จำนนรักชายาตัวร้าย 89.5-91.1

ตอนที่ 89-5 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต

 

ที่ชั้นสอง ขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจิบชา มองดูละครที่กำลังสนุกที่เบื้องหน้า


 


 


หมอเทวดาฮั่วและเหลียนจิ่นกำลังกินของว่างอยู่ข้างๆ โดยที่มีเพียงหมอเทวดาฮั่วเท่านั้นที่สีหน้าท่าทางและดูร้อนรน แต่เหลียนจิ่นสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่อย่างใด


 


 


“แม่น้อยอวี้ เจ้าจะไม่ลงไปหน่อยหรือ”


 


 


หมอเทวดาฮั่วไหนเลยจะไม่รู้ว่าพวกเขาเอะอะโวยวายถึงเพียงนี้ ก็เพราะต้องการบีบให้อวี้เฟยเยียนปรากฎตัว


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนทอดมองไปไกลด้วยอย่างเกียจคร้าน


 


 


“หากคราวนี้ข้าลงไป ภายหน้าทุกคนก็จะทำเช่นเดียวกันนี้ กฎก็จะไม่เป็นกฎอีกต่อไป! ละเมิดกฎเกณฑ์ได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมต้องมีครั้งต่อไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นล้ำเส้นไปในที่สุด! “


 


 


เหลียนจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก


 


 


เส้นแบ่งและหลักการ เป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจละทิ้งได้ตลอดไป


 


 


ต่อให้ไร้ซึ่งลมหายใจ ก็ยังต้องยืนหยัด ยืนหยัดต่อไป


 


 


เห็นเหลียนจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย หมอเทวดาฮั่วก็พูดไม่ออก


 


 


“เสี่ยวเหลียนจิ่น เจ้าก็เอาแต่มองดู! ไม่ช่วยคิดหาวิธีเลย!”


 


 


“วิธีการน่ะข้าคิดไว้แล้ว…”


 


 


เหลียนจิ่นจิบชาแล้วเผยรอยยิ้มงามสง่า


 


 


“อีกเดี๋ยวท่านรอดูฉากเด็ดแล้วกัน!”


 


 


พูดจบเหลียนจิ่นก็ปิดปากเงียบสนิท


 


 


พูดมาครึ่งหนึ่งปิดบังไว้อีกครึ่งหนึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ ทำเอาหมอเทวดาฮั่วถึงกับร้อนรนแทบบ้า!


 


 


“เสี่ยวเหลียนจิ่น ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่นะ รีบว่ามาเร็วเข้า ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว!”


 


 


“หากข้าบอกท่านไปก็ไม่มีฉากสนุกให้รอชมน่ะสิ! “


 


 


เมื่อเห็นท่าทีลึกลับเกินจะคาดเดาของเหลียนจิ่น หอมเทวดาฮั่วก็พูดไม่ออก ทำได้แต่เพียงกินของว่างต่อไปด้วยความอึดอัดใจ ขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าออกไปจับตาดูความเป็นไปของเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด


 


 


หลิวเปยและซย่าโหวเสวี่ยคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ทำให้หอคืนชีพครึกครื้นขึ้นมาทันตา ทั้งด้านในด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดเข้าออกมาได้เลยทีเดียว


 


 


เนื่องจากหลิวเปยเสแสร้งได้เหมือนจริงอยู่มากทีเดียว ดังนั้นผู้คนที่อยู่ด้านนอกจึงเอ่ยขึ้น


 


 


“วันนี้ใต้เท้าอวี้หลัวช่าพักผ่อนหรือไร”


 


 


“คนผู้นั้นเจ็บป่วยไม่น้อยเลยทีเดียวนะ!”


 


 


คำถกเถียงดังขึ้นต่อเนื่อง ทำเอาเหล่าหมอยาจากหมอราชาโอสถได้ยินเข้าต่างก็สีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ทว่าซย่าโหวเสวี่ยกลับยิ่งได้ใจ


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่าอวี้เฟยเยียนยังคงอยู่ในหอนี้ เพียงแต่ว่าเรื่องถึงขนาดนี้แล้ว นางยังไม่ยอมออกมา น่าทุเรศที่สุด!


 


 


หรือว่าจะให้เติมเชื้อไฟมากกว่านี้อีกสักหน่อยกัน


 


 


ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวเสวี่ยเติมเชื้อไฟ จู่ๆ เสียงอื้ออึงที่ประตูด้านนอกก็เงียบลงไป


 


 


เดิมทีผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันเป็นจำนวนมากที่ด้านนอกก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว ประตูที่ถูกปิดทึบจากการเบียดเสียดของมนุษย์ก็มีแสงสว่างส่องลอดผ่านเข้ามาได้อีกครั้งขณะเดียวกันลมก็พัดโกรกเข้ามา


 


 


คน


 


 


ไม่เพียงแค่ซย่าโหวเสวี่ยที่ตกตะลึง หลิวเปยก็เงียบไปเช่นกัน


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยเตรียมที่จะเดินออกไปดูเหตุการณ์ พลันเงาดำใหญ่ก็กระโจนเข้าหาร่างนางโดยไม่ทันคาดคิด จนนางล้มลงที่พื้น


 


 


“บรู๊วว”


 


 


เสียงร้องคำรามของฮันจื่อดังยาว จนเกือบทำให้แก้วหูของซย่าโหวเสวี่ยแตกเสียหาย


 


 


ไม่นาน บุคคลที่ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปยต้องหวาดกลัวก็ปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสอง


 


 


ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีม่วงทั้งชุด สง่าราวเทพบุตร นี่คือซย่าโหวฉิงเทียนนี่นา!


 


 


“ท่านลุงสิบสี่…”


 


 


หัวใจของซย่าโหวเสวี่ยแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


 


 


มาเจอกับท่านลุงสิบสี่ตอนนี้แย่ชะมัด!


 


 


หลิวเปยที่นอนอยู่บนพื้นกำลังตัดสินใจลำบากเขาจะเลือกเสแสร้งต่อไป หรือจะหยุดแล้วลุกขึ้นมาดีนะ เมื่อนึกถึงความโหดร้ายน่ากลัวของซย่าโหวฉิงเทียน หลิวเปยจึงทำทีแกล้งหมดสติไปเลย


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรายงานจากฮันจื่อแล้ว ก็ใช้ทางที่เร็วที่สุดมาถึงที่นี่


 


 


แน่นอนว่า สถานการณ์ตอนนี้โหดร้ายอยู่สักหน่อย ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวฉิงเทียนจัดการพื้นที่ บรรดาชาวบ้านที่เฝ้าดูเหตุกาณ์อยู่รอบๆ ต่างก็ถอยไปหลบหลีกอย่างไกลโพ้น


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนแล้วไม่หลบ หรือว่าจะให้รอความตายอย่างนั้นหรือ


 


 


หลังจากฮันจื่อกระโจนใส่ซย่าโหวเสวี่ยแล้ว ก็พินิจพิจารณานางอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


ดีนะ มาหาเรื่องแม่นางน้อย เจ้าต้องพกความกล้าขนาดไหนมาเชียว


 


 


หากซย่าโหวเสวี่ยฟังภาษาฮันจื่อเข้าใจละก็ จะต้องตกใจจนแทบอุจจาระปัสสาวะราดเป็นแน่


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยเดิมทีก็ไม่ได้พกสติปัญญามาอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่มีก็คือความกล้าหาญ ซึ่งก็กระเจิดกระเจิงไม่เหลือแล้วในตอนนี้


 


 


ความดุดันของฮันจื่อ ซย่าโหวเสวี่ยได้ลิ้มรสแล้ว นางล้มลงไปคราวนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูกแต่ก็ทำเอานางเจ็บระบมไปทั่งร่างจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงขนาดที่ว่านางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายเลยทีเดียว


 


 


ฮันจื่อ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนชี้นิ้วสั่งการอยู่หลายทีกว่าที่ฮันจื่อจะยอมลงจากร่างซย่าโหวเสวี่ย ด้วยอาการยังสนุกสนานอยู่


 


 


ทว่าก่อนที่จะไป ฮันจื่อก็ไม่ลืมที่มอบของขวัญให้กับซย่าโหวเสวี่ยหนึ่งชิ้น


 


 


มันยกขาหลังล่ำสันของมันขึ้น แล้วปัสสาวะรดลงบนร่างซย่าโหวเสวี่ยส่งกลิ่นเหม็นสาบโชยไปทั่ว


 


 


ซึ่งมันก็ไม่ได้กะมุมให้ดีเสียด้วย ปัสสาวะสีเหลืองของมันรดราดตั้งแต่ศีรษะซย่าโหวเสวี่ยลงมาจนเปียกไปทั้งร่าง


 


 


“กรี๊ด!”


 


 


เสียงกรีดร้องซย่าโหวเสวี่ย นางกุมศีรษะแล้ววิ่งพุ่งออกไป


 


 


น่าขยะแขยงที่สุด


 


 


นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว…


 


 


เมื่อจัดการซย่าโหวเสวี่ยเรียบร้อยแล้ว ฮันจื่อก็เคลื่อนย้ายร่างกายที่แข็งแรงกำยำของมันไปหยุดตรงหน้าหลิวเปย


 


 


“ดูซิว่าหมอนี่ตายหรือยัง!”


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ ฮันจื่อก็ยื่นกรงเล็บใหญ่ของมันออกมา ตวัดไปที่ร่างของหลิวเปยให้กลิ้งไปมาบนพื้นทำราวกับหลิวเปยเป็นวงล้อกลมๆ อย่างไรอย่างนั้น


 


 


จะส่งเสียงมิได้เด็ดขาด จะต้องแกล้งตายให้ถึงที่สุด!


 


 


จู่ๆ หลิวเปยก็รู้สึกอารมณ์เสียยิ่งนัก ก่อนออกจากบ้านมาเหตุใดถึงไม่ดูฤกษ์ยามให้ดีเสียก่อน เพราะเหตุถึงได้มาเจอซย่ากับซย่าโหวฉิงเทียนจนได้นะ!


 


 


หลิวเปยมิล่วงรู้เลยว่า นับตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาหาเรื่องที่นี่ เหลียนจิ่นก็ได้เรียกขานให้ฮันจื่อไปส่งข่าวให้กับซย่าโหวฉิงเทียนทันที


 


 


แน่นอนว่า หลิวเปยมิอาจล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้


 


 


เมื่อเห็นว่าหลิวเปยแกล้งตาย ฮันจื่อก็ไม่ได้เปิดโปงเขาในทันที แต่ยื่นปากใหญ่เข้าไปจ่อชิดที่ใบหน้าของหลิวเปย


 


 


“ฮา…”


 


 


ลมหายใจเหม็นโฉ่เป่ารดใบหน้าหลิวเปยเต็มเหนี่ยว


 


 


ลมหายใจฮันจื่อ อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทำให้หลิวเปยสะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหว


 


 


แต่เขามิอาจส่งเสียงได้น่ะสิ!


 


 


มิเช่นนั้นเรื่องที่เขามาหาเรื่องหอคืนชีพ ก็จะถูกแพร่งพรายออกไป เขาไปหาเรื่องอวี้หลัวช่าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ การกระทำเหลวไหลเช่นนี้ ใครจะยินยอมเป็นเพื่อนกับเขาอีกเล่า !


 


 


อดทนไว้ อดทนเอาไว้!


 


 


หลิวเปยให้กำลังใจตัวเอง


 


 


คนผู้นี้น่ารำคาญจริงเชียว!


 


 


เมื่อเห็นว่าหลิวเปยไม่ยอมรับน้ำใจเช่นนี้ ฮันจื่อก็โกรธเคืองขึ้นมา!


 


 


แหวะ…


 


 


ว่าแล้วมันก็สำรอกเอาสิ่งที่มันกินเข้าไปออกมารดบนหน้าของหลิวเปย


 


 


เศษชิ้นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยเปื่อยยุ่ยเละเทะ ทั้งยังเปียกชื้นนุ่มนิ่ม อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ขนาดว่าหลิวเปยหลับตาอยู่ ยังสามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจากอะไรต่อมิอะไรที่มันสำรอกออกมาได้อย่างชัดเจน


 


 


มีเศษเนื้อบางส่วนกองอยู่บริเวณปลายจมูกหลิวเปย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกคันยิบๆ


 


 


ใครจะคาดคิดเจ้าเศษเนื้อนั้นอ่อนนิ่ม สีขาวขุ่นแถมยังมีเศษกระดูกติดอยู่บางส่วน หลิวเปยหรี่ตาจ้องมองพิจารณา นี่มันใช่เศษชิ้นเนื้อธรรมดาที่ไหนกัน แต่มันคือนิ้วมนุษย์ชัดๆ!


 


 


แม่ช่วยด้วย!


 


 


เจ้าหมายักษ์นี่กินคน!


 


 


“อ๊าก อย่ากินข้า!”


 


 


หลิวเปยตื่นตระหนกตกใจอย่างหนักจนกระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วพุ่งตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนน่ากลัวเกินไปแล้ว!


 


 


คนที่เมื่อครู่ป่วยจนแทบเป็นแทบตาย แต่หลังจากที่พบกับหลิงเจียงอ๋องแล้ว ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังฮึกเหิมประดุจเสือประดุจมังกรที่ผาดโผนก็ไม่ปาน ความเร็วที่วิ่งออกไปเมื่อครู่รวดเร็วปานธนูไฟ ทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาทีเดียว


 


 


ไม่นานก็มีคนตรึกตรองถึงสาเหตุออกมาได้


 


 


“องค์ชายห้าคนนั้นเดิมทีเขามิได้ป่วยเลยแม้แต่น้อย เขาแกล้งป่วย! เขาเจตนาที่จะมาก่อกวนใต้เท้าอวี้หลัวช่า!”


 


 


เสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้คนอื่นเข้าใจอะไรต่างๆ ขึ้นมา ทุกคนพร้อมใจกันตวัดสายตาไปที่รถม้านั่นด้วยสายตาโกรธแค้น


 


 


“น่ารังเกียจที่สุด!”


 


 


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่าเป็นคนดีปานนี้ ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้กลับจ้องมาหาเรื่องโดยไม่เลือกวิธีการ มันเกินไปจริงๆ! ”


 


 


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า อย่ารักษาให้คนเลวเช่นนั้น!”


 


 


“จริงด้วย พวกมันมีเจตนาร้ายแอบแฝง! จิตใจสกปรก!”


 


 


“คราวหน้าข้าเจอคนเลวสองคนนั้น จะตีให้ตายเลย!”


 


 


“ใช่ ต้องตีพวกมันให้ตาย!”


 


 


ภาพลักษณ์ซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปยในสายตาของชาวบ้านเลวลงแล้วเลวลงอีก สุดท้ายกลายเป็นติดลบเป็นร้อยเท่า แต่การกระทำเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียนกลับมีความหมายที่แตกต่างออกไป


 


 


“ครั้งนี้หลินเจียงอ๋องมาช่วยใต้เท้าอวี้หลัวช่านะ หลินเจียงอ๋องก็เป็นคนดีคนหนึ่งนี่นา… ”


 


 


“ใช่นะสิ! หากไม่ได้หลินเจียงอ๋อง พวกเราคงถูกปิดหูปิดตาต่อไป!”


 


 


คนที่กล้าหาญมากหน่อย ถึงขนาดพุ่งเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียนแล้วร้องกล่าวขอบคุณออกมา


 


 


“ขอบคุณท่านอ๋อง ที่ท่านเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกมัน! ท่านอ๋อง ท่านกลับไปจะต้องอบรมสั่งสอนองค์หญิงให้หนัก!”


 


 


ยากนักที่จะเจอผู้ที่กล้าที่จะพูดคุยกับตนเอง ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็พยักหน้ารับปากอย่างเป็นการเป็นงานเสียด้วย


 


 


“วางใจเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้าจะต้องทูลเสด็จพี่อย่างแน่นอน! พฤติกรรมที่ชั่วช้าของซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปย จะต้องลงโทษให้หนัก!”


 


 


คำสัญญาของซย่าโหวฉิงเทียน อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก


 


 


สำหรับผู้คนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวความโหดร้ายของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยละเอียดนั้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขามองเห็นอีกด้านของซย่าโหวฉิงเทียน ครั้งนี้ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อซย่าโหวฉิงเทียนครั้งใหญ่


 


 


“ที่แท้แล้วหลินเจียงอ๋องก็ไม่ได้โหดร้ายแต่อย่างใดนี่นา!”


 


 


“ใช่น่ะสิ เห็นทีสิ่งที่เขาเล่าลือกันมิใช่เรื่องจริง!”


 


 


“หากมิได้ท่านอ๋อง ป่านนี้พวกเราถูกคนเลวสองคนนั้นหลอกลวงไปแล้ว!”


 


 


ตอบกลับเพียงแค่ประโยคเดียว กลับนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ซย่าโหวฉิงเทียนคาดไม่ถึง


 


 


คำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ดีที่ลอยมาเข้ากระทบหู ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้รับสายตาที่เป็นมิตรจากประชาชนที่ห้อมล้อม ไม่นานแก้มซย่าโหวฉิงเทียนก็ร้อนเห่อและแดงเล็กน้อย


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!


 


 


เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนในอีกแบบหนึ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฮันจื่อก็ดีใจยิ่งนักแต่ทว่า


 


 


นายท่าน ท่านกลับไปโหดร้ายเช่นเดิมต่อไปเถอะ!


 


 


นายท่านข้าที่กำลังเขินอายเช่นนี้ มันช่างขัดแย้งกับรูปลักษณ์ภายนอกของท่านโดยสิ้นเชิงนะสิ 

 

 


ตอนที่ 90-1 ความตายของซย่าโหวเสวี่ย

 

ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจะควบคุมตนเองไม่ได้นั้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ปรากฏตัวออกมาเพื่อกู้สถานการณ์


 


 


เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


 


มาได้จังหวะเวลาพอดิบพอดีเลยเชียว!


 


 


เขาไม่ชินเลยจริงๆ กับการที่ถูกผู้คนชมเชย ไม่เคยชินเป็นอย่างมากเสียด้วย! เห็นที ความโหดร้ายทารุณจะเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่สำคัญยิ่ง!


 


 


บ๊อก…


 


 


ไม่รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามา ฮันจื่อก็วิ่งรีบเข้าไปคลอเคลียตวัดหางออดอ้อนอวี้เฟยเยียนด้วยความดีใจ พร้อมทั้งแสดงท่าทางต่างๆ นานา เพื่อให้นางลูบหัวมัน


 


 


แม่นางน้อย ข้าน้อยเจ๋งมากเลยใช่หรือไม่!


 


 


คราวหน้าหากว่าองค์หญิงไป๋เสวี่ยมาหาเรื่องถึงที่อีก ข้าจะกินนางเสียเลย


 


 


ถึงแม้ว่ากลิ่นแป้งหอมบนกายนางจะรุนแรงหนักเอาการอยู่ แต่หากข้ากินนางเข้าไป นางก็จะได้ไม่มาหาเรื่องแม่นางน้อยอีก!


 


 


คำตอบอวี้เฟยเยียนก็คือ นางลูบศีรษะของเจ้าฮันจื่ออย่างแรงแล้วกล่าวว่า


 


 


“ปัญญาอ่อนจัดเป็นโรคอย่างหนึ่ง เจ้ากินนางอาจจะติดโรคได้นะ!”


 


 


ได้ยินดังนั้นฮันจื่อก็เกิดอาการไม่สบอารมณ์ขึ้นมา


 


 


ข้าไม่อยากกลายเป็นปัญญาอ่อนโง่เขลานะ!


 


 


ต่อให้กินยาก็รักษาโรคปัญญาอ่อนนี่ไม่หาย!


 


 


ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เดินเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียน เขาแสดงอาการน้อยอกน้อยใจออกมาเล็กน้อย


 


 


พอแล้ว หยุดนะ…


 


 


น่ารักไม่เข้ากับหน้าเลย!


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่แน่ใจว่า ซย่าโหวฉิงเทียนเริ่มเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงเมตรเก้าสิบ กำลังใช้แววตากลัดกลุ้ม เจ็บปวด สับสนเล็กน้อยจ้องมองมาที่นาง บวกกับหน้าที่หล่อเหลาไร้เทียมทานของเขา เฮ้อ ยากนักที่จะไม่ทำให้คนคิดนอกลู่นอกทาง


 


 


น่าเสียดาย นางทำได้เพียงแค่มอง!


 


 


กินไม่ได้!


 


 


เมื่อนึกถึงว่าไม่รู้เมื่อไหร่ที่ตนจะตามหาเครื่องกระจายสัญญาณเชื่อมต่อของด๊อกเตอร์คิว ซึ่งมันสามารถพานางไปจากที่นี่กลับไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้ตลอดเวลา อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างมาก!


 


 


ตั้งแต่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนรับค่าจ้างเป็นเหรียญทองแดงเพียงเหรียญเดียวในวันนั้นแล้ว ทุกวันซย่าโหวฉิงเทียนก็จะมาที่หอซงเฮ่อเพื่อทำผมแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียน แต่ก่อนเขามักจะชอบปากว่ามือถึง เอาเปรียบอวี้เฟยเยียนเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งแอบจุ๊บริมฝีปากของนางด้วย


 


 


มาตอนนี้ ไม่มีอีกเลย


 


 


อีกทั้งในขณะที่เขาช่วยอวี้เฟยเยียนแต่งตัวนั้น เขาตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาก


 


 


สีหน้าท่าทางเขาแลดูคล้ายกับศิลปินคนหนึ่งที่กำลังรังสรรค์ผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขาอยู่


 


 


ใครๆ ต่างก็บอกว่าบุรุษเวลาตั้งใจทำอะไรจะมีพลังดึงดูดมากที่สุด


 


 


ในสายตาอวี้เฟยเยียนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซย่าโหวฉิงเทียนที่ตั้งใจฆ่าคน หรือซย่าโหวฉิงเทียนที่ตั้งอกตั้งใจแต่งตัวทำผมให้กับนาง ล้วนแต่น่าดึงดูดทั้งสิ้น


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่นางเกิดเรื่อง ซย่าโหวฉิงเทียนมักจะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวเสมอ ไม่ว่าจะช่วยสนับสนุน หรือทำลายล้าง เขาก็เต็มที่ทุกครั้ง บุรุษเช่นนี้ มีเพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้น


 


 


ทว่า ในจินตนาการนั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าความจริงมักจะขมขื่นเสมอ


 


 


วิญญาณนางทะลุมิติมาสิงสู่ร่างนี้ มิใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง จะมามีวาสนาได้พบกับความรักได้อย่างไรกัน!


 


 


เช่นนี้มิเท่ากันเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายหรือไร!


 


 


ความรู้สึกที่ว่าความหอมหวานอยู่ตรงหน้า ทั้งเย้ายวนชวนให้หลงใหล ทว่าตัวเราเองกลับไม่มีทางที่จะอ้าปากรับ มิอาจกลืนกินลงท้องได้ มันย่ำแย่อย่างยิ่ง!


 


 


ในเวลาเพียงไม่นาน ทว่าจิตใจอวี้เฟยเยียนราวกับรถที่เพิ่งปีนขึ้นภูเขาผ่านหนทางยากลำบากเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงขรุขระไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


 


 


ด้านหนึ่งคือหนุ่มเนื้อแน่นกรุบกริบ อีกด้านคือประเทศชาติ ตลอดจนครอบครัวและหน้าที่ทางการทหาร


 


 


ความรู้สึกกับสติสัมปชัญญะกำลังตีกันอย่างหนักในหัว คิดจนหัวแทบแตกก็คิดคำตอบไม่ออก นางจึงสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป ไม่ไปคิดมันอีก


 


 


“ขอบคุณเจ้ามากนะ!”


 


 


เมื่อได้สติกลับมา อวี้เฟยเยียนจึงเพิ่งค้นคบว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจ้องมองตนเองอยู่


 


 


นัยน์ตาที่ลึกล้ำคู่นั้นมีเปลวเพลิงสีแดงฉานร้อนระอุกำลังลุกโชติช่วง แผดเผาให้แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว จนต้องเสหน้าหันมองไปทางอื่น


 


 


“เจ้ากำลังเขินหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนทำท่าทีราวกับว่าค้นพบแผ่นดินใหม่อีกผืนอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าเขาตะลึงเสียยกใหญ่


 


 


นิสัยแมวน้อยที่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ปฏิบัติตัวกับเขาเป็นกันเองสบายๆ มิเคยเห็นว่าตนเองเป็นหญิงแล้วเขาเป็นชายเลยสักครั้ง


 


 


วันนี้นางเป็นอะไรไป


 


 


ถึงแม้ว่าแก้มทั้งสองข้างของแมวน้อยจะแดงก่ำ แต่ทว่าสายตานางกลับฉายแววสับสน


 


 


หรือว่า…คนชั่วสองคนเมื่อครู่ทำให้นางตกใจจนขวัญเสีย


 


 


หลิวเปย เจ้าช่างบังอาจนัก …


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยมีความรักกับหญิงใดมาก่อน ดังนั้นจึงไม่เข้าใจความรู้สึกสับสนที่เปิดเผยออกมาผ่านแววตาที่ซับซ้อนของอวี้เฟยเยียน ตรงกันข้ามเขากลับผลักความผิดทั้งหมดไปให้กับหลิวเปย ทั้งยังสาบาน จะต้องทวงมันคืนจากหลิวเปยเป็นเท่าตัว


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว อวี้เฟยเยียนจึงรีบเบี่ยงประเด็นทันที


 


 


“อากาศร้อนต่างหาก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนพูดไปก็ยกมือน้อยขึ้นพัดโบกไปมา ให้เกิดลมขึ้นคลายร้อน


 


 


แต่หารู้ไม่ยิ่งนางทำเช่นนี้ แก้มทั้งสองข้างของนางก็ยิ่งร้อนเห่อมากขึ้น คล้ายกับว่ายิ่งนางกลบเกลื่อนความรู้สึกตนมากเท่าไหร่ มันกลับยิ่งแสดงออกชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น


 


 


ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน เห็นทีว่าในโลกใบนี้ไม่มีอะไรจะสวยงามไปกว่าดวงหน้างดงามของสาวน้อยตรงหน้าอีกแล้ว!


 


 


“เฮ้อ อธิบายก็คือกลบเกลื่อน! พี่เข้าใจแล้ว!”


 


 


ในตอนนั้นเอง ผู้คนที่เมื่อครู่สลายตัวกันไปคนละทิศละทางก็กลับมารวมตัวจับกลุ่มเข้ามาอีกครั้ง


 


 


เกรงว่าจะทำให้อวี้เฟยเยียนลำบากใจ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงกลับสู่ท่าทีเป็นการเป็นงานเช่นเดิม


 


 


“ฮันจื่อ ต่อไปเจ้าจงเฝ้าอยู่ที่นี่! หากใครมาหาเรื่องที่หอคืนชีพ แกล้งป่วยแกล้งตายอีก เจ้าก็กัดมันให้ตายไปเลย!”


 


 


ได้ยินคำสั่งของซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็กระโดดขึ้นมาอย่างดีอกดีใจด้วยรอคอยมานาน


 


 


ในตอนแรกมันก็อยากที่จะติดตามอวี้เฟยเยียนอยู่ข้างกาย แต่เนื่องด้วยร่างกายมันใหญ่โตมหึมาเกินไป อวี้เฟยเยียนจึงเกรงว่าจะทำให้ผู้ป่วยตกใจ ดังนั้นจึงเก็บฮันจื่อไว้หลังเรือน


 


 


มาตอนนี้ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ออกคำสั่ง แน่นอนว่าฮันจื่อดีใจยิ่งนัก


 


 


กัดให้ตาย!


 


 


กินมันเข้าไปให้หมด!


 


 


โอ้เย่…


 


 


จริงอย่างที่มันคาดการณ์เอาไว้ ขอเพียงติดตามแม่นางน้อยชีวิตถึงจะรุ่งเรือง


 


 


สุนัขสีดำที่รูปร่างใหญ่เสียยิ่งกว่าเสือ กำลังยิ้มอย่างดุดัน ฟันยาวเรียวและคมกริบ สะท้อนกับแสงแดดเปล่งประกายวิบวับ


 


 


มีสัตว์ดุร้ายเฝ้าประตูเช่นนี้ ดูซิ ยังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องถึงที่อีก!


 


 


หลังจากที่กลับถึงวัง ซย่าโหวเสวี่ยก็แช่ถังน้ำดอกไม้กว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ รอจนกระทั่งร่างนางอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้เข้มข้น นางจึงยอมลุกออกมา


 


 


ไอ้หมายักษ์สมควรตาย!


 


 


อย่าให้ถึงทีที่เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าก็แล้วกัน!


 


 


มิเช่นนั้น ข้าจะฆ่าแล้วกินเนื้อสุนัขนั่นเสีย!


 


 


แผนการที่ซย่าโหวเสวี่ยจะส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวมอบให้กับหลิวเปยล้มไม่เป็นท่า ทำนางเบื่อหน่ายจนทนแทบไม่ไหว


 


 


หลิวเปยมีชื่อเสียงยิ่งนักในเรื่องของความมักมากในกาม แม้ว่าหลังจากที่เขามาถึงแคว้นต้าโจวแห่งนี้แล้วจะประพฤติตัวปกติ แต่ซย่าโหวเสวี่ยก็ได้ยินมาว่าการที่เขาเดินทางมาในครั้งนี้ นำเมียน้อยคนสวยมาด้วยถึงสิบคน


 


 


ช่างเปี่ยมด้วยวาสนายิ่งนักแล!


 


 


หากว่าหลิวเปยได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี้หลัวช่าละก็ เขาคงจะน้ำลายไหลออกมาเลยทีเดียวเชียว


 


 


พวกสตรีที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมหนาเตอะเช่นนั้น จะมาเทียบกับอวี้หลัวช่าได้อย่างไรกัน!


 


 


น่าเสียดาย เรื่องนี้ถูกท่านลุงสิบสี่ก่อกวนจนพังไม่เป็นท่า!


 


 


ยิ่งคิด ซย่าโหวเสวี่ยก็ยิ่งขุ่นเคือง


 


 


เดิมทีนางคิดจะใช้หลิวเปยต่อกรกับอวี้หลัวช่า ใครจะไปคาดคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้พบหน้ายังไม่มีเลย จะทำอย่างไรดีนะ


 


 


เมื่อคิดอะไรไม่ออก ซย่าโหวเสวี่ยก็เดินวกไปวนมาอยู่ภายในตำหนักตนอย่างใช้ความคิดเพื่อหาวิธี


 


 


จนกระทั่งเมื่อนางมองเห็นภาพวาดหญิงสาวบนผนัง ทันใดนั้นนางก็คิดแผนการออกมาได้แผนหนึ่ง


 


 


นางเคยพบอวี้หลัวช่า นางสามารถวาดภาพโฉมหน้าอวี้หลัวช่ามอบให้กับหลิวเปยได้นี่นา นางไม่เชื่อหรอกว่าหลิวเปยเห็นแล้วจะไม่หวั่นไหว


 


 


สำหรับเรื่องที่ว่าหลิวเปยจะทำอย่างไรต่อไป มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซย่าโหวเสวี่ยแล้ว!


 


 


ภาวนาขอให้หลิวเปยลบหลู่อวี้หลัวช่า สุดท้ายจึงถูกอวี้หลัวช่าฆ่าตาย ถึงตอนนั้น แคว้นซีเย่ว์จะต้องตามมาคิดบัญชีกับอวี้หลัวช่าเป็นแน่


 


 


 ต่อให้อวี้หลัวช่าเก่งกาจสักเพียงใด นางก็มิอาจรับมือกับคนทั้งแคว้นได้หรอก… 

 

 


ตอนที่ 90-2 ความตายของซย่าโหวเสวี่ย

 

ซย่าโหวเสวี่ยจินตนาการเรื่องราวเพิ่มเติมเข้าไปมากมายเพื่อให้ตนเองมีความสุข


 


 


อวี้หลัวช่าเป็นถึงจอมเทวา ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถ หลิวเปยจะจัดการนางไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


แต่ว่า นี่เป็นปัญหาที่หลิวเปยควรที่จะใคร่ครวญถึง เขาเดินทางมาคราวนี้ คงจะพายอดฝีมือมาบ้างละ! ถูกล้อมกรอบเอาไว้ ต่อให้อวี้หลัวช่ามีสามเศียรหกกร ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเสวี่ยที่เดิมกำลังเบื่อหน่ายอย่างที่สุด พลันเบิกบานแจ่มใสขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยใช้เวลาเป็นวันเพื่อวาดภาพเหมือนนับสิบภาพ สุดท้ายจึงเลือกภาพที่วาดออกมาได้เป็นที่น่าพอใจที่สุดพับใส่กล่องใส่ถุงกำมะหยี่แล้วให้คนนำไปส่งให้กับหลิวเปย


 


 


เนื่องจากนางกำนัลขันทีข้างกายของนางถูกเปลี่ยนยกชุด ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยจึงระมัดระวังอย่างมาก


 


 


นางตั้งใจเลือกขันทีน้อยที่ท่าทางใสซื่อขี้กลัว แลดูไม่มีพิษมีภัยแต่ละโมบมาคนหนึ่ง มอบไข่มุกบูรพาให้กับเขา


 


 


“เมื่องานเรียบร้อย ข้าจะมอบไข่มุกบูรพาให้เจ้าอีกหนึ่งเม็ด!”


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”


 


 


ถึงแม้ว่าขันทีน้อยจะเข้าวังมาไม่นาน แต่ก็ได้เปิดหูเปิดตามาไม่น้อย


 


 


ขันทีน้อยรู้ดีว่าเจ้าไข่มุกขนาดเท่าไข่นกพิราบนี่เป็นของมีค่า ดังนั้นเขาจึงรีบรับมันมาด้วยความละโมบอยากได้มัน แล้วคำนับซย่าโหวเสวี่ยเป็นการขอบคุณ กอดถุงผ้ากำมะหยี่ไว้แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ทันสังเกตแอบออกไปทางประตูหลัง


 


 


ก่อนนำนางกำนัลและขันทีมาที่นี่ เซี่ยงจิ้นได้สั่งการให้ขันทีและนางกำนัลทุกคน


 


 


เตือนให้พวกเขาซื่อสัตย์ แต่ละวันให้ปฏิบัติตัวด้วยความระแวดระวังและคอยเป็นหูเป็นตาให้กับเขาด้วย!


 


 


ถึงแม้ว่าขันทีน้อยผู้นี้จะละโมบโลภมากไปบ้าง แต่เขาก็ยิ่งกลัวตายมากกว่า ดังนั้นเมื่อวิ่งลอดออกมาได้ เขาก็วิ่งไปทูลฟ้องที่เบื้องหน้าซย่าโหวจวินอวี่ทันที


 


 


“เรื่องนี้เจ้าทำได้ไม่เลว!”


 


 


ได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้ ทำให้ขันทีน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขารีบโขกศีรษะทำความเคารพ


 


 


“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่บ่าวควรทำพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“อืม รู้หน้าที่! ครั้งนี้เจ้ามีผลงาน ข้าจะจำเอาไว้ ไข่มุกบูรพานี่เจ้าเก็บเอาไปเสีย แล้วกลับไปทูลองค์หญิง บอกว่าของส่งถึงมือเรียบร้อยแล้ว…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่หน้าเข้ม ดูแล้วท่าทางอารมณ์ไม่สู้ดี ทำให้ขันทีน้อยตกใจจนรีบหยิบเอามุกบูรพาแล้วรีบวิ่งออกไปทันที


 


 


ฮ่องเต้หยิบกล่องนั้นขึ้นมา เปิดออกก็พบกับภาพเหมือน


 


 


ถึงแม้ว่าภาพที่ซย่าโหวเสวี่ยวาดออกมานั้นจะยังห่างไกลจากความงามของอวี้หลัวช่าตัวจริงอยู่มาก แต่ก็มีส่วนคล้ายอยู่หกเจ็ดส่วน


 


 


สมกับเป็นลูกสาวที่แสนดีของข้าจริงๆ!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่โยนภาพเหมือนนั้นไปอีกทาง เอนกายพิงเก้าอี้ คิ้วเขาขมวดเข้าหากันจนเป็นปม มุมปากของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน


 


 


ก่อนที่หอคืนชีพจะเปิดกิจการ หมอเทวดาฮั่วได้เข้าวังเพื่อกราบทูลที่มาที่ไปที่ซย่าโหวเสวี่ยสูญเสียพรหมจรรย์แก่เขา


 


 


เนื่องจากหมอเทวดาฮั่วได้รับการไหว้วานขอร้องจากเหลียนจิ่น เขาจึงมาเพื่อล้างมลทินให้กับเหลียนจิ่นโดยเฉพาะ


 


 


ซึ่งเดิมทีฮ่องเต้ก็มิทรงเชื่อในคำพูดของซย่าโหวเสวี่ยอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังคำของหมอเทวดาฮั่วอีก ก็ทำให้ทรงพิโรธเป็นอย่างมาก


 


 


เหตุใดเขาถึงได้มีลูกโง่เง่าเต่าตุ่นถึงเพียงนี้ได้นะ!


 


 


นางเข้าใจผิดว่าคนที่ช่วยเหลือเป็นคนร้าย เกิดเรื่องขึ้นไม่ทบทวนความผิดตัวเอง กลับปัดความรับผิดชอบทั้งหมดออกไปให้พ้นตัว เอาแต่กล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีความรับผิดชอบสักนิดเดียว!


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซย่าโหวเสวี่ยยังไม่สำนึกผิดไม่รู้จักกลับตัว ทั้งยังสมคบกับคนนอกให้ร้ายอวี้หลัวช่า!


 


 


นางหมดหนทางกลับตัวแล้วจริงๆ!


 


 


ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ พ่อบังเกิดเกล้าของเลือดก้อนนั้นคือคนชั่วช้าที่ทำร้ายทำลายผู้อื่นคนนั้น!


 


 


โชคดีที่ส่งยาขับเลือดถ้วยนั้นไป!


 


 


มิเช่นนั้นคงให้กำเนิดมารหัวขนออกมา ผลที่ตามมาเขาแทบมิกล้าคาดเดา!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่นิ่งเงียบไปนาน เซี่ยงจิ้นเองก็ยืนอยู่ข้างกายเงียบๆ โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


 


 


เห็นฝ่าบาททรงเม้มพระโอษฐ์แน่น เซี่ยงจิ้นก็รู้ได้ในทันทีว่าจะต้องมีใครบางคนโชคร้าย องค์หญิงเสวี่ย ท่านนี่ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก…


 


 


เรือนรับรองทูต


 


 


หลิวเปยอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงจวนเจียนจะเป็นลม


 


 


เหตุการณ์ที่หลิวเปยเผชิญที่หอคืนชีพวันนี้ สำหรับเขาแล้วมันช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มันทำให้เขาขวัญเสีย! สุนัขใหญ่ตัวนั้นจะกลายเป็นฝันร้ายของเขาชั่วชีวิต


 


 


ยิ่งคิดถึงเศษนิ้วนั่น หลิวเปยถึงกับโอดครวญ


 


 


โชคดีที่เขาวิ่งเร็ว!


 


 


มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาเป็นแน่!


 


 


หลิวเปยรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารนัก แค่ต้องการพบหน้าอวี้หลัวช่าสักครั้งเท่านั้นเอง เหตุใดถึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้!


 


 


ในตอนนั้นเอง หมอหลวงหวังรับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มารักษาอาการเจ็บป่วยให้กับหลิวเปย


 


 


หมอหลวงหวังคือเทพโอสถ ซึ่งถึงแม้ว่าเขามิได้มีชื่อเสียงมากเท่าหมอเทวดาฮั่ว แต่การมาของเขาก็ทำให้หลิวเปยดีใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าหมอหลวงหวังเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท หลิวเปยก็ยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับพระเมตตาโดยไม่คาดคิด


 


 


หอคืนชีพสถานที่พรรค์นั้น เขาจะไม่ไปเหยียบมันอีกแล้ว!


 


 


เพื่ออวี้หลัวช่าแล้ว เขาถึงกับทำร้ายโฉมตนเองจนแทบจะกลายเป็นคางคก ขาเขาก็เกือบจะพิกลพิการเลยทีเดียว น่าอดสูนัก!


 


 


ในเมื่อใช้วิธีนี้มันไม่ได้ผล เช่นนั้นก็คิดหาวิธีอื่นเอาละกัน!


 


 


หมอหลวงหวังปฏิบัติต่อหลิวเปยด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม รอยยิ้มที่ถ่อมตน สงบเสงี่ยมงดงาม หลิวเปยรู้สึกราวกับว่าตนเองได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นราชาก็ไม่ปาน เขาไม่เพียงแต่ดื่มด่ำ แต่มีความสุขเสียจนตัวแทบลอย


 


 


“ท่านอ๋องโปรดวางใจ อาการบาดเจ็บของท่านไม่สาหัส!”


 


 


หมอหลวงหวังจ่ายยา ซึ่งหมอที่หลิวเปยพามาด้วยก็ตรวจตราโดยละเอียดแล้ว ยาเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร หมอหลวงหวังทำความเคารพหลิวเปยตามธรรมเนียมอีกสามครั้งแล้วจึงขอตัวออกไป


 


 


“เห็นหรือยัง!”


 


 


หลิวเปยนอนอยู่บนเตียง มือก็ชี้นิ้วไปที่แผ่นหลังของหมอหลวงหวังที่อยู่ไกลออกไป


 


 


“ซย่าโหวจวินอวี่ให้ความสำคัญกับข้ามากแค่ไหน สิ่งนี้พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน! ขอเพียงแค่ท่านพ่อตายินยอมออกหน้าช่วยเหลือ หลังจากข้ากลับไปก็จะเป็นรัชทายาทที่เหมาะสมทุกอย่าง”


 


 


หลิวเปยกล่าววาจาโอหัง ซึ่งแน่นอนว่าคนติดตามรอบกายของเขาก็ต้องประจบสอพลอตามน้ำไป พวกเขารีบขานรับเออออไปอีกชุดใหญ่!


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ หมอหลวงหวังก็ยิ้มเยือกเย็นออกมา


 


 


พ่อตาหรือ


 


 


องค์ชาย ท่านช่างอ่อนต่อโลกเสียจริง!


 


 


มีดหลอมเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ทั้งยังพาดอยู่ที่คอของท่านแล้วด้วย!


 


 


ตักตวงความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้พอเถิด…


 


 


หมอหลวงหวังขยันมาดูอาการให้กับหลิวเปยสม่ำเสมอ ทำการรักษาเขาอย่างเต็มกำลัง ในที่สุดหลิวเปยก็กลับมาหล่อเหลางามสง่าดังเดิม


 


 


ถุงใต้ตาสีดำคล้ำทั้งสองข้าง บ่งบอกชัดเจนถึงการหักโหมทำเรื่องอย่างว่าเกินขนาด หลิวเปยร่างเป็นคนแต่ทำตัวเยี่ยงสุนัข!


 


 


หลายวันต่อมา ซย่าโหวเสวี่ยรอคำตอบรับจากหลิวเปยไม่ไหว นางคิดไปเองว่าภาพที่นางวาดออกมานั้นขี้เหร่เกินไป ทำให้หลิวเปยไม่หวั่นไหว นางจึงวาดภาพเหมือนขึ้นมาอีกภาพ สั่งให้ขันทีน้อยนำไปส่งให้กับหลิวเปย


 


 


แน่นอนว่าภาพวาดทั้งหมดนั้นตกไปอยู่ในมือซย่าโหวจวินอวี่


 


 


เมื่อเห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยมีใจคิดที่จะให้อวี้หลัวช่าถึงตายสถานเดียว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ผิดหวังอย่างที่สุด


 


 


ยากนักที่ลูกชายของเขาจะถูกตาต้องใจแม่นางสักคน แต่เจ้ากลับหาวิธีการร้อยแปดเพื่อทำลายนาง!


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวเสวี่ยไร้สามารถ มิอาจทำอะไรอวี้หลัวช่าได้


 


 


แต่นางก็มีจิตใจและพฤติกรรมที่คิดทำลายความสุขของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว เป็นการทำลายฟางเส้นสุดท้ายของฮ่องเต้ สมควรตายหมื่นครั้ง!


 


 


ในที่สุดซย่าโหวเสวี่ยก็ทำลายความสงสารอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในใจของซย่าโหวจวินอวี่ที่มีต่อนางจนหมดสิ้น


 


 


ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้กรมโหรหลวง ดูฤกษ์ โดยกำหนดให้ในวันที่หนึ่ง เดือนหก เป็นวันแต่งงานของซย่าโหวเสวี่ยกับหลิวเปย


 


 


“อะไรนะ”


 


 


เมื่อได้ยินข่าวนี้ ซย่าโหวเสวี่ยถึงกับใบ้กิน


 


 


ดำเนินการรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง!


 


 


เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้อยากที่จะให้นางแต่งงานกับองค์ชายคางคกนั่นนักนะ


 


 


แต่ทว่า ซย่าโหวเสวี่ยก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปทูลถามฮ่องเต้ด้วยตนเองได้


 


 


เนื่องจากซย่าโหวจวินอวี่ใช้ข้ออ้างที่ว่าก่อนแต่งงานชายหญิงมิควรพบหน้ากันเป็นเหตุผล กักขังซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ มิเพียงแต่ไม่ให้ใครมาเยี่ยมนาง ทั้งยังให้นางอยู่อย่างเงียบๆ รอแต่งงานอีกด้วย


 


 


ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยร้องเรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินก็ไม่ขานรับ


 


 


“ข้าขอถามเจ้า เจ้าได้มอบภาพวาดนั้นให้กับองค์ชายห้าแล้วหรือยัง”


 


 


ด้วยเหตุนี้ ซย่าโหวเสวี่ยจึงเรียกขันทีน้อยมาซักถาม


 


 


“บ่าวได้ส่งมอบภาพวาดให้กับหัวหน้าขันทีที่ดูแลองค์ชายห้าด้วยมือบ่าวเองพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ขันทีน้อยท่าทางสงบนิ่งไม่มีหวั่นวิตกร้อนรนแต่อย่างใด


 


 


เช่นนั้นหัวหน้าขันทีก็น่าจะมอบภาพวาดให้กับหลิวเปยแล้ว ซย่าโหวเสวี่ยครุ่นคิด


 


 


ไม่รู้ว่าก้าวต่อไป หลิวเปยจะทำอะไร!


 


 


ขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยร้อนใจจนแทบนั่งไม่อยู่ หลิวเปยกลับกำลังหลงใหลได้ปลื้มในสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่ประทานให้จนหน้ามืดตามัวโงหัวไม่ขึ้น 

 

 


ตอนที่ 90-3 ความตายของซย่าโหวเสวี่ย

 

ว่าที่พ่อตาในอนาคตช่างใจกว้างเสียจริง ไม่เพียงแต่จัดการเก็บกวาดจวนองค์หญิงไว้ให้ใช้จัดงานแต่งงาน ทั้งยังพระราชทานเงินทองของมีค่ามากมายมาให้อีกด้วย


 


 


ซึ่งสิ่งที่ทำให้หลิวเปยเปรมปรีดิ์ดีใจมากที่สุดนั่นก็คือ นางกำนัลที่เชี่ยวชาญร้องรำทำเพลงทั้งสิบคนที่จะแต่งมาพร้อมองค์หญิง


 


 


เอวน้อยแสนอ่อน ดวงหน้านวลเนียน ทุกนางล้วนงดงาม ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย!


 


 


หลิวเปยมั่นใจว่า ซย่าโหวจวินอวี่จะต้องเคยเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเขาในชาติปางก่อนเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดพระองค์ถึงได้ดีกับเขาเช่นนี้เล่า!


 


 


หลิวเปยจมดิ่งอยู่ในดินแดนสวยงามของตน จนลืมไปจนหมดสิ้นว่าตนตั้งใจที่จะเอาชนะใจจอมเทวาให้จงได้ ทุกวันเขาเอาแต่ขลุกอยู่กับน้องนางทั้งหลายที่ซย่าโหวจวินอวี่มอบให้ มีความสุขสำราญใจอย่างมาก


 


 


ของพระราชทานจากซย่าโหวจวินอวี่มีมาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ราวกับสายน้ำที่พัดพาตลอดเวลา แทบจะทุกวันที่จะต้องพระราชทานสิ่งของไปที่เรือนรับรอง เพื่อมอบให้กับหลิวเปย


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเข้าและเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านต่างก็พากับซุบซิบขึ้นมา


 


 


เห็นทีว่าฝ่าบาทจะทรงให้ความสำคัญกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีในครั้งนี้อย่างมากทีเดียว คงจะปลาบปลื้มในตัวลูกเขยคนนี้ไม่น้อย!


 


 


ยิ่งกว่านั้นยังได้ยินมาอีกว่า ในบรรดาองค์หญิงองค์ชายทั้งหลาย ซย่าโหวจวินอวี่รักซย่าโหวเสวี่ยมากที่สุด!


 


 


ครั้งนี้ ซีเย่ว์มาสู่ขอองค์หญิงด้วยความจริงใจ แต่ซย่าโหวจวินอวี่ยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานออกไปไกล จึงต้องการที่จะปฏิเสธอย่างอ้อมๆ


 


 


ใครจะคาดคิดว่า ณ งานเลี้ยงในพระราชวัง องค์หญิงเสวี่ยกลับตกหลุมรักหลิวเปยเข้าให้และเอ่ยว่าจะแต่งกับเขาเพียงคนเดียว


 


 


ฝ่าบาททรงสงสารองค์หญิง จึงยินยอมตกลงรับปาก…


 


 


ข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับราชวงศ์ แพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง


 


 


สรุปได้ว่า หากมิใช่ฝ่าบาททรงสงสารองค์หญิงเสวี่ย ซึ่งต้องการจะแต่งงานกับหลิวเปยเพียงผู้เดียว เนื่องจากฝ่าบาททรงรักองค์หญิง ทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับมิตรภาพกับซีเย่ว์ จึงทรงข่มความเจ็บปวดยินยอมให้องค์หญิงทรงแต่งงานออกไปไกล


 


 


เมื่อข่าวลือนี้ไปถึงหูอวี้เฟยเยียน นางอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วครุ่นคิด


 


 


องค์ชายห้ารูปลักษณ์เช่นนั้น ซย่าโหวเสวี่ยตาบอดหรืออย่างไรกัน


 


 


แถมยังจะแต่งกับเขาเพียงคนเดียว


 


 


ข่าวลือนี่มาจากไหนกัน


 


 


คนที่รู้ความจริงเฉกเช่นอวี้เฟยเยียน มีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก


 


 


ส่วนคนที่จะพินิจไตร่ตรองความจริงแท้ของข่าวลือพวกนี้ยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เข้าขั้นหายากเลยทีเดียว


 


 


ถึงแม้ว่ายังมีเรื่องที่ซย่าโหวเสวี่ยมาก่อเรื่องที่หอคืนชีพอีก จะทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ในใจทุกคน ซย่าโหวจวินอวี่ก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี ทั้งยังเป็นพ่อที่ดีอีกด้วย


 


 


ด้วยเหตุนี้ ประชาชนทั่วไปต่างก็ใจกว้างอวยพรแสดงความยินดีกับซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปย!


 


 


ภายในเวลาไม่นาน เนื่องจากการเฉลิมฉลองงานแต่งงานครั้งใหญ่ขององค์หญิงเสวี่ยทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยที่อยู่ในวังหลัง ย่อมไม่ล่วงรู้ว่าข้างนอกได้หลงคิดไปว่างานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและซีเย่ว์ในครั้งนี้เป็นดั่งเทพนิยายที่สวยงามไปแล้ว


 


 


รักแรกพบกับองค์ชายขี่ม้าขาว กับบิดาที่จิตใจดีมีเมตตาและมีเหตุผล ราวกับว่านางเกิดมาเป็นองค์หญิงที่มาพร้อมกับความโชคดี…


 


 


คณะทูตที่เดินทางมาพร้อมกับหลิวเปย ก็ถูกข่าวลือพวกนี้ทำให้เลอะเลือนสูญสิ้นสติปัญญาไปหมด


 


 


ฮ่องเต้แห่งต้าโจวรักโปรดปรานองค์หญิง แน่นอนว่าย่อมรักคนที่บุตรสาวรักด้วย นั่นก็คือองค์ชายห้า


 


 


เมื่อมีต้าโจวสนับสนุน องค์ชายห้าก็จะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ภายหน้าก็จะเป็นฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์องค์ต่อไป! ส่วนพวกเขาที่จงรักภักดีต่อองค์ชายห้า ต่อไปก็จะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ได้รับของพระราชทานปูนบำเหน็จมากมาย!


 


 


เมื่อมีดวงใจของฮ่องเต้และฮองเฮา คณะทูตจึงเขียนบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่นี่ใส่ในจดหมาย แล้วให้ม้าเร็วขี่ข้ามวันข้ามคืนส่งจดหมายไปที่ซีเย่ว์


 


 


หลังจากได้รับจดหมาย ฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งซีเย่ว์ดีใจจนยิ้มไม่หุบ


 


 


เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักต่างพากันปกป้ององค์ชายใหญ่ ทำให้ทั้งสองพระองค์ปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย พอดีกับที่ในตอนนี้ องค์ชายห้ามีพ่อตาที่ทั้งแข็งแกร่งและเอ็นดูเขา เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าโจวมาหนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วยังจะมีใครที่ยังกล้าไม่ฟังคำสั่งของเขาอีกเล่า!


 


 


บรรยากาศเมืองหลวงที่ครื้นเครง เปี่ยมด้วยความสุขสนุกสนานเป็นภาพที่ซย่าโหวจวินอวี่อยากเห็น


 


 


เมื่อจะมีการแสดงละครใหญ่ จะต้องประกาศล่วงหน้าสิ!


 


 


เพื่อให้ผู้คนได้ตระเตรียมตัวอุ่นให้พร้อม ให้เข้าถึงบทบาทในละคร ง่ายต่อการหยิบจับอุปกรณ์เพื่อขึ้นแสดง!


 


 


ยิ่งเข้าใกล้วันแต่งงาน ซย่าโหวเสวี่ยก็ให้คนมาขอเข้าเฝ้าโดยเฉพาะเพื่ออ้อนวอนซย่าโหวจวินอวี่ ขอเสด็จพ่อทรงเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยากับเสด็จแม่มาหลายปี ปล่อยหลิวฮองเฮาออกมา ซย่าโหวเสวี่ยหวังว่า ในวันที่นางแต่งงาน จะมีเสด็จแม่อยู่อวยพรนาง


 


 


สำหรับข้อเรียกร้องหนึ่งเดียวของซย่าโหวเสวี่ย ซย่าโหวจวินอวี่ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด


 


 


เขารับปากซย่าโหวเสวี่ย ในวันที่นางแต่งงาน นางจะได้พบกับเสด็จแม่


 


 


โดยที่ซย่าเสวี่ยหารู้ไม่ว่า ในช่วงเวลาที่ถูกกักขังอยู่นั้น ใจหลิวฮองเฮาหาได้สงบสุขไม่ ด้วยเกรงกลัวตลอดเวลาว่าฮ่องเต้จะทรงปลดนาง


 


 


เมื่อเกิดความกดดันในใจเป็นเวลานาน บวกกับเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มหนาวเหน็บ ไม่นานหลิวฮองเฮาก็ล้มป่วย เรี่ยวแรงที่จะลงจากเตียงยังไม่มี ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก!


 


 


แต่ทว่า เมื่อเซี่ยงจิ้นมายังตำหนักฮองเฮา ถ่ายทอดรับสั่งของฝ่าบาทและความปรารถนาองค์หญิงเสวี่ยแล้ว หลิวฮองเฮาจึงฝืนร่างกายพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงว่านางจะไปส่งองค์หญิงออกเรือนด้วยตัวเอง


 


 


“เซี่ยงกงกง ข้าอยากจะรู้ว่า ราชบุตรเขยขององค์หญิงคือใคร”


 


 


หลิวฮองเฮาจ้องมองมายังเซี่ยงจิ้น จิตใจนางเต้นระส่ำไม่สงบ


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ตัดขาดนางกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง กระทั่งบุตรสาวจะออกเรือน นางยังเป็นคนสุดท้ายที่รู้


 


 


นี่มันฮองเฮาแบบไหนกัน!


 


 


“ขอฮองเฮาทรงวางพระทัย ฝ่าบาทจะมิทรงให้องค์หญิงทรงลำบากเป็นแน่!”


 


 


เซี่ยงจิ้นมิกล้าแพร่งพรายข้อมูลใดๆ โดยพลการ


 


 


“ขอเพียงแค่หลิวฮองเฮารักษาพระองค์ให้แข็งแรง ฝ่าบาทจะให้องค์หญิงเสวี่ยแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ”


 


 


จนกระทั่งถึงวันแต่งงานซย่าโหวเสวี่ย ซย่าโหวจวินอวี่จึงให้คนมาแต่งตัวให้กับหลิวฮองเฮาตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


ถึงแม้ว่าระยะนี้หลิวฮองเฮาผ่ายผอมลงไปไม่น้อย แต่ฮ่องเต้ก็ได้ทรงเตรียมการเอาไว้แล้ว


 


 


ฉลองพระองค์ลายหงส์ เข้ากับรูปร่างพอดิบพอดีและเครื่องประดับมุก ทั้งหมดล้วนแต่สั่งทำขึ้นใหม่


 


 


นางกำนัลที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้กับหลิวฮองเฮาล้วนแต่ฝีมือฉกาจ


 


 


ไม่นานก็สามารถเนรมิตหญิงสูงวัยที่ร่วงโรยให้กลายเป็นฮองเฮาที่สง่างามเกรียงไกรได้


 


 


“เชิญฮองเฮาทรงทอดพระเนตรเพคะ!”


 


 


นางกำนัลถือกระจกมาที่เบื้องหน้าของฮองเฮา


 


 


หญิงที่ปรากฏในกระจกสวยงามสมวัย แลดูจิตใจกว้างขวางมีเมตตา ทั้งภายในและภายนอกเปล่งรัศมีแห่งมารดาของแผ่นดินที่น่าเกรงขามออกมา ทำให้หลิวฮองเฮาพอพระทัยเป็นอย่างมาก


 


 


“ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก!”


 


 


ส่วนใหญ่เพราะเครื่องสำอางทำให้พระนางแลดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก ทำให้สภาพจิตใจหลิวฮองเฮาดีขึ้นมาก ในตอนที่นางกำลังไปดูซย่าโหวเสวี่ยนั่นเอง เสียงประกาศ ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ ก็ดังแว่วมา วินาทีนั้นหลิวฮองเฮาชะงักงัน


 


 


นางแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่า นานเท่าไหร่แล้วที่ฝ่าบาทมิได้เสด็จมาที่นี่!


 


 


รอจนกระทั่งซย่าโหวจวินอวี่เดินมาถึงข้างกาย ฮองเฮาถึงได้รู้สึกตัว นางเตรียมที่จะถวายความเคารพ ทว่ากลับถูกฮ่องเต้จับเอาไว้


 


 


“เว้นเถอะ! วันนี้ข้าจะไปส่งเสวี่ยเอ๋อร์พร้อมกับเจ้า…”


 


 


เห็นฮ่องเต้ทรงอ่อนโยนถึงเพียงนี้ หลิวฮองเฮารู้สึกราวกับตนกำลังฝันไป


 


 


จนกระทั่งมือนางถูกซย่าโหวจวินอวี่กุมเอาไว้ ทั้งสองพระองค์ก้าวขึ้นเกี้ยวพร้อมกัน นางจึงได้รู้สึกตัวว่า นี่คือฮ่องเต้จริงๆ ฮ่องเต้ทรงมารับนางด้วยพระองค์เอง!


 


 


“ฝ่าบาททรงไม่โกรธหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”


 


 


หลิวฮองเฮาถามขึ้น ขณะที่มองซย่าโหวจวินอวี่อย่างระมัดระวัง


 


 


จริงๆ แล้วนางดีใจไม่น้อย


 


 


ฝ่าบาทเป็นผู้ที่รักใครแล้วรักจริง เห็นได้จากหลายปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงมิเคยลืมเลือนมู่หรงเยียนเลย


 


 


หลายวันมานี้ หลิวฮองเฮาทุกข์ทรมานเพียงพอแล้วและสำนึกในความผิดของตนแล้ว ว่ามิควรท้าทายอำนาจฝ่าบาท ในใจก็เสียใจอย่างยิ่ง


 


 


เพียงแต่ว่าตัวถูกกักขังอยู่ จึงมิมีโอกาสมาสารภาพผิดต่อหน้าซย่าโหวจวินอวี่


 


 


วันนี้ ซย่าโหวเสวี่ยแต่งงานออกเรือน นับเป็นโอกาสอันดี


 


 


หลิวฮองเฮาเข้าใจถ่องแท้แล้วว่า ในวังหลวงแห่งนี้ สิ่งเดียวที่สตรีจะพึ่งพาได้ก็คือ ความรักของฮ่องเต้


 


 


ต่อให้ไม่ได้รับความรัก แต่ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในวังหลวง


 


 


หลังจากลี่เฟยตายไป หลิวฮองเฮาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเกินไป จนลืมไปว่าเสืออย่างไรก็คือเสือฉันใด ฮ่องเต้ก็ยังทรงเป็นฮ่องเต้ฉันนั้น


 


 


ครั้งนี้นางได้รับบทเรียนเพียงพอแล้ว ต่อไปคงไม่กล้าท้าทายอำนาจของฝ่าบาทอีกแล้ว! 

 

 


ตอนที่ 90-4 ความตายของซย่าโหวเสวี่ย

 

จริงดังที่คาดไว้ หลังจากได้ฟังคำที่หลิวฮองเฮากล่าวมา ซย่าโหวจวิอวี่ก็ทอดถอนใจออกมา


 


 


“เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ข้าลืมมันไปหมดแล้ว! เจ้าจะเป็นฮองเฮาของข้าตลอดไป!”


 


 


สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาศักดิ์สิทธิ์หนักแน่น ประโยคนี้ทำเอาหลิวฮองเฮาซาบซึ้งจนน้ำตาไหลออกมา


 


 


ฝ่าบาท นี่พระองค์จะมิทรงปลดนางแล้วใช่หรือไม่


 


 


ดีจริงๆ เลย!


 


 


หลิวฮองเฮายังมิทันดีใจได้เท่าไหร่ ก็ถึงตำหนักซย่าโหวเสวี่ยเสียแล้ว


 


 


ด้านในตกแต่งด้วยโคมแดง อักษรแดง ให้ความรู้สึกยินดีและเป็นมงคล


 


 


การประดับตกแต่งตั้งแต่ภายในตำหนักบรรทมจนกระทั่งถึงชุดแต่งงานซย่าโหวฉิงเสวี่ย หลิวฮองเฮามองออกว่าฝ่าบาททรงใส่พระทัยในทุกรายละเอียดเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าทรงให้ความสำคัญกับการแต่งงานของซย่าโหวเสวี่ยยิ่งนัก


 


 


หลังจากที่เกิดเรื่องราวเลวร้ายมากมายขึ้น หลิวฮองเฮายังเคยเป็นกังวลว่าซย่าโจวจวินอวี่จะขับไสไล่ส่งซย่าโหวเสวี่ยไปอยู่วัด ให้โดดเดี่ยวเดียวดายจนตาย


 


 


คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระเมตตาถึงเพียงนี้ เห็นทีฝ่าบาทคงจะยังทรงรักลูกสาวคนนี้อยู่เช่นเดิม!


 


 


เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกเขยนางเป็นคุณชายตระกูลไหนกัน!


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะไปดูเสวี่ยเอ๋อร์เสียหน่อย…”


 


 


หลิวฮองเฮาไม่ได้พบบุตรสาวมาเป็นเวลานาน ย่อมต้องเป็นห่วงนางเป็นธรรมดา


 


 


แต่ทว่า ฝ่าบาทมิได้ทรงรับปากคำขอของนาง


 


 


“ฮองเฮาเป็นห่วงแต่ลูกอย่างนั้นหรือ”


 


 


คำพูดหยอกล้อของซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้หลิวฮองเฮาเขินอาย


 


 


นี่ใช่หรือไม่ที่เขาเรียกว่าการพูดจาหยอกเย้าของชายหญิงต่อหน้าธารกำนัล


 


 


นี่ฝ่าบาททรงยังไม่ลืมเลือนความรักระหว่างเราสองคนหรือ!


 


 


“ฝ่าบาท ทรงตรัสอะไรอย่างนั้นเพคะ!”


 


 


หลิวฮองเฮารู้ดีว่า ฝ่าบาททรงหาบันไดให้นางลงแล้ว หากนางยังไม่รู้ดีชั่ว ละทิ้งโอกาสในครั้งนี้ ภายหน้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสสนิทใจใกล้ชิดกับพระองค์ได้อีก


 


 


“อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าเถอะ!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ตบบริเวณที่ว่างข้างกายตนเองเบาๆ


 


 


เมื่อเปรียบเทียบผลดีผลเสียแล้ว ท้ายที่สุดหลิวฮองเฮาตัดสินใจไม่ไปดูซย่าโหวเสวี่ย แล้วนั่งลงเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่


 


 


“เวลาเดินเร็วเหลือเกิน เสวี่ยเอ๋อร์เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกเรือน!”


 


 


คำพูดของซย่าโหวจวินอวี่ ชวนหลิวฮองเฮาหวนรำลึกถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งนางก็คล้อยตาม นางค่อยๆ หวนรำลึกไปถึงอดีต ฝ่าบาทและหลิวฮองเฮาพูดคุยหัวเราะให้กัน บรรยากาศรื่นรมย์เป็นที่สุด


 


 


“เสด็จแม่เสด็จมาแล้วหรือ ข้าจะไปพบเสด็จแม่!”


 


 


แค่ได้ยินว่าหลิวฮองเฮามา ซย่าโหวเสวี่ยก็อยากที่จะเข้าไปกอดแล้วร่ำไห้ระบายความอัดอั้นในสิ่งเลวร้ายที่นางต้องพบเจอมา ให้เสด็จแม่ช่วยเหลือนาง


 


 


แต่ทว่า หมัวมัวที่ฮ่องเต้ให้มาจับตาดูแลซย่าโหวเสวี่ยมิอาจรับปากได้


 


 


เมื่อซย่าโหวเสวี่ยวางท่าความเป็นองค์หญิงเข้าข่ม ก็ถูกหมัวมัวสั่งสอนด้วยการยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าปากนางในทันที


 


 


“อ๊าก …”


 


 


หลังกินยานั่นเข้าไป ซย่าโหวเสวี่ยรู้สึกขมคอ หลังจากนั้นเสียงนางก็หายไปนางพูดไม่ออก อีกทั้งร่างนางก็อ่อนปวกเปียกจนมิสามารถขยับเขยื้อนได้ ราวกับท่อนไม้ที่ใครจะจับให้ทำอย่างไรก็ได้อย่างไรอย่างนั้น


 


 


“องค์หญิงเสวี่ย ทรงสงบใจเข้าพิธีแต่งงานเถิดเพคะ!”


 


 


“เมื่อถึงจวนองค์หญิง บ่าวจะมอบยาถอนพิษให้กับองค์หญิงอย่างแน่นอนเพคะ”


 


 


หมัวมัวที่มาควบคุมดูแลซย่าโหวเสวี่ยตวัดมือหนึ่งครั้ง นางกำนัลกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา


 


 


“พวกเจ้า รีบแต่งองค์ให้กับองค์หญิงเร็วเข้า วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ อย่าได้ขี้เกียจหลังยาวเด็ดขาด!”


 


 


จวบจนกระทั่งซย่าโหวเสวี่ยสวมใส่ชุดแต่งงานเรียบร้อย หลิวเปยก็เดินทางถึงวังหลวงและมาถึงที่หน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว


 


 


เมื่อได้รับการรักษาจากหมอหลวงหวังอย่างสุดความสามารถ ใบหน้าหลิวเปยจึงกลับสู่โฉมหน้าเดิมที่แท้จริง ขาเขาก็รักษาจนหายดี หลิวเปยสวมชุดแต่งงานสีแดงเดินเข้ามาแต่ไกล แลดูสง่างาม หล่อเหลาไม่น้อย


 


 


หลิวฮองเฮามองดูหลิวเปยโดยละเอียด ยิ่งมองก็พึงพอใจ


 


 


ได้หนุ่มที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้มาเป็นลูกเขยนาง นับเป็นบุญตั้งแต่ชาติปางก่อนของซย่าโหวเสวี่ยโดยแท้!


 


 


แต่ว่า หลิวฮองเฮานึกอยู่นานก็ไม่คุ้นหน้าหลิวเปยแม้แต่น้อย นางนึกไม่ออกว่าเขาเป็นอ๋องจากตระกูลไหนกัน


 


 


“ฝ่าบาท เขาคืออ๋องตระกูลไหนกัน”


 


 


หลิวฮองเฮากระซิบถามฮ่องเต้แผ่วเบา


 


 


“องค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์หลิวเปย คือราชบุตรเขยของฮองเฮา”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวตอบเสียงเรียบ


 


 


แคว้นซีเย่ว์


 


 


คราวนี้ ใจที่เดิมทีกำลังเบิกบานมีความสุขของหลิวฮองเฮาก็บีบรัดแน่น


 


 


เสวี่ยเอ๋อร์ต้องแต่งออกไปไกลถึงซีเย่ว์


 


 


แคว้นที่ห่างไกล แร้นแค้นนั่นนะหรือ


 


 


ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยเป็นบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของนางนะ!


 


 


“ฮองเฮา!”


 


 


ตอนที่หลิวฮองเฮาเซถลาจวนเจียนจะล้มลงนั่นเอง ซย่าโหวจวินอวี่ก็จับมือนางเอาไว้แล้วสำทับเสียงเข้ม


 


 


“วันนี้เป็นวันมงคลเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าห้ามทำเรื่องขายหน้าผู้คนเด็ดขาด!”


 


 


คำพูดของซย่าโหวจวินอวี่ทำให้หลิวฮองเฮาได้สติขึ้นมา แต่นางก็ยังมิอาจยินยอม


 


 


“ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงได้ให้เสวี่ยเอ๋อร์แต่งงานไปไกลถึงซีเย่ว์ หม่อมฉันก็จะมิได้พบหน้าเสวี่ยเอ๋อร์อีกต่อไป!”


 


 


แม่ลูกหัวใจผูกพัน


 


 


ถึงแม้ว่าหลิวฮองเฮาจะไม่ถือว่าเป็นคนดีอะไร แต่นางก็เป็นแม่คนหนึ่งที่รักบุตรสาวสุดจิตใจ


 


 


“หลิวเปยมีตรงไหนที่ไม่คู่ควรกับเสวี่ยเอ๋อร์หรือ อีกอย่างงานแต่งงานครั้งนี้เสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนเลือกเอง นางถูกตาต้องใจหลิวเปย ข้าก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน!”


 


 


“หลิวเปยคือองค์ชายที่เกิดกับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ตอนนี้ยังเป็นลูกเขยข้าอีกด้วย มีข้าสนับสนุน ช้าเร็วตำแหน่งรัชทายาทก็ต้องเป็นของเขา เสวี่ยเอ๋อร์แต่งกับเขา ต่อไปก็จะเป็นมารดาแผ่นดิน! นี่มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ!”


 


 


มารดาแผ่นดิน…


 


 


หลิวฮองเฮาถึงกับอึ้งเงียบไป


 


 


นางย่อมต้องหวังว่าฐานะเสวี่ยเอ๋อร์สูงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน เช่นนี้จึงจะนำพาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศให้กับ ซย่าโหวเสวี่ยได้เสพสุขไม่สิ้น


 


 


หากเป็นอย่างที่ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวมา ก็นับว่าดี!


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์จะทรงช่วยหลิวเปยแย่งชิงบัลลังก์จริงหรือเพคะ”


 


 


“ครอบครัวเดียวกัน ไม่มีคำว่าคนนอก!”


 


 


คำตอบซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้หลิวฮองเฮาถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


 


ต่อให้ต่อไปซย่าโหวเสวี่ยมิอาจกลับมาที่ต้าโจวได้อีก แต่หลังจากนี้นางจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา เป็นมารดาแผ่นดิน สำหรับซย่าโหวเสวี่ยแล้วนี่เป็นอนาคตที่ดีที่สุดของนาง


 


 


ยิ่งกว่านั้นต้าโจวแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าซีเย่ว์หลายเท่านัก มีต้าโจวคอยสนับสนุน ต่อให้หลิวเปยขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วก็คงไม่กล้าที่จะไม่เกรงใจซย่าโหวเสวี่ยแม้แต่น้อย!


 


 


เมื่อพิเคราะห์ข้อดีข้อเสียแล้ว ความกลัดกลุ้มในใจของหลิวฮองเฮาก็คลายไปในที่สุด


 


 


ในตอนนั้นเองที่นางกำนัลประคองซย่าโหวเสวี่ยเดินออกมา


 


 


เดิมทีซย่าโหวเสวี่ยก็หน้าตาสะสวยผิวพรรณดีอยู่แล้ว ตอนนี้แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ เดินมาจากที่ไกลๆ มองดูแล้วราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน ทำให้หลิวเปยตกตะลึงไปในทันใด


 


 


เมื่อมองเห็นฮองเฮา ซย่าโหวเสวี่ยก็มีปฏิกิริยาออกอาการชัดเจน


 


 


เสด็จแม่ ลูกไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายคางคกนั่น…


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยพยายามที่จะอ้าปากเปล่งเสียงออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ออกมาเลย


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยต้องการที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการ ทว่าถูกนางกำนัลสองจับกุมเอาไว้ จนขยับตัวไม่ได้


 


 


“องค์หญิง…”


 


 


เมื่อเห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยไม่ได้สนใจในตัวเขา หลิวเปยจึงเดินเข้าไปหานาง


 


 


“องค์หญิงข้ามารับท่านแล้ว!”


 


 


“เจ้าเป็นใคร”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยจ้องมองหลิวเปยด้วยสายตาระแวดระวัง ชายที่หน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าคือ… ถึงแม้ว่าจะเขาไม่เทียบเท่าเหลียนจิ่นก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นชายรูปงามคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่หลิวเปยส่งมาอย่างนั้นหรือ


 


 


“องค์หญิง หม่อมฉันหลิวเปยเองพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยจดจำตนเองไม่ได้ หลิวเปยก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวที่ตนเองเจ็บป่วยให้นางฟังอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ


 


 


“อะไรนะ”


 


 


คราวนี้กลายเป็นซย่าโหวเสวี่ยที่ตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


ที่แท้หลิวเปยหน้ารูปร่างหน้าแบบนี้เองหรือนี่! หากมิใช่ฟังน้ำเสียงแล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนักละก็ นางเองยังแทบมิกล้าที่จะเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ


 


 


“องค์หญิง เราสองคนมาคำนับเสด็จพ่อเสด็จแม่กันเถอะ!”


 


 


หลิวเปยยื่นมือออกมา จับมือของซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้


 


 


ชายหนุ่มรูปงามอยู่เบื้องหน้า ทำเอาซย่าโหวเสวี่ยเกือบจะเป็นลมล้มพับ นางตามหลิวเปยไปคำนับ ซย่าโหวจวินอวี่และหลิวฮองเฮาสามครั้งด้วยอาการงงงวย


 


 


จนกระทั่งหลิวเปยประคองซย่าโหวเสวี่ยขึ้นมา ซย่าโหวเสวี่ยก็ยังไม่ได้สติจากภวังค์ความจริงที่ว่าหลิวเปยมีรูปโฉมที่งดงามขึ้นมาได้ 

 

 


ตอนที่ 90-5 ความตายของซย่าโหวเสวี่ย

 

“ฮองเฮา ดูสิ พวกเขาเหมาะสมกันเพียงไหน!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เผยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา


 


 


“ลูกเปย เสวี่ยเอ๋อร์คือแก้วตาดวงใจของข้า เจ้าจะต้องดีกับนางให้มาก อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!”


 


 


พ่อตาที่เปี่ยมด้วยพลังเช่นนี้ แน่นอนว่าหลิวเปยจะต้องยกยอเอาใจอย่างแน่นอน


 


 


ตอนนั้นเอง หลิวเปยตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า


 


 


“ข้าจะต้องดีกับซย่าโหวเสวี่ย รักทะนุถนอมนางให้มาก โอบอ้อมอารีรักใคร่กลมเกลียวต่อนาง อยู่กินกันไปจนแก่เฒ่า”


 


 


หลิวเปยเอ่ยกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยแก้มแดงด้วยความเขินอาย แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮาก็ทรงดีพระทัยอย่างที่สุด


 


 


“ดี! ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าลืมรีบมีลูกกันเร็วๆ เข้านะ!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงวางพระทัย! หม่อมฉันจะพยายามเต็มที่ หัวปีท้ายปีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


สุดท้ายหลิวฮองเฮาก็ส่งหลิวเปยและซย่าโหวเสวี่ยด้วยความยินดี


 


 


ถึงแม้ว่าหลิวฮองเฮาจะไม่ได้พูดอะไรกับบุตรสาวแม้แต่คำเดียว ซึ่งหลิวฮองเฮารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ทว่าเมื่อนึกได้ว่าซย่าโหวเสวี่ยคือเจ้าสาวหมาดๆ แน่นอนว่าย่อมต้องเขินอาย จึงพูดอะไรไม่ออกก็เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นในจุดนี้นางจึงมองข้ามไปได้


 


 


ได้แต่งภรรยาที่งดงามถึงเพียงนี้ ทำให้หลิวเปยดีใจจนหน้าบาน


 


 


เขาไปส่งซย่าโหวเสวี่ยที่ห้องหอ แล้วตนเองไปที่ดื่มสุรา


 


 


จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด หมัวมัวที่ดูแลงานถึงได้เข้ามามอบยาถอนพิษให้กับซย่าโหวเสวี่ย เมื่อยาถอนพิษเข้าสู่ร่างกาย ซย่าโหวเสวี่ยจึงพูดได้ในที่สุด แต่ร่างกายนางยังคงอ่อนปวกเปียก ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง


 


 


ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวเสวี่ยเอ่ยถาม หมัวมัวที่ดูแลก็เฉลยคำตอบให้นางได้ฟังตรงๆ ว่า


 


 


“ฝ่าบาทมีรับสั่ง รอคืนร่วมหอผ่านพ้นไป จึงจะมอบยาถอนพิษอีกส่วนให้กับองค์หญิง”


 


 


“แต่ แต่ว่า…”


 


 


เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เข้มงวดดุดันของหมัวมัว ซย่าโหวเสวี่ยจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี


 


 


นางมิใช่หญิงสาวบริสุทธิ์ ทั้งยังเคยแท้งลูกมาอีกด้วย จึงเทียบไม่ได้กับสาวน้อยแรกแย้มที่แสนบริสุทธิ์อยู่แล้ว!


 


 


หรือ…เสด็จพ่อไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้ให้กับนางเลยหรือ


 


 


หากว่าในคืนเข้าหอมิได้หลั่งเลือดออกมาละก็ เจ้าบ่าวจะยอมเลิกราได้อย่างไร! เรื่องราวในอดีตของนางจะให้หลิวเปยล่วงรู้ไม่ได้!


 


 


ภายหลังจากที่ได้พบหลิวเปยอีกครั้ง ซย่าโหวเสวี่ยจากที่ตอนแรกต่อต้าน ยืนยันไม่ยอมแต่ง กลับกลายเป็นคิดที่จะลองมอบใจให้หลิวเปยดู ไม่แน่ว่านางและเขาอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานจนเกิดเป็นความรัก อาจจะมีอนาคตด้วยกันจริงๆ


 


 


“องค์หญิง ทรงคิดอะไรอยู่หรือ”


 


 


หมัวมัวท่าทางหน้าตาเป็นการเป็นงาน ดเจนว่าไม่เข้าใจความหมายของซย่าโหวเสวี่ย


 


 


“เอ่อเรื่องนั้น…”


 


 


ไม่ทันที่ซย่าโหวเสวี่ยจะได้กล่าวอธิบาย หลิวเปยที่เมามายก็เดินเข้ามา


 


 


“องค์หญิง หม่อมฉันมาแล้ว ปล่อยให้องค์หญิงทรงรอนานแล้ว! องค์หญิง หม่อมฉันได้แต่งงานกับพระองค์ หม่อมฉันดีใจเป็นที่สุด!”


 


 


เมื่อหลิวเปยเข้ามา หมัวมัวจึงรีบถอยออกไปอย่างรู้งาน คำพูดของซย่าโหวเสวี่ยมาติดอยู่ที่ปาก แล้วกลืนมันลงไป


 


 


ทำอย่างไรดี


 


 


นางจะทำอย่างไรจึงจะปิดบังหลิวเปย แล้วผ่านด่านร่วมหอลงโรงนี้ไปได้อย่างราบรื่นนะ


 


 


“องค์หญิง ทรงสิริโฉมงดงามยิ่งนัก!”


 


 


ไม่รอให้ซย่าโหวเสวี่ยคิดค้นวิธีการออก หลิวเปยก็มายืนอยู่ตรงหน้าของนาง แล้วยื่นมือออกมาแตะที่ปลายคางของนาง


 


 


“หม่อมฉันเพิ่งเคยพบหญิงที่หญิงที่งดงามเฉกเช่นองค์หญิงเป็นครั้งแรก”


 


 


“ท่านโกหก! ข้าไม่เชื่อท่านหรอก!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยหันหน้าไปอีกทาง ไปหน้าแดงราวเวลายามสายัณห์ นางวาดภาพอวี้หลัวช่ามอบให้กับหลิวเปยแล้วมิใช่หรือ ในใจของหลิวเปยควรจะเป็นอวี้หลัวช่าที่งามกว่านางมิใช่หรือ


 


 


ถึงแม้ว่าในใจซย่าโหวเสวี่ยจะมีคำถามเกิดขึ้น แต่มีหญิงใดเล่าที่จะไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้นะ!


 


 


“ที่ข้าพูดล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น! ความรักที่ข้ามีต่อองค์หญิง ฟ้าดินเป็นพยาน!”


 


 


หลิวเปยจัดเป็นยอดฝีมือนักรัก เขามีวิธีการมากมายในการรับมือสาวน้อยอย่างซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ในตอนนั้นเอง หลิวเปยจับมือน้อยของซย่าโหวเสวี่ยวางลงที่อกของตนเอง


 


 


“องค์หญิง ทรงรู้สึกหรือยังพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของหม่อมฉัน กำลังเต้นอยู่เพื่อพระองค์!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยเติบโตอยู่ในวังหลวงมาโดยตลอด พบเจอกับบุรุษน้อยแสนน้อย แล้วจะเคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


ภายใต้แสงจันทร์ ชายชุดแดงแววตาหวานเชื่อม สีหน้าลึกซึ้ง


 


 


ชายเช่นนี้ มิใช่สามีที่ซย่าโหวเสวี่ยใฝ่ฝันถึงอย่างนั้นหรือ!


 


 


ไม่นาน ซย่าโหวเสวี่ยที่เดิมทีกำลังสับสนว่าจะผ่านคืนเข้าหอนี้ไปได้อย่างไร ถูกคำหวานของหลิวเปย ลอกคราบจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า แล้วนอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย


 


 


“องค์หญิง ทรงสิริโฉมงดงามเหลือเกิน! งดงามไปทั้งตัว งดงามไปทั้งตัว องค์หญิงหม่อมฉันรักองค์หญิง รักเสียจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!”


 


 


หลิวเปยจ้องมองซย่าโหวเสวี่ยด้วยสายลุ่มหลง ลึกซึ้งและแน่วแน่


 


 


คราวนี้ซย่าโหวเสวี่ยเชื่อสนิทในคำพูดของอีกฝ่าย!


 


 


“อย่ามอง ข้าอาย…”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยอยากจะปิดตาของหลิวเปยยิ่งนัก ท่าทางขวยเขินเอียงอายของนาง มันกระจ่างชัดในดวงตาเขา


 


 


“ข้าก็ให้องค์หญิงดู! เช่นนี้ก็เท่ากับเราเสมอกันแล้ว!”


 


 


กล่าวจบ หลิวเปยกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างตนออกอย่างรวดเร็ว แล้วจัดแจงปีนขึ้นไปบนเตียงทันที


 


 


รอจนกระทั่งร่างของหลิวเปยทาบทับลงบนร่างของซย่าโหวเสวี่ย ค่ำคืนที่น่าจดจำของคนทั้งสองจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


 


เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในห้องก็เกิดเสียงร้องเอะอะโวยวายดังออกมา


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน! เจ้าไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์!”


 


 


“ราชบุตรเขยฟังข้าอธิบายก่อน…”


 


 


“อธิบายหรือ”


 


 


“ฮ่าๆ  ข้ามันเป็นไอ้โง่เง่าเต่าตุ่น ยังมีหน้ามาดีอกดีใจ คิดว่าตนเองได้แต่งงานกับดวงแก้ว! ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้ดีกับข้านักหนา ที่แท้เป็นเพราะต้องการปกปิดความอัปยศให้เจ้านี่เอง!”


 


 


“ข้ามิได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน จริงๆ นะ!”


 


 


“ไสหัวไป! เจ้าหลอกปั่นหัวข้า สนุกมากหรือไม่”


 


 


“นี่อะไร”


 


 


“ในขวดนี่คืออะไรกัน”


 


 


“เจ้าเอาเลือดนกมาแอบอ้างก็คิดที่จะหลับหูหลับตาผ่านไปอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าหน้าโง่หรืออย่างไร เกือบจะโดนเจ้าหลอกเสียแล้ว!”


 


 


เสียง ‘เพล้ง’ เครื่องลายครามใบสวยแตกละเอียดดังมาจากในห้อง หลิวเปยบ้าคลั่งชักดาบออกมา แล้วฟันมั่วไปทั่ว


 


 


“ราชบุตรเขย ฟ้ามืดแล้ว มีเรื่องอะไรรอให้ถึงพรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถอะเพคะ!”


 


 


ที่นอกประตู เสียงเย็นยะเยือกของหมัวมัวที่คอยดูแลคนทั้งสองดังลอดเข้ามา


 


 


“ไม่ได้ ข้าจะต้องเข้าวังเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปพบซย่าโหวจวินอวี่ แล้วถามเขาให้รู้เรื่องว่า เหตุใดถึงได้ยัดเยียด รองเท้าผุพังให้แก่ข้า!”


 


 


หลิวเปยควานหาเสื้อผ้าด้วยความโกรธเคืองจนร้อนรน


 


 


“เฮอะ ฝ่าบาททรงยกองค์หญิงเสวี่ยให้แต่งงานกับท่าน ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงแล้ว! ท่านควรจะคุกเข่าขอบพระทัยเสียด้วยซ้ำ!”


 


 


หมัวมัวถึงแม้เป็นเพียงบ่าวไพร่ แต่คำพูดคำจามีอำนาจยิ่งนัก


 


 


ในคืนแต่งงานวันแรกต้องมาพบว่าเมียรักไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์ การลบหลู่ดูหมิ่นที่ร้ายแรงเพียงนี้ ทั้งยังถูกบ่าวไพร่มาสั่งสอน ไฟแห่งโทสะและความโกรธแค้นในใจของหลิวเปย ‘ซู่ซู่’ ปะทุออกมา


 


 


“พระมหากรุณาธิคุณนี้ข้าไม่ขอรับ!”


 


 


หมัวมัวที่อยู่ด้านนอกประตู ไม่ยอมลดราวาศอกเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ไม่ต้องการ ท่านกล้ารึ ท่านคิดหรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ประทานองค์หญิงให้แต่งงานกับท่าน เพราะองค์หญิงทรงตั้งพระครรภ์อย่างไรเล่า! ถึงตอนนั้นลูกขององค์หญิงก็จะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ซีเย่ว์และต้าโจวก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน!”


 


 


คำพูดของหมัวมัวทำให้หลิวเปยตาสว่าง ที่แท้แล้ว ‘ครอบครัวเดียวกัน ไม่พูดเห็นเป็นคนอื่นคนไกล’ ที่ ซย่าโหวจวินอวี่พูดหมายความเช่นนี้นี่เอง!


 


 


ให้เขาดีใจที่ได้เป็นพ่อคน ทั้งยังคาดการณ์อนาคตเอาไว้เสร็จสรรพ น้ำมือเ**้ยมโหดและต่ำช้ายิ่งนัก! หลิวเปยตวัดสายตามองไปที่ซย่าโหวเสวี่ยที่กำลังตื่นตระหนกอยู่บนเตียง เขาย่างสามขุมพร้อมดาบในมือเข้าไปหา


 


 


“เจ้าเป็นหญิงคนแรกที่สวมเขาให้กับข้า!”


 


 


“ข้าเปล่า ข้าเปล่า…”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยส่ายหน้าเป็นพัลวัน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหมัวมัวต้องพูดเช่นนี้เพื่อให้หลิวเปยเข้าใจผิด


 


 


ในท้องนางไม่มีเด็กสักหน่อย!


 


 


หลิวเปยโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ฟังอะไรเข้าหูที่ไหนกัน เขายกดาบขึ้นแทงเข้าไปที่กลางท้องของซย่าโหวเสวี่ย


 


 


“ใครก็ได้! ราชบุตรเขยฆ่าคน! ราชบุตรเขยสังหารองค์หญิง!”


 


 


ในเวลาเดียวกัน เกิดเสียงดังขึ้นจากด้านนอก ท่ามกลางยามราตรีที่เงียบสงัด ‘ราชบุตรเขยสังหารองค์หญิง’ ประโยคนี้ดังก้องออกไปไกล

 

 

 


ตอนที่ 91-1 ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีห...

 

เสียงหมัวมัว ดึงหลิวเปยที่กำลังคลุ้มคลั่งให้กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง


 


 


เมื่อมองเห็นซย่าโหวเสวี่ยร่างเปลือยเปล่านอนจมกองเลือดอยู่ ความร้อนรนและหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าเกาะกุมหัวใจของหลิวเปยทันที


 


 


“องค์หญิง องค์หญิง ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หลิวเปยล้มลุกคลุกคลานขึ้นไปบนเตียง แล้วยื่นมือไปอุดบาดแผลซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ดาบนี้ของเขาจ้วงแทงเข้าไปลึกและชักออกมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นที่บริเวณท้องซย่าโหวเสวี่ยจึงเกิดบาดแผลถูกแทงเป็นรูใหญ่ เลือดไหลรินออกมาราวกับน้ำ


 


 


“ราชบุตรเขย ข้าเจ็บเหลือเกิน!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ความตายรู้สึกเช่นนี้นี่เอง พลังและอุณหภูมิร่างกายทั้งหมดที่มี ค่อยๆ ไหลออกจากร่างผ่านทางบาดแผล


 


 


นางหวาดกลัวเหลือเกิน!


 


 


นางยังไม่อยากตาย!


 


 


“ขอประทานอภัยองค์หญิง ข้าโกรธจนควบคุมตนเองไม่อยู่ เป็นเพราะข้ารักองค์หญิงมากถึงได้กระทำเช่นนี้ลงไป องค์หญิงทรงให้อภัยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยยังพูดจาได้ หลิวเปยจึงคลายความตระหนกไปได้บางส่วน


 


 


ในเวลาเช่นนี้ ซย่าโหวเสวี่ยจะตายไม่ได้โดยเด็ดขาด!


 


 


หลิวเปยปากก็พร่ำขอโทษ มือก็ดึงผ้าแพรออกมาทำแผลให้กับซย่าโหวเสวี่ยไปด้วย


 


 


ดาบเมื่อครู่ที่จ้วงแทงเข้ามา ทำให้ใจซย่าโหวเสวี่ยเศร้าใจอย่างที่สุด


 


 


ทว่ามาตอนนี้เมื่อเห็นอาการตื่นตระหนก การที่เขาร้อนรนพยายามจะช่วยชีวิต คำขอโทษของเขา ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยหมดเหตุผลจะไปกล่าวโทษเขา ตรงกันข้ามนางกลับเป็นฝ่ายปลอบโยนเขาเสียเอง


 


 


“ราชบุตรเขย ท่านไม่ต้องกลัว ทางด้านเสด็จพ่อ ข้าจะช่วยพูดให้เอง!”


 


 


มีคำสัญญานี้ของซย่าโหวเสวี่ย หลิวเปยก็ยิ่งเสียใจ เขาจึงให้คำสัตย์สาบานต่อหน้านาง


 


 


“ราชบุตรเขย ข้าเวียนหัวเหลือเกิน เจ้ารีบไปตามหมอมาช่วยข้าเร็ว!”


 


 


ใบหน้าซย่าโหวเสวี่ยซีดขาว หลิวเปยเองก็รู้ดีว่าการกระทำในวันนี้ของตนเองนั้นมุทะลุเกินไป


 


 


ไม่เพียงแต่กำลังครุ่นคิดว่าคำพูดของหมัวมัวมีความจริงอยู่กี่ส่วน อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขาอยู่บนแผ่นดินของต้าโจว เขากระทำเช่นนี้กับซย่าโหวเสวี่ย คงยากที่จะหลีกหนีจากความตายไปได้


 


 


ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าความตายอีกแล้ว!


 


 


เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ หลิวเปยมิต้องการศักดิ์ศรีใดๆ อีกต่อไป


 


 


ต่อให้ต้องได้ชื่อว่าถูกสวมเขา ตอนนี้เขาก็ยินยอมทุกอย่าง!


 


 


“ได้ๆ !”


 


 


หลิวเปยไม่คิดอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องทำตอนนี้คือเอาใจซย่าโหวเสวี่ยให้มาก


 


 


เสียงตะโกนของหมัวมัวดังเสียขนาดนั้น ไม่แน่นะว่าตอนนี้องครักษ์ที่ดูแลจวนองค์หญิงคงแห่กันมาแล้ว เขายังต้องพึ่งพาซย่าโหวเสวี่ยจัดการคนพวกนั้น!


 


 


หมอประจำตัวของหลิวเปยพักอยู่อีกเรือนหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากที่นี่มากนัก


 


 


เขาเกรงว่าซย่าโหวเสวี่ยจะรอไม่ถึงหมอมา ไปค้นหาอยู่นานจนในที่สุดก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมา


 


 


“องค์หญิง ข้าจะไปเชิญหมอมา องค์หญิงทรงอดทนไว้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงเสวยยาเม็ดนี้เข้าไปก่อน นี่เป็นยาอายุวัฒนะที่เสด็จแม่มอบให้หม่อมฉัน เมื่อพบเจอกับเหตุการณ์คับขัน กินยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ด สามารถรักษาชีวิตได้หนึ่งชีวิต”


 


 


มาถึงขั้นนี้แล้ว หลิวเปยจึงไม่กล้าหมกเม็ดเอาไว้คนเดียวอีกต่อไป


 


 


ถึงแม้ว่านี่จะเป็นยาล้ำค่าที่ฮองเฮาแห่งซีเย่ว์มอบให้กับเขาซึ่งเป็นบุตรชายโดยเฉพาะก็ตาม แต่หลิวเปยก็กำลังจะใช้มันเพื่อรักษาชีวิตของซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้


 


 


“ได้ ได้ผลจริงหรือ”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง


 


 


“ได้ผลแน่นอน!’


 


 


หลิวเปยรีบรินน้ำมา แล้วเดินไปที่เตียง


 


 


“คุ้มกันองค์หญิง!”


 


 


เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากด้านนอก


 


 


ได้ยินประโยคนั้น หลิวเปยถึงกับมือสั่นระริก ยาอายุวัฒนะร่วงลงที่พื้น เขาลนลานลงจากเตียงค้นหาอยู่นานกว่าจะหามันจนเจอ


 


 


“องค์หญิง พระองค์จะต้องทรงช่วยหม่อมฉันนะ!”


 


 


หลิวเปยหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา


 


 


“ราชบุตรเขย ข้าต้องช่วยท่านแน่!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยก็กลัวตายเช่นกัน ได้ยินหลิวเปยกล่าวถึงประสิทธิภาพยาเสียยกใหญ่เมื่อครู่ ครั้นเมื่อหลิวเปยป้อนยาเข้าปาก ซย่าโหวเสวี่ยก็รีบกลืนยานั้นลงไปทันที


 


 


“เพล้ง…”


 


 


 


 


ในตอนนั้นเองที่ประตูถูกคนถีบออกอย่างแรง หมัวมัวพาองค์รักหญิงหลายคนบุกเข้ามา


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยแต่งงานออกเรือนในครั้งนี้ ซย่าโหวจวินอวี่จัดองครักษ์หญิงให้ถึงสามสิบคนแก่นาง ซึ่งได้ใช้งานในครั้งนี้พอดิบพอดี


 


 


“บังอาจ!”


 


 


บ่าวไพร่พวกนี้บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลิวเปยโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก


 


 


แต่ยังไม่ทันที่หลิวเปยจะได้วางมาดองค์ชาย หมัวมัวก็ร้องขึ้นมาว่า


 


 


“องค์หญิง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ องค์หญิง ทรงฟื้นสิเพคะ!”


 


 


เสียงนั้นทำให้หลิวเปยงงงวยเป็นอย่างมาก


 


 


จนกระทั่งหลิวเปยหันหลังกลับมามอง ก็เห็นซย่าโหวเสวี่ยเบิ่งตากว้างจ้องมองมาที่ตนเอง เลือดออกเจ็ดทวาร ภาพตรงหน้านั้นเขย่าขวัญหลิวเปยจนตกใจลนลานล้มลงที่พื้น


 


 


“หลิวเปย เจ้าเจตนาจ้วงแทงองค์หญิงจนสิ้นพระชมน์ น้ำมือเ**้ยมโหด เจ้ามันเลวทรามเกินไปแล้ว!”


 


 


“ไม่ ไม่ใช่ข้า!”


 


 


ถูกหมัวมัวชี้หน้ากล่าวโทษเช่นนี้ หลิวเปยถึงไปต่อไม่ถูก


 


 


ยานี่เป็นยาอายุวัฒนะที่เสด็จแม่มอบให้เขาแท้ๆ แล้วจะเป็นยาพิษไปได้อย่างไรกัน


 


 


แต่ยาเม็ดนั้น เขาเป็นคนป้อนให้กับซย่าโหวเสวี่ยด้วยตัวเอง มีคนมากมายเป็นพยาน เขาจะอธิบายอย่างไร เขายังอธิบายได้อีกหรือ!


 


 


“องค์หญิงที่น่าสงสาร พระองค์ตกหลุมรักหมาป่าร้ายในคราบมนุษย์พรรค์นี้ได้อย่างไรกัน!”


 


 


หมัวมัวตะโกนร้องไห้แล้ววิ่งเข้าไปหาร่างของซย่าโหวเสวี่ย ร่ำไห้ออกมายกใหญ่


 


 


“แต่งงานด้วยความยินดี เหตุใดผลลัพธ์จึงเป็นเช่นนี้ องค์หญิงเสวี่ย โชคชะตาท่านช่างรันทดยิ่งนัก!”


 


 


เหล่าองครักษ์หญิง เมื่อเห็นองค์หญิงต้องสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ ต่างพากันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ไม่นานทั่วทั้งห้องก็มีเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวดังระงม


 


 


ไม่หนีตอนนี้ จะหนีเมื่อไหร่กัน!


 


 


เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมุ่งความสนใจไปที่ซย่าโหวเสวี่ย หลิวเปยก็แอบย่องไปอีกด้าน


 


 


สองสามวันก่อน เขาได้สำรวจจวนองค์หญิงเป็นครั้งสุดท้าย จึงพบเข้ากับทางลับนี้โดยบังเอิญ


 


 


ในวันนั้นหลิวเปยยังเดินเล่นจนสุดทางรอบหนึ่งเต็มๆ ทางลับนี่เป็นทางเปิดทะลุไปเชื่อมกับนอกเมือง ในตอนนั้นเขายังคิดเลยว่า ทางลับนี้เหมาะสำหรับหนีรอดเอาชีวิตที่ไม่น้อยเลย


 


 


คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะต้องใช้ทางลับนี้หนีรอดเอาชีวิตจริงๆ


 


 


อาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนยังเผลอไผล หลิวเปยจึงหลบไปซ่อนตัวในทางลับ


 


 


เมื่อร้องไห้จนพอใจแล้ว หมัวมัวจึงได้พบว่านักโทษฆ่าคนตายหลบหนีไปเสียแล้ว จึงออกคำสั่งให้คนออกตามหาในทันที ทั้งยังให้คนเข้าวังไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ


 


 


ห้องหอในค่ำคืนแสนหวาน กลายเป็นคดีนองเลือดไปได้


 


 


คณะทูตแห่งซีเย่ว์ถูกจับกุมกลางดึกขณะที่กำลังนอนหลับฝันดี แต่ละคนตระหนกตกใจกันยกใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อความจริงที่เกิดขึ้นนี้เลย


 


 


เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันมงคลองค์หญิง ดังนั้นจึงมิได้มีเวรยามขององครักษ์ที่แน่นหนา


 


 


ทูตของซีเย่ว์บางคนที่เป็นวรยุทธ์ขั้นสูงจึงไม่ยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี หลังจากต่อสู้จนองครักษ์จวนองค์หญิงตายไปสิบกว่าคนแล้ว ก็อาศัยความมืดยามราตรีหลบหนีไป


 


 


ในวังหลวง ยากนักที่ซย่าโหวจวินอวี่จะอารมณ์ดีแล้วพักค้างคืนอยู่ที่ตำหนักของหลิวฮองเฮา


 


 


สองสามีภรรยาอายุอานามมากแล้ว จึงไม่ได้ทำอะไรอื่นใด ซย่าโหวจวินอวี่เพียงแค่พูดคุยเป็นเพื่อนหลิวฮองเฮาเท่านั้น


 


 


พวกเขาเริ่มคุยกันตั้งแต่ซย่าโหวเสวี่ยเกิดมา ย้อนรำลึกไปถึงอดีตที่แสนสวยงามหอมหวานจนถึงตอนสุดท้าย ทำให้หลิวฮองเฮารู้สึกว่าการพูดคุยอย่างสนิทสนมในครั้งนี้ ทำให้หัวใจนางและฝ่าบาทใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกขั้น


 


 


ใครจะคาดคิด หลังจากที่พวกเขาดับเทียนเข้านอนไม่นาน เสียงเซี่ยงจิ้นก็ดังขึ้น


 


 


“ฝ่าบาท ฝาบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


น้ำเสียงเซี่ยงจิ้นร้อนรน ทั้งยังเจือไว้ด้วยอาการลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


ที่ผ่านมาต่อให้เกิดเรื่องเร่งด่วนอย่างไร เซี่ยงจิ้นก็ยังสามารถรักษากฎเกณฑ์องครักษ์ฝ่ายในเอาไว้ได้ ไม่เคยโวยวายเสียงดังเช่นนี้มาก่อน


 


 


เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันแต่งงานของซย่าโหวเสวี่ย คืนนี้ซย่าโหวจวินอวี่จึงเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ


 


 


เซี่ยงจิ้นร้องเรียกอยู่หลายครั้ง แต่ซย่าโหวจวินอวี่ที่หลับลึกก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา


 


 


กลับเป็นหลิวฮองเฮา ที่รู้สึกว่าการเปิดใจพูดคุยกับซย่าโหวจวินอวี่ในค่ำคืนนี้ซึ่งทำให้ความเข้าใจผิดระหว่างนางและฮ่องเต้คลี่คลายลง ทำเอานางดีใจจนนอนไม่หลับ


 


 


หลิวฮองเฮาเมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยงจิ้น นางจึงค่อยๆ ลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง นางคว้าเสื้อคลุมมาคลุมร่างแล้วย่องเดินออกไปด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา ทั้งยังเปิดประตูออกไปอย่างเบามือ


 


 


“เซี่ยงจิ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าตื่นตระหนกอะไรกัน!”


 


 


เห็นสีหน้าร้อนรนจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ของเซี่ยงจิ้น หลิวฮองเฮาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก


 


 


สำหรับคนโปรดข้างกายของฝ่าบาทคนนี้ หลิวฮองเฮาไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่นัก!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม