ชายาเคียงหทัย 88.1-89.3

ตอนที่ 88-1 สงครามปะทุ

 

        “คุณชายหาน…พวกท่านรื้อฟื้นอดีตกันพอหรือยัง หากยังไม่ลงมือ อีกเดี๋ยวคนของตำหนักติ้งอ๋องมาถึงก็คงสายไปแล้ว” เสียงไม่พอใจของบัณฑิตขี้โรคดังขึ้นที่ด้านหลัง


 


           หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมทั้งยื่นมือไปดึงกริชที่ปักอยู่บนหัวไหล่ออก บาดแผลบนหัวไหล่ทำให้เขาอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ เขามองหน้าหานหมิงซีนิ่งแล้วพูดว่า “หมิงซี เจ้าหลบไปยืนทางนู้น อย่ามาขวางทางเวลาข้าลงมือ”


 


หานหมิงซีกัดฟัน ฝืนยืดตัวยืนขึ้นมาขวางหน้าเยี่ยหลี “เจ้าอยากลงมือกับนางก็ย่อมได้ แต่จัดการข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”


 


หานหมิงเย่ว์มิได้พูดอันใดให้มากความอีก เขายื่นมือจับเข้าที่หัวไหล่ของหานหมิงซีทันที


 


หานหมิงซีที่เมื่อครู่เพิ่งถูกทำร้ายมา ถึงแม้ในตอนท้ายหานหมิงเย่ว์จะดึงกำลังภายในกลับได้ทัน แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บพอควร ตอนนี้เขายกมือซ้ายขึ้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และเดิมทีเขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ของหานหมิงเย่ว์อยู่แล้ว


 


เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังหานหมิงซียื่นมือไปดึงคนที่ขวางหน้านางก่อนผลักเขาออกไป อีกมือก็ไม่ลืมที่จะรับการโจมตีของหานหมิงเย่ว์ไปด้วย ถึงแม้กำลังภายในของเยี่ยหลีจะไม่ดีนัก แต่นางเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะประชิดเป็นอย่างมาก กระบวนท่ามิได้ดูแพรวพราว แต่ทุกครั้งที่กริชในมือนางสะท้อนประกายขึ้น จะต้องมีรอยเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้างปรากฏขึ้นทุกครั้ง


 


การต่อสู้ที่หมายเอาชีวิตในทุกก้าวเช่นนี้ทำให้หานหมิงเย่ว์อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ระหว่างที่เขาปัดการโจมตีไปเรื่อยๆ นั้น ตัวเขาก็ร่นถอยหลังไปหลายจั้ง “ไม่ได้เจอกันเกือบปี ไม่คิดว่าฝีมือของพี่สะใภ้จะก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วเช่นนี้” หากจะว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เยี่ยหลีสามารถจัดการเขาได้เป็นเพียงความบังเอิญแล้วล่ะก็ ครั้งนี้คงถือได้ว่าทั้งสองต่างใช้วิทยายุทธ์เข้าต่อสู้กันจริงๆ


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคงไม่อาจกล้าให้ท่านเรียกว่าพี่สะใภ้ คุณชายหาน ข้าทำการค้ากับเทียนอี้เก๋ออย่างเปิดเผย แต่วันนี้ท่านเพียงหันหน้าก็ขายข้าให้กับคนอื่นเสียแล้ว นี่เป็นวิถีการทำการค้าของท่านหรือ หรือว่าเทียนอี้เก๋ออยู่ได้เพราะการทรยศลูกค้า”


 


สีหน้าหานหมิงเย่ว์ยังคงจริงใจและใสซื่อเหมือนที่ผ่านมา “พระชายายังคงฉลาดเฉลียวเช่นที่ผ่านมา ในโลกนี้…มักมีหลายๆ เรื่องที่เราเลือกไม่ได้ ถึงแม้ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ มิใช่หรือ”


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “หากตอนนี้ม่อซิวเหยาอยู่ที่นี่ ท่านคิดว่าจะบอกว่ามันเป็นเพียงการเข้าใจผิดอีกครั้งหรือไม่”


 


หานหมิงเย่ว์เพียงยิ้มมิได้กล่าวอันใด


 


บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็นขึ้น “หากตอนนี้ม่อซิวเหยาอยู่ที่นี่ ก็จะได้ตายไปเป็นเพื่อนเจ้าพอดีน่ะสิ!”


 


           เยี่ยหลีหันหน้าไปมองบัณฑิตขี้โรคที่ดูพร้อมจะเข้าโจมตี นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ข้าขอบอกท่านว่าท่านอย่าได้ผลีผลามทำอันใดจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าคงมิรู้จะพูดกับท่านเจ้าสำนักหลิงว่าอย่างไร”


 


บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็นด้วยความโกรธ หมายจะก้าวขึ้นหน้ามาเพื่อพูดบางอย่าง แต่เกิดเสียงสวบดังขึ้น พร้อมกับลูกธนูที่ยินเฉียดตัวเขาทั้งซ้ายและขวาต่อกันสองดอก ก่อนไปปักลงบนพื้นที่ห่างจากตัวเขาไปมีถึงหนึ่งฉื่อ


 


สีหน้าของบัณฑิตขี้โรคเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ได้ยินเพียงเสียงเยี่ยหลีพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเคยบอกท่านหัวหน้าสำนักสามไว้แล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ชอบความเสี่ยง”


 


           เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของบัณฑิตขี้โรค หานหมิงเย่ว์จึงหัวเราะเสียงต่ำ “พี่สะใภ้ ท่านไม่จำเป็นต้องขู่พวกเราหรอก องครักษ์ลับทั้งหลายถูกข้าหลอกไปทางอื่นกันหมดแล้ว ตอนที่ท่านรีบร้อนเข้ามานี้ คงมีผู้ติดตามมาเพียงสองสามคนเท่านั้น”


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยังมีกันสามคน แต่คุณชายหมิงเย่ว์ ท่านเล่า”


 


           หานหมิงซีที่นั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงดังขึ้นว่า “มิใช่สามคน แต่เป็นสี่คน” เห็นได้ชัดว่าเขาแน่วแน่ที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่ชายของตนเอง


 


           หานหมิงเย่ว์มิได้สนใจน้องชายของตน เขายิ้มน้อยๆ จ้องหน้าเยี่ยหลี “ที่เมืองหลวงคราก่อน พระชายาทำให้ข้าน้อยต้องมองท่านใหม่ แต่ครานี้กลับยิ่งน่าตกใจเข้าไปใหญ่ ท่านที่เป็นถึงพระชายาแห่งติ้งอ๋อง แต่กลับแต่งกายเป็นชายเดินทางมาหนานเจียงแต่เพียงคนเดียว เชื่อว่าเรื่องน่าสนุกที่เกิดขึ้นในวังนั่นก็คงเป็นฝีมือท่านด้วยกระมัง”


 


เยี่ยหลีตอบเรียบๆ ว่า “ที่คุณชายหมิงเย่ว์สามารถสร้างละครฉากหนึ่งขึ้นได้ในวันนี้ เชื่อว่าคงมาอยู่ที่หนานจ้าวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เหตุใดต้องเอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วด้วยหรือ”


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น “บังเอิญเท่านั้นเอง หากข้ารู้ก่อนว่าพระชายาอยู่ที่นี่ด้วย ข้าน้อยจะต้องเตรียมการให้รอบคอบกว่านี้เป็นแน่ คงไม่ประมาทถึงเพียงนี้”


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เช่นนั้น คุณชายหมิงเย่ว์คิดว่าวันนี้ท่านจะฆ่าข้าได้หรือไม่หรือ”


 


           หานหมิงเย่ว์สายหน้าพร้อมหัวเราะเสียงดัง “พระชายาท่านเข้าใจผิดแล้ว มีพระชายาติ้งอ๋องอยู่ในมือสามารถทำอันใดได้ตั้งมากมาย หากฆ่าท่านเสียแต่ตอนนี้คงหมดเรื่องน่าสนุกไปเยอะทีเดียวมิใช่หรือ”


 


           “หานหมิงเย่ว์!” บัณฑิตขี้โรคร้องเรียกขึ้นด้วยความไม่พอใจ ที่เขายอมทำตามแผนการของหานหมิงเย่ว์ก็เพื่อฆ่าภรรยาของม่อซิวเหยาทิ้งเสีย ตอนนี้หานหมิงเย่ว์หมายความเช่นไรกัน สายตาที่มืดครึ้มและเย็นเยียบจ้องมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า หากเขากล้าหลอกใช้ตนแล้วไม่ยอมทำตามที่ลั่นวาจาไว้ล่ะก็ เขาจะทำให้รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตขี้โรคถึงเป็นบุคคลที่คนทั้งยุทธภพมิมีผู้ใดกล้าล่วงเกิน


 


หานหมิงเย่ว์หันมองบัณฑิตขี้โรคแล้วหัวเราะขึ้นเรียบๆ “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ตอนนี้ยังฆ่าพระชายาติ้งอ๋องมิได้จริงๆ ถึงแม้ท่านหัวหน้าหน่วยสามจะเป็นคนซีหลิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของต้าฉู่ตลอดครึ่งปีมานี้ท่านคงพอได้ยินมาบ้างใช่หรือไม่ หากพวกเราฆ่าพระชายาติ้งอ๋องตอนนี้ เกรงว่าไม่ว่าข้าหรือท่านคงหนีไม่พ้นการตามฆ่าจากตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่”


 


           บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ากลัวหรือ ข้าไม่กลัวหรอกนะ” หากว่ากันด้วยเรื่องฆ่าคนแล้ว มีผู้ใดเชี่ยวชาญไปกว่าสำนักเยี่ยนอ๋องอีกหรือ


 


           หานหมิงเย่ว์ได้แต่ก้มหน้าลงหัวเราะขื่นๆ “ข้านึกกลัวอยู่บ้างจริงๆ ท่านหัวหน้าหน่วยสาม วันนี้ข้าจะพาตัวพระชายาติ้งอ๋องไปก่อน หากต่อไปท่านหัวหน้าหน่วยสามมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ช่วยเหลือ หานหมิงเย่ว์จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน อีกอย่าง…คนที่มีความแค้นกับท่านคือม่อซิวเหยา มิใช่ภรรยาของเขา หากท่านฆ่านาง อย่างมากก็เพียงทำให้ม่อซิวเหยาเสียหน้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความเจ็บปวดใดๆเลย”


 


เยี่ยหลีมองจ้องหานหมิงเย่ว์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ นางหัวเราะเสียงเย็นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหมิงเย่ว์ เวลาที่ท่านพูดว่าจะจับตัวผู้ใด ท่านควรแน่ใจก่อนว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือไม่มิใช่หรือ ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ทางที่ดีท่านอย่าได้รับปากอันใดกับคนทำการค้าเลย ดูข้าตอนนี้สิ นอกจากจะต้องชดเชยด้วยเงินแล้ว ยังถูกเขาจับมาขายอีกด้วย”


 


           หานหมิงเย่ว์หัวเราะน้อยๆ “ขอโทษด้วยพระชายา คนที่รับเงินท่านคือหานหมิงซี เขามิได้ส่งเงินให้เทียนอี้เก๋อเลยแม้แต่แดงเดียว ดังนั้นครั้งนี้อย่างมากก็เพียงพูดได้ว่าเขาใช้ประโยชน์จากเทียนอี้เก๋อในการทำเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ข้ามีสิทธิ์ทำเช่นนั้นหรือไม่นั้น…” หานหมิงเย่ว์ยกมือขึ้น ก็มีเสียงบางอย่างแตกดังขึ้นบนฟ้า บนฟ้าที่ยังสว่างไสวเห็นมีลูกไฟลอยขึ้นไป


 


เยี่ยหลีเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงคนและม้าจำนวนมากกำลังวิ่งเข้ามาจากรอบทิศทาง “ตอนนี้พระชายายังมีอันใดจะพูดอีกหรือไม่”


 


           เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม ยกมือขึ้นส่งสัญญาณมือสองครั้ง “ดูท่าข้าคงทำได้เพียงรอให้ถูกจับแล้ว”


 


           “พระชายาช่างหลักแหลมนัก” หานหมิงเย่ว์มองสัญญาณมือที่ดูประหลาดตาของเยี่ยหลี ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสายตาที่จ้องเขาอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว คิดว่าน่าจะหมายถึงให้ล่าถอยไป “ทุกครั้งที่ได้พบหน้าท่าน ความคิดอ่านและความใจกล้าของพระชายามักทำให้ข้าน้อยประหลาดใจเสมอ”


 


           เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงท่านควรจะประหลาดใจในความโชคดีของข้าเสียมากกว่า”


 


           แววตาของหานหมิงเย่ว์นิ่งไป จ้องมองนางด้วยความระมัดระวัง คนของเทียนอี้เก๋อค่อยๆ รายล้อมเข้ามา หานหมิงเย่ว์จ้องมองนางอยู่พักใหญ่จึงค่อยผ่อนคลายลง มีคนจำนวนมากเช่นนี้รายล้อมอยู่ ต่อให้เยี่ยหลีมีปีกก็อย่าได้คิดบินหนีเลย อีกอย่างด้วยสายตาของเขาและข้อมูลจากบัณฑิตขี้โรค หานหมิงเย่ว์จะไม่รู้ได้อย่างไรว่า วิชาตัวเบาและกำลังภายในของเยี่ยหลีนั้นไม่ถือว่าดีสักเท่าไร


 


เยี่ยหลีหันมองรอบตัวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีความตื่นตระหนกให้เห็นแม้แต่น้อย


 


“พี่สะใภ้ ข้ากับซิวเหยาเป็นสหายกัน ท่านคงไม่อยากให้ข้าต้องเสียมารยาทใช่หรือไม่ ท่านจะเดินไปเอง หรือ…” หานหมิงเย่ว์มองเยี่ยหลีพร้อมหัวเราะด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


 


           คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วจึงส่ายหน้า “อันที่จริงท่านลืมเรื่องที่ท่านเป็นสหายกับม่อซิวเหยาไปเลยก็ยังได้ ยิ่งท่านพูดถึงเรื่องนี้เท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจท่านเท่านั้น”


 


           หานหมิงเย่ว์หัวเราะ “ต่อให้ท่านรังเกียจข้าเพียงใด แต่ก็มิอาจแก้ไขความจริงที่ว่าข้ากับซิวเหยาเคยเป็นสหายรักประหนึ่งพี่น้องกันมาก่อนได้นี่”


 


           “ท่านก็พูดเองว่า เคย” เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะหันไปกลอกตาใส่เขา หานหมิงเย่ว์ผู้นี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร ด้านหนึ่งก็หวนนึกถึงอดีตที่เคยคบหากัน แต่อีกด้านหนึ่งก็คอยแต่จะทำลายความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างเต็มที่ ปากเอาแต่พูดถึงเรื่องที่เคยคบหาสมาคมกับม่อซิวเหยา แต่ถึงเวลาลงมือกลับไม่เคยออมมือเลย เอาเถิด…คราวที่แล้วเขาออมให้แล้วทีหนึ่ง เพียงแต่ม่อซิวเหยาเองก็ออมมือให้เช่นกันมิใช่หรือ “คุณชายหาน ครั้งนี้ท่านคงมิได้มาหาเรื่องข้าเพื่อผู้ใดอีกหรอกกระมัง”


 


           หานหมิงเย่ว์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เขาบอกเจ้าแล้วหรือ!”


 


           “จำเป็นต้องบอกด้วยหรือ ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแต่…หลังจากเกิดเรื่องม่อซิวเหยาได้รับปากข้าเรื่องหนึ่ง ท่านอยากฟังหรือไม่”


 


           สีหน้าที่สง่างามของหานหมิงเย่ว์ดูแข็งไปเล็กน้อยแล้วจึงค่อยยิ้มบางๆ “ข้ารอฟังอยู่”


 


           “ข้าไม่นิยมการตอบแทนความแค้นด้วยบุญคุณ ข้าเดาว่าม่อซิวเหยาเองก็เช่นกัน ดังนั้น คราก่อนจึงถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”


 


           หานหมิงเย่ว์ฝืนหัวเราะ “ดูท่าซิวเหยาจะให้ความสำคัญกับพี่สะใภ้มากทีเดียว เช่นนั้น…หากมีพี่สะใภ้อยู่ในมือ เชื่อว่าเขาคงลงมือกับพวกเราด้วยความเกรงใจ”


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อคุณชายหมิงเย่ว์ได้เปิดเผยไพ่ตายในมือแล้ว เช่นนั้นมาดูหมากในมือข้าบ้างดีหรือไม่”


 


หานหมิงเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”


 


คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย นางยกมือขึ้นผิวปากเสียงแหลมเล็ก ท้องฟ้าห่างจากจุดที่คนของเทียนอี้เก๋อล้อมอยู่ไม่ไกล มีดอกไม้ทาสีดำดอกหนึ่งพุ่งขึ้นมา จากนั้นไกลออกไปอีกหนอ่ยก็มีลูกไฟสีดำพุ่งขึ้นฟ้าเช่นเดียวกัน แล้วจึงมีเสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


หานหมิงเย่ว์เงี่ยหูฟัง สีหน้ามีแววสั่นไหว “หน่วยเฮยอวิ๋นฉี…เฮยอวิ๋นฉีมาอยู่ที่หนานเจียงได้อย่างไร!”


 

 

 


ตอนที่ 88-2 สงครามปะทุ

 

เมื่อได้ยินชื่อเฮยอวิ๋นฉี ไม่เพียงหานหมิงเย่ว์เท่านั้น แม้แต่บัณฑิตขี้โรคและคนของเทียนอี้เก๋อต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจด้วยกันทุกคน เป็นที่รู้กันดีว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นกองกำลังที่ดีเยี่ยมที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง กองกำลังทหารของตระกูลม่อคอยกวาดล้างอุปสรรคทุกอย่างภายในสนามรบ ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้เองที่เป็นกองกำลังแนวหน้า ที่คอยบุกโจมตีเข้าห้ำหั่นกับศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกครั้ง หากถูกกองกำลังทหารเช่นนี้ล้อมไว้จริง อย่าว่าแต่คนของเทียนอี้เก๋อที่เขาเรียกให้มารวมตัวกันอย่างรีบร้อนเลย ต่อให้เป็นกองกำลังของเทียนอี้เก๋อทั้งหมดรวมกับสำนักเยี่ยนอ๋องก็คงไม่มีโอกาสชนะได้


 


คนที่ตกใจกับเรื่องนี้เช่นกันคือเยี่ยหลี ก่อนหน้านี้นางเพียงเรียกรวมองครักษ์ลับที่อยู่ในหนานเจียงเท่านั้น ซึ่งในกลุ่มนั้นไม่มีคนของเฮยอวิ๋นฉีอยู่ด้วย อันที่จริงนางไม่รู้มาก่อนว่าที่หนานเจียงมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่


 


           หานหมิงเย่ว์กัดฟันกรอด ก่อนพุ่งตัวเข้าใส่เยี่ยหลี เมื่อได้เข้ามาอยู่ในวงล้อมของเฮยอวิ๋นฉี พวกเขาไม่มีทางหนีออกไปได้อีก แผนการตอนนี้คงทำได้เพียงจับตัวเยี่ยหลีไว้ให้ได้ แล้วค่อยหาทางต่อรองหนีออกไปเท่านั้น เพียงแต่ เยี่ยหลีเป็นคนที่ให้จับตัวได้ง่ายเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด


 


เมื่อทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน เสื้อบริเวณคอเสื้อของหานหมิงเย่ว์ก็ฉีกขาดเป็นแนวทันที ยังดีที่เขาหลบได้ไวจึงไม่บาดเจ็บถึงเนื้อ หากเป็นการประลองวิทยายุทธ์ทั่วไป เมื่อต่อสู้กันนานเข้าด้วย จะต้องเป็นเยี่ยหลีที่พ่ายแพ้เนื่องจากกำลังภายในที่ไม่เพียงพอ แต่หากสู้กันถึงตายแล้ว เยี่ยหลีมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ได้มาจากการฝึกฝนอย่างทรหดมาในสนามรบและการฝึกฝนสารพัดประเภท วิทยายุทธ์การต่อสู้ของนางดูจะมีประโยชน์กว่าไม่น้อย อีกอย่างเยี่ยหลีก็มิได้คิดที่จะต่อสู้กับเขาเพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะอยู่แล้ว จึงมิได้สนใจเรื่องกระบวนท่าสิบกว่ากระบวนท่านั่น


 


ชายในชุดดำที่ควบม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็วนั้นใกล้เข้ามามากแล้ว และกำลังเริ่มเข้าปะทะกับคนของเทียนอี้เก๋อ


 


           เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักที่ติดตามเรื่องข่าวสารมิใช่สำนักของนักฆ่า และก็มิใช่สำนักองครักษ์ ถึงแม้ลูกน้องของสำนักจะพอมีวิทยายุทธ์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สูงส่งนัก และถึงแม้จะมีคนที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนน้อยเต็มที


 


เมื่อเทียบกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เกิดและเติบโตมาในสนามรบและกลับมาพร้อมกับรังสีนักฆ่าที่มากล้นแล้ว เพียงแค่นี้น้ำหนักก็เอนเอียงไปทางเฮยอวิ๋นฉีมากกว่าแล้ว อีกทั้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขามุ่งเป้ามาที่ศัตรูผู้ที่เป็นเป้า หมายจะเอาชีวิตตั้งแต่ยังไม่ลงจากหลังม้า


 


คนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองคนกระโดดออกจากหลังม้าลงมายืนข้างๆ เยี่ยหลี พร้อมพุ่งตัวเข้าหาหานหมิงเย่ว์ทันที เยี่ยหลีเห็นประกายกริชในมือแข็งแรงกวัดแกว่งไปมาเพื่อกันหานหมิงเย่ว์ให้ถอยห่างออกไป หานหมิงเย่ว์คิดอยากโจมตีขึ้นหน้าเข้ามาอีกแต่ก็ถูกคนของเฮยอวิ๋นฉีสองคนล้อมไว้จนมิอาจหนีไปที่ใดได้


 


บัณฑิตขี้โรคที่ยืนมองอยู่อีกด้านก็มิได้ดีไปกว่ากันนัก คนของเฮยอวิ๋นฉีต่างรู้ถึงฐานะของบัณฑิตขี้โรคเป็นอย่างดี จึงไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย แส้เส้นยาวถูกส่งออกไปทักทายบนตัวเขา องครักษ์ลับสองและสามกระโดดลงมาข้างกายเยี่ยหลี เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า


 


           “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


           องครักษ์ลับสองตอบเสียงขรึมว่า “พระชายา เกิดเรื่องแล้วขอรับ องครักษ์ลับที่มีอยู่ถูกคุณชายชิงเฉินเรียกตัวไป หน่วยเฮยอวิ๋นฉีกลุ่มนี้เดิมทีฝึกอยู่ใกล้ๆ เมืองหย่งโจว มาเพื่อรับตัวพระชายาโดยเฉพาะขอรับ”


 


           “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ถึงได้ทำให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางหลายร้อยลี้จากหย่งโจวเพื่อมารับตัวนาง เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “ม่อจิ่งหลีหรือ!”


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า “สามวันก่อนอยู่ดีๆ กองทัพเมืองหลิงโจวก็เข้าโจมตีเมืองหย่งโจว และด่านซุ่ยเสวี่ยก็ถูกกองทัพจากหนานจ้าวบุกเข้าโจมตีในเวลาเดียวกัน หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรู้ว่าตอนนี้พระชายาอยู่ที่หนานเจียง จึงได้รีบเดินทางมาเพื่อรับตัวพระชายาและคุณชายชิงเฉินไปขอรับ”


 


           เยี่ยหลีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “เหลวไหล ในเมื่อกองทัพจากแคว้นหนานจ้าวบุกเข้าโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ย แล้วเหตุใดหน่วยเฮยอวิ๋นถึงไม่ไปช่วยท่านแม่ทัพมู่หรงคุ้มกันด่านชายแดนไว้เล่า”


 


           องครักษ์ลับสองยิ้มขื่น “หน่วยเฮยอวิ๋นลงมาฝึกที่หนานเจียงอย่างลับๆ มิได้รายงานต่อฝ่าบาทไว้ก่อน หากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปปรากฏตัวที่ด่านซุยเสวี่ย เกรงว่าพระราชโองการกล่าวโทษคงได้ส่งไปที่ตำหนักติ้งอ๋องทันทีขอรับ” อันที่จริงฝ่าบาทไม่ต้องการให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือกองทัพตระกูลม่อทำการฝึกใดๆ ทั้งสิ้น ทรงต้องการที่จะจับพวกเขาเลี้ยงรวมกันไว้ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เลี้ยงให้พิการไร้สมรรถภาพไปเลยได้ยิ่งดี


 


           “ข้ารู้แล้ว รีบเผด็จศึกเสีย!” ประกายตางดงามกวาดตามองหานหมิงเย่ว์ที่กำลังต่อสู้อยู่ แววตาของเยี่ยหลีเป็นประกายเย็นเยียบ


 


องครักษ์ลับสี่มิได้ส่งจดหมายมาเลย แสดงว่าหานหมิงเย่ว์มิได้กลับไปบ้านก่อน แต่เดินทางจากซีหลิงตรงมายังหนานเจียงเลย เดิมทีเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง หานหมิงเย่ว์คิดอยากที่จะฟื้นความสัมพันธ์อันดีกับม่อซิวเหยา เยี่ยหลีเชื่อว่าในตอนนั้นเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่มาตอนนี้ ครั้นมาถึงหนานจ้าว เขากลับคิดที่จะจับตัวตนเพื่อใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยาทันทีอย่างไม่ลังเล…เขาคิดที่จะทำสิ่งใดที่หนานจ้าวกันแน่


 


           กองทัพที่ผ่านการฝึกอย่างทรหดกับหน่วยที่ฝึกอยู่ในทุ่งหญ้าของยุทธภพนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหน่วยอวิ๋นฉีจึงใช้เวลาในการต่อสู้เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ บัณฑิตขี้โรควิ่งหนีไปอย่างทะลักทุเล คนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคนหนึ่งยกธนูขึ้นเล็งไปทางแผ่นหลังของเขา ง้างธนูขึ้นเล็ง ยิง…


 


           ธนูลูกยาวพุ่งทะยานไปยังแผ่นหลังของบัณฑิตขี้โรคด้วยความรุนแรง แต่จู่ๆ ก็มีเงาดำปรากฏขึ้นพร้อมกับยกกระบี่ขึ้นปัดลูกธนูนั้น เกิดเสียงดังเคร้งๆ ขึ้นสองครั้ง พร้อมลูกไฟที่ปะทุขึ้นรอบทิศ


 


ชายร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีฟ้าเข้มยืนถือดาบนิ่ง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ฝีมือยิงธนูของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนั้นมิมีผู้ใดเทียบได้อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ เสียด้วย”


 


ด้านหลังเขามีบัณฑิตขี้โรคที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าซีดขาว เขาเอ่ยเรียกเสียงต่ำว่า “พี่ใหญ่…”


 


           หน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างยกคันธนูขึ้นง้าง คันธนูหลายสิบคันต่างยกเล็งไปยังชายในชุดสีฟ้าเข้มผู้นั้น


 


           เยี่ยหลียกมือขึ้น “หยุดก่อน ปล่อยเจ้าสำนักหลิงไป”


 


           ชายในชุดสีฟ้าก็คือหลิงเถี่ยหาน เจ้าสำนักเยี่ยอ๋องนั่นเอง หลิงเถี่ยหานเลิกคิ้วขึ้นมองประเมินเยี่ยหลี ก่อนประสานมือคารวะพร้อมกล่าวว่า “พระชายาติ้งอ๋อง น้องสามไม่ประสา ล่วงเกินท่านแล้ว ขอท่านโปรดอภัยด้วย”


 


เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่ของข้ากับท่านเจ้าสำนักหลิงเป็นสหายกัน ท่านเจ้าสำนักมิต้องเกรงใจ เพียงแต่นิสัยของท่านหัวหน้าหน่วยสามนั้น…”


 


หลิงเถี่ยหานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พร้อมหันมองบัณฑิตขี้โรคที่ล้มอยู่ที่พื้น “น้องสามของข้าทำผิดไว้มากมายนัก ทั้งยังมีนิสัยดื้อรั้น ข้าน้อยจะอบรมให้เข้มงวดกว่านี้ นี่เป็นตราคำสั่งสำนักเยี่ยนอ๋อง ต่อไปหากพระชายามีเรื่องอันใด ให้คนนำตรานี้มาหาข้าที่สำนักเยี่ยนอ๋องได้ทันที ขอเพียงท่านมีตราคำสั่งสำนักเยี่ยนอ๋องอยู่ในมือ น้องสามไม่มีทางทำอันใดพระชายาอีกแน่”


 


เยี่ยหลียกมือขึ้นรับตราเหล็กสลักชื่อสีดำที่หลิงเถี่ยหานโยนมาให้ แล้วนำเก็บไว้ “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักมาก”


 


หลิงเถี่ยหานยอบตัวลงพยุงบัณฑิตขี้โรคขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัว”


 


           “ไม่ส่ง”


 


           เมื่อเห็นหลิงเถี่ยหานห่างออกไปแล้ว จึงหันกลับไปมองหานหมิงเย่ว์ที่อยู่กลางวงล้อมและรับมือกับการโจมตีของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ด้วยความยากลำบาก ความคิดที่ว่าการรุมรังแกคนที่มีกำลังน้อยกว่าไม่ถือเป็นการต่อสู้นั้น ไม่อยู่ในหัวของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงสามารถล้มศัตรูลงได้ ต่อให้เป็นการต่อสู้แบบร้อยต่อหนึ่ง พวกเขาก็ไม่รู้สึกผิดเลยแม้สักน้อย เพราะพวกเขาเป็นทหาร มิใช่จอมยุทธแห่งยุทธภพ


 


           “จวิน…จวินเหวย” หานหมิงซีที่มองดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด แบกเอาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยหลี เยี่ยหลีเหลือบมองหานหมิงเย่ว์ที่ยังคงต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละแล้วได้แต่นึกถอนใจ


 


           “ขอร้องล่ะ ปล่อยพี่ใหญ่ข้าไปเถิด” สีหน้าหานหมิงซีที่มองนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนางแล้ว แต่เขาก็ยังอยากเป็นสหายกับนางอยู่ดี แต่เขาเองก็รู้ดีว่า เมื่อได้เอ่ยปากขอร้องไปแล้ว ต่อไปเกรงว่าเขาคงเป็นไม่ได้แม้แต่สหายของนาง


 


“ข้าต้องการสอบถามข่าวจากคุณชายหมิงเย่ว์เสียหน่อย” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น อันที่จริงนางไม่คิดอยากไว้ชีวิตหานหมิงเย่ว์ ความรู้สึกที่นางมีต่อหานหมิงเย่ว์นั้นไม่ดีเอาเสียเลย หากมิใช่เพราะนางเตรียมพร้อมรับมือกับหานหมิงเย่ว์มาตั้งแต่ต้น เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงให้องครักษ์ลับจัดวางกำลังไว้โดยทันที มิเช่นนั้นครานี้เกรงว่านางจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของหานหมิงเย่ว์เข้าจริงๆ เพียงแต่…เมื่อเห็นสีหน้าของหานหมิงซีที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงจากอาการบาดเจ็บแล้ว นางจึงเอ่ยปากปฏิเสธไม่ออก


 


           “เขาไม่มีทางพูดอันใดเป็นแน่ เจ้าอยากรู้อันใด หากข้ารู้ข้าจะบอกเจ้า” ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ หานหมิงซีจึงรู้จักพี่ใหญ่ของตนเป็นอย่างดี หากเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดจะบอกแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางปริปากหลุดอันใดออกมาอย่างแน่นอน


 


           “หานหมิงซี! เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” หานหมิงเย่ว์ที่ยังคงต่อสู้หันมาเอ่ยตะโกนขึ้น บนหัวไหล่เขาจึงได้แผลใหม่เพิ่มขึ้นมาทันที


 


           เมื่อเห็นว่าบนตัวหานหมิงเย่ว์มีบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังถูกพี่ใหญ่ตะโกนต่อว่าอีก ในที่สุดหานหมิงซีจึงระเบิดอารมณ์ออกมา “เจ้าสิหุบปาก! เจ้าอยากตายก็อย่าได้ลากเอาคนของเทียนอี้เก๋อมาตายไปกับเจ้าด้วย! เจ้าแหกตาดูเสียว่าคนที่อยู่บนพื้นทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ สำนักเทียนอี้เก๋อมีฐานอยู่ที่ต้าฉู่ ตระกูลหานก็อยู่ในต้าฉู่ หัวเจ้าถูกประตูหนีบหรือไรถึงได้ไปยั่วยุม่อซิวเหยา ผู้หญิงคนนั้นสำคัญกว่าพ่อแม่ บรรพบุรุษของเจ้าหรือ ได้ เจ้าอยากตายใช่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน ข้าจะตายไปกับเจ้าด้วย!”


 


หานหมิงเย่ว์ถูกน้องชายที่กำลังโกรธจัดต่อว่าเสียจนอึ้งไป หน่วยเฮยอวิ๋นฉีคนหนึ่งถือโอกาสเตะเข้าที่ข้อพับของเขา พร้อมจ่อกระบี่สามเล่มเข้าที่คอเขาทันที หานหมิงเย่ว์ก้มหน้าลงมองประกายคมมีดอันเย็นเยียบที่จ่ออยู่ที่คอเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี แล้วจึงยิ้มอย่างทำอันใดไม่ได้ “ดูท่าครานี้ข้าก็แพ้อีกแล้วสินะ จะฆ่าหรือจะอย่างไรก็สุดแท้แต่เจ้าแล้วกัน อีกเรื่อง..หานหมิงซีสมองเจ้าพังไปแล้วหรือ อย่าทำเหมือนกับว่าจะตายไปด้วยกันเพราะความรักอย่างนั้นสิ”


 


           หานหมิงซีนึกถึงคำพูดที่ตนใช้ก่นด่าตอนที่กำลังโกรธจัดเมื่อครู่ แล้วยิ่งเมื่อเห็นสายตาของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ยืนนิ่งอยู่เหมือนมองมา ใบหน้าหล่อเหล่าจึงอดที่จะบึ้งตึงขึ้นไม่ได้ วันนี้เขาขายหน้าเสียจนไม่เหลือหลอแล้ว


 


           เยี่ยหลีเหลือบมองหน้าอันบึ้งตึงของหานหมิงซี แล้วสีหน้านางก็เปลี่ยนไป “พี่หาน ท่านเอาตัวคุณชายหมิงเย่ว์ไปก็ได้”


 


           หานหมิงซียินดีเป็นอย่างยิ่ง มองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ แม้แต่หานหมิงเย่ว์เองก็ยังประหลาดใจไปด้วย เยี่ยหลีหันมองหานหมิงเย่ว์ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “แต่มีข้อแม้”


 


ไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะเจรจาได้ง่ายเช่นนี้ ไหนเลยหานหมิงซีจะสนใจข้อแม้อันใดนั่น ตัวเขามิได้รักใคร่เงินประหนึ่งชีวิตจิตใจอย่างหานหมิงเย่ว์ แค่เพียงสามารถเก็บชีวิตพี่ใหญ่ของตนกลับมาได้ก็ถือว่าน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว


 


เยี่ยหลีค่อยๆ หยิบขวดเครื่องเคลือบเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อมาส่งให้หานหมิงซีแล้วบอกว่า “ดื่มเสีย” หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น รับมาเงยหน้าขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล 

 

 


ตอนที่ 88-3 สงครามปะทุ

 

 


 


หานหมิงเย่ว์คิดอยากจะทัดทาน แต่ก็ไม่ทัน ทำได้เพียงมองดูหานหมิงซีกระดกลงคอไปแล้วพูดด้วยความรังเกียจว่า “รสชาติแย่ชะมัด”  


 


เยี่ยหลียิ้ม “นี่เป็นยาพิษที่ท่านเสิ่นหยาง หมอเทวดาแห่งยุคเป็นคนปรุงขึ้นด้วยตนเอง ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนเก็บเป็นความลับ ส่วนเรื่องพิษของมันนั้น…หากมิได้กินยาถอนพิษทุกๆ หนึ่งเดือน ชีพจรจะแตกซ่าน เป็นอัมพาตทั่วตัวและตายไปในที่สุด และด้วยเพราะกลิ่นของมันแรงมาก ทำให้ยากแก่การผสมลงในอาหารให้คนกิน จึงใช้งานได้ไม่ดีนัก เพียงแต่…อย่างไรก็มักมีคนที่ยอมดื่มลงไปด้วยความเต็มใจมิใช่หรือ” 


 


           หานหมิงซียิ้มแหะๆ พร้อมพูดว่า “ข้ารู้ว่าจวินเหวยไม่มีทางเอาชีวิตข้าหรอก” 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ดูแลพี่ใหญ่ของท่านให้ดีๆ ข้าจะให้คนนำยาไปให้ทุกเดือน เมื่อใดที่ข้ารู้ว่าเขาคลาดสายตาไปจากท่านหรือทำเรื่องอันใดที่ไม่ควรทำ ข้าจะให้เขาได้เห็นท่านเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร และเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยตาของเขาเอง”  


 


หานหมิงซียิ้มพร้อมพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พี่ใหญ่…เพื่อชีวิตน้อยๆ ของน้องชายคนเดียวของท่าน ท่านจะเชื่อฟัง ใช่หรือไม่” ดวงตาที่มากล้นด้วยเสน่ห์กระพริบปริบๆ มองหน้าหานหมิงเย่ว์อย่างน่าสงสาร  


 


หานหมิงเย่ว์จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะหลอกข้าหรือไม่ จะส่งยามาให้ตามกำหนดเวลาหรือไม่”  


 


เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หานหมิงซีเป็นสหายข้า” 


 


           หานหมิงเย่ว์ยิ้มเยาะ “สหายหรือ เจ้าทำกับสหายเจ้าเช่นนี้หรือ” 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านสามารถทำเช่นนั้นกับน้องชายของท่านได้ เหตุใดข้าจะทำเช่นนี้กับสหายของข้าไม่ได้ หากท่านไม่ทำเช่นนั้น ข้าย่อมจะไม่ทำเช่นนี้ ในยามนี้หานหมิงซีไม่มีทางเป็นอะไร นั่นไม่เท่ากับว่า…ข้าก็มิได้ทำอันใดเลยหรอกหรือ”  


 


หานหมิงเย่ว์หรี่ตาลง “หากข้าหาคนที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้เล่า” 


 


           “ตายจริง ได้ยินว่ายาพิษขวดนี้ปรุงขึ้นโดยใช้สมุนไพรพิเศษที่ท่านเสิ่นไปเก็บมาได้จากเกาะเล็กๆ ในทะเลยตงไห่ ในจงหยวนไม่มีตัวยาที่คล้ายคลึงกับยาตัวนี้เสียด้วย หากคุณชายหานมีความรู้ความสามารถกว้างไกล สามารถหาตัวยามาปรุงเป็นยาถอนพิษได้ภายในหนึ่งเดือน ก็ถือเสียว่าข้าโชคไม่ดีก็แล้วกัน ถึงอย่างไรหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มีกองกำลังอยู่หลายหมื่นคน แบ่งออกมาสักสองสามร้อยคนให้ตามฆ่าผู้ใดสักคนอย่างไม่ลดละตลอดทั้งปีก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด แล้วในมือข้าก็มีตราคำสั่งเยี่ยนอ๋องอยู่ด้วยพอดี ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักหลิงจะยอมตามฆ่าคนที่ว่ากันว่าเป็นสหายของเขาแต่กลับหลอกใช้น้องชายของเขาเพื่อตราคำสั่งนี้หรือไม่ หากข้าโชคไม่ดีอีกหน่อย…อย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็มีเงิน คุณชายหานท่านว่าใช่หรือไม่” 


 


           หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะทีหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอันใดอีก หานหมิงซีมิได้สนใจแม้แต่น้อย เขาผลักปลายกระบี่ที่จ่ออยู่ที่ลำคอของหานหมิงเย่ว์ออก แล้วหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “จวินเหวยเจ้าวางใจได้ ข้าขอรับรองว่าพี่ใหญ่จะไม่มีทำให้เจ้าเสียเรื่องอีก เรื่องที่เจ้าอยากรู้ข้าจะให้คนส่งตามมาให้ เช่นนั้น…”  


 


เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านสามารถดูแลพี่ชายของท่านได้ดีจริงๆ ข้าก็จะลืมเรื่องในวันนี้ไปเสีย เพียงแต่…หากมีครั้งต่อไปอีก…พี่หาน คำขอร้องของท่านคงใช้ไม่ได้ผลทุกครั้งหรอกนะ” 


 


           “ข้าเข้าใจแล้ว” หานหมิงซีพยักหน้าด้วยความจริงจัง ยื่นมือไปสกัดจุดชีพจรบนตัวเขาเพื่อปิดกั้นกำลังภายใน แล้วจึงหันมาโบกมือให้เยี่ยหลีแล้วพาตัวเขาจากไป 


 


           “ข้าน้อยคารวะพระชายา” หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทุกคนต่อเอ่ยทำความเคารพขึ้นพร้อมกัน 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ามากันได้อย่างไร” เมื่อได้เห็นความองอาจของนักรบในชุดดำตรงหน้า ทำให้เยี่ยหลีนึกชื่นชมในใจ ไม่เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่จริงๆ เพียงแค่ลักษณะท่าทางเหล่านี้ นายทหารธรรมดาทั่วไปก็ไม่อาจทัดเทียมได้แล้ว ยิ่งการตู่สู้เมื่อครู่ที่ต้องต่อสู้หลังจากที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางมาไกล แต่กลับไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงเห็นถึงความแข็งแกร่งในการสู้รบของพวกเขา  


 


ชายร่างกายกำยำผู้หนึ่งเดินออกมาตอบว่า “เรียนพระชายา เมื่อสามวันก่อน จู่ๆ กองกำลังทหารที่รักษาการอยู่เมืองหลิ่งโจวได้เคลื่อนพลเข้าโจมตีเมืองหย่งโจว พร้อมกันนั้นกองทัพของหนานจ้าวก็เริ่มบุกเข้าโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ย ท่านแม่ทัพมู่หรงรักษาการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย กองทัพหนานจ้าวบุกโจมตีอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แต่ก็ยังไม่สามารถรุกคืบเข้าไปได้ เพียงแต่…กองทัพของเมืองหย่งโจวนั้นอ่อนแอประหนึ่งไผ่เปราะ เชื่อว่าอีกไม่เกินสิบวันจะต้องถึงด่านซุ่ยเสวี่ยอย่างแน่นอนขอรับ ถึงตอนนั้นท่านแม่ทัพมู่หรงคงต้องรับศึกทั้งสองด้าน…” 


 


           “ทางเมืองหลวงรู้เรื่องนี้หรือไม่” 


 


           ชายหนุ่มพยักหน้า “รีบให้ม้าเร็วไปส่งข่าวยังเมืองหลวงแล้วขอรับ อย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้ ข่าวจะต้องไปถึงเมืองหลวงอย่างแน่นอนขอรับ เพียงแต่หากจะต้องเคลื่อนกองหนุนลงมา อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน เกรงว่า…ด่านซุ่ยเสวี่ยคงต้านไว้ไม่ได้นานเพียงนั้นขอรับ เมื่อครู่คุณชายชิงเฉินได้สั่งให้ข้าน้อยมาส่งข่าวให้พระชายาว่า รัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวถูกท่านหนานจ้าวอ๋องสั่งกักบริเวณแล้ว และท่านหนานจ้าวอ๋องได้มีราชโองการแต่งตั้งธิดาเทพแห่งหนานเจียงขึ้นเป็นธิดาเทพผู้คุ้มครองแคว้น และให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองหนานเจียง คุณชายสวีขอเชิญให้พระชายารีบไปจากหนานจ้าว คุณชายสวีบอกว่า…พวกเราถูกท่านหนานจ้าวอ๋องหลอกแล้วขอรับ” 


 


           สีหน้าเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความหนักใจ พยักหน้าพร้อมเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ไปที่ใดแล้วหรือ” 


 


           ชายหนุ่มตอบว่า “คุณชายสวีพาองครักษ์ลับไปด้วยบอกเพียงว่ามีธุระต้องไปจัดการ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็จะไปจากหนานเจียงขอรับ”  


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “แบ่งคนกลุ่มหนึ่งไปออกตามหาพี่ใหญ่ แล้วรีบอารักขาเขาออกจากหนานจ้าว หากเขาไม่ยอม…ก็จัดการให้สลบก่อนแล้วค่อยว่ากัน! ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือรีบเดินทางไปด่านซุ่ยเสวี่ย” 


 


           “ขอรับ พระชายา!” 


 


           หน่วยเฮยอวิ๋นฉีแบ่งออกเป็นสองหน่วยอย่างรวดเร็ว กลุ่มหนึ่งประมาณยี่สิบคน โดยมีคนหนึ่งเป็นหัวหน้านำออกไป ส่วนที่เหลืออีกหลายสิบคนยืนรอรับคำสั่งอยู่ที่เดิม  


 


เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “รอบๆ ด่านซุ่ยเสวี่ยมีกองกำลังใดอยู่บ้าง”  


 


ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าเหลือบมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยความเคารพว่า “หลายเดือนก่อน ท่านอ๋องค่อยๆ วางกำลังคนไว้ใกล้ๆ เมืองหย่งโจวและหลิ่งโจว เพียงแต่ฝ่าบาทควบคุมตำหนักติ้งอ๋องไว้อย่างเข้มงวด หากคิดที่จะเคลื่อนพลจำนวนมาก ย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งกองกำลังตระกูลม่อส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่คอยสร้างความน่าเกรงขามอยู่ที่แคว้นเป่ยหรง ดังนั้นกองกำลังที่อยู่ใกล้เมืองหย่งโจวและสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีเพียงหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันคน กับกองกำลังสองหมื่นคนภายใต้ท่านผู้บัญชาการอู๋เฉิงเหลียงของเมืองยงโจวทางเจียงเป่ยเท่านั้นขอรับ พอเกิดสงครามปะทุขึ้น พวกข้าน้อยก็รีบส่งข่าวไปแจ้งแก่ท่านผู้บัญชาการอู๋ทันที หากไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น บ่ายวันพรุ่งนี้น่าจะเคลื่อนพลถึงด่านซุ่ยเสวี่ยขอรับ” 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า “ไม่ถูก! ให้เขานำกำลังทหารไปเสริมกำลังทหารที่อารักขาอยู่ที่เมืองหย่งโจวเพื่อสกัดทัพใหญ่ของหลีอ๋องไว้ ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยมีกำลังทหารรักษาการอยู่แปดหมื่นคน ขอเพียงท่านแม่ทัพมู่หรงไม่ออกจากเมืองไปสู้รบกับพวกเขา การรักษาเมืองไว้ให้ได้ครึ่งเดือนนั้นย่อมมิใช่ปัญหา! หากปล่อยให้กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องเดินทางไปถึงหย่งโจว แล้วเข้าโอบล้อมโจมตีร่วมกับกองทัพจากหนานจ้าว ต่อให้มีทหารเพิ่มอีกสองหมื่นคนก็ไม่มีประโยชน์!” 


 


           ชายหนุ่มคนที่เป็นหัวหน้านิ่งอึ้งไป รีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยจะรีบส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่ท่านผู้บัญชาการอู๋เดี๋ยวนี้ หากรีบเร่งเดินทางไม่หยุดจะต้องไปทันก่อนพวกเขาข้ามแม่น้ำวันพรุ่งนี้แน่นอนขอรับ” พูดจบเขาก็รีบหันไปสั่งการให้คนส่งข่าวไปทันที  


 


เยี่ยหลียกมือนวดหน้าผาก ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก “สั่งการลงไป ไม่ต้องกลับเข้าเมืองแล้ว รีบตรงไปยังด่านซุ่ยเสวี่ยให้เร็วที่สุด” 


 


           “ขอรับ” 


 


           เมื่อจู่ๆ ไฟสงครามปะทุ ทำให้เยี่ยหลีอดรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่มีเมฆดำครึ้มปกคลุมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ในใจจึงยิ่งรู้สึกหนักอึ้งขึ้นไปอีก 


 


            


 


ด่านซุ่ยเสวี่ย 


 


บนกำแพงเมืองอันเก่าแก่และแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ทหารรักษาการยืนถือกระบี่และปืนในมือแน่น บนใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่นมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า วันนี้ทั้งวันพวกเขารับมือการโจมตีจากทหารแคว้นหนานจ้าวจนล้าถอยไปแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังต้องเตรียมพร้อมรับมือการบุกโจมตีครั้งต่อไปอีกด้วย  


 


มู่หรงเซิ่นอายุสี่สิบปีแล้ว ใบหน้าที่มีมุมคมชัด เต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาเดินขึ้นบนกำแพงเมืองพร้อมปืนยาวที่กำมั่นอยู่ในมือ คิ้วคมเข้มขมวดมุ่น ตั้งแต่เขาถูกส่งมาประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เขารู้ดีว่าด่านซุ่ยเสวี่ยคงจะไม่สงบสุขนัก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอันตรายที่แท้จริงไม่เพียงมากจากหนานจ้าวที่เลี้ยงไม่เชื่องมาแต่ไหนแต่ไร แต่ยังมาจากคนในของต้าฉู่เองอย่างหลีอ๋อง น้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้ จึงอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงจดหมายนิรนามที่ได้รับเมื่อตอนเดินทางออกจากเมืองหลวง ในจดหมายเขียนไว้เพียงสี่คำว่า “ระวังหย่งโจว” ที่แท้ความหมายก็คือเช่นนี้เองหรือ อีกฝ่ายรู้นานแล้วว่าหลีอ๋องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่เขามิได้ใส่ใจมันเท่าที่ควร หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สถานการณ์ไม่อำนวยให้เขาใส่ใจ ที่ฝ่าบาทต้องการให้เขามารักษาการที่ชายแดนนั้นก็ด้วยเพราะสมัยติ้งอ๋องรุ่นก่อน เขาเคยมีเรื่องกับลูกน้องของติ้งอ๋องเรื่องที่เขาไม่ยอมให้สิทธิ์ทางทหารแก่เขา ข้าราชการประจำท้องที่เองก็คอยขัดแข้งขัดขาตลอดเวลา แต่มาวันนี้ ต่อให้รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่หลีอ๋องเข้ายึดหย่งโจวได้ ก็เท่ากับเป็นการโอบล้อมด่านซุ่ยเสวี่ยทำให้เขาต้องรับศึกทั้งสองด้าน แต่เขาก็ไม่มีทางให้ถอย ด้วยเพราะสิ่งที่ด้านซุ่ยเสวี่ยต้องเผชิญทางด้านหน้าคือคนต่างชนเผ่าของหนานจ้าวหลายแสนคน เมื่อใดก็ตามที่เขาข้ามด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้ พวกเขาจะเป็นเหมือนโรคระบาดในช่วงน้ำท่วมที่จะเข้ายึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของต้าฉู่ หวังว่า…กองหนุนจะรีบมาถึงได้ทัน… 


 


“ท่านพ่อ” เสียงแหลมใสดังขึ้นทางด้านหลัง มู่หรงเซิ่นหันกลับไปมอง ก็เห็นมู่หรงถิงในชุดทะมัดแทมงสีแดงสด มือกำกระบี่แน่นกำลังเดินขึ้นมาบนกำแพงเมือง มู่หรงเซิ่นใบหน้าบึ้งตึงทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ยังไม่ลงไปอีก” 


 


“ท่านพ่อ!” มู่หรงถิงเอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “ลูกจะอยู่รักษาเมืองกับท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ” 


 


“เหลวไหล! พ่อให้เจ้าไปจากด่านซุ่ยเสวี่ย เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปอีก” กับลูกสาวคนเดียวของเขาแล้ว มู่หรงเซิ่นรักนางดั่งหัวแก้วหัวแหวน มาวันนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ตนเองนั้นจำต้องรั้งอยู่เพื่อรับมือสถานการณ์และต้องการให้ลูกสาวคนเดียวของเขาหลบหนีออกไปก่อน  


 


มู่หรงถิงฝืนกัดปากพูดว่า “ใช่ว่าถิงเอ๋อร์ไม่รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่หากข้าไปจากด่านซุ่ยเสวี่ยตอนนี้แล้วเกิดตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหลีอ๋อง แล้วเขาใช้ข้ามาข่มขู่ท่านพ่อ เช่นนั้นลูกคงต้องตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด”  


 


เมื่อเห็นมู่หรงเซิ่นทำท่าเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง มู่หรงถิงก็รีบชิงพูดตัดหน้าต่อว่า “หากท่านพ่อจะบอกให้คนคุ้มครองข้ากลับเมืองนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ตอนนี้กองทัพของหนานจ้าวกำลังบุกโจมตีเมืองอย่างหนัก ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องใช้กำลังคน ตัวถิงเอ๋อร์เป็นถึงลูกสาวของท่านแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย แต่กลับต้องให้คนที่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์ติดตามไปด้วย หากทำเช่นนั้น ถิงเอ๋อร์คงเสียแรงที่เกิดเป็นบุตรสาวของตระกูลมู่หรงแล้วเจ้าค่ะ” 


 


เมื่อมู่หรงเซิ่นได้ฟังสิ่งที่ลูกสาวพูด ก็ได้แต่เป็นใบ้พูดไม่ออก พักใหญ่จึงได้ถอนหายใจออกมาก่อนพูดว่า “เอาเถิด ระวังตัวด้วยแล้วกัน” 


 


“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ…” เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซิ่นไม่ยืนหยัดในคำสั่งของคนอีก มู่หรงถิงจึงดีใจมาก “ถิงเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าเจ้าค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 89-1 จุดเริ่มต้นที่ดี

 

      “พระชายา เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


           คณะของเยี่ยหลีเร่งรีบเดินทางโดยไม่หยุดพัก หนานจ้าวและหลีอ๋องเคลื่อนทัพเข้าโจมตีกะทันหันเกินไป ก่อนหน้านี้ที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเข้าไปยังเขตหนานเจียงก็เป็นที่จับจ้องของคนจำนวนไม่น้อยแล้ว มายามนี้ย่อมไม่สามารถเดินทางได้อย่างราบรื่นเหมือนแต่ก่อน เยี่ยหลีจึงทำได้เพียงพาองครักษ์ลับสองและสามกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกสามสี่คนมาด้วยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกระจายตัวกันเดินทางกลับเข้าต้าฉู่


 


 


           “เกิดอันใดขึ้น” เยี่ยหลีขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะกลายเป็นเงื่อน คนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ได้รับหนังสือรายงานเอ่ยเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการอู๋เฉิงเหลียงถูกคนลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ กองหนุนจากยงโจวข้ามแม่น้ำมาได้ไม่เท่าไรก็ถูกซุ่มโจมตี ทั้งกองทัพ…ตายหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที “ตอนนี้เราอยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยอีกไกลเพียงใด”


 


 


           องครักษ์ลับสองตอบว่า “ยังต้องเดินทางอีกครึ่งวันพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ด่านซุ่ยเสวี่ยถูกทหารหลายแสนคนของหนานจ้าวล้อมไว้ เกรงว่าต่อให้พวกเราไปถึงก็คงเข้าไปในด่านมิได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยว่า “พวกเราอ้อมไป ยังไม่ต้องสนใจด่านซุ่ยเสวี่ย ไปที่หย่งหลินก่อน กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องคงใกล้เคลื่อนทัพมาถึงแล้ว”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”


 


 


           


 


 


           ณ ด่านซุ่ยเสวี่ยยังคงมีเสียงกลองศึกและเสียงรบราฆ่าฟันดังสนั่นเช่นหลายวันที่ผ่านมา มู่หรงเซิ่นมองผู้บัญชาการทหารของหนานจ้าวที่เอาแต่ส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยสีหน้าเรียบเฉย การปิดตายด่านติดต่อกันหลายวันนั้นมีผลต่อขวัญและกำลังใจของนายทหารอย่างร้ายแรง ผู้บัญชาการทหารข้างกายหลายคนเกือบอดรนทนไม่ไหว อยากออกไปรับศึกที่นอกด่านเสียหลายครั้ง แต่ถูกเขาห้ามไว้ทุกครั้ง


 


 


“ท่านแม่ทัพ ได้โปรดให้ข้าน้อยออกไปรับศึกเถิดขอรับ!” นายทหารที่ยังหนุ่มยังแน่นเอ่ยปากขอร้องด้วยความแน่วแน่ พร้อมด้วยประกายไฟในดวงตา


 


 


พวกทหารของหนานจ้าวเอาแต่ตะโกนด่าทออยู่ทุกวันไม่ได้หยุด ส่วนพวกเขากลับทำได้เพียงปิดประตูอยู่ในด่าน ซึ่งทำให้ทหารหนุ่มที่ยังมีความฮึกเหิมเกิดไฟร้อนในใจ


 


 


           “หุบปาก! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาเมืองเอาไว้ อย่าได้ทำศึกด้วยความมุทะลุ อย่าให้กองทัพจากหนานจ้าวเหยียบเข้ามาในด่านซุ่ยเสวี่ยได้แม้แต่ก้าวเดียว นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายในการรักษาด่านของพวกเรา จงรอกำลังเสริมอยู่เงียบๆ!”


 


 


           ทหารหนุ่มหันมองเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อพร้อมเอ่ยถามว่า “กำลังเสริมจะมาทันหรือขอรับ!” พวกเขามีทหารรักษาการอยู่เพียงแปดหมื่นนาย แต่กองทัพหนานจ้าวกับหลีอ๋องจากหลิงโจวที่ค่อยๆ โอบล้อมเข้ามานั้น อย่างน้อยๆ ก็มีมากกว่าสามแสนนาย


 


 


มู่หรงเซิ่นนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “ทันสิ ขอเพียงพวกเราสามารถรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ได้ ดังนั้น อย่าได้ทำศึกด้วยความมุทะลุเป็นอันขาด”


 


 


           ทหารหนุ่มกวาดตามองทหารหนานเจียงที่ตะโกนด่าทออยู่ที่นอกเมืองไม่หยุด แล้วได้แต่กัดฟันตอบว่า “ขอรับ ท่านแม่ทัพ”


 


 


           “ท่านแม่ทัพ!” ทหารส่งข่าวกระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ทัพ ทางด้านหน้าส่งรายงานมาว่า ใต้เท้าอู๋เฉิงเหลียง ผู้บัญชาการทหารเมืองยงโจวนำทัพทหารสองหมื่นนายจะมาช่วยเป็นกองหนุน แต่พอข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันมาได้ไม่เท่าไรกลับถูกซุ่มโจมตี ใต้เท้าอู๋เสียชีวิตแล้วขอรับ!”


 


 


           ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างสูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ มู่หรงเซิ่นรู้สึกเพียงภาพตรงหน้าหมุนติ้วไปหมด เขารีบกลับมารักษาท่าทีเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดหลีอ๋องถึงรวดเร็วเช่นนี้!”


 


 


           “เรียนท่านแม่ทัพ! เมื่อคืนวานเจ้าเมืองหย่งโจวยอมสิโรราบให้แก่หลีอ๋อง วันนี้กองทัพหลีอ๋องเข้าตีเมืองชิงหย่วนแตกตั้งแต่เช้า เกรงว่าวันนี้ตอนค่ำ ทัพหน้าก็จะเคลื่อนพลถึงนอกเขตหย่งโจวแล้วขอรับ”


 


 


หัวหน้าหน่วยทหารทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป ทหารที่รักษาการอยู่ที่เขตหย่งโจวนั้นมีอยู่ไม่มากอยู่แล้ว ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงสุดของเขตหย่งโจวถึงขั้นยอมสิโรราบไว้กับหลีอ๋อง ถึงว่าเหตุใดกองทัพของหลีอ๋องถึงสามารถเดินทางได้ราบรื่นและรวดเร็วเช่นนี้ ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้อย่าว่าแต่เดิมที่คิดว่าจะถ่วงเวลาไว้ได้สิบวันเลย เกรงว่าอีกไม่ถึงสองวันด่านซุ่ยเสวี่ยคงถูกล้อมไว้หมดแล้ว


 


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ทุกคนต่างรู้สึกเย็นวาบไปหมด มู่หรงเซิ่นยิ้มขึ้นด้วยความโกรธจัด “ดี!ช่างเป็นผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่ดีจริงๆ! ใครยินดีไปรักษาการที่เมืองหย่งหลินบ้าง”


 


 


           หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มสามสี่คนพร้อมใจก้าวขึ้นหน้ามา “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยินดีขอรับ!”


 


 


           มู่หรงเซิ่นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญของทหารหนุ่ม แล้วจึงพยักหน้า “ดี อวิ๋นถิง ซย่าซู ข้าจะให้กำลังทหารสองหมื่นนายกับพวกเจ้า รักษาเมืองหย่งหลินไว้ให้ได้ เข้าใจหรือไม่”


 


 


           “ขอรับ ท่านแม่ทัพ” นายทหารหนุ่มทั้งสองคนรับคำขึ้นพร้อมกัน เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่มีผู้ใดถามว่าทหารสองหมื่นนายนี้จะต้องรักษาเมืองหย่งหลินอย่างไร และต้องรักษาไว้ให้ได้นานเท่าไร เมื่อมู่หรงเซิ่นมองตามแผ่นหลังของนายทหารหนุ่มสองคนจากไปแล้ว เขาก็หันมากวาดตา มองหัวหน้าหน่วยทหารที่เหลืออยู่ “พวกเราก็เหมือนกัน รักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ให้ได้ เข้าใจหรือไม่”


 


 


           “ขอรับ! ท่านแม่ทัพ”


 


 


           


 


 


           เมืองเล็กๆ ที่เคยเงียบสงบอย่างหย่งหลิน มาวันนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด ร้านค้าสองฟากถนนปิดประตูแน่นหนา ตามท้องถนนไม่มีเงาผู้คนสักคนให้ได้เห็น เมื่อเปรียบเทียบกับความอึมครึมและน่ากดดันของด่านซุ่ยเสวี่ยที่ปิดตายประตูเมืองไปแล้ว นอกเมืองหย่งหลินในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยประกายแสงจากกระบี่และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง


 


 


ด้านนอกกำแพงเมือง ทหารที่ต้องการจะบุกเข้ามาพาดบันไดยาวเข้ากับกำแพง พยายามทุกวิถีทางที่จะปีนข้ามกำแพงเมืองเข้ามาให้ได้ แต่ถูกคนบนกำแพงโยนหินและยินธนูกดดันให้กลับลงไป เมื่อคนด้านหน้าตกลงไป ก็มีอีกคนปีนตามขึ้นมาทันที คนบนกำแพงเองก็ถูกลูกธนูของคนด้านล่างยิงขึ้นมาจนตกจากกำแพงเมืองลงไปจนผิดรูปผิดร่างกันไม่น้อย ซึ่งในตอนนี้หาได้มีใครสนใจคนเหล่านั้นไม่ ทุกคนต่างมุ่งเข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าบิ่น ต่างลืมกันไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต้าฉู่เช่นเดียวกัน และเคยเป็นเพื่อนทหารกันมาก่อน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากันแล้ว ต่างคิดเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น


 


 


           “อย่างไร ให้ข้าไปก่อนหรือ” บนกำแพงเมือง หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มสองคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


 


 


           “ข้าก่อน!” หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มดึงกระบี่ออกมา ก่อนหมุนตัวเดินไป


 


 


           หัวหน้าหน่วยทหารหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ มองอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วได้แต่ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ แล้วจึงหมุนตัวดึงมีดสั้นออกมาฟันนายทหารคนที่คิดอาศัยจังหวะช่วงที่ทหารบนกำแพงถูกธนูยิงตกลงไปปีนข้ามกำแพงมา


 


 


           ประตูเมืองถูกเปิดออก ผู้บัญชาการทหารหนุ่มพากองทหารบุกฝ่าออกไป พุ่งทะยานเข้าไปกลางกองทัพของอีกฝ่าย ซึ่งพอช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์บนกำแพงเมืองลงไปได้ ผู้บัญชาการทหารหนุ่มควบม้านำหน้าไปจ้วงฟันทหารฝ่ายตรงข้ามตายไปนับไม่ถ้วน


 


 


ทหารวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนออกมาขวางทางเขาไว้อย่างรวดเร็ว ในมือเขาถือกระบี่เล่มใหญ่พร้อมใช้มันกวาดไปรอบๆ เพื่อเปิดทาง แล้วจึงเอ่ยวาจาเย้ยหยันว่า “มู่หรงเซิ่นไม่มีลูกน้องคนอื่นแล้วหรือไร ถึงได้ให้ลูกกระจ๊อกที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมออกมาขวางทางแม่ทัพอย่างข้า! หากฉลาดก็จงรีบเปิดประตูเมืองหย่งหลินให้ข้าเสียแต่บัดนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”


 


 


ผู้บัญชาการทหารหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่ยอมรับผีไม่มีชื่อ เจ้าคนทรยศ เจ้ามาจากที่ใด บอกชื่อแซ่ของตนมา แล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายศพสวยๆ!”


 


 


           “ข้าเป็นแม่ทัพกองหน้าฝั่งตะวันตกที่หลีอ๋องเป็นผู้ตั้งแต่งเองกับมือ นามซุนเวย!”


 


 


           นายทหารหนุ่มกลอกตา “ที่แท้ก็เจ้าคนทรยศม่อจิ่งหลีนี่เอง ซุนเวย…ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ยอมตายเสียดีๆ เถิด!” กระบี่เล่มยาวในมือพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เข้าฟาดฟันชายผู้ที่อ้างตนว่าเป็นแม่ทัพกองหน้าฝั่งตะวันตกอย่างไม่เกรงใจ


 


 


ชายผู้นั้นรับการโจมตีมือเป็นพัลวัน ท้ายที่สุดก็สิ้นใจตายด้วยน้ำมือของชายหนุ่มที่ตนดูถูกไว้ ผู้บัญชาการทหารหนุ่มถ่มน้ำลายใส่ “ก็แค่เศษสวะ ยังกล้าทำท่ายะโสต่อหน้าข้าอีกหรือ”


 


 


เมื่อผู้นำทหารกองหน้าถูกกำจัด ก็เกิดความวุ่นวายในกองทัพทันที ผู้บัญชาการทหารที่รักษาการอยู่ในเมืองหลวง จึงอาศัยจังหวะนี้นำทัพออกไปสังหารทหารฝ่ายตรงข้าม ไม่นานฝ่ายที่หมายจะเข้ามาตีเมืองก็ล่าถอยไปด้วยความหวาดเกรง


 


 


           “ซย่าซู เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อกลับขึ้นไปยังประตูเมือง ถึงได้เห็นสภาพกองทัพฝ่ายตรงข้ามล่าถอยกลับไปอย่างน่าสมเพชจากมุมสูง เมื่อครู่เมื่อได้ระบายเอาความอัดอั้นที่กักเก็บมาไว้หลายวันออกไป สีหน้าของนายทหารหนุ่มจึงดูทั้งสะใจและยินดีอย่างเกินสมควรไปมาก


 


 


ชายหนุ่มที่ชื่อซย่าซูขมวดคิ้วทอดสายตาไปไกล “พวกนี้น่าจะเป็นเพียงกองทัพแนวหน้าที่อีกฝ่ายส่งมาดูลาดเลาเท่านั้น ถึงแม้จะจัดการพวกมันจนล่าถอยไปได้ แต่หากรอจนพวกฝีมือดีมาถึง…”


 


 


ผู้บัญชาการทหารหนุ่มอดขมวดคิ้วตามไม่ได้ ความรู้สึกยินดีจากชัยชนะเมื่อสักครู่ค่อยๆ จางหายไป อย่าว่าแต่กองทัพนับแสนนายเลย แค่เพียงหมูน่าโง่แสนตัวก็สามารถเหยียบคนจำนวนเพียงแค่หยิบมือของพวกเขาให้จมดินได้แล้ว


 


 


การรักษาเมืองด้วยทหารสองหมื่นนายว่ายากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเคลื่อนพลออกไปต้อนรับศัตรูเลย เมืองหย่งหลินไม่เหมือนกับด่านซุ่ยเสวี่ย หากพวกเขาเก็บตัวอยู่ในเมืองไม่ยอมออกไป กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องก็อาจล้อมเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินไว้ได้ ถึงแม้จะวุ่นวายแต่มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่เขาตีด่านซุ่ยเสวี่ยแตก เมื่อนั้นเมืองโดดเดี่ยวที่มีทหารอยู่เพียงสองหมื่นนายของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือทันที


 


 


           “ช่างมันสิ มาอีกข้าจะจัดการให้ล่าถอยกลับไปอีก! ข้า อวิ๋นถิงมิใช่คนกลัวตาย!” ผู้บัญชาการทหารหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่


 


 


           ซย่าซูเองก็ค่อยๆ มีรอยยิ้มขึ้นมา “พูดได้ไม่เลว บอกไว้ก่อนนะ ครั้งหน้าตาข้าบ้าง” 

 

 


ตอนที่ 89-2 จุดเริ่มต้นที่ดี

 

อาจด้วยเพราะกองทัพแนวหน้าที่ส่งมาพ่ายแพ้กลับไปอย่างหมดรูป กองทัพกองถัดมาจึงมาช้ากว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้พอสมควร เช้ามืดวันถัดมาจึงค่อยได้ยินเสียงกลองศึกที่ดังลอยมาจากนอกเมือง


 


 


ซย่าซูและอวิ๋นถิงยืนสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงเมือง อวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ “ม่อจิ่งหลีเกณฑ์ทหารจากทั้งเมืองหลิงโจวมาเลยกระมัง” พื้นที่ด้านหน้าบริเวณเมืองหย่งหลินไม่กว้างขวางนัก แต่เมื่อมองลงไปแล้วเห็นเงาคนและธงที่ปลิวไสวอยู่อย่างแน่นขนัด ทำให้ไม่คิดอยากคะเนถึงจำนวนคนที่มาเอาเสียเลย


 


 


ซย่าซูเอ่ยเสียงต่ำว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองหลวง ได้ยินว่าหลีอ๋องเป็นเพียงคนไร้น้ำยาคนหนึ่ง มายามนี้ดูท่าจะมิใช่อย่างนั้นสักทีเดียว” เมื่อได้เห็นกองทัพที่กรีฑาทัพเข้ามาอย่างแน่นขนัดและเป็นระเบียบ ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่กองทัพที่คนไร้น้ำยาจะสามารถจัดทัพมาได้


 


 


อวิ๋นถิงเบ้ปาก “ไม่ในมือเขามียอดฝีมืออยู่ เขาก็คงแกล้งทำเป็นโง่ คนไร้น้ำยาจะสามารถรวบรวมทหารคิดการกบฏได้หรือ นั่นมันคนบ้า”


 


 


           มีคนสามสี่คนขี่ม้าวิ่งห้อออกมาจากขบวนทัพ ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นลักษณะท่าทางดูไม่เหมือนนายทหาร เขามองขึ้นมายังคนด้านบนกำแพงเมือง พร้อมตะโกนบอกว่า “ทหารรักษาการที่อยู่ทางด้านบนฟังให้ดี เปิดประตูเมืองให้พวกเราผ่านไปบัดเดี๋ยวนี้”


 


 


           อวิ๋นถิงเบ้ปาก “เจ้าเป็นผู้ใดกัน แค่บอกให้เปิดพวกเราก็ต้องเปิดหรือ”


 


 


           ชายวันกลางคนเอ่ยว่า “ข้าเป็นผู้ว่าการเขตหย่งโจว เขตหย่งโจวได้สวามิภักดิ์ต่อหลีอ๋องแล้ว ยังไม่รีบเปิดประตูเมืองต้อนรับหลีอ๋องอีก!”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นถิงจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่ากลับไปว่า “ข้านึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ไอ้คนทุรยศนี่เอง ทางเดินบนสวรรค์มีดีๆ ไม่เดิน คิดเป็นคนทุรยศแล้วยังไม่รู้จักหาที่หลบซ่อนตัว ยังกล้าออกมาวางก้ามเช่นนี้อีก” เขายื่นมือไปหยิบคันธนูของนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา แล้วยิงธนูเข้าใส่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวอย่างไม่ลังเล


 


 


           “อ๊า!” ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่เมื่อครู่พูดจาอวดใหญ่อวดโตอยู่บนหลังม้า ถูกคนข้างๆ ดึงให้หลบ ลูกธนูดอกนั้นจึงเพียงถากเข้าที่ใบหูของเขา เขาร้องเสียงดังด้วยความตกใจจนเกือบตกจากหลังม้า


 


 


อวิ๋นถิงส่งเสียงจึ๊ในลำคอด้วยความเสียดาย “โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย”


 


 


เมื่อใช้อำนาจของผู้ว่าการเขตหย่งโจวไม่ได้ผล หนึ่งในนั้นจึงได้โบกมือให้พาเขากลับเข้ากองทัพไป แล้วจึงได้เงยขึ้นพูดกับทั้งสองคนบนกำแพงเมืองว่า “บนกำแพงเมืองคือผู้บัญชาการอวิ๋นถิงและซย่าซูใช่หรือไม่ ท่านทั้งสองมีทหารรวมกันไม่ถึงสามหมื่นนาย อย่างไรก็ไม่มีทางขวางกองทัพจำนวนสองแสนนายของข้าได้ เหตุใดจะต้องดื้อด้านด้วยเล่า อันที่จริงทุกคนต่างก็เป็นราษฎรของแผ่นดินต้าฉู่ หากเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นทุกคนต่างก็รู้สึกเสียใจมิใช่หรือ”


 


 


           อวิ๋นถิงส่งเสียงถุย ยิ้มเย็นพร้อมพูดว่า “ช่างน่าขัน เจ้ายังรู้ตัวหรือว่าตนเองเป็นราษฎรของต้าฉู่ ข้ายังนึกว่าเป็นหมาที่คนทุรยศเลี้ยงเอาไว้มาเห่าหอนเล่นเสียอีก”


 


 


           คนที่อยู่ด้านนอกเมืองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วจึงรีบพูดกลั้วหัวเราะต่อ “ฮ่องเต้ไร้ศีลธรรม หลีอ๋องต่างหากที่เป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง พวกข้าก็ควรที่จะรับคำสั่งหลีอ๋อง…”


 


 


           “ถุย!” อวิ๋นถิงยกลูกธนูอีกดอกขึ้น เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีสบายๆ ก็มิได้ใส่ใจ เพียงเอ่ยก่นด่าเสียงดังว่า “คนน่าไม่อายข้าก็พบเจอมาไม่น้อย แต่คนน่าไม่อายเช่นเจ้านี่ข้าเพิ่งเคยพบเป็นคนแรก ฮ่องเต้ไร้ศีลธรรม…ฮ่องเต้ฆ่าพ่อแม่ของเจ้าหรือแย่งเมียของเจ้ามาหรือไร แล้วยังโอรสสวรรค์ที่แท้จริง…คิดว่าข้าอยู่ที่ชายแดนแล้วไม่เคยได้ยินข่าวหรือ ก่อนแต่งงานก็ลักลอบคบหากับน้องสะใภ้ในอนาคต วันแต่งงานก็ถูกคนจับได้ว่าทำตัวผิดทำนองคลองธรรมกับหญิงอื่น อ้อ…ยังมี วันเสกสมรสใหญ่ก็เป็นลมล้มพับลงไปในงาน…สุขภาพร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเถิด อย่าได้ออกมาให้ใครเขารำคาญตาเลย!”


 


 


ซย่าซูที่ยืนอยู่อีกด้านเมื่อได้ยินอวิ๋นถิงก่นด่าด้วยความโกรธไม่หยุด สีหน้าจึงดูหดหู่ลงเล็กน้อย นายทหารบนกำแพงเมืองต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา แม้แต่ทหารของหลีอ๋องที่ด้านนอกเมืองก็พลอยมีสีหน้าประหลาดไปด้วย


 


 


ผู้บัญชาการทหารที่คิดอยากเจรจาผู้นั้นโกรธจนแทบอย่างจะมุดแผ่นดินหนี เขาชี้หน้าอวิ๋นถิงแล้วเอ่ยด้วยความโกรธ “ดี! เจ้าอย่าได้ตกมาอยู่ในน้ำมือข้าเชียว มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่!”


 


 


           อวิ๋นถิงเชิดหน้าขึ้น กดสายตามองเขาด้วยความเย่อหยิ่ง “ข้าจะรอ”


 


 


           เบื้องหลังกองทัพขนาดใหญ่ ม่อจิ่งหลีหน้าดำประหนึ่งหมึก รังสีอึมครึมที่แผ่ออกมาทำให้แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างมิกล้าแม้แต่จะส่งเสียง ถึงแม้ตรงที่พวกเขาอยู่จะห่างจากด้านหน้าไปไกลพอสมควร แต่เสียงของอวิ๋นถิงเมื่อครู่ใช้กำลังภายในเปล่งออกมา แม่ทัพที่อยู่ข้างกายม่อจิ่งหลีในตอนนี้อย่างไรก็มีวิทยายุทธอยู่ไม่มากก็น้อย ย่อมได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน ที่สีหน้าม่อจิ่งหลีดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็เข้าใจได้ “บุก! ไอเจ้าเด็กคนนั้นจับเป็นมาให้ข้า!”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคนข้างกายโบกมือ ก็ได้ยินเสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้นทันที กองทัพทางด้านหน้าเริ่มเคลื่อนพลเข้าโจมตีเมือง


 


 


           ม่อจิ่งหลีดูต้องการที่จะเผด็จศึกโดยไว เขาต้องการที่จะยึดพื้นที่ทางตอนใต้ ใต้แม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ให้ได้ก่อนที่กองหนุนจากราชสำนักจะมาถึง ดังนั้นถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กอย่างหย่งหลินเขาก็ไม่ปรานี เพราะถึงอย่างไรด้านหลังเมืองหย่งหลินก็เป็นด่านซุ่ยเสวี่ย


 


 


ครั้งนี้อวิ๋นถิงและซย่าซูรับรู้ถึงความกดดันที่มากกว่าเมื่อนวานมากนัก แค่เพียงกำลังทหารในการรักษาเมืองก็แทบจะไม่เพียงพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแบ่งกำลังออกไปสู้รับกับข้าศึกเลย ต่อให้พวกเขาสามารถแบ่งกำลังออกไปสู้รบได้ แต่กำลังทหารเพียงหยิบมือนี้เมื่อต้องเข้าไปสู้กับกองทัพนับแสนคนแล้ว ถึงออกไปก็คงมิได้กลับเข้ามา และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแน่นอน


 


 


ด้านนอกเมืองท่อนไม้ขนาดใหญ่ถูกยกกระแทกประตูเมือง ทั่วทั้งกำแพงเมืองสั่นไหวไปพร้อมกับเสียงตึงตึงที่ดังขึ้น ทหารบนกำแพงเมืองค่อยๆ ร่วงหล่นจากกำแพงไปทีละคนสองคน ข้าศึกที่ต้องการข้ามกำแพงขึ้นมาก็มีมากประหนึ่งฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด


 


 


อวิ๋นถิงและซย่าซูเองต่างกวัดแกว่งดาบไม่ได้หยุด คอยช่วยปิดช่องว่างในส่วนที่นายทหารจัดการได้ไม่ทั่วถึง พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ค่อยๆ แผ่กระจายขึ้นในอากาศ


 


 


           เมื่อเห็นว่าจำนวนทหารรักษากาณณ์บนกำแพงเมืองค่อยๆ น้อยลงไปทุกที ชุดออกศึกสีขาวของอวิ๋นถิงก็เต็มไปด้วยคราบเลือด “โชคไม่ดีเอาเสียเลย ข้านำทัพออกศึกคราแรก ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบเสียแล้วหรือ”


 


 


           “เจ้าวางใจได้ หากเจ้าตาย ราชสำนักจะต้องแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพแน่นอน” ซย่าซูกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


           “ขอบคุณที่ปลอบข้า แต่อย่างไรข้าก็อยากให้พวกสารเลวพวกนี้ตายเสียก่อน!” อวิ๋นถิงกล่าว กระบี่ในมือจ้วงแทงเข้าใส่ข้าศึกที่หมายจะลอบโจมตีซย่าซูจากด้านข้าง แล้วจึงจับร่างข้าศึกผู้นั้นโยนลงไปตามบันไดที่กำลังมีข้าศึกปีนขึ้นมา


 


 


           “พี่น้องทั้งหลาย กันพวกมันไว้ให้ได้! หากให้คนทุรยศพวกนี้เข้าไปถึงด่านซุ่ยเสวี่ยคงเป็นอันจบกัน ตั้งแต่ด่านซุ่ยเสวี่ยสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่เคยให้พวกคนต่างถิ่นจากหนานเจียงข้ามไปได้แม้แต่ก้าวเดียว จะมาพังลงในมือของพวกเราไม่ได้!” อวิ๋นถิงยกมือขึ้นตะโกนเสียงดัง


 


 


ทหารรักษาการณ์ต่างตะโกนตอบรับด้วยความพร้อมเพรียงกัน “รักษาหย่งหลินไว้ให้ได้!” ถึงแม้จะเป็นนายทหารเช่นเดียวกัน แต่ทหารที่รักษาการณ์อยู่ในแคว้นนั้นยากที่จะเข้าใจหัวจิตหัวใจนายทหารที่รักษาการณ์อยู่ตามชายแดนได้ การรักษาประตูชายแดนแคว้นนั้นถือเป็นเกียรติและสิ่งที่สำคัญประหนึ่งชีวิต และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา


 


 


           ในป่าห่างจากเขตเมืองหย่งหลินไปหลายลี้ เยี่ยหลียืนสังเกตการณ์อยู่บนต้นไม้บนเนินเขาลูกหนึ่ง เสียงอาวุธและการต่อสู้ต่อให้อยู่ห่างไปหลายลี้แต่ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


           “พระ…คุณชาย ทางเมืองหย่งหลินนั้นใกล้จะเอาไม่อยู่แล้วขอรับ” องครักษ์ลับสามรีบก้าวเข้ามารายงาน


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงกล่าวว่า “ด้วยกำลังทหารเพียงสองหมื่นนายแต่สามารถถ่วงเวลาไว้ได้นานเช่นนั้น ถือว่าไม่เลวแล้ว ตอนนี้คนที่รักษาการณ์เมืองหย่งหลินอยู่คือผู้ใดหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสองตอบว่า “อวิ๋นถิงกับซย่าซู เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพมู่หรงขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “มีเพียงสองคนเท่านั้นหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ผู้บัญชาการทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยมีไม่มากนัก ทั้งสองคนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพมู่หรงที่มีอนาคตไกลและเป็นคนที่แม่ทัพมู่หรงให้ความไว้ใจที่สุด เมื่อวานคนที่ชื่ออวิ๋นถิงยังได้ตัดหัวคนนำทัพหน้าของหลีอ๋องไปด้วยขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ม่อจิ่งหลีก็อยู่ในทัพด้วยหรือ”


 


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า แล้วชี้นิ้วไปยังจุดที่มีธงโบกสะบัดอยู่ “หลีอ๋องน่าจะอยู่แถวนั้นขอรับ คุณชาย…พวกเราจะ…”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้างกายม่อจิ่งหลีน่าจะมีการอารักขาอย่างแน่นหนา อีกอย่างตัวเขาเองก็มิใช่คนไร้วิชา คิดอยากจับคนทุรยศแล้วเริ่มจากจับตัวหัวโจกเลยดูจะเป็นไปไม่ได้สักเท่าไร องครักษ์ลับสอง สาม”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           “พวกเจ้าเลือกคนไปสังหารผู้ว่าการเขตหย่งโจว”


 


 


           องครักษ์ลับสองและสามหันมองหน้ากัน ขานรับเสียงกังวานว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “สังหารเพียงผู้ว่าการเขตหย่งโจวเท่านั้น อย่างอื่นอย่าได้เข้าไปยุ่ง แล้วรีบถอนตัวกลับมา”


 


 


           “ขอรับ! เช่นนั้นคุณชาย….”


 


 


           เยี่ยหลีพ่นลมหายใจออกเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าจะไปกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี”


 


 


หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสามสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางมองเยี่ยหลีด้วยความเคารพ ถึงแม้พวกเขาควรที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระชายาอยู่แล้ว แต่พระชายาที่มีฝีมือเป็นเลิศและมีความฉลาดหลักแหลม ก็ทำให้พวกเขาที่มีความภาคภูมิใจในฝีมือและความแข็งแกร่งของตนเอง รู้สึกยอมรับได้ง่ายกว่านายหญิงผู้บอบบางที่มีแต่ความงามมากนัก


 


 


ถึงแม้พวกเขาเพิ่งทำความรู้จักได้ไม่กี่วัน แต่หลายวันนี้ที่พระชายาขี่ม้าวิ่งตะบันเดินทางเป็นร้อยลี้ทั้งทางบกและทางน้ำ โดยไม่มีการปริปากบ่นสักแอะ ทั้งยังแข็งแรงกว่าทหารทั่วไปที่มีฝีมือ ทำให้คนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของพวกเขารู้สึกยินดีรับใช้พระชายาผู้นี้ด้วยใจจริง 

 

 


ตอนที่ 89-3 จุดเริ่มต้นที่ดี

 

องครักษ์ลับสองและสามรู้ดีว่าถึงแม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นองครักษ์ลับ แต่เอาเข้าจริงพระชายาไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยตามปกป้องอยู่ตลอดเวลา ที่พระชายาส่งพวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ก็เพื่ออนาคตของตัวพวกเขาเอง หวังให้พวกเขาสามารถยืนอยู่ท่านกลางผู้คนได้อย่างมีเกียรติ มิใช่เพียงองครักษ์ติดตามที่ไม่สามารถออกมาเจอแสงสีได้ “ข้าน้อยรับบัญชา” องครักษ์ลับสองกล่าว ขณะเดียวกันก็ได้ลอบส่งสายตาไปทางหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีว่า ฝากความปลอดภัยของพระชายาไว้กับพวกท่านด้วย


 


 


           หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉียักคิ้วตอบ ถือเป็นการตอบรับ


 


 


           “เตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือยัง” เมื่อองครักษ์ลับสองและสามพาคนออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หมุนตัวกลับมาเอ่ยถาม


 


 


           “เรียนคุณชาย เรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถออกเดินทางได้ทันที”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก แบ่งทหารออกไปสี่ทาง เข้าไปยังเขตการสู้รบจากทั้งสี่มุม หลังจากนี้อีกหนึ่งเค่อ ทุกคนที่เหลือเตรียมเคลื่อนพลได้”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


สถานการณ์ในสนามรบดูเลวร้ายลงเรื่อยๆ จากช่วงแรกที่มีเพียงทหารฝ่ายข้าศึกหนึ่งถึงสองคนที่ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้สำเร็จแต่ก็ถูกสังหารทิ้งได้ทันที ช่วงหลังมานี้ข้าศึกที่ปีนขึ้นบนกำแพงได้สำเร็จยังสามารถฆ่าทหารทางด้านบนได้หลายคนอีกด้วย ถึงแม้ในตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้างความหวั่นเกรงได้มากนัก แต่เชื่อว่าคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน


 


 


ในที่สุดอวิ๋นถิงก็ไม่มีเวลามาเสียแรงตะโกนด่าอีกแล้ว เขากวัดไกวอาวุธโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง ใบหน้าหนุ่มปรากฏความเหนื่อยอ่อนพร้อมกับรังสีสังหารให้เห็นอย่างชัดเจน แขนขวาของซย่าซูมีแผลยาวจากการถูกฟัน จึงจำต้องเปลี่ยนมาใช้กระบี่ที่มือซ้ายแทน โชคดีที่ฝีมือกระบี่มือซ้ายของเขาร้ายกาจพอๆ กับมือขวา


 


 


           เมื่อการโจมตีระลอกแรกหยุดไปพักหนึ่ง การโจมตีระลอกใหม่ก็ตามเข้ามาทันที ซย่าซูยากกระบี่ขึ้นกวาดเอาข้าศึกคนหนึ่งให้ตกกำแพงไป แต่จู่ๆ บนกำแพงก็มีข้าศึกอีกคนปรากฏตัวขึ้น หมายจะเข้ามาสังหารด้วยความดุดัน “ซย่าซู!” อวิ๋นถิงตะโกนเรียก พร้อมกับผลักข้าศึกที่พุ่งเข้ามาให้ตกลงไป ซย่าซูเองก็ชะงักไปเพียงเล็กน้อย แต่กลับเห็นความตกใจบนใบหน้าดุดันนั้น ก่อนที่ตัวจะเสียหลักตกลงไป


 


 


           เงาสีดำยาวประหนึ่งลูกธนูอันแหลมคมสีดำวิ่งเข้ามาจากสี่ทิศ แทรกซึมเข้าสู่กองทัพขนาดหลายหมื่นคนด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านประหนึ่งเกิดลมพายุสีดำลูกยักษ์พัดผ่าน ทั้งยังได้แบ่งกองทัพขนาดใหญ่ออกเป็นส่วนๆ แล้วในสมรภูมิรบอันวุ่นวายก็ถูกเงาสีดำแบ่งออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยอย่างรวดเร็ว


 


 


           “นั่นอะไรน่ะ” ทหารในชุดดำเคลื่อนตัวผ่านมาด้วยความรวดเร็วพร้อมง้างคันธนูในมือ ก่อนยิงธนูสามดอกออกมาพร้อมๆ กันโดยที่แทบจะไม่ต้องเสียเวลาเล็ง ลูกธนูสามดอกนั้นพุ่งเข้าหาตัวคนสามคนที่พยายามปีนข้ามกำแพงอย่างแม่นยำ จากนั้นก็มีลมพายุสีดำที่เคลื่อนผ่านด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่า แล้วบันไดที่พาดอยู่นอกกำแพงเมืองก็กลายเป็นเพียงเศษไม้อย่างรวดเร็ว จากนั้นทหารม้าก็วิ่งหายไปประหนึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นมาก่อน อวิ๋นถิงมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมอุทานขึ้นอย่างตกตะลึง


 


 


           ซย่าซูยกมือกดปากแผลที่เจ็บปวดเอาไว้ ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “กองหนุน! เร็ว ยิงธนู!”


 


 


ด้วยเพราะบันไดที่จะเข้าโจมตีเมืองถูกทำลายลงแล้ว ความตึงเครียดบนกำแพงจึงหายไปในพริบตา ซย่าซูรีบออกคำสั่งให้พลทหารบนกำแพงเมืองยิงธนูออกไปช่วยทหารม้าในชุดดำที่นอกเมือง พวกเขายืนอยู่บนกำแพงเมืองย่อมเห็นสถานการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจน กองหนุนที่มานั้นมีไม่มาก แต่ด้วยรังสีและความสามารถในการรบ รวมกับพลังของทหารม้าติดอาวุธหลายพันคนนั้น ทำให้ข้าศึกเกิดความตื่นกลัวจนวุ่นวายขึ้นเท่านั้นเอง


 


 


ทางตอนใต้น้อยนักที่มีจะมีทหารม้า เขามองทหารม้าในชุดดำที่อยู่เบื้องล่าง แล้วในใจซย่าซูก็ลิงโลดขึ้นทันที สายตาที่เดิมทีมีแววของความเหนื่อยล้า กลับมีไฟลุกโชนขึ้น “เร็ว อวิ๋นถิง เตรียมรับพวกเขาเข้าเมือง” ถึงแม้ทหารม้าเหล่านี้หนึ่งคนสามารถจัดการข้าศึกได้ร้อยคน แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในทัพใหญ่ที่มีจำนวนหลายหมื่นคนแล้ว การต่อสู้ที่ยืดเยื้อก็คงมิใช่ทางเลือกที่ดีนัก


 


 


           “ได้ ข้าจะออกไปรับพวกเขาเอง!”


 


 


           ซว่าซูส่ายหน้า “ไม่ต้อง คุ้มกันประตูเมืองไว้ พวกเขาฝ่าออกมาเองได้”


 


 


           อวิ๋นถิงเหลือบมองซย่าซูด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังความเห็นของเพื่อนทหารที่อายุมากกว่าตนเล็กน้อยผู้นี้


 


 


           เมื่ออยู่ในสนามรบ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรวดเร็วประหนึ่งสายลม ด้านหลังกองทัพข้าศึก ม่อจิ่งหลีสังเกตุการณ์อยู่กับผู้บัญชาการทหาร เข้าไม่ค่อยเห็นเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินอยู่ในสายตา ตลอดทางมานี้ทุกอย่างราบรื่นจนเกินไป ขอเพียงตีเมืองหย่งหลินได้สำเร็จ จะก็ประหนึ่งเขาครอบครองพื้นที่ได้เกือบครึ่งแคว้นแล้ว อันที่จริงแม้แต่ตัวม่อจิ่งหลีเองก็ยังไม่เคยคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้


 


 


เขาหันหน้าไปเหลือบมองผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตามีประกายเลือดเย็นปรากฏขึ้น คนที่สามารถหักหลังนายของตนได้ ก็ย่อมหักหลังนายคนที่สองของตนได้เช่นกัน คนผู้นี้เก็บไว้ตอนนี้ยังมีประโยชน์ ไว้รอให้…


 


 


           ฟิ้ว ฟิ้ว! อาวุธลับลอยแหวกอากาศเข้ามา พุ่งเข้าใส่คณะของม่อจิ่งหลี ม่อจิ่งหลีหันหลบด้วยความระแวดระวัง องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรีบล้อมเข้ามาโดยทันที “มีคนลอบสังหาร! อารักขาท่านอ๋อง!”


 


 


มีเงาคนพุ่งออกมาจากรอบทิศ แต่กลับไม่มีผู้ใดพุ่งเข้าหาม่อจิ่งหลีที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาหลายชั้นนั้นเลย มีคนสามสี่คนออกมาล้อมรอบองครักษ์ไว้ หนึ่งในนั้นหมุนตัวพุ่งเข้าใส่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่หลบอยู่อีกด้าน ผู้ว่าการเขตหย่งโจวตกใจจนอยากร้องตะโกนออกมา แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตนเองแม้สักแอะ รู้สึกเพียงเย็นวาบขึ้นที่หัวใจ พร้อมกับกริชที่แทงเข้าที่หัวใจของตนเท่านั้น


 


 


เขาเงยหน้าที่หวาดกลัวขึ้นสบเข้ากับดวงตาที่เย็นเยียบ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหูเขาว่า “ด้วยบัญชาของพระชายาติ้งอ๋อง…คนคิดคดทรยศ ต้องฆ่าทิ้ง!”


 


 


           “ถอย!” เขาดึงมีดสั้นออกจากหน้าอกของผู้ว่าการเขตหย่งหลิน พร้อมเลือดที่พุ่งออกมาประหนึ่งตาน้ำ องครักษ์ลับสองหันกลับไปเอามีดปาดเข้าที่คอขององครักษ์ที่พุ่งตัวเข้ามา พร้อมหันไปพูดกับคนอื่นๆ ที่ติดพันอยู่กับการต่อสู้ที่เหลือ


 


 


           คนอื่นที่เหลือรีบสลัดตัวจากสิ่งที่พัวพันอยู่ แล้วจึงกระจายตัวกันออกไปแทรกซึมเข้าสู่กองทัพของหลีอ๋อง แล้วค่อยๆ หายตัวไป


 


 


           ม่อจิ่งหลีมองผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่สิ้นใจตายอยู่ที่พื้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้งและมีแววหวาดกลัวและเป็นกังวลผสมอยู่ สิ่งที่คนลอบสังหารเมื่อครู่พูดนั้นพวกเขาได้ยินไม่ทั้งหมด แต่ประโยคสุดท้ายที่ว่าคนคิดคดทรยศต้องฆ่าทิ้งนั้น พวกเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน ในกองทัพที่มีทหารอยู่นับหมื่นคน ทั้งยังมีการอารักขาอย่างแน่นหนา แต่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวกลับถูกคนเข้ามาสังหารได้โดยง่ายเช่นนี้ จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นวาบในใจได้อย่างไร


 


 


           ม่อจิ่งหลียังไม่ทันได้ระบายความโกรธ ก็มีเสียงร้องดังขึ้นว่า “นั่นอะไรน่ะ!”


 


 


           ทุกคนต่างหันไปมองยังสมรภูมิรบ ที่ไม่รู้มีทหารม้าในชุดดำแทรกซึมเข้าไปตั้งแต่เมื่อใด ทหารที่อยู่ด้านหน้าสุดดูมีแววจะพ่ายแพ้หลังถูกโจมตีอยู่หลายครั้ง “ทางใต้มีทหารม้าจำนวนมากเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”


 


 


ทหารม้ากลุ่มนี้มีความว่องไวสูง พวกเขาวิ่งอ้อมไปมา มองจากไกลๆ ไม่มีทางคาดคะเนได้ว่าพวกเขามีกันกี่คน รับรู้แต่เพียงว่าทั่วทั้งสนามรบมีแต่ทหารม้าในชุดดำอยู่เต็มไปหมด และทุกที่ที่ผ่านไปก็จะมีศพนอนตายกันเกลื่อนกลาด ด้วยพื้นที่ด้านหน้าเมืองหย่งหลินค่อนข้างแคบ จึงมิอาจที่จะส่งกำลังพลทั้งหมดลงไปได้ พวกเขาจึงได้แต่นิ่งเฉยอย่างทำอันใดมิได้


 


 


           “เฮยอวิ๋นฉี!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันเอ่ยขึ้น


 


 


           เฮยอวิ๋นฉี! ทุกคนต่างตัวสั่นขึ้นพร้อมกัน คนที่ใจเสาะหน่อยก็ถึงกับหน้าขาวซีดอย่างปกปิดไม่มิด เฮยอวิ๋นฉี กองกำลังที่เก่งกาจที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของติ้งอ๋อง นอกจากติ้งอ๋องและนายหญิงของตำหนักติ้งอ๋องที่ได้รับความเห็นชอบจากติ้งอ๋องแล้ว ผู้ใดก็สั่งการทหารกองนี้ไม่ได้ ในเมื่อเฮยอวิ๋นฉีปรากฏตัวขึ้นที่นี่…เช่นนั้น…ติ้งอ๋องจะต้องอยู่แถวนี้เป็นแน่!


 


 


           “เป็นไปไม่ได้!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นขึ้น “ไอ้ขี้โรคม่อซิวเหยานั่นไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วเพียงนี้!” เขาออกมาจากเมืองหลวงอย่างลับๆ ต่อให้ม่อจิ่งหลีรู้ข่าวเรื่องนี้ และรีบเดินทางตามออกมาทันที แต่ด้วยสภาพร่างกายของเขา อย่างน้อยๆ ก็ควรมาถึงช้ากว่าเขาหลายวัน และต่อให้ตามมาทันก็ไม่มีทางมีแรงพอที่จะออกมาบัญชาการรบได้


 


 


           “เช่นนั้น…ตอนนี้ผู้ใดเป็นผู้สั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้หรือขอรับ” แม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึในลำคอ เขามั่นใจมากว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางอยู่ที่หย่งหลิน แต่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้ผู้ใดเป็นผู้บัญชาการกัน เฟิ่งจือเหยาหรือ ไม่น่าใช่ เฟิ่งจือเหยาสั่งการเฮยอวิ๋นฉีไม่ได้…


 


 


           “ท่านอ๋อง มีทหารม้าจำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมาจากทางใต้ขอรับ!”


 


 


           ม่อจิ่งหลีอึ้งไป “มากเท่าใด!”


 


 


           “เยอะมาก…นับไม่ถ้วน…คนที่ไปลอบสังเกตการณ์เมื่อเข้าไปใกล้หน่อยก็ถูกยิงตายทันทีขอรับ!”


 


 


           ทุกคนต่างหันมองไปทางทิศใต้ ก็เห็นฝุ่นสีดำตลบอยู่กองใหญ่ ทั้งยังมีแรงสั่นสะเทือบจากฝีเท้าม้าที่กระทบเข้ากับพื้นจนผืนดินสั่นไหวไปหมด หากไม่มีม้าหลายพันตัว ไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน


 


 


           “ท่านอ๋อง…”


 


 


           เสียงสัญญาณสั่งให้ถอยทัพดังขึ้น ทหารข้าศึกที่เข้าโจมตีเมืองถอยทัพกันอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายน้ำ พร้อมกันนั้นประตูเมืองหย่งหลินก็เปิดออก ทหารม้าในชุดดำวิ่งเข้าเขตเมืองด้วยความรวดเร็ว แล้วประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักก็ปิดเข้าหากันอีกครั้ง


 


 


บนกำแพงเมือง เมื่อเห็นข้าศึกล่าถอยไปไกลแล้ว อวิ๋นถิงและซย่าซูจึงหันมาสบตากันพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากมิใช่เพราะคนเหล่านี้รีบตามมาได้ทันเวลา เกรงว่าพวกเขาคงจะต้านไว้ไม่อยู่


 


 


           อวิ๋นถิงเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ออก แล้วเก็บกระบี่เข้าฝักพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ซย่าซู ใครกันที่มาช่วยพวกเรา”


 


 


           ซย่าซูถอนหายใจ “อีกหน่อยอย่าได้อวดอ้างว่าเจ้าเติบโตมาในเมืองหลวงเชียว เรื่องแค่นี้ก็ดูไม่ออก ปกติเจ้าเอาเวลาไปรวบรวมข่าวชาวบ้านในตลาดเสียหมดกระมัง” แม้แต่เรื่องที่หลีอ๋องลอบคบหากับน้องสะใภ้ยังรู้ แต่กลับมางงงวยกับเรื่องสำคัญเช่นนี้


 


 


           อวิ๋นถิงหันมากะพริบตาใส่เขา แล้วอยู่ๆ เขาก็ตาโตจ้องหน้าซย่าซูขึ้นมาทันที พักใหญ่ถึงได้พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “ซย่า…ซย่าซู คงไม่…คงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดหรอกกระมัง”


 


 


ซย่าซูกลอกตาใส่เขา “นอกจากอย่างที่เจ้าคิดแล้ว ยังเป็นอันใดได้อีกหรือ” ในที่สุดอวิ๋นถิงก็ร้องเสียงแหลมออกมา แล้วรีบวิ่งลงไปด้านล่างกำแพงเมืองทันที


 


 


ซย่าซูได้แต่ส่ายหน้าเดินตามเขาลงไป เฮยอวิ๋นฉีในตำนานเชียวนะ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ


 


 


           สองฝากถนนที่กว้างใหญ่ในกำแพงเมือง มีคนและม้าสีดำยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่ว่าจะคนหรือม้าต่างไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งถนนเส้นใหญ่นั้นเงียบสงบประหนึ่งหากมีเข็มตกลงพื้นยังได้ยิน


 


 


เมื่ออวิ๋นถิงเดินลงมาจากกำแพง ก็รับรู้ได้ถึงรังสีสังหารอันรุนแรงและบรรยากาศที่น่าอึดอัดที่ปกคลุมอยู่ทุกพื้นที่ ความยินดีที่แสดงออกมามากกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้ถูกเก็บกลับมาโดยไม่รู้ตัว เขายืดตัวขึ้นตรงพร้อมหันมองไปทางคนที่อยู่ด้านหน้าสุด


 


 


           คนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็อยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เขากลับไม่เหมือนคนอื่นที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า แต่กลับยืนจูงม้าสีดำอยู่อย่างสงบเงียบ อวิ๋นถิงมองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังม้าแล้ว เขาดูตัวเล็กและใจดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีรังสีสังหารอย่างคนบนหลังม้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งสายตาที่มองมาทางอวิ๋นถิงยังดูมีรอยยิ้มอีกด้วย แต่อวิ๋นถิงรู้ดี ว่านี่มิได้หมายความว่าคนผู้นี้อ่อนแอกว่าผู้อื่น แต่ในทางกลับกัน คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ต่างหาก


 


 


           “ข้าน้อยทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ย นามอวิ๋นถิง ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยเสริมทัพได้ทันเวลา ไม่รู้ว่า…ควรเรียกท่านว่าอย่างไร”


 


 


           เยี่ยหลีมองดูนายทหารหนุ่มที่มีท่าทีประดักประเดิดและเฝ้ารอตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่อดที่จะรู้สึกน่าขันไม่ได้ แต่สีหน้ายังคงราบเรียบ “นายทหารอวิ๋น สะดวกเปลี่ยนที่สนทนาหรือไม่”


 


 


ในขณะที่อวิ๋นถิงกำลังอึ้งอยู่ ซย่าซูที่เดิมตามมากทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “ย่อมได้ เชิญทางนี้ ข้าน้อย ทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ยนามซย่าซู”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วจึงหมุนตัวหันไปพูดกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่อยู่ทางด้านหลังว่า “ลงมาพักได้”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           ทหารหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายลงจากหลังม้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่าทางเป็นระเบียบจนทำให้ผู้คนนึกตกใจ


 


 


           อวิ๋นถิงดึงสติกลับมาได้ รีบเอ่ยว่า “ตลอดทางมานี่ทุกท่านคงลำบากไม่น้อย ไปพักผ่อนที่ค่ายก่อนดีหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เกรงว่าคงไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว คงไม่ต้องลำบาก เชื่อว่าเมืองหย่งหลินคงมีทหารบาดเจ็บที่ต้องการการดูแลอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ม้าศึกเหล่านี้ต้องการให้ท่านช่วยจัดหาอาหารให้สักหน่อย”


 


 


ซย่าซูย่อมเข้าใจดี โชคดีที่ถึงแม้ด่านซุ่ยเสวี่ยจะมีทหารม้าอยู่ไม่มากนะ แต่หญ้าสำหรับม้าศึกสองพันตัวนี้ยังมีพอเลี้ยงได้สักสองสามวัน เขาพยักหน้า “คุณชายโปรดวางใจ ข้าน้อยจะรีบไปคนไปจัดการ เชิญคุณชายด้านนี้”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า เดินตามซย่าซูเข้าไปยังค่ายทหารที่ปักหลักอยู่ด้านในกำแพงเมือง


 


 


           อวิ๋นถิงหันมองทหารม้าในชุดดำที่บ้างยอบตัวลงนั่ง บ้างหลับตาพักผ่อน บ้างหยิบอาวุธออกมาเช็ดทำความสะอาดด้วยความมึนงง แล้วหันกลับไปมองเยี่ยหลีที่เดินตามซย่าซูพร้อมด้วยชายในชุดดำอีกสามสี่คน ก่อนจะสะบัดหัวไปมาแล้วรีบออกเดินตามไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม