เพราะรักสลักใจ 895-899

 ตอนที่ 895 ราชครูทำนายดวงชะตา สถาปนากษัตริย์องค์ใหม่


 


 


หลังราชครูลุกขึ้นแล้วก็ยืนข้างกายเจ้าอาวาสทันที ชูตรามังกรขึ้นพร้อมกันกับเขา เปิดปากกล่าวด้วยสุรเสียงอันดัง “เพื่อปกปักรักษาปวงประชาทั้งใต้หล้า ตัวข้าราชครูและท่านเจ้าอาวาสถือตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อน ปลดตำแหน่งจักรพรรดิ อันเชิญองค์รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์ทันที!”


 


 


หลังชายชราวางตรามังกรลงแล้วจึงกล่าวเสริมว่า “ข้าเริ่มพิธีทำนายชะตาชีพจรมังกรเพียงหนึ่งเดียวของชาตินี้ไปแล้ว สูญเสียพลังแทบหมดสิ้น ดังนั้นนับแต่วันที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ข้าก็ขออำลาตำแหน่งราชครู”


 


 


กว่าจ้าวเซิงจะได้รับข่าวแล้วเร่งกลับมาฝุ่นผงส่วนใหญ่ก็ตกตะกอนแล้ว เพราะมีตรามังกรในมือท่านเจ้าอาวาส ทั้งยังมีการเสี่ยงดวงชะตาบ้านเมืองและการรับรองเป็นเอกฉันท์ของฝ่ายอำนาจพระพันปี ตำแหน่งจักรพรรดิของคนนี้จึงมิอาจดำรงต่อไปได้อีกอย่างแน่นอน


 


 


“ที่รัก เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” จ้าวเซิงเร่งมา สายตาสำรวจซูเซียงขึ้นๆลงๆ


 


 


เห็นว่านอกจากสีหน้าซูเซียงที่ดูไม่ดีแล้วก็ไม่มีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บ เขาจึงค่อยวางหินก้อนใหญ่ที่ถือไว้ในใจลงได้


 


 


เขาก็ว่า เหตุใดอยู่ดีๆเสด็จย่าถึงส่งเขาไปเก็บส่วยอะไรนั่นที่เจียงหนาน? ในระหว่างทางเขายิ่งเดินทางก็ยิ่งรู้สึกเอะใจ จนกระทั่งพบเข้ากับซ่งมู่และคนในสายของเขาส่งข่าวมาให้ เขาถึงค่อยตื่นตะลึงพบความจริง พระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่าเป็นเท็จ


 


 


เขาแทบไม่ต้องคิด นี่ต้องเป็นฝีมือของเสด็จสุดที่รักของเขาเป็นแน่! ส่วนเหตุใดจึงทำเช่นนี้…


 


 


สำหรับผลที่ตามมา จ้าวเซิงไม่กล้าแม้แต่จะคิด เขาหวดแส้เร่งม้าเร็วกลับเมืองหลวงทันที ทว่าพอเข้ามากลับพบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้องนัก กลิ่นคาวโลหิตสายหนึ่งโชยมากระทบแต่ไกล ในใจเขาเต้นตึกตัก โชคดีที่ตอนเขารีบกลับมา ชายชรากับเจ้าอาวาสกำลังคุ้มครองภรรยาบ้านเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…


 


 


ทว่า โถงไหว้วิญญาณนั้น…เสด็จย่านาง….


 


 


“ข้าไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถิด มีท่านเจ้าอาวาสกับราชครูอยู่ ยังมีพวกกูกู[1]อยู่ด้วย ข้าสบายดี” ซูเซียงพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยเพียงแค่นี้


 


 


นางเองก็มิได้บอกให้ต่อไปจ้าวเซิงต้องตอบแทนคนเหล่านี้ นี่มิใช่กำลังแบ่งเป็นก๊กเป็นหมู่อย่างโจ้งแจ้งไม่สนสายตาหรอกหรือ แม้จักรพรรดิเสียอำนาจไปแล้ว แต่ก็สามารถขุดหลุมพลางออกมาให้คนหล่นลงไปได้เหมือนกัน


 


 


ยังมีเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของราชครู นางไม่ได้บอกว่าเป็นอาจารย์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ บางทีคนสติไม่ดีพวกนั้นอาจทึกทักไปว่าราชครูเห็นแก่ที่ตนเป็นลูกศิษย์ยอมทิ้งแม้แต่ชีวิตชราของตัวเอง คงพูดกันไปเรื่อยเปื่อย


 


 


จ้าวเซิงเห็นซูเซียงไม่เป็นไรแล้วจริงๆ จึงหันหน้ามองไปยังฮ่องเต้ที่สับสนเต็มหน้า หัวเราะอย่างเย็นชาสองเสียง


 


 


เวลานี้รัชทายาทเองก็รีบเร่งเข้ามา ทว่าในตอนที่เขายังไม่ทันได้เปิดปากพูด จ้าวเซิงก็กล่าวขึ้นว่า “มีบางเรื่องเคยรู้สึกว่าอับอายคน บัดนี้กลับรู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุดของชีวิตนี้ ตอนนั้นตัวข้าองค์ชายถูกคนชั่วลอบทำร้ายวางยาลุ่มหลงปลุกอารมณ์ ต่อมาในป่ากลางภูเขา…มีลูกสองคน แต่หลายปีนั้นข้าองค์ชายรู้สึกอับอาย กลับมิได้ออกตามหา และไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเด็กทั้งสอง จนกระทั่งต่อมาได้พบเจอภรรยาและลูก บัดนี้เด็กทั้งสองคน นามว่าหวังเฮ่าและหวังเสวี่ย ใช้แซ่ตามพ่อตา


 


 


“วันนี้ข้าองค์ชายเอ่ยถึงอดีตขึ้นมามิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงอยากบอกผู้คนทั้งใต้หล้าว่าเด็กสองคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ภรรยาบ้านข้าตอนอยู่กับข้าก็ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ไม่อาจทนรับวาจาว่าร้ายของผู้อื่น!”


 


 


“นอกจากนี้ วันนี้ข้าขอถอนตัวออกจากราชวงศ์ด้วยตัวเอง ข้าไม่ยอมละทิ้งภรรยาและลูกไปเช่นนี้อีกเด็ดขาด”


 


 


แม้กระทั่งตราพยัคฆ์ที่เพิ่งส่งมอบถึงมือจ้าวเซิงเมื่อครู่ จ้าวเซิงก็วางมันลงตรงนั้นและปลดกวานหยกบนศีรษะ ดึงซูเซียงคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ”ขอฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงเห็นแก่มิตรภาพพี่น้องตลอดหลายปีของเรา ให้น้องชายออกจากราชพงศาวลี!”


 


 


หน้านี้ตอนไม่รู้เรื่องเบื้องหลังความสกปรกโสมมของซูย่วนเสี้ยนจู่พวกนั้น เขายืนกรานไม่เห็นด้วย ไม่ต้องพูดถึงบัดนี้เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว และรู้ด้วยว่าซูเซียงบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ตนกลับเกือบสังหารหลานชายหลานสาวแท้ๆของตัวเองไปหลายครั้ง นี่มิใช่เลวทรามยิ่งกว่าเดรัจฉานหรือไร?!


 


 


แต่ไม่ว่ารัชทายาทเหนี่ยวรั้งอย่างไร จ้าวเซิงก็ขอร้องครบสามครั้งแล้ว เนื่องจากราชวงศ์มีกฎว่า หลังการขอร้องด้วยตัวเองครบสามครั้งแม้วันนั้นไม่ได้รับการยินยอม แต่ก็มีผลบังคับใช้แล้ว


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กูกู เป็นสรรพนามเรียกนางกำนัลอาวุโส ทำงานรับใช้ในวังมานาน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 896 เหนี่ยวรั้งไร้ผล ความผูกผันร้องเตือน


 


 


รัชทายาทยังเหนี่ยวรั้งครั้งที่สาม บอกว่าต่อไปจะไม่ก้าวก่ายชีวิตคู่ของพวกเขาอีกแล้ว ยอมรับให้ซูเซียงและเด็กทั้งสองเข้าราชวงศ์และให้เปลี่ยนจากหวังเฮ่าเป็นจ้าวเฮ่า เป็นบุตรคนโตของจวนอ๋องและซื่อจื่อผู้สืบทอด แต่งตั้งเสวี่ยเอ๋อร์เป็นกงจู่ (องค์หญิง) กรณีพิเศษ แต่งตั้งจ้าวเซิงเป็นอ๋องเคียงไหล่[1] ซูเซียงเป็นเจิ้นกั๋วฟูเหริน[2]


 


 


รัชทายาทเดิมทีคิดว่าตนยอมถอยมาแล้ว ถึงขั้นค้อมเอวคำนับให้จ้าวเซิงขอร้องอยู่หลายครั้ง มากน้อยจ้าวเซิงคงเห็นแก่ความรักฉันท์พี่น้องตอบตกลงเขา อีกทั้งตัวเขาเองก็สำนึกผิดแล้วอย่างแท้จริง


 


 


ทว่าคิดไม่ถึง จ้าวเซิงกับซูเซียงถอดใจตั้งแต่แรกแล้ว ซูเซียงไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตานิ่งสงบไร้คลื่นดูแล้วกลับยิ่งทำให้หัวใจคนหวาดหวั่น


 


 


จ้าวเซิงมองรัชทายาทหนึ่งสายตา มองคนข้างหลังเขาแล้วมองซูเซียง ชักดาบข้างกายออกมาพาดบนคอตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว “ขอจักรพรรดิองค์ใหม่ทรงพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมพาภรรยาและครอบครัวจากไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ทำถึงขั้นนี้แล้ว รัชทายาทยังจะพูดอะไรได้?


 


 


ในใจคิดทบทวน รู้สึกได้ว่าวันนี้จ้าวเซิงโมโหขึ้นสมองแล้ว พูดเรื่องเช่นนี้ออกมาใครบ้างไม่โมโห ขอเวลาสักหน่อยคงพอทุเลาลงบ้าง


 


 


เขาเป็นรัชทายาทมานานปีขนาดนี้แล้วก็ไม่ได้สูญเปล่า ทบทวนแล้วจึงเอ่ยเสียงอ่อน “เช่นนั้นข้าเป็นตัวแทนเสด็จพ่อถอนคืนบรรดาศักดิ์อ๋องสงครามที่ให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน เจ้ายังคงเป็นจวิ้นอ๋อง ตราทหารจะส่งมาก็ได้ ดินแดนศักดินาเจ้าสามารถเลือกได้เอง เช่นนี้ถือว่าได้แล้วกระมัง? ”


 


 


ไม่พูดไม่ได้ นี่เป็นการยอมถอยให้ก้าวใหญ่ที่สุดและพิจารณาอย่างดีที่สุดแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้ว ไม่ว่าจ้าวเซิงจะโกรธเคืองอย่างไร ที่สุดแล้วก็เป็นพี่น้องกับเขามาหลายปี คงมีความผูกผันกันอยู่บ้าง ขอเพียงจ้าวเซิงเลือกพื้นที่ใกล้นั่นย่อมดี พวกเขายังพอมีโอกาสกอบกู้ความสัมพันธ์กลับมาบ้าง


 


 


แต่ที่คิดไม่ถึงคือ หลังจ้าวเซิงกับซูเซียงมองตากันแล้ว ซูเซียงก็เปิดพูดเอื่อยๆ “ ในเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ไว้หน้าเราสามีภรรยา เราเองก็ไม่อาจไม่ให้เกียรติ เป็นจวิ้นอ๋องก็จวินอ๋องเถิด แต่เราเลือกซาโจวเป็นเขตดินแกนศักดินา ขอจักรพรรดิองค์ใหม่ทรงเห็นชอบด้วย”


 


 


“ซาโจว…”


 


 


พอได้ยินถึงชื่อนี้ ทุกคนในลานเหตุการณ์ รวมถึงคนของฝ่ายพระพันปีล้วนตื่นตะลึงเหลือประมาณ


 


 


ซาโจวนั่นมันที่ไหนกัน? สถานที่กันดารทางชายแดน พายุทรายห่มคลุมฟ้า แม้แต่ต้นไม้ยังไม่รอด แยกตัวไปอยู่ในสถานที่แบบนั้นมิใช่ลงโทษชีวิตหรอกหรือ?


 


 


แต่ยังไม่จบแค่นี้ รัชทายาทยังไม่ทันได้พูดอะไรซูเซียงก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อราชวงศ์ใส่ใจกิจการสมุนไพรของบ้านเราขนาดนี้ เช่นนั้นก็ขอมอบให้พวกท่านด้วยแล้วกัน ยังช่วยลดเรื่องมีคนลอบระแวง”


 


 


หลังพูดจบ ซูเซียงก็เป็นฝ่ายเข้ามาจูงมือจ้าวเซิงก่อนแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้คนอื่นๆ จากนั้นคนทั้งขบวนก็ออกไปจากวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ เขาคิดจะไล่ตามก็ตามไม่ทัน


 


 


อีกทั้งไม่กล้าทำเช่นนั้น ถ้าเขาตามไป ไม่สนใจว่าเขาเป็นรัชทายาทหรือจักรพรรดิองค์ใหม่ คนทางฝั่งพระพันปีพวกนั้นก็พร้อมชักดาบมาทางเขาทันที


 


 


โธ่เว้ย เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ช่างลำบากเสียจริง…


 


 


เนื่องด้วยตอนนั้นราชครูกับเจ้าอาวาสชูตรามังกรลงราชโองการให้ถอดถอน มิใช่สละราชบัลลังก์ ดังนั้นจักรพรรดิจึงเป็นเพียงเจ้าบ้านชราคนหนึ่งที่พำนักอย่างดีอยู่ในวังหลวง


 


 


ส่วนที่ว่าพำนักอย่างดีนั้นก็ เหอะๆ… จัดหาสำรับเครื่องเสวยให้อย่างดี ทุกอย่างล้วนเป็นของที่ดีที่สุด แต่ทว่าไม่มีคนพูดคุยกับเขา ไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้ว และไม่สามารถออกนอกประตูใหญ่บานนั้นได้


 


 


สำหรับสิ่งของภายในห้อง เขาอยากขว้างปาอย่างไรก็ขว้างไป ถึงอย่างไรก็เคยแจ้งไว้ก่อนแล้วว่าเครื่องใช้ภายตำหนักสามารถเปลี่ยนได้แค่สามชุด หลังเปลี่ยนครบสามชุดแล้วท่านก็รอใช้โต๊ะผุๆเก่าอี้พังๆไปเถิด


 


 


แท้จริงแล้วบัดนี้การสงครามตึงเครียด พระคลังว่างโล่ง จำเป็นต้องประหยัดเสบียงกองทัพมิใช่หรือ? ยุงนั้นต่อให้ตัวเล็กก็เป็นเนื้อเหมือนกัน นับประสาอะไรกับสิ่งของที่ให้จักรพรรดิใช้ ยังแย่ได้มากกว่านั้นอีก


 


 


รัชทายาทเป็นห่วงเสด็จพ่อของเขา คิดแอบส่งของไปให้หลายครั้ง ผลคือราชครูบอกว่า เรื่องอื่นผู้ชราอย่างพวกเขาจะไม่ถามถึง มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่จะไม่ยอมให้เด็ดขาด!


 


 


ราชครูกับเจ้าอาวาสมิใคร่ชอบรัชทายาทมากนัก แต่ผ่านพิธีทำนายดวงชะตา ผู้อื่นเป็นมังกรโอรสสวรรค์ เขาเองก็พูดอะไรอีกไม่ได้ แม้หลายเรื่องรัชทายาททำไม่ถูก แต่มิได้ทำลายมโนธรรม


 


 


ไม่นาน รัชทายาทก็นั่งบัลลังก์อย่างรวดเร็วภายใต้การสนับสนุนของราชครูและเจ้าอาวาส เนื่องด้วยเดิมทีเป็นรัชทายาทอยู่แล้ว การขึ้นครองราชย์จึงถูกต้องชอบธรรม


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อ๋องเคียงไหล่ (一字并肩王) หรืออ๋องหนึ่งอักษรเคียงไหล่ คือขั้นสูงสุดของยศอ๋องเทียบเท่ากับจักรพรรดิ ในยุคก่อนรวมแผ่นดินคำว่าอ๋องใช้กับกษัตริย์ผู้ครองแคว้นสมัยโบราณ เช่น หานอ๋อง (กษัตริย์ครองแคว้นหาน) ฉีอ๋อง (กษัตริย์ครองแคว้นฉี) ต่อมาอ๋องหนึ่งตัวอักษรใช้เพื่อแสดงความสูงศักดิ์มากกว่าอ๋องสองตัวอักษร โดยทั่วไปมักใช้อ๋องพยางค์เดียวกับชินอ๋อง และอ๋องสองพยางค์กับจวิ้นอ๋อง


 


 


[2] เจิ้นกั๋วฟูเหริน (镇国夫人) ตำแหน่งสูงสุดของเก้ามิ่งฟูเหริน โดยปกติฟูเหรินหรือฮูหยินเป็นตำแหน่งของภรรยาขุนนางชั้นสูง เจิ้นกั๋ว เป็นราชทินนามยกย่อง


ตอนที่ 897 กอบกู้สถานการณ์สุดกำลัง


 


 


จักรพรรดิผู้เพิ่งลงจากตำแหน่งพระองค์นี้แท้จริงแล้วกระทำเรื่องโง่เขลาไว้มากเพียงใดในใจทุกคนล้วนรู้ชัดกระจ่างแจ้ง ฉะนั้นราชสำนักจึงมิได้ปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนจักพรรดิ ฝ่ายสายกลางหรือฝ่ายที่เอนเอียงไปทางจ้าวเซิงนั้น ต่างทยอยกันแสดงออกว่าสนับสนุนหรือไม่ก็มีความเห็นเป็นกลาง


 


 


กอรปกับภายในราชสำนักได้เถียนเฉิงรุ่ยและจ้าวชิงเฟิงร่วมมือกันช่วยควบคุมสถานการณ์ สนับสนุนการสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่ ราชสำนักจึงสงบลงได้อย่างรวดเร็ว สถานการณ์นับว่าค่อนข้างมั่นคง ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น


 


 


ภายหลังเขาถึงค่อยสืบรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ แท้จริงแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นความผิดของเขากับเสด็จพ่อ ซูเซียงช่วยเหลือพวกเขาไว้มากมายจริงๆ


 


 


อีกทั้งในตอนที่เขาจัดเก็บสิ่งของที่พระพันปีทิ้งไว้ยังพบสมุดพับจำนวนมาก อ่านดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งถึงกับพบว่าเป็นข้อเสนอแนะที่ซูเซียงเคยใช้ป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง ไปจนถึงนโยบายในบางพื้นที่


 


 


เห็นได้ว่าสิ่งของเหล่านี้ผ่านการจัดการใส่ใจอย่างรอบคอบของเสด็จย่า ทว่าเพราะตนกับเสด็จพ่อไม่ได้เรื่อง กลับต้องทำให้เสด็จย่าเหนื่อยยาก ไม่เพียงแต่ต้องวุ่นวายเพราะงานราชกิจยังต้องกังวลใจลูกหลานอกตัญญูอย่างพวกเขาทำเรื่องเหลวไหลลับหลัง


 


 


คำแนะนำที่นำพาไปสู่สิ่งที่ดีเหล่านี้ยังไม่ทันได้ใช้จริง มันช่าง…


 


 


บัดนี้แม้รัชทายาทประทับบนตำแหน่งจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นตำแหน่งที่คนทั้งใต้หล้าเฝ้าฝันปรารถนา ทว่าเขากลับนั่งอย่างไม่มีความสุขแม้แต่น้อย


 


 


ก่อนอื่นไม่พูดถึงเดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสนใจต่อตำแหน่งฮ่องเต้นี้มากนัก บัดนี้เป็นเพราะความผิดพลาดของตัวเอง ถูกคนงามล่อลวง ไม่ได้ห้ามปรามเสด็จพ่อให้ดีจนบัดนี้เสด็จพ่อถูกส่งเข้าศาลบรรพชน ออกมาไม่ได้ตลอดชีวิต น้องชายแท้ๆ ที่เติบโตด้วยกันมา บัดนี้ยังเอาใจออกห่างเขายอมที่จะพาภรรยาและลูกไปยังสถานที่ห่างไกล ไม่ยอมไปมาหาสู่กับเขาอีก


 


 


รัชทายาทนึกเสียใจอย่างแท้จริง แต่เสียใจอย่างไรตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงพยายามไปกอบกู้ ไปชดเชยอย่างเต็มกำลัง


 


 


รัชทายาทจึงเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้าพบ ใช้เวลากว่าห้าเดือนเต็มๆ นำข้อเสนอแนะเหล่านี้ของซูเซียงมาปรับปรุงแก้ไขรวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือ แจกจ่ายไปยังแต่ละจวนว่าการมณฑล ให้ทุกคนร่วมกันหารือเตรียมพร้อมป้องกันภัยแล้ง ภัยพิบัติทั้งทางธรรมชาติและมนุษย์สร้าง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการทหารในอนาคต


 


 


แม้เป้าหมายของซูเซียงในตอนนั้นเป็นเรื่องป้องกันภัยแล้ง แต่ความคิดเห็นหลายข้อ วิธีการหลายๆ วิธีในนั้นก็เหมาะกับช่วงลาโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวเอย น้ำท่วมเอย หรือกล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงกองทัพเหล่านั้นก็ล้วนสอดคล้อง


 


 


และตามข้อเสนอแนะที่ซูเซียงทิ้งไว้ ให้นักโทษแต่ละพื้นที่ที่ยังไม่ถูกตัดสินลดขั้นเป็นทาสทั้งหมดเข้าร่วมทำงาน ผลผลิตที่ได้ทั้งหมดให้ใช้กับการศึกษาของเด็กยากไร้ในพื้นที่นั้น


 


 


จักรพรรดิทุกพระองค์ขึ้นครองราชย์ล้วนพระราชทานอภัยโทษทั่วใต้หล้า สิ่งนี้แม้มิใช่กฎระเบียบที่ระบุไว้ชัดเจนอะไร แต่ทุกคนล้วนกระทำเช่นนี้ ทว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินตามหาทายาทผู้สืบทอดกลับมาได้ พระพันปีจึงมีพระราชเสาวนีย์พระราชทานอภัยโทษและให้ลดส่วยทางการเกษตรแล้ว


 


 


               แต่เขาเป็นขุนนางใหม่ไฟแรงต้องการพิสูจน์ตัวเอง รวมถึงเรื่องเหลวไหลของเขากับเสด็จพ่อพวกนั้น คงต้องทำผลงานหยิบอะไรออกมาปลอบขวัญราษฎรบ้าง


 


 


เวลานี้ต้องขอบคุณที่ซูเซียงทิ้งสิ่งเหล่านี้เอาไว้ เขายึดตามคำแนะนำของซูเซียง บัญญัตินโยบายใหม่จำนวมาก ทั้งหมดล้วนเป็นคุณต่อบ้านเมืองเป็นประโยชน์ต่อประชาชน


 


 


โดยเฉพาะข้อหนึ่งในนั้น เขาส่งเสริมการศึกษาภายในหมู่บ้าน การศึกษาท้องถิ่นพื้นบ้าน และยังออกนโยบายส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่หมู่บ้านใด ตระกูลใดต้องการจัดตั้งสำนักศึกษาทางการก็จะช่วยออกเงินให้ส่วนหนึ่งและสำหรับเด็กที่เรียนหนังสือ ขอเพียงสอบติดถงเซิงก็จะได้รับการลดหรือยกเว้นส่วยภาษี ยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน


 


 


แต่เดิมมีเพียงสอบเป็นซิ่วไฉถึงจะได้รับการงดเว้นเช่นนี้ ทว่าซิ่วไฉมิได้สอบง่ายขนาดนั้น แต่ถงเซิงนั้นต่างไป อย่างน้อยก็ง่ายกว่าการสอบซิ่วไฉมาก เป็นการเพิ่มความหวังให้ทุกคนได้ไม่น้อย


 


 


ซูเซียงกับจ้าวเซิงแม้เบื้องหน้าไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว แต่ในใจจ้าวเซิงมากน้อยก็ยังมีเขาผู้เป็นพี่ชายคนนี้อยู่ อย่างไรแล้วก็เป็นครอบครัวที่เติบโตมาด้วยกัน มิใช่เพียงบอกว่าจะตัดขาดก็ตัดขาดได้ รวมถึงพี่ชายรัชทายาททำเรื่องเลอะเลือนพวกนั้นไปก็เพราะหวังดีต่อเขา ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ได้เกิดความเสียหายเป็นจริงเป็นจังอะไร


 


 


สำหรับเรื่องนี้ซูเซียงเองก็ลืมตาข้างปิดตาข้าง หลังรัชทายาทประกาศกฎระเบียบใหม่เหล่านี้ลงมา พวกเขาแม้อยู่ทางชายแดนห่างไกล ทว่าภายในเวลาครึ่งเดือนก็ได้รับสารส่งมาถึง


 


 


 


 


ตอนที่ 898 นโยบายของฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ใจราษฎร


 


 


ซูเซียงถือจดหมายถอนหายใจเล็กน้อย “ช่างเถอะ ช่างเถอะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถิด ขอเพียงเขาปฏิบัติดีต่อราษฎร ใช้ยาสมุนไพรพวกนั้นของเราในทางที่ถูกที่ควร ข้าเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องแค้นเคืองแล้ว”


 


 


“ที่รัก ข้าเคยรับปากเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่ยินดี ข้ายืนยันว่าจะไม่ไปมาหาสู่ใดๆ กับราชวงศ์อีก เราอยู่ที่นี่แม้พายุทรายแรงไปหน่อย พืชพรรณปลูกยากไปหน่อย แต่ข้าเชื่อมั่นว่าภรรยาจะต้องทำให้ชีวิตของทุกคนเจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา” จ้าวเซิงนั่งข้างซูเซียงกุมมือไว้แล้วตบเบาๆ


 


 


หลังรัชทายาทขึ้นครองราชย์ ทรงประกาศนโยบายใหม่ชุดนี้ลงมา พร้อมทั้งให้ตีพิมพ์ทั้งหมดรวมเป็นหนังสือ มอบให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอ่านให้ชาวบ้านฟังทีละคำทีละประโยค ทั้งยังบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นนโยบายที่ซูเซียงเสนอและร่วมหารือกับอ๋องสงคราม ราชสำนักเพียงแค่ดำเนินการต่อประกาศแจ้งลงมา


 


 


ราษฎรในใต้หล้าย่อมซาบซึ้งในบุญคุณของซูเซียงกับจ้าวเซิง ขณะเดียวกันพวกเขาก็เปลี่ยนความคิดต่อจักรพรรดิองค์ใหม่ไปไม่มากก็น้อย


 


 


ล้วนกล่าวกันว่า “เกิดเป็นมนุษย์ ใครเล่าไม่เคยพลาดพลั้ง?” เมื่อรัชทายาทรู้จักปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่แล้วก็นับเป็นเรื่องดี


 


 


สุดท้ายแล้วจักรพรรดิเมตตาการุณา มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ก็นับเป็นโชคดีของพวกเขาราษฎร ดังนั้นทุกคนจึงตอบรับในทางที่ดี


 


 


เพราะมีฐานมวลชนดี รัชทายาทจึงออกราชโองการแต่งตั้งจ้าวเซิงเป็นอ๋องเคียงไหล่และแต่งตั้งซูเซียงเป็นเจิ้นกั๋วฟูเหรินขั้นหนึ่งอย่างเป็นทางการ แต่งตั้งกระพรวนน้อยหรือตอนนี้ก็คือหวังเสวี่ยให้เป็นกู้หลุ่นกู้กั๋วกงจู่เป็นกรณีพิเศษ แต่งตั้งก้อนแป้งน้อยหรือก็คือหวังเฮ่าเป็นองค์รัชทายาท


 


 


น่าเสียดาย ราชโองการถูกส่งกลับโดยไม่ผ่านการแตะต้อง รางวัลพระราชทานใดๆ จ้าวเซิงกับซูเซียงล้วนไม่รับไว้ อีกทั้งยังแจ้งกับกงกงผู้มาประกาศราชโองการอย่างจริงจัง “เฮ่าเฮ่าบ้านข้าแซ่หวัง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับราชวงศ์ ไม่เป็นรัชทายาทเด็ดขาด! พวกข้าก็ไม่ใช่ของแปลกอย่างอ๋องเคียงไหล่เจิ้นกั๋วฟูเหรินน่ารำคาญอะไรนั่น ขอแค่หัวใจยังยืนหยัดปรารถนาดีต่อราษฎร พวกข้าสามีภรรยาก็ซาบซึ้งขอบพระคุณมากแล้ว”


 


 


แม้ราชโองการถูกส่งกลับไปในสภาพปิดผนึกดังเดิม แต่ราชโองการลงมา รับไม่รับก็ประกาศทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว


 


 


สถานที่ใหม่ที่สองสามีภรรยามาถึง สมแล้วที่เป็นซาโจว(ดินแดนทะเลทราย) ทรายเหลืองฟุ้งทั่วฟ้าอย่างแท้จริง


 


 


เซียงซูเซียงผ่านการพิจารณามาเป็นขั้นตอนแล้ว คิดว่าสถานที่แห่งนี้ยังปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีกมาก ไม่ร้ายแรงเหมือนกับที่นางจิตนาการไว้


 


 


เนื่องด้วยซูเซียงไม่กลับไปมณฑลชิงเหอแล้ว ดังนั้นชาวบ้านในมณฑลชิงเหอและมณฑลใกล้เคียงหลายคนก็ลากคนในครอบครัวถึงขั้นย้ายบ้านตามมายังซาโจว


 


 


เพราะหลายปีนี้พวกเขาอยู่ใต้ปีกของซูเซียงมาโดยตลอด รู้สึกได้ว่าชีวิตอยู่ดีกินดี ดังนั้นซูเซียงอยู่ที่ไหนพวกเขาก็ยินดีตามไปที่นั่น แม้ว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นดินแดนแร้นแค้นในสายตาผู้อื่น นั่นก็ไม่เห็นเป็นไร


 


 


นอกจากนี้ ทุกคนล้วนเคยได้รับน้ำใจจากซูเซียง รู้ว่าซูเซียงกับจ้าวเซิงถูกลดขั้นไปยังสถานที่ห่างไกลแบบนั้นคงไม่มีกำลังคนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกหรืออย่างอื่น ล้วนต้องการกำลังคน กำลังสิ่งของจำนวนมาก


 


 


พวกเขาไม่มีทรัพย์สินมากมาย แต่พวกเขามีคน! พวกเขาไปด้วยหลายคน มากน้อยก็สามารถช่วยทำงานได้มิใช่หรือ?


 


 


ทีแรกซูเซียงกับจ้าวเซิงยังกังวลอยู่บ้าง อย่างไรเสียในสถานที่แบบนี้ คิดจะก่อตั้งขุมกำลังขึ้นอีกครั้ง การจะคุ้มครองความปลอดภัยของบ้านตัวเองนั้นไม่ง่ายนัก ใครจะรู้จักรพรรดิชราที่ถูกปลดไปแล้วนั้นอาจยังมีคนสนิทบางคน บางทีอาจสร้างปัญหาอะไรให้พวกเขาอีก เช่นนั้นคงตั้งรับไม่ไหว!


 


 


แต่เพราะมีคนเหล่านี้เข้าร่วม ชาวบ้านในพื้นที่เองก็ทราบกิตติศัพท์ของซูเซียงกับจ้าวเซิง ย่อมทยอยกันเข้ามาหา


 


 


อย่างไรพื้นที่พวกนี้ปลูกอะไรก็ไม่ค่อยรอด จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบอกให้ปลูกอะไรพวกเขาก็ปลูกตาม อย่างแย่ก็แค่ไม่รอด ไม่มีอะไรต่างจากปกติ ก็แค่เปลืองแรงกายนิดหน่อย


 


 


เรื่องที่เหนือความคาดหมายก็คือภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี ข้าวโพด ถั่วลิสง มันเทศ มันฝรั่งที่พวกเขาปลูกไว้เหล่านี้ล้วนให้ผลผลิตสูงมาก แม้ไม่มีข้าวที่กินแล้วรสชาติดีเหล่านั้น แต่ก็ไม่ต้องทนท้องหิวอีกต่อไป


 


 


ซูเซียงใช้วิธีการพิเศษปรับปรุงคุณภาพดิน อาทิเช่นการชักน้ำชลประทาน การทุ่มกำลังคน กำลังของจำนวนมากไปเพาะปลูกต้นไม้และสมุนไพรทนแดดทนแล้ง


 


 


ปีที่สอง เถียนเฉิงรุ่ยกับจ้าวชิงเฟิงเจ้าทึ่มทั้งสองคนถึงขั้นขอพระราชาอนุญาตองค์จักรพรรดิ วิ่งส่ายก้นมาทางนี้ พูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าต้องการการสร้างเรือนอยู่ข้างบ้านซูเซียง


 


 


จ้าวเซิงเห็นท่าทางหน้าด้านหน้าทนของพวกเขาทุกวันก็อยากจะพ่นไฟโทสะ เขาคิดว่าถ้าไม่มีเจ้าทึ่มสองคนนี้ชีวิตคงจะสมบูรณ์แบบ!


ตอนที่ 899 สามีภรรยารุดหน้าไปสนามรบ


 


 


แปดปีต่อมา สถานที่ที่เคยแร้นแค้นท่ามกลางพายุทรายค่อยๆ กลับกลายเป็นโอเอซิส และอาณาเขตของพื้นที่สีเขียวนี้ก็แผ่กว้างออกไปทีละนิดๆ


 


 


ซูเซียงยังขุดทะเลสาบเทียมขนาดใหญ่หลายแห่ง ชักน้ำทำชลประทานเข้าไร่การเกษตร ชีวิตของทุกคนค่อยๆ ดีขึ้น อัตราการรอดของพืชสมุนไพรก็ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


พวกเขายังเปิดเหลาสุราและโรงผลิตกระดาษขึ้นมา วิทยาเขตแยกแห่งแรกของสำนักศึกษาแพทย์ก็เปิดขึ้นแล้วที่ซาโจว อีกทั้งยังก่อตั้งสำนักเฉพาะทางด้านกระดูก สำนักเฉพาะทางประสาทวิทยา ศูนย์ดูแลผู้ป่วยชราระยะสุดท้าย ยังมีสำนักเฉพาะทางบุรุษเวชศาสตร์และนรีเวชศาสตร์


 


 


สิ่งที่ซูเซียงประชาสัมพันธ์กับทุกคนอยู่เสมอก็คือถ้ามีโรคก็ต้องรักษา อย่าอายที่จะเอ่ยปาก อย่าปล่อยให้การเจ็บป่วยเล็กน้อยลุกลามเป็นโรคร้ายแรง


 


 


นอกจากนี้ซูเซียงเองก็รู้กฎธรรมเนียมของคนสมัยโบราณ ไม่อาจให้หมอผู้ชายมาตรวจทางนรีเวชได้เด็ดขาด ดังนั้นนางจึงอบรมหมอหญิงจำนวนมากเพื่อรักษาด้านสูตินรีเวชโดยเฉพาะ เช่นนี้เมื่อทุกคนล้วนเป็นสตรีจึงไม่มีความเกรงใจขัดเขินอันใด


 


 


ชีวิตของทุกคนอยู่ดีกินดี ร่างกายก็แข็งแรง ย่อมยิ่งเอนเอียงเข้าหาซูเซียง


 


 


 


 


กระพรวนน้อยแต่งเป็นภรรยาให้ชิงสือ เป็นข่าวเลื่องลือชื่นชมทั่วท้องถิ่น ชาวบ้านปิดเมืองเฉลิมฉลอง ทุกครัวเรือนแขวนโคมแดงจุดลุกประทัด ร้องเต้นเล่นละคร สนุกสนานครื้นเครง


 


 


หลายปีนี้ก้อนแป้งน้อยติดต่อค้าขายเส้นทางโพ้นทะเล ยังพาองค์หญิงต่างแดนผมทองตาน้ำข้าวกลับมาด้วยคนหนึ่ง


 


 


ไม่ว่าไปที่ใดก็ได้ยินเสียงเยินยอของชาวบ้าน “คุณชายน้อยของเรานี่เก่งกาจจริงเชียว แม่นางที่พากลับมาคนนั้นดวงตานี่เป็นสีน้ำเงิน เส้นผมนี่หยักศกเหลืองทอง โฉมงามเลยล่ะ!”


 


 


“ได้ยินมาว่ายังเป็นองค์หญิงด้วยนี่ ไม่รู้ว่าเป็นองค์หญิงแคว้นใดกันหนอ?”


 


 


“หือ? อันนี้ข้าไม่รู้แล้ว แต่วันก่อนข้ายังเห็นองค์หญิงคนนั้นซื้อขนมอยู่ตรงร้านข้างๆ พูดจาไม่ค่อยคล่องนัก แต่ผู้อื่นพูดไปยิ้มไป ดูแล้วน่ารักน่าเข้าใกล้”


 


 


“นั่นก็แน่อยู่แล้ว คุณชายน้อยของเรายอดเยี่ยมขนาดนั้น องค์หญิงที่พากลับมาย่อมต้องดีที่สุด!”


 


 


 


 


ชีวิตก็ผ่านพ้นไปแต่ละวันเช่นนี้ วันนี้ซูเซียงกับจ้าวเซิงนั่งบนยอดเขา มองพื้นที่สีเขียวที่ตัวเองสร้างขึ้นกับมือ


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าซูเซียงสดใสเจิดจ้า กุมมือของจ้าวเซิงไว้ “ท่านพี่ เจ้าคงเคยนึกเสียใจ?”


 


 


จ้าวเซิงพลิกมือมากุมมือขของซูเซียงไว้ ยิ้มกล่าวอย่างแน่วแน่ “โชคดีที่ตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรโง่ๆ ไม่พลาดพลั้งจากภรรยาแสนดีเช่นนี้ ข้ายินดีใช้ชีวิตในนาสวนด้วยกันกับเจ้า มองดูลูกๆ ค่อยๆ เติบโตทีละนิด…”


 


 


แต่ในเวลานี้ ซ่งมู่กับองครักษ์มังกรส่งข่าวมาพร้อมกันว่ากองทัพที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันนำทัพด้วยตัวเองกำลังจนมุม


 


 


หลายปีนี้แม้จ้าวเซิงไม่สนใจงานของราชสำนัก และมิได้ไปมาหาสู่กับรัชทายาท ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง เรื่องภายในเขาไม่อาจสอดมือ แต่ข้างนอกเขาก็ต้องช่วยดูหน่อย


 


 


พอรู้ว่าพี่ชายของตนนำทัพด้วยตัวเองแล้วถูกปิดล้อม เขาก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมา คว้ามือของซูเซียงไว้ “ที่รัก…”


 


 


แม้ซูเซียงเคยพูดว่าไม่กล่าวโทษรัชทายาทอีกแล้ว แต่การไปครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก ซูเซียงอาจจะไม่เห็นด้วย ถ้าซูเซียงไม่ตอบตกลงแล้วเขาจะทำอย่างไรดี?


 


 


คิดไม่ถึงว่าซูเซียงทำหน้าตาจริงจังทันที “นี่มันเวลาไหนแล้วยังมาพิรี้พิไรเพ้อเจ้อเรื่องพวกนี้ เร็วสิ ป้ายสีดำอันนั้นของเจ้าแขวนไว้ที่ไหนแล้ว? โอ๊ย แขวนไว้ไหนเนี่ย? ทำไมนึกไม่ออก…ใช่แล้วๆ ไม่มีป้ายดำก็ไม่เป็นไร ในมือข้ายังมีคำสั่งลับของพระพันปี เร็วเข้า…”


 


 


ซูเซียงยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนรน เริ่มคลำหาตามตัว กำป้ายอาญาสิทธิ์ที่พระพันปีมอบให้นางไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ไว้ในมือแน่น มีสิ่งนี้ไว้อย่างน้อยก็อุ่นใจ


 


 


จ้าวเซิงกลับไปหยิบป้ายคำสั่งสีดำทันที พาซูเซียงรุดหน้าไปสนามรบ


 


 


ทหารทั้งสามทัพ[1]เห็นอ๋องสงครามและชายามาถึง ก็ไม่รีรอ ให้ความร่วมมือเต็มกำลัง


 


 


รัชทายาทถูกช่วยออกมาได้ เวลาล่วงเลยมากว่าสิบสองปี สองพี่น้องพบหน้ากันอีกครั้ง ท่ามกลางภูเขาศพทะเลเลือด เพียงยิ้มเดียวก็ลืมสิ้นความแค้น


 


 


แผนการโฉดชั่วของต้าจ่างกงจู่และฮู่กั๋วกงถูกเปิดโปง ตัวการถูกประหารตัดหัว คนอื่นๆ ถูกเนรเทศสามพันลี้ แต่ระหว่างทางถูกฝูงชนผู้โกรธเกรี้ยวกระหน่ำดาบจนตาย โดยเฉพาะซูย่วน ชื่นชอบบุรุษนักมิใช่หรือ สุดท้ายทำชั่วได้ชั่ว ถูกผู้ชายสิบกว่าคนหมุนเวียนทรมาน ครึ่งปีเต็มๆ ถึงค่อยหลับตาลงในที่สุด


 


 


กั๋วกงจู่กับพระสวามีเมตตากรุณา รับช่วงต่อกิจการพืชผลเกษตรและสมุนไพรทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองและประชาชน ก้อนแป้งน้อยปฎิเสธการแต่งตั้งของรัชทายาทอย่างสุภาพแล้วไปยังโพ้นทะเล นับแต่นั้นมาสองประเทศก็แลกเปลี่ยนสินค้า ไปมาหาสู่ด้านอาวุธการทหาร เชื่อมสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้น


 


 


เดือนหนึ่งปีถัดมา ซูเซียงตั้งครรภ์อีกครั้ง หลังเก้าเดือนแล้วก็ให้กำเนิดลูกแฝดหงส์คู่มังกร[2] ตั้งชื่อเล่นให้ว่า ‘ลูกชิ้น (ถวนจื่อ)’ กับ ‘ลูกแป้ง (หยวนจื่อ)’ แฝงความหมายว่าครอบครัวหวนกลับมาอยู่พร้อมหน้า[3]


 


 


เดือนสิบสองปีเดียวกันลูกชิ้นได้รับพระราชทานนามจากจักรพรรดิว่า ‘จ้าวฉือ’ ประการหนึ่งคือหวังให้เขาเป็นพหูสูตมากความสามารถเหมือนดั่งพจนานุกรม (ฉือเตี่ยน) อีกประการก็คือหมายถึงมาช้า (ฉือไหล)


 


 


ผ่านไปอีกสิบสองปี ระหว่างทางซูเซียงยังคลอดลูกชายให้จ้าวเซิงอีกหนึ่งคน รับตำแหน่งซื่อจื่อสืบทอดจวนอ๋อง


 


 


จักรพรรดิกับพระอัครมเหสีครองคู่สามีภรรยาเดียว พระอัครมเหสีประสูติพระธิดาองค์โตพระวรกายเสียหาย จึงรับจ้าวฉือไว้ในนาม พระราชทานแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท


 


 


 


 


-จบบริบูรณ์-


 


 


 


 


 


 


[1] ทหารสาทัพ หมายถึง ทัพหน้า ทัพหลวง และทัพหลัง


 


 


[2] หงส์คู่มังกร หมายถึงแฝดชายหญิง


 


 


[3] เมื่อนำชื่อของถวนจื่อกับหยวนจื่อมารวมกันจะได้เป็นคำว่าถวนหยวน (团圆) หมายถึง หวนกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม