ยอดสตรีฉางอิ๋ง 89-95

 ตอนที่ 89 ท่านย่าทวด

โดย

Xiaobei

                หลังผ่านพ้นเรื่องวุ่นวายเอะอะในวันนี้ ทั้งสองฝั่งจึงไม่ต้องไปมาหาสู่กันอย่างชัดเจนสมความปรารถนา


                หลังจากซ่งเหมียนเหอพักฟื้นอยู่วันสองวัน นางก็ลอบไปพบกับพวกสตรีสูงศักดิ์ในสายอื่นของตระกูล ไม่กี่วัน ทางรุ่ยอวี่ถังก็ได้ยินข่าวคราวว่าจือเปิ่นถังและจิ้งผิงกงไปมาหาสู่ใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก


                แม่เฒ่าซ่งไม่สะทกสะท้านใดๆ กล่าวว่า “ก็แค่พวกลักกินขโมยกินแล้วมากินในที่แจ้ง หรือว่าไม่ได้ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน? ดีชั่วอย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็ตายแล้ว ลำพังเว่ยฉางซวี่ที่ดูแลอยู่ในยามนี้ จวนจิ้งผิงกงก็แค่เพียงเท่านั้น”


                ระยะนี้เว่ยฉางอิ๋งคอยจะถูกแม่เฒ่าซ่งเรียกเข้าไปพบเพื่อสอนสั่งเรื่องราวสลับซับซ้อนระหว่างคนในตระกูลด้วยตนเอง ยามนี้จึงได้เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นจือเป็นถังจะยังไปมาหาสู่กับพวกเขาทำสิ่งใดเจ้าคะ?”


                “พวกเขาเดินทางพันลี้กลับมา แต่กลับไร้ผู้คนสนใจ แล้วจักไม่วางตัวลำบากหรือ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มคราหนึ่งแล้วว่า “คนอื่นๆ ในตระกูลเราก็มิได้สนใจพวกเขาเท่าใด จึงทำได้เพียงไปมาหาสู่กับจวนจิ้งผิงกงแล้ว”


                เฟิ่งโจวเป็นดินแดนของรุ่ยอวี่ถัง ในนามแล้วจือเปิ่นถังก็ยังคงเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว แต่นอกจากคฤหาสน์ของตระกูลและที่นาบางส่วนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นแล้ว ถึงแม้คนในตระกูลเว่ยจะอิจฉาอำนาจและอิทธิพลของจือเปิ่นถัง แต่ผู้ใดก็หาใช่คนโง่ ซ่งเหมียนเหอเพิ่งจะกลับมาก็ถูกแม่เฒ่าซ่งทำให้โกรธเกรี้ยวเสียจนต้องหามออกไปจากรุ่ยอวี่ถัง… ครานี้ยังไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับจือเปิ่นถังอีก ก็มิใช่เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าจงใจหาเรื่องแม่เฒ่าซ่งหรือ?


                และเพราะจวนจิ้งผิงกง บุตรชายท่านจิ้งผิงกงก็ถูกลอบสังหารไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนามของบ้านใหญ่ ตามฐานะแล้ว ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนให้กับแม่เฒ่าซ่งนัก พวกเขาจึงได้หันไปสนิทสนมกับจือเปิ่นถังโดยไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ


                “ข้ากลับสงสัยว่าพวกเขาคล้ายมิได้แสวงประโยชน์จากท่านปู่ใหญ่ทางจวนจิ้งผิงกงเจ้าค่ะ?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวพลางเอามือมาปิดปาก


                แม่เฒ่าซ่งจึงยิ้มออกมา “อืม ไม่ผิด ยามนี้เจ้าใคร่ครวญเรื่องราวได้รอบคอบกว่าก่อนมากนัก เป็นท่านอาหวงสอนเจ้า หรือเจ้าคิดได้เอง?”


                เว่ยฉางอิงดึงแขนท่านย่าตนเป็นทีออดอ้อน “ก็ต้องเป็นข้าคิดเองสิเจ้าคะ สิ่งใดท่านย่าก็เอ่ยถึงแต่ท่านอาหวง… พูดราวกับว่าสิ่งใดข้าก็ต้องอาศัยท่านอาหวงเช่นนั้น!”


                “ข้าก็ว่าแล้ว!” แม่เฒ่าซ่งยิ้มตาหยีแล้วว่า “เฉี่ยนซิ่วหรือจะคิดว่าจือเปิ่นถังคิดแสวงประโยชน์จากจิ้งผิงกง? นางรู้จักนิสัยใจคอของจือเปิ่นถังดี!”


                เว่ยฉางอิ๋งเกิดความอยากรู้ขึ้นมา มิได้สนใจน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ในคำของท่านย่า พลันรบเร้าไปว่า “ท่านปู่ใหญ่เป็นเช่นใดเจ้าคะ?”


                แม่เฒ่าซ่งยิ้มแล้วว่า “ท่านปู่ใหญ่ของเจ้า… ปีนั้นท่านย่าทวดของเจ้าก็มีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว แม้เขาจักมิได้เป็นบุตรชายคนโตบ้านใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ แต่ท่านย่าทวดของเจ้าก็รักใคร่เขาเป็นที่ยิ่ง ทว่า ก่อนที่ท่านย่าทวดของเจ้าจะสิ้นใจ เขาไปกินยาอู่สือซ่าน[1] แล้วเกิดอาการคลุ้มคลั่งอยู่ในสวน เสื้อผ้าผมเผ้ากระเซิงไปหมด ปรากฏว่าจวบจนท่านย่าทวดของเจ้าสิ้นลมก็มิได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นเมื่อเขาได้สติคืนมา ทุกคนก็พากันว่าเขาจะต้องเป็นทุกข์เสียใจ ยามนั้นท่านปู่ของเจ้ายังตั้งใจไปเชิญท่านหมอมาคอยเอาไว้ แต่ผลเป็นเช่นไรเจ้ารู้หรือไม่?”


                เว่ยฉางอิ๋งรีบถาม “เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”


                “เขาพูดจาเฉยชาประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พูดจากลับไปกลับมา กลับมากลับไป ท่านปู่ของเจ้าฟังอยู่เป็นนานจึงจับใจความได้ว่า เขาคิดว่าที่ท่านย่าทวดของเจ้าไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะเป็นลิขิตสวรรค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ หากจะพูดให้ฟังง่ายสักหน่อยก็คือท่านย่าทวดของเจ้าโชคไม่ดี เขาหาได้สำนึกเสียใจแม้เพียงน้อยไม่! แม้แต่ท่านปู่สามซึ่งเป็นคนอารมณ์เยือกเย็นปานนั้นก็ยังทนไม่ไหว กระโจนเข้าไปทุบตีเขา!” แม่เฒ่าซ่งยิ้มแล้วว่า “กับแม่แท้ๆ ของตนยังเป็นเช่นนี้ แล้วการตายของเว่ยเจิ้งหย่าสำหรับเขาแล้วจักมีความหมายใดเล่า? และต้องรู้ไว้ด้วยว่าแต่เล็กจนโตมา ช่วงเวลาที่เว่ยเจิ้งหย่าได้พบหน้าบิดาผู้นี้นั้นมีน้อยเหลือทน”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าท่านลุงใหญ่เป็นคนงามสง่าแต่เย็นชา ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ก็นึกมาตลอดว่าเป็นบุรุษสูงส่งที่ดูสูงส่งและห่างไกลเป็นที่สุดเสียอีก!”


                “เมื่อบอกกับภายนอกย่อมไม่ว่าเช่นนั้น หรือจะให้บอกกับคนนอกว่าความจริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของจิ้งผิงกงเป็นพวกคนอกตัญญูแล้งน้ำใจกัน?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มเยาะน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้ายังไม่เคยได้พบกับท่านปู่ใหญ่ของเจ้าผู้นี้ใช่หรือไม่? เจ้าคงจักรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว? นั่นก็เพราะเขากินยาอู่สือซ่านมานานหลายปี หลายส่วนในตัวเขาบุบสลายไปหมดแล้ว โดนลมไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เพียงถูกขังเพื่อพักฟื้นอยู่แต่ในเรือน… แม้จักเป็นถึงเพียงนี้แล้วเขาก็ยังไม่เคยสำนึกเสียใจและปรับปรุงตัว ยังคงกินยาบำรุงร่างกายติดต่อกันมาหลายปีหวังจะบำเพ็ญตนให้ได้เป็นเซียนเช่นนั้น!”


                แม่เฒ่าซ่งส่ายหัวไปมา กล่าวว่า “เขาก็เป็นคนเช่นนี้! หากจือเปิ่นถังพอจักมีสมองอยู่บ้างก็จักไม่ไปวาดหวังว่าเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้ หากเขาทำสิ่งใดได้จริง แต่แรกนั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลไม่ว่าอย่างไรก็จักไม่มีวันตกถึงมือท่านปู่ของเจ้า! จักต้องรู้ว่าท่านย่าทวดของเจ้านั้นเป็นคนที่เก่งกาจชั้นยอดเพียงใด!”


                แล้วจึงเล่าความลับในความหลังให้แก่หลานสาวฟัง “เจ้าคงจักรู้แล้วว่าเหตุใดข้าจึงต้องคอยระวังท่านอารองของพวกเจ้า?”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ฉางเฟิงยังเยาว์ แล้วท่านอารองก็ฉลาดปราดเปรื่อง… อ๋า หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับท่านย่าทวดเจ้าคะ?”


                “แล้วมิใช่หรือ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “มารดาของอารองเจ้าแซ่ลู่ ยามคลอดเขามีปัญหาในการคลอด หลังจากคลอดแล้วก็ตกเลือด ทนไม่ได้กี่ชั่วยามก็สิ้นใจ! จากนั้นท่านย่าทวดของเจ้าก็อ้างว่าตนมีเว่ยเจิ้งหย่าเพียงหนึ่งคนรู้สึกเหงาเกินไป จึงเอาเขาไปเลี้ยงดู”


                นิ่งไปพักหนึ่ง แม่เฒ่าซ่งถอนหายใจพลางว่า “จนถึงท่านอารองของเจ้าเติบโตได้สิบเก้าปี ข้าจึงเพิ่งจะบังเอิญรู้เรื่องเรื่องหนึ่งเข้า…นั่นก็คือเขาสงสัยว่าการตายของนางลู่นั้นเป็นข้าลงมือ! แต่คนที่ลงมือจริงๆ ก็คือท่านย่าทวดของพวกเจ้า!”


                เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง


                แม่เฒ่าซ่งกล่าวว่า “แต่ครานั้นต่อให้รู้ว่าท่านย่าทวดของพวกเจ้าให้ร้ายข้าก็ไม่มีทางใด เพราะท่านอารองของเจ้าเป็นนางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มา นางดูแลท่านอารองของเจ้าแทบจะคล้ายคลึงกับเลี้ยงดูเว่ยเจิ้งหย่าเท่านั้นยังไม่พอ ที่สำคัญที่สุดคือ จากภายนอกแล้ว นางดูไม่มีความจำเป็นใดต้องไปทำร้ายนางลู่ที่ไม่มีพิษสงใดๆ!”


                ฮูหยินท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเป็นย่าใหญ่ของเว่ยเซิ่งอี๋ หากจะว่ากันตามจริงก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องไปทำร้ายภรรยาน้อยคนหนึ่งของบุตรชายของอนุ แต่กลายเป็นแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นแม่ใหญ่ของเว่ยเซิ่งอี๋ ครานั้นเว่ยเจิ้งหงบุตรชายคนโตขอแม่เฒ่าซ่งอ่อนแอขี้โรค และบุตรชายอีกคนก็ยังมาจากไปตั้งแต่ยังเล็ก… จึงวางแผนทำร้ายอนุภรรยาด้วยความริษยาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างมาก


                ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่ง ก็เหมือนกับคนที่จะทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ


                ทั้งที่รู้ว่าแม่สามีใส่ความตน แต่แม่เฒ่าซ่งก็ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ อย่างไรก็ดีเรื่องก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เวลาผ่านเรื่องราวก็เปลี่ยน เว่ยเซิ่งอี๋มีท่านย่าใหญ่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ และมิได้ใกล้ชิดกับแม่ใหญ่… ประการต่อมาด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่ง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าจะลงจากหลังเสือ แล้วไปค่อยๆ อธิบายอย่างอ่อนโยนกับบุตรของอนุ


                ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงทำได้เพียงยอมรับไปโดยปริยาย


                “ท่านย่าทวดจึงได้ผูกใจเจ็บเรื่องที่ท่านปู่เป็นผู้สืบทอดรุ่ยอวี่ถังใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


                แม่เฒ่าซ่งได้ยินคำกลับหัวเราะออกมา แล้วว่า “เด็กดี เจ้าจงจำไว้ ในบ้านใหญ่โตนี้ เรื่องที่เกิดจากความริษยาและผูกใจเจ็บ ความจริงแล้วยังมีน้อยนัก ที่มากที่สุดนั้น…” น่าหรี่ตาลง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ยังคงเป็น…ผลประโยชน์!”


                เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเบิกตาโพลงจ้องมองมาที่ตน แม่เฒ่าซ่งจึงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าดูไม่ออกว่าท่านย่าทวดของเจ้าทำเช่นนี้แล้วจักมีผลประโยชน์อันใดใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจักเอ่ยเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง ‘ข้ารู้เรื่องที่ท่านอารองของเจ้าสงสัยว่าข้าทำร้ายนางลู่จนถึงแก่ความตาย ก็เพราะท่านย่าทวดของเจ้าจงใจให้คนเปิดเผยออกมา!’


                “อ่ะ!” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนไป กล่าวว่า “ท่านย่าทวดต้องการให้ท่านย่าและท่านอารองปะทะกัน?!”


                แม่เฒ่าซ่งยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แล้วจักไม่ใช่รึ?”


                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งจากนั้นจึงได้ว่า “แต่ท่านย่าเจ้าคะ แม้จะบอกว่าท่านพ่อร่างกายอ่อนแอมาแต่ในครรภ์ แต่ปีนั้นที่ท่านอารองเกิด ท่านย่ายังคงสาวอยู่ ท่านย่าทวดก็มั่นอกมั่นใจว่าจะให้ท่านอารองเป็นผู้ดูแลรุ่ยอวี่ถังของเราในยามนี้แล้วหรือเจ้าคะ?”


                แม่เฒ่าซ่งกล่าวว่า “แน่นอนว่านางไม่อาจมั่นใจได้ ดังนั้นมารดาของท่านอาสามของเจ้าก็มิใช่ว่าตายแล้วหรือ? แม้ท่านอาสามของเจ้าไม่ใช่นางเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ทั้งนิสัยใจคอก็อ่อนแอ แต่ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าเขาจะคิดว่าการตายของมารดาของเขามีความเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่?”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านย่าทวดก็คิดว่าท่านย่าไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ?”


                เมื่อได้ยินคำ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งกลับพลันหม่นลงทันใด เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าชาติก่อนข้าไปทำเวรกรรมใดไว้ บุตรธิดาที่ข้าคลอดออกมา คนที่แข็งแรงที่สุดก็คืออาหญิงรองของพวกเจ้า และถึงแม้จะเป็นนาง ตอนเล็กก็ยังต้องคอยกินยาอยู่ตลอดเวลา กระทั่งมีหลายปีที่ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านย่าทวดของเจ้า! ภายหลัง…ยามที่ทำการรักษาบิดาของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งพลันมีแววแห่งความเจ็บปวด พลางเอามือทาบอกโดยไม่รู้ตัว


                เว่ยฉางอิ๋งตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านย่า?”


                “อะเฮอะ ไม่เป็นไร” แม่เฒ่าซ่งโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เอนตัวพิงหมอนอิงอยู่เกือบเค่อ จึงว่า “ครานั้น จึงได้ให้ท่านหมอท่านนั้นตรวจร่างกายข้าสักหน่อย ท่านหมอท่านนั้นบอกว่า มีสาเหตุมาจากตัวของข้าเอง ที่ตนเองจะไม่เป็นไร แต่บุตรธิดาที่เกิดออกมายากจะมีชีวิตอยู่ได้ นั่นเองจึงได้ทำให้ข้าสิ้นความสงสัย!”


                เมื่อว่ามาดังนี้ เลือดเนื้อเชื้อไขของแม่เฒ่าซ่ง แม้มิได้มีเพียงเว่ยเจิ้งหง เว่ยเจิ้งอินที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังยากจะสืบทอดตำแหน่งประมุขต่อไปได้?


                ทว่าบรรดาบุตรชายของอนุในรุ่ยอวี่ถัง ทุกคนล้วนมีความ ‘ความแค้นเรื่องสังหารมารดา’ กับแม่เฒ่าซ่ง…


                เว่ยฉางอิ๋งพลันคิดขึ้นมาได้ ท่านอาเล็กเว่ยเซิ่งเหอที่มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านปู่สาม มารดาของเขาก็มิใช่ว่าเสียไปหลังจากคลอดบุตรได้ไม่นานหรอกหรือ?


                แม้เว่ยเซิ่งเหอจะไม่ได้ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรม แล้วเขามาเป็นประมุข แม่เฒ่าซ่งก็จักไม่อาจวางใจได้!


                “ความต้องการของท่านย่าทวด คือให้ท่านย่าไม่อาจวางใจให้ท่านอาซึ่งเป็นบุตรของอนุคนใดรับตำแหน่งประมุข” เว่ยฉางอิ๋งรินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้แก่แม่เฒ่าซ่ง มองนางค่อยๆ ดื่ม และสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จึงได้แอบโล่งใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อทั้งมารดาและบุตรชายไม่อาจสมานสามัคคีกัน ดูคล้ายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ความจริงกลับมีรอยร้าวมาตั้งนานแล้ว นับแต่นั้นไป ท่านปู่ใหญ่ที่เสียไปจึงมีโอกาสแล้ว?”


                แม่เฒ่าซ่งวางถ้วยชาลง พยักหน้าแล้วว่า “ไม่ผิด! ความจริงแล้วทั้งนางและข้าก็เหมือนกัน ไม่อาจฝากความหวังไว้กับบุตรชายที่มีเพียงคนเดียวได้ และทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับรุ่นหลานแล้ว ทว่ารุ่นหลานของนางโตกว่ารุนหลานของข้าอยู่หนึ่งรุ่น ในสายตาของนางเรื่องนี้ย่อมได้เปรียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของพวกเจ้าร่างกายอ่อนแอ แม้จักได้พบกับท่าน…ท่านหมอท่านนั้น ทว่าพวกเจ้าก็เกิดมาหลังจากที่มารดาของพวกเข้าแต่งเข้ามาเกือบสิบปี! ปีนี้ฉางเฟิงเพิ่งจะสิบห้า ยังอ่อนกว่าบุตรชายของคนโตของเว่ยเจิ้งหย่ามากนัก!


                นางถอนหายใจหนหนึ่ง แต่กลับยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจ “แต่วันนี้ ก็ยังเป็นข้าที่มีชัย!”


                ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งพลันโค้งขึ้นมา คิดในใจว่าที่แท้การที่ท่านย่าพรั่นพรึงต่อท่านอารอง ไม่เพียงเพราะท่านอารองเคยเสนอว่าจะให้บุตรชายคนรองมาเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านใหญ่ แต่เพราะมีต้นเหตุมาจากท่านย่าทวดกระมัง?


                คิดๆ ไป ท่านย่าทวดที่ตนไม่เคยได้พบผู้นี้ ความจริงแล้วก็เป็นคนที่ร้ายกาจไม่เบาจริงๆ ยามที่เว่ยเซิ่งอี๋เกิดนั้น เว่ยเจิ้งหย่าเพิ่งจักอายุเท่าใดกัน? นางก็ใคร่ครวญไปถึงว่าเมื่อเว่ยหวนบุตรชายแท้ๆ ของตนไม่อาจมีความก้าวหน้าได้ จากนั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลก็จักต้องมอบให้แก่เว่ยฮ่วนซึ่งเป็นบุตรของอนุ แล้วควรจักทำเช่นไรให้ทางฝั่งของเว่ยเจิ้งหย่าสามารถชิงตำแหน่งประมุขมาได้


                อย่างไรเสียเมื่อเว่ยฮ่วนเป็นประมุข ฮูหยินของท่านจิ้งผิงกงก็คงจะต้องเสียชีวิตแล้ว แม้ฐานะจะมั่นคง แล้วจักไม่คอยช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตน แต่กลับไปช่วยเหลือหลานเช่นนั้นหรือ?


                ซึ่งตามแผนการของท่านย่าทวดผู้นี้ บุตรชายของแม่เฒ่าซ่งเองโดยมากแล้วจักขี้โรค ไม่อาจทำงานหนักได้ เช่นนั้นแล้วตำแหน่งประมุขก็จักตกอยู่กับบุตรชายของอนุหรือรุ่นหลานแท้ๆ เท่านั้น ทว่าพวกบุตรของอนุล้วนเกิดความเคลือบแคลงว่าแม่เฒ่าซ่งเป็นผู้วางแผนสังหารมารดาของตน ไม่มากก็น้อยจักต้องคิดว่าหากตนได้เป็นประมุขแล้วก็จะมีโอกาสได้แก้แค้นให้มารดาของตน


                สำหรับความแค้นนี้ แม่เฒ่าซ่งไม่คิดว่าควรต้องอธิบายและไม่มีทางอธิบายด้วย ด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่งแล้ว ลำพังแค่ความเคลือบแคลงที่พวกบุตรอนุมีต่อนาง ก็หาได้ส่งผลไม่ให้นางขัดขวางพวกบุตรของอนุมาแย่งชิงตำแหน่งประมุขของตระกูลไปได้ไม่


                เช่นนี้แล้วทั้งสองฝั่งจึงต้องมีท่าทีเป็นน้ำและไฟต่อกันและกัน


                เมื่อทางฝั่งของเว่ยฮ่วนเปิดฉากต่อสู้ เว่ยเจิ้งหย่าจึงจะมีโอกาส


                ในความเป็นจริงแล้ว แผนการของท่านย่าทวดนี้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยร่างกายของเว่ยเจิ้งหงนั้นย่ำแย่กว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้ จึงถึงขั้นเกือบจะไม่มีผู้สือสกุลเสียด้วยซ้ำ แม้จะโชคดีได้พบกับหมอที่เก่งกาจ แต่เพราะล่วงเลยเวลามาแล้ว จึงยังคงทำได้เพียงต้องคอยรักษาตัวไปชั่วชีวิต


                ทว่าแผนการอย่างไรก็เป็นเพียงแค่แผนการ… ซึ่งก็เป็นดังที่แม่เฒ่าซ่งได้อกได้ใจเช่นนั้นว่า เว่ยเจิ้งหย่า ตายแล้ว


                แม่เฒ่าซ่ง มีชัยแล้ว


                เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตา พอจักเข้าใจความหมายของท่านย่าแล้วว่า ไม่ว่าท่านย่าทวดจะมองการณ์ไกลเพียงใด ไม่ว่าจะวางแผนไว้รอบคอบเพียงใด อย่างไรนางก็ตายไปแล้ว เพียงแค่เรื่องที่มารดาของท่านอาทั้งสามคนซึ่งเป็นบุตรของอนุตายไปติดต่อกัน ก็สามารถมองออกว่าเป็นการกระทำของท่านย่าทวดผู้นี้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ แม้ท่านย่าของตนจะถูกนางวางแผนทำลายบุตรจากอนุครั้งแล้วก็ครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้นยังโยนความผิดมาไว้ที่นาง แต่นางก็กลับมิได้อับจนหนทางเลยแม้แต่น้อย!


                แต่เมื่อท่านย่าทวดผู้นี้ตายไป เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งจึงได้ค่อยๆ โต้กลับทีละน้อย ทีละน้อย…ในที่สุด เว่ยเจิ้งหย่าก็ตายแล้ว


                สิ่งที่เรียกว่าแพ้ชนะนั้น แท้จริงแล้วจักมีความหมายกับเพียงผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น


                นางยิ้มน้อยๆ “คำสอนของท่านย่าข้าจดจำเอาไว้แล้วว่า เมื่อพบพานคนเข้ามาโจมตี ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่ตนทำนั้นจะถูกหรือไม่ถูกเสมอไป ต้องใคร่ครวญดูเสียก่อนว่าผู้อื่นต้องการผลประโยชน์ใด และเมื่อต้องต่อสู้กับคน ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร สุดท้ายแล้วผู้ที่มีชีวิตอยู่จึงจะได้รับชัยชนะ!”


_________________________


[1] ยาอู่สือซ่าน ว่ากันว่าเป็นยาที่เดิมทีใช้ในการรักษาโรคหวัดในฤดูหนาว มีฤทธิ์ให้ร่างกายร้อนขึ้นเป็นอย่างมาก ภายหลังมีคนนำไปใช้เป็นยาโด้ป เร่งความต้องการทางเพศ


ตอนที่ 90 ธุลีร่วงโรย

โดย

Xiaobei

                หลายวันจากนั้น ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังก็ซ่อมแซมใหม่ได้อย่างราบรื่น เมื่อเลือกวันฤกษ์งามยามดีได้ เว่ยฉีจึงฝืนประคอง ‘ร่างที่เจ็บป่วย’ นำทุกคนในจือเปิ่นถังแต่งตัวเต็มยศเซ่นไหว้จนเรียบร้อย แล้วเขาก็ยังคง ‘ล้มป่วย’ ต่อไป


                เป็นเช่นนี้ไปกว่าครึ่งเดือน พระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯ ให้เว่ยฉีออกจากราชการก็มาถึงเฟิ่งโจว


                ข่าวคราวที่ราชทูตนำมาครานี้ นอกจากเรื่องที่ราชสำนักได้ให้อภิสิทธิ์ต่างๆ แก่บุตรชายคนรองของเขาตามธรรมเนียมปฏิบัติหลังจากเว่ยฉีออกจากราชการแล้ว สำหรับรุ่ยอวี่ถังแล้วก็ยังมีข่าวดีอีกสองเรื่อง เรื่องแรกคือเว่ยอวี้ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เว่ยฉีเสนอให้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองคนใหม่ มีทางสำเร็จได้แปดเก้าส่วน เรื่องที่สอง…กลับเกี่ยวข้องกับซ่งไจ้สุ่ย


                เรื่องที่เว่ยอวี้ได้รับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองนี้ เป็นสิ่งที่เว่ยฮ่วนคิดใคร่ครวญมาแล้ว และเป็นเงื่อนไขที่ตกลงกันออกมาได้ภายหลังการต่อสู้และเจรจาครั้งแล้วครั้งเล่ากับเว่ยฉี ด้วยเหตุที่เว่ยฮ่วนไม่ยอมปล่อยเรื่องที่จะให้สร้างศาลบรรพบุรุษขึ้นมาใหม่เสียที ทั้งยังเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรุ่ยอวี่ถังและจือเปิ่นถังอีกด้วย


                ความประทับใจที่ฮ่องเต้มีต่อเว่ยอวี้ และเว่ยฉีนั้นล้วนไม่เลวเลย โดยเว่ยฉีซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้มาก่อนได้ใช้เหตุผลในการลาออกจากราชการว่า ‘สูงอายุแล้ว ครานี้กลับบ้านเกิดมาบูรณะหอบรรพชน ตรากตรำทางไกล ในใจข้าน้อยเจ็บปวดและรู้สึกผิด ด้วยดวงวิญญาณบรรพชนถูกรบกวน มาถึงเฟิ่งโจวจึงได้ล้มป่วยยากลุกขึ้นไหว หวังได้ฝังเถ้ากระดูกไว้ที่บ้านเกิด’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเว่ยอวี้ซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยเถรตรงมาแต่ไหนแต่ไรจะเป็นที่พอประทัยของฮ่องเต้ในระดับกลางๆ แต่เพราะได้เว่ยฉีแนะนำส่งเสริม จากคำของราชทูตนั้นบอกว่าก่อนราชทูตจะออกเดินทาง ฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินพระทัยมีราชโองการเลื่อนตำแหน่งให้เว่ยอวี้แล้ว


                เรื่องนี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับเรือนหลังเท่าใดนัก


                เว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องแล้วก็ใคร่ครวญเพียงเล็กน้อยและละทิ้งไป ดีชั่วเรื่องนี้ก็จักมีท่านปู่เป็นผู้ดูแล ส่วนเรื่องที่นางเป็นห่วงนั้น ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องของซ่งไจ้สุ่ย


                ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องส่งซ่งไจ้สุ่ยจนกระทั่งออกไปนอกเมืองสามสิบลี้ เดิมทีก็ชะเง้อคอคอยฟังข่าวคราวนี้มาโดยตลอด อยากรู้เสียเหลือเกินว่าญาติผู้นี้จะถอนหมั้นได้สำเร็จหรือไม่ และตระกูลเติ้งนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่? แต่จนใจเหลือเกินที่ขากลับมาถูกลอบทำร้าย และเกิดเรื่องราวมากมายติดตามมา จึงไม่มีแก่ใจจะไปสนใจเรื่องของซ่งไจ้สุ่ยแล้ว


                ไม่คิดว่าราชทูตที่มาถึงในครานี้จะประจวบเหมาะนำผลลัพธ์ของเรื่องนี้มาด้วย


                ผลลัพธ์ที่ว่านั้นพูดไม่ได้ว่าดีหรือร้าย…


                เพราะหากจักบอกว่าไม่ดี แต่ซ่งไจ้สุ่ยก็ได้สมดังวัง ถอนหมั้นสำเร็จแล้ว


                แต่หากจะว่าดีนั้นหรือ สาเหตุที่ล้มเลิกการแต่งงานครานี้กลับเป็นเพราะก่อนที่ซ่งไจ้สุ่ยจะกลับเมืองหลวงหนึ่งคืน ม้าที่เทียมรถม้าตัวหนึ่งเกิดเสียการควบคุม พารถม้าวิ่งเข้าไปที่คูน้ำข้างทาง ทำให้ซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ในรถตกลงมา และถูกปิ่นทองบนหัวของสาวใช้กรีดที่ขมับจนได้รับบาดเจ็บ


                …หลายวันมานี้ ตระกูลซ่งและทางในวังคอยลอบเสาะหาทั้งหมอและยาให้นางมาโดยตลอด เพื่อทำการรักษาอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่พอมาถึงไม่นานมานี้ สะเก็ดที่แผลของนางก็หลุดลอกออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่ชัดเจนยิ่งนัก แม้แต่ท่านหมอที่ไปเสาะหามายังจนปัญญาจะรักษา


                องค์รัชทายาทในตำหนักตะวันออกนั้นพระชันษามากกว่าซ่งไจ้สุ่ยสองปี ยามนี้สวมหมวกเรียบร้อยแล้ว


                กอปรกับในบรรดาองค์หญิงสองสามพระองค์ในตำหนักตะวันออกนั้น องค์ที่โตที่สุดก็มีพระชันษาได้ห้าปีแล้ว แม้ในวังจะมีนางใน และองค์ฮองเฮาที่สามารถอบรมดูแลเหล่าองค์หญิงได้ ทว่าฮ่องเต้ก็คิดว่าควรจักให้พระชายาองค์รัชทายาทเข้าวังมาได้แล้ว


                แต่กลายเป็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทที่ได้กำหนดเอาไว้นานแล้วนั้นกลับต้องมาเสียโฉมเอาในเวลาเช่นนี้ ดังนั้นพระสนมเอกเติ้งจึงได้บอกว่า “สามปีก่อน มีคนเคยบอกกับฮ่องเต้ว่า ดวงชะตาพระชายาองค์รัชทายาทและองค์รัชทายาทนั้นไม่ใคร่ต้องกัน ครานั้นองค์ฮ่องเต้ทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ด้วยความรักที่มีต่อองค์รัชทายาท และเพื่อให้แผนการทั้งหมดสำเร็จ จึงได้สั่งให้เลื่อนงานอภิเษกออกไป ยามนี้ดูไปแล้ว เคราะห์ดีที่ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา!”


                ตามสัญญาที่ตระกูลซ่งรับปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้ไปนั้น บอกว่าเมื่อซ่งไจ้สุ่ยปักปิ่นก็จักต้องเข้าวัง ทว่าปีนี้ซ่งไจ้สุ่ยอายุสิบแปดปีแล้ว แต่ต้นปีนี้เพิ่งจะถูกเร่งรัดให้กลับมาแต่งงานที่เมืองหลวง เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะในตอนแรกนั้น ก่อนซ่งไจ้สุ่ยจะปักปิ่นหนึ่งคืน ทางราชสำนักกำลังจะเตรียมการเรื่องงานอภิเษก ไม่คิดว่าจู่ๆ กลับมีเพลิงใหม่ในตำหนักกลาง แม้จะเข้าควบคุมเพลิงได้ทันกาลจึงมิได้มีสิ่งใดถูกเผาทำลายไปจริงๆ แต่ก็กลับทำให้อาคารหลังหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นที่สุดถูกเผาเสียหาย


                เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้เกรี้ยวอย่างมาก สั่งให้คนสืบสวน กลับมีคนไปหาหมอดูมาท่านหนึ่ง หมอดูทำนายว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับซ่งไจ้สุ่ย บอกว่าเป็นซ่งไจ้สุ่ยมีดวงชะตาไม่ต้องกับองค์รัชทายาท… ครานั้นฮ่องเต้ทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัยทั้งปวง จึงได้สั่งให้รั้งรอเรื่องงานอภิเษกออกไปก่อนเป็นการชั่วคราว


                ทว่ายามนี้ก็ผ่านมาสามปีแล้ว เห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะแต่งเข้าวังหลวงอยู่แล้ว กลับกลายเป็นตัวนางเองเกิดเรื่องขึ้นมา!


                เกิดเรื่องขึ้นสองครั้งสองครา และเดิมทีฮ่องเต้ก็ค่อนข้างจะเชื่อเรื่องของโชคชะตาอยู่แล้ว จึงยากจะไม่เกิดความระแวงขึ้นมาในใจได้ เมื่อได้ฟังคำของพระสนมเอกเติ้ง จึงรู้สึกว่าดีชั่วอย่างไร สตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่จะมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทในแคว้นนี้ก็มีไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องแต่งกับตระกูลซ่ง และในเมื่อในใจเกิดความระแวงแล้ว ฮ่องเต็จึงได้มีพระบรมราชโองการว่า ด้วยเหตุผลเรื่องโชคชะตาไม่ต้องกัน ให้ตระกูลซ่งนำปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้มาส่งคืนแก่ราชสำนัก


                ดังนั้นแม้ว่ายามนี้ซ่งไจ้สุ่ยจะหลุดพ้นจากพันธนาการของว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทครั้งนี้มาได้ แต่สถานการณ์ของนางในเมืองหลวงกลับน่าอึดอัดใจยิ่ง


                เดิมทีนางก็อายุสิบแปดปีแล้ว ด้วยวัยเช่นนี้แม้จะยังมิได้ออกเรือน แต่ก็จักต้องมีการกำหนดวันแต่งงานเอาไว้รอแล้ว แต่ยามนี้กลับต้องมาถูกถอนหมั้น ทั้งยังเป็นการถอนหมั้นจากราชสำนักด้วย เพียงคิดก็รู้แล้วว่าเรื่องการแต่งงานในวันหน้าของนางนั้นจักต้องลำบากยิ่งว่าเว่ยฉางอิ๋งถูกถอนหมั้นเสียอีก


                เพราะแม้ว่าราชสำนักจักเป็นฝ่ายเรียกปิ่นทองและคฑาหยกหรูอี้คืนเอง ทว่าอย่างไรก็ยังเคยเป็นว่าที่สะใภ้หลวง โดยมากแล้วลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็จักต้องมีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว ทั้งภรรยาและบุตรของพวกเขาก็จักได้ถูกเรียกขานอย่างมีหน้ามีตาไปด้วย ได้เข้าไปคราวะฮ่องเต้ในวังหรือได้ไปร่วมงานเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง… ส่วนซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเคยเป็นว่าที่สะใภ้หลวงนี้ หากได้เข้าไปในวังอีกครั้งด้วยฐานะฮูหยินของขุนนางสักคน… คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องที่วางตัวลำบาก


                ไม่เพียงแค่วางตัวลำบากเท่านั้น ตามคำพูดขอพระสนมเอกเติ้งแล้ว เพียงแค่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ใกล้ชิดราชสำนักแม้เพียงน้อยก็จักไม่เกิดเรื่องดีขึ้น อาจเพราะตัวนางเองหรืออาจเพราะทางราชสำนัก… เช่นเรื่องอาคารที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมากซึ่งถูกเผาทำลายไปหลังนั้น


                ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการที่ระบุลงไปชัดเจนว่าดวงชะตาของนางไม่ต้องกับองค์รัชทายาท ความจริงแล้วก็คือการบอกว่าวันหน้าให้นางอยู่ห่างจากราชสำนักสักหน่อยนั่นเอง


                ดังนั้นแล้ว วันหน้าหากซ่งไจ้สุ่ยจะแต่งงานก็ทำได้เพียงแต่งออกไปไกลจากบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นก็จักต้องคอยระมัดระวังว่าต้องแต่งงานกับผู้ที่จะไม่มีโอกาสถูกย้ายกลับเข้าเมืองหลวง…


                หากจำกัดแค่เพียงเท่านี้กลับมิเป็นสิ่งใด แต่ซ่งไจ้สุ่ยอายุสิบแปดแล้ว หากไม่เอ่ยถึงว่าชายหนุ่มในช่วงอายุเช่นนี้ ต่อให้ยังมิได้แต่งงานก็จักต้องหมั้นหมายแล้ว มาพูดเฉพาะว่าคนหนุ่มในวันสิบกว่าปี จักมีผู้ใดไม่หวังว่าในวันหน้าจะได้สร้างเนื้อสร้างตัว นำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่บ้านตน? ปรากฏว่าเมื่อแต่งกับซ่งไจ้สุ่ยแล้ว อย่างน้อยๆ ก็จักต้องคอยอยู่อ้อมๆ เมืองหลวง แล้วจักมีผู้ใดยินยอมเล่า?


                ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าที่เคยงดงามของซ่งไจ้สุ่ยนั้นยังเสียโฉมไปแล้ว!


                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องแล้วก็ทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง “ต่อไปท่านพี่ไจ้สุ่ยจักทำเช่นไรเล่า?”


                แม่เฒ่าซ่งก็รู้สึกว่าหลานสาวซึ่งดีพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมทั้งยังรู้ความและมีมารยาทผู้นี้น่าสงสารเสียจริงๆ แต่เมื่อฟังหลานสาวพูดเช่นนี้ จึงได้ปลอบประโลมว่า “ดีที่เด็กคนนี้มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ทั้งนางยังไม่อยากจะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกถึงเพียงนั้น ยามนี้ได้กลับมาเป็นอิสระแล้ว แม้จะได้แต่งงานกับผู้ที่ต่ำต้อยลงมาสักหน่อย คิดว่านางเองก็คงไม่ถือสา สิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่นั้นก็คือตนเองต้องรู้จักคิดให้ได้”


                “ท่านพี่ไจ้สุ่ยก็เคยพูดว่า ขอเพียงไม่ต้องแต่งเข้าตะหนักตะวันออก ให้ต้องแต่งกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่าสักหน่อยนางก็ยอมรับได้เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางว่า “เพียงแต่ท่านพี่ไจ้สุ่ยก็อายุสิบแปดปีแล้ว แล้วครานี้ ใบหน้ายังมีแผล…”


                “อายุนั้นมากแล้วจริงๆ” แม่เฒ่าซ่งปลอบนางว่า “แต่ไจ้สุ่ยมีความสามารถถึงเพียงนั้น อายุสิบแปดแล้วก็มิต้องกลัวจะไม่มีคนมาต้องใจ เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ชอบให้นางไปปรากฏตัวที่เมืองหลวง ชายหนุ่มที่ต้องการความก้าวหน้าก็จะไม่ยอมทิ้งอนาคตเพื่อนาง” แล้วว่า “ที่มีแผลก็มิใช่ใบหน้า เป็นที่ขมับ ยามนี้ก็ยังไม่รู้ว่ารอยแผลเป็นเช่นใดบ้าง หากรอยแผลไม่ใหญ่นัก โดยปกติแล้วแต้มสีแดงข้างแก้มสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างหนักใจว่า “ไยตอนแรกนั้นจึงคิดวิธีดีๆ ที่จะทำให้สามารถถอนหมั้นได้อย่างราบรื่นและไม่เป็นอุปสรรคต่อการออกเรือนของท่านพี่ไจ้สุ่ยได้นะเจ้าคะ?”


                แม่เฒ่าซ่งอดไม่ไหว จึงหัวเราะส่งเสียงออกมา แล้วยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง กล่าวว่า “ตอนแรกนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดคอยแอบยุยงสั่งสอนอยู่ลับๆ บอกว่าขอเพียงให้ถอนหมั้นได้เป็นพอ แล้วจักไม่เกี่ยงเรื่องอื่นอีกเลย นี่แค่ไม่กี่วันก็เกิดความโลภขึ้นมาเสียแล้วหรือ?”


                เว่ยฉางอิ๋งทำทีบิดพลิ้วไม่ยอมรับ “พุทโธ่เอ๊ย มีคนเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ? ช่างโลภโมโทสันเสียจริง เป็นผู้ใดกัน เป็นผู้ใดเจ้าคะ?”


                “ใช่สิ เป็นผู้ใดกันนะ?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหลอกให้เด็กกลัว “ให้ข้าลองเดาดู… คนผู้นี้…สวมเสื้อแขนแคบสีเขียวเข้ม กระโปรงหลิวซานจีบกว้างสีเหลืองไข่เปิด ส่วนบนหัวนั้น ยังแซมดอกชบาซ้อนด้วย!”


                ซึ่งนี่ก็เป็นเครื่องแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ ดอกชบาซ้อนบนศีรษะของนางนั้น แม่เฒ่าซ่งก็ยังเป็นคนบอกเองว่าวันนี้นางมิได้ปักดอกไม้ลูกปัดมา จึงได้ดึงเอาดอกชบาซ้อนในแจกันเงินข้างๆ มือออกมาปักใส่ให้นางเอง เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็เอะอะโวยวายขึ้นมาอย่างไม่ยอมใจ พุ่งตัวเข้าไปในอกนางทั้งร้องทั้งเขย่าตัว ย่าหลานทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่สักพักใหญ่ แม่เฒ่าซ่งจึงได้ยิ้มออกมาเป็นทีขอให้ยอมยกโทษให้


เว่ยฉางอิ๋งวางท่าทำทีไม่สนใจเหตุผลใดๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งดีๆ อีกหน แม่เฒ่าซ่งกลับมาเข้าประเด็นอีกครั้ง “เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ท่อนไม้ได้กลายเป็นเรือไปแล้ว เรื่องแต่งงานของไจ้สุ่ยในวันหน้านั้นก็ทำได้เพียงค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ดีชั่วอย่างไร เด็กสาวที่อยู่ในตระกูลเช่นพวกเราก็มีข้อดีอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือสมบัติติดตัวยามแต่งงานอย่างไรก็จะไม่มีวันขาดเหลือ หากในตระกูลมีชื่อซึ่งเป็นสายที่ห่างออกไปมีผู้ที่ยากจนแต่มีความสามารถและฉลาดหลักแหลม ก็หาใช่ว่าจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีไม่ได้


                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจหลักการนี้ แต่เมื่อคิดถึงว่าลูกผู้พี่ทั้งเฉลียวฉลาดหลักแหลม ทั้งรู้ความมีมารยาทเพียงนั้น แต่กลับเป็นเพราะเรื่องที่เคยหมั้นหมายกับตำหนักตะวันออก ยามนี้ไม่เพียงต้องยอมแลกมาด้วยการสละรูปโฉม ทั้งยังต้องแบกรับเสียงเล่าลือเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่โปรดเพราะมีดวงชะตาไม่ต้องกันจึงสามารถถอนหมั้นได้


                ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการแต่งงานในวันข้างหน้าก็ยังต้องรอต่อไปอย่างไม่มีกำหนด…


                ในใจนางเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก นิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ จึงได้ว่า “ก่อนนี้ยังนัดกับท่านพี่ไจ้สุ่ยเสียดิบดีว่าจะไปเจอกันที่เมืองหลวง ยามนี้ฮ่องเต้ไม่โปรดท่านพี่ไจ้สุ่ย ทั้งไม่รู้ว่าจะกลับไปเจียงหนานอีกหรือไม่? หากกลับไปเจียงหนาน แล้วท่านพี่ไจ้สุ่ยเสียโฉม ก็เกรงว่าจะไม่เดินทางผ่านมาที่บ้านเราทางนี้ เช่นนี้แล้วหลังจากข้าออกเรือนก็เกรงว่าจะไม่ได้เห็นท่านพี่ไจ้สุ่ยอีก… วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่?”


                เว่ยฉางอิ๋งมีทางทีกลัดกลุ้มไม่ร่าเริงขึ้นมาเล็กน้อย “อยากจะไปเมืองหลวงให้เร็วๆ เสียจริง อยากจะไปดูท่านพี่ไจ้สุ่ยสักหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”


                เพียงสิ้นเสียง ก็ได้ยินแม่เฒ่าซ่งหัวเราะเสียงดังออกมา!


                เว่ยฉางอิ๋งมองนางด้วยความแปลกใจ แม่เฒ่าซ่งหัวเราะลั่นอยู่เป็นนาน จึงได้เช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วหันมากล่าวกับนางว่า “เด็กดี คำพูดเช่นนี้เจ้าพูดต่อหน้าย่า และพูดอยู่แต่เพียงในห้องนี้ก็พอแล้ว เมื่อออกไปอย่าได้โง่เช่นนี้ เอาความในใจพูดออกมาเสียหมด!”


                “สิ่งใดกันเจ้าคะ!” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงได้เข้าใจขึ้นมา … ไปเมืองหลวงให้เร็วๆ ตนเองต้องออกเรือนเสียก่อนจึงจักได้ไปเมืองหลวง เช่นนี้ก็มิเท่ากับบอกว่าตนรีบร้อนจะแต่งงานหรอกหรือ? ใบหน้าของนางพลันบวมแดงขึ้นมาทันใด แล้วหายใจฮึดฮัดพลางกระโดดโหย่งขึ้นมา พูดอย่างโมโหว่า “ท่านย่าแย่ที่สุดเลย! ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อย! ก็เพียงแค่เป็นห่วงท่านพี่ไจ้สุ่ย อยากจะไปดูท่านพี่ไจ้สุ่ยก็เท่านั้น! ท่านย่าชอบพูดจาส่งเดช!”


                พูดพลางกระโดนโหยงเหยงออกประตูไป คำแก้ต่างของแม่เฒ่าซ่งที่อยู่ข้างหลังนั้นมีน้ำเสียงเบิกบานอยู่ภายใน “โธ่เอ๊ย ก็กลัวว่าผู้อื่นจักคิดกับเจ้าเช่นนี้นี่! ยามเจ้าพูดเช่นนี้ออกมาจักมิทำให้คนเข้าใจผิดหรอกหรือ? อีกประการ หากมิได้เอ่ยถึงความในใจเจ้า แล้วเจ้าจักต้องวิ่งเร็วเช่นนี้ทำสิ่งใด?”


                เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาคราหนึ่ง ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า สอดเท้าลงในรองเท้าไม้ แล้วเดินกระทืบไปบนระเบียงทางเดินเสียดังตึงๆ “ท่านย่ารังแกข้า! ข้าไม่พูดกับท่านย่าแล้ว!”


                แต่แม่เฒ่าซ่งกลับหัวเราะและร้องเรียกว่า “เด็กดี เจ้าน่ะ อย่างไรเจ้าก็เข้ามาคุยกับย่าอีกคราเถิด! รอจนเจ้าไปเมืองหลวงแล้วจริงๆ ย่าก็จักไม่ได้ฟังเสียงเจ้าอีกนะ!”


                ได้ยินคำ สีแดงระเรื่อบนใบหน้าของนางก็ค่อยจางลง ภายในใจก็กลับรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นสักพักจึงได้ทำปากจู๋และเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง “ต้องตกลงก่อนนะเจ้าคะว่าห้ามท่านย่าเย้าข้าอีก!”


                แม่เฒ่าซ่งมองนางด้วยความรักใคร่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว! ไม่เอ่ยถึงผู้อื่น วันหลังเมื่อเจ้ามาหา พวกเราก็จักคุยกันเรื่องยามเมื่อเจ้าและฉางเฟิงยังเป็นเด็ก… ยามนั้นเจ้าตัวเล็กๆ เท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็สูงกว่าย่าแล้ว…”


                 ภายใต้น้ำเสียงนุ่มนวลของฮูหยินผู้เฒ่านั้น สาวน้อยแสนงามเอียงหัว พลางเท้าคางคอยตั้งใจฟัง บางครั้งทำปากจู๋ไม่ยอมโอนอ่อนตาม บางคราแกล้งกระทืบเท้า…ในความทรงจำครั้งเก่าก่อนนั้น เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบๆ


                …ไร้ซุ่มเสียง ไม่ทันรู้ตัว


____________________________


ตอนที่ 91 ข้าเก่งกาจยิ่งนัก!

โดย

Xiaobei

                ‘เสียงนกขมิ้นทองใต้ร่มเงาต้นฮวาย[1]เขียวชอุ่ม ในเรือนลึกไร้ผู้คนยามเที่ยงวันของฤดูใบไม้ผลิ’ หลายวันหลังฤดูใบไม้ผลิ ทั้งเรือนหลังนั้นล้วนเงียบสงัด เว่ยฉางอิ๋งสวมตัวสั้นแขนแคบปักลายกิ่งก้านและดอกซานฉาบนผ้าพื้นสีเขียวอ่อน และกระโปรงหรูฉวินจีบรอบเย็บจากผ้าสิบสองชิ้นรัดหน้าอกซึ่งรัดขึ้นมาจนถึงใต้แขน ผ้าแพรสีแดงทับทิมมัดเป็นปมหัวใจคู่อยู่ตรงหน้าอก ทิ้งชายพู่ห้อยยาวที่คอยปลิวไหวไปตามลม นางมวยผมเป็นทรงหอยโข่งเดี่ยวแบบหลวมๆ ท่ามกลางผมสีดำขลับไร้ซึ่งมุกและเพชรพลอยประดับ หากแต่ปอยผมข้างหูกลับมีดอกฮวายฮวาสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะหลายดอกตกลงมาใส่


                และยังมีที่นางเคี้ยวอยู่ในปากอีกพวงหนึ่ง ดวงตาของนางจ้องไปยังนกขมิ้นทองปากชมพูที่กำลังมองนางอยู่ด้วยความสงสัย พลางคิดในใจว่า “สิ่งที่กลอนสองท่อนนี้เอ่ยถึงก็คงจักเป็นเช่นในชั่วขณะนี้กระมัง?”


                เมื่อทานที่อยู่ในปากจนหมดแล้ว นางก็หันไปสอดส่องสายตาทั้งซ้ายขวารอบหนึ่ง แล้วเล็งพวงดอกฮวายฮวาที่ห้อยลงมาใกล้หน้าผากตนมากที่สุด มือเพิ่งจักยกขึ้น แต่คงเพราะนอกขมิ้นทองตัวนั้นเข้าใจผิดว่านางจะจับมัน จึงตกใจและร้องเสียงดังออกมา พลางกระพือปีกบินจากไป


                เมื่อเห็นมันบินจากไป เว่ยฉางอิ๋งที่เดิมทีไม่ได้มีเจตนาจะรบกวนนกขมิ้นทองตัวนี้จึงพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา และหมดความสุขที่จะกินต่อไป


                นางเอาพวงดอกฮวายฮวาที่เด็ดลงมายัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ เอนตัวไปข้างหลังและนอนลงบนกิ่งต้นฮวายที่ตนนั่งอยู่นั้น เหม่อมองไปบนท้องฟ้า


                ซึ่งความจริงแล้วหาได้มองเห็นท้องฟ้าไม่


                ต้นฮวายนี้มีอายุนับร้อยปีแล้ว บนต้นมีตะไคร่ขึ้นจนเต็มไปหมด ทว่าก็ยังคงมีกิ่งก้านและใบดกหนา ทั้งยังคงผลิดอกออกใบเต็มไปหมดเช่นนี้อยู่ทุกๆ ปี ดอกสีขาวของมันมีสี่อ่อน ทว่ากลับพากันบานสะพรั่งจนมองเห็นเป็นภาพของความทะลักทะล้นแน่นขนัดไปหมด ช่างเป็นต้นไม้มีความขัดแย้งกันในตัวจริงๆ ดูประหนึ่งมีลูกประคำหยกขาวอยู่เต็มกิ่ง ละลานตาไปหมด


                แม้เว่ยฉางอิ๋งต้องการจะหลบจากสายตาผู้คนจึงได้ปีนขึ้นมาอยู่กลางยอดไม้ แต่ที่เอนหลังนอนลงครานี้ ก็มองเห็นเพียงดอกฮวายฮวาเล็กๆ เบียดเสียดกัน ดูแล้วน่าชื่นใจ บริสุทธิ์สะอาดตา ทั้งยังแข่งกันเบ่งบานแน่นขนัดไปหมด แม้แต่ใบของต้นฮวายก็ยังยากจะหาพบได้


                มีหลายพวงที่ถึงกับห้อยย้อยมาบนใบหน้าของนาง


                นางเด็ดดอกฮวายฮวาสองสามพวงนั้นลงมาจนหมด แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ คิดในใจว่า พอกลับเรือนเสียซวงแล้ว เมื่อท่านอาหวงได้กลิ่นหอมของดอกฮวายฮวา ก็จักต้องเดาได้ว่าข้ามาหลบอยู่ที่นี่… หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่ออยากจะมาแอบปลีกวิเวกผู้เดียวอยู่บนต้นไม้นี้ก็คงจักไม่ได้แล้ว…


                ท่านอาแม่บ้านก็เฉลียวฉลาดเกินไป เมื่อคุณหนูคิดอยากจะทำเรื่องที่ไม่ใคร่จักเป็นไปตามกฎเกณฑ์สักเท่าใดก็จักเป็นเรื่องที่ยากเข็ญเหลือ


                วันนี้นางก็ต้องใช้ข้ออ้างว่าอยากจะอยู่เพียงลำพักสักพัก แล้วรอจนคนออกไปหมดแล้ว จึงค่อยๆ แอบเปิดหน้าต่างแล้วหนีออกมา… ด้วยเกรงว่ารองเท้าไม้จะทำให้เกิดเสียงดัง จึงได้สวมรองเท้าผ้าที่ใช้ใส่ในบ้าน แล้วเดินมาบนทางเดินเล็กๆ ที่ปูไว้ด้วยหินแตก ใต้ฝ่าเท้าถูกคมของหินแตกบาดเอาจนรู้สึกเจ็บ


                ทว่าเพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่า ด้วยความฉลาดของนางหวง วันพรุ่งหากต้องการจะแหกกฎอีกครั้งก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว


                แม้บนตัวจักไม่มีกลิ่นหอมของดอกฮวายฮวา นางหวงก็จักต้องให้คนมาคอยเฝ้าประตูเอาไว้


                เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา


                แต่… ความจริงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่รู้ว่าการที่ตนหนีออกมาเช่นนี้จะมาทำสิ่งใด?


                นางเอียงหน้ามองออกไป จากใต้พวงดอกฮวายฮวา สิ่งที่มองเห็นคือรุ่ยอวี่ถังที่ดูเล็กลงครึ่งหนึ่ง เรียงรายกันเป็นระเบียบ หมอกห้อมล้อมต้นไม้จนมัวไปหมด เห็นนกนางแอ่นม่วงและนกขมิ้นทองบินมุดเข้าออกในพุ่มของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา พอจะมองเห็นว่าบนผิวน้ำของทะเลสาบในสวนดอกไม้ มีใบบัวใหม่งอกขึ้นมาและลอยอยู่บนผิวน้ำหลายใบ… แม้มองไม่เห็น แต่ก็กลับสามารถจินตนาการถึงภาพของแมลงปอหลากสีโฉบลงมาบนน้ำแล้วบินขึ้นไปได้…


                ….นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ใบไม้มีสีเขียวและออกไปแน่นขนัดไปหมด ส่วนดอกไม้ก็เริ่มมีสีแดงและร่วงโรย ยามนี้เดือนสามแล้ว


                ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้านี้หลายวัน พวกของเสิ่นจั้งเฟิงก็ได้มาถึงเฟิ่งโจวแล้ว


                เนื่องจากเป็นการมารับตัวเจ้าสาว จึงมิได้มาอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง หากแต่ทำเรือนอีกเรือนแยกออกมาเพื่อพักอาศัย


                วานนี้ กำหนดการวันออกเดินทางก็ได้กำหนดออกมาแล้ว ซึ่งก็คืออีกสามวันให้หลัง


                ยามนี้คนทั้งจวนของรุ่ยอวี่ถังล้วนกำลังวุ่นวาย พวกบ่าวไพร่ใกล้ชิดของพวกผู้ใหญ่ทางหนึ่งก็ตรวจตราสมบัติที่นางจะนำติดตัวไปยามออกเรือน ผู้ที่ถูกกำหนดให้ไปอยู่กับนางหลังแต่งงานก็พากันร่ำลาญาติพี่น้องที่ไม่อาจไปด้วยกันอย่างจ้าละหวั่น ห้องครัวเล็กก็กำลังว้าวุ่นปรับเปลี่ยนวิธีปรุงสำรับเพื่อบำรุงร่างกายให้นาง…


                แม้แต่พี่น้องผู้ชายก็กำลังวุ่นวายกับการฝึกซ้อมพิธีและการเจรจาต่างๆ ยามต้องออกรับแขกเหรื่อในงานเลี้ยงแต่งงาน


                กลับมีเพียงตัวเว่ยฉางอิ๋งเองที่ว่างเสียเหลือเกิน


                ว่างเสียจนไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำสิ่งใดดี… เป็นเหตุให้นางทำได้เพียงลอบหนีออกมาในเวลาที่ทุกคนนอนพักกลางวัน แล้วปีนขึ้นมาบนต้นไม้อายุร้อยปีต้นนี้ และมานอนเหม่ออยู่ท่ามกลางดอกฮวายฮวาเหล่านี้


                นิ่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เว่ยฉางอิ๋งพลันผลุนผลันลุกขึ้นมานั่ง นางรู้สึกว่าตนไม่เหมาะจะมาเหงาเศร้าไปพร้อมกับบรรยากาศรอบตัวเช่นนี้เอาเสียเลย สมมุติว่าเป็นคนที่เหมาะจะเหงาเศร้ากับบรรยากาศ ไม่ว่าในยามใกล้จะแต่งงานเช่นนี้ หรือว่าตนเองที่ลอบหนีออกมายามหลังเที่ยง โดยเฉพาะที่ตรงหน้านี้มีแต่ดอกฮวายฮวาสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะเบียดเสียดแน่นขนัด ทั้งหอมฟุ้งเตะจมูกและหวานหอมเลิศรส ไม่ว่าต้องพบเจอกับสิ่งใดในนี้ก็ตาม ก็จักต้องรู้สึกหดหู่หมดอาลัยตายอยาก และเมื่อได้พบเจอกับทั้งสามสิ่งนี้พร้อมกัน ก็จักต้องมีบทกวีพรั่งพรูออกมาจากสมองเหมือนน้ำหลาก ไม่ต้องว่ากันถึงบทกวีล้ำเลิศสิบบทหรือแปดบทเลย อย่างน้อยๆ บทสองบทก็ควรจะแต่งออกมาได้แล้ว


                …ทว่าตัวนางนั้น กลั่นกรองอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวัน กลับคิดออกเพียงแค่สองท่อน ทั้งยังเป็นผู้อื่นแต่งเสียอีก


                “อย่างไรก็เก็บกลับไปมากสักหน่อยดีกว่า ให้ท่านอาหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้งให้ข้ากินดีที่สุดเลย!” เว่ยฉางอิ๋งคิดเป็นจริงเป็นจังยิ่งนัก “กินดอกฮวายฮวาสดๆ แม้กินแล้วจะมีรสหอมหวาน แต่พอกินมากๆ แล้วก็รู้สึกเลี่ยน…อืม หากนำไปนึ่ง[2]สักนิด แกล้มกับน้ำฝูฟาง[3] จะว่าไปไยข้าจึงลืมเอาน้ำฝูฟางสักกาหนึ่งขึ้นมาด้วยนะ?”


                แขนเสื้อแคบๆ ของเสื้อตัวสั้นนี้เห็นชัดว่าใส่ของไม่ได้มากนัก เว่ยฉางอิ๋งเหลียวซ้ายแลขวา แล้วจับชายกระโปรงพลิกขึ้น… ตัวกระโปรงที่เย็บจากผ้าสิบสองชิ้นนั้นมีความกว้างยิ่งนัก เมื่อยกชายขึ้นมาบางส่วนก็มีที่ไว้ใส่ดอกฮวายฮวาได้อีกถมเถ แต่เรื่องที่น่าปวดหัวก็คือหอบกระโปรงอยู่เช่นนี้แล้วจะลงไปอย่างไร…


                ปัญหานี้เว่ยฉางอิ๋งใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็แก้ได้แล้ว นางเอาชายกระโปรงสอดเข้ามาในสายคาดที่รัดอยู่ที่หน้าอก เมื่อทดสอบว่าแน่นหนาดีแล้วจึงรู้สึกวางใจในทันที อืม ปรากฏว่าทำเช่นนี้แล้วง่ายดายขึ้นมาก พลางรู้สึกว่าที่ท่านย่ากล่าวชมตนว่าฉลาดหลักแหลมอยู่เป็นประจำนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นที่สุด เรื่องต่อกลอนอะไรทำนองนั้น ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ!


                เมื่อเก็บดอกฮวายฮวาบนกิ่งที่อยู่ใกล้ๆ หัวตนเองจนเรียบแล้ว ภายในกระโปรงของนางก็หนักอึ้งไปหมด เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจแล้วมองลงไปข้างล่างต้นไม้ เพื่อความปลอดภัยก็ควรจักพักผ่อนสักหน่อย รอจนมีกำลังกลับมาแล้วจึงค่อยลงไป


                อาศัยช่วงเวลานี้ นางใช้มือหนึ่งประคองกระโปรงพองๆ ที่ใส่ดอกฮวายฮวาเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ก็เก็บเอาสิ่งของแปลกปลอมอื่นๆ และกิ่งไม้ออกไป ในขณะที่กำลังเลือกเก็บอยู่นั้น พลันมีของเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นชิ้นหนึ่งมาชนกับกิ่งไม้ที่ห่างจากตัวนางไปไม่ไกล


                เว่ยฉางอิ๋งปรายตามองตามไปคราหนึ่ง คิดว่าเป็นเพียงกิ่งไม้ที่ร่วงลงมาจากยอดไม้ จึงไม่ได้สนใจอะไร แล้วก้มหน้าก้มตาคัดแยกดอกฮวายฮวาต่อไป


                ไม่คิดว่านางเพียงแค่หันเหสายตากลับไป ก็มีของเล็กๆ มาชนเข้าใกล้ๆ ตัวนางอีก


                เว่ยฉางอิ๋งทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นไปและมองไปยังยอดไม้บนหัวด้วยความสงสัย


                ทว่าก็เสียแรงเปล่า เพราะแม้นางจะเก็บดอกฮวายฮวารอบๆ ตัวไปจนหมดแล้ว แต่ข้างบนในบริเวณที่เอื้อมมือไปไม่ถึงก็ยังมีดอกไม้อยู่แน่นขนัด มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าของตกลงมาจากที่ใด?


                ครั้งที่สาม ก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง กระทบเข้ากับกิ่งไม้ข้างตัวของเว่ยฉางอิ๋ง จึงทำให้นางค้นพบว่าที่แท้แล้วก้อนหินนี้มาจาก…ใต้ต้นไม้?!


                เห็นเพียงคนที่อยู่ใต้ต้นไม้สวมชุดยาวติดกันสีหินคราม บนหัวสวมกว้าน[4]ทองคำ หน้าตาเฉียบคมชัดเจน หล่อเหลาเร่งเร้าใจคน นี่ไม่ใช่คือ…


                เสิ่นจั้งเฟิง?!


                … แล้วข้าจักอธิบายเช่นไร???


                เว่ยฉางอิ๋งในยามนี้นิ่งชะงักเป็นหิน!


                นางเหม่อมองคู่หมั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้ คิดในใจว่า ‘ตอนนี้แกล้งทำเป็นหนึ่งในลูกผู้น้องสักคน…ยังทันหรือไม่?’


                ในขณะที่กำลังกล้าๆ กลัวๆ อยู่นั้น กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงเงยหน้าขึ้นมา และคล้ายว่าพูดบางอย่างออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาคงจะห่วงว่าที่นี่เป็นเขตเรือนหลัง แล้วกังวลว่าจะมีคนได้ยินเข้า จึงจงใจพูดเสียงเบาเป็นอย่างมาก เบาเสียจน… อื่ม เว่ยฉางอิ๋งได้แต่นิ่งเหม่อมองเขาต่อไป ไม่รู้ว่าควรจักทำอย่างไรดี…


                เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามมาอีกสองครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นว่านางไม่ได้ยิน หรือคิดว่านางตอบรับคำแล้ว เขาจึงจับชายเสื้อขึ้นมาเหน็บไว้ที่สายคาดเอว จากนั้น ท่ามกลางสายตาของเว่ยฉางอิ๋ง ที่ในขณะนี้กำลังตาเบิกตาโพลงปากคอสั่นเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมตะปู และเกือบจะกระโดดลงมาแล้ววิ่งหนีไปนั่นเอง เขาก็กระโดดตีลังขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วเดินอยู่บนอากาศสองสามก้าว ขึ้นมาเหยียบกิ่งต้นฮวายเพื่อส่งแรงอีกสามครั้ง แล้วยันตัวออกมากลางอากาศครั้งหนึ่ง ก็ลงมาอยู่บนกิ่งต้นฮวายข้างตัวเว่ยฉางอิ๋งได้พอดี


                เขาคงจะไม่คิดว่าข้านอกรีตนอกรอยมากเกินไป แล้วคิดจะขึ้นมาจับข้าหรอกนะ? เว่ยฉางอิ๋งจ้องมองเขาด้วยความระแวง


                เสิ่นจั่งเฟิงเองก็ดูคล้ายจะรู้สึกว่าการที่ตนเองลอบเขามาดูคู่หมั้นในเรือนหลังนี้เป็นการเสียมารยาทไม่เบา เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งจ้องมองตาเขม็ง ใบหน้าจึงแดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วหันเหสายตาเล็กน้อยไปยังดอกฮวายฮวาข้างกาย เกิดพูดไม่ออกขึ้นมาเฉยๆ


                ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อไปเนิ่นนาน แต่แล้วก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่เอ่ยปากก่อน เขากระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วมองไปยังพวงดอกฮวายฮวา กล่าวเบาๆ “อยากจะกินเกี๊ยวฮวายฮวาหรือขนมดอกฮวายฮวาอบเล่า?”


                “ไม่อยากทั้งคู่ จักให้ท่านอาหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้งและเอาไปนึ่งทาน” เว่ยฉางอิ๋งโพล่งตอบไปโดยไม่ทันคิด


                เมื่อคำพูดนี้จบลง ทั้งสองคนก็กลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง


                …แล้วก็ผ่านไปอีกเกือบเค่อ เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดแน่น สูดหายใจ ปั้นหน้าเคร่งขรึม แล้วกล่าวไปอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!?”


                เอาล่ะ เมื่อเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แล้วข้าลอบออกจากจวนมาปีนต้นไม้ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่เจ้าซึ่งเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ยังมิทันรับข้าเข้าบ้าน แล้วนี่มันเป็นเหตุผลใด ที่ตนเองกลับแอบวิ่งเข้ามาในเรือนหลัง!


                อื่ม ในเมื่อตนเองทำผิดแล้ว ก็จักต้องพยายามจับผิดอีกฝ่ายด้วยนั่นเอง…


                ใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงพลันมีสีหน้าลำบากใจฉายขึ้นมา แววตาล่องลอย กระแอมเบาๆ แล้วว่า “เมื่อครู่นี้เดินมาจากทางนั้น แล้วเห็นเจ้านั่งอยู่ข้างบนไม่ขยับ จึงคิดว่าเกิดปัญหาบางอย่างและไม่สะกวดจะส่งเสียงดัง จึงได้มาดูสักหน่อย”


                เว่ยฉางอิ๋งมองตามทิศทางที่เขาชี้ไป.. แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ไปหาฉางเฟิงมาหรือ?”


                “ไม่ใช่ นั่น เป็นทางเดินที่อยู่ถัดไปอีก”


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าหัวข้อสนทนาถูกหันเหไปแล้ว จึงพยายามตั้งสมาธิ รอจนดูทิศทางที่เขาชี้ไปได้ชัดเจนแล้ว ก็อดจะไถ่ถามไปด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “ที่นั่น…เจ้าไปทำสิ่งใด?”


                “ท่านพ่อตาชอบความสงบ เกรงว่าอีกสามวันให้หลังจะไม่มีเวลามาพบข้า เหตุนี้จึงให้ข้าไปที่เรือนเล่ออี๋ก่อนหนหนึ่ง” เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมเบาๆ เป็นครั้งที่สาม กล่าวว่า “ยามออกมาจึงได้เห็นเจ้า”


                ที่แท้เมื่อครู่นี้ท่านพ่อเรียกเจ้าหนุ่มนี่ไปพบ? ไยไม่มีคนบอกข้าสักคำ… เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบลงสักพัก ถามไปอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “เจ้ามองเห็นข้ายามใด?”


                “ราวหนึ่งเค่อก่อน” หลังจากพูดไปสองสามประโยค เสิ่นจั้งเฟิงก็คล้ายจะผ่อนคลายลงสักหน่อย กล่าวเสียงเบาว่า “บ่าวมาส่งข้าถึงประตูรอง ข้าอาศัยจังหวังที่เขาเดินจากไปแล้ว เดินย้อนกลับมา”


                เมื่อใคร่ครวญดูอย่างรวดเร็วก็แน่ใจว่าบนเส้นทางที่เขาเดินย้อนกลับมานั้นจะต้องใช้ ‘ทางลัด’ โดยการกระโดดข้ามกำแพง จึงได้มาถึงได้ไวเช่นนี้… อืม ลองๆนับดู คล้ายว่าอย่างน้อยๆ เขาก็ต้องกระโดดข้ามมา…ห้ากำแพง? ทั้งยังต้องเดินอ้อมองครักษ์สองสามนายที่อยู่ตรงกลางและบ่าวไพร่ที่บังเอิญเดินผ่านมาด้วน…


                เว่ยฉางอิ๋งพลันเกิดความกังวลถึงพลังยุทธ์ของตนขึ้นมาเล็กน้อย…ไม่สิ นางไม่คิดว่าตนจะไม่อาจเอาชนะเขาได้ สิ่งที่นางเป็นกังวลก็คือ คู่หมั้นผู้นี้วิ่งเร็วเช่นนี้ หากว่าวันหน้าต้องตีเขา แล้วเขาเกิดวิ่งหนีขึ้นมา ตนเองตามไม่ทัน แล้ว…จักทำเช่นไร?


                นางกำลังจักสอบถามสถานะของศัตรูผู้นี้ให้ลึกลงไปอีก ผู้ใดจักรู้ว่ายังมิทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงสอบถามมาว่า “เจ้าอยากจักลงไปหรือไม่?”


                ลงไป? ข้าต้องลงไปอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้ามา ยามนี้ก็คงจัก…ช้าก่อน!


                เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางมองเสิ่นจั้งเฟิงด้วยสีหน้าประหลาดแล้วว่า “เจ้า… เจ้าคิดว่าปัญหาที่ข้าพบเจอและไม่สะดวกส่งเสียงดัง ก็คือ…ก็คือลงไปไม่ได้?”


                ยามนี้คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งนั้นงดงามอยู่แล้ว ในเดือนสามที่มีแสงสว่างสดในเช่นนี้…จึงยิ่งงดงามกระจ่างเหนือสรรพสิ่ง คำกล่าวนี้คล้ายจักสรรค์สร้างมาเพื่อนางโดยเฉพาะ เสิ่นจั้งเฟิงแสร้งทำเป็นจ้องมองดอกฮวายฮวาอย่างตั้งใจ แต่หางตากลับลอบเหลือบมองนาง เมื่อสัมผัสได้ว่านางคล้ายจักมีโทสะ จึงรีบบอกว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเหนื่อย” เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องจริง ปัญหาคือ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าคนคิดเองเออเองผู้นี้ กำลังช่วยข้าหาข้ออ้างดีๆ สักข้ออยู่?


                “ในลานบ้านที่อยู่ทางด้านหลังของบ้านเรามีต้นอู่ถงอายุร้อยปีต้นหนึ่ง น้องสี่ชอบปีนเล่นมาแต่เล็ก” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พูดจา จึงกล่าวไปอย่างอ่อนโยน “ทุกคราก็ต้องให้ข้าไปพานางลงมา”


                เว่ยฉางอิ๋งฟังเข้าใจแล้ว น้องสาวตัวเล็กของว่าที่สามีตน คุณหนูสี่แห่งตระกูลเสิ่น ทุกครั้งที่ปีนขึ้นไปบนต้นอู่ถงก็จักลงมาไม่ได้…เสิ่นจั้งเฟิงก็ต้องไปช่วยนางกู้หน้าจนเป็นความเคยชิน เมื่อเห็นตนนั่งอยู่บนต้นไม้ จึงคิดว่าเป็นเช่นน้องสาวของเขาที่มักจะพบเจอความลำบากว่าเมื่อปีนขึ้นต้นไม้แล้วก็ลงมาไม่ได้…


                ปัญหาคือ ข้าเป็นน้องสาวเจ้าหรือ!


                นี่มัน…นี่มันดูถูกข้าเกินไปแล้ว!


                เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีโกรธขึ้นมา!


                ข้าก็เพียงพักผ่อนสักพัก กลายเป็นว่าอ่อนแอจนถึงขึ้นต้องการให้เจ้ามาช่วยเช่นนั้นหรือ??


                แม้แต่ต้นไม้นี้ก็ยังลงไปไม่ได้ แล้ววันหน้าข้าจะตีเจ้าให้อยู่หมัดได้อย่างไร! เอ่อ เอาล่ะ เห็นแก่ที่ตอนนี้บนตัวข้าเต็มไปด้วยดอกฮวายฮวาขยับเขยื่อนไม่สะดวก ข้าจะไม่ตีเจ้า… แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จักต้องให้เจ้าได้เห็นวรยุทธ์ของข้าเสียหน่อย! เพื่อมิให้เจ้านึกว่าข้าอ่อนแอเสียจนรังแกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว!


                ด้วยหมายจักใช้กลยุทธ์เอาวรยุทธ์เข้าข่มขวัญ เว่ยฉางอิ๋งพลันหรี่ตา สะบัดมือไปยังกิ่งของต้นไม้ที่อยู่ข้างกายซึ่งมีขนาดเท่าขาคนแล้วตบลงไปเบาๆ คราหนึ่ง…ยินเพียงเสียงลั่นแกร้กดังมาจากในกิ่งไม้ แล้วพลันมีรอยแยกปรากฏขึ้นมาทันใด!


                นางกล่าวอย่างทะนงตนว่า “เจ้าดูสิ…” เห็นแล้วหรือยัง? ข้าร้ายกาจเพียงใด! วันหน้าหากเจ้ามีความคิดนอกรีตนอกรอยใด ก็ให้เจ้านึกถึงกิ่งไม้นี้เอาไว้เสียก่อน! คนที่ร้ายกาจเช่นข้า มีหรือที่จะต้องการให้เจ้ามากู้หน้าให้!


                ผู้ใดจักรู้ว่ายังไม่ทันสิ้นคำนาง ทั้งตัวนางก็พลันหลุดร่วงลงไป ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งถอดสี แล้วร้องเสียงต่ำออกมาตามสัญชาตญาณหนหนึ่ง! ในขณะที่ไม่ทันรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางพลันรู้สึกว่าแขนถูกจับไว้แน่น จากนั้นทั้งตัวนางก็ถูกดึงขึ้นมาอย่างแรง!


                “อ๊าย!?” นางถูกดึงเสียจนหัวเข้าไปชนที่อกของเสิ่นจั้งเฟิง ในขณะที่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอยูนั้น ก็รู้สึกอีกว่าเอวถูกรัดเอาไว้แน่น และกลับถูกเขารั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา เรี่ยวแรงที่แข็งกร้าวของชายหนุ่มปะทะเข้ามาหานาง เว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะเคยได้ใกล้ชิดกับผู้ชายถึงเพียงนี้หลังจากนางอายุได้เจ็ดขวบรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาอย่างยิ่ง! พลันจับแขนเขาไว้ข้างหนึ่งและพยายามผลักออก ตื่นตระหนกเสียจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “เจ้าทำสิ่งใด เจ้าคิดทำสิ่งใด!?”


                “…กิ่งไม้ที่เจ้านั่งอยู่…” เพราะเรื่องเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งแนบชิดอยู่กับตัวของเสิ่นจั้งเฟิง สัมผัสได้ชัดเจนว่าเขาหอบหายใจลึกๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเพราะกำลังกลั้นหัวเราะ หรือกำลังพยายามตั้งสติ ยินเพียงเขาใช้น้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเขากำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้อย่างมาก ค่อยๆ พูดทีละคำว่า “…ถูก เจ้า ตี หัก แล้ว!”


____________________________


[1] ต้นฮวาย เป็นพืชที่มีดอกสีขาวห้อยระย้ากันเป็นพวง พืชชนิดนี้มีหลายส่วนที่ใช้กินและทำยาได้ รวมทั้งดอกด้วย


[2] ดอกฮวายฮวานึ่ง คือการนำดอกฮวายฮวามาคลุกเคล้ากับแป้งชนิดต่างๆ แล้วจึงนำไปนึ่ง สุกแล้วนำมาปรุงรสหรือทานกับเครื่องจิ้ม


[3] น้ำฝูฟาง เครื่องดื่มที่ทำจากใบต้นฝูฟางเถิง


[4] กว้าน ปลอกหรือที่ครอบมวยผมของผู้ชายจีบโบราณ


ตอนที่ 92 เก็บดอกฮวายฮวา

โดย

Xiaobei

                …เรื่องราวนั้นเป็นเช่นนี้ ด้วยกิ่งไม้ที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่นั้นค่อนข้างใหญ่ และตัวนางก็มีรูปร่างบางและปราดเปรียว จึงได้ไปนั่งในตำแหน่งที่ออกจะเป็นปลายกิ่งสักหน่อยเพื่อจะได้เก็บดอกฮวายฮวาได้สะดวก จากนั้นเสิ่นจั้งเฟิงก็ขึ้นมายืนอยู่อีกกิ่งที่ไม่ห่างออกไป


                ด้วยความที่เว่ยฉางอิ่งเร่งร้อนจะอวดวรยุทธ์เพื่อแสดงความร้ายกาจของตนออกมา แม้จักคิดก็ยังไม่ทันคิด แล้วก็ไปลงมือกับกิ่งไม้ที่ตนเองนั่งอยู่ ในตำแหน่งที่ใกล้กับต้น!


                จากนั้น นางก็ร่วงลงมา


                แล้วจากนั้น นางก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงดึงแขนเอาไว้


                แล้วจากนั้นอีก ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งจึงเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ยืนอยู่บนต้นไม้ มองดอกฮวายฮวาที่ติดเต็มตัวนางเองและกระจายอยู่เต็มพื้น อยากร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา


                เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงที่มิได้จงใจจะล่วงเกินคู่หมั้นเห็นนางในสภาพเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา ขยับตัวออกมายืนอยู่อีกข้างหนึ่งด้วยอาการเลิ่กลั่ก คิดอยู่เกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจักขึ้นไปข้างบน ไปเก็บให้เจ้าใหม่?”


                “…ไม่ต้องแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยสายตาขัดเคือง ขนมฮวายฮวากวนแป้งกับดอกฮวายฮวานึ่งไม่เหลือแล้ว ทั้งยังทำให้ตนตกใจหนแล้วหนเล่า…อยากจะ…ชกเขาเสียจริงๆ!”


                เจ้าเองก็มิใช่ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเรือนหลัง ต่อให้ข้าติดอยู่บนต้นไม้และลงไปไม่ได้จริงๆ ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนมาหาข้าหรือ? บ่าวไพร่ในบ้านเว่ยมีมากมายถมเถ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ที่กำลังจะออกเรือน เมื่อหายไปสักพักจะไม่มีคนออกมาหาหรือ?


                หากว่ากันแบบถอยให้เจ้าก้าวหนึ่ง ในเมื่อเจ้าก็มาแล้ว ทั้งยังคิดได้แล้วว่าควรต้องถามข้าอย่างอ้อมๆ ว่าอยากจะลงไปหรือไม่ แล้วยามนี้เจ้าจักอ้อมค้อมอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ! อ้อมค้อมให้ข้าฟังไม่ออกว่ามีความดูแคลนอยู่ในน้ำเสียงของเจ้า! อย่างเช่นบอกว่า ‘เชิญข้าไปดูออกไม้ในสวนอะไรทำนองนั้น’… ซึ่งแน่นอนว่าข้าจะไม่รับปากเด็ดขาด!


                แต่เมื่อถูกเจ้ารบกวนเช่นนี้ ข้าก็ต้องจากไปแน่นอน!


                ดังนั้นทุกอย่างล้วนเป็นความเป็นของเจ้าหมอนี่!


                เว่ยฉางอิ๋งที่เคยชินกับการโยนความผิดไปให้แก่เว่ยฉางเฟิงมาตั้งแต่เล็ก จึงช่ำชองในการล้างมลทินให้แก่ตนเองยิ่ง เมื่อเกลี้ยกล่อมตนเองได้สำเร็จแล้ว… เรื่องในวันนี้ ตัวการใหญ่ก็คือเสิ่นจั้งเฟิง ความรับผิดชอบทุกอย่างเป็นของเสิ่นจั้งเฟิง ตนเองซึ่งทั้งน่าสงสารและไร้ความผิดก็คือผู้เคราะห์ร้ายตัวจริงที่ไม่มีอะไรจะจริงแท้กว่านี้!


                แต่เรื่องเศร้าอยู่ที่ แม้จะเกลี่ยกล่อมตนเองว่าความโชคร้ายต่างๆ นี้เกิดขึ้นเพราะความโง่เง่าของเสิ่นจั้งเฟิง ทว่า…


                ท้ายสุด เว่ยฉางอิ๋งที่กำหมัดแน่นอยู่หลายครั้งหลายคราก็ยังตัดสินใจทำเป็นว่าเรื่องราวเมื่อครู่นี้ไม่เคยได้เกิดขึ้นมาก่อน…


                อย่างไรเสียการอวดอ้างวรยุทธ์ของตนครานี้ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว!


                นางรู้สึกว่าตนมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องได้รับการสอนสั่งในเรื่องเฉพาะทางบางประการ อย่างเช่นว่า เจียงเจิงซึ่งเคยคุ้มภัยแก่ผู้คนมาหลายชั่วคน มีประสบการณ์ถูกพวกโจรดักปล้นระหว่างทางมาอย่างโชกโชน ตามที่เจียงเจิงเคยได้อธิบายถึงตอนที่พวกสำนักคุ้มภัยเจอพวกโจรดักปล้น หากเป็นพวกโจรบางพวกที่ไม่คุ้นเคยและรู้กันอยู่แล้วว่าจะต้องมีการแบ่งทรัพย์สมบัติให้ เช่นนั้นก็ต้องมาถึงการแสดงฝีมือของแต่ละคนออกมา จากนั้นค่อยมาตัดสินใจว่าจะต่อสู้ต่อไปหรือไม่…


                ปรากฏว่าตนเองยังคงไร้เดียงสาเกินไป! การจักอวดอ้างฝีมือก็จักต้องมีกระบวนการคิดมาก่อน!


                ประสบการณ์อ่อนด้อยทำร้ายคนถึงตาย!


                หากรู้มาก่อนว่าจะมีวันนี้ ไยแต่แรกไม่ยอมตั้งใจฟังคำสอนของท่านลุงเจียง และทดลองประลองยุทธ์ดูสักหลายๆ หน…


                ด้วยเหตุนี้เอง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่ถอนหายใจใหญ่หลายหน “เรือนหลังมิใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่นาน เจ้าไปเสียเถิด!”


                เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำยิ่งทำตัวไม่ถูก กระแอมเบาๆ หนหนึ่งแล้วว่า “ได้” ขณะที่เขากำลังหันหลังไป…กลับได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเสียงหนึ่งดังมาจากทางประตูวงพระจันทร์ที่ไม่ไกลออกไป “ที่นี่นี่ล่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเป็นจูหลาน สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปทันใด! เห็นว่าจูหลานกำลังจะเดินเข้ามาในประตูวงพระจันทร์ ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังไม่อาจจากไปได้ในยามนี้ ในขณะที่นางกำลังร้อนรนจึงมิได้มาคิดสิ่งได้มากมาย พุ่งตัวไปข้างหน้าเขา ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รีบซ่อนเร็ว!”


                จนใจเหลือแสนที่ในลานแห่งนี้ก็มีต้นฮวายแก่ๆ อายุร้อยปีต้นนี้เพียงต้นเดียว บนพื้นก็ปูไว้ด้วยอิฐหินครามซึ่งมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด สี่ทิศล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ประตูข้างหนึ่งก็ถูกจูหลานปิดทางเอาไว้ ประตูอีกข้างหนึ่งแม้จะไม่ได้ลงกลอน แต่ก็ถูกมัดเอาไว้จนหมด เมื่อคำนวณจากเสียงตะโกนของจูหลาน หากวิ่งลงไปเปิดประตู จูหลานก็จะข้ามประตูวงพระจันทร์เข้ามาแล้ว


                เว่ยฉางอิ๋งดึงตัวเสิ่นจั้งเฟิงตามมาหลบด้วยท่าทีร้อนร้น เหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีหนทางอื่นใด ทำได้เพียงมาหลบอยู่ข้างหลังต้นฮวาย หวังจะอาศัยกิ่งก้านของต้นฮวายอำพรางตัวให้รอดไปได้


                เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่นางดึงเสิ่นจั้งเฟิงมาข้างๆ ต้นฮวายนั่นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินจากประตูวงพระจันทร์เข้ามาในลานแห่งนี้ และสิ่งที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องปวดหัวก็คือคนที่มานั้นกลับมีสองคน


เมื่อสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองนางเข้ามาก็วิ่งตรงมายังใต้ต้นฮวาย แล้วเงยหน้าขึ้นร้องเรียกคุณหนูใหญ่สองสามหน แต่ไม่มีเสียงตอบใด เพราะต้นฮวายแก่มีกิ่งก้านแน่นหนา พวกนางเกรงว่าหากยืนอยู่กับที่จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้รอบทิศแล้วจักถูกเว่ยฉางอิ่งหลอกเอาได้ จึงได้เดินรอบต้นไม้และแหงนหน้ายึ้นมามอง และการที่พวกนางเดินรอบต้นไม้นี้ก็ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงตกอกตกใจไม่เบา ทั้งสองคนต้องจดจ่ออยู่กับเสียงฝีเท้าของสาวใช้ คอยใช้ลำต้นของต้นฮวายแก่อำพรางตัวด้วยความระมัดระวังยิ่ง ต้องคอยอยู่ในระยะที่สาวใช้ทั้งสองนางไม่อาจมองเห็นได้ ค่อยๆ พากันขยับเท้า… ทั้งยังต้องระวังไม่เหยียบดอกฮวายฮวาที่ถูกลมพัดร่วงและที่ถูกเว่ยฉางอิ๋งทำร่วงลงมาเมื่อครู่นี้จนเกิดร่องรอยใหม่ขึ้น…


โชคดีที่สาวใช้ทั้งสองนางนี้ไม่รู้ว่าคนที่ต้องการตามหานั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของต้นไม้ เมื่อเดินวนรอบหนึ่งแล้วมองไม่เห็นว่าบนต้นไม้มีคนอยู่ จูหลานจึงบอกว่า “พี่ซวงหลี่ดูผิดไปหรือไม่? เหมือนคุณหนูใหญ่จะไม่ได้อยู่บนต้นไม้?”


เมื่อสิ้นเสียงของจูหลาน ฟังจากเสียงของสาวใช้ตัวน้อยอีกนางก็จักต้องจูสือที่สนิทสนมกับจูหลานมาโดยตลอด นางกล่าวเสียงบางเบาว่า “พี่ซวงหลี่เป็นบ่าวใกล้ชิดของฮูหยินผู้เฒ่า เป็นคนละเอียดรอบคอบมาแต่ไร นางบอกว่าเห็นคุณหนูใหญ่มาทางนี้ ก็คงจะไม่ผิดไปได้ อาจเพราะยามนั้นคุณหนูใหญ่ก็สังเกตเห็นพี่ซวงหลี่เช่นกัน และไม่อยากถูกพวกเรารบกวน จึงได้เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น? หาไม่แล้วเจ้าดูสิบนพื้นมีดอกฮวายฮวาตั้งมากมาย แล้วดอกบนกิ่งนั้นก็หายไปมากด้วย? ในบ้านเรา นอกเสียจากคุณหนูใหญ่แล้วจักมีผู้ใดกล้าทำตามใจเช่นนี้? เห็นได้ว่าคุณหนูใหญ่จะต้องเคยมาที่นี่มาก่อน”


“เฮ่อ เช่นนั้นไปที่ไหนเสียแล้วเล่า?” จูหลานถูกย้ำเตือนขึ้นมา จึงได้สังเกตเห็นว่าบนต้นไม้มีดอกฮวายฮวากลุ่มหนึ่งบางตาไปอย่างชัดเจน คล้ายถูกเด็ดออกไปแล้ว ส่วนที่เท้าของพวกนางทั้งสองกลับมีดอกฮวายฮวากระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด จึงกล่าวด้วยความเสียดายว่า “มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่จึงได้แกล้งทำเป็นนอนหลับแล้วหลอกพวกท่านป้าและหนีออกไป เจ้าดูดอกฮวายฮวาเหล่านี้สิ… เห็นได้ว่าวันนี้คุณหนูใหญ่อารมณ์ไม่ดี เด็ดแล้วทิ้งดอกฮวายฮวาตั้งมากมายเพียงนี้ก็ยังไม่หายโกรธ หาไม่แล้วเหตุใดจนถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมา?”


จูสือก็รู้สึกเห็นใจแล้วว่า “ท่านเขยเป็นคนดี แต่คนบ้านเสิ่นคนอื่นๆ ก็พูดยากแล้ว ข้าได้ยินท่านป้าบอกว่า ฮูหยินซูของตระกูลเสิ่นเป็นคนยึดถือกฎเกณฑ์ และเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูใหญ่ของเราถูกฮูหยินผู้เฒ่าตามใจมาแต่เล็กจนเสียจนเคยแล้ว ก็คงจะไม่อาจรับได้ไหว”


“เรื่องที่น่าสงสารที่สุดก็คือเมืองหลวงออกจะห่างไกลถึงเพียงนั้น เมื่อคุณหนูใหญ่แต่งงานไป วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจักได้เจอฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินอีกหรือไม่” จูหลานถอนหายใจแล้วว่า “ตัวข้านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นอีกหรือไม่? ครานี้ฮูหยินไม่ได้ให้พ่อข้าไปพร้อมกับคุณหนูใหญ่ วันหน้าหากคุณหนูใหญ่ไม่กลับมาเฟิ่งโจว ข้าคิดว่าหากข้าไปกับคุณหนูใหญ่ครานี้ ก็กลัวว่าจะไม่ได้เจอกับคนในครอบครัวอีก! แต่ว่าแต่เล็กมาข้าก็คอยปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ คุ้นเคยและรู้จักทางหนีทีไล่ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างดีแล้ว หากไม่ไปกับคุณหนูใหญ่… ในบ้านใหญ่ยามนี้ก็ไม่มีคุณหนูคนอื่นที่ต้องการสาวใช้ไปปรนนิบัติอีก บ้านสามยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่คนแล้งน้ำใจสองคนนั้น ข้ายอมถูกให้ไปทำงานหนักก็ไม่คิดจะไปปรนนิบัติพวกนาง! เช่นนั้นจึงได้แต่ต้องตามคุณหนูใหญ่ไป และต้องบอกลากับพ่อแม่พี่น้องแล้ว!”


เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะแต่งงาน คนที่ต้องไปพร้อมกับนางนอกจากนางหวงแล้ว คนทั้งหมดล้วนเป็นคนที่เกิดและเติบโตในเฟิ่งโจว หรือไม่ก็อยู่ในเฟิ่งโจวมาสิบกว่าปีแล้ว เมื่อต้องจากลาบ้านเกิดก็ย่อมต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดา จูหลานและจูสือก็เช่นกัน ว่าไปแล้วจึงได้ฉวยโอกาสที่ถูกสั่งให้ออกมาหาเว่ยฉางอิ๋ง แล้วไม่เห็นคุณหนูใหญ่ของตนอยู่ที่ต้นฮวายแห่งนี้ เมื่อต้องรออยู่เฉยๆ ในลานบ้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนและไม่ต้องกลัวว่าจักมีคนแอบฟัง จึงได้พากันยืนระบายความในใจอยู่ใต้ต้นไม้ขึ้นมา


หลังต้นไม้ สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ เขี้ยวคล้ำขึ้นมา แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคิดว่า ‘ไอ้เจ้าคนแล้งน้ำใจสองคนนี้ยังไม่ไปอีก? หากยังไม่ไป ดูสิว่าเมื่อข้ากลับไปแล้วจะหาข้ออ้างจัดการพวกเจ้าอย่างไร!’


จูสือและจูหลาน  กลับไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านตนและท่านเขยนั้นอยู่เพียงหลังต้นไม้นี้เองและกำลังภาวนาด้วยความหวาดหวั่นว่าให้พวกนางรีบไปเสียที… เดิมทียามที่เรือนเสียซวงมีนางเฮ่อคอยดูแลอยู่นั้น ก็ใช่ว่าจะมีการผ่อนปรนเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ เพียงแต่เมื่อนางเฮ่อตีคนขึ้นมาก็ไม่เคยปราณีใคร แต่อย่างไรนางก็เป็นคนธรรมดาผู้หนึ่งที่มิได้ละเอียดรอบคอบไปเสียทุกเรื่อง แต่นับแต่นางหวงมาถึงแล้วรับอำนาจปกครองดูแลไป นางก็ควบคุมทั้งเรือนเสียซวงเสียจนแม้แต่น้ำยังไหลซึมออกมาไม่ได้สักหยด เรื่องที่จะหาโอกาสยามว่างแอบหลบมุมคุยกันเรือนเสียซวงเช่นก่อนนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว!


สาวใช้ตัวน้อยสองคนที่ชอบพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจมาแต่ไร จึงถูกนางหวงคอยจับตามองและไม่ได้มีโอกาสได้มาระบายความในใจอย่างเป็นสุขสักหนมานานแล้ว ทั้งวันนี้ก็ยังต้องกังวลเรื่องที่ต้องรีบร้อนเดินทาง จูสือและจูหลานพูดคุยกันแล้ว พูดคุยกันอีก จนครึ่งชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหากยักมัวชักช้าอยู่ แล้วเกิดทำให้นางหวงสงสัยก็จะเป็นเรื่อง จึงรีบร้อนจากไปแทบไม่ทัน…ทว่า ช้าก่อน!


ทั้งสองนางเพิ่งจะเดินไปพ้นประตูวงพระจันทร์ เว่ยฉางอิ๋งแอบโล่งอกอยู่ในใจ แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท่าตับๆๆ ย้อนกลับมา “ดอกไม้เหล่านี้คงจักเป็นคุณหนูใหญ่เด็ดจากข้างบนและทิ้งลงมา แม้จะเปื้อนฝุ่นดิน แต่ล้างๆ สักหน่อยก็สะอาดแล้ว เป็นดอกฮวายฮวาดีๆ อยู่ทั้งนั้น หากทิ้งเอาไว้จนเน่าเสียก็ไม่น่าเสียดายหรือ? พวกเราไปเก็บและเอากลับไปสักหน่อยเถิด!”


“ก็ดี ได้ยินว่าท่านป้าหวงเป็นมือหนึ่งในการทำอาหารยาและขนมกวนแป้ง ดอกฮวายฮวาพวกนี้เอาไปทำขนมฮวายฮวากวนแป้งได้ รสชาติหอมหวานนัก หากคุณหนูใหญ่เอ่ยปาก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้ลองลิ้มรสสักชิ้นสองชิ้น” จูหลานพูดเสียงแจ้วว่า “ข้าช่วยเจ้า ช่วยกันทำ แล้วก็รีบๆ กันหน่อย”


แต่ก็อย่าคิดว่าทั้งสองนางจะทำสิ่งใดรวดเร็วนักหนาเล่า!


อย่างไรก็ดีนางทั้งสองก็ไม่ได้มีท่านอาคอยเร่งอยู่ สาวใช้ตัวน้อยที่อายุเพียงสิบสองสิบสามปี หากไม่ลงไม้ลงมือสักสองฉาด จูหลานและจูสือก็จักต้องหยอกล้อกันขึ้นมา “เหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ชอบทานไอ้เจ้านี่? หาไม่แล้ว ไยจึงทิ้งดอกฮวายฮวาดีๆ ตั้งมายมายได้ลงคอเล่า?”


“คาดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง? อาจเพราะวันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี” จูสือกล่าว “เจ้าคิดดูสิ กระจับป่าที่พวกเราไปช้อนมาจากในสวนดอกไม้คราก่อน ก็มิใช่ว่าคุณหนูใหญ่ชอบเอามากๆ หรือ จนถึงตอนนี้ก็ยังให้พวกเราใส่ชามเล็กๆ ไปให้บ่อยๆ?”


จูหลานว่า “ก็ใช่…โอ๊ะ เจ้าดูสิพวงดอกไม้สองสามพวงนี้ พอยกขึ้นมาเหมือนกับปิ่นประดับพู่คู่นั้นและจี้หยกมันแพะเจียรไนเป็นช่อดอกรุ่งอรุณในชุดทรัพย์สินติดตัวเจ้าสาวของคุณหนูใหญ่หรือไม่… ข้าจะไปหักกิ่งไม้ข้างนอกมาแล้วทำปิ่นประดับพู่ให้เจ้าลองใส่ดู?”


“ฮิๆ แล้วเจ้าเองไม่ใส่หรือ? อ่ะ ข้าก็เลือกจากกองนี้ออกมาสักพวงสองพวงดีกว่า เอามาถักมงกุฎดอกไม้ให้เจ้า”


“อย่า…ข้าไม่ได้สระผมมาสองวันแล้ว ผมมันมาก หากทำให้สกปรกแล้วจะกินไม่ได้”


“เช่นนั้นก็อย่าเอามาให้ข้าใส่ ข้าออกมาก็ทาน้ำมันดอกกุหลาบ เจ้าดมดูสิ อ่ะ กลิ่นหอมของดอกฮวายฮวานี่แรงเกินไป ดมกลิ่นอื่นไม่ได้เลย!”


“น้ำมันดอกกุหลาบ? ค่าแรงทำงานให้มาเป็นน้ำมันดอกหอมหมื่นลี้เท่านั้นนี่ เจ้าเอาเงินเดือนไปซื้อเองหรือ? พ่อแม่เจ้าไม่ถามเอาหรือ?”


“ถามสิ่งใด ปีก่อนข้าก็พูดกับพวกเขาแล้วว่า คุณหนูใหญ่ที่ข้าปรนนิบัติรับใช้นั้นมีหน้ามีตายิ่งยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน เป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ หากไม่มีเงินติดตัวบ้างจะใช้ได้หรือ? นับแต่ครานั้นพวกเขาก็อนุญาตให้ข้าเก็บเงินเล็กน้อยเอาไว้ได้ จนยามนี้ข้าก็มีเก็บไว้ก้อนหนึ่งแล้ว เจ้าฟังข้าว่านะ วันหน้านั้นข้า…”


ฟังดูแล้วพวกนางมีท่าทีจะอาศัยข้ออ้างว่ามาเก็บดอกฮวายฮวาและคุยกันต่อไปได้อีกหนึ่งหรือสองชั่วยามเชียว


….เว่ยฉางอิ๋งที่แทบจะเดินออกมาจากหลังต้นไม้เสียเดี๋ยวนั้น พลันมีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นทุกที


และไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใด ที่สุดสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองก็เก็บดอกฮวายฮวาที่ใต้ต้นไม้เสียจนหมดด้วยท่าทีแสนจะเอ้อระเหยลอยชาย แล้วหัวเราะคิกๆ คักๆ เดินจากไป…


เมื่อเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพวกนางเดินจากไปไกลแล้ว ก็รอฟังอยู่อีกเกือบเค่อ จนแน่ใจว่าพวกนางไม่ได้มีท่าทีจะย้อนกลับมาอีก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ถอนหายใจยาวๆ คิดจักล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมาซับเหงื่อ… ไม่คิดว่าเมื่อกำลังจะขยับ มือขวากลับยกมันขึ้นมาไม่ได้!


นางตกใจ ก้มลงไปมอง กลับเห็นว่ามือของตนนั้นไม่รู้ว่าไปกุมอยู่กับมือซ้ายของเสิ่นจั้งเฟิงแต่เมื่อใด สองมือต่างประสานกันไว้แน่น จนเมื่อเวลาผ่านไปนานก็กลับแยกมือจากกันไม่ค่อยออก


ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันแดงขึ้นมาทันใด นางรีบยกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นมาบังหน้า ร้องเสียงต่ำๆ ว่า “เจ้าทำสิ่งใด! ยังไม่รีบปล่อยมืออีก!”


ทั้งสองคนลุกลี้ลุกลนอยู่สักพักจึงปล่อยมือจากกันได้ แล้วมองกันด้วยท่าทีกระวนกระวายอย่างหนัก สักพักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงจึงกระแอมหนหนึ่ง แล้วว่า “เมื่อครู่นี้เจ้ากลัวว่าข้าจะถูกสาวใช้ทั้งสองพบเห็นเข้า จึงดึงข้ามา…จากนั้น…”


จากนั้น เขาก็กุมมือเว่ยฉางอิ๋งกลับไปโดยมิทันรู้ตัว


กอปรกับ เพราะเวลาที่จูหลานและจูสือหยุดอยู่ที่นี่และพูดคุยสัพเพเหระกันนั้นนานมาก ทำให้ทั้งสองคนที่กำลังร้อนตัวต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในความตื่นเต้นนั้นจึงได้กุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า… โดยเฉพาะเมื่อสาวใช้ตัวน้อยทั้งสองพลันย้อนหลังกลับมาเก็บดอกฮวายฮวาหนนั้น!


พอเวลานานเข้า…อื่ม ก็เป็นเช่นนี้นั่นเอง


“…อาศัยจังหวะนี้ เจ้ารีบไปเถิด” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างใจจน หลังจากมองตาเขาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีอยู่เกือบเค่อ


เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ดูจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน ไม่รู้เป็นเพราะจูสือกับจูหลาน หรือว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้ประสบมาในวันนี้ เขาจึงตอบรับอย่างลนลานไปหนหนึ่ง แล้วรีบร้อนจากไป จากแผ่นหลังยามเขาจากไป เห็นได้ว่าเขาก็มีท่าทีลนลานและรีบหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่เช่นกัน


_______________________________


ตอนที่ 93 จูเหล่ย

โดย

Xiaobei

                จนกระทั่งยามเย็น เว่ยฉางอิ๋งที่สีหน้าไม่ค่อยดีนักจึงได้กลับมาเรือนเสียซวง


                เมื่อเห็นนางกลับมา นางเฮ่อและนางหวงที่คอยชะเง้อคอมองมาตั้งนานแล้วต่างรีบร้อนเข้าไปต้อนรับ และไม่ลืมที่จะบ่นและปลุกปลอบอีกสักพัก เมื่อเสร็จแล้วก็รอให้เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปนั่งในห้อง ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่ง และย่อมต้องถามว่านางหนีไปอยู่เสียที่ใดมา


                นางเฮ่อกล่าวว่า “หากคุณหนูอารมณ์ไม่ดี อยากจะไปเดินเล่นที่ลานหลังเรือนสักหน่อย ข้าน้อยหรือจะกล้ารั้งตัวคุณหนูไว้เจ้าคะ? เพียงแต่วันออกเรือนของคุณหนูก็จวนเจียนเข้ามาแล้ว หากข้างกายไม่มีคนดูแล แล้วเกิดไปชนนั่นชนนี่ขึ้นมาจักให้ทำเช่นไรเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวไปด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ว่า “ก็มิใช่ว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือไร? อีกประการข้าก็หาใช่หญิงสาวอ่อนแอที่ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานผู้ใด ในเรือนหลังนี้จักมีสิ่งใดมาชนข้าได้เล่า?”


                นางหวงเป็นคนช่างเจรจาจริงๆ นางกล่าวเสียงอ่อนว่า “คุณหนูใหญ่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ พวกข้าน้อยก็กลับมิได้เป็นห่วง เพราะยามกลางวันแสกๆ ด้วยฝีมือของคุณหนูแล้วจะเกิดเรื่องใดขึ้นได้เล่า? เพียงแต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินล้วนกำลังจับตาดูคุณหนูใหญ่อยู่ คุณหนูใหญ่ออกไปข้างนอกเพียงลำพังในครานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินจักไม่เป็นห่วงหรือเจ้าคะ? ทั้งบ่ายนี้ต่างส่งคนสามสี่คนมาถามว่าพวกข้าน้อยดูแลคุณหนูบกพร่องประการใดจึงทำให้คุณหนูขัดเคือง หาไม่แล้วเหตุใดคุณหนูจึงไม่พาไปด้วย?”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว นางฟังออกว่าที่นางหวงเอาแต่พูดเรื่องแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งตำหนิพวกนางนั้น ความจริงแล้วกลับเป็นการเตือนสตินาง นับจากนี้ไปวันที่ต้องออกเดินทางจวนเจียนเข้ามาแล้ว ที่ตนถูกเอาอกเอาใจอยู่ในบ้านถึงเพียงนี้ ย่อมเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งรักใคร่เป็นนักหนา ไม่ว่าจะยุ่งวุ่นวายเพียงใดก็จะต้องแบ่งจิตใจมาคอยสังเกตอยู่เสมอๆ


                อย่างเช่นการกระทำในบ่ายวันนี้ที่ตนหนีออกไปผ่อนคลายอารมณ์ ทั้งยังคอยหลบไม่ให้สาวใช้ตัวน้อยที่ออกมาตามหาหาตัวนางพบ หากเรื่องไปถึงหูของแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่ง แม้ไม่ตำหนิตน แต่ก็ยากจะข่มใจให้ไม่เป็นกังวลได้


                แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ต้องการจะทำให้ทั้งย่าและมารดาไม่อาจวางใจได้  ดังนั้นนางจึงทำได้แต่ถอนหายใจ แล้วว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ก็เพียงแค่เอนหลังอยู่บนต้นฮวายแก่ต้นนั้นพักหนึ่ง และมิได้ทำสิ่งใดอื่น อีกสองวันที่เหลือข้าจักไปที่ใด ก็จักบอกกล่าวกับพวกท่านเอง”


                “ที่แท้คุณหนูใหญ่ไปที่ลานต้นฮวายจริงๆ หรือเจ้าคะ?” ลานที่มีรั้วรอบและมีต้นฮวายแก่ๆ เพียงลำพังต้นเดียวจึงถูกตั้งชื่อว่าลานต้นฮวาย ในขณะที่นางหวงและนางเฮ่อโล่งอกอยู่นั้น ก็กลับเกิดความสงสัยขึ้นมา “ก่อนนี้ข้าน้อยพบซวงหลี่ นางว่าเห็นคุณหนูใหญ่เดินไปทางนั้น จูหลานและจูสือก็ไปหามาแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเก็บดอกฮวายฮวากลับมามากมาย เพียงแต่ไม่พบคุณหนูใหญ่?”


                เว่ยฉางอิ๋งปรายตามจูหลานและจูสือที่กลับมาก่อนนานแล้ว และเมื่อได้ยินตนบอกว่าอยู่ที่ต้นฮวายแล้วพลันมีท่าทีร้อนรนนั่งไม่ติด จึงแค่นเสียงออกมาว่า “ข้าอยู่บนต้นไม้รู้สึกสบายใจมากจึงไม่ได้สนใจเสียงเอะอะของพวกนาง!”


                นางจงใจเน้นเสียที่คำว่าเอะอะสองพยางค์นี้ จูหลานและจูสือฟังความหมายที่อยู่ภายในออก จึงพากันหน้าซีดขึ้นมา… แม้จักพูดได้ว่าความจริงแล้วพวกนางก็ไม่ได้พูดสิ่งใดไม่ดี แต่ประการแรกก็วิจารณ์บ้านว่าที่สามีของคุณหนูบ้านตน ประการที่สองพูดถึงเรื่องที่พวกตนมีความลำบากใจและความในใจอยู่บ้างที่ต้องไปอยู่เมืองหลวงกับเว่ยฉางอิ๋ง เรื่องเหล่านี้ต่างเป็นที่รู้กันดีแต่ก็ไม่ควรพูดออกไป ไม่คิดว่าครานี้เว่ยฉางอิ๋งกลับได้ยินจนหมด ทั้งสองคนจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมาก


                นางหวงและนางเฮ่อเป็นมือหนึ่งในการสั่งสอนสาวใช้เล็กๆ เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ก็พอจักเดาออก แน่แท้แล้วว่า เมื่อจูหลานและจูสือไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่ลานต้นฮวาย จึงคิดว่าคุณหนูท่านนี้ไม่อยู่ที่นั่น เมื่อมองเห็นว่ารอบทิศปลอดคน จึงได้ถือโอกาสนี้พูดคุยเล่นกัน… แต่ก็กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งได้ยินเข้าจนได้!


                ท่านอาทั้งสองจดบัญชีนี้เอาไว้แล้ว และกำลังคิดจะหันหลังกลับไปตีจูหลานและจูสือซึ่งกำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วกล่าวตำหนิไปว่า “คุณหนูใหญ่ก็เสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยแล้วนะเจ้าคะ ต้นฮวายนั้นสูงเพียงใด แม้คุณหนูจะมีวรยุทธ์ แต่คุณหนูตระกูลใหญ่จักต้องรู้จักถนอมชีวิตตนเอง ไม่ควรจะปีนขึ้นไปเป็นอย่างยิ่ง!”


                นางเฮ่อเจ็บปวดใจเป็นยิ่งนัก กล่าวว่า “ต้นไม้นั้นสูงมาก ที่ที่ใกล้ประตูรองก็ยังมองเห็นต้นไม้นี้ได้! หากมีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วคุณหนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? เรื่องที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สตรีตระกูลเว่ยควรทำที่ใดกัน? คุณหนูใหญ่ก็เหลวไหลเกินไปเสียแล้วนะเจ้าคะ!”


                นางเฮ่อให้นมและเลี้ยงดูเว่ยฉางอิ๋งมาจนโต แม้จะมีความสามารถไม่ทัดเทียมนางหวง แต่ฐานะของนางก็อยู่เหนือกว่า เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำสอนสั่งของนาง ได้แต่ทำปากจู๋ แล้วว่า “ข้าไม่ได้…อืม ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วหรอกหรือ?”


                หากไม่มีบางคนเข้ามาก่อกวน ไม่แน่ตอนนี้ข้าอาจจะกำลังกินดอกฮวายฮวานึ่งอยู่ก็เป็นได้!


                ท่าทีที่นางเฮ่อมีต่อนางในยามนี้ แน่นอนว่าต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูใหญ่เป็นคนสำคัญเพียงใด! จะมาทำเรื่องเสี่ยงอย่างนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ? หากคุณหนูอยากจะรับของว่างที่ทำจากดอกฮวายฮวาก็เพียงสั่งให้คนไปเก็บก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? หากอยากจะไปนอนพักผ่อนบนต้นไม้ ก็ให้คนไปทำบ้านบนต้นไม้ ต่อบันไดเชือกให้ แล้วมีเชือกอีกเส้นผูกไว้ที่เอว แบบนี้จึงจะปลอดภัยนะเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับ ครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วพลันพูดออกมาว่า “มิใช่ว่าจูหลานและจูสือเอาดอกฮวายฮวากลับมาหรอกรึ? เอามาทำสิ่งใดแล้วบ้าง?”


                “นึ่งแล้วเจ้าค่ะ” ปรากฏว่านางเฮ่อพลันลืมไปแล้วว่าต้องอบรมเว่ยฉางอิ๋งเรื่องที่นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วกล่าวด้วยความรักว่า “คุณหนูจะลองทานหรือไม่เจ้าคะ?”


                นางหวงส่ายหัวเป็นทีส่งสัญญาณ นางเฮ่อเองก็ไม่ใช่ว่าเมื่อได้ยินเว่ยฉางอิ๋งถามถึงเรื่องของกินก็จะลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ นางก็เพียงแค่คอยใส่ใจดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ และการเดินทางของเว่ยฉางอิ๋งเป็นพิเศษเท่านั้น เมื่อเอ่ยถึงสี่เรื่องนี้ เรื่องอื่นก็จักวางทิ้งไว้ข้างๆ สักพักก่อน ก็มิน่าเล่าปีนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงได้ให้ตนอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อเป็นการเตรียมการเมื่อคุณหนูใหญ่ออกเรือน แล้วในบรรดาคนทั้งหลายกลับเจาะจงเลือกนางเฮ่อมาเป็นแม่นม… ความคิดอ่านเช่นนางเฮ่อนี้ดูแลจัดการบ้านเรือนไม่ได้ แต่ทำการใดๆ ว่องไวนัก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสนิทกับนางฮวงเป็นอย่างยิ่ง นางนับถือนางฮวงมาแต่เล็ก เมื่อครั้งที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กรับใช้ตัวเล็กๆ ไม่ว่านางเฮ่อจักทำสิ่งใดล้วนฟังนางหวงทั้งสิ้น เรื่องใดที่นางหวงให้นางทำ แม้แต่สาเหตุนางก็จะไม่ไปถาม…


                ความเคยชินนี้หยั่งรากลึกเกินจะปรับเปลี่ยน ทำให้วันนี้แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พบหน้ากันมาสิบกว่าปี แต่ก็สามารถสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ถึงขึ้นว่าผ่านไปไม่กี่วันก็สามารถกลับมาเป็นดังช่วงที่พวกนางยังเป็นเด็กรับใช้ ยามนี้แม้สมองสักครึ่งหนึ่งนางเฮ่อก็ไม่อยากจะใช้แล้ว


                ดังนั้น ข้างกายของเว่ยฉางอิ๋ง ก็มีท่านอาคนหนึ่งคอยช่วยคิดการวางแผน อีกคนหนึ่งคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่หลับนอน และการเดินทาง ทั้งท่านอาทั้งสองคนก็สนิทสนมกันไม่เลวเลย รวมทั้งไม่เขม่นกันและกันจนเป็นเรื่องขึ้นมาด้วย แต่ในทางกลับกัน กลับรักใคร่ปรองดองกันเสียอย่างมาก… แม่เฒ่าซ่งก็มีหลานสาวแท้ๆ ผู้นี้เพียงผู้เดียว เพื่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม้จักต้องวางแผนลึกล้ำเอาไว้ยาวไกลปานใด ก็เรียกได้ว่าทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังที่มีเลยทีเดียว


                ยามนี้ นางเฮ่อคอยหวงแต่ว่าจะทำสิ่งใดให้เว่ยฉางอิ๋งทาน แต่นางหวงนั้นไม่อาจจะลืมเรื่องสำคัญไปได้ อาศัยเวลาที่ดอกฮวายฮวานึ่งยังไม่ได้ยกมาก นางจึงบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ท่านองครักษ์เจียงได้ฝากคนส่งความมา บอกว่าอยากจะขอร้องคุณหนูใหญ่เรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ่งดื่มนำชาไปอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ท่านลุงเจียงมีเรืองใดต้องขอร้องข้าหรือ?”


                ตำแหน่งครูฝึกของคุณหนูใหญ่นั้นแน่นอนว่าเป็นตำแหน่งที่องค์รักษ์ในตระกูลส่วนใหญ่พากันอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก แต่เจียงเจิ้งเคยได้หลั่งเลือดในยุทธภพมาแล้วหลายครา เหตุที่ยอมเข้ามาทำงานให้กับตระกูลเว่ยก็เพราะอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขสักหน่อย ตระกูลเว่ยนั้นใจกว้างต่อบ่าวไพร่ โดยเฉพาะกับบ่าวที่มีความสามารถมาโดยตลอด เจียงเจิงเองก็ไร้ญาติขาดมิตร จึงมีความพึงพอใจกับชีวิตในบ้านตระกูลเว่ยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่สอนวรยุทธ์ให้เว่ยฉางอิ๋งมาสิบกว่าปี แต่ไรมาไม่เคยร้องขอสิ่งใด


                จู่ๆ วันนี้ก็บอกว่ามีเรื่องจะขอร้องเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ รีบขึ้นมานั่งตัวตรง แล้วว่า “หรือท่านลุงเจียงไม่อยากไปเมืองหลวง?”


                เจียงเจิงมีวรยุทธ์แก่กล้า และสิ่งที่หายากที่สุดก็คือมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน การที่พี่น้องตระกูลเว่ยทั้งสามรอดจากการลอบสังหารมาได้ก่อนหน้านี้ก็เป็นผลงานสำคัญของเขา ผู้มีความสามารถเช่นนี้ แม่เฒ่าซ่งย่อมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาออกห่างเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งคู่ของตนไปได้ เพราะเจียงเจิงคอยสอนวรยุทธ์ให้แก่เว่ยฉางอิ๋งมาโดยตลอด ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงตัดสินใจให้เขาตามเว่ยฉางอิ๋งไปด้วยยามนางออกเรือน


                ครูฝึกผู้นี้ไม่ใช่บ่าว เขามิได้ทำสัญญาขายตัวเอง หากแต่ปวารณาตนรับใช้ผู้ใหญ่ในสกุลเว่ย แต่หากเขาไม่อยากไปเมืองหลวงจริงๆ ด้วยความเป็นศิษย์อาจารย์ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อยากจะบังคับใจเขา เพียงแต่ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเช่นกัน


                พลันได้ยินนางหวงหัวเราะแล้วว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้เป็นกังวลเจ้าค่ะ องครักษ์เจียงจะไม่ยอมไปเมืองหลวงกับคุณหนูได้อย่างไรกัน? เรื่องเป็นเช่นนี้ องครักษ์เจียงอยากจะพาศิษย์คนอื่นๆ ไปด้วย บอกว่าคิดมานานแล้วว่าอยากจะให้พวกศิษย์คนอื่นได้ไปฝึกฝนที่เมืองหลวงสักครั้งเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ่งโล่งใจ แล้วว่า “ข้าก็คิดว่าเรื่องอันใดกัน? เรื่องเล็กเพียงนี้ เอารายชื่อศิษย์ของท่านลุงเจียงเพิ่งเข้าไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”


                 “ความจริงก็มีเรื่องน่าลำบากใจเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ศิษย์ที่องครักษ์เจียงรับไว้ผู้นี้ มิใช่องครักษ์หรือบ่าวในบ้านเว่ยของเรา หากแต่เป็นชาวบ้านผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่องครักษ์เจียงว่า ก็มิได้ต้องการจักให้ศิษย์ผู้นี้ทำสัญญาระยายาวหรือสั้นกับบ้านเรา แต่กลับคิดจะอาศัยโอกาสที่คุณหนูใหญ่จะแต่งงานและไปอยู่เมืองหลวง ให้ศิษย์ผู้นี้เดินทางไปด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยเจ้าค่ะ”


                ในขบวนรับตัวเจ้าสาวที่มีการจัดแจงเป็นอย่างดี กลับมีคนนอกโผล่มาหนึ่งคน ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่เหมาะสม ทว่าเว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปขั่วขณะ แล้วตอบมาทันใดว่า “เรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีสิ่งใด ก็เป็นศิษย์ของท่านลุงเจียงนี่…อ่ะ คราก่อนท่านอาเฮ่อด่าทอท่านลุงเจียง และพูดไปถึงศิษย์ของท่านลุงเจียงด้วย ท่านลุงเจียงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้าเลย ศิษย์ผู้นี้ของเขาเป็นคนเช่นใด?”


                ด้วยฐานะของนาง ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็ด้วยนางเป็นหญิง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะกรำแดดกรำฝนฝึกวรยุทธ์มากับเจียงเจียง แต่กลับไม่เคยมีพิธีไหว้ครู ตามกฎในยามนี้แล้ว เพลงยุทธ์ที่ล้ำลึกและมีอานุภาพรุนแรงที่สุดในเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาในตระกูลเจียงจึงไม่ได้ถ่ายทอดให้แก่นาง แต่ด้วยฐานะของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ร่ำเรียนมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าใช้การได้แล้ว


                ดังนั้นสุดยอดเคล็ดวิชาที่แท้จริงของเจียงจือก็จะต้องถ่ายทอดให้กับผู้สืบทอดคนอื่น


                เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีกว่าไม่อาจเรียกเจียงเจิงเป็นอาจารย์ได้ ทว่าก็คิดอยู่เช่นกันว่าตนเองก็ร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาแต่เล็ก แต่กลับมิได้เป็นหนึ่งในศิษย์ที่แท้จริงของเขา ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเจียงเจิงรับคนเป็นศิษย์จริงจังแล้ว ก็อดรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมาไม่ได้ จึงคิดอยากจะสอบถามถึงความสามารถของอีกฝ่ายดูสักหน่อย เพื่อจักได้มาเปรียบเทียบกับตนเอง


                ความคิดเช่นนี้ของนาง นางหวงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงยิ้มแล้วว่า “ได้ยินว่าชื่อจูเหล่ยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเองก็ยังไม่เคยเห็นกับตา ได้ยินคนทางประตูรองเล่ากันว่าเป็นคนที่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ดูแล้วคล้ายคนที่สวมหมวกแล้ว แต่ความจริงอายุกลับไม่มาก ยังเด็กกว่าคุณชายห้าของเราสองปี” แล้วว่า “ได้ยินคนว่า องครักษ์เจียงเอ็นดูศิษย์ผู้นี้มาก คล้ายกับว่าเขาสามารถเรียนรู้วรยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เงินที่องครักษ์เจียงสะสมมาหลายปีเพื่อเอาไว้ซื้อบ้านของตน คล้ายว่าล้วนเอาไปซื้อยาสมุนไพรนานาชนิดรวมทั้งอาหารเนื้อสัตว์เพื่อเตรียมร่างกายของเขาให้พร้อมกับการฝึกฝน เห็นได้ว่าเขา                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      เอ็นดูศิษย์ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง”


                เว่ยฉางอิ๋งบ่นเสียงหนักว่า “เพิ่งอายุสิบสี่ปีรึ…” อายุสิบสี่ปี อ่อนกว่าตนสี่ปี อายุในวัยนี้แต่กลับมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ เห็นได้ว่าร่างกายของเขาได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นที่ชื่นชอบของเจียงเจิงเป็นพิเศษอีก เว่ยฉางอิ๋งได้รับคำชมเชยจากเจียงเจิงมาโดยตลอดว่ามีพรสวรรค์โดดเด่น พื้นฐานร่างกายไม่ธรรมดา เจ้าเด็กชาวบ้านผู้สามารถทำให้เจียงเจิงพุ่งเข้าหาได้ถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจักมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเว่ยฉางอิ๋งขึ้นไปอีก…


                 อึ่ม อย่าไปเปรียบเทียบกับเขาดีกว่า อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าตน ต่อให้ชนะก็ไม่น่าภูมิใจ แพ้แล้วยิ่งน่าขายหน้า


                นางเลิกความคิดที่จะสอบถามถึงรายละเอียดของจูเหล่ยผู้นี้ต่อไป กล่าวเพียงว่า “เห็นแก่ท่านลุงเจียง ก็อนุญาตให้เขาร่วมขบวนไปด้วย หากไม่มีม้าขี่ ก็หาให้เขาสักตัว… ท่านลุงเจียงพอจักมีคนอยู่ในเหล่าองครักษ์ที่สามารถดูแลเขาให้ได้หรือไม่? หากไม่สะดวก ท่านก็ไปบอกท่านลุงเจียงว่าให้ไปจัดหามาได้”


                ระหว่างทางจากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวงนั้นจักต้องราบรื่น แม้จะบอกว่าจูเหล่ยเป็นผู้มีวรยุทธ์ แต่หากต้องเดินทางเพียงลำพังก็จะไม่ปลอดภัยพอ ทว่าเมื่อติดตามมากับขบวนรับเจ้าสาวของตระกูลเสิ่นก็จักวางใจได้ โดยนามแล้วครานี้เสิ่นจั้งเฟิงพาองครักษ์ในตระกูลและกองทหารม้ามาเพียงสามร้อยคน แต่ความจริงแล้วหากรวมพ่อบ้านและพวกบ่าวไพร่เข้าไปด้วยแล้วก็มีจำนวนเกือบพันคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ แม้โดยนามแล้วจักเป็นบ่าวไพร่ แต่ทุกคนล้วนมีดาบและกระบี่เหน็บไว้ที่เอว… ว่ากันว่าด้วยเหตุที่ตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวต้องคอยปกป้องชายแดน ทั้งยังแทบจะต้องสู้รบกับพวกตี๋และหรงอยู่แทบทุกปี จึงทำให้ทุกคนในตระกูลล้วนมีการเตรียมตัวเพื่อไปเป็นทหารได้ทุกเมื่อ


                ซึ่งก็หมายความว่า ทุกคนที่เรียกว่าเป็นพ่อบ้านและบ่าวไพร่นั้น หากพบเจอพวกกองโจร นอกจากพวกที่ไม่มีเกราะป้องกันตัวแล้ว นอกนั้นเมื่อหยิบอาวุธขึ้นมาก็สามารถเข้าโรมรันได้ทันที


                ยิ่งไปกว่านั้นอานุภาพการรบของกองกำลังส่วนตัวและทหารม้าของต้าเว่ยก็มิได้อยู่ในขั้นต่ำๆ เท่านั้น กองกำลังส่วนตัวนี้เป็นเหล่าตระกูลใหญ่บ่มเพาะมาเองเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่ในตระกูล เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือจะเป็นม้า อาวุธ เกราะกำบัง ก็ล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น ส่วนเรื่องเบี้ยหวัดทหารยิ่งไม่ได้เอ่ยถึง เพราะได้มอบให้กันอย่างเต็มที่เลยทีเดียว


                ทว่าหลายปีมานี้กำลังอำนาจในการปกครองของต้าเว่ยถดถอย กองทหารเองก็สับสนวุ่นวาย เรื่องที่พวกทหารไม่ได้เบี้ยหวัดก็มีให้ได้ยินกันอยู่นับครั้งไม่ถ้วน พวกขุนนางที่มาถึงก็ถึงขั้นคร้านจักไปตรวจสอบแล้ว เรื่องการหนีทหารก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน… บรรดาคนของตระกูลเสิ่นเหล่านี้ รวมทั้งคนของเว่ยฉางอิ๋งที่ติดตามนางไป อีกทั้งในตระกูลเว่ยเองก็ต้องมีคนไปร่วมงานแต่งงานที่เมืองหลวงด้วย… แม้ไม่ขอกำลังทหารม้าแห่งต้าเว่ยมา แต่ขบวนเดินทางขบวนนี้ก็หาใช่ว่าจักถูกรังแกได้โดยง่าย


                ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีการขอกำลังทหารม้าแห่งต้าเว่ยมาคุ้มครองขบวนเดินทางนี้…ตระกูลเสิ่นเองก็มิใช่ว่าไม่มีคนอยู่ในกองทหาร


                การพาจูเหล่ยเดินทางไปพร้อมกันก็เป็นเพียงเรื่องที่แทบไม่ต้องออกแรงใดเลย… เว่ยฉางอิ๋งจึงหลงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางคอยทอดถอนใจก็คือ เมื่อผ่านยามเย็นไปก็จักเป็นเพลาพลบค่ำ ผ่านพลบค่ำไปก็จะเป็นกลางคืน…หลังจากฟ้าสางแล้วก็กลายเป็นอีกวันหนึ่ง และวันเวลาที่นางจะได้อยู่ในบ้านตนเองนั้น ก็น้อยลงไปอีกวัน


                เมื่อสูญเสียก็จักเข้าใจการทะนุถนอม


                ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าในใต้หล้านี้ไม่มีคำกล่าวใดที่มีเหตุผลเท่าคำกล่าวนี้อีกแล้ว


                นางจดจ้องไปยังต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นในเรือนเสียซวงอย่างด้วยความอาลัยและโลภโมโทสัน แม้จักเป็นเพียงเศษหินเล็กๆ ที่บังเอิญไปอยู่ใต้ดอกไม้ก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะการไปเมืองหลวงครานี้ ยังมิอาจรู้ได้ว่าในชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้กลับมาบ้านเดิมของตนอีกเมื่อใด


                เรือนเสียซวงซึ่งเป็นที่บันทึกชีวิตในวันเด็กจนสาวของนาง เมื่อต้องจากไปก็รู้สึกเคว้งคว้างยิ่ง


                ความรู้สึกสับสนและความเศร้าสร้อยเมื่อจากลา… ยามก้าวข้ามจากวัยสาวแสนสะพรั่งงดงามและแต่งงานไปเป็นภรรยาผู้อื่น จากความไร้เดียงสา ไร้เรื่องร้อนใจ ไร้กังวล ไร้เรื่องให้ต้องครุ่นคิด ก้าวไปสู่การเป็นภรรยาที่ดี มารดาที่ประเสริฐที่ต้องดูแลบ้านเรือน สามีและบุตร …การเติบโตนั้นย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน


                ท่ามกลางความไม่รู้ไม่เข้าใจ เว่ยฉางอิ๋งในวัยสาว สัมผัสถึงสิ่งนี้ได้รางๆ


___________________________


ตอนที่ 94 คำสอนของบิดา

โดย

Xiaobei

               วันรุ่งขึ้น มีข่าวมาจากเรือนเล่ออี๋ว่า เว่ยเจิ้งหงอยากจะพบบุตรสาว


                เพราะเว่ยฉางอิ๋งรู้มาว่าเมื่อวานเว่ยเจิ้งหงเพิ่งจะเรียกเสิ่นจั้งเฟิงไปพบ ยามนี้จึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ว่า “วันนี้ท่านพ่อมีกำลังวังชาดีอยู่หรือไม่? หากอ่อนเพลีย หรือพรุ่งนี้ข้าค่อยไปคราวะ?”


                หลี่ว์หานซึ่งเป็นคนมาเชิญนางยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจเถิดขอรับ มีคำกล่าวว่าเมื่อคนพบเจอเรื่องน่ายินดีย่อมมีกำลัง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ยามนี้ใกล้วันดีของคุณหนูแล้ว วานนี้เมื่อนายท่านใหญ่ได้พบกับท่านเขยแล้วก็เอ่ยชมเชยท่านเขยไม่หยุดปาก ไม่เพียงรั้งท่านเขยไว้ร่วมทานอาหารเที่ยง เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ นายท่านยังทานโจ๊กข้าวเขียวไปอีกครึ่งถ้วยด้วยขอรับ”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำว่า ‘วันดี’ ก็อดจะอายจนหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อได้ยินหลี่ว์หานเล่าเรื่องความพึ่งพอใจที่เว่ยเจิ้งหงมีต่อเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว ทั้งใบหน้าและหูก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ แล้วกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ท่านลุงหลี่ว์รังแกผู้อื่น ก็บอกเพียงท่านพ่อมีกำลังวังชาดีก็พอแล้วนี่ ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย!”


                พวกของหลี่ว์หานและหลี่ว์หยวน ล้วนเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้เว่ยเจิ้งหงมานานปี เพื่อดูแลเว่ยเจิ้งหงจึงถึงขึ้นที่ครองตัวเป็นโสดไปชั่วชีวิต อุทิศทั้งแรงกายแรงใจทั้งหมดมาที่บุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ของตระกูลเว่ยซึ่งเกิดมาก็มีร่างกายไม่สมบูรณ์ผู้นี้ แม้แต่แม่เฒ่าซ่งเองก็ยังเคยได้บอกไว้หลายปีก่อนว่า การที่เว่ยเจิ้งหงสามารถอยู่มาได้จนวันนี้ โดยนานๆ ครั้งจักได้พบปะกับภรรยา บุตร และบิดามารดาบ้าง ประการแรกด้วยฝีมือของหมอเทวดา ประการที่สองก็ด้วยได้คนเหล่านี้คอยเอาใจใส่ดูแลมาอย่างดี


                ฐานะของพวกเขานั้นไม่เหมือนกับบ่าวไพร่ทั่วไป เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องก็ยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงท่านอา ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่พวกเขาดูแลบิดาของตนเต็มกำลัง


                และพูดได้ว่าหลี่ว์หานเองก็เห็นเว่ยฉางอิ๋งเติบโตมาแต่เล็ก เขามีอายุมากว่าเว่ยเจิ้งหง ดังนั้นแม้จักเป็นบ่าวผู้ชาย แต่ก็สามารถเข้ามาในเรือนหลังได้ในทันใด ยามนี้เขาหัวเราะแล้วว่า “ปกติแล้วข้าน้อยต้องอยู่กับนายท่านใหญ่ เมื่อคุณหนูใหญ่มาที่เรือนเล่ออี๋ ข้าน้อยก็ไม่กล้าไปรบกวนขณะคุณหนูใหญ่อยู่กับนายท่านใหญ่ ก็ทำได้เพียงอาศัยโอกาสยามออกมาทำงานนอกเรือนเช่นในวันนี้ จึงได้มาแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่”


                “ท่านลุงหลี่ว์พูดสิ่งใดกัน! ยินดีไม่ยินดีสิ่งใด… ข้าจักไปพบท่านพ่อแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าร้อนรนจนกระโดดโหยงขึ้นมา กระทืบเท้าหนแล้วหนเล่า แล้วหุนหันวิ่งออกไป… ดีชั่วอย่างไร นางก็รู้จักเรือนเล่ออี๋อยู่แล้ว


                นางเฮ่อกำลังวุ่นวายเรียกคนให้รีบตามไป กลับเป็นนางหวงที่เย้าหลี่ว์หานประโยคหนึ่งว่า “สองวันมานี้คุณหนูใหญ่ถูกคนล้อเล่นไปทั่ว ไม่คิดว่าพี่หานก็ยังมาร่วมวงด้วย”


                “คุณหนูใหญ่ของพวกเราใจกว้างนัก ดูท่าทีหุนหันเช่นนั้น ก็เพียงเพราะได้ยินว่านายท่านใหญ่มีเรี่ยวแรงดี จึงรีบไปพบเท่านั้น” หลี่ว์หานหัวเราะแล้วว่า “สองวันก่อนได้ยินว่าน้องหวงเจ้ากลับมาแล้ว ข้าต้องคอยปรนนิบัตินายท่านใหญ่กลับไม่มีเวลามาพบ พริบตาเดียวก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว นึกย้อนกลับไปเมื่อก่อน มันช่าง…”


                “ก็มิใช่รึ?” นางหวงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “โชคดีเหลือเกินที่วันนี้นายท่านใหญ่ยังคงอยู่ดี?”


                “ยาที่ท่านหมอเทวดาจี้จัดให้นั้นยังคงทานอยู่ตลอด ปกติแล้วก็รับประทานสำรับอาหารบำบัด และก็พอพักฟื้นได้ ทว่ายังคงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียนัก หากไม่คอยดูแลพละกำลังให้ดีก็ไม่อาจถูกรบกวนได้” หลี่ว์หานทอดถอนใจ


                นางหวงก็ถอนหายใจเช่นกัน “หลายปีมานี้ที่ข้าอยู่เมืองหลวง ทุกเทศกาลก็จะต้องไปที่บ้านท่านหมอเทวดาจี้ และได้เรียนอาหารบำบัดมาอีกหลายอย่าง อีกสักพักอาศัยช่วงที่คุณหนูใหญ่กำลังคุยกับนายท่านใหญ่แล้วจะบอกกับเจ้า?”


                “เช่นนั้นก็ดีจริงๆ” หลี่ว์หานเผยรอยยิ้มแห่งความยินดีแล้วว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเอาพู่กันและหมึกจดไว้!”


                ทั้งสองคนเดินรั้งท้ายออกมาสองสามเก้าสนทนาถึงเรื่องความหลัง ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างหน้านั้นก้าวฉับๆ จนไปถึงเรือนเล่ออี๋แล้ว …ครานี้เว่ยเจิ้งหงกลับมิได้อยู่ที่ลานบ้าน ภายในเรือนเงียบสงัด บนระเบียงทางเดินมีบ่าวชราเฝ้าอยู่สองคน เมื่อมองเห็นนางก็มิได้ส่งเสียง เพียงแต่ส่งรอยยิ้มที่เป็นอ่อนโยนมาพลางโค้งตัวน้อยๆ


                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจและก้าวเดินให้เบาลง โบกมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธี และเดินเข้าไปภายในห้อง


                หลังจากเข้าประตูไป ก็เห็นว่าที่ข้างใต้หน้าต่างนั้นมีผ้าม่านหน้าต่างสีเขียวสดใสผืนใหม่ที่เพิ่งนำมาเปลี่ยนหลังฤดูใบไม้ผลิ ข้างๆ ตั่งอ่อนที่ฝังแร่กลีบหิน[1] ประดับเป็นลวดลาย มีขวดดอกท้อสีชมพู่น่ารักที่เพิ่งไปเก็บมาวางอยู่ใกล้ๆ ขวดหนึ่ง


                ยามนี้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นแล้ว แต่ตั่งอ่อนประดับแร่กลีบหินนี้ยังคงปูฟูกหนาๆ เอาไว้ เว่ยเจิ้งหงเอนตัวพิงอยู่บนหมอนอิง มีผ้าห่มหนาคลุมอยู่ครึ่งตัว ในมือเขาถือหนังสือที่ม้วนเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ดูคล้ายไม่มีแก่ใจจะอ่านจนจบ เขาหลับตาและเอาหนังสือที่เปิดม้วนอยู่สองสามหน้านั้นวางอยู่บนผ้าห่ม นิ้วที่กำหนังสืออยู่นั้นงดงาม เรียวสวยไร้ที่ติ ทว่าซีดขาวเหลือประมาณ


                อาจเพราะกำลังงีบหลับ แม้สีหน้าของเขาจะดูสงบและผ่อนคลาย แต่ความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ยังคงชัดเจนนัก มีเสื้อตัวยาวผ่าหน้าแขนกว้างพื้นสีขาวนวลปักภาพต้นดอกเหลียนจูและกวางคู่คลุมอยู่ที่ไหล่อย่างหลวมๆ… เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าเสื้อตัวยาวนี้เพิ่งทำใหม่เมื่อปีนี้ แต่ครั้งก่อนที่มาหาบิดาจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะผ่านมาครึ่งเดือน ดูไปแล้วเสื้อตัวยาวนี้หลวมลงไปมาก…


                เห็นได้ว่าเวลาครึ่งเดือนมานี้เว่ยเจิ้งหงอาการไม่ค่อยดี เดิมทีก็มักจะมีอาการเจ็บป่วยในช่วงฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้ว ประสาอะไรกับที่ร่างกายของเว่ยเจิ้งหงอ่อนแอเป็นทุนเดิม… เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา


                เว่ยเจิ้งหงมีร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ เขาย่อมไม่อาจอยู่ในห้องได้ตามลำพัง ยามนี้คนที่เฝ้าเขาอยู่กลับไม่ใช่บ่าว หากแต่เป็นฮูหยินซ่ง นางนั่งอยู่ข้างๆ ตั่ง สองมือกุมมือของเว่ยเจิ้งหงข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือเอาไว้ คล้ายเป็นการให้ความอบอุ่นแก่เขา แต่ดวงตาของนางกลับเหม่อมองไปยังภาพมันดาลาวงกลมที่เป็นลายกิ่งก้านและดอกเหมยซึ่งจัดวางอยู่ไม่ไกลออกไป


                แม้ว่าสองสามีภรรยาคนหนึ่งจะนอนคนหนึ่งจะนั่งอยู่ แต่ก็พากันนิ่งเงียบไม่พูดจา ในชั่วขณะนี้กลับเกิดเป็นความนิ่งสงบที่อยากจะอธิบายได้


                ประหนึ่งว่าการเข้าไปรบกวนจักเป็นบาปอย่างหนึ่ง


                เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบสงบสติอารมณ์ แล้วค่อยๆ ถอยออกไปรอที่ลานหน้าเรือน


                เดิมทีนั้นเว่ยเจิ้งหงกำลังงีบหลับ แต่ด้วยอาการเจ็บปวดจากโรคที่เป็นมานานปีรุมเร้า ประสามสัมผัสทั้งห้าจึงรับรู้ไม่ได้ไวเช่นคนปกติ ฮูหยินซ่งเองก็กลับเอาแต่คิดเรื่องต่างๆ จนเหม่อลอย ด้วยเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเคยฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นแล้วยามที่นางตั้งใจขึ้นมา ฝีเท้าก็จักบางเบากว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว จึงทำให้สองสามีภรรยามิได้รู้สึกเลยว่าบุตรสาวเข้ามาและออกไปเรียบร้อยแล้ว ราวเกือบครึ่งชั่วยามจากนั้น ก็ได้ยินเสียงผ่านผ้าม่านว่าเว่ยเจิ้งหงเอ่ยถามฮูหยินซ่งด้วยเสียงอย่างลมปราณส่วนกลางไม่เพียงพอว่า “ฉางอิ๋งยังไม่มาหรือ?”


                “ข้าจะไปดูหน่อย…” ฮูหยินซ่งตอบคำ


                “ท่านพ่อ ข้ามาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบรับผ่านผ้าม่านมาคราหนึ่ง ฮูหยินซ่งตวาดกลับไปว่า “มาแล้วเหตุใดยังไม่เข้ามา! ต้องให้ท่านพ่อเจ้าเหนื่อยไปสอบถาม!”


                เว่ยฉางอิ๋งจัดกระโปรงของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วเดินเข้าประตูมา ก็เห็นว่าฮูหยินซ่งกำลังประคองเว่ยเจิ้งหงให้ลุกขึ้นมานั่ง นางรีบเข้าไปช่วย แล้วฮูหยินซ่งก็สั่งให้นางเข้าไปเอาหมอนในห้องมาสองสามใบ เพื่อมาใช้รองข้างหลังเว่ยเจิ้งหง ให้เขาได้นั่งสบายๆ สักหน่อย


                หลังจากเว่ยเจิ้งหงลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเขาก็ซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อย เขาหันหน้าไปข้างๆ กำมือหลวมๆ ปิดไว้ที่ริมฝีปากและเริ่มไอ เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ ดวงตาของฮูหยินซ่งพลันมีแววของความเจ็บปวด แล้วรีบร้องเรียกออกไปนอกประตูว่า “หลี่ว์อัน!”


                บ่าวที่เฝ้าอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาคนหนึ่ง และไม่ต้องถามให้มากความ เขาก็รีบเดินไปที่โต๊ะยาวทางด้านข้างซึ่งมีขวดดินเผาสูงบ้างต่ำบ้างวางเรียงกันอยู่หลายขวด เขาเลือกหยิบมาขวดหนึ่ง เทยาลูกกลอนสีดำเม็ดหนึ่งลงในถ้วยน้ำชา แล้วยกกาน้ำทำจากเงินที่อยู่ข้างๆ เทน้ำร้อนลงมา ใช้ช้อนเงินละลายยาเม็ด แล้วจึงยกมาที่ข้างตั่ง


                ฮูหยินซ่งรับมาแล้วค่อยๆ ป้อนให้เว่ยเจิ้งหงดื่มอย่างระมัดระวัง


                เมื่อดื่มไปครึ่งถ้วย เว่ยเจิ้งหงก็โบกมือเป็นการบอกให้เอาออกไป ฮูหยินซ่งถอนหายใจ แล้วกล่าวเตือนว่า “ดื่มอีกสักหน่อยเถิด?”


                “ยานี่ดื่มมากไปแล้วรู้สึกว่าหัวใจไม่ค่อยสบาย” เว่ยเจิ้งหงกล่าวสั้นๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่ดื่มอีก


                ฮูหยินซ่งจนปัญญา จึงได้แต่นำถ้วยยาส่งให้กับหลี่ว์อัน หลี่ว์อันรับกลับมาเก็บ แล้วออกไปอีกครั้ง


                แม้จะดื่มไปเพียงครึ่งถ้วย แต่ยาที่จี้ชวี่ปิ้งทิ้งเอาไว้ให้นั้นได้ผลเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเว่ยเจิ้งหงดื่มไปคำหนึ่ง ก็เห็นว่าเขามีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงมาก อาการไอก็หยุดลงด้วย เขายิ้มให้บุตรสาวมาเข้ามาตรงหน้าพูดคุยกัน


                เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปใกล้ตามคำ เว่ยเจิ้งหงมองดูบุตรสาวอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอยู่บ้างว่า “เพียงแค่พริบตาเหตุใดจึงผ่านมาหลายปีแล้ว ลูกข้าโตเป็นผู้ใหญ่ ยามนี้ก็จะออกเรือนแล้ว”


                หลายวันมานี้ เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำพูดเช่นนี้มาจนเบื่อแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากบิดาแท้ๆ ซึ่งนานครั้งจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ภายในใจก็อดจะรู้สึกปวดร้าวขึ้นมาไม่ได้ ฮูหยินซ่งไม่อยากให้สามีซึ่งมีร่างกายอ่อนแอต้องรู้สึกเศร้าใจ จึงยิ้มแล้วว่า “เด็กผู้หญิงเมื่อโตแล้วก็ต้องแต่งงาน ได้แต่งกับคนในตระกูลดีๆ พวกเราก็วางใจกับนางได้แล้ว… วานนี้ท่านได้พบกับเด็กบ้านเสิ่นผู้นั้นแล้ว เป็นเช่นไรบ้าง? เมื่อครู่ข้าก็ยังมิทันได้ถาม”


                เว่ยเจิ้งหงยิ้มอย่างสงบ กล่าวว่า “เป็นเด็กดีคนหนึ่ง”


                เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของเขา หัวใจของทั้งฮูหยินซ่งและเว่ยฉางอิ๋งล้วนปิติยินดี เว่ยฉางอิ๋งทำทีปกปิด กล่าวคล้ายไม่มีเรื่องใดว่า “ขอเพียงเขาเคารพท่านพ่อท่านแม่ ข้าก็…”


                “พูดจาเหลวไหล! สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องดีต่อเจ้า!” เว่ยเจิ้งหงและฮูหยินซ่งกลับพูดออกมาพร้อมกัน “หากไม่ดีต่อจ้า ไม่ว่าจะกตัญญูและเคารพพวกเราปานใดแล้วจะมีความหมายอันใด? หรือพวกเราไม่มีฉางเฟิงไว้ให้กตัญญู?”


                เว่ยเจิ้งหงกลับยิ้มและยับยั้งการอบรมบุตรสาวของภรรยา แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “หากเขาดีต่อเจ้า แน่นอนว่าย่อมต้องเคารพพวกเรา เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ?”


                เว่ยฉางอิ๋งแลบลิ้นหนแล้วหนเล่า แล้วแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพ่อสอนสั่งถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”


                “พ่อเห็นว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่มีความคิดอ่าน นิสัยก็นอบน้อม” เว่ยเจิ้งหงหาได้รู้ไม่ว่าเกิดเรื่องชื่อเสียงบุตรสาวเสียหายและเกือบจะถูกบ้านตระกูลเสิ่นถอนหมั้น แม้จะไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่เมื่อคิดถึงว่าบุตรสาวต้องแต่งงานออกไปไกลบ้านก็ยังรู้สึกไม่ใคร่วางใจ จึงได้กล่าวเตือนว่า “ทว่านี่ก็เป็นยามเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ เมื่ออยู่ลับตาคนแล้วจักปฏิบัติกับเจ้าเช่นไร ก็ยังต้องให้เจ้าเป็นผู้ชั่งน้ำหนักเอง… ได้ยินว่าท่านย่าของเจ้าให้นางหวงมาอยู่กับเจ้าแล้ว? นางหวงเป็นคนคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด เจ้าสามารถขอคำชี้แนะจากนางได้ อย่าได้เห็นว่านางเป็นเพียงบ่าวและจักเพิกเฉยและสบประมาทนางเชียว”


                ตามธรรมเนียมแล้วก่อนจะออกเรือน บิดาจักต้องมาอบรมบุตรสาวต่อหน้าแขกเหรื่อมากมาย แต่เว่ยเจิ้งหงร่างกายอ่อนแอไม่อาจถูกรบกวนได้ แม้จักอยากเห็นงานแต่งงานของบุตรสาวปานใด แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็จะไม่ยอมตกปากรับคำเป็นแน่ จึงทำได้เพียงเรียกบุตรสาวมาสั่งความเป็นการส่วนตัวก่อนนางออกเรือน


                เว่ยฉางอิ๋งพลันลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เจ้าค่ะ”


                “เมื่อเป็นภรรยาผู้อื่น ไม่เหมือนกับเป็นบุตรสาว ไม่อาจทำทุกสิ่งตามใจได้อีกแล้ว จักต้องรู้จักนอบน้อมรอบคอบ เชื่อฟังพ่อแม่สามี เป็นมิตรต่อพี่น้องของเขา”


                “เจ้าค่ะ!”


                “สามีเป็นช้างเท้าหน้าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง ต่อไปเจ้าจงเชื่อฟังสามี ตั้งใจ ปรนนิบัติดูแล อย่าได้คอยหาเรื่องหาราว ทำให้บ้านไม่สงบ”


“เจ้าค่ะ!”


                “หากพ่อแม่สามีเข้าข้างผู้อื่น ควรให้อภัยไม่ควรเก็บมาคิดเคืองโกรธ หากในเหล่าสะใภ้ด้วยกันมีคำพูดใด สามารถมาไถ่ถามกันเป็นการส่วนตัว อย่าได้ผู้ใจเจ็บแค้นด้วยเหตุนี้”


“เจ้าค่ะ!”


“ระวังคำพูดระวังกริยา เรื่องในบ้าน ห้ามเล่าสู่ภายนอก เรื่องไร้สาระภายนอก จงอย่านำเข้าบ้าน! ทุกคำพูด ทุกการกระทำ จงจำไว้ให้ดี อย่าได้ขัดต่อขนมธรรมเนียมของตระกูลเว่ยของเรา!”


“เจ้าค่ะ!”


พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเว่ยเจิ้งหงพลันมีสีแดงฉาบขึ้นมาอย่างไม่เป็นปกติ ฮูหยินซ่งรีบว่า “เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ แต่ไรมาบุตรสาวของเราเป็นคนเชื่อฟังอย่างยิ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนรู้ดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ”


เว่ยฉางอิ๋งไปรินน้ำชาร้อนมาจอกหนึ่ง และป้อนให้บิดาดื่มสองสามอึก เว่ยเจิ้งหงยิ้มบางๆ แล้วว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อต้องกำชับบุตรสาวก่อนออกเรือนสักรอบหนึ่ง… คาดว่าท่านย่าและท่านแม่ของเจ้าคงเคยบอกมาแล้วหลายครั้ง” จากนั้นน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยน ในสีหน้าซีดขาวนั้นพลันมีความเฉียบคมฉายแววออกมา แล้วสั่งความอย่างราบเรียบว่า “เพียงแต่ฐานะของตระกูลเว่ยของเรามิได้อ่อนด้อยกว่าตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง เมื่อเจ้าพยายามปฏิบัติตนเป็นภรรยาอย่างเต็มกำลังแล้ว หากว่า…บ้านเสิ่นรังแกเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องอดทนจนเกินไป เพียงส่งคนกลับมาบอก บ้านเราก็จัก… ทวงความยุติธรรมให้แก่เจ้าเอง!”


ที่สุดน้ำตาของเว่ยฉางอิ๋งก็ร่วงลงมา สะอื้นไห้ว่า “เจ้าค่ะ!”


“บุตรสาวโตแล้ว ก็ยากจะไม่ออกเรือนได้” แววตาเว่ยเจิ้งหงอ่อนโยน จ้องมองนางพลางยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะแต่งออกไปกับผู้ใด ที่สุดแล้วก็ยังเป็นลูกของพ่อและแม่ของเจ้า เมื่อพบเจอกับอุปสรรค ก็อย่าได้ลืมส่งคนกลับมาบอกเล่าแกพ่อแม่ แม้วันหน้าพ่อแม่จะไม่อยู่แล้ว ก็ยังมีฉางเฟิง อย่างไรพวกเจ้าก็ยังเป็นพี่น้องร่วมท้อง ต้องคอยช่วยประคับประคองซึ่งกันและกัน…”


ฟังถึงตรงนี้ แม้แต่ฮูหยินซ่งเองก็ยังร้องไห้ออกมา


แม้ว่าเว่ยเจิ้งหงจะสงบนิ่งมาเนิ่นนาน แต่ก็กลับถอนหายใจเบาๆ มือข้างหนึ่งกุมมือภรรยา อีกมือหนึ่งลูบหัวบุตรสาว เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่าฝ่ามือของบิดานั้นใหญ่กว้าง แห้ง ไร้เรี่ยวแรง จนกระทั้งรู้สึกว่ามีความเย็นด้วยหลายโรครุมเร้า


ฝ่ามือนี้ช่างอ่อนแอ อ่อนแอเสียจนนางสามารถหักให้สะบั้นได้โดยง่าย แต่ยามที่ลูบอยู่บนหัวของนางกลับทำให้นางเกิดความอุ่นใจที่ไร้ที่มาที่ไป


ดังลูกนกที่ถูกปกป้องไว้ใต้ปีก รู้สึกสงบปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก แม้ต้องเผชิญหน้ากับทุกสรรพสิ่ง ก็ยังมิรู้สึกหวาดกลัวใดๆ


__________________________


[1] แร่กลีบหิน (mica) มีหลายสี ลักษณะเด่นคือเป็นแร่แผ่น ลักษณะเป็นชั้นๆ มีความวาวแบบแก้ว โปร่งใสถึงโปร่งแสง


ตอนที่ 95 หวีผม

โดย

Xiaobei

                “หวีที่หัวครั้งที่หนึ่ง มั่งคั่งมิต้องกลัดกลุ้ม


                หวีที่หัวครั้งที่สอง ไร้โรคภัยไร้กังวล


                หวีที่หัวครั้งที่สาม บุตรมากมี อายุยืนยาว


                หวีอีกครั้งจนถึงปลายผม สามีภรรยาให้เกียรติซึ่งกัน


                หวีถึงปลายผมครั้งที่สอง ดังสองปีกร่วมโบยบิน


                หวีถึงปลายผมครั้งที่สาม ร่วมใจสามัคคีปรองดอง


                หวีจากหัวลงไปถึงปลาย ร่วมสุขกันไปชั่วชีวิต!”


                วันที่เก้าเดือนสาม เป็นวันมงคลที่เว่ยฮ่วนเป็นผู้เลือกสรรมาเอง ทั้งจวนรุ่ยอวี่ถังมีการประดับตกแต่งใหม่ทั้งหมด มีดอกไม้ประดับงดงามอยู่ทั่วทุกแห่ง ทั้งยังมีการขนสิ่งของประดับหลายหลากชนิดเข้าในเรือนเสียซวงติดต่อกันมาหลายคืน ประหนึ่งตัดเอาภาพตะวันตกดินที่ขอบฟ้าอันแสนงดงามมาปูเอาไว้ในโลกมนุษย์เช่นนั้น


                นางเฉียนซึ่งเป็นอาสะใภ้ในตระกูลเว่ยผู้หนึ่ง และเป็นผู้ที่มีบุตรและธิดาครบพร้อม บิดามารดายังอยู่ และมีสามีรักใคร่ปรองดองได้ถูกเชิญมาหวีผมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง หวีงาช้างประดับอัญมณีหวีลงบนผมดำขลับดังปีกกา ราวกับกำลังวิ่งอยู่บนผ้าไหมเนื้อต่วนชั้นเลิศเช่นนั้น… ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เว่ยฉางอิ๋งก็ถูกเร่งให้ตื่นขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ สาวใช้สองสามคนผลัดกันเอาผ้ามาช่วยเช็ดผม แต่จนยามนี้ก็ยังคงเปียกอยู่บ้าง หวีงาช้างจึงได้หวีลงมาได้อย่างลื่นไหลเป็นที่สุด


                หวีครั้งที่หนึ่ง หวีครั้งที่สอง หวีครั้งที่สาม…


                พร้อมกับเสียงร้องเพลงของบรรดาท่านอาแม่บ้าน และแม่นมที่เป็นที่ยอมรับว่ามีวาสนาดี นางเฉียนช่วยเว่ยฉางอิ๋งเกล้าผมเป็นทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้วอย่างคล่องแคล่ว… มวยผมดังก้อนเมฆดำขดซ้อนกันและก่อตัวสูงขึ้นไป เผยให้เห็นแก้มขาวใสดังหิมะทั้งสองขาง เมื่อเทียบกับทรงผมก้นหอยคู่ ก้นหอยเดี่ยว ทรงม้วนผมสองวงเกล้าครึ่งหัวและทรงอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความร่าเริงสดใส ทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้วจะยิ่งทำให้ดูสุขุมและสุภาพกว่า


                นางเฉียนเอาหวีจุ่มน้ำ เพื่อเก็บไรผมเล็กๆ ที่หลังหูขึ้นมาให้เรียบร้อย จากนั้นถอยออกไปสองก้าวเพื่อสำรวจดูให้ละเอียดว่ามีเส้นผมที่ยังไม่ได้รวบขึ้นอีกหรือไม่ ยามนี้ผมดำขลับตัดกับใบหน้าที่ยังไม่ได้ตกแต่งอย่างเด่นชัด ยิ่งเผยให้เห็นรูปโฉมที่งดงามของเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างชัดเจน ดังดอกกุหลาบที่เบ่งบานอยู่เต็มสวน งดงามตระการตา ความเจิดจ้าของวัยสาวที่ไม่อาจมีสิ่งใดบดบังหรือปิดกั้นได้ ผสานกับกลิ่นอายหอมหวาน ท่าทีเหนียมอาย และการเฝ้าถวิลหาที่ขจรขจายอยู่ทั่วทั้งตัวของเจ้าสาว ช่างงดงามเปล่งประกาย เจิดจ้าวับวาม จนทำให้ไม่อาจมองไปตรงๆ ได้


                ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจชื่นชม นางเฉียนตั้งสมาธิ แล้วรับเอาเส้นด้ายในถาดที่ยื่นเข้ามาให้ แล้วใช้ด้ายขัดใบหน้า[1]ให้นางต่อ… ในพิธีที่สลับซับซ้อนแต่กลับเป็นการอำนวยพรและแสดงความห่วงไยหนแล้วหนเล่านี้ แรกเริ่มนั้นเว่ยฉางอิ๋งยังรู้สึกหวาดกลัวและสับสนอยู่บ้าง ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงไม่นาน ในใจของนางนอกจากความรู้สึกว่าต้องพยายามทนยืนหยัดต่อไปให้จงได้แล้วก็ไม่มีความคิดใดอื่นอีก…


                แต่ไรมา เรื่องเครื่องประดับของเจ้าสาวถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและต้องใส่เอาไว้ให้มากที่สุด ตระกูลเว่ยมั่งคั่งสูงส่ง เครื่องประดับทุกอย่างล้วนเป็นทองและเงินแท้ ลำพังมงกุฎดอกไม้ที่สานจากเส้นไยทองคำแท้ ฝังอัญมณีหลากสีประดับเอาไว้จนทั่ว และตรงกลางเป็นดอกมู่ตานที่ทำจากไข่มุกนับร้อยเม็ดชิ้นนี้ก็มีน้ำหนักหลายจินแล้ว เมื่อสวมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง นอกจากจะหันหน้าไปซ้ายขวาแล้ว แม้แต่จะก้มหรือเงยหน้าก็ยังทำไม่ได้เลย นางจึงอดจะทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เคราะห์ดีที่เป็นข้า หากเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอบอบบางสักหน่อย หาไม่ถูกทับจนคบหักก็คงจักแปลกแล้ว!”


                ด้วยเหตุที่ทั้งสามีและบุตรของนางเฮ่อล้วนเสียชีวิตไปแล้ว แม้นางจะเป็นหนึ่งในคนที่ต้องไปอยู่กับเว่ยฉางอิ๋งหลังแต่งงานทั้งยังเป็นแม่นมด้วย แต่วันนี้กลับมิได้มาปรากฏตัว และรีบหลบไปที่อื่นตั้งแต่เช้า นางหวงซึ่งเป็นคนตอบความในยามนี้มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า “หาใช่ว่าผู้ใดก็จะรับสิริมงคลจากไข่มุกล้ำค่าที่อยู่เต็มศีรษะเช่นนี้ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่รับได้ไหว นับเป็นการบอกชัดแล้วว่าชะตาของคุณหนูใหญ่นั้นสูงส่ง นับแต่เกิดมาก็หาใช่คนธรรมดาจะเทียบเทียมได้เจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าที่ข้าว่านั้นหาได้ต้องการจะเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่มีฐานะต่างกันไม่ หากแต่ต้องการจักพูดถึงสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็กเช่นข้าต่างหาก เพียงแต่ว่าในวันที่กำลังมีพิธีสำคัญเช่นวันนี้ไม่เหมาะจะมาพูดคุยเล่น นางจึงได้แต่เงียบปากไว้


                จากนั้นคนทั้งห้องต่างพากันเยินยอนางตามนางหวงขึ้นมา


                ยามนี้ฮูหยินซ่งยังไม่มีเวลาว่างมาดู ตามธรรมเนียมแล้วจักต้องเป็นพวกพี่น้องผู้หญิงมาอยู่ด้วย ทว่าบรรดาคุณหนูตระกูลเว่ยนั้น เว่ยฉางเสียนคุณหนูรองของจวนจิ้งผิงกงอ้างว่ากลัวจะดวงชงกับลูกผู้น้องทั้งยังต้องคอยดูแลบุตรจึงไม่ได้มาแล้ว ข้างฝ่ายรุ่ยอวี่ถังทางนี้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่มีพี่น้องผู้หญิงแท้ๆ เว่ยเกาฉาน และเว่ยฉางเยียน ลูกผู้น้องทั้งสองคนก็เกิดเรื่องขัดใจกันมาก่อนหน้านี้ วันนี้ถึงจะมาแล้วแต่ก็ไม่ค่อยกล้าพูดสิ่งใด


                นางเฉียนที่ได้รับเชิญมานี้มิใช่คนในตระกูลโดยตาง แม้จักเป็นญาติผู้ใหญ่ แต่ด้วยฐานะอาสะใภ้ก็ย่อมไม่กล้าจะทำการใดมากมายนัก ทั้งยังเห็นว่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนซึ่งเป็นคุณหนูในตระกูลเองต่างไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นแล้ว นอกจากคำพูดมงคลที่จำเป็นต้องกล่าวตามพิธีแล้วนางจึงไม่ค่อยเอ่ยปากมากนัก ด้วยเกรงว่าหากไม่ระวังก็จักทำให้เกิดเรื่องเกิดราวจนเป็นการล่วงเกินตระกูลสายหลักเอาได้


                ดังนี้แล้ว ทำให้ในเรือนเสียซวงไม่ค่อยครึกครื้นนัก…ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี นางหวงเห็นเหตุการณ์จึงอดจะร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เมื่อนางเริ่มเอ่ยปากขึ้นมาสองสามครั้ง จากนั้นทุกคนก็พากันว่าตามแล้ว ก็กลับไม่รู้ว่าจักพูดสิ่งใดอีก


                นางหวงจึงส่งสัญญาณให้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน แต่จนใจเหลือเกิน อย่าว่าแต่พี่น้องทั้งสองมีเรื่องบาดหมางใจกับเว่ยฉางอิ๋งมาก่อนจึงทำให้ยังไม่กล้าพูดจากับนางมาจนถึงวันนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องบาดหมางใด พวกนางเองก็มิได้เป็นคนช่างเจรจามาแต่ไรอยู่แล้ว เมื่อถูกนางหวงคอยส่งสายมาตาเรื่อยๆ กลับยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกกลัวจนร้อนรนนั่งไม่เป็นสุข


                โชคดีที่เว่ยฉางเอ๋อมาถึงทันเวลาพอดี


                คุณหนูหกผู้นี้เป็นนักสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาตัวยงมาแต่กำเนิด นับๆ ดูแล้วก็เคยทำพลาดแค่เพียงเมื่อตอนที่อยู่ต่อหน้าซ่งไจ้สุ่ยคราก่อนเพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็เพราะนางไม่รู้จักข้อห้ามสำคัญของซ่งไจ้สุ่ยเท่านั้น


                เมื่อนางก้าวเข้าประตูมา ตาของนางก็เบิกกว้างในทันใด พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากแล้วจับจ้องไปที่เว่ยฉางอิ๋งอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงชี้ไปยังลูกผู้พี่ของตน แล้วร้องถามขึ้นมาท่ามกลางผู้คนว่า “นี่มิใช่เทพธิดาจากสวรรค์หรอกหรือ? ใช่พี่สามของข้าเสียที่ใดกัน? พวกท่านอย่าได้จำคนผิดเชียว!”


                ทุกคนต่างพากันหัวเราะ แล้วกล่าวชมความงามของเว่ยฉางอิ๋งตามคำนาง จากนั้นเว่ยฉางเอ๋อยังแสดงท่าทีไม่พอใจต่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนว่า “พี่สี่และพี่ห้าก็จริงๆ เชียว ทั้งที่ก็อยู่ที่นี่และเห็นพี่สามแต่งเนื้อแต่งตัวมาตั้งนานแล้ว เห็นข้าตื่นตระหนกเพียงนี้ก็ไม่ยอมบอก เอาแต่ดูข้าเสียมารยาทอยู่ได้!”


                เมื่อถูกนางพูดจาใส่เช่นนี้ เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนจึงรีบขอขมา แล้วเว่ยฉางเอ๋อก็ยังอาศัยข้ออ้างว่าตนมาช้า สอบถามเรื่องขั้นตอนการแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนถูกนางสอบถามก็ประหนึ่งว่าได้รับหน้าที่สำคัญ และพากันอธิบายให้นางฟังโดยละเอียด


                เว่ยฉางอิ๋งเองจึงได้โอกาสเย้าแหย่กลับไปว่า “ฉางเอ๋อ เจ้าถามเสียละเอียดปานนี้ คงจักจดจำเอาไว้ใช้ยามถึงคราวของตนเองกระมัง?”


                เว่ยฉางเอ๋อเป็นคนมีนิสัยช่างเจรจาอยู่แล้ว นางมิได้กลัวการเย้าแหย่ของลูกผู้พี่เลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “ผู้ใดจักไม่มีวันออกเรือนเล่า? จะว่าไปน้องสาวเช่นพวกเราหากไม่เรียนรู้จากพี่สาวแล้วจักให้ไปเรียนรู้กับผู้ใด? ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่มีชาติกำเนิดสูงส่ง พรั่งพร้อมทั้งปัญญาและรูปโฉม ทั้งยังได้แต่งงานกับพี่เขยแสนดีในตระกูลสูงศักดิ์ เช่นนี้แล้วย่อมมีวาสนาดีมาแต่กำเนิด งานครานี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด จะไม่มีแต่เรื่องมงคลหรอกหรือ? ถามให้มากเข้าไว้ก็จักพลอยได้ความโชคดีไปด้วยเช่นไรเล่าเจ้าคะ”


                “ดูวาจาของคุณหนูหกของเราสิเจ้าคะ” นางหวงเองก็ยังอดจะยิ้มออกมาจากใจจริงไม่ได้ พลางว่า “ข้าน้อยกลับมาที่นี่หลายวันแต่ยังมิได้ไปคารวะคุณหนูหก ไม่คิดว่าบ้านตระกูลเว่ยของเราจักมีผู้ล้ำเลิศเช่นคุณหนูหกนี้ ดังคำที่ว่าพูดเพียงดอกบัวออกจากปาก กล่าววาจาได้ล้ำเลิศดังไขมุกเชียวเจ้าค่ะ!”


                ก่อนนี้เว่ยฉางเอ๋อไม่เคยพบนางหวง ทว่าก็พอจะเคยได้ยินถึงฐานะของนางหวงมาก่อน ยามนี้จึงกล่าวว่า “ท่านอาหวงเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่พวกพี่ๆ ล้วนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีเพียงข้าผู้เดียวที่อายุน้อยกว่าผู้อื่นสองปีจึงไร้เรื่องต้องพะว้าพะวง คิดถึงสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้นออกมาก ซึ่งก็เพราะว่าพวกพี่ๆ เอ็นดูข้างจึงมิได้ถือสาต่างหาก!”


                เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะฮ่าๆ ออกมา แล้วว่า “หากบอกว่าน้องสี่และน้องห้าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยยังพอทำเนา ส่วนตัวข้าเองก็ชอบทำเรื่องครื้นเครงเช่นกัน” นี่เป็นวันเช่นใด แต่เจ้ายังจะมาหักหน้าตนเองอีก! นางหวงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจนถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง


                “พี่สามนั้นห้าวหาญองอาจต่างหากเจ้าคะ!” โชคดีที่เว่ยฉางเอ๋อหรี่ตาลงและพูดออกมาทันใด “ไม่เหมือนข้า ข้าห่วงแต่เล่น”


                แล้วนางก็ดึงเอาเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนมาร่วมสนทนาด้วย “พี่สี่ พี่ห้า ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรีบตอบว่า “พี่สามเก่งทั้งบู๊บุ๋น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราไม่มีความรู้เลย” แล้วพูดถึงเว่ยฉางเอ๋อว่า “ฉางเอ๋อเป็นคนร่าเริงไร้เดียงสา และเป็นคนน่ารักนิ่งนัก แต่พวกเราพี่น้องกลับไร้ประโยชน์ที่สุด เป็นเช่นท่อนไม้สองท่อนเช่นนั้น วันนี้ล้วนไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี หวังว่าพี่สามจะให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางเอ๋อยิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วว่า “พี่สาม ท่านอาหวงดูเอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าบอกว่าพี่สี่และพี่ห้าล้วนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทั้งยังถ่อมตนด้วย มาชมเชยพวกเราแต่กลับบอกว่าตนเองไร้ประโยชน์”


                “น้องสี่และน้องห้าทำงานเย็บปักถักร้อยเก่งกาจนัก ทั้งยังเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มบางๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “น้องหกกล่าวถูกแล้ว ที่นี่ก็มิได้มีคนนอกอยู่ ท่านอาสะใภ้ยี่สิบเอ็ดก็เป็นคนในบ้านเราเอง น้องสาวทั้งสองไยต้องถ่อมตนเช่นนี้เล่า?”


                นางเฉียนยิ้มพลางว่า “คุณหนูตระกูลเว่ยของเรา ทุกคนล้วนเป็นสตรีตระกูลใหญ่ที่พรั่งพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉม… เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ? ต่อให้ภายนอกจะกล่าวคำร้ายใด แต่นั่นก็ต้องให้มีคนเชื่อเสียก่อน!”


                “ท่านอาสะใภ้ยี่สิบเอ็ดกล่าวถูกต้องจนไม่มีสิ่งใดถูกต้องกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ!” เว่ยฉางเอ๋อกรอกดวงตาดำขลับของนางไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะฮิๆ ออกมา กล่าวว่า “พอกลับไปข้าจะเอาคำของท่านอาสะใภ้นี้ไปบอกแก่ท่านแม่ ท่านแม่จักได้ไม่ต้องเอาแต่ไม่พอใจที่ข้าไม่เรียบร้อยพอ!”


                เพราะการมาเยือนของเว่ยฉางเอ๋อทำให้เรือนเสียซวงครึกครื้นขึ้นมา เมื่อฮูหยินซ่งหาเวลาว่างมาได้นั้นก็ได้ยินคนทั้งห้องกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และหดหู่ใจก็กลับลดลงไปมาก


                เวลานี้เครื่องแต่งกายต่างๆ ของเว่ยฉางอิ๋งก็เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังคงสวมเสื้อและกระโปรงที่ใส่อยู่บ้านเป็นปกติ นั่นเพราะว่ามงกุฎดอกไม้และเครื่องประดับต่างๆ ก็มากมายอยู่แล้ว หากสวมคู่กับชุดออกงานพิธีก็จะดูหนักเกินไป เมื่อฮูหยินซ่งเข้ามา ท่ามกลางแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลินางได้เห็นบุตรสาวทำทรงผมของหญิงที่แต่งงานแล้ว พร้อมมีไข่มุกและมรกตประดับอยู่เต็มศีรษะ งดงามเหนือสิ่งใดเทียบเทียม ในใจนางรู้สึกภาคภูมิใจในรูปโฉมของบุตรสาวยิ่งนักทั้งยังรู้สึกอาวรณ์เสียเหลือเกิน… นางไม่เพียงคิดถึงตนเองครั้งเมื่อออกเรือนครานั้น ที่ตนคอยแต่คะนึงหาลูกผู้พี่ที่ร่างกายอ่อนแอ ทว่าสง่างามเหนือคนผู้นั้น ยามแต่งกายแม้ว่าจะถูกพวกพี่สาวน้องสาวและพี่สะใภ้เย้าแหย่เสียจนหน้าแดงหูแดง ทว่าภายในใจกลับเฝ้าหวังว่าจักได้เข้าบ้านและเคียงคู่กับลูกผู้พี่เสียในเร็ววัน


                ครานั้นมารดาของนางและแม่เฒ่าซ่งต่างเข้าประตูมากล่าวคำกับนาง ท้ายสุดก็กอดนางร่ำไห้ ยามนั้นแม้ฮูหยินซ่งเองก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย แต่เพราะใจคอยพร่ำคิดถึงลูกผู้พี่ จึงมิได้รู้สึกเศร้าโศกนัก จนกระทั่งหลังแต่งงาน ในขณะที่ฮูหยินซ่งคอยดูแลเว่ยเจิ้งหงอยู่นั้นก็เกิดรู้สึกคิดถึงเจียงหนานบ้านเดิมของตน คิดถึงบิดามารดาขึ้นมา… เมื่อนั้นเองจึงได้เข้าใจความอาวรณ์และความคะนึงหาของมารดาในครานั้น


                แต่ตระกูลเว่ยและซ่งแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันมาหลายชั่วอายุคน และฮูหยินซ่งก็ยังแต่งงานกับลูกผู้พี่ของตน แม่สามีก็เป็นท่านอาแท้ๆ ของตนเอง อย่าว่าแต่จงใจทำให้นางต้องร้อนใจเลย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็มีแต่เพียงจงใจเข้าข้างนางเท่านั้น ดังนั้นนางจึงมิได้รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใดยามตนออกเรือน


                ยามนี้ถึงคราวฮูหยินซ่งต้องแต่งบุตรสาวออกเรือนเองแล้ว ด้วยบุตรสาวต้องแต่งออกไปไกล และด้วยเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อปีที่แล้ว นางจึงยิ่งรู้สึกอาลัยอาวรณ์และคะนึงหามากกว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเว่ยในครานั้นเสียอีก


                หากไม่ได้มายืนในจุดนี้ ก็จะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นแม่… ความโศกเศร้าหลายปีที่ไม่มีทางระบายให้ผู้ใดฟัง ความลำบากยามตั้งครรภ์ ความเจ็บปวดเมื่อคลอดบุตร ความปิติยินดีจนแทบคลุ้มคลั่งและความรู้สึกอยากจะทะนุถนอมเหลือคณานับยามได้เห็นบุตรสาวคนโตร้องอุแว้ๆ เสียงดังอยู่ในผ้าอ้อม… ฮูหยินซ่งจดจำได้อย่างแม่นยำว่าหลังจากตนคลอดบุตรนั้นร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก ทว่าก็ยืนกรานไม่ดื่มยาเพื่อให้ตนนอนหลับ เพื่อขอให้ได้เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของตนด้วยตาตนเองเสียก่อน เมื่อได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่มีสีแดงไปหมดและหลับตาร้องไห้เสียงดังของบุตรสาวแล้ว นางถึงกับไม่รู้ว่ามีเรี่ยวมีแรงมาแต่ที่ใด พลันผลักพวกแม่นมออก ลงไปคลาน คุกเข่าลงไปบนพื้นที่เคยเหยียบ แล้วโขกหัวแรงๆ ลงกับพื้นหนหนึ่งเพื่อแสดงความขอบคุณต่อสวรรค์ด้วยความจริงใจ


                สิบเจ็บปีที่มองนางประหนึ่งเป็นอัญมณีล้ำค่า สิบเจ็บปีที่คอยดูแลแต่เช้าจรดค่ำ สิบเจ็ดปีที่คอยพร่ำสอน… เรื่องที่น่าเศร้าคือ ‘มารดาคอยดูแลบุตรโดยมิต้องถูกบังคับ แต่ที่สุดแล้วบุตรสาวก็ต้องไปเป็นลูกบ้านอื่น’


                เดิมทีเมื่อฮูหยินซ่งหาโอกาสมาได้ ทุกคนต่างพากันยิ้มแย้มยินดีและกล่าวทักทายนาง แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่จดจ้องเว่ยฉางอิ๋ง จึงพากันชมเชยเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมา แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อฮูหยินซ่งนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ น้ำตาของนางก็พลันไหลรินลงมา!


                ทุกคนล้วนรู้ดีกว่านางรักใคร่บุตรสาวปานใดจึงมิได้รู้สึกแปลกใจอันใด และพากันมาปลอบประโลมนาง แม่นมซือยิ้มพลางว่า “วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเขยและคุณหนูใหญ่มีชาติตระกูลสมกัน ทั้งยังเป็นสามีที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น มีจิตใจกว้างขวาง เรียกได้ว่าเป็นคู่สวรรค์สร้าง ก็มิน่าเล่าที่ฮูหยินจะปิติจนร้องไห้ออกมา!”


                นางหวงกล่าวต่อว่า “ก็มิใช่หรือไร? เพียงแต่ยิ่งเพราะเป็นเช่นนี้ ฮูหยินจึงยิ่งควรจักรื่นเริงถึงจะถูก เมื่อครู่นี้ข้าน้อยยังคิดว่าเมื่อฮูหยินมาก็จักต้องยิ้มไม่หุบเชียวเจ้าค่ะ!”


                “ลำพังเพียงรูปโฉมของคุณหนูใหญ่ของพวกเราหลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ฮูหยินก็ควรจะยิ้มไม่หุบแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมซือยิ้มพลางว่า “เจ้าสาวที่งดงามเพียงนี้ บ้านใดเล่าจะไม่คอยเชิดชูดูแลประดุจเป็นไข่มุกงาม? คุณหนูใหญ่เป็นที่รักใคร่ของบ้านเราเสมอมา ตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว หลังจากคุณหนูใหญ่ออกเรือนก็จักยิ่งเป็นที่รักของผู้อื่นจึงจะถูก”


                 ฮูหยินซ่งถูกพวกนางพูดเสียจนยิ้มออก ตนเองหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา สะอื้นเล็กน้อยพลางเชิญให้ทุกคนนั่งลง แล้วกล่าวทั้งรอยยิ้มและน้ำตาว่า “เป็นดังนั้น… เพียงแต่ข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว ครานี้ต้องแต่ออกไปไกล อย่างไร…ในใจก็รู้สึก…”


                เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็จะต้องร้องไห้ออกมา ฮูหยินซ่งจึงลอบสะกดจิตใจตนเอง พยายามฝืนเอาไว้ แล้วปลอบว่า “เด็กดีรีบกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เจ้าต้องออกจากเรือน จักไม่เป็นมงคล”


                ทั้งยังกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะกลั้นไม่ไหวและร้องไห้ต่อไป จึงรีบบอกว่า “เจ้าแต่งกับเขยที่ล้ำเลิศ นี่เป็นเรื่องดี… ของเตรียมพร้อมหมดแล้วหรือ?”


                นางหวงโค้งตัวแล้วว่า “เรียนฮูหยิน แต่เช้ามาก็ตรวจนับดูอีกรอบแล้วเจ้าค่ะ”


                “ชุดแต่งงานเล่า? เอาออกมาก่อน มาดูว่ามีที่ใดขาดตกบกพร่องหรือไม่”


                “เจ้าค่ะ!”


                ฮูหยินซ่งอาศัยการสอบถามถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มากลบเกลื่อนสายตาของทุกๆ คน และเบี่ยงเบนความสนใจตนจากความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อบุตรสาว อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งมิทันสังเกต ยกนิ้มขึ้นมาปาดที่หางตาหนหนึ่ง บนนิ้วมือนั้นมีน้ำเปียก แล้วพลันหดนิ้วเข้าในแขนเสื้อเพื่อเช็ดมันจนแห้ง โดยไม่มีซุ่มเสียงใด….


______________________________


[1] ด้ายขัดใบหน้า ในไทยเรียกกันว่า “หมั่งหมิง” ใช้ด้ายขัดกันคล้ายรูปกรรไกร มาขัดและถอนขนบนใบหน้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม