จำนนรักชายาตัวร้าย 87.2-88.3
ตอนที่ 87-2 ลงโทษ
จนเมื่อซย่าโหวจวินอวี่เห็นอวี้เฟยเยียนเดินชมการตกแต่งจัดวางตำหนักบรรทมของหลิวฮองเฮาด้วยความแช่มชื่น ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ซย่าโหวจวินอวี่จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มออกมา
จิตใจเข้มแข็งกับความใจเย็น นี่มันคุณสมบัติของมารดาแห่งแผ่นดินนี่นา!
“เสี่ยวอวี้ มานี่เร็วเข้า!”
ซย่าโหวจวินอวี่กวักมือเรียกอวี้เฟยเยียนเข้ามา
กระทั่งอวี้เฟยเยียนเดินเข้ามาหา ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“เจ้ากับฉิงเทียนรู้จักกันได้อย่างไร เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว มีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง ชอบบุรุษแบบไหนหรือ คนในครอบครัวเจ้ายังมีใครอีกบ้าง บ้านเจ้าใครใหญ่ที่สุด เจ้าว่าฉิงเทียนของเราเป็นอย่างไรบ้าง”
“อะแฮ่ม…”
อวี้เฟยเยียนยังมิทันเข้าใจในคำถามทั้งหมด ซย่าโหวฉิงเทียนก็แก้มแดง รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ฮ่องเต้ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ จะทำให้แมวน้อยตกใจจนวิ่งหนีไปน่ะสิ!
“เสด็จพี่ ท่านถามอะไรเช่นนั้น!”
ด้วยเกรงว่าซย่าโหวจวินอวี่จะถามคำถามที่ทำให้คนตกอกตกใจยิ่งกว่านี้ขึ้นมาอีก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงรีบขัดคอขึ้นเสียก่อน
ใครจะคาดคิด ต่อหน้าอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวจวินอวี่กลับไม่ไว้หน้าบุตรชายตนเองเลยแม้แต่นิด ชี้นิ้วมาที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้วหัวเราะพลางตรัสว่า
“เสี่ยวอวี้เจ้าดูสิ เจ้าเด็กนี่หน้าแดงเป็นด้วย!”
อวี้เฟยเยียนมองไปที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กล่าวตอบฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน
“ทรงตรัสถูกต้องเลยเพคะ เขาหน้าแดงจริงๆ ด้วย! หน้าแดงราวกับหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น!”
คนทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับปวดขมับ
แมวน้อย เจ้าอย่าได้เรียนความร้ายกาจมาจากฝ่าบาทเชียวนะ!
ไม่รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนลากอวี้เฟยเยียนกลับออกไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถามคำถามเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
“รู้จักกันได้อย่างไรหรือ”
อวี้เฟยเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เจอหน้ากันครั้งแรก นางเห็นซย่าโหวฉิงเทียนในสภาพเกือบโป๊เปลือย และหลังจากที่คนทั้งสองจุมพิตกันแล้ว นางก็เกือบเตะน้องชายของซย่าโหวฉิงเทียนจนพัง
“จะทูลอย่างไรดีเพคะ”
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีต อวี้เฟยเยียนก็แก้มแดงด้วยความเขินอาย
ต้องมีเรื่องสนุกแน่ๆ!
ซย่าโหวจวินอวี่หรี่ตาลง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่ คงจะเป็นเรื่องที่สะท้านทรวงด้วย มิเช่นนั้นแม่นางน้อยก็คงจะไม่เขินอายเช่นนี้
“ฮ่าๆ คนหนุ่มสาว ไม่เป็นไรหรอก!”
ถ้าเป็นเรื่องความสุขของบุตรชายละก็ ซย่าโหวจวินอวี่ก็เป็นบิดาที่เปิดกว้างเสมอ
“เจ้าอายุเท่าไหร่ มีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง ชอบผู้ชายแบบไหน เจ้าคิดว่าฉิงเทียนเราเป็นอย่างไรบ้าง”
ซย่าโหวจวินอวี่มิยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปแน่ เขาเฝ้ารอดื่มน้ำชาจากลูกสะใภ้มานานแสนนาน นานเสียจนเ**่ยวเฉา เส้นผมร่วงล้าน หนวดเคราก็จะร่วงจนหมดอยู่แล้ว เขาก็อ้วนฉุขึ้นมาก รอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งเป็นพวกชักช้าอืดอาด บิดาจึงร้อนใจแทนจะแย่
ในเมื่อลูกไม่ได้เรื่อง เช่นนั้นก็ให้พ่อช่วยแล้วกัน!
หม่อมฉันเพิ่งเต็มสิบห้าปีเพคะ! คู่หมั้นคู่หมายเคยมี… ต่อมาก็ถูกเขายกเลิกงานแต่งไป
อวี้เฟยเยียนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ชอบกล
เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ทรงทำท่าดีพระทัยเสียขนาดนั้นกันนะ
เมื่อครู่ยังแสดงความเด็ดขาดในฐานะฮ่องเต้อยู่เลย แต่ตอนนี้ทำราวกับวิญญาณแป๊ะแก่สิงร่างเสียอย่างนั้น
“ใครกัน ยกเลิกงานแต่งงาน ตาไร้แววเสียจริง”
ซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินคำนั้นเข้า ก็โมโหหัวเสียยิ่งนัก
อวี้หลัวช่า จักรพรรดิยาหนึ่งเดียวแห่งแผ่นดินนี้! ใครที่มีตาหามีแววไม่กล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้นะ!
ฝ่าบาท คนผู้นั้นคือองค์ชายของพระองค์นะเพคะ!
อวี้เฟยเยียนมองดูซย่าโหวจวินอวี่ที่ทำท่าทางโกรธเคืองหัวเสีย ก็แอบลอบถอนใจ
ยังดีที่พระองค์ไม่รู้ความจริง!
หากพระองค์ทรงทราบละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะโมโหซย่าโหวหนานจนกระอักเลือดตายเลยก็ได้เพคะ!
หลังจากความโกรธเกรี้ยวผ่านไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็ดึงสติกลับมาได้
โชคดีที่ไอ้คนผู้นั้นมีตาหามีแววไม่ มิฉะนั้น จะหลงเหลือโอกาสมาถึงซย่าโหวฉิงเทียนได้อย่างไรกัน!
นอกจากจะทรงดีพระทัยแล้ว ฮ่องเต้ยังทรงใส่พระทัยกับอายุอานามของอวี้เฟยเยียนอีกด้วย
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าเพิ่งจะสิบห้าเต็ม! เราหัวใจจะวาย!”
เห็นซย่าโหวจวินอวี่จวนเจียนจะล้ม อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาประคองทันที
เมื่อเห็นถึงความงาม รัศมีที่เปล่งประกาย ทั้งความอ่อนโยนช่างเอาใจของแม่นางน้อยตรงหน้า ซย่าโหวจวินอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา สวรรค์ช่างลำเอียงนัก!
อายุเพียงเท่านี้ รูปโฉมเช่นนี้ ความสามารถถึงเพียงนี้…
นางช่างโชคดีอะไรอย่างนี้
ทว่าพระองค์ก็ทรงทราบดีว่าผู้ยิ่งใหญ่ย่อมต้องผ่านความลำบากมาแล้วทั้งสิ้น
อวี้หลัวช่าประสบความสำเร็จได้ด้วยอายุเพียงสิบห้าปี นอกจากโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แล้ว ยังต้องมีความมานะพยายามของนางอีกด้วย
ในโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะประสบความสำเร็จโดยมิได้ตั้งใจ
ยิ่งกว่านั้นนางเป็นสตรี ยิ่งประสบความสำเร็จยากขึ้นไปอีก!
ซย่าโหวฉิงเทียนก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว คนทั้งสองอายุห่างกันเจ็ดปี
สำหรับนางแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะอายุมากไปสักหน่อย!
อวี้หลัวช่าอายุยังน้อย แต่เปี่ยมด้วยความสามารถ แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงานแม้สักนิด
นางไม่กังวลเรื่องแต่งงาน แต่บุตรชายเขากลับรีบร้อนที่จะแต่งกับนางน่ะสิ!
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฝ่าบาทก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง หากอวี้หลัวช่ารังเกียจที่ซย่าโหวฉิงเทียนอายุมากกว่า จะทำอย่างไรดี
ซย่าโหวจวินอวี่รู้จักบุตรชายตนเองเป็นอย่างดี หลายปีมานี้ ชื่อเสียงซย่าโหวฉิงเทียนดังกระฉ่อนไปทั่ว ใครที่ได้ยินต่างก็หวาดกลัวจนหัวหด
คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีใครกล้ายกบุตรีแต่งงานกับหลินเจียงอ๋องเป็นแน่
แล้วยิ่งบ้านอวี้หลัวช่า ลูกสาวจะแต่งงานทั้งทีพวกเขาจะต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถันแน่นอน แล้วจะทำเช่นไรดี
เฮ้อ…
ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกผิดในใจต่อซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
หากมิใช่ในตอนที่เขาขึ้นครองราชย์นั้น ราชสำนักไม่สงบสุข ข้างกายเขาไม่มีใครที่น่าเชื่อถือไว้วางใจได้ละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนก็คงไม่ใช้อำนาจออกหน้าแทนเขา จนกลายเป็นผู้ที่มีความดีความชอบที่ทำให้ราชสำนักสงบสุขได้ แต่มีฉายาดาวมฤตยูติดตัวแทน
“เสี่ยวอวี้เอ๋ย ฉิงเทียนเป็นเด็กดีคนหนึ่ง จริงๆ นะ!”
ชีวิตเขาไม่ง่าย ตั้งแต่เล็กก็ต้องพบพานกับความยากลำบากมากมาย เราเองที่ผิดต่อเขา! เราไร้ความสามารถ ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย! ไร้ความสามารถยิ่งนัก!
ซย่าโหวจวินอวี่รีบร้อนช่วยพูดแทนซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้น้ำเสียงเขาเจือไว้ด้วยอาการสั่นไหว
ประมุขแห่งแคว้น แสดงความรู้สึกผิด ละอายใจ ซึ่งปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทีเดียว
ทว่าเรื่องเช่นนี้ กลับเกิดขึ้นต่อหน้าอวี้เฟยเยียน
“เสด็จพี่ ท่านดีกับข้ามาก! ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
วาจาของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งเสียพระทัย
เป็นเวลานานมากแล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็มิยอมเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ สักคำ ถึงแม้ว่าในใจลูกจะไม่กล่าวโทษเขา แต่ความทรงจำในอดีตซย่าโหวฉิงเทียนยังคงไม่ลืมเลือนเป็นแน่
เขาจะชดเชยบาดแผลในใจบุตรชายเช่นไรดี
ในขณะที่บรรยากาศในตอนนี้กำลังห่อเ**่ยวลงนั่นเอง เซี่ยงจิ้นก็เดินเข้ามา
“ฝ่าบาท!”
เนื่องจากต้องวิ่งเต้นรายงานเรื่องเร่งด่วน หน้าผากเซี่ยงจิ้นจึงมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ใบหน้าเขาเปียกชุ่ม น้ำเสียงร้อนรน
“คน”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยงจิ้นกลับเข้ามาเพียงคนเดียว ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมา
“ทูลฝ่าบาท ขณะที่หม่อมฉันไปถึง อาการป่วยคุณชายเหลียนจิ่นกำลังกำเริบหนักจนน่าตกใจมากทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ!
“หมอหลวงบอกว่า คุณชายเหลียนเดินทางไปหอราชาโอสถครั้งนี้ หนทางยาวไกลเส้นทางยากลำบาก จึงสูญเสียพลังไปมาก จำเป็นจะต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงพ่ะย่ะค่ะ!”
อาการป่วยกำเริบ
เรื่องนี้นั้นฮ่องเต้ทรงเชื่อสนิท
หลายปีมานี้เหลียนจิ่นป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เนืองๆ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง ครั้งนี้ลำบากไม่น้อยกว่าจะมีโอกาสออกไปดูโลกภายนอกสักครั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ตัวเองป่วยจนกระทั่งลงจากเตียงแทบไม่ไหว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งไม่เชื่อในคำพูดซย่าโหวเสวี่ยเข้าไปใหญ่
เหลียนจิ่นล้มป่วยถึงขนาดนี้ แล้วยังจะนอนกับองค์หญิงได้อย่างไร
คิดว่าเขามีวิญญาณสัตว์ร้ายเข้าสิงหรืออย่างไรกัน!
หลังจากซย่าโหวเสวี่ย ‘รับสารภาพ’ ว่าเด็กเป็นลูกเหลียนจิ่นแล้ว นางก็กระวนกระวายใจตลอดเวลา
หากว่าเหลียนจิ่นมาที่นี่จะทำเช่นไรดี
ถ้าเขาไม่ยอมรับจะทำยังไงดี
ตอนที่ 87-3 ลงโทษ
ในขณะที่ ซย่าโหวเสวี่ยพยายามหาวิธีมากมายจนหัวแทบแตก เพื่อให้คำโกหกของนางสมบูรณ์แบบ
นึกไม่ถึง เหลียนจิ่นล้มป่วยจนลุกจากเตียงไม่ไหว ไม่อาจมายืนยันได้ สวรรค์ช่วยนางแท้ๆ!
ถึงแม้ว่าในใจนางกำลังดีใจจนเนื้อเต้น แต่ซย่าโหวเสวี่ยก็ต้องแสร้งทำทางกังวลใจหนักหนาให้ทุกคนดู
“อะไรนะ พี่ชายเหลียนล้มป่วยหรือ หนักหนามากหรือไม่ เสด็จพ่อ ลูกขอพระราชทานอนุญาตให้ลูกได้ไปเยี่ยมพี่ชายเหลียนด้วยเถิดเพคะ!”
นึกไม่ถึงจริงเชียว!
ซย่าโหวจวินอวี่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเลย เขาเคยมองซย่าโหวเสวี่ยเป็นมู่หรงเยียนได้อย่างไร ทั้งยังรักใคร่ทะนุถนอมนางมาตั้งหลายปี
นิสัยเช่นนี้ ไหนเลยจะคล้ายคลึงกับมู่หรงเยียนได้!
“เจ้าจงอยู่ที่นี่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวห้ามไปไหนทั้งนั้น!”
ไม่นาน ซย่าโหวจวินอวี่สั่งการให้เซี่ยงจิ้นโยกย้ายบรรดาขันทีนางกำนัลข้างกายซย่าโหวเสวี่ยออกไปทั้งหมด เปลี่ยนชุดใหม่มาแทนที่
หลังจากนั้นฮ่องเต้ยังทรงมีคำสั่งปิดและลงกลอนตำหนักซย่าโหวเสวี่ย เพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะไม่เล็ดลอดออกไป
“เสด็จพ่อ ท่านไม่มีสิทธิ์กักขังลูก!”
“เจ้าหุบปากนะ!”
ซย่าโหวจวินอวี่ผิดหวังในตัวซย่าโหวเสวี่ยเป็นอย่างยิ่ง
“หากเจ้ายังพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะปลดเจ้าไปเป็นสามัญชนเดี๋ยวนี้! “
ได้ยินดังนั้น ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยนึกถึงตัวตลกในคณะละครอย่างซย่าโหวหนานขึ้นมาทันที นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก
ในที่สุดซย่าโหวเสวี่ยได้เงียบปากลงได้ ฮ่องเต้ก็พาซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไปที่ห้องทรงอักษร
เมื่อผ่านเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจในคืนนี้แล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็เหนื่อยอ่อนทรุดโทรมลงมาก ทำให้เขาแลดูแก่และอมทุกข์
“เสด็จพี่ หากท่านทำไม่ลงละก็ ข้าจะลงมือแทนท่านเอง…”
ซย่าโหวฉิงเทียนยืนเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่เงียบๆ วิธีการเขาง่ายนิดเดียว ใครทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ทุกข์ใจ มันผู้นั้นต้องตาย
มองใบหน้าแข็งกร้าวบุตรชาย ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหวแย้มยิ้มออกมา
เจ้าอายุอานามไม่น้อยแล้ว ไม่ควรเอาแต่ฆ่าแกง ควรจะลงหลักปักฐานได้แล้ว!
เสียงซย่าโหวจวินอวี่อบอุ่นนัก ใบหน้าเขาเปี่ยมด้วยเมตตา ซย่าโหวฉิงเทียนมองดูแล้ว ในใจก็คิดว่า บิดาบังเกิดเกล้าเขาจะเปี่ยมด้วยความเมตตาเช่นนี้หรือไม่นะ
ช่างเถอะ ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายหน้าเบาๆ
อายุปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยพบบิดาบังเกิดเกล้าเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องหวังเลยว่าจะรักเขามากมายอะไร
คงมีเพียงแค่ชายแก่ตรงหน้านี้ที่รักเขาราวกับลูกแท้ๆ ก็ไม่ปาน มอบความรักทั้งหมดที่มีให้กับเขา
“เสี่ยวอวี้รบกวนเจ้าไปที่จวนตระกูลเหลียนได้หรือไม่ เหลียนจิ่นล้มป่วย ข้าช่วยอะไรไม่ได้ เจ้าเป็นจักรพรรดิโอสถ เจ้าช่วยไปดูอาการของเขาสักหน่อย!”
บุตรสาวตนไม่เอาไหน ทั้งยังสาดโคลนใส่เหลียนจิ่นอีก ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
ดังนั้นในพระทัยของพระองค์ จึงเอนเอียงไปทางเหลียนจิ่นโดยปริยาย
ข้อเรียกร้องของซย่าโหวจวินอวี่ตรงกับสิ่งที่อวี้เฟยเยียนคิดอยู่
นางเห็นอยู่ว่าร่างกายเหลียนจิ่นดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้วนี่นา หากตั้งใจดูแลบำรุงหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหา เหตุใดจึงล้มป่วยได้
ฟังจากน้ำเสียงเซี่ยงจิ้น เหลียนจิ่นน่าจะป่วยหนักทีเดียว เขาเป็นอะไรกันแน่นะ
“ข้าจะไปกับนางเอง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนมิอยากให้อวี้เฟยเยียนอยู่ตามลำพังกับเจ้าไม้เท้าเทพนั่น
ถึงแม้เจ้าไม้เท้าเทพจะนับว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับแมวน้อย ซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่ลดราวาศอกให้ได้แม้สักนิดเดียว!
“ได้ พวกเจ้าสองคนไปด้วยกัน!”
ฮ่องเต้มองออก การแสดงความเป็นเจ้าของซย่าโหวฉิงเทียนชัดเจนนัก
รูปลักษณ์หน้าตาเหลียนจิ่นไม่ด้อยไปกว่าซย่าโหวฉิงเทียน อีกทั้งเขายังสุภาพเข้าหาคนได้ง่าย หากว่าให้อวี้เฟยเยียนไปเพียงลำพัง ฮ่องเต้ก็กังวลว่าที่ลูกสะใภ้จะถูกผู้อื่นโน้มน้าวใจไป
เมื่อทูลลาซย่าโหวจวินอวี่แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็พาอวี้เฟยเยียนมาถึงจวนตระกูลเหลียน
เมื่อมาถึงเรือนอ้ายเหลียน ก็พบว่าเหลียนจิ่นยืนรออยู่ที่หน้าประตู ท่าทางเขาปกติราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น ยิ้มกว้างรอคนทั้งสอง ราวกับรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทั้งสองคนจะมา
“เจ้าไม้เท้าเทพ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ซย่าโหวฉิงเทียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เหตุใดเจ้าไม่ยอมเข้าวัง”
“องค์หญิงเสวี่ยใช้ข้าเป็นเกราะกำบัง แล้วข้าต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามอย่างนั้นหรือ”
เหลียนจิ่นกล่าวจบ ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจในความหมายทันที
เจ้าไม้เท้าเทพนี่ รู้ไปเสียหมดทุกอย่าง จึงเจตนาหลบเลี่ยงไม่ไป!
“หากองค์หญิงเสวี่ยกัดไม่ปล่อย แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกัน”
อวี้เฟยเยียนถาม นางไม่เชื่อว่าเหลียนจิ่นจะยอมปล่อยองค์หญิงเสวี่ยไปง่ายๆ เขาจะต้องตอบโต้เป็นแน่
“กัดไม่ปล่อยหรือ”
เหลียนจิ่นฟังแล้วยิ้มละลายใจออกมา ราวกับไร้ซึ่งพิษสงอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็เคาะฟันนางให้แตก ให้นางไปกัดใครไม่ได้อีกน่ะสิ!”
ไม่ต้องรอให้เหลียนจิ่นลงมือ ฮ่องเต้ก็ทรงเคลื่อนไหวเสียแล้ว
หลังซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนออกไปไม่นาน เซี่ยงจิ้นก็ยกยาชามหนึ่งไปที่ตำหนักซย่าโหวเสวี่ย
“องค์หญิง ยาบำรุงที่ฝ่าบาทพระราชทานให้พระองค์ ดื่มเสียเถิด!”
เซี่ยงจิ้นยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ถือชามยาเข้าไป
กลิ่นเหม็นเฝื่อนของยาลอยอบอวนมาแต่ไกล
“ไม่ ข้าไม่ดื่ม!”
ซย่าโหวเสวี่ยตกใจจนลนลาน นางไม่เชื่อคำพูดเซี่ยงจิ้น
ปากก็บอกว่ายาบำรุง ใครจะรู้ว่ามันไม่ใช่ยาพิษกัน เสด็จพ่อพิโรธถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะพระราชทานความตายให้กับนางก็เป็นได้
นางยังไม่อยากตาย!
“องค์หญิงอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย! บ่าวเพียงรับพระบัญชามาเท่านั้น!”
ปากก็กล่าวเช่นนี้ แต่เซี่ยงจิ้นกลับเดินมาที่เบื้องหน้าซย่าโหวเสวี่ยแล้วกล่าวย้ำ
“จะทรงดื่มเอง หรือจะทรงให้บ่าวป้อน บ่าวมือหนักนัก รับรองมิได้ว่าจะไม่ทำให้พระองค์บาดเจ็บ!”
“ไสหัวไป!”
ซย่าโหวเสวี่ยจะปัดชามยาให้แตก เซี่ยงจิ้นได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว จึงเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
“ในเมื่อองค์หญิงมิให้ความร่วมมือ บ่าวขออนุญาตสงเคราะห์ให้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงจิ้นกวักมือเล็กน้อย บ่าวสองคนรูปร่างกำยำก็เดินเข้ามา จับแขนซย่าโหวเสวี่ยไว้คนละข้าง ซย่าโหวเสวี่ยขยับตัวไม่ได้ เซี่ยงจิ้นก็ก้าวไปข้างหน้า จับถ้วยยากรอกปากซย่าโหวเสวี่ยทันที
“แค่นี้ก็เรียบร้อย!”
เซี่ยงจิ้นปล่อยมือ แล้วทอดถอนใจออกมา
“นี่คือยาขับเลือด พระองค์อย่าได้คิดมากอีกเลย ฝ่าบาททรงตรัสว่า เลือดชั่วก้อนนี้มิอาจให้เกิดมาได้!”
“ยังมีอีก ฝ่าบาทให้บ่าวมาทูลองค์หญิง ฮ่องเต้แคว้นซีเย่ว์มาสู่ขอองค์หญิงใหญ่แห่งต้าโจวให้กับองค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น ฝ่าบาทตอบตกลงไปแล้ว องค์หญิงเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวด้วยความดีพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แคว้นซีเย่ว์ แคว้นแร้นแค้นที่ห่างไกลยากจนนั่น
ถูกท่านลุงสิบสี่โจมตีจนแพ้พ่ายอย่างราบคาบนั่นน่ะหรือ
ฮ่องเต้พวกเขาเกลียดต้าโจวเข้ากระดูกดำ เกลียดชังซย่าโหวฉิงเทียนอย่างกับอะไรดี หากนางแต่งออกไป คงทรมานยิ่งกว่าตาย ถูกเขาย่ำยีข่มเหงเป็นแน่
ยังมีองค์ชายห้าแห่งแคว้นซีเย่ว์ นั่นเป็นตัวอะไรกัน
เขาทั้งสำมะเลเทเมา ติดยา ติดการพนัน มั่วนารี สิ่งเลวร้ายทั้งห้าอย่างมิขาดแม้แต่อย่างเดียว ชื่อเสียงพังย่อยยับ คนทั้งแผ่นดินใหญ่ต่างก็รู้กันทั่ว
นี่เสด็จพ่อจะผลักนางเข้ากองไฟหรืออย่างไรกัน!
ราชสำนักมีองค์หญิงมากมาย เหตุใดต้องเป็นนางที่ต้องแต่งออกไปไกล!
“เป็นไปไม่ได้!”
ซย่าโหวเสวี่ยไม่อยากเชื่อเลยว่า เสด็จพ่อที่รักใคร่ทะนุถนอมมาโดยตลอดจะทำเรื่องเช่นนี้กับนางได้
“สุนัขรับใช้ เจ้าบังอาจยิ่งนัก ถึงกับกล้าโกหกองค์หญิง ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ! เสด็จพ่อไม่มีวันส่งข้าไปแต่งงานไกลๆ เป็นแน่ ไม่มีวัน!”
ซย่าโหวเสวี่ยดวงตาแดงก่ำ สายตาแค้นเคืองจ้องเซี่ยงจิ้นเขม็ง
เซี่ยงจิ้นเมื่อได้ยินดังนั้นก็แค่นยิ้มออกมากล่าวว่า
“บ่าวไหนเลยจะบังอาจโกหกองค์หญิงได้! นี่ล้วนเป็นรับสั่งฝ่าบาททั้งสิ้น! ขอเพียงแต่องค์หญิงยินยอมเข้าพิธีแต่งงานแต่โดยดี ฮองเฮาจะยังทรงเป็นฮองเฮา แต่หากองค์หญิงดื้อดึงละก็ ฝ่าบาทจะมีรับสั่ง พระองค์มิถือสาหากจะต้องโยกย้ายที่ประทับของฮ่องเฮาเสียหน่อย ตำหนักเย็นทางทิศตะวันตกเหมาะสมยิ่งนักว่าหรือไม่ พ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวเสวี่ยถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น
ปลดฮองเฮา
เสด็จพ่อจะทรงปลดฮองเฮาอย่างนั้นหรือ
หากว่าหลิวฮองเฮาถูกปลดละก็ นางก็จะมิใช่องค์หญิงใหญ่อีกต่อไป อาจจะโดนหางเลขไปด้วย อย่าว่าแต่อนาคตที่สวยงามเลย แม้กระทั่งศักดิ์ในความเป็นองค์หญิงที่พึงมีก็ไม่เหลือ
หากจะให้นางแต่งงานไปอยู่แคว้นซีเย่ว์ นางยอมตายเสียดีกว่า
ตอนที่ 87-4 ลงโทษ
ดูเหมือนเซี่ยงจิ้นจะอ่านความคิดของซย่าโหวเสวี่ยได้ เขายิ้มออกมา
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอีกว่า หากองค์หญิงจะใช้ความตายเพื่อยืนหยัดในปณิธานก็มิทรงขัดข้อง ฝ่าบาทจะทรงจัดงานพระศพให้กับองค์หญิงอย่างสมเกียรติ หากองค์หญิงมิประสงค์จะตายละก็ ทางเดียวก็คือยอมแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ มิมีทางเลือกอื่นใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไสหัวไป! ไสหัวไป!”
ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งเห็นหน้าเซี่ยงจิ้นยิ่งขัดใจ
เป็นเพียงแค่บ่าวไพร่ กลับพูดจาโอหังถึงเพียงนี้!
น่าขยะแขยงที่สุด!
“กระหม่อมทูลลา!”
เมื่อเซี่ยงจิ้นออกไป ซย่าโหวเสวี่ยก็เจ็บที่ท้องน้อยอย่างรุนแรงแทบขาดใจ
“ใครก็ได้…”
ซย่าโหวเสวี่ยล้มลงนอนกองบนพื้นเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง มือนางกำชายเสื้อแน่น ตะโกนออกมาสุดเสียง
”ข้าเจ็บท้องมาก ใครก็ได้! ช่วยข้าที…”
ไม่นานเลือดสีแดงสดก็ไหลซึมออกมา นางกำนัลชุดใหม่ของตำหนักมาเห็นเข้า ก็ร้องเรียกคนให้ช่วยเหลือ ไม่นาน ทั้งตำหนักก็ปั่นป่วนไปหมด
คนที่มารักษาให้กับซย่าโหวเสวี่ยยังคงเป็นหมอหลวงหวัง ซึ่งเป็นความต้องการของซย่าโหวจวินอวี่
ถึงแม้ว่าหมอหลวงหวังเพิ่งจะถูกหลิวฮองเฮาและองค์หญิงเสวี่ยให้ร้ายมา ทั้งตอนนี้ยังบาดเจ็บอยู่ แต่จิตใจเขามีความซื่อสัตย์รับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่ เขาให้การรักษาซย่าโหวเสวี่ยอย่างเต็มที่ ทั้งยังสั่งยาบำรุงให้นางอีกมากมาย
เมื่อแน่ใจว่าซย่าโหวเสวี่ยปลอดภัยไม่มีอันตรายแล้ว หมอหลวงหวังจึงได้ไปรายงานซย่าโหวจวินอวี่
กระทั่งทุกคนกลับออกไปกันหมดแล้ว ซย่าโหวเสวี่ยนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย ดวงตานางเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยเล็กๆ เหม่อลอยไปที่ผ้าม่านของเตียงไม่ไหวติง
นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ตัวนางแอบออกไปนอกวัง นางยังคิดด้วยความดีใจ ครั้งนี้จะทำความรู้จักกับพี่ชายเหลียนให้มาก ให้พี่ชายเหลียนชอบพอในตัวนางให้จงได้
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างเกิดขึ้นที่เมืองเฟิ่งหมิง
นางสูญเสียความบริสุทธิ์ ตั้งครรภ์เลือดสกปรก บังเกิดเป็นโศกนาฏกรรมตามมาไม่หยุดหย่อน
หลังจากนางกลับมาถึงเมืองหลวง ระดูนางขาดไปนาน ซึ่งตัวนางเองก็มิได้ใส่ใจ
ระดูนางมักจะมาไม่สม่ำเสมอ ภายหลังจึงกลายเป็นเรื่องปกติไป
ใครจะคาดคิด ต่อมานางก็เริ่มคลื่นไส้อาเจียน หมัวมัวผู้หนึ่งพบความผิดปกติเข้า บอกว่านางตั้งครรภ์ ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยร้อนใจเป็นอย่างมาก
ยังมิทันที่นางจะคิดหาทางออก ซย่าโหวจวินอวี่ก็เข้ามา เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นไปตามอย่างที่เห็น
ตอนนี้ ในท้องไม่มีก้อนเลือดนั้นอีกแล้ว ก็ดีเหมือนกัน!
ซย่าโหวเสวี่ยกำเสื้อที่บริเวณท้องน้อยแน่น จนชุดแสนสวยสวมที่สวมใส่อยู่ยับยู่ยี่
เดิมทีนางไม่คิดที่จะให้กำเนิดมันออกมาอยู่แล้ว ถึงขนาดที่ว่าให้หมัวมัวไปสืบหายาขับเลือด เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายกลับเป็นเสด็จพ่อที่ส่งยาขับเลือดชามนั้นมาให้นาง
น่าขันยิ่งนัก!
ต่อให้เลือดก้อนนั้นเป็นเลือดชั่ว ไม่มีใครต้อนรับ แต่เสด็จพ่อพระองค์ทรงฆ่าหลานในไส้ด้วยมือของพระองค์เอง!
ขอบพระทัยที่ทรงลงมือ ช่วยลูกขจัดปัญหา โดยมิต้องให้มือลูกแปดเปื้อนคาวเลือด
แต่แค้นนี้มิอาจไม่แก้แค้น!
ซย่าโหวเสวี่ยมิใช่แค้นที่ฆ่าลูก แต่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้นางต้องลงเอยเฉกเช่นวันนี้…อวี้หลัวช่า
ถึงแม้ตอนนี้นางจะไม่สามารถที่จะล้างแค้นได้ ทั้งยังมิใช่คู่ต่อสู้อวี้หลัวช่า แต่สุภาพชนแก้แค้นสิบปียังไม่สาย ซย่าโหวเสวี่ยท่องประโยคนี้จนขึ้นใจ
อวี้หลัวช่า ข้ากับเจ้าจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!
อวี้เฟยเยียนไม่รู้เลยว่า ซย่าโหวเสวี่ยโทษว่าเป็นความผิดอวี้เฟยเยียนทั้งหมดที่ทำให้ตนเองต้องมีจุดจบเฉกเช่นวันนี้
ตอนนี้อวี้เฟยเยียนคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนจงอี้กง ทั้งยังเป็นจอมเทวาแห่งต้าโจว ไปที่ไหนล้วนแต่ได้รับความเคารพจากผู้คน อยู่ในตระกูลอวี้ ยิ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ใช้ชีวิตในทุกๆ วันอย่างมีอิสรเสรีและมีความสุข บทลงโทษที่ฮ่องเต้ทรงใช้จัดการให้กับซย่าโหวเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็รู้มาจากซย่าโหวฉิงเทียนอีกทอดหนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าซย่าโหวเสวี่ยไม่ร้องไห้ตีโพยตีพาย แต่กลับรับปากเดินทางไปซีเย่ว์เพื่อแต่งงานอย่างว่าง่าย ข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวของนางคือ องค์ชายห้าแห่งซีเย่ว์จะต้องมารับนางขึ้นเกี้ยวแต่งงานที่เมืองหลวงด้วยตนเอง
ข้อเรียกร้องนี้ ซย่าโหวจวินอวี่รีบรับปากอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ
องค์หญิงใหญ่แต่งงานทั้งที ก็ต้องสมเกียรติเช่นนี้!
เมื่อคิดถึงว่าซย่าโหวเสวี่ยต้องแต่งงานไปที่ซีเย่ว์ อวี้เฟยเยียนก็ทอดถอนใจออกมา
สำหรับสตรีผู้หนึ่ง โชคชะตาที่โหดร้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่ต้องแต่งงานไปที่ที่ไกลแสนไกล ไปใช้ชีวิตต่างถิ่นต่างแดน มิอาจกลับสู่อ้อมอกของบิดามารดาได้ชั่วชีวิต
ยิ่งกว่านั้นแคว้นซีเย่ว์ที่ได้ชื่อว่าอยู่ใต้อาณัติต้าโจว แท้ที่จริงแล้วเชื่อฟังอยู่กี่ส่วนกัน
มีแคว้นต้าโจวกดหัวอยู่เบื้องบน ซีเย่ว์ก็จะเป็นแคว้นที่ไร้ซึ่งเอกราชอยู่วันยังค่ำ มิอาจบรรยายได้เลยว่าผู้คนที่นั่นจงเกลียดจงชังต้าโจวมากเพียงไหน พวกเขาจะต้องเอาความแค้นทั้งหมดไปลงที่ซย่าโหวเสวี่ยเป็นแน่
หากเป็นเช่นนี้ ซย่าโหวเสวี่ยก็น่าสงสารยิ่งนัก
แต่ คนที่น่าสงสารก็ย่อมต้องมีบางส่วนที่น่าสมน้ำหน้าเช่นกัน
หากนางไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไหนเลยจะเป็นดังเช่นวันนี้!
สรุปแล้วก็คือ ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้ จึงมิอาจหลบเลี่ยงได้!
ทว่าด้วยนิสัยซย่าโหวเสวี่ยแล้ว นางรับปากอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่
คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง อวี้เฟยเยียนก็สลัดความคิดเรื่องซย่าโหวเสวี่ยออกไปจากสมอง
สิ่งที่นางต้องใส่ใจมากที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเปิดโรงหมอสักโรงที่เมืองหลวง เพื่อรักษาผู้คน
เมื่อได้ฟังความคิดที่ว่าอวี้เฟยเยียนอยากที่จะเปิดโรงหมอสักโรง ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบนำบรรดาสัญญาเช่าพื้นที่บริเวณถนนที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวงให้กับอวี้เฟยเยียนได้เลือกทันที
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านนี่เงินหนาจริงเชียว!”
เมื่อเห็นสัญญาเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นพื้นที่ดี ตำแหน่งที่ดีทั้งสิ้น อีกทั้งพื้นที่ของร้านทั้งใหญ่และกว้างขวาง อวี้เฟยเยียนเลือกจนตาลาย
“หากเจ้าชอบก็เก็บไว้เถอะ! อยู่ในมือพี่อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!”
เห็นท่าทางหลงใหลในเงินตราอย่างน่ารักของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทุกปีภาษีที่เก็บได้มากมายเหลือคณานับ ใช้อย่างไรก็ใช้ไม่หมด นับประสาอะไรกับพื้นที่ไม่กี่ร้านนี่
เห็นท่าทาง ‘ป๋าใจป้ำ’ และ ‘เจ้ากอดขาพี่สบายทั้งชาติ’ ของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็กระแอมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วเลือกมาหนึ่งที่
“นี่ถือว่าข้าเช่าท่านละกัน ข้าจะจ่ายค่าเช่าให้กับท่าน!”
“รอให้ข้าเปิดโรงหมอก่อน ถึงตอนนั้นทุกวันจะต้องมีเงินเข้าไม่ขาด หึ ไม่น้อยหน้าท่านเป็นแน่!”
สิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมานั้นเป็นความจริง ยาเม็ดของนางที่หอนภาหอมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ตอนนี้ อวี้เฟยเยียนนับว่าเป็นเศรษฐีน้อยคนหนึ่งทีเดียว
“เช่าหรือ ของพี่ ก็เหมือนของเจ้า”
ซย่าโหวฉิงเทียนมิค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักที่อวี้เฟยเยียนกล่าววาจาเช่นนี้
“แต่หากเจ้าจะเช่าตัวพี่ ก็ย่อมได้!”
“เช่าท่าน ท่านทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ “
อวี้เฟยเยียนได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ก็เกิดความไม่เข้าใจ
“พี่ช่วยเจ้าแต่งตัว เกล้าผม!”
ประโยคนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากอวี้เฟยเยียนกลับมา อวี้จิงเหลยก็จัดหาสาวใช้ไว้ให้คอยดูแลนางโดยเฉพาะสองคน
แต่ในวันที่สาวใช้ทั้งสองมาถึงที่หอซ่งเฮ่อ คนหนึ่งขาแพลง อีกคนแขนหัก กลายเป็นผู้บาดเจ็บทั้งคู่ แล้วจะมาปรนนิบัติอวี้เฟยเยียนได้อย่างไรกัน!
ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงมารายงานตัวที่หอซงเฮ่อทุกเช้า เพื่อเกล้าผมและแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียน
หลายวันที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเสียด้วย
ฝีมือในการเกล้าผมเขานับวันยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกทึ่งยิ่งนัก
นึกไม่ถึงว่ามือที่ใช้ฆ่าคน จะทำงานฝีมือได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!
เขาสามารถเกล้าผมให้กับนางหลากหลายรูปแบบ นับถือเขาจริงๆ!
หลักคิดซย่าโหวฉิงเทียนง่ายนิดเดียว หากว่าข้างกายแมวน้อยมีคนปรนนิบัตินางละก็ ไหนเลยเขาจะมีโอกาสได้เป็นวีรบุรุษโดยไม่ต้องใช้แม้วรยุทธ์เช่นนี้กันเล่า เขาจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเอาหน้าเป็นแน่!
“เช่าท่าน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”
เมื่อคิดถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องลับๆ ล่อๆ เฝ้าอยู่ที่นอกประตูในทุกเช้า ทั้งต้องแอบมิให้อวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยรู้อีก อวี้เฟยเยี่ยนก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก
“ว่ามา ค่าตัวท่านเท่าไหร่! พี่จ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว!”
อวี้เฟยเยียนตบที่อกของตนเองเบาๆ ท่าทีใจกว้างราวมหาสมุทร!
“เหรียญเพียงเหรียญเดียว!”
แค่ก…
ได้ฟังคำตอบเช่นนั้น ฮันจื่อที่นั่งจ๋องอยู่ด้านข้าง เกือบกระอักเลือดออกมา
เจ้านาย ท่านช่างเปี่ยมด้วยน้ำใจ
เหรียญเพียงเหรียญเดียว!
นายท่าน ในเมื่อค่าตัวท่านมีค่าแค่เพียงเท่านี้ เช่นนั้นผู้น้อยจ้างท่านเอง ได้หรือไม่ขอรับ
ข้าน้อยไม่ต้องการให้ท่านทำอย่างอื่นเลย ขอเพียงท่านช่วยเกาหลังให้ข้าน้อย เวลาเช้าหนึ่งครั้ง บ่ายหนึ่งครั้ง กลางคืนหนึ่งครั้งเท่านั้น!
ตอนที่ 87-5 ลงโทษ
ฮันจื่อคลำไปทั่วร่าง จนเจอแล้วหยิบเอาเหรียญออกมาได้หนึ่งเหรียญ กลิ้งมันไปหาซย่าโหวฉิงเทียน
เหรียญอันกลมเกลี้ยงกลิ้งลุ่นๆ ไปที่ปลายเท้าซย่าโหวฉิงเทียน แล้วหมุนเคว้งหนึ่งรอบก่อนจะหยุดลง
“ฮ่าๆ!”
เมื่อเห็นฮันจื่อกระทำเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็โอบศีรษะฮันจื่อพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮันจื่อ เจ้าเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!”
ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนย่อมรู้ดีว่าฮันจื่อกำลังขุดหลุมฝังตนเองชัดๆ
เจ้าหมายักษ์สมควรตายนี่ ถูกอวี้เฟยเยียนให้ท้ายจนไม่รู้ใครเป็นเสียแล้ว!
ซึ่งฮันจื่อเองก็จะต้องไปนั่งตาแป๋ว ทำหน้าทำตาใสซื่อจงรักภักดีข้างๆ อวี้เฟยเยียนเสียด้วย
ทุกครั้งที่มันต้องตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนทะเลาะกัน มันสนับสนุนแม่นางน้อยเต็มที่โดยมิมีลังเล
การที่ฮันจื่อทำเช่นนี้ แน่นอนว่าชนะใจอวี้เฟยเยียนแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่ฮันจื่อก่อเรื่อง อวี้เฟยเยียนจะออกหน้าแทนทุกครั้งไป แม้กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนจะหาเรื่องฮันจื่อ ก็ยังทำไม่สำเร็จเลย
จนในบางครั้งซย่าโหวฉิงเทียนยังแอบรู้สึกว่าในใจอวี้เฟยเยียนเขายังสำคัญรองจากฮันจื่อด้วยซ้ำไป
เขาเสียใจยิ่งนัก ที่ในตอนแรกตนเองให้ฮันจื่อทำหน้าที่เป็นสายลับ แฝงกายอยู่ข้างกายแมวน้อย นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์!
“ห้ามหัวเราะนะ!”
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนหัวเราะด้วยความขบขันอย่างบ้าคลั่ง ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบออกคำสั่ง เสียงเข้ม
“ฮ่าๆ ขำจะตายอยู่แล้ว!”
อวี้เฟยเยียนไหนเลยจะฟังคำซย่าโหวฉิงเทียน รอจนนางหัวเราะจนมองเห็นฟันขาวๆ ด้านในปากนั่นเอง แสงสีม่วงพุ่งเข้ามาประจบจูบปิดปากนางทันที
“ท่าน…”
อวี้เฟยเยียนตกตะลึงไปชั่วครู่ จนกระทั่งอากาศถูกอีกฝ่ายดูดกลืนไปจนหมด จนนางจวนเจียนจะขาดใจนั่นเอง นางถึงได้รู้สึกตัว อวี้เฟยเยียนยื่นกำปั้นออกไปทุบที่อกของบุรุษพูดจริงทำจริงตรงหน้า
“ซย่าโหวฉิงเทียน เหตุใดท่านถึงหน้าไม่อายเช่นนี้นะ!”
เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงค่อยๆ ปล่อยนาง
“พี่เตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าดื้อดึง พี่จึงต้องใช้วิธีเช่นนี้ลงโทษเจ้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยกมือลูบริมฝีปากของตนที่เปื้อนน้ำลายเปียกชื้นเบาๆ ใบหน้าเปี่ยมสุขไม่จางหาย
เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มๆ ฮันจื่อยกอุ้งเท้าใหญ่ของตนขึ้นปิดตา
นายท่านเอาเปรียบแม่นางน้อยอีกแล้ว!
หน้าไม่อายจริงๆ เลย!
แม่นางน้อย ท่านต้องรีบเลื่อนขั้นให้ไวๆ แล้วทุ่มนายท่านเสียเลย!
“เลว!”
ยังมิทันที่ปลายเท้าอวี้เฟยเยียนจะตวัดออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ก้มเก็บเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้นเรียบร้อย แล้วทะยานไปด้านนอกประตู
“ค่าจ้างพี่ได้รับแล้ว พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่!”
เมื่อเลือกที่ได้แล้ว ป้ายโรงหมอของอวี้เฟยเยียนก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ทั้งยังขึ้นแขวนจนเสร็จสรรพ
ข่าวที่ว่าจักรพรรดิโอสถอวี้หลัวช่าเปิดโรงหมอที่เมืองหลวง ราวกับระเบิดก็ไม่ปาน ดังกระฉ่อนทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ในวันที่เปิดโรงหมอวันแรกนั่นเอง ถนนสายหลักของเมืองหลวงล้นทะลักไปด้วยคลื่นมหาชน ทุกที่ล้วนแต่มีคน ทุกคนล้วนแต่อยากยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของจักรพรรดิโอสถสักครั้ง เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นจักรพรรดิโอสถคนแรกของแผ่นดิน อนาคตภายภาคหน้านางยังอีกยาวไกล ทุกคนต่างรอคอยที่จะได้พบกับปาฏิหาริย์ทั้งนั้น!
ตอนที่อวี้เฟยเยียนปรากฎตัวนั้น ก็ยังคงยึดหลักเช่นเดิม นั่นคือสวมใส่ผ้าแพรปกปิดใบหน้าตั้งแต่ช่วงริมฝีปากลงไป
เพื่อให้ทุกคนเชื่อถือในโรงหมอของนาง อวี้เฟยเยียนจึงเปิดเผยสถานะจอมเทวาของตนเองขณะเดียวกันหอราชาโอสถก็ส่งผู้เฒ่าใหญ่และหมอเทวดาฮั่วมาร่วมยินดีด้วย
มีสถานะจอมเทวา ทั้งยังมีหมอเทวดาฮั่วช่วยผลักดันมีทุกคนช่วยกันยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าคนผู้นี้ก็คืออวี้หลัวช่า
ท่ามกลางผู้ชมโดยรอบ มีหญิงคนหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางอวี้เฟยเยียนเข้า ก็เกือบจะร้องทักเสียงดังออกมา
สาวน้อยที่สวมใส่ผ้าแพรผืนบางปกปิดใบหน้า มิใช่สาวน้อยที่ร่วมทางมากับอวี้เชียนเสวี่ยที่เมืองกุยอวี่หรอกหรือ!
หลี่รุ่ยมือกุมผ้าเช็ดหน้าแน่น หน้าดำหน้าแดง ในใจก็คิดเสียใจภายหลังเป็นที่สุด
หลังจากได้รับข่าวจากหอนภาหอมแล้ว หลี่รุ่ยก็ดีใจเป็นอย่างมาก อวี้หลัวช่าจะมาเปิดโรงหมอที่เมืองหลวงหรือนี่ เรื่องนี้สำหรับหลี่รุ่ยแล้ว นับเป็นข่าวดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ นางมิเพียงแต่ตกรางวัลให้กับหอนภาหอมอย่างงาม ทั้งยังมารอแต่หัววันตามเวลาที่ระบุในข่าวที่ได้รับมา
แต่สิ่งที่หลี่รุ่ยนึกไม่ถึง นางมิเพียงเคยพบอวี้หลัวช่า ทั้งยังเดินเฉียดไหล่กันก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น!
หากรู้ตั้งแต่แรกว่าสาวน้อยผู้นั้นคืออวี้หลัวช่า นางก็คงไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา!
ถึงตอนนี้ หลี่รุ่ยเสียใจเป็นอย่างมาก!
เพื่อที่จะตามหาอวี้หลัวช่า นางถึงกับยอมใช้สินสอดทองหมั้นเมื่อครั้งที่นางแต่งงาน เพื่อให้เป็นค่าตอบแทนให้กับหอนภาหอมในการหาข่าวอวี้หลัวช่า คิดแล้วก็แทบกระอักเลือด
แต่ทว่า ถึงแม้จะจ่ายเงินไปมากมาย แต่ยังดีที่ในท้ายที่สุดนางก็ตามหาอวี้หลัวช่าจนเจอ
หลี่รุ่ยตัดสินใจเด็ดขาด ว่าอย่างไรเสียนางก็จะต้องเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาอาการของตนเองให้จงได้ เพื่อให้นางสามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จและยังต้องเป็นลูกชายอีกด้วย
ในขณะที่หลี่รุ่ยกำลังวาดฝันอย่างสวยงามอยู่นั้น เสียงอวี้เฟยเยียนก็ลอยมาเข้าหู
ข้านั้นมีสามสิ่งที่ไม่รับรักษา
“สิ่งแรกคือ คนที่ข้าไม่ถูกชะตา ข้าไม่รักษา”
“สิ่งที่สองคือ เวลาอารมณ์ไม่ดี ข้าไม่รักษา”
“สิ่งที่สามคือ บุคคลที่ไร้ใจไร้คุณธรรม ข้าไม่รักษา”
คำพูดอวี้เฟยเยียน เรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนได้อย่างล้นหลาม
ดูผิวเผินข้อเรียกร้องทั้งสามข้อนี้มิได้ยากลำบากอะไร แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ในคำพูดเมื่อครู่นั้น สื่อความหมายถึงอะไรได้มากมาย หากว่าใต้เท้าอวี้หลัวช่าไม่ประสงค์ที่จะรักษาให้ใคร ก็สามารถบอกได้เลยว่าข้าไม่ถูกชะตากับเจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้ โดยที่อีกฝ่ายมิสามารถทำอะไรได้เลยน่ะสิ!
ซึ่งหลี่รุ่ยมีความรู้สึกว่า อวี้หลัวช่าเจาะจงมาที่นาง
อวี้หลัวช่าเดินทางมาพร้อมกับอวี้เชียนเสวี่ย ความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้สนิทสนมกันยิ่งนัก หรือว่า อวี้เชียนเสวี่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้กับอวี้หลัวช่าฟัง ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงกล่าวคำพูดเช่นนั้นออกมา
หลี่รุ่ยอดคิดมากมายมิได้
อย่างไรก็ตามเรื่องราวในปีนั้นตระกูลหลี่เป็นฝ่ายผิด หากอวี้เชียนเสวี่ยต้องการจะตอบโต้ ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ทว่า เมื่อหลี่รุ่ยหวนนึกถึงว่า อวี้หลัวช่าคือจอมเทวา ทั้งยังเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ ต่อให้นางช่วยอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้ แต่อวี้หลัวช่าฐานะสูงส่ง มิใช่ที่อวี้เชียนเสวี่ยนึกจะปีนก็ปีนขึ้นไปถึงได้
จะต้องเป็นไปไม่ได้!
หลี่รุ่ยปลอบใจตนเอง แต่หลังจากพบกับอวี้เฟยเยียน คำปลอบใจตนเองนั้นก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น
เนื่องจากหลี่รุ่ยได้รับข่าวที่หอนภาหอมส่งมา ซึ่งได้บันทึกวันเวลาและสถานที่ที่อวี้เฟยเยียนจะเปิดโรงหมอเอาไว้ชัดเจน ดังนั้นในตอนเช้าตรู่หลี่รุ่ยจึงได้ให้คนมาเฝ้าเอาไว้
นางจึงเป็นคนไข้คนแรก
ทว่าเมื่อได้พบกับอวี้หลัวช่า หลี่รุ่ยยังมิทันจะเงยหน้าขึ้น ก็ได้รับประโยคตอบกลับว่า
“ตามกฎข้อที่หนึ่ง!”
“หา”
ได้ยินเช่นนั้น หลี่รุ่ยมิได้เข้าใจในทันที
ตอนที่ 88-1 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญา...
”ฮ่าๆ!”
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็หัวเราะเสียงดัง
“นี่! ใต้เท้าอวี้หลัวช่าไม่ชอบขี้หน้าเจ้า ยังไม่รีบไปอีก!”
ถึงตอนนี้ หลี่รุ่ยจึงได้เข้าใจความหมายคำพูดเมื่อครู่ของอวี้เฟยเยียน
ตามกฎข้อที่หนึ่ง…
กฎข้อที่หนึ่งนั่นก็คือ มองหน้าใครไม่ถูกชะตา ไม่รับรักษา
จะชั่วดีอย่างไร หลี่รุ่ยก็เป็นพระชายาเอกแห่งลั่วหยางอ๋องมาตั้งหลายปี แม้ข้างกายซย่าโหวอี้จะไม่เคยว่างเว้นสตรีเลยก็ตาม แต่ซย่าโหวอี้ก็ถือเป็นหนึ่งในท่านอ๋องที่หลงเหลืออยู่ไม่มาก หลี่รุ่ยจึงเป็นพระชายาเอกจำนวนน้อยเช่นเดียวกัน
ภายในจวนอ๋อง นังจิ้งจอกพวกนั้นตามตอแยเกาะติดท่านอ๋อง นางทำอะไรพวกมันไม่ได้
แต่เมื่อออกมานอกจวน นางก็คือพระชายาเอกของลั่วหยางอ๋อง ที่ผู้คนมากมายเอาแต่สอพลอประจบประแจงนางไม่หยุด ซึ่งหลี่รุ่ยเองก็ได้เพิ่มพูนความมั่นใจจากส่วนนี้มาไม่น้อย
มาตอนนี้ อวี้เฟยเยียนกลับไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย ทำให้หลี่รุ่ยขุ่นเคืองใจขึ้นมา
“เพราะเหตุใดกัน”
หลี่รุ่ยก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วจ้องมองอวี้เฟยเยียนเขม็ง
“เหตุใดถึงได้เห็นข้าแล้วไม่ถูกชะตากัน”
หลี่รุ่ยวางมาดพระชายา อวี้เฟยเยียนได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ตามกฎข้อที่สาม”
ไม่รับรักษาพวกที่ไร้หัวใจไร้คุณธรรม!
หลี่รุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็เซถลา จนเกือบจะเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว
สิ่งที่นางเป็นกังวลในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!
อวี้เชียนเสวี่ยต้องพูดอะไรกับอวี้หลัวช่าเป็นแน่ อวี้หลัวช่าถึงได้เข้าใจนางเช่นนี้ จะต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน!
“เรื่องนี้จะต้องมีการเข้าใจผิดกัน! ข้าสามารถอธิบายได้นะ…”
หลี่รุ่ยไม่อยากที่จะทิ้งโอกาสที่แสนหายากในวันนี้ นางลำบากมากกว่าจะตามหาอวี้เฟยเยียนจนเจอ แล้วจะให้นางปล่อยโอกาสหลุดลอยไปอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน! ไร้ซึ่งทายาทสืบตระกูล ชีวิตของนางต่อไปในจวนลั่วหยางอ๋องต้องทุกข์ทรมานและยากลำบากเป็นแน่!
“เข้าใจผิด”
ถึงขนาดนี้แล้ว นางเองก็พูดไปอย่างชัดเจน หลี่รุ่ยยังกล่าววาจาเอาดีเข้าตนเองได้อีก อวี้เฟยเยียนอยากจะหัวเราะนัก
“ต่อให้ข้าเข้าใจผิดท่าน แล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่รักษาให้ท่าน ท่านจะทำอะไรได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เข้าใจท่านผิดเสียหน่อย ในใจของท่านน่าจะรู้ดี! ตระกูลหลี่ของท่านกระทำการไร้ซึ่งน้ำใจ ท่านยิ่งละโมบในลาภยศสรรเสริญ คนทรยศหักหลังผิดคำพูด!”
“พระชายาลั่วหยางอ๋อง เชิญเสด็จกลับเสียเถอะ!”
“มิเช่นนั้นเรื่องราวเก่าก่อนของท่านจะถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่หน้าตาท่านจะไม่เหลือ แม้แต่หน้าตาลั่วหยางอ๋องก็จะป่นปี้ไปด้วย!”
วาจาอวี้เฟยเยียนสื่อความหมายชัดเจน ทำเอาหลี่รุ่ยตกใจจนเกือบจะเป็นลม
นางรู้อะไรมาอย่างนั้นหรือ
อวี้หลัวช่าหมายความว่าอะไรกันแน่
เหตุใดนางถึงต้องช่วยอวี้เชียนเสวี่ย เหตุใดถึงต้องช่วยตระกูลอวี้
“อวี้เชียนเสวี่ยจ่ายท่านไปเท่าไหร่ ข้าก็สามารถจ่ายให้ท่านได้เช่นเดียวกัน!”
หลี่รุ่ยยังมิยอมเลิกรา ยังคงต่อเอ่ยรองเงื่อนไข
โง่เขลาเสียจริงๆ!
โชคดีที่นางไม่ได้แต่งเข้าตระกูลอวี้!
มิเช่นนั้น สติปัญญาเพียงเท่านี้ของนาง จะต้องส่งผลต่อลูกหลานตระกูลอวี้ในรุ่นต่อไปเป็นแน่!
“เงินหรือ ข้ายังต้องการเงินอีกอย่างนั้นหรือ”
อวี้เฟยเยียนทำท่าทางราวกับว่าได้ฟังเรื่องขำขันระดับชาติเข้าให้
“มาเทียบเคียงความมั่งมีเงินทองกับข้า ท่านยังอ่อนต่อโลกมากนัก!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ผู้คนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“ยาเม็ดของใต้เท้าอวี้หลัวช่าเพียงเม็ดเดียว วางขายที่หอนภาหอมเดี๋ยวเดียวก็ขายได้ในราคาสองร้อยกว่าตำลึงเชียว! แล้วจะขาดแคลนเงินได้อย่างไรกัน!”
“หญิงผู้นี้เป็นพระชายาจริงหรือเปล่า ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเลยสักนิด!”
“แอบอ้าง นางจะต้องแอบอ้างเป็นแน่! อ๋ององค์ไหนกันที่ตาบอด แต่งงานกับหญิงโง่เง่าไร้สติ! ทั้งยังอาจหาญต่อรองราคากับใต้เท้าอวี้หลัวช่าเช่นนี้ได้ สมองไม่ปกติเป็นแน่!”
“ท่านกลับไปเถอะ อย่าถ่วงเวลาคนอื่นอีกเลย!”
“ใช่ รีบไสหัวไปซะ!”
เสียงโห่ร้องขับไล่ดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแรงจากคลื่นมหาชนก็ผลักดันหลี่รุ่ยออกไป
ถึงแม้ว่าซย่าโหวอี้จะไม่ได้ดีกับนางเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไว้หน้านางอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงไม่เคยต้องเสียหน้าเสียเกียรติอับอายถึงขนาดนี้มาก่อน
ในเวลานี้นางถูกผู้คนมากมายล้อมเอาไว้ ทุกคนพากันกระหน่ำด่าว่านาง ชนิดที่ว่าหลี่รุ่ยแทบจะจมกองน้ำลายตายเลยทีเดียว
สุดท้าย องครักษ์ก็เข้าปกป้องเต็มกำลังและอารักขาหลี่รุ่ยให้หนีรอดกลับจวนได้อย่างปลอดภัยในสภาพสะบักสะบอมและมอมไปทั้งตัว
เมื่อไม่มีบุคคลที่น่ารังเกียจเมื่อครู่แล้ว อวี้เฟยเยียนก็ชันกายลุกขึ้นพร้อมทั้งยิ้มและโบกมือให้กับชาวบ้าน ด้วยอาการสุขุมกล่าวว่า
“ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยเหลือข้า นับเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”
“ข้าเป็นหมอ แน่นอนว่าย่อมต้องซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง และจะรักษาทุกคนอย่างเต็มกำลังความสามารถ”
“แต่ว่า ผู้ที่มารับการรักษามากมาย ข้าเพียงคนเดียว กำลังและความสามารถมีจำกัด จึงอาจมีส่วนที่บกพร่องไปบ้าง คงมิได้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะอภัยให้ด้วย”
อวี้เฟยเยียนไม่มีมาดของจักรพรรดิโอสถแม้แต่น้อย ทั้งยังใกล้ชิดเป็นกันเอง สิ่งที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่ ทุกคนต่างก็น้อมรับ
“อวี้หลัวช่าสมถะเรียบง่ายโดยแท้!”
“จริงด้วย! ข้ารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหลงรักนางเข้าให้แล้ว…”
“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า พวกเราเข้าใจท่าน!”
“ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจข้า!”
อวี้เฟยเยียนโค้งกายน้อยๆ
“เพื่อเป็นการรับรองว่าทุกคนที่ป่วยจะได้รับการรักษา ข้าได้เชื้อเชิญผู้เฒ่าใหญ่ท่านหมอเทวดาฮั่ว และหมอจากหอราชาโอสถอีกสิบท่าน มาที่นี่เพื่อช่วยทำการตรวจรักษาให้กับทุกคน”
“โดนลมเย็น ปวดศีรษะจับไข้ หกล้ม เคล็ดขัดยอก กระดูกได้รับความเสียหาย อาการเหล่านี้เป็นอาการเจ็บป่วยธรรมดา ข้าจะมอบให้เป็นหน้าที่ของท่านหมอยา ซึ่งความสามารถของพวกเขาไร้ข้อกังขาอยู่แล้ว แต่หากว่าเป็นโรคประหลาดซับซ้อน เกี่ยวข้องถึงชีวิตก็จะเป็นหน้าที่ของข้าและท่านหมอเทวดาฮั่ว”
“พวกเราช่วยเหลือเกื้อกูล เข้าใจซึ่งกันและกัน เช่นนี้จะทำให้เหล่าคนไข้ที่เป็นโรคประหลาดรักษาไม่หายได้มีความหวังที่จะรอดชีวิตได้มากอีกขึ้นอีกแรง! ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะถ้อยทีถ้อยอาศัยให้มากๆ!”
น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนอ่อนโยนเป็นกันเอง สิ่งที่นางกล่าวมามีเหตุมีผลถูกต้องตามครรลองคลองธรรม จึงเป็นที่ซาบซึ้งแก่ผู้คนยิ่งนัก
ไม่นาน ทุกคนต่างก็สนับสนุนในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนตัดสินใจ
หากว่าอาการเจ็บป่วยธรรมดายึดครองเวลาของจักรพรรดิโอสถเป็นส่วนมาก แล้วผู้คนที่ต้องการ การรักษาจากจักรพรรดิโอสถจริงๆ ก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะมีชีวิตต่อ
ดังเช่นที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมา ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า
ในวันแรกที่เปิดกิจการ ‘หอชุบชีวิต’ ของอวี้เฟยเยียน ก็มีผู้คนเข้ามาเต็มเอี๊ยด ทุกคนคนต่างยุ่งจนแทบไม่มีเวลา จวบจนกระทั่งถึงช่วงกลางคืนซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน ทุกคนจึงได้พักผ่อนบ้าง
“แม่นางน้อยอวี้ ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว!”
“การปฏิบัติจริงต่างหากจึงจะถือเป็นครูที่ดีที่สุด!”
นี่เป็นคำพูดที่อวี้เฟยเยียนกล่าวในจดหมายที่เขียนส่งให้กับเจ้าสำนักหลิน
บรรดาหมอยาแห่งหอราชาโอสถก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนศึกษาแต่ในตำราด้วยความยากลำบากเป็นเวลานาน แต่ทว่าโอกาสที่จะนำวิชาความรู้มาใช้ของพวกเขาน้อยนิดยิ่งนัก ทำให้สิ่งที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ถูกนำมาใช้ กลายเป็นความรู้ปิดตาย
ตอนนี้อวี้เฟยเยียนเปิดโรงหมอ ทำให้ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาเข้ารับการรักษา เพราะชื่อเสียงจักรพรรดิโอสถ
อวี้เฟยเยียนจึงเชื้อเชิญหอราชาโอสถมาร่วมกิจการโรงหมอด้วยกัน จริงๆ แล้วนับเป็นการเปิดโอกาสให้กับเหล่าหมอยาได้มีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้
แล้วเจ้าสำนักหลินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าโอกาสเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง!
ดังนั้นเจ้าสำนักหลินจึงเลือกเฟ้นศิษย์ของหอราชาโอสถที่มีพรสวรรค์และผลการเรียนยอดเยี่ยมส่งมาที่นี่ เพราะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะได้ศึกษาและสั่งสมความรู้จากอวี้เฟยเยียนได้บ้าง
ซึ่งจุดนี้ หมอเทวดาฮั่วสนับสนุนเป็นอย่างมาก
หมอเทวดาฮั่วถึงกับแนะนำเจ้าสำนักหลินว่า หากว่ากิจการของอวี้เฟยเยียนดำเนินไปด้วยดีละก็ หอราชาโอสถควรจะจัดส่งศิษย์มาฝึกฝนที่นี่ให้มากขึ้น
ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ใกล้ชิดและได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดิโอสถ นับเป็นวาสนาของพวกเขายิ่งแล้ว!
ตอนนี้บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็เหนื่อยจนแทบหืดขึ้นคอ ส่วนหมอเทวดาฮั่วก็เอาแต่ยิ้ม ‘ฮิฮิ’ ออกมา
“พวกเจ้านะ ตั้งใจทำต่อไปนะ!”
ในตอนนี้หมอเทวดาฮั่วและอวี้เฟยเยียนมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า ‘หอคืนชีพ’ ที่พวกเขาร่วมกันสร้างในวันนี้ ในวันหน้าจะมีชื่อเสียงไปไกลทั่วทุกสารทิศ
ตอนที่ 88-2 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญา...
หลี่รุ่ยกลับมาถึงจวนในสภาพอิดโรยสะบักสะบอม นางกลับเข้าห้องทันที แล้วทรุดกายซบลงที่เตียงนอนของตนร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก
นางเสียเงินไปมากมาย เพื่อไหว้วานให้หอนภาหอมสืบข่าวคราวเกี่ยวกับอวี้หลัวช่า ทั้งยังรอคอยอย่างอดทน ทว่าใครจะคาดคิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้
อวี้เชียนเสวี่ย เหตุใดท่านถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้!
หรือท่านไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยเป็นคนรักเก่าก่อนแม้แต่น้อย
ท่านทำร้ายทำลายข้าเช่นนี้ มีประโยชน์อะไรกับท่าน!
ตอนนี้ หลี่รุ่ยกล่าวโทษว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะอวี้เชียนเสวี่ย นางเชื่อสนิทใจว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำทำของอวี้เชียนเสวี่ยที่เล่นสกปรก
อวี้หลัวช่าไม่ยินยอมรักษาให้กับนาง นี่เป็นสิ่งที่นางเจ็บปวดใจมากที่สุด
ถุย!
เป็นถึงจักรพรรดิโอสถ!
คุณธรรมพื้นฐานที่จะช่วยเหลือผู้คนยังไม่มี!
ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดโง่เขลาเบาปัญญา!
หลี่รุ่ยร้องไห้ไปพลาง ปากก็ด่าทออวี้เฟยเยียนและอวี้เชียนเสวี่ยไปด้วย ความอัดอั้นตันใจไม่มีที่ให้ระบาย ทรมานจวนเจียนจะตาย!
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเถาสาวใช้คู่กายของนางก็เดินรีบร้อนเข้ามา
“พระชายา แย่แล้วเพคะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ!”
หลี่รุ่ยเดิมทีแล้วก็มีอารมณ์โกรธเคืองอัดอั้นอยู่เต็มอก ตลอดทางที่กลับมา นางมิมีทางระบายออกมาได้เลย
ตอนนี้เสี่ยวเถา จู่ๆ ก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา หลี่รุ่ยโมโหตบหน้าของนางอย่างแรง จนล้มกลิ้งลงบนพื้น
“ตาบอดหรืออย่างไร ข้ายังมิได้อนุญาต ใครใช้ให้เจ้าเข้ามา”
หลี่รุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ไฟที่สุ่มอยู่ในอกของนาง ‘ฟู่ๆ’ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันต้องการที่ระบายออกในทันที
“เด็กๆ ลากนั่งไพร่นี่ออกไปแล้วตีให้ตาย!”
เสี่ยวเถาที่น่าสงสาร ยังมิทันที่จะรายงานเรื่องสำคัญ ก็ถูกคนอุดปากลากออกไป โบยจนตายภายในเรือนของหลี่รุ่ยนั่นเอง
ไม่นาน คนรับใช้ก็เข้ามารายงานว่าเสี่ยวเถาตายแล้ว
ได้ยินเช่นนั้นหลี่รุ่ยก็รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นมาก จึงมิได้ใส่ใจว่าเสี่ยวเถารีบร้อนวิ่งเข้ามาด้วยเรื่องอะไรกัน
ก้าวต่อไปจะทำเช่นไรดี ให้อวี้หลัวช่ายินยอมรักษาให้กับนาง นี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลี่รุ่ยสนใจมากที่สุด
เรื่องอื่นในตอนนี้ หลี่รุ่ยล้วนแต่ละเลยไปก่อน
เทียบกับอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวไม่สงบสุขของหลี่รุ่ยแล้ว จวนจงอี้กงกลับเต็มไปด้วยความสุขและความยินดี
อวี้จิงเหลยเป็นพ่องานจัดการเรื่องสำคัญ นั่นก็คืองานแต่งงานของอวี้เชียนเสวี่ย
ส่วนอวี้เชียนเสวี่ยกลับถึงตระกูลอวี้ ทั้งยังฟื้นฟูลมปราณกลับคืนมาได้ ข่าวที่ว่าเขาสำเร็จถึงขั้นราชัน กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็วภายในคืนเดียว
กระทั่งอวี้เชียนเสวี่ยปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชน ยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึง
คนผู้นี้ที่ท่าทางสง่าผ่าเผย หน้าตาหล่อเหลาสดใสเปี่ยมด้วยพลัง นี่มิใช่หมาป่าเล็กแห่งตระกูลอวี้ที่มีชื่อเสียงเมื่อหลายปีก่อนหรอกหรือ!
ตระกูลอวี้ พลิกฟื้นกลับมาแล้ว ครานี้สูงส่งจนมิอาจเอื้อมเลยทีเดียว!
“ขั้นราชัน! เขาสำเร็จถึงขั้นราชันเชียวหรือนี่!”
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป หลี่รุ่ยถึงกับทรุดลงเข่าอ่อนพับลงบนพนักเก้าอี้ ดวงตาว่างเปล่า
เป็นดังที่นางคาดเอาไว้จริงๆ อวี้หลัวช่ารักษาอวี้เชียนเสวี่ยจนหาย!
เมื่อนึกถึงว่าอวี้เชียนเสวี่ยที่อายุอานามเพิ่งจะสามสิบต้นๆ ก็สำเร็จถึงขั้นราชันแล้ว หลี่รุ่ยก็เจ็บลึกในอกจนทนแทบไม่ไหว
อวี้เชียนเสวี่ยยังหนุ่มแน่น ภายหน้ายังมีโอกาสที่จะก้าวหน้าอีกมากนัก!
โจวเลี่ยสำเร็จจอมเทวาเมื่อเขามีอายุหกสิบปี
อวี้เชียนเสวี่ยที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ทั้งยังมุมานะขยันขันแข็ง ตระกูลอวี้มีจอมเทวาคนหนึ่งแล้ว มีอวี้เฟยเยียนคอยชี้แนะ อวี้เชียนเสวี่ยจะต้องรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่ บางทีอาจไม่ต้องรอถึงอายุหกสิบด้วยซ้ำเขาอาจจะสำเร็จจอมเทวาแล้วก็เป็นได้…
ยิ่งคิดในใจของหลี่รุ่ยก็ยิ่งย่ำแย่
ความรู้สึกที่ว่าเจ้าดีกว่าข้า กำลังทับถมกัดกินใจนางให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ตอนนั้นในหัวของนางคิดอะไรอยู่กันแน่นะ เหตุได้ถึงได้ทอดทิ้งอวี้เชียนเสวี่ย แล้วเลือกซย่าโหวอี้
ซย่าโหวอี้เพียงแค่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เกิดในราชวงศ์ มีศักดิ์เป็นอ๋องก็เท่านั้น
นอกจากนี้ บุ๋นก็ไม่ได้เรื่องบู๊ก็ไม่เอาไหน เทียบอะไรกับอวี้เชียนเสวี่ยไม่ได้เลย!
หลี่รุ่ยเสียใจอย่างที่สุดกับการตัดสินใจของตนเองในตอนนั้น
หากว่าสามารถย้อนเวลาได้ อยากจะแต่งเข้าตระกูลอวี้ด้วยความเต็มใจ เป็นเจ้าสาวของอวี้เชียนเสวี่ยนางคงมิต้องเผชิญกับความอัปยศในวันนี้!
คิดไปคิดมา หลี่รุ่ยจึงคิดได้ว่าเรื่องที่จะเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาอาการให้กับตน เกรงว่าจะต้องใช้อวี้เชียนเสวี่ยเป็นสะพานเสียแล้ว
ตอนนี้นางเป็นฝ่ายที่ต้องไปขอร้องเขา แล้วไหนเลยนางจะกล้าบ่นว่าอวี้เชียนเสวี่ยได้!
หลี่รุ่ยเขียนเทียบเชิญ แล้วให้คนส่งไปที่จวนจงอี้กง
พ่อบ้านเซี่ยงมองแวบเดียว เมื่อเห็นว่าเป็นเทียบเชิญของจวนลั่วหยางอ๋อง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ไม่แม้แต่จะต้องหยุดคิด พ่อบ้านเซี่ยงก็รู้ทันทีว่าคนที่เขียนส่งมาคือใคร
เฮอะ ยังมีหน้ามาที่จวนอีก…
หน้าด้านไร้ยางอายยิ่งนัก!
อวี้เชียนเสวี่ยกำลังพูดคุยกะหนุงกะหนิงอยู่กับมู่เหนี่ยนซีเรื่องการจัดวางห้องหอ ก็ได้รับเทียบเชิญจากพ่อบ้านเซี่ยง
“นี่คืออะไร…”
มองเห็นลายมือที่คุ้นเคย อวี้เชียนเสวี่ยก็เงียบลงไป
หลี่รุ่ยเขียนในเทียบเชิญอย่างชัดเจน ว่าอยากที่จะพบหน้าอวี้เชียนเสวี่ยตามลำพังสักครั้ง
ข้อเรียกร้องนี้ ออกจะเกินไปจริงๆ!
นางมีสามีเป็นตัวเป็นตน ส่วนเขาก็มีหญิงคนรักอยู่แล้ว ส่งเทียบเชิญเช่นนี้มา หมายความว่าอย่างไร
“เฮอะ! ต้องเป็นเรื่องของเสี่ยวอวี้ทำให้นางจนปัญญา ดังนั้นถึงได้มาหาท่านน่ะสิ!”
มู่เหนี่ยนซีครุ่นคิดเฉกเช่นผู้ที่มองออก เรื่องที่อวี้เฟยเยียนเปิดโรงหมอวันแรก ปฏิเสธที่จะรักษาให้กับพระชายาลั่วหยางอ๋องอย่างไม่ไว้หน้า กลายเป็นเรื่องขบขันที่ถูกเล่าต่อกันไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว
แล้วพวกที่ชอบซุบซิบนินทา ก็ตามไปขุดคุ้ยเรื่องในอดีตเกี่ยวกับการกระทำของตระกูลหลี่และหลี่รุ่ย เมื่อครั้งหลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยกลายเป็นคนพิการขึ้นมาอีก
พริบตา หลี่รุ่ยก็กลายเป็นหญิงชั่วหลายสามีขึ้นมาทันที
ตระกูลอวี้จงรักภักดี พลีชีพเพื่อแผ่นดิน ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่ตระกูลอวี้จะตกต่ำเสื่อมถอย แต่ชื่อเสียงและพลังศรัทธาในตัวของอวี้จิงเหลยและบุตรชายตระกูลอวี้ ในสายตาของชาวประชายังคงดำรงอยู่
หลี่รุ่ยขอยกเลิกงานแต่ง ในขณะที่อวี้เชียนเสวี่ยกำลังลำบากที่สุด ในขณะที่สกลุอวี้กำลังลำบากที่สุด
นี่แหละที่เขาว่าจะได้เห็นธาตุแท้ของคนในยามยาก!
การทดสอบครั้งนี้ ได้เผยธาตุแท้ของหลี่รุ่ยออกมาจนได้!
แต่ทว่า ยังดีที่ฟ้าหลังฝนนั้นสดใส ตระกูลอวี้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ก็เหมือนกับเป็นการตบหน้าหญิงชั่วอย่างแรง!
“เสวี่ย ท่านอยากไปหรือไม่”
มู่เหนี่ยนซีใช้สองมือโอบรอบคออวี้เชียนเสวี่ย แล้วกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูของเขา
“นี่เป็นเทียบเชิญที่ส่งมาจากอดีตรักแรกของท่านเชียวนะ!”
น้ำเสียงเจือด้วยลมเพชรหึงของมู่เหนี่ยนซีลอยมาเข้าหู อวี้เชียนเสวี่ยได้ยินเข้าก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขาดึงรั้งมือของมู่เหนี่ยนซีเข้าหาตัว แล้วงับเข้าที่ปลายนิ้วนาง
“แม่นางน้อย ลมเพชรหึงรุนแรงยิ่งนักนะ!”
อวี้เชียนเสวี่ยยื่นมือออกมาทำลายเทียบเชิญใบนั้นจนแหลก
สำหรับเขา อดีตตายไปพร้อมกับความล้มเหลวในปีนั้นตั้งนานแล้ว
หากหลี่รุ่ยต้องการใช้เขาเป็นใบเบิกทาง เพื่อเปิดทางสะดวกในเรื่องนางกับอวี้เฟยเยียนละก็ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
เหตุใดข้าต้องให้ความสุขกับเจ้าด้วย
เจ้าคู่ควรอย่างนั้นหรือ
หลี่รุ่ยรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าผลที่ได้จากการรอนั่นก็คืออวี้เชียนเสวี่ยไม่ว่าง ความโกรธเคืองถูกกลืนลงไป มันอัดอั้นอยู่ในอก ขึ้นมาก็ไม่ได้ลงไปก็ไปไม่ได้
อวี้เชียนเสวี่ย ท่านใจดำยิ่งนัก!
ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
หลี่รุ่ยร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ในขณะเดียวกันก็มีอีกข่าวหนึ่งที่เป็นดั่งเช่นน้ำมันร้อนราดลงบนหัวใจที่กำลังร้อนรนของนาง ‘ซ่า’ ทำให้ไฟลุกพรึบขึ้นทันที
เม่ยเหนียงตั้งครรภ์
เมื่อนั้นหลี่รุ่ยจึงนึกขึ้นมาได้ ในตอนนั้นที่เสี่ยวเถาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา คงจะมารายงานนางในเรื่องนี้
เสี่ยวเถาเป็นคนละเอียดลออที่สุด ดังนั้นเมื่อเม่ยเหนียงเข้ามาอยู่ในจวน นางจัดให้เสี่ยวเถาไปคอยจับตาดูเม่ยเหนียงอยู่ข้างกาย
แต่นางกลับเพียงเพราะความโกรธเพียงชั่วครู่ ฆ่าเสี่ยวเถาได้…
ลั่วหยางอ๋องรอคอยมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็ทำให้นางตั้งครรภ์ได้ ทำให้เขาดีใจจนแทบบ้า
ตอนนี้เม่ยเหนียงกลายเป็นผู้ที่มีความดีความชอบใหญ่หลวงของจวนลั่วหยางอ๋อง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องคุ้มครองให้มั่น เมื่อหลี่รุ่ยเอ่ยว่าจะไปเยี่ยมนาง ก็ถูกซย่าโหวอี้ปฏิเสธซึ่งหน้า บอกว่าเม่ยเหนียงต้องรักษาเนื้อรักษาตัว บำรุงครรภ์ให้ดี ห้ามใครรบกวน
ตอนที่ 88-3 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญา...
ขณะเดียวกัน ของล้ำค่าทุกอย่างซย่าโหวอี้ก็จะส่งไปที่เรือนเม่ยเหนียงทั้งสิ้น
แม้กระทั่งว่า เพียงแค่เม่ยเหนียงเอ่ยปากว่าอยากจะได้เจ้าแม่กวนอิมปางประทานบุตร ซย่าโหวอี้ก็ตรงมาที่ห้องของหลี่รุ่ยหยิบเอาเจ้าแม่กวนอิมที่หลี่รุ่ยกราบไหว้อยู่ ไปมอบให้แก่เม่ยเหนียงทันที
ท่าทีซย่าโหวอวี้ ทำให้หลี่รุ่ยโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
ตั้งครรภ์น่ะใช่ แต่หญิงชายก็ยังไม่รู้ ยังให้ท้ายถึงขนาดนี้
หากว่าเม่ยเหนียงให้กำเนิดลูกชายหญิงสักคนขึ้นมาจริงๆ ละก็ นางมินอนกินค้ำหัวพระชายาแห่งจวนลั่วหยางอ๋องเช่นนางเลยหรือนี่
หลี่รุ่ยหารู้ไม่ ซย่าโหวอี้ไม่สนใจว่าลูกจะเป็นชายหรือหญิงอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงแต่เด็กคลอดออกมาโดยปลอดภัยก็พอ
หลายปีที่ผ่านมานี้ เกิดข่าวลือต่างๆ นานา ผู้คนคอยหัวเราะเยาะว่าลั่วหยางอ๋องไม่เอาไหนเรื่องอย่างว่า จึงไม่มีทายาทเสียที ทำให้ซย่าโหวอี้โกรธจนเนื้อเต้น
แต่ความจริงย่อมสยบข่าวลือได้ดีที่สุด ในที่สุดเขาก็มีทายาทเสียที!
ยิ่งมีเด็กในท้องเม่ยเหนียงมาตอกย้ำ ในที่สุดหลี่รุ่ยก็ทนไม่ไหว ไปแอบยืนดักรออวี้เชียนเสวี่ยที่ซอยหน้าจวนตระกูลอวี้ รอคอยอวี้เชียนเสวี่ย
ในวันนี้เอง อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีเพิ่งกลับมาจากหอคืนชีพของอวี้เฟยเยียนด้วยกัน แต่ยังมิทันจะกลับถึงจวน ก็ถูกหลี่รุ่ยขวางเอาไว้
“เชียนเสวี่ย…”
หลี่รุ่ยที่อายุล่วงเลยสามสิบไปแล้ว สวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าชมพู ให้มองอย่างไรก็รู้สึกขัดแย้งชะมัด
ที่นางสวมใส่เช่นนี้ ก็เพื่อปลุกเรียกความทรงจำเมื่อครั้งอดีตระหว่างนางกับอวี้เชียนเสวี่ยขึ้นมา เพราะในอดีตอวี้เชียนเสวี่ยเคยบอกกับนางว่า นางผิวพรรณขาวใส สีฟ้าจะช่วยขับผิว ดังนั้นหลี่รุ่ยจึงตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษในวันนี้
ทว่าหลี่รุ่ยคงจะลืมไปกระมังว่าตนเองมิใช่สาวน้อยที่รูปร่างสมส่วนงดงามอีกต่อไป แต่งกายเช่นนี้จึงไม่เหมาะสมกับกาลเทศะเอาเสียเลย
ถูกหลี่รุ่ยดักอยู่หน้าประตูบ้าน อวี้เชียนเสวี่ยปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
ต่ำจนมิอาจหาอะไรมาเปรียบได้เลยจริงๆ!
นางเป็นหญิงที่มีได้ชื่อว่ามีสามีแล้ว ยังกล้าทำเรื่องดักหน้าดักหลังกลางถนนเช่นนี้อีก เจ้าหน้าไม่อาย แต่หน้ายังข้าต้องเอาไว้อยู่นะ!
“เรื่องอะไร”
อวี้เชียนเสวี่ยกุมมือของมู่เหนี่ยนซีแน่น กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้า ข้าอยากจะพบท่าน!”
หลี่รุ่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ดวงตาทั้งสองของนางจ้องมองไปที่อวี้เชียนเสวี่ย ในใจกำลังสับสนอย่างหนัก
เดิมทีนางคิดว่า ข่าวลือเกี่ยวกับอวี้เชียนเสวี่ยคงจะมีมูลความจริงอยู่บ้างแต่ ใครจะคาดคิด ว่าชายที่อยู่ตรงหน้ามีเสน่ห์ที่แลดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าชายหนุ่มหน้าหยกที่แสนสง่างามในอดีตเสียอีก อวี้เชียนเสวี่ยในตอนนี้ต่างหากจึงเป็นอวี้เชียนเสวี่ยวัยฉกรรจ์เต็มตัว เป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดของเขา
ว่าแล้วก็หวนนึกไปถึงพุงย้อยๆ ของซย่าโหวอี้ กับรูปร่างงุ่มง่าม รวมทั้งพละกำลังที่ไม่เป็นไปดั่งใจหวังของซย่าโหวอี้ หลี่รุ่ยยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีตาหามีแววไม่ยิ่งนัก
“ท่านต้องการพบบุรุษของข้าทำไมกัน”
มู่เหนี่ยนซียืนขวางกั้นอยู่หน้าอวี้เชียนเสวี่ยอย่างไม่เกรงใจ แล้วกล่าวต่อว่า
“ท่านเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว จะต้องรักษาจารีตแห่งความเป็นหญิง! อย่าเอาแต่วันๆ คอยแต่จ้องมองบุรุษของข้า! หากว่าท่านอ๋องท่านให้ความสุขท่านไม่เพียงพอละก็ ในเมืองนี้มีชายให้เช่ามากมาย ท่านก็ไปเช่าสักคนแล้วกัน!”
นับตั้งแต่ที่มู่เหนี่ยนซีรู้ว่าเมืองหลวงมีสถานเริงรมย์ชาย นางก็อดตื่นเต้นมิได้ ตั้งใจจะไปสำรวจดูสักครั้ง
แต่สุดท้ายก็ถูกอวี้เชียนเสวี่ยใช้กำลังรั้งตัวเอาไว้
ถึงตอนนี้เมื่อเห็นหลี่รุ่ยท่าทางมิสบอารมณ์ มู่เหนี่ยนซีจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
บุรุษของข้า เจ้าอย่าได้คิดมาแตะต้อง!
นับตั้งแต่ตอนที่หลี่รุ่ยเข้าขวางอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้ ผู้คนรอบข้างมากมายก็หยุดฝีเท้าแอบมองดูเหตุการณ์ รวมกับคำพูดที่มู่เหนี่ยนซีกล่าวขึ้นมาเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
หญิงชั่วแซ่หลี่เสียใจภายหลัง ต้องการที่จะหวนคืน!
“ท่าน เหตุใดถึงได้สำส่อนเช่นนี้นะ!”
หลี่รุ่ยถูกคำพูดของมู่เหนี่ยนซีจี้ใจดำให้อับอายจนกลายเป็นโกรธแค้นด่าทอมู่เหนี่ยนซี
“เจ้า…เจ้าพ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอนหรืออย่างไรกัน สตรีเช่นเจ้า จะคู่ควรกับอวี้เชียนเสวี่ยได้อย่างไรกัน!”
มู่เหนี่ยนซีได้ยินเช่นนั้นก็เตรียมเอ่ยโต้กลับ แต่ก็ถูกอวี้เชียนเสวี่ยห้ามเอาไว้
สตรีของเขาถูกด่าทอเช่นนี้ ควรเป็นเขาออกหน้าแทนสิ!
“พระชายาลั่วหยางอ๋อง คู่หมั้นข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จึงไม่จำเป็นที่ท่านจะมาสั่งสอน! ข้ารักนางมาก จึงไม่ต้องการให้มีเรื่องอันใดมาทำให้นางไม่สบายใจ หวังว่าท่านจะรู้จักอะไรควรมิควร! หากว่ามีครั้งหน้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
คำพูดอวี้เชียนเสวี่ย ทำให้ผู้คนมากมายชื่นชม
ปกป้องสตรีของตนมิให้โดนรังแก นี่สิจึงสมเป็นลูกผู้ชายตัวจริง!
“เชียนเสวี่ย เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้…”
หลี่รุ่ยจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ยด้วยอาการตกตะลึง รู้สึกว่าตนเองแทบจะไม่รู้จักเขาเสียแล้ว
อวี้เชียนเสวี่ยในอดีตที่แสนจะอ่อนโยนหายไปไหนกัน!
ต่อให้ตระกูลหลี่เคยเหยียบย่ำทอดทิ้งตระกูลอวี้มาก่อน อวี้เชียนเสวี่ยก็ยังมิเคยกล่าวว่าด่าทอนางแม้แต่น้อย ทั้งยังอวยพรนางด้วยซ้ำ
เหตุใดตอนนี้เขาถึงแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้
ใจร้ายกับหญิงอื่น จึงนับเป็นการจริงใจต่อสตรีของตนเอง!
อวี้เชียนเสวี่ยก้มหน้าลง มองมู่เหนี่ยนซีแล้วกล่าวว่า
“ข้าจะทำให้ภรรยาของข้าต้องเสียใจ เพียงเพราะคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร!”
คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง…
คราวนี้ หลี่รุ่ยหัวใจสลายอย่างที่สุด
ความรักที่ถึงขนาดเคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมา ถูกคำพูดเพียงประโยคเดียวที่ว่า คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำลายลงจนหมดสิ้น
ในเมื่อใช้ความสัมพันธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไม่ได้ผล หลี่รุ่ยจึงกล่าวจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ
“ข้าอยากที่จะพบอวี้หลัวช่า แต่นางมิยอมพบข้า เชียนเสวี่ย ท่านจะเห็นแก่ที่เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน ช่วยพูดแทนข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“หึ เจ้าว่าอะไรนะ”
เมื่อรู้ว่าหลี่รุ่ยมาหาตนเองด้วยเหตุนี้จริงๆ อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก
คิดว่าคนอื่นคือพระผู้ช่วยให้ตนเองรอดจริงหรือ
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกตระเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้วอย่างนั้นสิ!
“ช่วยให้นางรักษาอาการป่วยให้ข้า ข้าต้องการลูกสักคน!”
เมื่อนึกถึงภาพที่เม่ยเหนียงเสพสุขทำท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในจวนลั่วหยางอ๋อง หลี่รุ่ยก็กัดฟันกล่าวจุดประสงค์ของตนเองออกมา
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน เพราะอะไรเจ้าถึงคิดว่าอวี้หลัวช่าจะต้องเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด”
เห็นว่าอวี้เชียนเสวี่ยไม่ยินยอม ทำให้หลี่รุ่ยร้อนรนจนทนไม่ไหว
เมื่อความโกรธเขาครอบงำ หลี่รุ่ยจึงพลั้งปาก ตะโกนกล่าวในสิ่งที่ตนเองคิดออกไป
“อวี้เชียนเสวี่ย ข้าหลงคิดว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง! หากมิใช่ท่านเอาเรื่องในอดีตเที่ยวไปเล่าให้นางฟัง แล้วเหตุใดอวี้หลัวช่าจึงมิยินยอมรักษาให้กับข้า ตอนนี้ท่านก็แข็งแรงทุกอย่างแล้ว เหตุใดจะต้องมาทำร้ายข้าด้วย!”
มองใบหน้าหลี่รุ่ยที่บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ยามที่ตะโกนออกมาเมื่อครู่ อวี้เชียนเสวี่ยก็หน้าเข้มขรึมครุ่นคิดในใจ
ในตอนนั้น เขาหลงชอบหญิงผู้นี้ได้อย่างไรกัน
วัยหนุ่มไม่รู้จักรสชาติของความรักสินะ เมื่อลุ่มหลงก็ทุ่มเททั้งหมดที่มี ทั้งยังอาลัยอาวรณ์อยู่ตั้งหลายปี โง่เขลายิ่งนัก!
ในตอนนั้นเองที่อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกขอบคุณผู้ที่ทำลายลมปราณของเขาคนนั้น
หากไม่ได้คนผู้นั้นเขาก็คงมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่รุ่ย ไม่แน่นความเจ็บปวดทรมานอาจรอเขาอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้
“พระชายาลั่วหยางอ๋อง ท่านมาหาผิดคนแล้ว!”
อวี้เชียนเสวี่ยจับมือมู่เหนี่ยนซีเดินจากไป โดยที่ไม่แม้แต่หันกลับมามอง ทิ้งหลี่รุ่ยให้หนาวเหน็บไว้ตรงที่เดิม
“อวี้เชียนเสวี่ย เหตุใดท่านถึงได้ไร้หัวใจเช่นนี้!”
เสียงของหลี่รุ่ยดังไล่หลังอวี้เชียนเสวี่ย แต่เขาก็ยืดหลังตรง ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้วยซ้ำ ไม่นานคนทั้งสองก็หายลับไปจากสายตาหลี่รุ่ย
ทำอย่างไรจะดี จะทำอย่างไรต่อไปดี!
หลี่รุ่ยรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นบ้าไปทุกขณะ มาจนถึงตอนนี้ นางมิมีหนทางให้ย้อนกลับไปอีกแล้ว!
ในขณะที่หลี่รุ่ยกำลังเตรียมตัวกลับ ราวกับคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่างนั่นเองเสียงของคนที่อยู่ข้างเคียงก็ลอดมาเข้าหู
“หญิงผมสีน้ำตาลคนเมื่อครู่ ดูแลดูคุ้นตายิ่งนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่รุ่ยก็พุ่งเข้าไปหาคนผู้นั้นทันที
“เจ้ารู้จักสตรีคนนั้นหรือ”
“พระ พระชายา…”
ชายคนนั้นตกใจขวัญกระเจิง
“ตอบคำถามของข้า!”
ถึงแม้ว่าต่อหน้าอวี้เชียนเสวี่ย หลี่รุ่ยนับเป็นพระชายาที่มีแต่ชื่อ
แต่หากเป็นต่อหน้าชาวบ้านธรรมดา นางยังมีรัศมีพระชายาเต็มเปี่ยม ซึ่งสามารถข่มขู่ผู้คนได้
“ผู้น้อยเป็นพ่อค้า เดินทางเทียบท่าอยู่แนวมหาสมุทร หญิงคนเมื่อครู่ดูแลคล้ายกับคนในประกาศจับของทางการ เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาหลี่รุ่ยก็สว่างวาบ หน้าเงยหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะออกมา
อวี้เชียนเสวี่ย ตระกูลอวี้เจ้าตั้งค่ายอารักขาเลียบมหาสมุทร แต่ท่านกลับจะแต่งงานกับนังโจรสลัด!
ลำพังฟ้องท่านข้อหานี้เพียงข้อหาเดียว ก็สามารถทำให้ตระกูลอวี้แบกรับโทษแทบไม่ไหวอยู่แล้ว
ในเมื่อท่านไม่ยอมให้ข้าอยู่อย่างเป็นสุข เช่นนั้นท่านก็อย่าได้เป็นสุขเลย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น