จำนนรักชายาตัวร้าย 88.4-89.4

ตอนที่ 88-4 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญา...

 

 


 


หลังจากหลี่รุ่ยกลับจวน นางก็ให้คนไปสืบเรื่องนี้ทันที ด้วยความสามารถแห่งจวนลั่วหยางอ๋อง ไม่นานคำตอบก็อยู่ในมือของหลี่รุ่ย


 


 


“หญิงผู้นั้นเป็นโจรสลัดจริงๆ ทั้งยังเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่เป็นนักโทษอาญาของราชสำนักอีกด้วย!”


 


 


“อวี้เชียนเสวี่ย สายตาท่านก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักนะ!”


 


 


หลี่รุ่ยเขียนเทียบเชิญส่งให้กับอวี้เชียนเสวี่ยอีกครั้ง ทั้งยังแนบหลักฐานสถานะมู่เหนี่ยนซีไปด้วย


 


 


ถึงแม้ว่าในเทียบเชิญนั้นหลี่รุ่ยจะไม่ได้เขียนเงื่อนไขใดๆ แต่ก็หมายความถึงการข่มขู่ได้เป็นอย่างดีโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย


 


 


“ข้าจะไปฆ่านาง!”


 


 


เห็นหลี่รุ่ยใช้สถานะตนข่มขู่อวี้เชียนเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีก็โมโหเป็นอย่างมาก หยิบกระบี่เตรียมจะพุ่งไปจัดการนางที่จวนลั่วหยางอ๋อง แต่ถูกอวี้จิงเหลยห้ามปรามเอาไว้


 


 


“เหนี่ยนซี เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เจ้าสำเร็จถึงขั้นราชัน ต่อให้นางไปฟ้องเจ้า อย่างมากชื่อเสียงตระกูลอวี้เราก็อาจจะเสียหายเล็กน้อย ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่มีอะไร”


 


 


วาจาอวี้จิงเหลยทำให้มู่เหนียนยิ่งเสียใจ


 


 


ชื่อเสียงตระกูลอวี้หล่อหลอมมาจากชีวิตเลือดเนื้อตั้งเท่าไหร่ จะมาเสียหายเพราะนางได้อย่างไรกัน!


 


 


มู่เหนี่ยนซีไม่ยินยอมที่จะมองดูให้เรื่องนี้เกิดขึ้น!


 


 


ท่านปู่ดีกับนางยิ่งนัก แล้วนางใจดำทำกับท่านเช่นนี้ได้อย่างไร!


 


 


“เพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำให้ตระกูลอวี้ต้องลำบากไปด้วย!”


 


 


มู่เหนียนก้มหน้าลงต่ำ หยาดน้ำตาหยดลงมาอาบแก้ม


 


 


ในตอนนั้นเอง ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยถูกยื่นมา เมื่อนางเงยหน้าขึ้นเจออวี้เฟยเยียนที่ยืนอยู่หน้านาง


 


 


“ท่านป้าสาม อย่าเสียน้ำตาให้กับเศษคนชั่วช้า ไม่คุ้มค่าหรอกเจ้าค่ะ! อีกอย่าง ชื่อเสียงลาภยศล้วนเป็นของนอกกาย ตระกูลอวี้เราเป็นตระกูลราชนิกุลที่สูงศักดิ์ที่สุดแห่งต้าโจวแล้ว จึงไม่ต้องเกรงว่าจะแปดเปื้อนด้วยเรื่องเพียงน้อยนิดหรอกเจ้าค่ะ!”


 


 


หลี่รุ่ย เจ้าจะข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญาอ่อนไปแล้วหรือเปล่า


 


 


คำปลอบโยนของอวี้เฟยเยียน ทำให้สภาพจิตใจของมู่เหนี่ยนซีดีขึ้นมาก


 


 


“แต่ว่า นางจะกราบทูลฝ่าบาท เช่นนี้แล้วจะทำให้ฝ่าบาททรงเกิดความเคลือบแคลงพระทัยหรือไม่นะ”


 


 


คำถามนี้กลายเป็นหน้าที่ของซย่าโหวฉิงเทียนตอบคำถามนี้แทน


 


 


“เสด็จพี่ทรงรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ข้าได้กราบทูลพระองค์เรียบร้อย!”


 


 


คราวนี้ ทำเอาสมาชิกของตระกูลอวี้อึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน


 


 


หลินเจียงอ๋อง พวกท่านพี่น้องความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันจริงๆ นะ นี่ท่านคุยกับเสด็จพี่ท่านทุกเรื่องเลยหรืออย่างไรกันหา!


 


 


“เช่นนั้นฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


อวี้เฟยเยียนสนใจที่สุด ก็คือข้อนี้


 


 


“ข้านำบันทึกรายละเอียดของคดี รวมทั้งนำตัวพยาน คำให้การทั้งหมด ถวายให้กับเสด็จพี่ เสด็จพี่ยังทรงชื่นชมท่านป้าสามว่าเป็นสตรีผู้กล้าหาญเปี่ยมด้วยน้ำใจ”


 


 


ได้ฟังสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูด ในที่สุดอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีก็วางใจ


 


 


สายตาที่อวี้เชียนเสวี่ยจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียน ยิ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนขึ้นไปอีก


 


 


หลินเจียงอ๋องผู้นี้ เพื่อเสี่ยวเยียนเยียนแล้ว เขาทุ่มเททั้งกายใจไปมากมาย ยินยอมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง!


 


 


สืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดี ตามหาพยาน เขียนคำให้การ…


 


 


สามเรื่องนี้ กล่าวลอยๆ นึกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่คดีนี้เกิดขึ้นมาหลายปี หากจะตระเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย นับเป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่น้อย!


 


 


ฝ่าบาททรงวางพระทัยและโปรดปรานหลินเจียงอ๋องเป็นที่สุด ครานี้ซย่าโหวฉิงเทียนออกหน้าด้วยตัวเอง ฝ่าบาทจะต้องทรงเชื่อแน่ จะไม่เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตระกูลอวี้อย่างแน่นอน


 


 


ซึ่งก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เอ่ยปากอะไรออกมา แต่กลับแอบไปจัดการเรื่องทั้งหมดจนเรียบร้อย เขาช่างรอบคอบ ไตร่ตรองเรื่องราวได้อย่างรอบด้าน ยอดเยี่ยมยิ่งนัก


 


 


ในใจของอวี้เชียนเสวี่ย สับสนเป็นที่สุด


 


 


ด้านหนึ่งก็คือความสุขของหลานสาว อีกด้านก็คือบุญคุณของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เป็นสิ่งที่เลือกยากจริงๆ!


 


 


แต่ทว่า ลึกๆ ในใจแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก


 


 


หากมิใช่เพราะเรื่องอวี้เฟยเยียนละก็ อวี้เชียนเสวี่ยคิดว่าตนเองจะต้องคบหาซย่าโหวฉิงเทียนฉันมิตรอย่างแน่นอน


 


 


หลี่รุ่ยมาคอยอยู่ ณ สถานที่เขียนลงในเทียบเชิญ แต่ทว่ารอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นท่าว่าอวี้เชียนเสวี่ยจะมาเลยแม้แต่น้อย


 


 


เกิดอะไรขึ้นนะ


 


 


หรือว่าเขาไม่สนใจชื่อเสียงตระกูลอวี้เลยหรืออย่างไรกัน


 


 


ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่หลี่รุ่ยก็ยังคงไม่ล้มเลิก ยังคงรอคอยอยู่เช่นเดิม


 


 


สุดท้าย อวี้เชียนเสวี่ยที่นางรอคอยไม่มา กลับเป็นพวกนักเลงอันธพาลมาแทน


 


 


“เจ้าคนชั้นต่ำปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าคือพระชายาแห่งลั่วหยางอ๋อง…”


 


 


หลี่รุ่ยจ้องมองชายสามสี่คนด้วยอาการตื่นตระหนก ตกใจขวัญเสียเป็นอย่างมาก


 


 


นางลักลอบออกมาจากจวน จึงพามาเพียงแค่สาวใช้ กระทั่งองครักษ์ก็ไม่ได้พามา ดังนั้นจึงถูกใครบางคนเล่นงานเข้าให้


 


 


“พระชายาอย่างนั้นหรือ พวกเราก็มาหาท่านนี่แหละ!”


 


 


หลี่รุ่ยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมัน ไม่นานก็มีเสียงร่ำไห้กรีดร้องเล็ดลอดออกมาจากในห้อง สุดท้ายหลี่รุ่ยก็ถูกอุดปาก เสียงนั้นจึงค่อยๆ เบาลง


 


 


รอจนกระทั่งประตูถูกคนถีบออก ในขณะที่หลี่รุ่ยกำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของชายคนหนึ่ง ซึ่งชายผู้นั้นกำลังดิ้นไปมา


 


 


“ท่านอ๋อง ดูนั่นสิเพคะ…”


 


 


เม่ยเหนียงประคองท้องตนเอาไว้ แล้วชี้ไปที่หลี่รุ่ยหน้าตาตื่น


 


 


“พระชายามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน สวรรค์ พระชายาทรงทำเรื่องเช่นนี้ลับหลังท่านอ๋องได้อย่างไรกัน!”


 


 


เม่ยเหนียงรู้สึกว่าจวนอ๋องอุดอู้นัก ซย่าโหวอี้จึงพานางมาเดินเล่นข้างนอก ทั้งยังจัดรถม้าคอยดูแลนางตลอดเวลา


 


 


คนทั้งสองเพิ่งจะก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็พบกับสาวใช้ข้างกายพระชายา เมื่อเม่ยเหนียงเค้นหนักเข้า หน้าตาของนางตื่นตระหนกสีหน้ามีพิรุธ ซย่าโหวอี้จึงมาดูให้เห็นด้วยตาตนเอง ใครจะคาดคิดว่าจะจับได้คาหนังคาเขา


 


 


“หลี่รุ่ย หญิงแพศยาหน้าไม่อาย!”


 


 


ถูกพระชายาสวมเขา ทำให้ซย่าโหวอี้โกรธจนแทบจะกระอักเลือด


 


 


แต่หลี่รุ่ยราวกับว่าไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์อันตรายของตนเองเลยแม้แต่น้อย ยังคงออกแรงเคลื่อนไหว ปากก็พร่ำร้องว่า พี่ชายที่แสนดี


 


 


คราวนี้ทำให้ซย่าโหวอี้อกแทบจะแตกตาย


 


 


“ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


 


ซย่าโหวอี้ร้องตะโกน ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาแทงไปที่ร่างของหลี่รุ่ย


 


 


แต่น่าเสียดาย วิชากระบี่ของซย่าโหวอี้อ่อนหัด จึงแทงไปถูกเพียงไหล่หลี่รุ่ยเท่านั้น


 


 


เมื่อได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวด ในที่สุดหลี่รุ่ยก็ได้สติขึ้น


 


 


นางก้มมองเสื้อผ้าของตนเองที่หลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย กำลังทำเรื่องฉันสามีภรรยากับชายอื่น นางไม่ได้รู้สึกถึงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทงแม้แต่น้อย นางกำลังตะลึงงัน


 


 


“ท่านอ๋อง ข้าถูกใส่ร้าย! มีคนต้องการให้ร้ายข้า!”


 


 


หลี่รุ่ยพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ทว่าเมื่อชายใต้ร่างของนางขยับตัว ฤทธิ์ยาในร่างนางก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง นางร้องแสดงความต้องการเสียงหวาน


 


 


“เจ้า นังแพศยาหญิงไร้ยางอาย!”


 


 


ซย่าโหวอี้ความโกรธแค้นสุมอกจนธาตุไฟเข้าแทรก ล้มทรุดลงที่พื้น น้ำลายฟูมปากหมดสติไปทันที


 


 


“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!”


 


 


เม่ยเหนียงตะโกนร้องเรียกให้คนช่วย ไม่นานก็เรียกคนทั้งโรงเตี้ยมเข้ามา


 


 


กระทั่งองครักษ์หามลั่วหยางอ๋องออกไป เม่ยเหนียงจึงทิ้งกำไลทองลงที่พื้นข้างๆ ร่างชายสามสี่คนนั้น


 


 


“นี่คือรางวัลพวกเจ้า! ทำได้ดีมาก!”


 


 


มองเลยไปที่หลี่รุ่ยที่ยังคงเสพสุข เม่ยเหนียงลูบเครื่องประดับบนศีรษะของนางแผ่วเบา แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีจริตจะกร้าน


 


 


“ลูกมีแล้ว แต่ตำแหน่งพระชายาน่ะสิ ยังไม่มี!”


 


 


มีเพียงแต่หลี่รุ่ยกระเด็นจากตำแหน่ง นางจึงจะขึ้นแทนอย่างไร้กังวล!


 


 


คุณหนูผู้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ไหนเลยจะมาต่อสู้กับเม่ยเหนียงผู้ที่เติบโตมาจากหอนางโลมได้เล่า!


 


 


เรื่องพระชายาลั่วหยางอ๋องคบชู้สู่ชาย ทำให้ลั่วหยางอ๋องพิโรธ กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดแห่งปีที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว


 


 


จากการตรวจของหมอหลวง ลั่วหยางอ๋องเป็นอัมพาต ไม่มีโอกาสจะยืนขึ้นมาได้อีก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าจะได้คั่วสตรีอีกเลย


 


 


หลังจากที่ทรงทราบข่าวนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ออกราชโองการลงโทษตายแก่หลี่รุ่ย


 


 


ส่วนตระกูลหลี่ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ถูกลดขั้นแล้วลดขั้นอีก


 


 


สำหรับเม่ยเหนียงและลูกในครรภ์ของนาง ไม่นานก็สืบรู้ได้ว่าทารกในครรภ์ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขซย่าโหวอี้ เพราะซย่าโหวอี้เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเคยได้รับบาดเจ็บ ทำให้มิอาจสืบตระกูลได้ ฉะนั้นจุดจบของเม่ยเหนียงจึงต้องตายสถานเดียว


 


 


หลังจากขันทีประกาศราชโองการให้ซย่าโหวอี้ได้รู้ เดิมอาการยังทรงๆ อยู่ เมื่อเป็นอัมพาตยิ่งอั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่อยู่ กลายเป็นอัมพาตหนักขึ้นไปอีก


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ให้คนนำทรัพย์สินของจวนลั่วหยางอ๋องออกมานับ แล้วแบ่งแจกจ่ายให้กับหญิงที่ซย่าโหวอี้ฉุดมาแล้วให้พวกนางแยกย้ายกลับบ้าน


 


 


ขณะนี้ในจวนลั่วหยางอ๋อง เหลือเพียงแค่บ่าวไพร่เพียงไม่กี่คนคอยดูแลเขา


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่จัดการเช่นนี้ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนไปถึงประชาชน ทุกคนต่างก็ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดี 

 

 


ตอนที่ 88-5 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญา...

 

เมื่อซย่าโหวจวินอวี่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้จากการพรรณนาของเซี่ยงจิ้น ก็ทรงส่ายพระเศียรเบาๆ


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างนั้นหรือ


 


 


ไม่ใช่!


 


 


หากว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีจริงละก็


 


 


หลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกถึงการกระทำทุกอย่างของซย่าโหวอี้ก็ตาม แต่เขาก็ทำเฉยไม่ซักไม่ถามไม่จัดการ


 


 


หากมิใช่องครักษ์เสื้อแพรส่งข่าวแจ้ง ว่าซย่าโหวอี้สาปแช่งด่าทอซย่าโหวฉิงเทียนอย่างลับๆ นับครั้งไม่ถ้วน ก็คงยังปล่อยปละละเลยให้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายเช่นเขามีชีวิตอยู่ต่อไป


 


 


ยังไม่จบ ซย่าโหวจวินอวี่เรียกฉู่อินเข้ามา


 


 


“ฆาตกรที่สังหารสวีหมัวมัวหาเจอหรือยัง”


 


 


“ทูลฝ่าบาท เจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฆ่าเสีย…”


 


 


หลังจากนั้นซย่าโหวอวี่จวินก็สั่งให้ทุกคนออกไปให้หมด ส่วนตัวเขาเองยืนนิ่งที่ประตูท่ามกลางตำหนักที่ว่างเปล่า ทอดมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอก


 


 


พี่เยียน ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เราได้พบกันอีกครั้ง ท่านจะยังจดจำข้าได้หรือไม่นะ!


 


 


ท่านดูสิ ข้าในตอนนี้กลายเป็นคนดีจอมปลอม เสแสร้งว่ามีคุณธรรม มิใช่หนุ่มน้อยที่ใสซื่อจิตใจดีเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป!


 


 


พี่เยียน ท่านผิดหวังในตัวข้าหรือไม่นะ


 


 


จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จิตใจซย่าโหวจวินอวี่จึงดีขึ้น เขาก้าวยาวๆ ไปที่ห้องทรงอักษรเพื่ออ่านฎีกา


 


 


เขามีเรื่องต้องทำอีกมาก ดังนั้นจึงมิอาจย่อหย่อนได้


 


 


เขาจะต้องพยายามให้มากต่างหาก!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ตั้งใจที่จะส่งมอบแผ่นดินที่รุ่งเรืองสงบสุขให้กับซย่าโหวฉิงเทียน ให้ซย่าโหวฉิงเทียนตลอดจนรุ่นลูกของเขาไม่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเฉกเช่นที่ตัวเขาพบเจอมา!


 


 


นี่คือหน้าที่ความรับผิดชอบของบิดา ทั้งยังเป็นการชดเชยที่จะสมควรมอบให้กับบุตรชายตั้งนานแล้ว!


 


 


สมาชิกตระกูลอวี้ไม่คิดเลยว่า จุดจบของหลี่รุ่ยจะเป็นเช่นนี้


 


 


เดิมทีอวี้เชียนเสวี่ยเตรียมพร้อมรับมือหากว่าหลี่รุ่ยทูลเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์เอาไว้แล้ว แต่ผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้ ผู้ใดสร้างกรรมใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลนั้นตอบแทน!


 


 


ต้นเดือนห้า ตระกูลอวี้จัดการงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่คึกคัก


 


 


ตระกูลอวี้จัดงานมงคลครั้งแรกในรอบสิบปี ดังนั้นงานแต่งงานอวี้เชียนเสวี่ยจึงคึกคักเป็นอย่างมาก


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่สั่งให้เซี่ยงจิ้นมามอบของขวัญแสดงความยินดี ซย่าโหวฉิงเทียนก็มาร่วมงานด้วยตัวเอง ท่าทีของผู้เป็นใหญ่ที่สุดสองคนแห่งต้าโจวอธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน


 


 


ตระกูลอวี้กลับมาแล้ว กลับมามีอำนาจและยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียด้วย!


 


 


ผู้ที่มาเข้าร่วมงานแต่งงานล้วนแต่เป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยปัญญา ทุกคนเข้ามาอวยพรแสดงความยินดีกับอวี้จิงเหลย ขณะเดียวกันก็พยายามเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอวี้ให้จงได้


 


 


วันรุ่งขึ้น มู่เหนี่ยนซีในชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงยกน้ำชาให้กับอวี้จิงเหลย อวี้จิงเหลยจึงมอบกำไลหยกคู่สีเขียวสดให้กับมู่เหนี่ยนซี


 


 


“นี่เป็นสิ่งที่แม่เจ้าทิ้งเอาไว้ให้ สะใภ้ทั้งสามคน คนละคู่! ขอให้พวกเจ้ารักกันมั่นคง จนแก่จนเฒ่า!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีรับกำไลหยกมา แล้วโขกศีรษะคำนับอีกครั้ง ในที่สุดนางก็เป็นสมาชิกตระกูลอวี้โดยสมบูรณ์


 


 


ความทุกข์ของสกลุอวี้สิ้นสุดแล้ว ในที่สุดวันเวลาแห่งความสุขที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าก็มาถึง


 


 


ภายในวัง ชีวิตความเป็นอยู่ของซย่าโหวเสวี่ยกลับย่ำแย่เป็นอย่างมาก


 


 


นางถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปไหน แม้แต่พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ไม่อาจพบได้


 


 


หลิวฮองเฮาถูกริบอำนาจในการปกครองวังหลังทั้งหมด ยิ่งไม่อาจช่วยเหลืออะไรนางได้เลย


 


 


หมอหลวงหวังยังคงมาตรวจร่างกายให้กับนางทุกวัน ซย่าโหวเสวี่ยรักษาตัวและบำรุงร่างกายภายใต้การดูแลของหมอหลวงหวัง นางจึงกลับมาแข็งแรงได้ภายอย่างรวดเร็ว


 


 


เนื่องด้วยคนในตำหนักนางถูกฮ่องเต้ลงโทษตายทั้งหมด ดังนั้นทุกครั้งที่ซย่าโหวเสวี่ยสอบถามถึงเรื่องราวภายนอก พวกเขาก็จะแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่ยอมพูดอะไรเลยทั้งสิ้น


 


 


แม้กระทั่งหมอหลวงหวัง ไม่ว่าซย่าโหวเสวี่ยจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบสอบถาม หรือรบเร้าซักไซ้อย่างไร หากเป็นเรื่องนอกเหนือจากการรักษา เขาก็ไม่หลุดปากออกมาเลยแม้แต่คำเดียว


 


 


ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยรับรู้จริงๆ แล้วว่า เสด็จพ่อทรงพิโรธ!


 


 


ในช่วงเวลานั้น นางทั้งร้องไห้สามวันสามคืน กรีดข้อมือฆ่าตัวตาย อดอาหาร วิธีการใดๆ นางก็ใช้จนหมดสิ้น แต่ซย่าโหวจวินอวี่ยังไม่ยอมให้นางพบหน้า


 


 


เซี่ยงจิ้นมายังตำหนักนางเพื่อนำรับสั่งฮ่องเต้มากล่าวแก่นาง หากนางยังไม่รู้สำนึก ต่อให้ตาย ก็จะให้ฝังอยู่ที่ซีเย่ว์


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ซย่าโหวเสวี่ยถึงจะสงบลงได้ แล้วกลับไปทำตัวเป็นลูกสาวที่ว่านอนสอนง่ายดังเดิม


 


 


คิดจะต่อกรกับฝ่าบาท นางยังอ่อนหัดนัก!


 


 


เมื่อเข้ากุมความเป็นความตายของนางเอาไว้ ซย่าโหวเสวี่ยไหนเลยจะกล้าข่มขู่ซย่าโหวจวินอวี่อีก!


 


 


ในตอนที่ซย่าโหวเสวี่ยใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่ายไปวันๆ นั้น เซี่ยงจิ้นก็มาแจ้งข่าวดีแห่งอิสรเสรีให้กับนาง


 


 


เพราะช่วงเวลาที่มืดมนไร้ซึ่งแสงสว่างนี้ ทำซย่าโหวเสวี่ยอึดอัดจนจวนเจียนจะบ้า


 


 


ในตอนที่ซย่าโหวเสวี่ยกำลังดีใจจนเนื้อเต้นนั่นเอง เซี่ยงจิ้นก็ออกปากเตือนนางว่า


 


 


“องค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์หลิวเปยเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว คืนนี้ฝ่าบาทจะทรงจัดงานเลี้ยงรับรององค์ชายห้า ฝ่าบาททรงกำชับให้องค์หญิงแต่งองค์ให้สวยงาม เข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้!”


 


 


เซี่ยงจิ้นกลับออกไปเป็นเวลานานแล้ว แต่ซย่าโหวเสวี่ยก็ยังตะลึงงันไม่หาย


 


 


หลิวเปยมาถึงแล้ว


 


 


รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ


 


 


มิน่าเล่านางถึงได้รับอิสระอีกครั้ง


 


 


เดิมทีซย่าโหวเสวี่ยคิดว่าเสด็จพ่อยกโทษให้นางแล้ว นางนึกไม่ถึงว่า สิ่งที่รอคอยนางอยู่ คือเรื่องนี้


 


 


หลิวเปยมาแล้ว นี่ก็หมายความว่านางจะต้องแต่งงานแล้วจากบ้านจากเมืองไปไกล


 


 


นางไม่ต้องการ!


 


 


แต่ทว่า ไม่ว่าในใจซย่าโหวเสวี่ยจะไม่ยินดีอย่างไร นางก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงอยู่ดี เพราะเป็นคำสั่งของซย่าโหวจวินอวี่ นางมิอาจขัดได้


 


 


งานเลี้ยงต้อนรับหลิวเปยในครั้งนี้ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่


 


 


ทุกคนรู้ดีว่า เบื้องหน้าก็เป็นงานเลี้ยงต้อนรับหลิวเปย แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการเปิดโอกาสให้องค์ชายห้าและองค์หญิงเสวี่ยได้พบหน้ากัน ซึ่งถือเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกก่อนแต่งงาน


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวเสวี่ยจะทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว


 


 


แต่เมื่อได้พบหน้าหลิวเปยขึ้นมาจริงๆ นางเกือบจะอาเจียนออกมา


 


 


ใบหน้าเขาสิวขึ้นเกรอะกรัง ท่าทางหื่นกามน่ากลัว ชายขาสั้นรูปร่างเตี้ยเล็ก นี่เป็นองค์ชายจริงหรือ


 


 


หลิวเปยเองก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า ตนเองได้แต่งงานกับองค์หญิงใหญ่แห่งต้าโจวเรื่องน่ายินดีเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตนเอง!


 


 


ตัวเขาถึงแม้ว่าจะเป็นองค์ชายองค์โต ซึ่งได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮา แต่เรื่องความสามารถซีเย่ว์ยังอ่อนด้อยกว่าต้าโจวมากนัก การมาแต่งงานในครั้งนี้ หลิวเปยจึงเตรียมใจไว้สำหรับถูกปฏิเสธอยู่แล้ว


 


 


ใครจะคาดคิดว่า ซย่าโหวจวินอวี่จะประทานซย่าโหวเสวี่ยให้กับนาง


 


 


นี่มันคือเนื้อห่านฟ้าร่วงมาจากสวรรค์จริงๆ!


 


 


“องค์หญิงเสวี่ย!”


 


 


หลิวเปยอมยิ้มมองมาที่ซย่าโหวเสวี่ย


 


 


เนื่องด้วยเพราะความดีใจ ทำให้สิววัยรุ่นบนใบหน้าของเขาแดงเถือกชัดเจน มองดูแล้วน่ากลัว จนซย่าโหวเสวี่ยทนไม่ไหว ถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าว


 


 


“เสวี่ยเอ๋อ! รีบทักทายองค์ชายห้าเร็วเข้า!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กระแอมขึ้นมา


 


 


ฝ่าบาททรงเตือนขึ้น ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยใจเย็นลง แล้วฉีกยิ้มออกมาพยักหน้าน้อยๆ ทักทายหลิวเปย


 


 


“ถวายพระพรองค์ชายห้า”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรูปร่างหน้าตาสะสวยอยู่แล้ว เพียงนางยิ้ม ก็ยิ่งทำให้หลิวเปยหน้าบานด้วยความปลื้มปริ่ม


 


 


นี่นับเป็นกิ่งทองใบหยกโดยแท้!


 


 


อีกไม่นาน เขาก็จะได้น้องคนงามกลับบ้านแล้ว


 


 


อีกทั้งยังได้ซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อตา มีต้าโจวสนับสนุน ตำแหน่งรัชทายาทก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว เจ้าพวกที่ชอบแข็งข้อกับเขาในราชสำนัก คราวนี้จะต้องหุบปากให้สนิท!


 


 


หลิวเปยยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ


 


 


ต่อให้ในเวลาปกติเขาจะสำมะเลเทเมาเพียงไหน แต่ทว่าต่อหน้าซย่าโหวจวินอวี่และซย่าโหวเสวี่ยแล้ว เขาต้องแสดงออกว่าตนเองเรียบร้อยมีมารยาท


 


 


แต่ทว่าซย่าโหวเสวี่ยเห็นบุรุษรูปงามเฉกเช่นเหลียนจิ่นเสียจนชิน ตอนนี้ต้องมาเห็นคางคกนั่งจ้องอยู่เบื้องหน้า แล้วนางจะหวั่นไหวได้อย่างไรกัน


 


 


ยิ่งกว่านั้นเจ้าคางคกตัวนี้ริอ่านกินเนื้อห่านฟ้าเสียด้วย ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งคลื่นไส้


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยนั่งอยู่ในที่ตน อาการเหม่อลอย อาหารชั้นเลิศตรงหน้าก็มิอาจดึงความสนใจจากนางได้


 


 


“องค์หญิง ทรงไม่อยากอาหารหรือ”


 


 


 ที่นั่งหลิวเปยใกล้กลับซย่าโหวเสวี่ยเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าคนงามไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ หลิวเปยจึงรีบแสดงท่าห่วงใยทันที


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าบวมอูมที่สิวเขรอะแดงเถือก ในที่สุดซย่าโหวเสวี่ยก็ทนไม่ไหว พ่นอาหารในปากใส่หน้าหลิวเปย 

 

 


ตอนที่ 89-1 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต

 

วินาทีนั้น ห้องโถงทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสนิท ถึงขนาดที่ว่าเข็มสักเล่มร่วงลงพื้นก็ได้ยินเสียงเลยทีเดียว


 


 


ใบหน้าหลิวเปยเดิมทีก็เต็มไปด้วยสิววัยแรกรุ่นผุดขึ้นทั่วทุกอณูจนใบหน้าแดงเถือก มาตอนนี้ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยข้าวสวย เศษอาหาร สีขาว สีแดง สีเขียวผสมปนเปกันไป ทำให้แลดูน่าตลกขบขันยิ่งนัก


 


 


“หึ…”


 


 


หลินเจียงอ๋องที่จัดว่าเป็นเสื้อยิ้มยาก ถึงกับแสยะยิ้มออกมา


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะเปิดงาน ทั้งห้องก็เริ่มตามน้ำทันที เสียงหัวเราะร่วนดังระงมไปทั่ว


 


 


มองเห็นสีหน้าซย่าโหวจวินอวี่บึ้งตึง ซย่าโหวเสวี่ยก็ทำสีหน้าราวกับจะร้องไห้


 


 


“ขอโทษด้วย ข้ามิได้ตั้งใจ!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เตรียมเช็ดหน้าให้กับองค์ชายห้า แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าเขาตรงหน้าอย่างเต็มตา มือที่ยืนออกไปของนางก็ชะงักอยู่กลางอากาศ


 


 


ยังดีที่หลิวเปยหัวไว เขากล่าวตบมุกให้ตนเอง


 


 


“เป็นความผิดข้า รับประทานอาหารไม่ควรพูดคุย ข้าทำให้องค์หญิงตกพระทัยแล้ว!”


 


 


หลิวเปยอยู่ที่ซีเย่ว์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของฮองเฮา เมื่อครู่ถูกซย่าโหวเสวี่ยพ่นข้าวใส่หน้าจนหน้าเละเต็มไปด้วยข้าวและเศษอาหาร เขาเกือบที่จะตอบแทนนางด้วยการตบหน้าให้หน้าหันเสียแล้ว


 


 


แต่ว่า จุดเด่นที่สุดของหลิวเปยนั่นก็คือ หัวไวสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้รวดเร็ว


 


 


ที่นี่คือต้าโจว!


 


 


แล้วบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาคือองค์หญิงใหญ่แห่งต้าโจว!


 


 


อีกทั้งซย่าโหวจวินอวี่ก็นั่งอยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงมิอาจกระทำเช่นนั้นกับซย่าโหวเสวี่ยได้


 


 


บวกกับท่าทีซย่าโหวเสวี่ยที่นั่งตัวสั่นงันงกราวนกน้อยที่กำลังตื่นตระหนกเช่นนั้น ก็ทำให้หลิวเปยอดสงสารไม่ได้


 


 


มองดูมือน้อยของซย่าโหวเสวี่ยที่ชะงักงันกลางอากาศ หลิวเปยก็ชื่นชมอยู่ในใจ


 


 


มือนี้ช่างงดงาม หากว่าได้กุมมือน้อยที่อ่อนนุ่มนี้ ไม่รู้ว่าจะสุขใจสักเพียงใด


 


 


“ขอบพระทัยองค์หญิง! พระองค์ทรงพระทัยดียิ่งนัก!”


 


 


หลิวเปยหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของซย่าโหวเสวี่ย มาเช็ดหน้าตนอย่างไม่เกรงใจ


 


 


หลิวเปยเช็ดหน้าไปพลางปลอบใจหญิงงามที่อยู่ตรงหน้าไปพลาง


 


 


“ฟันองค์หญิงเจือไว้ด้วยกลิ่นหอม ต่อให้ทรงพ่นใส่หม่อมฉันตรงๆ ก็นับเป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่งแล้ว!”


 


 


หลิวเปยใช้แรงไม่น้อยขณะเช็ดหน้า ทำให้เลือดจากสิวและน้ำหนองสีขาวไหลออกมาโดยไม่ทันระวัง ไม่นานเท่าไหร่ผ้าเช็ดหน้าผืนบางของซย่าโหวเสวี่ยก็เลอะเปื้อนเป็นรอยจุดกระดำกระด่างไปทั่วทั้งผืน


 


 


“เอ่อ…”


 


 


กว่าที่หลิวเปยจะสังเกตเห็น ผ้าเช็ดหน้าผีเสื้อแสนสวยก็สกปรกจนเกินเยียวยา


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวเปยจึงทำได้เพียงยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกผิด


 


 


“ขอโทษด้วย ข้าทำให้ผ้าเช็ดหน้าองค์หญิงสกปรกเลอะเทอะเสียแล้ว เดี๋ยวข้ากลับไปจะให้คนซักแล้วจะนำมาคืนให้กับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หลิวเปยทำให้ซย่าโหวเสวี่ยหวาดกลัวอย่างที่สุด


 


 


ผ้าเช็ดหน้าที่ทั้งสกปรกและน่ารังเกียจขนาดนั้น นางมิต้องการ!


 


 


“ไม่ต้องหรอกเพคะองค์ชาย ทรงเกรงใจหม่อมฉันไปแล้ว ผ้าเช็ดหน้านี่มอบให้ท่าน!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรีบทรุดกายลงนั่ง ไม่กล้ามองหน้าหลิยเปยอีก ราวกับกลัวว่าหากมองต่อไปแม้เพียงวินาทีเดียวก็จะทำนางฝันร้าย


 


 


ดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวดอกไม้หอมที่โชยมาจากผ้าเช็ดหน้า หลิวเปยรีบเก็บมันเข้าไว้ในอกเสื้อด้วยความปลาบปลื้ม งานเลี้ยงจึงดำเนินต่อไป


 


 


ภาพตรงหน้านั้น ทำเอาซย่าโหวเสวี่ยแทบจะอาเจียนอาหารที่กินเข้าไปออกมาทั้งหมด


 


 


นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทที่ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาจะน้ำมือเ**้ยมโหดถึงเพียงนี้!


 


 


ประทานองค์หญิงเสวี่ยให้แต่งงานกับคนเช่นนี้ จะดีหรือ


 


 


ถ้าหากว่าในคืนแต่งงาน หลิวเปยพบว่าองค์หญิงมิใช่สาวบริสุทธิ์ผุดผ่องเล่า เขาจะยินยอมอดกลั้นกับความอัปยศนี้ ทนให้สวมเขา หรือจะตีโพยโวยวายขึ้นมากัน


 


 


จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกว่า งานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีในครั้งนี้ หาใช่เรื่องเล็กไม่


 


 


หากว่าหลิวเปยเป็นเพียงคนไม่เอาไหนอ่อนปวกเปียกก็ว่าไปอย่าง


 


 


แต่นี่ หลิวเปยกลับมีความแข็งแกร่งของลูกผู้ชายอยู่ไม่น้อย งานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่เพียงแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ตรงกันข้ามอาจจะนำมาซึ่งความวุ่นวายครั้งใหญ่หลวง…


 


 


เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่า สิ่งที่อวี้เฟยเยียนคาดการณ์นั้นถูกต้อง เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า


 


 


วันนี้ แขกที่ซย่าโหวจวินอวี่เชิญมาร่วมงานไม่เพียงแต่อวี้จิงเหลยเท่านั้น ยังมีอวี้เชียนเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีและอวี้เฟยเยียน


 


 


ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ แฝงความนัยอย่างลึกซึ้ง!


 


 


สองสามวันก่อนเพิ่งจะพบหน้าอวี้หลัวช่าหนึ่งในลูกสะใภ้ไปหยกๆ ครั้งนี้ ฝ่าบาทจึงสบโอกาสได้พบหน้าหนึ่งในลูกสะใภ้อีกคน


 


 


หอคืนชีพของอวี้หลัวช่าปักหลักเปิดกิจการอยู่ที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นอย่างดี


 


 


อวี้เฟยเยียนและเหล่าหมอยาไม่เพียงแต่วิชาแพทย์สูงส่ง ทั้งยังมีเมตตากรุณาต่อผู้คนโดยเท่าเทียมกัน


 


 


อีกอย่าง ค่าใช้จ่ายที่หอคืนชีพเรียกเก็บสมเหตุสมผล มิได้เจตนาโก่งราคาแต่อย่างใด จึงมีชื่อเสียงดีงามในหมู่ประชาชน สำหรับคนยากจน อวี้หลัวช่ายังละเว้นค่าหยูกยาให้อีกด้วย พฤติกรรมที่มีคุณธรรมเช่นนี้ ทำให้นางชนะใจประชาชนได้อย่างง่ายดาย


 


 


สำหรับอวี้หลัวช่า ซย่าโหวจวินอวี่พึงพอใจเกินร้อย


 


 


รอบกายซย่าโหวฉิงเทียนมีรัศมีแห่งความโหดร้ายแผ่ซ่านตลอดเวลา หากว่ามีอวี้หลัวช่าที่เปี่ยมด้วยเมตตาและอดทนอยู่เคียงข้างคอยเตือนใจ  คนทั้งสองจะคอยช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างดี


 


 


เพียงแต่ว่า สาวงามข้างกายของบุตรชายไม่ได้มีอวี้หลัวช่าเพียงคนเดียว


 


 


ยังมีอวี้เฟยเยียนและแมวน้อยอีกน่ะสิ!


 


 


ถึงแม้ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าแมวน้อยเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน เพราะทรงมิเคยถามอะไรจากปากซย่าโหวฉิงเทียนได้เลย แต่สำหรับอีกคน อวี้เฟยเยียน ฝ่าบาทรู้จักดี


 


 


เดิมทีซย่าโหวจวินอวี่คิดว่า รูปร่างหน้าตาและจิตใจที่งดงาม รวมทั้งความมีคุณธรรมของอวี้หลัวช่าจะทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรักปักใจต่อนางเพียงผู้เดียว


 


 


ใครจะคาดคิด เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นซย่าโหวฉิงเทียนปอกลำไยให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยตัวเอง ก็ทรงแทบจะน้ำตาไหลพราก


 


 


ลูกเอ่ย พ่อก็อายุปูนนี้แล้ว เจ้ายังมิเคยปอกลำไยให้พ่อเลยสักครั้ง!


 


 


สวรรค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีลูกชายนี่ช่างเป็นการลงทุนที่ขาดทุนย่อยยับ!


 


 


เมื่อรู้สึกถึงสายตาเงียบเหงาโกรธเคืองกำลังทอดมองมา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมองไปยังซย่าโหวจวินอวี่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองแล้วกล่าวว่า


 


 


“เสด็จพี่ ทรงประชวรหรือ”


 


 


ลูกชายสุดที่รักถามขึ้นด้วยความห่วงใย ซึ่งถึงแม้ว่าความห่วงใยนี้ออกจะผิดแผกไปสักหน่อย แต่ฝ่าบาทก็ทรงแย้มพระสรวลรับ


 


 


“ข้าสบายดี!”


 


 


ข้าจะไม่ยอมบอกเจ้าเป็นแน่ ว่าข้าอิจฉา!


 


 


ฝ่าบาททรงไม่ตรัส แน่นอนว่าซย่าโหวฉิงเทียนย่อมไม่รู้ หลังปอกลำไยเสร็จแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มจัดการกับเปลือกกุ้งมังกรต่อ


 


 


อวี้เฟยเยียนชอบกินกุ้งมังกรเป็นที่สุด ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็มองออก


 


 


ถึงแม้ว่าด้านข้างจะมีนางกำนัลปรนนิบัติอยู่ ซึ่งก็คอยแกะเปลือกกุ้งโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนคิดว่า กุ้งที่เขาแกะให้นางด้วยตัวเองรสชาติย่อมต้องหอมหวานกว่าเป็นไหนๆ


 


 


ดังนั้น ตลอดทั้งงานเลี้ยงกลางคืนนี้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรมองอวี้เฟยเยียนด้วยสายพระเนตรอิจฉาริษยาไม่หยุด ในพระทัยสับสนอลหม่านไปหมด


 


 


ลำพังแต่งงานกับอวี้หลัวช่า ต้าโจวก็แทบจะสิ้นเนื้อประตัว หากเพิ่มอวี้เฟยเยียนมาอีกคน…นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกว่าแผ่นดินตนนั้นช่างน้อยนิดยิ่งนัก น้อยนิดเสียจริง!


 


 


ไม่พอน่ะสิ!


 


 


ไม่พอมากเสียด้วย!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของซย่าโหวจวินอวี่ก็เบนไปที่หลิวเปย


 


 


องค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์ องค์ชายองค์โตของฮองเฮา


 


 


ฮองเฮาแห่งซีเย่ว์ในอดีตเป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาๆ ข้างกายกุ้ยเฟยเท่านั้น แต่นางจิตใจลึกล้ำทะเยอทะยาน ไม่เพียงแต่โค่นล้มนายเก่าของตน ทั้งยังทำให้ฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น สุดท้ายปลดฮองเฮาของตนเองแล้วแต่งตั้งนางกำนัลเล็กๆ ขึ้นเป็นฮองเฮาแทนในที่สุด


 


 


การกระทำของนางทุกอย่าง สามารถเรียกได้ว่าร้ายกาจไม่เป็นสองรองใครทีเดียว


 


 


หากมิใช่ฮ่องเต้ซีเย่ว์เลอะเลือน คิดการณ์ไม่ซื่อ ต้องการสอดมือเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเหตุการณ์วุ่นวายเจ็ดอ๋องละก็ คงไม่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนทรมานจนแทบเป็นแทบตายเช่นนี้


 


 


ตอนนี้ฮองเฮาองค์ปัจจุบันมีเพียงหลิวเปยเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว นางต้องการให้ฮ่องเต้แต่งตั้งหลิวเปยเป็นองค์รัชทายาท


 


 


แต่ฮองเฮาองค์ก่อนไม่เพียงแต่มีพระโอรส ทั้งพระองค์ยังทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและความรู้ จึงได้รับการปกป้องคุ้มครอง


 


 


แคว้นซีเย่ว์…


 


 


หึหึ…


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่แววตาลึกล้ำ ก้มหน้ายื่นมือไปยกจอกสุราขึ้น


 


 


ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน!

 

 

 


ตอนที่ 89-2 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต

 

ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนที่ปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน แม้แต่อวี้จิงเหลยก็มองออก


 


 


เจ้าหนุ่มนี่ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะตามจีบอวี้เฟยเยียนอย่างนั้นหรือ


 


 


อวี้จิงเหลยจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียน เขากัดริมฝีปากแน่น


 


 


หากไม่นับรวมเสียงเล่าลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเขาละก็ หลายวันที่ผ่านมาอวี้จิงเหลยก็พบข้อดีมากมายของเขา


 


 


แน่นอนว่า ประมุขแห่งตระกูลอวี้อย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตนถูกตำรา ’เบญจพิชัยยุทธ’ ของซย่าโหวฉิงเทียนซื้อใจ


 


 


ในระยะนี้ซย่าโหวฉิงเทียนมักจะแวะเวียนไปที่จวนจงอี้กงอยู่บ่อยครั้ง แต่เขามิได้มาพบอวี้เฟยเยียนแต่อย่างใด เพราะอวี้เฟยเยียนให้การรักษาผู้คนอยู่ที่หอคืนชีพ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมาทำความคุ้นชินสนิทสนมกับเขาผู้เป็นปู่ของนางให้มากเข้าไว้ น้ำหยดลงบนหินทุกวันหินยังกร่อน แล้วนับประสาอะไรกับใจคน เมื่อเอาชนะใจผู้เป็นปู่ได้แล้วเท่ากับเป็นการจัดการอุปสรรคชิ้นใหญ่ให้หมดไปนั่นเอง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนแวะเวียนมาที่จวนทุกวัน ไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดนอกจากคุยเรื่องสงครามและการวางแผน


 


 


ประมุขแห่งตระกูลอวี้ใช้ชีวิตอยู่กับชุดเกราะบนหลังม้ามาชั่วชีวิต เขาตั้งค่ายริมมหาสมุทร ศัตรูของเขาจึงเป็นพวกโจรสลัดหรือโจรต่างๆ ที่ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญการตั้งรับ


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนที่ถึงแม้เป็นผู้นำกองทัพเพียงไม่นาน แต่อุปนิสัยเขาก็เป็นตัวกำหนดวิธีการนำพาทหารไปออกรบ ซึ่งมีเพียงบุกโจมตี เป็นฝ่ายรุกเท่านั้น และจะต้องโจมตีศัตรูให้แพ้ราบคาบ ตัดรากถอนโคนเท่านั้นจึงจะเพียงพอ


 


 


คนทั้งสอง คนหนึ่งรุกคนหนึ่งรับ หากร่วมมือกันจะต้องเป็นผลดีอย่างมาก


 


 


แต่คนหนึ่งแก่คนหนึ่งหนุ่มซึ่งไม่ยอมลดราวาศอกยอมรับในฝ่ายใด จึงมักจะคิดว่าวิธีการตนเองดีที่สุด โดยเฉพาะท่าทางยโสโอหัง ข้ามันแน่เชิญท่านดาหน้าเข้ามาได้เลยของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้จิงเหลยโมโหหัวเสียแทบจะทุกครั้งไป


 


 


คนทั้งสองไม่มีใครต่างยอมลงให้ใคร จึงกลับกลายเป็นการทดสอบทางการทหาร ที่ทดลองปฏิบัติบนกระดานทราย ซึ่งคนทั้งสองก็แข่งขันอย่างไม่มีใครยอมใคร


 


 


แน่นอน ซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อย่างก้าวเข้าสู่สนามรบ เขาก็จะกลายเป็นคนหน้าเหล็กไร้ใจทันที


 


 


ถึงแม้ว่าก่อนลงสนามทุกครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจะพยายามให้สัญญาเตือนตนเองอย่างลับๆ ว่า เพื่อแมวน้อย ในวันนี้ต้องอ่อนข้อให้ผู้อาวุโสชนะ


 


 


ทว่า เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องบังคับการจริงๆ เขาก็ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น


 


 


ซึ่งผลลัพธ์ก็น่าจะรู้กันอยู่…


 


 


แต่ทว่าเป็นเพราะซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นเช่นนี้ อวี้จิงเหลยจึงได้มองเข้าเปลี่ยนไป


 


 


รู้ทั้งรู้ว่าเป้าหมายของเจ้าหนุ่มนี่คืออวี้เฟยเยียน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ต่างหากจึงนับว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง!


 


 


“ท่านพ่อ ท่านจะมองดูหมอนั่นแย่งเอาเสี่ยวเยียนเยียนไปหรือ”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยมองอ่านความคิดอวี้จิงเหลยออก เขาที่นั่งข้างๆ จึงกล่าวถามขึ้น


 


 


“ไม่ได้!”


 


 


อวี้จิงเหลยส่ายศีรษะเบาๆ


 


 


“เยียนเอ๋อร์มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง เรื่องนี้ให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง! อีกอย่างต่อให้เยียนเอ๋อร์เต็มใจก็ตาม แต่นางอายุยังน้อย คงต้องรออีกสักสองปี!”


 


 


“ใช่ ต้องรออีกสองปี! ให้หมอนี่กลายเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน หึหึ…”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยหัวเราะออกมาด้วยความ ‘ไม่ปรารถนาดี’ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นแขน ที่แท้แล้วเป็นมู่เหนี่ยนซีที่หยิกเขา


 


 


ซึ่งมันทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเข้าใจอะไรขึ้นมา


 


 


หากเปรียบเทียบตัวเขากับซย่าโหวฉิงเทียนละก็ เขาต่างหากที่เป็นวัวแก่ตัวจริง! ยังจะมีหน้าไปทับถม ซย่าโหวฉิงเทียนอีก!


 


 


อวี้เฟยเยียนได้กินกุ้งมังกรรสเลิศ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มาที่นี่จึงได้ลิ้มรสชาติอาหารที่แท้จริงแบบต้นตำรับ ไม่มีสิ่งใดเจือปน มันช่างหอมอร่อยยิ่งนัก!


 


 


ผู้ที่ถูกเชิญมา ยังมีหมอเทวดาฮั่วอีกคน


 


 


นักกินเช่นเขากำลังง่วนอยู่กับการยัดอาหารเลิศรสลงท้องอย่างเมามัน กินเต็มกำลัง ทำให้อวี้เฟยเยียนกังวลใจ หมอเทวดาฮั่วกินเข้าไปมากมายเพียงนี้ จะกินจนกระเพาะพังหรือไม่นะ!


 


 


แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า เพื่อที่จะได้พบหน้าอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ลงทุกลงแรงไปมากมาย


 


 


แต่หากว่าเชิญนางทั้งสองคนมา อวี้หลัวช่ากับอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจะเอาอกเอาใจใครกันนะ


 


 


หากหญิงทั้งสองต่อสู้กันขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาแทบไม่กล้าคาดคิด คงจะทำให้วังหลวงทั้งวังราบเป็นหน้ากลองเลยทีเดียว!


 


 


ในฐานะพ่อ ซย่าโหวจวินอวี่จึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยความเห็นใจทุกฝ่าย


 


 


ดังนั้นในตอนที่ฝ่าบาททรงพระราชทานป้ายคำอวยพรให้กับหอคืนชีพนั้น ยังทรงส่งคนให้แจ้งกับอวี้หลัวช่าเป็นพิเศษอีกด้วยว่า ระยะนี้นางทำเพื่อความดีเพื่อต้าโจวมากมาย ลำบากนางแล้ว หากมีโอกาสให้หาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง!


 


 


เมื่อได้ฟังกระแสรับสั่งนี้ของฝ่าบาท อวี้เฟยเยียนจึงตามน้ำปฏิเสธการเข้าวังในนามอวี้หลัวช่าในครั้งนี้


 


 


แต่ในฐานะอวี้เฟยเยียน นางยังต้องติดตามผู้เป็นปู่เข้าวังอยู่ดี ซึ่งหากว่าอวี้หลัวช่าต้องเข้าวังพร้อมๆ กับอวี้เฟยเยียนขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรกันดี


 


 


ตัดแบ่งคนออกเป็นสองคนอย่างนั้นหรือ


 


 


สุดท้าย พระดำริของฝ่าบาทเป็นที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย


 


 


ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนที่ปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน เหล่าบรรดาราชนิกุล และขุนนางผู้ใหญ่ล้วนประจักษ์แก่สายตาเช่นกัน


 


 


ซึ่งทุกคนแอบซุบซิบกันอย่างลับๆ มานานแล้ว ว่าบุปผางามแห่งตระกูลอวี้คนนี้ จะไปออกผลที่ใครกัน


 


 


เพราอย่างไรเสียผู้ที่อาจหาญจะแต่งงานกับจอมเทวา ไม่เพียงต้องมีฐานะทัดเทียมกับจวนจงอี้กงแห่งตระกูลอวี้ อีกทั้งยังต้องมีความสามารถเทียบเท่ากับอวี้เฟยเยียนถึงจะเหมาะสม


 


 


งานเลี้ยงในคืนนี้ไขความกระจ่างให้กับทุกคนโดยที่ไม่มีใครคาดคิด


 


 


หลินเจียงอ๋องถูกตาต้องใจใต้เท้าอวี้หรือนี่


 


 


ข่าวนี้ สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเมืองหลวงเป็นแน่!


 


 


ภาพที่อวี้เฟยเยียนใช้ดาบบั่นคอโจวเลี่ยกลางอากาศ ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี


 


 


อย่าดูว่านางอายุยังน้อย ทว่ากลับสามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีท่าทีใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย…


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคนเดียวก็โหดเ**้ยมมากแล้ว หากซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนรวมกันละก็ จะก่อกำเนิดเป็นสามีภรรยาที่โหดเ**้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์เชียวนะ!


 


 


หากคู่นี้ร่วมมือกัน! จะกลายเป็นคู่ไร้เทียมทานของแผ่นดิน!


 


 


น่าหวาดกลัวชะมัด!


 


 


ผู้คนมากมายมองภาพเอาไว้ล่วงหน้า หากงานแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นจริง จะก่อเกิดหลายสิ่งที่เป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์มากมายเพียงใด!


 


 


เมื่อเห็นสายตาหลากหลายของผู้คนรอบข้างที่มองมา อวี้เฟยเยียนก็เกิดความสงสัย


 


 


ช่วงเวลาที่นางเผยโฉมหน้าก็ไม่มาก พบเจอผู้คนก็ไม่มากเท่าไหร่ เหตุใดทุกคนถึงได้ใช้สายตาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มองมาที่นางด้วย น่าแปลกจริงเชียว!


 


 


ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนเข้าใจในการกระทำนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้สายตาที่น่ากลัวกวาดมองไปที่ผู้คนภายในตำหนักนั้น


 


 


ทันทีทันใด สายตาแปลกประหลาดที่จับจ้องไปที่อวี้เฟยเยียนก็มลายหายไปภายในพริบตา ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มสุรา รับประทานอาหาร หรือไม่ก็ชมการแสดง ไม่กล้าสบสายตาดุดันที่กวาดมองมาสักนิด


 


 


ครั้งนี้เป็นอีกครั้ง ที่อวี้เฟยเยียนได้ประจักษ์กับสายตาตนเองว่า อำนาจบารมีของซย่าโหวฉิงเทียนมีพลังมากเพียงใด


 


 


ทำให้ทุกคนหวาดกลัวมากถึงเพียงนี้ ถือเป็นความสามารถของเขานะเนี่ย!


 


 


หลิวเปยรับประทานอาหารไปพลาง สายตาก็คอยมองสำรวจไปถ้วนทั่ว หูก็ตั้งใจฟังตลอดเวลา


 


 


เมื่อสายตาไปปะทะกับอวี้เฟยเยียนเข้า ทำเอาเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ


 


 


สาวน้อยที่เปี่ยมด้วยพระสวรรค์อายุเพียงแค่สิบห้าปี นางสามารถเป็นจอมเทวาได้เร็วกว่าอวี้หลัวช่า จึงถูกยกย่องให้เป็นยอดคนในหมู่ยอดคน…


 


 


แสงเรืองรองเปล่งประกายอยู่รอบตัวอวี้เฟยเยียน


 


 


จะกระทั่งหลิวเปยมองเห็นรูปร่างหน้าตาอวี้เฟยเยียนชัดๆ เข้า เขาก็เบะปากน้อยๆ


 


 


หน้าตาก็ออกจะธรรมดานี่นา!


 


 


อย่างมากก็แต่สดใส…


 


 


ดังนั้นบอกได้เลยว่า หน้าตาและความสามารถของผู้หญิงยากนักที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน!


 


 


นอกเสียจากว่านางจะเป็นลูกรักของเทพเจ้า!


 


 


การที่หลิวเปยมาด้วยตัวเองในครั้งนี้ เหตุผลแรกนั่นก็คือแสดงความจริงใจ ขณะเดียวกันก็แสดงถึงการดำรงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ซย่าโหวจวินอวี่ เพื่อให้ว่าที่พ่อตาผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ช่วยสนับสนุนให้เขาขึ้นเป็นรัชทายาท


 


 


อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ต้องการที่จะเห็นอวี้เฟยเยียนและอวี้หลัวช่าสองนารีที่เป็นดั่งเทพนิยายก็ไม่ปานด้วยตาของตนเอง


 


 


ถึงแม้ว่าหลิวเปยจะรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่เขาก็มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่และกล้าแข็ง


 


 


อย่างเช่นว่า เขาเคยคิดจินตนาการว่าตนเองจะดึงดูดความสนใจของจอมเทวาหญิงทั้งสองอย่างไร ที่จะทำให้อีกฝ่ายประทับใจในตัวเขายอมมอบกายมอบใจให้ หลงรักเขาหัวปักหัวปำ ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดนอกเหนือจากเขา


 


 


หากว่ามีเรื่องเช่นนี้ที่จู่ๆ ก็มีเนื้อร่วงหล่นมาจากฟ้าละก็ อย่าว่าแต่ซย่าโหวเสวี่ยเลย ต่อให้เป็นต้าโจวทั้งแคว้นเขาก็จะเตะกระเด็นให้พ้นทาง


 


 


จอมเทวา!


 


 


มีค่ากว่าซย่าโหวเสวี่ยเป็นกอง!


 


 


ขอเพียงแต่เขาสามารถทำให้จอมเทวาคนใดคนหนึ่งหลงรักเขาหัวปักหัวปำได้ อย่าว่าแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ซีเย่ว์เลย ต่อให้อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


 


 


ทว่า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการวาดฝันด้วยความหลงตัวเองของหลิวเปยเพียงฝ่ายเดียว 

 

 


ตอนที่ 89-3 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต

 

ในขณะที่เขากำลังมองสำรวจอวี้เฟยเยียนอยู่นั่นเอง สายตาที่น่าหวาดกลัวก็จ้องมองมาที่เขา มันเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจจนหลิวเปยร้องโอดอยู่ในใจ


 


 


และเมื่อมองดูให้อีกครั้ง คนผู้นั้นคือซย่าโหวฉิงเทียน!


 


 


แม่จ๋า!


 


 


มือหลิวเปยสั่นระริก จนตะเกียบร่วงหล่นจากมือ


 


 


หลิวเปยไม่เข้าใจว่าเหตุใดดาวเคราะห์ร้ายผู้นี้ถึงได้ใช้สายตาเช่นนั้นนจ้องมองมาที่เขา


 


 


หากกล่าวถึงแผ่นดินต้าโจวนี้ เขาหวาดกลัวอะไรมากที่สุด สิ่งนั้นก็คือหลินเจียงอ๋อง ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เมื่อปลายปีก่อน ไม่รู้เพราะเหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนเกิดอาการลมบ้าหมูขึ้นมาในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฮ่องเต้แห่งซีเย่ว์งานหนึ่ง ส่งหัวศัตรูหลายสิบคนเข้าไปในงาน ทำเอาเสด็จพ่อหลิวเปยตกใจหวาดกลัวจนปัสสาวะอุจจาระเรี่ยราด อับอายขายหน้าไปทั่ว


 


 


ว่ากันว่า มือสังหารพวกนั้นคือคนซีเย่ว์ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนมิเพียงแต่สับมือสังหารเป็นชิ้นๆ ยังบังคับให้เสด็จพ่อเขียนสัญญาประนีประนอมใหม่ ซึ่งทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้วจนแทบกระอักเลือดตาย


 


 


แต่ว่า พวกเรายังมีทางเลือกอื่นใดอีกหรือ!


 


 


หลินเจียงอ๋องที่บั่นศีรษะฆ่าคนตั้งแต่อายุสิบห้า น่าวหวาดกลัวเป็นที่สุด!


 


 


แต่ก็ต้องโทษที่ซีเย่ว์มีจิตใจคิดละโมบ ใช้โอกาสเมื่อครั้งที่ซย่าโหวจวินอวี่ขึ้นครองราชย์ ต้าโจวกำลังเกิดความระส่ำระสายวุ่นวาย หาผลประโยชน์เข้าตัว


 


 


ผลก็คือ ขโมยไก่ไม่ได้ไก่ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ!


 


 


นำพาดาวโชคร้ายซย่าโหวฉิงเทียนเข้ามา!


 


 


คิดถึงการกระทำหลินเจียงอ๋องที่ซีเย่ว์แล้ว หลิวเปยก็เหงื่อออกท่วมร่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว


 


 


เมื่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่โดยละเอียดอีกครั้ง เขาถึงได้เข้าใจขึ้นมา ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะถูกตาต้องใจอวี้เฟยเยียนเข้าแล้ว จึงคิดว่าหลิวเปยสนใจผู้หญิงของตน…


 


 


สวรรค์!


 


 


ถูกเขาคิดแค้นโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ที่ไม่ควรไปหาเรื่องเสียด้วย หลิวเปยรู้สึกว่าตนเองช่างโชคร้ายเสียนี่กระไร


 


 


ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย!


 


 


ข้าไม่ได้คิดอะไรกับอวี้เฟยเยียนจริงๆ ไม่มีวันคิด ไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ!


 


 


หลิวเปยภาวนาอยู่ในใจให้พระพุทธองค์ เง็กเซียนฮ่องเต้ ซีหวังหมู่ เจ้าแม่กวนอิม ตลอดจนเทพเซียนอีกหลายองค์เท่าที่เขาจะจำได้ให้ท่านทรงช่วยคุ้มครองเขาด้วย


 


 


สุดท้ายแม้กระทั่งเจ้าที่ หลิวเปยก็ภาวนาขอให้ท่านช่วยเหลือ


 


 


หลังจากที่หลิวเปยสวดภาวนาให้เทพเซียนทั้งหลายคุ้มครองอยู่ครู่ใหญ่ ความกดดันในใจเขาก็มลายหายไป หลิวเปยรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดก็ทอดถอนใจออกมาอย่างด้วยความโล่งอกได้เสียที


 


 


ในเมื่ออวี้เฟยเยียนดอกไม้งามดอกนี้มีเจ้าของแล้ว ทั้งยังคือซย่าโหวฉิงเทียน เช่นนั้นมิควรไปแตะต้องจะดีกว่า!


 


 


หลิวเปยปลุกปลอบตนเองอยู่ในใจ


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ องอาจเปิดเผย แต่ในโลกใบนี้ยังมีสาวงามอีกมากมาย


 


 


ลูกผู้ชายต้องยืดหยุ่นได้จึงจะสำเร็จการใหญ่


 


 


วิชาสะกดจิตตนเองของหลิวเปยร้ายกาจยิ่งนัก ไม่นานเขาก็ลืมเลือนเรื่องราวเมื่อครู่ไปอย่างง่ายดาย ในใจเอาแต่พร่ำเพ้อถึงจอมเทวาอีกคน…อวี้หลัวช่า


 


 


หลิวเปยคิดว่า อวี้หลัวช่าแข็งแกร่งกว่าอวี้เฟยเยียนเป็นไหนๆ


 


 


นางก็เป็นจอมเทวา


 


 


อีกทั้งที่มาที่ไปไม่ชัดเจน!


 


 


หากสามารถทำให้อวี้หลัวช่าตามเขากลับไปที่ซีเย่ว์จนกลายเป็นพลเมืองซีเย่ว์ได้ละก็ ตัวเขาก็จะกลายเป็นขุนนางที่มีคุณงามความดีใหญ่หลวง ชื่อของเขาก็จะได้จารึกลงในประวัติศาสตร์!


 


 


ว่าเมียเขาเป็นถึงจอมเทวาและจักรพรรดิโอสถ หลิวเปยคาดการณ์ได้เลยว่า ผู้ชายทั่วหล้าจะต้องอิจฉาริษยาเขาอย่างแน่นอน!


 


 


เขาจะต้องหาโอกาสไปที่หอคืนชีพของอวี้หลัวช่า เพื่อพบหน้านางให้ได้สักครั้ง!


 


 


ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ หลิวเปยได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว


 


 


ด้วยเขาเกรงว่าอวี้หลัวช่าจะไม่ยินยอมพบตนเอง หลิวเปยจึงตั้งใจกินอาหารจำพวกกระตุ้นร่างกาย ดังนั้นใบหน้าที่เดิมทีหล่อเหลาอยู่บ้างจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้


 


 


ส่วนขาของเขาที่เดินกะเผลกไม่เสมอกันนั้น ก็เป็นเขาเองเจตนาหกล้มก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ โดยไม่ยินยอมเข้ารับการรักษาและลากสังขารเอาขาที่บาดเจ็บเดินทางมาที่นี่ด้วย ก็เพื่อที่จะพบอวี้หลัวช่าเช่นกัน


 


 


หลิวเปยวางแผนเอาไว้ตั้งนานแล้วว่า คราวนี้เขาจะใช้สถานะคนป่วยเข้าใกล้อวี้หลัวช่า และหลังจากนั้น…


 


 


คนป่วยกับหมอจะบ่มเพาะความรักที่หอมหวานชนิดที่ว่าเทพเซียนยังต้องพิโรธ ต้องเป็นเรื่องที่สวยงามเป็นแน่!


 


 


หลิวเปยจมดิ่งอยู่ในโลกที่ตนเองสร้างขึ้นมา ส่วนซย่าโหวเสวี่ยก็กำลังใช้ความคิดอย่างสุดความสามารถเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง


 


 


หลิวเปยทำให้นางขยะแขยงจนถึงที่สุด ให้ตายนางก็ไม่ยอมแต่งงานกับเขาเด็ดขาด


 


 


จะทำอย่างไรดีนะ


 


 


นางจะหาแพะมารับบาปแทนนางอย่างไรดี จะทำอย่างไรจึงจะหลอกล่อพาหลิวเปยไปหาอวี้หลัวช่าได้


 


 


ว่าที่สามีภรรยาคู่นี้ใจตรงกันยิ่งนัก หากว่าทั้งสองล่วงรู้ความคิดอีกฝ่ายละก็ ก็ต้องร้องตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมเพรียงกันแน่นอนว่า ‘รู้ใจ’


 


 


หลังจากงานเลี้ยงจบลง หลิวเปยหน้าด้านขออยู่ต่อ บอกว่าต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับซย่าโหวจวินอวี่ตามประสาว่าที่พ่อตากับลูกเขย


 


 


ซึ่งซย่าโหวจวินอวี่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง


 


 


รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!


 


 


คนยิ่งพูดมาก ก็ยิ่งเปิดเผยธาตุแท้ออกมามาก


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คิดว่า ตนเองแม้จะไม่ถึงกับเป็นจิ้งจอกร้อยเล่ห์ แต่ก็นับเป็นจิ้งจอกที่แก่วิชาคนหนึ่ง จะให้รับมือกับองค์ชายห้าเพียงคนเดียว นับว่าตนเหนือชั้นกว่ามาก!


 


 


หลิวเปยสรรเสริญเพลงชาติแห่งต้าโจวชุดใหญ่ ทั้งยังแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ของตนเอง


 


 


ซย่าโหวจวินอวี้ก็เออออห่อหมกเข้าขากันเป็นอย่างดี ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องพิธีรีตองมากมาย


 


 


ได้ยินซย่าโหวจวินอวี่รับสั่งเช่นนั้น หลิวเปยดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา


 


 


ครอบครัวเดียวกัน


 


 


คำนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก!


 


 


แต่หลิวเปยหารู้ไม่ว่า คำว่าครอบครัวเดียวกันในความหมายของซย่าโหวจวินอวี่นั้นก็คือ สองแคว้นรวมเป็นบ้านหลังเดียว ที่มีผู้ปกครองเพียงคนเดียวต่างหาก


 


 


นี่เป็นกับดักที่ซย่าโหวจวินอวี่วางเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ!


 


 


สุดท้าย หลิวเปยก็เอ่ยถึงอวี้หลัวช่าขึ้นมา โดยกล่าวว่าอยากจะเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาให้กับตนเอง


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าเขาท่าทีที่เขาแสดงออกจะซื่อสัตย์ถ่อมตน แต่ฝ่าบาทก็รับรู้ได้ถึงเจตนาชั่วร้ายที่แอบแฝงอยู่


 


 


ไอ้เวรเอ้ย!


 


 


สนใจในตัวลูกสะใภ้ของข้าอย่างนั้นหรือ


 


 


บังอาจนัก!


 


 


นี่คางคกริอ่านจะกินเนื้อห่านฟ้าหรือนี่!


 


 


เนื่องจากหลิวเปยกำลังก้มหน้าเพื่อแสดงท่าทีผู้น้อยเคารพผู้อาวุโสอยู่ จึงมองไม่เห็นสีหน้าซย่าโหวจวิน อวี่ที่ฉายแววความโหดเ**้ยมออกมา


 


 


หากไม่คิดถึงว่า แผนการตนจะต้องอาศัยหลิวเปยหมากตัวนี้ในการช่วยกระตุ้นละก็ เขาแทบจะอดรนทนไม่ไหวสั่งการให้เซี่ยงจิ้นลากไอ้หน้าแหกผู้นี้ออกไปโบยให้ตาย


 


 


ทว่าถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ  แต่บัญชีนี้เขาจดจำเอาไว้แล้ว


 


 


“เราได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าหน้าตาหล่อเหลา องอาจผ่าเผย เปี่ยมด้วยความรู้ วันนี้ได้พบเจ้าทำให้เราตกใจไม่น้อย”


 


 


“ได้ฟังเจ้าอธิบายเช่นนี้ เราก็เข้าใจแล้ว! ที่แท้แล้วเจ้าก็ล้มป่วยนี่เอง! เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา นับเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ…”


 


 


“อวี้หลัวช่าไม่ใช่ชาวต้าโจว เราตัดสินใจแทนนางไม่ได้ เอาอย่างนี้ เจ้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง เราจะให้เสวี่ยเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนเจ้า พวกเจ้าไปด้วยกัน! ดีเลย เจ้าสองคนจะได้ทำความรู้จักกันด้วย!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เข้าใจและมีเหตุมีผล จนหลิวเปยต้องยอมให้


 


 


เป็นว่าที่พ่อตามีทั้งอำนาจ มีทั้งฐานะ ทั้งเข้าใจหัวอกผู้อื่น พ่อตาเช่นนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก!


 


 


หมดทุกข์หมดโศกเสียที โชคดีของเขามาถึงแล้ว นี่เป็นหนทางที่จะนำเขาไปสู่ความรุ่งเรือง!


 


 


ที่ซีเย่ว์ หลิวเปยที่ถูกองค์ชายใหญ่ข่มจนแทบไม่มีที่ยืน วินาทีนั้นเขารู้สึกราวกับได้กลับบ้าน เกือบจะกอดขาของฝ่าบาทร้องไห้โฮออกมาทีเดียว


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยเมื่อได้รับราชโองการจากฝ่าบาท ว่าให้เป็นเพื่อนหลิวเปยไปที่หอคืนชีพ นางก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ


 


 


คิดอะไรได้อย่างนั้นจริงๆ!


 


 


นางยังปวดหัวอยู่เลยว่าจะจับคู่หลิวเปยกับอวี้หลัวช่าอย่างไรดี แล้วจู่ๆ เรื่องดีเช่นนี้ก็ตกลงมาจากฟ้า!


 


 


สวรรค์เข้าข้างข้าโดยแท้!


 


 


อวี้หลัวช่า ข้าจะไม่ให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข!


 


 


เมื่อมีราชโองการจากฮ่องเต้ ซย่าโหวเสวี่ยก็ไม่รังเกียจหลิวเปยที่เป็นชายหน้าตาน่าเกลียดอีก นางแต่งตัวสวยเต็มยศไปที่หอคืนชีพเป็นเพื่อนเขา


 


 


ใครจะคาดคิด ทั้งสองยังมิทันถึงจุดหมาย ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือผู้คนอัดแน่นกันอย่างแน่นขนัด


 


 


ผู้คนที่หลั่งไหลมาเข้ารับการรักษามากมายล้นหลาม


 


 


“นึกไม่ถึงเลยว่าอวี้หลัวช่าจะเป็นที่นิยมมากถึงเพียงนี้!”


 


 


ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าเทิดทูนบูชาอวี้หลัวช่าของผู้คนพวกนั้น หลิวเปยก็อดอิจฉานางมิได้


 


 


เมื่อไหร่กันนะ ที่เขาจะได้รับการชื่นชมสรรเสริญจากผู้คนโดยทั่วเช่นนี้บ้าง


 


 


ส่วนซย่าโหวเสวี่ยร้อนใจยิ่งนัก นางแทบจะรอที่จะพบกับอวี้หลัวช่าไม่ไหว แต่ว่านางถูกชาวบ้านเหล่านั้นขวางกั้นเส้นทางเอาไว้ นางจึงเกิดความโมโหสั่งการองครักษ์


 


 


“เร็วเข้า! รีบไล่คนพวกนั้นไปเร็ว!” 

 

 


ตอนที่ 89-4 ทรมานคนตาย ไม่ชดใช้ชีวิต

 

เหล่าองรักษ์ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทว่าให้ฟังคำสั่งขององค์หญิงเสวี่ย ถึงแม้พวกเขามิได้เต็มใจที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับประชาชน แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด


 


 


ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยเดินทางมาอย่างเอิกเกริก เปี่ยมด้วยรัศมีความเป็นองค์หญิงราชนิกุล สูงส่ง รถม้าขบวนเสด็จคันใหญ่ คนมีตาต่างก็มองออกว่านี่เป็นรถม้าจากวังหลวง


 


 


รวมทั้งคำแทนตัวเอง ‘องค์หญิง’ ของซย่าโหวเสวี่ย ว่าแล้วผู้คนก็เริ่มซุบซิบจากหนึ่งคนไปสิบคน จากสิบคนไปเป็นร้อยคน ทำเอาทุกคนรู้กันโดยทั่วถึงสถานะของบุคคลที่อยู่ในรถม้า


 


 


ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็ร้องขึ้น


 


 


“องค์หญิงใช้อำนาจรังแกผู้คน!”


 


 


เอาละสิ หากว่าผู้ที่ร้องตะโกนขึ้นมีเพียงแค่คนเดียวละก็ ซย่าโหวเสวี่ยยังสามารถสั่งให้ทหารลากตัวไปจัดการได้ แต่นี่ผู้คนมากมายต่างก็พร้อมใจกันใช้สายตาไม่เป็นมิตรจ้องมองไปที่ซย่าโหวเสวี่ยพร้อมกัน จนนางควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่!


 


 


“มองอะไรกัน! หากยังมองอีกข้าจะตัดหัวพวกเจ้าเก้าชั่วโคตร!”


 


 


หากใช้คำพูดของอวี้เฟยเยียนบรรยายละก็ ซย่าโหวเสวี่ยคือผู้ที่ออกจากบ้านโดยไม่นำสติปัญญาติดตัวมาด้วย


 


 


พูดได้ดีนี่นา!


 


 


นางออกจากวังมาคราวนี้ จะนำสติปัญญาติดตัวมาได้อย่างไร ในเมื่อแม้กระทั่งสมองยังมิได้เอาติดตัวมาด้วยเลย


 


 


คำพูดเช่นนี้ จะนำมาพูดตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน!


 


 


พวกชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็โกรธแค้น


 


 


“พวกเจ้า…พวกเจ้าจะทำอะไร! ข้าคือองค์หญิงนะ!”


 


 


ถูกผู้คนมากมายจ้องมองด้วยสายตาโกรธแค้น ซย่าโหวเสวี่ยถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก ถึงกับพูดจาตะกุกตะกักเลยทีเดียว


 


 


เมื่อเห็นว่าเรื่องราวชักจะบานปลายใหญ่โตเพราะซย่าโหวเสวี่ย หลิวเปยก็รีบออกหน้าไกล่เกลี่ยทันที


 


 


“ขออภัยด้วยเถิด องค์หญิงทำเพื่อข้า ดังนั้นจึงได้ใจร้อนไปบ้าง ข้าเองก็มาเพื่อขอให้ท่านหมอรักษาให้เช่นกัน ข้าจะต้องเข้าแถวเฉกเช่นเดียวกับทุกท่านแน่นอน เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน!”


 


 


คำพูดเช่นนี้ของหลิวเปยยังพอไปวัดไปวาได้ สามารถช่วยซย่าโหวเสวี่ยคลี่คลายสถานการณ์ไปได้


 


 


เมื่อกลับมาถึงยังรถม้า ซย่าโหวเสวี่ยก็ขึ้นนั่งกระแทกกระทั้นบนรถม้าด้วยความโกรธเคือง ดวงตาจ้องมองหอคืนชีพที่ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงหางตาตรงหน้าเขม็ง


 


 


“องค์หญิงไม่ถูกกับอวี้หลัวช่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลิวเปยมองเห็นแววตาของซย่าโหวเสวี่ยเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ


 


 


“เปล่า!”


 


 


ถูกหลิวเปยมองออกเข้า ซย่าโหวเสวี่ยรีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที


 


 


“ข้าเพียงแต่รู้สึกคับแค้นใจ! เจ้าเป็นองค์ชาย ข้าเป็นองค์หญิง พวกเราฐานะสูงส่งเพียงใด ทว่ากลับต้องมาอยู่ร่วมกับพวกชาวบ้านชั้นต่ำพวกนี้! น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!”


 


 


คำพูดนี้ของซย่าโหวเสวี่ย ช่างตรงใจหลิวเปยยิ่งนัก


 


 


หากมิใช่รู้อยู่เต็มอกว่าผู้คนจะเกิดความโกรธแค้น เขาก็ไม่อยากต่อแถวเช่นกัน!


 


 


เป็นถึงราชโอรสของฮ่องเต้ ยังต้องมานั่งรอต่อแถว นี่มันกฎบ้าบออะไรกัน!


 


 


อีกอย่างหนึ่ง แถวยาวถึงขนาดนั้น ต่อให้เข้าแถวถึงตะวันตกดินก็ยังไม่ถึงตนเองด้วยซ้ำ!


 


 


แล้วเขาจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน!


 


 


หลิวเปยร้อนใจยิ่งนัก


 


 


“องค์หญิง ทรงตรัสได้ถูกต้องเลย! แต่พวกเราไม่มีทางเลือก…”


 


 


หลิวเปยยังมิทันกล่าวจบ จู่ๆ แววตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น


 


 


“องค์หญิง หม่อมฉันมีวิธีพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“วิธีอะไรกัน”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยมองไปที่หลิวเปยด้วยสายตาตื่นเต้น


 


 


“ท่านคอยดูก็แล้วกัน!”


 


 


วิธีการของหลิวเปยใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพเป็นที่สุด


 


 


เขาเดินทางมาคราวนี้ ฮองเฮาแห่งซีเย่ว์ทรงเกรงว่าพระโอรสจะต้องพบกับความยากลำบาก ดังนั้นจึงมอบตั๋วเงินให้มาด้วยเป็นจำนวนมาก


 


 


หลิวเปยน้ำตั๋วเงินไปแลกเป็นเงิน แล้วเสนอเงื่อนไขหากว่าใครยินยอมให้เขาแทรกแทนตำแหน่งของตน เขาก็จะมอบเงินให้ผู้นั้นสิบตำลึง


 


 


ไม่นานทุกคนต่างก็ยอมหลีกทางให้ จนขบวนรถม้าของซย่าโหวเสวี่ยได้ต่อแถวอยู่ด้านหน้าสุด


 


 


มองดูพวกชาวบ้านที่เมื่อได้เงินแล้วต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ในใจซย่าโหวเสวี่ยแสนจะดูถูกดูแคลน


 


 


เฮอะ! พวกคนชั้นต่ำไม่เคยได้เห็นเงิน!


 


 


เมื่อครู่ยังจ้องมองข้าตาขวางอยู่เลยมิใช่หรือ!


 


 


มาตอนนี้กลับรับเงิน แล้วเปิดทางให้อย่างว่าง่าย!


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยหารู้ไม่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มารอต่อแถวเพื่อจะได้เห็นหน้าแบบอย่างของตนเองเท่านั้น อีกอย่าง เงินตั้งสิบตำลึงเพียงพอที่จะให้หนึ่งครอบครัวสามชีวิตใช้ชีวิตได้อย่างๆ สบายได้ตั้งครึ่งปีเชียวนะ!


 


 


จู่ๆ ก็มีคนโง่เอาเงินมาแจกถึงที่ มีรายได้อย่างง่ายดาย คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่คว้าเอาไว้!


 


 


รอคอยอยู่ทั้งบ่าย ในที่สุดก็ถึงคราวซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปย


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอก อวี้เฟยเยียนรู้ตั้งนานแล้ว


 


 


โบราณว่าไม่มีเรื่องร้อนใจคงไม่ถ่อมาที่วัดได้


 


 


ซึ่งอวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาลงทุนลงแรงไปมากมายเช่นนี้ เพียงเพื่อที่จะมาพูดคุยกับนางฉันมิตรเท่านั้น


 


 


จริงดังที่คาดเอาไว้ เมื่อซย่าโหวเสวี่ยเดินเข้ามาก็เจาะจงจะให้อวี้เฟยเยียนรักษาอาการป่วยให้กับหลิวเปย


 


 


เงื่อนไขที่ออกจะเกินไปนี้ ถูกเหล่าหมอยาปฏิเสธทันควัน เพราะกฎแห่งหอคืนชีพมิอาจทำลายได้ แล้วจะมาเปลี่ยนเพราะฐานะของอีกฝ่ายได้อย่างไร!


 


 


ในขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยกำลังอับจนหนทางอยู่นั่นเอง จู่ๆ หลิวเปยก็ร้อง ‘โอ้ย’ มือกุมที่ท้องแล้วล้มลงที่พื้น


 


 


คราวนี้ ทำเอาซย่าโหวเสวี่ยตกอกตกใจเป็นการใหญ่!


 


 


ซึ่งในตอนที่ซย่าโหวเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง จู่ๆ หลิวเปยก็ส่งสายตาบางอย่างให้กับนาง


 


 


องค์หญิงไป๋เสวี่ยผู้มิได้พกพาสติปัญญาออกมาจากบ้านในที่สุดก็คิดออก เข้าใจได้ในทันทีว่าหลิวเปยกำลังแกล้งป่วย!


 


 


ที่แท้ เขาก็สนใจในตัวอวี้หลัวช่าเช่นกัน!


 


 


นี่มันสอดรับกับแผนการของนางยิ่งนัก!


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งรู้สึกว่าหลิวเปยคือผู้ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยนางโดยแท้!


 


 


หลิวเปยนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย ซย่าโหวเสวี่ยเห็นดังนั้นก็รีบเข้าช่วยเหลือประกอบฉาก เสี้ยมเขาควายให้ชนกันทันที


 


 


“เขาองค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์ พระราชอาคันตุกะของต้าโจวเรา หากว่าเขาเป็นอะไรไปที่หอคืนชีพนี่ละก็ ไม่เพียงแต่ซีเย่ว์จะไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้ ต้าโจวเองก็จะถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้าด้วย”


 


 


บรรดาหมอยาจากหอราชาโอสถส่วนใหญ่เป็นศิษย์หนุ่ม ซึ่งใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในหอราชาโอสถเป็นเวลานาน จึงไม่เคยพบกับแผนการชั่วข้างนอกมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาต่อกรคนมากเล่ห์เพทุบายสองคนนี้ได้เลย


 


 


แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดต่อไป


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมถอยเด็ดขาด


 


 


ซึ่งในตอนนั้นเอง ที่เสียงร้องหลิวเปยดังมากขึ้น รอจนกระทั่งหมอเริ่มทำการตรวจอาการของเขา แต่ไม่ว่าจะจับตรงไหนเขาก็ร้องโอยร้องเจ็บ ซึ่งด้วยเสียงอันดังของเขา จึงได้ยินไปถึงไหนต่อไหน


 


 


“นี่พวกเขามาเพื่อทำลายล้างที่นี่สินะ”


 


 


หมอหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวถามศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้าง


 


 


“องค์ชายกับองค์หญิงมาก่อความวุ่นวาย เขาทั้งสองเป็นโรคประสาทหรือ”


 


 


ถูกหลิวเปยแพร่เชื้อเข้า ตอนนี้ซย่าโหวเสวี่ยก็เริ่มหน้าหนาหน้าทนเหมือนกันแล้ว


 


 


“พวกเจ้าหอคืนชีพเหตุใดถึงเห็นคนจะตายแล้วไม่เข้าช่วยเหลือ! อวี้หลัวช่า องค์ชายห้าทรงเจ็บปวดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ออกมาอีก เจ้าที่มันโหดเ**้ยมจริงๆ เลย!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะโจมตีอวี้เฟยเยียนให้หลุดรอดไปแม้เพียงสักครั้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม