จารใจรัก 88.1-90.1

ตอนที่ 88-1 มิตายก็บาดเจ็บ

 

           ฟังเหยียนเฉินพูดมาทั้งหมด ในที่สุดใบหน้าของเซี่ยม่อหานก็ผ่อนคลายลงบ้าง 


 


 


           “เจ้าออมแรงไว้หน่อยก็ดี ประเดี๋ยวหลังข้าออกไปทำตามแผนการ เจ้าจะได้แอบออกไปช่วยฉินเหลียนประคองสถานการณ์ในเมืองหลินอันให้มั่นคง” เหยียนเฉินผละมือคลายการสะกดจุดแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย จะต้อง…พาน้องกลับมาอย่างปลอดภัย” เซี่ยม่อหานกำชับหนักแน่น 


 


 


           “เจ้าวางใจเถอะ ถ้าแผนการไม่รอบคอบพอ ข้าจะไม่บุ่มบ่ามเกินควร” เหยียนเฉินพูดจบก็เดินออกไป 


 


 


           หลังเหยียนเฉินออกไปแล้ว เซี่ยม่อหานก็หย่อนกายนั่งลงบนเตียง นวดหว่างคิ้วแผ่วเบาเนิ่นนาน ก่อนตะโกนขึ้น “ทิงเหยียน” 


 


 


           “ท่านโหว” ทิงเหยียนรีบวิ่งเข้ามาในห้อง 


 


 


           “เจ้าออกไปเตรียมตัว เปลี่ยนเป็นชุดเดินทาง แล้วตามข้าไปดูสถานการณ์ที่ประตูเมือง” เซี่ยม่อหานสั่ง 


 


 


           “ท่านโหว ในเมื่อท่านติดโรคห่าก็พักอยู่ในห้องเถิด ตอนนี้ที่ประตูเมืองวุ่นวายมาก ท่านหญิงเหลียนก็อยู่ด้วย หากท่านเป็นอะไรไปคงไม่ดีนัก” ทิงเหยียนชะงักตกใจ กล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย 


 


 


           “เพราะตอนนี้ที่ประตูเมืองวุ่นวาย ถึงอย่างไรท่านหญิงเหลียนก็เป็นสตรีที่เติบโตมาในตำหนักหอนอน เกรงว่ายากจะรีบมือได้ ข้าถึงยิ่งต้องไปดู อย่ามัวพูดมาก รีบไปเตรียมตัวเสีย เราจะแอบออกไป อย่ากระโตกกระตาก” เซี่ยม่อหานยกมือไล่ 


 


 


           ทิงเหยียนห่อปาก เวลานานถึงเพียงนี้เขาย่อมคุ้นเคยกับนิสัยของเซี่ยม่อหานดีแล้ว หากพูดโน้มน้าวใจเขามิได้ แสดงว่าเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจดีแล้วว่าจะทำ ไม่มีทางเปลี่ยนใจโดยเด็ดขาด ทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วออกไปเตรียมตัว 


 


 


           ไม่นานทั้งสองก็เตรียมตัวพร้อม หาได้ออกทางประตูหน้าหลังของเรือนไม่ หากแต่ปีนกำแพงลอบออกจากจวนหลังนี้แทน 


 


 


           ทั้งเมืองอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่าไม่น่าพิสมัย 


 


 


           หลังข้ามกำแพงเรือนสูงใหญ่ออกมาก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากทางประตูเมือง แลดูชุลมุนยิ่งนัก 


 


 


           “รีบไป” เมื่อเท้าของเซี่ยม่อหานสัมผัสพื้นก็เร่งทิงเหยียนทันที 


 


 


           ทิงเหยียนพยักหน้า ทั้งสองรีบวิ่งไปยังประตูเมือง 


 


 


           เมื่อมาถึงถนนใหญ่ พบเพียงประชาชนกลุ่มใหญ่กำลังกรูกันไปยังประตูเมืองราวกับหนีเอาชีวิตรอด 


 


 


           “ได้ยินว่ารัชทายาทไม่ไหวแล้ว ยามนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าไปอีกคน ไม่มีสมุนไพรดำม่วง ไม่ใช่แค่คนที่ติดโรคห่าเท่านั้นที่จะตาย แต่พวกเราที่ไม่ได้ติดโรคก็จะต้องตายไปด้วย” มีคนเดินพลางตะโกนขึ้น 


 


 


           “ใช่ รัชทายาทใกล้ตายแล้ว ท่านโหวเซี่ยเดิมร่างกายอ่อนแอ ตั้งกี่วันมาแล้วยังหาสมุนไพรดำม่วงไม่ได้ หรือว่าเราจะนั่งรอความตายจริงๆ” 


 


 


           “ข้าไม่อยากตาย” 


 


 


           “ใครอยากตายบ้างเล่า ได้ยินว่าประตูเมืองเปิดแล้ว เรารีบหนีกันดีกว่า” 


 


 


           “ประตูเมืองเปิดแล้วจริงหรือ” 


 


 


           “ไม่เปิดก็ต้องเปิด ยามใดแล้ว ได้ยินว่าพวกนายท่านขุนนางส่วนใหญ่ล้วนติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ตอนนี้ยังมีใครหาสมุนไพรดำม่วงมาช่วยเราได้อีก จะพึ่งพาเพียงท่านหญิงเหลียนที่เป็นสตรีคนหนึ่งหรือ นางเติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก แม้แต่ถอนหญ้าขุดดินยังทำไม่เป็น จะมีความอดทนสักเท่าไรเชียว” 


 


 


           “ใช่แล้ว เช่นนั้นเรารีบไปกันเถอะ” 


 


 


           … 


 


 


           คนกลุ่มหนึ่งเป็นแกนนำ คนในเมืองที่เหลือคล้ายถูกปลุกระดม ต่างพากันกรูไปยังประตูเมือง 


 


 


           ไม่นานบนถนนก็คลาคล่ำด้วยมวลชนเหมือนน้ำระบายไม่ออก ใบหน้าผู้คนแสดงออกถึงความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายจากก้นบึ้งหัวใจ 


 


 


           ตอนที่เซี่ยม่อหานกับทิงเหยียนมาถึงถนนเส้นนี้ยังมีคนไม่มากนัก หลังทั้งสองเดินไปไม่ไกล ถนนทั้งสายก็แน่นขนัดจนไม่เหลือที่ยืน 


 


 


           ทิงเหยียนเห็นสถานการณ์ที่ทุกคนพากันหนีตายราวเสียสติก็มิปาน ใบหน้าพลันซีดขาว ยกมือจับแขนเสื้อของเซี่ยม่อหานไว้ “ท่านโหว นี่จะทำเช่นไร ถึงแม้เราไปแล้วก็เกรงว่าจะควบคุมไม่อยู่” 


 


 


           เวลานี้เซี่ยม่อหานถึงเข้าใจสิ่งที่เหยียนเฉินคาดการณ์ไว้ จริงดังที่บอก ไม่ต้องรอสมุนไพรดำม่วงของเซี่ยฟางหวามาถึง หากไม่ยับยั้งสถานการณ์ หาทางอื่นมิได้ ปล่อยให้ความชุลมุนนี้ดำเนินต่อไป ไม่ต้องรอให้โรคห่าระบาดปกคลุมทั้งเมืองหลินอัน ทุกคนก็จะตายกันหมดก่อน ถึงอย่างไรเมื่อประชากรแสนกว่าคนในเมืองหลินอันรวมเข้าด้วยกัน ถึงมีทหารมากน้อยก็มิอาจควบคุมไหวเช่นกัน 


 


 


           “เราไปที่ประตูเมืองกันก่อน ดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           ทิงเหยียนพยักหน้าด้วยความสั่นกลัว 


 


 


           ทั้งสองไหลตามคลื่นมนุษย์มาจนถึงประตูเมือง 


 


 


           พบว่าประตูเมืองยังคงปิดสนิท เหล่าทหารถือดาบในมือ ป้องกันรอบประตูเมืองด้วยความเข้มงวด 


 


 


           ฉินเหลียนสวมเครื่องแบบทหารตลอดร่างราวกับแม่ทัพใหญ่ที่กำลังจะออกรบก็มิปาน นางยืนอยู่บนกำแพงเมือง ใบหน้าแม้ซีดขาว ทว่าภายใต้แสงสะท้อนจากอาทิตย์อัศดง ขับแสงสีแดงทองอันหนาวเหน็บให้เด่นชัด นางวางมาดเข้มงวดสุขุมพลางมองประชาชนล่างกำแพงเมือง ในมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างกายบอบบางแลดูเข้มแข็งขึ้นในเวลานี้ 


 


 


           ข้างหลังนางมีซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน ผิ่นจู๋ ผิ่นเซวียน ผิ่นเหยียน และผิ่นชิงแปดคนยืนอยู่ 


 


 


           ซื่อฮว่ากับผิ่นจู๋เดิมทีออกจากเรือนพำนักของรัชทายาทฉินอวี้เพื่อไปหาเซี่ยม่อหาน ระหว่างทางพบ 


 


 


เหยียนเฉิน ทั้งแปดจึงทราบว่าเซี่ยม่อหานปลอดภัยดี และทำตามคำสั่งของเหยียนเฉินด้วยการมาช่วยฉินเหลียนที่ประตูเมือง 


 


 


           ฉินเหลียนเดิมทีเห็นสถานการณ์ความวุ่นวายเช่นนี้ที่ประตูเมืองก็ทำอันใดไม่ถูก ทว่าหลังเห็นพวก 


 


 


ซื่อฮว่าแปดคนก็พลันนึกถึงเซี่ยฟางหวา ไม่ว่ายามใดหรือต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด เซี่ยฟางหวามักจะมั่นคงดั่ง 


 


 


ภูผา นิ่งสุขุมพร้อมเผชิญหน้าทุกสิ่ง เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็พลันมีความมั่นใจ หยิบกระบี่ขึ้นมาถือข้างหน้า ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า หากมีคนบุกถลันออกมา นางจะใช้วิธีการสังหารหนึ่งเตือนร้อย แม้นางไม่เคยสังหารใครด้วยตัวเองมาก่อน แต่ในเวลาแบบนี้มิอาจใจอ่อนได้แล้วเช่นกัน 


 


 


           “เปิดประตู!” 


 


 


           “เปิดประตู!” 


 


 


           “รีบเปิดประตู!” 


 


 


           … 


 


 


           มีคนนำตะโกนขึ้น ตามมาด้วยหลายคนตะโกนขึ้นตาม แม้กำลังตะโกน แต่เห็นทหารยืนอยู่ด้วยความเคร่งขรึมก็ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกมา 


 


 


           ฉินเหลียนมองคนนำตะโกนผู้นั้น พบว่าดูผอมอ่อนแออย่างยิ่ง คล้ายกับบัณฑิตผู้อ่อนแอคนหนึ่ง หากบอกว่าเซี่ยม่อหานรูปร่างผอมและอ่อนแอพอแล้ว คนผู้นี้ยังผอมยิ่งกว่าเขามาก บัณฑิตผู้นี้มีทักษะการปลุกระดมมากอย่างเห็นได้ชัด เพียงเขาเอ่ยปาก ประชาชนก็เสมือนน้ำที่ทะลักจากประตูเก็บน้ำ เดือดพล่านลุกฮือขึ้นทันที 


 


 


           “ท่านหญิง บัณฑิตผู้นี้มีวิทยายุทธ์แน่นอน อีกทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอของเขานั้นเป็นการเสแสร้ง ข้าเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม แค่มองปราดเดียวก็มองออกแล้ว” ผิ่นจู๋ขยับเข้าใกล้ฉินเหลียน กระซิบกล่าวขึ้น 


 


 


           ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเยือกเย็นทันที “กะแล้วว่าต้องมีคนยุยง” พูดจบ นางก็กระซิบถาม “พวกเจ้าว่าวิทยายุทธ์เขาเป็นเช่นไร ยับยั้งสังหารเขาได้หรือไม่” 


 


 


           “เขาถูกมวลชนล้อมอยู่ตรงกลาง แน่นขนัดเบียดมิได้ อีกทั้งตอนนี้ยังสว่างอยู่ เขาแค่เป็นแกนนำก่อความวุ่นวายกลางวันแสกๆ เท่านั้น ชักจูงจิตใจประชาชนได้ ทำให้ประชาชนมารวมกลุ่มกัน ถึงแม้วิทยายุทธ์ของเราสังหารเขาได้ แต่มิอาจบุ่มบ่ามลงมือ เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนโกรธเคืองมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นคงมิอาจควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว” ซื่อฮว่ากล่าว 


 


 


           “เช่นนั้นทำอย่างไรดี” ฉินเหลียนโมโหจนกัดฟันพูด 


 


 


           “ท่านหญิงนิ่งไว้ก่อนเจ้าค่ะ เจรจาด้วยถ้อยคำดีๆ หากควบคุมไม่อยู่จริงๆ เช่นนั้นก็ต้องลงมือกับคนผู้นั้น จากนั้นค่อยประกาศต่อประชาชนว่ามีคนฉวยโอกาสที่โรคห่าระบาดคิดทำลายเมืองหลินอัน ต้องโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้ได้ถึงจะควบคุมสถานการณ์ได้” ซื่อฮว่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองหลินอันก็อยู่ที่นี่มาหลายชั่วคน หากมิใช่ว่าส่งผลกระทบต่อชีวิต ย่อมไม่อยากออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่นเช่นกัน” 


 


 


           “เจ้าพูดมีเหตุผล ดี จัดการเช่นนี้ก่อน” ฉินเหลียนผงกศีรษะ เมื่อได้ยินความคิดเห็นของซื่อฮว่าก็สงบใจได้ครึ่งหนึ่ง นางกวาดตามองไปเบื้องล่างแล้วกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “แม้เสด็จพี่รัชทายาทติดโรคห่า แต่ได้คุณชายเหยียนเฉินใช้ยายับยั้งไว้แล้ว ตอนนี้มีการส่งคนไปตามหาสมุนไพรดำม่วงอย่างเต็มที่ ท่านโหวเซี่ยก็เพิ่งติดโรคห่าเท่านั้น ตอนนี้คงฟื้นขึ้นมาแล้ว และต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก อย่าถูกผู้ไม่หวังดียุยง สงบใจรอสมุนไพรดำม่วงมาถึงเถิด” 


 


 


           “ตั้งกี่วันมาแล้ว ยังไม่มีวี่แววสมุนไพรดำม่วงเลย” มีคนตะโกนขึ้น “ท่านหญิงเหลียน ท่านเป็นบุตรีในตระกูลควรอยู่แต่ในหอนอนเฉยๆ มากกว่า ออกมาปิดประตูเมืองทำไมกัน ฝ่าบาทมิใช่ตรัสว่าทรงระแวงการให้สตรีกุมอำนาจที่สุดหรือ” 


 


 


           “ข้าเป็นสตรีแล้วอย่างไร ข้ารักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เช่นกัน ทำในสิ่งที่บุรุษทำไม่ได้ เมืองหลินอันมีภัย พี่ชายรัชทายาทกับท่านโหวเซี่ยล้มป่วย ข้าจึงได้รับหน้าที่ในยามขับขัน ข้าเป็นทายาทจวนอิงชินอ๋อง เติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก เชื่อฟังคำสั่งสอนของเสด็จอาตลอดมา การรักษาเมืองหลินอันให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเกี่ยวอันใดกับกิจบ้านเมือง” ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาล 


 


 


           พูดจบ นางไม่รอให้ประชาชนเอ่ยแทรกก็เอ่ยถามเสียงแข็ง “เมื่อครู่ผู้ใดตั้งข้อสงสัยกับข้า คนผู้นี้ต้องมีเจตนาร้ายเป็นแน่ หากเจตนาดีคงไม่ตั้งข้อสงสัยข้าเช่นนี้แน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยสาบานร่วมกับรัชทายาทและท่านโหวเซี่ยว่าจะผ่านวิกฤตการณ์นี้ร่วมกับประชาชนในเมืองหลินอัน” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวด้วยเสียงดุดัน “ใครก็ได้ จับตัวผู้ที่กล่าวเยี่ยงนั้นมาให้ข้าแล้วสังหารเสีย!” 


 


 


           เหล่าประชาชนอุทานเสียงต่ำทันที พากันเงียบลง 


 


 


           ผู้พูดประโยคนั้นคือคนที่อยู่ข้างบัณฑิตผู้อ่อนแอ นึกไม่ถึงว่าฉินเหลียนพูดเพียงสองประโยคก็จะประหารชีวิตเขาแล้ว เขารีบมองขอความช่วยเหลือจากบัณฑิตผู้นั้นทันที 


 


 


           “ท่านหญิงโปรดระงับโทสะ ตอนนี้ประชาชนครึ่งหนึ่งในเมืองล้วนติดโรคห่า หลายวันแล้วยังไม่มีวี่แววของสมุนไพรดำม่วง มีศพกองใหญ่ถูกเผาในทุกวัน พวกเราตรงนี้แค่ไม่อยากตายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ตรงนี้ไม่มีใครติดโรคห่า ปล่อยพวกเราออกไปเถิด” บัณฑิตผู้นั้นกระแอมไอขึ้นมา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรงท่ามกลางความเงียบ 


 


 


           “ใช่แล้ว เราแค่อยากออกจากเมืองเท่านั้นเอง ปล่อยพวกเราไปเถิด” 


 


 


           “ขอท่านหญิงมีเมตตา ปล่อยพวกเราออกไปเถิด”  

 

 


ตอนที่ 88-2 มิตายก็บาดเจ็บ

 

จากความชุลมุนที่อยากออกจากเมืองเมื่อครู่ กลายเป็นเสียงอ้อนวอนนับไม่ถ้วน 


 


 


           ฉินเหลียนเดิมทีเป็นคนจิตใจดี ถ้าอยากให้นางเด็ดขาดนางก็ทำได้โดยไม่หวั่นเกรง ทว่าตอนนี้เหล่าประชาชนกำลังอ้อนวอนนางเป็นเสียงเดียวกัน นางเริ่มทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ใบหน้าฉายแววความลำบากใจ 


 


 


           “ท่านหญิง อดทนไว้เจ้าค่ะ อย่าใจอ่อน ประชาชนเหล่านี้แม้น่าสงสาร แต่ท่านลองคิดดูว่าหากปล่อยพวกเขาออกไป หากมีคนติดโรคห่าแฝงตัวออกไปด้วยเล่า ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนโรคห่าแสดงอาการนั้นไม่มีอาการบอก ท่านนึกถึงรัชทายาทกับท่านโหวดูสิเจ้าคะ” 


 


 


           ฉินเหลียนรวบสติขึ้นมา ตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้ากลัวอะไร ต้องมีสมุนไพรดำม่วงแน่นอน หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง ข้าจะตายไปพร้อมกับพวกเจ้า” 


 


 


           “ถึงอย่างไรท่านหญิงก็เป็นสตรี สุภาษิตกล่าวว่าสตรีกับคนถ่อยยากเข้าหา*[1] สตรีมิใช่วีรชน มีโอกาสเปลี่ยนใจและผิดคำพูดได้ตลอดเวลา หากถึงตอนนั้นไม่มีสมุนไพรดำม่วงจริง แต่ท่านหนีปัญหาออกไปจากเมืองเล่า พวกเราจะทำเช่นไร” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้น 


 


 


           ฉินเหลียนเดือดจัด ทราบดีว่าในเมื่อคนผู้นี้ถูกส่งมาก่อกวนอย่างลับๆ ได้ ย่อมมีวาจาคมคายแน่นอน นางเอ่ยขึ้น “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ หากทอดทิ้งเมืองแห่งนี้หนีไป ขอให้ฟ้าผ่าตาย” 


 


 


           คนโบราณให้ความสำคัญกับคำสาบานที่สุด ดังนั้นเมื่อนางลั่นวาจาออกมา เหล่าประชาชนจึงพากันเงียบเสียงลงทันที 


 


 


           ถึงอย่างไรฉินเหลียนก็เป็นทายาทจวนอิงชินอ๋อง เติบโตจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนจากฮองเฮา เรียกได้ว่ามีฐานะสูงศักดิ์ยิ่งกว่าองค์หญิงทุกคนในราชวงศ์ นางเอาฐานะสูงศักดิ์มาทิ้งไว้ที่เมืองหลินอันที่อยู่ในวิกฤตเช่นนี้ ทั้งยังให้คำสาบานว่าหากไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็จะไม่ไปไหน ถือว่าเป็นวีรสตรีในหมู่หญิง 


 


 


           ประชาชนมากมายรู้สึกดีต่อท่านหญิงผู้เติบโตมาในวังหลวงท่านนี้ทันที 


 


 


           “ท่านหญิงเอ่ยคำสาบานจะมีประโยชน์ใด หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง ประชาชนแสนกว่าคนในเมืองก็ต้องตาย เมื่อเทียบกับชีวิตที่เป็นตายเท่ากันแล้ว ถึงแม้ท่านเป็นท่านหญิง แต่คำสาบานของท่านก็มิได้สูงส่งขึ้น” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้น 


 


 


           ประชาชนได้ยินเช่นนี้ก็พลันคิดว่ามีเหตุผล ส่งเสียงคล้อยตามกัน 


 


 


           “ท่านหญิงรีบเปิดประตูเมืองเถิด” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวอีก 


 


 


           “เปิดประตู” 


 


 


           “เปิดประตู” 


 


 


           “เปิดประตู” 


 


 


           … 


 


 


           ทุกคนตะโกนขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน 


 


 


           “หากท่านหญิงยังไม่เปิดประตู พวกเราจะบุกออกไปแทน แม้ด้วยร่างกายอ่อนแอของข้าน้อยย่อมหวาดกลัวคมกระบี่ในมือท่านหญิง แต่ถ้ามันจะทำให้พี่น้องในเมืองได้ออกไปมีชีวิตใหม่ได้ ถึงข้าน้อยต้องถูกท่านหญิงสังหารก็ยินดี” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           เขาลั่นวาจาเช่นนี้ ประชาชนก็ร้องโวยวายเสียงดังทันที 


 


 


           “ทุกคนอย่ากลัว ในเมื่อท่านหญิงไม่เปิดประตูเราก็จะบุกออกไป ออกไปได้คนเดียวก็คนเดียว ออกไปได้สองคนก็สองคน ขอเพียงพวกพี่น้องมีชีวิตรอดต่อไป ก็ถือว่าเป็นคุณงามความดีของเราประการหนึ่ง” บัณฑิตผู้นั้นตะโกนขึ้นอีก 


 


 


           “ถูก ถูกต้อง เราบุกออกไปเถอะ” 


 


 


           “ทุกคนไม่ต้องกลัวกระบี่ในมือท่านหญิง บุกเถอะ” 


 


 


           “บุก!” 


 


 


           ทุกคนพลันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พากันกรูเข้าไปหาทหารอารักขาเมือง 


 


 


           “หยุดประเดี๋ยวนี้ ห้ามบุกออกไป ผู้ใดทำเช่นนั้นข้าจะสังหารให้หมด” ฉินเหลียนกล่าวด้วยโทสะ 


 


 


           เสียงของนางจมหายไปในเสียงของคนที่กำลังกรูไปข้างหน้า ประชาชนดั่งได้รับยากระตุ้น คิดแต่เพียงจะบุกออกไปให้ได้ เดิมไม่ฟังสิ่งที่ฉินเหลียนพูดอีกแล้ว 


 


 


           “ทำเช่นไรดี” ฉินเหลียนลนลาน เอ่ยถามคนข้างหลัง 


 


 


           “ท่านหญิง เราลงมือเถิด สังหารคนผู้นั้น” ซื่อฮว่าคิดว่ายามนี้ไม่ว่าฉินเหลียนพูดสิ่งใดก็ไม่เป็นผลแล้ว ทำได้เพียงลงมือเท่านั้น แต่หากลงมือต้องมีผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายเป็นแน่ ทว่าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน 


 


 


           “ได้ พวกเจ้าลงมือเถอะ ระวังตัวด้วย นอกจากคนผู้นั้น เกรงว่ายังมีผู้ช่วยคนอื่นหลบซ่อนในที่ลับอีก” ฉินหลียนกำชับ 


 


 


           ซื่อฮว่าพยักหน้า ตวัดมือเรียกซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่าน ทั้งสี่ชักกระบี่ออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน พุ่งเป้าไปยังบัณฑิตผู้อ่อนแอคนนั้น 


 


 


           บัณฑิตผู้นั้นฉวยโอกาสช่วงชุลมุนคว้าตัวผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งมาขวางตนไว้ 


 


 


           กระบี่ของซื่อม่อเป็นกระบวนท่าสังหารในคราเดียว นางกลับลำไม่ทัน ดาบทะลวงหัวใจของผู้บริสุทธิ์คนนั้น 


 


 


           “ท่านหญิงสังหารคนจริงๆ” บัณฑิตผู้นั้นรีบปล่อยผู้เคราะห์ร้ายแล้วตะโกนขึ้น 


 


 


           ประชาชนโดยรอบหันมามอง เมื่อเห็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดาบทะลวงหัวใจเข้าก็พากันโกรธแค้น “ท่านหญิงมิใช่คนดี คิดจะสังหารพวกเราจริงๆ เรารีบหนีกันเถอะ” 


 


 


           ฉินเหลียนมองจากบนกำแพง โกรธเกรี้ยวจนใบหน้าเขียวคล้ำ เอาแต่แค้นเคืองตนเองที่ไม่ยอมเรียนวิทยายุทธ์ เรียนรู้เพียงวิชาต่อสู้เบื้องต้นเท่านั้น หากมีวิทยายุทธ์ดีจะต้องสังหารบัณฑิตผู้นั้นด้วยตัวเองได้แน่นอน 


 


 


           ทหารอารักขาเมืองกับประชาชนที่จะออกจากเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ชุลมุนยิ่งกว่าเก่า เพียงพริบตาก็บีบบังคับให้ทหารต้องลงมือทำร้ายประชาชนไปหลายคนต่อเนื่องกัน และขณะที่ทุกคนกำลังชุลมุนก็เบียดเสียดจนเหยียบกันบาดเจ็บไปหลายคนด้วย 


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านมองหน้ากัน ทราบดีว่าบัณฑิตผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทั้งสี่จึงย้ายตำแหน่งไปยืนคนละมุมในสี่ทิศทางเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่สี่ทิศ ต้องสังหารบัณฑิตผู้นี้ก่อน เมื่อประชาชนไม่ถูกยุยงปลุกปั่นจนเหนือการควบคุมแล้วก็จะสงบลงเอง 


 


 


           แต่บัณฑิตผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงมาก ไม่นึกว่าค่ายกลกระบี่สี่ทิศของทั้งสี่ร่วมกับวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจะทำอันใดเขาไม่ได้เลย กลับยิ่งถูกเขาขัดขวางด้วยการสังหารประชาชนอีกหลายคน 


 


 


           “พวกเจ้าก็ลงไปช่วยพวกนางเถอะ” ฉินเหลียนเห็นแล้วก็ร้อนใจ 


 


 


           “มิได้เจ้าค่ะ เราสี่คนต้องปกป้องท่านหญิง คุณชายเหยียนเฉินสั่งงานไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ประตูเมืองวุ่นวายเพียงใด ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเท่าไร ก็ต้องปกป้องความปลอดภัยของท่านหญิงก่อน” ผิ่นจู๋รีบกล่าว 


 


 


           “ยามใดแล้ว ความปลอดภัยของข้าไม่ได้สำคัญแล้ว ไปสังหารคนชั่วผู้นั้นเสีย” ฉินเหลียนไล่ 


 


 


           “ท่านหญิงเหลียน ท่านออกจากเมืองมาพร้อมท่านโหวของเรา ท่านอ๋องน้อยเจิงฝากฝังท่านโหวให้ช่วยดูแลท่าน ดังนั้นท่านถึงเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา ท่านคิดดูสิว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะซักถามท่านโหวอย่างไร ยังมีอิงชินอ๋อง พระชายาที่ต้องเสียใจจนแทบใจสลาย” ผิ่นจู๋ส่ายหน้า 


 


 


           “พี่ชายข้าไม่ได้เป็นห่วงข้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซักถามอันใดกัน รีบไปลงช่วยพวกนาง” ฉินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยความโมโห 


 


 


           “ท่านหญิงพูดเช่นนี้ช่างขาดจิตสำนึกนัก ท่านทบทวนตัวเองดูให้ดีสิเจ้าคะ ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่เป็นห่วงท่านซึ่งเป็นน้องสาวเลยจริงหรือ” ผิ่นจู๋ย้อนถามอย่างไม่เห็นด้วย 


 


 


           ฉินเหลียนชะงัก 


 


 


           “ท่านหญิงสงบใจลงก่อน ข้าเห็นว่าท่านโหวมาแล้ว ท่านโหวเป็นคนฉลาด คงมีวิธีการรับมือเป็นแน่” ผิ่นจู๋กวาดตามองท่ามกลางฝูงชน มองเห็นเซี่ยม่อหานที่ปลอมตัวง่ายๆ ก็ดีใจทันที รีบกล่าวขึ้น 


 


 


           “เซี่ยม่อหาน เขาอยู่ไหน” ฉินเหลียนรีบมองหา 


 


 


           “ข้าเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม น้อยวิชาแปลงโฉมในใต้หล้าจะปิดบังสายตาข้าได้ ดังนั้นข้าจึงมองวิชาแปลงโฉมของท่านโหวออก ท่านหญิงอย่าเพิ่งวู่วาม อดใจรอสักครู่ ท่านโหวต้องมีแผนแน่” ผิ่นจู๋บอก 


 


 


           “ก็ได้” ฉินเหลีนได้ยินว่าเซี่ยม่อหานมาแล้วก็สงบลงทันที 


 


 


           ท่ามกลางกลุ่มคนก่อความวุ่นวาย กลิ่นเลือดคาวคลุ้งทั่วสารทิศ 


 


 


           ทิงเหยียนร้อนใจจนมืดแปดด้าน หลบข้างหลังกลุ่มคนแล้วเอ่ยถามเซี่ยม่อหานด้วยความลนลาน “ท่านโหว ทำเช่นไรดี รีบคิดหาทางสังหารบัณฑิตผู้นั้นเถิด ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าต้องตายไปอีกกี่คน” 


 


 


           “สิ่งที่พวกซื่อฮว่าสี่คนเชี่ยวชาญไม่ใช่วิทยายุทธ์ พวกนางแปดคน แต่ละคนเชี่ยวชาญในแขนงวิชาที่ต่างกันออกไป แรกเริ่มที่ข้าฝึกฝนพวกนางเพราะรู้ว่าน้องสาวข้าเรียนรู้ศิลปะวิชาการที่เขาไร้นาม วิชาการต่อสู้ย่อมไม่อ่อนด้อย กลัวว่านางจะขาดสิ่งอื่น จึงฝึกฝนพวกนางในแต่ละด้านเพื่อคอยช่วยเหลือนาง แต่เมื่อพบกับผู้มีวิชาการต่อสู้ที่แท้จริง แม้พวกนางวางค่ายกลก็ไม่เป็นผล” เซี่ยม่อหานกล่าว “ดูท่าข้าต้องลงมือเองแล้ว” 


 


 


           “ท่าน…จะลงมือ” ทิงเหยียนสะดุ้งโหยง “ท่านโหว ร่างกายท่าน…” 


 


 


           “ไม่มีปัญหา” เซี่ยม่อหานพูดจบก็พลันเหินกายขึ้น กระบี่ในมืออัดแน่นด้วยกำลังภายใน รัศมีสีทองโจมตีไปยังบัณฑิตผู้อ่อนแอคนนั้น 


 


 


           เวลานี้ กระบี่ของพวกซื่อฮว่าสี่คนต่างแยกกันทะลวงไปยังจุดตายรอบกายบัณฑิตผู้นั้นพอดี 


 


 


           บัณฑิตผู้นั้นมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่กลัวค่ายกลกระบี่ของพวกซื่อฮว่าสี่คน แต่เซี่ยม่อหานแม้ล้มป่วยและมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทว่าเพราะมีฐานะเป็นซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว ไม่ว่าจะการต่อสู้ในที่แจ้งหรือที่ลับ ดังนั้นจำต้องฝืนร่างกายร่ำเรียนการปกครองและการต่อสู้ให้เหนือชั้นมาด้วยความยากลำบาก เป็นเขาลงมือย่อมแตกต่างจากพวกซื่อฮว่าสี่คน โดดเด่นกว่าเป็นไหนๆ 


 


 


           บัณฑิตผู้นั้นหลบกระบี่ของเซี่ยม่อหานไม่ทัน ทันใดนั้นก็แผ่รังสีโหดเ**้ยม ขว้างกระบี่ของตนเองไปยังฉินเหลียนที่อยู่บนกำแพงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี 


 


 


           กระบี่นี้ทั้งรวดเร็ว โหดเ**้ยม และรุนแรงอย่างยิ่ง หากถูกกระบี่เล่มนี้ทะลวงเข้าไป ฉินเหลียนหากมิตายก็ต้องบาดเจ็บเป็นแน่ 


 


 


 


 


 


[1] *สตรีกับคนถ่อยยากเข้าหา เป็นคำสอนของขงจื๊อ หมายความว่า หากจะเข้าหาคนสองประเภทนี้ต้องรู้จักระยะห่าง เข้าใกล้เกินก็เสียมารยาท รักษาระยะห่างเกินก็ไม่พอใจ  

 

 


ตอนที่ 89 โชคดีมีอวิ๋นจี้

 

           ฉินเหลียนจับตามองการเคลื่อนไหวหลังกำแพงตลอดเวลา เดิมไม่นึกไม่ฝันว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นจะหันคมกระบี่มาลงมือกับนางแทน


 


 


           กระบี่เล่มนั้นอัดแน่นด้วยพลังทั้งหมดของบัณฑิต พุ่งมาด้วยเสียงดังแหวกอากาศ โหดเ**้ยมอย่างยิ่ง


 


 


           เซี่ยม่อหานมองกระบี่ที่มุ่งไปยังฉินเหลียนด้วยกำลังมหาศาล สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ตะโกนดังลั่น “คุ้มครองท่านหญิง!”


 


 


           ผิ่นจู๋ ผิ่นชิง ผิ่นเซวียน และผิ่นเหยียนไม่คาดคิดว่าบัณฑิตผู้นั้นหมายจะสังหารฉินเหลียนโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเอง พวกนางตกใจจนหน้าถอดสี ต่างชักกระบี่ออกมากันกระบี่เล่มนั้น ทว่าการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มีโดยไม่คิดถึงชีวิตของบัณฑิตผู้นั้นรุนแรงเกินไป เห็นเพียงกระบี่เล่มนั้นถูกขว้างมาด้วยกำลังมหาศาล ชั่วพริบตาก็ดีดกระบี่ที่พวกนางทั้งสี่นำออกมาป้องกันออกไปทีละคน มันทะลวงแนวป้องกันของทั้งสี่ ก่อนปักโดนฉินเหลียนดัง ‘ฉึก’


 


 


           ฉินเหลียนร้องอุทาน ก่อนที่ร่างกายจะเอนหงายหลังลงไป


 


 


           ผิ่นจู๋หันไปมองด้วยความตื่นกลัว พบว่าตำแหน่งที่ฉินเหลียนยืนนั้นอยู่ตรงกับมุมกำแพงพอดี ยามนี้นางถูกกระบี่ปักกลางหน้าอก ร่างกายเสียการทรงตัวร่วงตกไปนอกกำแพง นางตกใจ รีบพลิ้วกายไปคว้ามือนางไว้ ทว่าคว้าได้เพียงปลายแขนเสื้อนางเท่านั้น ปลายแขนเสื้อฉีกขาดดัง ‘แควก’ ฉินเหลียนร่วงตกลงไปดังเดิม


 


 


           ผิ่นจู๋เหินกายหมายตามลงไปคว้าตัวนางขึ้นมา ทว่าผิ่นเซวียนก็คว้าแขนนางไว้ก่อน “เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วรึ”


 


 


           “ท่านหญิงเหลียน…ตกลงไปแล้ว” ผิ่นจู๋ถูกห้าม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ


 


 


           “กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ หากไม่มีเชือกช่วย กระโดดลงไปมีแต่ตาย” ผิ่นเซวียนก็หน้าซีดเช่นกัน


 


 


           “แต่ท่านหญิง…ท่านหญิงจะทำเช่นไร” ผิ่นจู๋มองฉินเหลียนที่ดั่งใบไม้ร่วงหล่นจากกำแพง นางชะโงกหน้ามองลงไป ทว่ามองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เห็นเพียงประกายกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวบริเวณหน้าอกเท่านั้น นางพึมพำขึ้น “ท่านอ๋องน้อยมีน้องสาวเพียงคนเดียว ฝากฝังให้ท่านโหวช่วยดูแล หากตายไป ท่านอ๋องน้อยต้องเอาเรื่องท่านโหวเป็นแน่ เช่นนั้น ด้วยนิสัยที่รักพี่ชายยิ่งชีพของคุณหนูแล้วจะต้องปกป้องท่านโหวแน่นอน เดิมทีนางกับท่านอ๋องน้อยมิใช่สามีภรรยากันแล้ว ความรักที่มีให้กันจางลง หากเกิดเรื่องนี้เพิ่มเติมทำให้มิอาจกลับไปเป็นแบบเดิมได้ จะ…”


 


 


           ฝ่ามือของผิ่นเซวียนที่คว้าแขนผิ่นจู๋ผละออกอย่างสั่นระริก


 


 


           ยามนี้ผิ่นชิงกับผิ่นเหยียนก็มองฉินเหลียนที่ตกลงไปนอกกำแพงด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน


 


 


           เซี่ยม่อหานสังหารบัณฑิตผู้นั้นในคราเดียว เขาเห็นเหตุการณ์บนกำแพงชัดเจน ใบหน้าพลันฉายแววสิ้นหวัง


 


 


           ก่อนตายบัณฑิตผู้นั้นได้แสยะยิ้มลำพองใจแก่เซี่ยม่อหาน “ชีวิตอันต่ำต้อยของข้าแลกกับชีวิตอันสูงศักดิ์ของท่านหญิง นับว่าน่าพึงพอใจแล้วเช่นกัน” สิ้นเสียงก็สิ้นใจตาย


 


 


           เซี่ยม่อหานปล่อยกระบี่ในมือด้วยตัวสั่นเทา กระบี่ร่วงตกบนพื้นดัง ‘เคร้ง’ สะท้อนก้องชัดเจน


 


 


           ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างประชาชนกับทหารสงบลงแล้วในยามนี้ ราวกับทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว


 


 


           ทั้งในและนอกกำแพงเมืองเงียบสงัดจนน่าประหลาด


 


 


           กระทั่งร่างของฉินเหลียนใกล้กระแทกลงกับพื้น ผิ่นจู๋ ผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนต่างหลับตาลงพร้อมกัน กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ ถึงแม้พวกนางซึ่งมีวิทยายุทธ์กระโดดลงไปก็กระแทกจนมิตายก็บาดเจ็บเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉินเหลียนยังมีกระบี่เล่มหนึ่งปักคาหน้าอก นางที่ตกลงไปโดยไร้แรงต้านเกรงว่าร่างจะแหลกเละเป็นโคลน


 


 


           ทว่าหลังทั้งสี่หลับตาลงก็ยังมิได้ยินเสียงกระแทกพื้นตามมา จึงรีบลืมตามองโดยพร้อมเพรียง


 


 


           พบว่านอกกำแพงนั้น มีคนผู้หนึ่งรับร่างฉินเหลียนไว้


 


 


           ทั้งสี่เห็นคนผู้นั้นชัดเจน พลันพากันดีใจยกใหญ่


 


 


           “คุณชายอวิ๋นจี้!” ผิ่นจู๋รีบตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ


 


 


           “เป็นคุณชายอวิ๋นจี้จริงด้วย” ผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนก็เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจเช่นกัน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้ามอง เห็นทั้งสี่ยืนอยู่บนกำแพงก็เลิกคิ้วให้


 


 


           ผิ่นจู๋รีบหันกลับมา ตะโกนบอกเซี่ยม่อหานที่อยู่หลังกำแพงเสียงดัง “ท่านโหว คุณชายอวิ๋นจี้มาแล้ว เขารับร่างท่านหญิงไว้พอดีเจ้าค่ะ”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ เก็บกระบี่บนพื้นขึ้นมาแล้วเหินกายบินขึ้นไป ใช้กระบี่เป็นตัวช่วยพยุงตรงกึ่งกลางกำแพง ชั่วพริบตาก็ขึ้นมาบนแนวกำแพงสำเร็จ เท้ายังไม่ทันสัมผัสพื้นดีก็ตรงไปยังขอบกำแพงแล้วมองลงไป พบว่าเป็นเซี่ยอวิ๋นจี้จริง เขาหลับตาผ่อนลมหายใจโล่งอกด้วยความดีใจแล้วเอ่ยขึ้น “อวิ๋นจี้ โชคดีที่เจ้ามาทัน หากฉินเหลียนเป็นอะไรไป ข้าจะอธิบายกับท่านอ๋อง พระชายา และน้องฉินเจิงว่าอย่างไร”


 


 


           “ไม่ถือว่าเป็นความบังเอิญ ข้ามาถึงครู่หนึ่งแล้ว เพียงแต่เห็นความวุ่นวายหลังประตูเมืองพอดีจึงหลบดูสถานการณ์อยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอ มองฉินเหลียนแวบหนึ่ง “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ต่างหากที่โชคดี เจอข้ามาถึงเมืองหลินอันพอดี มิฉะนั้นตอนนี้เกรงว่าจะถูกยมทูตนำตัวไปปรโลกแล้ว”


 


 


           “ถือเป็นวาสนา” เซี่ยม่อหานกล่าวด้วยความปีติ “เจ้าช่วยชีวิตนางถือว่าช่วยชีวิตข้าด้วย มิฉะนั้นข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ”


 


 


           “ฉินเจิงหย่ากับน้องฟางหวาแล้ว ตระกูลเซี่ยของเราไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนอิงชินอ๋องของพวกเขาอีก ตายก็ตายสิ ยังต้องอธิบายอันใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ยี่หระ ยกมือเรียกเขาลงมา “เจ้ารีบลงมาเถอะ เจ้าเด็กบ้านี่แม้ได้ข้ารับไว้ทัน แต่กระบี่เล่มนี้ปักลงลึกมาก ทั้งตรงตำแหน่งหน้าอกอีก ไม่รู้ว่ายังช่วยได้หรือไม่”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินแบบนั้นก็รีบลงจากกำแพงเมือง


 


 


           ผิ่นจู๋เห็นเซี่ยม่อหานลงจากกำแพงด้วยความคล่องแคล่ว จึงกัดฟันกล่าวขึ้น “หากเรามีวิทยายุทธ์แบบท่านโหว คงไม่ทำให้ท่านหญิงถูกกระบี่แทงแล้วร่วงตกลงไป”


 


 


           “กลับไปเราต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ หวังว่าบาดแผลของท่านหญิงเหลียนไม่ลึกนัก อย่าโดนถึงหัวใจเลย มิฉะนั้นถึงตายหมื่นครั้งก็ปฏิเสธความผิดของเรามิได้” ผิ่นชิงกล่าว


 


 


           ผิ่นเซวียนกับผิ่นเหยียนพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


           หลังเซี่ยม่อหานลงจากกำแพงเมืองก็รีบสาวเท้ามาถึงตัวฉินเหลียน ย่อกายลงมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “กระบี่เล่มนี้แทงลึกมาก แต่ข้าไม่ใช่หมอ มองไม่ออกว่าโดนถึงชีพจรหัวใจหรือไม่”


 


 


           “ข้าก็ไม่ใช่หมอเหมือนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ กล่าวกับเขา “รีบไปตามเหยียนเฉินเถอะ ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองหลินอันด้วยไม่ใช่หรือ วิชาแพทย์ของเขาฟังว่าสูงกว่าน้องฟางหวาอีก ขอเพียงไม่โดนชีพจรหัวใจ เขาต้องช่วยนางได้แน่”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าบอกคนบนกำแพง “รีบไปตามคุณชายเหยียนเฉิน”


 


 


           พวกผิ่นจู๋สี่คนรับคำ ก่อนรีบลงจากกำแพง วิ่งฝ่าฝูงชนกลับไปที่จวน


 


 


           “กลัวก็แต่เหยียนเฉินออกจากเมืองไปแล้ว หากเขาไม่อยู่ในเมืองจะทำเช่นไร” เซี่ยม่อหานหันกลับมาพูดกับเซี่ยอวิ๋นจี้เสียงต่ำ


 


 


           “เขาอยู่ในเมืองหลินอันและติดตามเจ้าตลอดไม่ใช่หรือ ไฉนถึงไม่อยู่” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย


 


 


           เซี่ยม่อหานกล่าวเสียงต่ำ “เขามีอีกแผนการล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกมา ออกจากเมืองไปสมทบกับฟางหวาแล้ว” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวด้วยใบหน้ากลุ้มใจ “ตอนนี้เป็นไปได้มากว่าจะออกจากเมืองไปแล้ว มิฉะนั้นเมื่อครู่ข้าคงไม่ได้สังหารคนผู้นั้นลงอย่างง่ายดาย ไม่มีคนมีฝีมือสูงกว่าซุ่มอยู่ในที่ลับออกมาช่วยคนผู้นั้น ดูท่าทางคนมีฝีมือในเมืองน่าจะถอนกำลังออกไปหมดแล้ว”


 


 


           “โอ้ แผนของเขาดีหรือไม่ น่าสนุกหรือเปล่า ข้าก็อยากไปร่วมสนุกด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ฟังแล้วก็กระตือรือร้นขึ้นมา


 


 


           “อันตรายอย่างยิ่ง เจ้าอย่าตามไปเลย แผนของเขาจะได้ไม่แตกเอา อีกอย่างข้าติดโรคห่าเข้าแล้ว ตอนนี้ฉินเหลียนก็ยังน่าเป็นห่วง เจ้ามาได้ตรงจังหวะพอดี อยู่ช่วยข้าดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเมืองก่อนเถอะ หากเหยียนเฉินออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ ข้าจำต้องรีบหาหมอมารักษานาง” เซี่ยม่อหานมองเขา


 


 


           “ก็ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้ท้อใจ ก่อนกล่าวบอกเขา “ข้าไม่อยากอุ้มเจ้าเด็กบ้าคนนี้แล้ว เจ้ามาอุ้มแทน”


 


 


           เซี่ยม่อหานทราบดีว่าตอนที่เซี่ยอวิ๋นจี้กับฉินเหลียนอยู่ที่จวนจงหย่งโหวนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตากัน เขาจึงอุ้มฉินเหลียนไว้แทน


 


 


           “เปิดประตู” เซี่ยอวิ๋นจี้สะบัดแขนเสื้อ ก่อนตะโกนบอกคนหลังกำแพง


 


 


           ทหารอารักขาเมืองมองทั้งสามนอกกำแพง เขาไม่รู้จักเซี่ยอวิ๋นจี้ และไม่รู้จักเซี่ยม่อหานที่กำลังแปลงโฉมอยู่ รู้จักเพียงฉินเหลียนที่ถูกอุ้มอยู่เท่านั้น จึงลังเลว่าจะเปิดประตูเมืองดีหรือไม่


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านมาที่หน้าประตูเมือง ออกคำสั่งแก่ทหารนายนั้น “คนด้านนอกคือท่านโหวเซี่ยซึ่งแปลงโฉมอยู่และคุณชายอวิ๋นจี้แห่งจวนโรงเก็บเกลือ พวกเขาช่วยชีวิตท่านหญิงไว้ รีบเปิดประตู”


 


 


           ทหารอารักขาเมืองได้ยินเช่นนั้นก็รีบเปิดประตูทันที


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เป็นฝ่ายเดินเข้าไปก่อน เซี่ยม่อหานยกมือดึงหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าเดิม ก่อนอุ้มฉินเหลียนเข้าไปในตัวเมือง


 


 


           หลังกำแพงเมืองยุ่งเหยิงหาความเป็นระเบียบมิได้ ศพสิบกว่าชีวิตนอนเกลื่อนขวางทางบนพื้น มีดหอกกระบี่ง้าวของเหล่าทหารต่างเปื้อนคราบเลือด บนตัวประชาชนบางคนก็เปื้อนเลือดด้วยเช่นกัน ไม่ว่าประชาชนข้างหน้าหรือทหารต่างตกอยู่ในสภาพจนตรอกทั้งนั้น


 


 


           ทว่าหลังเปิดประตูเมือง ไม่มีใครหน้าไหนกล้าก้าวเท้าออกจากเมืองแม้แต่คนเดียว


 


 


           เซี่ยม่อหานกวาดตามองด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม “ปิดประตูเมือง ห้ามผู้ใดออกจากเมืองทั้งนั้น จนกว่าสมุนไพรดำม่วงมาถึงก็จะห้ามเปิดประตูโดยเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกเผาเซ่นวิญญาณ”


 


 


           เหล่าประชาชนได้ยินดังนั้นก็ขาแข้งอ่อนแรง ทรุดลงนั่งบนพื้น


 


 


           สิ่งใดคือถูกเผา นั่นคือการจุดไฟเผาคนโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ การลงโทษผู้กระทำความผิดเช่นนี้เป็นหนึ่งในกฎหมายอาญาของหนานฉิน


 


 


           ถึงอย่างไรโบราณก็มีคำกล่าวว่าฝังดินสู่สุขคติ การเผาทั้งเป็นทำให้ไม่เหลือศพ ชิ้นส่วนและจิตวิญญาณสูญสลาย แม้แต่โอกาสกลับมาเกิดใหม่ก็หามีไม่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด


 


 


           เซี่ยม่อหานเดิมเป็นคนอ่อนโยนใจดี พูดจาด้วยรอยยิ้มสามส่วน มีนิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าครั้งนี้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว


 


 


           ตั้งแต่ท่านโหวเซี่ยมาถึงเมืองหลินอัน ในเมืองประสบอุทกภัย เขาช่วยเหลือประชาชนให้พ้นเคราะห์ ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากให้มีชีวิตรอดต่อไป ต่อมาก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอัน รัชทายาทขุดลอกคูคลองมาถึง เขาก็ช่วยรัชทายาทขุดลอกคูคลองอีกแรง ตามด้วยเมืองหลินอันประสบโรคห่าระบาด เขาก็ช่วยเหลือประชาชนอีก ที่ผ่านมาเหล่าประชาชนต่างคิดว่าอดีตซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว ท่านโหวเซี่ยในปัจจุบันท่านนี้ แม้อยู่ในตระกูลเลื่องชื่อและมีอำนาจยิ่งใหญ่ มีฐานะสูงศักดิ์ มีตำแหน่งสูงส่งและอำนาจน่ายำเกรง ทว่าไม่เคยวางมาดและมีนิสัยแบบคุณชายรุ่นอนุชนผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย หากแต่อ่อนโยนน่าคบหาด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้นยามนี้เมื่อเห็นเขาโกรธจัดขึ้นมา แม้ยังสวมอาภรณ์ครบชิ้นส่วนบนร่าง ทว่ากลับปกปิดกลิ่นอายความเย็นยะเยือกไม่อยู่ ใบหน้านิ่งขรึมเย็นชา ชวนให้ผู้คนคิดว่าเขาพูดจริงทำจริง ขอเพียงมีคนบุกฝ่าประตูเมืองออกไป เขาจะต้องสั่งเผาทั้งเป็นเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่ตายไปในเมืองหลินอันเป็นแน่


 


 


           ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงออกมา


 


 


           “เหตุการณ์ในวันนี้มีผู้ไม่หวังดีจงใจยุยงปลุกปั่นเพื่อคิดจะลอบสังหารท่านหญิง ตอนนี้ท่านหญิงบาดเจ็บสาหัส และคนผู้นั้นก็ถูกข้าสังหารไปแล้ว” เซี่ยม่อหานเห็นทุกคนสงบลงก็กล่าวเสียงเข้มขึ้นอีกครั้ง “ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายตรงนี้ในวันนี้ให้จัดพิธีศพทั้งหมด ส่วนผู้ที่ก่อความวุ่นวายเพื่อจะบุกออกจากเมือง ครั้งนี้จะอนุโลมไม่หาตัวออกมา แต่หากฝ่าฝืนอีกก็ดังที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้”


 


 


           เหล่าประชาชนฟังแล้วก็ผ่อนหายใจโล่งอก


 


 


           “เนื่องจากท่านหญิงบาดเจ็บ ข้าต้องตามหมอมารักษาท่านหญิง นับจากวันนี้เป็นต้นไป เรื่องรักษาเมืองยกให้คุณชายอวิ๋นจี้เป็นผู้ดูแล” เมื่อเซี่ยม่อหานรีบพูดให้จบก็อุ้มฉินเหลียนสาวเท้ากลับไปที่จวน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองความไร้ระเบียบที่หน้าประตูเมือง ก่อนยกมือไล่เหล่าประชาชน เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ต้องหาสมุนไพรดำม่วงได้แน่นอน ทุกคนจงอยู่แต่ในบ้าน ปิดประตูรอคอยแต่โดยดีเถอะ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ข้าอีก เผาทั้งเป็นแค่คนเดียวเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ใช่คนจิตใจดีงามอันใด หากมีผู้ใดไม่ทำตามกฎระเบียบของข้า ข้าจะสั่งเผาทั้งตระกูล”


 


 


           เหล่าประชาชนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นกลัว ก่อนพากันแยกย้ายสลายตัว


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ค่อนข้างพอใจกับพลานุภาพของตนเอง ยกมือสั่งเหล่าทหารหย็อยๆ “เก็บกวาดตรงนี้ให้เรียบร้อย รักษาประตูเมืองให้ดี” จากนั้นก็กล่าวกับพวกซื่อฮว่าสี่คน “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลินอัน ยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมือง พวกเจ้ามาได้หลายวันแล้วกระมัง จับตามองในเมืองอย่าให้เกิดเรื่องใด หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นอีกก็มาบอกข้า” พูดจบ ไม่รอให้ทั้งสี่ขานรับก็ยกมือปิดจมูกหนีกลิ่นคาวเลือดด้วยความรังเกียจที่หน้าประตูเมือง ก่อนตามเซี่ยม่อหานไป


 


 


           พวกซื่อฮว่าสี่คนมองหน้ากัน นับว่าเป็นการยอมรับโดยนัย


 


 


           เซี่ยม่อหานอุ้มฉินเหลียนกลับมาที่เรือน พวกผิ่นจู๋สี่คนออกมารับด้วยเหงื่อโชกหน้า “ท่านโหว เราหาจนทั่วทุกพื้นที่แล้วรอบหนึ่ง แต่คุณชายเหยียนเฉินไม่อยู่เจ้าค่ะ”


 


 


           “แสดงว่าเขาออกไปแล้วจริงๆ” เซี่ยม่อหานรีบกล่าว “รีบไปตามหมอในเมืองหลินอันมา”


 


 


           “เมื่อครู่ตอนหาคุณชายเหยียนเฉิน บ่าวสี่คนได้ให้คนไปตามมาแล้ว เมืองหลินอันมีหมอที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นไปรักษาคนป่วยนอกเมือง จนป่านนี้ยังมิกลับมา อีกคนติดโรคห่า รักษาตัวเองมิได้จึงตายไปแล้ว ยังเหลืออีกเพียงคนเดียวเท่านั้น ทิงเหยียนไปตามมาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นหมอธรรมดา ด้วยอาการของท่านหญิง ถึงตามมาก็เกรงว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ตามมาดีกว่า” พวกผิ่นจู๋กล่าว


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า


 


 


           ไม่นาน หมออาวุโสคนหนึ่งกับทิงเหยียนก็กระหืดกระหอบเข้ามาในเรือน


 


 


           พวกผิ่นจู๋รีบแหวกม่านออกให้ เชื้อเชิญเข้าไปในห้อง


 


 


           เซี่ยม่อหานเห็นหมออาวุโสมาถึงก็รีบผละออกจากหน้าเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านผู้เฒ่า ต้องช่วยชีวิต


 


 


ท่านหญิงให้ได้”


 


 


           หมออาวุโสวางกระเป๋ายาลง มองฉินเหลียนก่อนแวบหนึ่งก็พลันตกใจ จากนั้นก็ประสานมือกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ข้าน้อยเป็นหมอมาครึ่งชีวิต ทราบดีว่าอาการป่วยและบาดเจ็บแบบใดที่ข้าน้อยข้าหรือช่วยมิได้ กระบี่เล่มนี้ดูแล้วแทงลงลึกเกินไป ทั้งยังเป็นตำแหน่งทรวงอก ข้าน้อยเกรงว่าจะช่วยมิได้”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           เวลานี้เซี่ยอวิ๋นจี้ก็เดินเข้ามาจากข้างนอก ข้ามธรณีประตูเข้ามา บังเอิญได้ยินหมออาวุโสกล่าวเช่นนี้พอดี จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าแค่มองประเมินเท่านั้น ยังไม่ทันตรวจชีพจรไฉนถึงมั่นใจนักว่าช่วยไม่ได้ ไม่แน่ว่าหัวใจของนางอาจเอนเอียงก็เป็นได้ เจ้าเด็กน้อยคนนี้มีจิตใจไม่ชอบธรรม ไม่แบ่งแยกขาวดำ ไม่แบ่งแยกดีเลว หากไม่ใช่ว่ามีจิตใจเอนเอียง ไฉนถึงเอาแต่มีความคิดไม่ชอบธรรมและเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้”


 


 


           “อวิ๋นจี้” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ห้ามปรามอย่างจนปัญญา “ยามใดแล้วยังพูดจาหยาบคาบอีก” พูดจบก็หันไปกล่าวกับหมออาวุโส “คำพูดของน้องชายข้าคนนี้แม้ไม่เข้าหูแต่ก็มีเหตุผล ท่านลองตรวจชีพจรดึงกระบี่ดูก่อน ไม่แน่ว่าอาจช่วยได้”      


 


 


           “เช่นนั้นก็ได้” หมออาวุโสก้าวขึ้นมาตรวจชีพรให้ฉินเหลียน สักพักใหญ่ก็เปลี่ยนไปตรวจชีพจรอีกข้างหนึ่ง ผ่านไปอีกสักพักเขาก็ปล่อยมือออก มองดูกระบี่ที่หน้าอกฉินเหลียนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็เลื่อนมือเข้าใกล้ส่วนที่ถูกกระบี่ปักคาอยู่เชื่องช้า คว่ำมืออยู่พักหนึ่งก็พลันแสดงสีหน้าดีใจ หันกลับมาประสานมือกล่าวกับ


 


 


เซี่ยม่อหานและเซี่ยอวิ๋นจี้ “ท่านโหว จริงดังที่คุณชายท่านนี้กล่าว หัวใจของท่านหญิงเอียงหนึ่งชุ่นจริงๆ ข้าน้อยมั่นใจว่าจะช่วยนางได้ห้าส่วน แต่ถึงอย่างไรวิชาแพทย์ของข้าน้อยก็ไม่เชี่ยวชาญพอ เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นบนกายท่านหญิง”


 


 


           เขาพูดจบ เซี่ยอวิ๋นจี้ก็ตาถลนอ้าปากค้าง เดิมเขาแค่พูดส่งๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นจริงดังที่พูด 

 

 


ตอนที่ 90-1 ล้อมคอกก่อนวัวหาย

 

 


 


           กระบี่ปักลงกลางหน้าอกของฉินเหลียน ทว่าหัวใจของนางดันเอียงหนึ่งชุ่นพอดี หมายความว่ามิได้บาดเจ็บถึงชีพจรหัวใจ


 


 


           ขอเพียงไม่บาดเจ็บถึงชีพจรหัวใจ เช่นนั้นก็ยังช่วยชีวิตได้


 


 


           “ขอแค่ช่วยชีวิตได้ ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เป็นเรื่องเล็ก ใช้ยาชั้นเยี่ยมค่อยๆ รักษาแผลเป็นให้จางลงก็ย่อมได้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าชีวิตแล้ว” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ประสานมือกล่าวกับหมออาวุโสด้วยความดีใจ


 


 


           หมออาวุโสพยักหน้า “ข้าน้อยเพิ่งพูดไปว่ามั่นใจเพียงห้าส่วน หาก…”


 


 


           “หมอรักษาคนไข้ย่อมพูดเหลือสามส่วนไว้ถ่อมตนเป็นธรรมดา เจ้าบอกว่ามั่นใจห้าส่วน หมายความว่าที่จริงแล้วมั่นใจถึงแปดส่วน ในเมื่อมั่นใจถึงแปดส่วน เช่นนั้นก็รักษาชีวิตไว้ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือสั่งด้วยความรำคาญใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังมัวไร้สาระทำไมอีก รีบลงมือเถอะ”


 


 


           คำพูดของหมออาวุโสถูกกักในลำคอ กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกครู่หนึ่ง ทำได้เพียงมองเซี่ยอวิ๋นจี้


 


 


           “เจ้ามัวมองข้าทำไม รีบช่วยนางสิ” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกมือสั่ง


 


 


           หมออาวุโสหันกลับมาอย่างจำใจ คารวะเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ท่านหญิงยังมิได้ออกเรือน ตัวข้าเป็นหมอ ยามรักษาคนไข้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ท่านกับคุณชายอวิ๋นจี้…”


 


 


           “ข้าก็ไม่อยากอยู่ที่นี่สักเท่าไรหรอก นางมีอันใดน่ามองกัน ข้าไปล่ะ” เซี่ยอวิ๋นจี้หันหลังเดินออกไป


 


 


           “ท่านผู้เฒ่าต้องการผู้ช่วยหรือไม่ ข้าจะให้สาวใช้สองคนเข้ามาช่วยงาน” เซี่ยม่อหานประสานมือกล่าว


 


 


           “ทางที่ดีควรเป็นคนมีวิทยายุทธ์ จะได้ช่วยข้าดึงกระบี่ได้” หมออาวุโสกล่าว


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้า ก่อนเดินออกมานอกห้องแล้วเอ่ยบอกผิ่นจู๋กับผิ่นชิงที่เฝ้าอยู่ข้างนอก “เจ้าสองคนเข้าไปข้างใน ช่วยท่านหมอดึงกระบี่ให้ท่านหญิง ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้ผิดพลาดเป็นอันขาด”


 


 


           “เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋กับผิ่นชิงเข้าไปในห้อง


 


 


           “หวังว่าท่านหมอจะช่วยท่านหญิงได้” เซี่ยม่อหานมองฟ้าอธิษฐาน


 


 


           “นางดวงแข็งนัก ไม่ตายหรอก” เซี่ยอวิ๋นจี้ยกแขนขึ้นดม ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความรังเกียจ “รับเจ้าเด็กบ้าคนนี้ไว้ทำเอาตัวข้าเหม็นกลิ่นเลือดไปหมด กลิ่นชวนอ้วกยิ่งนัก หาห้องให้ข้าพักหน่อย ข้าอยากอาบน้ำ”


 


 


           “ทิงเหยียน เจ้านำทางคุณชายอวิ๋นจี้ไปพักข้างห้องข้า สั่งคนต้มน้ำมาให้เขาอาบด้วย” เซี่ยม่อหานสั่งงานทิงเหยียน


 


 


           “แล้วท่านเล่า ท่านไม่กลับหรือ” ทิงเหยียนขานรับ


 


 


           “ข้าจะรอตรงนี้ก่อน มั่นใจว่าท่านหญิงปลอดภัยแล้วค่อยกลับ” เซี่ยม่อหานยกมือไล่


 


 


           ทิงเหยียนพยักหน้าแล้วเดินนำทางเซี่ยอวิ๋นจี้ไปยังห้องพักข้างห้องเซี่ยม่อหาน


 


 


           เซี่ยม่อหานรอหน้าห้อง


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ผิ่นจู๋ก็เดินออกมาด้วยความรีบร้อน


 


 


           “ไฉนถึงออกมาแล้ว” เซี่ยม่อหานรีบถาม


 


 


           “บ่าวไปนำน้ำสะอาด” ผิ่นจู๋ตอบ


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วบอก “รีบไปเถอะ” ก่อนสั่งงานผิ่นเซวียนกับผิ่นเหยียนที่รออยู่ข้างนอกกับตน “เจ้าสองคนก็รีบไปตักน้ำสะอาดมาด้วย”


 


 


           ทั้งสองขานรับพร้อมเพรียง


 


 


           ไม่นานทั้งสามคนก็ยกน้ำสะอาดสามอ่างเข้าไปในห้อง ผ่านไปพักหนึ่งก็ยกน้ำเปื้อนเลือดสามอ่างออกมา น้ำเปื้อนเลือดแดงฉานอย่างยิ่ง เห็นแล้วชวนตกอกตกใจนัก


 


 


           เซี่ยม่อหานเม้มปากแน่น ยืนรอหน้าห้อง ไม่ส่งเสียงใดทั้งนั้น


 


 


           นำน้ำสะอาดเข้าไป ออกมาด้วยน้ำเลือดเช่นนี้ หลังไปกลับได้ราวสามสี่รอบก็ไม่มีน้ำเลือดถูกยกออกมาอีกแล้ว


 


 


           ผิ่นจู๋สาดน้ำเลือดออกแล้ววกกลับมาที่ประตู เห็นใบหน้าซีดขาวของเซี่ยม่อหานก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านโหว ท่านวางใจเถิด เมื่อครู่ท่านหมอบอกว่าดึงกระบี่ออกได้ราบรื่น ท่านหญิงพ้นขีดอันตรายแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็เบาใจลง


 


 


           ผิ่นจู๋กลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง


 


 


           เวลาสองถ้วยชาถัดมา หมออาวุโสก็เดินออกมาจากข้างใน ยกมือซับเหงื่อบนหน้าผากก่อนประสานมือกล่าวกับเซี่ยม่อหาน “ท่านโหว ข้าน้อยมิทำให้ผิดหวัง ช่วยท่านหญิงพ้นขีดอันตรายแล้ว ลำดับต่อไปต้องคอยดูว่าหากท่านหญิงไม่มีไข้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว รอรักษาบาดแผลให้หายดีก็พอ”


 


 


           “ขอบคุณท่านหมอมาก” เซี่ยม่อหานโค้งตัวขอบคุณ ก่อนเอ่ยขอร้องจากใจจริง “ในจวนหลังนี้ไม่มีหมออยู่เลยสักคน ขอให้ท่านอยู่ที่จวนก่อนได้หรือไม่ จะได้ติดตามอาการป่วยของท่านหญิงได้ตลอดเวลา ขอเพียงท่านหญิงปลอดภัยดี ฝ่าบาทและฮองเฮาในวังหลวง ท่านอ๋อง พระชายา รัชทายาท ท่านอ๋องน้อยเจิง รวมถึงข้าล้วนรู้สึกขอบคุณยิ่ง”


 


 


           “ท่านโหวกล่าวหนักไปแล้ว กู้ชีพประคองอาการบาดเจ็บเดิมเป็นหน้าที่ของหมอ ถึงแม้ท่านโหวไม่ขอร้อง ระหว่างท่านหญิงยังไม่หายดี ข้าน้อยก็ตัดสินใจแล้วเช่นกันว่าจะอยู่ดูอาการท่านหญิงก่อน เมื่อท่านหญิงปลอดภัยดีแล้วค่อยกลับไป” หมออาวุโสรีบกล่าว


 


 


           “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก” เซี่ยม่อหานหันกลับมาสั่งงานผิ่นจู๋ “รีบไปจัดหาห้องว่างในเรือนให้ท่านหมอพัก”


 


 


           “เจ้าค่ะ ท่านโหว” ผิ่นจู๋ย่อตัวให้หมออาวุโส “เชิญตามข้ามา”


 


 


           หมออาวุโสพยักหน้า เช็ดเหงื่อพลางเดินตามผิ่นจู๋ไป


 


 


           เซี่ยม่อหานมองส่งหมออาวุโสจนลับตา เห็นทิงเหยียนกลับมาแล้วก็เอ่ยถาม “จัดห้องพักให้อวิ๋นจี้เรียบร้อยแล้วหรือ”


 


 


           ทิงเหยียนพยักหน้า ก่อนบ่นอุบ “คุณชายอวิ๋นจี้เอาใจยากนัก เกิดมาในตระกูลเซี่ยเหมือนกันแท้ๆ ท่านเกิดมาในจวนจงหย่งโหว เขาแค่เกิดมาในจวนโรงเก็บเกลือ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเรื่องมากยิ่งกว่าท่านเสียอีก ปัญหามากนัก น้ำร้อนเกินน้ำเย็นไปก็มิได้ ต้องปรับให้ได้อุณหภูมิที่พอดีเท่านั้น ลำพังมาตัวเปล่า มิได้นำเสื้อผ้ามาด้วย ข้าจึงหาเสื้อผ้าเก่าของท่านไปให้ แต่เขาก็ยืนกรานไม่ยอมสวมใส่ ต้องให้ข้านำตัวใหม่มาเท่านั้น ในเมืองมีแต่โรคห่าระบาด ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าล้วนปิดร้านเงียบ ไหนเลยยังมีร้านขายเสื้อผ้าใหม่ ด้วยความจนปัญญา ข้าจึงได้แต่นำเสื้อผ้าใหม่ของท่านให้เขา”


 


 


           เซี่ยม่อหานฟังจบก็เบิกบานใจ บอกทิงเหยียนว่า “เจ้ารู้แค่เขาเกิดมาในจวนโรงเก็บเกลือ กลับไม่รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา เขาเป็นบุตรชายของเซี่ยเฟิ่งท่านป้าของข้ากับฮ่องเต้เป่ยฉี เพียงฝากฝังให้จวนโรงเก็บเกลือเลี้ยงดูเท่านั้น เจ้าว่าด้วยฐานะนี้สมควรที่จะเรื่องมากเช่นนี้หรือไม่”


 


 


           ทิงเหยียนตะลึงตาค้าง “มิน่าเล่า” พูดจบก็เกาศีรษะ “ฐานะของคุณชานอวิ๋นจี้ถูกปิดเป็นความลับตลอดมากระมัง ไฉนท่านโหวถึงบอกข้าเช่นนี้ หากข้าสติฟั่นเฟือนหลุดปากพูดออกไปขึ้นมาเล่า จะทำเช่นไร”


 


 


           “ตอนนี้สถานการณ์บีบบังคับ ราชสำนักหนานฉินกับตระกูลเซี่ยมิได้ไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟอีกแล้ว สถานการณ์ไม่เหมือนวันวานแล้ว อวิ๋นจี้กลับมาจากเป่ยฉีครั้งนี้ แม้ข้ายังไม่มีเวลาพูดคุยกับเขา แต่ก็ทราบดีว่าการประกาศฐานะของเขาให้ทุกคนทราบเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว จะเร็วหรือช้าก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อีกอย่างรัชทายาท ฉินเจิง คนไม่น้อยก็ทราบเป็นการส่วนตัวแล้วเช่นกัน” เซี่ยม่อหานกล่าว


 


 


           “โชคดีที่หนานฉินของเราปรองดองกับเป่ยฉีมาตลอด” ทิงเหยียนกะพริบตาปริบ


 


 


           “ปรองดอง…” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ ทันใดนั้นก็กล่าวเสียงต่ำ


 


 


           “ท่านโหวเป็นอันใดไป ข้าพูดผิดหรือ” ทิงเหยียนมองเซี่ยม่อหาน เห็นว่าเขามีสีหน้าแปลกไปก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


           “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าคำว่าปรองดองนั้นฟังดูแปลกพิกล หนานฉินกับเป่ยฉีไม่ได้ปรองดองกันเหมือนอย่างฉากหน้า ท่านป้าข้าออกเรือนไปยังเป่ยฉี ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอน ช่วยฮ่องเต้เป่ยฉีปกครองในฐานะฮองเฮา ย่อมไม่ปรารถนาเห็นสงครามระหว่างสองดินแดน ทว่าองค์ชายรองแห่งเป่ยฉีไม่ได้คิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ท่านป้าป่วยหนักแต่ก็ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ต่อมาฉีเหยียนชิงก็เดินทางมาหนานฉินเมื่อหลายเดือนก่อนโดยมีแผนการลับ แม้ต่อมาจะถูกฉินเจิงใช้ประโยชน์กลับ แต่ก็เป็นเพียงการประลองฝีมือระหว่างรัชทายาทกับฉินเจิงเท่านั้น ส่วนการปรองดองนั้น หากฉีเหยียนชิงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทครองบัลลังก์จักรพรรดิแห่งเป่ยฉี เกรงว่าจะเกิดสงครามในใต้หล้า” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า


 


 


           “ไม่หรอกกระมัง” ทิงเหยียนเบิกตากว้าง


 


 


           “เรื่องนี้ไหนเลยจะบอกได้แน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้ในหนานฉินเกิดความวุ่นวาย ทั้งในและนอกเมืองไร้ความเป็นระเบียบ ข้าติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ผู้บัญชาการรักษาพรมแดนม่อเป่ยยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง หากฉวยโอกาสนี้ก่อความวุ่นวายขึ้น อีกทั้งอวิ๋นจี้กลับมาที่หนานฉินแล้ว เช่นนั้นหากฉีเหยียนชิงลอบกระทำการบางอย่าง อนาคตไม่อาจคิดในแง่ดีได้เลย” เซี่ยม่อหานพูดจบก็พลันตะโกนขึ้น “ผิ่นจู๋”


 


 


           “ท่านโหว” ผิ่นจู๋รีบเดินออกมาจากข้างใน


 


 


           “ในเมื่อท่านหญิงปลอดภัยข้าก็ไม่เข้าไปดูนางแล้ว เจ้ากับผิ่นเซวียน ผิ่นชิง และผิ่นเหยียนเฝ้าที่นี่ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องใดขึ้นอีก หากท่านหญิงฟื้นแล้วก็ไปตามท่านหมอมา” เซี่ยม่อหานสั่งงาน


 


 


           “เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋รับคำ


 


 


           เซี่ยม่อหานเดินไปยังห้องพักของเซี่ยอวิ๋นจี้


 


 


           ทิงเหยียนฉงนใจว่าไฉนท่านโหวพูดพลางถึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาร้อนรนขึ้นมาก็ไม่เข้าใจ แต่มีลางสังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวข้องกับเซี่ยอวิ๋นจี้จึงรีบเดินตามเขาไปด้วย


 


 


           เซี่ยม่อหานเดินมาถึงห้องของเซี่ยอวิ๋นจี้ด้วยความรีบร้อน ก่อนยกมือเคาะประตู


 


 


           “ผู้ใด” เซี่ยอวิ๋นจี้ถามอย่างเกียจคร้าน


 


 


           “ข้าเอง”


 


 


           “เจ้าเด็กบ้านั่นปลอดภัยแล้วรึ ไฉนเจ้าถึงมาหาข้าไวถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่านางไม่รอด ให้ข้าคิดหาวิธีการอื่น ข้าไม่มีวิธีใดให้คิดแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย


 


 


           “ไม่ใช่ เจ้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า เป็นเรื่องสำคัญ” เซี่ยม่อหานพูดเน้นย้ำด้วยใบหน้าจริงจัง


 


 


           “ในเมื่อเจ้ามีเรื่องจะคุยด้วย ข้าก็ไม่อาบน้ำต่อแล้ว รอสักครู่” เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน


 


 


           “ได้” เซี่ยม่อหานพยักหน้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม