ลำนำสตรียอดเซียน 90-115

ตอนที่ 90

 

ช่วยชีวิต

โม่เทียนเกออยู่ในภวังค์ความงุนงง


 


 


ท่านอารองหมดสติและตื่นขึ้นซ้ำไปมาและสถานการณ์ของพวกเขาก็แย่ลง นางรู้ว่าท่านอารองบาดเจ็บอยู่แล้ว และช่วงสุดท้ายในชีวิตของเขาก็กำลังจะมาถึง และครั้งนี้เพราะเขาใช้กำลังเกินตัว บาดแผลของเขาจึงแย่ลงและอายุขัยของเขา… ก็ลดลงจนมาถึงจุดที่แทบจะไม่มีเหลืออีกต่อไป


 


 


นางคอยมองท่านอารองผู้ที่กำลังหมดสติ สมองของนางว่างเปล่า จุดหนึ่งนางคิดแม้กระทั่งน่าจะปล่อยให้คนพวกนั้นจับตัวนางไป สุดท้ายแล้ว เทียนเฉี่ยวตายเพราะนางและท่านอารองก็กำลังจะตาย แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา ทุกคนที่สำคัญกับนางล้วนทิ้งนางไว้ข้างหลัง พ่อของนาง แม่ของนาง เทียนเฉี่ยว ท่านอารอง… แล้วเหตุผลอะไรที่นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อะไรคือประโยชน์ของการเป็นเซียนถ้านางจะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว นางยอม… นางยอมเป็นมนุษย์ธรรมดาตลอดไปดีกว่า!


 


 


“เสี่ยวเทียน…” เยี่ยเจียงเรียกด้วยเสียงที่อ่อนแรง


 


 


โม่เทียนเกอรีบเข้ามาหาเขา “ท่านอารอง ข้าอยู่นี่” นางบอก


 


 


เยี่ยเจียงลืมตา รวบรวมกำลังที่มีและพูด “ฟังข้า ถ้า… ไม่มีใครมา เจ้า… เจ้าจงเอาเครื่องรางหยกซ่อนวิญญาณ… นำสิ่งนั้นไปที่โรงเรียนเสวียนชิง… ด้วย… ด้วยชื่อเสียงของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง… น่าจะเป็นไปได้ถ้า… ถ้าในอนาคต… กลุ่มเจียงต้องการที่จะต่อกรกับเจ้า… พวกเขาจะต้องคิด… คิดให้มากกว่านี้…”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ข้าเข้าใจ”


 


 


เยี่ยเจียงหลับตาลงอีกครั้งพร้อมบ่นพึมพำเบาๆ “โรงเรียนเสวียนชิง… อยู่ห่างจากที่นี่พันกว่าลี้ ข้าสงสัยเหลือเกินหากพวกเขามีลูกศิษย์ที่ท่องอยู่รอบๆ แถวนี้หรือเปล่า…”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้ที่ท่านอารองใช้เป็นอันที่เย่จิงเหวินให้เขาไว้พร้อมกับสมบัติที่เหลือของพ่อนางตอนที่เขาพานางมาหาท่านอารองในปีนั้น ท่านอารองเก็บไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่คาดคิด มันกลับเป็นของที่มีประโยชน์


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดหวังอะไรในใจของนาง พวกเขาอยู่ห่างกว่าพันลี้จากโรงเรียนเสวียนชิง และถึงแม้อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งจะได้รับข้อความและรีบบอกศิษย์ของเขาที่อยู่ใกล้ให้มาช่วยพวกเขา พวกเขาก็อาจจะมาไม่ทันเวลา หลังจากเวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว การสำรวจของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้น่าจะพบเจอกับจุดที่พวกเขาต่อสู้ก่อนหน้านั้น


 


 


สำหรับอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง พวกเขาเป็นคนที่เลือกเดินออกมาเอง ดังนั้นมันคงจะดีมากแล้วถ้าเขายังจำคุณงามความดีของพ่อนางได้และยินดีที่จะส่งคนมาที่นี่ แต่เขาอาจจะไม่ยินดีที่จะมาช่วยพวกเขาก็ได้เช่นกัน


 


 


อีกอย่าง แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขานำโรงเรียนเสวียนชิงเข้ามาเกี่ยว ด้วยระยะทางที่ไกลระหว่างพวกเขากับโรงเรียนเสวียนชิง การขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากโรงเรียนเสวียนชิงไม่น่าเพียงพอต่อการยับยั้งเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักอวิ๋นอู้ได้


 


 


ถึงอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางได้เตรียมใจไว้แล้ว นางพยายามอย่างหนักเพื่อให้มีชีวิตรอดแต่ถ้านางต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป…


 


 


อย่างไรก็ตาม… นางไม่เหลือใครอีกแล้ว


 


 


ผู้ฝึกตนของการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคนมารวมตัวกันอยู่ทางด้านนอกของหมู่บ้านเล็กๆ


 


 


สำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บาดเจ็บสาหัส และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้หาตัวยากเลย


 


 


เมื่อพวกเขาเจอเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็พบว่าสิ่งต่างๆ อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดไว้


 


 


สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือม่านพลังทำลายหยินหยาง


 


 


หลังจากผู้ฝึกตนที่เข้าไปในม่านพลังอย่างสะเพร่าต้องบาดเจ็บหนัก สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่ชาวลัทธิเต๋าวัยกลางคนผู้ซึ่งเป็นคนนำพวกเขามา ถ้าโม่เทียนเกอเห็นชาวลัทธิเต๋าผู้นี้นางก็จะจำเขาได้ทันที คนผู้นี้คืออาจารย์ลุงชิงอวี่ ผู้ที่เทศนาในวัดอยู่เป็นประจำ ความจริงแล้ว อาจารย์ลุงผู้นี้มาจากกลุ่มเจียง ชื่อจริงของเขาคือเจียงชิงอวี่


 


 


เจียงชิงอวี่นิ่งเงียบ ด้วยชื่อของม่านพลังนี้ที่ดูโหดร้าย มันจึงไม่ได้ง่ายนักที่จะทำลายมัน ภายในม่านพลัง พลังแห่งหยินและหยางจะถูกสลับกันและมันจะเป็นอันตรายไปทั่ว มันเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจะสามารถวางได้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้อาวุโสของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังขนาดนี้ ถ้าผู้นั้นอยู่ในสำนักของพวกเขา เขาจะต้องจัดอยู่ในกลุ่มของหนึ่งในผู้มีฝีมือทีเดียว


 


 


ใครบางคนตะโกนขึ้นทันที “ไม่ว่าม่านพลังนี้จะเป็นอะไร พวกเราก็มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่มากมาย ตราบใดที่พวกเราโจมตีเข้าไปพร้อมกัน พวกเราก็จะต้องทำลายมันลงได้อย่างแน่นอน!”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงชิงอวี่ “ฮึ่ม” พร้อมพูด “ถ้าเช่นนั้น พวกเราทุกคนก็พากันไปตายพร้อมกับพวกเขาเท่านั้น!”


 


 


ทุกคนต่างประหลาดใจ ใครบางคนถามว่า “มันน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”


 


 


เจียงชิงอวี่พูด “ม่านพลังนี้ที่จริงแล้วเป็นม่านพลังแบบง่ายๆ ของม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต ข้าคงไม่ต้องบอกพวกเจ้าสินะว่าม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาตคืออะไร ใช่ไหม”


 


 


ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างไร้คำพูด พวกเขาต่างเคยได้ยินเกี่ยวกับม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต มันเป็นหนึ่งในม่านพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่กี่อันที่สืบทอดมาจากยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น มันเป็นที่รู้จักเกี่ยวกับความน่ากลัวของมันและสามารถวางได้ด้วยผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่หรือสูงกว่าเท่านั้น


 


 


บางกลุ่มผู้ฝึกตนในคุนอู๋ใช้ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่ช่วยปกป้องขุนเขาอันกว้างใหญ่ไว้ ในกลุ่มที่เป็นที่รู้จักและทำได้สมบูรณ์ที่สุดคือม่านพลังที่คุ้มครองโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


ตามที่กล่าวกันมา ในปีนั้นเมื่อสัตว์ปีศาจจากป่าแห่งคุนอู๋ทางใต้เคลื่อนตัวมาเป็นกลุ่มอย่างดุร้ายป่าเถื่อนและเข้ามาโดยที่ทุกกลุ่มผู้ฝึกตนในคุนอู๋ไม่ทันตั้งตัว ต้องขอบคุณม่านพลังนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิงได้วางไว้จึงไม่ได้มีผู้เคราะห์ร้ายมากนักและสามารถจัดการฆ่าเหล่าสัตว์ปีศาจไปได้กว่าหมื่นตนแทน มันเป็นหลักฐานอย่างดีว่าม่านพลังนี้ทรงพลังขนาดไหน


 


 


ในเมื่อม่านพลังนี้เป็นม่านพลังแบบง่ายของม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาต ถึงแม้ว่าพลังของมันจะเทียบได้เพียงแค่หนึ่งในหมื่นของม่านพลังต้นตำรับ แต่มันก็ยังยากที่จะรับมือด้วย


 


 


“อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหนทางแก้ไขเสียเลย” เจียงชิงอวี่พูดขณะที่ลูบเคราของเขา


 


 


“ศิษย์พี่เจียง ได้โปรดรีบชี้แนะด้วย ท่านหัวหน้าสำนักย่อยกำลังรอความคืบหน้าจากพวกข้าอยู่!”


 


 


ในขณะที่เขามองไปทางบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมเหล่านั้น เขาก็พึมพำ “ง่ายมาก… ถึงแม้ว่าพลังของม่านพลังนี้จะหาที่ใดเปรียบมิได้ พลังวิญญาณที่มันต้องดูดกลืนก็มหาศาลเช่นกัน พวกเราก็เพียงแค่ต้องใช้สัตว์วิญญาณและปล่อยให้มันโจมตีไปเรื่อยๆ มีความเป็นไปได้ที่ศิลาวิญญาณของคู่ต่อสู้เรามิอาจทนได้นาน”


 


 


ป่าทางตอนใต้ของคุนอู๋นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจเหลือคณา ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเก็บพวกมันบางตัวไว้ในฐานะสัตว์วิญญาณ อย่างไรก็ตาม สัตว์วิญญาณที่ดีๆ บางตัวไม่ง่ายที่จะครอบครองและเลี้ยงดู เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนได้ยินแผนการที่เจียงชิงอวี่กล่าว พวกเขาต่างลังเลและไม่มีใครพูดตอบออกมา


 


 


เจียงชิงอวี่ต้องการเพียงแค่จะดูท่าทางของพวกเขาว่าคิดกันอย่างไร เขาส่งเสียงฮึ่มพร้อมกับพูดว่า “ในเมื่อทุกคนไม่ยินดี งั้นก็รอกันต่อไป พวกเราจะรอจนกว่าศิลาวิญญาณจะหมด หรือบางทีก็รอจนกว่าหัวหน้าสำนักย่อยจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสองคนนั้นคงจะจับตัวได้ง่ายทีเดียว”


 


 


ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ไม่มีใครเอาสัตว์วิญญาณของตัวเองออกมา เจียงชิงอวี่ไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่มองหาพื้นที่สำหรับนั่งคอยเท่านั้น


 


 


ความจริงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นใด แต่แม้กระทั่งตัวเขาเองก็รู้สึกลังเล อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนั้นก็ไม่สามารถหนีได้ ดังนั้นทำไมเขาจะต้องโยนสัตว์วิญญาณที่เพียรพยายามเลี้ยงมาด้วยล่ะ


 


 


ภายใต้การนำของเจียงชิงอวี่ เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่าเริ่มมองหาที่นั่ง รอให้ศิลาวิญญาณที่ใช้กับม่านพลังทำลายหยินหยางนั้นจะหมดลง


 


 


ในขณะที่พวกเขารอ ใครบางคนเดินไปข้างเจียงชิงอวี่และถามว่า “ศิษย์พี่เจียง สุดท้ายแล้ว ใครคือศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณผู้นี้หรือ เขามีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งและยังกล้าที่จะฆ่านายน้อยแห่งกลุ่มเจียง… เขาช่างกล้ายิ่งนัก!”


 


 


เจียงชิงอวี่ลืมตาและพูดอย่างเกียจคร้าน “ในเรื่องนี้ หัวหน้าสำนักย่อยก็ต้องการคำตอบเช่นกัน” ถึงแม้ว่าศิษย์ของเขาจะถูกฆ่าไป แต่ศิษย์ผู้นั้นก็ทำตัวน่าผิดหวัง ดังนั้นเขาก็ไม่ได้เจ็บปวดจากการตายของศิษย์ผู้นั้นเท่าไหร่


 


 


เมื่อเห็นว่าเจียงชิงอวี่แสร้งดูกระวนกระวายอย่างไร ผู้ฝึกตนที่ถามคำถามนั้นหัวเราะออกมาด้วยความเสแสร้งก่อนที่เขาจะหยุดพูดไป


 


 


ถึงอย่างไรก็ตาม ใครบางคนเลือกที่จะพูดเรื่องนั้นต่อ “ระหว่างทางที่มา ข้าพบศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนที่อยู่ภายใต้การนำของศิษย์น้องเหวย พวกเขาพูดว่าเย่เสี่ยวเทียนคนนี้จริงๆ แล้วเป็นผู้หญิง!”


 


 


“อะไรนะ!” สิ่งที่เขาพูดทำให้คนอื่นสนใจขึ้นมาในทันที บางคนพูดว่า “แสดงว่าหญิงผู้นั้นแสร้งเป็นผู้ชายและแอบเข้ามาที่สำนักอวิ๋นอู้ของเราอย่างนั้นหรือ”


 


 


คนที่พูดก่อนหน้านั้นกระแอมเบาๆ ก่อนที่จะเตือนเขาว่า “ศิษย์น้องจาว ตอนนี้ต้องเรียกว่าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แล้ว”


 


 


เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่หลุดปากพูดออกไป คนผู้นั้นรีบพูด “ใช่ ใช่ นางแอบเข้ามาที่สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ นางอาจจะปิดบังเจตนาร้ายบางอย่างเอาไว้ก็ได้”


 


 


“ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงแม้นางจะทำเช่นนั้น ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณจะทำอะไรได้กัน อีกอย่างเย่เสี่ยวเทียนก็เป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาในสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ของเราอยู่แล้วมิใช่หรือ”


 


 


ศิษย์น้องจาวตอบ “ธรรมดาๆ น่ะหรือ ดูเหมือนว่า… ตอนนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบปีมิใช่หรือ จะอย่างไรก็ตามนางก็อยู่ในระดับสิบแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว และยังสามารถครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลังได้อีก! นางไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกศิษย์ชั้นหัวกะทิเลยทีเดียว!”


 


 


“ถึงกระนั้น ตั้งแต่แรก ศิษย์ที่เข้าร่วมสำนักจากงานรวมพลเซียนต่างเทียบได้กับศิษย์ชั้นยอดทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเกี่ยวกับนาง”


 


 


“ก็จริง… อย่างไรก็ตาม ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณคนนี้พยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดสังเกตมาโดยตลอด แล้วทำไมอยู่ๆ นางถึงฆ่านายน้อยเจียง”


 


 


เมื่อมีคำถามนี้เกิดขึ้นมา ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบ


 


 


อย่างไรก็ตาม เจียงชิงอวี่ยิ้มเยาะและพูด “ทำไมจะเป็นอื่นไปได้ ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณที่รู้จักเย่เสี่ยวเทียนยืนยันกับข้าว่าศิษย์ที่น่าผิดหวังของข้าเป็นคนเรียกนางให้ออกไปหา สถานที่ที่พวกเขาถูกฆ่าก็เป็นจุดที่ผู้คนไม่ค่อยได้เดินผ่าน ดังนั้นในเมื่อเย่เสี่ยวเทียนเป็นผู้หญิง ยังจะต้องการเหตุผลในการอธิบายอีกหรือ”


 


 


ทุกคนเงียบเสียง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคาดเดาเหตุผลไปต่างๆ นานา แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา เจียงชิงอวี่นั้นมาจากกลุ่มเจียง เป็นศิษย์น้องของหัวหน้าสำนักย่อย และเป็นผู้อาวุโสของเจียงเฉิงเสียนคนที่ถูกฆ่า เขาสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา แต่คนอื่นไม่กล้าอย่างแน่นอน


 


 


ไม่มีใครพูดขึ้นมาอีก คนที่ต้องการพักผ่อนก็หาที่พัก และคนที่ต้องการทำสมาธิก็นั่งทำสมาธิต่อไป


 


 


ระยะเวลาผ่านไปนานพอควร อยู่ๆ เจียงชิงอวี่ก็เงยหน้าขึ้น และเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


 


 


พวกเขาเห็นกลุ่มแสงปรากฏขึ้นอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้า ด้วยแรงกดดันอันทรงพลังที่เกิดขึ้น คนผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแน่นอน!


 


 


ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นเพียงผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหาะผ่านไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องประหลาดใจเมื่อลำแสงนั้นค่อยๆ ลดระดับลงและกำลังพุ่งตรงเขามาหาพวกเขา


 


 


เหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบสองคนต่างยืนขึ้นทีละคนและมองกันไปมา ดูเกรงขามขึ้นมาทันที


 


 


พวกเขาทั้งหมดต่างนึกว่าในเมื่อลำแสงนั้นเป็นสีแดง จึงไม่ใช่หัวหน้าสำนักย่อยแต่แล้วใครล่ะที่จะมายังสถานที่แห่งนี้”


 


 


คำตอบเผยออกมาในอีกไม่ช้า ลำแสงนั้นร่อนลงที่พื้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา


 


 


คิ้วของเจียงชิงอวี่ขมวดกันแน่นมากขึ้น ชุดของผู้นี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเครื่องแบบของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่เขามีแรงกดดันเช่นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างไร


 


 


แต่ความคิดนี้เพียงแค่แล่นผ่านเข้ามาในจิตใจของเขาชั่วขณะเพราะชายหนุ่มคนนั้นได้ตวัดสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งมาทางพวกเขาแล้ว


 


 


เขาและกลุ่มของเจียงชิงอวี่ต่างจ้องมองอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วพวกเขากล่าวทักทายชายหนุ่มผู้นั้น “คารวะท่านผู้อาวุโส”


 


 


ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะได้ยินคำทักทายนั้น สายตาเขาไม่ได้จับจ้องไปที่พวกนั้น แต่จ้องอยู่ที่ม่านพลังด้านนอกของบ้านที่ทรุดโทรมหลังนั้นพร้อมกับพูดพึมพำกับตัวเอง “ม่านพลังทำลายหยินหยาง ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอมัน ณ ที่นี้เลย เยี่ยเจียงผู้นี้เหมาะสมแล้วที่เป็นน้องชายของเย่ไห่ เขาช่างมีทักษะที่คล้ายกันจริงๆ”


 


 


ในขณะที่เขาพูด ใครคนหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ท่าน… นี่ท่านคือ…”


 


 


ชายหนุ่มเบนสายตาของเขาไปจ้องมองผู้นั้นด้วยความเยือกเย็น


 


 


เมื่อตระหนักว่าสหายผู้ฝึกตนของเขาได้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังด้านหน้าพวกเขาขุ่นเคือง เจียงชิงอวี่รีบพูดว่า “ท่านอาวุโส โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย พวกเราศิษย์สำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้แห่งสำนักจื่อซย่า ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือ…”


 


 


ชายหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงฮึ่มในลำคอแต่ไม่ได้ตอบ เขาเพียงแต่จ้องมองไปที่ชายผู้ที่พูดออกมาก่อนหน้านั้นพร้อมบอกว่า “อาจารย์ลุงซู ดูเหมือนว่า…ท่านจะจำข้าได้”


 


 


ทุกคนต่างหันไปมองผู้ฝึกตนอายุสี่สิบกว่าตามๆ กัน ศิษย์น้องจาวกระซิบ “ศิษย์พี่ซู ท่านอาวุโสผู้นี้คือ…”


 


 


ศิษย์พี่ซูมองไปที่ชายหนุ่มนั้น เมื่อเห็นว่าผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีที่จะหยุดเขา เขาจึงกระซิบกลับ “ข้าเคยเจอท่านผู้อาวุโสนี้ที่ห้องปรุงยาของศิษย์น้องโหลว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาในตอนนั้น…”


 


 


ท่าทางของทุกคนเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น สืบเนื่องจากพลังกดดันของเขา ผู้อาวุโสนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นแน่แท้ ถ้าสิ่งที่ศิษย์พี่ซูบอกเป็นความจริง นั่นก็จะหมายความว่าผู้นี้แสร้งเป็นศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณและลี้ภัยเข้ามาอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้… อะไรทำให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังต้องวางแผนเช่นนี้กัน


 


 


สุดท้ายก็เป็นเจียงชิงอวี่ที่หยุดเรื่องราวต่างๆ เขาพูดด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโส ท่านมีสิ่งใดชี้แนะพวกข้าบ้าง”


 


 


“ชี้แนะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่กังวลว่าจะสุภาพต่อเจียงชิงอวี่หรือไม่ เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าต้องการสองคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น”


 


 


เจียงชิงอวี่ตะลึง เขาพูด “ท่านผู้อาวุโส ด้านในนั้นเป็นผู้ทรยศของเขาอวิ๋นอู้ หัวหน้าสำนักย่อยของพวกข้าได้สั่งการมาโดยตรงให้พวกข้าจับพวกเขาไป นี่ท่าน…”


 


 


“อะไร นี่ท่านไม่ยินยอมหรือ” ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อของเขา ส่งความกดดันของพลังวิญญาณให้แผ่พุ่งออกมากดเหล่าผู้ฝึกตนรอบๆ ทันที


 


 


พวกเขาจะต้านทานต่อแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างไร หลายคนต้องก้าวเท้าถอยออกไปและสีหน้าดูซีดเซียวทันที


 


 


ชายหนุ่มเย้ยหยันพร้อมพูดว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้า ข้าแค่บอกให้เจ้ารู้ไว้ ในเมื่อเห็นว่าพวกเราอยู่สำนักเดียวกันมาเป็นระยะหลายปี ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าวันนี้ ไสหัวไป!” ​​​​​​​

 

 

 


ตอนที่ 91

 

โศกเศร้า

โม่เทียนเกอรับรู้ว่าข้างนอกมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนเฝ้าอยู่ แต่นางขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลเรื่องพวกเขา ต่อให้นางออกไปจัดการกับพวกเขา แล้วนางจะทำอะไรได้ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะไปสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังตั้งหลายคนได้อย่างไร ไม่ว่ากรณีใด ถ้าไม่มีกองหนุน มันก็เป็นเพียงแค่เวลาไม่นานเท่านั้นก่อนที่นางและท่านอารองจะต้องจบชีวิต 


 


 


เสียงดังเอะอะจากด้านนอกปลุกให้โม่เทียนเกอตื่นจากภวังค์ นางคว้ากระบี่ป่าขจีออกมา เพื่อที่จะเลี่ยงการตกเป็นเป้าของการทรมานหลังจากที่จะ 


 


 


ต้องตกไปอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนเหล่านั้น นางตั้งใจมุ่งมั่นแล้วว่าจะไปปรโลกด้วยกันกับท่านอารองเสียเลย 


 


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางกำลังจะเหวี่ยงกระบี่ มือของนางก็ชาขึ้นมาในทันใด มือที่กำอยู่คลายออกและกระบี่ตกลงสู่พื้น ในไม่ช้านางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “เจ้าทำอะไรน่ะ”  


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้ามองและต้องตะลึงทันที “ท่าน…”  


 


 


ฉินซีที่เดินเข้ามาในบ้านขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าอยากจะฆ่าตัวตายหรอกหรือ”  


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน” โม่เทียนเกอจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง 


 


 


ฉินซีไม่ได้พูดอะไร เขาเดินตรงมาหา จับข้อมือของเยี่ยเจียงและใส่พลังวิญญาณบางส่วนลงไปตรวจอาการบาดเจ็บของเยี่ยเจียง 


 


 


คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอีกครั้งระหว่างกำลังตรวจดู เมื่อเขาทำเสร็จ เขาหยิบกล่องหยกขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเอกภพและเปิดออก เผยให้เห็นพืชวิญญาณสดใหม่และฉ่ำน้ำอยู่ภายใน จากนั้นเขาเด็ดใบของมันออกมาและบีบน้ำเข้าปากเยี่ยเจียงก่อนที่จะทำท่ามุทรา ลำแสงสีสดราวกับไฟถูกส่งไปพร้อมกับใบนั้นเข้าสู่ร่างของเยี่ยเจียง 


 


 


การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ไม่นานหลังจากที่เขาทำทุกอย่างเสร็จ โม่เทียนเกอถึงได้สติคืนกลับมาและมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง นางถามว่า “ศิษย์… ศิษย์พี่ฉิน ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านป้อนอะไรให้ท่านอาของข้าหรือ”  


 


 


ฉินซีที่ยังคงถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาสู่ร่างกายของเยี่ยเจียงเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาและเหลือบมองนางก่อนเขาจะตอบว่า “นี่เป็นแค่วิธีชั่วคราวเพื่อยืดอายุของเขา อาการบาดเจ็บท่านอาของเจ้าหนักเกินไป ข้าทำได้แค่ปลุกเขาเพียงครู่หนึ่ง”  


 


 


“นี่…” โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สถานการณ์ตอนนี้เกินความคาดหมายของนางไปมากแล้วและสมองของนางก็เต็มไปด้วยคำถาม แต่นางกลับไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้สึกว่าฉินซีดูเหมือนจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้ นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวนางเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หรือนั่นหมายความว่า…  


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ท่านสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จแล้วหรือ”  


 


 


ฉินซีไม่ได้ตอบเพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายทอดพลังวิญญาณสู่ร่างของเยี่ยเจียง 


 


 


เมื่อเห็นว่าการกระทำของเขาดูเหมือนจะไม่ได้เป็นภัยต่อท่านอารอง โม่เทียนเกอครุ่นคิดอีกสักพักจากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะออกไปข้างนอก และนางก็ต้องแปลกใจเมื่อสภาพแวดล้อมรอบๆ ร้างหมด ไม่มีคนแม้แต่คนเดียวอยู่ที่นั่น!  


 


 


นางตกใจเป็นที่สุด ต่อให้ฉินซีสร้างฐานแห่งพลังของเขาสำเร็จ เขาจะสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคนได้อย่างไร อีกอย่าง แล้วเขามาที่นี่ได้อย่างไรตั้งแต่แรก 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตอนนี้จิตใจของตัวเองสับสนวุ่นวายไปหมด เกิดอะไรขึ้นเนี่ย 


 


 


อย่างไรก็ตาม นางยังไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะขณะนั้นเอง จู่ๆ เยี่ยเจียงก็ร้องครางขึ้นมาขณะที่เขาฟื้นคืนสติ 


 


 


“ท่านอารอง!” โม่เทียนเกอร้องเรียกขณะที่รีบเข้าไปหาเขา 


 


 


หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก เยี่ยเจียงก็สามารถลืมตาขึ้นได้ในที่สุด เขาสังเกตภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่งก่อนที่จะหยุดสายตาของเขาที่ร่างของฉินซี เขาถาม “เจ้าคือ…”  


 


 


ฉินซีกล่าว “แซ่ของข้าคือชิน”  


 


 


เยี่ยเจียงตัวสั่นพร้อมกับความตื่นเต้นที่วาบผ่านดวงตาเขา “เจ้า… เจ้าคือ…”  


 


 


ฉินซีเผยรอยยิ้มบางๆ และบอกว่า “ข้ามาจากกลุ่มชิน ข้าบังเอิญได้รับข้อความ ดังนั้นข้าจึงรีบมา”  


 


 


ถึงแม้ว่าคำตอบของฉินซีจะยืนยันการคาดเดาของเขา เยี่ยเจียงก็ยังสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เขาหลับตา คว้าข้อมือของฉินซีพร้อมกับหอบหายใจพูดว่า “ในที่สุด… ในที่สุด… มาทันเวลา…”  


 


 


ฉินซียกมืออีกข้างเพื่อหยุดเขา เขาพูดว่า “อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป ข้าไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของท่านได้ ตอนนี้ที่ข้าทำได้ก็คือช่วยให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้สักพักหนึ่ง ถ้าท่านมีอะไรที่ต้องการจะพูด ได้โปรดพูดมาโดยด่วน”  


 


 


สิ่งที่ฉินซีพูดทำให้สายตาของเยี่ยเจียงสิ้นหวังลงเล็กน้อย แต่ไม่ช้าเขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ เขารู้มานานแล้วว่าเขาคงไม่รอดชีวิต แต่อย่างน้อยเสี่ยวเทียนก็จะปลอดภัย!  


 


 


“ท่านอารอง…” ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าท่านอารองไม่ได้เหลือเวลามีชีวิตอยู่อีกนานนัก แต่การต้องมองเขาขณะที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยก็ทำให้หัวใจของนางแตกสลาย นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉินซีและพูดอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ฉิน ท่านพอมีวิธีใช่ไหม ท่านช่วยชีวิตท่านอารองได้ไหม—”  


 


 


เยี่ยเจียงยกมือขึ้นเพื่อหยุดนาง เขายิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวเทียน… อย่าเศร้าไปเลย… วันนี้… อย่างไรก็ต้องมาถึง”  


 


 


โม่เทียนเกอจะไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่านางกำลังทำตัวไร้เหตุผลอยู่ตอนนี้ แต่มันก็แค่… นางไม่สามารถจะ… 


 


 


เยี่ยเจียงถอนหายใจออกมาแผ่วเบาและพูดว่า “เสี่ยวเทียน เจ้า… ไปรอข้างนอก อีกสักพักเจ้าค่อยกลับเข้ามาอีกครั้ง”  


 


 


โม่เทียนเกอเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยความสับสน “ท่านอารอง ข้า…”  


 


 


“ทำตามที่ข้าสั่ง” เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “แค่ครู่เดียว…”  


 


 


เมื่อเห็นนางยังลังเล ฉินซีจึงบอกว่า “ศิษย์น้องเยี่ย วางใจเถอะ ข้าจะอยู่ตรงนี้”  


 


 


โม่เทียนเกอจ้องกลับไปกลับมาระหว่างสองคนที่อยู่ตรงหน้า ท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้การยืนกรานของท่านอารอง นางจึงพยักหน้ารับ ท่านอารองคงมีเหตุผลของเขา นางคิดว่า… นางควรทำตามที่ท่านอารองบอกนางเพราะในอนาคต… นางอาจไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีกแล้ว 


 


 


หลังจากโม่เทียนเกอออกไป ฉินซีมองตาเยี่ยเจียงและเข้าใจได้ว่าเยี่ยเจียงหมายความว่าอะไร ด้วยการโบกมือหนึ่งที เกราะฉนวนกันเสียงปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ท่านสหายนักพรตเยี่ย ท่านพูดมาได้ตามตรง”  


 


 


เยี่ยเจียงจ้องชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบปีราวกับว่าเขากำลังวิเคราะห์ชายหนุ่มคนนั้น จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าไม่บังอาจ… ให้เรียกว่าสหายนักพรต ข้าคิดว่าศิษย์พี่… คงจะเป็น… ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งใช่ไหม”  


 


 


ฉินซีหลุบตาลงต่ำและถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไร”  


 


 


เยี่ยเจียงอ้าปากหอบเพื่อสูดหายใจก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าระดับ… การฝึกตนของข้าจะไม่… ดีเท่าศิษย์พี่ แต่ข้าก็ยัง… มีประสบการณ์อยู่บ้าง… แม้ว่าข้าได้ฝึกตน… จนถึงเพียงแค่… แค่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง… แต่วิธีการของท่านคือ… คือวิธีของพวก… ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”  


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจียงพูดได้ยากลำบากแค่ไหน ฉินซีจึงถ่ายทอดพลังวิญญาณบางส่วนของเขาเข้าสู่เส้นลมปราณของเยี่ยเจียง “พี่ชายที่เคารพของท่านคือสหายที่ข้าผ่านความท้าทายต่างๆ มาด้วยกัน ในเมื่อท่านเป็นน้องชายของเขา ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หรอก”  


 


 


เยี่ยเจียงผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฉินซี อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เปลี่ยนท่าทีที่เขาเรียกฉินซี “นั่นหมายความว่า… ศิษย์พี่ไม่สนใจ… สนใจเรื่องเกี่ยวกับเมื่อปีนั้นหรือ”  


 


 


ฉินซีเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจกระบวนการคิดของเจ้า แต่ทำไมข้าต้องมาเถียงกับพวกศิษย์น้องด้วยเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ด้วย”  


 


 


บัดนี้ที่เขาได้รับการยืนยัน ในที่สุดเยี่ยเจียงก็สามารถปลดปล่อยความกังวลทั้งหลายของเขาได้ เยี่ยเจียงหลับตาลงและหอบหายใจครู่หนึ่ง เมื่อเขาหายใจสะดวกเขาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ได้โปรดอภัย… ให้ศิษย์น้องด้วยที่… หยาบคาย… ศิษย์พี่… อาจจะมี… ความรู้สึกที่ดีต่อ… เสี่ยวเทียนใช่ไหม”  


 


 


เมื่อคำถามของเยี่ยเจียงถูกถามออกมา สายตาของฉินซีเฉียบคมขึ้นทันที เขาถามอย่างใจเย็น “ท่านหมายความว่าอย่างไร”  


 


 


เยี่ยเจียงรู้ว่าคำถามของเขาทำให้ฉินซีเคืองเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เยี่ยเจียงไม่ได้รู้สึกประหม่าและยังคงพูดต่อไปช้าๆ “ศิษย์พี่ โปรดอย่า… อย่าเข้าใจผิด… ความรู้สึกที่ดี… ที่ศิษย์น้องหมายถึงไม่ใช่… ความรัก แต่แค่… เพราะศิษย์พี่ดูเหมือน… ไม่อยากจะให้… เสี่ยวเทียนรู้เกี่ยวกับ… ตัวตนของท่าน… ศิษย์น้องสัมผัสได้ว่า… ศิษย์พี่ปฏิบัติกับ… เสี่ยวเทียนแตกต่างไป”  


 


 


หลังจากพูดประโยคยาวเช่นนั้น เยี่ยเจียงหายใจอย่างยากลำบากอีกครั้ง ฉินซีถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยเจียงอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้คำตอบตรงๆ แต่ฉินซีก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าท่านต้องการความอุ่นใจ ข้าจะทำตามคำขอของท่าน จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะพานางกลับไปยังโรงเรียนเสวียนชิงและให้ที่พักอาศัยแก่นางจนกว่านางจะมีความสามารถพอที่จะปกป้องตนเองได้”  


 


 


รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจียง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้วางเดิมพันผิดไป 


 


 


“ยังมีอีกเรื่อง… ที่ศิษย์น้องยังรู้สึกไม่มั่นใจ… นอกเสียจากว่าศิษย์น้องจะได้ถามให้ชัดเจน…”  


 


 


ฉินซีเดาได้อยู่แล้วว่าเขาหมายความว่าอะไรและกล่าวว่า “ท่านพูดถึงร่างกายของนางใช่หรือไม่”  


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้าด้วยความยากลำบาก จากนั้นเขาพูดว่า “ศิษย์น้องรู้ ว่าสิ่งที่ศิษย์น้องถามนั้น… ค่อนข้างร้ายแรง… อย่างไรก็ตาม ถ้าศิษย์น้องไม่ถาม… ศิษย์น้องคงจะไม่… สามารถตายตาหลับได้…”  


 


 


ครั้งนี้ฉินซีเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะตอบว่า “ตกลง ข้าจะทำตามคำขอของท่าน ถ้านางไม่ยินยอม ข้าจะไม่บังคับนางเด็ดขาด”  


 


 


“ไม่” เยี่ยเจียงพูดพร้อมกับส่ายหน้า “สิ่ง… สิ่งที่ศิษย์น้องต้องการจะถาม… คือว่าเมื่อมัน… จำเป็น… ศิษย์พี่อาจจะ… ผลักดันให้นาง…”  


 


 


ฉินซีอึ้งไปและค่อนข้างสับสนกับเจตนาของเยี่ยเจียง 


 


 


—  


 


 


โม่เทียนเกอคอยอยู่ด้านนอกในขณะที่จ้องมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย 


 


 


เนื่องจากนางไม่สามารถได้ยินอะไรจากในบ้านแม้แต่น้อย นางรู้ว่าพวกเขาคงจะใช้อะไรบางอย่างมากันเสียงจากข้างในเอาไว้ 


 


 


นางค่อนข้างประหลาดใจ นางไม่เคยคาดคิดว่าที่จริงแล้วฉินซีจะมาจากโรงเรียนเสวียนชิง ยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่เขาพูด เขาดูเหมือนจะเป็นศิษย์น้องของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอีกด้วย 


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น จิตใจของนางก็กระจ่างขึ้นเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดของศิษย์พี่ฉินคนนี้ถึงพิเศษนัก… ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงแสดงออกถึงท่าทางที่ดูพิเศษไปหมดทุกทาง 


 


 


จากแรงเคลื่อนไหวที่เขาเผยออกมา เขาน่าจะอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังใช่ไหม แปลกมาก ด้วยตัวตนของเขาในฐานะศิษย์น้องของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง เขาควรจะเป็นศิษย์หัวกะทิในโรงเรียนเสวียนชิง ยิ่งรวมกับความจริงที่ว่าเขาน่าจะมีผู้อาวุโสในระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับจิตวิญญาณใหม่ มันก็น่าจะง่ายสำหรับเขาในการสร้างฐานแห่งพลังของตัวเอง แล้วทำไมเขาถึงไปสร้างฐานแห่งพลังในอีกสำนักหนึ่งล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คืองานอดิเรกแปลกประหลาดของเด็กจากกลุ่มการฝึกตนและเผ่าผู้ฝึกตนที่โด่งดัง 


 


 


นางอดที่จะคิดว่ามันตลกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะเปลี่ยนไปเป็นขบขัน แต่ก็ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆ ออกมา 


 


 


นางเข้าใจดีว่าท่านอารองกำลังจะจากไป… นางจะทำอย่างไรถ้าไม่มีท่านอารองอยู่แล้ว นางถามคำถามนี้กับตัวเอง แต่กลับหาคำตอบไม่ได้และเพียงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายในเท่านั้น 


 


 


ไม่แน่ชัดว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่ในที่สุดนางจะได้ยินเสียงของฉินซีดังมาจากภายในบ้าน เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เชิญเข้ามาข้างใน”  


 


 


เมื่อรวบรวมความคิดและหลังจากเช็ดร่องรอยคราบน้ำตาจากหางตาของนางเรียบร้อย โม่เทียนเกอเข้าไปในห้องทันที “ท่านอารอง!” นางร้องเรียก 


 


 


เยี่ยเจียงพิงกำแพงขณะที่ฉินซียังคงถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ถึงกระนั้น สัญญาณชีพของเขายังคงลดลงโดยเร็วอย่างต่อเนื่อง แม้แต่การลืมตาก็ทำได้ยากมากแล้วในตอนนี้ 


 


 


“เสี่ยวเทียน…” เขายื่นมือมาด้วยความยากลำบากยิ่ง 


 


 


โม่เทียนเกอรีบจับมือเอาไว้และคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “ท่านอารอง ข้าอยู่นี่”  


 


 


เยี่ยเจียงยิ้ม เขายังพยายามอย่างหนักที่จะยื่นมือออกไป ต้องการที่จะลูบผมนางอย่างที่เขาเคยทำเมื่อตอนนางยังเด็ก 


 


 


ท่าทางที่เต็มไปด้วยความรักนี้ทำให้โม่เทียนเกอหลั่งน้ำตา 


 


 


“เสี่ยวเทียน… เทียนเกอ อย่าร้องไห้… หลังจากอาสองจากไป เจ้า… ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี…” น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาขุ่นมัวของเยี่ยเจียงเช่นเดียวกัน น้ำตาไหลผ่านรอยเ**่ยวย่นบนใบหน้าแก่ชราของเขา เขาตระหนักดีว่านี่คือการจากลาชั่วนิรันดร์สำหรับพวกเขา 


 


 


“เสี่ยวเทียน อาสอง… มีสองเรื่อง… ที่ยังปล่อยวางไปไม่ได้…”  


 


 


“ท่านอารองบอกข้ามาได้เถิด ข้าจะทำตามที่ท่านบอกอย่างแน่นอน”  


 


 


“ตกลง… ฟังให้ดี… เรื่องแรก รอจนกว่า… เจ้าจะเข้าถึงดินแดนการก่อเกิด… แก่นขุมพลัง กลับ… กลับไปที่กลุ่มเยี่ยในโลกมนุษย์… ดูว่า… มีใครที่มีรากวิญญาณหรือไม่… ไม่จำเป็นต้องตั้ง… กลุ่มเยี่ยขึ้นมาใหม่… ตราบใดที่เจ้า… ให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยกับ… ศิษย์ผู้น้อย เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าซ้ำๆ และตอบว่า “ข้ารู้ ข้าจะ… ข้าจะกลับไปดูอย่างแน่นอน”  


 


 


เยี่ยเจียงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง เขามองนางอย่างรักใคร่และพูดต่อไป “เรื่องที่สอง อาสอง… อาสองได้ฝากฝังเจ้ากับท่านอาจารย์… อาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง… ในอนาคต เจ้าต้องรัก… รักตัวเองให้มาก เข้าใจไหม”  


 


 


เมื่อถึงเวลาที่เขาพูดจบ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำตา ถ้าเขาทำได้ เขาอยากจะเห็นนางเจริญเติบโตด้วยตัวของเขาเอง… แต่โชคร้ายที่สวรรค์ไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้น 


 


 


โม่เทียนเกอที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขากำลังสะอึกสะอื้นอย่างหนักจนนางไม่สามารถพูดอะไรได้ นางทำได้เพียงแค่พยักหน้าสุดกำลัง 


 


 


ท่ามกลางหยาดน้ำตา ดวงตาของเยี่ยเจียงเริ่มจะพร่าเลือนในท้ายที่สุด แม้ว่าฉินซีจะถ่ายทอดพลังวิญญาณให้เขาอย่างต่อเนื่อง เขาก็ยังไม่สามารถเพิ่มสัญญาณชีพของเยี่ยเจียงได้ 


 


 


ทันใดนั้นเยี่ยเจียงพูดพึมพำว่า “พี่ใหญ่… ขอโทษ ข้า… ข้ากำลังจะได้พบท่านแล้ว…”  


 


 


หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย 


 


 


โม่เทียนเกอคุกเข่าอย่างเหม่อลอย น้ำตาของนางไหลหลั่งไม่หยุด แต่นางไม่เอ่ยเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย นางรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเมื่อสิบสามปีก่อนไปสู่วันที่แม่ของนางจากไป ความเศร้าโศกหยั่งลึกในการสูญเสียใครสักคนไปตลอดกาลทำให้นางพูดไม่ออก หลังจากแม่ของนางตายไป นางก็รู้สึกราวกับว่าฟ้าจะถล่ม แต่แล้วสวรรค์ก็ได้มอบท่านอารองให้กับนาง 


 


 


ท่านอารองรักนาง ประคบประหงมนาง แต่ก็สั่งสองนางอย่างเข้มงวด ถึงแม้ว่านางจะเรียกเขาแค่ท่านอารอง แต่ในใจแล้วนางมองเขาในฐานะพ่อของนาง บางครั้งนางยังคิดว่ามันคงจะดีแค่ไหนถ้าพ่อของนางยังมีชีวิตอยู่ แต่ทุกครั้งที่นางคิดเช่นนั้น นางก็จะตำหนิตัวเองว่าโลภเกินไป ท่านอารองมอบทุกอย่างให้นางเท่าที่เขาจะทำได้ รวมถึงชีวิตของเขาด้วย แล้วนางยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก แค่มีท่านอารองก็เพียงพออยู่แล้ว 


 


 


อย่างไรก็ตาม… ท่านอารองบัดนี้ได้จากไปแล้ว ทอดทิ้งนาง… 


 


 


ดูเหมือนว่า… ท้องฟ้า… ได้ถล่มลงอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย!” ในภวังค์นางได้ยินเสียงใครบางคนตะโกน “เจ้าอยากตายหรือไง!”  


 


 


นางลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตาม นางมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก นางเพียงแค่รู้สึกว่าใครบางคนกำลังจับไหล่ของนางและเขย่าตัวอย่างแรง ขณะที่ตะโกนว่า “หายใจเข้า!”  


 


 


การตีเข้าอย่างแรงที่หลังของนางทำให้นางไอออกมา และพร้อมกับการไอนั้น เสียงร้องของนางดังออกมาในที่สุด นางกอดเข่าร้องไห้โฮเหมือนเด็ก ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับน้ำตา ถึงแม้ว่านางจะศึกษากฎแห่งเซียน และถึงแม้ว่านางจะไม่อ่อนแออีกต่อไป ในชั่วขณะนี้นางก็ยังรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยจากเมื่อสิบสามปีก่อน 


 


 


ท่านอารองบอกว่าความสูญเสียเกิดขึ้นเพื่อที่ผู้คนจะได้เติบโต แต่นางยอมไม่เติบโตดีกว่า!  


 


 


ใครบางคนถอนหายใจเบาๆ ดึงตัวนางขึ้นมาและปล่อยให้นางพิงไหล่ของเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ 

 

 

 


ตอนที่ 92

 

เดินทางกลับ

เวลาโพล้เพล้มาถึง ใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนเนินเขา จ้องมองไปบนท้องฟ้า


 


 


ในขณะที่ ฉินซีกำลังนั่งพิงประตูของบ้านเก่าทรุดโทรมหลังนั้น จ้องมองใครคนนั้นไม่ให้ห่างสายตา


 


 


วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าสดใสสีน้ำเงินเข้มโปร่งโล่งไปด้วยก้อนเมฆน้อยเบาบางกับลมที่พัดโชยอย่างอ่อนโยน วันที่ดีๆ แบบนี้ในโลกมนุษย์นั้นเป็นวันที่เหล่านักปราชญ์ผู้บริสุทธิ์มักจะเริ่มต้นออกเดินทางท่องไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนไม่ค่อยได้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่แดดออกหรือพายุฝนฟ้าคะนอง ทุกวันก็เหมือนกันในสายตาของพวกเขา


 


 


เพราะเหตุนั้น เขารู้ว่าคนที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าอยู่นั้นไม่ได้จ้องมองทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างแน่นอน


 


 


หลังจากที่มองคนผู้นั้นอยู่นานเขาก็ถอนใจกับตัวเองอย่างแรง เขารู้สึกว่าเขาอาจจะนำปัญหามาสู่ตัวเองเสียแล้ว


 


 


ผู้ฝึกตนที่ยึดถือในอารมณ์มากเกินไป… เขาไม่ได้คิดว่าผู้ฝึกตนเช่นนั้นจะมีอนาคตนัก แต่ในเมื่อเขาได้ตกลงแล้ว เขาก็ไม่อาจถอยได้


 


 


ความจริง สิ่งที่เยี่ยเจียงบอกไว้ถูกต้องแล้ว เขาได้คาดหวังเอาไว้สูงกับเด็กคนนี้และรู้สึกเสียดายในต้นทุนธรรมชาติที่ด้อยของนาง นางมีทุกองค์ประกอบสำคัญที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงได้ ตัวอย่างเช่น นางสามารถเผชิญกับความโดดเดี่ยว และไม่กลัวที่จะต้องทุ่มเทอย่างหนักในการฝึกตน นางไม่โลภแต่มีความทะเยอทะยาน นางมีความคิดสร้างสรรค์และฉลาด และนางรู้ว่าควรใช้วิชาให้เหมาะสมอย่างไรในเวลาที่ถูกต้อง อีกอย่าง เมื่อนางจำเป็นที่จะต้องโหดเ**้ยม นางไม่เคยปรานีและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว


 


 


ถ้าผู้ฝึกตนครอบครองคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามานี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาขาดไปก็คือชะตาลิขิต


 


 


อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่านางจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวพอสมควรทีเดียว!


 


 


การฝึกตน… ไม่ได้จำกัดแค่เพียงระดับการพัฒนาแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งเพื่อเป็นคนที่มีพละกำลังมากพอ มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกตนที่ยอมปล่อยให้อารมณ์นำพาในการที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ


 


 


ดังนั้น เขาจึงรู้สึกยุ่งยากใจอยู่ในตอนนี้ เขาจะรับมือกับคนผู้นี้อย่างไร ถ้าเขาปล่อยให้นางเป็นไป มันก็น่าสงสาร แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องมาคอยสอนนางเช่นกัน


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น โม่เทียนเกอหันหลังกลับและเห็นฉินซีกำลังเดินมาหานาง


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน มีอะไรอย่างนั้นหรือ” นางถาม น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง นิ่งเสียจนฉินซีประหลาดใจ


 


 


ฉินซีจ้องนางด้วยสายตาที่เฉียบคม หลังจากที่เขาพบว่านางไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปเขาจึงพูดว่า “พวกเราควรไปกันได้แล้ว”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นางยืนขึ้นปัดฝุ่นออกจากแขนเสื้อ


 


 


อย่างไรก็ตาม ฉินซียืนนิ่งอยู่กับที่และถามนางอีกหนึ่งคำถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอหันไปทางด้านข้างเพื่อดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มุมปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อยในขณะที่พูด “ข้าไม่เป็นไร”


 


 


ลักษณะของนางในตอนนี้ดูไม่เหมือนคนที่กำลังเศร้าแต่อย่างใด ในเมื่อนางไม่ได้ร้องไห้อีกหลังจากวันแห่งความตายนั้น ลักษณะที่เข้มแข็งของนางในตอนนี้น่าจะมาจากความเป็นจริงมากกว่าที่จะแสร้งทำเป็นแข็งแรง


 


 


เขาถามต่อ “เจ้าต้องเตรียมตัวอะไรไหม”


 


 


โม่เทียนเกอเงียบครู่หนึ่งและดูเหมือนคิดเกี่ยวกับเรื่องหลายอย่าง จนในที่สุดนางแค่ถอนใจเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าไม่ต้องการอะไร ทิ้งมันไว้ข้างหลังนี่ล่ะ”


 


 


สิ่งที่นางพูดดูเหมือนจะมีความหมายอะไรบางอย่าง ฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลเมื่อครู่นั้นไม่มีมูลความจริงเสียเลย ผู้หญิงคนนี้… มีเหตุผลมากเกินกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้


 


 


เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าปล่อยทิ้งไปได้”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ ครั้งนี้เสียงหัวเราะของนางไม่ได้เสแสร้งหรือฝืน เมื่อหยุดหัวเราะนางพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่าการสูญเสียทำให้คนเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน ข้าก็คิดว่าประสบการณ์นั้นทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”


 


 


ประสบการณ์… ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น… ฉินซีค่อยๆ ทวนคำพูดในใจ เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้วในตอนนี้


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกสงบนิ่งโดยแท้จริง


 


 


ถ้านางในขณะที่ยังเด็กสามารถผ่านความเศร้าโศกจากการเสียแม่ของนางตั้งแต่เมื่อสิบสามปีก่อน นางก็คงไม่ได้มีความรู้สึกสิ้นหวังในตอนนี้แน่นอน


 


 


ท่านอารองพูดเสมอว่านางจะต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งในการที่จะบรรลุถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ท่านอารองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่นางจะทำให้เขาผิดหวังได้อย่างไร


 


 


นางคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่านางจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีและฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง ไม่ใช่เพื่อท่านอารอง แต่เพื่อตัวของนางเอง


 


 


ถึงแม้ว่านางไม่ได้มีเจตนาที่จะเดินในเส้นทางของผู้ฝึกตนตั้งแต่ต้น แต่การฝึกตนทำให้นางมีความสุข การได้เรียนรู้คาถาต่างๆ การผ่านเข้าถึงในแต่ละดินแดน การที่แข็งแกร่งขึ้น และสามารถล้มศัตรูได้มากมาย ทั้งหมดนี้ทำให้นางรู้สึกมีความสุข


 


 


นั่นเป็นสาเหตุ นางจะยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ทำในสิ่งที่นางชอบและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างกล้าหาญ


 


 


นางตามฉินซีไปที่กระบี่บินได้ของเขา หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็อยู่บนกระบี่บิน ล่องไปตามกระแสลม และเริ่มต้นการเดินทางของพวกเขา


 


 


กระบี่บินได้นี้เป็นอีกหนึ่งอาวุธวิเศษ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรือริษยาอีกต่อไป ในเมื่อศิษย์พี่ฉินเป็นผู้ที่มีอิทธิพล เขาก็ต้องมีสมบัติมากมายอยู่ในครอบครองตามคาด


 


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เหาะมาได้ระยะหนึ่งโม่เทียนเกอถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ฉิน ทำไมพวกเราถึงไปในทางทิศตะวันออก” ทิศตะวันออกคือทางกลับไปที่เขาอวิ๋นอู้


 


 


ฉินซีผู้ที่กำลังควบคุมกระบี่บินได้ชำเลืองมองนางพร้อมกับตอบ “ข้ายังมีเรื่องที่ข้าจะต้องเข้าไปจัดการอยู่”


 


 


“โอ้…” บางทีเขาอาจจะมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย โม่เทียนเกอคิดเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วนางค่อนข้างเป็นกังวล ฉินซียังไม่ได้อธิบายกับนางให้ชัดเจนว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบสองคนนั้นถอยกลับไปได้อย่างไรในวันนั้น ดังนั้นนางจึงยังไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง แต่ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านั้นยกเลิกกลับไป แล้วเขาจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเขาอวิ๋นอู้ได้หรือ


 


 


นางรู้ตัวดีอยู่แล้วว่านางได้กลายเป็นศัตรูกับหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เจียงเฉิงเสียนไม่เพียงแต่เป็นผู้สืบทอดโดยตรงของหัวหน้าสำนักย่อย แต่เขายังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของหัวหน้าสำนักย่อย ดังนั้นการที่ฆ่าเขา นางได้ตัดสายเลือดของหัวหน้าสำนักย่อยไป อีกทั้งตอนนี้สำนักอวิ๋นอู้ได้ตกเป็นของสำนักจื่อซย่า และสำนักจื่อซย่าก็มีผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่! ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ฉินจะมีผู้อาวุโสหนุนหลัง แต่เหล่าผู้อาวุโสนั้นก็อยู่ห่างไกลออกไป


 


 


ในขณะที่นางกำลังเป็นกังวลอย่างซับซ้อนมากมาย นางก็ได้ยินฉินซีพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด”


 


 


โม่เทียนเกอเรียกสติและความคิดต่างๆ ของนางกลับมา และตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากังวลว่าพวกเราคงจะถูกจับได้เมื่อกลับเข้าไป” ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง เขาก็ยังคงเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ถ้าศัตรูของนางจะกังวลเกี่ยวกับผู้อาวุโสที่หนุนหลังฉินซีอยู่ พวกเขาก็เพียงแค่ต้องจับเขาทั้งเป็น… สำหรับนาง ในทางตรงกันข้าม มันไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันชีวิตนางได้เลย


 


 


ฉินซีเพียงแค่ยิ้มเบาๆ และพูด “วางใจเถอะ พวกเราไม่ถูกจับได้หรอก”


 


 


นางเพียงแค่ทำเสียงฮึดฮัดแทนคำตอบ แต่นางจำเกี่ยวกับเรื่องอื่นได้จึงพูดว่า “ศิษย์พี่ฉิน ในเมื่อท่านอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ข้าก็ไม่ควรที่จะต้องเรียกท่านเช่นนี้อีกต่อไป” ปกติแล้วหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนขั้นถัดไป นางควรที่จะเรียกเขาว่า “อาจารย์ลุง”


 


 


ฉินซีสายหัว “มันเป็นเพราะข้าเริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิก่อนเจ้าเพียงขั้นเดียว ตอนนี้เจ้าก็มีทุกอย่างที่เจ้าต้องการแล้ว ดังนั้นการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าก็เพียงขึ้นอยู่กับระยะเวลาเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ยุ่งยากมีแบบแผนกันขนาดนั้น”


 


 


อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้มั่นใจเช่นเขาและพูดด้วยความขัดข้องใจ “ท่านอารองสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้เพราะพ่อของข้าให้ยาวิเศษกับเขามากมาย ท่านอารองบอกว่าเขาต้องใช้ยาสร้างฐานแห่งพลังมากถึงห้าเม็ดก่อนที่เขาจะสามารถสร้างฐานของเขาได้ ต้นทุนพื้นฐานทางธรรมชาติของข้าก็ไม่ได้ดีนักเหมือนท่านอารอง ข้าเกรงว่า… การสร้างฐานแห่งพลังของข้าคงจะไม่สำเร็จได้ในหนึ่งหรือสองปีแน่นอน”


 


 


ความจริงแล้ว ถึงแม้จะผิดพลาดนางก็พร้อมในการเตรียมตัวต่อสู้เพื่อยาสร้างฐานแห่งพลังในอีกสิบหรือยี่สิบปี จนกว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางได้


 


 


“วางใจเถอะ เมื่อเจ้าไปถึงที่โรงเรียนเสวียนชิง เจ้าจะได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสของโรงเรียน ดังนั้นการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด อีกอย่างพวกเราทั้งสองได้เป็นสหายศิษย์กันมาสามปี และพวกเราก็คุ้นเคยกับการเรียกของพวกเรากันเองดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปหรอก”


 


 


ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกเขินอายที่จะตอบโต้และตัดสินใจเลิกพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป แต่…


 


 


นางพูดด้วยความลังเลใจ “ศิษย์พี่ฉิน ความจริงแล้ว… เยี่ยเสี่ยวเทียนไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของข้า”


 


 


ฉินซียิ้มและพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าใช้แซ่ของแม่เจ้า คือแซ่โม่และชื่อของเจ้าคือเทียนเกอ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องซ่อนตัวตนของเจ้าอีกต่อไป จงใช้ชื่อจริงของเจ้าที่โรงเรียนเสวียนชิง อย่างไรก็ตาม ข้าคุ้นเคยกับการเรียกเจ้าว่าศิษย์น้องเยี่ยไปเสียแล้ว ดังนั้นข้าก็จะไม่เปลี่ยนมันนะ”


 


 


ฉินซีมักจะรักษาระยะห่างระหว่างตัวเขากับผู้อื่นและไม่ค่อยแสดงให้เห็นในมุมนี้ มุมที่ดูสบายๆ ธรรมดาๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและบอก “แล้วแต่ที่ศิษย์พี่ปรารถนา”


 


 


ในครั้งนี้หัวหน้าสำนักย่อยเขาอวิ๋นอู้ที่โม่เทียนเกอเป็นกังวลไม่ได้อยู่ที่เขาอวิ๋นอู้


 


 


ประตูหินของถ้ำเซียนเปิดอยู่ หญิงสาวระดับการสร้างฐานแห่งพลังเดินออกมาคำนับเพื่อทักทายหัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ซึ่งรออยู่ด้านนอก นางพูด “ท่านปรมาจารย์เชิญหัวหน้าสำนักย่อยเจียงเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ซึ่งหงุดหงิดใจจากการรอรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เขาโค้งคำนับกลับไปที่หญิงสาวก่อนที่จะตามนางเข้าไปในถ้ำ


 


 


ชายนักพรตรูปร่างผอมเต็มไปด้วยริ้วรอยนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ตรงกลางถ้ำ เมื่อหัวหน้าสำนักย่อยเจียงเห็น เขารีบโค้งคำนับเพื่อทักทาย “คารวะท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”


 


 


หลังจากผ่านไปนาน ชายนักพรตผู้นี้จึงตอบกลับด้วยคำว่า “อือ” พร้อมกับลืมตาและพูด “นั่งลง”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงคำนับเพื่อแสดงความนับถือก่อนที่จะนั่งลง


 


 


“พูดมา มีเหตุอันใด”


 


 


ถึงแม้ว่าท่าทางของนักพรตเต๋าผู้นี้จะดูสุขุม แต่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงนั้นก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่น เพราะชาวเต๋าที่ดูเหมือนจะธรรมดาผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่!


 


 


“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ศิษย์มาสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โปรดให้ความยุติธรรมแก่ศิษย์ด้วย”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงมองอย่างร้อนรนไปที่นักพรตเต๋าตรงหน้า อย่างไรก็ตาม ชายผู้นี้ไม่ได้มองมาที่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงแม้แต่น้อย เขาหยิบชาพลังวิญญาณที่ศิษย์ผู้เข้าร่วมยื่นให้ พร้อมกับใช้เวลาของเขาที่มีจิบชาก่อนที่จะพูดว่า “ให้ความยุติธรรมแก่เจ้ารึ เจ้าจะให้ข้าให้ความยุติธรรมกับเจ้าอย่างไร ด้วยการแก้แค้นให้กับเหลนที่ไร้ค่าของเจ้าน่ะหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเจ้าให้กำเนิดคนใหม่เสีย นั่นคงจะเร็วกว่า!”


 


 


นักพรตเต๋าผู้นี้อาจดูใจดีแต่คำพูดของเขานั้นเกรี้ยวกราด แข็งกร้าวจนทำให้ใบหน้าของหัวหน้าสำนักย่อยเจียงแดงฝาดขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเข้าใจอยู่แล้วว่าเหลนของเขานั้นไร้ค่า แต่ถึงจะไร้ค่าก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดของเขา!


 


 


“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” หัวหน้าสำนักย่อยเจียงระงับความโกรธของเขาและกระซิบ “ศิษย์มิได้ขอให้ท่านทำเป็นการส่วนตัว ศิษย์เพียงประสงค์ให้ท่านอนุญาตให้ข้าได้แก้แค้น ศิษย์มีเหลนเพียงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องมากกว่าหมื่นเรื่อง แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องราวภายในครอบครัวของข้า ข้าจะปล่อยให้คนนอกฆ่าเขาได้อย่างไร”


 


 


น่าเสียดายที่คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ชายเต๋าผู้นี้ซาบซึ้งแม้แต่น้อย ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” และพูดว่า “ดูเหมือนว่าตาเจ้าจะยังไม่สว่างเสียที สำหรับเราชาวผู้ฝึกตน การตายของผู้สืบทอดไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองคนหมายความว่าอย่างไร สำหรับผู้สืบทอดที่เอาแต่ก่อปัญหาและไม่ได้มีทักษะแม้แต่น้อยเช่นนั้น เขาสมควรที่จะตายแล้ว! กลับไปและอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป!”


 


 


“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”


 


 


เมื่อเห็นว่าหัวหน้าสำนักย่อยไม่ฟังที่เขาพูด นักพรตเต๋าผู้นี้พูดด้วยความเข้มงวดขึ้น “อะไร นี่เจ้ากำลังจะหาว่าข้าไม่ช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงรีบก้มหน้าลงแต่ไม่ได้พูดปฏิเสธในคำถามนั้น


 


 


นักพรตเต๋าส่งเสียง “ฮึ่ม” พร้อมพูด “ดี งั้นข้าจะอธิบายเพิ่มให้ เจ้าฉินโส่วจิ้งที่เจ้าพูดถึง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั่วๆ ไป เขามีผู้อาวุโสระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่คอยหนุนหลังอยู่”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด คนผู้นั้นมีเบื้องหลังเช่นนั้นเชียวหรือ”


 


 


นักพรตเต๋าคำรามออกมา “เจ้าคิดว่าทำไมเขาจึงกล้าอวดดีในดินแดนคุณอู๋ตะวันออกที่ห่างจากบ้านของเขากว่าหนึ่งพันลี้ ข้าจะบอกเจ้าให้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉินโส่วจิ้งผู้นี้คือฉินจิ้งเหอ ชายแก่ที่ชอบทำตัวแปลกๆ คนนั้น เจ้าอาจจะไม่เข้าใจฉินจิ้งเหอแต่ข้ารู้จักเขาดี เขาเป็นพวกกระหายเลือดและชอบที่จะปกปิดจุดอ่อนเอาไว้ เพราะเขาถูกขัดขวางด้วยข้อบังคับของโรงเรียนเสวียนชิง เขามักจะวางตัวดีและไม่ค่อยออกตัวบ่อยนัก อย่างไรก็ตาม หากเจ้าทำร้ายคนของเขา มันจะไม่แปลกเลยที่เขาจะเดินทางกว่าพันลี้มาที่นี่เพื่อแก้แค้น! ข้ายังเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นและไม่สามารถที่จะต่อกรกับเขาได้ ดังนั้นเจ้าจงลืมความคิดของเจ้าไปซะ”


 


 


“ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด การฆ่าอย่างไร้กฎเกณฑ์ควรที่จะเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่มิใช่หรือ”


 


 


“ตามที่เจ้าว่า” นักพรตเต๋าหลับตาและอธิบายอย่างช้าๆ “การที่จะเลี่ยงการเกิดของมารภายในที่จะมาขัดขวางความก้าวหน้าในการฝึกตน ผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องไม่ฆ่าเรื่อยเปื่อย อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเหตุผลที่แข็งมากพอ พวกเขาก็จะทำไปโดยธรรมชาติ”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงก้มหัวลงและนิ่งเงียบ ตามที่ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดบอกมา ข้าไม่สามารถทำอะไรกับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณผู้นั้นได้เลย!


 


 


นักพรตเต๋าพูด “อีกอย่าง เจ้าควรที่จะกลับไปและดูว่าฉินโส่วจิ้งมีเจตนาที่จะทำอะไร อยู่ที่เขาอวิ๋นอู้ของเจ้าน่ะหรือ โรงเรียนเสวียนชิงของเขานับได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ของขั้วแห่งท้องฟ้า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาไม่มี แต่ทั้งที่ขัดกับเหตุผลทั้งหลาย เขากลับแอบเข้ามาในสำนักผู้ฝึกตนเล็กๆ และอยู่มาจนถึงสามปี ข้าเกรงว่าเป้าหมายของเขาจะต้องเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย…”

 

 

 


ตอนที่ 93

 

ขโมย

ใกล้จะถึงเวลาพลบค่ำแล้วตอนที่พวกเขามาถึงชายแดนของเขาอวิ๋นอู้ ภูมิทัศน์ที่คุ้นเคยนี้ทำให้โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่กระนั้น เมื่อนางคิดถึงท่านอารอง นางก็ยืดหลังตรงและก้าวไปข้างหน้า


 


 


ท่านอารองจากไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขา เพราะฉะนั้นจึงมีความคับแค้นใจกันอยู่ระหว่างตัวนางและเขาอวิ๋นอู้ แล้วนางจะอ่อนแอและหวาดกลัวได้อย่างไรเมื่อนางมีความไม่พอใจที่มากมายขนาดนั้น!


 


 


แต่สิ่งที่แปลกก็คือหลังจากที่พวกเขามาถึง โดยไม่คาดคิด ไม่มีใครสักคนมาถามอะไรพวกเขา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินเข้าสู่สำนักอย่างง่ายดาย


 


 


หลังจากเดินมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ถามด้วยความงุนงง “ศิษย์พี่ฉิน นี่เป็นทางไปหอหมื่นบัญญัติไม่ใช่หรือ”


 


 


ในเมื่อพวกเขาไม่ได้มุ่งไปทางยอดเขาทิศใต้หรือยอดเขาทิศเหนือ จึงไม่มีจุดหมายปลายทางอื่น เส้นทางนี้นำไปสู่หอหมื่นบัญญัติเพียงที่เดียว


 


 


ฉินซีไม่ได้ตอบอะไรและเพียงก้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบ


 


 


โม่เทียนเกอก็หยุดพูดเช่นกัน นางแค่เดินต่อไปข้างหน้าตามการนำทางของเขา


 


 


เมื่อพวกเขามาถึงประตูของหอหมื่นบัญญัติ พวกเขาใช้แผ่นจารึกประจำตัวเพื่อเปิดม่านพลังและเข้าไปสู่ถ้ำ


 


 


โม่เทียนเกอที่เดินอยู่ด้านหลังกำลังงงกับสิ่งที่ฉินซีทำ เพราะทันทีที่นางเข้ามาถึงในถ้ำ ก็เห็นว่าศิษย์ที่รับหน้าที่เฝ้าหอหมื่นบัญญัติกำลังหลับอยู่


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ฉินซีพานางเข้าไปที่กลางถ้ำ หลังจากทำท่ามุทรา [1] ที่ซับซ้อนหลายท่าด้วยมือของเขา เขาใช้พลังวิญญาณของตัวเองกระแทกประตูหิน ประตูหินจึงเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง


 


 


พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของนาง ฉินซียิ้มและอธิบายว่า “ข้าโชคดีน่ะ ท่านปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนักเคยพามาที่นี่ครั้งหนึ่ง ข้าเลยจำได้ว่าจะเปิดประตูอย่างไร”


 


 


สิ่งที่เขาพูดดูจะเป็นการพูดน้อยกว่าความจริงไปด้วยซ้ำ โม่เทียนเกอรู้ดีว่าการประเมินที่ดีและความเข้าใจนั้นจำเป็นสำหรับสิ่งที่เขาเพิ่งทำ ท่ามุทราของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่ใช่แค่การทำท่าทาง แต่ยังจำเป็นต้องมีการรับมือที่สอดคล้องกันกับพลังวิญญาณด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสูตรยาถึงได้ราคาสูงนัก เพราะการปรุงยาวิเศษที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้องใช้ท่ามุทราที่กำหนด ซึ่งคนต้องลองทำไปอย่างช้าๆ ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำท่าทางได้อย่างเชี่ยวชาญ


 


 


นางอดที่จะถามตัวเองไม่ได้ว่านางมีทักษะประเภทนี้หรือไม่ หลังจากเห็นมาครั้งหนึ่ง นางจำได้เพียงท่ามุทราบางท่าเท่านั้น ส่วนเรื่องการรับมือกับพลังวิญญาณ นางไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว การขาดทักษะของนางเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงไม่คุ้นเคยกับมุทราและไม่เคยจริงจังกับการปรุงยาวิเศษหรือขัดเกลาเครื่องมือจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้


 


 


จากนั้นฉินซีมอบเครื่องรางให้นางและบอกว่า “แปะเครื่องรางซ่อนกายาไว้ที่ตัวซะ เจ้าจะได้ไม่สัมผัสโดนกำแพงอาคมใดๆ”


 


 


โม่เทียนเกอรับมาด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไป เครื่องรางซ่อนกายาไม่มีราคาตลาด ตัวนางเองมีเพียงชิ้นเดียวซึ่งท่านอารองตามหามานานก่อนที่เขาจะสามารถหามาครอบครองได้ มันล้ำค่ามากกว่าเครื่องรางระดับสูงหลายต่อหลายอัน นางเคยเห็นกระดาษที่ใช้ผลิตเครื่องรางนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงแน่ใจว่าเครื่องรางอันนี้ทำขึ้นโดยตัวของฉินซีเอง


 


 


ฉินซีเริ่มหัดวาดเครื่องรางเมื่อสองปีก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาสั้นๆ แค่สองปี เขาสามารถทำเครื่องรางซ่อนกายาขึ้นมาได้จริงแล้ว เมื่อนางย้อนดูความสามารถของตัวเองและตระหนักว่านางไม่มีพรสวรรค์ประเภทนี้เลย โม่เทียนเกอก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ กับคนมีความสามารถหลายๆ คนที่เก่งกว่านาง การจะประสบความสำเร็จให้ได้เท่าพวกเขานั้นถือว่ายากจริงๆ …


 


 


ถ้ำนี้ค่อนข้างเล็กกว่าถ้ำที่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมีสิทธิ์เข้าอยู่เล็กน้อย ข้างในไม่มีของอะไรมากมายนัก ส่วนมากเป็นของรูปร่างแปลกพิสดาร ทั้งยังไม่ได้มีหยกบันทึกมากมายและมีหนังสือเพียงแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้นอยู่บนชั้นหนังสือเพียงตู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น ข้างในถ้ำยังมีกำแพงอาคมอีกด้วย


 


 


โม่เทียนเกอกังวลกับกำแพงอาคมเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงเพียงมองด้วยตาเปล่าเท่านั้นแต่ไม่กล้าจับอะไร ในทางกลับกัน ฉินซีไม่กังวลแม้แต่น้อยและยังรื้อค้นจนทั่ว โยนอะไรก็ตามที่เขาพอใจลงสู่กระเป๋าเอกภพของเขา อย่างไรก็ตาม กำแพงอาคมกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากการเคลื่อนไหวของเขาเลย


 


 


ระหว่างที่กำลังสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่ ความคิดไร้สาระก็แล่นผ่านจิตใจของโม่เทียนเกอ เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ฉินคนนี้จะแอบเข้ามาในสำนักอวิ๋นอู้เพื่อเป็นโจร


 


 


ในไม่ช้า ฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว นอกจากสิ่งของที่เขาเอาใส่กระเป๋าเอกภพของตัวเอง เขายังมีของมากมายในมือซึ่งเขาโยนมาให้นางตรงๆ เขากล่าวว่า “มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าที่มาที่นี่ได้ ของพวกนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับเจ้า รับไปสิ”


 


 


โม่เทียนเกอรับมาและเอาใส่กระเป๋าเอกภพของนางเงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นการกระทำจากความเมตตา ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ


 


 


เมื่อพวกเขาลบร่องรอยตัวตนของตัวเองแล้ว จึงออกจากหอหมื่นบัญญัติไปอย่างเงียบเชียบ


 


 


ขณะนั้นเอง เหล่าศิษย์ที่เฝ้าหอหมื่นบัญญัติรู้สึกเหมือนพวกเขาตกอยู่ในภวังค์ พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าถ้ำที่มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเข้าได้เท่านั้นจะถูกปล้นในขณะที่พวกเขายังอยู่ในภาวะงุนงง


 


 


โดยไม่ต้องหยุดศิษย์เหล่านั้น ฉินซีได้พาโม่เทียนเกอออกมาสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย


 


 


นางรู้แค่ว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่ยอดเขาทิศเหนือ แต่การได้เห็นฉินซีเดินอย่างง่ายดาย เขาคงจะค่อนข้างคุ้นกับเส้นทางนี้อยู่พอตัว


 


 


ทั้งสองคนเดินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งและจึงเข้าสู่ยอดเขาทิศเหนือ เมื่อต้องเผชิญกับม่านพลังหลายชั้นที่ล้อมรอบยอดเขาทิศเหนือ ฉินซีแค่ต้องเอาแผ่นจารึกประจำตัวออกมาก่อนที่เขาจะสามารถพานางเข้าสู่ม่านพลังได้อย่างปลอดภัย


 


 


หลังจากผ่านการเลี้ยวและอ้อมอยู่หลายหน ในที่สุดตึกหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตา โม่เทียนเกอไม่สามารถจะแยกแยะว่าทางไหนเป็นทิศเหนือและทางไหนเป็นทิศใต้ได้อีกแล้ว


 


 


ดังเช่นก่อนหน้านี้ ฉินซีตัดแหวกช่องว่างในกำแพงอาคมและจากนั้นจึงนำทางโม่เทียนเกอเข้ามาที่สนาม


 


 


เมื่อนางเข้ามาถึงในสนาม จมูกของโม่เทียนเกอรับรู้ได้ถึงกลิ่นของยาที่อบอวลและร่างกายของนางก็ถูกเติมเต็มด้วยพลังวิญญาณทันที ผลปรากฏว่าที่นี่ที่จริงแล้วก็คือสวนสมุนไพร!


 


 


ฉินซีให้นางยืนอยู่ด้านข้าง แต่รอบนี้แทนที่เขาจะค้นหาของ เขาดูเหมือนว่าจะมีเป้าหมายที่เจาะจงอยู่แล้วในใจ เขาคว้าผลไม้วิญญาณและพืชวิญญาณหลายอย่างก่อนที่จะนำทางนางออกห่างจากสวน


 


 


ครั้งนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รับรู้ว่าศิษย์พี่ฉินคนนี้ที่จริงแล้วมาเพื่อขโมยของนี่เอง เขาอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับหอหมื่นบัญญัติ แต่เขารู้จักสวนสมุนไพรนี้เป็นอย่างดีแน่นอน


 


 


หลายปีก่อน เขาถูกมอบหมายงานจากผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากยอดเขาทิศเหนือให้มาช่วยงานในห้องปรุงยา เขาคงจะชื่นชอบพืชสมุนไพรพวกนี้มานานแล้วตอนนี้จึงฉวยโอกาสขโมยเสียเลย


 


 


นางประหลาดใจกับเรื่องนี้เป็นที่สุด แม้ว่าศิษย์พี่ฉินโดยปกติจะเฉยเมย แต่โม่เทียนเกอนึกว่าเขายังเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง… แต่ขณะนี้ ภาพลักษณ์ของเขาที่นางเห็นได้แตกสลายไปจนหมดสิ้น


 


 


ในขณะที่นางตามเขามาอย่างเงียบๆ จากสวนสมุนไพร นางก็นึกสงสัยว่าจะมีที่อื่นอีกไหมที่โชคร้ายตกเป็นเป้าหมายของเขา


 


 


หลังจากผ่านไปอีกสิบห้านาที โม่เทียนเกอตกตะลึงถึงขีดสุด


 


 


แม้ว่านางจะเตรียมใจมาแล้ว แต่นางก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสถานที่ต่อไปจะเป็นโถงกุยหยวนขึ้นมาจริงๆ!


 


 


โถงกุยหยวนเป็นสถานที่แบบไหนน่ะหรือ มันคือที่พำนักของเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นอู้! เจ้าสำนักหลายต่อหลายรุ่นได้อาศัยอยู่ในโถงกุยหยวนเมื่อพวกเขายังดำรงอำนาจ! เจ้าสำนักคนสุดท้าย ฟังติ้งเย่ว์ถูกฆ่าโดยสำนักจื่อซย่า ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็คือหัวหน้าสำนักย่อยเจียงนั่นเอง!


 


 


นางไม่เคยนึกเลยว่าฉินซีจะกล้าถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้นางทำได้แค่รวบรวมความกล้าและตามฉินซีเข้าโถงไปอย่างลับๆ


 


 


ภายในโถงกุยหยวนมีกำแพงอาคมอยู่ทั่วทุกที่ นางไม่รู้ว่าฉินซีทำได้อย่างไร แต่ขณะที่พวกเขาเดินอยู่ กำแพงอาคมเหล่านั้นกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ กำแพงอาคมไม่โดนกระตุ้นโดยการเคลื่อนไหวของพวกเขาแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ที่เฝ้าโถงอยู่ก็ไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาเลยสักนิดเดียว


 


 


นางรู้ว่าฉินซีต้องทำอะไรสักอย่างแน่ แต่เพราะกลอุบายเหล่านี้มักจะเป็นวิชาลับ นางจึงไม่ได้ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


ทั้งสองคนยังคงเดินอ้อมผ่านกลุ่มของศิษย์หลายคนที่อยู่ในหน้าที่เฝ้าระวังต่อไปขณะที่พวกเขาเดินดุ่มไปทั่วโถงกุยหยวน จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ผ่านกำแพงอาคมและเข้ามาสู่ตรอกหิน


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีความรู้เกี่ยวกับโถงกุยหยวน แต่นางก็รู้ว่าสถานที่ที่มีกำแพงอาคมประเภทนี้จะต้องเป็นสถานที่สำคัญอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี นางไม่มีความคิดเห็นอะไรอีกต่อไปเพราะแม้ว่าฉินซีจะกล้าบ้าบิ่นเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีทักษะที่จำเป็นต้องใช้ แม้แต่กำแพงอาคมที่นางไม่เข้าใจยังถูกเขาแก้ออกได้โดยง่าย


 


 


เส้นทางเบื้องหลังกำแพงอาคมมีทางที่โค้งคดเคี้ยวมากมายและยืดออกไปยังที่ไกลๆ ทั้งสองคนเดินอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดสิ้นสุดได้เสียที บางครั้งบางคราวพวกเขาก็จะบังเอิญเจอเข้ากับห้องหินที่มีสมบัติเล็กน้อยอยู่ข้างใน แต่ฉินซีไม่แม้แต่จะสนใจเหลือบมองด้วยซ้ำ


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจว่าฉินซีคงจะมาเพื่อสมบัติที่เฉพาะเจาะจงอะไรบางอย่าง สมบัติเล็กน้อยพวกนี้จึงไม่ใช่เป้าหมายของเขา


 


 


พวกเขาเดินต่อไปอีกระยะสั้นๆ ก่อนที่ในที่สุดจะเข้ามาถึงหน้าห้องหินห้องหนึ่งและฉินซียกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดทันที ไม่นานหลังจากนั้น เขาเอากิ่งต้นท้อออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขา กิ่งต้นท้อนี้ยังมีใบที่สดและมีดอกท้อบานอยู่ ราวกับว่ามันเพิ่งถูกเด็ดออกมาจากต้นก็ไม่ปาน


 


 


จากนั้นเขาพึมพำร่ายคาถาอยู่หลายครั้งพร้อมโบกมือ ทันใดนั้น กิ่งต้นท้อตั้งตระหง่านอยู่บนพื้น กลิ่นท้อแผ่กระจายไปทั่วและแนวกั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวพวกเขาทั้งสองคน


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน” โม่เทียนเกอกระซิบด้วยความสงสัย


 


 


ฉินซีเพียงแค่แตะนิ้วชี้ไปที่ปากของเขาบอกให้นางอย่าเพิ่งพูด


 


 


ทั้งสองคนยืนอยู่ครู่หนึ่งในตรอกด้านหน้าห้องหิน ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงหลายเสียงดังมาจากภายในห้องนั้น


 


 


“ศิษย์พี่หลิน ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเตาหลอมเก้ามังกรนี้”


 


 


เสียงนี้… หัวหน้าสำนักย่อยเจียง!


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าเพื่อมองฉินซี หวังว่าเขาจะอธิบายให้นางฟังได้บ้างว่าเขาต้องการทำอะไร หัวหน้าสำนักย่อยเจียงอยู่ข้างในและยังดูเหมือนจะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอีกคนอยู่กับเขา แต่กระนั้น พวกเขาสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ กลับนั่งหมอบอยู่ตรงนี้… ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังรนหาที่ตายหรอกหรือ!


 


 


อย่างไรก็ตาม ฉินซีเพียงแค่ส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไร


 


 


หลังจากชั่วขณะของความเงียบ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งพูดทื่อๆ ว่า “เจ้าต้องการอะไร”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงหัวเราะเจื่อนๆ และพูดว่า “ศิษย์พี่หลิน ท่านเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตาแล้วนะตอนนี้ ในขณะที่ข้าเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของเขาอวิ๋นอู้ ไม่ว่ากรณีใด สถานการณ์ของพวกเราก็เหมือนกัน เราควรจะคุ้นเคยกันไว้สิ”


 


 


อีกคนหนึ่งเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ และพูดว่า “นักพรตเต๋าแก่ๆ คนนี้ไม่บังอาจทำตัวเทียบเท่ากับหัวหน้าสำนักย่อยเจียงหรอก เจ้าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยสำนักจื่อซย่าควบรวมเขาอวิ๋นอู้ ในขณะที่ข้าเป็นแค่นักพรตเต๋าแก่ๆ ที่ยังไม่ตาย ข้าไม่รู้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ถ้าข้าต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับเจ้า ข้าเกรงว่าอายุขัยของข้าจะสั้นลง!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ว่าทั้งเสียงและทัศนคติของเขาช่างดูคุ้นเคย… จริงสิ! นักพรตเต๋าจากโรงเรียนจินเตาคนที่เป็นผู้นำกลุ่มในการทดสอบชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง เขาเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตาไม่ใช่หรือ


 


 


โม่เทียนเกอได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวเรื่องนี้มาบ้าง นักพรตเต๋าหลินผู้นี้ที่จริงแล้วเป็นอดีตผู้นำของโรงเรียนจินเตา ในภายหลัง เพราะว่าอายุขัยของเขาใกล้จะสิ้นแล้ว เขาจึงส่งต่อตำแหน่งผู้นำโรงเรียนต่อให้กับผู้นำจิน แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในสำนักจื่อซย่า และโรงเรียนจินเตาจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่


 


 


เนื่องจากการตายของผู้นำโรงเรียนจินเตาและผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคน โรงเรียนจินเตาจึงอ่อนกำลังลงและไม่มีอำนาจที่จะต่อสู้กับสำนักจื่อซย่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น อดีตผู้นำโรงเรียนท่านนี้จึงสัญญากับสำนักจื่อซย่าว่าโรงเรียนจินเตาจะยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของสำนักจื่อซย่า ตราบใดที่พวกเขาหยุดการกวาดล้างที่โรงเรียนจินเตา


 


 


เนื่องจากเขามีบารมีมากพอและอายุขัยของเขาก็ใกล้จะหมดลง สำนักจื่อซย่ารู้สึกว่าพวกเขาสามารถซื้อใจคนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุอะไร จึงแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตา บีบบังคับผู้นำโรงเรียนที่เกษียณไปแล้วท่านนี้ให้ต้องมาเผชิญหน้ากับการทดสอบและความยากลำบากอีกครั้ง


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยหลินท่านนี้แค่ยินยอมจะมาเป็นหัวหน้าสำนักย่อยก็เพื่อเห็นแก่ศิษย์ของโรงเรียนจินเตาเท่านั้น เขาชิงชังหัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ที่ทรยศต่อสำนักอวิ๋นอู้และยังพึ่งพาอาศัยสำนักจื่อซย่า คำพูดของเขาตอนนี้จัดว่ารุนแรงมาก แต่อย่างไรก็ตาม เพราะเขามีบารมีมากเสียจนแม้แต่สำนักจื่อซย่าก็ยังเคารพเขา หัวหน้าสำนักย่อยเจียงจึงไม่กล้าที่จะทำให้เขาขุ่นเคืองใจ


 


 


แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่เห็นพ้องต้องกันเมื่อมาถึงจุดนี้ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะแห้งสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนประเด็น เขากล่าว “ข้าจะขอพูดตรงไปตรงมากับศิษย์พี่หลิน ข้าพบเจอเรื่องราวที่ยากลำบากเข้าซึ่งข้าหวังว่าศิษย์พี่หลินจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยข้าได้”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยหลินดูไม่ได้แปลกใจอะไรและพูดเพียงว่า “เรื่องเกี่ยวกับเหลนของเจ้าที่มีเจตนาชั่วร้ายต่อศิษย์ผู้หญิงในสำนักของเจ้าและสิ้นชีพไปน่ะรึ”


 


 


“… ใช่ โชคไม่ดีที่คนที่ฆ่าเหลนของข้าถูกใครบางคนช่วยไว้ได้ คนที่ช่วยชีวิตนางก็คือ…”


 


 


เมื่อนางฟังมาถึงตรงนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าจิตใจของนางพร่ามัวและร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรง


 


 


ขณะที่ฉินซีอุ้มนางและจัดวางร่างของนางพิงผนังหิน เขาได้ยินเสียงหัวหน้าสำนักย่อยหลินดังออกมาจากในห้อง “หัวหน้าสำนักย่อยเจียง ข้าไม่ยอมใช้เตาหลอมเก้ามังกรของเจ้าหรอก!”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยเจียงรีบตอบ “ศิษย์พี่หลิน ข้าไม่ได้ขอให้ท่านไปฆ่าเขาคนนั้น ข้าเพียงแต่ขอให้ท่านดักจับเขาสักครู่หนึ่งเพื่อที่ข้าจะได้มีโอกาสชำระแค้น”


 


 


หัวหน้าสำนักย่อยหลินเย้ยอย่างเย็นชา “อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดอีก ต่อให้ข้ามีทักษะ ข้าก็ไม่มีวันทำเช่นนั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สนับสนุนเขาอยู่น่ะ?”


 


 


“ศิษย์พี่หลิน โรงเรียนเสวียนชิงอยู่ห่างจากที่นี่กว่าพันไมล์…”


 


 


“หัวหน้าสำนักย่อยเจียง!” ทันใดนั้นหัวหน้าสำนักย่อยหลินก็เสียงแข็งขึ้นมาและกล่าวว่า “ตระกูลของเจ้าควรจะแก้แค้นเอง นี่เจ้ากำลังพยายามลากโรงเรียนจินเตาของข้าเข้าไปเกี่ยวกับการเร่งให้เกิดความวิบัติที่ทำให้ทั้งโรงเรียนของข้าต้องสิ้นชื่อน่ะหรือ! ข้าไม่สามารถใช้เตาหลอมเก้ามังกรนี้ได้! ในเมื่อเราต่างไม่เห็นตรงกันในเรื่องนี้ วันนี้เราควรจบกันแค่นี้เสียเถอะ ไม่จำเป็นต้องไปส่งข้า!”


 


 


หลังจากที่เขาพูดจบ ประตูห้องหินก็เปิดออกทันที ชายนักพรตเต๋าชราเดินออกมาจากห้องอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงตามหลังเขามา เขาดูโกรธเหมือนกันแต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่เห็นฉินซีและโม่เทียนเกอที่กำลังพิงผนังอยู่ และพวกเขาก็เดินออกไปทั้งๆ อย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หัวหน้าสำนักหลินจะออกไป เขาดูเหมือนจะเหลือบมองมาทางฉินซีและโม่เทียนเกอ


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก หัวหน้าสำนักย่อยเจียงก็กลับมาและดูหัวเสียเป็นอย่างมาก เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้องหิน อย่างไรก็ตาม เขาพบว่ามีชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ภายในห้อง


 


 


ด้วยความตกใจกลัว เขารีบคว้าอาวุธวิเศษออกมาและตะโกน “เจ้าเป็นใคร!”


 


 


ชายหนุ่มเพียงแค่เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ แทนการตอบ ด้วยความเร็วที่ไม่ได้เร็วหรือช้าเกินไป เขาหยิบกระบี่ออกมาจากกระเป๋าเอกภพและดึงมันออกจากฝัก กระบี่นี้เป็นสีทองอร่ามบริสุทธิ์และคมมีดปกคลุมไปด้วยเปลวไฟลุกโชน แรงเคลื่อนไหวของมันช่างน่าหวาดกลัว


 


 


“กระบี่อัคนีสามพลังหยาง! เจ้าคือ…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] มุทรา คือสัญลักษณ์นิ้วและมือทางพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ

 

 

 


ตอนที่ 94

 

ทำตามหัวใจ

ครั้นโม่เทียนเกอตื่นขึ้น ก็รู้สึกค่อนข้างสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนนางจะหมดสติไปค่อยๆ คืบคลานกลับเข้ามาสู่จิตใจทีละนิดๆ ทำให้นางตกใจและต้องมองดูสภาพรอบตัวด้วยความประหม่า


 


 


ที่นี่… ดูเหมือนจะเป็นห้องในโรงเตี๊ยม… เครื่องเรือนเรียบง่ายและเก่า พื้นสกปรก และผ้านวมมีกลิ่นราอ่อนๆ


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย ตื่นแล้วหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอหันหน้าไปหาเสียงนั้นก็เห็นว่าฉินซีกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะในห้องด้านนอกหันหลังให้นาง ดูเหมือนกำลังวาดเครื่องรางอยู่


 


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า จิตใจนางก็สงบขึ้นได้เล็กน้อย ในเมื่อฉินซีดูสบายๆ ไร้กังวล พวกเขาก็น่าจะไม่มีอันตรายแล้ว


 


 


ถึงอย่างนั้น ด้วยว่านางยังค่อนข้างงุนงงอยู่ จึงถามว่า “ศิษย์พี่ฉิน เราถูกพบตัวหรือเปล่า”


 


 


ฉินซีวางพู่กันลงและเผากระดาษเครื่องรางที่เขียนผิดก่อนจะตอบนางว่า “ไม่ ข้าทำให้เจ้าสลบไป”


 


 


“หา” นางยิ่งสับสนกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก


 


 


ฉินซีไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาแค่เก็บกระดาษและพู่กันบนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว เราควรรีบไปจากที่นี่”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า ในขณะนั้นก็สันนิษฐานไปด้วยว่าในเมื่อพวกเขาหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสองคนนั้น เขาคงจะใช้วิชาลับอะไรบางอย่างที่คงไม่เหมาะจะให้นางรู้นัก


 


 


แต่นางก็มักจะรู้สึกมาตลอดว่าฉินซีนั้นแปลกประหลาด เขามักจะทำสิ่งต่างๆ สำเร็จได้เสมอทั้งที่เป็นสิ่งที่นางคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ทัศนคติของเขาสงบนิ่งอยู่ตลอด ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองหวาดระแวงเกินไปทุกครั้งที่นางเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเขา หรือว่าเขาสามารถบรรลุสิ่งเหล่านั้นได้ก็เพราะเขามีผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้อาวุโสและเพราะมีสมบัติมากมาย


 


 


“อ้อ! ข้าลืมไป!” ฉินซีหยิบของหลายอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขาและเอาให้นางพร้อมพูดว่า “นี่สำหรับเจ้า ข้าเอามันมาเมื่อวาน”


 


 


สิ่งที่ฉินซีให้นางคือเสื้อเกราะเหล็กที่ยืดหยุ่นได้และไม้วัดหยก นางพูดด้วยความสงสัยว่า “ของพวกนี้คือ…”


 


 


“มันคือเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และไม้หลบลี้หนีหล้า อันแรกเป็นอุปกรณ์ป้องกัน สามารถปกป้องเจ้าจากการโจมตีหลายๆ ครั้งจากผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนเดียวกับเจ้าเมื่อเจ้าใส่มันไว้ ส่วนไม้หลบลี้หนีหล้ามีประโยชน์มากเวลาเจ้าต้องการจะหนี มันสามารถช่วยให้เจ้าหลบหนีไปได้ไกลกว่าพันจั้งในชั่วพริบตา”


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึงขณะที่นางรับรู้ว่าของพวกนี้มีค่ามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่มันก็ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธวิเศษเลยแม้แต่น้อย นางถามว่า “ทำไมท่านให้ของพวกนี้แก่ข้าล่ะ”


 


 


ฉินซีจึงบอกว่า “ข้าไม่ต้องการมัน แต่ข้าคิดว่าคงจะน่าเสียดายถ้าข้าไม่เอามันมาด้วย ข้าทำได้เพียงแค่ให้เจ้าไว้”


 


 


“แต่…”


 


 


นางไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้เพราะฉินซีตัดบทนาง “หยุดพูดว่าแต่เสียที ก่อนหน้านี้เจ้าเคยโผงผางตลอด เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงไปได้”


 


 


แหม ท่านไม่คิดหรือว่าเป็นเพราะตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นผู้หญิงและข้าก็ไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณท่านอีกน่ะ


 


 


โชคร้ายที่นางไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกไปได้เพราะกลัวว่าจะทำให้ฉินซีไม่พอใจ เมื่อนางต้องทนทุกข์จากเหตุการณ์ร้ายๆ นางก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขา อาจจะพูดได้ว่านางติดหนี้บุญคุณเขาก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอยากที่จะรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเขารู้ถึงเจตนาของนาง เขาอาจจะรู้สึกได้ว่านางเป็นคนที่ไม่สำนึกบุญคุณคน


 


 


“ก็ได้ ข้าจะไม่พูดอะไรเยิ่นเย้ออีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านมามากแล้ว เช่นนั้นจะเพิ่มอีกสักเรื่องก็คงไม่เสียหายอะไร…”


 


 


ฉินซียิ้มและพูดว่า “นี่ล่ะศิษย์น้องเยี่ยควรจะเป็นแบบนี้… อ้อ ข้าจะออกไปก่อนนะ เจ้าจะได้ทำอะไรให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาตอนเจ้าทำเสร็จแล้ว”


 


 


“อืม เข้าใจล่ะ”


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยม โม่เทียนเกอถึงเพิ่งรู้ว่าพวกเขายังอยู่ที่ตีนเขาของเขาอวิ๋นอู้อยู่


 


 


นางคิดอยู่ในใจ สมกับที่เป็นคนที่มาจากกลุ่มอันทรงอิทธิพล เขากล้ามาก!


 


 


ก่อนพวกเขาจะจากไป โม่เทียนเกอหันกลับและทอดสายตาไปยังเขาอวิ๋นอู้ ยอดเขาทั้งทิศเหนือและทิศใต้ตั้งตระหง่าน สูงเสียดขึ้นไปยังหมู่เมฆพร้อมกับพลังวิญญาณที่ตกค้างอยู่รอบๆ ครั้งหนึ่งนางเคยฟันฝ่าเพื่อให้ได้เข้ามาที่สถานที่แห่งนี้ บัดนี้นางกลับต้องหนีไปด้วยการเสี่ยงชีวิตตัวเอง


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย มีอะไรที่เจ้ายังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนที่นางจะส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าปล่อยวางไม่ได้ ข้าแค่คิดถึงพวกคนที่ข้ารู้จัก… น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเจอพวกเขาได้ในตอนนี้”


 


 


ฉินซีพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ศิษย์พี่หลิ่วยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขา แต่เขาก็ได้รับความดีความชอบจากผู้อาวุโสและอนาคตของเขาก็ดูดีทีเดียว สำหรับศิษย์น้องมูหรง ข้าได้ยินว่าการฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น อีกอย่างนางก็มีกลุ่มคอยสนับสนุนนาง ข้าคิดว่าโอกาสในการสร้างฐานแห่งพลังของนางนั้นสูงมาก”


 


 


“จริงหรือ” โม่เทียนเกอพึมพำ แล้วนางก็คิดถึงเจียงซั่งหัง สงสัยว่าเขาหนีรอดหรือไม่


 


 


ลืมมันซะ! ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย ข้าต้องปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันสิ ถ้ามีโชคชะตา เราคงได้พบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ไปกันเถอะ”


 


 


หลายวันต่อมา ฉินซีและโม่เทียนเกอมาถึงยังตลาดนัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาระหว่างสองยอดเขาของภูเขาหวน


 


 


หุบเขานี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขาอวิ๋นอู้ เดิมทีพวกเขาไม่ได้จะผ่านที่นี่ แต่เนื่องจากโม่เทียนเกอต้องการจะจัดการเรื่องบางอย่างที่นี่และฉินซีก็เห็นด้วย ทั้งสองคนจึงเดินทางอ้อมมายังตลาดนัดแห่งนี้


 


 


ทั้งสองคนเข้าไปที่ร้านค้าเล็กๆ ของเทียนเฉี่ยวเป็นที่แรก ตามที่โม่เทียนเกอคาดไว้ เมื่อพวกเขาไปถึง ประตูของร้านปิดอยู่


 


 


ขณะเดียวกับที่นางกำลังจะผลักประตูเปิดและเข้าไปข้างใน ใครบางคนก็ออกมาจากร้านข้างๆ และตะโกนเรียก “ท่านผู้เป็นเซียน ห้ามเข้าไป!”


 


 


โม่เทียนเกอหันไปและเห็นมนุษย์ในชุดพนักงานร้าน นางขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมล่ะ”


 


 


พนักงานร้านรีบโค้งคำนับเป็นการทำความเคารพพวกเขาและพูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผู้เป็นเซียน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไป แต่เพราะร้านนี้ถูกปิดผนึกโดยโถงปกครองของตลาดนัดของเราขอรับ”


 


 


“ปิดผนึกหรือ หมายความว่าอย่างไร”


 


 


หลังจากสังเกตสีหน้าของนาง พนักงานร้านจึงบอกว่า “ท่านผู้เป็นเซียน ท่านไม่ใช่คนแถวนี้ใช่หรือไม่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในร้านนี้ ดังนั้นโถงปกครองของเราจึงเข้าครอบครองตึกนี้ ขณะนี้มันยังไม่มีคนเช่าจึงเป็นแค่บ้านที่ว่างเปล่า”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและถามต่อไป “แล้วเจ้าของร้านคนก่อนล่ะ”


 


 


พอได้ยินคำถามนี้ พนักงานร้านถอนใจและบอกว่า “ข้าจะพูดตามตรง คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นที่ดูแลร้านนี้ตายแล้วขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้นางเลยแค่ถามว่า “ร่างของพวกเขาล่ะ”


 


 


คำถามของนางตรงเกินไปและทำให้พนักงานร้านเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตาม พนักงานคนนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรและแค่ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ข้ารู้แค่ว่าเรื่องนี้ทางโถงปกครองเป็นคนจัดการ”


 


 


“โถงปกครองอยู่ที่ไหนหรือ”


 


 


“เอ… ท่านแค่ต้องเดินตรงไปจากตรงนี้จนกว่าจะถึงตึกที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือโถงปกครองขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วเอาทองก้อนหนึ่งออกมาให้กับพนักงานร้าน


 


 


การได้รับทองก้อนใหญ่เช่นนี้จากการแค่ตอบคำถามนิดหน่อยทำให้พนักงานร้านคนนั้นสุขใจอย่างมาก เขาพูดซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณท่านผู้เป็นเซียน… ขอบคุณท่านผู้เป็นเซียน…”


 


 


ทั้งสองคนหันกลับและเดินออกมา พวกเขาไม่ต้องเดินไปไกลก็เจอโถงปกครองเข้าในที่สุด


 


 


มีแค่ผู้ฝึกตนระดับสองของการหลอมรวมพลังวิญญาณคนเดียวที่เฝ้าภายในโถงปกครอง ขณะที่กำลังดื่มเหล้าองุ่น ผู้ฝึกตนคนนั้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “สหายนักพรตต้องการอะไรรึ?”


 


 


คนผู้นี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าองุ่นทำให้โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “ที่นี่คือโถงปกครองใช่หรือไม่”


 


 


ผู้ฝึกตนคนนั้นสะอึกและเหลือบมองพวกเขาด้วยหางตา เขาไม่พยายามจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแม้แต่น้อยถึงแม้เขาจะเห็นระดับการฝึกตนของพวกเขาแล้วก็ตาม เขากลับชี้ไปที่บางแห่งด้านนอกประตูขณะที่ยังคงถือขวดเหล้าและพูดพร้อมหลับตาว่า “ถ้าท่านไม่รู้ก็จงดูข้างนอกให้ดีก่อนจะเข้ามาในนี้อีกครั้ง”


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างโมโห แต่นางก็ระงับอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้ นางกำลังจะถามคำถามอื่นเมื่อฉินซีก้าวมาข้างหน้าและโยนศิลาวิญญาณกำมือหนึ่งไปบนโต๊ะ เขาพูดอย่างเย็นชา “เรามีบางเรื่องที่จำเป็นต้องถามเจ้า”


 


 


ดวงตาของผู้ฝึกตนสดใสขึ้นมาทันทีที่เห็นศิลาวิญญาณบนโต๊ะ ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยพลัน ไม่เพียงแต่เขาจะวางขวดเหล้าลง แต่เขายังยืนขึ้นและทำความเคารพอย่างสุภาพอีกด้วย จากนั้นเขากล่าวว่า “ถ้าท่านสหายนักพรตมีคำถามอะไร ข้าจะบอกท่านสหายนักพรตทุกสิ่งที่ข้ารู้อย่างแน่นอนขอรับ”


 


 


ท่าทางสองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของชายคนนั้นทำให้โม่เทียนเกอพูดไม่ออก พวกผู้ฝึกตนที่จัดการตลาดนัดแห่งนี้ช่างเป็นพวกหน้าเงินเสียจริง! เขารู้ทั้งรู้ว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาสูงกว่าของเขามาก แต่เขาก็ยังทำเฉยในตอนแรก พอเห็นเงินเข้า เขาก็กลายเป็นคนมีมารยาททันที!


 


 


นางถามตรงๆ “หลายวันก่อน คู่สามีภรรยาตายในตลาดนัดของท่าน ท่านพอจะบอกข้าได้ไหมว่าร่างของพวกเขาอยู่ที่ไหน”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของนาง ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ท่านสหายนักพรตคงจะพูดถึงคู่สามีภรรยาสกุลเมิ่งใช่ไหมขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ ท่านจัดการงานศพของพวกเขาอย่างไร”


 


 


“นี่…” ชายคนนั้นพินิจดูนางอย่างระมัดระวังแล้วจึงพูดว่า “ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านสหายนักพรตเกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเขา”


 


 


“ข้าเป็นญาติพวกเขา”


 


 


หลังจากเขาได้ยินคำตอบ เขาก็เหลือบมองนางแบบค่อนข้างรู้สึกผิดและบอกว่า “ท่านสหายนักพรต เราไม่เคยได้ยินว่าสหายแซ่เมิ่งมีญาติที่ไหนมาก่อนเลย…”


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ท่าทางของเขาตอนนี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างไม่ปกติ “เจ้าแค่ต้องบอกเรามาว่าร่างของพวกเขาอยู่ที่ไหน!”


 


 


ชายคนนั้นเอาแต่มองศิลาวิญญาณบนโต๊ะและจึงตอบมาในที่สุด “ท่านสหายนักพรต เราไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขายังมีญาติเหลืออยู่ ดังนั้นเราจึงทำตามธรรมเนียมปกติ… เราเผาศพของพวกเขาและฝังเถ้ากระดูกไว้ที่ภูเขาด้านหลัง…”


 


 


ใจของโม่เทียนเกอหล่นวูบลง นางพูดว่า “ท่านหมายความว่าร่างของพวกเขาไม่เหลืออยู่แล้วหรือ”


 


 


“ไม่เชิง…” พอเห็นว่าสีหน้าของนางเย็นชาเพียงใด ชายคนนั้นจึงตอบตามตรงว่า “ท่านยังสามารถตามหาพวกเขาได้ถ้าต้องการ แต่เนื่องจากเถ้ากระดูกถูกฝังอยู่ในพื้นดิน คงเป็นการยากที่จะแยกดินออกจากเถ้ากระดูก… ท่านสหายนักพรต”


 


 


โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังและเดินออกไป ถ้านางอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว นางอาจจะทำร้ายคนผู้นี้และฆ่าเขาก็ได้!


 


 


ฉินซีรีบตามนางให้ทันและตะโกนเรียก “ศิษย์น้องเยี่ย!”


 


 


โม่เทียนเกอหยุดเดินและพยายามระงับความโกรธ นางแค่ต้องการจะจัดงานศพให้เทียนเฉี่ยว ถ้านางมีโอกาสในอนาคต นางตั้งใจว่าจะนำเถ้ากระดูกของพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม…


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังตามหาใครหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอเงียบไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะตอบว่า “ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของข้าน่ะ เราโตมาด้วยกันตอนที่เรายังเด็ก และนางก็เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ข้ามากที่สุด”


 


 


“เช่นนั้นหรือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขา…”


 


 


โม่เทียนเกอส่งเสียงหัวเราะขมขื่นและพูดว่า “แน่นอนข้ารู้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกทำร้ายเพราะข้าเอง”


 


 


“ถูกทำร้ายหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและก้มหน้าลง ดูสลดใจเป็นที่สุด ถ้าเพียงแต่นางไม่ได้เอาสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมา เจียงเฉิงเสียนก็คงไม่สังเกตเห็นนาง ถ้าเพียงแต่นางไม่ประมาทเกินไป นางก็คงไม่ถูกพบตัวเมื่อตอนที่นางอยู่ที่ตลาดของเผ่าหู เจียงเฉิงเสียนก็คงจะจำนางไม่ได้และเทียนเฉี่ยวก็คงไม่ต้องทนทรมานจากการเค้นจิตวิญญาณ เป็นเพราะนางเทียนเฉี่ยวถึงต้องตาย…


 


 


พอเขาเห็นสีหน้าของนาง ฉินซีจึงไม่สงสัยอะไรนางอีกต่อไป เขาแค่ถอนใจและถามว่า “เจ้ากำลังรู้สึกผิดมากอยู่ใช่ไหม”


 


 


ชั่วขณะหนึ่งโม่เทียนเกอพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าและกระซิบเบาๆ ว่า “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเจอกับข้า ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา…”


 


 


“บางทีเจ้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นไหมถ้าเจ้าหาเถ้ากระดูกของพวกเขาเจอ”


 


 


“ข้า…”


 


 


“หลังจากคนเราตายไป มันสำคัญด้วยหรือว่าเถ้ากระดูกของพวกเขาถูกฝังอยู่ที่ไหน ต่อให้พวกเขามีป้ายหินหน้าหลุมศพ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งของที่ปลอบประโลมใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เจ้านำเถ้ากระดูกของพวกเขากลับไป มันจะทำให้อะไรแตกต่างไปสำหรับพวกเขาหรือ? “


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ


 


 


ฉินซีจ้องนางและพูดอย่างเรียบเฉย “อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตน”


 


 


ถึงแม้น้ำเสียงเขาจะราบเรียบและไม่ได้ฟังดูเหมือนเขากำลังดุว่านาง แต่โม่เทียนเกอก็เข้าใจคำเตือนเบื้องหลังคำพูดของเขา


 


 


ผู้ฝึกตนจะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องภายนอกหรือไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ถ้าพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนแบบไหนกัน? การฝึกจิตใจก็จำเป็นต่อการก้าวไปสู่การเป็นเซียนเช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องภายนอกได้ พวกเขาจะพัฒนาการฝึกตนได้อย่างไร


 


 


นางเข้าใจหลักการพวกนี้ดี แต่…


 


 


“ในสำนักอวิ๋นอู้ ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่มีข้อจำกัด เป็นผู้ที่มั่นคงต่อเส้นทางแห่งการฝึกตน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ล่ะที่ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าไม่สามารถมองข้ามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องระลึกว่าถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อย่างมากเจ้าคงจะเข้าถึงได้แค่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง… คงจะสิ้นหวังแล้วสำหรับเจ้า!


 


 


จิตใจของโม่เทียนเกอจมดิ่งด้วยความผิดหวัง จริงสิ! ท่านอารองจากไปแล้ว ข้าจะทำพลาดอีกได้อย่างไร ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว รู้สึกผิดไปก็ไร้ประโยชน์ รู้สึกเสียใจก็เช่นกัน


 


 


นางหลับตาลงและพูดอย่างจริงใจว่า “ศิษย์พี่ฉิน ขอบคุณมาก”

 

 

 


ตอนที่ 95

 

โรงเรียนเสวียนชิง

โม่เทียนเกอยืนขึ้นบนกระบี่บินในขณะที่มองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง


 


 


ยอดเขาซ้อนยอดเขาสูงเสียดฟ้าทะลุผ่านทะเลของกลุ่มก้อนเมฆ


 


 


นี่คืออารามของโรงเรียนเสวียนชิงในภูเขาไท่คังทางคุนอู๋ตะวันตก


 


 


ถ้านางไม่ได้เคยไปที่สำนักเทียนเต้าและเห็นทั้งภูเขาอวี้เหิงและภูเขามาร นางคงจะต้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจต่อภาพทิวทัศน์เบื้องล่างของนางในตอนนี้อย่างแน่นอน


 


 


เทียบกับภูเขาที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเต็มไปด้วยพลังวิญญาณเช่นนี้ ภูเขาอวิ๋นอู้นั้นไม่สามารถเทียบกันได้เลย แม้แต่สำนักจื่อซย่าใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้นางยกย่อง ยังดูแย่ไปเลยเมื่อเทียบกับมัน


 


 


ภูเขาไท่คังสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สูงเท่าภูเขามาร แต่ก็เป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมาในการเดินทาง ยอดเขาหลักเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและล้อมรอบด้วยอีกหกยอดเขาที่ไม่ได้ต่างกันในเรื่องของความสูงเท่าไรนัก กระเบื้องหลังคาและชายคาบ้านต่างๆ เห็นเป็นช่วงๆ ผ่านช่องว่างของป่าภูเขา มีศิษย์ของสำนักหลายร้อยคนอยู่บริเวณลานจัตุรัสกลางของโรงเรียน ศิษย์ทั้งหลายยืนเข้าแถวอย่างเรียบร้อย และจัดแถวเป็นระเบียบเนื่องจากกำลังเรียนทางด้านศิลปะการต่อสู้


 


 


เมื่อรู้ว่าโม่เทียนเกอกำลังจับจ้องไปในทางนั้น ฉินซีก็อธิบาย “ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า แต่ก็ยังมีวิชาที่เจ้าสามารถฝึกได้มากมายที่นี่ ศิษย์เหล่านั้นกำลังฝึกวิชาฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เหมือนกับผู้คนทั่วไปในโลกมนุษย์”


 


 


“โอ้…มันเป็นภาพที่สง่างามเหลือเกิน” จากระยะไกล นางมองผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีฟ้าและขาวกวัดแกว่งกระบี่ด้วยความพร้อมเพรียงกัน การเคลื่อนที่พลังกระบี่ของพวกเขาอย่างรวดเร็วรวมกับความมั่นใจในตนเองของศิษย์ทั้งหลาย ช่างเป็นสิ่งที่จรรโลงตาเสียเหลือเกิน


 


 


เมื่อนางสัมผัสได้ว่าบางคนกำลังเข้ามาใกล้ โม่เทียนเกอจึงเงยหน้าขึ้น เห็นกลุ่มคนประมาณเจ็ดถึงแปดคนกำลังตรงมาทางพวกเขาบนกระบี่บิน พวกเขาดูเหมือนเป็นหน่วยลาดตระเวนรอบภูเขา คนหนึ่งในนั้นผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง


 


 


ขณะที่เห็นทั้งสองคน ทั้งกลุ่มหยุดทำความเคารพต่อฉินซีในระยะไกล


 


 


เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวจากไป ฉินซีจึงพูด “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปด้านใน”


 


 


กระบี่บินได้พาพวกเขาร่อนลงที่ยอดเขายอดหนึ่ง


 


 


“นี่คือยอดเขาวสันต์กระจ่าง โรงเรียนเสวียนชิงมียอดเขาทั้งหมดหกยอด ศิษย์ในแต่ละยอดเขาจะฝึกตนด้านข้างยอดเขาและฟังวิชาของเต๋าที่ยอดเขาหลัก เจ้าเพียงแค่จะต้องจำลักษณะภูมิประเทศของยอดเขาวสันต์กระจ่างให้ได้ สำหรับยอดเขาหลักเจ้าจะต้องไปเพียงแค่บางโอกาสเท่านั้น”


 


 


เมื่อฉินซีพูดจบ ทั้งสองคนก็ร่อนลงที่ด้านหน้าโถงอาคารหลักของยอดเขาวสันต์กระจ่าง


 


 


โม่เทียนเกอกำลังสำรวจบริเวณรอบๆ ในขณะที่หญิงผู้ฝึกตนเดินออกมาจากโถง นางดูประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งสองคนและกำลังจะตะโกนเรียกแต่…


 


 


“เฟิงเสวี่ยมานี่!”


 


 


หญิงผู้ฝึกตนกลืนน้ำลายตัวเองและเดินมาทางพวกเขาเพื่อทักทายอย่างลังเล


 


 


ฉินซีพูดกับโม่เทียนเกอก่อน “นี่เป็นศิษย์ผู้ควบคุมของยอดเขาวสันต์กระจ่าง นางยังเป็นศิษย์ภายใต้อาจารย์ลุงเสวียนอิน ชื่อหลัวเฟิงเสวี่ย”


 


 


หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดว่า “สามปีแล้วสินะ เจ้ายังไม่สร้างฐานแห่งพลังอีกหรือ”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยกะพริบตา หลังจากวิเคราะห์ถึงท่าทางของเขา นางเรียกออกมาด้วยความปราดเปรื่อง “ท่านอาจารย์ลุง”


 


 


ฉินซียิ้มเล็กน้อยพร้อมพูด “ถูกต้อง ต่อแต่นี้ไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง”


 


 


“โอ้…” หลัวเฟิงเสวี่ยหันมองทั้งสองคนสลับไปมา อย่างไรก็ตามสุดท้ายนางก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุงทำไมท่านใช้เวลาในการกลับจากเดินทางครั้งนี้นานเหลือเกิน ท่านปรมาจารย์เป็นห่วงท่านมากจริงๆ!”


 


 


แทนที่จะตอบ ฉินซีชี้ไปที่โม่เทียนเกอและพูดว่า “นี่เป็นศิษย์น้องหญิงคนใหม่ของเจ้า อันดับแรกพานางไปลงชื่อก่อน ที่เหลือค่อยจัดการทีหลัง”


 


 


“รับทราบเจ้าค่ะ!” หลัวเฟิงเสวี่ยหันไปมองที่โม่เทียนเกอพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย สุดท้ายนางก็ยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”


 


 


ถูกเรียกว่า “ศิษย์น้องหญิง” เป็นครั้งแรกถึงแม้ว่านางจะยังใส่เสื้อผ้าของผู้ชายทำให้โม่เทียนเกอสับสนว่านางควรที่จะทำความเคารพอย่างไร สุดท้ายแล้ว นางจึงตอบคำถามของหลัวเฟิงเสวี่ยก่อน “ศิษย์พี่หญิงหลัวเฟิงเสวี่ย ข้าชื่อโม่เทียนเกอ”


 


 


“เทียนเกอ” หลัวเฟิงเสวี่ยทวนชื่อของโม่เทียนเกอ หลังจากนั้นนางดึงมือของโม่เทียนเกอไปจับอย่างเป็นกันเองและพูด “เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงหรอก ทุกคนเรียกชื่อข้า เจ้าก็ควรที่จะเรียกข้าว่า เฟิงเสวี่ย!”


 


 


“นี่…”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางเสียศูนย์ของโม่เทียนเกอเมื่อเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของหลัวเฟิงเสวี่ย ฉินซีก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะไปแจ้งเรื่องของเจ้ากับท่านปรมาจารย์ก่อน ระหว่างนั้น เจ้าควรตามเฟิงเสวี่ยไปก่อน” หลังจากนั้นเขาหันไปพูดกับหลัวเฟิงเสวี่ย “เฟิงเสวี่ย ข้าฝากนางกับเจ้าด้วย จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียด้วยล่ะ”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มและตอบด้วยลูกเล่น “รับทราบเจ้าค่ะ! อาจารย์ลุง! นานแล้วที่ท่านไม่ได้กลับมา ท่านน่าจะไปแสดงความเคารพต่อปรมาจารย์ก่อน วางใจได้เลยข้าจะดูแลนางอย่างดี!”


 


 


“…” เมื่อต้องเจอกับความร่าเริงของนาง ฉินซีดูทำอะไรไม่ถูกทีเดียว เขาเพียงแค่โบกมือและเดินไปโดยที่ไม่ตอบแม้แต่คำเดียว


 


 


เมื่อนางเห็นเขาเดินหายลับไป โม่เทียนเกอก็รู้สึกขัดแย้งอยู่ข้างในตัวเอง เขาจากไปโดยที่ไม่พูดกับนางสักคำและไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วย


 


 


ในการที่จะเดินทางมาโรงเรียนเสวียนชิงจากเขาอวิ๋นอู้ พวกเขาต้องเดินทางข้ามผ่านขอบเขตของภูเขาคุนอู๋ทั้งหมดร่วมสองเดือนเต็ม ในระหว่างสองเดือนนั้น ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นเกินกว่าที่จะพรรณนาออกมาได้


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะฉินซีได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็กว่าความรู้ของเขานั้นกว้างขวาง ไม่เพียงแค่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการฝึกตนที่เขาชี้แนะโม่เทียนเกอเท่านั้น แต่เขายังได้แบ่งปันประสบการณ์ของเขาให้กับนางด้วย ความจริงโดยธรรมชาติแล้วฉินซีไม่ได้เป็นคนที่เย็นชาอย่างที่แสดงออกตอนพวกเขาพบเจอกันครั้งแรก ในทางตรงกันข้าม เขาอ่อนโยนและมารยาทดี เมื่อเขาพูด ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกเคลิบเคลิ้มดังสัมผัสกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อีกอย่างคำแนะนำของเขาก็ช่วยเหลือนางได้มากจริงๆ …


 


 


เมื่อนางรู้ตัวว่านางเริ่มที่จะพึ่งพาเขา นางเข้าใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมและตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างจากเขาในทันที


 


 


ฉินซีมาจากกลุ่มที่มีชื่อเสียงและมีผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้อาวุโส ด้วยพื้นฐานทางธรรมชาติของนาง โม่เทียนเกอไม่มีโอกาสที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเขาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทำไมนางถึงจะต้องหลอกตัวเองด้วย เพราะอย่างนั้น เมื่อนางตระหนักได้ว่านางมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเขา นางจึงหยุดมันอย่างสมเหตุสมผลและตรงไปตรงมา


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกแบบนี้ต่อคนอื่น ดังนั้นนางจึงค่อนข้างแปลกใจที่นางสามารถแก้ไขได้อย่างมีเหตุผล รวมทั้งนางยังไม่มีความลังเลใดๆ ในการตัดสินใจเช่นนั้นด้วย เพราะหัวใจนางไม่เคยมั่นคงเท่ากับปัจจุบันที่นางมีความต้องการมุ่งสู่เส้นทางของการฝึกตนต่อไป


 


 



 


 


ฉินซีมุ่งหน้าไปยังถ้ำเซียนบริเวณยอดสุดของยอดเขาวสันต์กระจ่าง


 


 


ความจริงแล้วมันดูเหมือนตำหนักมากกว่าถ้ำเซียน ถึงแม้ว่ามันจะตั้งอยู่ภายในภูเขาแต่ทางเข้าก็ดูเหมือนตำหนักจริงๆ


 


 


เมื่อศิษย์ผู้คุมห้องโถงเห็นฉินซี เขาเรียกออกมาด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ลุงโซวจิง! ท่านกลับมาแล้ว!”


 


 


ฉินซีพยักหน้า “ท่านปรมาจารย์อยู่ด้านในหรือไม่”


 


 


ศิษย์พยักหน้าพร้อมพูดว่า “อยู่ขอรับท่าน เชิญด้านใน”


 


 


ด้านในทางเข้า พื้นนั้นล้วนฝังไปด้วยหยกวิญญาณและกำแพงได้ถูกก่อขึ้นด้วยหินแปลกๆ ที่หลากหลาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ระยิบระยับไปด้วยทอง แต่ความหรูหราของโถงนี้ก็เห็นได้อย่างเด่นชัด


 


 


ภายในห้องโถง ชายวัยกลางคนแต่งตัวหรูหราดูภูมิฐานเช่นผู้สูงศักดิ์กำลังเอนกายอยู่บนตั่งมังกร หญิงคนหนึ่งกำลังนวดขาของเขาอย่างเบามือในขณะที่อีกคนกำลังปอกองุ่นให้กับเขา อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนคนนี้ที่ดูเหมือนกับเป็นพระราชาในโลกของมนุษย์ ความจริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่!


 


 


มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขากลืนองุ่นที่สาวงามป้อนให้ในขณะที่เขามองตรงไปยังฉินซี เขาพูดว่า “เจ้าไปทำอะไรมาในการเดินทางของเจ้า เจ้าไม่ได้กลับมาถึงสามปี… โอ้ เจ้าฟื้นระดับการฝึกตนของเจ้าหรือ”


 


 


ท่าทางของเขาที่ดูเหมือนผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถจากโลกแห่งมนุษย์นั้นได้ถูกเมินเฉยจากฉินซีอย่างสิ้นเชิง ฉินซีเพียงแค่หาที่นั่งและรินชาให้ตัวเองในขณะที่เขาพูด “ข้าจะทำอะไรได้อีก? ข้ากำลังมองหายาแก้สารพัดโรคเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และในขณะนั้นข้าก็กำลังมองหาวิชากายาพิสุทธิ์เพื่อเตรียมตัวสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าด้วย”


 


 


“ฮึ่ม!” ผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่เลิกคิ้วพร้อมพูด “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหม เจ้าพาเด็กหญิงตัวน้อยๆ กลับมา เกิดอะไรขึ้น ในที่สุดหัวใจของเจ้าก็เต้นเหมือนคนปกติทั่วไปแล้วหรือ”


 


 


“ท่านคิดว่าข้าจะเหมือนท่านอย่างนั้นหรือ” ฉินซีโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนั้นเขาขมวดคิ้วและถาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นผู้หญิง นางออกจะ…”


 


 


“เจ้าคิดว่าแค่เพราะนางใส่เสื้อผ้าผู้ชายแล้วเจ้าจะสามารถซ่อนนางจากสายตาคู่นี้ที่สังเกตผู้หญิงมานับไม่ถ้วนได้อย่างนั้นหรือ โอ้ไม่ๆ ข้าหมายถึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้า…” หลังจากที่บ่นกับตัวเอง เขาก็กลืนองุ่นเพิ่มและเปลี่ยนอิริยาบถของเขา เขาจ้องมองที่ฉินซีและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพานางกลับมา นางก็คงจะไม่ได้เป็นเด็กหญิงทั่วๆ ไป บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ฉินซีไม่อยากโต้เถียงกับชายผู้นี้อีกต่อไป เขาครุ่นคิดสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเรียก “ท่านอาจารย์…”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งนี้ นางจะต้องรู้ถึงตัวตนของชายผู้นี้ทันที ยอดเขาวสันต์กระจ่างเป็นพื้นที่ส่วนตัวในการฝึกตนของปรมาจารย์จิงเหอ ในเมื่อชายผู้นี้คือผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาจะต้องเป็นฉินจิ้งเหออย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันทั้งหมดทั้งมวลทั่วโรงเรียนเสวียนชิง น้อยคนนักที่จะเรียกเขาว่า “ท่านอาจารย์”


 


 


“ท่านอาจารย์ รับนางเป็นศิษย์ด้วย”


 


 


ฉินจิ้งเหอเกือบสำลักองุ่นที่เพิ่งทานเข้าไปเพราะฉินซี


 


 


เขากลืนองุ่นขณะที่คิดหลังจากนั้นเขาโบกมือไปที่ผู้หญิงสองนาง บอกให้ออกไปก่อน เขาลุกขึ้นนั่งและพูดว่า “เจ้าต้องการให้ข้ารับนางเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ นางเป็นคนอย่างไรกันถึงตกมาอยู่ในสายตาของเจ้าได้”


 


 


ฉินซีเมินคำถามของเขาและพูดอย่างเรียบง่าย “ข้าเพียงขอให้ท่านรับนางเป็นศิษยอย่างถูกต้อง ข้าจะจัดการที่เหลือเอง”


 


 


“เจ้าควรบอกข้าก่อนว่านางเป็นใคร…”


 


 


เมื่อไร้ซึ่งทางเลือก ฉินซีสามารถอธิบายได้เพียงแค่ “ท่านจำเมื่อยี่สิบปีก่อนที่มีใครบางคนไว้วางใจฝากลูกของเขากับข้าได้หรือไม่”


 


 


ฉินจิ้งเหอคนที่ไม่ได้ดูเหมือนผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่และดูเหมือนกับพระราชาที่ไร้ความสามารถในโลกมนุษย์ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจ “โอ้… นางคือคนของตระกูลนั้นเองหรอกหรือ ไอ้หยา ช่างน่าผิดหวังเสียจริง… ข้านึกว่าในที่สุดเจ้าก็ตาสว่างเสียแล้ว…” เมื่อเขาพูดจบเขาก็กลับลงไปนอนพิงบนตั่งอย่างเดิม และในเมื่อไม่มีสาวงามคอยดูแลอยู่ข้างๆ เขาจึงต้องใช้คาถาปอกองุ่นด้วยตัวเอง


 


 


เมื่อเห็นพฤติกรรมของฉินจิ้งเหอ ฉินซีรู้สึกไร้หนทางมากกว่าเดิม “ท่านอาจารย์”


 


 


ฉินจิ้งเหอพูดด้วยความขุ่นเคืองใจ “ข้าบอกว่า.. เสี่ยวซี ข้าเป็นทั้งปู่และอาจารย์ของเจ้า เจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพหน่อยมิได้หรอกหรือ”


 


 


“ท่านโทษข้าที่ไม่เคารพท่านได้หรือ” ฉินซีพูดด้วยความโกรธ “ดูสิ นี่ท่านทำตัวเหมือนกับเป็นผู้อาวุโสไหม”


 


 


“เจ้าเด็กเหลือขอ!” ฉินจิ้งเหอกระโดดลุกออกจากตั่งและตำหนิเขา “เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ข้าเป็นคนเดียวที่สอนเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงดูเหมือนคนแก่เหลือขอนัก! ใครบอกว่าผู้ฝึกตนจะต้องมีใจที่บริสุทธิ์และความปรารถนาน้อยและจะต้องฝึกตนอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่อาจารย์เจ้าหรือตัวข้าหรอกหรือที่ยังสามารถฝึกตนจนเข้าสู่ระดับกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่โดยที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามหลักการเหล่านั้นเลย”


 


 


“ข้าเพียงแค่ถามว่าท่านทำตัวเหมือนผู้อาวุโสหรือไม่…”


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ ไอ้เด็กเหลือขอตัวเหม็น! เจ้าจะต้องทำให้ข้าโกรธทันทีที่กลับมาสินะ หา!”


 


 


เมื่อถูกโต้แย้งในขณะที่เขากำลังจะอธิบาย ฉินซีถูกบังคับให้กลืนคำพูดของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ผายมือออกและพูดว่า “ตกลง ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ท่านคือผู้อาวุโสอยู่ดี!” อย่างไรก็ตามเขาคุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้แล้ว


 


 


“ถูกต้องแล้ว!” ฉินจิ้งเหอทานองุ่นของเขาต่อด้วยความพอใจ หลังจากนั้นไม่นานเขาพูด “เจ้าไม่คิดว่าควรบอกแผนของเจ้าให้ข้ารู้ก่อนบ้างหรือ ข้าจำข่าวจากศิษย์ที่เจ้าส่งมาได้ว่าเด็กหญิงคนนี้ครอบครองร่างปราณหยินใช่ไหม”


 


 


ฉินซีพยักหน้า “ถูกต้อง ความจริงแล้วรากวิญญาณของนางไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ตาม นางเป็นคนที่ขยันและมีมุมมองความคิดที่ดี ด้วยการศึกษาที่เพียงพอ นางน่าจะประสบความสำเร็จได้”


 


 


“ประสบความสำเร็จ? นี่เจ้ากำลังพูดถึงการก่อขุมพลังอย่างนั้นหรือ” ฉินจิ้งเหอส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม เจ้า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ครอบครองรากวิญญาณสองธาตุ ดังนั้นเจ้าจึงจะไม่ถูกจำกัดด้วยทุนโดยธรรมชาติของเจ้าเอง จากที่ข้าจำได้ เด็กคนนั้นมีรากวิญญาณถึงห้าธาตุมิใช่หรือ ไม่ว่านางจะขยันแค่ไหนหรือมุมมองของนางจะดีอย่างไร มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งใดก็ตาม ความจริงแล้วมันจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมากแล้วถ้านางสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้!”


 


 


ฉินซีไม่ได้ปฏิเสธ เขาเพียงพูด “ท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านคิดเช่นนั้น เรามาพนันกันไหม”


 


 


“หา”


 


 


“ท่านบอกว่านางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างมากที่สุด แต่สำหรับข้านางสามารถก่อขุ่มพลังของนางได้อย่างแน่นอน!”


 


 


เมื่อฉินซีพูด ฉินจิ้งเหอหยุดขยับตัวและมองเขาอย่างครุ่นคิด “เจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุเลย แต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสองธาตุอย่างเจ้าก็มักจะติดอยู่กับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง เจ้าบอกว่านางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังของนางได้ บางทีหรือว่าเจ้าจะค้นพบอะไรบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับนาง”


 


 


ฉินซีส่ายหน้าพร้อมพูด “สัญชาตญาณของข้าบอกเช่นนั้น”


 


 


ฉินจิ้งเหอตะลึงงัน เขาเม้มปากอย่างดูหมิ่น “ขอทีเถอะ! เจ้าอย่าลืม ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน เจ้าก็อยู่เพียงแค่ระดับกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้มากกว่าข้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


ฉินซีจ้องเขาและยิ้มเยาะ “ท่านอาจารย์ ท่านมีความสามารถมาก? ข้าจำได้ตอนที่ท่านพูดว่าข้าต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปีในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดสิบปีในการก่อขุมพลังเท่านั้น ในสองร้อยปี… ข้าเกรงว่าข้าคงก่อจิตวิญญาณใหม่ไปแล้ว!”


 


 


ใบหน้าฉินจิ้งเหอเปลี่ยนเป็นสีแดงแต่ในเสี้ยววินาทีถัดมาเขาพูดอย่างมั่นใจในตัวเองว่าถูกต้องแน่นอน “ความไม่ถูกต้องแน่นอนมักเกิดขึ้นได้เมื่อคาดการณ์เรื่องอนาคตอยู่แล้ว รู้หรือไม่ แล้วอย่าได้ภาคภูมิใจในตนเองให้มากนัก! สองร้อยปีจะก่อจิตวิญญาณใหม่งั้นรึ? นี่กี่ปีมาแล้วตั้งแต่ที่คนแบบนั้นโผล่มาในขั้วแห่งท้องฟ้าครั้งล่าสุด ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ อย่าคิดว่าการก่อจิตวิญญาณใหม่นั้นจะง่ายเหมือนการก่อขุมพลังของเจ้า ย้อนกลับไปในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะของขั้วแห่งท้องฟ้า ข้าก่อจิตวิญญาณใหม่ของข้าตอนที่ข้าอายุเกือบสี่ร้อยปี แล้วเจ้า…”


 


 


“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะพนันว่านางไม่สามารถก่อขุมพลังได้เช่นนั้นหรือ”


 


 


หัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉินจิ้งเหอหยุดชั่วครู่ก่อนที่เขาจะตอบอีกครั้งด้วยความโมโห “ใครบอกว่าข้าจะพนันกับเจ้า ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าชอบลากข้าให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับแผนของเจ้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม… เดี๋ยวก่อน! ข้าต้องการถามเจ้าว่าเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรกับนาง ไม่ได้คุยว่าอนาคตของนางจะเป็นอย่างไร! หยุดเปลี่ยนเรื่อง!” 

 

 


ตอนที่ 96.1

 

“เทียนเกอ เจ้าคือ… ศิษย์ที่ท่านอาจารย์ลุงรับมาจากภายนอกหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอคาดว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะต้องมีเจตนาที่ไม่ดีเมื่อถามคำถามนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม เจตนาของนางนั้นดูใจดีจนเกินไป หลัวเฟิงเสวี่ยวางตัวเหมือนกับว่านางไม่ได้คิดไม่ดี การวางตัวแบบนี้เป็นเรื่องตลกไร้สาระระหว่างสหายเท่านั้น


 


 


นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกอึดอัดและไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ตั้งแต่สมัยที่นางเป็นเด็ก สหายผู้หญิงเพียงคนเดียวที่นางมีคือเทียนเฉี่ยว นอกจากเทียนเฉี่ยวแล้วนางไม่มีเพื่อนสนิทอีกเลย อีกอย่างหลัวเฟิงเสวี่ยก็ร่าเริงเกินไป เป็นกันเองเกินไป พวกเขาเพิ่งเจอกันเมื่อครู่ แต่หลัวเฟิงเสวี่ยกลับคุยกับนางอย่างสนิทสนมเสียแล้ว… แม้กระทั่งคนที่ร่าเริงแบบมู่หรงเยียนยังไม่ปฏิบัติกับนางแบบนี้ตอนที่เพิ่งรู้จักกัน


 


 


“ศิษย์พี่หลัว ข้า…”


 


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าให้เลิกเรียกข้าว่าศิษย์พี่หลัว เรียกแค่เฟิงเสวี่ย!”


 


 


“แต่ศิษย์ทั้งหลายเมื่อครู่ต่างเรียกท่านว่า…”


 


 


“เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้สนิทกับข้า!”


 


 


ข้าก็ด้วย เข้าใจไหม โม่เทียนเกอเพียงแต่คิดในใจ


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยขยับเข้ามาใกล้โม่เทียนเกออีกครั้งด้วยความสงสัยบนใบหน้า นางถามว่า “เหมือนข้าจะได้ยินท่านอาจารย์ลุงเรียกเจ้าว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ นั่นหมายถึงอะไรหรือ”


 


 


“…” โม่เทียนเกอจะอธิบายความสัมพันธ์แบบนี้ให้กับคนอื่นฟังได้อย่างไร กระนั้นการเผชิญหน้ากับหน้าตาช่างสงสัยแต่ไร้เดียงสาของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ทำให้นางไม่สามารถเลี่ยงที่จะตอบได้


 


 


“มันเป็นเพราะศิษย์พี่ฉิน…”


 


 


“อา!” หลัวเฟิงเสวี่ยอุทานออกมา ทำให้โม่เทียนเกอตกใจจนเกือบทำแผ่นจารึกประจำตัวของโรงเรียนอันใหม่ตกพื้น


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยจับแขนโม่เทียนเกอในทันทีและตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ฉิน”


 


 


เสียงตะโกนของนางดังมาก ทุกคนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างหันมองมาทางพวกนาง แทนที่จะตอบหลัวเฟิงเสวี่ยดึงโม่เทียนเกอเข้าไปที่ลับตาคนและกระซิบถาม “นี่ท่านอาจารย์ลุงจากไปและไปเข้ากลุ่มผู้ฝึกตนอย่างนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ย นางคิดคำตอบอย่างระมัดระวัง “เดิมข้ามาจากทางฝั่งคุนอู๋ตะวันออก ข้าผ่านงานรวมพลเซียน ได้เข้าสำนัก และเจอกับศิษย์พี่ฉินที่นั่น”


 


 


“โอ้…” ในที่สุดหลัวเฟิงเสวี่ยก็ใจเย็นลง นางถามอีกครั้ง “อาจารย์ลุงเรียกเจ้าว่า ‘ศิษย์น้องชาย’ นี่เจ้าแสร้งทำเป็นผู้ชายหรอกหรือ”


 


 


“อือ” นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเก็บเป็นความลับ ในโรงเรียนเสวียนชิง อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งรู้ความลับส่วนมากของนางอยู่แล้ว และฉินซีก็ฟังจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนาง เรื่องแบบนี้จะถูกค้นพบจากคนอื่นไม่เร็วก็ช้า


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจว่าคำตอบของโม่เทียนเกอนับมีเหตุผลในตอนนี้ นางจึงถาม “ถ้าเป็นเช่นนั้น… ทำไมท่านอาจารย์ลุงถึงอยากพาเจ้ากลับมาด้วยล่ะ”


 


 


“เพราะ… ศิษย์พี่หลัว มันอธิบายยาก พวกเราพูดเรื่องนี้กันทีหลังได้หรือไม่”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตกใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอนางจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าลืมไปว่าเจ้าผ่านการเดินทางที่แสนไกล พวกเราควรจะจัดการสิ่งที่ควรทำให้เสร็จก่อนเพื่อที่เจ้าจะได้ไปพักผ่อน ในเมื่อพวกเราได้ลงทะเบียนชื่อของเจ้าไปแล้ว เราจะต้องไปรับชุดเครื่องแบบ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปสอบถามเกี่ยวกับการจัดที่อยู่ของเจ้า มาเถอะ!”


 


 


โม่เทียนเกอแอบถอนใจอย่างโล่งอก นางไม่สามารถใช้เวลาร่วมกับคนที่กระตือรือร้นแบบนี้ได้ อีกอย่าง… นางรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้


 


 


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าศิษย์พี่หลัวจะพูดมากเกินไปหน่อย แต่นางก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเข้าโรงเรียนของโม่เทียนเกอจัดการได้อย่างเรียบร้อยเพราะนาง มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่นางเป็นศิษย์ผู้ควบคุม


 


 


“นี่เป็นชุดเครื่องแบบของเจ้า พวกเราศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณจะต้องใส่มัน อย่างไรก็ตาม เจ้ากำลังจะสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าแล้วใช่ไหม หลังจากที่เจ้าสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าได้ เจ้าจะได้เครื่องแบบที่แตกต่างไป หรือเจ้าจะทำขึ้นมาเองก็ได้เช่นกันตราบใดที่มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนปักอยู่ และแน่นอนถ้าเจ้าเข้าสู่ระดับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เจ้าจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”


 


 


โม่เทียนเกอรับเครื่องแบบในขณะที่ฟังคำอธิบายที่แสนยาวของหลัวเฟิงเสวี่ยไปด้วย


 


 


โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนลัทธิเต๋าแบบดั้งเดิม ดังนั้นเครื่องแบบจึงเป็นรูปแบบชุดคลุมของลัทธิเต๋า การจับคู่ชุดคลุมสีขาวและสีน้ำเงินทำให้ดูเรียบง่ายและเรียบร้อย ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร แต่มันก็ดูแข็งแรงทนทานในขณะที่นุ่มและลื่นเมื่อสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีพลังวิญญาณอ่อนๆ คลุมอยู่ เทียบกับเครื่องแบบของสำนักอวิ๋นอู้ พวกมันเหมือนกับเครื่องมือวิญญาณมากกว่าที่จะเป็นเครื่องแบบ


 


 


“ชุดนักพรตเต๋าขอโรงเรียนเสวียนชิงทำจากผ้าทอใยเมฆของภูเขาไท่คังที่ไม่เหมือนใครและได้ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยไฟแห่งธรรมชาติ การสวมใส่มันในขณะที่ต่อสู้ด้วยพลังเวทจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว ดังนั้นพวกมันก็สามารถจัดได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณเช่นกัน”


 


 


ใช่จริงๆ สินะ


 


 


ในขณะที่ลูบชุดคลุมอย่างเบามือนางก็ถอนใจและพูดว่า “ยอดเยี่ยมจริงๆ”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะและพูดว่า “นี่ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะโรงเรียนเสวียนชิงนะ สำนักเทียนเต๋า สำนักกู่เจี้ยน และสำนักปี่ยุนก็มีสิ่งที่คล้ายเคียงกัน”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยอาจจะไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แต่โม่เทียนเกอในทางกลับกันแล้วนั้นเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งของเหล่านี้หายากเพียงใด ตามที่คาดไว้จากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่… ไม่เพียงแค่เส้นเลือดวิญญาณที่ดีอย่างเหลือเชื่อ แต่ความน่าเกรงขามของโรงเรียนก็สามารถพบเห็นได้ในทุกรายละเอียดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนมีศิษย์มากกว่าหนึ่งพันคนเป็นอย่างน้อย ศิษย์ทุกคนได้รับเครื่องแบบหลายชุดซึ่งจะต้องเปลี่ยนบ่อยๆ และเครื่องมือวิญญาณที่ได้ชำระล้างให้กับศิษย์แต่ละคน กลุ่มผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปจะสามารถจัดหาความหรูหราแบบนี้ได้อย่างไร


 


 


หลังจากที่พวกเขาหยิบของที่จำเป็นต่างๆ เสร็จเรียบร้อย และหลัวเฟิงเสวี่ยก็กำลังจะสอบถามเกี่ยวกับที่พักของโม่เทียนเกอ ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเรียกพวกเขา


 


 


“เฟิงเสวี่ย อาจารย์ลุงเสวียนอินกำลังตามหาเจ้าอยู่… เขาบอกให้เจ้าพาศิษย์น้องคนใหม่ไปด้วย” คนที่ส่งข้อความเป็นชายหนุ่มอายุดูราวๆ สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีและแน่นอนเขาเรียกเฟิงเสวี่ยด้วยชื่อของนาง


 


 


“เข้าใจแล้ว!” หลัวเฟิงเสวี่ยหันมาทางโม่เทียนเกอและพูด “ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ลุงจะได้คุยกับท่านปรมาจารย์และตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าไปอยู่ที่ไหน ไปกันเถอะ”


 


 


“อื้อ” โม่เทียนเกอตอบ รู้สึกกังวลใจอยู่ภายใน


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดปลอบใจ “อย่าได้กังวลไป ตอนนี้อาจารย์ของข้าเป็นลูกศิษย์ที่อาวุโสสุดของท่านปรมาจารย์ ในเมื่อท่านต้องการพบเจ้า พวกท่านจะต้องให้ความใส่ใจกับเจ้ามากแน่ๆ ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาจะรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว”


 


 


สิ่งที่นางพูดก็สมเหตุสมผล โม่เทียนเกอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ศิษย์พี่หลัว ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอาศัยอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างนี้ด้วยไหม”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอถามคำถามนี้ออกไป ท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ดูแปลกๆ แต่ไม่นานนางก็ยิ้มเล็กๆ และพูด “แน่นอน! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นญาติทางสายเลือดกับท่านปรมาจารย์และเป็นศิษย์ภายใต้ท่านอีก ปกติแล้วท่านก็พักอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างนี่แหละ เจ้าอยากรู้ไปทำไมหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “ศิษย์พี่ฉินพาข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิงได้เพราะท่านพ่อของข้าเป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง…”


 


 


“อย่างนั้นเองหรอกหรือ…” สายตาหลัวเฟิงเสวี่ยมองไปรอบๆ ขณะที่พูด “แต่เจ้าอาจจะไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง จากอาจารย์ลุงทั้งหมดในยอดเขาวสันต์กระจ่างนี้ อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นผู้ที่ขยันฝึกตนมากที่สุด เขาไม่ค่อยออกมาข้างนอก แม้กระทั่งการเทศน์ ถ้าเขาไม่ได้ปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาก็จะออกไปทำเรื่องไร้สาระข้างนอก เออ… คือข้าหมายถึงท่องเที่ยวไปทั่ว มันค่อนข้างยากมากที่จะได้เจอเขาแม้กระทั่งกับพวกข้าเองที่เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”


 


 


ไม่ได้ผิดหวังกับข้อมูลนี้เลย โม่เทียนเกอพูด “มันดีมากพอแล้วที่ท่านรับข้าเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง ไม่สำคัญว่าข้าจะได้พบท่านหรือไม่ก็ตาม ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลนะศิษย์พี่หลัว”


 


 


“เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว! ข้าบอกให้เรียกข้าว่าเฟิงเสวี่ยอย่างไร…”


 


 


เมื่อเห็นว่าหลัวเฟิงเสวี่ยพยายามที่จะทำให้พวกนางสนิทกันอีกครั้ง โม่เทียนเกอจึงรีบพูด “ศิษย์พี่หลัว ทำไมปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่โรงเรียนถึงเรียกด้วยชื่อตัวแต่ไม่ใช่แซ่ของท่านกันล่ะ”


 


 


“อืม” หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยก็เข้าใจคำถามของโม่เทียนเกอในที่สุด นางยิ้มและเริ่มอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น… โรงเรียนเสวียนชิงของพวกเราเป็นโรงเรียนลัทธิเต๋าแบบดั้งเดิม พวกเรามักจะปฏิบัติตามกฎแห่งโรงเรียนเต๋า สำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณและการสร้างฐานแห่งพลัง การฝึกตนของพวกเขาถือว่ายังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ฉายาอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาก่อขุมพลังและก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เหล่าท่านอาจารย์ของพวกเขาจะตบรางวัลด้วยชื่อแห่งชาวลัทธิเต๋าซึ่งพวกเขาจะถูกเรียกเช่นนั้นต่อไป สำหรับชื่อจริงของพวกเขา คนที่สนิทเท่านั้นถึงจะเรียก อย่างเช่นท่านอาจารย์ของข้ามีชื่อแห่งเต๋าคือ เสวียนอิน ในขณะที่แซ่ดั้งเดิมของท่านคือ หม่า ดังนั้นเขาเป็นที่รู้จักว่า หม่าเสวียนอิน ชื่อจริงๆ ของท่าน คนอื่นๆ ต่างลืมกันไปหมดแล้ว”


 


 


“อย่างนั้นหรอกหรือ…”


 


 


“อีกอย่าง ตำแหน่งของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคือ ‘อาจารย์แห่งเต๋า’ แต่เมื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่พวกเขาจะเป็นที่รู้จักในนาม ‘ประมุขแห่งเต๋า’ อาจารย์ของข้าเป็นที่รู้จักภายนอกในนามท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ในขณะที่ท่านปรมาจารย์เป็นที่รู้จักในนาม ประมุขเต๋าจิ้งเหอ”


 


 


โม่เทียนเกอไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตำแหน่งเหล่านี้มาก่อนนางจึงถาม “นั่นหมายความว่าถ้าข้าก่อขุมพลังได้ในวันหนึ่ง ข้าก็จะไม่ถูกเรียกว่าเทียนเกออีกต่อไป?”


 


 


ความประหลาดใจปรากฏออกมาชั่วพริบตาในสายตาของหลัวเฟิงเสวี่ย นางหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเจ้าก่อขุมพลังของเจ้า ผู้อาวุโสในฝ่ายของเราจะเป็นคนหารือชื่อแห่งเต๋ากับเจ้า หลังจากตอนนั้นเป็นต้นไป ศิษย์ทุกคนในโรงเรียนก็จะเรียกเจ้าด้วยชื่อแห่งเต๋า อย่างไรก็ตาม เทียนเกอในเมื่อเจ้ามั่นใจในตัวเอง ความสามารถของเจ้าจะต้องเยี่ยมยอดมากเป็นแน่ ใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ข้ายังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการก่อขุมพลังอะไรกันแน่ที่พวกเราจะพูดถึงได้ล่ะ ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยังห่างไกลยิ่งนัก” 

 

 


ตอนที่ 96.2

 

พื้นที่นี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามและแผ่ซ่านปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณ มันเป็นที่ที่ดีสำหรับถ้ำเซียนจริงๆ


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยใช้แผ่นจารึกประจำตัวของนางในการเปิดกำแพงอาคมที่วางไว้และนำทางโม่เทียนเกอเข้าไปในถ้ำ


 


 


พวกเขาเดินผ่านม่านพลังป้องกันและเปิดประตูหินก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องโถง หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกนเรียกออกไป “ท่านอาจารย์!”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเดินตามหลัวเฟิงเสวี่ยเข้าไปในห้องโถง นางเห็นชาวลัทธิเต๋าที่สง่างาม ผู้ซึ่งภายนอกดูเหมือนคนอายุราวๆ สี่สิบปีกำลังนั่งอยู่ด้านในทันที


 


 


เมื่อเห็นหลัวเฟิงเสวี่ย ชาวลัทธิเต๋าจ้องนาง “เจ้าส่งเสียงดังเพื่ออะไร!”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้เกรงกลัว นางหัวเราะคิกคักและพูด “ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านให้ศิษย์มาหาหรอกหรือ ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร”


 


 


ท่าทางที่ซุกซนของนางทำให้ชายนักพรตเต๋าทั้งรู้สึกโมโหและอยากจะหัวเราะ เขาพูด “ปากหวานนัก! อย่างนั้นก็ได้ หลบไปด้านข้าง”


 


 


ตอนนี้เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความตึงเครียด หลัวเฟิงเสวี่ยไม่กล้าที่จะทำตัวซุกซนอีกต่อไป นางหลบไปยืนด้านข้างอย่างเชื่อฟังและพูด “ท่านอาจารย์ นี่เป็นศิษย์ใหม่เพิ่งเข้ามาศิษย์น้องโม่ โม่เทียนเกอ ท่านบอกให้ข้าพานางมาที่นี่ เป็นเพราะท่านต้องการจะรับนางเข้าเป็นศิษย์ด้วยใช่ไหม”


 


 


แทนที่จะตอบ ชายนักพรตเต๋าหันไปมองทางโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าชายที่อยู่ด้านหน้าของนางคือท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ดังนั้นนางจึงคำนับและแสดงความเคารพต่อเขา “ข้าน้อยโม่เทียนเกอ คารวะท่านผู้อาวุโสเสวียนอิน”


 


 


“ไม่ต้องเป็นทางการนัก” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นคนที่เป็นกันเอง เขาพูดอย่างเป็นมิตร “มานี่สิ”


 


 


ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเผชิญหน้าโดยตรง โม่เทียนเกอประหม่าเล็กน้อยแต่นางก็เดินไปทางด้านหน้าอย่างสงบ


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยื่นมือมาจับข้อมือนาง กระแสพลังวิญญาณเข้มข้นแต่อบอุ่นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏในท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน “รากวิญญาณของเจ้า…”


 


 


โม่เทียนเกอใจเต้นระส่ำ สงสัยว่าหรือเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจรับนางเข้าที่โรงเรียนเพราะรากวิญญาณของนางไม่ดี


 


 


“ห้ารากวิญญาณที่สมบูรณ์ และทั้งหมดนั้นต่างมีพลังที่เท่าเทียม…หรือนี่คือรากวิญญาณต้นกำเนิดที่เขาลือกัน”


 


 


โม่เทียนเกอหัวใจหยุดเต้นไปเสี้ยววินาทีและนางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้นี้รู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดด้วยหรือ


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มเล็กน้อยออกมาให้เห็นเมื่อเขาเห็นท่าทางของนาง เขาปล่อยมือในขณะที่ถาม “เห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียว เจ้ารู้ว่ารากวิญญาณของเจ้านั้นมีลักษณะเฉพาะ บางทีเจ้าอาจจะสามารถบอกข้าได้ว่าเจ้าไปเรียนรู้มาจากไหน”


 


 


ถึงแม้ว่าทัศนคติของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจะดูเป็นมิตร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่กล้าที่จะหลอกเขา นางกล่าวว่า “หลายพันปีมาแล้ว ตระกูลของข้าน้อยให้กำเนิดผู้ฝึกตน บรรพบุรุษผู้นั้นฝึกตนจนเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ แต่เพราะอายุขัยของนางใกล้หมดลง นางยังคงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนขั้นต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงส่งต่อพลังวิญญาณแรกเริ่มไว้ในตระกูลก่อนที่นางจะจากไป”


 


 


“เพราะร่างกายของข้าครอบครองรากวิญญาณ กำแพงอาคมที่นางทิ้งไว้เบื้องหลังจึงได้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น บรรพบุรุษผู้นี้จึงส่งต่อวิชาการฝึกตนของนางและสอนข้าว่ารากวิญญาณของข้าเป็นที่รู้จักว่ารากวิญญาณต้นกำเนิด”


 


 


“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสินะ…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดขณะที่ลูบเคราตัวเองและพยักหน้า หลังจากนั้นเขาจึงพูดว่า “ในเมื่อบรรพบุรุษของเจ้าอยู่มาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะรู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิด”


 


 


หลังจากพิจารณาท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน โม่เทียนเกอไม่ได้คิดอะไรเพิ่มเติมและถามตรงๆ “ตั้งแต่ที่ข้าน้อยก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน ข้าน้อยใคร่อยากรู้มาโดยตลอดเกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิด หากท่านผู้อาวุโสรู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดแล้วนั้น ท่านผู้อาวุโสต้องทราบเป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพวกมันคืออะไร”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจ้องนางครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่กล่าวขึ้นมาโดยบังเอิญจากอาจารย์ในตอนที่ข้ายังเล็กนัก ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับมัน แต่สุดท้ายแล้วอะไรคือสิ่งพิเศษนั้น ข้ามิเคยรู้ได้เลย” การที่ไม่สามารถหาคำตอบได้นั้นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวังอยู่ในที


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “อย่างเพิ่งคุยเรื่องนี้ตอนนี้จะดีกว่า โม่เทียนเกอ ข้าบอกเฟิงเสวี่ยให้พาเจ้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการพูดกับเจ้าในบางเรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้”


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจแต่แรก โม่เทียนเกอปรับอารมณ์ของนาง นางพูดด้วยความเคารพ “รบกวนท่านผู้อาวุโสชี้แนะด้วย”


 


 


ท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินดูเป็นทางการขึ้น เขามองมาทางนางและถามอย่างเอาจริงเอาจัง “โม่เทียนเกอ ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมอยู่ในโรงเรียนเสวียนชิงของข้าแล้ว ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างหวังที่จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ของท่าน เจ้าเห็นด้วยไหม”


 


 


“หา” หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ที่ยืนดูอยู่ทางด้านข้างอุทานออกมา นางมองที่โมเทียนเกออย่างประหลาดใจ นางคาดคิดมาตลอดในเมื่อโม่เทียนเกอถูกท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งพามา โม่เทียนเกอน่าจะได้ยอมรับเข้าเป็นศิษย์จากท่านอาจารย์ลุงสักคนเป็นอย่างมาก นางไม่เคยคาดคิดว่าคนที่จะมาเป็นอาจารย์ของโม่เทียนเกอจะเป็นท่านปรมาจารย์เอง!


 


 


โม่เทียนเกอยิ่งตะลึงงันมากกว่านาง นางไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากแค่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องพูดถึงการที่จะได้เป็นศิษย์โดยตรงต่อผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ แค่จะเป็นศิษย์เอกยังไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวของนางเลย มันดีมากพอแล้วที่โรงเรียนเสวียนชิงยอมพิจารณาท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งและยอมรับนางเข้ามา นางไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน… จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะมีเจตนาที่ซ่อนเอาไว้ต่อนางอยู่!


 


 


“โม่เทียนเกอ!”


 


 


“ข้าน้อยอยู่นี่” โม่เทียนเกอพยายามที่จะสงบจิตสงบใจแต่นางยังไม่สามารถซ่อนความประหม่าเอาไว้ได้


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้น “เจ้าอย่าได้คิดมากไป ท่านอาจารย์ยอมรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์เพราะเห็นแก่ศิษย์น้องโส่วจิ้ง ก่อนที่เจ้าจะก่อขุมพลัง เจ้าจะได้รับการสอนจากข้า และตำแหน่งของเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับศิษย์ข้า ถ้าวันหนึ่งเจ้าสามารถก่อขุมพลังของเจ้าได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ภายในของท่าน”


 


 


คำอธิบายนี้ทำให้นางสบายใจขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ตัวตนของนางจะเป็นเหมือนกันกับหลัวเฟิงเสวี่ย เพียงแต่ว่านางได้รับโอกาสในอนาคตที่สดใสกว่า ถ้าวันหนึ่งนางสามารถก่อขุมพลังของนางได้จริง การได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ปกติ


 


 


อย่างไรก็ตาม นางก็รู้อีกเช่นกันว่าตอนนี้การที่ได้เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ในขณะที่เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ ไม่ได้สำคัญอย่างนางนั้นนับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นนางจึงรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย คุกเข่า และพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ท่านผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ในฐานะของท่านอาจารย์ ข้าน้อยขอคารวะ”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า หลังจากที่นางแสดงความเคารพด้วยการคาราวะสามครั้ง เขาช่วยนางลุกขึ้นพร้อมพูด “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้า เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ลุงก็พอ… ข้าหวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะสามารถเรียกข้าได้ว่าศิษย์พี่” ​​​​​​​ 

 

 


ตอนที่ 97

 

“เทียนเกอเจ้าช่างโชคดีเสียจริง” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดกึ่งชื่นชมกึ่งล้อเล่น นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมถอนใจและพูด “ศิษย์ของท่านปรมาจารย์… ทำไมข้าถึงไม่มีโชคเช่นนั้นบ้าง!”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้ดูมีความสุขหรือภูมิใจนัก นางพูด “ข้าก็เหมือนกับท่านตอนนี้มิใช่หรือ ในอนาคตข้าก็หวังว่าศิษย์พี่หลัวจะสามารถดูแลข้าได้” ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินพูดว่านางจะต้องอาศัยอยู่กับศิษย์พี่หลัว ดังนั้นนางจำเป็นที่จะต้องได้รับการชี้แนะในเรื่องต่างๆ จากผู้มีความสามารถอย่างศิษย์พี่หลัวแน่นอน


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่บ่นไปเรื่อยและไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดนัก ดังนั้นนางจึงหัวเราะและพูดว่า “ใช่สิ ต่อไปข้าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เจ้าอาจกลายเป็นท่านอาจารย์ลุงของข้า ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่ข้าจะต้องรีบหาผลประโยชน์ในการประจบเจ้า!”


 


 


หลังจากที่พูดคุยและหัวเราะขบขันกันอยู่ระยะหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยก็พานางไปที่ที่นางจะต้องพักต่อไป


 


 


ศิษย์ในกลุ่มผู้ฝึกตนได้แบ่งออกเป็นหลายประเภท ประเภททั่วๆ ไปเป็นศิษย์นอกเวลา ศิษย์ทางการ และศิษย์ระดับหัวกะทิ


 


 


ในสำนักอวิ๋นอู้ โม่เทียนเกอจัดได้ว่าเป็นศิษย์ทางการซึ่งสูงกว่าศิษย์นอกเวลาเพียงแค่หนึ่งระดับ ที่สำนักอวิ๋นอู้ศิษย์ทางการจะเป็นระดับที่ปกติและมีจำนวนมากที่สุด ในเมื่อพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ภายในจากอาจารย์ท่านไหน พวกเขาหลายร้อยคนบางครั้งหลายพันคนจะต้องเบียดอัดกันหากต้องการที่จะฟังเทศน์หรือคำสอนจากผู้อาวุโส ไม่มีใครคอยดูแลความคืบหน้าของการฝึกตนให้พวกเขา แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตัวเอง


 


 


สำหรับศิษย์ระดับหัวกะทิ พวกเขาต่างได้รับการยอมรับจากท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่าความอาวุโสในโลกแห่งการฝึกตนจะจัดลำดับจากระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตน ถ้าผู้ฝึกตนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ภายในอย่างเป็นทางการจากท่านอาจารย์ การจัดลำดับความอาวุโสนั้นจะยิ่งซับซ้อนขึ้น เป็นกฎที่ตายตัวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระดับการฝึกตนของพวกเขา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเหมือนกับนาง นางก็สามารถเรียกผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังว่าท่านอาจารย์ลุงได้


 


 


ศิษย์ระดับหัวกะทิได้ถูกแบ่งออกหลายรูปแบบ รูปแบบที่ต่ำที่สุดคือศิษย์ที่ได้ลงนามการเข้าเป็นศิษย์ ความจริงแล้ว ศิษย์ที่เพียงแค่ลงนามยังไม่สามารถนับได้ว่าเป็นศิษย์ที่แท้จริงเพราะท่านอาจารย์ไม่ได้สอนพวกเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นทางเลือกเดียวของโม่เทียนเกอคือเลือกอยู่กับหลัวเฟิงเสวี่ย ในฐานะศิษย์ที่ลงนามแล้ว ซึ่งตามหลักความเป็นจริงสถานะของนางต้องอยู่ต่ำกว่าหลัวเฟิงเสวี่ย ทว่าในเมื่อท่านอาจารย์ของนางเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ สถานะของนางจึงแตกต่าง แม้แต่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ยังปฏิบัติกับนางอย่างมีมารยาท


 


 


ศิษย์ทั่วไปที่พบได้มากที่สุดในระดับศิษย์ชั้นหัวกะทิคือศิษย์ภายใน โดยทั่วไปแล้วเมื่อผู้ฝึกตนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ที่ระดับสูงกว่า พวกเขาจะกลายเป็นศิษย์ภายในและสามารถรับคำชี้แนะจากอาจารย์ของพวกเขาได้ ถ้าอาจารย์ของพวกเขาพึงพอใจกับความคืบหน้าในการฝึกตน พวกเขาก็อาจจะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์ภายในชั้นสูง ในงานที่ศิษย์ได้รับการเลื่อนขั้นท่านอาจารย์ของพวกเขาจะสอนวิชาลับและพลังศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพวกเขาจะถูกจัดลำดับระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องด้วยกันเอง เช่น ในเมื่อท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงลำดับหนึ่งของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาจึงเป็นที่รู้จักในนามศิษย์ผู้อาวุโสสูงสุดของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ


 


 


ศิษย์ระดับหัวกะทิแบบสุดท้ายหรือศิษย์แบบที่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์มากที่สุด คือศิษย์โดยตรง ผู้ซึ่งจะได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจาย์โดยแท้จริง และนับได้ว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดด้วย โดยทั่วไปแล้วอาจารย์หนึ่งท่านจะมีศิษย์โดยตรงเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น


 


 


ตอนนี้โม่เทียนเกอเป็นเพียงศิษย์ที่ลงนามไว้แต่ในเมื่ออัตลักษณ์ท่านอาจารย์ของนางนั้นพิเศษเกินธรรมดา สถานะของนางจึงไม่เหมือนคนอื่น ด้วยเหตุผลนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยจึงจัดที่พักข้างถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินสำหรับโม่เทียนเกอ และนางในการอาศัยอยู่ร่วมกันกับศิษย์ผู้หญิงคนอื่น


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยต้องการที่จะแนะนำนางให้กับศิษย์ผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ทว่าพวกนางทั้งหมดนั้นล้วนไม่อยู่หรือไม่ก็กำลังปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิกันอยู่ สุดท้ายแล้วนางก็ไม่มีทางเลือกจึงต้องทิ้งเรื่องนี้ไปและรอเวลาที่เหมาะสมแทน ในขณะที่นางกำลังอยู่ในหน้าที่วันนั้น นางจึงปล่อยให้โม่เทียนเกอได้พักผ่อนไปก่อน


 


 


เมื่อนางส่งหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอรู้สึกอ่อนล้าในทันที อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มยังคงเบ่งบานอยู่บนหน้าของนาง


 


 


แท้จริงแล้วนางคาดว่าในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิง เหล่าสมาชิกน่าจะต้องมีระดับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและศิษย์แต่ละคนน่าจะหยิ่งทะนงตน แต่ก็ต้องเป็นที่น่าประหลาดใจสำหรับนาง คนแรกที่นางพบซึ่งก็คือหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นทั้งเป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย อีกอย่างท่านปรมาจารย์จิ้งเหอยังรับนางให้เข้าเป็นศิษย์ลงนามของท่านอีก


 


 


ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนนางรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง ตั้งแต่ที่นางตัดสินใจก้าวเท้าเข้าสู่ถนนแห่งเซียน นางมักจะต้องดิ้นรนอยู่เสมอ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่นางจะมีอนาคตสดใสที่รออยู่เบื้องหน้าชัดเจนเช่นนี้


 


 


แน่นอนที่นางยังคงสงสัยว่าพวกเขาอาจจะมีแรงจูงใจแอบแฝง เหมือนที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของนาง โม่เหยาชิง ผู้ซึ่งพบว่าท่านอาจารย์ของนางได้วางแผนมาเป็นเวลานานแล้วต่อชะตาของนางเมื่อนางสามารถเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โม่เทียนเกอนึกให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็พบว่ามันไม่มีอะไรที่นางจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยในเมื่อนางยังคงเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ถึงแม้ว่าท่านปรมาจารย์จิ้งเหอจะมีเจตนาที่ไม่ดี ด้วยระดับการฝึกตนของท่านแล้ว ท่านก็เพียงแค่ต้องบีบบบังคับนางด้วยกำลังก็ได้ ทำไมจะต้องจัดการอะไรต่างๆ ทั้งหมดนี่เพื่อนางด้วย


 


 


ด้วยความคิดนี้ โม่เทียนเกอจึงทำใจปล่อยวางไป


 


 


สุดท้ายแล้ว ศิษย์ระดับหัวกะทิก็ยังคงเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ การเลี้ยงดูที่พวกเขาได้รับนั้นแตกต่างจากศิษย์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง บ้านพักของนางอยู่ข้างถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน มันทั้งเงียบ เป็นส่วนตัวและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ มีเพียงแค่ศิษย์ผู้หญิงเท่านั้นที่พักอยู่ที่นี่และแต่ละคนต่างได้รับถ้ำเซียนเล็กๆ เป็นของตัวเอง ในแต่ละถ้ำนั้นแบ่งไปด้วยห้องหลายห้อง ตั้งแต่ห้องนอน ห้องสำหรับฝึกตน ห้องปรุงยา และห้องสำหรับเลี้ยงดูสัตว์วิญญาณและอื่นๆ ทุกอย่างที่พวกนางต้องการล้วนมีจัดเตรียมไว้ให้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องเรือนทั้งหมดล้วนทำจากหยกแทบทั้งสิ้น


 


 


นี่ช่วยขยายขอบเขตความคิดของโม่เทียนเกอออกไปอย่างมาก เท่าที่นางรู้แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักอวิ๋นอู้ก็ไม่ได้มีถ้ำเซียนดีๆ เช่นนี้ แต่โรงเรียนเสวียนชิงสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่โดดเด่นในขั้วแห่งท้องฟ้าจริงๆ


 


 


ความประหลาดใจและความสุขที่นางได้ถ้ำเซียนดีๆ ทำให้นางลืมความอ่อนล้าไปจนหมดสิ้น นางจึงเริ่มที่จะตกแต่งถ้ำของตัวเอง


 


 


ห้องนอนเป็นห้องที่ง่ายที่สุด ตอนนี้นางอยู่ในระดับสิบของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว และนางก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนอนก็ได้ ดังนั้นนางจึงตกแต่งเพียงแค่เล็กน้อยด้านใน ในห้องสำหรับฝึกตน นางวางเสื่อสวดมนต์และม่านรวมพลังวิญญาณและหนังสือที่ไม่ค่อยสำคัญบางเล่มไว้ นางวางเตาหลอมที่ซื้อมาจากสำนักเทียนเต๋าที่ห้องปรุงยา สำหรับห้องว่างอื่นๆ นางไม่ได้ปรับเปลี่ยนสิ่งใด นางยังค้นพบลานสมุนไพรด้านหลังถ้ำซึ่งทำให้นางเกิดความคิดบางอย่างออกมา


 


 


ถ้ำเซียนของศิษย์ผู้หญิงนั้นตั้งเรียงกัน ทางด้านหลังเป็นหุบเขาเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยลานสมุนไพร พื้นที่สนามตรงนี้ส่วนมากเต็มไปด้วยพืชวิญญาณ หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนางว่าแต่ละถ้ำนั้นจะมีการแบ่งลานสมุนไพรเอาไว้ให้และเจ้าของถ้ำสามารถจัดการได้ตามที่ต้องการ


 


 


โม่เทียนเกอมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาอยู่แล้ว สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณและเหมาะอย่างมากที่จะปลูกพืชวิญญาณ ดังนั้นนางจึงได้วางแผนที่จะถามหลัวเฟิงเสวี่ยว่านางจะสามารถหาเมล็ดพันธุ์ได้จากที่ไหนบ้างในวันถัดไป


 


 



 


 


ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังยุ่งกับการตกแต่งถ้ำของนาง ประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอกำลังเอนกายนอนอยู่บนตั่งมังกรในถ้ำสูงสุดแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ทว่าในครั้งนี้ไม่มีหญิงงามร่วมอยู่ด้วย และไม่มีองุ่นให้ทานอยู่ด้วยเช่นกัน เขาเพียงแค่พลิกหน้าหนังสือไปมาอย่างขี้เกียจ หลังจากที่เปิดหนังสือดูผ่านๆ ครู่หนึ่งเขาก็เปล่งเสียง “ชิ” และพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ “เส็งเคร็งเอ๊ย! บรรพบุรุษของเหล่าผู้ฝึกตนใช้หนังสัตว์แบบนี้ทำกระดาษน่ะหรือ เจ้าไม่ได้รู้ตัวเลยสินะว่าโดนคนอื่นหลอกเอาเสียแล้ว!”


 


 


แล้วเขาก็โยนหนังสือใส่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้ที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเขา


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเก็บหนังสือขึ้นมา ขมวดคิ้วจนแทบชนกัน เขาถามในขณะที่ยังคงคาดหวัง “ท่านอาจารย์ นี่เป็นของปลอมจริงหรือ”


 


 


ฉินจิ้งเหอลุกขึ้นนั่งและรับชาถ้วยที่ศิษย์ยื่นให้ บุ้ยปากพร้อมพูด “มันเป็นของปลอม! ตั้งแต่สมัยยุคอดีตอันไกลโพ้นจนถึงสมัยยุคกลาง หินปีศาจน้ำแข็งมีอยู่แค่ทางใต้ของภูเขาและมีจำนวนน้อยมาก ในภายหลังช่วงยุคกลาง สงครามทำให้ฝ่ายธรรมะ และฝ่ายอธรรมต้องแตกหัก และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลานั้นที่จำนวนของหินปีศาจน้ำแข็งมีเพิ่มขึ้น ไม่ต้องพูดถึงวัสดุที่ทำหนังสือเล่มนี้เลย พูดถึงเนื้อหาในเล่มเสียดีกว่า เนื้อหาดูเหมือนจะถูกต้องแต่ความจริงแล้วผิด มีแต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแบบเจ้าเท่านั้นแหละที่ถูกมันหลอก! เจ้าคิดว่าของเช่นนี้จะหลอกข้าได้งั้นรึ ฝันไปเถอะ!”


 


 


“…”


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินดูผิดหวังอย่างหนัก ฉินจิ้งเหอจึงถาม “นี่เจ้าเสียเงินไปเท่าไหร่”


 


 


“สามร้อย…”


 


 


“แค่สามร้อยศิลาวิญญาณ? เออ… ลืมมันไปเสียเถอะ” ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะไม่ถือว่าเงินเท่านั้นเป็นจำนวนน้อยนิด ไม่ต้องพูดถึงตัวฉินจิ้งเหอเลย


 


 


อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดอีกครั้ง “ท่านอาจารย์มันเป็นสามร้อยศิลาวิญญาณคุณภาพระดับกลางเสียด้วย…”


 


 


“อะไรนะ!” ฉินจิ้งเหอกระโดดลุกจากตั่งที่นั่งอยู่


 


 


ในโลกแห่งการฝึกตน โดยทั่วไปแล้วจะใช้เพียงแค่ศิลาวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น ศิลาวิญญาณระดับกลางหาไม่ได้ง่ายๆ และสามร้อยศิลาวิญญาณระดับกลางก็เทียบได้กับจำนวนกว่าสามหมื่นศิลาวิญญาณระดับต่ำทีเดียว


 


 


“สามร้อยศิลาวิญญาณระดับกลาง เจ้าโง่… เจ้านี่โง่จริงๆ …” ฉินจิ้งเหออยากจะประณามเขา แต่เมื่อนึกได้ เสวียนอินได้ถูกหลอกไปแล้ว การประณามเขาจะสามารถแก้ไขอะไรได้งั้นหรือ อย่างไรก็ตาม หัวใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน อาาา… ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วแห่งท้องฟ้า ทว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะได้เพียงแค่ศิลาวิญญาณจำนวนหลายพันในทุกปี การถูกหลอกในครั้งนี้มันช่าง…


 


 


“เจ้านี่ยิ่งแก่ยิ่งซื่อบื้อ!” เมื่อนึกถึงศิลาวิญญาณเหล่านั้น ฉินจิ้งเหอรู้สึกไม่พอใจและดุเขาอย่างรุนแรง “พูดมา! เด็กที่ไหนมันหลอกเจ้า ข้าจะหั่นมันให้เป็นชิ้นๆ และทำให้มันเสียใจที่ได้เกิดมาทีเดียว!”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินรู้สึกกังวลเพราะเรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อได้ยินที่ฉินจิ้งเหอพูด เขาจึงรีบพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้มันมาจากการแลกเปลี่ยนในที่ที่ไร้ชื่อ ท่านลืมเรื่องที่จะตามผู้นั้นเสียเถิด ข้ายังไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ”


 


 


ความต้องการที่จะฆ่าคนของท่านอาจารย์นั้นแข็งกร้าวเกินไป ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ของเขาฆ่าคน ท่านมักจะถูกตำหนิโดยผู้เฒ่าผู้อาวุโส และในทางกลับกัน ท่านอาจารย์ของเขาก็จะตำหนิคนที่ก่อให้เกิดปัญหาหลังจากที่เขากลับมา ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินอายุมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะถูกต่อว่าเหมือนเด็กสามขวบจากท่านอาจารย์ อีกอย่างเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของผู้นั้นเลย เขาได้ยอมรับชะตากรรมของเขาแล้ว


 


 


เมื่อเห็นว่าฉินจิ้งเหอยังอยากที่จะพูดอยู่ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงรีบพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ข้ามีเรื่องที่จะรายงานท่าน เกี่ยวกับศิษย์ลงนามคนใหม่ของท่าน”


 


 


ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดทำให้ฉินจิ้งเหอสนใจ “หือ”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ ข้าตรวจสอบรากวิญญาณของโม่เทียนเกอ ดูเหมือนว่ามันจะ… เป็นรากวิญญาณต้นกำเนิดที่ท่านเคยพูดถึง!”


 


 


“อะไรนะ” ฉินจิ้งเหอจ้องเขาเขม็งพร้อมกับอ้าปากค้าง “รากวิญญาณต้นกำเนิด นี่เจ้าพูดถึงรากวิญญาณต้นกำเนิดที่รากวิญญาณทั้งห้าธาตุอยู่รวมกันและมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ขอรับ” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตอบ เมื่อเห็นท่าทางของฉินจิ้งเหอ เขาพูดด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยชี้แจงข้าหน่อยได้หรือไม่ว่ารากวิญญาณเหล่านั้นคืออะไร ข้าจำได้เพียงว่าในช่วงนั้นท่านกล่าวว่ารากวิญญาณต้นกำเนิดเป็นหนึ่งในประเภทของรากวิญญาณที่มีเอกลักษณ์ มันไม่ได้แย่ไปกว่ารากวิญญาณกลายพันธุ์หรือรากวิญญาณเดี่ยว แต่มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีปรากฏออกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว”


 


 


แทนที่จะตอบ ฉินจิ้งเหอพึมพำด้วยความประหลาดใจ “รากวิญญาณต้นกำเนิด? เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจนัก ร่างกายที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์พบเห็นได้ยากในช่วงสหัสวรรษ และรากวิญญาณต้นกำเนิดก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นมาในช่วงหลายสหัสวรรษเช่นกัน แต่ทั้งสองอย่างกลับมีอยู่ในร่างนาง!”


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าศิษย์ของเขายังคงอยู่ตรงนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกับท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน “พวกเรากำลังฝึกวิถีแห่งลัทธิเต๋า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าลัทธิเต๋าคืออะไร”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตะลึงงันในคำถาม โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งลัทธิเต๋า เมื่อศิษย์เข้ามาที่โรงเรียน ทุกๆ คนรวมถึงศิษย์นอกเวลาจะเริ่มจากการเรียนคัมภีร์แห่งลัทธิเต๋า จากคำถาม “ลัทธิเต๋าคืออะไร” เป็นทั้งคำถามที่ตื้นและลึกในความหมาย ศิษย์ทุกคนในโรงเรียนล้วนมีคำตอบแต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้


 


 


นี่เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากที่ฉินจิ้งเหอจะดูเหมือนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่จริงๆ เขาพูดด้วยท่าทางที่ผึ่งผาย “ลัทธิเต๋าคือสวรรค์และโลก อวกาศ ความว่างเปล่า กฎเกณฑ์ และต้นกำเนิด สามารถเป็นได้ทุกสิ่ง กระนั้นก็ตาม ในยุคอดีตอันไกลโพ้น ลัทธิเต๋าเป็นที่รู้จักในนามศูนย์รวมของสิ่งหนึ่ง… บทบัญญัติ”


 


 


“บทบัญญัติที่ว่านี้รวมเข้าไว้ในเรื่องของสมดุล การควบคุมสมดุลนั้นและการเป็นนิรันดร์ ด้วยความสมดุลโลกย่อมมีอยู่ได้ ด้วยการควบคุมสมดุล กฎเกณฑ์สามารถตั้งขึ้นมาได้ หลังจากนั้นจึงจะสามารถบรรลุนิรันดร์ได้”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตกใจและถาม “ท่านอาจารย์หมายความว่ารากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นสัมพันธ์อย่างแท้จริงกับลัทธิเต๋าในยุคอดีตอันไกลโพ้นอย่างนั้นหรือ”


 


 


ฉินจิ้งเหอพยักหน้าและตอบ “ถูกต้องแล้ว ด้วยวิถีการฝึกตนที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ยิ่งรากวิญญาณมีน้อยยิ่งดีกว่าเพราะมันจะเกิดความขัดแย้งระหว่างพลังวิญญาณที่จะเข้าสู่ร่างกายได้น้อย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงมีวิถีแห่งการฝึกตนอีกรูปแบบหนึ่งได้ถูกใช้กันในยุคที่ผ่านมาเป็นเวลานานมากแล้ว


 


 


“นั่น…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินรู้สึกทึ่ง นั่นหมายความว่า… ในระหว่างช่วงยุคอดีตอันไกลโพ้น รากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นความจริงแล้วเป็นพรที่สวรรค์ประทานมาอย่างนั้นหรือ


 


 


ฉินจิ้งเหอถอนใจอีกครั้งพร้อมพูด “ช่างน่าเสียดาย… ยุคอดีตอันไกลโพ้นนั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน ในช่วงยุคกลางผู้คนก็ได้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบของการฝึกตนไป ตอนนี้พวกเราไม่มีทางที่จะพบวิถีแห่งการฝึกตนของ ‘บทบัญญัติ’ นี้ เด็กคนนี้… ช่างน่าสงสารยิ่งนัก…” 

 

 


ตอนที่ 98

 

แว่วเสียงดังมาจากภายในเตาหลอมยา โม่เทียนเกอหยุดไฟตานเถียนของนางและเปิดเตาหลอมดู


 


 


กลิ่นยาแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหม็นไหม้ ส่วนพืชวิญญาณก็กลับกลายเป็นกากของเสีย


 


 


นางส่ายหน้า เทกากของเสียทิ้งและล้างเตาหลอมด้วยน้ำที่ตักมาจากอ่างหิน ก่อนที่นางจะใส่วัตถุดิบจำนวนพอเหมาะลงไปในเตาหลอมอีกครั้งและปรุงยาต่อไป


 


 


แม้ว่าถ้ำเซียนของนางจะเล็กแต่ก็มีทุกอย่างที่นางต้องการ น้ำจากบ่อน้ำพุใสบริสุทธิ์มีอยู่ท่วมท้นในยอดเขาวสันต์กระจ่าง น้ำบางส่วนยังไหลย้อนกลับมันจึงไหลเข้าสู่ห้องปรุงยา ทำให้กระบวนการปรุงยาสะดวกมากขึ้น สภาพแวดล้อมที่ดีและพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอเห็นว่าการปรุงยานั้นเครียดน้อยลงกว่าเดิม การที่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงในระหว่างกระบวนการปรุงยา เช่นเดียวกับการเก่งขึ้นในขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าเพลิดเพลินใจมาก


 


 


เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่นางมาที่โรงเรียนเสวียนชิง ตอนนี้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ที่นี่นางมีถ้ำเซียนของตัวเองและได้คำแนะนำจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แถมนางยังไม่ต้องลำบากใจกับตัวตนของนางเอง ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิและได้รับยาวิเศษและศิลาวิญญาณค่อนข้างมากในแต่ละเดือน เมื่อท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินแจกจ่ายส่วนแบ่งของเหล่าศิษย์ นางยังได้รับส่วนแบ่งของตัวเองด้วย ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการรับงานกิจธุระและสามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกตนอย่างเดียวได้


 


 


เมื่อนางมาถึงที่นี่ตอนแรก อาจารย์ลุงเสวียนอินก็ประเมินสภาวะการฝึกตนของนางและบอกให้นางแปลงพลังวิญญาณทั้งหมดของนางไปเป็นพลังหยินก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง ทุกวันนี้นางได้ทำตามคำแนะนำของอาจารย์ลุงเสวียนอินและค่อยๆ ทำให้พลังวิญญาณเข้มข้นขึ้น ในเวลาว่าง นางก็จะค่อยๆ พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาให้มากขึ้น


 


 


นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอารมณ์ดีหรือเพราะพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยม แต่อัตราความสำเร็จในการปรุงยาของนางเพิ่มขึ้นมาก ทุกวันนี้อัตราความสำเร็จในการปรุงยาสามัญทั่วไปนั้นมากถึงสี่ส่วนแล้ว


 


 


การบรรลุผลสำเร็จขนาดนี้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานของอาจารย์ปรุงยาทั่วไป ทำให้ความมั่นใจในตัวเองของนางเพิ่มมากขึ้น… อันที่จริง ทักษะในการปรุงยาของข้าก็ไม่ได้แย่นะ


 


 


ส่วนเรื่องลานสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังถ้ำของนาง นางได้ขอเมล็ดพันธุ์บางอย่างมาจากหลัวเฟิงเสวี่ยและปลูกมันไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม พืชสมุนไพรพวกนี้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีก่อนที่จะนำมาใช้งานได้


 


 


นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้ นางก็ยังได้พบกับศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้หญิงคนอื่นๆ อีกมากมายหลายคน


 


 


ภายใต้ความดูแลของอาจารย์ลุงเสวียนอินไม่ค่อยมีศิษย์ผู้หญิงมากนัก แม้จะรวมหลัวเฟิงเสวี่ยแล้วก็ยังมีศิษย์ผู้หญิงทั้งหมดเพียงแค่สามคน ซึ่งศิษย์อีกสองคนเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว


 


 


ศิษย์พี่ผู้หญิงคนที่อาวุโสที่สุด หันชิงอวี้ มีอารมณ์มั่นคง มักปฏิบัติกับคนอื่นด้วยจิตใจดี ตามคำกล่าวของหลัวเฟิงเสวี่ย ศิษย์พี่ใหญ่นางนี้เป็นที่ชื่นชอบในหมู่สหายศิษย์ด้วยกัน ศิษย์ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็เข้ากับนางได้ดี หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าถ้าโม่เทียนเกอเจอปัญหาอะไรในอนาคต การถามศิษย์พี่ใหญ่นางนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ดีอย่างแน่นอน


 


 


ศิษย์ผู้หญิงคนที่สอง เว่ยจยาซือ มีนิสัยค่อนข้างทะนงตน ตอนที่โม่เทียนเกอเจอนาง เว่ยจยาซือพูดตรงๆ ว่านางต้องการจะฝึกตนและกลับเข้าถ้ำไป ตามคำกล่าวของหลัวเฟิงเสวี่ย ศิษย์พี่รองนางนี้เข้าใจว่าตัวนางเก่งกว่าคนอื่นมาโดยตลอด เพราะอย่างนั้นนางเลยอาจจะอิจฉาที่โม่เทียนเกอถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามจากท่านปรมาจารย์ นางจึงแสดงท่าทางด้านลบเมื่อพวกเขาเจอกัน ถึงอย่างนั้น คนที่ทะนงตนมักจะมีอารมณ์ที่ตรงไปตรงมา เว่ยจยาซือจะไม่เริ่มรังแกคนอื่นก่อน ดังนั้นโม่เทียนเกอก็แค่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ไปยั่วโมโหนางเข้า


 


 


โม่เทียนเกอแค่หัวเราะและมองข้ามเรื่องจุกจิกพวกนี้ไป ย้อนไปที่สำนักอวิ๋นอู้ หลักการใช้ชีวิตของนางเมื่อนางมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์คนอื่นๆ ก็คือ “คนที่ยิ้มแย้มจะไม่โดนหาเรื่อง” นางฝืนตัวเองให้ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มและหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดความเกลียดชังใดๆ สถานการณ์ของนางตอนนี้ดีกว่าที่สำนักอวิ๋นอู้สิบเท่า เพราะงั้นทำไมนางจะต้องมากังวลกับเรื่องขี้ปะติ๋วอย่างท่าทางเย็นชาของเว่ยจยาซือด้วยเล่า?


 


 


สำหรับฉินซี ตั้งแต่เขาพานางมาที่นี่ ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้แม้แต่จะทักทายกัน อย่าว่าแต่เจอกันเลย โม่เทียนเกอเคยถามหลัวเฟิงเสวี่ยถึงสถานการณ์ของฉินซี หลัวเฟิงเสวี่ยตอบว่าอาจารย์ลุงของนางสบายดีและได้เข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิหลังจากเขากลับมาวันนั้น แต่ดูเหมือนนางจะไม่ยอมบอกอะไรโม่เทียนเกอมากไปกว่านี้


 


 


เรื่องนี้ทำให้โม่เทียนเกอเสียใจเล็กน้อย นางรู้อยู่แล้วว่าโรงเรียนเสวียนชิงคือโรงเรียนที่แท้จริงของเขาและเขาสนิทกับคนที่นี่มากกว่านาง แต่…


 


 


ในทางกลับกัน สถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้นางโล่งใจ ถึงแม้ว่านางจะถูกรับเข้ามาโดยท่านปรมาจารย์จิ้งเหอในฐานะศิษย์ลงนาม แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่มากระหว่างสถานะของนางกับฉินซี หากพวกเขาไม่ได้เจอกันในอนาคต เช่นนั้นนางก็คงจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกแปรปรวนที่นางมีต่อเขาได้อย่างง่ายดายและหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่อารมณ์ของนางจะกลายเป็นมารภายในจิตใจในอนาคต


 


 


อันที่จริง เพราะนางไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางก็สงสัยเหมือนกันว่านี่เป็นความรู้สึกปกติระหว่างชายและหญิงหรือไม่ นางเพียงแค่คิดว่าฉินซีค่อนข้างพิเศษสำหรับนางมากกว่าคนอื่นเพราะนางมีความสุขมากเมื่อได้เจอเขาและไม่ค่อยเต็มใจเมื่อต้องแยกจากกัน แต่เมื่อคิดอีกที นางก็ไม่ได้คิดว่าการไม่ได้เจอฉินซีจะถึงกับอดรนทนไม่ได้ขนาดนั้น เมื่อนางรับรู้ถึงเรื่องนี้ นางก็สับสนกับความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก


 


 


บางทีความกังวลของนางอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ บางทีนางอาจจะแค่รู้สึกซาบซึ้งเพราะฉินซีมาช่วยนางไว้เมื่อนางตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง อีกอย่าง เมื่อนางต้องเสียท่านอารองไป ฉินซีก็เป็นคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง บางทีนางอาจจะแค่เอาความรักที่นางมีต่อท่านอารองไปลงที่เขา


 


 


ภายในห้องปรุงยา กลิ่นสมุนไพรค่อยๆ แรงขึ้นทีละน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่ายาวิเศษภายในเตาหลอมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โม่เทียนเกอจึงหยุดฝันกลางวันและเริ่มคำนวณ วินาทีที่นางรู้สึกว่ามีการควบคุมที่ดีแล้ว นางจึงเปิดฝาเตาหลอมยา


 


 


ยาวิเศษสีอ่อนหลายเม็ดอยู่ที่ก้นเตาหลอม แต่ละเม็ดทั้งใสและโปร่งแสง โม่เทียนเกอหยิบมันขึ้นมาและแกว่งมันอยู่ในมือสักพักก่อนที่นางจะเอาใส่ขวดหยกเล็กๆ ด้วยความพึงพอใจ


 


 


วัตถุดิบที่นางซื้อจากสำนักเทียนเต้าถูกใช้ไปจนหมดสิ้นและทักษะการปรุงยาของนางก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน แม้แต่ยาวิเศษธรรมดาพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับนางอีกต่อไป ตอนนี้นางสามารถที่จะหัดปรุงยาวิเศษที่มีระดับสูงขึ้นอีกเล็กน้อยได้แล้ว


 


 


แม้ว่านางจะปรุงยาวิเศษพวกนี้เสร็จแล้ว แต่นางก็ยังคงอยู่ในห้องปรุงยาเพื่อปรับลมปราณของนางสักครู่ ตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปข้างนอกหลังจากนางทำเสร็จแล้ว


 


 


นอกเหนือจากเมืองเล็กๆ ที่ตีนเขา โรงเรียนเสวียนชิงยังมีตลาดนัดเล็กๆ ภายในที่ดินของโรงเรียนซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเหล่าศิษย์โดยเฉพาะ ร้านค้าทั้งหมดที่นั่นดูแลโดยทางโรงเรียน ผู้อุปถัมภ์ของตลาดนัดก็เป็นศิษย์ผู้ที่ต้องการที่จะเอาของของตัวเองออกมาขายหรือไม่ก็ซื้อของดีๆ ในราคาถูก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำธุรกรรมที่นี่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก


 


 


นางยังปรับลมปราณไม่เสร็จเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจากม่านพลังภายนอกถ้ำของนาง ทันใดนั้นเครื่องรางกระจายเสียงก็ลอยเข้ามาในถ้ำ


 


 


ทันทีที่นางรับมา เครื่องรางก็ลุกไหม้อย่างฉับพลัน สะท้อนเสียงที่คุ้นเคยเข้าหูนางว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าอยู่ข้างนอก”


 


 


หัวใจนางสั่นไหวเล็กน้อย แต่แทนที่จะยิ้ม หน้าของนางกลับบึ้งตึง เฮ้อ นางไม่อยากจะเจอฉินซีตอนนี้เลยจริงๆ …


 


 


อย่างไรก็ตาม เขามาอยู่ที่หน้าประตูของนางแล้ว จะเป็นไปได้หรือที่นางจะไม่เจอเขา นางทำได้เพียงถอนหายใจ ลุกขึ้น จัดชุดให้เรียบร้อย และพยายามจะยิ้มให้เป็นปกติ หลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าอารมณ์ของนางมั่นคงนางจึงเดินไปสู่ทางเข้าถ้ำ


 


 


เมื่อนางเปิดประตู ก็ต้องเจอกับภาพชายหนุ่มในชุดคลุมแขนกว้างกำลังยืนเอามือไพล่หลัง การจัดท่าทางของเขาทั้งสูงสง่าและตัวตรง นางไม่สามารถเห็นอะไรได้นอกจากแผ่นหลังของเขา แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่หนักแน่นของเขา


 


 


ชายหนุ่มมองทอดสายตาไปยังที่ไกล ไม่แน่ชัดนักว่าเขาจ้องมองอะไรกันแน่ เขาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด


 


 


เมื่อเขาหันกลับมา โม่เทียนเกอถึงกับตะลึงงัน


 


 


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางมีใบหน้าที่นางรู้จักดี แต่กระนั้นเขากลับให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่นางจ้องเขา นางก็อดที่จะรู้สึกงุนงงไม่ได้ ชุดคลุมสีดำของสำนักอวิ๋นอู้ของศิษย์ทั่วไปนั้นธรรมดาแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดสักหน่อย แล้วทำไมศิษย์พี่ฉินคนนี้ถึงไม่เป็นที่สนใจในตอนนั้นนะ เสื้อผ้าของเขาแทบจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้เขากลับดูมีท่าทางที่งดงามและสง่า


 


 


โม่เทียนเกอยังไม่ได้พบกับท่านประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ แต่ถ้านางได้พบเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะต้องคิดว่ารูปลักษณ์ของฉินซีในตอนนี้มีบางอย่างคล้ายคลึงกับท่านประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอแน่


 


 


ในขณะที่โม่เทียนเกอสำรวจหน้าตาของฉินซี เขาก็พินิจมองนางเช่นกัน ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาของเขา เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ที่ไม่เคยดูเป็นผู้หญิงเลยสักครั้ง จะสามารถดูอ่อนช้อยและงดงามได้หลังจากที่นางใส่เสื้อผ้าของสตรี… อันที่จริง เขาเคยเห็นนางใส่เสื้อผ้าสตรีมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ด้วยว่านางอยู่ในสภาพที่น่าสงสารและเปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าผู้ชายไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงจำไม่ได้ว่านางดูเป็นอย่างไร


 


 


ความประหลาดใจของเขาคงอยู่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น หลังจากนั้น ด้วยท่าทีที่ดูเป็นธรรมชาติ เขายิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เทียบกับก่อนหน้านี้ เจ้าแต่งตัวเช่นนี้แล้วดูดีกว่ามาก”


 


 


คำชมที่จริงใจของฉินซีทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างอับอายกับความคิดที่นางสั่งสมอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของเขาหรือวิธีที่เขาพูดคุยกับนาง ฉินซียังคงปฏิบัติกับนางในฐานะ “ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


เมื่อรู้สึกว่านางไม่จริงใจมากพอ นางจึงทำจิตใจให้ปลอดโปร่งและหยอกล้อเขาด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างที่นางเคยทำในอดีต “วันนี้ศิษย์พี่ฉินดูต่างไปนะ ข้ารู้สึกแปลกๆ ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงแต่งตัวอย่างกับเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมตอนที่อยู่ในสำนักอวิ๋นอู้เล่า”


 


 


ฉินซีอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนที่เขาจะระเบิดหัวเราะออกมา เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม… การเปรียบเทียบนี้ใช้ได้เลย หลังจากเขาหยุดหัวเราะ เขาก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าค่อยโล่งใจหน่อย เจ้ายังปากดีเหมือนเคย…”


 


 


โม่เทียนเกอตกใจกับคำพูดของเขา ความรู้สึกอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจนางช้าๆ … นางสัมผัสได้ถึงความคิดที่ใจดีของฉินซี คำพูดของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างชายหญิง มันเป็นเพียงแค่ความห่วงใยที่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะอย่างนั้นมันจึงยิ่งทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกอบอุ่นยิ่งขึ้น


 


 


นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าความรู้สึกเช่นนี้ดีกว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิงที่รบกวนจิตใจของนางมาโดยตลอดหรือไม่


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเขา ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงรู้สึกตัวว่าทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าประตูของนางและรีบหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ฉินซี นางกล่าวว่า “ขอโทษศิษย์พี่ฉิน เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อน”


 


 


“ไม่จำเป็นหรอก” ฉินซีเหลือบตามองรอบๆ จากนั้นจึงพูดอย่างมีนัยว่า “ข้ามาเพื่อเอาของบางอย่างให้เจ้า”


 


 


มีศิษย์ผู้หญิงหลายคนอาศัยอยู่ใกล้ๆ นาง พอเข้าใจว่าฉินซีต้องการเลี่ยงการกระตุ้นความสงสัยของพวกเขา โม่เทียนเกอจึงไม่ได้ตอแยและแค่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ฉินมีสิ่งใดมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


จากกระเป๋าเอกภพของเขา ฉินซีเอากล่องเล็กๆ ขนาดครึ่งตารางฟุตที่ตกแต่งด้วยทองและหินล้ำค่าต่างๆ ออกมา เขาให้นางและบอกว่า “ข้าเข้าสู่การทำสมาธิปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำให้ระดับดินแดนของข้าคงที่หลังจากที่กลับมาและไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากข้าออกมาวันนี้ ข้าก็ตระหนักได้ว่าตัวตนของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วและเจ้าอาจจะต้องการของพวกนี้”


 


 


สีหน้าเขาดูแปลกประหลาดมากและสายตาก็หลุกหลิก… ดูประหนึ่งเขา… กำลังเขินอาย!


 


 


โม่เทียนเกอซึ่งรู้สึกสับสนเป็นที่สุดรับกล่องมาด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตาม นางเปลี่ยนจากสับสนไปเป็นตะลึงเมื่อนางเปิดกล่องดู


 


 


ฉินซีกระแอมและพูดว่า “ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ มันเป็นแค่ของขวัญที่ส่งมาโดยกลุ่มชินในโลกมนุษย์ สำหรับพวกเราผู้ฝึกตนชาย เงิน ทอง หรือเพชรพลอยนั้นถือว่าไร้ประโยชน์และมักจะจบที่การถูกโยนทิ้ง อย่างไรก็ดี มันน่าจะเป็นของที่พวกเจ้าผู้ฝึกตนหญิงยังต้องการอยู่”


 


 


โม่เทียนเกอหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาจากในกล่อง มันทำมาจากหยกอุ่นสีเขียวอ่อนและมีประกายแวววาวสดใส แม้ว่ามันจะไม่ได้มีการตกแต่งที่มากเกินไปและดูธรรมดาแต่ก็ยังดูวิจิตรงดงาม ในใจนางไม่เคยคาดคิดเลยว่าหลังจากที่กลับคืนสู่ตัวตนของนางที่เป็นผู้หญิง จะมีใครบางคนที่มอบของขวัญเป็นเครื่องเพชรและเครื่องประดับของผู้หญิงให้กับนางเข้าจริงๆ


 


 


ถึงแม้ความรู้สึกของนางจะหวั่นไหว แต่นางก็แค่หายใจเข้าลึกๆ และปิดกล่อง นางเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณมาก ข้าไม่เคยใส่ของที่มีค่าขนาดนี้มาก่อนเลย”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองอย่างใจเย็นของนาง ฉินซีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุด เขายิ้มและพูดว่า “มีค่ารึ มันก็แค่ของกระจุกกระจิกจากโลกมนุษย์เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าคิดว่ามันมีประโยชน์ก็ดีแล้วล่ะ”


 


 


“จะไม่มีค่าได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับเครื่องประดับ…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็หยุดพูด นางรู้สึกว่าคำพูดนางออกจะ… ค่อนข้างกำกวม น่ารำคาญจริงๆ! นางเพิ่งจะตั้งใจว่าจะพูดคุยกับเขาอย่างเปิดใจไม่ใช่รึไง แล้วทำไมเรื่องต่างๆ มันผิดเพี้ยนไปอีกแล้วล่ะ


 


 


ฉินซีที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติพูดว่า “ข้าก็เดาไว้แบบนั้นเหมือนกัน ศิษย์น้องเยี่ย…” เขาหยุดครู่หนึ่งและส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ “ไม่ได้ล่ะ กับรูปลักษณ์ปัจจุบันของเจ้า เรียกเจ้าว่าศิษย์น้องเยี่ยไม่เหมาะเลย อืม… ศิษย์น้องโม่”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจและบอกว่า “นี่… ฟังดูแปลกนิดหน่อยนะ”


 


 


“เห็นด้วย…” ฉินซีกล่าว จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดนิดหนึ่ง “หรือให้ข้าเรียกชื่อเจ้าโดยตรงดีหรือไม่ เสี่ยวเทียน ไม่สิ เทียนเกอ”


 


 


“หา” นี่…


 


 


ฉินซีกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง “แค่หยอกเล่น แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไรดีในอนาคต”


 


 


นี่เป็นปัญหาจริงๆ เสียด้วย ในอนาคตเขาคงไม่สามารถเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ไปได้ตลอด คนอื่นๆ จะรู้สึกแปลกถ้าได้ยิน


 


 


“อืม… ที่จริงข้าก็ไม่ถือนะถ้าท่านจะเรียกชื่อข้าโดยตรง” ถึงอย่างไรเขาก็เรียกเฟิงเสวี่ยด้วยชื่อของนางเช่นกัน ดังนั้นต่อให้เขาเรียกโม่เทียนเกอด้วยชื่อของนาง คนอื่นก็คงไม่คิดว่าแปลกอะไร


 


 


“เจ้าไม่ถือหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าสามารถ…” เขาหยุดพูดและเหลือบมองไปที่ด้านข้างของนาง


 


 


ขณะนั้นเอง ใครบางคนออกมาจากหนึ่งในถ้ำเซียนที่อยู่ข้างๆ เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้น คนผู้นั้นมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย


 


 


คนนั้นคือศิษย์พี่รอง เว่ยจยาซือ


 


 


ฉินซีหันเหสายตากลับมาอย่างสงบนิ่ง เขายิ้มและพูดว่า “ข้าขอตัวกลับก่อน ครั้งหน้าถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าส่งเครื่องรางกระจายเสียงมาหาข้าได้”


 


 


ด้วยการที่มีคนยืนมองจากด้านข้าง โม่เทียนเกอเลยไม่ดึงดันให้ฉินซีอยู่ต่อ นางพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้ จนกว่าเราจะพบกันใหม่…”


 


 


ฉินซีพยักหน้าและออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก


 


 


เมื่อเขาเดินไปไกลแล้ว โม่เทียนเกอจึงหันกลับและทักทายด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เว่ย”


 


 


สีหน้าของเว่ยจยาซือดูค่อนข้างแปลก นางดูตกใจ สับสน และไม่พอใจ ในตอนท้าย นางเพียงแค่เหลือบมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาเฉยเมยจากนั้นจึงกลับเข้าไปในถ้ำของตัวเอง 

 

 


ตอนที่ 99

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเว่ยจยาเซือตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ไม่อยากจะต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้จริงๆ


 


 


ถึงตอนนี้ที่นางเกือบจะอ่านคู่มือเคล็ดวิชาการฝึกตนของนางจบแล้ว ทักษะในการปรุงยาของนางก็ค่อยๆ ไต่ระดับไปถึงจุดที่นางสนุกกับกระบวนการนั้น ถึงเวลาสำหรับนางแล้วที่จะเตรียมตัวสร้างฐานแห่งพลังของนาง


 


 


ตอนนี้นางมียาสร้างฐานแห่งพลังหนึ่งเม็ดและยาเกลาฐานแห่งพลังสองเม็ด ถ้านางสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ โอกาสประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางก็จะยิ่งสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อได้คำแนะนำจากอาจารย์ลุงเสวียนอิน


 


 


นางได้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาทีละเล็กทีละน้อย ของอย่างเดียวที่นางขาดไปคือต้นเฟิร์นอินทรีดำอายุห้าร้อยปีซึ่งนางถามทางร้านค้าของโรงเรียนให้ช่วยตามหาให้นาง


 


 


นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้านค้าของโรงเรียนมีเสบียงสินค้ามากมายหรือเพราะทางร้านเพิ่มความพยายามมากขึ้นด้วยเห็นแก่ท่านอาจารย์ของนาง นั่นคือท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ เพียงสองสามวันถัดมา นางก็ได้รับเครื่องรางกระจายเสียงที่บอกว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำมาถึงแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอรีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและมุ่งหน้าไปยังตลาดนัดภายในโรงเรียน


 


 


ตลาดนัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาหลัก มีขนาดไม่ใหญ่และมีถนนเพียงสองสาย อย่างไรก็ตาม โรงเรียนนี้มีศิษย์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีคนเข้าออกพลุกพล่านอยู่เรื่อยๆ ตลาดนัดจึงครึกครื้นมาก ร้านค้าส่วนใหญ่ที่นั่นดำเนินการโดยศิษย์จากหลายๆ ยอดเขาของโรงเรียน ถ้าศิษย์จากยอดเขาที่ดูแลร้านค้าต้องการซื้ออะไร พวกเขาก็จะได้ส่วนลด นอกจากนั้น พวกศิษย์ที่ต้องการขายของก็สามารถเปิดร้านแผงลอยเล็กๆ ริมถนนได้โดยตรง ทุกๆ อย่างนั้นช่างสะดวกสบาย


 


 


การทำธุรกรรมที่นี่ถูกคุ้มครองโดยโถงพิทักษ์กฎหมาย หากมีการซื้อขายที่ฉ้อโกงกันหรือเรื่องอื่นๆ อย่างการบังคับขู่เข็ญระหว่างการซื้อขาย ผู้กระทำผิดจะถูกสั่งให้คืนเงินหลังจากการสอบสวน ส่วนในกรณีที่ร้ายแรง พวกเขาอาจถึงขั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียน เพราะเหตุผลเช่นนี้ ศิษย์ทุกคนของโรงเรียนจึงชอบที่จะซื้อของกันที่นี่เพราะพวกเขารู้สึกว่าปลอดภัยดี


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงตลาดนัด นางไม่ได้หยุดที่ไหน แต่ตรงไปยังร้านขายยาของยอดเขาวสันต์กระจ่างซึ่งได้ส่งการแจ้งเตือนมาหานาง


 


 


ร้านขายยาร้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตแต่ธุรกิจของพวกเขานั้นค้าขายได้ดี มีผู้อุปถัมภ์ที่เป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนทั้งมาและไป และผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็มีให้พบเห็นได้ไม่ยาก


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนางว่าโรงเรียนเสวียนชิงมีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าห้าร้อยคนและโม่เทียนเกอก็เชื่อนาง บนภูเขาไท่คัง ไม่ว่านางจะไปที่ไหน นางก็สามารถบังเอิญพบเจอเข้ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีอยู่จำนวนมากทีเดียว


 


 


“ศิษย์พี่” โม่เทียนเกอเรียกพนักงานร้านที่กำลังยุ่งอยู่หลังจากนางเข้าไปในร้าน “ข้ามารับต้นเฟิร์นอินทรีดำ”


 


 


พนักงานร้านใส่ชุดเครื่องแบบของศิษย์ทั่วไปและอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับห้าเท่านั้น เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงนาง แต่เมื่อเขาเห็นชุดคลุมที่นางใส่ เขาก็โบกไม้โบกมือและบอกว่า “ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว ข้ายอมให้ท่านเรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ ไม่ได้หรอก อืม ต้นเฟิร์นอินทรีดำหรือ ท่านคือศิษย์พี่โม่เทียนเกอจากยอดเขาวสันต์กระจ่างใช่หรือไม่”


 


 


พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเขา ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าตอนนี้ตัวตนของนางแตกต่างไปและนางไม่จำเป็นต้องนอบน้อมหรือยอมอ่อนข้ออย่างตอนที่นางอยู่ในเขาอวิ๋นอู้ นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังปรารถนา หากนางจะทะนงตนขึ้นอีกเล็กน้อยในโรงเรียนเสวียนชิงก็ย่อมได้ อันที่จริง ถ้าการวางตัวของนางสงบเสงี่ยมเจียมตัวเกินไป คนอื่นก็อาจจะดูถูกนางได้


 


 


หลังจากนางรู้ตัว นางก็ยืดตัวอย่างใจเย็นและบอกกับพนักงานว่า “ใช่ ร้านของท่านติดต่อข้ามาและบอกว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำอายุห้าร้อยปีของข้ามาถึงแล้ว ข้ามาเพื่อรับของ”


 


 


“ใช่ ใช่แล้วศิษย์พี่ กรุณารอตรงนี้สักครู่” พนักงานกล่าว จากนั้นเขารีบวิ่งเข้าไปในห้องเก็บของด้านหลัง


 


 


“ศิษย์พี่” พนักงานร้านอีกคนเข้ามาหานางเพื่อบริการชาและกล่าวว่า “กรุณานั่งตรงนี้สักครู่และดื่มชาก่อนขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและบอกเขาว่า “ขอบคุณ”


 


 


ทันทีที่นางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้าน


 


 


พนักงานคนที่บริการชาให้นางรีบก้าวไปข้างหน้าและทักทายเขา “อาจารย์ลุงเยี่ย ท่านมาแล้ว! “


 


 


ชายคนที่เข้าร้านมาคือผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่ดูยังหนุ่ม เขากวาดสายตาทั่วร้านอย่างสบายๆ และถามว่า “ดอกไห่ถัง มีอยู่ในคลังหรือไม่”


 


 


พนักงานคนนั้นยิ้มและพูดว่า “เพิ่งมาถึงวันนี้ขอรับ เชิญนั่งลงก่อน ข้าจะไปรวบรวมมาให้”


 


 


พนักงานตะโกนไปยังห้องเก็บของหลังร้านและพาชายคนนั้นไปนั่งที่ด้านข้างพร้อมกับรินชาให้เขา


 


 


ขณะที่ชายคนนั้นดื่มชา เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของโม่เทียนเกอ เขาหันมาทางนาง เผยรอยยิ้มเป็นมิตรแล้วจึงก้มหน้าดื่มชาอีกครั้ง


 


 


ท่าทางของคนผู้นี้สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักนางแต่ก็ไม่ได้ตำหนิที่นางทำตัวหยาบคาย แน่นอนว่าเขามีอารมณ์อ่อนโยน


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ทำตัวเคารพนบนอบเหมือนอย่างศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณทั่วไปเมื่อเห็นผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดวงตาของนางมีความสงสัยอยู่ขณะที่นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาจารย์ลุง ข้าขอถามได้ไหมว่า…”


 


 


ชายคนนั้นเงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงนาง


 


 


หลังจากนางสำรวจใบหน้าที่ดูองอาจของชายหนุ่มและนึกถึงคำว่า “อาจารย์ลุงเยี่ย” โม่เทียนเกอก็เกือบจะมั่นใจเต็มร้อย กระนั้นนางก็ยังต้องการแน่ใจจึงถามว่า “อาจารย์ลุง ชื่อท่านคือเยี่ยจิ่งเหวินใช่หรือไม่”


 


 


เมื่อเขาได้ยินคำถามของนาง ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เขาตอบว่า “ถูกต้องแล้ว ข้ารู้จักเจ้ารึ”


 


 


ใช่เขาจริงๆ ด้วย!


 


 


หน้าตาเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สิบปีสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังถือว่าไม่นานเลย เขายังมีหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์เฉกเช่นก่อนหน้านี้ โม่เทียนเกอจึงจำเขาได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูคุ้นเคยของเขา ความทรงจำจากในอดีตก็แล่นเข้าสู่จิตใจของโม่เทียนเกอ นางพูดว่า “…อาจารย์ลุงจำได้หรือไม่… สิบปีก่อน หมู่บ้านตระกูลโม่ในมณฑลเหลียนเฉิงแคว้นจิ้น”


 


 


หลังจากชั่วขณะหนึ่งของความสับสน เยี่ยจิ่งเหวินดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาค่อยๆ สำรวจรูปลักษณ์ของนางอย่างระมัดระวัง เขานึกอะไรออกและจึงพูดว่า “เจ้า… เจ้าคือเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มให้ จากนั้นนางยืนขึ้นและโค้งคำนับเขา “ในอดีต ข้าไม่เข้าใจเจตนาดีของท่านและจากไปโดยไม่ได้กล่าวลา วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”


 


 


เมื่อเห็นว่านางคำนับเขาอย่างเป็นทางการ เยี่ยจิ่งเหวินรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับกลับ “โปรดอย่าทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้าเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะข้าไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน…”


 


 


เขายังพูดไม่ทันจบแต่พนักงานก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนว่า “ท่านอาจารย์ลุงเยี่ย ศิษย์พี่โม่ พืชวิญญาณของท่าน… อ๋า! ทั้งสองท่านรู้จักกันด้วย! “


 


 


เห็นได้ชัดว่าพนักงานคนนี้สับสนเพราะความตกใจ เขาถึงกับลืมยื่นพืชวิญญาณมาให้ โชคดีที่พนักงานอีกคนมีไหวพริบดีและรีบยื่นพืชวิญญาณให้พวกเขา “ท่านอาจารย์ลุงเยี่ย ศิษย์พี่โม่ กรุณาตรวจดูด้วยว่าของของท่านมีปัญหาอะไรหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยิ้มให้กันก่อนจะตรวจสอบของของตัวเอง


 


 


“ไม่เลว ต้นเฟิร์นอินทรีดำนี้อายุมากพอดู… ต้นนี้ราคาเท่าไหร่รึ”


 


 


พนักงานตอบว่า “รวมทั้งหมดสามร้อยศิลาวิญญาณขอรับ แต่เนื่องจากท่านเป็นศิษย์จากยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านจะได้ส่วนลดหนึ่งส่วน ดังนั้นทั้งหมดคือสองร้อยเจ็ดสิบศิลาวิญญาณขอรับ”


 


 


แม้ว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำจะไม่ได้หายาก แต่ราคานี้สำหรับพืชวิญญาณอายุห้าร้อยปีก็ยังจัดว่าถูกมาก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้คัดค้านอะไรและจ่ายศิลาวิญญาณให้ทันที”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเก็บพืชวิญญาณของนางเสร็จ เยี่ยจิ่งเหวินก็ทำการซื้อของๆ เขาเสร็จแล้วเช่นกันและเดินมาหานาง “นี่… เทียนเกอหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินก็ยิ้มให้นางเช่นกัน เมื่อพวกเขาออกจากร้าน โม่เทียนเกอได้ยินเขาพูดว่า “ข้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ข้าเพิ่งออกมาเมื่อสองวันก่อนนี้เองที่ข้าได้ยินว่าเจ้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง ข้าเลยยังไม่มีโอกาสได้ทักทายเจ้า… เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ ข้าจำไม่ได้เลย”


 


 


ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้ดูตกใจมากนัก ปรากฏว่าเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่นางจะมาที่โรงเรียนเสวียนชิงอยู่ก่อนแล้วนี่เอง


 


 


“อาจารย์ลุงเยี่ย…”


 


 


“นี่ อย่าเรียกข้าแบบนั้นสิ” พอได้ยินที่นางเรียกเขา เยี่ยจิ่งเหวินส่ายหน้าปรามนาง “ข้ารู้ว่าปรมาจารย์จิ้งเหอรับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของเขาเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ศิษย์ลงนามจะไม่ได้รวมอยู่ในการจัดลำดับอาวุโส แต่เจ้าก็มีอาจารย์ลุงเสวียนอินคอยสอนใช่ไหม ตามกฎแล้วเรียกข้าว่าศิษย์พี่ก็เพียงพอแล้วล่ะ อีกอย่าง สมัยนั้นเจ้าเคยเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เยี่ย”


 


 


“นี่…” โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกเขาตรงๆ ว่า “พี่ใหญ่เยี่ย”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินอดจะถอนใจไม่ได้เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ “หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา ตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว… เทียนเกอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างในหลายปีที่ผ่านมานี้”


 


 


ชั่วขณะหนึ่งโม่เทียนเกอสับสนว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี


 


 


ถ้านางตอบว่าดี ก็จะเป็นการเมินความเป็นจริงที่ว่านางต้องอดทนกับความยากลำบากมากมาย แต่ถ้านางตอบว่าไม่ดี นางก็จะเมินความเป็นจริงที่ว่าท่านอารองปกป้องชีวิตของนางด้วยชีวิตของเขาเองและนางก็รู้สึกโชคดีมาก


 


 


“ข้าก็… ค่อนข้างสบายดี กระมังนะ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากสีหน้าขัดแย้งในตัวเองของนางว่านางต้องทนกับความยากลำบากมามากตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เขาถอนหายใจและกล่าวว่า “เป็นความผิดข้าเองที่ไม่ได้อธิบายเรื่องต่างๆ ให้แจ่มแจ้ง หลังจากเจ้าทั้งสองหายตัวไป ข้ายังไม่เข้าใจว่าปัญหาคืออะไร แต่หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวของเจ้าเมื่อสองวันก่อน ในที่สุดข้าก็เข้าใจเหตุผล…”


 


 


ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอก็รู้สึกผิดมากมาโดยตลอดที่สงสัยเยี่ยจิ่งเหวินว่าเขามีเจตนาร้าย พอตอนนี้ที่เขาพูดถึงความสับสนที่เขารู้สึกมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ “ขอโทษนะพี่ใหญ่เยี่ย ท่านอาแค่เป็นห่วงข้า ท้ายที่สุดแล้วพวกข้าก็ทำให้ท่านทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินบอกว่า “เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้หรอก เจ้าทั้งสองคนจากไปด้วยความสมัครใจ ศิษย์พี่เจิ้งแห่งเขาตงเหมิงเป็นพยานให้ข้า อีกอย่างนะ แทนที่จะโดนลงโทษ อาจารย์ลุงโส่วจิ้งกลับให้รางวัลข้ามากมาย… ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น ข้าจะก้าวหน้าเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างรวดเร็วได้อย่างไรล่ะ”


 


 


“อ้อ เข้าใจละ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องยินดีกับพี่ใหญ่เยี่ยด้วย” โม่เทียนเกอรู้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้อายุมากนัก สมัยนั้นอายุจริงของเขาดูเหมือนจะอยู่ราวๆ สามสิบปี ดังนั้นคาดว่าตอนนี้เขาน่าจะอายุประมาณสี่สิบ ใช่ไหม ถือได้ว่าเขาเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่อายุยังน้อยเลยทีเดียว


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและส่ายหน้า “เป็นเพราะโชคช่วยน่ะ ไม่ใช่เพราะความสามารถของข้าเองหรอก ในทางกลับกัน ตัวเจ้าตอนนั้นอยู่แค่ในระดับสองของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่เจ้าก็เข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วในเวลาสิบปีต่อมา! ความสามารถของเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ระดับหัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ เลย! “


 


 


โม่เทียนเกอแค่ยิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะข้าทานยาวิเศษเยอะเท่านั้นเอง”


 


 


นั่นเป็นความจริง ถ้าท่านอารองไม่ได้ให้นางทานยาวิเศษราวกับมันเป็นข้าว นางก็คงจะเข้าถึงแค่ระดับหกหรือเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเป็นอย่างมาก คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเข้าถึงประตูแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ณ เวลานี้!


 


 


“อย่าถ่อมตัวมากนักเลย ถ้าเจ้าอยู่ในโรงเรียนเสวียนชิงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าคงไม่ชมเจ้าหรอก”


 


 


โม่เทียนเกออดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ นั่นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลดี คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงต้นทุนธรรมชาติของนาง แต่เยี่ยจิ่งเหวินรู้ดี ความสำเร็จของนางนั้นที่จริงแล้วยากจะทำให้สำเร็จได้สำหรับคนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุและไม่มีกลุ่มการฝึกตนให้พึ่งพาอาศัย ไม่ง่ายเลยสำหรับคนอย่างนางที่จะไปถึงประตูแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังภายในสิบปีได้


 


 


“จริงสิ แล้วเจ้าเจอกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้อย่างไรรึ ช่างบังเอิญจริงๆ “


 


 


“เอ๋” โม่เทียนเกอพูดอย่างงุนงง “ข้าไม่ได้เจอท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ข้าเพิ่งเจอศิษย์พี่ฉินซี ท่านอารองใช้เครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง แต่ศิษย์พี่ฉินบังเอิญอยู่ในบริเวณใกล้ๆ จึงถูกสั่งให้มาช่วยพวกเรา”


 


 


“ฉินซีหรือ” เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวขณะที่คิดกับตัวเองในใจ ชื่อนี้… เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน… ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายในยอดเขาวสันต์กระจ่าง แต่ใครบางคนที่ถูกมอบความไว้วางใจให้ทำงานเช่นนี้โดยอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างน้อยก็ควรจะเป็นศิษย์ภายในที่ใกล้ชิด


 


 


“ใช่แล้ว พี่ใหญ่เยี่ยคุ้นชื่อนั้นหรือไม่ ศิษย์พี่ฉินเป็นศิษย์ผู้น้อยของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่มีสายเลือดเดียวกัน ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในรุ่นเดียวกับท่าน”


 


 


ศิษย์ผู้น้อยที่มีสายเลือดเดียวกัน? ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ พอคิดอีกที เขาก็ไม่เคยรู้ว่าชื่อจริงของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งชื่ออะไรเหมือนกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า…


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินจึงถามอีกว่า “ศิษย์พี่ฉินคนที่เจ้าพูดถึง เขาสูงเกือบเท่าข้า ไม่ชอบพูดคุย ไม่ค่อยแสดงสีหน้า และก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนทุกวันใช่ไหม”


 


 


“อืม… เดิมทีเขาเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ฉินไม่ชอบพูดคุยหรอกนะ เขามักจะยิ้มบ่อยๆ ด้วยเมื่อได้สนิทกับเขา”


 


 


“…”


 


 


“พี่ใหญ่เยี่ย มีอะไรหรือ” โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือว่าศิษย์พี่ฉินอาจจะไม่ค่อยถูกกับคนอื่น? ทำไมทุกคนที่ข้าคุยด้วยเรื่องเขาต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้นะ


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” เยี่ยจิ่งเหวินเช็ดเหงื่อที่หน้าและเปลี่ยนเรื่อง “ช่วงนี้เจ้าคงกำลังใกล้จะสร้างฐานแห่งพลังแล้วสินะ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและตอบว่า “ใกล้แล้ว ข้าคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อเตรียมตัวให้เสร็จ แต่หลังจากนั้นข้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของข้า”


 


 


“อืม การเตรียมตัวมากขึ้นอีกนิดนั้นก็ดีสำหรับช่วงระหว่างการสร้างฐานแห่งพลัง ไม่มีอะไรเสียหาย… อย่าลังเลที่จะบอกข้านะถ้าเจ้ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ”


 


 


เมื่อเห็นว่าเขากระตือรือร้นมาก โม่เทียนเกอจึงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก” 

 

 


ตอนที่ 100

 

หลังจากการพูดคุยกับเยี่ยจิ่งเหวินในเบื้องต้น โม่เทียนเกอเริ่มได้รับสิ่งต่างๆ จากเขาบ่อยมากขึ้น บางครั้งก็เป็นหนังสือที่เขาสะสมอยู่ และบางครั้งก็เป็นบันทึกเกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์ของเขา ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับนาง 


 


 


ความจริงแล้วเมื่อนึกย้อนไปถึงอดีต ตอนที่เยี่ยจิ่งเหวินตีสนิทกับท่านอารองและดึงนางเข้าไปใกล้ชิดด้วย เขาอาจทำมันด้วยเจตนาที่จะทำให้ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งพอใจ อย่างไรก็ตามเยี่ยจริงเหวินก็ไม่ได้ทำร้ายพวกเขา แม้กระทั่งตอนนี้หลังจากที่รู้ว่าโม่เทียนเกอได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา เยี่ยจิ่งเหวินดูแลนางอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทุกวันนี้โม่เทียนเกอจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา 


 


 


ด้วยการชี้แนะจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน โม่เทียนเกอฝึกตนได้อย่างราบรื่น เพียงไม่กี่เดือนพลังวิญญาณในร่างกายของนางก็ได้กลายสภาพเป็นพลังวิญญาณแห่งหยิน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังพัฒนาไปมากทางด้านการปรุงยาวิเศษ ถึงแม้ว่านางจะเสียวัตถุดิบต่างๆ ไปมากมาย แต่นางก็ยังสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้บ้างก่อนที่วัตถุดิบของนางจะหมดสิ้น 


 


 


เมื่อนางสามารถปรับอำนาจจิตของนางได้แล้ว นางก็ได้รายงานกลับไปยังท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเพื่อบอกเขาว่านางต้องการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง 


 


 


ภายในห้องโถงของถ้ำเซียนท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน 


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยยืนอยู่ด้วยกันตรงกลางห้อง บนพื้นต่างระดับด้านหน้าพวกนางท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังนั่งขัดสมาธิ ศิษย์ของเขานับไม่ถ้วนต่างยืนรายล้อมอยู่ทั้งสองฝั่งของห้องโถง บางคนยิ้มให้พวกนางในขณะที่บางคนก็แค่ยืนเฉยๆ  


 


 


เวลาผ่านไปนาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาขึ้นในที่สุดและจ้องมองที่นางทั้งสอง 


 


 


โม่เทียนเกอดูสงบนิ่งในขณะที่หลัวเฟิงเสวี่ยดูตื่นเต้นเล็กน้อย 


 


 


วันนี้พวกนางจะปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง นี่นับได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญเมื่อกลับกลายเป็นว่าหลัวเฟิงซูววางแผนมานานแล้วที่จะสร้างฐานแห่งพลังในช่วงเวลานี้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงตัดสินใจเริ่มในวันเดียวกัน 


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมองดูพวกนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูด “เจ้าทั้งสองคน… ระดับการฝึกตนของพวกเจ้าได้เข้าสู่จุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ด้วยการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังในวันนี้ พวกเจ้ากำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่อีกระดับหนึ่งของการฝึกตน ข้ายินดียิ่งนัก”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยคุกเข่าลงพร้อมพูด “ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับคำชี้แนะตลอดที่ผ่านมา”  


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ยโม่เทียนเกอจึงทำตาม ถึงแม้ว่าตามหลักแล้วนางจะไม่ใช่ศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน แต่เขาก็ได้สอนนางตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงถือหลักปฏิบัติในฐานะอาจารย์และศิษย์เช่นกัน 


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มและพูดว่า “หลังจากที่เจ้าสองคนเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ข้าจะคอยเฝ้าดูพวกเจ้าด้วยจิตสัมผัสของข้า ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ข้าจะบอกให้พวกเจ้าหยุดเอง ดังนั้นเจ้าจงตั้งใจในการสร้างฐานแห่งพลังไปและไม่ต้องกังวลอะไรภายในจิตใจของเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยพูดโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอบคุณท่านอาจารย์ลุงเจ้าค่ะ”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและส่งสัญญาณให้พวกนางยืนขึ้น เขาหยิบขวดหยกสองขวดออกมาจากเสื้อคลุมและสั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่หันชิงอวี้ที่ยืนอยู่ข้างเขายื่นขวดให้พวกนาง “ขวดพวกนี้คือยาเสริมพลังใจที่ท่านปรมาจารย์มอบให้พวกเจ้า พวกมันอาจจะช่วยรวบรวมพลังวิญญาณ ทานยานี้ก่อนที่เจ้าจะทานยาสร้างฐานแห่งพลัง”  


 


 


“เจ้าค่ะ”  


 


 


“เอาละ พวกเจ้าไปได้” ท่านอาจารย์เสวียนอินพูดก่อนที่จะหลับตาลง 


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยคำนับทำความเคารพก่อนที่จะออกไป 


 


 


“เทียนเกอ” ระหว่างทางกลับ หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความกังวล “เจ้ามั่นใจแค่ไหนในการสร้างฐานแห่งพลัง”  


 


 


โม่เทียนเกอผู้ที่หัวใจสงบนิ่งอย่างไม่คาดคิด ส่ายหัวเบาๆ พร้อมพูด “ข้าไม่มั่นใจเลย”  


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบของนาง หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก นางสารภาพอย่างเงียบๆ “บอกตามตรง ข้ากลัวมาก ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มากความสามารถตั้งแต่สมัยยังเด็กเมื่อเทียบกับสหายของเขา ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะไม่มีปัญหาในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่กลับผิดคาดเขาล้มเหลวถึงสองครั้งและสุดท้ายถูกแทรกแซงจากมารภายใน แล้วเขาก็ฆ่าตัวตาย…”  


 


 


โม่เทียนเกอสะดุ้ง นางรู้ว่าคนที่ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่ได้มีต้นทุนทางธรรมชาติที่แย่เลย อย่างเลวร้ายที่สุดพวกเขาก็มีรากวิญญาณสองธาตุ ในเมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าพี่ชายของนางนั้นมีความสามารถมาก ต้นทุนทางธรรมชาติของเขาจะต้องดีกว่ารากวิญญาณสองธาตุแน่นอน แต่เขาก็ยังมีปัญหาที่ไม่คาดคิดในการสร้างฐานแห่งพลัง… 


 


 


เป็นอย่างที่โม่เทียนเกอคาดคิด เฟิงเสวี่ยพูดว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะโชคดีที่มีรากวิญญาณสองธาตุ ตั้งแต่สมัยที่ข้ายังเด็ก ข้าไม่อาจเทียบได้กับพี่ชายเลย ความจริงแล้วเมื่อสามปีก่อนข้าสามารถเริ่มสร้างฐานแห่งพลังของข้าได้แล้วแต่เพราะจิตใจของไม่มั่นคงท่านอาจารย์จึงบอกให้ข้ารออีกสักสองสามปี ข้ากลัวการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิครั้งนี้เหลือเกิน”  


 


 


โม่เทียนเกอพูดอย่างปลอบโยน “ศิษย์พี่หลัวอย่าได้กังวลไป การสร้างฐานแห่งพลังไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ยังไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนยันได้ว่าจะประสบความสำเร็จเพียงแค่ในครั้งแรกครั้งเดียว แล้วถ้าท่านล้มเหลวสองครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะ พวกเราอายุยังน้อย ต่อให้พวกเราล้มเหลวหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หรือแม้กระทั่งหกครั้ง สุดท้ายแล้วมันจะต้องมีสักวันที่พวกเราทำสำเร็จ”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกสงบลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินโม่เทียนเกอพูด นางฝืนยิ้มและบอก “ที่เจ้าพูดมันก็เข้าใจได้ ข้าอายุเพียงแค่ยี่สิบสองปีตอนนี้และโรงเรียนก็ให้ยาสร้างฐานแห่งพลังทุกสามปี ถึงแม้ว่าข้าจะต้องใช้ยาสิบเม็ดก่อนที่ข้าจะประสบความสำเร็จ ข้าก็จะอายุเพียงแค่ห้าสิบกว่าเท่านั้น”  


 


 


“ถูกต้องแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มและพูดต่อ “ถึงแม้จะเป็นในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิ จะต้องมีหลายคนแน่ที่สร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาในช่วงอายุสี่สิบหรือแม้กระทั่งห้าสิบถูกไหม อย่าเป็นอย่างพี่ของเจ้า เขามีต้นทุนทางธรรมชาติที่ดีก็จริงและจะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอนถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาพ่ายแพ้ต่อมารภายในจิตใจของเขา”  


 


 


ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกัน ก็มาถึงที่ถ้ำโดยไม่รู้ตัว หลัวเฟิงเสวี่ยสูดหายใจลึกหลังจากนั้นจึงยื่นมือออกไปให้โม่เทียนเกอ 


 


 


เข้าใจถึงเจตนาของนางได้ดี โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปจับมือของหลัวเฟิงเสวี่ยเช่นกัน ทั้งสองคนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน “พวกเราจะเจอกันอีกครั้งในครึ่งปี”  


 


 


เมื่อนางกลับถึงถ้ำ โม่เทียนเกอตัดสินใจอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและจุดธูป หลังจากที่จิตใจของนางสงบลงเต็มที่แล้วนางจึงนั่งลงและเริ่มทำสมาธิ 


 


 


พลังวิญญาณของนางเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผ่านเส้นลมปราณของนางจนเข้าไปถึงตานเถียน 


 


 


นางปล่อยจิตให้ว่าง ปลดปล่อยทุกสิ่งที่ควบคุมความนึกคิดของนาง อย่างช้าๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย นางค่อยๆ ได้ยินเสียงลมจากภายนอกถ้ำ และจิตสัมผัสของนางค่อยๆ แยกออกจากสายลม นางยังรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยไปพร้อมกัน กลิ่นของดอกไม้และพืชพรรณ กลิ่นหอมหวานของพื้นโลก… ทีละอย่างค่อยๆ จู่โจมจิตของนาง จนในที่สุดนางก็ไม่ได้ยินและไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีก มีเพียงแค่โลกที่ว่างเปล่ากว้างขวาง และมืดมนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอทานยาเสริมพลังใจเป็นอย่างแรก และต่อมานางจึงทานยาสร้างฐานแห่งพลัง ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด และยาเกลาฐานแห่งพลัง 


 


 


เมื่อยาสร้างฐานแห่งพลังตกถึงท้อง นางก็รู้สึกเหมือนมีไฟที่ลุกไหม้พร้อมกับเสียงปะทุอยู่ภายในตานเถียนของนางขณะที่เส้นใยของพลังวิญญาณที่ครอบงำระเบิดอยู่ภายในตานเถียนและท่องไปในเส้นลมปราณของนาง 


 


 


พลังวิญญาณนี้มีอำนาจมากเหลือเกิน เพียงครู่เดียวโม่เทียนเกอก็เริ่มสับสนว่าจะต้องทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินตะโกนจากภายในจิตใจของนาง “สงบสติ! อย่าไปต่อต้านมัน! ควบคุมและนำทางมันไปช้าๆ!”  


 


 


เสียงเตือนของเขาทำให้โม่เทียนเกอสงบลงทันที นางรีบทำตามคำชี้แนะของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินและใช้พลังวิญญาณของตัวเองในการนำทางพลังที่ถูกครอบงำ ในตอนต้นพลังที่ถูกครอบงำต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด นางทำได้แค่ควบคุมมันในบางส่วนด้วยความยากลำบาก ในที่สุดการควบคุมของนางก็ถูกมันเข้ายึดครอง อย่างไรก็ตามนางยังไม่หมดกำลังใจและละความพยายาม สุดท้ายนางสามารถควบคุมส่วนเล็กๆ ของมัน อย่างช้าๆ นางก็สามารถเพิ่มการควบคุมเหนือมันได้ 


 


 


นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปมากแค่ไหนแล้ว แต่ในที่สุดนางก็สามารถควบคุมพลังวิญญาณที่ถูกครอบงำไว้ได้จนหมด และชี้นำมันให้โจมตีต่อเส้นลมปราณของนาง เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกนั้นหาที่เปรียบเทียบมิได้ 


 


 


เส้นลมปราณของนางขยายเป็นวงกว้าง รู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆ อณูของเส้นลมปราณของนางแตกเป็นเสี่ยงๆ และซ่อมแซมตัวเองกลับมาในทันทีทันใด เมื่อเกิดการโจมตีครั้งต่อไป เส้นลมปราณของนางก็แตกอีกครั้งแต่ภายใต้ความเจ็บปวดแสนสาหัสจากขั้นตอนการแตกสลายและคืนกลับนี้ เส้นลมปราณของนางก็ค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น 


 


 


สิ่งปนเปื้อนภายในร่างกายของนางต่างกระจัดกระจายทีละเล็กทีละน้อยจากกระบวนการนี้จนในที่สุดก็ถูกขับออกไปจากร่างกายของนาง 


 


 


ตลอดช่วงกระบวนการทั้งหมดนี้ ตานเถียนของนางใกล้จะพังทลาย เกือบที่จะไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณที่ใหญ่โตมโหฬาร อย่างไรก็ตาม เพราะยังมีพลังอื่นที่ช่วยบังคับให้มันคงตัว จึงทำให้คงอยู่ต่อไปได้ 


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ตัวมาก่อนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินที่กำลังคอยมองนางอยู่จากจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขา 


 


 


ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งอยู่บนตั่งมังกร บ่นพึมพำกับตัวเอง “เด็กคนนี้ไม่ได้ซื่อสัตย์นัก ความจริงแล้วนางสามารถทนได้อย่างง่ายดายเมื่อเกิดการระเบิดของพลังวิญญาณในช่วงเวลาสร้างฐานแห่งพลัง… นางจะต้องใช้ยาวิเศษอื่นๆ ด้วยแน่นอน…”  


 


 


ฉินซีนั่งอยู่ข้างๆ เขา และชำเลืองมองมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเท่านั้น 


 


 


โม่เทียนเกอกัดฟันและอดทนกับความเจ็บปวด นางเริ่มคุ้นเคยกับความเจ็บปวดจากฤทธิ์ของยาสรา้งฐานแห่งพลังแล้ว แต่ตานเถียนของนางยังไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณเอาไว้ได้ 


 


 


นางรู้ว่านี่จะต้องเกี่ยวข้องกับต้นทุนทางธรรมชาติของนางเป็นแน่ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเคยกล่าวเอาไว้ว่ายิ่งต้นทุนธรรมชาติคนของนั้นดีเท่าไหร่ ตานเถียนก็จะยิ่งดูดซับพลังวิญญาณได้เร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าตานเถียนของนางจะสามารถปรับตัวกับพลังของพลังวิญญาณที่โจมตีและจะสามารถดูดซับพลังนั้นไว้ใช้เองได้หรือไม่ 


 


 


ผ่านไปหนึ่งเดือน โม่เทียนเกอยังคงอดทนอยู่กับความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ 


 


 


ผ่านไปสองเดือน พลังในการโจมตีค่อยๆ อ่อนแอลงและตานเถียนของนางเริ่มคงตัว 


 


 


ผ่านไปสามเดือน ประสิทธิภาพของยาสร้างฐานแห่งพลังภายในร่างกายของโม่เทียนเกอเริ่มลดลงอย่างช้าๆ  


 


 


จิ้งเหอฉินจิ้งเหอถอนใจอย่างแผ่วเบา “ช่างน่าเสียดายจริง สิ่งที่น่าจะเป็นความสามารถขั้นเทพในยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น ยังไม่สามารถผ่านอุปสรรคในการสร้างฐานแห่งพลังในตอนนี้ได้เลย”  


 


 


ถึงแม้ว่าฉินซีจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีนัก 


 


 


พวกเขาต่างรู้ว่าโม่เทียนเกอล้มเหลว นางอดทนต่อแรงกดดันของเส้นลมปราณของนางได้ แต่นางไม่สามารถดูดซับประสิทธิภาพของยาสร้างฐานแห่งพลังไว้ได้ทั้งหมด ตานเถียนของนางไม่สามารถขยายได้ ดังนั้นมันก็จะไม่สามารถทนต่อพลังวิญญาณของดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังได้เช่นกัน 


 


 


“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดอะไรอยู่”  


 


 


หลังจากที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซีก็ตอบกลับมาว่า “ถ้านางได้ฟื้นคืนวิชาการฝึกตนที่หายไปในยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น แล้วนางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังหรือแม้กระทั่งการก่อขุมพลังและสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้ง่ายอย่างนั้นหรือ”  


 


 


จิ้งเหอฉินจิ้งเหอตกใจ เขาจึงตอบกลับ “โดยหลักการแล้วมันเป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถยืนยันได้ สุดท้ายแล้วสภาพแวดล้อมของยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้นนั้นแตกต่างอย่างมากกับตอนนี้ วิชาการฝึกตนแบบเก่าอาจจะไม่เหมาะสมกับเส้นเลือดวิญญาณของเราในตอนนี้ก็เป็นได้”  


 


 


ผ่านไปหกเดือน โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น 


 


 


พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางลดน้อยลงจนเกือบหมด แต่ระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ไม่ต้องพูดถึงดินแดนถัดไปเลย 


 


 


ถึงแม้นางจะรู้ตัวว่าล้มเหลว นางก็เพียงแค่ถอนใจ นางไม่ได้รู้สึกผิดหวังเนื่องจากนางได้เตรียมตัวมานานที่จะต้องพบกับความล้มเหลวแล้ว ด้วยรากวิญญาณห้าธาตุที่เป็นต้นทุนธรรมชาติของนาง ถึงแม้นางจะใช้ยาพิเศษและยาวิเศษต่างๆ มันก็ยังคงยากที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังในการลองครั้งเดียว พี่ชายของหลัวเฟิงเสวี่ยมีต้นทุนทางธรรมชาติที่ดีกว่านางหลายเท่าตัวนัก แต่เขายังล้มเหลวต่อเนื่องถึงสองครั้งเลยมิใช่หรือ 


 


 


โม่เทียนเกอรีบดึงสติของตัวเองกลับคืน เมื่อนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเปรี้ยวบนร่างกายของนาง นางขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องปรุงยา ในห้องปรุงยานางถอดเสื้อผ้าของนางออกและล้างตัวในบ่อน้ำพุ 


 


 


เมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของนางในช่วงการสร้างฐานแห่งพลัง มันได้ชำระล้างไขกระดูกของนางไปด้วย ถึงแม้ว่านางจะล้มเหลวในการสร้างฐานแห่งพลัง แต่พลังวิญญาณในร่างกายนางก็บริสุทธิ์ขึ้นและไม่ได้มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายในแม้แต่น้อย ต่อไปในอนาคตเมื่อนางสร้างฐานแห่งพลังอีกครั้ง นางก็ไม่จำเป็นต้องผ่านอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อในร่างกายและการชำระล้างไขกระดูกอีก 


 


 


น้ำพุชะล้างคราบที่ตกค้างบนร่างกายของนางและพลังวิญญาณช่วยฟื้นคืนความแข็งแรงกลับมา เมื่อได้ทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ออกไป นางรู้สึกว่าผิวสะอาด นุ่มและละเอียดอ่อนขึ้น 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ โม่เทียนเกอก็ยังรู้สึกมีความสุข นางไม่ได้ทานยาสร้างฐานแห่งพลังโดยที่ไม่ได้รับอะไรเลย ทั้งร่างของนางรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายยิ่งขึ้น 


 


 


เมื่อนางใส่เสื้อผ้าและหวีผมพร้อมเกล้าผมมวย โม่เทียนเกอก็เดินออกจากถ้ำไป 


 


 


ภายนอกถ้ำ เยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างอยู่ พวกเขาหันมองมาทางโม่เทียนเกอทันทีเมื่อร่างของนางปรากฏขึ้น 


 


 


นางยิ้มและเรียก “ศิษย์พี่หลัว พี่ใหญ่เยี่ย”  


 


 


ทั้งสองคนดูผิดหวังเมื่อเห็นนาง หลัวเฟิงเสวี่ยจับมือของนางดูเหมือนกับต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบนาง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ไม่ได้พูดอะไรในที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่ตบมือหลัวเฟิงเสวี่ยเบาๆ และยิ้ม หลัวเฟิงเสวี่ยสร้างฐานแห่งพลังของนางได้สำเร็จ อย่างน้อยนางก็มีข่าวดี 


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มเมื่อเห็นท่าทางที่ผ่อนคลายของโม่เทียนเกอเช่นกัน เขาพูด “อย่าได้กังวลไป ยังคงมีโอกาสสำหรับเจ้าอยู่ในภายภาคหน้า”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมพูดว่า “อือ ขอบคุณท่านมากพี่ใหญ่เยี่ย ข้าไม่ยอมแพ้หรอก” หลังจากนั้นนางจึงหันไปทางหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลัว ยินดีกับท่านด้วย”  


 


 


ท่าทางของโม่เทียนเกอทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยถอนใจอย่างโล่งอก แต่นางยังคงมีท่าทางที่สับสนปนเปอยู่บนสีหน้า นางดูไม่มีความสุขเสียเลย เพราะนางรู้สึกว่าร่าเริงยินดีในความสำเร็จของนางต่อหน้าโม่เทียนเกอผู้ซึ่งล้มเหลวมันคงจะทำให้นางรู้สึกน้อยใจ 


 


 


โม่เทียนเกอผู้ซึ่งไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลยถามนาง “ศิษย์พี่หลัว ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอยู่ที่ถ้ำของท่านหรือเปล่า”  


 


 


“ท่านอยู่” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบ “ท่านอาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่ เจ้าอยากจะไปพบท่านก่อนหรือเปล่า”  


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพาพวกเขาไปที่ถ้ำเซียนของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ไม่นานพวกเขาทั้งสามก็ถึงที่หมาย 


 


 


“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ล้มเหลวและทำให้ท่านผิดหวัง”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาและพินิจพิเคราะห์นางก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ สิ่งที่แย่คือการขาดความมั่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีตราบใดที่เจ้าไม่ยอมแพ้”  


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ลุงวางใจได้ ศิษย์ไม่ได้รู้สึกเศร้าสลดเพียงเพราะล้มเหลวแค่ครั้งเดียว”  


 


 


“อย่างนั้นก็ดี เจ้าควรเตรียมตัว ท่านปรมาจารย์ต้องการพบเจ้า”   

 

 


ตอนที่ 101

 

โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงหลัก พินิจพิเคราะห์ถ้ำเซียนที่ดูเหมือนกับพระราชวังมากเกินกว่าที่จะเป็นถ้ำเซียนอย่างระมัดระวัง 


 


 


บันไดทำจากหยกวิญญาณ เสาทำจากหินหลากชนิด งานแกะสลักมังกรและหงส์ รวมถึงพลังแห่งเซียนมากมายมหาศาล ทั้งหมดทั้งมวลทำให้นางถอนใจเงียบๆ อย่างหลงใหล เมื่อเทียบกับถ้ำเซียนแห่งนี้ ห้องโถงของเผ่าฮูที่สำนักเทียนเต้าดูเหมือนกับเป็นของคนรวยจากโลกมนุษย์ที่ไม่สามารถเทียบกันได้เลย 


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจมากกว่าพระราชวังนี้ที่สุดคือคนที่กำลังนั่งอยู่ ไม่สิ คนที่กำลังเอนกายอยู่บนตั่งมังกร 


 


 


ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์กว่าท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน เขามีผมดำ เคราสั้น รูปลักษณ์สง่างาม ใบหน้าเขามีส่วนที่ดูคล้ายคลึงกับฉินซี แต่บรรยากาศเกียจคร้านที่ปล่อยออกมาจากตัวเขาอย่างสบายใจทำให้ดูแตกต่างจากฉินซีโดยสิ้นเชิง 


 


 


ในขณะนี้ชายที่เอนกายอยู่บนตั่งมังกรนั้นถูกรายล้อมด้วยคนรับใช้ระดับการสร้างฐานแห่งพลังสองคน คนหนึ่งยื่นชาให้เขาในขณะที่อีกคนหนึ่งนวดไหล่อย่างเบามือ พวกเขาช่างสงบนิ่งและดูอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ 


 


 


โม่เทียนเกองุนงง ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอคนนี้ทำไมเขาถึงดูไม่เหมือนกับเป็นผู้ฝึกตนแห่งระดับจิตวิญญาณใหม่แม้สักนิด อีกอย่างโรงเรียนเสวียนชิงก็เป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ด้านไหนของเขาที่ดูสงบนิ่งและเป็นผู้ฝึกตนที่โรงเรียนแห่งเต๋าควรจะมีกัน 


 


 


ในขณะที่นางครุ่นคิด สายตาของเขาจากตั่งมังกรเคลื่อนลงมองมาที่นางในทันที โม่เทียนเกอรีบก้มหัว จ้องมองลงที่พื้น ปัดแขนเสื้อและคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังและนอบน้อม “ข้าน้อยศิษย์โม่เทียนเกอคารวะท่านปรมาจารย์”  


 


 


ฉินจิ้งเหอไม่ได้ตอบ เขาหยิบชาที่คนรับใช้ยื่นให้และบอกให้คนใช้ทั้งสองออกไป 


 


 


สัมผัสได้ว่าเขากำลังพิจารณาท่าทางของนางอย่างสบายใจ โม่เทียนเกอกลั้นหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางกลัวว่าท่านปรมาจารย์จะไม่พอใจที่นางล้มเหลวในการสร้างฐานแห่งพลัง หากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอไม่ตอบรับนางในฐานะศิษย์ลงนามของเขา นางคงจะต้องอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแน่นอน 


 


 


จิตใจของนางสับสนวุ่นวาย ทว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปพอสมควร ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา “เจ้าคิดอย่างไรกับความล้มเหลวของเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอตัวแข็งทื่อ ถึงแม้ว่านางจะเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่ได้คาดคิดว่าท่านปรมาจารย์จิ้งเหอจะถามนางตรงๆ แล้วนางควรตอบอย่างไรดี 


 


 


หลังจากคิดครู่หนึ่ง นางตอบ “ศิษย์มิได้คิดเช่นไรเจ้าค่ะ”  


 


 


“เช่นนั้นหรือ” ฉินจิ้งเหอประหลาดใจในคำตอบของนาง เขาขมวดคิ้วพร้อมถาม “ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นหรือ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีแผนการอะไรเลยหรือ”  


 


 


ด้วยการทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนั้น อำนาจของผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้เผยออกมา ถึงแม้ว่ามันจะแผ่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ แล้วผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณจะทนได้อย่างไร 


 


 


หลังจากที่เค้นความแข็งแกร่งทั้งหมดเพื่อทำให้จิตใจของนางสงบนิ่ง โม่เทียนเกอพูด “ศิษย์ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดระหว่างการสร้างฐานแห่งพลัง สิ่งที่ศิษย์ขาดไปคือต้นทุนธรรมชาติที่ดี และเมื่อกล่าวถึงสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่ศิษย์ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นศิษย์จึงมิได้คิดเช่นไร ศิษย์ทำได้เพียงแค่มุงมั่นพยายามต่อไปเจ้าค่ะ”  


 


 


พูดจบ นางก็รู้สึกได้ทันทีว่ารางกายนางเบาโล่งขึ้น 


 


 


ฉินจิ้งเหอค่อยๆ หลุดเข้าสู่ภวังค์ทางความคิด เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมพลังวิญญาณแต่นางช่างสงบนิ่งและเยือกเย็น รวมทั้งถึงแม้ว่านางจะอยู่ภายใต้แรงกดดันของพลังวิญญาณของเรา นางก็ยังตอบคำถามอย่างสงบนิ่ง ดูเหมือนว่านางจะมีปณิธานที่กล้าแข็งจริงๆ เจ้าเด็กเหลือขอนั่นตัดสินคนได้หลักแหลมนัก หากนางไม่ติดปัญหาจากต้นทุนทางธรรมชาติของนาง เด็กคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน 


 


 


เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ เขาเผยรอยยิ้มบางๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถิด”  


 


 


ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ได้ปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้เสียที นางแสดงความเคารพด้วยการก้มลงคำนับเอาหน้าผากแตะพื้นก่อนที่จะพูด “ศิษย์ขอขอบพระคุนท่านปรมาจารย์เจ้าค่ะ”  


 


 


เพราะฉินจิ้งเหอยังคงจ้องมองนางอย่างเหม่อลอย โม่เทียนเกอจึงยังคงก้มหน้าก้มตาของนางอย่างอ่อนน้อมต่อไป 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่นางสัมผัสได้เลยว่าแรงกดดันจากพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่นั้นน่ากลัวเพียงไร ภายใต้แรงกดดันนี้ แค่เพียงพยายามที่จะพูดยังนับว่ายากเลย 


 


 


ในขณะที่นางตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเอง นางก็ได้ยินฉินจิ้งเหอถาม “ตอนที่เจ้าพยายามจะสร้างฐานแห่งพลัง เจ้าทานยาวิเศษชนิดไหน”  


 


 


คำถามนี้ดูเหมือนเป็นคำถามที่แสนง่ายแต่กลับทำให้นางตื่นกลัว 


 


 


ตอนที่นางพยายามสร้างฐานแห่งพลัง นอกเหนือไปจากยาเสริมพลังใจที่เขามอบให้ นางยังได้ทานยาเพิ่มพลังการก่อเกิดและยาเกลาฐานแห่งพลัง ในเมื่อท่านปรมาจารย์ถามคำถามเช่นนี้ ท่านจะต้องจับสังเกตถึงบางอย่างได้แน่นอน 


 


 


หัวใจของนางเต้นเร็วกว่าความไวแสงตอนที่นางตอบคำถามทันที “ท่านปรมาจารย์ ศิษย์ทานยาเกลาฐานแห่งพลังและยาเพิ่มพลังการก่อเกิดเจ้าค่ะ”  


 


 


ฉินจิ้งเหอผู้ที่กำลังจะดื่มชาหยุดเคลื่อนไหวในทันที เขามองมาที่นางอีกครั้ง “ยาเกลาฐานแห่งพลังและ… ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด?”  


 


 


“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอตอบอย่างสงบนิ่ง 


 


 


ในเสี้ยววินาที นางตัดสินใจที่จะตอบตามความจริงอย่างบริสุทธิ์ใจ นางไม่สามารถปกปิดอะไรได้ต่อหน้าผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ หากนางพยายามที่จะปิดบังและทำให้ท่านปรมาจารย์โกรธ เขาจะต้องฆ่านางในทันทีอย่างแน่นอน ดังนั้นมันคงจะเป็นการดีกว่าที่นางสารภาพทั้งหมด อย่างน้อยนางก็ยังเป็นศิษย์ลงนามของเขา ดังนั้นถ้านางคิดที่จะเสนอสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดให้กับเขา เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะโกรธนาง 


 


 


“ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด…” ฉินจิ้งเหอพูดพึมพำหลังจากนั้นจึงถามว่า “ยาเกลาฐานแห่งพลังและยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่เจ้าพูดถึง พวกมันเอาไว้ใช้เพื่ออะไร แล้วเจ้าไปได้มาจากที่ไหน”  


 


 


โม่เทียนเกอก้มหน้าและตอบด้วยความสัตย์จริง “ศิษย์เคยอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้ทางฝั่งคุณอู๋ตะวันออก สำนักอวิ๋นอู้มีกลุ่มของแซ่เจียง และยาเกลาฐานแห่งพลังเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเจียง ตามที่ได้ทราบมามันสามารถเพิ่มโอกาสให้ประสบความสำเร็จในกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังได้เจ้าค่ะ”  


 


 


“สำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ศิษย์ได้บังเอิญเข้าไปสู่การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสูตรยาและผู้ฝึกตนอีกสองคน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น ไม่มีฝั่งใดชนะทำให้ศิษย์ได้มีโอกาสครอบครองสูตรยานั้นมา ยานี้ใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับฤทธิ์ยาชนิดอื่น ดังนั้นศิษย์จึงทานยานี้ร่วมกันกับยาสร้างฐานแห่งพลังด้วยความหวังว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาสร้างฐานแห่งพลังได้เจ้าค่ะ”  


 


 


หลังจากอดทนฟังนางอธิบายจนจบ แววตาฉินจิ้งเหอก็ส่องประกาย ถูกต้องแล้ว! นั่นคือยาเพิ่มพลังการก่อเกิด!  


 


 


เมื่อสองร้อยปีก่อน เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิด อย่างไรก็ตาม เขายังอยู่ในขั้นต้นของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีกำลังมากพอที่จะถือครองมัน ในภายหลังสูตรยานี้ก็ได้หายไปและไม่เคยปรากฏออกมาอีกเลย… นี่เด็กคนนี้โชคดีที่ได้ครอบครองสูตรยานั้นอย่างง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ 


 


 


เขามองมาทางตัวนางอีกครั้ง ดูเหมือนจะครุ่นคิดว่าคำพูดของนางนั้นจริงหรือไม่ 


 


 


โม่เทียนเกอดูสงบนิ่ง สิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะใช้วิธีการจับโกหกใดๆ นางก็ไม่กลัว 


 


 


ในที่สุดฉินจิ้งเหอก็หยุดจ้องมองนาง จากนั้นเขาก็ถามอย่างนิ่งเฉย “สูตรยาอยู่ที่ไหน”  


 


 


โม่เทียนเกอหยิบหยกบันทึกออกมาและยื่นให้เขาในทันที นางพูด “ท่านปรมาจารย์ นี่เป็นสูตรของยาเพิ่มพลังการก่อเกิดเจ้าค่ะ”  


 


 


ฉินจิ้งเหอเพียงแค่ยกมือขึ้น หยกบันทึกก็ลอยไปทางเขาและตกลงสู่มือของเขาในทันที 


 


 


ครู่ต่อมา ท่าทางมีความสุขปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาพูด “ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด! นี่คือยาเพิ่มพลังการก่อเกิดจริงๆ! สวรรค์ช่วยข้าแล้ว!” หลังจากนั้นเขาจึงยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและเดินไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปทางโม่เทียนเกอ เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “โม่เทียนเกอ การที่เจ้ามอบสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิด เจ้าได้ให้ในสิ่งที่น่าชมเชยยิ่งนัก เจ้าต้องการรางวัลเป็นสิ่งใดตอบแทน”  


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก นางพนันได้ถูกฝั่งแล้ว ถึงแม้ว่าท่านปรมาจารย์จะเก็บสูตรยาไว้เพื่อตัวเองโดยพลการ แต่เขาก็ยังคงมีความต้องการที่จะให้รางวัลนางอยู่ดี ถ้าเป็นเช่นนั้น… 


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นแสดงท่าทางประหลาดใจอย่างเต็มที่ ลักษณะของนางเหมือนกับนางไม่รู้ว่าสูตรยานี้เป็นสิ่งที่สำคัญขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม นางรีบพูดด้วยความเคารพ “ศิษย์ถือครองสูตรยานี้มาโดยบังเอิญ ถ้าท่านปรมาจารย์ต้องการเก็บไว้ ศิษย์ขอมอบไว้ให้แก่ท่านด้วยความสัตย์จริง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านปรมาจารย์เมตตาและต้องการให้รางวัลแก่ศิษย์ เช่นนั้นศิษย์ขออาจหาญและถามอย่างตรงไปตรงมา ศิษย์จะขอยาสร้างฐานแห่งพลังได้หรือไม่เจ้าคะ”  


 


 


ฉินจิ้งเหอตกตะลึงแต่ไม่นานก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ตกลง ตกลง ตกลง เจ้านี่ซื่อตรงยิ่งนัก!” ในคำพูดของนาง นางได้แสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อเขาเพิ่มเติมไปนอกเหนือจากการขอเพียงแค่รางวัลอย่างทื่อๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบ! ท้ายที่สุด ถ้าเพียงต้องการอะไรบางอย่าง ทำไมจะต้องแสร้งทำเหมือนไม่ต้องการด้วยเล่า 


 


 


เขาพูดพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะบอกว่า “ข้าสามารถให้ยาสร้างฐานแห่งพลังกับเจ้าได้ มันมีข้อปฏิบัติของโรงเรียนที่บอกว่าศิษย์ผู้ใดที่มีผลงานอันยิ่งใหญ่สามารถรับยาสร้างฐานแห่งพลังได้ ยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้หาได้ยากนัก เป็นยาในตำนานทีเดียว ดังนั้นข้าจะมอบยาสร้างฐานแห่งพลังแก่เจ้าสามเม็ด”  


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอรู้สึกยินดีอย่างมาก ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่านางน่าจะได้ในสิ่งที่นางขอ แต่นางก็ไม่ได้คาดคิดว่าท่านปรมาจารย์จะใจดีและให้ยาสร้างฐานแห่งพลังกับนางถึงสามเม็ด! นางคุกเข่าคำนับเขาอีกครั้ง “ศิษย์ขอขอบพระคุณท่านปรมาจารย์เป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ”  


 


 


“อือ” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉินจิ้งเหอผู้ที่ถือสูตรยาอยู่ในมือกำลังหมกมุ่นอยู่กับมันและไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับนางอีกต่อไป เขาพูด “เจ้าควรที่จะกลับไปก่อน ข้าจะสั่งให้ใครสักคนส่งรางวัลของเจ้าไปให้ทีหลัง”  


 


 


“เจ้าค่ะ ศิษย์ขอตัว”  


 


 


“รอก่อน!”  


 


 


โม่เทียนเกอหยุด รู้สึกกลัวจากการที่เขาเรียกทันที นางถาม “ท่านปรมาจารย์มีสิ่งใดชี้แนะเพิ่มเติมหรือเจ้าคะ”  


 


 


ฉินจิ้งเหอพูดขณะโบกมือไปมา “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าพูดถึงมันกับคนอื่นล่ะ”  


 


 


“เจ้าค่ะ”  


 


 


หลังจากที่นางออกไปจากถ้ำและปาดหน้าผาก นางถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทั้งหน้าของนางล้วนเต็มไปด้วยเหงื่อ 


 


 


จากข่าวลือที่ได้ยินมา ปรมาจารย์จิ้งเหอผู้นี้เป็นผู้ที่โปรดปรานการฆ่ายิ่งนัก หากนางได้ลังเลและปิดบังความจริง นางก็คงไม่สามารถออกจากถ้ำแห่งนี้ได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม เขาก็ใจดีเช่นกัน ตราบใดที่ใครคนหนึ่งชนะใจเขาได้ ก็จะได้รับผลประโยชน์นั้นอย่างมหาศาล โชคดีที่นางตัดสินใจเดิมพันได้ถูกต้องแล้ว 


 


 


สำหรับโม่เทียนเกอผู้ซึ่งได้ผ่านกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังมาแล้วครั้งหนึ่ง ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดนั้นจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางให้สูงยิ่งขึ้น ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดที่ต้องมอบให้กับปรมาจารย์จิ้งเหอไป นางก็สามารถปรุงยาได้เองมาเป็นเวลานานแล้ว ในวันนี้ไม่เพียงแต่นางไม่ได้สูญเสียอะไร แต่นางยังสามารถเดินจากปรมาจารย์จิ้งเหอมาด้วยความประทับใจ นางได้ผลประโยชน์โดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย!  


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเดินออกมาจากห้องโถง ฉินจิ้งเหอผู้ยังอยู่ด้านในระเบิดหัวเราะในทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจถึงภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย เขาจ้องไปที่หยกบันทึกในมือด้วยความพึงพอใจพร้อมพูด “ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด! ยาเพิ่มพลังการก่อเกิด! ด้วยสิ่งนี้การเข้าสู่ระดับสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ก็จะไม่เป็นเพียงแค่สิ่งที่หวังอีกต่อไป!”  


 


 


ทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนต่างรู้ดีถึงความสำคัญของยาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตน ถ้าผู้ที่ไร้ความสามารถทานยาวิเศษอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของพวกเขาก็จะไม่แตกต่างมากนักกับผู้ที่มีความสามารถสูงแต่ไม่ได้ทานยา เป็นที่น่าเสียดายยาวิเศษนั้นราคาค่อนข้างแพง มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถมีได้ 


 


 


นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ เนื่องจากยาวิเศษของพวกเขาไม่ได้แพงมากนัก ตัวอย่างเช่น ยาวิเศษที่ธรรมดาที่สุดที่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทานคือยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ ซึ่งสนนราคาอยู่เพียงแค่สองศิลาวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่ฝึกตนอย่างเต็มที่และมีรายได้เข้ามาที่แน่นอนจะสามารถฝึกตนได้จนถึงระดับสิบแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 


 


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาก้าวหน้าเข้าสู่ดินแดนที่ยิ่งใหญ่ขั้นถัดไป ราคาของยาวิเศษที่พวกเขาต้องการจะสูงขึ้นเป็นร้อยเท่า ยกตัวอย่างเช่น ยาวิเศษขั้นพื้นฐานที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมักจะทานคือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณ ซึ่งราคาจะอยู่ที่ประมาณสามร้อยศิลาวิญญาณ! ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังส่วนใหญ่จึงติดอยู่ในระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง 


 


 


เช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตนดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและจิตวิญญาณใหม่ พวกเขาต้องเผชิญปัญหาที่หนักยิ่งกว่า ยาสรรพคุณวิญญาณสำหรับผู้ฝึกตนกลุ่มนี้หาไม่ได้ง่ายๆ และยาวิเศษของพวกเขาก็ยากที่จะปรุงขึ้นมาได้ โดยส่วนมากแล้วพวกเขาจะสามารถใช้ยาวิเศษได้เพียงไม่กี่เม็ดต่อปี ในเมื่อพวกเขาจะต้องพึ่งพาการดูดซับพลังวิญญาณเป็นส่วนมาก การฝึกตนจึงนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับพวกเขา 


 


 


ความจริงแล้วสำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ประโยชน์ของยาเพิ่มพลังการก่อเกิดเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก เพราะพวกเขามักจะทานยาวิเศษพื้นฐานทั่วไปอย่างยาบำรุงพลังจิตวิญญาณและยาผสานพลังวิญญาณ พวกเขาจะต้องการยาเพิ่มพลังการก่อเกิดไปเพื่ออะไรในเมื่อพวกเขาส่วนมากสามารถครอบครองยาวิเศษพื้นฐานได้ง่ายกว่า 


 


 


ทว่าหากยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ถูกมอบให้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือระดับจิตวิญญาณใหม่ มันจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุด ผู้ฝึกตนเหล่านั้นสามารถทานยาได้เพียงเล็กน้อยต่อปี ควบคู่ไปกับการครอบครองวัตถุดิบสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา หากยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ถูกทานควบคู่ไปกับยาวิเศษชนิดอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยา ยาวิเศษเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นจะให้ผลที่เทียบเท่ากับการทานยาวิเศษหลายๆ เม็ดทีเดียว อีกอย่าง ยาวิเศษที่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ต้องการนั้นล้วนมีเอกลักษณ์หรือเป็นยามหัศจรรย์นั่นเอง 


 


 


ฉินจิ้งเหอรีบรวบรวมสติและส่งเครื่องรางเรียกขานออกไป 


 


 


ไม่นานฉินซีรีบเข้ามาที่ถ้ำของฉินจิ้งเหอ 


 


 


หลังจากที่ฉินซีเดินเข้ามา เขาก็ต้องคว้าหยกบันทึกที่ฉินจิ้งเหอโยนมาให้ เขาถามด้วยความสับสน “ท่านอาจารย์ท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใด”  


 


 


ฉินจิ้งเหอเชิดคางและพูดอย่างยินดี “ลองดูที่สูตรยาตัวนี้สิ”  


 


 


ฉินซีสอดจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาลงไปที่หยกบันทึกด้วยความสงสัย วินาทีต่อมาด้วยความตกตะลึงในข้อมูลของมัน เขาถาม “นี่… ท่านไปได้มาจากที่ไหน”  


 


 


ในที่สุดฉินจิ้งเหอก็หัวเราะออกมาดังๆ พร้อมพูดไปด้วย “มันเป็นของขวัญจากศิษย์ลงนามคนใหม่ของข้า เจ้าคิดว่าอะไร”  


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร นาง… ทำไมข้าถึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”  


 


 


ฉินจิ้งเหอนั่งลงบนตั่งมังกรและพูดอย่างไร้กังวล “บางทีนางคงไม่รู้ว่ามันมีความสำคัญขนาดไหน… เป็นไปได้นะ จงรีบปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้ให้กับข้า ข้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิในไม่ช้านี้”  


 


 


ฉินซียังคงอยู่ในภวังค์แห่งความคิดและไม่ได้พูดอะไร เขาไม่เชื่อว่าโม่เทียนเกอจะไม่รู้ถึงความสำคัญของยาเพิ่มพลังการก่อเกิดนี้อย่างแน่นอน มันจะต้องเป็นเพราะนางรู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญนางจึงไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับมัน 


 


 


“ท่านอาจารย์” เขาถามหลังจากครุ่นคิด “ท่านให้รางวัลใดแก่นาง”  


 


 


ฉินจิ้งเหอชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วพร้อมกับพูดตอบว่า “ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ด เจ้าคิดว่าอย่างไร มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีใช่ไหม” คุณค่าของยาสร้างฐานแห่งพลังสำหรับบางคนนั้นอาจหาค่าไม่ได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่นั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่านัก 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉินซีพูดหลังจากนั้นจึงเก็บสูตรยาไปด้วยท่าทางครุ่นคิด  

 

 


ตอนที่ 102 เข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง

 

โม่เทียนเกอจ้องอย่างเหม่อลอยไปที่ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดที่กลิ้งอยู่ในจาน


 


 


หลังจากนางได้มอบสูตรยาไปก็มีใครบางคนแวะมาเพื่อส่งของรางวัลให้ ของรางวัลไม่ใช่แค่ยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดที่ตกลงกันไว้เท่านั้น แต่ยังมีสมบัติบางอย่างเช่น ยาวิเศษ และศิลาวิญญาณอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศิษย์อีกคนที่มาเพื่อมอบของอีกสองสามอย่างให้นางด้วยในวันต่อมา ท่ามกลางของเหล่านี้มียาเพิ่มพลังการก่อเกิดเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ที่มีคุณภาพดีกว่าของนางมากนัก ที่จริงแล้วของเหล่านี้ถูกมอบให้นางตามคำสั่งของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง


 


 


ว่ากันตามตรง ของที่นางได้รับมาในช่วงสองวันนี้ยังมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สินของนางทั้งหมดรวมกันเสียอีก เพราะอย่างนั้น นางจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการต้องเสียสูตรยาไป อย่างน้อยทั้งสองคนนั้นจากตระกูลชินก็ไม่ได้ฉวยมันไปโดยการใช้กำลัง แถมยังปฏิบัติกับนางอย่างดีเป็นการตอบแทนอีกด้วย


 


 


หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่งคิดถึงเรื่องต่างๆ ในที่สุดนางจึงเก็บของให้เรียบร้อยและเดินทางไปยังถ้ำเซียนของอาจารย์ลุงเสวียนอิน


 


 


นางใช้แผ่นจารึกประจำตัวเปิดม่านพลังที่อยู่นอกสุด ผ่านศิษย์ที่เฝ้าประตู และเดินเข้าไปในห้องโถงของถ้ำเซียนอาจารย์ลุงเสวียนอิน


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเดินเข้าไป นางเห็นว่าเว่ยจยาซืออยู่ที่นี่เช่นกัน นางมองโม่เทียนเกอเดินเข้าโถงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่สนใจเว่ยจยาซือแม้แต่นิดเดียว โม่เทียนเกอคุกเข่าและทำความเคารพอาจารย์ลุงเสวียนอินทันที “ศิษย์โม่เทียนเกอคารวะท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน”


 


 


“ลุกขึ้น” อาจารย์ลุงเสวียนอินพูดด้วยสีหน้าที่ดูมีเมตตา


 


 


“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์ลุง” โม่เทียนเกอยืนขึ้นและหันไปหาเว่ยจยาซือเพื่อทักทายนาง “ศิษย์พี่เว่ย”


 


 


เว่ยจยาซือที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเพียงแค่ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาเป็นคำตอบและหันหน้าหนีเพื่อจะได้ไม่ต้องมองโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้โกรธกับการตอบสนองเช่นนั้นของนาง นางแค่ก้มหัวและยืนขึ้น


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินจ้องนางและถามอย่างอบอุ่นว่า “เทียนเกอ มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”


 


 


“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอก้มหน้าและรายงาน “สองวันก่อน ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอมอบยาสร้างฐานแห่งพลังสามเม็ดให้แก่ศิษย์ ดังนั้น ศิษย์จึงมาเพื่อขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ลุง ท่านอาจารย์ลุงเจ้าคะ จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่หากศิษย์จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง”


 


 


“เรื่องนี้…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพึมพำด้วยความลังเลครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่หกเดือน เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยรึ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ศิษย์ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ การสร้างฐานแห่งพลังเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตใจของศิษย์เสมอ”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินกล่าว “โดยทั่วไป เพราะผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้อยู่ในสภาวะจิตที่มั่นคง พวกเขาจึงไม่ควรอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมากกว่าครึ่งปี ส่วนการปิดประตูแห่งจิตอย่างต่อเนื่องนั้นยิ่งไม่สมควรเข้าไปใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าดูมั่นใจแน่วแน่ ข้าคิดว่าคงจะไม่มีปัญหามากมายอะไร หากเจ้าต้องการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้งในตอนนี้ก็ย่อมได้ แต่สำหรับการสร้างฐานแห่งพลัง จิตใจที่สงบสุขและพลังวิญญาณที่ไม่มีอะไรขัดขวางนั้นจำเป็นต่อการประสบผลสำเร็จ ถ้าใจของเจ้ากระวนกระวาย เจ้าต้องหยุดทันที”


 


 


พอได้ยินคำตอบของอาจารย์ลุงเสวียนอิน โม่เทียนเกอพูดด้วยความยินดีว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ศิษย์จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มและพยักหน้า เขากล่าวว่า “เจ้ารู้ขั้นตอนของการสร้างฐานแห่งพลังอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมารายงานกับข้าอีก เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้เลย”


 


 


บัดนี้เมื่อนางได้รับอนุญาตแล้ว โม่เทียนเกอจึงเตรียมตัวสำหรับการปิดประตูแห่งจิตของนางอีกครั้ง


 


 


นางมียาเกลาฐานแห่งพลังเหลือเพียงแค่เม็ดเดียวจากที่นางเอามาจากเจียงเฉิงเสียน สำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ในสองเม็ดที่นางสามารถปรุงยาได้ครั้งก่อน นางใช้ไปเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น เป็นโชคดีของนางที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้ส่งยาที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ มาให้นางเพิ่มอีก


 


 


เมื่อนางรู้สึกว่าการเตรียตัวของนางเพียงพอแล้ว นางจึงแจ้งให้หลัวเฟิงเสวี่ยและเย่จิงเหวินซึ่งเป็นคนที่นางนับว่าเป็นสหายทราบเกี่ยวกับการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง เย่จิงเหวินรีบมาทันทีก่อนที่นางจะเริ่มและบอกนางซ้ำๆ เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ต้องระวัง ในทางกลับกัน หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่สัญญาว่าจะดูแลสวนสมุนไพรของนางให้เป็นอย่างดีในตอนที่นางอยู่ในสมาธิปิดประตูแห่งจิต


 


 


หลังจากจัดการกับหลายๆ เรื่อง โม่เทียนเกอจึงปิดถ้ำเซียนของนางอีกครั้ง บางทีในสายตาคนอื่นๆ การเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อหวังจะสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองหลังจากเพิ่งล้มเหลวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนอาจจะดูหุนหันพลันแล่นไปหน่อย กระนั้นโม่เทียนเกอกลับสงบนิ่งมาก อันที่จริง ในช่วงสามเดือนสุดท้ายระหว่างการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิครั้งก่อน นางก็รู้อยู่แล้วว่านางสร้างฐานแห่งพลังไม่สำเร็จ นางยังคงอยู่ข้างในก็เพราะนางอยากจะใช้ฤทธิ์ของยาสร้างฐานแห่งพลังเพื่อชำระล้างพลังวิญญาณทั้งร่างของนางให้บริสุทธิ์ เป็นเพราะเรื่องนี้นางเลยไม่ได้รู้สึกว่านางรีบเร่งเกินไป


 


 


ด้วยใจที่เบิกบานและจิตที่มั่นคง โม่เทียนเกอหลับตาและทำใจให้สงบ ดำดิ่งลงสู่โลกแห่งการฝึกตนอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ทุกยอดเขาของภูเขาไท่กังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ถ้ำของนางตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำเซียนของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ดังนั้นพลังวิญญาณจึงยิ่งมีมากเหลือล้น


 


 


โม่เทียนเกอเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางช้าๆ เริ่มจากตานเถียนของนาง นางเคลื่อนมันไปตามเส้นลมปราณจนในที่สุดมันก็วนกลับมาที่ตานเถียนอีกครั้ง พลังวิญญาณจากภายนอกก็ค่อยๆ ไหลเข้ามารอบๆ ตัว เข้าสู่ร่างกาย และค่อยๆ หายเข้าไปในเส้นลมปราณของนาง


 


 


พลังวิญญาณแห่งหยินภายในร่างกายของนางกำลังเคลื่อนไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม มันไม่มีปริมาณเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อยถึงแม้นางจะซึมซับพลังวิญญาณมากมายมาจากข้างนอกก็ตาม พลังที่นางซึมซับเข้ามาโคจรไปในร่างกายของนางแค่เพียงครู่เดียวก่อนที่มันจะค่อยๆ สลายไป


 


 


การเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณหมายความว่าถ้านางไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้ ความก้าวหน้าในการฝึกตนของนางก็จะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกถึงความเร่งรีบอะไร นางแค่ควบคุมพลังวิญญาณของนางอย่างช้าๆ ต่อไป ค่อยๆ เคลื่อนมันทีละน้อยไปตามวงโคจรจุลจักรวาลจนกว่านางจะคุ้นชินกับมัน


 


 


หลังจากระยะเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบแน่ชัด ในที่สุดร่างกายของนางก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นจักรวาล นางเริ่มจะทานยาวิเศษเสริมทีละเม็ดๆ และจบด้วยยาสร้างฐานแห่งพลังหนึ่งเม็ดจากที่นางได้รับมา


 


 


ปริมาณพลังวิญญาณในร่างกายของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทุกตารางนิ้วของเส้นลมปราณนางจะแยกออกจากกัน แต่สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงควบคุมโลกภายในร่างกายของนางอย่างมั่นคงตามจังหวะก่อนหน้านี้ ค่อยๆ พลิกมันกลับไปมาโดยไม่ถูกความเปลี่ยนแปลงภายนอกรบกวน


 


 


แรงที่เข้าครอบงำค่อยๆ กระจายเข้าสู่พลังวิญญาณแห่งหยินของนางและกลมกลืนไปกับมันด้วยซ้ำ


 


 


เมื่อแรงของพลังวิญญาณอ่อนกำลังลง นางแทบจะไม่ต้องคิดและตัดสินใจทานยาสร้างฐานแห่งพลังเข้าไปอีกเม็ดพร้อมกันกับยาเพิ่มพลังการก่อเกิด


 


 


คนสองคนที่กำลังจับตามองความคืบหน้าของนางโดยใช้จิตสัมผัสของพวกเขาถึงกับตกใจกับการกระทำของนางและเกือบจะสั่งให้นางหยุดทันที อย่างไรก็ตาม ครั้นสังเกตเห็นว่านางยังคงควบคุมพลังวิญญาณอย่างสงบนิ่ง พวกเขาจึงล้มเลิกความคิดไป


 


 


หากยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดแรกก่อให้เกิดลมบ้าคลั่งภายในร่างกายนาง ยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดที่สองก็นำพาคลื่นอันน่ากลัวหลายลูกมาสู่ตัวนาง คลื่นลูกแล้วลูกเล่าโหมกระหน่ำเข้าใส่เส้นลมปราณของนาง ทว่านางก็ยังคงนิ่ง ไม่เพียงแต่นางจะไม่ต่อต้าน แต่นางยังหลอมรวมตัวนางเข้ากับคลื่นเหล่านั้นและล่องลอยไปพร้อมกับมันอีกด้วย เมื่อเริ่มจับจังหวะชีพจรภายในคลื่นเหล่านั้นได้ในที่สุด นางจึงค่อยๆ เข้าควบคุมเหนือคลื่นพวกนั้น


 


 


เมื่อนางทานยาสร้างฐานแห่งพลังเม็ดที่สามและยาเพิ่มพลังการก่อเกิดอีกเม็ด คลื่นทั้งหลายซึ่งค่อยๆ อ่อนกำลังลงไปแล้ว กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำทะเลไหลบ่าที่พังทลายเข้ามาและทำให้ทุกสิ่งจมดิ่งลง รายล้อมพลังวิญญาณแห่งหยินของนางราวกับว่ากำลังจะกลืนกินมัน ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงสงบนิ่ง นางเคลื่อนพลังวิญญาณที่แสนเล็กและอ่อนแอของนางอย่างไม่ย่อท้อและค่อยๆ โอบล้อมน้ำไหลบ่า


 


 


นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดนางก็สามารถกลืนพลังวิญญาณที่เหมือนน้ำไหลบ่าและเปลี่ยนให้มันเป็นกระแสน้ำที่ขยายเส้นลมปราณของนางเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เป็นประหนึ่งว่าแม่น้ำที่ไหลไปสู่ทะเล มันพุ่งเข้าสู่ตานเถียนของนางอย่างรวดเร็ว


 


 


ขณะนั้นเอง สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง พลังวิญญาณมากมายมุ่งไปยังจุดจุดหนึ่งราวกับมันถูกดึงดูดเข้าหาอะไรบางอย่าง ผู้อยู่อาศัยจำนวนนับไม่ถ้วนในยอดเขาวสันต์กระจ่างต่างออกมาจากถ้ำเซียนของตัวเองเพื่อดูพลังวิญญาณที่มาบรรจบกันที่จุดจุดหนึ่งตั้งแต่ช่วงเวลาที่มันยังสัมผัสไม่ได้จนกระทั่งมันล้นทะลักออกมา


 


 


กลุ่มเมฆลอยและหยุดอยู่เหนือถ้ำเซียน ผสานเข้ากับพลังวิญญาณจนกลายเป็นสะพานสายรุ้ง


 


 


“การเกิดขุมพลัง! ใครบางคนกำลังสร้างขุมพลังของตัวเองอยู่!” ศิษย์คนหนึ่งที่เคยเห็นผู้อาวุโสของเขาสร้างขุมพลังมาก่อน จู่ๆ ก็ตะโกนออกมา ดึงความสนใจของศิษย์คนอื่นๆ


 


 


พลังวิญญาณกำลังมาบรรจบกันและเมฆมงคลกำลังปรากฏขึ้นมาทีละก้อน ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากแต่ละยอดเขาในภูเขาไท่กังต่างออกมาจากถ้ำเซียนของพวกเขาเพื่อชมภาพเหตุการณ์นี้


 


 


ผู้คนแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างเคลื่อนไหวกันราวกับกระแสน้ำขึ้นลง คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมุ่งหน้าไปยังถ้ำเซียนที่ตั้งอยู่บนครึ่งทางขึ้นเขา


 


 


ณ ขณะนั้น จู่ๆ ใครบางคนได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาเอามือไพล่หลังขณะที่เขาสำรวจฝูงชนเบื้องล่าง จากนั้นเขาจึงตะโกนว่า “ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างทั้งหลายจงกลับไปยังถ้ำของตัวเองโดยอย่าชักช้า!”


 


 


เสียงเขาชัดเจนและเสนาะหู ราวกับว่ากำลังพูดอยู่ข้างๆ หูพวกเขา เมื่อทุกคนเห็นคนที่ยืนอยู่บนฟ้า พวกเขาต่างโค้งคำนับทีละคนและทำความเคารพ ก่อนจะเดินไปตามคำสั่งของเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาเดินออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


 


“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง!” ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากยอดเขาอื่นๆ รีบเข้ามาหาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าใครบางคนกำลังสร้างขุมพลังอยู่ แต่แรงเคลื่อนไหวไม่ทรงพลังนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์ในยอดเขาวสันต์กระจ่างของท่านกำลังฝึกวิชาลับอะไรบางอย่าง”


 


 


ฉินซีตอบอย่างแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลายอย่าได้ตกใจไป ศิษย์คนหนึ่งในยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้ากำลังอยู่ในกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น”


 


 


“สร้างฐานแห่งพลังรึ!” คำตอบนั้นยิ่งทำให้พวกผู้ฝึกตนประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ใครคนหนึ่งถามว่า “การสร้างฐานแห่งพลังจะกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าและกระแสน้ำวนของพลังวิญญาณได้อย่างไรกัน”


 


 


“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าข้าได้ข้อมูลมากกว่านี้ จะบอกศิษย์พี่อย่างละเอียด”


 


 


“นี่มันแปลกมากเลย…”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินเหาะเข้ามาหาพวกเขา เมื่อเขามาถึง เขาทักทายทุกคนและกล่าวว่า “สหายศิษย์ ข้าและศิษย์น้องโส่วจิ้งจะจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทุกท่านควรจะกลับไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความแตกตื่นในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย”


 


 


สุดท้ายเขาก็สามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่เลิกตั้งคำถาม หลังจากพูดอีกเพียงไม่กี่คำ ทุกคนก็ออกจากสถานที่นั้นไป


 


 


ฉินซีและอาจารย์เต๋าเสวียนอินร่อนลงที่หน้าถ้ำของโม่เทียนเกอ ทั้งคู่ดูเคร่งเครียด


 


 


“ศิษย์น้องโส่วจิ้ง เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


ฉินซีเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “หลายร้อยปีก่อน สัตว์วิเศษจากยุคอดีตอันไกลโพ้นได้ตื่นขึ้นท่ามกลางธารน้ำแข็งอายุหมื่นปี ในขณะนั้น เมฆมงคลก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเช่นกันและฟ้าร้องอย่างกับมีการเฉลิมฉลอง”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินที่ตกใจกับคำพูดของเขากล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า…”


 


 


ฉินซีส่ายหน้าและบอกว่า “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสัตว์วิเศษธรรมดาในยุคอดีตอันไกลโพ้นตอนนี้สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าได้ บางทีปรากฏการณ์นี้ก็อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลกเราในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากยุคอดีตอันไกลโพ้น”


 


 


หลังจากคิดอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ อาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงถามว่า “นั่นอาจจะจริง แต่นางกำลังฝึกตนด้วยวิชาฝึกตนของยุคปัจจุบัน มันไม่มีอะไรเชื่อมโยงไปยังอดีตอันไกลโพ้นเลย”


 


 


ฉินซีถอดใจกับการอธิบายและพูดแค่ว่า “รอดูกันเถอะ เราต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางออกมา”


 


 


ทว่าระยะเวลาที่พวกเขารอคอยก็นานเกินความคาดหมายของพวกเขา


 


 


ครึ่งปีผ่านไป แต่โม่เทียนเกอก็ยังไม่ออกมา นางเหมือนกับตัวไหมที่สร้างรังไหมรอบๆ ตัวของมันขณะที่นางนั่งขัดสมาธิโดยไม่รับรู้ถึงสิ่งใดในถ้ำของนางแม้แต่น้อย พลังวิญญาณภายในถ้ำได้แปรเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นของเหลว ขณะที่พลังหยินเข้มข้นรอบตัวนางก็กลายไปเป็นชั้นแข็งๆ ที่ห่อหุ้มตัวนางไว้อย่างแน่นหนา


 


 


หนึ่งปีต่อมา อาจาย์เต๋าเสวียนอินเริ่มจะกังวลใจ โดยปกติผู้ฝึกตนใช้เวลาหลายเดือนจนถึงครึ่งปีเพื่อสร้างฐานแห่งพลัง เมื่อปรากฏการณ์บนฟากฟ้าเกิดขึ้น โม่เทียนเกออยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเกือบครึ่งปีแล้ว ดังนั้นเมื่อรวมกัน นางจึงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มกับอีกครึ่งปี ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนของโรงเรียนเสวียนชิงใช้เวลาในการสร้างฐานแห่งพลังนานเพียงนี้


 


 


หลังจากหนึ่งปีครึ่ง แม้แต่ประมุขผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังมาถามไถ่ ขนาดปรากฏการณ์บนฟากฟ้าที่เกิดขึ้นระหว่างการเกิดขุมพลังยังไม่คงอยู่นานขนาดนี้ เพราะอย่างนั้นเหตุใดศิษย์ผู้นี้ถึงใช้เวลานานนักในการสร้างฐานแห่งพลังของนาง


 


 


สองปีผ่านไป


 


 


ฉินซียืนอยู่หน้าถ้ำเซียนในความเงียบ


 


 


ในตอนแรกพวกเขายังสามารถตรวจดูสถานการณ์ภายในถ้ำได้โดยการใช้จิตสัมผัส แต่ภายหลัง ชั้นของพลังวิญญาณหนาแน่นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นภายในและกั้นระหว่างพวกเขาไว้ แม้แต่จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างพวกเขายังไม่สามารถแทรกผ่านชั้นของพลังวิญญาณนั้นไปได้ ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรและทำได้เพียงสัมผัสคร่าวๆ ว่าคนที่อยู่ข้างในยังมีชีวิตอยู่


 


 


เมื่อกำลังสร้างฐานแห่งพลังของคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นห้ามถูกรบกวน มิเช่นนั้น ถ้าโชคดี ผู้ฝึกตนคนนั้นอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือถ้าโชคร้าย ระดับการฝึกตนของพวกเขาอาจถอยกลับไป


 


 


ในเวลาว่างของเขา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าประตูของถ้ำนี้จะเปิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ฉินซีก็มักจะมายืนที่นี่เสมอ เขามองขึ้นไปและจ้องหมู่เมฆข้างบน พลังวิญญาณเหนือตัวเขาควบรวมจนกลายเป็นสะพานสายรุ้งและมีนกวิญญาณกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศ มันสวยงามราวกับสรวงสวรรค์


 


 


ทันใดนั้น สะพานสายรุ้งก็เคลื่อนไหวก่อนจะหายไปในอากาศในเวลาแค่ชั่วพริบตา และพร้อมกับการหายไปของสะพานนั้น นกวิญญาณก็บินจากไป ไม่เหลือร่องรอยไว้ให้เห็นแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าฉากที่เห็นเมื่อครู่นี้ไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น


 


 


เขานิ่วหน้า จากนั้นหันกลับไปและตรึงสายตาอยู่ที่ประตูหิน


 


 


พลังวิญญาณภายในถ้ำกระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แค่เพียงสิบห้านาที มันก็กระจายไปจนหมด


 


 


เกือบจะไม่มีศิษย์คนไหนเลยในยอดเขาวสันต์กระจ่างที่ตระหนักว่าภาพที่คงอยู่มามากกว่าหนึ่งปีได้หายไปอย่างเงียบๆ


 


 


ในที่สุดประตูหินก็เปิดออก เผยให้เห็นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากถ้ำช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้านาง 

 

 


ตอนที่ 103 หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง

 

“ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ศิษย์ลงนามแห่งประมุขเต๋าจิ้งเหอ โม่เทียนเกออายุยี่สิบสามปีได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” หลังจากที่บันทึกชื่อของนางในรายนามศิษย์ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ที่เป็นคนดูแลยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ยินดีกับเจ้าด้วยศิษย์น้องโม่เทียนเกอที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จ นี่เป็นแผ่นจารึกประจำตัวใหม่ของเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอรับมาพร้อมพูดอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณท่านมากศิษย์พี่”  


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้นี้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม “หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้ำเซียนและเครื่องมือต่างๆ ของศิษย์จะถูกแทนที่ด้วยของใหม่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อศิษย์น้องเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ถ้ำของเจ้าไม่ได้ถูกจัดเตรียมด้วยโถงคนงาน ดังนั้นศิษย์น้องลองถามผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจะดีกว่า สำหรับเครื่องมือ เจ้าสามารถรับอันใหม่ไปได้เหมือนกับคนอื่นๆ เจ้าแค่นำแผ่นจารึกประจำตัวของเจ้าไปที่ห้องโถงด้านหลังแล้วมองหาคนงานชื่อลู่”  


 


 


“ขอบคุณท่านมาก”  


 


 


นางเดินไปทางห้องโถงด้านหลัง พบคนงานและรับเครื่องแบบกับเครื่องมือก่อนที่นางจะจากไป 


 


 


ด้านนอกห้องโถง โม่เทียนเกอเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าในขณะที่ถือแผ่นจารึกการสร้างฐานแห่งพลังประจำตัวรู้สึกเหมือนกับทุกอย่างคือความฝัน 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะครองยาสร้างฐานแห่งพลังถึงสามเม็ด แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านางจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง นางเพียงแค่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเท่าที่เป็นไปได้และต่อสู้ผ่านไปกับมัน ในที่สุดนางก็โชคดี ประสบความสำเร็จจนได้ 


 


 


โม่เทียนเกอทดสอบพลังวิญญาณของนาง เคลื่อนไหวล่องลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกเสมือนกายนางไร้น้ำหนัก ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถใช้ได้เพียงแค่วิชาตัวเบาและเครื่องมือวิญญาณบางชนิดเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถใช้เครื่องมือเวทมนตร์บินได้หรือแม้กระทั่งการเหาะเป็นเวลานานๆ หรือสามารถพูดได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น 


 


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีพลังวิญญาณมากพอที่จะควบคุมเครื่องมือเวทมนตร์บินได้และเหาะอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน ไม่น่าแปลกใจเลยที่บางคนพูดว่าดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นเป็นประตูสู่การฝึกตนที่แท้จริง สุดท้ายแล้วการควบคุมกระบี่บินได้ระยะกว่าพันไมล์ในทันทีเป็นสิ่งที่เซียนสามารถทำได้เท่านั้น 


 


 


นางบินโฉบไปมาอยู่ในอากาศ สายลมเย็นๆ เคลื่อนผ่านสัมผัสใบหน้าของนาง ภูเขาในระยะพันลี้และแนวแม่น้ำปรากฏอยู่ในระยะไกลในขณะที่นางคิด หากท่านอารองอยู่ที่นี่ จะต้องรู้สึกโล่งใจเป็นแน่ จริงไหม ในที่สุดนางก็สามารถสร้างฐานแห่งพลังและข้ามสู่ประตูแห่งการฝึกตนได้แล้ว ต่อไปในภายภาคหน้า นางจะสร้างขุมพลังและจิตวิญญาณใหม่ไปจนกว่านางจะทะยานสู่สรวงสวรรค์… ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่านางจะจบอยู่ที่ระดับไหน นางจะทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบสิ้น 


 


 


ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของนาง นางบินกลับไปที่ถ้ำของนางอย่างช้าๆ  


 


 


นางเห็นฉินซีทันทีหลังจากที่นางเสร็จสิ้นการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและออกมาจากถ้ำ จากที่เขาบอก นางใช้เวลาในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิไปทั้งหมดสองปี นางแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่านางมีส่วนกระตุ้นที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์แปรปรวนบนท้องฟ้าที่คล้ายกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้าในช่วงการก่อเกิดแก่นขุมพลัง 


 


 


การสร้างฐานแห่งพลังของนางจะสามารถเทียบได้กับการก่อแก่นขุมพลัง สิ่งนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของนางเลย นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่านางใช้เวลาไปอย่างยาวนาน ส่วนอื่นๆ ของกระบวนการก็เป็นเช่นเดิม ไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลกไปเกี่ยวกับพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางหลังจากที่นางสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจะไปกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์แปรปรวนบนท้องฟ้าได้อย่างไร โดยปกติแล้ว มีเพียงแค่การก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังโดยปกติแล้วจะทำให้เกิดความผันผวนของพลังวิญญาณเป็นอย่างมากเท่านั้น 


 


 


ฉินซีบอกนางว่าไม่ต้องไปคิดมากอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ตัวเขาเองก็กำลังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ดังนั้นนางจึงต้องจัดการเรื่องอื่นๆ ไปก่อนและรอที่จะพบกับเขาทีหลังเมื่อเสร็จสิ้น 


 


 


หลังจากที่แลกเปลี่ยนแผ่นจารึกประจำตัวและรับเครื่องแบบใหม่กับรางวัลบางอย่างจากทางโรงเรียนในการสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ นางไปหาเยี่ยจิ่งเหวินและหลัวเฟิงเสวี่ยเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลตลอดสองปีที่ผ่านมาก่อนที่จะเดินทางกลับไปที่ถ้ำของนาง 


 


 


ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม การที่นางประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังนั้นเป็นความจริง นางจะต้องวางแผนอนาคตต่อไปอย่างเหมาะสม 


 


 


สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือวิชาการฝึกตนของนาง แต่เดิมนางฝึกศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์และศาสต์แห่งป่าขจี ถึงแม้ว่าศาสตร์แห่งป่าขจีจะสามารถฝึกได้จนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ตาม แต่มันไม่ค่อยได้ผลกับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะหยุดใช้มัน กระนั้นวัตถุประสงค์ของนางในการเรียนรู้ศาสตร์แห่งป่าขจีก็เพื่อเสริมจุดอ่อนของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ ซึ่งไม่เพียงพอในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ถ้านางทิ้งศาสตร์แห่งป่าขจีไป นางคงต้องเรียนวิชาศักดิ์สิทธิ์อื่นเพื่อใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท 


 


 


เรื่องที่สองเกี่ยวกับเครื่องมือเวทมนตร์ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณใช้เครื่องมือวิญญาณในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เครื่องมือเวทมนตร์ เมื่อเทียบกับเครื่องมือวิญญาณ เครื่องมือเวทมนตร์มีความแข็งแกร่งมากกว่าสิบเท่า ตอนนี้นางได้เข้าสู่ดินแดนแห่งการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางจะต้องเปลี่ยนเครื่องมือวิญญาณทั้งหมดของนางให้เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ 


 


 


ความจริงแล้วนางครอบครองเครื่องมือเวทมนตร์อยู่พอสมควร ส่วนมากล้วนถูกทิ้งไว้จากท่านอารอง ในขณะที่บางอย่างเป็นของรางวัลจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอและท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง ของอีกสองอย่างคือเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และไม้หลบลี้หนีหล้าที่ถูกฉินซีขโมยมาและให้ไว้กับนางเมื่อพวกเขาออกมาจากเขาอวิ๋นอู้ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านางจะมีเครื่องมือเวทมนตร์จำนวนมาก ทว่าส่วนมากนั้นใช้เพื่อการช่วยเหลือและป้องกัน ในเมื่อเครื่องมือเวทมนตร์ของท่านอารองไม่ได้เหมาะกับนาง นางต้องมองหาเครื่องมือเวทมนตร์อย่างอื่น นางยังคงมีซากของจระเข้เขี้ยวเหล็กระดับสองที่นางฆ่าในช่วงเวลาที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้ สักวันหนึ่งนางจะสามารถนำมันออกมาและขอให้ใครสักคนช่วยทำเป็นเครื่องมือเวทมนตร์ให้กับนาง 


 


 


เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับยาวิเศษ ยาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นยากที่จะครอบครองได้ ไม่เหมือนกับยาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่านางจะเป็นศิษย์เอกอยู่แล้ว ก็ยังไม่น่าเป็นไปได้สำหรับนางที่จะทานยามากมายราวกับมันเป็นข้าวเหมือนตอนที่นางอยู่ในระดับดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 


 


 


ก่อนที่นางจะหาทางแก้ให้กับเรื่องพวกนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยได้แจ้งนางว่าท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินได้ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้ว ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพักเรื่องนี้ไว้และเดินทางเพื่อไปพบเขาก่อน 


 


 


ขณะที่เดินเข้าไปในถ้ำของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน นางรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้มีผู้คนมากมายอยู่ด้านใน ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ผู้หญิงสองคนแต่แม้กระทั่งศิษย์พี่ผู้ชายหลายคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ศิษย์พี่ชายเหล่านี้ขยันฝึกตนอย่างมาก ขนาดที่โม่เทียนเกออยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงมาเป็นเวลานาน ก็ยังมีบางคนที่นางยังไม่เคยพบเจอ 


 


 


“ศิษย์โม่เทียนเกอขอคารวะท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน”  


 


 


เช่นเคย ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาทำท่าทางยกมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ลุกขึ้น”  


 


 


โม่เทียนเกอยืนขึ้นและพูดด้วยความเคารพ “ศิษย์ได้ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตเพื่อทำสมาธิและได้ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์เดินทางมาเพื่อแจ้งให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินทราบเจ้าค่ะ”  


 


 


ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของเขา ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ เจ้าทำได้ดีมาก ขึ้นมาสิ ไหนให้ข้าดูหน่อย”  


 


 


“เจ้าค่ะ”  


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปทางด้านหน้า ให้ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินตรวจชีพจร ทันใดนั้นนางรู้สึกถึงสายใยของพลังวิญญาณสอดเข้าไปสู่ร่างกายนาง ผ่านเส้นลมปราณและตรวจสอบทีละเส้น ทีละเส้น 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินปล่อยข้อมือของนาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก โม่เทียนเกอถามด้วยความระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ลุง มีปัญหาอันใดหรือ”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหัว “ไม่มีปัญหาอะไร มันเป็นเพราะมันไม่มีปัญหาใดๆ เลยนี่แหละ… เจ้าได้ยินเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เจ้าสร้างฐานแห่งพลังแล้วใช่ไหม”  


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ”  


 


 


“เจ้ารู้ตัวอยู่แล้วหรือไม่ตอนที่มันเกิดขึ้น”  


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวพร้อมพูดตอบ “ศิษย์ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งใดเลยในระหว่างกระบวนการ ศิษย์ไม่รู้เลยว่าศิษย์ได้ปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิไปถึงสองปี”  


 


 


“เช่นนั้นหรือ…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ตกไปและพูดว่า “พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้ในอนาคตก็แล้วกัน”  


 


 


“เจ้าค่ะ”  


 


 


เมื่อเห็นท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินมีเรื่องอื่นๆ ที่จะต้องจัดการ โม่เทียนก็เกอขยับตัวไปทางด้านข้างและปิดปากนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น 


 


 


“ชิงอวี้”  


 


 


“ท่านอาจารย์” หันชิงอวี้ก้าวออกมาทางด้านหน้า 


 


 


“เรื่องนี้สำคัญ จงพาศิษย์น้องทั้งหลายไปกับเจ้าด้วย เจ้าสามารถหยุดได้หากไม่ได้พบเจอปัญหาอะไร แต่ถ้าเจ้าเผชิญเข้ากับสิ่งใดก็ตาม เจ้าจะต้องรีบกลับมาและแจ้งพวกข้า”  


 


 


“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินหันมองไปทางศิษย์คนอื่นๆ ลูบเคราของเขาและบนพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “ซื่อหนาน ฉีเฟิง ซีเย่ว์ เจ้าทั้งสามคนตามศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไป”  


 


 


“เจ้าค่ะ/ขอรับ ท่านอาจารย์”  


 


 


“ถ้าอย่างนั้น กลับไปได้แล้ว เทียนเกอเจ้าอยู่ก่อน”  


 


 


“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”  


 


 


เมื่อเห็นสหายศิษย์ออกไปทีละคน โม่เทียนเกออดคิดในใจไม่ได้ มีอะไรยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่ทำให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินต้องส่งศิษย์ถึงสี่คนออกไปนอกโรงเรียนหรือเปล่านะ 


 


 


นางไม่ทันได้มีโอกาสคิดต่อเพราะท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “เทียนเกอถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของข้า เจ้าก็ให้เกียรติข้าเป็นเหมือนอาจารย์เจ้า ตอนนี้เจ้าได้ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ข้าก็คงต้องมอบรางวัลแก่เจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอพูด “เป็นเพราะคำชี้แนะของท่านอาจารย์ลุงจึงทำให้ศิษย์ประสบความสำเร็จได้ ศิษย์ไม่กล้าพอที่จะรับของรางวัลใดๆ หรอกเจ้าค่ะ”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินลูบเคราของเขาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องปฏิเสธหรอก… ศิษย์ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังได้รับรางวัลกันแทบทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าคนเดียว” เขาคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าขอถามเจ้าก่อน วิชาการฝึกตนที่เจ้าฝึกอาจจะขาดวิชาการต่อสู้ที่จำเป็นต้องใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังใช่หรือไม่”  


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง เป็นไปตามคาดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางยังไม่ทันที่จะได้พูดถึงปัญหาของนาง แต่เขาก็สามารถเดาได้ในทันที นางตอบ “ใช่เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าฝึกวิชาการฝึกตนสองศาสตร์ อย่างแรกนั้นดีสำหรับการฝึกตนแต่ไม่ได้มีพลังมากนัก ในขณะที่อีกอัน พลังของมันลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อข้าเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเจ้าค่ะ”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าและยืนขึ้นขณะที่พูด “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าเลือกวิชาการฝึกตนใหม่ ตามข้ามา”  


 


 


“เจ้าค่ะท่านอาจารย์ลุง”  


 


 


โม่เทียนเกอเดินตามหลังท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินออกไปจากห้องโถงหลัก พวกเขาเลี้ยวลัดหลายครั้ง ผ่านกำแพงอาคมมากมาย จนในที่สุดก็เข้าไปในห้องเก็บของเล็กๆ  


 


 


ในห้องเก็บของ นางเห็นชั้นไม้หลายชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือ หยกบันทึกและสิ่งอื่นๆ  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “ข้าไม่เคยพบหญิงผู้ฝึกตนที่มีพลังแห่งหยินบริสุทธิ์มาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่มั่นใจเกี่ยวกับลักษณะของวิชาการฝึกตนที่เจ้าจะสามารถฝึกได้เท่าไหร่นัก ข้าไม่อาจเลือกวิชาการฝึกตนที่เหมาะสมและสามารถเลือกได้เพียงแค่บางอย่างที่อาจจะเหมาะสมกับเจ้าได้”  


 


 


โม่เทียนเกอก้มคำนับพร้อมพูด “ความห่วงใยของท่านอาจารย์ลุงทำให้ศิษย์รู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่อาจเทียบกับสิ่งใดได้เจ้าค่ะ”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้ซึ่งมีความประทับใจกับศิษย์ผู้น้อยคนนี้ ไม่ได้พูดอะไรอีกและตกอยู่ในภวังค์ความคิดใคร่ครวญก่อนที่จะหยิบหนังสือหลายเล่มพร้อมกับหยกบันทึกก่อนที่จะส่งให้กับโม่เทียนเกอ “ลองดูเสียก่อนและบอกข้าว่าเจ้าคิดอย่างไร”  


 


 


โม่เทียนเกอเปิดดูหนังสือเหล่านั้นพร้อมกับหยกบันทึกในมืออย่างผ่านๆ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นวิชาการฝึกตนที่เอนเอียงไปทางด้านวิชาการต่อสู้ พวกมันไม่ต้องการวิถีการฝึกตนเฉพาะทางและไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณที่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของพวกมันคือพลังที่ต่ำและคงไร้ประโยชน์หากนางก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน มันจะต้องไม่ใช่วิชาการฝึกตนทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันเหมาะกับนาง 


 


 


หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่งโม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามว่า “ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน มีวิชาการฝึกตนไหนที่สามารถฝึกควบคู่ไปกับเครื่องมือเวทมนตร์หรือไม่เจ้าคะ ศิษย์รู้สึกว่าถ้าคิดถึงเรื่องพละกำลังแล้ว บางทีวิชาการฝึกตนแบบนั้นอาจจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้”  


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้า “นั่นก็มีเหตุผล หากพูดถึงเครื่องมือเวทมนตร์ ศิษย์น้องโส่วจิ้งได้ฝากไว้กับข้าเพื่อมอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้าพูดถึงพอดี ข้าก็ควรที่จะให้เจ้าเสียก่อน”  


 


 


ว่าแล้วเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพและถือไว้ในมือ “นี่เรียกว่ากระสวยอัปสรา มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างลักษณะและประกอบไปด้วยม่านลวงตา อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้บางวิชา สิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องใช้ม่านพลัง เจ้าเก่งทางด้านม่านพลังดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่เหมาะกับเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอพิจารณาสิ่งนั้นอย่างรอบคอบ กระสวยอัปสรานี้ระยิบระยับด้วยรัศมีสีทอง ปลายทั้งสองด้านแหลมคม ทำให้นางต้องสงสัยว่าสิ่งนี้ทำมาจากอะไร ถึงแม้จะมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ มันไม่ใช่สิ่งของทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน 


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินให้กระสวยอัปสราและหยกบันทึกกับนาง “ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะมีเครื่องมือนี้ เจ้าก็ยังคงต้องเลือกวิชาการฝึกตนสำหรับต่อสู้ ถ้าเจ้าพึ่งพาเครื่องมือเวทมนตร์มากเกินไปและพ่ายแพ้ เจ้าก็จะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำได้”  


 


 


“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง นี่เป็นศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ เจ้าจงใช้จิตวิญญาณเริ่มต้นในการฝึกควบคู่ไปกับมัน พลังของมันมหาศาล ตอนแรกข้าคิดว่าวิชานี้น่าจะฝึกยากเกินไปและคงไม่เหมาะกับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะฝึกกับเครื่องมือเวทมนตร์ ข้าก็จะให้มันกับเจ้าเสียแต่ตอนนี้เจ้าจะได้ค่อยๆ เริ่มต้นฝึกซ้อมไป”  


 


 


“วิชาการฝึกตนนี้ไม่ง่ายนัก สามารถพาไปสู่การถูกครอบงำจากมารได้ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยกล้าให้กับศิษย์คนไหน อย่างไรก็ตาม ด้วยร่างกายที่มีพลังหยินของเจ้า โอกาสที่เจ้าจะถูกครอบงำด้วยมารนั้นจะต่ำกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่คงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเจ้ามากนัก”  


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ลุง” เมื่อโม่เทียนเกอรับวิชาการฝึกตนที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมอบให้กับนางและมองดูมัน นางก็รู้สึกดีใจอย่างเหลือล้น วิชาการฝึกตนนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามันสามารถฝึกได้กับผู้ฝึกตนดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่า รวมไปถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เช่นกัน มันเป็นวิชาการฝึกตนขั้นสูง! หากนางสามารถฝึกมันได้อย่างเหมาะสม ก็จะเป็นไพ่ไม้ตายของนางทีเดียว!  


 


 


หลังจากที่พานางออกมาจากห้องเก็บของ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยื่นกระบี่บินได้และขวดยาวิเศษให้กับนางพร้อมพูดว่า “ในเมื่ออาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้ให้เครื่องมือเวทมนตร์สำหรับใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังกับเจ้า ข้าก็จะให้กระบี่บินได้กับเจ้าแทน ยาวิเศษเหล่านี้ คือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณสำหรับผู้ที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ขวดนี้เป็นส่วนแบ่งในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์ ในอนาคตเจ้าจะได้รับหนึ่งขวดในทุกๆ ปี ยาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นหาได้ยากกว่ายาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมากนัก ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี”  

 

 


ตอนที่ 104 สัตว์วิเศษไฟนรกและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ

 

โม่เทียนเกอมองกระสวยอัปสราในมือนาง ตรงกลางหนา ปลายสองข้างแหลมคม นอกเหนือจากขนาดที่ใหญ่กว่ากระสวยปกติเล็กน้อย มันก็ดูเหมือนกระสวยที่ใช้ทอผ้าในโลกมนุษย์ทั่วไป นางไม่รู้ว่ามันทำมาจากที่ใด แต่มันมีประกายสีทองและความเย็นหรือความร้อนไม่มีผลอะไรกับมันเลย 


 


 


เสียงกรอบแกรบของใบไม้ดังมาจากในป่า สัตว์วิเศษระดับหนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้านางโดยไม่รู้ตัว 


 


 


นางยิ้มกริ่ม ด้วยว่าได้เจ้าเครื่องมือเล็กๆ นี้มาไว้ทันเวลาพอดี นางยกมือขึ้น เปลี่ยนกระสวยอัปสราให้กลายเป็นลำแสงสีทองลอยขึ้นไปสู่ฟ้า 


 


 


สัตว์วิเศษตัวน้อยที่ดูเหมือนกระรอกเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังแสงสีทองด้วยดวงตาดำขลับ มันตกใจที่เห็นแสงสีทองที่จู่ๆ เปลี่ยนเป็นเข็มสีทองหลายเล่มที่รวมตัวกันเป็นวงแหวนและขังมันไว้อยู่ตรงกลาง 


 


 


บัดนี้สัตว์วิเศษตัวน้อยดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ามันตกอยู่ในอันตราย จึงหดหัวกลับ สะบัดหางและหันไปมาพยายามจะวิ่งหนี 


 


 


อย่างไรก็ตามมันก็ต้องผิดหวัง เข็มสีทองนับไม่ถ้วนได้ปิดกั้นทางหนีของมันไว้หมดแล้ว ไม่ว่ามันจะกระโดดไปทางไหน ก็ไม่สามารถหนีวงแหวนแห่งแสงได้ เมื่อรู้สึกกระวนกระวาย เจ้าสัตว์น้อยก็ยิงฟันตบอุ้งมือก่อให้เกิดพลังวิญญาณร้อนแรงปะทุออกมาซึ่งทำให้เหล่าเข็มสีทองสั่นคลอนอย่างไม่คาดคิด 


 


 


โม่เทียนเกอตกใจแต่ก็รีบกดฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากันทันที เหล่าเข็มสีทองกระจัดกระจายอยู่ครู่หนึ่งและไม่นานนักก็เข้ามารวมกันใหม่แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะร่วงลงมาและกักขังเจ้าสัตว์น้อยไว้อีกครั้ง ไม่ว่ามันจะพุ่งไปทางซ้ายหรือขวา ก็ไม่สามารถหนีไปได้ 


 


 


พอถึงเวลาที่มันหมดแรง โม่เทียนเกอโบกมือทำให้เชือกปรากฏขึ้นและมัดตัวมันไว้อย่างแน่นหนา 


 


 


หลังจากถอนกระสวยอัปสราออก นางก็ก้าวไปข้างหน้าและคว้าตัวเจ้าสัตว์วิเศษตัวน้อยขึ้นมา มันแยกเขี้ยวขู่และดิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว นางรื้อค้นกระเป๋าเอกภพของตัวเองโดยไม่สนใจมันแม้แต่น้อย เอาถุงสัตว์วิเศษออกมาและโยนเจ้าสัตว์ตัวน้อยเข้าไปในถุง 


 


 


เมื่อนางทำอะไรเสร็จเรียบร้อย นางก็ปล่อยกระบี่บินออกไปและบินกลับไปยังถ้ำของนางในยอดเขาวสันต์กระจ่าง 


 


 


ตอนแรกนางออกมาเพื่อแค่จะทดสอบพลังของกระสวยอัปสรานี้ แต่กระนั้นนางกลับจับเจ้าสัตว์ที่น่าสนใจตัวน้อยได้อย่างไม่คาดคิด เห็นได้ชัดว่ามันสามารถสำแดงเวทคาถาไฟได้อย่างเหนือชั้น ถึงแม้พลังของมันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ไฟที่มันปล่อยออกมาก็ไม่ใช่ไฟธรรมดาเลย 


 


 


ขณะที่นางมาถึงยังหน้าถ้ำของตัวเอง นางก็บังเอิญเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังกลับบ้าน นางจึงร้องเรียก “ศิษย์พี่หลัว!”  


 


 


พอเห็นโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยก็เช็ดหน้าและเปลี่ยนเส้นทางเดินมาหาโม่เทียนเกอ “เทียนเกอ เจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าจากนั้นก็เปิดประตูถ้ำเพื่อเชิญหลัวเฟิงเสวี่ยเข้ามา หลัวเฟิงเสวี่ยที่ดูอ่อนแรงเดินเข้ามาในถ้ำ เมื่อนางนั่งลงบนเก้าอี้หินภายใน นางนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


หลังจากสำรวจสีหน้าหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่หลัว เป็นอะไรหรือ”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ซึ่งกำลังหมดแรงถอนใจและพูดว่า “ข้าทำนู่นทำนี่จนยุ่งมามากกว่าสิบวันแล้ว ยังไม่ได้พักเลยแม้แต่นิดเดียว”  


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจ นางรู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยไม่ใช่ประเภทที่จะฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตาย ในทางตรงกันข้าม นางชอบที่จะยุ่งกับเรื่องการบริหารจัดการต่างๆ มากกว่า เป็นเพราะเหตุนั้นหลังจากหลัวเฟิงเสวี่ยสร้างฐานแห่งพลังของนางได้ นางจึงถูกรับเข้าไปเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ในโถงคนงาน แต่โม่เทียนเกอก็รู้มาว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่ได้จะมีงานยุ่งทุกวัน สุดท้ายแล้วเรื่องจุกจิกต่างๆ ก็ถูกจัดการโดยศิษย์ผู้ดูแล ดังนั้นโดยปกติแล้ว พวกเจ้าหน้าที่จึงต้องแค่ตรวจตราโถงคนงานเท่านั้น แล้วทำไมนางถึงต้องยุ่งขนาดนี้ 


 


 


“ศิษย์พี่หลัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องใหญ่โตบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในโรงเรียน”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยนวดหว่างคิ้วของนางและพูดอย่างอ่อนแรง “เจ้าจำที่ศิษย์พี่ใหญ่พาศิษย์พี่ทั้งหญิงและชายหลายๆ คนออกนอกโรงเรียนไปเมื่อเดือนก่อนได้หรือไม่”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นั่นเป็นตอนที่นางไปพบท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินหลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินบอกศิษย์พี่ใหญ่ชิงยูให้พาศิษย์พี่อีกสามคนไปกับนางด้วยเพื่อสืบสวนอะไรบางอย่าง 


 


 


นางไม่ได้สอดรู้ถามถึงเรื่องนั้นและไม่นานนักนางก็มัวแต่ยุ่งกับการเกลาเครื่องมือเวทอันใหม่ของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก 


 


 


“หลายเดือนก่อน ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ผิดปกติในป่าทางเขตฝั่งทิศใต้ ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นๆ ออกไปเพื่อตามสืบดู แต่… เรายังไม่ได้ข่าวจากพวกเขาเลยตั้งแต่พวกเขาออกไป”  


 


 


“อะไรนะ!” โม่เทียนเกออุทานด้วยความประหลาดใจ 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและบอกว่า “ไม่ใช่เพียงกลุ่มของศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่หายตัวไป ศิษย์คนอื่นที่ถูกพวกอาจารย์ลุงคนอื่นๆ ส่งออกไปจากแต่ละยอดเขาก็หายตัวไปเหมือนกัน รวมทั้งหมดสิบเจ็ดคนแล้วที่หายไปโดยไร้ร่องรอย”  


 


 


ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่ได้ติดตามเรื่องราวต่างๆ ในโรงเรียน แต่นางก็เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสิบเจ็ดคน และทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ… หากพวกเขาทั้งหมดตาย ความสูญเสียจะยิ่งใหญ่มหาศาล แม้แต่กับกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิงก็เถอะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าห้าร้อยคน ทว่าคนที่หายไปก็เป็นศิษย์คนพิเศษในหมู่ศิษย์ชั้นเอกด้วยกัน เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสก้าวหน้าไปยังดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสูงที่สุด!  


 


 


“สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้ติดต่อกับกลุ่มการฝึกตนอื่น พบว่าปัญหานี้ก็เกิดขึ้นกับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อีกหกกลุ่มเช่นกัน จนท้ายที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรตรงไปตรงมาเลยแม้แต่น้อย” หลัวเฟิงเสวี่ยขยี้ตาแดงก่ำของนางและพูดกับโม่เทียนเกอต่อ “เทียนเกอ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เรื่องนี้พวกผู้อาวุโสในโรงเรียนจะเป็นคนจัดการ ดังนั้นความวุ่นวายจะไม่ตกมาถึงเรา เอาล่ะ ข้าควรไปพักก่อนดีกว่า”  


 


 


“อื้อ พักให้สบายนะศิษย์พี่”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยโบกมือให้และกลับไปยังถ้ำของนางพร้อมกับขยี้ตาไปด้วย 


 


 


โม่เทียนเกอเองก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมือนอย่างที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอก เรื่องนี้จะถูกเบื้องบนจัดการ ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องกังวลกับมัน 


 


 


ตอนนี้พอนางได้อยู่คนเดียว นางจึงเปิดถุงสัตว์วิเศษเพื่อปล่อยเจ้าสัตว์ตัวน้อยออกมา เมื่อมันออกมาจากถุงได้ เจ้าสัตว์น้อยกะพริบตาดำขลับของมันและจ้องนางราวกับมันกำลังอ้อนวอน 


 


 


ด้วยการโบกมือ เชือกที่รัดตัวมันไว้ค่อยๆ คลายออก พอได้รับอิสรภาพ เจ้าสัตว์น้อยก็หันหลังวิ่งไปที่ประตูถ้ำทันที โม่เทียนเกอยกมือขึ้นและกระสวยอัปสราก็สำแดงพลังของมันอีกครั้ง เข็มสีทองหลายเล่มปรากฏขึ้นและกักขังเจ้าสัตว์ตัวนั้นอยู่ตรงกลาง 


 


 


“อู อู…” เจ้าสัตว์น้อยรับรู้ถึงพลังของกระสวยอัปสราแล้ว มันจึงรีบหันมาและขอร้องให้นางเมตตา 


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอเรียกกระสวยอัปสราคืนมา นางกล่าวว่า “ข้าจะไม่มัดเจ้าอีกถ้าเจ้าไม่วิ่งหนี”  


 


 


เจ้าสัตว์น้อยดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของนาง มันงอขาหลังและนั่งลง กำอุ้งมือด้านหน้ารวมกันเป็นท่าพนมมือที่หันมาทางนาง 


 


 


โม่เทียนเกออดคิดว่ามันตลกไม่ได้ นางยื่นมือออกไปและเก็บกระสวยอัปสรากลับเข้ากระเป๋าเอกภพของนาง 


 


 


เจ้าสัตว์น้อยยังคงจ้องมองอย่างอาลัยอาวรณ์ไปที่ประตู แต่สุดท้ายแล้วมันก็ค่อยๆ เข้ามาหานางช้าๆ สัตว์วิเศษมักจะอ่อนไหวกับภัยอันตราย เจ้าสัตว์น้อยตัวนี้สามารถสัมผัสได้ว่าโม่เทียนเกอมีพลังมากกว่ามัน ในเมื่อมันหนีไม่ได้ จึงทำได้แค่ยอมจำนนเท่านั้น 


 


 


เมื่อมองดูท่าทางเชื่องๆ ของมัน โม่เทียนเกอก็กวักมือเรียกเจ้าสัตว์น้อย ด้วยขนนุ่มลื่นสีน้ำตาล ดวงตาดำขลับและหางฟู มันดูคล้ายๆ กับกระรอก อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอจำมันได้ มันคือสัตว์วิเศษตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันในนามสัตว์วิเศษไฟนรก สัตว์วิเศษประเภทนี้โดยปกติไม่สามารถพัฒนาไปได้สูงนัก แต่การครอบครองมันไว้ในฐานะสัตว์วิเศษของนางก็เป็นวิธีที่ดีที่จะได้ใช้ไฟธรรมชาติ 


 


 


ไฟที่มันผลิตออกมาไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่มันคือไฟหยางแท้อันร้อนแรง เป็นไฟธรรมชาติของจริงชนิดที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเสียอีก ซึ่งดีสำหรับการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือต่างๆ  


 


 


หลังจากอุ้มเจ้าสัตว์น้อยขึ้นมาและกอดมันไว้ โม่เทียนเกอลูบขนมันและบอกว่า “ถ้าเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะช่วยเจ้าฝึกตน ถ้าข้าสามารถก่อขุมพลังของข้าได้เข้าสักวันหนึ่ง ข้าจะปล่อยเจ้าไป”  


 


 


ดวงตาเจ้าสัตว์น้อยสุกใสขณะที่มันจ้องมองนาง 


 


 


“ดูเหมือนเจ้าจะเห็นด้วยสินะ” โม่เทียนเกอวางมันลงที่พื้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเอายาบำรุงพลังวิญญาณหลายเม็ดออกมาซึ่งตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับนางแล้ว นางให้ยากับมันและบอกว่า “ข้าควรจะตั้งชื่อให้เจ้า… ในเมื่อเจ้าเป็นสัตว์วิเศษไฟนรก งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวหั่ว [1] แล้วกัน” 


 


 


เจ้าสัตว์น้อยกลืนยาบำรุงพลังวิญญาณทั้งหมดพร้อมๆ กัน มันเงยหน้าขึ้นและทำเสียง “อูอู” ราวกับจะคัดค้านชื่อที่ไม่สร้างสรรค์ชื่อนี้ 


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ ไม่แยแสกับความไม่พอใจของมัน นางพูดว่า “ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่สักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรชื่อของเจ้าคือเสี่ยวหั่วนับตั้งแต่นี้ไป มานี่มา… ในอนาคตเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ เจ้าออกไปเล่นในหุบเขาข้างหลังได้ แต่ห้ามก่อปัญหาอะไรเด็ดขาด ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะจับเจ้ายัดกลับไปในถุงสัตว์วิเศษซะ”  


 


 


เจ้าสัตว์น้อยส่งเสียง “อูอู” อีกครั้ง โม่เทียนเกอลูบตัวมัน ให้ยาบำรุงพลังวิญญาณอีกหลายเม็ดแล้วพามันเข้าไปในห้องสำหรับสัตว์วิเศษ เมื่อนางปล่อยมันไว้ในห้องสัตว์วิเศษแล้ว นางจึงกลับไปที่ห้องฝึกตนและนั่งลงทำสมาธิ 


 


 


สืบเนื่องจากการเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในที่สุดนางก็รู้ตัวว่ารากวิญญาณของนางย่ำแย่เพียงไร ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ความคืบหน้าในการฝึกตนของนางไม่ได้ช้าไปมากกว่าศิษย์หัวกะทิเนื่องจากนางทานยาวิเศษระหว่างที่อยู่ในม่านรวมพลังวิญญาณ กระนั้นก็ตาม ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ต่อให้นางทานยาวิเศษ การฝึกตนก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับตอนที่นางอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณอีกแล้ว 


 


 


เวลาหลายเดือนมานี้ นางฝึกตนโดยไม่มีวิชาที่เหมาะสมกับรากวิญญาณของนาง และแทบจะไม่มีการเพิ่มขึ้นในพลังวิญญาณของนางเลย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะระงับการฝึกตนชั่วคราว ด้วยความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ ต่อให้นางใช้อายุขัยที่เหลืออยู่สามร้อยปีจนหมดสิ้น นางก็อาจจะยังไม่สามารถก่อขุมพลังของตัวเองได้ เพราะฉะนั้น เมื่อนางเห็นสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของนาง 


 


 


ตอนแรกนางเรียนรู้เกี่ยวกับการปรุงยาแค่เพื่อจะปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิด แต่ตอนนี้นางได้มอบสูตรยาไปให้กับท่านปรมาจารย์จิงเหอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอาจารย์ลุงโซวจิงยังส่งขวดยาเหล่านั้นมาให้นางบางครั้งบางคราวอยู่เป็นประจำ ดังนั้นนางจึงอยากจะเลิกปรุงยาวิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้แล้วว่าต้นทุนธรรมชาติของนางแย่แค่ไหน นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเริ่มปรุงยาอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


โม่เทียนเกอหลับตาพร้อมกับทอดถอนใจและเริ่มการฝึกตน 


 


 


นางได้ลองทดสอบพลังของกระสวยอัปสราแล้ว เป็นดังที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินว่าไว้ มันประกอบไปด้วยม่านพลังลวงตาที่สามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ สามารถใช้ได้ทั้งในการโจมตีและป้องกัน มันเป็นเครื่องมือเวทระดับสูงอย่างแท้จริง 


 


 


นอกจากนั้น ยังมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณอีกเช่นกัน ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเตือนนางซ้ำๆ ว่านางจะต้องไม่เร่งรีบและค่อยฝึกมันไปอย่างช้าๆ  


 


 


ถึงแม้ว่าความเสี่ยงของการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณจะค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นวิชาที่ทรงพลังโดยแท้ เป็นวิชาการฝึกตนที่เชี่ยวชาญพิเศษในด้านการฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้น และสามารถโจมตีจิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้อื่นได้โดยตรง ซึ่งจิตวิญญาณเริ่มต้นนับเป็นจุดอ่อนของผู้ฝึกตน ถ้านางฝึกมันสำเร็จ วิชานี้จะแสดงพลังอย่างน่าเกรงขามแน่นอน 


 


 


จิตวิญญาณเริ่มต้นที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปเรียกว่าวิญญาณ คนเป็นมีวิญญาณ และผู้ฝึกตนจะฝึกทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเขาจนมันกลายไปเป็นจิตวิญญาณเริ่มต้น 


 


 


จิตสัมผัสมาจากจิตวิญญาณเริ่มต้น ภายใต้สถานการณ์ปกติ จิตวิญญาณเริ่มต้นจะถูกซุกซ่อนไว้ลึกอยู่ภายในทะเลแห่งความรู้ในตานเถียน ดังนั้นจิตสัมผัสจึงไม่สามารถใช้ในการโจมตีได้และยังอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้โดยง่าย 


 


 


ในเหล่าวิชาการฝึกตนปกติ บางวิชาสามารถเพิ่มพละกำลังของจิตสัมผัสได้ แต่ผลลัพธ์นั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในการทำให้จิตสัมผัสนั้นยิ่งอ่อนไหวกับขอบเขตที่กว้างขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้จะฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นของคนผู้นั้นเพื่อให้จิตสัมผัสของพวกเขามีความสามารถในการโจมตีได้!  


 


 


โม่เทียนเกอไม่กล้าพูดได้ว่าไม่มีวิชาการฝึกตนอื่นที่ฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้น กระนั้นก็ตาม จำนวนคนที่ฝึกวิชาการฝึกตนเช่นนั้นก็มีอยู่น้อยมาก สาเหตุก็แสนจะธรรมดา เป็นเช่นที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินพูดเอาไว้ว่าคนเราอาจถูกมารเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ความเปราะบางของจิตวิญญาณเริ่มต้นเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ฝึกตนทุกคน การฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นโดยไม่มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับวิชานั้นอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มันคงจะไม่เป็นอะไรถ้าผู้ฝึกตนนั้นอยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เพราะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ได้รวมจิตวิญญาณเริ่มต้นและขุมพลังของพวกเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เปราะบางนัก ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับต่ำกว่า โดยทั่วไปแล้วถ้าจิตวิญญาณเริ่มต้นของพวกเขาบาดเจ็บ ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะลดฮวบลงอย่างมาก จึงเป็นเพราะเหตุผลที่ท่านอาจารย์ 


 


 


เสวียนอินไม่ให้วิชาฝึกตนนี้กับนางในตอนแรกและเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าโลภมากที่จะฝึกให้ก้าวหน้า 


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่คนปกติทั่วไป นางมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นในการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้ นั่นคือร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนางและต้นทุนธรรมชาติอันแสนจะเลวร้ายของนางนั่นเอง 


 


 


สืบเนื่องจากร่างกายที่มีพลังหยินของนาง หยินและหยางจะไม่ปะทะกัน และด้วยรากวิญญาณต้นกำเนิด ทุกสิ่งก็จะสมดุลกัน การถูกมารครอบงำที่ว่านั้น ที่จริงแล้วคือการเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ฝึกตนฝึกวิชาและทำลายสมดุลภายในร่างกายของพวกเขา การครอบครองร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์หมายความว่าหยินและหยางจะไม่มีทางไม่สมดุลกันในร่างกายนางอยู่แล้วโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้น เพราะรากวิญญาณต้นกำเนิด วงโคจรเล็กๆ ที่คงอยู่ในร่างกายของนางจะช่วยทำให้ทุกสิ่งสมดุลกัน เพราะฉะนั้นความสามารถของนางในการฝึกศาสตร์นี้อาจมองได้ว่าเป็นพรจากสรวงสวรรค์ก็ย่อมได้ ตราบใดที่นางไม่เร่งรีบหรือโลภมากในการพัฒนาตนและปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง โอกาสที่จะถูกมารเข้าครอบงำจึงมีน้อยมาก 


 


 


แม้กระนั้น ศาสตร์นี้ก็ใช่ว่าจะฝึกกันได้ง่ายๆ การฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นโดยปกติแล้วต้องเริ่มจากตัวจิตวิญญาณเริ่มต้นนั้นเอง ซึ่งเปราะบางมาก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงต้องเสริมพละกำลังจิตวิญญาณเริ่มต้นของนางให้แข็งแกร่งอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาในการฝึกศาสตร์นี้ นางยังไม่ได้มีความก้าวหน้าใดๆ เลยแม้แต่น้อย 


 


 


ระดับการฝึกตนของนางไม่มีการพัฒนาขึ้นและนางก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาฝึกตนที่เหมาะสมสำหรับรากวิญญาณของนางเลยแม้แต่นิดเดียว โม่เทียนเกอตระหนักว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ที่จริงแล้วอนาคตของนางกลับดูมืดหม่นเหลือเกิน 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เสี่ยวหัว ไฟดวงน้อย  

 

 


ตอนที่ 105 การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ

 

สัตว์วิเศษไฟนรกเป็นสัตว์วิเศษประเภทที่เลี้ยงง่ายมาก เจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องกินอาหารพิเศษและไม่ต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดีนัก ต่อให้มันถูกเลี้ยงอย่างขอไปที ก็ยังมีชีวิตอยู่รอดได้ สัตว์วิเศษตัวน้อยประเภทนี้ไม่ได้จัดว่าหายากในคุนอู๋ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับล่างก็ชอบจับพวกมันไปตัวสองตัวเพื่อใช้สำหรับการปรุงยาวิเศษหรือเกลาเครื่องมือต่างๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่กังวลกับการเลี้ยงดูมันเท่าไร


 


 


หลังจากจับเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้ได้และพามันกลับมาบ้าน โม่เทียนเกอก็มักจะเก็บมันไว้ในห้องสัตว์วิเศษหรือในหุบเขาเล็กๆ ด้านหลังถ้ำของนาง อย่างไรก็ดี นางไม่ได้มีข้าวของมากมายนักอยู่ในถ้ำ และลานสมุนไพรในหุบเขาก็ล้วนแล้วแต่มีกำแพงอาคมทั้งนั้น เหตุนี้เองเจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้อย่างมากก็ทำได้เพียงแทะเล็มหญ้า ไม่สามารถจะก่อความวุ่นวายอะไรได้มากมาย หากมันหิวขึ้นมา นางก็แค่ต้องป้อนยาบำรุงพลังวิญญาณให้กับมัน ถ้ามันหิวน้ำ ในหุบเขาก็มีบ่อน้ำพุอยู่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังไม่มีผู้ล่าสัตว์อีกด้วย ไม่นานนักเจ้าสัตว์ตัวน้อยก็เริ่มจะตัวอ้วนพีมากขึ้น


 


 


เวลาไม่กี่เดือนผ่านไป ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้สำเร็จ และสัตว์วิเศษไฟนรกก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไรนาง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงเริ่มปรุงยาวิเศษอีกครั้ง


 


 


ยาวิเศษที่สามัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณ หลังจากปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ยานี้ก็ไม่ได้ปรุงยากสักเท่าใดนัก ปัญหาเดียวก็คือวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ไม่ได้ราคาถูกเหมือนวัตถุดิบที่ใช้ในยาวิเศษของพวกผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ศิลาวิญญาณจำนวนหลายพันอันก็ได้แค่วัตถุดิบร้อยส่วนเท่านั้น โชคยังดีที่นางได้รับเงินส่วนแบ่งของศิษย์ระดับหัวกะทิ พอรวมกับศิลาวิญญาณอีกประมาณสองสามพันที่นางมีอยู่แล้ว นางจึงสามารถซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นได้


 


 


โม่เทียนเกอพาสัตว์วิเศษไฟนรกไปที่ห้องปรุงยาแล้วเก็บตัวอยู่ข้างใน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนเพื่อจะปรุงยาวิเศษ


 


 


เวลาหลายเดือนผ่านไปในพริบตาและนางก็ยังคงอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ แต่หลังจากวันหนึ่งที่จู่ๆ นางได้ยินเสียงกระดิ่งดังภายนอก นางถึงรู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน


 


 


นางหยุดปรุงยาวิเศษและเดินออกจากถ้ำ ขณะนั้นก็บังเอิญเจอเข้ากับเว่ยจยาซือผู้ที่มีสีหน้าเป็นกังวลขณะที่นางก็กำลังออกจากถ้ำของนางเช่นกัน โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้าทักทายและถามนางว่า “ศิษย์พี่เว่ย มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”


 


 


เว่ยจยาซือส่ายหน้าและพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเองก็เพิ่งได้ยินเสียงกระดิ่ง ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นการเรียกรวมศิษย์ ศิษย์ของทุกยอดเขาต้องไปที่ยอดเขาหลักเมื่อได้ยินเสียงเรียก เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว”


 


 


พอพูดจบ เว่ยจยาซือก็ไม่มองโม่เทียนเกออีก นางเหาะไปที่ยอดเขาหลักโดยขี่เครื่องมือเวทของนางไปคนเดียว


 


 


โม่เทียนเกอมองสภาพรอบตัว หันชิงอวี้ยังไม่กลับมาตั้งแต่ที่นางหายตัวไป ถ้ำเซียนของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ร้างเช่นกัน บางทีนางอาจจะยังอยู่ในโถงคนงาน ส่วนคนอื่นๆ นางก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเขาเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้น นางจึงเอากระบี่บินออกมาและบินไปที่ยอดเขาหลักด้วยตัวเอง


 


 


นางเห็นว่าถึงแม้ศิษย์ทั้งหมดจะรีบมาจากทั่วทุกมุมของภูเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ศิษย์ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับสูงกว่ากำลังควบคุมเครื่องมือเวทของพวกเขาแต่ละคน ส่วนพวกศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นต้องนั่งเมฆหมื่นลี้สาธารณะมาจากยอดเขาของตัวเองเพื่อรีบมายังยอดเขาหลัก


 


 


ระหว่างกำลังดูภาพเบื้องหน้า โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจอยู่ภายในไม่ได้ นี่คือความสง่างามของโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติ ทั้งๆ ที่ถูกเรียกมาอย่างกะทันหัน กระนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ยังสำรวม แถมพวกเขาหลายพันคนยังเคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต่อให้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น คาดว่าพวกเขาก็คงจะรับมือได้โดยไม่สับสนหรือวิตกกังวลใดๆ


 


 


ครั้นมาถึงยอดเขาหลัก โม่เทียนเกอก็ก้มหน้าลงดูภาพเบื้องล่าง จัตุรัสของโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คนเรียบร้อยแล้ว ด้านหน้าของทางเข้าวัดแห่งสามบริสุทธิ์มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายสิบคนเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนยืนอยู่ซึ่งทั้งคู่ล้วนมีสีหน้าขึงขัง


 


 


โม่เทียนเกอรีบมองหาที่ซึ่งศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นๆ ยืนอยู่ เมื่อพบแล้วนางจึงลงจากกระบี่บิน ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยและยืนอย่างนอบน้อม


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายสิบคนและระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนยืนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น… หากมีใครบอกนางว่าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น นางก็คงจะไม่เชื่อแน่นอน หรือว่าบางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับการหายตัวไปของศิษย์พี่หัน


 


 


ถึงแม้ว่านางจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำของตัวเองและจดจ่ออยู่กับการปรุงยาวิเศษ แต่โม่เทียนเกอก็รู้ว่าตั้งแต่ที่ศิษย์พี่หันหายตัวไป พวกเขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับนางอีกเลย อาจารย์ลุงหลายท่านได้ออกจากภูเขาไปเพื่อตามหากลุ่มลูกศิษย์แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรของพวกเขา ในระหว่างช่วงเวลานั้น บางครั้งบางคราวนางก็จะแวะไปหาท่านอาจารย์เสวียนอิน และแต่ละครั้งใบหน้าเขาก็จะมีความกังวลอยู่เสมอ


 


 


ลานจัตุรัสค่อยๆ เต็มไปด้วยผู้คน เมื่อศิษย์ทุกคนจากทุกยอดเขามาครบแล้ว นักพรตเต๋าแก่ชราในระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านผู้นำได้กวาดสายตามองไปด้านข้าง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก้าวมาข้างหน้าทันทีและตะโกนอย่างดังว่า “เงียบ!”


 


 


ว่ากันตามตรง เสียงเขาใช่ว่าดังมาก ทว่าถูกถ่ายทอดออกไปอย่างชัดเจนถึงแต่ละมุมของจัตุรัส ศิษย์ที่ก่อนหน้านี้กำลังกระซิบกระซาบกันต่างหยุดพูดในทันที


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังดูจริงจัง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พวกเจ้าถูกเรียกมาที่นี่เพราะทางโรงเรียนมีเรื่องต้องประกาศ หลายเดือนก่อนหน้านี้ มีความผิดปกติบางอย่างกับเหล่าสัตว์ปีศาจในป่าทางทิศใต้ เราได้ส่งศิษย์ระดับหัวกะทิเพื่อไปสืบหาความจริงหลายคน แต่ทว่า พวกเขาทั้งหมดกลับหายตัวไปอย่างไม่คาดฝัน เพื่อเลี่ยงการทำให้เกิดความไม่สงบ เราจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้รู้โดยทั่วกัน ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เรายังคงได้รับข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้น จำนวนศิษย์ที่หายตัวไปก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจึงเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเริ่มการปิดผนึกภูเขา”


 


 


สิ่งที่เขาพูดทำให้ทุกคนในจัตุรัสเอะอะโวยวายกันในทันที


 


 


การปิดผนึกภูเขา… ถึงแม้ศิษย์หลายคนจะยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้โดยตรง แต่พวกเขาก็เคยได้ยินมา การปิดผนึกภูเขาหมายถึงการเปิดใช้ม่านพลังปกป้องขุนเขาอันยิ่งใหญ่ อารามจะถูกปิดตายและไม่รับแขกผู้มาเยือนอีก นอกเหนือจากศิษย์ที่ได้รับคำสั่งพิเศษ คนอื่นๆ ทำได้แค่เข้ามาแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป เป็นการตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง


 


 


โม่เทียนเกอเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำและจดจ่ออยู่กับการปรุงยาวิเศษมาหลายเดือน และนางก็แทบจะไม่ได้เจอหลัวเฟิงเสวี่ย ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนที่หายไปจะมีผลกระทบมากขนาดนี้ ถึงขนาดที่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้าต้องปิดอารามของพวกเขาและปิดผนึกภูเขา ความร้ายแรงของเรื่องนี้นับว่าชัดเจนมากแล้ว


 


 


ขณะนั้นเอง นักพรตเต๋าระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ได้ยกมือขึ้นให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังถอยออกไป โม่เทียนเกอเคยได้ยินเกี่ยวกับท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ท่านนี้มาจากหลัวเฟิงเสวี่ยมาก่อน เขาเป็นประมุขผู้อาวุโสสูงสุดของโรงเรียนเสวียนชิงและเป็นอันดับหนึ่งในโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน ตามที่ได้ยินมา ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่แล้ว นั่นจึงทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทั่วทั้งขั้วท้องฟ้าเลยทีเดียว


 


 


ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งกำลังหลับตาอยู่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น เขากวาดสายตาเฉียบคมไปทั่วจ้องมองหมู่ศิษย์ที่ยืนอยู่ในจัตุรัส หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าการปิดผนึกภูเขาหมายความว่าโรงเรียนเสวียนชิงนั้นใกล้จะต้องเผชิญกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่”


 


 


ทั้งจัตุรัสเงียบสนิท แต่จากสีหน้าของทุกคนเห็นได้ชัดว่าทุกคนคิดว่าเขาพูดถูก ตั้งแต่โรงเรียนเสวียนชิงถูกก่อตั้งขึ้นมา ภูเขาเคยถูกปิดผนึกแค่หนึ่งในรอบหลายร้อยปีเท่านั้น และทุกครั้งที่เกิดขึ้น ทางโรงเรียนก็ต้องเผชิญกับหายนะอันใหญ่หลวง


 


 


ชายชรานักพรตเต๋าหลับตาลงอีกครั้งและพูดอย่างช้าๆ “โรงเรียนเสวียนชิงไม่ใช่ที่เดียว ทั้งหมดของคุนอู๋ตอนนี้กำลังเตรียมตัวรับมือกับการก่อจลาจลของพวกสัตว์ปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่ศิษย์คนอื่นๆ รายงานกลับมา การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้แตกต่างออกไป ทุกวันนี้พลังของโรงเรียนเสวียนชิงนั้นอาจถือได้ว่าน่าเกรงขาม แต่เราจะต้องจำประโยคนี้ไว้เสมอ ‘ยิ่งอยู่สูง ก็ยิ่งตกลงมาง่ายเท่านั้น’ การที่มีพละกำลังมากเกินไปจะนำพาหายนะมาให้เสมอ เพื่อเห็นแก่ศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรงเรียนตัดสินใจที่จะปิดผนึกภูเขาไว้จนกว่าการก่อจลาจลของพวกสัตว์ปีศาจจะจบลง ในระหว่างเวลานี้ ศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงต้องเชื่อฟังคำสั่ง การออกจากภูเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นห้ามทำโดยเด็ดขาด!”


 


 


ครั้นท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดพูดจบ โม่เทียนเกอก็แอบมองที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังรอบๆ ตัวนาง นางสังเกตว่าพวกเขาหลายคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอย่างจริงจัง บางคนดูเป็นกังวลและบางคนก็ดูตื่นเต้น ในขณะที่คนอื่นๆ ดูหวาดกลัว


 


 


นางเคยได้ยินเกี่ยวกับการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจมาก่อน กลุ่มการฝึกตนส่วนมากในขั้วท้องฟ้านั้นก่อตั้งในแนวเทือกเขาของเขาคุนอู๋ ส่วนทางทิศใต้ของแนวเขาคุนอู๋เป็นป่ากว้างใหญ่ที่แผ่ขยายไปไกลสุดลูกหูลูกตา ป่าแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้า พื้นที่ส่วนใหญ่ในแนวเขาคุนอู๋เป็นบ้านของผู้ฝึกตนหลายคน ในขณะที่พื้นที่เขตป่าเป็นที่ซึ่งเหล่าสัตว์ปีศาจจำนวนมากอาศัยอยู่


 


 


สัตว์ปีศาจระดับสูงมีความฉลาดเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกมันจะไม่ออกจากป่าไปไหน แต่อย่างไรก็ตาม นานๆ ทีสัตว์ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ในป่าก็จะสั่งสัตว์ปีศาจระดับต่ำให้ออกโจมตีส่วนต่างๆ ของภูเขาและขโมยยาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อเอาไปช่วยในการฝึกตนของพวกมัน


 


 


ทุกครั้งที่มนุษย์และปีศาจสู้กันจะมีทั้งการได้รับความทุกข์ทรมานและได้รับผลประโยชน์ พวกปีศาจต้องการที่จะขโมยยาวิเศษ ในขณะที่พวกมนุษย์ต้องการฆ่าพวกมันเพื่อเอาแกนกายปีศาจหรือซากของมันมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความดีหรือความชั่วร้าย การต่อสู้แค่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้ครอบครองในสิ่งที่แต่ละฝ่ายต้องการ


 


 


โม่เทียนเกอแค่ต้องคิดอีกนิดก็เข้าใจได้ว่าสหายศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของนางกำลังคิดอะไรกันอยู่ ที่ตื่นเต้นก็เพราะนี่เป็นโอกาสดี หากพวกเขาสามารถรับใช้ช่วยเหลือโรงเรียนได้หรือบางทีอาจได้รับชะตาลิขิต ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็จะก้าวหน้าไปได้โดยไว ส่วนความกลัวที่พวกเขารู้สึกก็เพราะภารกิจที่ต้องทำจะต้องอยู่ภายนอกภูเขาและศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังอย่างพวกเขาคงต้องเป็นกำลังหลักในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ถ้ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น อาจไม่มีแม้แต่โครงกระดูกของพวกเขาเหลือทิ้งไว้ด้วยซ้ำ


 


 


โม่เทียนเกอสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ดังนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้นางเอาชีวิตไปทิ้งกับการรับมือเรื่องอันตรายพรรค์นั้นแน่ นอกจากนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ในระหว่างเจ็ดปีที่นางท่องเที่ยวไปทั่วกับท่านอารอง นางได้ไปมาทุกที่และเจอกับภัยอันตรายจนนับครั้งไม่ถ้วน นางไม่คิดว่ามีอะไรที่นางจะต้องกลัว


 


 


“เอาละ ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณควรกลับไปที่ถ้ำของตัวเอง จงฝึกตนอย่างสงบและทำใจให้นิ่ง ส่วนศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขอให้อยู่ที่นี่ก่อน”


 


 


เมื่อได้รับคำสั่ง ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณออกจากจัตุรัสไปทีละคนพร้อมกับเหลือบมองศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังด้วยทั้งเห็นใจและอิจฉา


 


 


ในที่สุดเมื่อไม่มีศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเหลืออยู่ในจัตุรัสอีก ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากก่อนหน้านี้จึงก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง เขากล่าว “ศิษย์หลานทั้งชายและหญิง พวกเจ้าหลายคนคงเคยประสบกับเหตุการณ์ก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจมาแล้วเมื่อห้าสิบปีก่อน ข้าคงไม่ต้องอธิบายรายละเอียดกันอีก การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจไม่สามารถจัดการได้โดยแค่ปิดผนึกภูเขาเท่านั้น เรายังต้องออกไปและกำจัดศัตรูของเราด้วย ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่ได้เข้าสู่ประตูแห่งเซียน ดังนั้น ต้องเป็นพวกเจ้าศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ผู้ที่เป็นรากฐานแห่งโรงเรียนเสวียนชิงของข้า เจ้าต้องพยายามอย่างหนักในการแก้ปัญหานี้ เราจะส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหกคนและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังร้อยคนออกไป เจ้าควรไปเตรียมตัวและรอฟังประกาศจากเรา”


 


 


ว่าแล้วผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนนั้นก็ได้ส่งสัญญาณให้พวกเขาว่าการประชุมวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ตัวโม่เทียนเกอนั้นเต็มไปด้วยคำถาม นางตามกลุ่มคนกลับไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่างพร้อมกับสงสัยว่าทำไมการประชุมถึงจบลงเร็วนัก รายนามของศิษย์ที่จะต้องออกจากเขาเพื่อไปกำจัดสัตว์ปีศาจก็ยังไม่ได้ถูกประกาศ


 


 


“เทียนเกอ!”


 


 


ทันทีหลังจากที่นางกลับมายังยอดเขาวสันต์กระจ่าง ก็มีเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง เป็นเสียงของเยี่ยจิ่งเหวิน


 


 


“พี่ใหญ่เยี่ย!” โม่เทียนเกอเรียก เขาดูเกือบจะเหมือนกับหลัวเฟิงเสวี่ย นั่นคือเขาดูเหนื่อยล้าอย่างที่สุด นี่มันไม่ถูกต้องแล้ว… เขาก็เหมือนกับนางที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรในโรงเรียน เพราะงั้นทำไมเขาถึงอิดโรยขนาดนี้


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินโบกมือและเก็บมือเข้าในแขนเสื้อก่อนที่เดินมาทางถ้ำ เขาพูดว่า “ไปคุยกันข้างในเถอะ”


 


 


โม่เทียนเกอเปิดประตูถ้ำทันทีและเชิญเขาเข้ามาข้างใน


 


 


พอพวกเขาเข้ามาข้างในแล้ว เยี่ยจิ่งเหวินพูดว่า “เทียนเกอ ในอีกหลายวันข้าจะต้องออกจากเขาเพื่อไปทำภารกิจ”


 


 


“หา?” โม่เทียนเกอตกใจ เยี่ยจิ่งเหวินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิ เขายังหนุ่มแต่ระดับการฝึกตนของเขาก็เข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว โดยปกติแล้วเขาไม่น่าจะถูกส่งออกไปในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนั้น


 


 


“พี่ใหญ่เยี่ย ทำไมพวกเขาถึงเลือกท่านล่ะ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินเผยรอยยิ้มขมขื่นและบอกว่า “ข้าไม่มีทางเลือก ท่านอาจารย์ของข้าถูกเลือก ดังนั้นข้าเลยต้องไปกับเขา”


 


 


“เอ๋ ตัดสินใจเลือกคนที่ต้องไปกันแล้วหรือ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “ก่อนที่จะประกาศเรื่องนี้ พวกอาจารย์ลุงรู้อยู่ก่อนแล้วและตกลงกันว่าใครที่จะออกจากเขาเพื่อไปกำจัดสัตว์ปีศาจพวกนั้น ทั้งหกยอดเขาจะส่งผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปหนึ่งคน สำหรับยอดเขาวสันต์กระจ่างของเรา ท่านอาจารย์ของข้า อาจารย์เต๋าชิงหยวนจะเป็นคนไป”


 


 


“อ้อ…” ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อมีอาจารย์ของเขาอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะอันตรายเกินไปสำหรับเขา


 


 


“สำหรับศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง คนส่วนน้อยที่เป็นศิษย์หัวกะทิอย่างพวกเรา และคนส่วนใหญ่เป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเขาไม่น่าจะเลือกเจ้า อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากสถานการณ์ดูไม่ค่อยดี บางทีทุกคนก็อาจจะต้องไป แต่ถ้าเรื่องต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี ศิษย์ที่เพิ่งจะสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองอย่างเจ้าอาจถูกส่งออกไปเพื่อลองสนาม ข้ามาเพื่อบอกเจ้าเรื่องนี้ล่ะ เจ้าควรจะเตรียมตัวให้ดี”


 


 


“อือ ข้าเข้าใจแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นว่านางเข้าใจแล้ว เยี่ยจิ่งเหวินยืนขึ้นโดยไม่แม้แต่จะดื่มชาของเขาและกล่าวว่า “เอาละ ข้าขอตัวก่อน”


 


 


“พี่ใหญ่เยี่ยต้องระวังตัวด้วยนะ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินมองกลับมาเพื่อยิ้มให้นาง จากนั้นเขาออกไปอย่างเร่งรีบ


 


 


โม่เทียนเกอที่เต็มไปด้วยความคิดต่างๆ หันกลับเข้าไปในถ้ำของนาง


 


 


ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินจะเตือนนางแต่นางก็ไม่ได้กลัว พวกเขาอาจจะออกจากเขาไปเพื่อสังหารสัตว์ปีศาจ แต่ในแต่ละกลุ่มก็จะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นคนนำ ดังนั้นมันไม่น่าจะอันตรายเกินไป แต่เพราะนางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองและยังไม่สามารถใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้ เพราะอย่างนั้นความสามารถของนางจึงค่อนข้างจะด้อย หากนางต้องเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ นางก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลย


 


 


ลืมมันเสีย เราควรต้องเตรียมตัวไว้บ้าง ถ้าถึงคราวของเรา อย่างน้อยเราจะได้ไม่ตื่นตระหนก ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องเตรียมกลยุทธ์ช่วยชีวิตเอาไว้บ้างเสียแล้ว 

 

 


ตอนที่ 106 ซุบซิบนินทา

 

ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังป้อนยาบำรุงพลังจิตวิญญาณให้กับสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยของนาง นางแหงนหน้าขึ้นและเห็นลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าจำนวนหนึ่ง


 


 


นางครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงย้ายสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเข้าไปในหุบเขาเล็กๆ แล้วจึงออกจากถ้ำไป


 


 


หลังจากที่ภูเขาถูกปิดผนึก ม่านพลังป้องกันขุนเขาบนภูเขาไท่กังก็ได้เริ่มทำงาน เหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองจุดที่ซึ่งสามารถเข้าและออกจากม่านพลังได้ ศิษย์คนที่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าสัตว์ปีศาจจะเข้าและออกจากสำนัก ณ จุดนั้น อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากศิษย์หนึ่งร้อยคนที่ถูกสั่งให้ออกไปจากภูเขาตั้งแต่ต้นก็ไม่ค่อยได้มีคนที่จะเข้าและออกไปจากที่นี่อีก ลำแสงเหล่านั้นอาจจะเป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับหน้าที่ในการกระจายข่าวก็เป็นได้


 


 


หลายวันได้ผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติม เมื่อนึกถึงเยี่ยจิ่งเหวิน โม่เทียนเกอก็ใคร่ครวญพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงตัดสินใจไปที่โถงคนงาน


 


 


นางยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเข้าไปในโถงในขณะที่ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณสองคนที่เฝ้าประตูทักทายนาง “ท่านอาจารย์ลุงโม่”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม ตอนนี้นางได้สร้างฐานแห่งพลังของนางแล้ว นางก็ได้กลายเป็น “ท่านอาจารย์ลุง” สำหรับพวกเขา นางเหลือบมองไปยังโถงคนงานและถาม “มีข่าวอันใดเกี่ยวกับการจลาจลของสัตว์ปีศาจบ้างหรือไม่”


 


 


ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณคนหนึ่งถามกลับ “ท่านอาจารย์ลุงมาเพื่อถามถึงข่าวหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว สหายเก่าแก่ของข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ออกไป เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรในตอนนี้”


 


 


ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณสองคนหันมองหน้ากันเองก่อนที่คนหนึ่งจะตอบ “ท่านอาจารย์ลุง พวกข้าเองก็ไม่ทราบมากนัก พวกข้าทราบเพียงว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ท่านอาจารย์ลุงไม่ควรบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่รับรู้อะไร”


 


 


“อื้อ ข้ารู้ ในเมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก แล้วมีผู้บาดเจ็บบ้างหรือเปล่า”


 


 


“ดูเหมือนว่าจะมี ท่านอาจารย์ลุงอย่าได้วิตกไป ในอีกไม่ช้าท่านจะได้รับข่าวจากท่านอาจารย์ลุงหลัวอย่างแน่นอน”


 


 


คาดว่าศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณเหล่านี้คงไม่กล้าให้ข้อมูลรั่วไหลมากนัก โม่เทียนเกอจึงหยุดถามและพูดเพียงแค่ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอบใจพวกเจ้ามาก”


 


 


ไม่นานหลังจากที่นางกลับมาจากโถงคนงาน ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ได้เรียกรวมศิษย์ทุกคนให้ไปที่ถ้ำเซียนของเขา


 


 


โม่เทียนเกอรีบไปยังถ้ำของเขา เมื่อนางไปถึงนางเห็นว่าศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเดินทางมากันแทบทุกคนแล้ว ต่างยืนอย่างสงบด้วยท่าทางที่ดูวิตกกังวล


 


 


นางค่อยๆ เดินไปทางด้านข้างหลัวเฟิงเสวี่ย หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายหน้าให้โม่เทียนเกอพร้อมกับถอนหายใจ


 


 


เมื่อเห็นความอ่อนล้าของหลัวเฟิงเสวี่ย หัวใจโม่เทียนนั้นจมดิ่งและความกังวลปรากฏออกมาบนหน้าของนางทันที


 


 


เมื่อศิษย์ทุกคนมารวมอยู่ทั้งหมดแล้ว ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินก็ได้ลืมตาขึ้น ท่าทางของเขานั้นดูเคร่งขรึม “พวกเจ้าอาจจะรู้ว่าสถานการณ์จลาจลของสัตว์ปีศาจนั้นไม่สู้ดีนัก ข้าให้พวกเจ้ามาที่นี่เพราะข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับพวกเจ้า เฟิงเสวี่ย…”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมก้าวออกมาทางด้านหน้า “เจ้าค่ะท่านอาจารย์


 


 


“เจ้าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตอบ “เจ้าค่ะ” ก่อนที่จะหันกลับมาเผชิญหน้ากับศิษย์คนอื่น ด้วยท่าทางขึงขังนางพูด “ศิษย์พี่ชายและหญิงทั้งหลาย โถงคนงานได้รับข่าวจากศิษย์ที่ออกไปจากภูเขาวันนี้ ท่านอาจารย์ลุงหันอวี้แห่งยอดเขาล่องเมฆาเสียชีวิตแล้ว”


 


 


ปฏิกิริยาของทุกคนเปลี่ยนไปในทันที พวกเขารู้ว่าการตายของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังหมายความว่าอย่างไร สงครามครั้งนี้ต้องดุเดือดเป็นอย่างมาก อันดับต่อไปจะต้องเป็นการส่งความช่วยเหลือออกไปอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นคราวของท่านอาจารย์ของพวกเขาก็เป็นได้…


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดได้ตัดสินใจที่จะส่งศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งออกไปเพื่อสมทบกับกลุ่มแรก จำนวนคนจะเทียบเท่ากับครั้งที่แล้ว แต่ละยอดเขาจะส่งผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคน ศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งและศิษย์ทั่วไปอีกประมาณสิบคนออกไป ทุกอย่างได้ถูกตัดสินแล้วว่ายอดเขาวสันต์กระจ่างท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะเป็นคนไป ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่ได้มีศิษย์ในสังกัด ดังนั้นศิษย์ระดับหัวกะทิที่จะไปกับเขาจะถูกเลือกจากหมู่พวกเรา”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนที่ถูกส่งออกไปครั้งล่าสุดจะไม่ได้มีชื่อเสียงนัก แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ไม่ได้น้อยเลย เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนั้นว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายนัก อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นศิษย์ที่ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในโรงเรียนเสวียนชิง เป็นเวลาไม่นานนักตั้งแต่สงครามได้เริ่มต้นขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาต้องการที่จะส่งท่านออกไปน่ะหรือ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแย่มากจริงๆ


 


 


คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวนางต่างคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหลายกระซิบกับคนข้างเคียง ดูเหมือนจะร้อนใจและกังวลไปพร้อมๆ กัน


 


 


“หากเป็นเช่นนั้น” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดทำให้ศิษย์ทุกคนหยุดกระซิบ เขาจึงถาม “ในหมู่พวกเจ้ามีใครบ้างสมัครใจที่จะไป”


 


 


มีศิษย์มากกว่าสิบกว่าคนอยู่ ณ บริเวณนั้นแต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวตอบรับ เวลาผ่านไประยะหนึ่งในที่สุดใครคนหนึ่งก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมถาม “ท่านอาจารย์สถานการณ์ในตอนนี้แย่มากเลยหรือ”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะไม่ปิดบังพวกเจ้า ข่าวมาจากทางด้านนอกว่าผู้บาดเจ็บของศิษย์ในกลุ่มแรกที่ออกไปมีมากถึงสามส่วนแล้ว ออกไปตอนนี้นับได้ว่าเป็นอันตรายนัก” หลังจากนั้นเขามองไปทางศิษย์ทุกคนก่อนที่จะพูด “ศิษย์ที่อยู่ระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องไป”


 


 


โม่เทียนเกอรีบแอบชำเลืองมองไปรอบๆ ทุกคนต่างดูประหลาดใจ ท่านอาจารย์ของพวกเขาเพิ่งพูดว่าศิษย์ระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังไม่จำเป็นต้องไป… เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์นั้นอันตรายถึงขีดสุด


 


 


เทียบกับศิษย์ทั่วไป ศิษย์ระดับหัวกะทิอย่างพวกเขานั้นอาจจะมีความเหนือชั้นกว่าในวิชาการต่อสู้และพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นแก่ตัวมากกว่าและเห็นค่าชีวิตของตนเองมาก่อน การที่ถามให้พวกเขาอาสาสมัครมันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก


 


 


เวลาผ่านไปนานและยังคงไม่มีใครที่ก้าวออกมาทางด้านหน้า ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินขมวดคิ้วและพูดด้วยความรำคาญ “ไม่มีใครสมัครใจไปเลยรึ”


 


 


“ท่านอาจารย์” เสียงผู้หญิงดังออกมาอย่างชัดเจน “ข้าไปเองเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองผู้นั้นและต้องตะลึง อย่างไม่คาดคิดนั่นคือศิษย์พี่รองของนาง เว่ยจยาซือ! ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความประทับใจต่อศิษย์พี่เว่ยมากนัก ถึงแม้ว่าความสามารถของนางจะดี แต่พฤติกรรมของนางนั้นหยิ่งยโส ในแต่ละวันส่วนมากนางไม่ค่อยที่จะมองเข้าไปในคนอื่น อีกอย่างโม่เทียนเกอเองก็รู้สึกว่าศิษย์พี่เว่ยนั้นชอบดูถูกนางเสมอ


 


 


แต่นางไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่เว่ยจะมีความกล้าเพียงนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์อันตรายอย่างที่สุด แต่นางก็ยังอาสาที่จะไป!


 


 


เมื่อเห็นเว่ยจยาซือสมัครใจ ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาพูด “จยาซือ เจ้าจะทำได้ดี มีใครยินดีที่จะไปอีกหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอหันไปมองรอบๆ เว่ยจยาซือยังคงมีความสงบนิ่งบนใบหน้า ยังคงมีความมุ่งมั่นในสายตาของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่านางมีเหตุผลบางอย่างทำให้นางตัดสินใจไป


 


 


“ท่านอาจารย์ ข้า… ข้ายินดีไป”


 


 


“ข้าด้วย”


 


 


หลังจากครู่หนึ่ง ศิษย์อีกสองคนจึงเสนอตัวไป เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาพูด “ดี ดีมาก! พวกเจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมสงครามเพื่อโรงเรียน ในฐานะอาจารย์ของพวกเจ้า ข้ายินดียิ่งนัก ที่เหลือกลับไปได้ พวกเจ้าสามคนอยู่ก่อน”


 


 


“เจ้าค่ะ/ขอรับ ท่านอาจารย์”


 


 


“เทียนเกอ ไปเถอะ” เมื่อพวกเขาขอตัวลา หลัวเฟิงเสวี่ยก็จับมือโม่เทียนเกอเงียบๆ และดึงนางให้ออกจากถ้ำไปด้วยกัน


 


 


หลังจากออกมาจากถ้ำของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินและเดินไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ถาม “ศิษย์พี่หลัว สถานการณ์แย่มากจริงหรือ”


 


 


ในขณะที่กำลังนวดดวงตาที่แดงก่ำ หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าไม่แย่ ท่านปรมาจารย์คงจะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไป โธ่ ข้าหวังว่าท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งและท่านอาจารย์ลุงชิงหยวน [1] จะกลับมากันได้อย่างปลอดภัย… เจ้าคิดว่าอะไร”


 


 


โม่เทียนเกอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “ข้าคิดเกี่ยวกับศิษย์พี่เว่ย”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเปล่งเสียง “ฮ่ะ!” และตบไหล่โม่เทียนเกอก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าคิดว่าเพราะศิษย์พี่รองเสียสละชีวิตของนางและยอมเสี่ยงออกไปนั่นทำให้นางเป็นคนน่าทึ่งงั้นหรือ”


 


 


“ไม่ใช่เสียทีเดียว… แต่การกระทำของนางนั้นหาได้ยาก” ผู้ฝึกตนส่วนมากจะเห็นแก่ตัวเอง แม้แต่จากกลุ่มฝึกตนใหญ่ที่เน้นให้ความสำคัญกับการฝึกตนทั้งจิตใจและนิสัยใจคอ ไม่ได้มีคนมากนักที่ยินดีจะไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอันตราย


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ตบไหล่โม่เทียนเกอพร้อมกระซิบอย่างมีความนัย “อย่าปล่อยให้คนอื่นมีอิทธิพลกับตัวเอง เหตุผลเดียวที่ศิษย์พี่รองมีความมุ่งมั่นที่จะไปเพราะ…” นางหยุดพูดและมอบไปรอบๆ ตัว เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบตัวนาง นางจึงกระซิบต่อ “นั่นเป็นเพราะท่านอาจารย์โส่วจิ้ง!”


 


 


“หืม?” โม่เทียนเกอสับสน


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตบที่ไหล่ของโม่เทียนเกออย่างช่วยไม่ได้ นางพูด “โง่เง่าจริง! เจ้ารอดูไปก่อน เดี๋ยวจะมีศิษย์ผู้หญิงจากยอดเขาวสันต์กระจ่างอาสาที่จะไปสงครามเพิ่มเติมอีกอย่างแน่นอน”


 


 


“หา” หลังจากใช้สมองคิดอย่างหนัก โม่เทียนเกอก็ดูจะเข้าใจยิ่งขึ้นและถามในทันใด “ท่านหมายถึง…”


 


 


“ฮึ่ม!” หลัวเฟิงเสวี่ยกลอกตาและบ่นพึมพำ “จากที่ข้าสังเกต พวกเขาทั้งหมดหลงผิดกันทั้งนั้น! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนแบบไหนกัน ถ้าระดับการฝึกตนของพวกนางเทียบเท่าเขาไม่ได้แล้วจะไปนึกถึงเขาเพื่ออะไร ช่วงชีวิตของผู้ฝึกตนอาจจะยาวนานกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ถ้าไม่มีช่วงชีวิตที่เท่ากัน พวกเราจะสามารถรักษาไว้ซึ่งคู่ครองได้นานแค่ไหนกันเชียว ปัดโธ่…” แล้วนางก็ถอนใจหลังจากที่พูดจบ


 


 


ใครพูดกันว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนกับมนุษย์เท่านั้น สิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนกันเองด้วยเช่นกัน ระหว่างผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง พวกเขามีช่วงชีวิตที่แตกต่างกันอย่างน้อยสามร้อยปี ถึงแม้ว่าความรักของพวกเขาจะลึกซึ้งดั่งมหาสมุทร ความรักของพวกเขาก็จะถูกเวลาทำให้พรากจากกันในตอนท้ายอยู่ดี


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความงุนงง “พวกเรามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคน ทำไมพวกเขาถึงชอบเพียงแค่ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งล่ะ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงทั่วไป ดังนั้นอย่าบอกข้านะว่าพวกเขายังคงตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกกันอยู่”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตบไหล่โม่เทียนเกออีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้เป็นไปด้วยความพึงพอใจ นางพูด “ถูกต้องแล้ว! ข้าถึงบอกไงว่าพวกนางหลงผิด พวกนางกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผู้ฝึกตน แต่ยังคงคาดหวังเช่นเดียวกันกับมนุษย์ผู้หญิง! อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องสงสัยไป… ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะเป็นที่ดึงดูดสำหรับพวกนาง เขายังหนุ่ม ฉลาดหลักแหลม มีระดับการฝึกตนที่สูง และหน้าตาดี ไม่มีศิษย์พี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนไหนในโรงเรียนของเราที่จะเทียบกับเขาได้เลย”


 


 


“จริงหรือ” โม่เทียนเกอถามด้วยความใคร่รู้ “ข้ายังไม่เคยพบท่านอาารย์ลุงโส่วจิ้ง เขาหน้าตาเป็นแบบไหนหรือ”


 


 


“…” ดูเหมือนหลัวเฟิงเสวี่ยต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้า สุดท้ายแล้วนางจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนกับศิษย์พี่ฉิน”


 


 


“โอ้…”


 


 


“ลองคิดดูสิ ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง… อืม… อายุเพิ่งจะหนึ่งร้อยสี่สิบปีในปีนี้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขาได้เข้าถึงระดับกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ถ้าเขาโชคดี มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ก่อนที่เขาจะอายุสองร้อยปี อีกอย่างนิสัยของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าเขาจะหมกมุ่นและคลั่งไคล้เกี่ยวกับการฝึกตน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เขาดูน่าดึงดูดใจ บางครั้งผู้หญิงก็เหมือนผู้ชาย ยิ่งผู้ชายสุขุมและทะนงตัวเท่าไหร่ ผู้หญิงก็ยิ่งอยากจะชนะใจเขามากขึ้นเท่านั้น เจ้าเห็นด้วยไหม”


 


 


โม่เทียนเกอมองไปบนท้องฟ้าในขณะที่ครุ่นคิด อย่างไรก็ตาม นางก็ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ข้าไม่คิดเช่นนั้น”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่าท่านอาจารย์โส่วจิ้งดูเหมือนกับศิษย์พี่ฉิน แต่ด้วยความสัตย์จริง หากพูดถึงศิษย์พี่ฉินแล้ว ถ้านางไม่ได้เคยอยู่ใกล้ชิดเขามาก่อนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และได้พัฒนาความรู้สึกที่ต้องการพึ่งพาอาศัยเขา โม่เทียนเกอก็คงไม่มีวันที่จะคิดว่าเขานั้นมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ไม่ว่าจะน่าเกลียดเพียงไร ผู้ฝึกตนส่วนมากก็จะไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น ยังมีผู้ฝึกตนที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอยู่มาก อีกอย่าง พวกเขาส่วนมากนั้นล้วนคลั่งไคล้ในการฝึกตน นางไม่คิดว่ามันจะมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่สุด นางพูด “ข้าเคารพเจ้าที่สุด!”


 


 


“ข้าเพียงแค่ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น รู้หรือไม่” โม่เทียนเกอยิ้มและถามต่อ “ศิษย์พี่หลัว ท่านกำลังบอกว่าศิษย์พี่เว่ยชอบท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ฮะๆ คนอื่นๆ อาจไม่รู้แต่ข้ารู้” หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบอย่างดูถูก “ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งบางครั้งออกมาจากถ้ำเพื่อเทศน์ และในทุกครั้งศิษย์พี่รองก็จะเข้าร่วมอยู่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่มีศิษย์ในสังกัด เพราะเหตุนั้นเองศิษย์ภายในอย่างพวกเราจึงมักจะได้รับหน้าที่ให้ไปที่ถ้ำของเขาเพื่อรับงานกิจธุระต่างๆ ศิษย์พี่เว่ยมักจะรับงานไปที่ถ้ำของเขา ครั้งหนึ่งนางเคย…”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยหันมองซ้ายและขวา เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัว นางก็ลดเสียงลงและพูดต่อ “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าต้องพูดถึงอีกคนหนึ่งก่อน ก่อนหน้านี้พวกเรามีอาจารย์ลุงท่านหนึ่งชื่อชิงหย่วน [2] ท่านเป็นศิษย์คนที่สองของท่านปรมาจารย์แต่ตายไปด้วยอุบัติเหตุ ผู้สืบทอดของเขาคือศิษย์พี่คนหนึ่งเพราะนางได้รับการดูแลจากท่านปรมาจารย์ของเราที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ในช่วงเวลานั้นท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพิ่งถูกท่านปรมาจารย์พามาที่เขาไทกัง ทั้งสองคนมีอายุที่ไล่เลี่ยกันดังนั้นจึงถูกสอนมาด้วยกันกับท่านปรมาจารย์”


 


 


“พูดถึงศิษย์พี่ผู้นั้น ความฉลาดของนางค่อนข้างด้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด นอกจากนี้เพราะท่านปรมาจารย์เป็นคนสอนนางด้วยตัวเอง แล้วนางจะแย่ได้สักเพียงไรกัน จริงไหม เพราะเหตุนั้นเช่นเดียวกันกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังตอนอายุยี่สิบ แต่อาจจะเป็นเพราะนางมักจะอยู่กับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางจึงดูเหมือนตกหลุมรักเขาเข้า ยิ่งไปกว่านั้น เพราะนางได้รับการสั่งสอนจากท่านปรมาจารย์โดยตรง นางจึงกลายเป็นคนที่อวดดีและมองว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็น ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ของนาง”


 


 


ถึงแม้ว่าคำอธิบายของหลัวเฟิงเสวี่ยจะซับซ้อน แต่โม่เทียนเกอก็ยังคงเข้าใจถึงความคิดนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยเล่าเรื่องของนางต่อ “มาในภายหลัง ระดับการฝึกตนของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งนั้นเหนือกว่านาง ท่านปรมาจารย์จึงมอบถ้ำเซียนให้กับเขา ตั้งแต่นั้นมาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับศิษย์พี่คนนั้นเท่าไหร่นัก”


 


 


“เจ้าก็รู้นี่ว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งคลั่งไคล้การฝึกตนเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบที่จะทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือไปจากการฝึกตน ความฝันของศิษย์พี่คนนั้นเลยแตกสลาย อย่างไรก็ตาม นิสัยของนางนั้นก็แย่ นางมักจะทำร้ายศิษย์ผู้หญิงคนที่จะเข้าไปทำงานในถ้ำของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่เสมอ”


 


 


“อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่รองเว่ยถูกทำร้าย?”


 


 


“ใช่!” หลัวเฟิงเสวี่ยกัดปากพูด “ในตอนนั้น ศิษย์พี่รองอยู่เพียงแค่ระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะที่ศิษย์พี่ผู้นั้นอยู่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ศิษย์พี่ผู้นี้ได้เกิดเป็นบ้าขึ้นมาและทำร้ายทุบตีศิษย์พี่รองจนบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสถึงกับกระอักเลือด และเพราะเหตุนี้เองท่านปรมาจารย์จึงขับไล่ศิษย์พี่คนนั้นออกไปจากภูเขาไท่กัง จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน!”


 


 


ครั้นได้ยินเรื่องราวความอิจฉาริษยาระหว่างศัตรูความรักเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอถึงกับพูดไม่ออก อย่างไม่คาดคิด เรื่องซุบซิบนินทาแบบนี้มีอยู่ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีความชอบธรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ได้


 


 


“เจ้าจะต้องไม่พูดกับใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะบอกรายละเอียดกับเจ้าเมื่อข้ามีเวลา ตอนนี้ข้าเหนื่อยเจียนตาย อยากจะพักผ่อนมากแล้ว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ชิงหยวน ท่านอาจารย์ของเยี่ยจิ่งเหวิน


 


 


[2] ชิงหย่วน ศิษย์คนที่สองของปรมาจารย์จิ้งเหอที่ตายไปแล้ว ชื่อฟังดูคล้ายกับท่านอาจารย์ของเยี่ยจิ่งเหวิน แต่เขียนด้วยตัวอักษรจีนและอ่านออกด้วยเสียงที่แตกต่างกัน 

 

 


ตอนที่ 107 ออกศึกสงคราม

 

ในไม่ช้า ศิษย์กลุ่มที่สองก็เริ่มการเดินทางและออกจากเขาไปเพื่อสังหารพวกปีศาจ ท่ามกลางคนเหล่านี้คือศิษย์พี่เว่ย


 


 


พวกเขาจากไปอย่างเงียบเชียบ โม่เทียนเกอเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เพราะนางได้รับเครื่องรางกระจายเสียงที่ส่งมาให้ทางประตูทางเข้าของนาง


 


 


เครื่องรางถูกส่งมาโดยฉินซีเพื่อบอกนางว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มศิษย์กลุ่มที่สองเช่นกัน แต่เนื่องจากไม่มีเวลามากพอเขาจึงไม่สามารถมาบอกลากับนางได้


 


 


ถึงแม้โม่เทียนเกอจะอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานนักนางก็ทำการฝึกตนและปรุงยาต่อไปได้ตามปกติ


 


 


นางไม่สามาถเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ได้ แต่ในกรณีที่นางต้องออกจากเขาไปในท้ายที่สุดและต้องปกป้องตัวเองในสนามรบอันดุเดือด นางก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้ดีเสียก่อน


 


 


กลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิงมีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังประมาณห้าร้อยคน ทั้งสองกลุ่มของศิษย์ที่ถูกส่งออกไปรวมแล้วประมาณสองร้อยคน เกือบจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดที่โรงเรียนมี ตามข่าวที่ส่งกลับมาที่โรงเรียน ผู้บาดเจ็บล้มตายในคนกลุ่มแรกอยู่ที่ราวๆ สามในสิบส่วน ซึ่งนับได้ว่าประมาณสามสิบหรือสี่สิบคน…


 


 


สำหรับกลุ่มการฝึกตนขนาดกลาง การที่มีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังประมาณสามสิบถึงสี่สิบคนต้องตายไปเป็นความเสียหายใหญ่หลวงเหลือคณานับ แม้แต่กลุ่มการฝึกตนใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิง ความสูญเสียเช่นนั้นก็ไม่ได้จัดว่าเล็กน้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น สงครามเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น หากการต่อสู้ยังคงดุเดือดต่อไป บางทีหลังจากการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้จบลง โรงเรียนเสวียนชิงอาจต้องสูญเสียศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังถึงหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างต่ำ การสูญเสียจำนวนคนมากเช่นนั้นก็สามารถทำลายล้างกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางไปได้แล้ว


 


 


หากเรื่องนั้นเกิดขึ้น เป็นไปได้มากว่าจะไม่มีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนคนไหนสามารถหลีกหนีความทุกข์ทรมานนี้ไปได้ ดังนั้นโม่เทียนเกอต้องเตรียมการไว้ให้ดีนางจะได้ไม่ไร้ทางสู้เมื่อนางถูกส่งออกไปสู่สนามรบ


 


 


วันแล้ววันเล่าผ่านไป บรรยากาศตึงเครียดค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


โม่เทียนเกอได้รู้จากหลัวเฟิงเสวี่ยว่าทั่วทั้งคุนอู๋ถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องในการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้ ถ้าโรงเรียนเสวียนชิงไม่ปิดผนึกภูเขาและเปิดใช้ม่านพลังป้องกันขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่แรกเริ่ม ศิษย์ทั้งหมดอาจต้องร่วมลงสู่สนามรบด้วย ในกรณีนั้น ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็คงไม่ได้รับการยกเว้นเป็นแน่แท้


 


 


โชคยังดีที่ถึงแม้ว่าผู้บาดเจ็บล้มตายในหมู่ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจะมีจำนวนมาก แต่ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร ด้วยการมีอยู่ของศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ ต่อให้โรงเรียนเสวียนชิงต้องทนกับความสูญเสียย่อยยับ พวกเขาก็ยังคงสามารถฟื้นพลังชีพของพวกเขาได้ภายในหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปี พละกำลังของโรงเรียนจึงไม่น่าจะลดลงแต่อย่างใด


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้รู้เรื่องทั้งหมดพวกนี้ นางก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดร้อนฉันใด คนยิ่งแก่ก็ยิ่งฉลาดขึ้นฉันนั้น… ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ที่จริงแล้วได้ทำนายไว้ตั้งแต่ต้นว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรและได้ป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดต่อโรงเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะเขา โรงเรียนเสวียนชิงก็คงไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมแสนสาหัสนี้ได้เช่นกัน


 


 


ช่วงหลังมานี้ หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้ยุ่งมากนัก ตามที่นางว่าไว้ ด้วยว่าเรื่องนี้สำคัญมากเหลือเกินในช่วงหลังๆ นี้ ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากรุ่นเดียวกับท่านประมุขของโรงเรียนได้เข้ามาควบคุมดูแลแทน ดังนั้นคนงานระดับการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนางจึงต้องทำงานแค่บางครั้งคราวเท่านั้น พอตอนนี้ที่หลัวเฟิงเสวี่ยว่าง นางจึงได้มาหามาพูดคุยกับโม่เทียนเกอทุกวัน


 


 


โม่เทียนเกอกระตือรือร้นที่จะฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ แต่นางก็รู้ว่าต้องไม่เร่งรีบเกินไป เพราะอย่างนั้นนางจึงฝึกไปทีละขั้นทีละตอนในทุกวันและพูดคุยซุบซิบกับหลัวเฟิงเสวี่ยบ้างเล็กน้อย


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ย คนผู้นี้… ที่จริงแล้วนางเป็นคนที่ชอบทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ยุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้นทุนธรรมชาติของนางนั้นจัดว่าดีแต่นางก็ไม่ได้ชื่นชอบการฝึกตนมากนัก ในทางตรงกันข้าม นางชอบที่จะจัดการกับงานจุกจิกต่างๆ ในโรงเรียน ในทั้งหมดของยอดเขาวสันต์กระจ่าง แทบจะไม่มีเรื่องอะไรเลยที่นางไม่รู้ นางถึงขั้นรู้เกี่ยวกับข่าวซุบซิบมากมายของยอดเขาอื่นๆ ด้วยซ้ำ การทำตัวเกียจคร้านและพูดนินทาเช่นนี้ทำให้ชีวิตของพวกนางมีความสุขขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


โม่เทียนเกอไม่เคยสนิทกับใครเหมือนอย่างหลัวเฟิงเสวี่ยมาก่อน แต่ความร่าเริงของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ทำให้นางนึกถึงมู่หรงเยียนและก็นึกสงสัยว่านางสร้างฐานแห่งพลังของนางไปแล้วหรือยัง


 


 


“นี่ นี่! เทียนเกอ! เพ้อฝันอะไรอยู่น่ะ”


 


 


ขณะที่นางได้สติกลับคืน โม่เทียนเกอส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก… ข้าแค่รู้สึกว่าศิษย์พี่หลัวช่วงนี้ว่างเกินไปแล้ว ข้าค่อนข้างคิดถึงวันที่ท่านไม่ว่างน่ะ”


 


 


คำพูดของโม่เทียนเกอสื่อเป็นนัยๆ ว่านางรู้สึกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยน่ารำคาญ หลัวเฟิงเสวี่ยถลึงตามองนางและบ่นอุบ “ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยู่ที่นี่ ข้าคงไม่มารบกวนเจ้าหรอก! ทุกวันนี้แถวนี้มีแค่พวกเราสองคนเหลืออยู่ ถ้าข้าไม่มาคุยกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะคุยกับพวกสัตว์วิเศษหรือไง”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ก็จริง… ถ้าข้าปล่อยให้ท่านเบื่อจนต้องไปคุยกับสัตว์วิเศษ ข้าคงได้ทำบาปหนักมากแน่”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยมองค้อนโม่เทียนเกอ แต่หลังจากนั้นจู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างออก นางพูดว่า “จริงสิ! เทียนเกอ เจ้าอายุเท่าไหร่รึ”


 


 


“เอ๋” โม่เทียนเกอคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบพร้อมกับถอนใจ “ยี่สิบสี่ เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน เกือบจะสี่ปีแล้วตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง” เวลาสี่ปีที่ผ่านมานั้นช่างง่ายดายสำหรับนาง นางจึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมาก


 


 


“อ้อ ถ้าข้าจำอายุของข้าได้ไม่ผิด เจ้าน่าจะอ่อนกว่าข้าประมาณหนึ่งปี เจ้ากำลังฝึกวิชาการฝึกตนที่ช่วยคงรูปลักษณ์ของเจ้าเอาไว้หรือเปล่า หน้าตาเจ้าตอนนี้กับหน้าตาตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาที่นี่ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร”


 


 


“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น…”


 


 


“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นรึ!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกน “เจ้านี่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตแสนสุขที่คนอื่นๆ ใฝ่ฝันเลยนะ! วิชาการฝึกตนที่สามารถคงรูปของคนผู้นั้นไว้ได้… พวกเราผู้ฝึกตนหญิงส่วนใหญ่ฝึกตนก็เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ตลอดกาล การที่มีวิชาฝึกตนที่เหมาะสมซึ่งช่วยสงวนความอ่อนเยาว์เอาไว้จะทำให้ประหยัดยาคงรูปไปได้มาก หน้าตาเจ้าจะทำให้คนนับไม่ถ้วนอิจฉา แต่เจ้ากลับกล้าพูดว่า ‘ข้าก็ว่าอย่างนั้น’ !”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกผิดเล็กน้อย นางได้วิชาการฝึกตนมาอย่างง่ายดายเกินไป เพราะอย่างนั้นนางจึงลืมใส่ใจมันอยู่เรื่อย


 


 


“เจ้านี่นะ…” หลัวเฟิงเสวี่ยส่ายหน้าและพูดพร้อมถอนใจ “ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าฉลาดมากหรือที่จริงเจ้าทึ่มมากกันแน่ ไม่รู้ว่าเจ้าโง่หรือว่าเจ้ามีความเข้าใจดีในสิ่งที่ควรและไม่ควรทำ… ข้าบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเจ้าอยู่ในกลุ่มคนแบบไหน…”


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่หลัว ท่านแบ่งคนไว้กี่ประเภทหรือ”


 


 


“อืม…” หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดกับตัวเองแล้วจึงพูดว่า “ที่จริงก็ง่ายมาก ลองดูศิษย์พี่สองคนที่อยู่ที่นี่และเปรียบเทียบพวกเขากับตัวข้า พวกเราแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ศิษย์พี่ใหญ่เป็นประเภทที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากที่สุด นางมีทั้งความเอาใจใส่อย่างผู้หญิงและความกล้าหาญอย่างผู้ชาย ส่วนศิษย์พี่รองเป็นประเภทที่ไม่ได้น่าดึงดูดแต่ก็ไม่ได้น่ารังเกียจ นางไม่สนใจคนอื่นแต่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องใครเช่นกัน ส่วนตัวข้า ข้าเป็นประเภทที่คนส่วนใหญ่ชอบและคนส่วนน้อยเกลียด ลองดูเครือข่ายคนรู้จักของข้าสิ ในหมู่ศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ข้ากล้าพูดว่าเลยว่าข้าสามารถจำคนได้มากที่สุด”


 


 


เมื่อนางโอ้อวดเกี่ยวกับตนเองจนจบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็พูดต่อไป “ยังมีคนประเภทที่คนส่วนน้อยชอบและคนส่วนมากเกลียด เป็นคนที่มีนิสัยไม่ได้ดีนักแต่ก็ไม่ได้ใจแคบ ประเภทสุดท้ายคือคนประเภทที่โดนคนอื่นเกลียดชังโดยแท้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของคนประเภทนี้คือศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นที่ถูกเนรเทศออกจากเขาไท่กังไงล่ะ นางไม่มีความตระหนักรู้ในตัวเอง จิตใจของนางคิดถึงแต่ตัวเอง และนางก็มักจะคิดเสมอว่าทุกสิ่งต้องขึ้นอยู่กับนาง ฮึ่ม! คนประเภทนี้… ทุกคนที่ได้เจอนางจะต้องเกลียดนางกันทั้งนั้น”


 


 


พอได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูด โม่เทียนเกอจึงถามว่า “ศิษย์พี่คนนี้ไม่มีเสน่ห์อะไรเลยอย่างนั้นหรือ”


 


 


“อือ… ข้าก็จำไม่ค่อยได้ มันเกิดขึ้นนานมาแล้ว ในตอนนั้นข้าอายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปี ข้าจำได้เพียงว่ามันเกิดขึ้นไม่นานหลังจากท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งกลับมาจากภูเขามาร ระดับการฝึกตนของเขาลดลงอย่างมาก เขาเกือบจะแค่มีชีวิตกลับมาเท่านั้น”


 


 


“งานที่ศิษย์พี่รองได้รับคือการดูแลถ้ำเซียนของเขาตอนที่เขาอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ แต่ใครจะคิดล่ะว่าศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นจะไม่พอใจที่ศิษย์พี่รองได้มีโอกาสเข้าใกล้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งและได้ดูแลเขา นางก่อเรื่องอาละวาดและถึงขนาดลงไม้ลงมือกับศิษย์พี่รอง ลองคิดดูสิ ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเกือบจะไม่มีชีวิตรอด แต่ศิษย์พี่คนนั้นกลับหมกมุ่นอยู่แต่ในความหึงหวง เป็นธรรมดาที่ทั้งท่านอาจารย์ลุงและท่านปรมาจารย์จะโมโห อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่พ่อของศิษย์พี่คนนั้น ท่านปรมาจารย์จึงไม่ได้ทำโทษนางและแค่ให้นางออกจากโรงเรียนเสวียนชิงไปอยู่ในสนามส่วนที่แยกออกไปและสำนึกกับความผิดของนางเป็นสิบๆ ปี เอ้ย… อย่างไรก็เถอะ ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครชอบนาง”


 


 


“อ้อ…” คนประเภทนี้ที่ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกว่าอะไรควรไม่ควรก็ไม่น่าชื่นชอบจริงๆ ด้วยนั่นละ


 


 


“พูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ ข้าสงสัยว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ค่อยเป็นห่วงศิษย์พี่รองมากนัก อย่างไรเสีย นางก็อยู่กับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง” หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้ามองฟ้าและถอนหายใจยาว


 


 


“ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่หันอีกหรือ”


 


 


“มีข่าวบางอย่าง…” หลัวเฟิงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “มีข่าวส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนบอกว่าพวกเขาเจอเครื่องหมายลับที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ แต่พวกเขายังไม่เจอตัวคน ข้าคิดว่าโอกาสที่ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปได้มาก”


 


 


“เช่นนั้นก็ดีสิ! ไม่มีข่าวร้ายก็ถือเป็นข่าวดี!”


 


 


หลังจากครุ่นคิดอีกนิดหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยตบมือและบอกว่า “จริงแท้แน่นอน!”


 


 


ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันต่อไป หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งคู่ต่างได้รับเครื่องรากเรียกขานโดยพร้อมกัน


 


 


“เอ๋ มันมาจากท่านอาจารย์”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ของข้าก็มาจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกเรียกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ไปกันเถอะ”


 


 


“อืม” ทั้งสองจัดระเบียบให้เรียบร้อยและรีบมุ่งหน้าไปยังถ้ำของอาจารย์เต๋าเสวียนอินด้วยกัน


 


 


“ท่านอาจารย์”


 


 


“ท่านอาจารย์ลุง”


 


 


ครั้งนี้ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินไม่ได้กำลังนั่งสมาธิอยู่ เขากำลังเดินกลับไปกลับมาพร้อมกับเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องโถง เมื่อเขาเห็นทั้งสองคนเข้ามา เขาจึงหยุดและพูดว่า “ดีละ ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว มาสิ”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินหันไปและกลับไปนั่งบนที่นั่งของอาจารย์ เขาจ้องมองเหล่าศิษย์ของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า “ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ก็เพราะสงครามนั้นรุนแรงขึ้น พวกเจ้าอาจจะเป็นรายต่อไปที่ถูกส่งไปเพื่อร่วมสู้ในศึก”


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ นางและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองหน้ากัน ทั้งคู่ดูงุนงงอย่างแรง โรงเรียนได้ส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังออกไปรวมๆ แล้วถึงสิบสองคน ถึงแม้อาจารย์ลุงหันอวี้ตายไป ก็ยังมีผู้ฝึกตนเหลืออีกสิบเอ็ดคน โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังรวมแล้วประมาณสี่สิบคนและพวกเขาส่งคนออกไปถึงหนึ่งในสี่ส่วนแล้ว นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจบชีวิตลงอีกคน


 


 


“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง…”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหน้าและกล่าวว่า “พบตัวชิงอวี้แล้ว นางไม่เป็นอะไร แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พวกเขาจะกลับมาได้หรือไม่นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ข้าตัดสินใจว่าจะออกจากภูเขาและไปช่วยคนอื่นๆ ในสงครามนี้ด้วย ในหมู่พวกเจ้า คนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่าจะต้องตามข้าไปสู่ยุทธภูมิ”


 


 


ถึงแม้ว่าทุกคนจะตกตะลึง แต่ไม่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน พวกคนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและสูงกว่าต่างตอบกันอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้าค่ะ/ขอรับท่านอาจารย์”


 


 


“สำหรับพวกเจ้า…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินหันเหสายตามองมาทางโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ย “พวกเจ้าศิษย์ขั้นต้นของระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็อย่าได้วางใจนัก ตามการคาดการณ์ของข้า ในไม่ช้าพวกเจ้าก็จะต้องถูกส่งออกไปร่วมในการสังหารปีศาจด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนั้น ข้าจะมอบเครื่องมือเวทและเครื่องรางวิญญาณบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้า พวกเจ้าแต่ละคนจะได้รับของบางอย่างไป”


 


 


“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างมองหน้ากัน จากนั้นแต่ละคนจึงรับเครื่องมือวิญญาณและเครื่องรางจากอาจารย์เต๋าเสวียนอิน พวกนางยังได้ฟังคำสั่งสอนสั้นๆ จากอาจารย์เต๋าเสวียนอินก่อนที่จะออกจากถ้ำของเขาไปในที่สุด


 


 


ทั้งสองคนเดินอยู่ในความเงียบจนกระทั่งโม่เทียนเกอพูดขึ้นมาอย่างลังเลในท้ายที่สุด “ศิษย์พี่หลัว ท่านพอจะมีลู่ทางให้ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หรือไม่”


 


 


“อืม?” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบอย่างใจลอย “ข่าวแบบไหนที่เจ้าต้องการรู้”


 


 


“ข่าวแรกเกี่ยวกับพี่ใหญ่เยี่ย ท่านก็รู้จักเขา ส่วนอีกข่าวนั้นเกี่ยวกับศิษย์พี่ฉิน… ครั้งล่าสุดเขาบอกว่าเขาจะต้องออกไปสู่ยุทธภูมิเหมือนกัน และข้ายังไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขาเลย”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ฉินของเจ้าจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ของศิษย์พี่เย่นั่นล่ะที่พูดยาก… แต่วางใจเถิด หลังจากเรากลับไป ข้าจะไปที่โถงคนงานและถามพวกศิษย์พี่คนอื่นๆ เกี่ยวกับเขาให้”


 


 


“ทำไมท่านถึงมั่นใจนัก”


 


 


“แน่นอน” สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยหลุกหลิกขณะที่นางพูด “สถานะของศิษย์พี่ฉินนั้นพิเศษ พวกเขาไม่ปล่อยให้เขาต้องรับมือกับเรื่องเสี่ยงตายอย่างแน่นอน อีกอย่างท่านอาจารย์โส่วจิ้งก็อยู่ที่นั่นด้วย”


 


 


“อืม… นั่นก็จริง”


 


 


ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ยังคงวิตกกังวล ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เยี่ยจิ่งเหวินได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังมาหลายปีแล้วและตอนนี้ก็อยู่ในขั้นกลางแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉินซี ในทางกลับกัน เพิ่งจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเมื่อไม่กี่ปีก่อนเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงวิธีการและพลังศักดิ์สิทธิ์เลย นางเป็นห่วงว่าดินแดนของเขานั้นยังไม่เสถียรพอ ต่อให้เขามีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด แต่มันก็คงจะไร้ค่าถ้าระดับการฝึกตนของเขาไม่มั่นคงพอ


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่ต้องเป็นกังวลนานนักเพราะไม่นานหลังจากที่ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินออกจากภูเขาไป นางก็ได้รับแจ้งว่าให้ออกจากภูเขาไปกับหลัวเฟิงเสวี่ยและให้ไปช่วยเหลือคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 108 สถานการณ์ในสนามรบ

 

ขณะที่นางมองคลื่นกลุ่มควันและฝุ่นด้านล่าง โม่เทียนเกอย่นคิ้วอย่างช่วยไม่ได้


 


 


นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสถานการณ์ภายนอกนั้นจะโกลาหลขนาดนี้


 


 


กลุ่มคนต่างหนีไปทางนั้นทางนี้ในขณะที่สัตว์ปีศาจระดับต่ำกำลังไล่ล่าพวกเขา คนที่ไม่สามารถหนีพ้นหรือล้าหลังก็จะถูกกำจัดด้วยสัตว์ปีศาจนั่นและจบลงด้วยการบาดเจ็บสาหัสหรือถูกกลืนกินเข้าไปแทน


 


 


โม่เทียนเกอกำหมัดและเม้มปากแน่น อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงครองสติเอาไว้ได้อยู่ นางมองไปที่อาจารย์เต๋าซู่ซิน ผู้ที่นำพวกนางและเรียกด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ลุงซู่ซิน?”


 


 


อาจารย์เต๋าซู่ซินเป็นผู้หญิงที่ดูเย็นชา ในขณะนี้นางดูเย็นชายิ่งกว่าเดิมขณะที่ยกมือขึ้น และเขวี้ยงแส้หางม้าไปยังสัตว์ปีศาจที่อยู่เบื้องล่าง


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของนาง โม่เทียนเกอและคนอื่นๆ ก็เริ่มที่จะโจมตีไปด้วย


 


 


เลือดสาดกระจายไปทั่ว แขนขาขาดสะบั้นกระจัดกระจาย เหล่านี้ต่างเป็นสัตว์ปีศาจระดับต่ำทั้งนั้น การที่เผชิญหน้ากับการโจมตีจากศิษย์หลายคนนั้นใช้เวลาในการจัดการเพียงไม่นาน


 


 


โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังเช็ดรอยเลือดจากมือของนางมองไปที่หลัวเฟิงเสวี่ย


 


 


สีหน้าหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นซีดมาก นางกระซิบ “เรื่องต่างๆ มันลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร…”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตัวสั่นเทาเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะเป็นศิษย์ของโรงเรียนที่โดดเด่นตั้งแต่สมัยที่ยังเด็ก นางไม่เคยที่จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นองเลือดเช่นนี้มาก่อน โม่เทียนเกอจับมือของนางและพูดว่า “ศิษย์พี่หลัว พวกเราเพียงแค่จะต้องฆ่าสัตว์ปีศาจเท่านั้น”


 


 


ใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะรวบรวมสติของนางได้ นางพยักหน้าและพูด “อย่าได้กังวลไป ข้าชินชากับมันได้” นางยิ้มเล็กๆ อย่างขมขื่น ก่อนจะกล่าวต่อ “ความจริงแล้ว โรงเรียนเสวียนชิงคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข ศิษย์ของพวกเราหลายคนได้เข้าร่วมการประลองภายในทุกสามเดือน แต่ข้าชอบทำงานต่างๆ ให้กับโรงเรียนเสียมากกว่า ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะต้องออกมาต่อสู้ ข้าตามใจตัวเองมากเกินไป”


 


 


กลุ่มคนส่วนมากหนีมาทางพวกเขาซึ่งประกอบไปด้วยมนุษย์จากตลาดนัดหรือไม่ก็มนุษย์ที่เกิดอยู่ในตระกูลต่างๆ ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยแล้ว พวกเขาต่างก้มคำนับให้กับกลุ่มของโม่เทียนเกอ บางคนถึงขนาดขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสารให้พาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย


 


 


ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาที่หัวใจโม่เทียนเกอ ทำให้นางต้องหันไปมองทางอาจารย์เต๋าซู่ซิน


 


 


อาจารย์เต๋าซู่ซินส่ายหน้า “พวกเรายังมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นต้องทำ พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าอาจารย์เต๋าซู่ซินไม่ได้หาข้ออ้าง กลุ่มของนางมีเพียงแค่ประมาณยี่สิบคนทั้งหมด ถ้าพวกเขาพาคนเหล่านี้ไป พวกเขาก็จะล่าช้าโดยที่ไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ ยิ่งพวกเขาช้าสถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในเมื่อมันนอกเหนือกำลังที่พวกเขาจะช่วยได้ พวกเขาก็จะต้องไม่ฝืนตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม บางคนยังคงตะโกน “อาจารย์ลุงหากพวกเราทิ้งพวกเขา ข้าเกรงว่าเหล่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเสียชีวิตเป็นแน่!”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินชำเลืองมองดูผู้นั้นอย่างเย็นชาก่อนที่นางจะพูดว่า “ถึงพวกเราโรงเรียนแห่งเต๋าจะยึดถือกฎแห่งลัทธิเต๋าอย่างเคร่งครัด แต่ก็สำคัญเช่นกันที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ในตอนนี้การที่จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ถ้าเหล่าคนกลุ่มนี้ออกจากอาณาเขตของภูเขาคุณอู๋ได้ไว พวกเขาก็จะยังรักษาชีวิตไว้ได้ พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปมีส่วนร่วม ปล่อยไป!”


 


 


พูดจบ นางก็ควบคุมอาวุธวิเศษบินได้ของนางออกจากสถานที่นั้นไปในชั่วพริบตา


 


 


ถนนสู่ความเป็นเซียนนั้นไม่ใช่ไม่มีความเมตตาแต่อย่างใด เพียงแต่ความเมตตานั้นมีขอบเขตที่จำกัด ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะถอนใจอยู่ภายในแต่นางก็ยังคงเงียบต่อไป


 


 


หลายวันต่อมา ทุกคนก็ไปถึงจุดหมาย


 


 


ภูเขาไท่กังมีม่านพลังป้องกันขุนเขาอยู่แล้ว สัตว์ปีศาจต่างเคยทรมานในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาตมาก่อน ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าที่จะโจมตีภูเขาไท่กังโดยตรง พวกมันเลือกที่จะทำร้ายกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ และตระกูลที่เป็นเครือข่ายของโรงเรียนเสวียนชิงที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาไท่กังแทน


 


 


เห็นได้ชัดเจนว่าเพราะเหตุนี้โรงเรียนเสวียนชิงจึงไม่สามารถหลบหลีกการจลาจลนี้ได้ ทรัพยากรหลายๆ อย่างที่มอบให้กับศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนใหญ่มาจากเหล่าตระกูลผู้ฝึกตนและกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ พวกนี้ทั้งนั้น หากขาดพวกเขาไป รากฐานของโรงเรียนเสวียนชิงครึ่งหนึ่งก็จะถูกทำลาย


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะออกจากภูเขา โม่เทียนเกอรู้มาว่าศึกในคุณอู๋ตะวันตกมักจะอยู่ที่ผาลั่วเยี่ยน ตระกูลผู้ฝึกตนและกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ย้ายมาที่นี่เช่นกัน


 


 


จากระยะไกล ทุกคนต่างมองเห็นม่านพลังขนาดใหญ่ที่ปกคลุมหน้าผาเอาไว้ ภายในม่านพลังกระโจมพักเห็นได้ทั่วจนเหมือนกับมันจะปกคลุมพื้นที่ไปทั้งหมด


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของอาจารย์เต๋าซู่ซินถมึงทึงขึ้นมาในทันที นางพาทุกคนให้หยุดรออยู่ด้านนอกของม่านพลัง


 


 


กลุ่มผู้ฝึกตนหน่วยลาดตระเวนรีบตรงมาทางพวกเขา ทำความเคารพก่อนที่จะถาม “ท่านพี่จากโรงเรียนเสวียนชิง ข้าขอทราบชื่อแห่งเต๋าของท่านพี่ได้หรือไม่”


 


 


ศิษย์ของท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินก้าวไปทางด้านหน้าและตอบ “ท่านอาจารย์เต๋าของข้าชื่อซู่ซิน พวกเราได้รับคำสั่งจากฝ่ายของเราให้มาช่วยเหลือ”


 


 


“โอ้ ท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินนี่เอง ได้โปรดอภัยให้ศิษย์น้องด้วยที่ไม่ได้ให้การต้อนรับท่านเร็วกว่านี้ ข้าน้อยหงหยวนแห่งสำนักซั่งชิงเป็นผู้ที่คอยดูแลหน่วยลาดตระเวนในผาลั่วเยี่ยนในตอนนี้ ศิษย์น้องไม่ได้เจตนาจะทำให้ท่านอาจารย์เต๋าขุ่นเคือง และหวังว่าท่านอาจารย์เต๋าจะอภัยให้แต่ท่านอาจารย์เต๋ารบกวนช่วยแสดงแผ่นจารึกประจำตัวของท่านด้วยได้หรือไม่ขอรับ” หงหยวนผู้นี้ช่างสุภาพนักแต่เขาเองก็ไม่ได้ลืมหน้าที่ของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใส่เครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิง เขาก็ยังจำได้ว่าจะต้องตรวจสอบแผ่นจารึกประจำตัวเช่นกัน


 


 


อาจารย์เต๋าซู่ซินพยักหน้าพร้อมหยิบแผ่นจารึกออกมา


 


 


เมื่อยืนยันตัวตนจากแผ่นจารึกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หงหยวนพูดด้วยความเคารพ “ท่านพี่ได้โปรดรออยู่ตรงนี้สักครู่ น้องจะไปแจ้งท่านพี่หลิงซีให้เปิดม่านพลังแก่ท่าน”


 


 


เมื่อเขาได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์เต๋าซู่ซิน หงหยวนได้ส่งเครื่องรางเรียกขานออกไป ไม่นานพวกเขาก็เห็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิงมาทางพวกเขาพร้อมกับศิษย์อีกหลายคน ผู้ฝึกตนคนนั้นพูด “ศิษย์พี่ซู่ซิน ท่านมาด้วยรึ”


 


 


ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของอาจารย์เต๋าซู่ซินจะยังคงเย็นชา แต่สายตาของนางดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องหลิงซี ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


โม่เทียนเกอไม่เคยพบกับอาจารย์เต๋าหลิงซีมาก่อน แต่คนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์นัก คาดว่าเขาจะมีทักษะที่เหนือชั้นทีเดียว


 


 


อาจารย์เต๋าหลิงซีพูด “ศิษย์พี่เชิญด้านในก่อนและค่อยคุยถึงรายละเอียดกันอย่างช้าๆ” หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้นเขาก็พาทุกคนเข้าไปสู่ด้านในของม่านพลัง เขาพูดกับศิษย์ของเขาให้รวบรวมเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขณะที่เขานำอาจารย์เต๋าซู่ซินไปที่กระโจมใหญ่ด้านใน


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างตอบรับการจัดการต่างๆ สำหรับพวกนางโดยที่ไม่ได้บ่นอะไร


 


 


ในทางกลับกัน เมื่ออาจารย์เต๋าซู่ซินเดินเข้าไปในกระโจม นางก็ต้องตกตะลึง กระโจมใหญ่นี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนประมาณยี่สิบคนที่ล้วนอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งหมด พวกเขาส่วนมากเป็นคนของโรงเรียนเสวียนชิงในขณะที่คนอื่นๆ เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่เป็นเครือข่ายของโรงเรียนเสวียนชิง ผู้ฝึกตนส่วนมากของโรงเรียนเสวียนชิงที่ถูกส่งในออกมาสู่สงครามต่างอยู่ที่นั่น ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงรวมตัวกันอยู่ในที่เดียว


 


 


“ศิษย์น้องซู่ซิน เจ้ามาด้วยหรือ!” อาจารย์เต๋าเสวียนอินอุทานออกมาเมื่อเห็นนาง รวมซู่ซินด้วยแล้วนั้นจากเจ็ดผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในยอดเขาวสันต์กระจ่าง มีสี่คนที่อยู่ที่นั่น จำนวนผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังของยอดเขาอื่นก็พอๆ กัน ดังนั้นครึ่งหนึ่งของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังแห่งโรงเรียนเสวียนชิงได้เข้ามารวมอยู่ในใจกลางการจลาจลของสัตว์ปีศาจนี้แล้ว


 


 


เมื่ออาจารย์เต๋าซู่ซินทักทายทุกคนจนครบ นางนั่งอยู่ข้างๆ อาจารย์เต๋าเสวียนอินและพูด “ศิษย์พี่เสวียนอิน ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหน้า “หลายวันก่อน สหายระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเราหลายคนถูกฆ่าตาย”


 


 


“อะไรนะ!” อาจารย์เต๋าซู่ซินหันไปมองรอบๆ พร้อมขมวดคิ้ว ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังประมาณเจ็ดถึงแปดคนจากโรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้อยู่ที่นั่น นางถาม “แล้วศิษย์น้องชิงหยวนและโส่วจิ้งล่ะ”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “ศิษย์น้องชิงหยวนกำลังออกไปปฏิบัติภารกิจ และศิษย์น้องโส่วจิ้ง…” เขาหยุดพูด ทำให้อาจารย์เต๋าซู่ซินถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ศิษย์น้องโส่วจิ้งหายตัวไป” อาจารย์เต๋าเสวียนอินขมวดคิ้วและพูดต่อ “ในสนามรบเมื่อหลายวันก่อน ศิษย์น้องโส่วจิ้งต่อสู้กับสัตว์ปีศาจแสงสว่างระดับเจ็ด พวกเราไม่สามารถติดต่อเขาได้ ในขณะนั้นนักพรตเต๋าระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้มาถึง หลายคนถูกฆ่าตายในขณะที่อีกหลายคนก็หายตัวไป ความจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่พวกเรากำลังถกเถียงกันอยู่”


 


 


“หายไป…” อาจารย์เต๋าซู่ซินส่ายหน้าพร้อมพูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงแม้ว่าสัตว์ปีศาจแสงสว่างระดับเจ็ดนั้นจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังระดับท้ายๆ แต่ศิษย์น้องโส่วจิ้งนั้นฉลาดหลักแหลม อีกอย่างเขาครอบครองอาวุธวิเศษสำหรับหนี ดังนั้นชีวิตของเขาไม่น่าจะเป็นอันตรายนัก ข้าเกรงว่าเขาจะบาดเจ็บและซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ”


 


 


“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเช่นกัน” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้า แต่ร่องรอยแห่งความกังวลบนสีหน้าของเขาไม่ได้ลดลง เขาพูด “อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มันไกลเกินกว่าที่จะดีได้แล้ว ศิษย์น้องโส่วจิ้งหายตัวไปทำให้ข้ากังวลใจยิ่งนัก”


 


 


อาจารย์เต๋าซู่ซินได้แต่เพียงพยักหน้า หลังจากนั้นไม่นาน นางถามขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่เสวียนอิน ศัตรูของเราแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเรามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมากมาย พวกเราไม่ได้เปรียบบ้างเลยหรอกหรือ”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินฝืนยิ้มและพูด “ศัตรูของเรามีประมาณห้าถึงหกตัวที่เป็นสัตว์ปีศาจระดับเจ็ด และมากกว่าสิบสองตัวที่เป็นสัตว์ปีศาจระดับห้าและหก จำนวนของพวกมันมีมากกว่าเราเยอะนัก และระดับการฝึกตนของพวกมันก็ค่อนข้างสูง มันช่าง…”


 


 


“พวกมันมีสัตว์ปีศาจระดับเจ็ดเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ” อาจารย์เต๋าซู่ซินตกตะลึงถึงขีดสุด สัตว์ปีศาจระดับเจ็ดนั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังระดับท้ายๆ แต่ทางฝั่งผู้ฝึกตนนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่ในระดับท้ายๆ ของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง!


 


 


“ถูกต้องแล้ว นี่จึงเป็นปัญหาที่ยากลำบากยิ่งนัก…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดขณะที่ส่ายหัวของเขา


 


 



 


 


“อะไรนะ!” เมื่อโม่เทียนเกอซึ่งอยู่ในกระโจมพักชั่วคราวได้ยินข่าวที่หลัวเฟิงเสวี่ยได้รับมา นางถึงกับประหลาดใจ


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “จากที่ข้าได้ยิน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งสู้กับสัตว์ปีศาจระดับเจ็ดก่อนจะหายตัวไปเมื่อประมาณเจ็ดแปดวันแล้ว”


 


 


โม่เทียนเกอหยุดจากงานที่กำลังทำอยู่ นางนั่งลงและถาม “แล้วศิษย์พี่ฉินล่ะ”


 


 


“…เขาเองก็หายตัวไปเช่นเดียวกัน” หลัวเฟิงเสวี่ยชำเลืองมองที่โม่เทียนเกอก่อนที่จะพูด “เจ้าอย่าได้กังวลไป เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีข่าวก็ถือว่าเป็นข่าวดี?”


 


 


หลังจากที่นั่งมึนอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงถามต่อ “คนอื่นๆ ออกไปตามหาพวกเขาหรือไม่”


 


 


“ข้าได้ยินเพียงว่าอาจารย์ลุงชิงหยวนอาจจะออกไปตามหาอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวเช่นกันในตอนนี้ ดังนั้นก็เลยยังไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไร”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนกับลมหายใจของนางติดอยู่ที่หน้าอกและไม่สามารถหายใจออกมาได้ อย่างไรก็ตามความคิดฝั่งเหตุผลของนางก็บอกกับตัวเองว่านางไม่สามารถช่วยอะไรได้ในเรื่องนี้ และการที่จะเป็นกังวลไปนั้นไร้ประโยชน์เช่นกัน


 


 


นางยืนขึ้น ครุ่นคิด และกลับลงมานั่งอีกครั้ง นางทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนหลัวเฟิงเสวี่ยไม่สามารถทนต่อไปได้จึงพูดว่า “ใจเย็นก่อน ด้วยระดับการฝึกตนของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งแล้วนั้น เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”


 


 


“ไม่ใช่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งที่ข้าเป็นห่วง!” โม่เทียนเกอหลับตาและสูดหายใจเข้าลึก อย่างไรก็ตามนางรู้ตัวว่าไร้ประโยชน์ หัวใจของนางยังคงเต้นแรง นางต้องการที่จะรีบออกไปด้านนอนแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยติดอยู่ในภวังค์ความคิด นางมองที่โม่เทียนเกออยู่เป็นเวลานานทันใดนั้นนางก็ถาม “เจ้าชอบศิษย์พี่ฉินอย่างนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก็ส่ายหน้าตอบในทันที “ไม่…”


 


 


“ถ้าเจ้าไม่ได้ชอบ แล้วเจ้ากังวลไปเพื่ออะไร”


 


 


“ข้า… ข้าก็แค่กังวล…”


 


 


“เจ้าไม่ได้ชอบเขา แล้วเจ้ากังวลเรื่องอะไร” หลัวเฟิงเสวี่ยขมวดคิ้วและพูดอย่างบูดบึ้ง “เทียนเกอ ข้าแนะนำเจ้าอย่างนะ ถ้าเจ้ามีความคิดเช่นนั้น เจ้าควรที่จะหยุดเสีย เขา…”


 


 


“ข้ารู้!” โม่เทียนเกอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้และยกมือขึ้นปิดหน้า นางพูด “ข้ายอมรับว่าครั้งหนึ่งข้า…แต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูด ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าสาบานได้ว่าข้าไม่ได้หลงผิดไป ข้ามองเขาเป็นเพียงแค่สหาย ถ้าคนที่หายไปคือเจ้าหรือพี่ใหญ่เยี่ยข้าก็คงจะกังวลเช่นเดียวกัน!”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายนางจะถอนหายใจและพูด “ตกลง ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถึงแม้ว่าข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้ว่า…”


 


 


“รู้อะไร” คำพูดของหลัวเฟิงเสวี่ยถูกแทรกด้วยเสียงที่มาจากทางด้านนอก ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็เปิดม่านกระโจมออกและเดินเข้ามาด้านใน


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่!”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงประหลาดใจของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นและเห็นหันชิงอวี้มองมาที่พวกนางด้วยรอยยิ้ม นางรีบยืนขึ้นและเรียก “ศิษย์พี่หัน”


 


 


หันชิงอวี้เป็นคนที่ดูเป็นมิตรและอ่อนโยน ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นคนสวย แต่นางก็เป็นคนที่น่าดึงดูดใจและยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยโผเข้าหาหันชิงอวี้และตะโกนอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร” หันชิงอวี้ตอบขณะที่ลูบหัวหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างสนิทสนม นางอายุมากกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยมากนัก หากเทียบกับลำดับอายุในโลกมนุษย์ นางนั้นแก่มากพอที่จะเป็นคุณทวดของหลัวเฟิงเสวี่ยได้เลยทีเดียว นางได้มองดูหลัวเฟิงเสวี่ยเติบโตและมองว่าหลัวเฟิงเสวี่ยเป็นเหมือนกับน้องของนาง


 


 


เมื่อปลอบหลัวเฟิงเสวี่ยแล้ว หันชิงอวี้หันมามองที่โม่เทียนเกอ นางยิ้มพร้อมพูดว่า “เทียนเกอข้ายังไม่ได้มีโอกาสแสดงความยินดีกับเจ้าที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังได้เลย เจ้าต้องเหนื่อยกับการเดินทางครั้งนี้มากทีเดียว ใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มให้นางและพูดตอบ “ขอบพระคุณศิษย์พี่หันมาก ข้าดีใจนักที่ท่านไม่เป็นอะไร พวกเราเป็นกังวลมากทีเดียว”


 


 


หันชิงอวี้ยิ้มอย่างนุ่มนวลและนั่งลง นางพูดอย่างอ่อนโยนกับหลัวเฟิงเสวี่ยและตำหนิ “เฟิงเสวี่ย ในอนาคต เจ้าจะต้องไม่พูดคำพวกนั้นอย่างสะเพร่า มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ อาจมีคนได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด”


 


 


“ข้ารู้ศิษย์พี่ใหญ่” หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


 


หันชิงอวี้พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม นางหันมามองที่โม่เทียนเกออีกครั้งและกล่าว “ข้ามาดูพวกเจ้าสองคน ในขณะเดียวกัน ข้าก็อยากจะบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง เจ้าทั้งสองคนอาจจะได้เผชิญหน้าเข้ากับสัตว์ปีศาจในไม่ช้า ดังนั้นพวกเจ้าควรที่จะเตรียมตัวไว้” 

 

 


ตอนที่ 109 ต่อสู้

 

“…โม่เทียนเกอ!”


 


 


โม่เทียนเกอได้ยินชื่อตัวเอง ก็ก้าวไปข้างหน้า ข้างๆ นางมีผู้ฝึกตนราวๆ เจ็ดหรือแปดคนยืนอยู่ และก็เช่นเดียวกันกับนาง ชื่อพวกเขาถูกเรียกและได้รับมอบหมายงานแบบเดียวกัน


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกวาดสายตามองพวกเขาอย่างเคร่งขรึม เขากล่าว “กลุ่มของเจ้านำโดยเว่ยจยาซือ ภารกิจครั้งนี้คือการช่วยเหลือและช่วยชีวิตสหายนักพรตที่บาดเจ็บของพวกเรา เข้าใจหรือไม่”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


” ขอรับ”


 


 


ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงโบกมือและกล่าวว่า “ไปได้”


 


 


โม่เทียนเกอตามเว่ยจยาซือออกจากสถานที่นั้นไปเงียบๆ


 


 


กลุ่มของพวกเขาประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บาดเจ็บหรือไม่ก็มีระดับการฝึกตนค่อนข้างต่ำ ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงจงใจมอบหมายงานง่ายๆ ให้พวกเขาอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ขณะที่พวกเขาบินออกจากผาหลัวเหยียน การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขาทั้งแปดคนยืนอยู่พักหนึ่งบนไหล่เขา ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเห็นสัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทีละตัวๆ กำลังวิ่งหรือเหาะมาทางหน้าผา ผู้ฝึกตนบนหน้าผาหลัวเหยียนเองก็เริ่มที่จะก้าวออกไปเพื่อเผชิญกับศัตรู


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอได้ยินเสียงหลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบว่า “ดูตรงนั้นสิ”


 


 


โม่เทียนเกอมองขึ้นไปและเห็นสัตว์ปีศาจหางยาวปรากฏกายบนท้องฟ้า จากแรงเคลื่อนไหวของมัน มันคือสัตว์ปีศาจระดับห้าเป็นอย่างต่ำ สามารถสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบคนได้ในคราเดียวและไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย


 


 


หางของมันยาวอย่างน้อยหลายสิบจั้ง ทุกครั้งที่มันสะบัดหาง ถ้ามีใครที่หลบไม่ทัน พวกเขาจะต้องตกจากเครื่องมือเวทบินได้แน่ ด้วยเหตุนั้นเว่ยจยาซือจึงพูดว่า “ไปช่วยพวกเขา”


 


 


ทั้งแปดคนในกลุ่มของพวกเขาเหาะไปทางผู้บาดเจ็บ คว้าตัวพวกเขาขึ้นมาและพาไปยังด้านหลังของหน้าผาหลัวเหยียน ซึ่งตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับดูแลผู้บาดเจ็บ


 


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ มีใครบางคนเหาะขึ้นมาทักทาย


 


 


เว่ยจยาซือเรียก “ศิษย์พี่ค่วง!”


 


 


คนผู้นั้นใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วและมีท่าทางที่เฉยเมย ถึงกระนั้นทุกท่วงท่าของเขากลับเผยให้เห็นความสง่างาม เขาเพียงแค่พยักหน้าให้เว่ยจยาซือก่อนจะหันกลับไปเรียกใครคนหนึ่ง “เสี่ยวไป๋!”


 


 


เด็กหนุ่มในระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังวิ่งมาทางพวกเขาจากด้านหลัง


 


 


“ศิษย์พี่ค่วงจู๋”


 


 


หลังจากคนเจ็บถูกพาตัวไป ศิษย์พี่ค่วงพูดพร้อมกับเดินกลับไป “ยาพร้อมหรือไม่ เจ้าเริ่มได้เลย!”


 


 


“อื้อ” เด็กหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าให้พวกเขาก่อนจะตามศิษย์พี่ค่วงไป


 


 


พอถูกปฏิบัติด้วยท่าทางเย็นชาใส่ เว่ยจยาซือผู้ทะนงตนตลอดกาลไม่ได้ดูพอใจนัก นางเพียงแค่เหลือบมองพวกเขาที่เหลือและพูดว่า “ไปต่อ”


 


 


โม่เทียนเกอเหาะอยู่ด้านหลังนางและยังคงทำงานร่วมกับหลัวเฟิงเสวี่ยต่อไปเพื่อตามหาคนเจ็บและพาพวกเขากลับมา


 


 


พอพวกนางอยู่ห่างจากเว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ยแอบกระซิบถามว่า “เจ้าไม่สงสัยหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอที่กำลังมองสนามรบที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนางพยักหน้ารับ


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มลึกลับและบอกว่า “ศิษย์พี่ค่วงจู๋เป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เป็นศิษย์ผู้ชายที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียนนอกเหนือจากอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง”


 


 


“จริงรึ” โม่เทียนเกอถาม เมื่อเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทาง ศิษย์พี่ค่วงคนนี้ก็ทั้งหล่อและสง่างามจริงเสียด้วย


 


 


“ใช่…” เมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงว่อกแว่ก นางถอนใจและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่พยายามทำให้เจ้ายิ้มอีกแล้ว มันคงจะยากเกินไปสำหรับเจ้า”


 


 


“ศิษย์พี่หลัว…” ไม่มีทางที่โม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยพยายามจะทำให้นางร่าเริง แต่ก็เพราะตอนนี้นางยิ้มไม่ออกจริงๆ


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยบอกใบ้ว่าโม่เทียนเกอไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทั้งสองคนจึงค้นหาผู้บาดเจ็บต่อไป บางครั้งบางคราวพวกเขาก็จะเจอเข้ากับศพสภาพเละเทะและชิ้นส่วนร่างกายกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ใบหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ยซีดเผือดซึ่งทำให้โม่เทียนเกอเป็นห่วงนาง โชคดีที่หลัวเฟิงเสวี่ยชินกับมันได้ค่อนข้างเร็ว


 


 


ด้วยเวลาที่ผ่านไป การต่อสู้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น สัตว์ปีศาจระดับห้าหรือแม้แต่ระดับสูงกว่าคืบคลานเข้ามาใกล้เป็นบางครั้ง และเมื่อเกิดขึ้น ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะมาเพื่อเผชิญกับพวกมันซึ่งๆ หน้าโดยทันที การต่อสู้ด้วยพลังเวทระหว่างผู้ฝึกตนและสัตว์ปีศาจในระดับนั้นสามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนและเปลี่ยนภูเขาได้เลยทีเดียว โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำจะได้รับบาดเจ็บ และด้วยผู้คนที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแยกตัวกันเพื่อไปช่วยคนอื่นๆ


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังรีบเร่งไปในเส้นทางของนาง จู่ๆ ก็มีลมพายุพัดมาทางนาง ทำให้โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่บนกระบี่บินเริ่มทรงตัวไม่อยู่และเกือบจะตกลงไป นางรีบเหยียบกระบี่บินเอาไว้อย่างทันท่วงทีและเลี้ยวกลับเพื่อไปดูว่าอะไรที่กำลังไล่ตามนางมา


 


 


โดยไม่คาดคิดมันคือสัตว์ปีศาจระดับสาม!


 


 


เหงื่อเย็นเฉียบไหลออกมาทั่วร่างของนางในทันที


 


 


ดวงตาสัตว์ปีศาจเผยให้เห็นถึงลางร้าย มันตบอุ้งมือเข้าด้วยกันก่อให้เกิดลำแสงสีแดงที่ยิงตรงมาทางนาง


 


 


โม่เทียนเกอบินไปรอบๆ เพื่อหลบหลีกอยู่บนกระบี่บินของนาง ถือเครื่องรางไว้ในมือข้างหนึ่งและ


 


 


เขวี้ยงกระสวยอัปสราด้วยมืออีกข้าง


 


 


กระสวยอัปสราแปรเปลี่ยนไปเป็นแสงสีทองซึ่งในไม่ช้ากลายเป็นคมดาบบางเฉียบที่พุ่งเข้าหาสัตว์ปีศาจตัวนั้น


 


 


สัตว์ปีศาจระดับสามเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นกลาง หลังจากโม่เทียนเกอก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางยังไม่เคยได้ต่อสู้กับอะไรเลย ดังนั้นตอนนี้นางจึงค่อนข้างระวังตัวเป็นอย่างมาก นางควบคุมกระสวยอัปสราและในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็เริ่มจะขว้างเครื่องรางออกไปด้วย


 


 


เครื่องรางเหล่านี้เป็นของที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมอบให้นางก่อนที่นางจะออกจากภูเขา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่และแวะไปทำความเคารพท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาก็ได้ให้เครื่องรางจำนวนมากแก่พวกเขาเพื่อไว้ป้องกันตัวอีก


 


 


“แว่วเสียงลมเสียงฝน” และ “วายุโหมเมฆา” เครื่องรางธาตุลมระดับสูงมากมายหลายอันตกลงไปและทำให้สัตว์ปีศาจผละถอยหลังออกไปหลายก้าว โม่เทียนเกอเรียกกระสวยอัปสราคืนมาโดยเร็วและควบคุมกระบี่บินเพื่อจะหนี


 


 


อย่างไรก็ตาม หนังของสัตว์ปีศาจนั้นหนามาก ส่วนใหญ่แล้วแรงของการโจมตีไปที่ตัวของพวกมันจึงจะอ่อนมาก ในวินาทีถัดมา สัตว์ปีศาจตัวนั้นก็เริ่มกลับมาไล่ตามนางอีกครั้ง


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับไปดู คนรอบตัวนางล้วนจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง ไม่มีใครเข้ามาช่วยนางเลยสักคน


 


 


สัตว์ปีศาจเคลื่อนไหวอย่างเร็ว ในเวลาแค่ชั่วครู่ มันก็เกือบจะไล่ตามนางทันแล้ว นางยกมือขึ้นและปล่อยกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง


 


 


สัตว์ปีศาจตัวนี้อยู่ในระดับสาม เพราะฉะนั้นจึงฉลาดกว่าสัตว์ป่าทั่วไป มันรู้ถึงพลังของกระสวยอัปสราจึงใช้อุ้งมือหน้าข้างหนึ่งของมันทำท่าตบเข้าอย่างแรงในทันที ทันใดนั้น เวทมนตร์ธาตุไฟก็ปรากฏขึ้นจากอุ้งมือของมัน


 


 


โม่เทียนเกอควบคุมกระบี่บินของนางและบินไปรอบๆ ตัวสัตว์ปีศาจ กระสวยอัปสรายังคงถูกขว้างออกไปและเรียกคืนกลับมาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของสัตว์ปีศาจ เมื่อมันโจมตี โม่เทียนเกอจะถอยหนี และขณะที่สัตว์ปีศาจกำลังเตรียมจะใช้เวทมนตร์ นางก็ส่งคมดาบสีทองออกไปเพื่อแทงมัน เมื่อทำเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง สัตว์ปีศาจก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปด้วยความโกรธ


 


 


ทันใดนั้น ไฟจำนวนมากตกลงมาจากฟากฟ้าราวกับห่าฝน โม่เทียนเกอตัวแข็งทื่อ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าสัตว์ปีศาจจะสามารถสำแดงเวทเช่นนี้ได้ นางรีบพุ่งไปข้างหน้าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเลี่ยงห่าฝนแห่งไฟนั้น ถึงอย่างนั้นก็ตาม จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกมาจากด้านหลัง นางหนีไม่เร็วพอและถูกการโจมตีของมันเผาไหม้เข้า


 


 


มือของโม่เทียนเกอสั่นระริกเกือบทำให้นางเสียการควบคุมกระสวยอัปสรา สัตว์ปีศาจกำลังจะเหวี่ยงอุ้งมือขนาดใหญ่ของมันอีกครั้งแต่จู่ๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าหามันมาจากด้านข้างและเสียบเข้าที่หัวของมันทันที


 


 


ขณะที่สัตว์ปีศาจร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โม่เทียนเกอคว้าโอกาสนี้เพื่อเรียกกระสวยอัปสรากลับมาก่อนจะส่งเข็มสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนไปที่หัวของมันอีกครั้ง และด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวอีกที เข็มสีทองเหล่านั้นระเบิดออกจากตัวของมัน สัตว์ปีศาจร้องคำรามอย่างดังก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นดิน


 


 


โม่เทียนเกอหันกลับไปและเห็นร่างของเว่ยจยาซือยืนอยู่ด้านข้าง


 


 


“ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่เว่ย” โม่เทียนเกอประสานมือแสดงความขอบคุณให้กับนาง


 


 


แต่แทนที่จะตอบ เว่ยจยาซือเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที


 


 


โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยตัวเอง ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เว่ยจะช่วยชีวิตโม่เทียนเกอ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์พี่คนนี้จะชอบนางเสียหน่อย


 


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตามหลังของเว่ยจยาซือไป คิ้วโม่เทียนเกอค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เส้นทางนี้…


 


 


นางไม่มีเวลามาคิดมาก โม่เทียนเกอตามนางไปโดยไม่สนใจกับแผลบนหลังที่ยังปวดอยู่


 


 


ตอนที่นางกำลังต่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้น นางก็อยู่ห่างจากสนามรบหลักมาไกลมากแล้ว เดิมทีนางคิดว่าเว่ยจยาซือแค่บังเอิญผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น


 


 


แม้ว่าเว่ยจยาซือดูเหมือนจะไล่ตามสัตว์ปีศาจ แต่โม่เทียนเกอก็รู้ว่าที่จริงเว่ยจยาซือควรที่จะช่วยเหลือคนบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปไล่ตามสัตว์ปีศาจ


 


 


นางไม่ได้ไปไกลนักเมื่อเห็นเงาร่างของหลัวเฟิงเสวี่ย หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก นางจึงส่งเครื่องรางกระจายเสียงออกไปหานาง


 


 


หลังจากได้รับเครื่องรางกระจายเสียง หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นเพื่อหาตำแหน่งของนางและบินมาหา


 


 


“มีอะไรหรือเทียนเกอ”


 


 


ขณะที่ชี้ไปยังบริเวณหนึ่งในระยะไกลๆ โม่เทียนเกอพูดว่า “ดูสิ นั่นศิษย์พี่เว่ย”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเหลือบตามองไปตามนิ้วของโม่เทียนเกอแต่ก็ยังไม่เข้าใจ นางพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่เว่ยหรือ”


 


 


“ดูทิศทางที่นางกำลังเข้าไปสิ!”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยหันไป นางจ้องมองอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สีหน้าของนางจะเปลี่ยนไปในที่สุด นางบอกว่า “ศิษย์พี่เว่ยกำลังจะออกไป!”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องต่อสู้ นางไม่จำเป็นต้องออกตามหาสัตว์ปีศาจอย่างแน่นอน อีกอย่าง ในทิศทางนั้นก็ไม่ได้มีคนอยู่สักหน่อย”


 


 


หลังจากใช้เวลาคิดแค่ชั่วครู่เดียว หลัวเฟิงเสวี่ยจึงพูดว่า “ตามไปดูนางกันเถอะ”


 


 


“นี่…” โม่เทียนเกอลังเลและบอกว่า “เรายังต้องช่วยคนบาดเจ็บนะ…”


 


 


“มีคนที่กำลังช่วยคนบาดเจ็บมากกว่ากลุ่มเล็กๆ ของเรา อีกอย่างนะ การต่อสู้ก็ใกล้จะจบลงแล้ว เช่นนั้นขาดพวกเราสองคนไปคงไม่ได้เสียหายอะไรหรอก”


 


 


เมื่อมองไปรอบๆ และรับรู้ว่าการต่อสู้ทั้งหมดมาถึงผลแพ้ชนะของมันแล้ว ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงพยักหน้าและบอกว่า “ก็ได้”


 


 


ทั้งสองคนซ่อนตัวตนของพวกนางและตามเว่ยจยาซือไปโดยที่รักษาระยะห่างจากนางพอสมควร


 


 


หลังจากผ่านยอดเขาเตี้ยๆ หลายยอดและเข้าสู่ป่า จู่ๆ กระบี่บินของเว่ยจยาซือก็เร่งความเร็วขึ้น ปิดกั้นทางที่สัตว์ปีศาจระดับสองด้านหน้านางกำลังหนี ธงเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมือของนาง นางโบกธงนั้นและมีเสียงฟ้าร้องครืนดังขึ้นให้ได้ยิน สัตว์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้านางตกลงไปทันที


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยมองหน้ากัน ทั้งคู่ยิ่งเชื่อสนิทใจ เว่ยจยาซือไม่จำเป็นต้องออกแรงหรือพยายามมากในการกำจัดสัตว์ปีศาจเลย แต่นางกลับไล่พวกมันไปในป่ามาโดยตลอด ต้องมีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน


 


 


แน่นอนว่าหลังจากฆ่าสัตว์ปีศาจตัวนั้น แทนที่จะหันกลับ นางยังคงมุ่งหน้าต่อไป นางเคลื่อนไปอย่างเร็วมากจนทั้งสองคนเกือบจะตามนางไม่ทัน


 


 


ป่าเริ่มจะรกทึบมากขึ้น พวกนางก็เข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน พวกนางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดเว่ยจยาซือก็หยุด นางสำรวจดูทั่วทั้งบริเวณราวกับว่านางกำลังมองหาอะไรบางอย่าง


 


 


“ไม่ได้การล่ะ!” หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบบอก “เราออกมาไกลจากหน้าผาหลัวเหยียนเกินไป นี่มันอันตรายมากไปแล้ว! เราควรเรียกศิษย์พี่รองกลับมาก่อน!”


 


 


โม่เทียนเกอรีบหยุดนางและพูดว่า “แต่หากเรียกนางตอนนี้ เราก็จะไม่รู้สิว่านางกำลังพยายามทำอะไร”


 


 


สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยเฉียบคมขึ้นในทันใด นางจับจ้องโม่เทียนเกอและถามอย่างจริงจัง “เทียนเกอ หรือเจ้ากำลังสงสัยว่าศิษย์พี่รอง…”


 


 


“ไม่ใช่แน่นอน!” โม่เทียนเกอพูดตัดบทหลัวเฟิงเสวี่ย นางดูขัดแย้งในตัวเองขณะที่พูดว่า “ศิษย์พี่เว่ยเพิ่งจะช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ารู้ว่าถึงแม้นิสัยของนางจะไม่ดี แต่นางก็ไม่ใช่คนเลวร้าย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนางก็ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจริงๆ”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ว่าศิษย์พี่รองพยายามจะทำอะไร ข้าก็เชื่อใจนาง” หลังจากที่นางพูดเช่นนี้จบ นางก็ไล่ตามเว่ยจยาซือไปในทันที


 


 


โม่เทียนเกออยากจะหยุดนาง แต่การเคลื่อนไหวของพวกนางจะทำให้เว่ยจยาซือรู้ตัว โดยไม่มีทางเลือกอื่น โม่เทียนเกอจึงตามหลังหลัวเฟิงเสวี่ยไป


 


 


“ศิษย์พี่รอง!”


 


 


พอเว่ยจยาซือเห็นพวกนาง สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “เจ้า…”


 


 


“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยมองไปรอบๆ และเห็นว่าดูเหมือนจะมีร่องรอยของการต่อสู้ด้วยพลังเวทอยู่ นางถามว่า “ท่านกำลังตามหาอะไรอยู่”


 


 


เว่ยจยาซือพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า”


 


 


สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยมองกลับไปที่ร่างของเว่ยจยาซือ นางจ้องเว่ยจยาซืออยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านกำลังตามหาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งหรือ”


 


 


ไม่เพียงแต่เว่ยจยาซือ แต่ขนาดโม่เทียนเกอเองก็ยังตกใจกับคำพูดของนาง


 


 


หลังเฟิงเสวี่ยพูดช้าๆ “จากที่ข้าได้ยินมา ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งหายตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแถวๆ บริเวณนี้ นอกจากนี้ ในตอนนั้นเขาปล่อยให้ท่านและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นกลับไปก่อน ที่นี่มีร่องรอยของการต่อสู้ด้วยพลังเวท ดังนั้นข้าจึงคาดว่าท่านมาที่นี่เพื่อตามหาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง”


 


 


สีหน้าของเว่ยจยาซือเปลี่ยนไป ท้ายที่สุดนางกัดฟันพูดว่า “สิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า เฟิงเสวี่ย กลับไปซะ!”


 


 


“ข้าไม่กลับ!” หลัวเฟิงเสวี่ยจ้องเว่ยจยาซืออย่างเด็ดเดี่ยวและพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ตื่นเสียที! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนที่แตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิง เรื่องบางเรื่องมันก็เป็นไปไม่ได้ถึงแม้ท่านจะมีความปรารถนาก็เถอะ”


 


 


เว่ยจยาซือ “ฮึ่ม” ใส่และพูดว่า “ข้าไม่ได้ต้องการอะไร”


 


 


“งั้นก็กลับไปกับพวกเราสิถ้าท่านไม่ได้ต้องการอะไร! เดี๋ยวอาจารย์ลุงชิงหยวนก็จะจัดการกับเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเอง มันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ท่านแอบหนีออกมา ถ้าอาจารย์ชิงหยวนหาตัวเขาไม่เจอ แล้วท่านจะหาเขาเจออย่างนั้นหรือ”


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงต่อว่าของหลัวเฟิงเสวี่ยทำให้นางโกรธ เว่ยจยาซือถลึงตาใส่และพูดว่า “ข้าบอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวกับเจ้า!”


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเหมือนกัน!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อไปอย่างไม่ปรานี “ศิษย์พี่รอง ท่านเป็นคนที่ออกจะทะนงตน ทำไมท่านถึงไม่มองอะไรตามความเป็นจริง ลองคิดดูสิ ความสามารถตามธรรมชาติของท่านไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่เลย แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านยังอ้อยอิ่งอยู่ในขั้นกลางอยู่เลย! คิดว่าท่านอาจารย์ไม่รู้อย่างนั้นรึ ท่านอาจารย์แค่อยากให้ท่านมีสติคิดได้ด้วยตัวเอง!”


 


 


“หลัวเฟิงเสวี่ย!” เมื่อไม่สามารถระงับความโกรธของนางได้ เว่ยจยาซือก็ตะโกนพลางจ้องพวกนางเขม็ง 

 

 


ตอนที่ 110 คำแนะนำ

 

หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มเยาะ นางเป็นคนเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด หากต้องเจอกับมนุษย์ นางจะพูดภาษาเดียวกับพวกเขา หากต้องเจอกับภูตผี นางก็จะพูดภาษาของพวกมันเช่นกัน นางไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นแบบซึ่งๆ หน้า อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วในตอนนี้ สายตานางที่จ้องมองมีการเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัดขณะที่นางพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ด้วยสภาพปัจจุบันของท่านตอนนี้ เป็นข้าก็คงไม่สนใจท่านหรอก อย่าว่าแต่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเลย!”


 


 


เดิมทีเว่ยจยาซือก็เป็นผู้หญิงสวย แต่ตอนนี้นางถูกหลัวเฟิงเสวี่ยทำให้โกรธจนถึงขั้นที่ใบหน้านางบูดเบี้ยวไปหมด นางยื่นมือออกไปและธงเล็กๆ สีแดงสดก็ปรากฏขึ้นในมือนาง


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือแสดงให้เห็นความอ่อนแอแต่อย่างใด นางกลับก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแทนและพูดว่า “อย่าบอกนะว่าท่านถึงขั้นต้องการจะทำร้ายสหายศิษย์ของท่าน ศิษย์พี่รอง เลิกทำพลาดได้แล้ว!”


 


 


สีหน้าขัดแย้งในตัวเองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยจยาซือ ถึงแม้นางจะโมโห แต่นางก็รู้สึกผิดด้วยเหมือนกันที่เอาเครื่องมือเวทของนางออกมา จนท้ายที่สุดนางจึงเก็บธงกลับเข้าไป


 


 


พอเห็นนางเช่นนั้น สีหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ยก็อ่อนโยนลง นางพูดช้าๆ “ศิษย์พี่รอง ข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มาตั้งแต่ข้ายังเด็ก เมื่อตอนที่ข้าเป็นเด็ก ท่านและศิษย์พี่ใหญ่ก็คอยดูแลข้า เล่นกับข้า สอนข้าให้ฝึกตนอยู่เสมอ… ท่านเป็นคนที่ฉลาดและน่าเคารพ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สนิทกันเหมือนที่เคยเป็น แต่ข้าก็ยังไม่อยากต้องเห็นท่านเดินในทางที่ผิด”


 


 


“ศิษย์พี่รอง ลองคิดดูนะ ตอนนี้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ด้วยความเร็วในการฝึกตนของเขา เป็นไปได้ว่าเขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้ภายในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า และถ้าเขาสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ ศิษย์ที่อยู่แค่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังจะทำให้เขาสนใจได้อย่างนั้นหรือ ท่านก็รู้อยู่เต็มอกว่านอกเหนือจากการฝึกตน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งก็ไม่ชอบอะไรอย่างอื่นอีกเลย ถ้าระดับการฝึกตนของท่านไม่สามารถเทียบเท่ากับเขาได้ แล้วเขาจะสนใจท่านได้อย่างไร”


 


 


ความตกใจปรากฏบนใบหน้าของเว่ยจยาซือ ไม่นานหลังจากนั้น สายตานางก็เคลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่ตัวโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ นางรู้ว่าสายตาเว่ยจยาซือหมายความว่าเว่ยจยาซือกลัวนางได้ยินเรื่องพวกนี้ แต่นางก็ได้ยินเรื่องส่วนใหญ่ไปแล้วนี่ ยังมีอะไรอีกที่นางไม่ควรได้ยินอย่างนั้นหรือ


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังคิดอยู่กับตัวเอง หลัวเฟิงเสวี่ยเข้าใจความหมายที่เว่ยจยาซือจะสื่อได้ นางหันมาหาโม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เราอยู่ไกลจากผาลั่วเยี่ยนนัก อาจจะมีสัตว์ปีศาจอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ก็เป็นได้ เจ้าช่วยออกไปเฝ้าระวังพวกมันให้หน่อยได้หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจนัยของนางได้ในทันที ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นลึกซึ้งกว่าความสัมพันธ์ที่มีกับนาง บางทีอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรจะพูดอย่างเปิดเผยต่อหน้านาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและบอกว่า “ท่านทั้งสองคุยกันได้เลย เดี๋ยวข้าจะไปช่วยดูรอบๆ ให้เอง”


 


 


“อืม” หลัวเฟิงเสวี่ยเพียงแค่ตอบสั้นๆ แต่ดวงตานางแสดงให้เห็นว่านางรู้สึกขอบคุณ


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มให้ หันกลับและเดินออกไป


 


 


เมื่อนางเห็นเงาของโม่เทียนเกอค่อยๆ ไกลออกไป หลัวเฟิงเสวี่ยโบกมือทำให้เกิดเกราะฉนวนกันเสียงที่ล้อมอยู่รอบตัวนางและเว่ยจยาซือ


 


 


“ศิษย์พี่ หากมีอะไรอย่างอื่นจะพูดอีก ก็พูดมาได้เลยตอนนี้ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ท่านเข้าใจผิดอยู่…”


 


 


เว่ยจยาซือยืนอยู่ในจุดที่โม่เทียนเกอยืนอยู่ก่อนหน้านี้ สายตานางดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ ขณะนั้นนางหลุบตาลงและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “เฟิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ในตอนแรกข้าไม่กล้าที่จะหวังสูงเกินไป แต่ตั้งแต่ที่นางมา–”


 


 


“… ศิษย์พี่ ท่านจะบอกว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งปฏิบัติกับเทียนเกอต่างกับคนอื่นเช่นนั้นหรือ”


 


 


เว่ยจยาซือพยักหน้า จากนั้นนางพูดพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น “ข้ารู้ว่าเจ้ามักจะดูถูกข้าในเรื่องนี้เสมอ ข้าจะยอมปล่อยให้คนอื่นดูถูกข้าได้อย่างไร แต่เจ้าไม่เคยตกหลุมรักใคร เจ้าไม่เข้าใจหรอก…”


 


 


“ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ข้าดูถูกเหยียดหยามเรื่องนี้ก็จริง ดังนั้นโปรดอภัยให้ข้าด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกรักใคร่ แต่ข้าก็รู้ว่าเราไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงทั่วไป เราไม่ควรจะทำตัวเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ในโลกแห่งการฝึกตน สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือระดับการฝึกตนของเรา บางทีอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่เคยสนใจชายตามองหญิงผู้ใดมานานแสนนานก็เพราะยังไม่มีหญิงคนไหนที่ควรค่ามากพอ ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้ชอบอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพราะเขาแตกต่างจากศิษย์ผู้ชายธรรมดาหรอกหรือ”


 


 


เว่ยจยาซือนิ่งเงียบไม่ตอบ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่เว่ยจยาซือกลับปฏิเสธอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาและตัวตนของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเลย ทั้งหมดนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เรื่องผิวเผินภายนอก แต่ถ้าเช่นนั้นเหตุใดนางถึงตกหลุมรักเขาเล่า


 


 


นางคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ในตอนแรกเริ่ม เมื่อนางสังเกตว่าอาจารย์ลุงท่านนี้ไม่ได้แก่กว่านางมากนัก แต่กระนั้นเขากลับสามารถชำระล้างจิตใจ หักห้ามความปรารถนา และฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง นางจึงแอบชื่นชมเขาอยู่ลับๆ ในภายหลัง ครั้นเห็นว่าวิธีการของเขาที่จริงแล้วแตกต่างจากศิษย์อย่างนางและเห็นว่าการฝึกตนของเขาพัฒนาจากดินแดนหนึ่งไปสู่ดินแดนถัดไปโดยเร็วได้อย่างไร นางก็ค่อยๆ ตกหลุมรักเขาทีละนิด หากระดับการฝึกตนของเขาไม่ได้สูง แล้วนางจะรู้สึกอย่างไรกับเขากัน


 


 


ขณะที่นางคิดถึงเรื่องนี้ นางรู้สึกขนลุกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง นางมักจะยกยอตนเองเสมอ แต่ตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้ตัวว่าที่จริงแล้วนางก็เป็นเหมือนกับผู้หญิงพวกนั้น!


 


 


“ศิษย์พี่รอง!”


 


 


เว่ยจยาซือฟื้นคืนจากภวังค์ความคิดของตัวเอง นางส่ายหน้าเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยมองนางด้วยความเป็นห่วงและถามว่า “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”


 


 


ชั่วขณะหนึ่งเว่ยจยาซือไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ นางลังเลอยู่นานก่อนจะตอบว่า “เฟิงเสวี่ย หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะคิดว่าข้าก็ไม่เอาไหนเหมือนอย่างศิษย์ผู้หญิงพวกนั้น เพราะอาจารย์ลุงยังหนุ่มแต่ก็มีระดับการฝึกตนสูง ข้าก็เลย…”


 


 


“นั่นมันไม่เป็นไรเลย” หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะและพูดว่า “ท่าทางและพฤติกรรมของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งแตกต่างจากพวกศิษย์พี่ผู้ชายคนอื่นๆ ของเราจริงๆ ล่ะ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหลงเสน่ห์เขา ศิษย์พี่ ท่านก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้ชื่นชอบการฝึกตนมากนัก ข้าสนใจในอำนาจอิทธิพลของโรงเรียนมากกว่า ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมองเรื่องต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง”


 


 


“เจ้า… เป็นคนฉลาดในหมู่พวกเรา” จากนั้นเว่ยจยาซือมองไปในทิศทางที่โม่เทียนเกอมุ่งหน้าไปและถามอย่างแผ่วเบา “เฟิงเสวี่ย นางกับเจ้าสนิทกันมาตลอด เจ้าคิดว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ลุง…”


 


 


ก่อนที่นางจะพูดจบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ส่ายหน้าอยู่ก่อนแล้วและพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ควรจะระแวงมากเกินไป ข้าไม่คิดว่าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเทียนเกอ”


 


 


“แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมอาจารย์ลุงถึงอยากจะเก็บตัวตนของเขาไว้เป็นความลับกับนางด้วยล่ะ”


 


 


“…” หลัวเฟิงเสวี่ยเองก็ดูสับสนเช่นกัน “ข้าคิดว่า… อาจารย์ลุงโส่วจิ้งต้องมีเหตุผลส่วนตัวของเขาแน่ๆ ถ้าเขามีเจตนาอะไรบางอย่างต่อเทียนเกอจริง ทำไมเขาถึงยอมให้เทียนเกอมาฝึกตนกับพวกเราล่ะ ข้าเคยเห็นสมบัติที่นางมี ที่จริงแล้วมีของบางอย่างเป็นของอาจารย์ลุง… อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิชาการปรุงยาของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะยอดเยี่ยม แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นยาวิเศษของเขาในที่พักของเทียนเกอเลยแม้แต่เม็ดเดียว เงินส่วนแบ่งของศิษย์ที่นางได้รับก็เหมือนกับของพวกเรา ความแตกต่างเดียวคือของที่ท่านปรมาจารย์ให้นาง”


 


 


เว่ยจยาซือเงียบมาสักพักแล้วเมื่อนางได้ยินหลัวเฟิงเสวี่ยพูดอีกครั้ง “ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ควรสงสัยเทียนเกอนะ ตั้งแต่ที่นางเข้ามาที่นี่ข้าก็อยู่กับนางตลอด ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง ข้าจะพูดตรงๆ กับท่าน ที่จริงแล้วเทียนเกอกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนประเภทเดียวกัน นางมีความตั้งใจแน่วแน่และฝึกตนอย่างเต็มที่เสมอ ในตอนนี้นางไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นกับเขาหรอก อย่างไรก็ตาม หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไป มั่นใจได้เลยว่าท่านจะต้องพ่ายแพ้นางแน่ในอนาคต และข้าก็เกรงว่าในภายภาคหน้าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจะมองเทียนเกอแตกต่างไปจริงๆ”


 


 


เว่ยจยาซือดูตกใจและเสียใจขณะที่นางจ้องมองหลัวเฟิงเสวี่ย


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มอย่างเหน็บแนมก่อนที่นางจะถอนหายใจ นางกล่าว “ศิษย์พี่รอง อย่าคิดว่าข้าพูดเช่นนี้เพื่อขู่ให้ท่านกลัว เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่เทียนเกอมาที่นี่และข้าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางที่สุด ข้าอาจจะไม่มีทักษะด้านอื่น แต่ข้าตัดสินนิสัยของคนได้แม่นยำเสมอ ด้วยนิสัยของเทียนเกอแล้วนั้น การเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจะต้องเกิดขึ้นได้แน่ไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์ ตราบใดที่ท่านปรมาจารย์ให้ความใส่ใจนางมากอีกสักหน่อย นางจะต้องกังวลว่าจะไม่สามารถสร้างขุมพลังของนางได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


“ส่วนอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ความสามารถของเขาโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น ในโรงเรียนเสวียนชิง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนเดียวที่อายุใกล้เคียงกับเขาคืออาจารย์ลุงหลิงซี แต่อาจารย์ลุงหลิงซีเป็นผู้ชาย ถ้าอาจารย์ลุงโส่วจิ้งสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้จริงภายในหนึ่งร้อยปีข้างหน้านี้และวางแผนที่จะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เขาจะไปหาผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่เหมาะสมจากที่ไหนมาเป็นคู่ของเขากันเล่า เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกจากผู้ฝึกตนหญิงในระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องเลือกคนที่มีศักยภาพที่จะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้ นั่นหมายความว่าเขาจะเลือกเพียงผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่แก่เกินไป… ศิษย์พี่รอง ถ้าท่านไม่ก่อขุมพลังของท่านในเร็วๆ นี้ ท่านจะไม่มีหวังแน่!”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพูดจบ เว่ยจยาซือก็เข้าใจแล้วว่านางได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ผิดไป หากไม่มีระดับการฝึกตนที่สูง อาจารย์ลุงโส่วจิ้งคงไม่มีทางสนใจนาง หากไม่สามารถก่อขุมพลังได้ นางก็คงถูกทิ้งไปเพียงเท่านั้น ช่างน่าเศร้าที่หลายปีมานี้นางลืมเรื่องระดับการฝึกตนของนางซึ่งที่จริงแล้วควรจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นางกลับละเลยสิ่งสำคัญและมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องไร้สาระ


 


 


“เฟิงเสวี่ย ขอบคุณเจ้า” ราวกับว่านางเพิ่งรู้แจ้ง ทันใดนั้นเว่ยจยาซือก็รู้สึกว่าทั้งร่างของนางผ่อนคลาย ตลอดหลายปีมานี้นางแบกรับความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ตลอดแต่ไม่เคยกล้าให้คนอื่นรับรู้ นางไม่สามารถเมินเฉย ไม่สามารถโยนมันทิ้ง และก็ไม่สามารถแยกจากกับมันได้ แม้แต่ความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของตัวเองก็ยังสูญหายไปกับการไล่ตามที่เหน็ดเหนื่อยนี้ อย่างไรก็ตาม นางกลับลืมที่มาของความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของตัวเอง หากไม่มีระดับการฝึกตนสูง แล้วนางจะทะนงตนได้จากอะไรกัน นางอยากให้คนอื่นมองนางแตกต่างไปได้จากตรงไหนกัน


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด เส้นประสาทที่ตึงเครียดของนางคลายลง พวกนางอยู่ห่างจากผาลั่วเยี่ยนมาไกลและในป่าก็มีสัตว์ปีศาจอยู่มาก นางรู้สึกกังวลใจเป็นที่สุด!


 


 


“แต่…” เว่ยจยาซือลังเล “ตอนนี้อาจารย์ลุงโส่วจิ้งหายตัวไป ที่ข้ามาไม่ใช่เพราะข้าหวังลมๆ แล้งๆ แต่ข้าเป็นกังวลจริงๆ …”


 


 


“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างร้อนรน “เทียนเกอจะต้องเหนือกว่าท่านแน่ถ้าท่านยังทำตัวเช่นนี้อีก เทียนเกอเองก็กังวลเหมือนกัน แต่นางรู้ความสามารถของตัวเองและรอคอยข่าวจากอาจารย์ลุงชิงหยวนด้วยความเต็มใจ ถ้านางทำตัวเหมือนกันกับท่าน นั่นจะไม่ยิ่งสร้างปัญหาให้ท่านอาจารย์มากขึ้นหรือ”


 


 


เว่ยจยาซือนิ่วหน้าทันทีและพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ไหนเจ้าบอกว่าเทียนเกอไม่…”


 


 


ถึงแม้นางจะรู้ตัวว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดไป แต่หลัวเฟิงเสวี่ยก็พูดต่ออย่างใจเย็น “นางคิดถึงศิษย์พี่ฉิน แต่ศิษย์พี่ ท่านไม่ควรจะคิดมากเกินไป เทียนเกอคิดกับเขาเพียงแค่สหาย”


 


 


“อย่างนั้นรึ–” จู่ๆ เว่ยจยาซือหยุดพูดกลางคันและคว้าทั้งกระบี่บินและเครื่องมือเวทของนางออกมาในทันใด


 


 


“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยอุทานด้วยความกลัว


 


 


เว่ยจยาซือไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของนางเย็นชาและเจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในสายตานาง กระบี่บินและธงเคลื่อนออกไปพร้อมกัน


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยลนลานคว้าเครื่องมือเวทของนางออกมา แต่ชั่วขณะต่อมาจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงอย่างดัง นางหันกลับไปและต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น


 


 


เว่ยจยาซือควบคุมกระบี่บินของนางพร้อมกับพึมพำร่ายคาถา ในไม่ช้า พลังวิญญาณของนางพุ่งเข้าสู่ธงอันนั้นทำให้มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นในทันที สายฟ้าแลบแปลบไปทั่วท้องฟ้า


 


 


“เฟิงเสวี่ย!” เว่ยจยาซือตะโกน “เจ้ามัวมึนงงอะไรอยู่! มีสัตว์ปีศาจอยู่ที่นี่!”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยได้สติในที่สุด นางอดไม่ได้ที่จะรุ้สึกละอายใจ นางคิดว่าศิษย์พี่ของนางต้องการที่จะ…


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของสัตว์ปีศาจที่กำลังเข้ามาทีละตัว หลัวเฟิงเสวี่ยถึงกับตกตะลึง สัตว์ปีศาจห้าตัวในระดับสองและสาม! ระดับสองเทียบเท่ากับขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะที่ระดับสามเทียบได้กับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ในพวกนางทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และอีกคนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ความแตกต่างในจำนวนคนของแต่ละฝั่งนั้นมากเกินไป!


 


 


เว่ยจยาซือที่กำลังยืนอยู่บนกระบี่บินหยิบสิ่งของออกมาหลายอย่างและยัดมันใส่ในมือของหลัวเฟิงเสวี่ย นางพูดอย่างร้อนรน “เร็วเข้า! ข้าจะกันมันไว้สักพัก ตามหาโม่เทียนเกอและวิ่งกลับไป!”


 


 


“ไม่! หากศิษย์พี่อยู่คนเดียว ท่านจะ…”


 


 


“ไป! เดี๋ยวนี้!” เว่ยจยาซือตะโกนบอก สายตานางชำเลืองมองไปทางสัตว์ปีศาจที่กำลังใกล้เข้ามาขณะที่นางพูดอย่างกระวนกระวายใจ “มันจะสายเกินไปถ้าเจ้าไม่ไปเดี๋ยวนี้! เจ้าเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและไม่เก่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท การอยู่ที่นี่จะยิ่งเป็นภาระให้ข้า! เร็วสิ กลับไปและตามหาคนอื่นให้มาช่วย!”


 


 


“แต่–” พูดยังไม่ทันขาดคำ พวกนางก็สัมผัสได้ว่าสัตว์ปีศาจกำลังเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ เราจะไปด้วยกัน!”


 


 


“ไม่ พวกมันเร็วเกินไป! ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่มีใครหนีได้แน่! เร็วเข้า! ทำตามที่ข้าบอก!”


 


 


เดิมทีหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นเป็นคนเด็ดเดี่ยว ในชั่วขณะต่อมา นางกัดฟันและบอกว่า “ตกลง ศิษย์พี่ ท่านต้องอดทนไว้นะ!”


 


 


นางหันกลับและรีบวิ่งไปในทางที่โม่เทียนเกอเดินเข้าไป กระนั้นก็ตาม นางใช้ทั้งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และใช้ตามอง แต่นางก็ไม่สามารถหาร่องรอยของโม่เทียนเกอได้เลย


 


 


“เทียนเกอ!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกนไปที่สภาพรอบๆ ตัวอย่างร้อนใจ “ออกมาเร็ว! ที่นี่มีสัตว์ปีศาจ!”


 


 


อย่างไรก็ตาม นางพบแต่ความเงียบสงัด ไม่มีการตอบสนองแม้แต่นิดเดียว ประหนึ่งว่าโม่เทียนเกอได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง 

 

 


ตอนที่ 111 ม่านพลังมายา

 

โม่เทียนเกอรู้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับม่านพลังอยู่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถเข้าใจได้ถึงม่านพลังนี้เลย 


 


 


ในขณะนี้เพราะหลัวเฟิงเสวี่ยและเว่ยจยาซือต้องการพูดกันอย่างส่วนตัว นางทิ้งพวกเขาไว้และเดินออกมาตามทางของตัวเอง นางตั้งใจจะมองหาจุดที่ไม่ใกล้และไม่ไกลที่ซึ่งนางสามารถรอและคอยสังเกตการณ์ได้ในขณะเดียวกัน ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ติดเข้ามาอยู่ในขอบเขตของม่านพลังโดยบังเอิญ 


 


 


นี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือถึงแม้ว่านางจะมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับม่านพลัง นางก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะไม่สามารถรู้ได้ว่านี่คือม่านพลังประเภทไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องทำลายมันอย่างไรเลย นางเตรียมตัวที่จะเดินย้อนกลับไปหาทั้งสองอย่างหมดหนทาง แต่นางกลับติดเข้ามาด้านในของม่านพลังอย่างไม่คาดคิดและไม่สามารถออกไปได้ 


 


 


ด้านหน้านางเป็นสีขาวไร้ซึ่งจุดหมาย ประหนึ่งว่านางถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอก ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจน หลังจากที่ครุ่นคิด โม่เทียนเกอจึงหยุดเคลื่อนไหว นางนั่งลงและปลดปล่อยจิตสัมผัสของนางแทน 


 


 


ตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางสามารถสำรวจพื้นที่บริเวณรอบๆ ด้วยจิตสัมผัสได้ในระยะหลายพันจั้ง ในเมื่อนี่คือม่านพลัง ระยะขนาดนี้น่าจะเพียงพอที่จะมองหาดวงตาของม่านพลัง 


 


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางปล่อยจิตสัมผัสเพื่อสำรวจสถานที่ หมอกรอบๆ ตัวนางก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ก่อเกิดเป็นฟองกระจายไปทั่วตั้งใจที่จะปิดกั้นจิตสัมผัสของนางไม่ให้เคลื่อนไหวไปที่ไหนได้ 


 


 


นางลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น 


 


 


มีบางสิ่งผิดปกติ ม่านพลังนี้กล้าแข็งเกินไป มันไม่ได้ถูกวางไว้ด้วยสัตว์ปีศาจอย่างแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะมีศิษย์พี่ผู้เชี่ยวชาญซ่อนตัวอยู่ที่นี่ 


 


 


เพียงแค่ความคิดนี้โผล่ขึ้นมาในจิตใจ นางนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น นางได้ลองตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง “ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ที่นี่หรือไม่”  


 


 


เสียงนางจางหายไปในกลุ่มหมอกหนาแน่น โม่เทียนเกอรอครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ยินการตอบกลับแต่อย่างใด 


 


 


ข้าเดาผิดเช่นนั้นหรือ นางครุ่นคิดก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างช้าๆ  


 


 


โดยไม่คาดคิด หมอกดูเหมือนกับกลุ่มก้อนเมฆ มันช่างหนาจนนางสามารถสัมผัสมันด้วยมือ นางเดินต่อไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวแต่นางก็รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลัง เช่นเดียวกันกับด้านขวาและด้านซ้ายล้วนเหมือนกัน ประสาทสัมผัสในเรื่องเส้นทางของนางไม่ชัดเจน และนางก็ไม่มีเส้นทางที่จะเดินตามไป 


 


 


ในขณะนั้นก็มีแสงสว่างวาบ โม่เทียนเกอหลบไปด้านข้างก่อนที่สายฟ้าจะผ่าลงไปตรงจุดที่นางเคยยืนอยู่ ทิ้งเอาไว้เป็นรอยไหม้สีดำขนาดใหญ่บนพื้นจากการระเบิด 


 


 


โม่เทียนเกอตื่นกลัว นางมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง กระนั้นก็ไม่สามารถหาร่องรอยแห่งชีวิตใดๆ เจอได้เลย 


 


 


โดยที่นางไม่รู้ตัว หมอกด้านหลังเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์ซึ่งเดินมาทางนาง 


 


 


โม่เทียนเกอสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว แต่นางรีบหลบหนีในทันใด ในวินาทีต่อมากระบี่บินได้ก็ปักลงไปบนพื้น 


 


 


จากเส้นทางที่กระบี่พุ่งออกมา นางหันกลับไปมอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่นางทำเช่นนั้นนางก็ต้องพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ท่านอารอง!”  


 


 


ในกลุ่มหมอกห่างจากนางหลายจั้ง ชายชราในชุดคลุมสีดำเครายาวยืนอยู่ ดูเหมือนสภาพของเยี่ยเจียงก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ!  


 


 


แต่เพียงเสี้ยววินาทีโม่เทียนเกอก็ระวังตัวมากกว่าเดิม นางรู้ดีว่าท่านอารองได้ตายไปแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้านางไม่ใช่ท่านอารองอย่างแน่นอน หรือว่ากลุ่มหมอกเหล่านี้จะสามารถสร้างรูปร่างออกมาจากจิตใจของนางได้ 


 


 


นางไม่มีเวลาคิดมากนัก เยี่ยเจียงคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางยกมือขึ้น แผ่นหยกลอยออกมาจากที่ไหนไม่รู้ได้ 


 


 


เมื่อเห็นแผ่นหยก ทั่วทั้งร่างของโม่เทียนเกอก็เย็นไปด้วยเหงื่อที่ออกท่วม 


 


 


แผ่นหยกนี้เป็นแผ่นปฐพีหนาทึบของท่านอารอง มันถูกทำให้บริสุทธิ์โดยพ่อของนางหลังจากที่เขาก่อขุมพลังและมันก็มีพลังอย่างมหาศาล น่าเสียดายตอนพวกนางหนีจากเขาอวิ๋นอู้และท่านอารองถูกบังคับให้ต้องสู้ มันได้สลายเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว 


 


 


นางยิ่งแน่ใจว่านี่เป็นรูปร่างที่สร้างขึ้นจากความคิดของนาง ความจริงที่ว่าม่านพลังนี้สามารถสร้างรูปร่างจากความคิดของนางและสร้างเครื่องมือเวทมนตร์ได้นั้นพิสูจน์ให้รู้ได้ว่าม่านพลังนี้มีพลังมากมายทีเดียว กระบี่บินได้เมื่อครู่นี้เหมือนจะมีพลังแฝงอยู่จริงเช่นกัน!  


 


 


ถึงแม้ว่าหน้าผากของนางจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ โม่เทียนเกอก็ไม่มีเวลาที่จะเช็ดมัน ด้วยการโบกมือของนาง นางปล่อยกระสวยอัปสราออกไป 


 


 


ถ้าหุ่นลวงตาของท่านอารองนี้มีพลังเหมือนกับตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่จริง ถ้านางประมาทเพียงแค่เล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าจะสามารถฆ่านางได้ในทันที 


 


 


แผ่นหยกลอยอยู่ในอากาศ สีหน้าเยี่ยเจียงไร้ซึ่งความรู้สึก เขากุมมือในท่ามุทราในขณะที่ร่ายเวทคาถา สอดแทรกพลังวิญญาณไปที่แผ่นหยกส่งผลให้มันขยายขนาดจนเทียบเท่ากับแผ่นเสื่อขนาดใหญ่ 


 


 


โม่เทียนเกอรู้ถึงจุดอ่อนของแผ่นหยกปฐพีหนาทึบ มันเรียกว่าแผ่นหยกปฐพีหนาทึบดังนั้นโดยธรรมชาติของมันแล้ว มันมีคุณสมบัติของดินผสมอยู่ ชั้นของผืนดินจะต้องทำให้หนา หากนางรอจนเขาแทรกพลังวิญญาณเข้าไปในแผ่นหยกจนเสร็จสิ้น แผ่นหยกจะต้องจู่โจมนางและจะต้องทำให้นางทรมานแสนสาหัสอย่างแน่นอน ในเมื่อสิ่งนี้จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อสะสมพลัง ถ้านางใช้ช่วงจังหวะอันตรายจู่โจมก่อน นางก็อาจจะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันไปได้ ดังนั้นกระสวยอัปสราของนางจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นกรงทองที่ลอยพุ่งตรงเข้าหาหุ่นเชิดนั้น 


 


 


“อ๊า!” หุ่นลวงตาร้องออกมาเมื่อถูกกรงทองหุ้มไว้ เมื่อนางเห็นท่าทางหุ่นอารองเจ็บปวดทรมาน มือของโม่เทียนเกอสั่นโดยที่ไม่รู้ตัว 


 


 


การโจมตีนี้ทำให้นางรู้ว่าถึงแม้ว่าหุ่นลวงตาจะไม่ได้มีการตอบสนองที่ความรวดเร็วเหมือนคน แต่ก็ดูคล้ายท่านอารองจริงๆ นางรู้ว่าเขาเป็นสิ่งจำลองของท่านอารอง ทว่าเขาก็ดูเหมือนจริงเกินไปจนนางก็ไม่กล้าโจมตี 


 


 


แววตาที่มุ่งร้ายฉายออกมาที่หุ่นลวงตาทันใด เขาเปลี่ยนท่าทางของมือและแผ่นปฐพีหนาทึบที่ขยายใหญ่ยิ่งขึ้นก็พุ่งตรงหานางในทันที 


 


 


โม่เทียนเกอหลบหลีก ทันใดนั้นด้วยระยะห่างหลายจั้งนางประกบมือเข้าหากัน เสียงกรีดร้องได้ยินไปทั่ว เข็มทองคำของนางพุ่งไปที่เป้าหมาย ท่านอารองตรงหน้านางค่อยๆ เลือนหายไป ทีละเล็กทีละน้อยรอยแตกปรากฏให้เห็นที่แผ่นปฐพีหนาทึบจนในที่สุดก็แตกและสลายหายไปในอากาศที่เบาบาง 


 


 


นางปาดเหงื่อบนหน้าผากในขณะที่สงบจิตใจ ในที่สุดของปลอมก็เป็นของปลอม ท่านอารองจะไม่มีทางมองนางด้วยสายตาแบบนั้นและที่สำคัญที่สุดจะไม่มีวันทำร้ายนาง 


 


 


นางหันหลังกลับและเดินไปไม่กี่ก้าวเมื่อนางต้องตกตะลึงอีกครั้ง 


 


 


ชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง ชายผู้นั้นหล่อเหล่าแต่ดูเย็นชาและขึงขัง นั่นคือรูปลักษณ์ของฉินซี!  


 


 


ในเสี้ยววินาที โม่เทียนปล่อยกระสวยอัปสราของนางออกมา ไม่เหมือนกับหุ่นลวงตาท่านอารอง หุ่นฉินซีนี้ไม่ตอบโต้เลยและดูไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีนางด้วย เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น ทำให้เข็มทองคำมาบรรจบรวมกันเป็นรูปร่างของกระสวยอัปสราก่อนหน้าพร้อมตกลงไปอยู่บนมือของเขา 


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน ตั้งแต่ที่นางได้มันมานางได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังของมัน มันสามารถกระจายและกลายเป็นม่านพลัง มันสามารถรวมตัวกันและกลายเป็นเข็ม มันมีลักษณะแบบนามธรรมแต่ไม่มีรูปร่างตัวตน มันสามารถฆ่าคนได้โดยที่มองไม่เห็น อีกอย่างนางสามารถควบคุมม่านพลังที่ใช้สั่งการได้อย่างสมบูรณ์และใช้เวลามากในการทำให้มันบริสุทธิ์อีกครั้ง แล้วคนอื่นจะขโมยมันไปง่ายๆ ได้อย่างไร 


 


 


อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความคิดชั่วครู่ที่โผล่เข้ามาในหัวนาง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ นางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเอกภพเพื่อหาบางสิ่งบางอย่าง ครู่ต่อมานางก็หยิบกระบี่บินได้และมีดบินได้เล็กๆ ออกมา 


 


 


มีดบินได้เหล่านี้คือฟันของจระเข้เขี้ยวเหล็ก หลังจากที่นางสร้างฐานแห่งพลังเสร็จ นางก็นำฟันไปที่ร้านขัดเกลาเครื่องมือของโรงเรียนเสวียนชิงและขอให้ช่วยขัดเกลามันให้กลายเป็นเครื่องมือเวทมนตร์ มันอาจจะไม่ได้มีพลังมากนักแต่มันมีประโยชน์สำหรับการลอบโจมตี 


 


 


กระบี่บินได้ของนางตรงเข้าสู่ส่วนหัวของคู่ต่อสู้ในขณะที่มีดบินได้พยายามที่จะซุ่มโจมตีจากทางด้านหลัง แทนที่จะใช้กระสวยอัปสราในมือของเขา ฉินซีหยิบกระบี่ออกมา มันคือกระบี่ที่มีพลังน่าเกรงขามเล่มเดียวกันกับที่โม่เทียนเกอเคยเห็น ใบมีดของกระบี่นั้นเป็นสีทองและห่อหุ้มด้วยไฟอันร้อนแรง 


 


 


เขาเพียงแค่แกว่งเบาๆ แต่กระบี่บินได้ของนางก็ถูกกระแทกจนหล่นลงสู่พื้นในทันที เขายกมันขึ้นและมีดบินได้ของนางก็ถูกพัดกระเด็นไป 


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง นางยังคงมีเครื่องมือเวทมนตร์อย่างอื่นแต่ไม่มีชิ้นไหนเลยที่ได้ทำการขัดเกลามา ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหาเครื่องรางป้องกันที่หลากหลายและติดมันไว้บนตัวของนาง นางยังคงหยิบเครื่องรางแห่งลมและโยนออกไปด้านหน้าเช่นกัน 


 


 


เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น กระบี่ของฉินซีก็ได้เข้ามาถึงตัวนางแล้ว อย่างไรก็ตาม ภายในชั่วพริบตากระบี่นั้นได้แยกออกเป็นสองเล่ม และแยกอีกเท่าตัวเป็นสี่เล่ม สี่เป็นแปด และโจมตีนางจากทุกทิศทางในเวลาเดียวกัน 


 


 


นางช้าเกินไป โม่เทียนเกอได้เพียงแต่มองอย่างสิ้นหวังเมื่อกระบี่เหล่านั้นได้แทงเข้ามาที่ร่างของนาง 


 


 


แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในทางกลับกันร่างกายของนางเบาหวิว พลังของกระบี่นั้นสลายหายไปในพริบตา หุ่นลวงตาของฉินซีที่อยู่ตรงหน้านางค่อยๆ เลือนหายไป สุดท้ายแล้วกระสวยอัปสราของนางก็ตกลงที่พื้น 


 


 


ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะตัวสั่นเทา หลังจากที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งนางก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านั้นเป็นของปลอมและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวนางก็เป็นของปลอม ดังนั้นการโจมตีก็จะต้องเป็นของปลอมด้วยเช่นกัน ม่านพลังนี้จะขึ้นอยู่กับความผันผวนของพลังวิญญาณเพื่อสร้างให้คนเห็นภาพหลอน 


 


 


ตอนนี้เมื่อนางเข้าใจแล้ว นางเรียกของทุกอย่างกลับคืน รวมถึงกระบี่บินได้และกระสวยอัปสราของนางด้วย นางนั่งขัดสมาธิและเริ่มฟื้นคืนพลังวิญญาณของตัวเองอย่างช้าๆ  


 


 


ในขณะนี้ อีกรูปร่างหนึ่งปรากฏออกมาอยู่ทางด้านหน้าของนาง มันเป็นรูปร่างของคนที่ตายไปแล้ว สวีจิ้งจือ!  


 


 


สวีจิ้งจือถูกฆ่าตายไปตอนทดสอบเพื่อครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากงานนั้นโม่เทียนเกอได้พบเจอปัญหาที่หลากหลาย ดังนั้นนางจึงยังไม่เคยได้ระลึกถึงเขา เมื่อเห็นเขาตอนนี้ทำให้หัวใจของนางรู้สึกกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ 


 


 


แต่วินาทีถัดมานางสงบจิตลง หลับตาและตั้งสมาธิในการปรับลมหายใจ โดยไม่คำนึงถึงเครื่องรางที่สวีจิ้งจือโยนหานาง นางยังคงนั่งนิ่ง นางอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว การโจมตีของสวีจิ้งจือผู้ซึ่งอยู่ในดินแดนหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นยิ่งกว่าอ่อนเสียอีก 


 


 


เมื่อเครื่องรางสัมผัสที่ตัวของนาง มันก็สั่นและหายไปพร้อมกันกับสวีจิ้งจือ 


 


 


หลังจากนั้นก็ มู่หรงเยียน ศิษย์พี่โจว หลัวเฟิงเสวี่ย และคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นต่อๆ มา ในเมื่อโม่เทียนเกอได้รับรู้ถึงเล่ห์กลของม่านพลังแล้ว นางจึงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่เห็นและทำสมาธิต่อไปอย่างเงียบๆ  


 


 


ครั้นนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้านางก็กลับไม่ใช่กลุ่มหมอกและก้อนเมฆหนาแล้ว หากแต่เป็นทะเลทรายกว้างพร้อมด้วยแสงแดดแผดเผาอยู่บนท้องฟ้า 


 


 


โม่เทียนเกอครุ่นคิดหลังจากนั้นจึงยืนขึ้นและมองไปรอบๆ  


 


 


ทรายสีเหลืองทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด พระอาทิตย์ขึ้นสูงในท้องฟ้า ลมที่พัดอย่างรุนแรง… สถานที่นี้ดูคล้ายกับทะเลทรายทางทิศตะวันตกของขั้วแห่งท้องฟ้า 


 


 


นางปล่อยจิตสัมผัสของนางอีกครั้ง กระนั้นก็ตามครั้งนี้นางพบว่าไม่มีสิ่งใดกีดขวางมัน 


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจปนตื่นเต้น นางรีบหลับตาและมุ่งมั่นในการสำรวจรอบๆ ตัวนางด้วยจิตสัมผัส 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง ดวงตาของม่านพลัง! นางพบดวงตาของม่านพลังแล้ว!  


 


 


หลังจากที่กำหนดจุดดวงตาแห่งม่านพลังเรียบร้อยแล้ว โม่เทียนเกอจึงลืมตาและมุ่งตรงไปยังเส้นทางที่นางต้องเข้าไป 


 


 


จากจิตสัมผัสของนาง ดวงตาของม่านพลังอยู่ห่างออกไปราวๆ ร้อยจั้ง ด้วยระยะทางขนาดนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล ถ้านางสามารถทำลายมันลงได้ นางก็จะสามารถออกไปจากการติดกับนี้ 


 


 


ทรายสีเหลืองใต้เท้าของนางอ่อนยวบ เมื่อนางเหยียบลงไปก็จมลงไปจนถึงเข่าของนาง ประดุจการเดินบนหิมะ ทุกก้าวย่างนั้นช่างท้าทาย นางพยายามที่จะลอยตัวแต่นางก็รับรู้ว่าไม่สามารถลอยตัวได้ในสถานที่แห่งนี้ นางทำได้เพียงกล้ำกลืนความขุ่นเคืองและมุ่งหน้าต่อไป ทีละก้าวๆ  


 


 


ลมพัดทรายปลิวไปทั่วอย่างแรงและต่อเนื่องด้วยเสียง “วิ้ววว” พัดกระแทกใบหน้านางอย่างหนักจนนางรู้สึกเจ็บปวดมาก 


 


 


ในขณะที่พระอาทิตย์ก็สาดส่องร้อนแรงจนนางรู้สึกเหมือนกับถูกย่างทั้งเป็น 


 


 


ในขณะที่นางสัมผัสกับประสบการณ์นี้ โม่เทียนเกอสะดุ้งขึ้นมาทันที นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางก็ไม่น่าที่จะได้รับผลกระทบใดๆ จากความร้อนและความเย็น ทำไมนางถึงรู้สึกทนไม่ได้ภายใต้แสงอาทิตย์แผดเผาและทำไมนางถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อลมพัดทรายใส่?  


 


 


เมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้ นางพยายามที่จะให้พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางสร้างกำแพงป้องกันออกมา อย่างไรก็ตามนางก็ต้องมึนงง ร่างกายของนางนั้นว่างเปล่าไม่ว่าจะเป็นตานเถียนหรือเส้นลมปราณของนาง มันไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย!  


 


 


โม่เทียนเกอยืนนิ่งเป็นเวลานานขณะที่เหงื่อไหลย้อยทั่วใบหน้า ม่านพลังนี้ได้เปลี่ยนนางให้กลายเป็นมนุษย์! นางเช็ดเหงื่อบนหน้าออกและหยิบกระเป๋าเอกภพของนางออกมา… ช่างไร้ประโยชน์! พลังวิญญาณถึงแม้ว่าจะเพียงน้อยนิด นางก็ต้องใช้มันในการเปิดกระเป๋าเอกภพ ตอนนี้นางไม่มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของพลังวิญญาณเหลืออยู่เลย!  


 


 


ในเมื่อนางไม่สามารถเปิดกระเป๋าเอกภพได้ นางก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว อีกอย่างหากขาดซึ่งพลังวิญญาณนางก็ไม่สามารถเสกเวทใดๆ ได้ สิ่งเดียวที่นางใช้ได้ในตอนนี้คือจิตสัมผัสของนาง แต่ก็เหมือนกัน วิชาหลอมจิตวิญญาณของนางไม่สามารถสร้างพลังได้และมันก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์จริงๆ  


 


 


หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางสงบจิตใจลงและมุ่งหน้าต่อไปยังดวงตาของม่านพลัง ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ถ้านางสามารถหาจุดนั้นได้ สถานการณ์ของนางจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน 


 


 


หลังจากที่ยอมรับต่อโชคชะตาและเดินไปช่วงเวลาหนึ่ง โม่เทียนเกอก็หันกลับไปมองยังเส้นทางที่นางเดินมา ลมได้พัดทรายให้ค่อยๆ กลบรอยเท้าของนาง นางจึงหลับตาเพื่อตรวจสอบถึงตำแหน่งของตัวเอง หลังจากที่นางทำ นางก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ระยะทางของนางระหว่างดวงตาของม่านพลังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย!  


 


 


นางรีบคิด หรือนางจะไม่ได้ก้าวออกจากจุดเดิมที่ยืนอยู่เลย รอยเท้านางเป็นของจริงนี่ เช่นนั้นตำแหน่งของดวงตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นหรือ 


 


 


เมื่อความคิดเช่นนี้เข้ามาในหัวนาง นางหน้าซีดลงอย่างช่วยไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว นางก๋ไม่มีความสามารถใดๆ เลยในการที่จะต่อกรด้วย!  


 


 


ใจเย็น! ใจเย็น! โม่เทียนเกอพูดพึมพำภายในใจ นางข่มความโกรธลงและเริ่มคิด 


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าม่านพลังนี้คือม่านพลังมายา แต่ความจริงในตอนนี้คือนางไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่ แล้วนางจะทำลายม่านพลังนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะไม่มีสิ่งที่มุ่งร้ายรอบๆ ตัวนาง แต่ความร้อนแรงของพระอาทิตย์ ทะเลทรายสีเหลือง และลมล้วนเป็นอุปสรรค ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการทำให้คนติดกับหรือทดสอบความตั้งใจของคน… 


 


 


ท้ายที่สุดนางก็กัดฟันมุ่งหน้าต่อไป หากนางอยู่นิ่งเฉย ก็จะถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกติดกับ ถ้านางเคลื่อนที่นางยังอาจจะมีโอกาสอยู่รอด!  


 


 


นางเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ นางไม่รู้ได้เลยว่าเดินมานานแค่ไหนแล้วจนนางค่อยๆ สัมผัสได้ว่าภาพเบื้องหน้าค่อยๆ เลือนราง แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่โม่เทียนเกอก็ยังคงกัดฟันและพยายามไปต่อ 


 


 


มือของนางเจ็บจนทนแทบไม่ไหวและนางก็แทบจะไม่สามารถยกเท้าขึ้นมาได้อีกแล้ว ลมพัดโหมกระหน่ำรุนแรงมากกว่าเดิม พระอาทิตย์ก็ฉายแสงร้อนแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดนางก็ได้สูญเสียพลังเฮือกสุดท้ายของนางไปก่อนจะหมดสติล้มอยู่ตรงนั้น 


 


 


เป็นเวลานานหลังจากนั้น มีช่องว่างเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนกับว่าจะแยกมันออกจากกัน ชายในชุดนักพรตเต๋าลอยผ่านช่องว่างและบ่นพึมพำเบาๆ “เด็กคนนี้ไม่เลวเลย นางเพียรพยายามอย่างยาวนาน อาหลิงด้วยความเคารพต่อเจ้า ข้าจะไม่ทำให้นางต้องลำบาก…”   

 

 


ตอนที่ 112 บรรพบุรุษอีกท่าน

 

โม่เทียนเกออยู่ท่ามกลางความมืดมิด จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางหยุดนิ่งอยู่ในทะเลแห่งความรู้ภายในตานเถียนของนาง ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น นางได้ยินเสียงคนสองคน 


 


 


“อาหลิง เด็กคนนี้มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของเจ้าจริงๆ งั้นรึ” เสียงนี้เป็นเสียงของผู้ชาย สุ้มเสียงทุ้มต่ำ ฟังชัดเจน และเสนาะหู ฟังจากเสียงน่าจะไม่ได้แก่ชรามากนัก 


 


 


“เจ้าก็เห็นเองไม่ใช่รึ ทำไมจะต้องมาถามข้าอีก” เสียงนี้ค่อนข้างชัดเจนกว่าและคมกว่าเล็กน้อย นี่อาจจะเป็นชายที่อายุน้อยกว่าคนก่อนหน้านี้ เขาฟังดูค่อนข้างหงุดหงิด 


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ชายคนแรกกล่าวว่า “ข้าก็แค่ถามดู…”  


 


 


ชายคนที่ถูกเรียกว่า “อาหลิง” ส่งเสียงฮึ่ม ในไม่ช้าโม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงสายใยของพลังที่น่าเกรงขามพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง 


 


 


นางอดร้องครวญครางไม่ได้ มิใช่เพราะนางรู้สึกเจ็บทว่าเป็นเพราะนางรู้สึกชาต่างหาก พลังนั้นมีกำลังมาก ขณะที่มันพุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง นางรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมเส้นลมปราณของนางได้ กระนั้นก็ตาม พลังนั้นก็มีความอบอุ่นมากเช่นกันซึ่งทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสบาย 


 


 


“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ อนิจจา… ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่านางโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่” อาหลิงพึมพำเบาๆ  


 


 


“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าโชคดีหรือโชคร้าย” ชายคนแรกถามอย่างสงสัย 


 


 


อาหลิงตอบว่า “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับวิธีการฝึกตนที่ใช้โดยคนที่มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดอยู่แล้ว มีสองคำที่สำคัญนั่นคือความสมดุลและความอมตะ ร่างกายถูกมองว่าเป็นเสมือนจักรวาลที่ธาตุทั้งห้าหมุนเวียนกันและหยินหยางสมดุลกันในวงโคจรที่ไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ พวกเขามีแค่หยินในร่างกาย ไร้ซึ่งหยาง เป็นตัวอย่างของหลักการที่ว่า ‘พลังหยินเพียงอย่างเดียวเติบโตไม่ได้ และพลังหยางเพียงอย่างเดียวมีชีวิตอยู่ไม่ได้!’  


 


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของเด็กน้อยคนนี้ไร้ค่าอย่างนั้นหรือ”  


 


 


“ไม่เชิง ร่างกายที่มีหยินบริสุทธิ์ถูกแบ่งออกเป็นห้าธาตุ นางสามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกตนได้จนกระทั่งนางทำให้ธาตุทั้งห้าของหยินบริสุทธิ์ของนางสมดุลได้สำเร็จก่อน และค่อยกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นทีหลัง”  


 


 


“โอ้ เจ้าอยากจะส่งต่อศาสตร์แห่งต้นกำเนิดให้กับนางงั้นหรือ”  


 


 


“ในเมื่อนางเป็นผู้สืบสกุลของข้า โดยปกติแล้วข้าควรจะดูแลเอาใจใส่นางมากอีกสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของข้าด้วย แล้วข้าจะเมินเฉยนางได้อย่างไร”  


 


 


“ฮ่า! ข้าเกรงว่าเหตุผลที่แท้จริงคือแม่นางเหยาชิงผู้ทรงเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ของเจ้าต่างหาก หรือไม่ใช่”  


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดจัดจ้านเช่นนั้น อาหลิงก็รู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาในทันใด “ไม่ว่าจะดีหรือร้าย นางก็ได้ให้ผู้สืบสกุลกับข้ามา เจ้ามอบลูกให้ข้าได้หรือไม่ล่ะ! หากเจ้าให้กำเนิดลูกข้าได้ ข้าจะโยนเด็กคนนี้ทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้!”  


 


 


“เอ้~” ชายคนนั้นยอมแพ้ “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น อย่าโกรธไปหน่อยเลย…”  


 


 


“ฮึ่ม!”  


 


 


ทั้งสองคนเงียบไป หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง อาหลิงพูดขึ้นมา “พื้นฐานของนางในศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ค่อนข้างแข็งแกร่ง คงจะน่าเสียดายที่จะเลิกใช้มัน ต่อให้ข้าส่งต่อบันทึกไทหยวนของข้าให้นางตอนนี้ ข้าคิดว่าการเข้าถึงสภาวะการฝึกตนในอุดมคติสำเร็จก็ยังยากสำหรับนางอยู่ดี… อนิจจา ถ้านางสามารถฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับชายที่มีร่างกายแห่งพลังหยางบริสุทธิ์ บางทีนางอาจจะสามารถสร้างความสมดุลเทียมระหว่างหยินและหยางของนางได้…”  


 


 


ทันทีหลังจากที่อาหลิงพูดเช่นนั้น ชายอีกคนรีบพูดว่า “อย่ามองข้า ในตอนนั้นแม้แต่แม่นางเหยาชิงของเจ้าก็ยังไม่เข้าตาข้าเลย ไม่ต้องพูดถึงแม่หนูน้อยผู้ไร้เดียงสาคนนี้เลย! อีกอย่างนะ เด็กคนนี้เป็นผู้สืบสกุลของเจ้า… มันผิดหลักศีลธรรมเกินไป!”  


 


 


อาหลิงโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดว่า “ไปไกลๆ เลยไป! เจ้าคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีคนอื่นที่มีร่างกายแห่งพลังหยางบริสุทธิ์นอกเหนือจากเจ้าแล้วอย่างนั้นรึไง! ในสมองเจ้ามีเรื่องโสมมอะไรอยู่บ้าง!”  


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นที่ฟังดูเหมือนเสียงภูเขากำลังแตกออกจากกัน โม่เทียนเกออยากจะตื่นขึ้นมา แต่จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางดูเหมือนจะเหือดหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางไม่ตอบสนองใดๆ แต่แม้แต่สติของนางก็ไม่ชัดเจน ในท้ายที่สุด นางตกสู่ภวังค์แห่งการหลับลึกอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


เมื่อได้สติคืนมา นางก็รีบนั่งตัวตรงทันที 


 


 


ตอนนี้นางเห็นห้องไม้ขนาดเล็ก เตียงไม้ โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ไผ่ และแก้วไม้ไผ่ แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ามันทำมาจากพืชวิญญาณชนิดไหน ทว่าทุกสิ่งล้วนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอย่างไม่น่าเชื่อ เปี่ยมล้นมากเสียจนแทบจะมองเห็นพลังวิญญาณได้ด้วยตาเปล่า! ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากพลังวิญญาณจะมีมากเหลือล้นแล้ว มันยังหนาแน่นกว่าในถ้ำของนางบนเขาไท่กังมากหลายเท่าอีกด้วย 


 


 


ที่นี่ที่ไหนกัน 


 


 


นางก้มลงเพื่อสำรวจตัวเอง ร่างกายนางยังอยู่ในสภาพดี แม้แต่หลังของนางซึ่งถูกเผาในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้นก็ไม่เจ็บอีกต่อไป สำหรับพลังวิญญาณภายในร่างกายนาง ไม่เพียงแค่มันจะฟื้นคืนมาได้จนหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ 


 


 


ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ถึงเสียงสองเสียงที่นางได้ยินในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นของนาง 


 


 


“อาหลิง” “รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด” “เหยาชิง” “ผู้สืบสกุล” ! เมื่อนางเชื่อมโยงคำพวกนี้เข้าหากันได้ คำตอบนั้นก็ยิ่งกว่าชัดเจน 


 


 


นั่นคือบรรพบุรุษอีกท่านของนางที่บรรพบุรุษแห่งตระกูลโม่ โม่เหยาชิงเคยพูดถึง!  


 


 


โม่เทียนเกอกุมหัวของนางด้วยสองมือ สงสัยว่านางแค่ฝันไปหรือไม่ โม่เหยาชิงบอกว่านางมีชีวิตอยู่หลายพันปีมาแล้วและสุดท้ายต้องตายเพราะอายุขัยของนางหมดสิ้น ในเมื่อโม่เหยาชิงเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ชายทั้งสองคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่านางตั้งหลายพันปี!  


 


 


นอกเสียจากว่า… พวกเขาเป็นผี หรือบางทีอาจจะเป็นการมีตัวตนอยู่บางอย่างที่ยังไม่เป็นที่รู้กันในหมู่มนุษย์ 


 


 


นางลุกจากเตียงพร้อมกับตบหัวตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ผลักประตูเปิดเดินออกจากกระท่อมไป 


 


 


ภูเขาเขียวขจีงดงามดั่งภาพวาดแผ่ขยายไปไกลแสนไกล รอบตัวนางคือสวนสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กระท่อมไม้หลายหลัง บ่อน้ำ และชายสองคน ช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเสียจริง 


 


 


ในขณะที่นางกำลังงุนงง ชายทั้งสองคนที่กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ใต้ต้นไม้หันหน้ามาหานาง 


 


 


“เด็กน้อย เจ้าตื่นแล้วหรือ มานั่งตรงนี้สิ”  


 


 


โม่เทียนเกอมองพวกเขา ชายคนที่พูดกับนางคือชายหน้าตาหล่อเหลา สามชุดนักพรตเต๋า ตอนนี้กำลังถือตัวหมากเล่นและยิ้มสดใสให้นาง อีกคนหนึ่งที่นั่งตรงหน้าเขาเป็นชายที่ยังหนุ่มเช่นเดียวกัน แต่ดูค่อนข้างอ่อนวัยกว่าคนแรก ใบหน้าของเขายังคงมีความไร้เดียงสาในวัยหนุ่ม เขาดูสง่างามและบริสุทธิ์ 


 


 


เมื่อนางจ้องพวกเขา ก็รู้สึกว่าพวกเขานั้นยากจะหยั่งถึงราวกับทะเลลึก ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ด้วยแรงเคลื่อนไหวขนาดนี้ พวกเขาต้องเป็นผู้อาวุโสระดับผู้เยี่ยมยุทธอย่างแน่นอน 


 


 


โม่เทียนเกอไม่กล้าจะทำตัวดูงี่เง่า นางจึงเดินอย่างว่าง่ายไปหาพวกเขาและทักทาย “ข้าน้อยโม่เทียนเกอขอคารวะศิษย์พี่ทั้งสอง”  


 


 


“โม่เทียนเกอหรือ” ชายคนที่พูดกับนางก่อนหน้านี้หันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเขาและบอกว่า “นางมีแซ่ ‘โม่’ จริงด้วยสิ ดูเหมือนว่านางจะเป็นผู้สืบสกุลของแม่นางเหยาชิง”  


 


 


พอได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าสิ่งที่นางพบเจอในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่ใช่ความฝัน นางตวัดสายตาไปทางชายหนุ่มอีกคนทันที ชายผู้นี้… เขาคือ ‘อาหลิง’ บรรพบุรุษอีกท่านที่โม่เหยาชิงเคยพูดถึงใช่หรือไม่ 


 


 


ชายหนุ่มดูเหมือนจะกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนัก เขาจ้องมองนางอยู่นานก่อนที่สุดท้ายจะพูดว่า “ทายาทตัวน้อย อย่างแรกช่วยเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเจ้าหน่อย”  


 


 


เสียงของเขาเป็นเสียงเดียวกับของ “อาหลิง” คนนั้น ความคิดหลากหลายอย่างแล่นผ่านจิตใจของนาง แต่หลังจากคิดอยู่เพียงแค่วินาทีเดียวนางก็พูดว่า “หนึ่งในบรรพบุรุษของข้าน้อยมีชื่อว่าเหยาชิงจริง โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยที่ต้องถาม แต่ศิษย์พี่… ศิษย์พี่เป็นบรรพบุรุษอีกคนของข้าใช่หรือไม่”  


 


 


ชายทั้งสองคนเหลือบมองกัน จากนั้นคนหนุ่มจึงพูดช้าๆ ว่า “เมื่อเจ้าเดินเข้าสู่ม่านพลังมายานภา ข้ารู้ว่าเจ้าคือผู้สืบสกุลของข้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หากเจ้ามีบรรพบุรุษที่ชื่อโม่เหยาชิง นั่นก็เป็นหลักฐานแล้ว”  


 


 


เมื่อได้ยินคำยืนยันของเขา หัวใจของโม่เทียนเกอสั่นไหว นางรีบปัดแขนเสื้อทันที คุกเข่าหน้าผากแตะพื้นแล้วพูดว่า “โม่เทียนเกอขอคารวะท่านบรรพบุรุษ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทันรู้ตัวจึงไม่ได้แสดงความเคารพท่านบรรพบุรุษให้เหมาะสม หวังว่าท่านบรรพบุรุษจะอภัยให้ข้าน้อยได้ ท่านบรรพบุรุษพอจะกรุณาบอกชื่อของท่านให้ข้าน้อยทราบได้หรือไม่เจ้าคะ”  


 


 


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มน้อยๆ เขาม้วนแขนเสื้อเล็กน้อย ทันใดนั้น พลังอันน่าเกรงขามก็พยุงตัวโม่เทียนเกอขึ้นมา ชายคนนั้นพูดว่า “ชื่อจริงของข้าคือจงมู่หลิง ส่วนชื่อเต๋าของข้าคือฉือหลิง ข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ขัดอะไรกับการแสดงความเคารพของเจ้าในครั้งนี้ แต่เนื่องจากข้าไม่เคยได้ดูแลเจ้ามาก่อน เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องนอบน้อมมากนักก็ได้”  


 


 


เมื่อจงมู่หลิงพูดจบ ชายที่นั่งตรงข้ามเขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เด็กน้อยคนนี้มีมารยาทดี”  


 


 


โม่เทียนเกอหันไปและถามเขา “ศิษย์พี่กรุณาบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่าข้าน้อยควรเรียกท่านด้วยชื่ออะไร”  


 


 


ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ชื่อข้าคือหยวนเป่า เจ้าเรียกชื่อเต็มข้าได้ แต่ขอร้องละ โปรดอย่าเรียกข้าว่าศิษย์พี่หยวน”  


 


 


“ศิษย์พี่คือศิษย์พี่หยวนเป่านั่นเอง ในเมื่อศิษย์พี่เป็นสหายสนิทของท่านบรรพบุรุษของข้าน้อย ศิษย์พี่จึงเป็นผู้อาวุโสของข้าน้อยเช่นกัน” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับก้มหัวคำนับเขา 


 


 


ท่าทางของนางสร้างความประทับใจที่ดีให้กับหยวนเป่าซึ่งยิ้มและพูดว่า “เอาละ ในฐานะทายาทของอาหลิง เจ้ามีข้อได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนี้หรอก มาสิ มานั่ง”  


 


 


โม่เทียนเกอมองที่จงมู่หลิง หลังจากที่นางเห็นเขาพยักหน้านางถึงนั่งลงบนเก้าอี้หิน 


 


 


ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอคิดว่าความสงสัยที่น่ากลัวของนางอาจจะกลายเป็นจริง โม่เหยาชิงผู้ที่อยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้ตายจากไปนานนับหลายพันปีแล้ว แต่กระนั้น สองคนนี้ที่มาจากยุคเดียวกันกับนางกลับยังมีชีวิตอยู่ โดยสรุปก็คือระดับการฝึกตนของทั้งสองคนนี้มีแนวโน้มว่าจะอยู่ในดินแดนที่สูงกว่าดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ นั่นก็จะเป็น… ดินแดนแห่งเทพ!  


 


 


หยวนเป่าที่มองดูนางมาตลอดพูดกับจงมู่หลิงด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กน้อยคนนี้ค่อนข้างหลักแหลม เห็นได้ชัดว่านางรู้ดินแดนการฝึกตนของพวกเราเข้าแล้ว”  


 


 


มุมปากจงมู่หลิงเผยอขึ้นขณะที่เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นทายาทของข้านี่ นางจะเป็นคนโง่ได้อย่างไรเล่า แม่หนู ข้าจากโลกนี้ไปนานหลายต่อหลายปี ข้ากลับมาบ้างบางครั้ง ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าเจ้าและคนอื่นๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม เจ้ายังเด็กมาก ข้าจึงไม่ได้พบเจ้าเมื่อครั้งล่าสุดที่ข้ากลับมา ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าในเวลาหลายสิบปี ทายาทที่ครอบครองรากวิญญาณและยังเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนจะปรากฏตัวขึ้น ข้าเดาว่าตอนนี้เจ้าคงอยู่ในช่วงอายุยี่สิบสินะ จากเสื้อผ้าของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าโรงเรียนเสวียนชิงด้วยเช่นกันใช่หรือไม่”  


 


 


ท่านบรรพบุรุษท่านนี้คอยดูแลตระกูลโม่มาโดยตลอดงั้นหรือ ความคิดนี้แล่นผ่านจิตใจนาง จากนั้นนางจึงตอบอย่างระมัดระวัง “ท่านบรรพบุรุษ ข้าอายุยี่สิบสี่ปี เป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงเจ้าค่ะ”  


 


 


“อืม ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าถูกส่งต่อมาโดยโม่เหยาชิงใช่หรือไม่ ข้าว่าก่อนอื่นเจ้าควรเล่าให้ข้าฟังก่อนดีกว่าว่าเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้อย่างไร”  


 


 


ขณะที่นางฟังจงมู่หลิงพูด นางอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลก จากบทสนทนาระหว่างตัวเขาและหยวนเป่า เช่นเดียวกับบทสนทนาของนางกับโม่เหยาชิงเมื่อหลายปีก่อน จงมู่หลิงและโม่เหยาชิงควรจะมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากัน แต่ทำไมเขาถึงพูดถึงโม่เหยาชิงอย่างสบายๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกตามปกติที่สามีและภรรยารู้สึกต่อกันอย่างนั้นล่ะ 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลก นางก็ไม่ได้ถามเขา นางเพียงตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าบังเอิญเข้าไปในโถงบรรพบุรุษของตระกูลโม่ กระตุ้นกำแพงอาคมให้เปิดออก และได้รับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์มาเป็นมรดก…”  


 


 


นางเริ่มเล่าจากเมื่อนางอายุเจ็ดขวบ พูดเกี่ยวกับเรื่องที่นางเริ่มฝึกตนได้อย่างไร ถูกหลอก มาถึงที่คุนอู๋ ท่องเที่ยวไปทั่วกับท่านอาของนาง เข้าสู่สำนักอวิ๋นอู้ ไปที่โรงเรียนเสวียนชิงหลังจากการตายของท่านอา สร้างฐานแห่งพลัง มีส่วนร่วมในการปราบจลาจลของสัตว์ปีศาจ… นางบรรยายทุกอย่างที่นางประสบพบเจอมาอย่างละเอียดโดยไม่ข้ามเรื่องไหน 


 


 


เมื่อนางเล่าทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นในที่สุด จงมู่หลิงและหยวนเป่าดูตกใจ 


 


 


หลังจากผ่านไปนาน จงมู่หลิงจึงพูดว่า “ตัวข้าจงมู่หลิงจะยอมให้ทายาทของข้าต้องโดนรังแกได้อย่างไร!” จากนั้นเขาหันไปทางโม่เทียนเกอและบอก “ส่งจี้หยกที่เจ้าใช้เพื่อซ่อนร่างกายของเจ้ามาให้ข้า”  


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “เจ้าค่ะ” ล้วงมือไปที่คอเพื่อเอาจี้หยกออกมาและส่งให้เขา 


 


 


“โอ้! นี่เป็นจี้ซ่อนวิญญาณอย่างดีเลิศ” นักพรตเต๋าหยวนเป่าอุทานด้วยความประหลาดใจ 


 


 


จงมู่หลิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่จะสามารถขัดเกลาอาวุธวิเศษประเภทนี้ได้ อันที่จริงนี่ทำให้ข้าคิดถึงไอ้เด็กนั่นที่ติดอยู่ในม่านพลังมายานภาเมื่อไม่กี่วันก่อน”  


 


 


“… จริงสิ! คนนั้นก็ใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน เขาน่าจะเป็นเจ้าชินโส่วจิ้งที่ว่ากัน! อายุร้อยสี่สิบปีแต่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว… ในสมัยนั้น ข้าเองก็สร้างขุมพลังในช่วงอายุร้อยปีเหมือนกัน แต่ข้าทำเช่นนั้นได้ก็เพราะความสามารถของข้านั้นดีกว่าเขามากนัก”  


 


 


จงมู่หลิงกล่าว “เจ้าทั้งสองคนแตกต่างกัน ไอ้เด็กนั่นมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางภายในร่างเขา อีกอย่าง ในเมื่อเขาไม่ได้กังวลใจตอนที่ติดอยู่ในม่านพลังมายานภา เจ้าสามารถเห็นได้ชัดเลยว่าเขามีความตั้งใจที่แน่วแน่ คงจะแปลกถ้าการฝึกตนของเขาไม่พัฒนาได้อย่างไว เดี๋ยวก่อน ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง!”  


 


 


หลังจากเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน จงมู่หลิงเหลือบตามองไปทางหยวนเป่า ทั้งคู่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง 


 


 


โม่เทียนเกอไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าพวกเขาพูดกันถึงเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม จากบทสนทนาของพวกเขาดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้บังเอิญเจอเข้ากับอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง นางจึงถามอย่างระวัง “ท่านบรรพบุรุษ ศิษย์พี่หยวนเป่า ท่านได้เจอกับอาจารย์ลุงโซวจริงงั้นหรือเจ้าคะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”  


 


 


จงมู่หลิงพยักหน้าให้นางและกล่าวว่า “ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ลุงโส่วจิ้งของเจ้า ประมาณครึ่งเดือนก่อน เขาบังเอิญเข้าไปสู่ม่านพลังมายานภาขณะที่บาดเจ็บอยู่ อย่างไรก็ตาม หลายวันต่อมา เขาก็ฟื้นตัวและออกไปแล้ว” เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็โมโหขึ้นมาอีกครั้งและพูดว่า “การที่ใช้ม่านพลังมายานภาเป็นที่สำหรับพักฟื้นนี่… ฮึ่ม!”  


 


 


หยวนเป่าหัวเราะหึๆ และพูดว่า “นั่นก็เพราะเขามีความกล้าอย่างไรล่ะ เขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าเราไม่มีเจตนาไม่ดี”  


 


 


แน่นอน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งไม่เป็นอะไร โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนนางจะถามออกมาอีกคำถาม “เช่นนั้น… มีชายหนุ่มอยู่กับเขาด้วยหรือไม่เจ้าคะ ชายหนุ่มที่ดูคล้ายกันกับเขา อายุประมาณยี่สิบ และอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเจ้าค่ะ”  


 


 


“ไม่มีคนอย่างนั้นอยู่กับเขาหรอก” จงมู่หลิงพูดทันทีพร้อมกับส่ายหน้า ครั้นแล้วก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้น อย่างแรก เขียนศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าให้ข้าดูหน่อย และอีกอย่างหนึ่ง ทิ้งจี้ซ่อนวิญญาณไว้ที่นี่ ข้าจะดูว่าข้าสามารถหลอมละลายมันและเกลามันขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้หรือไม่”   

 

 


ตอนที่ 113 ศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด

 

โม่เทียนเกอฝึกตนรอบวงโคจรจุลจักรวาลเสร็จ ก็หยุดและลืมตาขึ้น


 


 


ตั้งแต่เริ่มฝึกตนในสถานที่แห่งนี้ นางก็ได้พบว่าการฝึกตนของนางพัฒนาไปด้วยความเร็วที่เกินคาด เนื่องจากนางมีรากวิญญาณห้าธาตุเป็นทุนเดิม ปกติแล้วจึงยากที่จะรักษาพลังวิญญาณในร่างกายนางไว้ได้ แต่ในสถานที่นี้มีพลังวิญญาณห้าธาตุอยู่มากมาย ส่งผลให้อัตราการซึมซับพลังวิญญาณของนางเร็วขึ้นหลายเท่าตัวยิ่งกว่าบนเขาไท่กังเสียอีก!


 


 


โดยปกติแล้วความหนาแน่นของพลังวิญญาณจะมีอิทธิพลต่อความเร็วในการซึมซับพลังวิญญาณ ทว่าในเมื่อรากวิญญาณของนางไม่ดี แม้แต่ในบริเวณที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น ความเร็วในการซึมซับพลังวิญญาณของนางก็ยังเร็วกว่าปกติแค่สองเท่าเป็นอย่างมาก และไม่เคยไปถึงความเร็วที่บ้าคลั่งสี่ถึงห้าเท่าเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ ในเวลาหกเดือนตั้งแต่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ระดับการฝึกตนของนางก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ในเวลาสองวันตั้งแต่นางมาถึงที่นี่ ระดับการฝึกตนของนางกลับก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ


 


 


ตั้งแต่ที่นางส่งคู่มือศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ให้กับจงมู่หลิง เขาก็เก็บตัวเงียบศึกษาอยู่ข้างใน ส่วนอาจารย์อีกท่าน หยวนเป่า เขาเป็นมิตรมาก เล่าให้นางฟังหลายอย่างทีเดียว ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าทำไมการฝึกตนของนางถึงพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วจากคำบอกเล่าของเขา


 


 


สถานที่นี้เรียกว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตามคำกล่าว ในยุคอดีตอันไกลโพ้น กลุ่มชายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ได้ทำลายความว่างเปล่านี้และสร้างพื้นที่ที่เป็นอิสระของตัวเองที่ซึ่งมีทั้งน้ำและแสงสว่าง ที่ซึ่งพวกเขาสามารถคงไว้ซึ่งวัฏจักรชีวิตของพวกเขาเอง และที่ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต พูดอีกอย่างก็คือ ในพื้นที่นั้นเหล่าผู้ครอบครองคือพระเจ้า


 


 


ในอดีตอันไกลโพ้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็จัดว่ามหัศจรรย์เช่นกัน มีเพียงแค่ชายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถครอบครองได้ ในโลกปัจจุบันนี้อาจถือได้ว่าเป็นการมีอยู่ที่ท้าทายอำนาจสวรรค์เลยก็ว่าได้ ในสถานที่แห่งนี้ ทั้งพลังวิญญาณและสิ่งแวดล้อมเหมือนกันกับโลกในยุคอดีตอันไกลโพ้น ดังนั้นการฝึกตนจึงพัฒนาไปได้เร็วมาก จงมู่หลิงได้ครอบครองโลกนี้โดยบังเอิญ


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างอิจฉา มันแทบจะเป็นถ้ำเซียนเคลื่อนที่ก็ว่าได้ เป็นที่หนึ่งที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น ปลอดภัยมากและเหมาะสำหรับใช้เป็นที่หลบซ่อน และเป็นเครื่องมืออย่างดีชั้นหนึ่งที่เอาไว้หนีถ้ามีใครมาตามฆ่า เมื่อนางพบว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ ผู้ครอบครองสามารถบังคับให้มันล่องลอยได้เหมือนอย่างที่คนอื่นควบคุมอาวุธวิเศษของพวกเขา นางก็ยิ่งอิจฉาเข้าไปใหญ่


 


 


อย่างไรก็ตาม นางก็ยังรู้ว่าพื้นที่ว่างพวกนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดา แม้แต่ในสายตาของเทพผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่อย่างสันโดษ สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจสวรรค์ นักพรตเต๋าหยวนเป่ายังบอกอีกว่าตามความรู้ของพวกเขา นอกเหนือจากตัวพวกเขาแล้ว มีเทพผู้ฝึกตนที่อยู่อย่างสันโดษคนอื่นอีกแค่คนเดียวที่ครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ จากนั้นโม่เทียนเกอเพียงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อยและไม่ได้ทำอะไรอีก


 


 


ในส่วนของศิษย์พี่หยวนเป่า แท้จริงแล้วโม่เทียนเกอก็รู้สึกสงสัยในตัวเขาเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เจอคนภายนอกมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเล่าให้นางฟังหลายอย่างด้วยความตื่นเต้น และยอมให้นางเรียนรู้หลายเรื่อง


 


 


ปรากฏว่าไม่เพียงแต่ท่านบรรพบุรุษของนาง จงมู่หลิง จะมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด แต่ปริมาณหยินและหยางภายในตัวเขายังเท่ากันอีกด้วย ร่างกายเขาเป็นตัวอย่างของร่างกายเป็นกลางที่บริสุทธิ์ที่สุด เลือดของจงมู่หลิงมีชื่อเรียกว่าโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์ ซึ่งโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์นี้จะถูกครอบครองโดยคนที่มีทั้งรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดและร่างกายเป็นกลาง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับการปรุงยา


 


 


เมื่อตอนจงมู่หลิงยังหนุ่ม เขาเข้าสู่กลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านการปรุงยา อาจารย์ของเขาดูแลเขาดีมาก เขาจึงไม่เคยรู้ว่าร่างกายของเขาพิเศษ ในภายหลัง หลังจากที่อาจารย์ของเขาเสียชีวิตและอาจารย์ลุงกักขังเขาไว้ ในที่สุดเขาถึงรู้ตัวว่าตนไม่เหมือนคนอื่น ครั้นแล้วก็หนีออกจากกลุ่มการฝึกตนนั้นไปเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงแม้จะต้องดิ้นรนมาตลอด เขาก็สามารถฝึกตนจนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้และสถานการณ์ของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้น ขณะที่ต้องพึ่งพาผลที่มหัศจรรย์ของศาสตร์แห่งต้นกำเนิดและโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์ เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพในครั้งเดียวและเข้าสู่การปลีกวิเวกในที่สุด


 


 


หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกใกล้ชิดกับบรรพบุรุษท่านนี้ขึ้นมาได้อีกเล็กน้อย ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนางมักจะนำพาความโชคร้ายให้ชีวิตนางเสมอ ดังนั้นนางจึงต้องระมัดระวังกับทุกสิ่ง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นก็ตาม ท่านบรรพบุรุษผู้นี้กลับมีปัญหาเช่นเดียวกับนางอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสามารถฝึกตนจนถึงดินแดนแห่งเทพทั้งๆ ที่อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับนาง นี่ทำให้นางมีความมั่นใจขึ้นมาก ในเมื่อเขาสามารถทำได้ด้วยศาสตร์แห่งต้นกำเนิด นางก็ต้องทำได้เช่นกัน!


 


 


สำหรับนักพรตเต๋าหยวนเป่า เขาบอกว่าชีวิตเขานั้นธรรมดากว่ามาก เขาเกิดในตระกูลผู้ฝึกตนขนาดใหญ่และโตมาในกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียง เพราะว่าเขาเกิดมามีร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์และรากวิญญาณเดี่ยว ตระกูลของเขาจึงประคบประหงมเขาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น เขามีจิตใจที่บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงฝึกตนได้อย่างราบรื่นจนถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และจากนั้นได้บรรลุผ่านเข้าไปยังดินแดนแห่งเทพ เทพผู้ฝึกตนโดยทั่วไปมักจะไม่สนใจกับเรื่องทางโลก เมื่อบวกกับความจริงที่ว่าสหายและครอบครัวใกล้ชิดของหยวนเป่าล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาน่าเบื่อ เขาจึงออกจากกลุ่มและตระกูลไปในท้ายที่สุด


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกอิจฉาเขาอย่างมาก ถึงแม้ว่าจงมู่หลิงจะจัดว่าเป็นชายผู้เก่งกาจตามมาตรฐานของยุคอดีตอันไกลโพ้น กระนั้นเขาก็ยังต้องอดทนกับความยากลำบากมากมายเพื่อให้ประสบความสำเร็จในเรื่องใดสักอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม หยวนเป่าผู้นี้เกิดมาเป็นอัจฉริยะและถูกเลี้ยงดูมาด้วยความเอาใจใส่อย่างถึงที่สุดโดยกลุ่มและตระกูลของเขา การเดินทางของเขาในการฝึกตนเป็นไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นมากเสียจนเขาทำให้โม่เทียนเกอผู้ที่เป็นตัวดึงดูดความยากลำบากมาแต่กำเนิดต้องรู้สึกอิจฉา นางอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าท่าทางหยาบคายของจงมู่หลิงที่มีต่อหยวนเป่าอาจจะเกิดจากความคิดเช่นเดียวกันกับนางหรือไม่


 


 


หยวนเป่าเจอกับจงมู่หลิงเมื่อเขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และกำลังจะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ เพื่อที่จะกลายเป็นเทพเจ้า ก่อนอื่นเขาต้องกลายเป็นคนก่อน ตั้งแต่เขายังเด็ก หยวนเป่าอาศัยอยู่กับตระกูลหรือไม่ก็กลุ่มการฝึกตนมาตลอด เขาจึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ หยวนเป่าจึงออกจากทั้งกลุ่มและตระกูลของเขาและท่องเที่ยวไปรอบโลก ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังพักอยู่ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งในโลกแห่งการฝึกตนและอยู่ในภวังค์แห่งความเบื่อหน่าย เขาเห็นจงมู่หลิงผ่านหน้าเขาไปซ้ำๆ หลายครั้ง โดยไม่ได้วางแผนมาก่อน หยวนเป่าตามเขาไป ตั้งใจว่าจะออกอุบายหลอกเขา ด้วยเหตุนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มรู้จักกัน


 


 


ในตอนแรก ทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่า “ศิษย์พี่หยอกล้อศิษย์น้อง” แต่ใครจะไปคาดเดาได้ล่ะว่าจงมู่หลิงจะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้เช่นกัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนแท้กันในที่สุด การฝึกตนในโลกนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน ในหมู่เทพผู้ฝึกตนที่ยังเหลือมีชีวิตอยู่ไม่กี่คน พวกเขาเป็นเพียงสองคนที่มีอายุใกล้เคียงกัน เพราะความโดดเดี่ยว ทั้งสองจึงอาศัยอยู่ในการปลีกตัวด้วยกันเพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายและคงอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว…


 


 


ขณะที่เขาพูดเรื่องนี้ ความโดดเดี่ยวในสายตาเขาแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน เขายังดูดีใจมากเช่นกันที่มีใครบางคนอยู่เป็นเพื่อนกับเขา โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ภายใน


 


 


พวกเขาไม่รู้เลยว่าเทพผู้ฝึกตนจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร หลังจากหลายปีมานี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้ขีดจำกัด แม้แต่หยวนเป่าที่ดูเหมือนเป็นคนไร้เดียงสาก็ยังรู้สึกเหงา การมีชีวิตยืนยาวคือจุดประสงค์ของการฝึกตนไม่ใช่หรือ หากพวกเขายังคงรู้สึกเหงาและเศร้าในท้ายที่สุด เหตุใดคนผู้หนึ่งถึงจะต้องพยายามมีอายุยืนยาวด้วยเล่า


 


 


หยวนเป่ายิ้มและบอกว่าถึงแม้การมีชีวิตยืนยาวจะโดดเดี่ยว แต่ก็มีสิ่งสวยงามหลายสิ่งที่คนผู้หนึ่งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพบเจอ เพราะฉะนั้นถ้าเขาเลือกได้อีกครั้ง ก็ยังจะเลือกเส้นทางการฝึกตนและเดินบนถนนสู่ชีวิตยืนยาวอยู่ดี อายุขัยของมนุษย์สั้นเกินไปและเวลาหลายสิบปีที่พวกเขามีก็จะจบลงก่อนที่จะมีโอกาสได้เผชิญกับสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม อีกอย่างก็มีบางวิธีที่จะจัดการกับความโดดเดี่ยว แต่ถ้าตาย เจ้าจะไม่สามารถได้รับประสบการณ์อะไรได้เลย


 


 


นอกเหนือจากนี้ หยวนเป่ายังเล่าให้โม่เทียนเกอฟังบางเรื่องที่เกี่ยวกับโม่เหยาชิง ความสงสัยของโม่เทียนเกอถูกต้องแล้ว ระหว่างโม่เหยาชิงและจงมู่หลิง พวกเขาเป็นเพียงสามีภรรยากันแค่ในนามเท่านั้น โดยไม่มีความรู้สึกแบบปกติของสามีภรรยาให้แก่กัน


 


 


หลายปีก่อน เพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนาง โม่เหยาชิงหลอกล่อจงมู่หลิงเข้าไปในแผนของนางและได้โอกาสที่จะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กัน แต่เพราะด้วยเหตุผลบางประการ จงมู่หลิงต้องการมีทายาทอย่างแท้จริงและเพราะเขาติดหนี้บุญคุณโม่เหยาชิง เขาจึงไม่ได้ทำเรื่องนี้ต่อ ต่อมาภายหลัง หลังจากเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าโม่เหยาชิงที่จริงแล้วได้ให้กำเนิดทายาทของพวกเขาซึ่งเกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกัน โชคร้ายที่ในตอนนั้นอายุขัยของโม่เหยาชิงหมดสิ้นลงและนางได้ตายจากไปแล้ว ถึงกระนั้นจงมู่หลิงก็ยังคงรู้สึกยินดีและรู้สึกขอบคุณโม่เหยาชิง แม้ว่าเขาจะท่องเที่ยวรอบโลกอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาบังเอิญผ่านมาเหนือขั้วท้องฟ้า จงมู่หลิงก็จะสอดส่องดูผู้สืบสกุลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขาเสมอ


 


 


หลังจากที่เขาพูดเรื่องนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ จงมู่หลิงต้องการมีทายาทและถึงแม้ว่าผู้สืบสกุลของเขาจะใช้แซ่โม่ แต่เขาก็ยังดูแลพวกเขามาโดยตลอด ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะต้องดูแลเอาใจใส่นางมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน


 


 


ขณะที่ความคิดนี้วาบผ่านจิตใจ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของนาง เสียงนั้นพูดว่า “เทียนเกอ มาที่ห้องข้าสิ”


 


 


เป็นเสียงของจงมู่หลิง โม่เทียนเกอยืนขึ้นและจัดชุดคลุมให้เรียบร้อย


 


 


เมื่อได้พบความจริงว่าผู้ครอบครองที่แห่งนี้คือบรรพบุรุษของนางเอง นางก็รู้สึกดีใจเหลือล้น อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่นางเริ่มฝึกตน นางได้พบเจอกับหลายต่อหลายสิ่ง ดังนั้นสภาวะจิตของนางจึงนิ่งมากอยู่แล้วและนางใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการสงบจิตใจของนางเท่านั้น


 


 


นางได้รับสืบทอดรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดมาจากบรรพบุรุษท่านนี้ ด้วยเห็นแก่รากวิญญาณเหล่านี้ซึ่งยากที่จะได้พบเจอในเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ท่านบรรพบุรุษท่านนี้จึงปฏิบัติดูแลนางอย่างดีเลิศ เขาถึงขนาดบอกใบ้ว่าเขาจะมอบวิชาการฝึกตนให้กับนาง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความปรารถนาอะไรมากมาย ตราบใดที่นางได้รับวิชาการฝึกตนที่เหมาะสม นางก็รู้สึกพอใจแล้ว


 


 


“คารวะท่านบรรพบุรุษ”


 


 


จงมู่หลิงนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งตรงข้ามเขา เมื่อโม่เทียนเกอนั่งลง เขาถามอย่างอ่อนโยน “เจ้ารู้หรือไม่ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนั้นดีอย่างไร”


 


 


โม่เทียนเกอตอบว่า “ข้าน้อยรู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดเป็นหนึ่งในรากวิญญาณประหลาด แต่ไม่รู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริงของมันเจ้าค่ะ”


 


 


จงมู่หลิงยิ้มและไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบของนางแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ประโยชน์ของการมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด


 


 


“ต้นกำเนิดที่ว่านี้คือความโกลาหลแรกเริ่ม ในตอนกำเนิดโลกตอนแรก โลกเป็นเพียงกลุ่มก้อนไร้รูปร่างที่เรารู้จักกันว่าความโกลาหลแรกเริ่ม จากนั้นจึงเกิดธาตุทั้งห้าขึ้น หยินหยางเริ่มเติบโต ก่อเกิดเป็นโลกซึ่งธาตุทั้งห้าเสริมกำลังกัน ทำให้แต่ละธาตุเป็นกลาง โลกที่หยินหยางเคลื่อนที่ไปเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด และโลกที่สามารถเจริญงอกงามอย่างต่อเนื่องและคงอยู่ได้ด้วยตัวเอง รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดพูดถึงรากวิญญาณประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยรากวิญญาณทั้งห้าธาตุที่มีพลังเท่าเทียมกัน เพราะพลังของมันเท่าเทียมกัน ความสมดุลจึงสามารถคงอยู่ได้ในร่างกาย มาถึงจุดนี้เจ้าเข้าใจทุกอย่างหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างตกใจ ความโกลาหลแรกเริ่มที่ว่านั้นคือต้นกำเนิดของโลก รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดสามารถอธิบายได้อย่างนี้จริงๆ หรือ? นางสงบสติอารมณ์ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดช้าๆ ว่า “ท่านบรรพบุรุษหมายความว่า… คนที่มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดต้องสร้างโลกแห่งความโกลาหลแรกเริ่มภายในตัวของพวกเขางั้นหรือ?”


 


 


จงมู่หลิงพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว นี่เป็นวิชาการฝึกตนที่ใช้ในระหว่างยุคอดีตอันไกลโพ้นแต่ค่อยๆ หายสาบสูญไปทีละนิด ข้ากล้าพูดเลยว่านอกเหนือจากตัวข้าแล้ว ไม่มีใครที่สามารถฝึกตนในวิธีนี้ได้อีกแล้วตอนนี้


 


 


“เข้าใจล่ะ…” นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนี้ที่จริงแล้วจะเกี่ยวข้องกับยุคอดีตอันไกลโพ้น เช่นนั้นก็หมายความว่ารากวิญญาณของนางยอดเยี่ยมอย่างนั้นสิ


 


 


“ข้าก็ได้รับวิชาการฝึกตนนี้มาโดยบังเอิญ ถ้าข้าไม่ได้มันมา ข้าก็คงเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุ รากวิญญาณของข้าคงไม่ได้เป็นอะไรนอกจากรากวิญญาณที่ไร้ประโยชน์”


 


 


“ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของเจ้าไม่เหมาะจะฝึกตนกับรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด จงรู้ไว้ด้วยว่า องค์ประกอบสำคัญของความโกลาหลแรกเริ่มคือการมีอยู่ของธาตุทั้งห้าเช่นเดียวกับหยินและหยาง ย้อนไปในตอนนั้น ข้าบังเอิญมีร่างกายที่มีหยินและหยางเป็นกลาง ดังนั้นการฝึกตนของข้าจึงพัฒนาไปอย่างไว แต่เจ้าไม่เหมือนกัน พลังหยินเพียงอย่างเดียวเติบโตไม่ได้ และพลังหยางเพียงอย่างเดียวมีชีวิตอยู่ไม่ได้”


 


 


เมื่อนางได้ยินจงมูหลงพูดเรื่องทั้งหมดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจของนางก็ด้านชา นางเพิ่งจะเริ่มมีความคาดหวังในรากวิญญาณของนาง นี่นางหลงดีใจเก้องเช่นนั้นหรือ


 


 


จงมู่หลิงหัวเราะเมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เขากล่าว “ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์และรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนั้นหายากทั้งคู่ เจ้ามีทั้งสองอย่างด้วยกันแต่นั่นก็เป็นผลทำให้เจ้าเสียเปรียบ ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังไปหรอก ร่างกายที่มีพลังหยินก็มีข้อได้เปรียบเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่สามารถฝึกศาสตร์แห่งต้นกำเนิดได้เสียหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหยินหรือหยาง ทั้งหมดล้วนมีห้าธาตุ เจ้าควรจะฝึกธาตุทั้งห้าของหยินก่อนเป็นอย่างแรก ในเวลาสองวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้ศึกษาศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าอย่างรอบคอบและทำการปรับแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ข้าผสมศาสตร์แห่งต้นกำเนิดลงไปในนั้นด้วย เอาเป็นว่าเรียกมันว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดแล้วกัน”


 


 


จงมู่หลิงชี้ไปที่หยกบันทึกสองแผ่นที่อยู่บนโต๊ะและพูดว่า “นี่คือต้นฉบับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด รู้จักกันในนามว่าบันทึกไทหยวน ส่วนนี่คือศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดที่ข้าแก้ไขให้ ข้าไม่มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกสิ่งเกี่ยวกับศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดนี้จึงมาจากการอนุมานของข้า เพราะฉะนั้นข้าจะให้บันทึกไทหยวนนี้กับเจ้าด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้ารู้สึกว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าสามารถแก้ไขบันทึกไทหยวนนี้ได้”


 


 


โม่เทียนเกอได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกค่อนข้างตื้นตันมาก นางคิดว่ามันเยี่ยมยอดมากแล้วที่จงมู่หลิงยินดีจะแก้ไขวิชาการฝึกตนของนางให้ แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะมอบศาสตร์แห่งต้นกำเนิดให้กับนางโดยตรงและยังพูดแบบนั้นอีก


 


 


“ท่านบรรพบุรุษ ข้าน้อย…”


 


 


จงมู่หลิงกล่าว “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบสกุลของข้า แต่ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ได้หรอก โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นพื้นที่ของยุคอดีตอันไกลโพ้น และความเร็วในการฝึกตนของเจ้าจะเร็วขึ้นจริงถ้าเจ้าฝึกตนที่นี่ แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่มีประสบการณ์ในโลกภายนอก สภาวะจิตใจของเจ้าจะไม่ดีพออย่างแน่นอนและจะกลายเป็นปัญหาเมื่อสร้างขุมพลังของเจ้า ทุกวันนี้เจ้าได้เป็นศิษย์หัวกะทิของโรงเรียนอันทรงเกียรติและอนาคตของเจ้าก็ดูสดใส ฉะนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้อีกสักพักและฝึกศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดนี้เพื่อดูว่ามันใช้ได้หรือไม่ ข้าจะให้สมบัติบางอย่างกับเจ้าในภายหลังด้วย คิดเสียว่ามันเป็นการแสดงความรักระหว่างสายสัมพันธ์ก็แล้วกัน”


 


 


“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอตอบ อันที่จริงนางไม่เคยเพ้อฝันไปว่านางจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ ท้ายที่สุดแล้วนางและบรรพบุรุษท่านนี้ก็ถูกแยกจากกันด้วยเวลาหลายพันปี สายเลือดระหว่างพวกเขาไม่กล้าแข็ง การที่เขายินดีจะดูแลนางก็ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว


 


 


เมื่อเห็นว่านางฉลาดแค่ไหน จงมู่หลิงดูเหมือนจะรู้สึกค่อนข้างสงสารนาง เขาพูดว่า “ในเวลาอีกสองสามวันข้างหน้า เจ้าถามข้าได้โดยตรงถ้ามีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อาจดูแลทุกอย่างเพื่อเจ้าได้ แต่ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นรังแกแน่” 

 

 


ตอนที่ 114 ถูกมารครอบงำโดยบังเอิญ

 

“เวลาคือนิรันดร์ พื้นที่ว่างเป็นตัวชี้วัด โลกถูกแบ่งเป็นหยินและหยาง และครอบครองห้าธาตุ


 


 


ทองส่งเสริมน้ำ น้ำส่งเสริมไม้ ไม้ส่งเสริมไฟ ไฟส่งเสริมดิน ดินส่งเสริมทอง


 


 


ทองข่มไม้ ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มทอง


 


 


ทองเจอกับหยินนำไปสู่ความแข็งแกร่ง นั่นคือแรงกระตุ้น ทองเจอกับหยางรวมเป็นฟ้าร้อง นั่นคือแรงดึงดูด


 


 


ไม้เจอกับหยินเป็นการให้กำเนิดพลัง นั่นคือวิญญาณ ไม้เจอกับหยางขับไล่ความชั่วร้าย นั่นคือการฝ่าอุปสรรค


 


 


น้ำเจอกับหยินควบรวมเป็นการตกผลึก นั่นคือความผิดปกติ น้ำเจอกับหยางเป็นการยกเมฆสูงขึ้น นั่นคือจินตนาการ


 


 


ไฟเจอกับหยินรวบรวมเป็นจิตวิญญาณ นั่นคือยมโลก ไฟเจอกับหยางคือสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้ นั่นคือสวรรค์


 


 


ดินเจอกับหยินคือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือความสงบ ดินเจอกับหยางคือความแข็งแกร่ง นั่นไม่สามารถทำลายได้”


 


 


เมื่อนางเปิดบันทึกไทหยวน นั่นคือสิ่งที่เขียนไว้ในบทนำ กล่าวถึงความเป็นอยู่ของแหล่งกำเนิดและต้นกำเนิดความโกลาหลแรกเริ่ม จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ โลกโกลาหลไปจนถึงจุดเริ่มต้นของยุคกำเนิดโลก การแยกของสวรรค์และโลก การซ่อนของพระอาทิตย์และพระจันทร์ การเปลี่ยนแปลงของสี่ฤดู สมดุลของโลก และเวลากลายเป็นสิ่งที่มั่นคง บันทึกไทหยวนนี้วนเวียนอยู่กับ “สมดุลที่มั่นคง”


 


 


เมื่อนางเปิดศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด นางสังเกตว่าคำอธิบายในบทนำนั้นได้ถูกแทนที่ ขณะที่โม่เทียนเกอศึกษาไปทีละบรรทัด นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเช่นนาง การเป็นเทพเจ้าผู้ฝึกตนนั่นเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตบนสวรรค์ จงมู่หลิงไม่ได้มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ แต่เพียงแค่ตรวจสอบวิธีที่พลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของโม่เทียนเกอ เขาก็เขียนศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดในรูปแบบที่เหมือนกับว่าโม่เทียนเกอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาได้ ทุกส่วนเล็กส่วนน้อยนั้นสอดคล้องกับวิธีที่พลังวิญญาณไหลเวียนในร่างของโม่เทียนเกอ นางเพียงแค่ต้องอ่านเพื่อให้รู้แจ้งเท่านั้น


 


 


หลังจากจำเนื้อหาได้ทั้งหมดแล้ว นางก็พยายามฝึกตนอยู่ที่กระท่อม


 


 


นางนั่งขัดสมาธิ เริ่มจากการเคลื่อนพลังวิญญาณของนางรอบวงโคจรจุลจักรวาลและชี้นำมันอย่างช้าๆ ไปตามเส้นลมปราณของนาง พลังวิญญาณของนางได้เปลี่ยนเป็นพลังแห่งหยิน และในตอนนี้นางเพียงแค่เคลื่อนมันไปตามเส้นลมปราณของนางตามหลักที่เขียนไว้ในศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด


 


 


พลังวิญญาณของนางวนบรรจบครบวงโคจรและกลับสู่ตานเถียนของนาง ทันใดนั้นมีบางสิ่งบางอย่างถูกกระตุ้นจากการกระทำนั้น นางรู้สึกได้ทันทีว่าเส้นลมปราณของนางหดตัวและรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย


 


 


พลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นเข้มข้นมาก ในทันทีทันใดมันก็เหมือนกับพลังวิญญาณมหาศาลพุ่งเข้าสู่ตานเถียนของนาง ในเมื่อโม่เทียนเกอรู้ว่านี่เป็นสิ่งปกติ นางจึงค่อยๆ ชี้นำพลังวิญญาณนั้นไปที่เส้นลมปราณของนาง สอดผสานมันเข้ากับพลังวิญญาณของนาง


 


 


ใต้ต้นไม้นอกกระท่อม จงมู่หลิงและหยวนเป่านั่งอยู่ตรงข้ามกันกำลังเล่นหมากรุกและพูดคุยกันอย่างเกียจคร้าน


 


 


หลังจากที่เขามองจงมู่หลิงที่คอยหันไปจ้องมองทางกระท่อม หยวนเป่าหยอกเขา “นี่เจ้าจะเป็นอย่างนี้หรือ พวกเราทั้งสองอยู่ที่นี่ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจริง เจ้ายังกังวลว่าพวกเราจะช่วยนางไม่ได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


จงมู่หลิงยู่ปากและพูด “ปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้น ข้าสร้างวิชาการฝึกตนนี้ตามกฏแห่งการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ นางสามารถฝึกตนกับมันได้จนถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่โดยไร้ซึ่งปัญหา”


 


 


“งั้นเจ้าจะมัวมองอะไร” หยวนเป่าวางหมากบนกระดานพร้อมพูดอย่างระมัดระวัง “เด็กหญิงคนนี้ดูเหมือนจะมีความเข้าใจที่ดี ข้าคิดว่าเจ้าควรปล่อยให้นางโตโดยที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไร ถ้านางยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ถึงวิชาการฝึกตนหลังจากที่เจ้าให้นางไป เจ้าก็ไม่ควรที่จะต้องคาดหวังอะไรกับนางอีก”


 


 


ข้อเสนอแนะที่ชั่วร้ายนี้ต้องเจอกับการที่จงมู่หลิงถลึงตาใส่ เขาพูด “นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เจ้าคิดว่านางจะมีความเข้าใจได้เหมือนกับพวกเราเชียวหรือ”


 


 


“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” หยวนเป่าพูดอย่างไม่ละอายใจ “ข้าจะไม่พูดเกี่ยวกับตัวข้าเอง แต่ก่อนที่เจ้าจะก่อแก่นขุมพลัง เจ้าก็ไม่มีคนช่วยไม่ใช่หรือ นางเป็นถึงศิษย์ระดับหัวกะทิของโรงเรียนชั้นนำ และนางก็มีผู้อาวุโสในฝ่ายคอยดูแล ถ้านั่นยังไม่พอแล้วนางจะคุ้มค่าให้ฝึกหรือ การทำให้สำเร็จผลไม่สามารถสำเร็จได้โดยการพึ่งเพียงแค่ผู้อาวุโส ทุนทางธรรมชาติและนิสัยของผู้นั้นก็ต้องไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะติดอยู่ในคอขวดในช่วงผ่านเข้าสู่แต่ละดินแดน อา… ข้าก็เคยประสบกับความทรมานแบบนี้มาก่อน” เมื่อเขาพูดจบ น้ำเสียงของเขาก็ดูจริงใจขึ้น


 


 


ด้วยการหวังพึ่งกับต้นทุนทางธรรมชาติที่ดี เขาฝึกตนจนถึงระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพเจ้า ถึงแม้ว่าต้นทุนธรรมชาติของโม่เทียนเกอจะไม่ได้แย่นัก ร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ของนางจำกัดรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด อีกอย่างนางเองก็ไม่ได้เก่งเช่นจงมู่หลิงหรือหยวนเป่า ดังนั้นคาดว่าในอนาคตนางจะต้องเผชิญกับบททดสอบที่ทรหดทีเดียว


 


 


จงมู่หลิงได้ยินคำพูดของหยวนเป่า ก็ได้แต่เงียบนิ่งเฉย


 


 


ทั้งสองคนเล่นหมากรุกกันต่อไปในความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่หยวนเป่าจะพูดขึ้นอีกครั้ง “หลายวันแล้วที่พวกเรามาที่ขั้วแห่งท้องฟ้านี้ พวกเรากลับไปที่อวิ๋นจงและสำรวจดูรอบๆ ไหม”


 


 


“โอ้…” จงมู่หลิงพึมพำอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงพูด “อย่างนั้นก็ได้ ถ้ามันไม่มีปัญหาอะไรกับวิชาการฝึกตนของเด็กคนนี้ พวกเราค่อยกลับไปอวิ๋นจงหลังจากที่เสร็จจากที่นี่แล้ว พวกเราจะได้ไปหาตาแก่ฮันเฉวียนตอนที่พวกเราอยู่ที่นั่นด้วย”


 


 


หยวนเป่าหัวเราเสียงแหลมเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาพูด “ความคิดดี! นกฟินิกซ์ของเขากำลังจะสละขนพอดี พวกเราไปจะได้หาผลประโยชน์บ้าง!”


 


 


“ฮึ่ม! เจ้าคนเดียวนะที่อยากจะหาผลประโยชน์ ตกลงไหม ขนของเจ้านกนั้นไร้ประโยชน์สำหรับข้า”


 


 


“อั๊ย… เจ้านี่เลิกขวานผ่าซากได้ไหม! อะไรที่เป็นของข้าก็เป็นของเจ้า อะไรที่เป็นของเจ้าก็เป็นของข้า พวกเรารู้จักกันมานาน จำเป็นต้องแบ่งของแต่ละคนกันอีกหรือ”


 


 


“ไปซะ!” จงมู่หลิงจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจและพูดว่า “มีสิ่งใดที่เจ้าใช้แล้วไม่ใช่ของข้าบ้างเล่า เจ้าก็แค่พ่นออกมาอย่างไม่จริงใจ คำหวานไร้สาระ!”


 


 


“โอ้ ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่พูดคำหวานไร้สาระอีกต่อไป ในอนาคต ข้าจะใช้แต่สิ่งของของเจ้า”


 


 


“เจ้า…” เพียงโบกมือ แผ่นผนึกทรงสี่เหลี่ยมก็ปรากฏขึ้นอยู่บนมือของจงมู่หลิง ในพริบตาแผ่นผนึกก็ขยายขนาดเท่ากับภูเขาเล็กๆ และพุ่งตรงหาหยวนเป่า


 


 


ร่างหยวนเป่าหายตัวไปและไปโผล่อีกครั้งห่างออกไปถึงหนึ่งจั้งร้อยจากจุดเดิม “ตู้ม!” ด้วยเสียงอันดัง สวนสมุนไพรใกล้ๆ สลายกลายเป็นผุยผง ในขณะที่หยวนเป่าไร้ซึ่งความบาดเจ็บ


 


 


“เจ้ารู้ไหม…” หยวนเป่าแค่ต้องการพูด แต่จงมู่หลิงทำท่ากวักมือเรียก แผ่นผนึกทรงสี่เหลี่ยมลอยกลับไปที่มือของเขา หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยมันให้พุ่งเข้าหาหยวนเป่าอีกครั้ง


 


 


ด้วยความตกใจ หยวนเป่ารีบคลำไปรอบๆ เอวของเขา เกราะป้องกันสี่เหลี่ยมเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมือเขา มันถูกลมพัดไปและขยายใหญ่ขึ้น จนป้องกันแผ่นผนึกสี่เหลี่ยมของจงมู่หลิงได้ทั้งหมด


 


 


“เจ้ารู้ไหม…” ในระหว่างการต่อสู้ด้วยพลังวิญญาณกับจงมู่หลิง หยวนเป่าพยายามอย่างมากที่จะพูด “เจ้าไม่กลัวว่าการผันผวนของพลังวิญญาณนี้จะใหญ่ไปอย่างนั้นหรือ… การฝึกตนของเด็กคนนั้นจะถูกรบกวนได้… และนางอาจจะถูกครอบงำด้วยมารร้ายได้ไม่ใช่หรือ”


 


 


จงมู่หลิงตกใจและรีบเรียกแผ่นผนึกสี่เหลี่ยมก่อนที่เขาจะหายไปจากสายตา


 


 


“เฮ้อ…” หยวนเป่าถอนใจ แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเด็กคนนี้… ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ข้าจำเป็นต้องใช้พลังบางส่วนไปถ้าข้าต้องการที่จะชนะเขาในตอนนี้ เขาจะเหนือกว่าข้าไม่ช้าก็เร็ว…” น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายอย่างที่สุด ปราศจากซึ่งความยากลำบากที่เขาแสดงให้เห็นตอนที่ต่อสู้กับจงมู่หลิงอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ระดับการฝึกตนของเขาก็สูงกว่าจงมู่หลิงมากนัก


 


 


ในขณะนั้นจงมู่หลิงอยู่ในกระท่อม ขมวดคิ้วราวกับว่าเขาปวดหัวอย่างรุนแรง บนเสื่อสวดมนต์ โม่เทียนเกอนั่งตัวเอียง ไร้ซึ่งสติ


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังตัวเล็กๆ อย่างนางจะอดทนต่อแรงกดดันของพลังวิญญาณเมื่อทั้งสองเทพผู้ฝึกตนกำลังต่อสู้กันได้อย่างไร หากร่างกายนางไม่ได้ครองพลังแห่งหยินบริสุทธิ์ กระบวนการฝึกตนทั้งหมดของนางคงไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สถานะของนางนั้นไปไกลเกินกว่าคำว่าดีแล้ว ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางจะไม่ได้รับผลกระทบ ภายใต้อิทธิพลพลังวิญญาณของพวกเขา นางได้ขาดการควบคุมเหนือพลังวิญญาณของนาง ตอนนี้เส้นลมปราณของนางทุกเส้นถูกทำลาย และตานเถียนของนางก็เสียหายอย่างหนัก


 


 


“นี่เป็นปัญหาแล้ว…” จงมู่หลิงครุ่นคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูด “คิดซะว่าเจ้าโชคดี ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยเจ้ารื้อฟื้นตานเถียนและแก้ไขเส้นลมปราณของเจ้า ข้าอาจจะต้องใช้ผลไม้ห้าวิญญาณเพื่อเปลี่ยนกล้ามเนื้อและชำระล้างไขกระดูกของเจ้าออก”


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าผลไม้ห้าวิญญาณคืออะไร มันคือพืชวิญญาณที่โตในช่วงต้นกำเนิดโลก หนึ่งต้นถูกแบ่งออกเป็นห้าธาตุ และผลไม้ห้าลูกรวมเป็นลูกเดียว ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าผลไม้ห้าวิญญาณ ใช้เวลาหมื่นปีในการแตกหน่อ หมื่นปีในการแตกกิ่งก้านสาขา หมื่นปีในการโตเป็นต้นไม้ หมื่นปีในการเบ่งบาน และอีกหมื่นปีในการออกผล รวมทั้งหมดห้าหมื่นปีที่ต้องใช้ในการที่จะได้ผลไม้หนึ่งลูก มันถูกพิจารณาว่าเป็นของที่หายากมากแม้กระทั่งในอดีตอันไกลโพ้นก็ตาม


 


 


โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเลียนแบบพลังวิญญาณเช่นเดียวกับทรัพยากรธรรมชาติจากยุคสมัยอันไกลโพ้น เมื่อเขาครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ มันมีผลไม้ชนิดนี้สองต้นโตอยู่ภายใน ตอนนี้ต้นหนึ่งผลไม้โตเต็มที่แล้ว


 


 


เมื่อนึงถึงสิ่งนี้ จงมู่หลิงก็รู้สึกปวดใจอยู่ภายใน ผลไม้นี้ยังไม่ทันจะผ่านมือเขาได้นานเลย แต่มันก็จะต้องเอาไปให้กับคนอื่นเสียนี่! ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้าทึ่มนั่น!


 


 


น่าเสียดายที่เจ้าทึ่มนั่นส่งเสียงเอะอะเข้ามาในหูของเขาอีกครั้งและพูดว่า “อาหลิง มีใครบางคนเข้ามาที่ม่านพลังมายานภา!”


 


 



 


 


เว่ยจยาซือลืมตาด้วยความสับสน ภาพฉากแรกยังคงติดอยู่ในจิตใจนาง สัตว์ปีศาจห้าตัวจู่โจมนางในครั้งเดียวพร้อมกัน ในขณะที่ธงวิญญาณน้ำของนางถูกพังลง และนางมีเครื่องมือวิญญาณเหลือไม่กี่ชิ้น นางคิดว่านางกำลังจะตาย แต่ก็ไม่ ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ด้านหน้านางเลยนอกเหนือไปจากต้นไม้ที่ไร้จุดสิ้นสุดซึ่งดูเหมือนกำลังเคลื่อนที่ถอยหลัง


 


 


เคลื่อนที่ถอยหลังอย่างนั้นหรือ ด้วยความตกใจ นางยกหัวของนางขึ้น ครั้นทำเช่นนั้นนางก็ต้องตะลึงงัน เวลาผ่านไปนานก่อนที่จะพบว่านางสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ “ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์ลุง…”


 


 


ฉินซีพยักหน้า เมื่อเห็นว่านางฟื้นแล้ว เขาจึงหยุดและวางนางลงจากที่อุ้มอยู่


 


 


ครู่หนึ่ง เว่ยจยาซือไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร มีเพียงแค่ความคิดเดียวในจิตใจของนาง ท่านอาจารย์ลุง! ท่านอาจารย์ลุงมาช่วยข้าไว้!


 


 


“ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รอง!”


 


 


เว่ยจยาซือรีบปรับท่าทางของนาง นางหันไปรอบๆ และเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังเข้ามาหาจากที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลมาก


 


 


เมื่อเห็นเว่ยจยาซือไม่ได้รับบาดเจ็บ หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก นางพูด “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม! ดีจริงๆ! ศิษย์พี่รอง ข้ากลัวแทบตาย! พวกเราโชคดีที่ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ!”


 


 


เว่ยจยาซือไม่ทันได้มีโอกาสที่จะตอบกลับเพราะฉินซีพูดอย่างแผ่วเบา “ตามนี้นะ เฟิงเสวี่ยข้าจะส่งพวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน”


 


 


“หา!” หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงทันทีแต่นางก็รีบพูด “แต่เทียนเกอหายไป…”


 


 


ฉินซีขมวดคิ้ว “หืม”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยอธิบาย “ความจริงแล้วตอนแรกพวกเราอยู่กับเทียนเกอ แต่ข้าเริ่มคุยกับศิษย์พี่รองและเทียนเกอช่วยพวกเราสำรวจพื้นที่ สุดท้ายแล้ว สัตว์ปีศาจเหล่านั้นก็เข้ามา ศิษย์พี่รองบอกให้ข้าตามหาเทียนเกอและหนีกลับไปก่อน แต่ข้าหานางไม่เจอ”


 


 


ฉินซีนึกย้อนไปเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณ หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกน “เทียนเกอ” เมื่อคิดได้ครู่หนึ่ง เขาก็โบกมือส่งผลให้เมฆลอยได้ปรากฏออกมาอยู่ใต้เท้าพวกเขา เขาพูดว่า “ในอนาคตต่อไป เจ้าจะต้องไม่สะเพร่าเช่นนี้! มา ข้าจะพาเจ้ากลับไปก่อน”


 


 


“แล้วเทียนเกอเล่า” หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความกังวล ที่นี่คือป่า หากเทียนเกอถูกทิ้งไว้คนเดียวที่นี่อาจจะ…


 


 


ฉินซีพูด “ข้ามีแผนสำหรับนางแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”


 


 


“โอ้ ตกลง…” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบด้วยความประหลาดใจ ท่านอาจารย์ลุงมักจะคอยดูแลเทียนเกอเสมอ เขาจะไม่ทอดทิ้งนางใช่ไหม


 


 


เมฆบินได้พาพวกเขาบินไปที่ผาลั่วเยี่ยน ความเร็วอาวุธเวทบินได้ของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยิ่งกว่าคำว่าเร็วเสียอีก เพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาถึงที่ผาลั่วเยี่ยน


 


 


เมื่อมาส่งเว่ยจยาซือและหลัวเฟิงเสวี่ยแล้ว ฉินซีก็กล่าว “พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อน เฟิงเสวี่ยรายงานกับอาจารย์ของเจ้า บอกท่านว่าข้าไม่เป็นอะไรและข้าจะกลับมาเมื่อเจอเทียนเกอ”


 


 


“ท่านอาจารย์ลุง ท่านจะตามหาเทียนเกอหรือ” หลัวเฟิงเสวี่ยกังวลพร้อมพูดขณะที่ก้าวเข้าไปหาเขา


 


 


ฉินซียิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้วในตอนนี้ เจ้าเพียงแค่ต้องกลับไปและรายงานให้อาจารย์ของเจ้าทราบ”


 


 


“แต่…”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยยังไม่ทันจะพูดในสิ่งที่ต้องการจบ เพราะฉินซีได้ขึ้นเมฆบินได้และเหาะออกไป สุดท้ายแล้วนางก็ทำได้เพียงแค่ถอนใจ นางเป็นห่วงเทียนเกอแต่การที่อาจารย์ลุงคนที่เพิ่งจะกลับมาจะต้องออกไปตามหาเทียนเกอก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ว่าไหม?


 


 


“ศิษย์พี่รอง?” เมื่อเห็นว่าเว่ยจยาซือเงียบ หลัวเฟิงเสวี่ยจึงเรียกออกไปอย่างระมัดระวัง


 


 


เว่ยจยาซือมองที่หลัวเฟิงเสวี่ย ส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


ดูเหมือนว่าเว่ยจยาซือจะมีอะไรอยู่ในใจมากมาย ดังนั้นหลัวเฟิงเสวี่ยจึงไม่ค่อยเชื่อนางเท่าไร หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างเคร่งเครียด “ศิษย์พี่รอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านต้องไม่เดินไปในทางที่ผิดอีก”


 


 


ด้วยรอยยิ้มเบาๆ เว่ยจยาซือพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร อย่าได้กังวลไปเลย” หลังจากที่นางพูดเช่นนี้นางจึงหันกลับและเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดบางอย่างและตัดสินใจที่จะตามนางเข้าไป นางตะโกน “ศิษย์พี่รอง รอข้าด้วย!” 

 

 


ตอนที่ 115 ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ

 

ฉินซีดูสภาพรอบตัวเขาด้วยความระมัดระวัง ทุกที่ที่เขามองไปเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ซัดขึ้นลงราวกับพายุที่จับตัวกัน เกิดเป็นคลื่นพุ่งขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า เขายืนอยู่เหนือมหาสมุทรประดุจแหนที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำแรง ยังคงถูกซัดสาดด้วยพลังวิญญาณบ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง รู้สึกปวดไปทั่วสรรพางค์กาย


 


 


ด้วยว่าแม้แต่ตะเกียงวัดใจของเขายังไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติอะไรได้ เขาจึงรู้ว่าสิ่งนี้ต้องเป็นม่านพลังระดับสูงมากและผู้ครอบครองมันต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เป็นอย่างน้อยแน่นอน อย่างไรก็ตาม เขายังรู้อีกว่าผู้ครอบครองสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาสู้กับสัตว์ปีศาจระดับเจ็ด ในระหว่างการต่อสู้นั้น แม้ว่าเขาจะสามารถตัดหัวสัตว์ปีศาจตัวนั้นได้หลังจากลงแรงไปมากมาย แต่ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บ และเขาเดินเข้ามาสู่ม่านพลังนี้โดยบังเอิญ


 


 


ในช่วงเวลาหลายวันที่เขาติดอยู่ที่นี่ ผู้ครอบครองที่นี่ไม่ได้ทำอะไรกับเขา ม่านพลังนี้เป็นเพียงม่านพลังดักจับ ไม่ใช่ม่านพลังพิฆาต เขาจึงเพียงสงบจิตสงบใจและฟื้นตัวอยู่ในที่แห่งนี้ เมื่อบาดแผลของเขาหาย บางทีอาจจะเพราะผู้ครอบครองรู้สึกเบื่อ หรือบางทีอาจจะเพราะพวกเขาคิดว่าเขาค่อนข้างต้องตาต้องใจ พวกเขาจึงเปิดม่านพลังและยอมปล่อยให้เขาออกไปได้


 


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ครอบครองที่นี่นั้นไม่มีเจตนาร้ายกับเขาเมื่อเขาเข้ามาในม่านพลังนี้โดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ที่เขาตั้งใจพรวดพราดเข้ามาในนี้ บางทีม่านพลังดักจับนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นม่านพลังพิฆาตก็เป็นได้


 


 


เมื่อฉินซีกำลังพยายามคิดหาแผนการ สายฟ้าฟาดลงมาจากเบื้องบน ร่างของฉินซีขยับหนีไปหนึ่งร้อยจั้งทันที เหงื่อเย็นๆ ไหลทั่วร่างพอเขาหันกลับไปมอง


 


 


จุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้กลายเป็นมหาสมุทรที่ขยายออกไปซึ่งปะทะเข้ากับฟ้าผ่า เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องทำให้สวรรค์และโลกต้องสั่นสะเทือน


 


 


แขนเสื้อเขาส่วนหนึ่งถูกเผาไหม้จนเกรียม


 


 


เป็นดังคาด ม่านพลังนี้ได้กลายเป็นม่านพลังพิฆาตไปเสียแล้ว


 


 


ครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ข้างใน ม่านพลังนี้เพียงแค่ปรากฏออกมาเป็นม่านพลังมายาหรือไม่ก็ม่านพลังที่ทำให้สับสนเท่านั้น และไม่ได้ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่แท้จริงต่อตัวเขา ทว่า ณ ตอนนี้ หากเขาขยับช้าไปเพียงแค่หนึ่งวินาที ชะตาของเขาคงจะขาดเช่นเดียวกับแขนเสื้อของเขาเป็นแน่


 


 


หลังจากใช้เวลาคิดพักหนึ่ง ในที่สุดฉินซีก็หลับตาลงและปล่อยจิตสัมผัสออกไป


 


 


ทั่วทุกที่เป็นมหาสมุทร… ฉินซีถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เขาหรี่ตาลง แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังนี้ด้วยความสามารถปัจจุบันได้แน่ คนเช่นไรกันที่เป็นผู้ครอบครองที่แห่งนี้ เขาเคยเห็นม่านพลังของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มาบ้าง และเขายังเคยทำลายกำแพงอาคมของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยการใช้ตะเกียงวัดใจด้วยซ้ำ หากเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธจากดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาอาจไม่มีความสามารถที่จะตอบโต้ กระนั้นอย่างน้อยเขาก็ยังพอทำอะไรได้บ้าง เขาไม่เคยถูกย่ำยีเช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกราวกับว่าเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะหนีได้เลย


 


 


เขาถอนหายใจแผ่วเบาอีก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาหลับตาลงอีกครั้งและบีบอัดพลังวิญญาณของเขา เรียกกระบี่อัคนีสามพลังหยางจากภายในตานเถียนออกมา คมมีดของมันปกคลุมไปด้วยไฟโหมร้อนแรงและแสงสีทองระยับ


 


 


กระบี่อัคนีสามพลังหยางนี้เป็นอาวุธวิเศษโดยกำเนิดของเขา ย้อนไปตอนนั้นในการผจญภัยครั้งแรกของเขา เขาบังเอิญได้รับคู่มือวิชาการฝึกตนและวิธีที่จะขัดเกลากระบี่เล่มนี้มา ซึ่งเดิมทั้งสองมาเป็นชุดคู่กัน เมื่อเห็นว่าการรวมกันของทั้งสองสิ่งนั้นก่อให้เกิดพลังที่สุดยอด และเนื่องจากมันยังเข้ากันได้ดีกับรากวิญญาณของเขา เขาจึงเลือกมันเป็นอาวุธวิเศษโดยกำเนิด หลังจากสร้างขุมพลังของตัวเองได้ เขาต้องผ่านความยากลำบากมากมายและในที่สุดก็สามารถขัดเกลากระบี่นี้โดยใช้ไฟธาตุทองแท้ การรังสรรค์กระบี่นี้ถึงขนาดกระตุ้นให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ขณะที่เกิดขึ้นนั้น การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจก็ได้เกิดขึ้นในปีนั้นเช่นเดียวกัน ฉินซีที่ต้องอาศัยกระบี่เล่มนี้และเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังจึงได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงโดดเด่นไปทั่วทั้งคุนอู๋ตะวันตก ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าถ้ามีพลังวิญญาณอยู่มากพอ เขาอาจจะมีพลังสู้กับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยกระบี่เล่มนี้เลยยังได้


 


 


บัดนี้เมื่อต้องติดอยู่ในม่านพลัง เขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามของผู้ครอบครองสถานที่นี้ ในตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาอยู่แค่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นเขาจึงต้องหวังพึ่งกระบี่อัคนีสามพลังหยางเล่มนี้เท่านั้นเพื่อให้รอดไปได้


 


 


แสงวาบผ่านท้องฟ้าไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ฉินซียังคงนิ่ง กระบี่อัคนีสามพลังหยางลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยแรงหนุนจากพลังวิญญาณของเขา แสงระยิบระยับรอบๆ กระบี่ยิ่งสว่างขึ้น


 


 


ในที่สุดฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา เขายกมือขึ้นทำให้กระบี่อัคนีสามพลังหยางเคลื่อนไปในอากาศและชนปะทะเข้ากับสายฟ้าฟาดอย่างจัง คมมีดของมันสั่นสะท้านแต่ยังสามารถยืนหยัดได้อยู่


 


 


ขณะมองภาพเบื้องหน้า ฉินซีทำท่ามุทรา กระบี่อัคนีสามพลังหยางเริ่มจะซึมซับสายฟ้าเข้ามา มันคงที่อยู่และไม่ขยับเขยื้อนขณะที่สายฟ้าอ่อนกำลังลงอย่างช้าๆ สิ่งหนึ่งสว่างและอีกสิ่งหนึ่งมืดมิด ความรุนแรงของไฟจากคมมีดของกระบี่อัคนีสามพลังหยางยิ่งรุนแรงขึ้นและสายฟ้าก็ค่อยๆ มอดดับไป


 


 


เมื่อสายฟ้าหายลับไปในที่สุด กระบี่อัคนีสามพลังหยางก็เหมือนกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรงสาดส่องแผดเผา สว่างมากเสียจนไม่สามารถมองใกล้ๆ ได้ ฉินซีทำท่ามุทราอีกครั้ง แรงเคลื่อนไหวที่น่ากลัวทะยานสูงขึ้นในทันใดเกือบจะตัดแยกท้องฟ้าออกเป็นรูกว้าง


 


 


ในไม่ช้า สีผิวของฉินซีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซีดเผือด พลังวิญญาณของเขาดูเหมือนไม่สามารถจะทนอยู่ได้นาน แต่เขาไม่อาจหยุดได้


 


 


ธาตุทองส่งเสริมสายฟ้าในขณะที่ธาตุไฟข่มสายฟ้า กระบี่อัคนีสามพลังหยางของเขาบังเอิญมีร่างธาตุทองและรูปลักษณ์ธาตุไฟ ดังนั้นตอนแรกเขาจึงใช้ธาตุไฟเพื่อสู้กับสายฟ้าฟาดจากนั้นใช้ธาตุทองเพื่อช่วยเขาในการดูดพลังของมันมา พลังของสายฟ้าไม่ใช่พลังของเขาแต่แรก เพราะอย่างนั้นเขาจึงแทบจะไม่สามารถควบคุมมันได้เลย ถ้าเขาหยุดตอนนี้เขาจะต้องถูกมันโจมตีแน่ ตอนนี้วิชากายาพิสุทธิ์ของเขายังไม่สมบูรณ์ ถ้าเขาถูกสายฟ้าจากสวรรค์ที่น่าสะพรึงเช่นนั้นเล่นงานเข้าล่ะก็ แม้แต่โครงกระดูกของเขาก็จะไม่มีเหลือ!


 


 


“อาฮะ เจ้าเด็กคนนี้ใช้ได้เลย เขามีความสง่างามแบบเดียวกับที่ข้ามีสมัยก่อน!” ขณะนั้นเอง หยวนเป่ากำลังพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ในภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “ไม่เลว เขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่เขากล้าที่จะสู้กับม่านพลังมายานภาโดยใช้หลักการของการส่งเสริมและข่มระหว่างธาตุทั้งห้า เยี่ยม! ในเมื่อเจ้าน่ามองขนาดนี้ ข้าก็จะเล่นกับเจ้าเอง!”


 


 


จากนั้นหยวนเป่าสะบัดแขนเสื้อ ก่อให้เกิดรอยแตกของมิติตรงหน้าซึ่งเขาโผเข้าไปทันที


 


 


ขณะเดียวกัน จงมู่หลิงกำลังช่วยโม่เทียนเกอให้ลุกขึ้นนั่ง นางนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ เขาวางฝ่ามือข้างหนึ่งบนหัวนางขณะที่เอากล่องหยกขนาดเล็กออกมาด้วยมืออีกข้าง


 


 


ฝ่ามือของจงมู่หลิงปล่อยพลังวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ พลังวิญญาณนี้ไม่ใช่หยินหรือหยาง มันประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าแต่ก็ไม่ใช่พลังวิญญาณผสม ดูเหมือนจะเป็นพลังวิญญาณประเภทใหม่ที่ทั้งบริสุทธิ์และอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง มันเข้าสู่เส้นลมปราณและตานเถียนของโม่เทียนเกอได้อย่างง่ายดาย ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว


 


 


ภายใต้การบำรุงด้วยพลังวิญญาณของเขา โม่เทียนเกอดูเหมือนจะฟื้นกำลังวังชาของนางกลับมาได้อย่างเร็ว ใบหน้าซีดเผือดของนางค่อยๆ กลับมาเป็นสีเลือดฝาดตามเดิม เมื่อเห็นว่านางกำลังฟื้นตัว จงมู่หลิงโบกมืออีกข้างของเขา กล่องหยกจึงเปิดออก ภายในกล่องคือกิ่งไม้เขียวขจีพร้อมผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ติดอยู่กับกิ่งนั้น


 


 


ว่ากันว่าเมื่อโสมอายุถึงหนึ่งพันปี จะสามารถเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ได้ทันทีและกลายเป็นโสมร่างเด็ก อันที่จริงพืชของเซียนสามารถเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์ได้ ในโลกแห่งการฝึกตน โสมเป็นเพียงพืชธรรมดาที่มีพลังวิญญาณของเซียน มีพืชวิญญาณมากมายที่มีพลังวิญญาณมากกว่าโสม ทว่าโสมเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับพืชเซียนที่สุด จึงสามารถเติบโตไปเป็นรูปร่างมนุษย์ได้


 


 


ผลไม้ห้าวิญญาณคือผลไม้ของเซียน ทุกวันนี้พวกผลไม้ของเซียนประเภทนี้ไม่สามารถพบได้ในหมู่มนุษย์อีกแล้ว พวกมันคงอยู่ได้แต่ในพื้นที่ที่ลอกเลียนแบบมาจากความโกลาหลแรกเริ่มเท่านั้นอย่างโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงอย่างนั้นก็ตาม โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนที่เป็นที่รู้จักไม่ได้มีมากนัก และในหมู่โลกเหล่านั้น มีแค่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้ที่มีผลไม้ห้าวิญญาณ


 


 


จงมู่หลิงเสกผลไม้ห้าวิญญาณให้ลอยอยู่กลางอากาศ ครั้นนึกได้ว่าผ่านมาหลายวันแล้วตั้งแต่เขาเก็บผลไม้นี้มา ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่แล้วใบหน้าเขาก็กลับไปสงบนิ่งอีกครั้งในทันที เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับเทพ ดังนั้นเขาจึงควบคุมอารมณ์ได้ดีมานานแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาขุ่นเคือง แต่เขาก็สามารถข่มความรู้สึกนั้นไว้ได้ในชั่วพริบตา


 


 


ผลไม้ห้าวิญญาณถูกยกขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณของเขา เมื่อถูกปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์นั้น มันค่อยละลายอย่างช้าๆ และกลายเป็นสสารโปร่งใส เขายกสสารนั้นขึ้นมาช้าๆ จากนั้นค่อยๆ ป้อนเข้าใส่ปากโม่เทียนเกอ


 


 


สารสกัดของผลไม้ห้าวิญญาณเข้าสู่ร่างกายนางและไหลไปตามเส้นลมปราณทำให้ทุกส่วนที่มันไหลผ่านได้ฟื้นคืนชีวิตใหม่ จากนั้นมันไหลเข้าสู่ตานเถียนของนาง ฟื้นฟูตานเถียนส่วนที่เสียหายทีละนิดทีละนิด จนท้ายที่สุดมันก็ละลายโดยสมบูรณ์และหลอมรวมเข้ากับตานเถียนของนาง


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดจงมู่หลิงเอามือลงและพูดอย่างอ่อนโยน “ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณไม่สามารถถูกพลังวิญญาณของมารรุกรานเข้ามาได้ ร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ของเจ้า เช่นเดียวกับเส้นลมปราณของเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยผลไม้ห้าวิญญาณ เจ้าจะไม่ถูกมารเข้าสิงนับจากนี้เป็นต้นไป นอกเหนือจากมารภายในจิตใจในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน ถือเสียว่านี่เป็นการทำหน้าที่ของข้าในฐานะบรรพบุรุษของเจ้าแล้วกัน”


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร ทว่าในที่สุดนางก็ตื่นขึ้น นางมีความฝันที่แปลกประหลาดมาก ในฝัน นางเหมือนจะได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความโกลาหลแรกเริ่ม ยุคที่โลกเพิ่งก่อเกิดขึ้น มีพลังวิญญาณหนาแน่นรายล้อมตัวนาง นางซึมซับพลังวิญญาณนั้นด้วยความโลภและกลืนกินพืชวิญญาณแต่ละอย่างที่นางเจอ ทั้งเส้นลมปราณและตานเถียนของนางโตขึ้นและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และระดับการฝึกตนของนางก็ก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง…


 


 


ยามที่นางได้สติกลับคืน ถึงรู้ว่าด้านหน้านางมีรอยเลือดอยู่ อ้อใช่! นางกำลังฝึกตนอยู่เมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณอย่างแรง แรงกดดันของพลังวิญญาณนี้ทำให้นางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ในวินาทีต่อมานางก็สูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณของนางและมันคลุ้มคลั่งอยู่ภายในเส้นลมปราณของนาง


 


 


นางรู้สึกกลัวและพยายามจะหยุดการฝึกตน แต่แรงกดดันของพลังวิญญาณนั้นยังคงกดนางไว้ ทั้งร่างของนางเจ็บปวดมากจนในที่สุดนางก็หมดสติไป


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าสิ่งที่นางเจอคือ “การถูกมารเข้าครอบงำ” ที่ว่ากัน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง ท่านอาจารย์เสวียนอินบอกว่าสืบเนื่องจากร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนาง การปะทะกันของหยินและหยางจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นโอกาสที่นางจะถูกมารเข้าครอบงำจึงน้อยมาก แล้วแรงกดดันของพลังวิญญาณนั้นคืออะไรกัน มันทำให้นางไร้ความสามารถที่จะต่อต้านและสูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณของนางไปจนหมดสิ้นได้อย่างไร


 


 


อย่างไรก็ดี นางจำเรื่องที่สำคัญกว่าได้ขึ้นมาในทันที ข้าถูกมารเข้าสิง แล้วระดับการฝึกตนของข้าล่ะ นางรีบนั่งขัดสมาธิและทดสอบพลังวิญญาณภายในร่างกายนาง ในวินาทีต่อมา นางก็ถึงกับตกตะลึง ไม่เพียงแต่การฝึกตนของนางจะไม่เสียหาย แต่ระดับการฝึกตนของนางยังก้าวหน้าไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอีกด้วย!


 


 


หลังจากช่วงเวลาแห่งความตกใจ บัดนี้โม่เทียนเกอรู้สึกดีใจเป็นที่สุด เป็นเวลาน้อยกว่าหนึ่งปีตั้งแต่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง อย่าว่าแต่การก้าวหน้าเข้าสู่ขั้นกลางเลย ก่อนหน้านี้ระดับการฝึกตนของนางยังติดขัดและไม่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำไป แม้แต่การเติบโตของพลังวิญญาณของนางก็ช้ามากเสียจนแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ แต่อย่างไรก็ตาม จู่ๆ นางก็ก้าวหน้าไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างนั้นหรือ? นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินที่เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเมื่อเขาอายุสี่สิบปีนั้นก็จัดว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว แต่การก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในเวลาแค่ครึ่งปีนี่มันช่างเกินกว่าจะจินตนาการได้!


 


 


“เจ้าตื่นแล้วรึ”


 


 


เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูนาง เป็นเสียงของจงมู่หลิงที่พูดกับนางโดยใช้จิตสัมผัสของเขา พอรู้ว่าการพัฒนาไปถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังต้องเป็นฝีมือของท่านบรรพบุรุษท่านนี้แน่ โม่เทียนเกอก็รู้สึกซาบซึ้งต่อเขาอย่างมาก นางตอบด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ ท่านบรรพบุรุษ”


 


 


“อือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ข้าน้อยได้เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วเจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่านางจะสงวนท่าทีที่ดูสงบนิ่ง แต่โม่เทียนเกอยังคงรู้สึกสุขใจอยู่ข้างใน


 


 


จงมู่หลิงแค่นเสียงอย่างดูถูกเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ถามเรื่องนั้น ลองรู้สึกถึงเส้นลมปราณและตานเถียนของเจ้าดู”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจ แต่ไม่ช้าก็ทำตามคำสั่งของจงมู่หลิง นางหลับตาลงและโคจรพลังวิญญาณของนาง เส้นลมปราณ… ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้สนใจมัน แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเส้นลมปราณของนางดูเหมือนจะมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ไม่ว่าพลังวิญญาณของนางจะกระแทกเข้าไปเท่าไร มันก็ไม่กระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่านางจะโคจรพลังวิญญาณอย่างไร เส้นลมปราณของนางก็สามารถรองรับได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตานเถียนของนางดูเหมือนว่า… มันสามารถรับปริมาณพลังวิญญาณได้ไม่จำกัด


 


 


“ผลไม้ห้าวิญญาณ ฮึ่ม!” ถึงแม้ว่าจงมู่หลิงจะยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็พูดกับนางอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าประมาทเอง ข้าลืมว่าเจ้ากำลังฝึกตนอยู่และห้ามถูกรบกวน ข้าทำให้เจ้าต้องถูกมารเข้าสิง ข้าจึงใช้ผลไม้ห้าวิญญาณช่วยเจ้าสร้างเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนกล้ามเนื้อและชำระล้างไขกระดูกของเจ้า ในอนาคตเจ้าจะไม่ถูกมารเข้าสิงอีก แน่นอนว่าไม่รวมกับมารภายในจิตใจที่เจ้าจะต้องเจอเมื่อบรรลุผ่านดินแดนหรอกนะ”


 


 


จะไม่ถูกมารเข้าสิงอีกเช่นนั้นหรือ เมื่อโม่เทียนเกอเรียกสติปัญญากลับมาได้ นางก็ยิ่งดีใจกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าการก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้เสียอีก ไม่ต้องถูกมารเข้าสิง… หมายความว่าตอนนี้ข้าสามารถฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้โดยไร้กังวลแล้วไม่ใช่หรือ


 


 


“สำหรับความเมตตาที่ท่านบรรพบุรุษมอบให้ ข้าน้อยไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไร…”


 


 


จงมู่หลิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้ากลายเป็นเทพเรียบร้อยแล้ว ตัวตนที่แทบจะเหมือนพระเจ้าในโลกมนุษย์ ข้าจะขอให้ตอบแทนอย่างนั้นรึ เจ้าเป็นผู้สืบสกุลของข้า เพราะฉะนั้นข้าต้องยินดีที่จะดูแลเจ้าเป็นธรรมดา”


 


 


“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเองที่พูดมากไป ข้าน้อย… จะฝึกตนอย่างขยันขันแข็งและจะไม่ทำให้ท่านบรรพบุรุษต้องผิดหวัง”


 


 


“อืม” จงมู่หลิงตอบสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ “มีอีกเรื่องที่ข้าต้องการพูดกับเจ้า ตอนที่เจ้าถูกมารเข้าสิง เด็กหนุ่มแซ่ฉินคนนั้นได้ฝ่าเข้ามาในม่านพลังมายานภา บอกว่าเขามาเพื่อตามหาเจ้า พอเห็นว่าเขาค่อนข้างกล้าหาญ ข้าจึงปล่อยให้เขาอยู่ต่อ เจ้าอยากจะเจอเขาหรือไม่”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม