เพราะรักสลักใจ 873-878

 ตอนที่ 873 หัวหน้าโจรป่าปล้นสะดมชาวบ้าน


 


 


แม้กระทั่งพี่ป้าน้าอาอำเภอข้างเคียงยังมาเลียบๆเคียงๆหยั่งเชิงถามชื่อเสียง ดูว่าจะส่งลูกหลานบ้านตัวเองมาได้หรือไม่


 


 


แต่หลังรับสมัครนักเรียนครบแปดร้อยคนแล้ว เด็กคนอื่นๆล้วนต้องตรวจประเมินก่อน เด็กรู้ความเข้าใจมารยาทจะได้สิทธิ์ก่อน เด็กทะเล้นซุกซนรองลงมา เด็กพฤติกรรมย่ำแย่ก็ไม่รับไปเลย ยังต้องถามคำถามเด็กๆหลายข้อ ไม่อนุญาตให้ผู้ใหญ่พูดแทรก ตอบได้น่าพึงพอใจจึงจะรับเข้าศึกษา


 


 


เนื่องด้วยมีระบบนี้ แม้ยังมีเด็กเส้นส่งเข้ามามากมายไม่ขาดสาย เด็กชายเด็กหญิงล้วนมีหมด แต่หลังซูเซียงประกาศใช้กฎโรงเรียนอันใหม่ แม้คนมีแต่เพิ่มไม่มีลด แต่ก็ไม่ชุลมุนวุ่นวายมือเท้าพันกันอีกต่อไปแล้ว


 


 


เพราะทางนี้ก่อตั้งสำนักศึกษา เรื่องประสานงานจัดหาครูผู้สอนต่างๆจึงค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นซูเซียงจึงมอบอำนาจในการจัดการสมุนไพรทั้งหมดนี้ให้แก่พ่อบ้านชราและเฉิงยวน


 


 


ทั้งสองคนแม้เคยทะเลาะมีปากเสียงกัน แต่หลังแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วก็ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน เฉิงยวนไม่เข้าใจการบริหารจัดการ และพอดีเป็นความถนัดของพ่อบ้านชรา พ่อบ้านไม่เข้าใจเรื่องสมุนไพรว่าแบบไหนถึงดีที่สุด แต่นี่เป็นจุดแข็งของเฉิงยวน ดังนั้นสองคนรวมกันสามารถเรียกได้ว่ารวมพลังสายแข็ง บริหารกิจการด้านยาสมุนไพรจนเจริญรุ่งเรือง


 


 


ตอนหว่านเมล็ดพันธุ์ยังเกิดเรื่องขึ้น นั่นก็คือชายฉกรรจ์ใจนักเลงคนหนึ่งนามว่าหวังต้าหมาจื่อมานอนพับเลือดอาบอยู่ตรงคันนา


 


 


ผ่านการสอบถามมารอบหนึ่ง ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นโจรท้องถิ่นคนหนึ่ง ทว่ากลับมิใช่พวกโจรไร้คุณธรรมทุบบ้านปล้นสะดมจำพวกนั้น แต่เป็นโจรปล้นคนรวยช่วยคนจน มากกว่าครึ่งที่พวกเขาปล้นล้วนเป็นพวกขุนนางทุจริตกินสินบน หลังปล้นแล้วก็จะหาทางแจกจ่ายให้คนยากคนจน


 


 


ทว่าโชคไม่ดีนัก ยอดเขาลูกข้างๆมีขุนโจรเจ้าภูเขาอีกกลุ่มหนึ่ง หาว่าหวังต้าหมาจื่อช่วงชิงกิจการของพวกเขา นำคนบุกเข้าทลายยอดเขาของหวังต้ามาจื่อ เพื่อปกป้องพี่น้องของตัวเองหวังต้าหมาจื่อจึงได้รับเจ็บหนักขนาดนี้ ล้มสลบอยู่ในที่นาของซูเซียง


 


 


ผ่านการสืบถามรอบหนึ่งซูเซียงรู้สึกว่านิสัยเขาเที่ยงตรง อีกทั้งเขาถึงกับสนใจต่อเลขอารบิกที่ซูเซียงสร้างขึ้นโดยเฉพาะเป็นอย่างมาก การตอบสนองก็ว่องไวยิ่งนัก เหมาะมากกับการจัดการบัญชี


 


 


ซูเซียงตั้งใจจะรับเลี้ยงเขาไว้ ทว่าทุกคนไม่เห็นด้วย บอกว่าโจรป่าเป็นคนไม่ดี แม้เป็นโจรปล้นคนรวยช่วยคนจน นั่นก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ!


 


 


ตอนแรกจ้าวเซิงเองก็เคยเตือน แต่เพราะซูเซียงนิ่งเฉยกับเขาตลอด ไม่ชอบเสวนาชอบหัวเราะเหมือนอย่างเคย ทั้งวันเอาแต่กินเจไม่พูดจา ถ้าไม่พอใจก็ขังตัวเองอยู่ในห้องพระ เขาเองก็กลัวๆ


 


 


เพื่อหลีกเลี่ยงพูดมากก็ผิดมากทำให้ภรรยาอารมณ์ไม่ดี เขาเพียงแค่แอบให้พวกหลงฉีไปสืบถามดูหลายครั้ง ข่าวที่ส่งกลับมาล้วนบอกว่าหวังต้าหมาจื่อแท้จริงแล้วเป็นคนไม่เลว ยึดหลักธรรมยุทธภพ มีน้ำใจจต่อมิตรสหายมาก ปฏิบัติกับพี่น้องใต้บังคับบัญชาอย่างดี ชาวบ้านเหล่าที่เคยได้รับอุปการะคุณจากเขายังแอบบอกเล่าเหตุการณ์กับพวกหลงฉี  ดังนั้นหวังต้าหมาจื่อจึงรับรายการบัญชีสำคัญไปส่วนหนึ่ง อาจเพราะซูเซียงสูญเสียลูกไปแล้วจิตใจจึงย่ำแย่ ช่วงนี้ยังวุ่นอยู่กับเรื่องโรงเรียนแพทย์อีก สภาพจิตใจของคนจึงไม่ดีมากนัก


 


 


มีหลายครั้งจ้าวเซิงเห็นแล้วก็เป็นห่วง พอถามหลงฉี เจ้าโง่นั่นถึงกับบอกว่า “นายท่าน ถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆเราก็ใช้กำยานเถิด ทำให้ฮูหยินมึนงงสลบไปนางก็ได้นอนหลับสนิทแล้วขอรับ…”


 


 


ทีแรกจ้าวเซิงยังถลึงตาใส่หลงฉีอยู่หลายหน ต่อมาก็คิดว่าวิธีการนี้ถือเป็นวิธีที่หมดวิธีแล้ว จึงใช้ไปหลายครั้ง หลังทำให้ซูเซียงหลับสนิทติดต่อกันได้หลายวัน สีหน้าจึงค่อยๆกลับมาดีขึ้น


 


 


ต่อมาซูเซียงซึ่งเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้คนหนึ่ง เดี๋ยวเดียวก็หมกหมุ่นอยู่กับการสร้างเหลาสุราต่อ


 


 


เหลาสุราของซูเซียงเดินไปในสายเศรษฐีมั่งคั่งกับคนธรรมดาควบคู่กันทั้งยังพัฒนาอาหารสเลิศและขนมกินเล่นจำนวนมาก


 


 


ด้วยการบอกต่อกันก่อนมีภัยแล้ง และมีการช่วยเหลือจากทางด้านองค์หญิงเต๋อฮุ่ย เวลาสามปีกว่าก็ขยายธุรกิจให้ใหญ่โตได้แล้ว


 


 


พระพันปีเพียงรับสั่งว่าถ้าไม่เรียกตัวก็ไม่ให้พวกเขาเข้าเมืองหลวง แต่มิได้บอกว่าห้ามพวกเขาขยายกิจการเข้าไปในเมืองหลวงนี่นา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 874 ปมในใจของซูเซียง


 


 


ซูเซียงกับจ้าวเซิงหารือกันแล้วจึงส่งจดหมายไปปรึกษากับองค์หญิงเต๋อฮุ่ย ทางนั้นจึงเปิดเหลาสุราในนามของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินหลายแห่ง แต่ผู้ถือสิทธิ์ตัวจริงก็คือซูเซียง


 


 


กิจการเหลาสุราก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว สำคัญเลยคือสมุนไพรหลากชนิดของซูเซียง โดยเฉพาะหวงฉี เทียนหมาและโสมคน สมุนไพรล้ำค่าเหล่านี้เพาะปลูกได้สำเร็จ ไม่ทันรู้ตัวซูเซียงก็เป็นเศรษฐีมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว


 


 


และด้วยเพราะมีสมุนไพรล้ำค่าหายากพวกนี้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากแคว้นอื่นอีก ท้องพระคลังเองก็คลายความกดดันลงได้เกือบสามระดับ


 


 


รู้ไหมว่าหลายปีมานี้แคว้นต้าหรงต้องจ่ายเงินรับซื้อสมุนไพรจากแคว้นเพื่อนบ้านรอบข้างเป็นเงินมากเพียงใด? มีบางครั้งฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าเจ้าขาดแคลนต้องการเร่งด่วนแล้วจริงๆก็จะขึ้นราคาถี่เอาๆ โดยเฉพาะหวงฉี เจ้าคิดจะซื้อสักต้นเขาก็สามารถเปิดขายให้เจ้าได้ในราคาถึงหนึ่งพันตำลึงเงิน


 


 


แต่ใครใช้ให้แคว้นตัวเองไม่มีเล่า ไม่อาจไม่ซื้อกลับมา ชาวบ้านอย่างพวกเขาไม่ต้องพูดถึง ในราชวงศ์ถ้ามีชนชั้นสูงเกิดป่วยทางนี้ขึ้น ไม่กินยาก็ไม่ได้ เงินหนึ่งพันตำลึงเจ้าก็ต้องยอมจ่าย!


 


 


คนมีความสามารถที่ทางซูเซียงอบรมรับเลี้ยงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กิจการเองก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน สำนักศึกษาแพทย์ยิ่งโด่งดัง ถึงขั้นที่พระพันปียังพระราชทานป้ายคำขวัญให้แก่สำนักศึกษาแพทย์ : ทำประโยชน์ต่อชาติราษฎร


 


 


แต่มีคนเก่งมีความสามารถมากแล้ว งานที่ซูเซียงสามารถทำได้ก็น้อยลง เห็นตั๋วเงินเป็นปึกและเงินขาวแวววาวเหล่านั้นแล้วนางก็มิได้สดชื่นอะไรขึ้นมา โดยเฉพาะหลายวันนี้ นางมักจะฝันถึงลูกที่ไม่ได้เกิดมาคนนั้นสวมกางเกงเปิดเป้า วิ่งเตาะแตะมาทางนาง ร้องเรียกว่า “ท่านแม่ ท่านแม่” หัวใจของนางจุกแน่นเจ็บปวดอยู่เนืองนิจ


 


 


ล้วนกล่าวกันว่าเวลาเป็นยารักษาแผลที่ดีที่สุด ทว่าความเจ็บปวดบางอย่างก็ตกตะกอนตามกาลเวลาเฉกเช่นสุราเก่าแก่ ปล่อยให้ระเหยได้เพียงส่วนที่เป็นน้ำ ที่หลงเหลือเต็มเปี่ยมล้วนเป็นความเจ็บปวด


 


 


“นายท่าน เมื่อเช้าฮูหยินไม่ได้ทานมื้อเช้า ท่านดูสิขอรับตอนนี้กี่โมงยามแล้ว ปล่อยร่างกายทรุดโทรมเช่นนี้จะแย่นะขอรับ…”


 


 


จ้าวเซิงเพิ่งกลับมาจากจัดการธุระเสร็จก็ได้ยินหลงฉีบ่นไม่หยุดปากอยู่ข้างหูเขา ทว่าคำพูดตอนท้ายเขาเมินมันไปอย่างอัตโนมัติแล้ว ได้ยินถึงแค่ประโยคที่ว่าตอนเช้าซูเซียงไม่กินข้าว นี่ก็ใกล้จะตกบ่ายแล้ว ถ้าฝืนต่อไปเช่นนี้ ต่อให้ร่างกายตีขึ้นจากเหล็กก็ยังแบกรับไม่ไหว


 


 


จ้าวเซิงร้อนใจเดินกลับเข้าลานบ้านก็เห็นซูเซียงนั่งอยู่คนเดียวบนหินก้อนใหญ่เย็นเยียบ ทั้งดวงหน้าเศร้าหมอง ทอดมองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย


 


 


หัวใจของจ้าวเซิงเองก็จุกแน่นเจ็บปวดมาเป็นระลอก ถ้ามันทำให้ซูเซียงมีความสุขได้ล่ะก็ เขายินดีให้ซูเซียงแทงเขาสักสองดาบ ทั้งหมดต้องโทษเขาที่ไร้สามารถ บุรุษคนหนึ่งปกป้องลูกเมียตัวเองไว้ไม่ได้ เขามีชีวิตอยู่ยังจะมีประโยชน์อะไร?!


 


 


แต่เขาไม่อาจทำตัวขี้ขลาด เคยผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อาจผิดซ้ำสองได้อีก! แม้ลูกชายตัวน้อยเขาไม่อาจปกป้องไว้ได้ แต่เขายังมีลูกชายคนโตกับลูกสาวคนโตอยู่ไม่ใช่หรือ? ยังมีภรรยาที่เขาเองต้องดูแล มิเช่นนั้นตอนอารมณ์อ่อนไหวเมื่อครานั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจปาดคอตัวเองกลางท้องพระโรงก็เป็นได้


 


 


สามปีกว่าแล้ว ไม่มีสักวันเดียวที่ซูเซียงสุขสันต์เบิกบานจากใจจริง ตอนทำงานยุ่งนางก็พอได้ลืมเรื่องลูกคนนั้นไปได้ชั่วคราว แต่พอมีเวลาว่างก็…


 


 


“ที่รัก” จ้าวเซิงนิ่งเงียบเนิ่นนาน พยายามขุดรอยยิ้มเส้นหนึ่งขึ้นบนใบหน้าแล้วเดินเข้าไปเอ่ยเรียกเบาๆ


 


 


ซูเซียงได้ยินเสียงของจ้าวเซิงก็หันหน้ามาห่ ฝืนยิ้มให้เขา แต่ตอนจ้าวเซิงใช้ให้นางกลับไปกินข้าว นางกลับโบกมือกล่าว “ข้าไม่หิว จะไปสวดมนต์ที่ห้องพระก่อน อุทิศส่วนบุญให้เด็กคนนั้น ตอนเย็นยังมีนัดเถ้าแก่สองสามคนมาพูดคุยด้วยน่ะ”


 


 


เห็นการย่างก้าวของซูเซียงค่อนข้างซวนเซ เงาร่างเปล่าเปลี่ยว จ้าวเซิงยืนอยู่ตรงที่เดิมเนิ่นนานไม่เปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว น้ำตาเอ่อล้นออกมาตรงขอบตา


 


 


“นายท่านรีบตามไปสิขอรับ นี่ก็ครึ่งวันแล้วฮูหยินยังไม่ได้กินอะไรเลย…” หลงฉีที่อยู่ข้างๆร้อนอกร้อนใจ กระทืบเท้าปึงปัง โทษก็แต่เจ้านายบ้านตัวเองเป็นรากไม้ กระทั่งง้อภรรยายังไม่ได้เรื่อง!


 


 


ท่านเป็นลูกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่ง เจอเรื่องนิดเดียวก็ร้องไห้ปาดน้ำตาอยู่ตรงนี้มันจะมีประโยชน์อะไร?!


 


 


จ้าวเซิงกลับยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า แล้วค่อยกล่าวกับหลงฉี “ยังไม่ได้ข่าวจากพวกท่านหมอเตี๋ยหรือ? เด็กจะตายจะรอดพวกเขาก็น่ามาบอกกันสักคำสิ…”


 


 


หลงฉีพยักหน้าส่งเสียง “อืม” แล้วกล่าวต่อ “เดี๋ยวข้าน้อยจะไปเร่งอีกรอบ ให้คนเบื้องล่างทุ่มกำลังตามหา”


ตอนที่ 875 กลัวจะทำร้ายหัวใจโดยใช่เหตุ 


 


 


สีหน้าของหลงฉีย่ำแย่ แท้จริงแล้วในใจทุกคนล้วนเข้าใจดี ด้วยนิสัยของพวกหมอเตี๋ย ถ้าช่วยชีวิตเด็กไว้ได้คงส่งข่าวมาบอกแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรีรอจนถึงวันนี้ ที่ไม่มาบอกกล่าวเกรงว่าคงกลัวทำให้คนเจ็บปวดเสียใจอีกกระมัง 


 


 


ทว่าในเมื่อหมอเตี๋ยและเสียงอวิ๋นนั้นไม่มีข่าวคราว ก็ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นข่าวที่ดีที่สุด แม้มีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นพวกเขาก็ไม่อาจปล่อยผ่าน ดังนั้นหลังหลงฉีรับคำแล้วรีบสั่งการให้เสริมกำลังคนออกไปค้นหาร่องรอยของพวกหมอผีเสื้อทันที 


 


 


ในเวลาสามปีกว่า พระพันปีเองก็ถือโอกาสนี้กุมอำนาจไว้อย่างมั่นคง โดยพื้นฐานว่าควบคุมอำนาจของจักรพรรดิได้แล้ว 


 


 


ด้วยมีความมานะบากบั่นแทบรากเลือดของพระพันปี แม้ไม่มีผลงานใหญ่เปิดอาณาเขตขยายดินแดนอะไร แต่ดีที่ราชสำนักค่อยๆมั่นคง ทางชายแดนก็เช่นกัน แม้ยังมีปัญหาเล็กๆน้อยๆบ้างเป็นครั้งคราวแต่พอฝืนนับได้ว่าสงบสุข 


 


 


ส่วนจักรพรรดิกับรัชทายาททางนั้น ในพระทัยย่อมไม่ยินดี แต่แล้วทำอะไรได้? ทำเสียงดังจนพระพันปีทรงรำคาญ โยนทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “ไม่พอใจรึ เจ้ากัดข้าสิ!” 


 


 


ล้วนกันว่าคนโง่เขลากลัวคนสับสน คนสับสนกลัวคนทำตามใจชอบ ส่วนพระพันปีน่ะหรือ เอ่อ…พอดีเป็นคนทำตามใจชอบ ซ้ำยังเป็นประเภทตามใจตัวเองเป็นพิเศษ  มารดาของผู้อื่นเกิดจากสามัญชน บิดาล้วนเคยชินแล้ว ตนแต่งให้จักพรรดิองค์ก่อน อดีตจักพรรดิก็ยังชินบ้างไม่ชินบ้าง  


 


 


แท้จริงประโยคนนี้มีเรื่องเล่าเล็กน้อย นั่นเป็นตอนที่ซูเซียงเข้าเฝ้าพระพันปีแล้วเล่นมุกหยอกล้อผู้ชราให้มีความสุข พระพันปีจำได้ บัดนี้หยิบยกขึ้นมาใช้แล้วช่างเหมาะเหม็ง ทำเอาจักรพรรดิกับรัชทายาทโกรธกริ้วเสวยอาหารไม่ลงไปสามมื้อ  


 


 


ตอนนางข้าหลวงมากราบทูลรายงานพระพันปีว่าฝ่าบาทกับองค์รัชทายาทไม่เสวยกระยาหาร โกรธกริ้วจนหน้าซีดขาว พระพันปีกลับแค่นเสียงฮึหนึ่งเสียงแล้วตรัสว่า “นึกถึงครานั้นที่ทำให้ข้ากระอักเลือด บัดนี้คงได้ลิ้มรสบ้างแล้วกระมัง พอแล้วๆ อย่าไปสนใจไอ้ลูกกระต่ายสองตัวนั้นเลย เชิญซ่งอ้ายชิง[1]มาพบอายเจีย อายเจียมีเรื่องจะหารือกับเขา 


 


 


“พระพันปี…” นางกำนัลรับใช้ผู้นั้นเดิมทียังอยากช่วยขอร้องให้จักรพรรดิกับรัชทายาท ดีร้ายก็ให้พระพันปีเอ่ยคำนุ่มนวลสักประโยคสองประโยค เกิดจักรพรรดิกับรัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมาเช่นนั้นแล้วจะดีหรือ? 


 


 


พระพันปีมีหรือจะไม่รับรู้เจตนาดีของนางกำนัลรับใช้ ทว่าตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่ จะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปสนใจลูกกระต่ายเหลือขอสองตัวนั้น  


 


 


“เอาเถิด ไปเถิด จับตาดูหน่อยก็แล้วกัน อย่าให้พวกเขาสร้างปัญหาอีก ส่วนเรื่องข้าว จะกินหรือไม่กินก็แล้วแต่ สำรับที่ยกเข้าไปถ้ากินไม่หมดไม่ต้องยกออกมา ประหยัดเสบียงอาหาร เซียงเอ๋อร์เคยพูดไว้ สิ้นเปลืองอาหารต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!” 


 


 


พระพันปีทางหนึ่งก็บ่นพึมพำ ทางหนึ่งก็ให้นางกำนัลติดตามข้างกายสวมฉลองพระองค์ให้นาง เตรียมออกไปพบขุนนางใหญ่หารือราชกิจ 


 


 


นางกำนัลรับใช้ท่านนั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของพระพันปี อ้าปากจะพูดอยู่สองครั้ง สุดท้ายก็ปิดลง ช่างเถอะๆ ใครใช้ให้จักรพรรดิกับรัชทายาททำเรื่องไม่ถูกคลองธรรมเล่า ไม่แปลกที่พระพันปีจะทรงกริ้ว แท้จริงแล้วในใจทุกคนต่างไม่มีความสุข  


 


 


สำหรับเรื่องที่พระพันปีรับสั่งว่าพระกระยาหารที่ยกเข้าไปถ้าเสวยไม่หมดก็ไม่ต้องยกออกมาอะไรนั่น พวกเขากลับมิอาจทำเช่นนั้นได้ อย่างมากที่สุดยกออกมาแล้วก็กินเสียเอง ไม่นับว่าสิ้นเปลือง แต่จักรพรรดิกับรัชทายาทนั้นอย่างไรก็ต้องจัดสำรับอาหารสดใหม่ 


 


 


รัชทายาทแม้กักบริเวณเพียงครึ่งปีก็ได้รับการปล่อยออกมาจากศาลตระกูลแล้ว แต่พระพันปีกลับไม่มอบสิทธิ์อำนาจใดๆให้เขาถือครอง ขังให้อยู่ในวังบูรพาทั้งวัน 


 


 


ต่อมามีขุนนางทัดทานกราบทูลต่อพันปีว่า คนเป็นบุตร ทั้งยังอยู่ในเมืองหลวง นานวันแล้วจะไม่เข้าเฝ้าถวายพระพรให้พระราชบิดาของตนเองได้อย่างไร ยังต้องเคารพปฏิบัติตามหลักกตัญญู 


 


 


หลังนั้นมาพระพันปีเห็นรัชทายาทหลายหนแล้ว รู้สึกว่าเด็กคนนี้มากน้อยก็ยังมีความสำนึกผิด จึงโบกพระหัตถ์กว้าง ให้เขาไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ  


 


 


ผลก็อย่างที่เห็น เหอะ ดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้มีเพียงรัชทายาทกับจักรพรรดิที่รู้ แม้กระทั่งกงกงผู้ถวายงานรับใช้จักรพรรดิคนหนึ่งก็ยังถูกรัชทายาทปิดปาก 


 


 


นั่นก็คือจักรพรรดิทรงพิโรธเดือดดาล หลังพบหน้ากชายก็พ่นระบายความทุกข์ไหลเป็นแม่น้ำ ถึงกับตรัสอย่างชิงชังว่า ยายแก่พระพันปีนั่นตายไปเสียก็ดี  


 


 


รัชทายสดับวาจาเช่นนี้ย่อมตื่นตะลึงหน้าถอดสี รีบคุกเข่าโขกคำนับให้พระบิดา ขอให้เขาไม่เอ่ยวาจานี้อีก จักรพรรดิดูเหมือนก็รู้ตัวว่าพูดผิดไปแล้วจึงปิดพระโอษฐ์อย่างกระดากอาย 


 


 


เพราะเรื่องนี้มีคนทราบไม่มาก รัชทายาทยังปิดปากรวดเร็วไม่มีเล็ดลอดออกไป มิเช่นนั้นล่ะก็ พระพันปีคงจัดการพ่อลูกคู่นี้อย่างสาสมสักหนึ่งยกเป็นแน่! 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] อ้ายชิง (爱卿) แปลว่าขุนนางที่รัก เป็นคำเรียกที่กษัตริย์ใช้เรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 876 เด็กลึกลับ 


 


 


ในสามปีนี้ รัชทายาทเองก็เขียนจดหมายให้จ้าวเซิงหลายครั้งมาก บอกว่าต่อไปจะไม่ฝืนบังคับเขาอีก บอกว่าเรื่องที่ซูเซียงก่อกวนทำลายราชสำนักก็จะไม่ถือสา เพียงแต่ให้วางฐานันดรศักดิ์ของซูเซียงไว้ตรงนั้น มากสุดให้เป็นได้แค่เช่อเฟย จากนั้นยังบอกอีกว่าซูย่วนรักจ้าวเซิงลึกซึ้งมากเพียงใด คะนึงหาจ้าวเซิงมากแค่ไหน 


 


 


จ้าวเซิงกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรจริงจัง ฉะนั้นจึงเปิดแผ่นสารออกดูทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่อ่านก็อารมณ์บูดบึ้งทุกที สีหน้าเฉยชา ตามด้วยฉีกแผ่นกระดาษเป็นเศษซาก 


 


 


มีครั้งหนึ่งซูเซียงเพิ่งเก็บข้าวของออกมาจากห้องกำลังเตรียมตัวไปทุ่งนา ก็เห็นจ้าวเซิงรับนกพิราบตัวนั้นอีกแล้ว สำหรับจดหมายระหว่างรัชทายาทกับจ้าวเซิงซูเซียงรู้อยู่แล้ว แค่ขี้เกียจจะเอ่ยถาม  


 


 


ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรตอนนั้นจ้าวเซิงสามารถเติบโตได้อย่างสงบสุข รัชทายาทผู้เป็นพี่ชายคนนี้ก็ทำตนเหมาะสมกับตำแหน่ง สำหรับองค์ชายที่ไม่มีพระมารดา ยิ่งไม่มีตระกูลของมารดาสนมคอยหนุนหลัง คิดจะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงลึกล้ำกินคนไม่คายกระดูกเช่นนั้นคงไม่ง่ายดายนัก 


 


 


อีกทั้งจ้าวยังเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ถ้าจะบอกว่านี่มิใช่รัชทายาทสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเต็มกำลัง ตัวซูเซียงเองก็ยังไม่เชื่อ 


 


 


ผู้อื่นมีสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องนานหลายปี และจ้าวเซิงเองก็พูดชัดเจนแล้วว่าผู้ที่ทำร้ายลูกในท้องนางไม่มีทางเป็นรัชทายาท ดังนั้นต่อให้ซูเซียงไม่ชอบใจราชวงศ์ยิ่งกว่านี้ มากที่สุดก็ทำได้แค่ไม่สนใจ ตาไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญก็เป็นอันได้แล้ว  


 


 


จ้าวเซิงรับกระดาษมาแล้วยังไม่ทันเปิดอ่านก็เห็นซูเซียงออกมาแล้ว เขาจึงชูมือขึ้นสะบัดกระดาษแผ่นนั้นจนกลายเป็นผุยผง ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กเข้ามา “ที่รัก เจ้าสวมชุดแบบนี้จะลงดินหรือ?” 


 


 


“อืม จะไปดูหน่อยว่ามีอะไรพอช่วยได้บ้าง เออใช่ เมื่อวานลุงฮวาขอลาพักกลับบ้าน บอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะมา นี่คงต้องรดน้ำช้าไปอีกวันหนึ่ง” ซูเซียงจัดระเบียบเสื้อผ้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างราบเรียบ บนหน้าไม่มีความรู้สึกอะไรมาก ไม่ได้ยิ้มแย้ม และก็ไม่ได้นับว่าโมโห 


 


 


เพียงแต่สีหน้าท่าทางเช่นนี้จ้าวเซิงเห็นเข้าทุกวันก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ตัวเองไม่ได้เรื่อง รักษาลูกไว้ไม่ได้ ภรรยาคงไม่ถึงกับกลายเป็นสภาพนี้  


 


 


รดน้ำที่ซูเซียงพูดถึงนี้มิใช่สูบน้ำมารด แต่หาบปุ๋ยมูลไปรดในนา ยุคโบราณไม่ดีตรงส่วนนี้ ไม่มีปุ๋ยคุณภาพดีหลากหลายชนิดให้มาบำรุงดิน จำต้องเลือกปฎิกูลมาใช้ 


 


 


“ไยพูดเช่นนี้เล่า ยังมีข้าสามีกับหลงฉีอยู่สองคนมิใช่รึ? หาบปุ๋ยได้เร็วกว่าลุงฮวาอีกแหนะ” จ้าวเซิงเห็นท่าทีซูเซียงวันนี้คงต้องพูดกับเขามากกว่าสองประโยค ก็รีบอาสาแสดงความภักดี พูดพลางก็หันหันหน้าไปจ้องหลงฉีเขม็ง 


 


 


หลงฉีแม้ไม่ยินดีไปหาบปุ๋ย รู้สึกได้ว่าสิ่งของเหม็นคละคลุ้งนั่นคงติดตัวไปสามวันสามคืนก็ยังล้างไม่ออก ทว่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้านายบ้านตนเขาก็ใจแข็งปฎิเสธไม่ลง จึงตอบว่า “ใช่ขอรับๆ ฮูหยิน เราสองคนแข็งแรงกว่าลุงฮวาคนเดียวเสียอีก ไป ไปๆ รีบไปหาบปุ๋ย อย่าให้เสียเวลาเพาะปลูกเลย…” 


 


 


เดิมทีทั้งหมดสงบเรียบร้อยดี แต่คิดไม่ถึงว่าในฤดูใบไม้ร่วงปีที่สามหลังซูเซียงออกจากเมืองหลวง จู่ๆจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยก็มีผู้อาวุโสลึกลับคนหนึ่งมาเยือน ยัดเด็กใส่มือองค์หญิงเต๋อฮุ่ยแล้วก็หมุนกายหายไปอย่างเบาหวิว 


 


 


ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ใช่หมอเตี๋ยและก็มิใช่เสียงอวิ๋น เส้นผมและหนวดเคราล้วนขาวโพลนราวกับหิมะ ดูท่าทางแล้วอายุน่าจะราวร้อยกว่าปี ทว่าการเคลื่อนไหววรยุทธ์ของผู้อื่นนั้นกลับลื่นไหลดุจสายน้ำ ราวกับขนนก เหาะเหินได้ดั่งใจคิด 


 


 


รอจนถึงตอนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยตอบสนองกลับมาคิดจะตามคนไป ชายเสื้อของผู้อื่นก็ไม่อยู่แล้ว นางอุ้มเด็กในมืออย่างงงงวย ทำตัวไม่ถูก 


 


 


แม่นมคนที่เคยถูกส่งมาดูแลซูเซียงและเด็กที่เสียไปเมื่อคราอยู่ในวังหลวง เห็นเทพเซียนชราเปี่ยมราศีเทพอมตะคนหนึ่งทำไมถึงอุ้มเด็กเข้ามาในจวนองค์หญิงของพวกเขา ซ้ำยังวางลงในมือขององค์หญิงด้วยตัวเอง?  


 


 


ทันใดนั้น แววตานางสว่างวาบ สาวเท้าขึ้นหน้าทันที ไม่สนใจนายบ่าวอะไรทั้งนั้น แหวกผ้าบนหน้าอกเด็กออกทันที 


 


 


ดังคาด เห็นปานรูปจันทร์เสี้ยวรอยหนึ่งบนนั้น ต่อมาก็เห็นถุงผ้าห่อหนึ่งบนร่างของเด็กคนนั้น เปิดออกดูเห็นเป็นผ้าชิ้นน้อยที่ซื่อจื่อน้อยสวมใส่ตอนถูกอุ้มออกไปเมื่อปีนั้น 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่นางสวมให้เด็กด้วยมือของนางเอง ตลอดทั้งชีวิตนี้นางไม่มีวันลืม! 


ตอนที่ 877 ทายาทกลับมาโดยสวัสดิภาพ


 


 


แม่นมชราตื่นตะลึงอยู่นาน ตามด้วยคุกเข่าลงบนพื้นดังปึง ร้องไห้น้ำตาเปื้อนหน้า “องค์หญิงเพคะ องค์หญิงเพคะ เป็นซื่อจื่อ ท่านซื่อจื่อกับมาแล้ว…ฮือ ฮือ บ่าวชรานับว่ามีคำอธิบายแล้ว ท่านซื่อจื่อ…ฮือๆ… ”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเชื่อถือแม่นมชราผู้นี้ ตอนเซียนอาวุโสอุ้มเด็กมาให้นางในใจนางเองก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ก่อนแล้ว บัดนี้ได้ยินแม่นมร้องร่ำเช่นนี้ ก็มั่นใจแล้ว ทว่าความโศกเศร้าพุ่งขึ้นมาจากหัวใจ ล้มคุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นเดียวกัน คนทั้งสองกอดเด็กน้อยร่ำไห้กันยกใหญ่


 


 


“ท่านย่า หมัวมัว ไม่ร้องนะ ฉุนเอ๋อร์จะเป็นเด็กดี จะเป็นเด็กกตัญญู…” เด็กที่เพิ่งสามเดือนกว่าเล็กน้อยกำลังเช็ดน้ำตาให้คนทั้งสองพลางเอ่ยปลอบอย่างรู้ความ


 


 


ไม่ปลอบยังดีกว่า ฉุนเอ๋อร์พูดจาฉะฉานเช่นนี้ สองคนก็ยิ่งร้องไห้จนแทบขาดใจ


 


 


คนเก่าคนแก่ผู้จงรักภักดีของจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยพอเห็นซื่อจื่อกลับมาแล้ว แต่ละคนก็ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้มือเท้าพันกัน ไม่รู้ควรทำอะไรก่อนดี


 


 


มีบางคนรีบไปต้มน้ำให้ซื่อจื่อมาไล่ลมล้างฝุ่น บางคนรีบไปจัดหาเสื้อผ้าให้ซื่อจื่อ บางคนเตรียมข้าวของใช้เซ่นไหว้ ทายาทสืบสกุลกลับมาแล้วต้องบอกกล่าววิญญาณบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ


 


 


เจ้าชนข้า ข้าชนเจ้า อลเวงกันอย่างมีความสุข


 


 


หลังร้องไห้ไปรอบใหญ่แล้ว องค์หญิงเต๋อฮุ่ยถึงค่อยเช็ดน้ำตากล่าว “รีบส่งจดหมายเข้าวัง แจ้งท่านป้า ซื่อจื่อกลับมาแล้ว เขากลับมาอย่างดี…ส่งสารไปบอกชายแดน ให้ลุงรองกลับมาเป็นประธานทำพิธีกราบไหว้บรรพชน… ”


 


 


เดิมทีคนเซ่นไหว้ต้องเป็นผู้อาวุโสของตระกูล ทว่าจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วบัดนี้ผู้ที่อาวุโสที่สุดก็มีเพียงแค่น้องชายทั้งสองของพระสวามีนาง อนุชนรุ่นหลังก็มีแค่เด็กหญิงที่ลุงสามรับกลับมาเลี้ยงเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสรุ่นพ่อไม่ต้องพูดถึง แม้กระทั่งผู้อาวุโสทางแม่ก็ยังไม่มีสักคน


 


 


พระพันปีเดิมทีหลายวันนี้พระวรกายซูบผอมด้วยกลัดกลุ้มงานราชกิจ ครั้นได้ยินข่าวสะเทือนฟ้าเช่นนี้ พระนางตกตะลึงจนแทบล้มลงจากเตียงเตี้ย ถ้ามิใช่นางกำนัลรวดเร็ว พระนางคงล้มคว่ำเป็นแน่


 


 


“อะไรนะ? เจ้าพูดว่าอะไร? เด็กคนนั้นกลับมาแล้ว เด็กคนนั้นยังไม่ตาย…”


 


 


“เพคะไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง มีเซียนอาวุโสท่านหนึ่งส่งซื่อจื่อกลับตำหนักองค์หญิง แม่นมเจี้ยวหยิ่นกัวส่งข่าวมาบอก ท่านซื่อจื่อสบายดี หน้าตาผิวพรรณขาวอวบอิ่ม ร่างกายแข็งแรงเพคะ ยังฉลาดรู้ความมีมารยาทยิ่งนักเพคะ…” นางกำนัลผู้กราบทูลคนนั้นดีใจจนหน้าบาน


 


 


แม้นางมิใช่คนสนิทใกล้ชิดข้างกายพระพันปี แต่ดูแลพระพันปีมานานหลายปีความรู้สึกนี้ย่อมมิใช่ของปลอม


 


 


พระพันปีเองก็ทรงโสมนัส มีรับสั่ง “เร็ว รีบไปเชิญเซียงเอ๋อร์เข้าเมืองหลวง!”


 


 


พระพันปีดีใจเป็นล้นพ้น ทว่าถูกนางกำนัลด้านข้างฉุดรั้งไว้เล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆให้พระนาง พระพันปีถึงค่อยรู้ตัวว่าทรงตัดสินใจเช่นนี้ไม่เหมาะสม รีบแก้คำทันที “รีบให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยอุ้มเด็กไปทำความรู้จักกับเซียงหรงจวิ้นจู่ เพื่อดูแลเด็กแล้วพำนักอยู่ที่เซียงหรงทางนั้นหลายวันก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องรีบกลับเมืองหลวง”


 


 


ต่อมาก็เอ่ยต่อด้วยความตื่นเต้น “อีกอย่าง ประกาศราชโองการของอายเจีย เซียงหรงจวิ้นจู่ให้กำเกิดทายาทจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารชายแดนมีคุณูปการใหญ่หลวง อายเจียในนามถือครองตรามังกรของอดีตจักรพรรดิรับนางเป็นพระราชนัดดาบุญธรรม พระราชแต่งตั้งเป็นเซียงหรงตวนฮุ่ยเหอซั่วกงจู่[1]!”


 


 


“พระองค์ท่าน…” นางกำนัลข้างกายส่ายศีรษะให้พระนางอีกครั้ง


 


 


พระพันปีพลันตระหนักขึ้นได้ หลานสาวบุญธรรมของนางกับอดีตจักรพรรดิไม่สามารถแต่งให้หลานชายได้! มองสีหน้าแววตานางกำนัลอีกครั้ง เกือบไปแล้ว… ในพระทัยสั่นสะท้าน เกือบหาเรื่องวุ่นวายให้ซูเซียงเสียแล้ว


 


 


ไม่ว่าราชสำนักหรือราษฎรล้วนทราบโดยทั่วกันว่าพระพันปีบาดหมางกับจักรพรรดิรัชทายาทด้วยเรื่องของเซียงหรงจวิ้นจู่ แม้ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นจักรพรรดิกับรัชทายาทกระทำเกินเลยไม่ถูกครรลอง ทว่าในช่วงเวลาอ่อนไหวเช่นนี้ พระพันปียังแต่งตั้งซูเซียงใหญ่โตเอิกเกริกอีก คำพูดของชาวบ้านนั้น จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ถึงเวลาไม่รู้จะเล่าลือออกไปจนกลายเป็นเช่นไร!


 


 


หากมีคนเจตนาชั่วยุยง…


 


 


“เช่น เช่นนั้นพระราชทานของกำนัลธรรมดา ส่งผ้าเนื้อนุ่มเหมาะกับเด็กไปให้ จำว่าต้องเลือกสรรอย่างดี มีชื่อเสียงราคาแพงหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญคือเด็กต้องสวมใส่สบาย เหลนน้อยของอายเจียไม่ต้องไปสนใจพวกของสูงค่ามีชื่อเสียงกลวงเปล่าพวกนั้นหรอก…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหอซั่วกงจู่ (和碩公主) หรือองค์หญิงเหอซั่ว เป็นตำแหน่งธิดาของพระสนมในสมัยราชวงศ์ชิง หรือเป็นพระธิดาบุญธรรมในจักรพรรดิ หรือจักพรรดินี บรรดาศักดิ์เทียบเท่าจวิ้นอ๋อง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 878 โอรสองค์โตของจักรพรรดิถึงจะได้สิทธิ์นี้


 


 


นางกำนัลผู้นั้นย่อมรับคำสั่งออกไปอย่างชื่นมื่นเบิกบาน


 


 


ในพระตำหนักของพระพันปีร่ำไห้ด้วยความปิติยินดี นางกำนัลข้างกายเองก็ปาดน้ำตา เกลี้ยกล่อมไปพลางทั้งร้องทั้งยิ้ม “พระองค์ท่านถนอมพระวรกายเพคะ ไม่นานพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเหลนตัวน้อยแล้ว นี่เป็นพระราชปนัดดาคนแรกของพระองค์เลยนะเพคะ แม้เพื่อเขาแล้ว พระองค์เองก็ต้องถนอมพระวรกายนะเพคะ… ”


 


 


พระพันปีโดนเตือนแล้วก็ยังมีความสุขอยู่ แม้ทั้งพระวรกายตื่นเต้นจนสั่นไหว แต่อย่างไรก็ยังประคองมั่นคงอยู่


 


 


ก่อนอื่นให้นางกำนัลส่งสารไป ต่อมาก็รู้สึกว่าแค่ส่งสารไปคงไม่เหมาะสม กลัวระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น จึงใช้พระราชเสาวนีย์ประกาศต่อใต้หล้าว่า ซื่อจื่อมากด้วยมหาสิริมงคล สรรพสิ่งทั้งปวงคุ้มครอง จึงพระราชทานอภัยโทษทั่วใต้หล้า ให้ลดเบี้ยส่วยราษฎรลงครึ่งหนึ่งห้าปี เป็นที่รู้กันว่านี่เป็นสิทธิ์ที่มีเพียงโอรสคนโตของจักรพรรดิถึงจะได้รับ ปกติเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนจัดเตรียมเพื่อแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาท


 


 


และมีพระบัญชาให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยอุ้มทายาทออกเดินทางเพื่อไปเข้าพบคู่สามีภรรยาซูเซียง ทันที


 


 


เดิมทียังมีพวกคนถ่อยเลวทรามอยากเดินทางสายชั่วคิดประจบเอาใจรัชทายาทและจักพรรดิคิดจะลงมือทำอะไรบางอย่างระหว่างทาง ทว่าพระพันปีแถลงการณ์ชัดเจน พวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ที่สุดแล้วพระพันปีทรงประกาศพระราชเสาวนีย์เช่นนี้เพื่ออะไร ทุกคนล้วนรู้แจ้งอยู่แก่ใจ มิใช่คนโง่


 


 


ลาภยศสรรเสริญย่อมสำคัญแน่นอน มีบุญได้จับเงิน นั่นก็ต้องมีชีวิตไว้ใช้เงินด้วย!


 


 


อีกด้านหนึ่ง เพราะพระราชเสาวนีย์ลงมาเช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิกับรัชทายาทตกสู่วงล้อวิพากษ์วิจารณ์ใหม่อีกรอบ พากันพูดว่ารัชทายาทกับจักรพรรดิทำเกินไปอย่างแท้จริง บัดนี้เด็กคนนั้นตามหากลับมาได้แล้ว พระพันปีก็ไม่ให้พวกซูเซียงเข้าวังและมิให้เลี้ยงดูซื่อจื่อในเมืองหลวง ถึงขั้นให้ตำหนักองค์หญิงเต๋อฮุ่ยหอบเด็กไป นี่ต้องชังน้ำหน้าจักรพรรดิกับรัชทายาทมากแค่ไหน!


 


 


ซูเซียงกอดเด็กเฉลียวฉลาดรู้จักเรียกนางว่าท่านแม่ พลันร้องไห้ไม่เป็นภาษา จ้าวเซิงเองก็ตื่นเต้นตื้นตันอยู่ข้างๆ แม้กระทั่งใบหน้าเย็นชาที่เขาเป็นมาตลอดยังแสร้งทำต่อไปไม่ไหว


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยก็รับพระบัญชาของพระพันปีอยู่เป็นเพื่อนซูเซียงกับลูกในจวนเซียงหรงจวิ้นจู่ ทั้งครอบครัวสุขสันต์หาใดเปรียบ เป็นเพราะเด็กกลับมาแล้ว ปมในใจทุกคนจึงคลายออก สีหน้าขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยกับซูเซียงดีขึ้นมาก มีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้างแล้ว ดูไม่ซูบเซียวอย่างที่เคยเป็น


 


 


เดือนสิบเอ็ดปีเดียวกัน การสอบชิวเหวย[1]ติดประกาศ ก้อนแป้งน้อยที่อายุเพียงสิบปีสอบผ่านเป็นจวี่เหริน แม้ได้ลำดับสุดท้าย นั่นก็ถือว่าสอบติด สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วบ้านทั่วเมืองทันใด


 


 


ทีแรกจ้าวเซิงยังเคยคิดว่ารอให้ก้อนแป้งน้อยสอบติดจวี่เหรินก่อนแล้วค่อยประกาศฐานะซื่อจื่อจวนอ๋องของเขาต่อสาธารณ แต่บัดนี้ตัวเขามิใช่ท่านอ๋องแล้วยังต้องป่าวประกาศทำผีอะไร! พูดอีกอย่าง ตอนนี้ครอบครัวพวกเขาไม่อยากข้องแวะกับราชวงศ์แม้แต่ครึ่งเสี้ยวสตางค์


 


 


สองสามีภรรยาพูดคุยตกลงกับก้อนแป้งน้อยแล้วรอบหนึ่ง ก้อนแป้งน้อยเองก็แสดงออกว่าเขาไม่สนใจลาภยศไม่จีรังพวกนั้น คิดแค่อยากกระทำตนให้ดี ไม่ว่าจะเป็นทายาทของจวนอ๋องหรือไม่ เขากับน้องสาวน้องชายก็ยังเป็นลูกของท่านพ่อท่านแม่ สิ่งนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง


 


 


หลังวีรกรรมอันยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินของก้อนแป้งน้อย ในบ้านซูเซียงก็มีเรื่องดีงามอีกเรื่องมาเยือน นั่นก็คือสำนักศึกษาวิชาแพทย์ในสังกัดที่นำโดยซูเซียงและหลี่ปั๋วหมิงร่วมมือกับปราชญ์ชาวบ้านผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์วิจัยพัฒนาสมุนไพรและวิธีรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคหัวใจอย่างต่อเนื่องจนได้รับการยอมรับ ช่วยเหลือคนได้จำนวนมากในเวลานี้


 


 


สำนักวิจัยโรคเฉพาะแผนกหัวใจเปิดขึ้นครั้งแรก อย่างเป็นทางการ ดึงดูดความสนใจผู้เชี่ยวในสาขานี้มาจำนวนมาก แม้กระทั่งหมอชาวบ้านที่ได้รับการสืบทอดภายในตระกูลยังสามัคคีกันเข้าร่วม นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาสู่ศิษย์บางคนส่งลูกศิษย์ผู้มีความสามารถมาเข้าร่วมด้วย


 


 


แรกเริ่มนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่ฝ่ายตรงข้ามจะหยั่งเชิง กลัววิชาตัวเองจะถูกหลอกเอาไป นี่เป็นเรื่องสามัญของมนุษย์ ทว่าผ่านไประยะหนึ่ง มั่นใจแล้วว่าพวกซูเซียงเผยหมดเปลือกอย่างแท้จริง ไม่ว่าสูตรลับอะไร ผู้อื่นก็ล้วนยินดีหยิบยกออกมาสืบค้นศึกษากับทุกคนและรับฟังความคิดเห็นอย่างถ่อมตน


 


 


ต่อมาคนเหล่านี้ทยอยกันส่งข่าวไปให้คนในตระกูลและอาจารย์ของสำนัก ที่จริงแล้วผู้อาวุโสเหล่านี้ส่งอนุชนมาก็เพื่อทดสอบหยั่งเชิง สังเกตการณ์ยังสถานที่จริงและร่วมกันปรึกษาหารือ ผ่านการทำงานร่วมกันเป็นเวลานานแล้วก็ไม่มีปัญหา


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] การสอบชิวเหวย (秋围) หมายถึงการสอบระดับมณฑล หรือระดับภูมิภาค หรือเซียงซื่อ (乡试) จัดสอบทุกสามปี มักจัดสอบในช่วงฤดูใบร่วงจึงเรียกอีกอย่างว่า ชิวเหวย หมายถึง สนามสอบประจำฤดูใบไม้ร่วง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม