ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 87.1-88.3

ตอนที่ 87-1 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องม...

 

ชายหนุ่มนั่งเงียบๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเข้าก็ตกใจ ยืนก้มค้างอยู่กลางตัวรถ จะเข้าไปก็ไม่ดี จะถอยออกก็ไม่ได้


 


 


ทำไมเขาต้อง…มารับตนด้วยตัวเอง


 


 


ส่งรถมาก็พอ มาทำลิงอะไร


 


 


ขณะเบะปาก ซือเหยาอันก็กระโดดขึ้นรถม้า มือหนึ่งกุมบังเ**ยน มือหนึ่งเงื้อแส้ขึ้นแล้ว “ฮู้” ฟาดลง


 


 


พอม้าสีน้ำตาลแดงถูกแส้ ก็ยกขาหน้าขึ้น ตะกุยกลางอากาศสองที แล้วเซถอยหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ทันยึดจับอะไรไว้ พลันพุ่งเข้าไปในตัวรถ


 


 


ชายหนุ่มจึงยื่นแขนออก รวบเอวนางเข้ามา


 


 


‘ฟึ่บ’ อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงบนตักของเขา พอรู้สึกตัวว่านั่งทับของแข็ง! ก็รีบดีดตัวลุกขึ้นยืน แต่ตัวรถเตี้ย ศีรษะจึงชนเข้ากับเพดานรถอย่างจัง ‘กึก’ รู้สึกเจ็บจนต้องหดศีรษะลง ซย่าโหวซื่อถิงจึงรีบดึงนางลงนั่งบนตักของตนเองอีกครั้ง ก่อนพูดยิ้มๆ เสียงต่ำ


 


 


“อยู่ไม่สุก ซนยังกะลิง มึนไหม”


 


 


ว่าแล้วก็ยื่นมือยาวๆ ออกตามสัญชาติญาณ ลูบๆ คลำๆ ตรงศีรษะนาง ดูว่าหัวโนหรือเปล่า เพราะเสียงชนดังมาก


 


 


“ทำไมท่านอ๋องต้องมาด้วยตัวเองล่ะ” อวิ๋นหว่านชิ่นหายใจเข้าลึกๆ ก่อนป้องปัดมือของเขาออก


 


 


กล้าทำอะไรในรถโดยไม่กลัวผู้อื่นสงสัย ไม่ต้องส่องคันฉ่อง ก็รู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้คลุมเครือและอิหลักอิเหรื่อแค่ไหน…นั่งอยู่บนตักขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ แล้วถูกเขาลูบศีรษะ ตนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพวกผู้ดีมีสกุลสักหน่อย


 


 


“เบื่อๆ เซ็งๆ น่ะ” น้ำเสียงสบายๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตักเตือน “ยังจะเรียกว่าท่านอ๋องอีก”


 


 


จริงสิ ออกจากวังแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นส่งเสียงเอ่ออ่าในลำคอ “อ้อ เช่นนั้นท่านสามก็ปล่อยข้าลงเถิด ข้างๆ ยังมีที่ว่างมิใช่หรือ เสียที่เปล่าๆ…”


 


 


สิ้นเสียง รถม้าก็วิ่งเร็วขึ้น ควบอยู่บนถนนย่านพระราชฐาน แล้วหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ร่างนางเอียง เลยต้องคว้าตัวชายหนุ่มไว้ ชายหนุ่มจึงไม่เกรงใจอีก จับข้อมือนางมาพาดไว้กับท้ายทอยตน


 


 


นี่มันสมรู้ร่วมคิดชัดๆ บังคับรถม้าประสาอะไร


 


 


ชายหนุ่มกล้าแกร่ง มือเท้าแข็งแรง แม้มีโรคประจำตัว แต่เรี่ยวแรงที่ควรมี ก็ยังมี อีกทั้งร่างกายก็ครบสามสิบสองประการ ใช้แรงเพียงสามส่วนก็สามารถจับหญิงสาวมาไว้ในอ้อมอกจนอยู่หมัด พร้อมสีหน้านิ่งเรียบอย่างเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นดิ้นแรงๆ ด้วยความโมโหไปสองครั้ง จนรถสั่นไหวไปมา แต่สุดท้ายก็ดิ้นไม่หลุด จึงได้แต่ปล่อยวาง


 


 


ไหนบอกว่าป่วยไง ดูจากภายนอก ก็สูงใหญ่บึกบึนดีนี่ ล้มวัวทั้งตัวยังได้


 


 


หลังจากพบเจอกันในวัง ครั้งนี้พอพบเจอกันอีก…ชายผู้นี้ คล้ายมีความรู้สึกร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม กระทั่งยิ่งมาก็ยิ่งไม่สนใจกฏเกณฑ์ ไม่สนใจมารยาทอีก


 


 


ส่วนซือเหยาอันที่กุมบังเ**ยนอยู่ข้างหน้า เพียงรู้สึกว่าตัวรถด้านหลังสั่นไหวไปมา หน้าจึงแดง ท่านสามกับคุณหนูอวิ๋นนี่ จริงๆ เลย…เล่นเอารถสะเทือนกันเลยทีเดียว อะไรจะปรารถนาแรงกล้าถึงปานนี้


 


 


บนถนนลมแรง บางครั้งก็พัดเอาม่านผืนเล็กๆ ปลิวขึ้นสูงราวหนึ่งศอก ทำให้ใจของอวิ๋นหว่านชิ่นเต้นแรงตาม ด้วยเกรงว่าจะถูกคนเดินถนนพบเห็นฉากแนบเนื้อเช่นนี้เข้า แต่อย่างไรแรงตนก็มีไม่มากเท่าเขา


 


 


ตีอกชกหัวสิ ไม่ได้ ที่แคบ มือไม้ติดไปหมด ด่าสิ ไม่ได้อีก เขาเป็นคนหน้าหนา อาจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จึงได้แต่ทำตัวอ่อนแอ ปั้นหน้าให้เศร้าเข้าไว้ จับคอปกเสื้อปักลายมังกรทะยานเมฆของเขาให้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ ดูเหมือนกำลังร้องขอ แต่จริงๆ แล้วต้องการเขย่าให้เขาตาเหลือก


 


 


“เห็นข้าเตี้ยแบบนี้ อันที่จริงข้าหนักมากเลย! กระดูกท่านสามยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ ให้ข้าทับไว้แบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จะแย่กันหมด…”


 


 


“อย่าขยับ” เสียงชายหนุ่มเริ่มดุ แกะแขนเล็กๆ ที่จับปกเสื้อของตนออก


 


 


ตอนสัมผัสแนบชิดนาง หัวใจเขาเต้นเร็วมาก กระดูกชาเล็กน้อย ความจริงแล้ว คืนนั้นที่หมู่บ้านสกุลเกา เขาก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขาดื่มสุราไผ่เขียว จึงแยกไม่ออกว่า ที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด เป็นเพราะนางหรือเป็นเพราะสุรากันแน่


 


 


นี่ก็แปลก ตอนอยู่ในจวนอ๋อง เขากับหรุ่ยจือ ก็ถือว่าใกล้ชิดกันพอควร แต่พิษก็ไม่เห็นกำเริบแต่อย่างใด ทว่าเวลาทำอะไรบางอย่างใกล้ๆ นาง ใจมักเต้นแรง เลือดลมกระฉูดทุกครั้ง


 


 


อีกทั้ง ยังมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย


 


 


แม้เป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่อยากปล่อยนางออก ยอมปล่อยให้ความไม่สบายในร่างกายค่อยๆ ก่อกวนและขยายวงกว้างมากขึ้น


 


 


สาวน้อยในอ้อมอกคล้ายผงห้าศิลาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาเจ็บปวด แต่มีความสุข


 


 


ลำคอของเขาขยับ พยายามสงบสติอารมณ์ จับมือนางมาเกี่ยวไว้ที่ท้ายทอยใหม่


 


 


“จับดีๆ” น้ำเสียงอ่อนโยนลง “ช่วยข้าปลดกระดุมคอเสื้อหน่อย”


 


 


ถ้าได้ตากลมเย็น ปกติแล้วอาการจะดีขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองความผิดปกติของเขาออก ตอนหรุ่ยจือเล่าอาการของเขาเวลาพิษกำเริบให้ฟังนั้น เดิมทีนางไม่ค่อยเชื่อ แต่พอเห็นท่าทางของเขาในตอนนี้ ก็เชื่อแล้ว


 


 


นี่มิใช่รนหาที่เองหรอกหรือ นางปลดกระดุมคอเสื้อให้เขา เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกสีแทนนิดหน่อย คลับคล้ายมีแผลเป็นเล็กๆ ด้วย พอเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา นางจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ค่อยๆ ซับเหงื่อให้


 


 


หรุ่ยจือบอกว่า เขาไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงก่อนอายุยี่สิบห้า ซึ่งจริงๆ แล้วโรคภัยในใต้หล้ามี


 


 


ข้อห้ามที่ไร้สาระเช่นนี้ด้วยหรือ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเดาว่า น่าจะเป็นเพราะพิษที่อยู่ในร่างของเขา ไม่ทนต่อแรงกระตุ้น พอถูกกระตุ้น จึงเกิดอาการ ทว่า หลังแต่งงานเข้าหอ ย่อมหนีไม่พ้นความปรารถนาต่อเรื่องบนเตียง แล้วถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นมา ย่อมส่งผลต่ออวัยวะตันทั้งห้า อวัยวะกลวงทั้งหก และเส้นประสาทต่างๆ ทำให้พิษกำเริบเสิบสาน ดังนั้นหมอถึงได้ห้ามไม่ให้เขามีแรงปรารถนาอยู่หลายปี


 


 


ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพลอยมีนิสัยเคร่งขรึมจริงจังไปด้วย ไม่เหมือนเว่ยอ๋องที่บ้าบิ่น ไม่เหมือนรัชทายาทที่ทำตามอำเภอใจ ต่อให้เป็นคนร่าเริงอย่างไร ถ้าถูกพิษชนิดนี้ ก็ต้องพยายามระงับอารมณ์ให้อยู่!


 


 


น่าสงสารอยู่เหมือนกัน


 


 


เพียงแต่ทำไมต้องอายุยี่สิบห้า ไม่ช้าไม่เร็วไปกว่านี้ด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงอดีตชาติ ปีที่ตนลาโลกไปนั้น คล้ายกับว่าเขาเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้มากกว่าครึ่งปี ตอนนั้นเขายังไม่ถึงยี่สิบห้านี่…ถ้าเป็นจริงตามนี้ หรือหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ สาวงามมากมายในวังหลังต้องวางตัวเป็นม่ายมากกว่าครึ่งปี? ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้นา…หรืออาจรักษาหายนานแล้ว แต่ทำไม ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีหมอหลวงชื่อดังหรือสมุนไพรชื่อดังเลย! 

 

 


ตอนที่ 87-2 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องม...

 

 


 


 


ตอนนี้ สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงกลับคืนดังเดิมแล้ว 


 


 


แผลหายก็ลืมความเจ็บปวด เขากระชับวงแขน กอดนางให้แน่นขึ้น ซึมซับความรู้สึกที่มีนางนั่งอยู่บนตักแล้วใช้แขนคล้องคอเขาไว้ ทั้งหอมและนุ่มนิ่ม บวกกับการกระเพื่อมขึ้นลงของรถม้า ทำให้รู้สึกสบายตัว แต่ต้องพยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน ร่างกายจะได้ไม่เกิดอาการอะไรมากมาย 


 


 


สักพัก เขาก็เหล่ตามองสาวน้อยบนตัก วันนี้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ขับให้ใบหน้าดูสวยและอ่อนโยนดุจดอกท้อก็มิปาน ยิ่งนางดิ้นขัดขืนเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ เหมือนผัดแป้งประทินผิวไว้อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“วันนี้ใช้อะไรน่ะ กลิ่นหอมไม่เหมือนครั้งก่อน” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาดมที่คอนาง 


 


 


องค์ชายอะไร ค่อยๆ ยื่นหน้ามาดมตน เหมือนสุนัขดมกลิ่นที่เจ้าหน้าที่กองปราบเลี้ยงไว้จับโจรไม่มีผิด อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จึงผลักเขาออก 


 


 


“กลิ่นดอกส้ม” เมื่อคืนนางอาบน้ำในตำหนักฉือหนิง นี่ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว แต่หลังติ่งหูก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หลงเหลืออยู่ 


 


 


“ดอกส้มอะไร ขอดมดูหน่อย”  


 


 


น้ำเสียงไม่เชื่อเต็มที่ เหมือนเหยี่ยวหิวโซตัวหนึ่ง เขามุดศีรษะลงมาที่ซอกคอขาวๆ ของนาง 


 


 


แกล้งทำเป็นโง่ได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นหายใจเข้าทีหนึ่ง เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เขาพูดน้อย แต่การกระทำกลับไม่อ่อนด้อย แสดงออกมาตรงๆ!  


 


 


แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าคล้ายสุนัขที่อิ่มหมีพีมันแล้ว 


 


 


ดมกลิ่นแค่นี้ก็อิ่มแล้ว ไม่ได้เรื่องสักนิด พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาทำท่าชื่นใจ แผ่นหลังก็ร้อนระอุ เม็ดเหงื่อซึมออก รำคาญเล็กๆ คนผู้นี้ชอบทำอะไรปุบปับโดยไม่บอกไม่กล่าว ความเคยชินแบบนี้ เมื่อไหร่จะแก้ได้หือ  


 


 


มือเท้าถูกเขาจับไว้ ขยับไม่ได้ จึงใช้ร่างกายกระแทกไปทีหนึ่ง แล้วดิ้นอีกทีหนึ่ง แม้มือข้างหนึ่งถูกเขาจับไปพาดไว้ที่ท้ายทอย ขยับไม่ได้ ก็ใช้เล็บข่วนท้ายทอยเขา ก่อนเหล่ตาสวยมอง อย่างไรในรถก็ไม่มีคนนอก ไม่แผลงฤทธิ์ตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน คำพูดข่มขู่จึงพรั่งพรูออกมา  


 


 


“ถ้ายังไม่ปล่อยข้าอีก ข้าข่วนเจ้าตายแน่…หรือถ้ายังไม่ปล่อยข้า ข้าจะกระโดดลงจากรถ ให้คนบนท้องถนนเห็นว่ารถม้าของจวนฉินอ๋องปล่อยให้คนหล่นลงมา ดูซิว่าเจ้าจะอธิบายกับฝ่าบาทและไทเฮาอย่างไร…” 


 


 


ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ฝืนนางแล้ว คลายมือออก ปล่อยให้นางกลับไปนั่งบนเก้าอี้ฟูกฝั่งตรงข้าม แต่มิใช่เพราะถูกนางขู่จนตกใจกลัว  


 


 


การแสดงออกของสาวน้อยก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนอยู่ที่หมู่บ้านสกุลเกา นางยังเอาน้ำมาราดตนแล้วทำท่าจะตบตนอยู่ ตอนนี้แม้เหมือนแมวที่กางกรงเล็บขู่ฟ่อๆ แต่ก็อ่อนลงไปมาก อย่างน้อย ก็มิได้ทำท่าเกรงใจตน หรือเคารพนบนอบตนแล้ว ยังด่ามาคำสองคำด้วย 


 


 


ในขั้นนี้ เขามิได้ต้องการอะไรจากนาง เพียงอยากให้นางเห็นเขาเป็นคนธรรมดาที่มีเลือดมีเนื้อก็พอ 


 


 


แค่ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมนางไป มีอะไรจะเสียไม่ได้บ้าง 


 


 


มุมปากเขาปรากฏรอยยิ้ม ยอมคลายมือออกแต่โดยดี แต่…เขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นจับต้นคอ แอบส่งเสียงซี๊ด ท้ายทอยถูกเล็บนางข่วนจนเจ็บแสบจริงๆ 


 


 


หลังจากหอบหายใจไปสองที จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยื่นหน้าออกนอกหน้าต่าง สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด พอสูดเสร็จ เดิมทีไม่คิดจะสนใจเขาอีก แต่กลับสะกิดใจขึ้นมา ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่สนใจไม่ได้ ยังต้องใช้งานเขาอยู่ 


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงนึกว่าขณะที่รถยังไปไม่ถึงจวนรองเจ้ากรม นางจะไม่พูดกับเขาเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับหันใบหน้ารูปไข่มาอย่างเขินๆ มือทั้งสองข้างยันเก้าอี้ไว้ พลางว่า 


 


 


“เรื่องเกี่ยวกับท่านแม่ข้า ที่ไหว้วานท่านสามก่อนหน้านี้ ยังสืบไม่พบอะไรแม้แต่น้อยหรือ” 


 


 


สีหน้าชายหนุ่มเรียบนิ่ง คิดไม่ถึงว่านางจะจริงจังกับเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ ตามถามอย่างไม่ลดละ ชนิดไม่ได้คำตอบไม่เลิกรา  


 


 


“ก็คนที่ตั้งใจเปิดเผยเรื่องนี้ ถูกเจ้าทำให้ตายไปแล้ว เจ้ายังอยากจะรู้ไปอีกทำไม ถึงสืบรู้ เจ้าจะทำอะไรได้” 


 


 


คำพูดนี้พอหลุดออกจากปาก อวิ๋นหว่านชิ่นก็แน่ใจแล้วว่าเขาสืบพบอะไรบางอย่างแปดถึงเก้าในสิบส่วนจึงโน้มตัวเข้าหาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“…คนที่ท่านสามสืบพบว่า มาจวนรองเจ้ากรมยามค่ำคืนของฤดูหนาว เป็นใครกัน” 


 


 


ลมหายใจของซย่าโหวซื่อถิงสม่ำเสมอ ไม่ว้าวุ่นแต่อย่างใด  


 


 


“สืบไม่พบอะไร และไม่คิดที่จะสืบต่อด้วย เรื่องที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม่ทำอยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้ทุ่มเทให้กับเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย” 


 


 


ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาสมองกลับตั้งแต่เมื่อไหร่! ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่ ถ้าไม่อยากเสียเวลา แล้วทำไมไม่ปฏิเสธเสียแต่แรก ตอนนี้เพิ่งมาบอกว่าไร้ประโยชน์! เอาแต่อารมณ์แบบนี้ ยังมาอ้างเหตุผลอีก 


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน 


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางหน้าบึ้ง โกรธจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง เพราะในรถคับแคบ จึงเตะตาอย่างเห็นได้ชัด บวกกับม้ากำลังวิ่งเร็ว จึงดูคล้ายกระต่ายซุกซนสองตัวถูกมัดไว้แน่นกำลังกระโดดขึ้นลง จมูกพลันแดงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นัยน์ตานิ่ง ลืมขยับไปชั่วขณะ 


 


 


ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขายังมาทำมองบนแบบพวกอันธพาลอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขา พลางพูดออกมาตรงๆ “ใช่พระมาตุลาหรือไม่” 


 


 


แววตาชายหนุ่มมืดมนลง ไม่คิดว่านางจะเดาเป็นเจี่ยงยิ่น 


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาไม่ตอบ กลับไม่มีสีหน้าตกใจอะไร ยิ่งแน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นเจี่ยงยิ่น จึงทำนิ่งเฉยแล้วหันหน้าไปทางอื่น 


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเดาความคิดของนางออก จึงนั่งไม่ติดอยู่บ้าง “เจ้าคิดจะไปถามเจี่ยงยิ่นหรือ” 


 


 


แล้วจะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องถามให้แน่ชัดสิ อยากให้ตนอกแตกตายหรือไง 


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตา “เจ้าไม่มีทางได้พบพระมาตุลาหรอก” 


 


 


หึ คอยดูความสามารถของตนก็แล้วกัน เจ้าว่าไม่มีทางได้พบ ก็จะไม่ได้พบหรือ 


 


 


ทุกคำถามของซย่าโหวซื่อถิง นอกจากนางจะยิ้มเจ้าเลห์ตอบแล้ว ยังมีท่าทางเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันที่หาดูได้ยากด้วย สมองจึงแล่น พอนึกอะไรขึ้นได้ ก็จับหมับเข้าที่ข้อมือขาวๆ ของสาวน้อย พลางพูดอย่างคันปาก 


 


 


“ทำไม คิดจะไปหารัชทายาทให้ช่วยล่ะสิ”  


 


 


คิดเข้าหาพระมาตุลา โดยใช้รัชทายาทเป็นสะพาน นางสนิทกับรัชทายาทนี่ 


 


 


เมื่อไปหาเจ้าให้ช่วยได้ ทำไมจะไปหารัชทายาทให้ช่วยไม่ได้ มีเส้นสายเอาไว้ ก็เพื่อใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น ถ้าไม่ใช้ จะรอให้ขึ้นราหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดมือออกจากเขา พร้อมค้อนให้หนึ่งควับ 


 


 


ค้อนนี้ ในสายตาของชายหนุ่ม ไม่ต่างอะไรกับปรายตามอง ซย่าโหวซื่อถิงจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทางของนางตอนอยู่กับรัชทายาทในงานเลี้ยง แล้วแอบส่งสายตาไปๆ มาๆ จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ การที่นางไม่สนใจตน เดิมทีตนก็ทนไม่ไหวอยู่ ตอนนี้ในหัวยังมีภาพเหล่านี้ผุดขึ้นมาอีก จึงอดใจไม่ได้ พลันคว้าข้อมือนาง แล้วดึงให้เข้ามานั่งบนตักของตนใหม่ พลางว่า 


 


 


“บอกแล้วไงว่า อย่าไปมาหาสู่กับรัชทายาท! และต่อไปก็อย่าแม้แต่จะคิดด้วย!” 


 


 


นางย่อมไม่ทำตามและไม่พัวพันด้วย ยื่นมือออก ใช้เล็บข่วนสู้กับเขา  

 

 


ตอนที่ 87-3 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องม...

 

ตัวรถด้านหลังส่งเสียงดังกุกกักๆ บางครั้งยังสั่นไหวจนม่านปลิว แทรกด้วยเสียงร้องโมโหของหญิงสาว ซือเหยาอันถือแส้ม้า พลางหน้าแดงใจเต้น ในหัวอดไม่ได้ที่จะคิดไปเรื่อยเปื่อย ดีที่มีลมตีให้สติคืนกลับ


 


 


แม้เรี่ยวแรงสู้เขาไม่ได้ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชนะตรงที่ยืดหยุ่นได้เหมือนไส้เดือน มุดไปทั่ว มีพลังเหลือเฟือ คราวนี้เปลี่ยนแผน ใช้เล็บทั้งข่วนทั้งขูด จนในที่สุด ซย่าโหวซื่อถิงก็ทนไม่ไหว


 


 


“พอแล้ว” เล่นสนุกพอหอมปากหอมคอ แหย่กันนานเกินจะกร่อยเอา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกผีบังตา พัวพันอีนุงตุงนังกับเขาจนได้ พอเห็นผมเผ้ายุ่งเหยิง ไหนเลยยังเหมือนกุลสตรีอยู่อีก เหมือนอาเม่ากับอาจู้เสียมากกว่า วิญญาณเด็กซนอายุเจ็ดแปดขวบถูกปลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนนั่งชิดไปอีกด้าน จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย แต่ก็รู้สึกแก้มร้อนผะผ่าว ทำไมถึงได้ทำอะไรมักง่ายเช่นนี้ไปได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นแบบนี้นี่


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางยิ่งมุ่งมั่นสืบหาความจริง ก็ยิ่งต้องสกัดกั้น แต่ก็เกรงว่าจะยิ่งกระตุ้นความสนใจของนางเข้า จึงไม่พูดอะไรมากอีก


 


 


บรรยากาศตึงเครียดอยู่สักพัก ก่อนที่จะผ่อนคลายลง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนึกอะไรขึ้นได้ จึงทำแก้มป่องก่อนว่า “ท่านสามช่วยส่งข้าไปถนนจิ้นเป่าหน่อย”


 


 


ข้อหนึ่ง ตอนนี้อารมณ์ตนไม่มั่นคง ไม่ต้องส่องคันฉ่องก็รู้ว่า ทั้งหน้าและคอต้องแดงไปหมด ถ้ากลับบ้าน คนที่บ้านอาจสงสัยได้ บวกกับ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขามาส่งตนกลับจวนด้วยตัวเอง ถ้าคนที่บ้านเห็นเข้า ก็คร้านจะอธิบาย ข้อสอง ตนอยากไปหาหงเยียนอยู่แล้ว เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่มีโอกาสถามไถ่นางสักคำ


 


 


หนังตาซย่าโหวซื่อถิงกระตุก แต่ก็มิได้ถามอะไร


 


 


“เหยาอัน เปลี่ยนจุดหมาย ไปถนนจิ้นเป่า”


 


 


ซือเหยาอันไม่พูดพล่ามทำเพลง จับบังเ**ยนบังคับม้าไปอีกทาง


 


 


พอมาถึงปากทางเข้าถนนจิ้นเป่า ก็จอดรถม้าให้อวิ๋นหว่านชิ่นลง แล้วจากไป


 


 


ด้านเมี่ยวเอ๋อร์ที่ตามอยู่ด้านหลัง นึกสงสัยตั้งแต่เห็นรถม้าเบี่ยงออกจากเส้นทางกลับจวนรองเจ้ากรมแล้ว จึงบอกให้คนขับรีบตามไปติดๆ สุดท้ายพอเห็นคุณหนูลงจากรถม้าตรงถนนจิ้นเป่า ก็รีบบอกให้คนขับหยุดรถม้า แล้วตั้งใจเพ่งมองดู พอเห็นมือเรียวยาวและแข็งแรงข้างหนึ่งยื่นออกมาปลดผ้าม่านลง รูปลักษณะของมือ บอกได้ทันทีว่าเป็นผู้ชาย ก็พลันตกใจ


 


 


พอเห็นรถม้าของจวนฉินอ๋องจากไป จึงรีบวิ่งลงจากรถม้า ดึงมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ พลางชี้ไปด้านหลัง


 


 


“คุณหนูใหญ่ อย่าบอกนะว่าคนในรถคือฉินอ๋อง”


 


 


ยังจะเป็นใครได้อีก อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาบอกคนขับรถม้าให้รออยู่ปากทาง ก่อนหันเดินไปที่ร้าน


 


 


พูดก็พูด ร้านบนถนนจิ้นเป่า ตนซื้อมาได้สักพักแล้ว แต่ก็เคยมาดูแค่ครั้งเดียวตอนก่อนซื้อ โดยฉวย


 


 


โอกาสแว่บมาตอนไปจวนญาติผู้พี่ และต่อมาก็มอบหมายให้หงเยียนกับคนงานจัดการตกแต่งแบบครบวงจรใน


 


 


เบื้องต้น บวกกับเห็นญาติผู้พี่มาช่วยเป็นครั้งคราว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่กังวลใจอะไร


 


 


วันนี้พอมาเห็น ก็พิสูจน์ได้ว่า นางเชื่อคนไม่ผิด หงเยียนแต่งร้านและดูแลร้านได้เป็นอย่างดี จัดเรียงสินค้าในร้านได้อย่างทั่วถึง แม้ยังมีลูกค้าไม่มาก เงียบไปสักหน่อย แต่ทุกการเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้เพียงทดลองขายดูก่อน ไม่รีบอะไร


 


 


ปลายฤดูใบไม้ร่วง เต็มไปด้วยใบไม้แห้งร่วงหล่น ป้าสี่กำลังใช้ไม้กวาด กวาดใบไม้อยู่ด้านล่างบันได พอเห็นแม่นางน้อยสวมเสื้อผ้าสวยงามเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้คนหนึ่ง ก็แย้มยิ้มทักทาย “คุณหนูอวิ๋น”


 


 


แล้วจึงเดินเข้าไปบอกหงเยียนกับสวี่มู่เจิน


 


 


พอหงเยียนรู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นออกจากวังแล้ว ก็ดีใจ วางงานในมือลง วันนี้นางสวมชุดกระโปรงหน้าม้าสีฟ้าอมเขียวทับด้วยเสื้อคลุมลายดอกตัวเล็ก รวบผมมวยต่ำ ปักปิ่นหยกไว้อันหนึ่ง เห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก อากัปกิริยาสวยใสมีเสน่ห์ เปล่งรัศมีเถ้าแก่เนี้ยออกมาบ้างจริงๆ  


 


 


ตามด้วยผู้ช่วยที่มาเป็นประจำอย่างสวี่มู่เจิน


 


 


ทั้งหมดเดินเข้าหลังร้าน นั่งลงบนโต๊ะกลมที่ใช้ทานข้าว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถามถึงเรื่องของหงเยียน ค่อยรู้ว่าเมื่อวานหลังจากที่นางออกจากวัง กลับถึงตรอกดอกบัว ช่วงเย็นก็มีเจ้าหน้าที่ศาลสูงสองคนมาเชิญนางไปที่ศาลก่อนฟ้ามืด พอได้พบผู้พิพากษา นางก็เล่าคดีความในปีนั้นให้ฟังอีกครั้ง และลงนามรับรองในคำให้การ จวบจนดึกดื่นถึงถูกปล่อยตัวออกมา


 


 


พอฟังถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโล่งใจ หนึ่งในอำนาจหน้าที่ของศาลสูงก็คือ รับผิดชอบเกี่ยวกับการรื้อฟื้นคดีเก่า โดยมีผู้พิพากษากำกับดูแล และเมื่อเขาลงมือสอบสวนนางด้วยตนเองเป็นขั้นแรก ก็แสดงว่าได้รับคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาท จึงไม่กล้ารีรอ ทำให้การล้างมลทินให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ดังนั้นหงเยียนจึงมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดขณะพูด


 


 


“…ใต้เท้าผู้พิพากษาบอกว่า อีกสองวัน รอคำให้การจากพยานอย่างพระมาตุลา ก็จะนำพยานหลักฐานเก่าๆ ที่เก็บไว้เมื่อสามปีก่อน พร้อมกับรวบรวมคำให้การของชาวบ้านถังโจวที่มีต่อบิดาและแม่ทัพนายกองของถังโจว ขึ้นทูลเกล้าให้ฝ่าบาททรงพิจารณา แล้วขอความเห็นจากเหล่าขุนนางในท้องพระโรงอีกครั้ง จึงจะถือว่าพลิกคดีได้สำเร็จ”


 


 


“ดีจัง” เมี่ยวเอ๋อร์โล่งอก ดีใจแทนหงเยียน


 


 


หงเยียนตาเป็นประกายพลางยิ้มหวาน


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่ ข้าไหนเลยจะมีโอกาสได้ล้างความอัปยศ ได้มีวันฟ้าใสกับเขาบ้าง รอให้เรื่องตัดสินเรียบร้อย ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดการร้านให้คุณหนูใหญ่อย่างเต็มที่ ตอนนี้ที่ร้านยังเงียบอยู่ ก็ได้แต่โทษข้าที่ทุ่มเทให้ไม่มากพอ…”


 


 


การที่หนิงซีฮ่องเต้เข้ามาตรวจสอบและจัดการคดีนี้ด้วยองค์เอง แสดงว่าทรงให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก เช่นนี้เป็นอันว่า หงเยียนอาจต้องเข้าวังอีกครั้ง…มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมาทันที เหลือบมองป้ายชื่อหน้าร้านที่โล่งโจ้ง แล้วว่า


 


 


“ข้ามีวิธีที่จะทำให้ร้านเป็นที่รู้จักแล้ว ตอนเจ้าเข้าวัง ก็จัดการเองตามความเหมาะสมก็แล้วกัน เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าไม่ต้องแนะมากหรอก”


 


 


แล้วจึงหงายมือกระดิกนิ้วชี้เรียก พอหงเยียนจึงยื่นหน้าเข้าใกล้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู


 


 


สวี่มู่เจินเห็นสองสาวกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้ยินอะไรสักคำจึงร้อนใจ


 


 


“พวกเจ้าคิดยั่วข้าหรือ พูดอะไรไม่ให้ข้าได้ยิน”


 


 


พอหงเยียนเห็นสวี่มู่เจินก่อกวน ก็ค้อนใส่เขาไปทีหนึ่ง ก่อนหันหาคุณหนูใหญ่ ขอตัวไปทำงานต่อ แล้วจึงลุกเดินไปหน้าร้าน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหงเยียนมีท่าทีเฉยๆ กับญาติผู้พี่ ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยเคยได้ยินเมี่ยวเอ๋อร์ว่า ขณะอยู่ในร้าน แม้ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ แต่ก็เป็นการแหย่กันเล่นสนุกๆ เท่านั้น ความจริงสามัคคีกันดี ท่าทีของทั้งสองในวันนี้จึงคล้ายไม่ถูกต้อง


 


 


หลังจากออกไปดึงป้าสี่มาถามดู ป้าสี่ก็รู้สึกแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ป้องปากว่า


 


 


“เมื่อวานตอนหงเยียนถูกคนในวังพาเข้าวัง คุณชายน่าจะเป็นห่วง จึงบอกให้คนที่จวนสกุลสวี่ขับรถม้าไปรอนางที่หน้าประตูวัง ตรงถนนย่านพระราชฐาน แต่พอทั้งสองกลับถึงร้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดจากัน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่มา เกรงว่าทั้งสองไม่มีทางนั่งโต๊ะเดียวกันหรอก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย จึงดึงญาติผู้พี่ไปหลังบ้าน สำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถาม


 


 


“พี่รังแกหงเยียนใช่ไหม! ข้าขอบอกว่า อย่างไรหงเยียนก็เป็นลูกสาวขุนนาง และเป็นผู้จัดการในร้านข้า พี่จะหยอกเย้ากระเซ้าแหย่ลูกสาวบ้านไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่นาง สมภารไม่กินไก่วัด หรืออยากให้ข้าพูดซ้ำ”


 


 


จู่ๆ สวี่มู่เจินก็ถูกข่มขู่ซะงั้น


 


 


“ข้ารังแกนาง? ทำอย่างกับวรยุทธ์ของนาง ข้าไม่เคยลิ้มลองมาก่อนงั้นล่ะ เมื่อวานตอนข้าเห็นนางเข้าวัง ไม่รู้ทำไมใจถึงรู้สึกเหมือนหม้อโดนน้ำมันร้อนๆ เทใส่อย่างไรอย่างนั้น กลัวว่านางไปแล้วจะไม่หวนกลับ จะไม่มีใครดูร้านให้เจ้าอีก จึงบอกให้รถม้าไปรอนางที่หน้าประตูวังโดยเฉพาะ พอเห็นนางออกมา ก็รับนางกลับไง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็หยุดสักพัก “ข้ารอบคอบขนาดนี้…ผลที่ได้ก็คือ พอถึงร้านแล้วนางกลับไม่สนใจข้า”


 


 


ช่วงที่หยุด เล่าข้ามเหตุการณ์ไป ต้องมีอะไรที่พูดไม่ออกแน่


 


 


พอเห็นสวี่มู่เจินกระพริบตา อวิ๋นหว่านชิ่นก็จ้องเขม็ง สวี่มู่เจินจึงเกาหลังศีรษะ กระพริบขนตายาวปริบๆ


 


 


“…นางกอดข้าทีนึง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ จ้องมองต่อ “แล้วพี่ล่ะ”


 


 


“…ผลักออก” น้ำเสียงกระอักกระอ่วน คล้ายเด็กที่ทำความผิด แต่ไม่เสียใจสักเท่าไหร่ 

 

 


ตอนที่ 87-4 พัวพันในรถม้า กับ เรื่องม...

 

มิน่าเล่า


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันเดินออกไป จูงมือหงเยียนที่กำลังจัดสินค้าบนชั้นวาง เข้าไปหลังบ้าน


 


 


พอหงเยียนเห็นว่าคุณหนูใหญ่รู้เรื่องแล้ว ก็ยืนอึ้ง


 


 


เมื่อวาน ตอนราชองครักษ์พาออกนอกประตูวัง ตนเห็นสวี่มู่เจนยืนรออย่างกระวนกระวายใจ จึงนึกถึงก่อนเข้าวัง ที่เขาเข้ามาปลอบโยนขณะอยู่ในร้าน ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าตนทำผิดอะไร ช่วงวัยเด็กที่ถังโจว ไม่ว่าตนจะฝึกวิชา หรือฝึกขี่ม้า บิดากับพี่ชายจะคอยยืนดูอยู่ไม่ห่าง ด้วยกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ยามที่ตนล้มลงกับพื้น พี่ชายจะรีบวิ่งเข้ามาเป็นคนแรก แล้วกอดตนไว้


 


 


หลังผ่านความยากลำบากและต้องอยู่อย่างอัปยศมาสามปี ตอนออกจากวังแล้วรู้ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ใจนางก็เต้นโครมคราม ประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมาใหม่ หรือตนยังสามารถใช้ชีวิตแบบเดียวกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไปได้


 


 


พอผละออกจากผู้คน หงเยียนก็ทำตามความรู้สึกของตน ยื่นแขนทั้งสองข้าง โอบเอวชายหนุ่มทันที


 


 


และการผลักออกของสวี่มู่เจิน ค่อยทำให้นางได้สติ


 


 


ทว่านางก็ไม่โกรธแต่อย่างใด เพียงตื่นขึ้นอย่างบริบูรณ์


 


 


คิดได้ว่า ต่อให้สามารถฟื้นคืนชื่อเสียงวงศ์ตระกูล นางก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก


 


 


ชายใดจะชมชอบหญิงสาวที่แปดเปื้อนคาวโลกีย์


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยเห็นแววตาในตอนนี้ของหงเยียนมาก่อน จึงงุนงงไปชั่วขณะ ได้แต่ตำหนิญาติผู้พี่ในใจ “หงเยียน ญาติผู้พี่ข้าเป็นคน…”


 


 


หงเยียนเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้ม ก่อนยักคิ้วหลิ่วตา ดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดริมฝีปากชมพู พลางส่งเสียงหัวเราะดุจระฆังเงิน


 


 


“คุณหนูใหญ่พูดเรื่องอะไรน่ะ! ข้ากับคุณชายสวี่ก็มักจะเป็นแบบนี้ เขาคิดจริงจังก็แล้วกันไป แต่ท่านทำไมถึงพลอยจริงจังไปกับเขาด้วยเล่า! ถ้าพวกท่านล้วนเป็นแบบนี้ ต่อไปข้าก็ไม่กล้าล้อเล่นกับพวกท่านแล้ว!”


 


 


พอดีมีลูกค้าเดินเข้าร้านมา หงเยียนจึงรีบพยักหน้ายิ้ม พลางเดินออกไปทักทายลูกค้า


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงรู้สึกว่าการยิ้มแบบมองโลกในแง่ดีและไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ของนาง เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ตนถามมากไปก็ไม่ดี แต่จากนิสัยใจคอของหงเยียน ไม่น่าจะมีอะไร ตนจึงต้องเข้าไปในร้าน เปิดอกพูดกับสวี่มู่เจินอีกครั้ง


 


 


อีกด้านหนึ่ง ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นได้รับพระกรุณาธิคุณให้พักอยู่ในตำหนักฉือหนิงเมื่อเย็นวานนั้น ในจวนรองเจ้ากรมก็เริ่มมีบรรยากาศคึกคัก


 


 


ช่วงเย็นวาน หลังจากราชองครักษ์ส่งอวิ๋นหว่านถงกลับจวน ก็มีคนในวังมาที่จวน แจ้งเรื่องลูกสาวทั้งสองให้อวิ๋นเสวียนฉั่งทราบ บอกว่าลูกสาวคนโตถูกไทเฮารั้งตัวให้ค้างคืนในวัง ส่วนลูกสาวคนเล็กถูกไทเฮาจับคู่ให้แต่งเข้าจวนเว่ยอ๋อง รอก็แต่หนิงซีฮ่องเต้พระราชทานสมรส สำนักพระราชวังผูกดวง กำหนดฤกษ์ยาม พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ถ้าไม่มีปัญหา จวนเว่ยอ๋องตกลงส่งคนมารับเจ้าสาว ค่อยลากตัวรองเจ้ากรมอวิ๋นมากำชับเพิ่มเติมอีกครั้ง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกับถงฮูหยินจึงดีใจไม่หยุด สั่งให้คนในบ้านจัดสุราอาหารทันที แล้วหันไปบอกคนในวังให้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน จากนั้นก็ทำใจกว้างอย่างที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง ด้วยการบอกให้ม่อไคไหลไปที่ห้องบัญชี หยิบเงินตำลึงมงคลใส่ซองแดงมา แล้วยัดใส่มือของคนในวังทุกคน


 


 


เมื่อลูกสาวทั้งสองล้วนทำสำเร็จ คนเล็กนั่น กระทั่งองค์ชายก็ยังตกได้ ไหนเลยจะมัวเสียดายเงินไม่กี่ตำลึงนี้อีก อนุฟางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดีใจจนแทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียว


 


 


และพอจนคนในวังจากไป บ้านสกุลอวิ๋นก็ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่ ถงฮูหยินเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เมื่อในบ้านมีภรรยาน้อยของอ๋องอยู่ทั้งคน ถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีต่อบรรพบุรุษ จึงสั่งให้บ่าวไปซื้อห่านย่างหมูย่าง กลับมาจุดธูปบูชาบรรพบุรุษ ขาดแค่ซื้อปะทัดสองแถวมาจุดเท่านั้น


 


 


พออวิ๋นหว่านถงกลับถึงเรือน ก็รู้สึกว่าบ้านสกุลอวิ๋นไม่เหมือนเมื่อก่อน ไหนเลยยังมีความรู้สึกต้อยต่ำที่ต้องคอยเป็นผู้ตามแบบเมื่อก่อนอีก เวลาพูดก็เสียงดังขึ้นมาก ตนในตอนนี้คือความภาคภูมิใจของบ้านสกุลอวิ๋น เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องเชิดหน้าให้สูงเข้าไว้


 


 


ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง พอส่งคนในวังกลับ ก็เริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมออกเรือนของลูกสาวคนเล็ก โดยมีเถาฮวาคอยรับใช้นายอยู่ในเรือนหลัก ส่วนฮุ่ยหลานกับเหลียนเหนียงก็คอยช่วยถงฮูหยินทำธุระปะปัง


 


 


คืนนั้นบ่าวในบ้านไม่พอ ฮุ่ยหลานจึงถูกส่งไปช่วยเหลียนเหนียงในห้องครัว นางเฉือนเนื้อย่างเพื่อใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ พลางทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้


 


 


“ล้วนเป็นเมียน้อยคนอื่นกันทั้งนั้น เป็นเมียน้อยจ้าวไม่รุ่งหรอก ดูอย่างคุณหนูรองที่เป็นอนุจวนโหวนั่นปะไร พูดมากไปก็ไม่ดีอีก”


 


 


“ก็แหงอยู่แล้ว” เหลียนเหนียงปาดเหงื่อ “การเป็นสะใภ้จ้าว ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะฝันกันได้ แต่พูดแล้วก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะ คุณหนูสามที่ดูเงียบๆ หงิมๆ อีกทั้งเป็นลูกเมียน้อย กลับได้แต่งกับคนที่ดีที่สุด”


 


 


แต่ฮุ่ยหลานไม่ค่อยจะเห็นด้วย


 


 


“คุณหนูใหญ่ยังไม่แต่งสักหน่อย จะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณหนูสามได้แต่งกับคนที่ดีที่สุด เจ้าดูสิ คราวนี้คุณหนูใหญ่ถูกรั้งตัวให้ค้างคืนในวัง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นที่ชื่นชอบ จะมีพระกรุณาธิคุณถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าว่า ดวงของคุณหนูใหญ่ไม่แน่ว่าจะสู้ดวงของคุณหนูสามไม่ได้”


 


 


เหลียนเหนียงเฉือนชิ้นเนื้อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฮุ่ยหลาน จะว่าไป ลูกสาวทั้งสามของบ้านสกุลอวิ๋น สองคนน้องล้วนออกเรือนไปกันหมด กลับเป็นพี่ใหญ่ที่ยังไม่ออกเรือน แต่…ลึกๆ แล้ว สิ่งที่นางอยากให้เป็นไปมากที่สุดก็คือ คุณหนูใหญ่ออกเรือนไปเร็วหน่อย


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด เหลียนเหนียงถึงได้รู้สึกว่า คุณหนูใหญ่ไม่ค่อยชอบตน คอยขัดตนแทบทุกเรื่อง แม้มิได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ตนก็รู้สึกได้ถึงความแรง


 


 


โดยเฉพาะตอนคุณหนูใหญ่อยู่ในจวน มักบอกให้สาวใช้ข้างกายอย่างเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าจับตาดูตนเป็นระยะ อย่าว่าแต่ก้าวออกจากก้นครัวควันขโมงโฉงเฉงนี้เลย ขยับตัวทำอะไรมากหน่อยก็ยังยาก


 


 


อีกทั้งเหลียนเหนียงยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ขณะมองผ่านหน้าต่างบานเล็กหลังห้องครัว แล้วเหลือบไปเห็นเรือนหลักที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หรือขณะมองผ่านบานประตูที่เปิดออก แล้วเห็นโคมไฟสว่างไสวตรงระเบียงทางเดิน ก็คล้ายเห็นร่างอันบอบบางที่เริงร่ามีชีวิตชีวาของเถาฮวา…สายตาเหลียนเหนียงในตอนนี้จึงทั้งมืดมนและดุร้าย ไม่อ่อนโยนเหมือนวันก่อนๆ อีก


 


 


ซึ่งนอกจากต้องคอยมองดูยัยนั่นใกล้ชิดสนิทสนมและได้รับความไว้วางใจจากนายท่านในแต่ละวันแล้ว วันก่อน กระทั่งของล้ำค่าอย่างเข็มกลัดดอกกล้วยไม้ นายท่านก็ยังหลับหูหลับตาให้นางไปได้ นานวันเข้า ไหนเลยยังจะมีผลไม้ดีๆ สำหรับตนอยู่อีก


 


 


สองวันนี้ที่คุณหนูใหญ่ไม่อยู่บ้าน หลังบ้านจึงหย่อนยานลง ถือเป็นโอกาสที่ดี


 


 


โดยวันที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังอยู่ที่ร้านบนถนนจิ้นเป่า ยังไม่กลับมา หลังจากเหลียนเหนียงต้มน้ำและทำงานในครัวเหมือนทุกๆ วันเสร็จ ก็ได้ยินว่า วันนี้นายท่านไม่ไปขานชื่อ ทว่าออกนอกบ้านพร้อมพ่อบ้านม่อแต่เช้า ไปสั่งตัดชุดเจ้าสาวและจัดการเรื่องการออกเรือนให้คุณหนูสาม


 


 


ส่วนถงฮูหยินผู้ซึ่งไม่ชอบออกนอกบ้านเป็นที่สุด แต่เมื่อในบ้านมีเรื่องมงคลที่ใหญ่ขนาดนี้ จึงต้องพาหวงน้าสี่นั่งรถม้าออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไปทำบุญไว้พระที่วัดทางทิศเหนือของเมือง


 


 


นี่เป็นโอกาสฟ้าประทานชัดๆ คนในบ้านล้วนไม่อยู่กันหมด โดยเฉพาะผู้ที่เปรียบดังดาวพิฆาตอย่างคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่กลับ เหลียนเหนียงจึงจัดแจงผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ หันมองซ้ายขวา พอเห็นว่าปลอดคนเฝ้าดู ก็แอบย่องไปที่เรือนชุนจี้ของอนุฟาง


 


 


ต้องพูดว่า อนุฟางมัวแต่ดีใจกับเรื่องของอวิ๋นหว่านถง จนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน ไหนเลยยังนอนหลับได้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่า โชคจะหล่นลงจากฟากฟ้าใส่ศีรษะตนเช่นนี้ ดังนั้นฟ้ายังไม่ทันสาง นางก็ตื่นแล้ว พอล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ค่อยพาสาวใช้ เดินเชิดหน้ายืดอกออกจากเรือน


 


 


ทว่าเพิ่งเดินออกจากลานหน้าบ้าน อนุฟางก็ตาไว เห็นร่างๆ หนึ่ง แต่งตัวแบบสาวใช้ ยืนอยู่ข้างรั้วกำแพงเตี้ย ชะเง้อมองอย่างลังเลใจ คล้ายคิดจะเข้ามา แต่ก็ไม่กล้า จึงตะเบ็งเสียงแหลมใส่


 


 


“บ่าวหน้าไหนมาทำลับๆ ล่อๆ ด้อมๆ มองๆ แต่เช้า เป็นขโมยหรือไง!” 

 

 


ตอนที่ 88-1 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

 

เสียงเอ็ดของอนุฟาง ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่นอกรั้วกำแพงเตี้ยยื่นศีรษะเข้ามา 


 


 


สาวใช้ในเรือนเพ่งมองดูในแสงเช้า แล้วร้อง “เป็นเหลียนเหนียงที่รับใช้อยู่ในเรือนหลักเจ้าค่ะ” 


 


 


ม้าผอมงั้นหรือ นางมาทำอะไร! ตั้งแต่วันแรกที่เห็นพวกนาง อนุฟางก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับม้าผอมที่มาใหม่ทั้งสามแล้ว ตอนนี้คิ้วดั่งต้นหลิวที่วาดมาอย่างดีจึงตั้งตรง 


 


 


สาวใช้ย่อมตะโกนตามนาย  


 


 


“เหลียนเหนียง เช้าแบบนี้ เจ้าอยู่ตรงนั้นด้อมๆ มองๆ อะไร ขโมยของหรือไง! ยังไม่เข้ามาอีก!” 


 


 


เหลียนเหนียงจึงค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วหยุดยืนทิ้งระยะห่าง พลางตัวสั่นงันงกขณะทำความเคารพ 


 


 


“แม่เล็กอย่างเพิ่งเข้าใจผิด ถึงบ่าวกล้าดียังไงก็ไม่กล้าเป็นขโมยขโจรหรอก เพียงแต่…พอเจอเรื่องบางอย่างเข้า ก็รู้สึกเหมือนหาบน้ำไว้ในใจหลายถัง บ้านสกุลอวิ๋นใหญ่โตขนาดนี้ ไม่รู้จะไปรายงานกับใครดี จึงวิ่งมาหาแม่เล็กโดยไม่รู้ตัว ทำให้แม่เล็กต้องตกใจ เหลียนหนียงขออภัย และจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” 


 


 


ในฐานะมารดาของลูกสาวที่กำลังจะได้เป็นผู้สูงศักดิ์ เมื่อวานอนุฟางได้รับคำชมจากอวิ๋นเสวียนฉั่งไม่น้อย จึงดีใจจนนอนไม่หลับ ตอนนี้พอเห็นเหลียนเหนียงเดือดเนื้อร้อนใจ เหตุใดจะไม่วางตัวเป็นนายหญิงเล่า พอเห็นเหลียนเหนียงรู้กาลเทศะ มีตนในสายตา ไม่ไปหาใครอื่น มาหาแต่ตน ก็รู้สึกพอใจยิ่ง ยืดอกที่เต่งตึงขึ้น 


 


 


“มีเรื่องอะไร ก็ว่ามา” 


 


 


ลำคอขาวเนียนของเหลียนเหนียงเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนเดินเข้าใกล้อนุฟาง ก้มหน้าเล็กๆ ลง แรกเริ่มก็อ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายไม่อยากจะพูด แต่ต่อมาคำพูดกลับพรั่งพรูดุจเทถั่วลงในกระบอกไม้ไผ่ 


 


 


“เมื่อไม่กี่คืนก่อน ขณะที่บ่าวกำลังทำงานอยู่ในห้องครัวนั้น เถาฮวาก็เข้ามาต้มน้ำ บอกจะต้มบะหมี่ให้นายท่านรับประทาน แต่เพราะความรีบ จึงทำของหล่นโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นบ่าวไม่ทันสังเกต รอจนเถาฮวาเดินออกไป บ่าวค่อยเห็น จึงเก็บขึ้นมาดู เป็นเข็มกลัดดอกกล้วยไม้ บ่าวแม้ไม่เคยเห็นโลกภายนอก แต่ก็รู้ว่าเข็มกลัดที่ทำจากทับทิมแดงกับหยกมรกตมีมูลค่าไม่น้อย ขณะตกใจ เถาฮวาก็วิ่งกลับมาอย่างร้อนรน แล้วแย่งเอาเข็มกลัดไป บอกว่าเป็นของนาง ทว่า นางกับบ่าวเข้าสกุลอวิ๋นมาพร้อมกันแค่ไม่กี่วัน ไฉนนางถึงมีของล้ำค่าแบบนี้ได้ บ่าวไม่เชื่อ แต่นางยืนยันว่า นายท่านเป็นคนมอบให้นางเอง แล้วนางก็จากไปพร้อมเข็มกลัด…” 


 


 


อนุฟางใจแป้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงหวงขึ้นมา เหตุใดนายท่านถึงต้องจ่ายหนักให้นังนั่นด้วย 


 


 


เหลียนเหนียงมองดูสีหน้าอนุฟาง ก่อนพูดต่อ  


 


 


“…บ่าวคิดทบทวนไปมาอยู่วันหนึ่ง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี เข็มกลัดดอกกล้วยไม้มิใช่ของชิ้นเล็กๆ ถ้าบอกว่านายท่านมอบผ้าเช็ดหน้าให้นางผืนหนึ่ง ปิ่นปักผมอันหนึ่ง บ่าวยังพอเชื่อ แต่เข็มกลัดนั่นราคาแพงจริงๆ ต่อให้เถาฮวาเป็นคนโปรด ก็อยู่ในจวนแค่ไม่กี่วัน นายท่านจะมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน!” 


 


 


“เรามาจากที่เดียวกัน บ่าวเกรงว่าเถาฮวาเพิ่งมาถึงก็เกิดความโลภ ทำให้สมาคมถูกเข้าใจผิด ถึงตอน 


 


 


นั้น ถ้านางถูกไล่ออกคนเดียวก็ว่าไปอย่าง เกรงว่าอาจลามมาถึงบ่าวกับฮุ่ยหลานด้วย! บ่าวจึงต้องหาที่พึ่ง หา 


 


 


นายที่ดีคนหนึ่งไว้ จะไม่ยอมออกไปข้างนอกตกระกำลำบากอีก นี่ทำให้บ่าวนอนไม่หลับทั้งคืน ซึ่งถ้าบ่าวบอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสและนายท่านแล้ว เถาฮวาทำผิดจริง บ่าวก็จะไม่มีที่ยืนทันที อย่างไรบ่าวกับนางก็เป็นพี่เป็นน้องกัน บ่าวจึงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นนางตกยาก จึงอยากขอให้แม่เล็กช่วยสืบอย่างลับๆ ถ้าเข็มกลัดเป็นของที่นายท่านให้นางจริง นั่นก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ใช่ จะได้บอกให้นางเอาไปวางไว้ที่เดิม แล้วปิดเป็นความลับ ห้ามไม่ให้นางทำผิดอีก” 


 


 


โง่เง่าจริงๆ ยัยนี่ อนุฟางเหล่ตามองเหลียนเหนียง ทั้งผอมทั้งตัวเล็ก ก้มหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือ เหมือนหนูตัวเล็กๆ ไม่มีผิด ขนาดหายใจก็ยังไม่กล้า แต่ก็จริง สามสาวที่ผู้อาวุโสเลือกมาจากสมาคมม้าผอมมา ถือว่าอายุมากอยู่ ไม่ง่ายกว่าที่เหลียนเหนียงจะได้มาจวนรองเจ้ากรม แต่กลับต้องมาเป็นคนใช้ ไหนเลยจะยอมให้เถาฮวาเขี่ยนางกลับไปที่สมาคมม้าผอม หรือกระทั่งขายให้กับตระกูลเล็กๆ ได้เล่า 


 


 


ส่วนเถาฮวา อนุฟางขยำแขนเสื้อ ความหึงหวงยังไม่จางหาย เนื่องจากเถาฮวารับใช้ที่เรือนหลัก เดิมทีนางเป็นคนที่ตนต้องจับตาดูมากที่สุดอยู่แล้ว โดยเฉพาะการแต่งเนื้อแต่งตัวและการเดินบิดไปบิดมาของนาง ไม่เหมือนคนที่อยู่ในกฏระเบียบแต่อย่างใด มองปราดเดียวก็รู้ว่า เป็นเมียน้อยแน่ ถ้าท่านพี่ให้ของล้ำค่าแบบนั้นกับคนชั้นต่ำอย่างนางจริง ก็แสดงว่ามีใจให้นางอยู่ 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ อนุฟางจึงตัดสินใจในทันที หันไปพูดเสียงเรียบกับบ่าวรับใช้ 


 


 


“จวนรองเจ้ากรมไหนเลยจะอนุญาตให้คนมือเท้าไม่สะอาดอยู่ บ่าวไพร่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ถ้าเหิมเกริมขนาดนี้ ต่อไปแก่ตัวลงยังไม่เท่าไหร่ แต่ของในบ้านนี่สิ มิต้องถูกนางขโมยจนเกลี้ยงหรอกหรือ เด็กๆ นำตัวเถาฮวามา ข้าจะสอบสวนนางดีๆ ดูซิว่ามันเรื่องอะไรกันแน่!”  


 


 


ตามหลักแล้ว อนุฟางจะสอบสวนบ่าวในบ้านคนเดียวไม่ได้ แต่ตอนนี้ทั้งนายท่านและผู้อาวุโสล้วนไม่อยู่ กระทั่งคุณหนูใหญ่ก็ยังเป็นแขกอยู่ในวัง ยังไม่กลับ แต่ถ้ามีกรณีพิเศษที่เร่งรีบ อนุฟางจะควบคุมการสอบสวนเอง ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย ที่สำคัญคือ บ่าวรับใช้ดูออกว่า อนุฟางกำลังริษยาเถาฮวา จึงคิดหยิบยืมโอกาส แสดงอำนาจให้เป็นที่ประจักษ์ ในใจจึงกังวลแทนเถาฮวา ทว่าก็ได้แต่ไปที่เรือนหลัก 


 


 


เหลียนเหนียงถอยไปยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง สีหน้าแสดงความหวาดกลัวและไม่สบายใจให้เห็น 


 


 


ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เถาฮวาก็ถูกบ่าวรับใช้และผู้คุมกฎในจวนลากตัวมาที่เรือนชุนจี้ 


 


 


ตั้งแต่เถาฮวามาถึงบ้านสกุลอวิ๋น พูดได้ว่าก้าวหน้าเร็วมาก วันแรกก็ได้เป็นหัวหน้าสาวใช้ในเรือนหลัก ได้ใกล้ชิดนายท่านโดยตรง จากนั้นก็ไม่ต้องลิ้มรสความยากลำบากของการเป็นสาวใช้แม้แต่นิดเดียว และไม่มีใครในบ้านที่ทำไม่ดีกับนาง  


 


 


พอเห็นบ่าวรับใช้กับผู้คุมกฎมีท่าทีดุดันตลอดทางที่คุมตัวนางมา นางก็ใจเต้นไม่เป็นระส่ำอยู่ ยิ่งพอเห็นอนุฟางนั่งกอดอกบนเก้าอี้ทรงกลมในชานเรือน และมองมาที่นางอย่างเคร่งเครียด ก็ยืนตะลึงอยู่กับที่ พูดจาตะกุกตะกัก 


 


 


“แม่เล็กเรียกเถาฮวามามีเรื่องอะไรหรือ…” 


 


 


วันนี้เถาฮวาแต่งตัวเรียบๆ แต่ก็ยังโดดเด่นในกลุ่มบ่าว นางสวมเสื้อธรรมดาสีขาว กระโปรงสีชมพูเข้ม 


 


 


ทับด้วยเสื้อกั๊กยาวสีน้ำเงิน อากาศเย็นแบบนี้ นางยังสวมเสื้อเอวลอยตัวเล็ก ไม่รู้ว่าจงใจเผยเสื้อตัวในสีชมพูให้ดูน่ารักหรืออย่างไร ซึ่งอนุฟางเห็นแล้วก็แอบหมั่นไส้ รู้สึกเกลียดขี้หน้า การแต่งตัวยั่วยวนเช่นนี้ ต้องการดึงดูดความสนใจของท่านพี่เห็นๆ จึงตบที่เท้าแขน 


 


 


“มีเรื่องอะไรรึ ยังมีหน้ามาถามอีก พูด เจ้าขโมยของในบ้านใช่หรือไม่!” 


 


 


“แม่เล็กเอาอะไรมาพูด…” เถาฮวาตกใจหน้าซีด คุกเข่าทั้งสองข้างลง “ต่อให้บ่าวกล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้แน่”  


 


 


พอหันมองไป แล้วเห็นเหลียนเหนียง ก็สงสัยว่าทำไมนางถึงอยู่กับอนุฟางที่นี่ได้ ในหัวพลันวาบ จึงลุกขึ้นต่อว่า 


 


 


“เจ้านี่มันหญิงแพศยาไร้ยางอาย พูดให้ร้ายข้าใช่ไหม แม่เล็ก อย่าได้ฟังนางเป็นอันขาด!” 


 


 


อนุฟางส่งสายตาให้ผู้คุมกฎๆ จึงจับเถาฮวากดลง เถาฮวาไม่ยอม ยังคงด่าว่าเหลียนเหนียงอย่างโกรธแค้น อนุฟางเห็นนางดื้อด้านต่อหน้าตนเช่นนี้ จึงออกคำสั่งเสียงแข็ง  


 


 


“ตบปาก!” 


 


 


บ่าวรับใช้จึงก้าวเข้าไป พับแขนเสื้อ แล้วยกมือขึ้นตบ ‘เพียะๆ’ ติดต่อกันหลายฉาด จนเห็นรอยโลหิตเป็นจุดๆ บนใบหน้ารูปไข่ที่เนียนเรียบ แม้เถาฮวาหุบปากลง แต่ไหนเลยจะยอมทนต่อความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ จึงร้องไห้เสียงดังขึ้นมา 


 


 


“แม่เล็กพูดให้บ่าวฟังหน่อยว่า บ่าวขโมยอะไร จับโจรต้องมีหลักฐาน มิเช่นนั้นก็ต้องรอให้นายท่านกลับมา แล้วไต่ถามให้กระจ่างด้วยตนเอง!” 


 


 


พอพูดถึงท่านพี่ อนุฟางก็ยิ่งโมโหจนไม่ใช่แค่อยากตบอย่างเดียวแล้ว นี่มันแสดงความโอหังในฐานะคนโปรดของท่านพี่นี่ ตอนนี้ขนาดเป็นแค่บ่าวยังทำตัวยโสถึงเพียงนี้ รอให้เลื่อนเป็นอนุ มีฐานะทัดเทียมตนเมื่อไหร่ ยังจะเห็นตนอยู่ในสายตาหรือ ถ้าไม่จัดการตอนยังเป็นต้นอ่อน ต่อไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว! 


 


 


คิดได้เช่นนี้ ดวงตาอนุฟางก็ถูกเมฆดำปกคลุมจนมืดมิด สั่งให้บ่าวรับใช้ไปค้นห้องพักบ่าวของเถาฮวา นำเข็มกลัดดอกกล้วยไม้มา  

 

 


ตอนที่ 88-2 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

 

ผ่านไปสักพัก บ่าวรับใช้ก็นำเข็มกลัดกลับเข้ามา


 


 


พอเถาฮวาเห็น ก็ถอนหายใจยาวๆ ใบหน้าบวมเปล่งปรากฏรอยยิ้มที่ผ่อนคลายลง แต่กลับยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรม ที่ตนถูกตบโดยไม่มีเหตุผล จึงตั้งใจว่าต้องสั่งสอนเหลียนเหนียงให้สาสม พลันรวบรวมพละกำลัง


 


 


“นี่เป็นการป้ายสีกันชัดๆ เข็มกลัดนี้นายท่านเป็นคนมอบให้บ่าว บ่าวมิได้ขโมยอย่างแน่นอน!” แล้วจึงจ้องมองเหลียนเหนียงอย่างดุดัน


 


 


อนุฟางแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “ท่านพี่มอบให้เจ้ารึ มีหลักฐานหรือเปล่า”


 


 


บ่าวรับใช้ตอบเสียงต่ำ “ตอนบ่าวเข้าไปค้นเข็มกลัดในห้องนาง ก็ถือโอกาสถามบ่าวในเรือนของนายท่านซึ่งต่างก็บอกว่าไม่เคยได้ยินนายท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แล้วพอไปถามที่ห้องบัญชี เสมียนก็บอกว่าในบ้านไม่มีบันทึกรายจ่ายในส่วนนี้”


 


 


รอยยิ้มของเถาฮวาพลันจางหาย กฎของบ้านมีอยู่ว่า ถ้าบ่าวได้รับของขวัญจากนาย ก็ต้องมีบันทึกอยู่ในสมุดบัญชี โดยเฉพาะชิ้นที่มีมูลค่ามาก แต่เข็มกลัดชิ้นนี้นายท่านมอบให้ตนในคืนก่อนที่คุณหนูใหญ่จะเข้าวัง อย่างไรก็ผ่านมาไม่ถึงสองวันดี เมื่อวานมีรับสั่งให้คุณหนูใหญ่พักค้างคืนในวัง วันนี้มีรับสั่งให้คุณหนูสามเป็นชายารองของเว่ยอ๋อง การที่นายท่านไม่ทันบอกให้บันทึก หรือลืมไปชั่วขณะ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จึงกลั้นหายใจแล้วว่า


 


 


“รอให้นายท่านกลับมา ทุกอย่างจะกระจ่างเอง!”


 


 


อนุฟางยิ้มเย็นชา “ยังต้องรอให้ท่านพี่กลับมาอีกหรือ ของกลางก็อยู่นี่แล้ว และเจ้าก็ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าเข็มกลัดเป็นของเจ้า ยังมีหน้ามาเถียงอีก ท่านพี่หมู่นี้ยุ่งอยู่กับการเลื่อนตำแหน่งและเตรียมงานมงคลของคุณหนูสาม ถ้าจนแล้วจนรอดไม่มีเวลามาสอบสวนเจ้า แล้วสกุลอวิ๋นเรา ต้องเสียข้าวสุกเลี้ยงขโมยอย่างเจ้าไว้เรื่อยๆ เช่นนั้นรึ! เด็กๆ ตีจนกว่านางจะยอมสารภาพ!”


 


 


ผู้คุมกฎจึงลากเก้าอี้ยาวมา แล้วกดให้เถาฮวานอนคว่ำลงบนเก้าอี้ ‘แควก’ กางเกงนางถูกดึงลง เผยให้เห็นบั้นท้ายขาวจั๊วะ เถาฮวาทั้งโมโหทั้งอับอาย ดิ้นรนพลางตะโกนร่ำไห้


 


 


“รอให้นายท่านกลับมา ทุกอย่างจะกระจ่างแจ้ง! บ่าวไม่ได้ขโมย! นั่นเป็นของที่นายท่านให้บ่าว! แม่เล็กไม่มีสิทธิตัดสินบ่าว!”


 


 


แล้วจึงหันมองเหลียนเหนียงอย่างโกรธแค้นอีกรอบ “คนชั่ว! เจ้าให้ร้ายข้า! เจ้าให้ร้ายข้า…”


 


 


บ่าวรับใช้เห็นดังนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสียงเบาตักเตือนอนุฟาง “แม่เล็ก อย่างไรรอให้นายท่านกับมาค่อยว่ากันจะดีกว่า เกรงว่านายท่านกลับมาเห็นแล้วจะไม่พอใจ…”


 


 


พอเหลียนเหนียงได้ยินบ่าวรับใช้เตือน ก็กลัวว่าอนุฟางจะเปลี่ยนใจ จึงก้าวออกมา หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน หันมองเถาฮวา แล้วน้ำตาก็ไหลออกทันใด


 


 


“ข้าให้ร้ายเจ้าตรงไหน เห็นจะๆ ว่าเจ้าต่างหากที่เกือบทำให้ข้าต้องเดือดร้อน! เถาฮวา ข้าไม่เหมือนเจ้า


 


 


ที่ข้าออกจากสมาคมม้าผอม ก็หวังเพียงได้กินอิ่มนอนหลับ เจ้าโลภก็เป็นเรื่องของเจ้า อย่ามาทำให้ข้าต้องพลอยถูกนายไม่ชอบไปด้วย! เข็มกลัดของเจ้าแพงขนาดนี้ ข้าสงสัยว่านายท่านไม่ได้ให้เจ้า ข้าผิดตรงไหน”


 


 


พออนุฟางได้ยิน จิตสังหารก็บังเกิด ไม่ว่าเข็มกลัดอันนี้ ท่านพี่ได้มอบให้นางหรือไม่ เหตุผลที่ต้องตีนางก็มีอยู่! อีกอย่าง กางเกงก็ถูกดึงลงมาแล้ว หรือต้องใส่กลับให้นาง เช่นนั้นคำพูดของตนยังนับเป็นอะไรได้ แล้วต่อไปใครจะเห็นหัวตนอีก อนุฟางจึงเปล่งเสียงดัง


 


 


“ยังไม่ตีลงไปอีก!” บารมีในตอนนี้ เพิ่มความหยิ่งผยองให้กับอนุฟาง นางไม่เชื่อว่า การสอบสวนบ่าวเพียงคนเดียว จะทำให้ท่านพี่ถึงกับดุด่ามารดาของชายารองในอนาคตอย่างตน


 


 


ผู้คุมกฎยกไม้ฟาดลงไป พอไม้ถูกเนื้อ เถาฮวาก็ร้องโหยหวนออกมา สาวๆ ในสมาคมม้าผอมล้วนดูแลผิวพรรณตนเองให้นุ่มนิ่มเนียนสวยมาตลอด ต่างจากบ่าวไพร่ในบ้านทั่วไปที่มือเท้าหยาบกระด้าง จึงทนความเจ็บไม่ไหว ตีไม่ถึงสามทีก็ตาเหลือกแล้ว เสียงร้องติดอยู่ในลำคอ เปล่งไม่ออก ได้แต่คร่ำครวญพลางโกรธแค้น


 


 


“อย่าตี…อย่าตี…รอให้นายท่านกลับมาก่อน…” เสียงกัดฟัน “…เหลียนเหนียง…ถึงข้าตาย…ก็ไม่มีทางละเว้นคนเลวทรามต่ำช้าอย่างเจ้า…”


 


 


“แม่เล็ก รอหน่อยเถิด” บ่าวรับใช้เห็นสภาพทนความเจ็บไม่ไหวของเถาฮวา เกรงว่านางอาจหายใจไม่ทันแล้วจากไปได้ง่ายๆ จึงรีบเตือน “ถ้าตีจนตาย ก็ยากที่จะอธิบายอยู่! ต่อให้นายท่านไม่ว่าอะไร อย่างไร ผู้อาวุโสก็เป็นคนซื้อนางมา ผู้อาวุโสอาจต่อว่าที่เสียเงินแล้วไม่คุ้มค่า”


 


 


อนุฟางคิดๆ ดูก็ใช่ จึงเคร่งขรึมลง แต่แล้วก็ส่งสายตาให้ผู้คุมกฎ ก่อนยกนิ้วที่ทาเล็บสีแดงขึ้น ชี้ตำแหน่งที่ต้องการตี ต่อด้วยการวาดวงกลมกลางอากาศ บอกใบ้ด้วยท่าทาง


 


 


ผู้คุมกฎตีบ่าวในบ้านทั้งชายและหญิงจนเคยชิน ไหนเลยจะไม่รู้ความหมาย จึงถอยหลังสองก้าว ให้พละกำลังตกอยู่กับปลายไม้ แล้วตีแรงๆ ลงไปที่สะโพกของเถาฮวา สักพักก็พลิกตัวเถาฮวาให้นอนหงาย ราวกับปลาหงายท้องก็มิปาน แล้วตีสะเปะสะปะลงไปตรงบริเวณหน้าท้อง


 


 


ผู้คุมกฏที่รับหน้าที่ตีบ่าวในบ้านด้วยไม้เป็นผู้มีความรู้ ถ้านายอนุโลม ใจอ่อนกับบ่าวที่ถูกลงโทษ ผู้คุมกฎจะถือไม้ในแนวขนานและกระจายแรงออกเวลาตี เสียงที่ตีจะดังมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ค่อยเจ็บ ทว่าถ้าใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของไม้ตีลงไป โดยเฉพาะปลายไม้ที่บางเฉียบ นั่นก็คือมีดทื่อๆ เล่มหนึ่งที่ใช้ฆ่าคนได้ดีๆ นี่เอง เสียงที่ตีจะทึบตัน จนแทบไม่ค่อยได้ยิน แต่กลับทั้งเจ็บและทรมาน


 


 


ตำแหน่งที่อนุฟางชี้ พอดีเป็นช่วงสะโพกที่เนื้อนิ่ม และไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นอันตรายอะไร ตีแรงแค่ไหนก็ไม่ทำให้ตาย แต่กลับทำให้เจ็บจนอยากตาย ส่วนท้องน้อยด้านหน้า ก็คือตำแหน่งที่ผู้หญิงหวงแหนเป็นที่สุด ดังนั้นตอนนี้ เขาก็เท่ากับเป็นเพชฌฆาตทำลายอนาคตนาง


 


 


บ่าวรับใช้ได้แต่ยืนดู พอไม้ตีลงไป ร่างของเถาฮวาก็เหมือนปลาตายที่เด้งขึ้นเด้งลง ขนาดดูก็ยังเจ็บแทน จนต้องกัดฟันแล้วเบือนหน้าหนี


 


 


ส่วนเหลียนเหนียง แม้กำลังก้มหน้า แต่เปลือกตากลับขยับขึ้น มองตาไม่กระพริบ


 


 


ตีไปครู่ใหญ่ ซึ่งเถาฮวาสลบไปนานแล้ว อนุฟางจึงยกมือ “นำตัวกลับไป!”


 


 


บ่าวรับใช้จึงดึงกางเกงเถาฮวาขึ้น แล้วพยุงร่างนางร่วมกับผู้คุมกฎ กลับห้องพักบ่าว


 


 


หลังจากอนุฟางหยิบยืมโอกาสสั่งสอนเถาฮวาเสร็จเรียบร้อย ตะวันก็อยู่เหนือศีรษะ ใกล้เที่ยงพอดี อวิ๋นเสวียนฉั่งกับม่อไคไหล อีกทั้งถงฮูหยินกับหวงน้าสี่ ก็ทยอยกันกลับถึงจวน


 


 


อนุฟางรู้สึกสะใจมากที่ได้ถอนเสี้ยนหนามคาใจออกมาจนได้ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่กังวลใจใดๆ เนื่องด้วยเข็มกลัดนั่น ถ้าเป็นของที่ขโมยมาก็แล้วกันไป แต่ถ้าเป็นของที่ท่านพี่มอบให้จริง ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะถูกท่านพี่ตำหนิ


 


 


และนางก็ไม่ใช่คนที่นั่งรอให้ถูกกระทำ จึงบอกให้บ่าวไปเฝ้าประตูไว้แต่แรก พอเห็นท่านพี่กับผู้อาวุโสมาก็ให้รีบมาบอก นางจะได้รีบไปที่ห้องโถงหลัก นั่งเค้นอารมณ์ให้หน้าแดง แล้วจึงเล่าเรื่องให้พวกเขาฟังด้วยตนเอง


 


 


ซึ่งถงฮูหยินไหนเลยจะยอมลงให้กับโจรในบ้าน จ้องมองลูกชาย พลางว่า


 


 


“เจ้ารอง มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ เข็มกลัดนั่น ตกลงเจ้าเป็นคนให้หรือนางหยิบเอาไปกันแน่”


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยิน ก็นึกถึงเรื่องในคืนวันก่อน จึงขมวดคิ้ว


 


 


“ข้าเป็นคนให้นางเอง ทำไมเจ้าตีคนตามอารมณ์ โดยไม่ถามให้ชัดเจนก่อน”


 


 


อนุฟางรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “ข้าเห็นว่าเข็มกลัดนั่นราคาแพงมาก แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่ค่อยได้ใช้เครื่องประดับแบบนี้ อีกอย่าง…”


 


 


เหลือบมองท่านพี่ “ข้าเองก็…ไม่เคยเห็นท่านพี่จ่ายหนักขนาดนี้ อย่าว่าแต่มอบของล้ำค่าให้กับบ่าวคนหนึ่งเลย พูดก็พูด หลักฐานที่พิสูจน์ว่าท่านพี่เป็นคนให้ก็หาไม่พบ จึงคิดว่าเถาฮวาต้องขโมยมาแน่ บวกกับนางเถียงคอเป็นเอ็น ข้ากลัวว่าพวกบ่าวจะเลียนแบบ จึงตัดสินใจโดยพลการ ลงโทษนางอย่างหนักไป”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเกิดมายากจน ชีวิตผ่านความรุนแรงและโหดร้ายจนเคยชิน จึงไม่ใช่คนใจกว้างที่ชอบให้ของขวัญกับบ่าวมาแต่ไหนแต่ไร เพียงคืนที่ให้เข็มกลัดเท่านั้น ที่เขาหยอกอนุฟางเล่นในห้องโถง แล้วเกิดอารมณ์ปรารถนาขึ้นมา พอกลับถึงเรือน เห็นเถาฮวาสดใสน่ารัก มีเสน่ห์และเอาใจคนเก่ง จึงหลงรัก และนึกใจกว้างขึ้นมา หยิบของให้นางไปชิ้นหนึ่ง ไม่คิดว่า จะกลายเป็นการทำร้ายนางไปเสียนี่


 


 


ถงฮูหยินมองว่าที่อนุฟางพูดมาแต่ละคำมีเหตุผล ไม่ผิดอะไร ในบ้านเพิ่งมีเรื่องมงคล ใยต้องก่อความวุ่นวายให้บ้านเกิดความไม่สงบ เพราะบ่าวเพียงคนเดียวด้วย จึงว่า


 


 


“เอาเถอะ ถือว่าเถาฮวาโชคไม่ดีก็แล้วกัน แล้วคนล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“เรียนผู้อาวุโส หลังจากถูกตี นางก็ถูกพยุงกลับไปที่ห้อง ตอนนี้กำลังนอน ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ” บ่าวข้างกายอนุฟางตอบเสียงเบา


 


 


“อย่างนี้ก็แล้วกัน” ถงฮูหยินกำชับ “เรียกหมอไปตรวจดูอาการให้นางที่ห้องหน่อย” 

 

 


ตอนที่ 88-3 ยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อน

 

 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งชอบเถาฮวาอยู่บ้าง และคิดที่จะรับนางเข้าเป็นอนุในไม่ช้า แต่เขาเพิ่งออกจากบ้านแค่ครึ่งวัน เถาฮวาก็ถูกตีจนสลบไปแล้ว เขาจึงไม่ชอบใจยิ่ง ฟังจากที่บ่าวเล่า นางน่าจะถูกตีแรงเอาการ คิดแล้วก็หันไปมองอนุฟางอย่างโกรธเคือง


 


 


แต่พอได้ยินถงฮูหยินว่า ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ต้องข่มอารมณ์ไว้ เขายังต้องเตรียมงานมงคล และอนุฟางยังเป็นแม่ของถงเอ๋อร์อีก ในเวลาสำคัญเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะลงโทษอนุฟาง เพียงเพราะบ่าวคนเดียว


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ได้แต่โบกมือเรียกบ่าว “ทำตามที่ผู้อาวุโสบอก เรียกหมอที่ดีหน่อยไปตรวจอาการนางที่ห้อง”


 


 


บ่าวขานรับ แล้วรีบวิ่งไปหาหมอ อนุฟางจึงโล่งอกไปอีกหนึ่งเปราะ


 


 


ในที่สุดก็เป็นแค่บ่าว เจ้านายในบ้านไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก อวิ๋นเสวียนฉั่งหันไปหารือกับถงฮูหยินเรื่องการออกเรือนของลูกสาวคนเล็ก แล้วรีบบอกให้คนไปสืบข่าวในวังดูว่า คุณหนูใหญ่ออกจากวังแล้วหรือยัง จะกลับถึงจวนเมื่อไหร่


 


 


คุยไปคุยมา เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ่าวรับใช้วิ่งกลับมารายงาน


 


 


“นายท่าน ผู้อาวุโส ท่านหมอไปที่ห้องเถาฮวา ตรวจดูอาการนางแล้ว เขียนใบสั่งยาแล้ว และไปห้องบัญชีรับเงินแล้ว เพิ่งกลับออกไปเจ้าค่ะ”


 


 


“อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง” ถงฮูหยินถาม


 


 


สีหน้าของบ่าวบ่งบอกว่ายากที่จะพูดออกมา เอ่ออ่าก่อนตอบ “ท่านหมอว่า แผลไม่มีปัญหา พักไม่กี่วัน ก็สมานสนิท ลุกขึ้นเดินเหินได้ตามปกติ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นขุนนาง มักมองคนจากสีหน้าและคำพูด จึงเอ็ด ”พูดให้มันชัดๆ หน่อย!”


 


 


บ่าวจึงรีบคุกเข่าลง “…เพียง เพียงแต่…”


 


 


อนุฟางเตรียมยกภูเขาออกจากอก คล้ายจะได้รับข่าวดี จึงขยำผ้าเช็ดหน้า


 


 


“เพียงแต่อะไร เถาฮวาเป็นอะไรกันแน่” ถงฮูหยินมองนิ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว


 


 


บ่าวจึงตอบเสียงเบา “…ท่านหมอว่า เพียงแต่ตำแหน่งที่ถูกตีไม่สู้จะดี อยู่ใต้ท้องน้อย อาจทำให้…มดลูกอักเสบ ต่อไปอาจมีลูกยาก”


 


 


ถงฮูหยินยืดตัวตรง หันมองลูกชายคนรอง


 


 


อวิ๋นเสวีนนฉั่งขมวดคิ้ว


 


 


บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้น


 


 


มีแต่อนุฟางเท่านั้นที่รู้สึกเบิกบานใจ แอบม้วนผ้าเช็ดหน้าไปมา ดีใจจนแทบกลั้นไม่อยู่ เป็นสวะไปแล้ว ต่อให้ท่านพี่ชอบแค่ไหน มันก็เป็นสวะไปแล้ว


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดอวิ๋นเสวียนฉั่งก็เอ่ยปากเรียก “ไคไหล”


 


 


ม่อไคไหลยืนอยู่นอกประตู พอได้ยินเสียงเรียก ก็รีบก้าวเข้ามา


 


 


“นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ”


 


 


“รอให้เถาฮวาอาการดีขึ้น ค่อยหานายหน้าแล้วขายออกไป”


 


 


ม่อไคไหลประสานมือ “ขอรับ นายท่าน”


 


 


ตนซื้อม้าผอมมา ก็เพื่อที่จะให้ลูกชายได้มีทายาทสืบตระกูลเพิ่ม แต่เมื่อไร้ซึ่งความสามารถ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงคนธรรมดาคนหนึ่งไว้ หรือไม่ก็เหมือนกับการบูชาพระพุทธรูปในบ้าน เมื่อถงฮูหยินได้ยินคำตัดสินของลูกชาย ก็เพียงส่งเสียงเบาออกมา “กรรมแท้ๆ”


 


 


เพียงไม่กี่ประโยค ชะตาชีวิตของเถาฮวาก็ถูกกำหนดเรียบร้อย เดิมทีนางเป็นบ่าวที่มีอนาคตไกลสุดในบ้านสกุลอวิ๋น แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน อนาคตกลับดับวูบลง กลายเป็นใบไม้ร่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงไปเสีย บ่าวรับใช้แต่ละคนจึงรู้สึกสะทกสะท้อนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้


 


 


ขณะที่หลายคนกำลังรวมตัวกัน หน้าประตูก็มีเสียงรายงานดังมา “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”


 


 


พอคิดว่าชิ่นเอ๋อร์เพิ่งได้รับพระกรุณาธิคุณให้ค้างคืนที่ตำหนักฉือหนิง โดยเกียรติยศนี้ นางเป็นหญิงสาวสกุลอวิ๋นคนแรกที่ได้รับ ถงฮูหยินก็อารมณ์ดีขึ้นมา รีบพูดอย่างปลื้มปิติ


 


 


“เชิญคุณหนูใหญ่มาที่ห้องโถงหลักเร็ว” แล้วหันไปสั่งบ่าว “รีบไปบอกคนให้เรียกสะใภ้ใหญ่กับถงเอ๋อร์มาด้วย ยังมีอาเม่ากับอาจู้อีก คนเขาเพิ่งกลับออกจากวัง ต้องต้อนรับเสียหน่อย”


 


 


ชิ ก็แค่อยู่เป็นเพื่อนไทเฮาในวัง เป็นบ่าวรับใช้เพิ่มอีกคืนหนึ่ง แต่ลูกสาวตนนี่สิ กำลังจะไปเป็นนายหญิงอยู่รอมร่อ ยังจะเรียกให้ออกมาต้อนรับอีก อนุฟางแอบกัดฟันกรอด รู้สึกไม่พอใจ ทว่าก็ต้องทำตามแต่โดยดี จึงหันไปบอกบ่าวให้ไปเรียกอวิ๋นหว่านถงมา


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นที่ได้ใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในร้านบนถนนจิ้นเป่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเมี่ยวเอ๋อร์เร่งรัด นางก็ไม่คิดที่จะกลับบ้านจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่ายืดเวลาต่อไปไม่ได้อีก จึงค่อยขึ้นรถม้ามา


 


 


พอรถม้าจอด อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวลง เดินเข้าจวน ก็เห็นบ่าวในบ้านกลุ่มหนึ่งคุกเข่าพร้อมกันแล้วเปล่งเสียงเรียกคุณหนูใหญ่ มีคนก้าวเข้ามาปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าและช่วยตนปลดผ้าคลุมไหล่ออก แถมยังกลัวว่าตนจะหนาว ส่งกระเป๋าน้ำร้อนมาให้อุ่นมือ พลางถามสารทุกข์สุขดิบไม่หยุดหย่อน ซึ่งน่าจะเป็นการทำตามคำสั่งของเจ้าบ้านมากกว่า


 


 


เมื่อราศีจ้าวมาโดนตัว สถานะย่อมไม่เหมือนเดิม ที่ผ่านมา ตนไหนเลยเคยได้รับการต้อนรับเช่นนี้


 


 


ชูซย่าก้าวเข้ามา เล่าเรื่องของเถาฮวาให้อวิ๋นหว่านชิ่นฟังอย่างละเอียด


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิด ตนช้าไปก้าวหนึ่ง จึงสกัดแผนยิงนกที่ยื่นหัวออกมาก่อนไม่ทัน เถาฮวาหนีไม่พ้นชะตากรรมนี้จริงๆ เพียงแต่อนุฟางนั่น ถึงกำจัดสุนัขป่าตรงหน้าไปได้ แต่ก็มีพยัคฆ์ตามมาด้านหลังติดๆ กำจัดเถาฮวาไป ก็เท่ากับให้ใบเบิกทางกับเหลียนเหนียง ต่อไปก็ไม่แน่ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี


 


 


ที่ผิดคาดก็คือ เหลียนเหนียงโหดร้ายกว่าที่ตนคิดไว้เยอะ พริบตาเดียว นางสามารถใช้อนุที่อยู่ในบ้าน


 


 


โค่นล้มอุปสรรคใหญ่สุดตรงหน้าลงได้


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไปในห้องโถงหลัก และคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายเรียบร้อย ก็ถูกถงฮูหยินลากตัวไปคุยด้วย ถงฮูหยินยิ้มพลางถามถึงสถานการณ์ในวัง ถามว่าไทเฮารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ได้พบฮ่องเต้ไหม


 


 


หวงน้าสี่ซึ่งเป็นคน ใครดีมาก็ดีตอบ ใครร้ายมาก็ร้ายตอบ ก็ยิ้มให้อวิ๋นหว่านชิ่นแล้วว่า


 


 


“ข้าว่า คุณหนูใหญ่เข้าวังสัมผัสราศีจ้าวในครั้งนี้ ทำให้ตัวเองราศีจับกว่าเดิมเยอะ” ว่าแล้วก็ผลักลูกชายลูกสาวเข้าหา


 


 


“ยังไปเข้าไปทักทายพี่ใหญ่ของพวกเจ้าอีก พี่ใหญ่เนี่ย กระทั่งเตียงในวังก็นอนมาแล้วนะ! ไปลูบมือนางหน่อย จะได้ติดราศีจ้าวไปด้วย! ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจทำให้พวกเจ้าสอบติดจอหงวนแล้วได้เป็นสมุหนายกได้!”


 


 


พอเจ้าตัวเล็กทั้งสองได้ยินแม่พูด ก็รีบวิ่งเข้าไป พัวพันแนบชิดกับญาติผู้พี่เป็นการใหญ่ คนหนึ่งถามซ้าย คนหนึ่งถามขวา


 


 


“ฮ่องเต้มีเกล็ดเต็มตัว บนหัวมีเขาใช่ไหมท่านพี่” อาเม่าสงสัย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “พี่ไม่เห็นฮ่องเต้นะ แต่ที่อาเม่าพูดถึง มันคือมังกรนี่”


 


 


กลุ่มคนหัวเราะคิกคัก บรรยากาศจึงเป็นไปอย่างปรองดอง ต่างรู้สึกยกย่องอวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งอวิ๋นเสวียนฉั่งด้วย ทำให้เวลาพูดจากับลูกสาวคนนี้ เขามีความเกรงใจอยู่ไม่น้อย มีเพียงอนุฟางเท่านั้นที่หน้าดำ ปากยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม


 


 


เคยนอนเตียงในวังแล้วไง ไม่ได้นอนเตียงมังกรสักหน่อย คุณหนูใหญ่นี่ พอกลับมา โลกของคนทั้งบ้านก็หมุนตามนาง คล้ายลืมไปแล้วว่า ลูกสาวของตนต่างหากที่เก่งสุด คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไร จึงหันหน้าไปอีกทาง ขี้คร้านจะมอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม