นฮ่องเต้สำเร็จ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ ความหวังที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ถูกเจ้าดับไปเช่นนี้ แล้วเขาโกรธขึ้นมา คิดฆ่าเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร!


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งแลบลิ้น แล้วเอี้ยวตัวไปหลบหลังพี่สาว ไม่พูดอะไรอีก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “เด็กๆ ชอบพูดไปเรื่อย ท่านสามอย่าได้สนใจ เรื่องกระทงล่ม คำอธิษฐานไม่เป็นจริงอะไรนั่น เป็นคำพูดไร้สาระของข้าเอง”


 


 


สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนจากดำเป็นเขียว จากเขียวเป็นขาว แล้วค่อยๆ จางหาย กลายเป็นปกติ


 


 


ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามก็มีเสียงดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นจากพื้นดิน สู่ฟากฟ้า นิ่งสักพัก แล้วพลันกระจายออก คล้ายนางฟ้าโปรยดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น สาดแสงจนสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า ดุจห้องโถงช่วงกลางวันก็มิปาน!


 


 


จากนั้น ก็มีลูกที่สอง ลูกที่สาม…ฝนดอกไม้ไฟสีสันสวยงามทยอยกันตกลงมา


 


 


ดึงดูดผู้คนสองฝั่งแม่น้ำให้หันไปมอง ผู้ที่อยู่ไกลหน่อยก็พากันวิ่งกรูมายืนริมน้ำ อวิ๋นจิ่นจ้งพลันลากเมี่ยวเอ๋อร์ วิ่งแหวกผู้คนไปยืนริมน้ำกับเขาด้วย ก่อนยิ้มดีใจเหมือนกำลังฉลองปีใหม่


 


 


ซือเหยาอันกลัวก็แต่คนเบียดกันแน่นแล้วพาลจะเหยียบเท้าคุณชายอวิ๋นเข้า แต่พอนายขยิบตาให้ เขาจึงต้องเดินตามอวิ๋นจิ่นจ้งกับเมี่ยวเอ๋อร์ไป 

 

 


ตอนที่ 90-4 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอาย...

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ค่อยได้มีโอกาสดูดอกไม้ไฟ จึงยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน แล้วแหงนหน้ามองฟ้า


 


 


ลำคอขาวเนียนยื่นออกจากเสื้อตัวเล็ก คล้ายก้านดอกไม้ที่เรียวยาวแต่แข็งแรง และสั่นน้อยๆ เสื้อซับในตัวแคบที่อยู่ใต้ผ้าคลุมทำให้เห็นทรวดทรงองเอวชัดเจน ร่างเล็กแต่อวบอิ่ม ภายใต้ดอกไม้ไฟเต็มท้องฟ้า นางดูคล้ายดอกไม้ราตรีที่ใกล้จะเบ่งบานเต็มที่


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเดินเบาๆ เข้าไปปะปนในฝูงชน แล้วยื่นมือเข้าจับมือนางขณะที่นางไม่รู้ตัว อาศัยผ้าคลุมผืนใหญ่บนร่างนางปกปิดไว้


 


 


นี่เป็นครั้งที่สองของคืนนี้ที่เขาจับมือตน อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันโต้ตอบ เขาก็แนบชิดมาด้านหลัง แล้วก้มศีรษะลงกระซิบที่ข้างหูบางๆ ของนาง


 


 


“รู้หรือไม่ ข้าเขียนอะไรไว้ในกระทง” อวิ๋นหว่านชิ่นเบาใจลง พอจะรู้แล้วว่าอะไร


 


 


พอเขาเห็นนางไม่ตอบ ก็ฉวยโอกาสช่วงฟ้ามืด เลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ใบหูนาง แล้วประทับลงเบาๆ จากนั้นก็มีไออุ่นอ้อยอิ่ง “ข้าขอให้ลูกท่านหลานเธอเหล่านั้นเข้าไม่ถึงตัวเจ้า”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหูเย็นทันที แทบจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากริมฝีปากของเขา กล้าเกินไปแล้ว! เขานึกว่าผู้คนรอบข้างเป็นผักกันหมดหรือไง ถึงได้จูบหูตนท่ามกลางผู้คนแบบนี้…


 


 


เหมือนเขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “ทุกคนกำลังมองขึ้น ไม่มีใครมองลงหรอก!”


 


 


ปากของเขาพลันอ้าแล้วหุบ คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เลื่อนริมฝีปากลงมายังติ่งหูที่ขาวและเล็กของนางอย่างรวดเร็ว แล้วกัดเบาๆ เข้าทีหนึ่ง


 


 


เพราะที่ๆ อันตรายที่สุดคือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด เขาจึงใช้สถานที่นี้แสดงความรัก? ตลอดทั้งตัวนางร้อนดั่งไฟเผา ไม่มีแรงไปชั่วขณะ จึงปล่อยให้เขาลูบๆ คลำๆ อยู่ด้านหลัง คิดจะฝ่าฝูงชนออกไป แต่ หันมองซ้ายขวา ก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน หนีไปไหนไม่ได้…


 


 


และตอนนี้ เขาก็กระชากนางอย่างแรงจากด้านหลัง ใช้ความได้เปรียบจากผ้าคลุมผืนใหญ่อีกครั้ง โอบนางไว้ ปกปิดไม่ให้ผู้คนเห็นว่าเขากุมมือเล็กๆ ของนางมาบีบนวด พลางเปล่งเสียงที่คล้ายดังออกมาจากถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่ง


 


 


“นี่มันก้อนหินชัดๆ กุมนานขนาดนี้ น่าจะอุ่นได้แล้วนะ”


 


 


นางทั้งโกรธทั้งขำ เห็นชัดว่าเขาอุดอู้มานาน พอลับหลังคนถึงได้พูดและทำทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหมด! ใครบอกว่าเขาเป็นพระที่สันโดษ นางเถียงคอเป็นเอ็น


 


 


อาการปวดกระดูกคลับคล้ายปะทุขึ้นอีก เขาพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้หัวใจเต้นแรง คิดข่มการตอบสนองของร่างกายที่อ่อนแอนี้ไว้ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงรู้สึกได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของเขา


 


 


“ท่าน…อาการกำเริบอีกแล้วหรือ”


 


 


คำพูดนี้ทำให้หมดอารมณ์จริงๆ ซย่าโหวซื่อถิงไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ไม่ยอมรับ


 


 


“ไม่นี่” ถ้าแค่โอบกอดนิดหน่อย อาการก็กำเริบ ตนยังภาคภูมิใจในตนเองได้อีกหรือ


 


 


“ท่านสามอย่าฝืนอีกเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นขำ แล้วค่อยๆ บิดเอวหนี


 


 


คำพูดนี้ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดใจ จึงกระชับเอวนางให้แน่นขึ้น ตอนที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของนาง ในใจรู้สึกเหมือนถูกไฟเผา กระดูกก็ยิ่งปวดเข้าไปอีก พอคิดว่าหรือนางไม่ชอบที่เขาป่วย ก็พยายามข่มอาการไว้ ไม่กล้าขยับ กลัวนางจะจับได้อีก…นางนี่ ไวเหมือนกระต่ายจริงๆ


 


 


ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นฟ้า กระจายออก แล้วดับสนิท หมดแล้ว ผู้คนจึงพากันก้มศีรษะลง เขาค่อยปล่อยมือนาง


 


 


รอจนพวกอวิ๋นจิ่นจ้งกลับมา ก็เข้าสู่ยามวิกาลแล้ว ทุกคนจึงทำตามที่ซย่าโหวซื่อถิงบอก ฉวยโอกาสขณะที่ผู้คนยังไม่แยกย้ายดี กลับไปที่รถม้าก่อน แล้วออกรถ ตรงไปยังจวนรองเจ้ากรม


 


 


ในรถม้า สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงกลับคืนสู่ปกติ เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรมาก่อน


 


 


คืนนี้อวิ๋นจิ่นจ้งสนุกมาก พอกลับเข้าไปในรถ และนั่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน จึงเอนหลัง แล้วยื่นหน้าเข้าไปข้างหูพี่สาวแบบคนครึ่งหลับครึ่งตื่น พลางกระซิบ


 


 


“…วันนี้พี่ใช้ข้าเป็นข้ออ้าง นัดเที่ยวกับพี่พ่อบ้านใช่ไหม ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนา”


 


 


ไม่รอให้นางเอ็ด อวิ๋นจิ่นจ้งก็อ้าปากหาว วางขนตาลง หลับตา เฝ้าพระอินทร์ไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าน้องจะหนาว จึงดึงปมผูกผ้าคลุมบนร่างตนออก แล้วกางผ้าคลุม ห่มร่วมกันกับน้อง


 


 


 


 


 


ตอนกลับถึงประตูข้างจวนรองเจ้ากรม ก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์กระโดดลงจากรถไปดูลาดเลาก่อน แล้วจึงเปิดประตู หันมองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใคร ค่อยกลับมาเรียกคุณหนูใหญ่กับคุณชายให้เข้าไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นปลุกน้อง อวิ๋นจิ่นจ้งขยี้ตาให้ตื่น แล้วกระโดดลงจากรถ ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะลงตาม ก็ได้ยินเสียงของเขาลอยมา เนื่องจากตัวรถแคบ เสียงจึงชัดเป็นพิเศษ


 


 


“ข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้ดี”


 


 


น้ำเสียงใสๆ ฟังดูสบายๆ ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป คล้ายไม่รีบแต่อย่างใด ทว่าไฟในใจของเขานั้น ไหม้จนถึงศีรษะแล้ว พอๆ กับดอกไม้ไฟในคืนนี้ไม่มีผิด


 


 


อีกละ เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงหน้าบ้านแล้ว ก็ไม่มีเวลาพูดมากกับเขาอีก จึงลงจากรถ ก้าวเข้าไปในบ้าน


 


 


หลังจากชายในรถส่งทั้งสองด้วยสายตาแล้ว ก็ออกคำสั่ง สารถีจึงบังคับรถม้าให้หันหลังกลับ แล้วด้านหลังของรถม้าก็ค่อยๆ ไกลออกจากประตูข้างของจวนรองเจ้ากรมไป


 


 


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงวันฤกษ์งามยามดีที่สำนักดาราศาสตร์กำหนดให้เป็นวันวิวาห์ของเว่ยอ๋อง คนในวังมาที่จวนรองเจ้ากรมประกาศสมรสพระราชทาน คนของสำนักพระราชวังจดบันทึกลงในสมุดหยก หรือแผนภูมิครอบครัวราชวงศ์ พอทุกอย่างเรียบร้อย อวิ๋นหว่านถงก็ขึ้นเกี้ยว ไปยังจวนเว่ยอ๋อง


 


 


จากความผิดในคดีขุดเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว การรับชายารองเข้าจวนในครั้งนี้ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบ


 


 


ง่ายกว่าของอ๋องท่านอื่นๆ เรียบและง่ายจนไม่เหมือนงานวิวาห์ของอ๋องก็ว่าได้ เพราะเว่ยอ๋องกำลังถูกกักบริเวณ จะจัดงานเอิกเกริกมากไม่ได้ เจ้าภาพจึงไม่กล้าเชิญขุนนางมามาก และแขกที่รับเชิญ ก็มาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง งานเลี้ยงจึงเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ถ้าไม่ใช่เพราะมเหสีรองเหวยส่งคนในวังของตนมาเสริมจำนวนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่างานเลี้ยงจะเงียบเหงาแค่ไหน แต่เว่ยอ๋องก็ไม่ถือสา ดื่มสุราเสร็จ ส่งแขกเรียบร้อย ก็รีบกลับไปหาเยี่ยหนานเฟิงที่เรือนรุ่ยเสวี่ยทางปีกตะวันตก


 


 


พ่อบ้านในจวนเห็นว่า พองานเลี้ยงเลิก ท่านอ๋องก็หายตัวไปทันที จึงตามหาไปทั่ว เมื่อได้ยินว่า คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องยังแจ้นไปหาตัวสร้างปัญหาอีก จึงรีบไปตามที่เรือนรุ่ยเสวี่ย และยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาพูดตักเตือนอยู่หน้าห้อง


 


 


“ชายารองอวิ๋นอย่างไรก็เป็นคนที่ไทเฮาเลือกให้ และฝ่าบาทก็ทรงพระราชทานสมรสให้ เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ในวังยังต้องส่งคนมารับผ้าขาวที่เปื้อนโลหิตอีก ท่านห้าขอรับ ขอให้ท่านเห็นแก่บุคคลที่สาม อย่างไรเสีย คืนนี้ก็ต้องเป็นเหมือนเมื่อก่อน ต้องเข้าห้องหอนา”


 


 


เว่ยอ๋องเมาหัวราน้ำ กำลังกอดพลอดรักอยู่กับเยี่ยหนานเฟิง


 


 


ต้องพูดถึงชายาเลื่องชื่อสองสามคนของเว่ยอ๋องก่อน ก็คือชายาบ่าวสองคน กับชายารองหนึ่งคนที่ถูกเขาทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งในคืนเข้าห้องหอ เนื่องจากต้องการรั้งตัวพวกนางเอาไว้ เว่ยอ๋องจึงไปค้างคืนกับพวกนางอยู่หลายคืน แต่หมู่นี้เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากเอาตัวเองใส่พานไปให้ จึงเอ็ดใส่


 


 


“ข้าเป็นอ๋องผู้สูงส่ง อยากนอนกับใคร ไม่อยากนอนกับใคร ยังตัดสินใจเองไม่ได้รึไง คืนนี้ข้าไม่ไป!”


 


 


เยี่ยหนานเฟิงก็ไม่ใช่คนใจดีอะไร พอเห็นจวนอ๋องรับชายารองเข้ามา ก็กลัวว่าจะถูกแย่งตำแหน่งคนโปรด จึงกระซิบข้างหูเว่ยอ๋อง


 


 


“ท่านอ๋องเป็นคนมีโชคมีลาภเสมอมา แต่ครั้งนี้ พอรับคนสกุลอวิ๋นเข้าบ้าน ท่านอ๋องก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่รู้ว่าหญิงสาวนางนี้เป็นดาวพิฆาตท่านอ๋องหรือเปล่า!”


 


 


พอเว่ยอ๋องได้ยิน ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ตวาดตอบ “ไปๆๆ! บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ!”


 


 


พ่อบ้านทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ถอยออกไปก่อน 

 

 


ตอนที่ 90-4 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอาย...

 

ด้านอวิ๋นหว่านถง ขณะนั่งอยู่ในเกี้ยวที่ถูกแบกเข้ามาในจวนเว่ยอ๋อง ก็เลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นเงียบๆ แล้วกวาดตามองไปทั่ว พอเห็นว่าจวนอ๋องใหญ่โตกว่าจวนบิดาตนไม่ต่ำกว่าสิบเท่า ก็ตาวาว จิตใจที่หดหู่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ค่อยรู้สึกดีขึ้นเป็นกอง


 


 


ทว่าอวิ๋นหว่านถงนั่งรออยู่ในห้องหอชายารองครึ่งค่อนวัน ก็ไม่เห็นเว่ยอ๋องมาเสียที พอตกกลางคืน ที่สุดแล้ว ก็มีสาวใช้ในจวนเข้ามากันหลายคน ช่วยถอดผ้าคลุมหน้า ถอดชุดเจ้าสาวให้ บอกว่ามารับใช้ตนก่อนเข้านอน


 


 


เข้านอน? จนถึงตอนนี้ตนยังไม่เห็นเจ้าบ่าว จะให้นอนหลับได้อย่างไร


 


 


อวิ๋นหว่านถงขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องดื่มจนเมาแล้วใช่ไหม ยังอยู่ในงานเลี้ยงหรือเปล่า ข้าไปปรนนิบัติหน่อยจะดีกว่า อากาศเย็นลงแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”


 


 


พ่อบ้านส่งสาวใช้นางหนึ่งชื่อยวนยาง มาปรนนิบัติผู้มาใหม่ นางอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ก่อนว่า


 


 


“ชายารองไม่ต้องไปปรนนิบัติหรอกเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเข้าเรือนแล้ว แขกก็กลับกันหมดแล้ว ชายารองพักผ่อนก่อนเถิด”


 


 


เข้าเรือน? เข้าเรือนไหน คืนวันวิวาห์ ไม่เข้าเรือนตน ยังจะเข้าเรือนไหนได้?


 


 


อวิ๋นหว่านถงยกมือปัดมือของยวนยางออก แล้วเดินออกจากห้องไป ยวนยางเห็นว่านางเหมือนจะเดินทั่วทั้งจวนเพื่อตามหา จึงรีบเดินตามไป พลางว่า


 


 


“ชายารอง ท่านอ๋องไปเรือนรุ่ยเสวี่ย คืนนี้ไม่มาแล้วเจ้าค่ะ ท่านเข้านอนก่อนเถิด”


 


 


เรือนรุ่ยเสวี่ย? ชื่อเริ่ดซะไม่มี น่าจะเป็นที่อยู่ของนางจิ้งจอกที่จวนอ๋องเลี้ยงไว้


 


 


อวิ๋นหว่านถงมั่นใจในตัวเองมากว่า หลังบ้านจวนอ๋องนั้นตนใหญ่สุด ไหนเลยจะยอมให้นางบำเรอหน้าไหนมาครอบครองเจ้าบ่าวของตนในคืนวิวาห์เล่า หลายปีมานี้ ขณะอยู่บ้านสกุลอวิ๋น แม้ตนสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตนตามท่านแม่ แต่สิ่งที่ควรเรียนรู้ก็ได้เรียนรู้โดยไม่ตกหล่น วันนี้ถ้าไม่แสดงฤทธิ์เดชให้เห็น หญิงสาวทั้ง


 


 


จวนอ๋องอาจดูแคลนตนได้ พอคิดเช่นนี้ จึงยกเครื่องหัวเจ้าสาวออก แล้ววิ่งไปยังเรือนรุ่ยเสวี่ยทันที ขนาดยวนยางกับสาวใช้อีกสองสามคนรีบวิ่งตามก็ยังตามไม่ทัน


 


 


พอคลำทางมาถึงเรือนรุ่ยเสวี่ย เพียงยืนอยู่นอกชานเรือน อวิ๋นหว่านถงก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกดังมาจากด้านในแล้ว


 


 


หนึ่งในเสียงๆ นั้นก็คือเสียงของเว่ยอ๋อง ซย่าโหวซื่อยวน ส่วนอีกเสียงหนึ่ง แม้ไมได้ยินไม่ถนัด แต่ก็เป็นเสียงที่นุ่มนวลมาก ความหึงหวงจึงพุ่งปรี๊ด อวิ๋นหว่านถงอยากเห็นเหลือเกินว่า เป็นนางจิ้งจอกพันธุ์ไหน ที่ดึงดูดใจจนท่านอ๋องถึงกับก้าวขาไม่ออกในคืนวิวาห์ได้!


 


 


อวิ๋นหว่านถงข่มกลั้นความริษยา เคาะประตู แล้วพูดเสียงเบา “ท่านอ๋อง ข้าเอง”


 


 


พอรู้ว่าเป็นคุณหนูอวิ๋นมาขัดจังหวะความสุข เว่ยอ๋องก็พยายามระงับความโกรธ


 


 


“เจ้ามาทำไม เด็กๆ ยังไม่พาชายารองกลับไปอีก”


 


 


ให้ตายอย่างไรอวิ๋นหว่านถงก็ไม่ยอมกลับ “ท่านอ๋อง คืนนี้เป็นคืนวิวาห์ของท่านกับข้า พรุ่งนี้เช้าต้องมีคนในวังมา หรือท่านจะไม่ไปที่เรือนข้าจริงๆ”


 


 


“ข้ามีธุระ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่ยอม จึงล้วงผ้าขาวออกมาผืนหนึ่ง แล้วยื่นเข้าไปทางช่องหน้าต่างที่แง้มอยู่ จงใจให้คนในห้องเห็น “ท่านอ๋อง ถ้าคืนนี้ท่านไม่เข้าหอ พรุ่งนี้จะอธิบายกับคนในวังอย่างไร”


 


 


พอเยี่ยหนานเฟิงเห็นคุณหนูอวิ๋นตามตื้อไม่เลิก ก็รู้สึกว่านางอึดกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ในจวนอ๋อง จึงแอบแค่นเสียงออกมาเบาๆ แล้วหันมาอิงแอบข้างกายเว่ยอ๋อง พลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน


 


 


“ไหนๆ ชายารองก็มาแล้ว ให้นางเข้ามาพูดในนี้เถิด อากาศหนาวนะเพคะ ถ้านางยืนจนตัวแข็ง เราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าทางไทเฮารู้ จะหาว่าท่านห้า ดูแลคนที่ทรงมอบให้ไม่ดีนะเพคะ”


 


 


เสียงออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้ อวิ๋นหว่านถงโมโหจนอยากผลักประตูเข้าไปเดี๋ยวนั้น นี่มันไม่เห็นตนอยู่ในสายตาชัดๆ


 


 


เว่ยอ๋องได้ยินเยี่ยหนานเฟิงกระเซ้ากระซี้ ค่อยตอบตกลง “ก็ได้ๆ เจ้าเข้ามาก่อน”


 


 


อวิ๋นหว่านถงเห็นว่า พอนางจิ้งจอกพูด เว่ยอ๋องก็ตอบตกลงทันที ก็ยิ่งกำมือแน่นเข้าไปอีก นำผ้าขาวยัดคืนเข้าไปในอกเสื้อ แล้วผลักประตู


 


 


พอก้าวเข้าไปในห้อง ก็ยืนตะลึงงัน


 


 


ในห้องอบอวลไปด้วยไออุ่นจากเตาทำความร้อนที่อยู่ใต้พื้นห้อง นางจิ้งจอกผมยาวประบ่า สวมชุดผ้าไหมบางเบา รูปร่างผอมเพรียวได้สัดส่วน ซบอย่างนุ่มนิ่มไร้กระดูกดุจดินโคลนอยู่บนร่างของเว่ยอ๋อง


 


 


ชัดเจนว่าเป็นผู้ชาย!


 


 


เยี่ยหนานเฟิงก็มิได้หลบเลี่ยงว่าตนคลอเคลียอยู่กับเว่ยอ๋อง เมื่ออยากดู ก็ดูเสียให้เต็มตา!


 


 


และพอเห็นว่าคุณหนูอวิ๋นตกตะลึง เยี่ยหนานเฟิงก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าหา ก่อนพูดอย่างนุ่มนวล


 


 


“บ่าวหนานเฟิง ถวายพระพรชายายรอง”


 


 


ดวงตาหงส์คู่งาม มองอย่างท้าทาย!


 


 


อวิ๋นหว่านถงเคยเห็นแต่ผู้หญิงกับผู้หญิงแย่งชิงอำนาจหลังบ้านกัน ท่านแม่ก็เคยสอนแค่ว่าให้สู้กับพวกนางจิ้งจอกอย่างไร ไหนเลยจะรู้ว่าเว่ยอ๋องก็รักผู้ชายด้วย! ถ้าแพ้ให้กับน้ำมือผู้หญิงยังพอทำเนา แต่ตอนนี้ตนแพ้ให้กับน้ำมือผู้ชาย ย่อมต้องกระอักโลหิต ขณะร้อนใจ อวิ๋นหว่านถงก็เงื้อมือขึ้น ตบไปหนึ่งฉาด


 


 


“เพี๊ยะ” ตบลงบนแก้มขาวๆ ด้านซ้ายของเยี่ยหนานเฟิงพอดี


 


 


ทำเอาชายหนุ่มเซไปด้านหลังสองก้าว ยกมือขึ้นกุมแก้ม แล้วร้องไห้ออกมา


 


 


“ท่านห้า ท่านห้า ชายารองลงไม้ลงมือตบตีคน…”


 


 


“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”


 


 


เมื่อเว่ยอ๋องเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเยี่ยหนานเฟิงบวมขึ้นมา ก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง เดินดุ่มๆ เข้า


 


 


หาอวิ๋นหว่านถง แล้วตบกลับอย่างไม่ต้องคิด “ยังไม่กลับไปอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่คาดคิดมาก่อน พอถูกตบก็ถอยหลังไปสองสามก้าว บังเอิญชนถูกกระถางกำยานหอมที่อยู่กลางห้องดัง “แคร้ง”


 


 


นางสะดุดล้ม หน้าผากชนเข้ากับด้านหนึ่งของกระถางกำยานหอม ทำให้เกิดแผลแตก โลหิตไหลออกทันที


 


 


เว่ยอ๋องเหลือบมอง แล้วรีบยื่นแขนออกไปดึงผ้าขาวออกจากอกเสื้อของอวิ๋นหว่านถง โดยไม่สนใจว่านางจะเจ็บจนอ้าปากร้อง ก่อนนำมาเช็ดโลหิตบนหน้าผากนาง ทำให้ผ้าขาวเปื้อนโลหิต


 


 


เว่ยอ๋องโบกมือเรียกสาวใช้ แล้วโยนผ้าขาวให้กับยวนยางที่วิ่งเข้ามา แล้วว่า


 


 


“พรุ่งนี้ก็มีคำอธิบายแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 91-1 เขากวางอ่อนลดปวดรอบเดือน...

 

อวิ๋นหว่านถงบุกเรือนรุ่ยเสวี่ยกลางดึก แต่กลับถูกเว่ยอ๋องตบจนสะบักสะบอม ประหนึ่งถูกอสุนีบาตฟาดใส่ในพริบตา ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาผ้าขาวที่เปื้อนโลหิตจากหน้าผากตน สมมติเป็นผ้าที่เปื้อนโลหิตจากการเข้าห้องหอ ให้คนในวังไป…นี่หมายความว่า ไม่คิดแตะเนื้อต้องตัวตนสักนิดเลยหรือ


 


 


เยี่ยหนานเฟิงก็เช่นกัน มีนิสัยได้คืบจะเอาศอก พอเห็นท่านอ๋องปกป้องตนเอง โดยไม่ไว้หน้ากระทั่งชายารองที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ก็หยุดร้องไห้แต่แรก ขยี้ตาไปมา ก่อนทำปากยื่นปากยาว พลางใช้สายตาของผู้ชนะเชิดใส่อวิ๋นหว่านถงอย่างได้ใจ


 


 


พอถูกเยี่ยหนานเฟิงมองด้วยสายตาเช่นนี้ อวิ๋นหว่านถงก็เดือดดาลทันที ลืมความเจ็บปวด กำมือแน่น นางจิ้งจอก ถ้ากระทั่งผู้ชาย ตนยังสู้ไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม พอคิดได้เช่นนี้ ก็ได้แต่อดทน ยอมให้ยวนยางพยุงกลับห้อง ข่มกลั้นความโกรธไว้ ไม่แสดงออกชั่วคราว


 


 


 


 


หลังจากอวิ๋นหว่านถงออกเรือนไปจวนอ๋อง บ้านสกุลอวิ๋นก็ใช่ว่าจะได้พัก เพราะต้องเตรียมงานเลี้ยงรับกลับบ้านต่อ ซึ่งตามประเพณีวันกลับบ้านของต้าเซวียนนั้น ปกติแล้วถ้าเป็นคนทั่วไป เจ้าสาวจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านหลังแต่งงานสามวัน แต่ถ้าเป็นเชื้อจ้าว ก็เจ็ดวัน และนี่เป็นครั้งแรกของบ้านสกุลอวิ๋นในการจัดงานต้อนรับชายารอง ทุกคนจึงไม่กล้ารอช้า จัดการตกแต่งประดับประดาห้องโถง เตรียมสุราอาหารและบ่าวรับใช้ให้พร้อม เจ็ดวันจะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น เวลายังคงมีไม่มากนัก


 


 


ประกอบกับอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหม จึงต้องแสดงให้เห็นว่าตนทำงานหนัก ไปเยี่ยมเยียนทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ หลายวันมานี้ถึงเอาอยู่แต่ในที่ทำงาน ยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง จนต้องมอบหน้าที่แม่งานในการเตรียมงานเลี้ยงรับกลับบ้านให้ถงฮูหยิน แต่ด้วยเกรงว่าผู้สูงอายุคนเดียวจะรับมือไม่ไหว เดิมทีคิดเรียกอนุฟางมาช่วย แต่ความไม่พอใจในวันนั้นยังไม่จางหาย จึงเรียกอวิ๋นหว่านชิ่นมาช่วยแทน อีกอย่างก่อนหน้านี้ลูกสาวคนนี้ก็เคยดูแลหลังบ้านมาก่อน มีประสบการณ์มาแล้ว


 


 


ซึ่งถ้าให้ถงฮูหยินอยู่ในบ้านจัดการเรื่องขายบ่าวรับใช้ ลงโทษเด็กรับใช้ ย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้นางรับผิดชอบงานเลี้ยงที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องต้อนรับคนในจวนอ๋องด้วย เกรงว่าอาจทำได้ไม่ดีพอและอาจถูกผู้เชี่ยวชาญหัวเราะเยาะได้ ดังนั้นทุกสิ่งอย่างนางจึงต้องหารือกับหลานสาวก่อน รวมทั้งตอนอวิ๋นหว่านถงกลับมา ต้องออกไปยืนรอที่หน้าประตูเมื่อไหร่ จัดบ่าวรอต้อนรับกี่คน จัดโต๊ะกี่โต๊ะ มีกับข้าวอะไรบ้าง ต้องใส่ซองให้ผู้ติดตามจากจวนอ๋องที่มาด้วยเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เป็นต้น โดยไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากหลานสาวก่อนทั้งสิ้น


 


 


เช่นนี้ ถ้าบอกว่าถงฮูหยินคือแม่งาน อวิ๋นหว่านชิ่นก็คือผู้ตัดสินใจ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจัดการติดต่อคนปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ก่อน โดยวางเงินมัดจำ แล้วบอกให้ส่งผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์สดๆ มาที่จวนก่อนวันงานสองวัน จากนั้นก็เจาะจงหามอมอวัยกลางคนที่เคยทำงานในวังมาก่อน แต่ออกจากวังเพราะอายุมาก และยังอยู่ในเมือง พร้อมๆ ไปกับการเลือกบ่าวชายหญิงที่ซื่อสัตย์มีไหวพริบจำนวนหนึ่ง ให้สวมชุดแบบเดียวกัน แล้วก็ให้มอมอวัยกลางคนมาสอนมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติขั้นพื้นฐานในวัง เพื่อทำหน้าที่ต้อนรับแขกจากจวนอ๋อง


 


 


ขณะที่สองย่าหลานยุ่งจนสายตัวแทบขาด อนุฟางกลับนั่งหงุดหงิดอยู่ในเรือนชุนจี้ ผู้กลับบ้านเป็นลูกสาวของตนแท้ๆ เดิมที่คิดว่างานเลี้ยงรับกลับบ้าน ตนจะมีส่วนร่วมในการจัดงานด้วย ซึ่งงานเลี้ยงแบบนี้ ขี้หมูขี้หมาก็ต้องมีเงินเข้ากระเป๋าไม่น้อย แต่นายท่านกลับให้นังพี่ใหญ่นั่น ไม่ให้ตนเสีย คิดพลางฉีกผ้าเช็ดหน้าทิ้งไม่รู้กี่ผืนต่อกี่ผืนแล้ว


 


 


สาวใช้ข้างกายจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนสตินาย “แม่เล็กจะกลุ้มใจไปทำไมเจ้าคะ คุณหนูสามก็ได้ดิบได้ดีไปแล้ว บ้านนี้นับว่า วันดีๆ ของท่านก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน ท่านก็แค่เอาอกเอาใจนายท่านอีกนิด ใยต้องกลุ้มด้วยว่า วันหน้าจะไม่ได้เป็นใหญ่”


 


 


อนุฟางได้ยินเช่นนี้ค่อยปล่อยวางลงได้บ้าง คิดว่าอีกไม่กี่วันพอลูกสาวกลับมา แต่ละคนจะได้เห็นดีกัน


 


 


ทว่าก็นึกเสียใจขึ้นมาว่า หมู่นี้ตนใจจดใจจ่ออยู่แต่กับลูกสาว อาจล่วงเกินท่านพี่ไปบ้าง จึงรีบเรียกคนให้ไปสืบดูความเคลื่อนไหวของท่านพี่


 


 


รุ่งขึ้น พออนุฟางได้ยินว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกลับบ้านเร็ว และกำลังนั่งพักอยู่ที่เรือนหลัก ก็รีบบอกให้บ่าวไปเชิญท่านพี่ให้มาที่นี่ บอกว่าท่านพี่ไม่ได้มาหาตนหลายวันแล้ว ตนอยากปรนนิบัติพัดวีให้


 


 


สองวันมานี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งอารมณ์ดีขึ้นบ้าง เนื่องจากอีกไม่กี่วันลูกสาวคนเล็กก็จะกลับมาที่บ้านแล้ว ต้องเรียกอนุฟางมาเตือนหน่อยว่า อย่าทำโศกเศร้าเศร้าร้องห่มร้องไห้กับลูกสาวต่อหน้าธารกำนัล อาจทำให้ความสัมพันธ์ของตนกับคนจากจวนอ๋องสั่นคลอนได้ จึงโบกมือ แล้วว่า


 


 


“บอกให้นางมาที่นี่ก็แล้วกัน”


 


 


ด้วยตนมีเหลียนเหนียงปรนนิบัติอยู่ข้างๆ แล้ว หนังตาจึงกระตุก ไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


พออนุฟางได้ยิน ก็ดีใจจนออกนอกหน้า รีบส่องคันฉ่องดู แล้วเปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงจีบลายดอกเล็กๆ แต่งหน้าแต่งตาโปะแป้งหลายชั้นให้ดูขาวเข้าไว้ จากนั้นก็เลิกคิ้วโค้งปลายดั่งต้นหลิว


 


 


“แบบนี้ดูดีแล้วหรือยัง”


 


 


“ดูดี ดีมากเจ้าค่ะ” แป้งหนาเท่าผนังปูนขนาดนี้ อย่าว่าแต่ปกปิดรอยย่นกับจุดต่างดำเลย แม้แต่ยุงไม่ทันระวัง บินเข้าไปก็อาจจมแป้งตายได้ การแต่งหน้าแบบนี้นี่…จริงๆ สาวใช้จะพูดมากก็ไม่ดี จึงได้แต่เยินยอไป


 


 


แล้วอนุฟางก็เดินสะบัดบั้นท้ายออกจากเรือนพร้อมสาวใช้


 


 


ขณะเดินผ่านลานหน้าห้องครัวที่มีรั้วไม้กั้น อนุฟางก็ได้ยินเสียงฮือฮาดังมาจากด้านใน จึงหยุดฝีเท้า ชะเง้อดู ถึงได้รู้ว่า วันนี้ห้องครัวได้รับหมูที่ส่งมาจากตลาดตัวหนึ่ง เอาไว้ใช้ทำกับข้าวในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน คนฆ่าหมูในตลาดก็ถูกเรียกตัวมาด้วย และกำลังเตรียมล้มหมู บ่าวหลายคนจึงพากันวิ่งมาดูความคึกคัก


 


 


พออนุฟางได้ยินว่าเป็นกับข้าวในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน ก็หัวเราะเยาะ ทำเอาสาวใช้ที่ติดตามมาพลอยหยุดเดินและหันมองตาม


 


 


ลานหน้าห้องครัว หมูตัวเป็นๆ ถูกคนฆ่าหมูจับมัดไว้บนเก้าอี้ยาว จึงร้องครวญคราง พลางดิ้นด้วยการถีบเท้าทั้งสี่ข้าง ขณะที่คนฆ่าหมูกำลังนั่งยองๆ ลับมีดอยู่ด้านข้าง อนุฟางที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็ดึงผ้าเช็ดหน้าไปมาพลางถามอย่างกำกวมทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดี


 


 


“หมูตัวนี้ใครเป็นคนสั่งมาน่ะ”


 


 


“คุณหนูใหญ่สั่งไว้เมื่อเช้าเจ้าค่ะ บอกว่าต้องล้มหมูล่วงหน้า แล้วหมักไว้ ถึงจะเข้าเนื้อ” บ่าวคนหนึ่งตอบ


 


 


อนุฟางจึงเดินเข้าไป วนดูหมูที่ร้องครวญครางรอบหนึ่ง ก่อนบ่นและพูดจาแดกดัน อย่างถ้าไม่พูดว่าหมูไม่มีชีวิตชีวาพอ ก็พูดว่าหมูยังไม่โตเต็มที่ ไม่รู้เป็นโรคหรือเปล่า แถมยังส่ายหน้าและพึมพำเสียงเบา


 


 


“ให้ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนจัดการ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เฮ้อ…”


 


 


บ่าวในบ้านต่างรู้ดีว่าหลายวันมานี้ อนุฟางรู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน จึงหาเรื่องคนไปทั่ว แต่ไม่กล้ากับคุณหนูใหญ่และผู้อาวุโส ได้แต่แสดงท่าทีชี้โบ้ชี้เบ้ให้บ่าวทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่บอกว่าตรงนี้ตกแต่งไม่ดี ขายหน้าคนจากจวนอ๋อง ก็บอกว่าประตูตรงนั้นแคบไป คนจากจวนอ๋องเดินเข้าไม่สะดวก วันนี้ยังดี ที่แม้แต่หมูก็ยังรู้จักล่วงเกินนาง


 


 


บ่าวในบ้านต่างไม่ส่งเสียง ทำเป็นไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร


 


 


แต่คนฆ่าหมูไม่ใช่คนบ้านสกุลอวิ๋น และมาช่วยงานที่จวนรองเจ้ากรมเป็นครั้งแรก ไหนเลยจะรู้ว่าสตรีวัยกลางคนผู้นี้ชอบพูดจากระทบกระเทียบ พอได้ยินคนว่าหมูของตนไม่ดี หนังหน้าก็กระตุก และพอหันไปเห็นสตรีวัยกลางคนหน้าขาววอกยืนบ่นอยู่ไม่ไกล สักพักก็บอกว่าหมูของตนไม่ดี อีกสักพักก็บอกว่าเป็นโรค จึงลุกพรวดขึ้น แล้วโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา


 


 


“เป็นโรค? เจ้าสิเป็นโรค! หมูของข้าแข็งแรง สุขภาพดี ร้านข้ามีชื่อมาหลายสิบปี ไม่เห็นมีคนบอกว่าข้าเลี้ยงหมูเป็นโรค! เจ้าตาบอดหรือเปล่า!”


 


 


คนฆ่าหมูอยู่ในตลาดเสียงดังจนเคยชินแล้ว แม้แต่พูดจาปกติก็เหมือนชวนทะเลาะอย่างไรอย่างนั้น อนุฟางไม่ทันตั้งตัว จึงยืนอึ้ง              

 

 

 


ตอนที่ 91-2 เขากวางอ่อนลดปวดรอบเดือน...

 

บ่าวในบ้านสกุลอวิ๋นจึงรีบดึงตัวคนฆ่าหมูไปด้านข้าง แล้วว่า “ท่านผู้นี้คือแม่เล็กของบ้านสกุลอวิ๋น เจ้าอย่าเสียมารยาทเป็นอันขาด รีบลับมีดของเจ้า แล้วฆ่าหมูของเจ้าไป”


 


 


พอคนฆ่าหมูเห็นว่าเป็นกึ่งนายหญิงของบ้านสกุลอวิ๋น น้ำเสียงจึงอ่อนลง แต่ปากยังคงบ่นอุบ


 


 


“…ก็นางพูดจาไม่ดีก่อนนี่นา ถ้าได้ยินไปถึงหูคนนอก ร้านข้ามิต้องเสียหายรึ…”


 


 


อนุฟางโกรธจนสำลัก จึงวางท่าแบบนายหญิงที่คร้านจะยุ่งเกี่ยวกับคนฆ่าหมูกักขฬระ ด้วยการเท้าสะเอวสั่งสอนบ่าวในบ้าน


 


 


“ยิ่งเป็นคนฆ่าหมูด้วย ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ต้องหาคนที่รู้จักมารยาทมาหน่อย คนประเภทที่พูดจาหยาบคาย ทำไมถึงได้ปล่อยให้เข้ามาในจวนรองเจ้ากรมของเราได้?! เมื่อก่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ต่อไปสกุลอวิ๋นเราคือพระญาติของท่านอ๋อง…”


 


 


ผู้ซึ่งคุ้นชินกับคมมีดและโลหิต ฆ่าสัตว์เป็นๆ ทุกวี่ทุกวัน จะยอมใครได้ง่ายๆ หรือ คนฆ่าหมูได้ยินคำพูดของอนุฟางทุกคำ เมื่อตอบโต้อย่างแจ่มแจ้งไม่ได้ เขาก็แอบ ‘ถุย’ น้ำลายลงบนพื้น ก่อนม้วนแขนเสื้อขึ้น ถือมีดเดินเข้าใกล้เก้าอี้ยาว สับลง เชือกขาด แล้วใช้มีดกรีดอีกนิด จงใจกรีดลงบนหนังหมู โลหิตสดๆ พลันไหลออก


 


 


หมูที่ไม่มีเชือกมัดไว้ พอเจ็บ ก็ลุกพรวดขึ้น ตกจากเก้าอี้ยาวลงมาเสียงดัง ‘โพละ’ แต่พอลุกขึ้นยืนได้มั่น ก็วิ่งไปที่ทางออกอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งคนฆ่าหมูก็มิได้เข้าขวาง ยืนดูหมูมีแผลวิ่งเลือดหยดไปตามทาง


 


 


บ่าวหลายคนยืนดูจนตกตะลึงพรึงเพริศ ไหนเลยจะตอบสนองทัน


 


 


อนุฟางกำลังสอนสั่งบ่าวอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ตรงทางเข้า รู้สึกแต่เพียงมีสัตว์ตัวหนึ่งร้องครวญครางพลางวิ่งเข้ามา แต่ยังไม่ทันหันมองก็ “อ๊ะ…”


 


 


ร้องยังไม่จบ ก็ถูกหมูตัวนั้นชนเข้าอย่างจัง จึงหงายหลัง เสียหลัก ล้มกลิ้งไปกับพื้น ส่วนหมู พอหัวชน ก็หัวหมุน เจ็บจนต้องกลิ้งตัวไปมากับพื้น เลือดที่เลอะไปทั้งตัวก็กระเด็นใส่หน้าและเสื้อผ้าของอนุฟาง


 


 


ตอนนี้คนฆ่าหมูถึงรีบวิ่งเข้าไป อุ้มหมูที่ใกล้ตายไว้ ยิ้มพลางว่า


 


 


“โอ้ฮูหยินท่านนี้ ขออภัยๆ หมูก็มีอารมณ์เหมือนกัน ถึงได้พุ่งชนเอา! ความจริงแล้ว ที่ทำงานของบ่าวไพร่แบบนี้ ท่านไม่ควรมาเป็นอย่างยิ่ง!” ว่าแล้วก็หันกลับ นำหมูไปวางไว้ที่เดิม แล้วลงมือเชือด


 


 


เนื้อตัวอนุฟางเลอะไปด้วยโลหิต ใบหน้าก็เปื้อนโลหิตเป็นจุดๆ พอเช็ดออก แป้งก็หายไปชั้นหนึ่ง มอมแมมจนดูไม่ได้ สาวใช้พยายามดึงนางขึ้นจากพื้นหลายครั้ง แต่นางก็ลุกไม่ขึ้น เพราะยังตกใจไม่หาย


 


 


ตอนที่หมูวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและชนอนุฟางนั้น นอกลานห้องครัว ร่างที่สวยงามร่างหนึ่งก็ขยับ พอเห็นเช่นนี้ ก็ถกกระโปรงขึ้น วิ่งกลับเรือนหลัก แต่ยังไม่เข้าเรือน หายใจเข้ายาวๆ เฮือกหนึ่ง ค่อยเดินเข้า แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตกใจ


 


 


ด้านอนุฟางก็รวบรวมสติและลุกขึ้นได้ในที่สุด สาวใช้ที่พยุงอยู่จึงบ่นด้วยความโมโห


 


 


“คนฆ่าหมูนี่ก็เหลือเกินจริงๆ แค่หมูตัวเดียวก็ยังจับไว้ไม่อยู่…”


 


 


ปกติ อนุฟางต้องทุบหน้าอก กระทืบเท้า แล้วด่าทอเสียๆ หายๆ ไปแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับอดทนไว้ ด้วยก่อนหน้านี้เสียงเอะอะโวยวายของนาง รบกวนจนทำให้ท่านพี่ไม่พอใจ นางจึงไม่กล้าทำอะไรยุ่งวุ่นวายที่ส่งผลให้การเตรียมงานล่าช้าอีก


 


 


พอก้มดูสภาพตนเอง ก็ได้แต่คิดว่าโชคไม่ดี จึงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนบอกสาวใช้


 


 


“ไป รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน!”


 


 


แต่เพิ่งหันเดิน ก็เห็นอวิ๋นเสวียนฉั่งก้าวเข้ามา ไม่รู้เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หยุดยืนมองตนด้วยสีหน้าไม่ชอบใจยิ่ง “เจ้าทำบ้าอะไรอีก!”


 


 


“ท่านพี่…” อนุฟางตกใจ อยากก้าวเข้าไป แต่ก็กลัวว่าจะโดนเอ็ดซ้ำ จึงทั้งอับอายและอึดอัดใจ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งขมวดคิ้วแน่น มองดูสีหน้าอนุฟางที่บัดเดี๋ยวดำ บัดเดี๋ยวแดง สกปรกเลอะเทอะไปทั้งตัว พอเข้าใกล้ ยังได้กลิ่นสาบของหมูด้วย


 


 


และพอเห็นบ่าวที่อยู่ในลานหน้าห้องครัวหลายคนปิดปากแอบหัวเราะ ไม่กล้าหัวเราะออกมาตรงๆ ก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาล ตอนอยู่ในเรือน นางวางท่าทางใหญ่โตกับบ่าวก็แล้วกันไป นี่ยังมาทะเลาะกับคนฆ่าหมูไปได้!


 


 


จึงสะบัดแขนเสื้อ “ยังไม่รีบกลับเรือนของเจ้าอีก! ไม่ต้องไปหาข้าแล้ว! ขายหน้า!” ว่าเสร็จก็หันกายเดินจากไป


 


 


อนุฟางคับแค้นใจจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กลับไปก่อน


 


 


 


 


ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง พกความโกรธกลับเข้ามานั่งในเรือนหลัก ตั้งแต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องพระข้างห้องบูชาบรรพชน หลังบ้านยิ่งมาก็ยิ่งเละเทะ อนุฟางโตมาจากบ่าวไพร่ ไม่รู้หนังสือ ไม่รู้วิธีบริหารจัดการคน พอลูกสาวได้ดิบได้ดีหน่อยก็นั่งไม่ติด ยโสโอหังมากขึ้น ไม่มีความนิ่งแม้แต่น้อย แล้วจะให้นางเป็นนายหญิงได้อย่างไรเล่า


 


 


ตอนแรกยังรู้สึกว่านางอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักปรนนิบัติคน แต่พอได้รับคำเยินยอ กลับเก็บอาการไม่อยู่ นานวันเข้าก็ลายออก ยิ่งเห็นตนก็ยิ่งรังเกียจ ความรู้สึกดีๆ ก่อนหน้านี้หายไปหมด


 


 


อนุฟางนี่ เห็นทีจะเป็นหญิงงามที่ชาญฉลาดไม่ได้ ให้ช่วยจัดการงานหลังบ้านก็ไม่ได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกสาวออกเรือนไปจวนอ๋อง ตอนนี้ต้องถูกเตะออกจากบ้านไปแล้ว


 


 


เหลียนเหนียงเห็นว่านายท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกลับมา โดยไม่มีอนุฟางตามมาด้วย ก็รู้แล้วว่าวันนี้อนุฟางน่าจะไม่มาแล้ว จึงโล่งอก ยกน้ำชาเข้าไป พูดปลอบประโลมด้วยคำพูดที่ไพเราะเสนาะหู


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าเหลียนเหนียงรูปโฉมงดงาม และค่อยๆ พูดค่อยๆ จา จิตใจจึงสงบลง พอดื่มน้ำชาไปสองถ้วย ก็จับมือเล็กๆ ของเหลียนเหนียงขึ้น แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมอก


 


 


เหลียนเหนียงรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็ตื่นตกใจ นี่ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลย เกรงว่าอาจถูกครหาได้ แต่ใน


 


 


เมื่อนายท่านต้องการ จะปฏิเสธก็ไม่สู้ดี จึงมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพียงครางออกมาเบาๆ แล้วยกแขนทั้งสองข้าง


 


 


คล้องคอนายท่านไว้


 


 


ครั้นอาทิตย์อัสดง ขณะคนสกุลอวิ๋นกำลังรับประทานอาหารอยู่ในโถงด้านหน้า หัวหน้าบ่าวในเรือนหลักก็เข้ามารายงานหญิงชราว่า วันนี้นายท่านไม่มาทานมื้อเย็นแล้ว อีกประเดี๋ยวตนจะกำชับให้ทางห้องครัวอุ่นกับข้าวไว้ แล้วส่งไปที่เรือนหลัก


 


 


ถงฮูหยินรู้สึกสงสัย หัวหน้าบ่าวจึงก้าวเข้ากระซิบข้างหู ถงฮูหยินใบหน้ากระตุก ขมวดคิ้ว จมูกแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงส่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้น


 


 


“เรากินข้าวกันเถอะ อากาศเย็นเร็ว กินอาหารเย็นๆ แล้วจะไม่ดีต่อกระเพาะ”


 


 


ทุกคนจึงพร้อมใจกันหยิบตะเกียบขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านย่าไม่ได้ถามอะไรหัวหน้าบ่าวมากมาย จึงแอบบอกให้ชูซย่าไปสืบที่เรือนหลักดู จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นอย่างสงบนิ่ง แล้วแกล้งพูดอย่างนอบน้อม


 


 


“ท่านพ่อออกเช้ากลับดึก ลำบากขนาดนี้ก็ยังมาทานข้าวกับท่านย่าเป็นประจำ วันนี้ทำไมถึงยังไม่มาล่ะเจ้าคะ ไม่สบายหรือเปล่า เดี๋ยวชิ่นเอ๋อร์ไปดูหน่อยดีกว่า”


 


 


ตะเกียบของถงฮูหยินชะงักกลางอากาศ ยิ้มให้นางแบบกระอักกระอ่วนน้อยๆ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “อย่าเลย ไม่ต้องไปหรอก พ่อเจ้าตัวใหญ่ขนาดนั้น ทำไมจะไม่รู้จักดูแลตัวเอง อาจเป็นเพราะวันนี้เอางานกลับมาทำที่บ้าน เลยปลีกตัวมาไม่ได้”


 


 


หญิงชรามักมองว่าผู้ชายในบ้านเป็นสมบัติล้ำค่า กระทั่งได้ยินเสียงไอทีหนึ่งก็ต้องรีบเรียกหมอมาตรวจดู แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ปล่อยปละละเลยล่ะ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดอะไรมาก ตอบอย่างนุ่มนวล


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านย่า”


 


 


ต่างคนต่างจึงรับประทานอาหารค่ำพลางสงสัยในใจ พอรับประทานเสร็จ ก็แยกย้ายกันไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม