ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 88.4-89.5

ตอนที่ 88-4 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

 

 


 


และในตอนนี้เอง อวิ๋นหว่านถงที่ถูกบ่าวเรียกให้มา ก็เดินนวยนาดมาที่ห้องโถงหลัก


 


 


วันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวจีบรอบตัวกับเสื้อเอวลอยพิมพ์ลายเถาวัลย์ดอกไม้สีฟ้า ทำให้เอวที่บางอยู่แล้วของนาง ยิ่งดูอ้อนแอ้นขึ้น เผยให้เห็นรองเท้าปักคู่สวยใต้กระโปรงขณะเดินกรีดกราย เชิดกรามขึ้นสูง สายตาเย่อหยิ่ง การที่คนเรามีความมั่นใจในตัวเอง ก็ย่อมมีสง่าราศีกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง


 


 


เมื่อวานนางก็เป็นเหมือนแม่ ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่ยืนอยู่หน้าคันฉ่องยาว ยกมือยกไม้ ยืดแข้งยืดขา เชิดหน้าบิดเอว ฝึกวางท่าวางทางตลอดทั้งคืน อย่าว่าแต่ท่วงท่าแบบเมียน้อยท่านอ๋องเลย กระทั่งท่วงท่าแบบฮองเฮานางก็เกือบฝึกสำเร็จ


 


 


พออนุฟางเห็นลูกสาว ก็กระตือรือร้นขึ้นมา จวนเว่ยอ๋องตอนนี้ไม่มีชายา ชายารองก่อนหน้านี้เสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงชายาบ่าวสองคน กับพวกนกระจอกนกกระจิบที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ถ้าลูกสาวตนได้เข้าจวนเมื่อไหร่ ก็ย่อมเป็นใหญ่สุด ท่าทีสวยเริ่ดเชิดหยิ่งเช่นนี้ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วก็ยังหวาดหวั่น ไฉนเว่ยอ๋องจะไม่ชอบเล่า ต้องได้เป็นคนโปรดหลังเรือนแน่ๆ


 


 


“โอ้ว ถงเอ๋อร์มาแล้ว” อนุฟางร้องเรียกอย่างยินดีปรีดา คิดดึงความสนใจของผู้คนที่มีต่ออวิ๋นหว่านชิ่นให้หันมามองลูกสาวนาง “ดูสิ วันนี้ถงเอ๋อร์ของเราสวยขนาดไหน”


 


 


บ่าวข้างกายนางย่อมพูดเสริมเอาอกเอาใจนาง


 


 


“คุณหนูสามน่ะ สวยทุกวันอยู่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียว”


 


 


“ใช่ๆๆ ดูข้าพูดเข้าสิ” อนุฟางตบน่องตนเองเบาๆ พลางหัวเราะ


 


 


อวิ๋นหว่านถงเดินเข้ามาในห้องโถงหลัก คารวะบิดากับท่านย่าและทุกๆ คน แล้วจึงหันไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ดูเหมือนครั้งนี้นางจะไม่คารวะแบบครั้งก่อนๆ เพียงก้มศีรษะลงเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วว่า


 


 


“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ถือสา ผละจากการตื้อถามของอาเม่ากับอาจู้ หันมายิ้มให้


 


 


“คิดไม่ถึงว่าน้องสามเข้าวังกับพี่ครั้งนี้ จะมีวาสนาดีถึงเพียงนี้ พี่ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีด้วยเลย”


 


 


อวิ๋นหว่านถงขมวดคิ้ว เพียงรู้สึกว่านางกำลังเตือนตนว่า ถ้าไม่ใช่นาง ตนก็ไม่มีทางโชคดีแบบนี้หรอก และเหมือนกำลังประชดด้วยว่า วิธีที่ตนใช้นั้นสกปรก จึงทำหน้าเหมือนคนถูกคนรังแก ให้ผู้คนเห็นแล้วคิดว่า อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังหาเรื่องนาง สาดโคลนนาง


 


 


นิสัยลูกเมียน้อยชัดๆ เมี่ยวเอ๋อร์ส่ายหน้า ก็ตัวเองอาศัยรัศมีของคนอื่น ใช้วิธีสกปรก โกงวาสนาของคนอื่นมาจริงๆ นี่ แล้วยังไม่ทันไร ก็มีหน้ามาวางท่าแบบนางคณิกาผสมหญิงม่ายอีก คนเห็นแล้วจะไม่ให้พูดตักเตือนได้อย่างไรกัน


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เป็นคนที่ทนอะไรไม่ค่อยได้ จึงเกร็งคอ ก้มกระซิบเสียงเบาอยู่ด้านหลังอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“วิ่งวุ่นไปทั่ววัง ดีที่ตกองค์ชายได้ ถ้าไม่ทันระวัง ไปตกขันทีเข้า ดูซิว่าจะยังจะแต่งด้วยอีกไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านถงยืนใกล้ๆ เมี่ยวเอ๋อร์ จึงได้ยินคำพูดตีวัวกระทบคราดของนางทุกคำ ไม่มีใครฟังไม่ออก มีแต่ตนเท่านั้นที่รู้ความหมายอย่างชัดเจน จึงเงยใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้น จ้องมองมาด้วยสายตาดุดัน จนแทบจะกินเลือดกินเนื้อเมี่ยวเอ๋อร์เสียตรงนั้น


 


 


อนุฟางเห็นลูกสาวโดนรังแก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร ความหยิ่งทะนงที่ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงจึงบังเกิด กลอกตาที่ทอประกายไปรอบๆ แล้วจึงพูดดึงหัวข้อสนทนาออกไปไกล พลางยิ้มในใบหน้า


 


 


“พูดก็พูด เมื่อวานตอนที่คนในวังใช้รถม้าในวังมาส่งคุณหนูสามถึงจวนนั้น ขบวนรถใหญ่โตจริงๆ เล่นเอาคนบนถนนที่ขบวนรถผ่านทั้งหมดหันมามอง เดิมทีแม่เล็กคิดว่า เมื่อคุณหนูใหญ่ถูกไทเฮารั้งตัวอยู่ในวังทั้งที วันนี้แม่เล็กก็น่าจะมีบุญตาได้เห็นขบวนรถที่ใหญ่โตกว่าของคุณหนูสาม คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะกลับมาคนเดียว”


 


 


คิดจะแดกดันว่าคุณหนูใหญ่สู้คุณหนูสามไม่ได้รึไง เห็นทีงานนี้จะเป็นการรนหาที่ซะแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์จึงหัวเราะเบาๆ


 


 


“เดิมทีก็มีรถในวังรอรับส่งคุณหนูใหญ่อยู่ และไม่เพียงรถในวัง ยังมีคนรับใช้ในบ้านของคุณชายผู้สูงศักดิ์มากมายขับรถม้ามาที่หน้าประตูเจิ้งหยาง เข้าแถวรอส่งคุณหนูใหญ่กลับบ้านยาวเหยียด! บ่าวมิได้โม้นะ พวกเขายังแย่งกันเสนอตัว จนเกือบจะตีกันในเขตพระราชฐานด้วยซ้ำ!”


 


 


พอถงฮูหยินได้ยิน ก็หัวเราะจนเห็นรอยย่นบนใบหน้า “โอ้ เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย บ้านไหนบ้างล่ะ”


 


 


“เรียนผู้อาวุโส มีรถของบ้านท่านราชครูหยาง ซึ่งราชครูก็คือครูของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นขุนนางของราชสำนักมาสามรัชสมัยแล้ว กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังต้องฟังท่านเลย! และยังมีรถของบ้านท่านอำมาตย์พระราชปนัดดาอีก ซึ่งอำมาตย์ก็คือบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่งของต้าเซวียน ที่ขนาดท่านโหวอาวุโสมู่หรงแห่งจวนกุยเต๋อโหวก็ยังต้องชิดซ้าย!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะพลาง อธิบายให้ผู้อาวุโสฟังพลาง เดิมทีก็คิดจะโพล่งชื่อของฉินอ๋องออกมาด้วย แต่คุณหนูใหญ่ถ่อมตัวเกินเหตุ ระหว่างทางกลับจวน กำชับตนนักหนาว่าไม่ให้บอกใคร เรื่องที่นางพบเจอฉินอ๋องและนั่งรถฉินอ๋องมา ตนจึงพูดได้เพียงเท่านี้


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่แรกเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ ถงฮูหยินก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรักนกก็ต้องรักรังนกด้วย ตอนนี้พอเห็นเมี่ยวเอ๋อร์ยิ้มหวาน ก็รู้สึกว่านางเหมือนหลานสาวคนหนึ่งของตนอย่างไรอย่างนั้น จึงยิ่งหัวเราะร่า พลางพยักหน้าหงึกๆ โดยแม้แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งเอง หน้าตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางบอกว่า “ดี”


 


 


อนุฟางเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน อะไร อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะบอกว่าตัวเองเสน่ห์แรงจนใครๆ พากันยื้อแย่ง? แล้วไง ราชครูเอย พระราชปนัดดาเอยอะไร เทียบได้กับโอรสของฮ่องเต้หรือ เก่งจริงก็ตกองค์ชายให้ได้สักคนหนึ่งสิ ชนะเรื่องปริมาณผู้ชาย จะมีประโยชน์อะไร ต้องแบบถงเอ๋อร์ของข้านี่ ชนะเรื่องคุณภาพ


 


 


คิดพลาง อนุฟางก็ทำปากยื่นปากยาวโดยไม่รู้ตัว “นี่ถ้ามีองค์ชายสักคน จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ก็ไม่แน่นะ อาจเป็นเหมือนคุณหนูสามของเรานี่ล่ะ”


 


 


พอได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็หันมองลูกสาวคนเล็ก แล้วว่า “อึม คราวนี้ต้องยกให้ถงเอ๋อร์จริงๆ”


 


 


แต่เมี่ยวเอ๋อร์ไฉนจะยอมให้แม่ลูกสกุลฟาง จึงบอกบ่าวให้ไปยกกล่องผลไม้เก้าเก้าเข้ามา


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็น ไหนเลยจะไม่รู้ว่านี่คืออะไร หันมองลูกสาวคนโตนิ่งพลางว่า


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ นี่…ไทเฮาพระราชทานให้เจ้าหรือ”


 


 


ไม่รอคำตอบ เขารีบรับกล่องผลไม้เก้าเก้ามาอุ้มไว้อย่างปิติยินดี แล้วเปิดออกดูทีละชั้น พลางอธิบายความหมายให้ถงฮูหยินฟัง สักพัก ทั้งสองก็เอาแต่ชิมผลไม้ในกล่องไป ชื่นชมลูกสาวคนโตไป เล่นเอาอนุฟางโมโหจนปากแทบเบี้ยว


 


 


ขณะที่บรรยากาศในห้องกำลังเป็นไปอย่างคึกคัก หน้าประตูก็มีเสียงเอะอะดังมา


 


 


ม่อไคไหลออกไปดู แล้วกลับเข้ามารายงานว่า เป็นเหลียนเหนียงที่รบเร้าจะเข้ามา ขอความเป็นธรรมให้เถาฮวา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุดกึก เหลียนเหนียงนี่มือเท้าคล่องแคล่วจริงๆ คิดจะทำอะไรก็ทำ โดนมีดกรีดทั้งตัวก็ยังยอม


 


 


เถาฮวาถูกนางยืมดาบฆ่าคน ถูกตีจนมีลูกไม่ได้ไปแล้ว


 


 


ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคาดแล้ว ต่อให้นางร้องขอความเป็นธรรม เจ้าบ้านก็ไม่มีทางให้เถาฮวาอยู่ในบ้านต่อเป็นแน่ แต่นางก็ยังต้องการใช้เรื่องนี้ ทำให้เจ้าบ้านประทับใจในตัวนางอีก


 


 


ทว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่อยากเห็นใครมาร้องห่มร้องไห้ในตอนนี้ เดิมทีคิดโบกมือ บอกให้คนในบ้านลากตัวนางกลับไป แต่ถงฮูหยินกลับพูดขึ้นก่อน


 


 


“คนมาจากที่เดียวกัน ย่อมรู้สึกผูกพันกันบ้าง ให้นางเข้ามาเถิด” 

 

 


ตอนที่ 88-5 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

 

 


 


เหลียนเหนียงเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเล็กๆ ที่ร้องไห้เหมือนแมว แต่น้ำตากลับไม่เลอะขนตา ดวงตายังคงสดใส เห็นชัดว่าหน้าตาไม่เลอะเทอะ ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและสะอาดดุจดอกแพรที่มีหยดน้ำฝนเกาะอยู่ ชุดกระโปรงเรียบๆ สีขาวที่นางสวม ถูกจัดแจงให้เรียบร้อยมาก่อน แม้ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อหยาบ แต่ใส่แล้วมีเอวมีสะโพก ขับให้รูปร่างดูผอมเพรียวดุจต้นหลิว บวกกับท่าร้องไห้แบบนี้ ยิ่งทำให้ดูนุ่มนิ่มน่าทนุถนอม จนทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งที่นั่งอยู่ตะลึงไปชั่วขณะ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว อวิ๋นเสวียนฉั่งยังคงแพ้ทางหญิงสาวลักษณะนี้เสมอมา เหลียนเหนียงเหมือนไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ มาก กระทั่งมีลูกไม้แพรวพราวและเจ้าเลห์กว่าไม่น้อย ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างไรก็อาศัยแต่เรื่องบนเตียงดึงดูดความสนใจ แต่เหลียนเหนียงลามไปถึงการใช้คนแทนมือเท้าตัวเองในชีวิตประจำวันด้วย


 


 


เพียงเกรงว่าการออกมาแสดงตัวของเหลียนเหนียงในครั้งนี้ อาจเข้าตาอวิ๋นเสวียนฉั่ง


 


 


เหลียนเหนียงคุกเข่าลง ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น น้ำตาดุจไข่มุกสีเงิน หยดหยาดไม่ขาดสาย ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง เห็นแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้


 


 


“บ่าวมาสารภาพผิด เป็นบ่าวเองที่เข้าใจเถาฮวาผิด กลัวว่าเข็มกลัดชิ้นนั้น เถาฮวาขโมยมา จึงไปบอกแม่เล็ก ให้แม่เล็กเป็นผู้ตัดสิน กลับคิดไม่ถึงว่า จะเป็นการทำร้ายเถาฮวาไป! บ่าวผิดไปแล้ว ร่างกายของเถาฮวาในตอนนี้ ถ้าออกจากบ้านสกุลอวิ๋น ไหนเลยจะอยู่รอด ถ้านายท่านกับผู้อาวุโสตัดสินใจขายเถาฮวาจริงๆ ก็นำบ่าวขายไปพร้อมกับนางด้วย นางไปไหน บ่าวก็ตามไปที่นั่น จะได้ดูแลนางตลอด เป็นการชดใช้ให้กับนาง!”


 


 


คำพูดนี้จริงๆ แล้วก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน! ถ้าเจ้าบ้านบอกว่า “ดี ข้าจะให้เจ้าสมหวังดังตั้งใจ” ก็เท่ากับว่าเหลียนเหนียงแพ้อย่างหมดรูป เพียงแต่ที่ผ่านมา ผู้พนันยิ่งวางเดิมพันมาก ความเสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็ยิ่งมากตาม แต่ถ้าพูดขอร้องด้วยคำพูดธรรมดาๆ ไม่ให้รู้สึกเจ็บปวด ก็จะเหมือนเกาไม่ถูกที่คัน ไร้ซึ่งประโยชน์ จะตีทั้งที ก็ต้องตีให้แรงหน่อย!


 


 


และแล้ว คำพูดนี้ก็มีน้ำหนัก พิสูจน์ให้เห็นว่าเหลียนเหนียงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีแต่ความสำนึกเสียใจ พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น


 


 


“จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ เพราะเจ้าภักดีต่อสกุลอวิ๋น เกรงว่าบ้านจะแย่ถ้าคนในเป็นขโมย ถึงได้ทำแบบนี้”


 


 


เหลียนเหนียงที่กำลังลุ้น ค่อยเบาใจลง รู้สึกดีใจยิ่ง แต่หน้าที่บานเป็นดอกชบากลับมีน้ำตาไหลพราก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา พลางพูดสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร


 


 


“เช่นนั้น…นายท่านกับผู้อาวุโส ไม่โทษข้าที่ผิดพลาดเพราะบุ่มบ่ามแล้วหรือ”


 


 


ถ้าโทษเจ้า ข้าก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้นน่ะสิ อนุฟางจึงรีบเอ่ยปาก


 


 


“นายท่านก็บอกแล้วไงว่า เป็นเพราะเจ้าภักดี อยากปกป้องบ้านเราเท่านั้น ยังจะร้องห่มร้องไห้อยู่อีก เช็ดน้ำตาเถิด”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นด้วยกับคำพูดของอนุฟาง จึงผายมือออก “ลุกขึ้นเถิด ไม่โทษเจ้าหรอก”


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่า ต่อไปอนุฟางจะเสียใจไปจนตาย ที่ตนได้ช่วยพูดประโยคนี้ให้หรือเปล่า อวิ๋นหว่านชิ่นคิดพลางมองดูเหลียนเหนียงพูดพึมพำ


 


 


“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณแม่เล็ก”


 


 


แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ระหว่างนี้ยังสะอื้นไห้จนซวนเซไปมาคล้ายจะเป็นลม ทำให้ผู้คนเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็มองจนหนังตากระตุก นิ้วมือขยับสองที โน้มตัวไปข้างหน้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง


 


 


“เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ วางใจเถิด สกุลอวิ๋นเราไม่ทำร้ายเถาฮวาหรอก ต้องเลือกบ้านที่ดีหน่อยให้นางแน่”


 


 


เหลียนเหนียงจึงโค้งกายลง แล้วพูดละล่ำละลัก “ขอบคุณนายท่าน” จากนั้นก็หันกายเดินจาก


 


 


ตอนหันกาย ดูเหมือนนางเพียงค่อยๆ หันคอไป แต่ความจริงแล้ว สายตากลับคล้ายเบ็ดตกปลา มองไปที่เจ้าบ้านแล้วเกี่ยว


 


 


ผ่านไปสักพัก อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงเอ่ยปาก


 


 


“พอเถาฮวาไป ในเรือนข้าก็ขาดคนไปคนหนึ่ง ท่านแม่ว่าจะย้ายใครมาดี”


 


 


ก็ต้องเลือกจากหนึ่งในสองม้าผอมนั่นล่ะ พอถงฮูหยินเห็นลูกชายอภัยให้เหลียนเหนียงเร็วเช่นนี้ ก็เดาออกว่า เจ้ารองน่าจะมีใจให้ผ้าผอมนางนี้เสียแล้ว จึงยินดีตอบสนอง


 


 


“เช่นนั้น เหลียนเหนียงก็แล้วกัน”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมีสีหน้าอิ่มเอมใจวาบหนึ่ง ก่อนว่า “ได้ ตามใจท่านแม่”


 


 


สายมากแล้ว กลุ่มคนจึงแยกย้าย เดินออกจากห้องโถงหลัก


 


 


 


 


ระหว่างทางกลับเรือนหยิงฝู ขณะที่ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์กำลังพูดคุยกันไม่หยุดนั้น คุณหนูใหญ่ก็พูดขึ้น


 


 


“ชูซย่า ล่าสุดที่เจ้าไปเยี่ยมเถาฮวามา นางเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ยังจะเป็นอย่างไรได้” ชูซย่าส่ายหน้า “นางนอนแค้นจนตาแดงอยู่บนเตียง ขยำผ้าห่มตลอด ปากก็ตะโกนว่าจะฉีกเหลียนเหนียงเป็นชิ้นๆ ให้จงได้”


 


 


“เจ้าเอาเงินจำนวนหนึ่งไปให้เถาฮวาหน่อย”


 


 


แม้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ถึงกับชอบเถาฮวา แต่พอเห็นว่าชะตากรรมของนางไม่ต่างอะไรกับตนในชาติก่อน สูญเสียความสามารถในการมีบุตรไป ก็เกิดความรู้สึกร่วมอยู่บ้าง


 


 


แล้วจึงหันหาเมี่ยวเอ๋อร์ “ส่วนเจ้าหาโอกาสไปพบฮุ่ยหลาน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ติดตามคุณหนูใหญ่มาพักใหญ่ จึงรู้ใจนางแต่แรกว่า ต้องการให้ฮุ่ยหลานระวังตัวไว้ จะได้ไม่กลายเป็นเถาฮวาคนที่สอง เหลียนเหนียงจะได้ไม่เป็นใหญ่คนเดียวในบ้าน จึงรีบไปทันที


 


 


พอฮุ่ยหลานรู้เรื่องของเถาฮวา และรู้จากปากของเมี่ยวเอ๋อร์ว่าเป็นแผนของเหลียนเหนียง ก็ตกใจจน


 


 


หน้าซีด ความโกรธปะทุขึ้นกลางอกไม่หยุด


 


 


ทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกัน และแทบจะโตมาด้วยกันในหอหย่าจื้อ เนื่องจากฮุ่ยหลานเกิดในชนบท จึงเป็น


 


 


คนซื่อและจิตใจดีงามกว่าอีกสองคน เหลียนเหนียงเป็นคนอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่ก็รู้จักใช้ความอ่อนแอของตนทำให้คนสงสารและหลงรัก เมื่อก่อนฮุ่ยหลานมักคอยดูแลเหลียนเหนียง แม้มาถึงบ้านสกุลอวิ๋น พอเหลียนเหนียงบอกว่าไม่อยากทำงานนอกเรือน นางก็รีบขอทำหน้าที่นี้เอง เพราะไม่อยากเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อยากมีชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบ


 


 


ฮุ่ยหลานคิดว่า เมื่อเราสามคนมีวาสนามาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็ควรร่วมแรงร่วมใจสามัคคีกันสู้กับคนนอก ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน เหลียนเหนียงจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ให้ร้ายเถาฮวา จนเถาฮวาถูกตีอย่างไม่เป็นธรรม ตีจนมีลูกไม่ได้ แล้วยังถูกขายออกไปอีก!


 


 


ฮุ่ยหลานจึงบุกไปที่ห้องเหลียนเหนียง จัดการตบหน้านางไปสองฉาด


 


 


“คนใจโหด!” เหลียนเหนียงถูกตบจนงุนงง พอเห็นฉาดที่สามกำลังฟาดลง ก็จับข้อมือของฮุ่ยหลานไว้ ก่อนเอ็ดเสียงแหลม “พอแล้ว!”


 


 


พอฮุ่ยหลานเห็นความเ**้ยมวาบผ่านแววตาของเหลียนเหนียง ในที่สุดก็เข้าใจ เป็นอย่างที่เมี่ยวเอ๋อร์พูดไว้ไม่มีผิด เหลียนเหนียงไหนเลยจะเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตนได้อีก จึงสะบัดมือ หัวเราะเย็นชาออกมา แล้วผลักประตูเดินออกไป พลางตัดสินใจว่า เมื่อธาตุแท้ของนางเป็นเช่นนี้ แต่นี้ไปก็ขาดกัน


 


 


 


 


ส่วนนอกบ้านสกุลอวิ๋น คดีถังโจวก็กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก


 


 


เนื่องจากเป็นเรื่องที่หนิงซีฮ่องเต้ให้ความสำคัญ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับพระมาตุลาเจี่ยงยิ่น ศาลสูงจึงทำการสอบสวนใหม่ ซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่ง ผ่านไปไม่ถึงสองวัน ก็รวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วน ในวังจึงมีจดหมายเชิญให้หงเยียนเข้าวัง เพื่อให้การต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของขุนนางในคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพิจารณาตัดสินคดี จากนั้น ก็จะทำการสรุปสำนวน เพื่อปิดคดีอย่างเสร็จสมบูรณ์


 


 


หงเยียนเข้าวังเป็นครั้งที่สอง การได้มีโอกาสได้ซักซ้อมกับเจ้าหน้าอาวุโสของศาลสูงอยู่หลายรอบ ทำให้นางไม่ประหม่าแบบครั้งแรกอีก พอมีพระบัญชาให้เข้าเฝ้า จึงเดินตามคนในวังไป 

 

 


ตอนที่ 89-1 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่า...

 

การรื้อฟื้นคดีขึ้นมาตัดสินใหม่ ถูกจัดขึ้น ณ พระที่นั่งอี้เจิ้ง


 


 


นอกประตูแดงห่วงทองแดง เสียงสอบสวนคดีของโอรสสวรรค์ดังมาเป็นระยะ หงเยียนพยายามระงับอาการตื่นเต้นขณะรอ พอขันทีเรียกชื่อ นางก็เดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าบันไดที่ประทับ แล้วเริ่มให้การคำต่อคำถึงความเป็นมาเป็นไปของคดีเก่าที่ถังโจว


 


 


เจี่ยงยิ่นก็มาเป็นพยานเช่นกัน โดยนั่งอยู่ตรงหน้าที่ประทับ หลายวันมานี้ เขาสุขภาพดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังป้องปากไอไปสองสามครั้ง เขาจ้องมองหงเยียนไม่วางตา แม้รู้สึกอ่อนล้า แต่ปมที่ติดอยู่ในใจมาหลายปี ในที่สุดก็ได้คลี่คลายลง ใบหน้าจึงมีแต่ความปลอดโปร่งและสงบสุข


 


 


เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น ตราประทับของศาลสูงและตราประทับของฮ่องเต้จึงถูกประทับลงตรงท้ายม้วนหนังสือคำพิพากษา


 


 


พอปิดคดีเรียบร้อย เหยาฝูโซ่วก็น้อมนำม้วนหนังสือพระราชโองการออกมาประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนาง สรุปความได้ว่า ให้นำอัฐิของแม่ทัพนายกองและเหล่าทหารในคดีถังโจวกลับมาฝังยังหลุมศพบรรพชนของแต่ละบุคคล โดยราชสำนักจะส่งช่างฝีมือไปแกะสลักอักษรแสดงสถานะบนป้ายบูชาให้ใหม่


 


 


ครอบครัวนายทหารที่ถูกเนรเทศไปยังทะเลทรายทางตอนเหนือไม่ต้องรับโทษตามความผิดร้ายแรงทางอาญาอีก สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมได้ทันที ซึ่งราชสำนักจะประกาศสถานะพ้นโทษในที่สาธารณะเป็นลำดับถัดไป


 


 


ส่วนหงเยียน ลูกสาวของหงซื่อฮั่น ให้ฟื้นคืนสถานะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และให้ตัดสินใจเองว่าจะกลับภูมิลำเนาเดิมที่ถังโจวหรือจะอยู่เยี่ยจิงต่อ โดยเจ้าหน้าที่ทางการไม่มีสิทธิขัดขวาง


 


 


พอคำประกาศสิ้นสุดลง หงเยียนก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดวงตาปรากฎเมฆหมอกปกคลุมอย่างไม่รู้ตัว


 


 


“หม่อมฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ถังโจว และตอนนี้ประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ซึ่งกิจการอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงอยากจะขออนุญาตสู้ชีวิตต่อในเมืองหลวงเพคะ”


 


 


เจี่ยงยิ่นพลันยืดตัวตรง แล้วค่อยๆ หย่อนร่างที่ผอมบางลง เหมือนได้กลับคืนสู่บ้านเกิด ไม่มีอะไรคิดร้องขออีก


 


 


นี่มิใช่ครั้งแรกที่หนิงซีฮ่องเต้ตัดสินคดีใหญ่ด้วยพระองค์เอง แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ทรงพลิกคดีเก่าขึ้นมาตัดสินใหม่ด้วยพระองค์เอง ฝุ่นตลบสงบลงแล้ว ทรงมองลูกกำพร้าของขุนนางเก่าที่อยู่เบื้องล่าง พลางรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างอดไม่ได้


 


 


คดีเก่า ถ้ารื้อฟื้นไม่ได้ก็ไม่ต้องรื้อฟื้น เพราะการรื้อฟื้นหมายความว่า ฮ่องเต้ต้องยกเลิกคำตัดสินก่อนหน้า และไม่ว่าจะมองในมุมไหน ก็พูดได้ว่าเป็นการตบปากตนเอง ทำให้ศักดิ์ศรีของราชสำนักเสื่อมเสีย ดังนั้น ในประวัติศาสตร์มีคดีใหญ่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายยุคหลายสมัย คดีที่ไม่เป็นธรรมจึงยิ่งมีอยู่มาก และคดีที่


 


 


คนระดับล่างพลิกกลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์นั้น จะมีสักกี่คดีเชียว


 


 


แม้ผู้บังคับบัญชารู้ว่ามีข้อข้องใจ แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งกันทั้งนั้น


 


 


กรณีที่สามารถพลิกคดีสำเร็จ ถ้าไม่ร้องเรียนมายังท้องพระโรงโดยตรง บีบจนถึงจมูกของฮ่องเต้ ก็ต้องรอให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แล้วดำเนินการพลิกคดีด้วยพระองค์เอง เพื่อสำแดงพระบารมี


 


 


จึงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่หงเยียนมีโอกาสได้ดำเนินการแบบกรณีแรก


 


 


ดังนั้นเรื่องของคดีเก่า เป็นเพราะแต่ละหน่วยงาน ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับบน พากันปกปิดซ่อนเร้น พอคดีพลิก ฮ่องเต้จึงต้องรีบประกาศให้ประชาชนได้เข้าใจ ให้รู้ว่าพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น


 


 


ตอนนี้ ดวงตามังกรของหนิงซีฮ่องเต้จึงนิ่ง ขณะตรัสต่อหน้าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊


 


 


“เมื่อแม่นางหงเลือกอยู่ในเมืองหลวง เราย่อมอนุญาต ประสบการณ์ของเจ้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากุลสตรีทั้งหลายเลย อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกสาวนายทหาร มีจิตใจที่เข้มแข็ง คิดว่าต่อไปต้องพึ่งพาตนเองได้อย่างแน่นอน ไม่เสียทีที่พ่อและพี่ชายของเจ้าอบรมเลี้ยงดูเจ้ามา เหยาฝูโซ่ว นำเงินหนึ่งพันตำลึงจากท้องพระคลัง มอบให้กับแม่นางหง…”


 


 


เหยาฝูโซ่วใช้พู่กันขนนกจดบันทึกยิกๆ การมอบเงินให้เช่นนี้ ถ้าบอกว่าเป็นการปลอบขวัญครอบครัวของผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม มิสู้บอกว่าทรงมีพระเมตตาต่อเหล่าพสกนิกร  


 


 


พอจดบันทึกเสร็จ จึงเปล่งวาจา “ทรงพระเมตตา! ทรงพระปรีชายิ่ง!”


 


 


หงเยียนเพียงฟังอย่างสงบนิ่ง พอหนิงซีฮ่องเต้ตรัสจบ ค่อยก้มศีรษะจรดพื้น


 


 


“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา แต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องพระองค์อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่”


 


 


เหยาฝูโซ่วอึ้ง แต่พอเห็นหนิงซีฮ่องเต้หน้าตาแจ่มใส ก็ยกนิ้วชี้ขึ้น แล้วว่า “ว่ามา”


 


 


“การให้ปลากับคน มิสู้สอนให้คนตกปลา” หงเยียนพูดตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นไหว้วาน


 


 


ตอนแรกที่นางได้ยินก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่คุณหนูใหญ่เดาได้ถูกจริงๆ นางบอกว่า เมื่อหนิงซีฮ่องเต้ตัดสินใจดำเนินการพลิกคดี ก็ต้องทำให้ประชาชนรู้โดยทั่วกัน พิชิตใจประชาชนด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าราชสำนักใจกว้าง ฉลาดและสุขุม


 


 


แล้วจะทำอย่างไรให้รู้โดยทั่วกันล่ะ ก็ต้องพระราชทานของชิ่นใหญ่หน่อย!


 


 


หงเยียนจึงหยุดสักพัก ก่อนพูดต่อ


 


 


“เงินทองมีมากเท่าไหร่ ก็ต้องมีวันใช้หมด มิสู้มอบเครื่องมือทำมาหากินให้หม่อมฉันเพคะ”


 


 


“ทำไมถึงได้พูดเช่นนี้เล่า” หนิงซีฮ่องเต้ชักสนใจ


 


 


หงเยียนตอบอย่างนอบน้อมตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำชับ


 


 


“หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่า นอกจากฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถแล้ว ยังทรงเป็นนักเขียนอักษรพู่กันที่มีชื่อเสียงด้วย หลายคนอยากมีผลงานของพระองค์ไว้ในครอบครอง แต่ก็หาไม่ได้ ถ้าหม่อมฉันโชคดี ได้แขวนอักษรพู่กันของพระองค์ไว้ในร้านเพื่อเป็นเกียรติแก่ร้านแล้วล่ะก็ ย่อมมีค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทองใดๆ


 


 


อย่างแน่นอนเพคะ”


 


 


“โอ้? ฮาๆ”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้เป็นคนเจ้าชู้ และคนเจ้าชู้ก็มักมีบุคลิกของบัณฑิตผู้สูงส่ง ที่ชอบเขียนอักษรพู่กันเป็นงานอดิเรกอยู่เป็นนิจ ตอนนี้พอถูกเยินยอ ย่อมรู้สึกเบิกบานพระทัย ทรงคิดว่า พอคดีนี้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ คนในเมืองหลวงรู้ว่าหงเยียนเป็นลูกสาวนายทหารที่ถังโจว และยิ่งเห็นว่าในร้านมีป้ายชื่อพระราชทาน ย่อมส่งผลดีต่อร้านมากกว่าแก้วแหวนเงินทองเป็นไหนๆ


 


 


หนิงซีฮ่องเต้รู้สึกยินดีปรีดายิ่ง จึงตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนทันที “ฝูโซ่ว จัดเครื่องเขียนมา!”


 


 


พอผู้พิพากษาศาลสูง อีกทั้งเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊รู้ความหมายของโอรสสวรรค์ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลง ต่างพากันยิ้มและหันหน้ามาพูดคุย


 


 


เหยาฝูโซ่วและเหล่าขันทีมิกล้าชักช้า รีบวางกระดาษเนื้อดีให้เรียบ ฝนหมึกดำให้ข้น


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ยกแขนเสื้อขึ้น หยิบพู่กันมาตรงหน้ากระดาษ ค่อยนึกขึ้นได้ ลังเลเล็กน้อย


 


 


“ร้านเจ้าเป็นร้านอะไร คิดชื่อร้านแล้วหรือยัง”


 


 


หงเยียนทอประกายตา “ร้านหม่อมฉันขายเครื่องประทินผิว ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดชื่อร้านไว้หลายชื่อ  แต่ล้วนล้าสมัย วันนี้เมื่อได้เข้าเฝ้า จึงอยากขอพระราชทานชื่อดีๆ สักชื่อเพคะ”


 


 


คุณหนูใหญ่ว่า ฮ่องเต้ก็คือสมมติเทพที่มาจุติบนโลกมนุษย์ แม้ลงพระบังคนหนักก็มีคนนำพานมารองรับ! ชื่อร้าน? ให้ทรงตั้งให้นั่นล่ะ ต่อให้ตั้งว่าหอมบังคนเบาก็ต้องยอมรับ!


 


 


ตอนนั้นทำเอาหงเยียนหัวเราะจนตัวโยน คุณหนูใหญ่นี่จริงๆ เลย…ทว่า แม้พูดจาหยาบคาย แต่เหตุผลยังคงถูกต้อง


 


 


“ให้เราตั้งชื่อร้านขายเครื่องประทินผิวนี่ก็ ลำบากเราแล้ว ทำให้เราปวดหัวยิ่งกว่าอ่านรายงานกองพะเนินในห้องทรงพระอักษรเสียอีก!” หนิงซีฮ่องเต้ยกหัวพู่กันขึ้นเกาศีรษะ “ไหนเจ้าลองบอกหน่อยสิว่า ก่อนหน้านี้เคยคิดชื่ออะไรไว้บ้าง”


 


 


หงเยียนยิ้มพลางว่า “อั้นเซียงหยิงซิ่ว ตั้งให้เรียกง่ายๆ เพคะ เดิมทีคิดว่าจะตัดเหลือ เซียงหยิงซิ่ว (แปลว่า กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แขนเสื้อ) สามคำ มาใช้เป็นชื่อร้าน”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ทำตาโต ครุ่นคิดขึ้นมา “หลังจากที่ตงหลีดื่มเหล้าจนพลบค่ำ ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แขนเสื้อ…เซียงหยิงซิ่ว ดีนะ เป็นชื่อที่ดีทีเดียวเชียว เหมาะกับร้านดี”


 


 


แต่กลับสงสัยในใจ หงเยียนเติบโตจากครอบครัวขุนนางฝ่ายบู๊ที่ชายแดน สามารถอ่านออกเขียนได้ก็นับว่าเก่งแล้ว พออายุสิบสามเริ่มระหกระเหิน ยิ่งไม่น่าจะมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ตอนนี้เพียงได้ยินชื่อที่นางตั้ง ก็คล้ายรู้สึกว่าในตัวนางมีของอยู่ จึงมองนางนิ่ง


 


 


“ชื่อนี้ เจ้าเป็นคนคิดหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 89-2 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่า...

 

แววตาแสดงความแปลกใจของมังกร ทำให้ผู้คนมิอาจโป้ปด


 


 


หงเยียนพิจารณาสักพัก ก่อนตอบอย่างนุ่มนวล


 


 


“ฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ชื่อร้าน คุณหนูอวิ๋นช่วยหม่อมฉันคิดเพคะ”


 


 


ลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นอีกแล้ว หนิงซีฮ่องเต้ขยับคิ้ว ฝ่ามือข้างที่สวมสร้อยข้อมือหินสีฝังทองคำขยับเล็กน้อย ใจลอยชั่วขณะ พลางว่า “ดี…เซียงหยิงซิ่ว…ดี”


 


 


เหยาฝูโซ่วสังเกตเห็นอาการเหม่อลอยวาบหนึ่งของหนิงซีฮ่องเต้ จึงเก็บไว้ในใจ แล้วรีบส่งเสียงสนับสนุน


 


 


“เซียงหยิงซิ่ว? เป็นชื่อที่สง่างามมาก!”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้จึงได้สติ “เช่นนั้น ใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน”


 


 


หงเยียนประสานมือ “ขอบพระทัยที่ทรงพระราชทานชื่อร้าน!”


 


 


เหล่าขุนนางส่งเสียงดังอื้ออึง ย่อมกำลังยกย่องว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่ง


 


 


หนิงซีฮ่องเต้จึงไม่ลังเลใจอีก ยกพู่กันขนแกะจุ่มน้ำหมึกสีดำ แล้วนำขึ้นตวัดฉวัดเฉวียนไปมา จนตัวอักษรที่แข็งแกร่งและทรงพลังสามตัวโลดแล่นอยู่บนกระดาษเรียบร้อย


 


 


เหยาฝูโซ่วบอกให้คนในวังเอาไปตากให้แห้ง ม้วนแล้วผูกด้วยแถบผ้าไหมทอลายสีทอง เป็นของกำนัล มอบให้หงเยียนนำออกจากวังไป


 


 


หลังคดีถังโจวสิ้นสุดและทุกคนปิติยินดีกันถ้วนหน้า ต่อไปก็ถึงคราวคดีการทำเหมืองแร่บนเขาชิงเหอ


 


 


จากการแกะรอยของเจ้าหน้าที่จนพบเบาะแสสำคัญ ที่สามารถกระชากหน้ากากเว่ยอ๋องซึ่งบงการอยู่เบื้องหลังออกมา ทำให้เหล่าขุนนางที่เฝ้าจับตาดูผู้รับผิดชอบคดีเหมืองแร่บนเขาชิงเหอระเบิดพากันโห่ร้องด้วยความยินดี ด้วยหมู่นี้พวกเขาไม่มีเรื่องใหญ่อะไรให้ทำ จึงรวมพลังกันกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ร่วมกันทิ้งระเบิดใส่เว่ยอ๋อง รายงานต่อฝ่าบาทว่าเว่ยอ๋องทำผิดกฎหมายฐานเปิดเหมืองเป็นการส่วนตัว


 


 


ซึ่งขุนนางพระญาติหรือคนในสกุลเหวยย่อมก้าวออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เว่ยอ๋อง โดยตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ เพียงบอกว่าเว่ยอ๋องโดดเด่นจนถูกคนบางกลุ่มริษยาและกระทำการใส่ร้ายป้ายสี


 


 


สองสามปีมานี้ อิทธิพลของคนสกุลเหวยหยั่งรากลึกไม่น้อย จนทำให้ราชสำนักแบ่งออกเป็นสองฝ่ายในพริบตา จึงมักโต้เถียงกันกลางที่ประชุม จนทำให้ท้องพระโรงเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำลายแทบทุกครั้ง


 


 


ซึ่งจริงๆ แล้ว คดีนี้เจ้าห้าเป็นคนทำหรือไม่ หนิงซีฮ่องเต้มีหรือจะไม่ชัดเจน อย่าว่าแต่ปรากฎหลักฐานที่แจ่มแจ้งเลย ลำพังดูจากนิสัยเสียของเจ้าห้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ ก็ชัดเจนแล้วว่า การดึงสมบัติของชาติมาเป็นสมบัติส่วนตัว ยังจะนับเป็นอะไรได้ ใยจะทำไม่ได้! ?


 


 


เพียงแต่การเดาใจฮ่องเต้ ก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ปล่อยให้ขุนนางทั้งสองฝ่ายปะทะคารมกันจนหนำใจ โดยไม่ส่งเสียง นั่งอยู่บนภูเขา ใช้


 


 


สายตาเย็นชามองดูพยัคฆ์ต่อสู้กันไปก่อน


 


 


ส่วนเว่ยอ๋อง เดิมทีคิดหยิบยืมงานเลี้ยงสังสรรค์ก่อเรื่องใหญ่ โดยคิดว่าพอไทเฮาประชวร และพี่สามถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของผู้รับผิดชอบคดีกับเสด็จพ่อไปได้ แต่ตอนนี้เมื่อไม่สำเร็จ คดีจึงถูกนำกลับมาคิดบัญชีอีกครั้ง ทำให้เขาไม่พอใจยิ่ง


 


 


พอรู้สึกว่าทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่ตน ตนหลบอยู่แต่ในจวนก็สิ้นเรื่อง ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น กกเยี่ยหนานเฟิง หนุ่มสุดที่รักคนใหม่ทั้งวัน ไม่ยอมก้าวออกจากจวน รอให้เสด็จแม่ที่อยู่ในวังช่วยปัดเป่าภัยพิบัติไปก่อน


 


 


พูดถึงความผิดฐานทำเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว ถ้าจะบอกว่าร้ายแรงก็ร้ายแรงได้ไม่จำกัด เพราะเป็นการแย่งทรัพยากรธรรมชาติ แย่งเงินทองของชาติบ้านเมือง ฮ่องเต้ที่โง่เขลาเท่านั้นถึงจะให้อภัย แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นโทษสถานเบา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าฮ่องเต้คิดปกป้องคนผู้นี้จริงๆ ก็อาจปล่อยข่าวออกไปว่า ตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่อนุญาติให้ทำ


 


 


เนื่องจากพระมเหสีรองเหวยไม่อยากให้โอรสถูกลงโทษ จึงร้องห่มร้องไห้จนน้ำตาท่วมเตียงมังกร มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนมีเท่าไหร่ถูกงัดออกมาใช้จนหมด


 


 


เนื่องจากสองแม่ลูกเป็นคนโปรดของหนิงซีฮ่องเต้อยู่เป็นทุนเดิม ไปๆ มาๆ จึงอ่อนพระทัยลง ตัดสินใจว่าจะลงโทษสถานเบา แต่พอเจี่ยไทเฮารู้เข้า ก็ไม่ยอมถ่ายเดียว


 


 


เนื่องจากในงานเลี้ยงสังสรรค์ เจี่ยไทเฮาได้หมายหัวหลานคนนี้ไว้แล้ว ถ้าเขาเป็นผู้สับเปลี่ยนสุราดอกท้อเพราะคิดให้ร้ายเจ้าสามจริง นั่นก็หมายความว่า ตนผู้เป็นถึงไทเฮา ต้องตกเป็นหมากในการทำร้ายคนเพื่อแย่งชิงอำนาจของเด็กชั่วๆ คนหนึ่ง แย่ที่ไม่มีหลักฐาน ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกกักบริเวณอยู่ในจวน จนถึงตอนนี้ ให้ตายอย่างไร ก็ยังไม่ยอมบอกความจริงออกมา มิเช่นนั้นก็ได้จับตัวหลานชั่วไปสอบสวนตรงหน้าพระที่นั่งแต่แรกแล้ว!


 


 


ตอนนี้พอเจี่ยไทเฮาได้ยินว่าฮ่องเต้มีเจตนาที่จะไม่ถือสาหาความเว่ยอ๋อง ไหนเลยจะยอม เมื่อเรื่องสุราดอกท้อไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ หรือเรื่องเหมืองแร่ก็ยังจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อีก


 


 


พอหนิงซีฮ่องเต้มาเยี่ยม เจี่ยไทเฮาจึงไม่ลังเลใจอีก วางท่าทีเมินเฉย ไม่เย็นชาแต่ก็ไม่กระตือรือร้นขณะยกตัวอย่างคดีที่องค์ชายในรัชสมัยก่อนทำผิดกฎหมายแล้วปกปิดประชาชนให้ฟัง ก่อนตบโต๊ะรัวๆ ว่าทำให้ฮ่องเต้เสียหน้าหนักมาก ต่อด้วยการวิเคราะห์คดีตัวอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ฟังว่า การเล่นพรรคเล่นพวกทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างไร จนหนิงซีฮ่องเต้ตกตะลึงพรึงเพริศ เข้าใจความหมายของไทเฮาในที่สุด


 


 


ตอนนี้ แม้แต่ไทเฮาก็ยังยืนข้างผู้รับผิดชอบคดี หนิงซีฮ่องเต้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าห้าไม่เป็นที่ชื่นชม ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน เป็นต้องล่วงเกินไทเฮา วันที่สองของการประชุม จึงมีพระราชโองการ ลงโทษเว่ยอ๋อง ซย่าโหวซื่อยวนตามความผิดทางอาญา ดังนี้


 


 


ลดเงินเดือนเว่ยอ๋อง จากหมื่นชั่งเหลือพันชั่ง กักบริเวณในจวนเป็นเวลาหนึ่งปี โดยมีสำนักพระราชวังคอยตรวจสอบพฤติกรรมและประเมินผลเป็นระยะ เพื่อพิจารณาใหม่…เท่ากับถูกควบคุมความประพฤติ


 


 


ห้าปีถัดจากนี้ เว่ยอ๋องจะไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการใดๆ ทรัพย์สินเงินทองในจวนครึ่งหนึ่งตกเป็นของท้องพระคลัง ถือเป็นค่าปรับตามความผิด องครักษ์เสื้อเกราะของเว่ยอ๋องจำนวนสามพันคนถูกย้ายกลับกรมกลาโหม…เท่ากับริดรอนอำนาจทางการเมือง


 


 


โดยกฎระเบียบของอ๋องแห่งต้าเซวียนมีอยู่ว่า หลังจากองค์ชายอายุถึงเกณฑ์และได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง จะได้รับหนังสือแต่งตั้งกับตราประทับ เงินเดือนหมื่นชั่ง และผู้คุ้มกันอ๋องโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ อ๋องสามารถเลือกองครักษ์และองครักษ์เสื้อเกราะอย่างน้อยสามพันคนมาคุ้มกันตน


 


 


ซึ่งหนิงซีฮ่องเต้คิดว่าการลงโทษข้างต้น นอกจากสามารถรักษาหน้าไว้ให้เจ้าห้านิดหน่อยแล้ว ก็ยังไม่ปลดบรรดาศักดิ์ เจ้าห้ายังคงเป็นอ๋องต่อ เพียงแต่อำนาจที่แท้จริงถูกขุดจนเป็นโพรงไปหมด


 


 


ตอนขันทีนำพระราชโองการมาที่จวนเว่ยอ๋อง เว่ยอ๋องกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับเยี่ยหนานเฟิงที่ห้องด้านใน ครั้นพอออกมาฟังประกาศและรับพระราชโองการ อารมณ์ก็ขึ้น รอจนขันทีจากไป ค่อยเดินเข้าห้องด้านในพลางครุ่นคิด แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ โมโหจนต้องแผดเสียงร้องออกมา ก่อนเข้าไปหยิบแส้ อุปกรณ์เร้าอารมณ์ที่ข้างเตียง เฆี่ยนเข้าใส่ร่างขาวๆ ของเยี่ยหนานเฟิง


 


 


ระยะนี้เยี่ยหนานเฟิงเป็นที่โปรดปรานของเว่ยอ๋องมาก นอกจากทำอะไรได้ตามอำเภอใจในจวนแล้ว แม้แต่กิน เว่ยอ๋องก็ยังต้องป้อนให้ด้วยตัวเอง หรือไม่พอใจอะไรนิดหน่อย เว่ยอ๋องก็จะมากอดปลอบและนอนด้วยทุกคืน ไหนเลยจะรับความป่าเถื่อนเช่นนี้ไหว จึงร้องห่มร้องไห้พลางขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย


 


 


พอเว่ยอ๋องเห็นเนื้อตัวสุดที่รักเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว แม้เจ็บปวดใจ ทว่าความโกรธก็ยังไม่จางหาย แต่ก็เฆี่ยนไม่ลง จึงทิ้งแส้ แล้วโผเข้ากอดเยี่ยหนานเฟิง ปลอบโยนพลาง ร้องไห้พลาง


 


 


พ่อบ้านในจวนอ๋องหรือผู้ที่มเหสีรองเหวยส่งมาดูแลเว่ยอ๋อง ตอนนี้พอเห็นเว่ยอ๋องสติแตกและโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็ได้แต่ยืนปลอบใจอยู่หน้าห้อง


 


 


“ท่านห้าใจเย็นๆ อย่างไรเสียในวังก็ยังมีพระมเหสีรองเหวยคอยช่วย นอกวังก็มีคนสกุลเหวยอีกกลุ่มใหญ่ ฝ่าบาทพระทัยกว้าง ไม่มีทางลงโทษท่านทั้งชีวิตแน่ ท่านต้องอดทนไปก่อน ให้เวลาผ่านไปสักระยะ ฝ่าบาทอาจเปลี่ยนใจ…”


 


 


เว่ยอ๋องฉุกคิด อารมณ์ค่อยสงบลงบ้าง ก็ใช่ อย่างไรตนก็เป็นโอรสของหนิงซีฮ่องเต้ และเป็นโอรสที่ทรงโปรดปรานเป็นที่สุด การขุดเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว เป็นไปได้ที่ถูกปลดให้เป็นสามัญชน หรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ครั้งนี้ตนเพียงถูกลดเงินเดือนและลดกำลังคน หมายความว่าฝ่าบาทยังมีใจลำเอียงให้ตนอยู่! ไม่แน่ว่าผ่านไปสักระยะ ตนอาจออกไปได้—ตอนนี้ก็คิดเสียว่า พักผ่อนเติมพลังก็แล้วกัน ดีที่ในจวนมีคนรู้ใจอยู่เคียงข้าง!


 


 


คิดพลาง เว่ยอ๋องก็โอบเยี่ยหนานเฟิงที่กว่าจะกล่อมได้เข้ามาไว้ในอ้อมอก แล้วทำกิจกรรมบนเตียงต่อ 

 

 


ตอนที่ 89-3 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่า...

 

 


 


กรมกลาโหมรับผิดชอบเรื่องดำเนินการย้ายองครักษ์เสื้อเกราะกลับคืน อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงชัดเจนดีว่าตอนนี้เว่ยอ๋องมีสภาพน่าสังเวชเช่นไร ความปิติยินดีที่ลูกสาวได้ออกเรือนจึงลดลงกว่าครึ่งทันที ขืนเว่ยอ๋องตกต่ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ การดองกับบ้านสกุลอวิ๋นก็อาจถูกลากยาวตาม จึงรู้สึกเศร้าสลดไม่น้อย


 


 


อวิ๋นหว่านถงก็ตกใจหน้าซีดเช่นกัน ตอนอยู่ในวังก็ว่าแล้วว่า ทำไมใจถึงเต้นตูมตาม ตอนนั้นได้แต่รู้สึกว่าเว่ยอ๋องต้องเดือดร้อนเพราะล่วงเกินไทเฮาแน่ แล้วก็เป็นจริงตามนั้นไม่มีผิด


 


 


หลังจากว้าวุ่นใจขณะฟังบิดาพูดจนจบ ก็แอบบอกสาวใช้คนสนิทให้ไปสืบข่าวจากนอกบ้านให้หน่อย


 


 


ทว่าอนุฟางกลับมิได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น สองสามวันมานี้จึงคอยปลอบใจลูกสาว อวิ๋นหว่านถงไม่ฟังยังดี แต่ฟังแล้วกลับย่ำเท้าไปมา ร้อนใจจนละล่ำละลักว่า


 


 


“ท่านแม่ไม่รู้อะไร อ๋องห้าน่ะ ถูกลงโทษจนแทบล้มละลายด้วยซ้ำ แถมยังถูกกักบริเวณ ริดรอนอำนาจ ห้าปีต่อจากนี้จะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ เลย แม้แต่องครักษ์ก็ยังถูกกรมกลาโหมของท่านพ่อเก็บกลับคืน! พูดหยาบหน่อยก็คือ กระทั่งเศรษฐีในเยี่ยจิงออกจากบ้านไปทานข้าวล่องเรือ ก็ยังมีบ่าวที่ต่อยตีเก่งจำนวนหนึ่งคอยตามคุ้มกัน แต่อ๋องห้าในตอนนี้ ถ้าออกไป กระทั่งบ่าวนำทางก็ยังมีไม่มากเท่าเศรษฐี!…หรือเท่ากับเป็นอ๋องที่ไม่มีหมวกคนหนึ่ง ข้า ทำไมข้าถึงได้เคราะห์ร้ายแบบนี้นะ!”


 


 


มันยากนักหรือที่ฟ้าจะส่งอ๋องที่มีเงิน มีอำนาจมาให้ ถึงได้แต่ส่งแต่อ๋องเนื้อในกลวงมาให้อยู่ร่ำไป เช่นนี้จะไม่ให้เศร้าใจได้อย่างไรเล่า


 


 


อนุฟางจึงว่า “แล้วไง อย่างไรก็ยังเป็นอ๋องมิใช่หรือ ถึงเนื้อในกลวง อย่างน้อยเราก็ได้กำไรที่หน้าตา! มีหมวกอ๋องที่เป็นองค์ชายอยู่ทั้งคน ก็ชนะผู้คนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว เจ้านะเจ้า ใช่ว่าแม่ว่า ทำไมถึงมองแค่ระยะสั้นๆ เล่า เศรษฐีรึ ถึงมีเงินแค่ไหนก็คนละระดับกับอ๋องอยู่ดี”


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่ค่อยชอบออกนอกบ้าน จะมองไกลได้สักแค่ไหนเชียว โตมาขนาดนี้ ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ แต่งงานกับคนมั่งคั่ง มีอำนาจมีบารมี จะได้กินดีอยู่ดี มีหน้ามีตาอวดชาวบ้าน ล้างความอัปยศที่เกิดเป็นลูกเมียน้อย จากนั้นก็ค่อยมองดูคนที่บ้านมาคุกเข่าอ้อนวอนตน


 


 


ตอนนี้พอได้ยินว่า บ่าวในจวนที่เว่ยอ๋องเลี้ยงไว้พากันแยกย้าย กระทั่งองครักษ์ยังถูกเรียกกลับ ทรัพย์สินเงินทองในจวนอ๋องก็ถูกริบเข้าท้องพระคลัง เว่ยอ๋องกลายเป็นคนว่างงานอนาถา ใยจะไม่ว้าวุ่นใจเล่า


 


 


หน้าตาอะไร? มีแต่เปลือก ไม่มีเนื้อเช่นนี้ จะเอาหน้าตามาจากไหน!


 


 


“เจ้าดูๆ เคยเห็นอ๋องที่ไหนยากจนตายหรืออดอยากตายบ้างล่ะ” อนุฟางเห็นลูกสาวมีสีหน้าไม่สู้ดี ก็พยายามพูดปลอบประโลมไปเรื่อย


 


 


อวิ๋นหว่านถงกระพริบตาปริบๆ อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ก็ใช่ ไม่ค่อยได้เห็นอ๋องที่จนตายหรืออดตายหรอก แต่อ๋องที่ถูกราชสำนักลิดรอนอำนาจจนตกต่ำลง ก็เท่ากับประชาชนคนธรรมดาดีๆ นี่เอง!


 


 


พูดไปก็เท่านั้น อวิ๋นหว่านถงจะทำอะไรได้ ก็แค่อยากบ่นระบาย เพราะพอรู้ว่าเว่ยอ๋องสูญเสียอำนาจ


 


 


ความหยิ่งทะนงที่เพิ่งรู้สึกได้ ก็ราวกับถูกคนสาดด้วยเลือดสุนัข จิตยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนไหววิตกจริต กลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป อยู่บ้านก็ระแวงตลอด มักรู้สึกเหมือนมีคนนินทาลับหลังว่าตนแต่งให้กับอ๋องเคราะห์ร้ายคนหนึ่ง


 


 


อย่างทุกครั้งที่ชูซย่ากลับถึงเรือนหยิงฝู ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปซุบซิบกับเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


“เจ้าว่าคุณหนูทั้งสองของบ้านเรานี่ ล่วงเกินเทพเจ้าองค์ไหนมาหรือเปล่า ก่อนแต่งงานล้วนเจอแต่เรื่องเศร้า หน้าหงิกหน้างอทั้งวัน!”


 


 


เรื่องของเว่ยอ๋อง ตอนนี้นับว่าเป็นหัวข้อสนทนาที่กำลังได้รับความนิยมตั้งแต่หัวจดท้ายซอย วันนี้ก็มีบ่าวสองคนแอบนั่งคุยกันที่หลังเรือน ในคำพูดอาจหลุดชื่อเว่ยอ๋องออกมาบ้าง แต่ดันเป็นจังหวะพอดีกับที่อวิ๋นหว่านถงเดินผ่านมา อวิ๋นหว่านถงจึงคล้ายแมวที่ถูกคนรังแก พองขนตั้งชัน แล้วร้องไห้เสียงดังทันที บอกว่าบ่าวเหยียบย่ำตน โดยแม้แต่บ่าวก็ยังดูแคลนตน


 


 


บ่าวทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูสามตอแหลเช่นนี้


 


 


ตั้งแต่อนุฟางเล่นงานเถาฮวาสำเร็จ โดยไม่ถูกใครต่อว่าสักคำ นิสัยก็หยิ่งผยองขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อนางเดินมากับลูกสาว ไหนเลยจะปล่อยบ่าวที่ทำให้ลูกสาวร้องไห้ไปได้ จึงเรียกคนมาตบปากบ่าวทั้งสอง ตบจนสลบ ฟื้นมาก็ตบซ้ำอีก ทั้งสองจึงร้องโอดครวญขอชีวิตระงม พลันทำให้หลังเรือนวุ่นวายกันไปหมด


 


 


ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเช่นกัน จึงวิ่งมาดู พอเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ แม่ลูกคู่นี้วางตัวให้เป็นผู้สูงศักดิ์ที่เจริญแล้วไม่เป็นจริงๆ ยังไม่ทันไร ก็เริ่มแตกตื่น ขัดแย้งกันเองเสียแล้ว


 


 


ตอนอนุฟางตบตีบ่าวของตนเองนั้น อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานพอดี เดิมทีเขานั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า พอได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้หลังเรือน พร้อมเสียงยกเก้าอี้ โต๊ะล้ม เสียงตบดังเพี๊ยะๆๆ ดังรบกวนจิตใจ ก็พลันร้อนใจขึ้นมา แม้หมู่นี้ตนยุ่งอยู่นอกบ้าน ก็ยังได้ยินมาว่า อนุฟางเบ่งไปทั่ว อาศัยที่ว่าเป็นคนโปรด เรื่องของเถาฮวา แม้เขามิได้ว่าอะไรนาง แต่ก็ยังติดอยู่ในใจ พอรู้สึกหงุดหงิด ก็ปัดถ้วยน้ำชาที่มีน้ำชาอยู่ตกแตกเสียงดัง ‘เพล้ง’


 


 


พออนุฟางรีบพาคุณหนูสามเข้ามา ยังไม่ทันถอนสายบัว ก็ต้องสบเข้ากับสายตามองแรงอย่างเกลียดชังชองท่านพี่ จึงยืนตะลึงอยู่กับที่ ยังไม่ทันเข้าไปอธิบาย ท่านพี่ก็สะบัดแขนเสื้อ ก้าวยาวๆ จากไปทันที


 


 


หมู่นี้ตามปกติ อวิ๋นเสวียนฉั่งมักค้างคืนที่เรือนของอนุฟาง แต่ตอนนี้เขาหยิบเสื้อคลุม แล้วเดินไปที่เรือนหลัก คร้านที่จะกลับมาอีก


 


 


ขณะอวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งสงบสติอารมณ์อยู่กับโต๊ะไม้ชิงชัน ก็มีชาร้อนถ้วยหนึ่งยื่นเข้ามาข้างๆ พร้อมกับเสียงนุ่มนวล คล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาดับเปลวไฟในใจ


 


 


“นายท่านใจเย็นๆ เจ้าค่ะ จิบชาร้อนสักคำก่อน”


 


 


พอเงยหน้าขึ้น จะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่เหลียนเหนียง


 


 


จะว่าไป เหลียนเหนียงถูกย้ายมาที่นี่หลายวันแล้ว แต่กลับไม่เหมือนเถาฮวาที่มาถึงช่วงแรกๆ ก็มักเดินไปมาทั่วบริเวณให้เขาได้เห็นเสมอ


 


 


สีหน้าของเขาจึงผ่อนคลายลง ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้น พลางพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“เจ้าย้ายมาจากห้องครัวแล้วหรือ ข้ากลับไม่ค่อยได้เห็นเจ้า”


 


 


อาจเพราะนางไม่ทำตัวโดดเด่น เขาจึงรู้สึกดี


 


 


เหลียนเหนียงหน้าแดง ก้มหน้าลงเล็กน้อย พูดเสียงมุ้งมิ้งคล้ายยุง ก่อกวนจิตใจบุรุษให้หวั่นไหว…


 


 


“บ่าวเพิ่งเข้ามาทำงานในเรือน มีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้นเคย เกรงว่าจะรับใช้นายท่านได้ไม่ดีพอ หลายวันมานี้จึงอยู่แต่ด้านนอก คอยดูพวกผู้อาวุโสว่าเขารับใช้กันอย่างไร…”


 


 


“อ้อ” อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจ จึงหยอกล้อ “ดูอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รับใช้? แอบขี้เกียจนี่”


 


 


ตาสวยของเหลียนเหนียงทำท่าจะร้องไห้ คล้ายสุนัขที่เว้าวอน อยากได้ความรักจากเจ้าของ


 


 


“บ่าวเฝ้าอยู่ด้านนอก หมู่นี้นายท่านงานยุ่ง ถ้ามาค้างคืนที่เรือนหลัก บ่าวจะได้ดับไฟก่อนเที่ยงคืน บ่าวรอให้นายท่านหลับสนิทก่อน ค่อยกลับไปนอนเจ้าค่ะ”


 


 


เป็นคนอ่อนโยนและเอาใจใส่จริงๆ อวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกว่านางน่ารักน่าเอ็นดู มีความละเอียดอ่อนและฉลาด แบบที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตอนสาวๆ ไล่ไม่ทัน ถ้าเทียบกันแล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้แต่ใช้วิชามารนอกรีตเล็กๆ น้อยๆ เรียกร้องความสนใจจากตน อย่างครั้งนั้นที่ใช้กำยานลุ่มหลงจากดินแดนตะวันตกที่เกือบทำให้สุขภาพตนย่ำแย่ แต่เหลียนเหนียงในตอนนี้ ใช้ความตั้งใจและรู้กาลเทศะอย่างแท้จริง โดยไม่ได้คิดว่า นางมาจากสมาคมม้าผอม ที่เรียนรู้มาแล้วว่าควรเป็นอนุอย่างไร จึงไม่แปลกที่นางจะมีวิธีการเล่นกับผู้ชายที่เนียนกว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ย


 


 


พอเหลียนเหนียงเห็นว่านายท่านมองตนอย่างเคลิบเคลิ้ม ก็ไม่พูดอะไรมาก ย่อตัวลง แล้วว่า


 


 


“นายท่านจิบน้ำชาก่อน ถ้าน้ำชาในกาเย็นแล้ว บ่าวค่อยเติมให้ใหม่”


 


 


เพิ่งเอื้อมมือไป มือก็ถูกบุรุษที่อยู่ด้านหลังจับแล้วบีบเบาๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะหยอกเย้าของเจ้าบ้าน


 


 


“รับใช้คนเก่งแบบนี้ ไม่ต้องเรียนกระมัง เกินหน้าอาจารย์แล้ว วันนี้เริ่มเข้ามารับใช้เถอะ”


 


 


เหลียนเหนียงดีใจเป็นอย่างยิ่ง หันคอหยกมา มองอย่างอ่อนโยนพลางว่า


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


ในใจคิดถึงเถาฮวา ที่วันๆ เอาแต่เดินเฉิดฉายโปรยเสน่ห์ไปมาต่อหน้าผู้ชาย จะไปยากอะไร อย่างมากก็ทำให้ผู้ชายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่อให้ถูกตั้งเป็นอนุแล้วไง ถ้าไม่มีใครให้ความสำคัญ เป็นไปก็เท่านั้น ถ้าต้องอยู่อย่างน่าอนาถแบบอนุฟาง ในบ้านมีเพิ่มขึ้นอีกคน หรือน้อยลง นายท่านก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก สามารถทำให้ผู้ชายอยากเข้ามาครอบครองเองต่างหาก ถึงจะเรียกว่าแผนมัดใจชาย  

 

 


ตอนที่ 89-4 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่า...

 

ถ้าบอกว่า เรื่องเว่ยอ๋องสูญเสียอำนาจ ส่งผลกระทบต่อคนสกุลอวิ๋นต่างกันตามแต่ละบุคคล อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเป็นผู้ที่ได้เปรียบ ไม่มีใครมาเข้มงวดกวดขัน จึงฉวยโอกาสตอนไปบ้านท่านลุง แวะไปร้านที่ถนนจิ้นเป่าบ่อยครั้งขึ้น


 


 


พอหงเยียนนำอักษรพู่กันของฮ่องเต้กลับมาที่ร้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็บอกให้นางเอาไปทำเป็นป้ายอักษรสีทองบนพื้นดำที่ร้านตีเหล็ก เสร็จแล้วก็แขวนป้ายชื่อร้าน เซียงหยิงซิ่ว ขึ้น เป็นการเปิดร้านอย่างเป็นทางการ


 


 


การนี้ ประตูหัวล้านที่ว่างมานาน จึงมีป้ายชื่อร้านพระราชทานเสียที วันที่ทำป้ายเสร็จแล้วยกขึ้นแขวนนั้น ดึงดูดความสนใจจากคนที่อยู่ในร้านแถบนั้น ทั่วทั้งถนนและตรอกซอกซอย พากันวิ่งมาดูอย่างคึกคัก ทำเอาอาหลางเด็กในร้านยิ้มพลางว่า


 


 


“มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่เจ้าของร้านถึงไม่รีบเปิดร้าน ที่แท้ก็กั๊กของดีไว้ตอนท้ายนี่เอง”


 


 


ยังไม่ถึงสามวัน ป้ายชื่อร้านพระราชทานของร้านก็เป็นที่กล่าวขวัญถึงครึ่งเมืองหลวงเห็นจะได้ ทำให้สตรีบ้านผู้สูงศักดิ์หลายท่านเดินทางมากับบ่าว เพื่อเชยชมอักษรพู่กันของฮ่องเต้ กระทั่งยังมีกวีและบัณฑิตมาเที่ยวชมโดยเฉพาะด้วย


 


 


แรกเริ่มหงเยียนดีใจไม่หยุด แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ค้นพบว่า หลายต่อหลายคนมิได้มาซื้อของ แต่มารับพลังมังกรเป็นหลัก บางคนยืนอยู่ได้ทั้งวัน จนหงเยียนมีสีหน้าไม่สู้จะดี พออวิ๋นหว่านชิ่นรู้ ก็บอกว่าอย่าไปไล่พวกเขา ให้คิดเสียว่าพวกเขาช่วยทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น


 


 


ผ่านไปหลายวัน หน้าร้านก็ค่อยๆ เงียบลง ผู้ที่มามุงดูน้อยลง แต่ผู้ที่มาซื้อของ กลับมากขึ้นจริงๆ


 


 


พูดได้ว่า การค้าไม่เหมือนเมื่อก่อนอีก หงเยียน ป้าสี่ และอาหลางยุ่งกว่าเมื่อก่อนมาก


 


 


วันนี้ พอเมี่ยวเอ๋อร์มา หงเยียนจึงลองถามเรื่องลงสินค้าเพิ่มดู


 


 


แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับยับยั้งไว้ก่อน


 


 


ด้วยเห็นว่าผู้คนที่มากันมากมายในตอนนี้นั้น กว่าครึ่งเป็นเพราะสนใจในตัวป้ายพระราชทาน


 


 


ซึ่งนางเพียงยืมลมตะวันออกของราชวงศ์ หรือยืมความนิยมที่ผู้คนมีต่อราชวงศ์ เปิดร้านเอาฤกษ์เอาชัยเท่านั้น


 


 


นางเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยเฉพาะตอนนี้ ร้านกำลังเป็นที่รู้จัก จึงมีร้านประเภทเดียวกันไม่น้อยจับตาดูอยู่ แต่ละคนรู้ดีว่า ร้านเซียงหยิงซิ่วก็แค่มีป้ายชื่อร้านอักษรพู่กันพระราชทาน แต่ไม่ใช่ร้านของเชื้อพระวงศ์ ถ้าคุณภาพสินค้าไม่ดีพอ ลูกค้าก็จะไม่เข้าร้านอีก ค่อยๆ ดูกันก่อนดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี


 


 


และหนึ่งในผู้ที่มาชมอักษรพู่กันของฮ่องเต้ ก็มีเถ้าแก่อ้วน เจ้าของร้านคนเดิมรวมอยู่ด้วย เขากำลังจะกลับบ้านนอก จึงมาซึมซับรัศมีราชวงศ์เสียหน่อย


 


 


พอดีวันนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ร้าน พอเห็นเถ้าแก่อ้วนพูดคุยกับหงเยียน ก็เอะใจ เลิกผ้าม่านขึ้น บอกใบ้ให้


 


 


หงเยียนเชิญเขาเข้าไปหลังร้าน อยากจะลองถามถึงหุ้นส่วนอีกคนที่ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าดู


 


 


เถ้าแก่อ้วนเป็นตัวแทนที่อยู่ตรงกลาง ตอนรับส่งเอกสารลงนามน่าจะเคยเห็นหน้าค่าตากัน และรู้ดีว่าหุ้นส่วนอีกคนเป็นใคร


 


 


เถ้าแก่อ้วนเองก็เดาได้แต่แรกแล้วว่า มีคนอยู่เบื้องหลังหงเยียน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กสาว จึงมองใบหน้าเด็กสาวตรงหน้าให้ชัดๆ อีกครั้ง จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก ไม่แปลกใจแล้วว่า เหตุใดหุ้นส่วนอีกคนถึงได้แอบช่วยนาง แม้คนผู้นี้ไม่ได้ห้ามไม่ให้ตนพูด แต่ตนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงยิ้มแล้วว่า


 


 


“คุณหนูก็คิดเสียว่า ได้เจอกับผู้ใหญ่ใจดีที่ไม่ประสงค์ออกหน้าก็แล้วกัน”


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขาไม่ยอมบอก ก็ไม่คิดบังคับ ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ นำเงินหนึ่งตำลึงทองยัดใส่มือเขา


 


 


เถ้าแก่อ้วนยิ้มยิงฟันอย่างชอบใจ “คุณหนูเพิ่งเป็นเถ้าแก่เนี้ยได้ไม่นาน ราศีของของนักธุรกิจก็จับเสียแล้ว แต่…” เขาผลักตำลึงทองกลับไป ยังคงยิ้มตาหยี “ไม่มีผลงานจะรับค่าจ้างได้อย่างไร”


 


 


ไม่รับค่าจ้าง ก็หมายความว่า เถ้าแก่อ้วนบอกไม่ได้จริงๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว เป็นบุคคลสำคัญล่ะสิ ถึงได้หลบๆ ซ่อนๆ อยู่เบื้องหลัง ทำเป็นไม่ออกหน้า


 


 


เถ้าแก่อ้วนเป็นคนชมชอบสาวงามอยู่เป็นทุนเดิม ช่วงแรกที่หงเยียนมาต่อราคา เขาก็เอาแต่มองหน้าสวยๆ ของนาง ตอนนี้พอเห็นสาวน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงเริ่มใจอ่อน ลูบคางไปมา ก่อนพูดเสียงต่ำ


 


 


“เอาล่ะๆ ไม่ต้องมาจ้องข้า อย่างกับข้าติดค้างเจ้าอย่างไรอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวข้ากลับบ้านนอกไป จะไม่สบายใจเปล่าๆ จริงๆ นะข้าไม่เคยเห็นหน้าคนซื้อร้าน เคยเจอแต่คนสนิทของเขาสองครั้ง หงเยียนก็เคยเจอ คนสนิทของเขาเพียงกำชับข้าว่า แต่นี้เป็นต้นไป นายเขาหรือเจ้าของร้านอีกคนให้ข้าจัดการเรื่องทางนี้ทั้งหมด จัดการดีก็ดีไป ไม่ดีก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้จักนายเขาหรอก แต่ถ้าขาดทุน โดนเก็บภาษี หรือนักเลงแถวนี้มาหาเรื่อง ค่อยบอกเขา นายเขาพอจะช่วยเรื่องเงินและหาคนมาจัดการให้ได้”


 


 


เสียงของเถ้าแก่อ้วนเบาลงเล็กน้อย อมยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางว่า


 


 


“เอ่อ ถ้าคุณหนูเจอท่านผู้นี้เมื่อไหร่ ก็แนะนำให้ข้ารู้จักด้วยก็แล้วกัน”


 


 


ทั้งหมดที่พูดมา ก็เท่ากับมอบร้านทั้งหมดให้คุณหนูผู้นี้ดูแล และยังสามารถตามล้างตามเช็ดเรื่องต่างๆ ให้นางได้ทุกเมื่อ จัดการปัญหาที่น่าปวดหัวทุกประเภทในธุรกิจ ไม่สิ ไม่ใช่ท่าน นี่มันเทพเซียนมาจุติชัดๆ ถ้าบอกว่าไม่รู้จักคุณหนูผู้นี้ ใครจะเชื่อ


 


 


“กะล่อนละ พอเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เชิญท่านออกไปนั่งด้านนอก!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าเถ้าแก่อ้วนยิ่งพูดก็ยิ่งทำท่าเจ้าชู้ จึงผายมือ ส่งเขาออกไป


 


 


เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยว่าเป็นรัชทายาท ตอนนี้ก็ยิ่งได้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า ธุรกิจเช่นนี้ ถ้าไม่มีเส้นสาย ทำไม่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ


 


 


พอพูดถึงรัชทายาท ก็นึกถึงเจี่ยงยิ่นขึ้นมา พอสวี่มู่เจินมาที่ร้าน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงลากเขาเข้ามาด้านใน พูดคุยไม่กี่คำ ก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องเจี่ยงยิ่น ถามเขาว่า ตอนนี้เจี่ยงยิ่นยังอยู่ที่เรือนเหยาหวาในตำหนักบูรพาหรือเปล่า


 


 


ตอนสวี่มู่เจินพบเจอรัชทายาท ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับอาการป่วยของพระมาตุลาเจี่ยงอยู่เหมือนกัน เพียงแต่แปลกใจ


 


 


“ญาติผู้น้อง เจ้าถามถึงพระมาตุลาเจี่ยงไปทำไม”


 


 


เรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดญาติผู้พี่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด


 


 


สวี่มู่เจินอ้าปากค้าง พอทำความเข้าใจเรียบร้อย ค่อยว่า


 


 


“เดี๋ยว…ตอนนี้เจ้า กำลังสงสัยว่าพระมาตุลากับท่านอาเป็น…”


 


 


แรกเริ่มเดิมที นางกลัวว่าจะถูกคนเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ จนส่งผลกระทบถึงตนกับอวิ๋นจิ่นจ้ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแต่เพียงว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่กระจ่าง ตนก็อึดอัดใจ


 


 


อย่าว่าแต่ตอนที่เบาะแสสำคัญปรากฏตัว ญาติผู้พี่ไม่ได้อยู่กับตน ตอนนี้ตนจึงกลัวว่าญาติผู้พี่จะปฏิเสธจึงดึงแขนเสื้อเขาไว้


 


 


“อย่างไรพี่ช่วยข้าสืบดูหน่อยได้ไหมว่า พระมาตุลาจะออกจากวังเมื่อไหร่ ข้าอยากจะพบเขาเป็นการส่วนตัวสักครั้ง”  

 

 

 


ตอนที่ 89-5 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่า...

 

แต่สวี่มู่เจินยังไมทันตอบ ม่านก็ถูกเลิกขึ้น


 


 


หงเยียนคิดเข้ามาถามเรื่องน้ำมันแต่งผมว่า สินค้าจะเข้าเมื่อไหร่ แต่พอเห็นทั้งสองดึงกันไปดึงกันมา ก็อึ้งเล็กน้อย ก่อนขำ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงปล่อยแขนเสื้อสวี่มู่เจินลง ก้าวเข้าหาหงเยียน แล้วลากนางออกไปด้านนอก เดินพลางพูดพลาง


 


 


“หงเยียน เราสองคนทะเลาะกันแต่เด็กจนชินแล้ว เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”


 


 


หงเยียนยิ้มไม่หุบ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นแล้วว่า “คุณหนูใหญ่พูดอะไรน่ะ นึกว่าข้าหึงเหรอ ถ้าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ข้ายังดูไม่ออก จะอยู่ได้ถึงป่านนี้หรือ คงตายไปนานแล้วล่ะ! ต่อไปถ้าญาติผู้พี่คุณหนูแต่งเมียเมื่อไหร่ และถ้าบ้านสกุลสวี่ไม่รังเกียจ ข้าก็คิดว่าจะไปช่วยดูแลเจ้าสาวให้!”


 


 


แต่ละคำพูดตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้งแม้แต่น้อย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางหน้าตาแจ่มใส ค่อยวางใจลง


 


 


ทว่าคำพูดนี้ก็ลอยเข้าหูสวี่มู่เจินด้วยเช่นกัน แล้วจู่ๆ เขาก็หน้ามุ่ย ยกชุดยาว ก้าวเดินออกไป


 


 


“ญาติผู้พี่เพิ่งมาก็จะไปแล้วหรือ…เดี๋ยวๆ จำเรื่องที่ข้าบอกได้ใช่ไหม!” อวิ๋นหว่านชิ่นตะโกนเรียก


 


 


“รู้แล้วหน่า!” สวี่มู่เจินหันมาทำหน้าทะเล้นใส่


 


 


เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้อารมณ์เสียขึ้นมา จึงเดินหน้าบึ้งออกจากร้านเซียงหยิงซิ่ว ไปขึ้นรถม้า


 


 


ตรงหัวเลี้ยว ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบมองตามรถม้าที่ห้อตะบึงไป แล้วหันมองหน้าร้านเซียงหยิงซิ่วที่แขวนป้ายพระราชทานไว้ ก่อนหันกายก้าวยาวๆ จากไป


 


 


ในจวนฉินอ๋อง ซือเหยาอันกำลังทำการบ้านที่เขาต้องทำเป็นประจำอย่างรายงานความเคลื่อนไหวในวันนี้ของคุณหนูอวิ๋น รวมทั้งการที่นางได้พบกับคุณชายสวี่ แล้วบอกให้เขาช่วยพูดกับคนที่ตำหนักบูรพาด้วย


 


 


สุดท้าย พอมองสีหน้านายแล้วเห็นว่ายังสงบนิ่งอยู่ ซือเหยาอันค่อยพูดเสริม


 


 


“ดูท่า ระหว่างที่จัดการปมในอดีตของหงเยียนกับพระมาตุลานั้น คุณหนูอวิ๋นกับรัชทายาทกลับสนิทสนมกันมากขึ้น ซึ่งรัชทายาทก็ไม่อธิบาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านสามเป็นคนบอกให้ทำ ปล่อยให้คุณหนูอวิ๋นคิดว่าเขาคือผู้มีพระคุณ หึ เข้าใจเอาเปรียบกันนี่”


 


 


สีหน้าชายหนุ่มค่อยๆ จริงจังขึ้น ก่อนเปล่งเสียงขรึมออกมาทีละคำ “ไม่รู้จักรักศักดิ์ศรีเอาเสียเลย”


 


 


เป็นครั้งแรกที่ผู้ซึ่งไม่มีหัวใจและไม่มีความรักอย่างท่านสามโมโห ซ้ำยังด่าว่าคนอีก ซึ่งซือเหยาอันไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ จึงยืนตะลึงพร้อมกับสุขใจเล็กๆ


 


 


 


 


ด้านสวี่มู่เจิน หลังจากพบปะกับรัชทายาทในสนามม้านอกพระราชวัง ก็ชวนคุยสัพเพเหระ ก่อนเรียบๆ เคียงๆ ถามถึงอาการป่วยของเจี่ยงยิ่น


 


 


หมอนี่ จู่ๆ ทำไมถามถึงเสด็จลุงได้ล่ะ รัชทายาทโยงมาบรรจบกับคำถามที่อวิ๋นหว่านชิ่นถามถึงเสด็จลุง


 


 


ในวันนั้น จึงกระโดดลงจากหลังม้า นำลูกธนูเสียบลงในซองผ้าทอใส่ลูกธนูที่ห้อยติดกับอานมา แล้วใช้มือตบลงบนอานม้า ม้าก็ทำตามคำสั่งเจ้าของ ออกเดินก้าวเล็กๆ ไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน แล้วก้มลงเล็มหญ้าเอง


 


 


รัชทายาทหัวเราะ “ญาติผู้น้องบอกให้เจ้ามาถามหรือ เจ้าน่ะ เป็นทาสของญาติผู้น้องเจ้า”


 


 


รัชทายาทพูดเป็นการส่วนตัวอย่างผ่อนคลาย “นางบอกว่าไม่สนใจเสด็จลุงข้า แต่ให้เจ้ามาถามข่าวคราวจากข้าเนี่ยนะ! แต่พูดก็พูด เสด็จลุงรูปหล่อและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ยิ่งบำเพ็ญเพียรสามปี ก็ยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีก จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดใจเด็กสาว แม้มีอายุแล้วก็ตาม”


 


 


สวี่มู่เจินคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดาถูก แต่ก็ไม่คิดพูดมาก เพียงหัวเราะ “อุปนิสัยญาติผู้น้องข้า ข้าชัดเจนดี นางไม่สนใจชายมีอายุหรอก ชอบก็แต่ชายหนุ่มกำยำล่ำสัน นางแค่อยากถามเรื่องบางอย่างกับพระมาตุลา รัชทายาทก็อำนวยความสะดวกให้นางหน่อยแล้วกัน!”


 


 


เอ๋ มิได้สนใจเสด็จลุงจริงๆ หรอกหรือ? รัชทายาทแปลกใจ แต่พอเห็นสีหน้าของสวี่มู่เจิน ที่คล้ายมีเรื่องที่ไม่สู้จะดีนักถ้าพูดออกมา ก็คร้านจะถามมากความ ส่ายศีรษะ แล้วว่า


 


 


“พอคดีถังโจวตัดสินเรียบร้อย เสด็จลุงก็เก็บข้าวเก็บของ พร้อมกลับกระท่อมบำเพ็ญเพียรของท่านทุกเมื่อ ไม่ว่าเสด็จพ่อเหนี่ยวรั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล แต่หลายวันมานี้อาการป่วยของท่านยังไม่หายดี อย่าว่าแต่ออกจากวังเลย แค่เรือนเหยาหวาก็ยังไม่เห็นท่านเดินออกมา รอก็แต่เสด็จพ่ออนุญาต เรื่องที่ญาติผู้น้องเจ้าคิดพบเสด็จลุง เห็นทีจะยากอยู่”


 


 


หยุดสักพัก แล้วหันหลังกลับ จ้องมองสวี่มู่เจิน “แต่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว”


 


 


ครึ่งบ่าย สวี่มู่เจินจึงฝากคนมาบอกอวิ๋นหว่านชิ่นว่า


 


 


เจี่ยงยิ่นกำลังจะจากไป แต่หนิงซีฮ่องเต้ไม่ยอมปล่อยให้ไป ขณะจะส่งคนไปเกลี้ยกล่อม ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกสิบวัน ประเพณีล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะเริ่มต้นขึ้น จึงคิดใช้ข้ออ้างนี้รั้งตัวเขาไว้ ให้เขาขี่ม้าไปเป็นเพื่อน และระหว่างนั้นค่อยพยายามโน้มน้าวจิตใจเขา


 


 


เห็นชัดว่าเจี่ยงยิ่นไม่ยินยอม แต่เขาอาศัยอยู่ในวังหลวง จะบอกปัดก็ไม่สู้จะดี คล้ายเขาคิดจะสนองตอบเจตนารมณ์ของฝ่าบาท รับปากว่าจะไป และทำอะไรพอเป็นพิธีเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


การล้อมป่าฮู่หลงเพื่อล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วม มีเพียงขุนนางชั้นสูงที่ได้รับพระกรุณาธิคุณเท่านั้น โดยสามารถพาลูกสาวไปด้วย แต่ขุนนางเหล่านี้กว่าครึ่งเป็นแม่ทัพนายกอง อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่เคยเข้าร่วมมาแต่ไหนแต่ไร ปีนี้ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ จึงคิดว่าหมดสิทธิแน่นอน


 


 


เมื่อเดินทางนี้ไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้แต่คิดหาหนทางอื่น


 


 


งานแต่งของอวิ๋นหว่านถงใกล้เข้ามาเต็มที มีคนจากสำนักพระราชวังมาที่บ้านหลายครั้ง คนในบ้านก็ยิ่งไม่ว่างกัน หลายวันผ่านไป วันแรกของฤดูหนาวก็มาถึง


 


 


วันนี้เป็นวันสำคัญของคนในเมืองหลวง  โดยในทุกๆ ปี บนท้องถนนจะมีแต่ความคึกคัก เต็มไปด้วยตลาดนัดพ่อค้าแม่ขาย พอตกกลางคืน บริเวณริมแม่น้ำชานเมือง ก็จะมีการลอยกระทง ลอยโคม และจุดดอกไม้ไฟ พอๆ กับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างและเทศกาลหยวนเซียวก็ว่าได้ ผู้คนมากมายพากันจูงลูกจูงหลานออกมาเดินเล่น


 


 


นอกบ้าน


 


 


คนสกุลอวิ๋นเป็นคนไท่โจวซึ่งไม่มีประเพณีนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองแต่อย่างใด โดยวันนี้ในทุกๆ ปีอวิ๋นเสวียนฉั่งจะจัดงานเรียบง่ายกว่าบ้านอื่นๆ อย่างมากก็ตั้งโต๊ะบูชาหมูเห็ดเป็ดไก่ จุดธูปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ขอให้คุ้มครองคนในบ้านให้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยไม่มีภัยพิบัติ จากนั้นก็จะให้พ่อครัวทำไก่ผัดน้ำมันงาดำมารับประทานอบอุ่นร่างกาย นำหม้อตุ๋นเนื้อแพะมาวางไว้ในห้องโถง แล้วให้คนในบ้านทั้งนายและบ่าวนั่งรับประทานร่วมกัน


 


 


แต่ปีนี้พ่อครัวยุ่งจนไม่มีเวลามาทำเนื้อแพะตุ๋น อีกทั้งมีคนไม่กี่คนมานั่งรับประทานอาหารบนโต๊ะ


 


 


พอทุกคนทานไก่ผัดน้ำมันงาดำจนอิ่มแปล้ ฟ้าก็เริ่มมืดค่ำ อวิ๋นจิ่นจ้งเช็ดปากมันๆ แล้วกระโดดลงจากโต๊ะ คลับคล้ายได้ยินเสียงจุดดอกไม้ไฟดังปุงปัง ก็ให้รู้สึกอิจฉาคนที่อยู่นอกบ้าน จึงหันมายิ้มตาหยี


 


 


“พี่ใหญ่ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าดอกไม้ไฟสวยแค่ไหน”


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินก็รู้ว่าน้องชายอยากออกไปร่วมเฉลิมฉลองนอกบ้านกับเขาด้วย แต่อย่าว่าแต่น้องชายเลย ตนโตมาจนป่านนี้ ก็ยังไม่เคยได้ออกไปสัมผัสบรรยากาศของคืนต้อนรับฤดูหนาว เพราะที่บ้านไม่มีประเพณีนี้ จะออกไปก็กระไรอยู่ ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่พอฟ้ามืด คิดที่จะไปบ้านท่านลุงยังไม่สะดวกเลย จึงได้แต่ยิ้ม แล้วว่า


 


 


“อีกไม่กี่เดือนก็ตรุษจีนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้จุดประทัด จุดดอกไม้ไฟจนหนำใจ”


 


 


พูดน่ะพูดได้ ทว่าชาติก่อนจนถึงชาตินี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็เคยดูดอกไม้ไฟเพียงไม่กี่ครั้ง จึงนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ตอนที่มารดายังมีชีวิต ในวันตรุษจีนเคยพานางออกไปดูสองครั้ง แต่พอมารดาจากไป นางก็รู้สึกว่าแต่ละวันผ่านไปอย่างมืดมน พอวันหยุดตรุษจีน บิดาก็มักอยู่เป็นเพื่อนสองแม่ลูกสกุลไป๋ นางไหนเลยจะมีกะใจออกไปเที่ยว ต่อมาพอแต่งเข้าจวนโหว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


เมื่ออวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินพี่สาวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังมาก แต่เขาก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้จริงๆ ระยะนี้เขาอยู่ในโอวาทยิ่ง กลับว่านอนสอนง่ายขึ้นเรื่อยๆ ทว่าพออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขารู้จักกาลเทศะ ก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงเดินไปส่งน้องชายกลับเรือนก่อน


 


 


ขณะสองพี่น้องเดินไปตามทางเล็กๆ ได้ครึ่งทาง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ซอยเท้าเข้ามาหา ท่าทางลึกลับชอบกล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรีบวิ่งมาหรือเปล่า แก้มถึงได้แดงไปหมด ลำคอครึ่งหนึ่งที่อยู่นอกเสื้อคลุมปรากฏเม็ดเหงื่อแวววาว สีหน้าดูไม่ออกว่ากำลังยิ้มหรือตกใจ เพียงแอบดึงคุณหนูใหญ่ไปยืนด้านข้าง แล้วพูดเสียงเบาที่ข้างหู


 


 


“คุณหนูใหญ่ รีบพาคุณชายไปที่ประตูข้างเร็ว หน้าประตู มีคนมารับพวกท่านออกไปน่ะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม