เพราะรักสลักใจ 865-872

 ตอนที่ 865 อย่ากินทิ้งกินขว้าง


 


 


ทั้งวันรู้จักแต่ด่าทอคนอื่นชั่วช้าเป็นปีศาจจิ้งจอก ถูกขังอยู่ในอยู่ในห้องยังเที่ยวกระทืบเท้าโครมคราม มีที่ไหนประมุขกับยุพราชของบ้านเมืองมีกิริยาวาจาเช่นนี้


 


 


แต่ในเมื่อเรี่องนี้เป็นเรี่องที่จ้าวเซิงกับซูเซียงแอบกระทำโดยลับ นางย่อมไม่อาจสาธยายสรรเสริญเอิกเกริกได้ เพียงแต่นับวันยิ่งเห็นจักพรรดิกับรัชทายาทแล้วรำคาญลูกตา ประเดี๋ยวส่งพุทธคัมภีร์ให้รัชทายาทอีกหลายสิบเล่ม ให้เขาอ่านสงบจิตสงบใจ


 


 


จักรพรรดินั้น นางยิ่งไม่รอมชอม ข้าวของในห้องพังเสียหายก็ให้กวาดออกไป  คิดจะให้ตกแต่งเข้าไปใหม่รึ? หึ ไม่มีทาง!


 


 


ยามภัยสงครามของบ้านเมืองคับขัน แทนที่จะสิ้นเปลืองกับของพรรค์นี้ มิสู้ประหยัดเงินไว้เป็นเสบียงกองทัพดีกว่า


 


 


ดังนั้นจักรพรรดิจึงขมขื่นยิ่งนัก จากเริ่มแรกสำรับอาหารยี่สิบสี่จานทุกมื้อถูกลดลงเหลือสิบสองจาน ต่อก็มีแค่กับข้าวสองอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง บัดนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ที่ส่งเข้าไปมีเพียงข้าวต้มขาวหนึ่งชาม ซ้ำยังเป็นประเภทใสโจ๋งเห็นข้าวไม่กี่เม็ด


 


 


ใช้คำพูดของพระพันปีมาพูดก็คือ ในเมื่อมีเรี่ยวแรงขนาดนั้นยังต้องกินข้าวอะไรอีก สิ้นเปลืองอาหาร!


 


 


สำหรับพวกเสื้อผ้าอาภรณ์ หึหึ กระชากขาดก็ขาดไป อยู่ในตำหนักบรรทมใคร่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าเก่าก็ยังมีอยู่เยอะนี่ ไปหยิบมาใส่ได้ตามใจชอบ อย่างไรก็มิได้ไปพบเจอใคร


 


 


จ้าวเซิงทางนี้ตั้งแต่กลับมาก็ประกาศต่อสาธารณชนแล้วว่านับแต่นี้เขาไม่ใช่อ๋องสงครามอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นจวิ้นหม่าของเซียงหรงจวิ้นจู่  ตอนแรกสุดทุกคนยังตกตะลึงมาก ยังเคยเกลี้ยกล่อมเขา ต่อมาก็ค่อยๆยอมรับได้อย่างช้าๆ


 


 


สุดท้ายแล้วประสบเรื่องบอบช้ำจิตใจเช่นนั้นมา สองสามีภรรยาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขสบายใจก็ดีมากกว่าสิ่งใดแล้ว ส่วนเรียกคำเรียกขานนั้น จะเรียกหรือไม่เรียกทุกคนเองก็มิได้สนใจมากนัก


 


 


แม้แต่ตอนจ้าวเซิงไปหานายอำเภอเสิ่นอีกครั้ง นายอำเภอเสิ่นก็ไม่ได้เรียกเขาว่าองค์ชาย แต่เปลี่ยนมาเรียกว่าจวิ้นหม่าแทน นี่ยิ่งทำให้จ้าวเซิงให้ความสำคัญกับเขาเพิ่มขึ้น


 


 


หลังการศึกทหารทางชายแดนหยุดรบชั่วคราว หินก้อนใหญ่ในใจซูเซียงก็ร่วงลงพื้น เข้าสู่โลกกิจการโรงเตี๊ยมและสมุนไพรทันที


 


 


ซูเซียงอยากให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้ ยุ่งขึ้นอีกหน่อย แบบนี้จะได้ไม่มีเวลาไปคิดถึงลูกที่เสียไปโดยไม่ทันได้มองสักครั้ง


 


 


ทางด้านโรงเตี๊ยมย่อมได้หลี่ฮ่าวช่วยเหลือดูแลงานให้ ส่วนสมุนไพรนางก็มาจัดการด้วยตัวเอง


 


 


พระพันปีพระราชทานนาดีพันหมู่ให้หวังต้าเหนียง คงไม่อาจปล่อยให้ที่ดินเสียเปล่า หลายวันนี้ซูเซียงแปะประกาศไปทั่ว รับสมัครชาวบ้านในเขตอำเภอที่มีเวลาว่างมาทำงาน เป็นสตรีก็ไม่รังเกียจ เพียงแต่ค่าแรงต่ำกว่าพวกชายฉกรรจ์เล็กน้อย


 


 


เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ซูเซียงทำประโยชน์ให้ทั้งอำเภอไว้มากมาย พอรู้ว่าซูเซียงกำลังหาคนงาน มีบุรุษกับแม่สามีบางบ้านร้องตะโกนให้ลูกสะใภ้บ้านตัวเองรีบมาทำงาน แม้ไม่ได้เงินค่าแรงก็เป็นการช่วยเสริมแรงมิใช่หรือ


 


 


ด้วยเหตุนี้ โรงเตี๊ยมของซูเซียงรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ภายใต้การร่วมมือช่วยเหลือของหลี่ฮ่าวกิจการค่อยๆขยับขยายออกข้างนอก นางเองก็คิดค้นอาหารจานเด็ดของร้านจำนวนมาก โดยพื้นฐานแล้วอาหารแนวใหม่ทุกเดือน ย่อมดึงดูดความสนใจลูกค้า


 


 


ทางด้านนาดีที่ได้รับพระราชทาน พวกผู้ชายช่วยกันขุดดินถอนหญ้า พวกผู้หญิงก็ช่วยกันจัดระเบียบต้นและเมล็ดพันธุ์ของสมุนไพร


 


 


แม้ว่าซูเซียงจะแสดงออกอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่ไม่มีรอยยิ้มความสดใสเหมือนอย่างก่อน และทุกคืนเมื่อถึงยามราตรีเวลาสงบ นางมักจะนั่งบนก้อนหินตรงด้านนอกทอดมองท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ


 


 


ซูเซียงประสบทุกข์หนักหนา ร่างกายเดิมก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว กอรปกับเหน็ดเหนี่ยทั้งวันทั้งคืน คนในบ้านต่างก็เป็นห่วง เคยเตือนอยู่หลายครั้ง


 


 


หวังต้าเหนียงเองก็แอบลากซูเซียงเข้าในห้อง เกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ลูกสาวเอ๋ย เจ้ายุ่งง่วนทั้งวันทั้งคืนนี้ไม่ใช่เรื่องเลย อย่าลากสังขารตัวเอง เจ้ามีงานอะไรจะทำก็ให้แม่ไปทำแทนเจ้าได้ไหม?”


 


 


ซูเซียงกลับส่ายหน้า ได้ยินวาจาอบอุ่นนิ่มนวลของมารดาบ้านตน นางก็ทนไม่ไหวตาแดงร้อน สุดท้ายก็ก้มหน้าเอ่ยคำที่ควักออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ “ท่านแม่ ข้าแค่อยากทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ ไม่อยากไปคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีก ข้าอยากปลูกสมุนไพรเยอะๆ ช่วยคนให้มากขึ้น เช่นนี้จึงนับว่าเป็นการแผ่บุญกุศลให้ลูก…ท่านแม่ ท่านปล่อยให้ข้าทำเถิด ไม่อย่างนั้นหัวใจข้าไม่สงบ… ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 866 ไปหรือไม่ไปดี


 


 


หวังต้าเหนียงเดิมทีเตรียมคำมาโน้มน้าวไว้เต็มขบวนรถ แต่พอได้ยินซูเซียงเอ่ยเช่นนี้ คำพูดทั้งหมดของนางก็จุกอยู่ตรงลำคอ ทำอย่างไรก็พูดไม่ออก สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจยืดยาว “แม่เองก็สนับสนุนเจ้า ทำเรื่องเรื่องดีงามเพื่อลูกที่ถูกรังแก แต่เจ้าเองก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตน หากตัวเจ้าล้ม ก็ทำเรื่องดีงามเหล่านั้นไม่ได้แล้ว”


 


 


แม้ซูเซียงทราบว่าลูกถูกผู้วิเศษลึกลับอุ้มไป และก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นท่านหมอเตี๋ยและเสียงอวิ๋นนักพรตกำมะลอคนนั้น แต่ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ถ้าสามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ก็คงกลับมานานแล้ว ถึงไม่ราบรื่นก็น่าจะให้คนมาบอกกล่าวกันบ้าง ข่าวคราวอะไรก็ไม่มีมา กลัวแต่ว่า…


 


 


สองแม่ลูกนั่งคุยกันเงียบเชียบอยู่ภายในห้อง จ้าวเซิงที่อยู่บนหลังคาก็ย่อมได้ยินหมดแล้ว เวลานี้เขายืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูดวงดาวดารดาษกลางท้องฟ้ายามราตรี สีหน้าแววตาลุ่มลึก ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


เดิมทีมากน้อยเขาก็รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เวลานานขนาดนี้แล้วภรรยากก็ยังไม่สนใจเขา ทว่าบัดนี้หลังได้ฟังวาจาเช่นนี้ของซูเซียง นอกจากความละอายใจเข้มข้นแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปแผ่ขยายขึ้นในใจ


 


 


นับแต่นั้นมา ไม่ว่าซูเซียงอยากทำอะไร เขาก็คอยตามเคียงข้างไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวเหมือนกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ตัวหนึ่ง แน่นอนว่า นี่ย่อมเป็นเรื่องในภายหลังแล้ว


 


 


โดยรวดเร็ว สตรีที่มาทำงานยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นาค่อนข้างกว้างขว้าง ก็พันหมู่นี่นะ ย่อมต้องการคนงานไม่น้อย ซูเซียงกลัวว่าในนั้นจะมีคนแฝงตัวมาก่อกวน จึงให้พวกชิงหลานคอยลอบสังเกตการณ์


 


 


ที่เหนือความคาดหมายเลยก็คือ ดูเหมือนทุกคนล้วนขยันตั้งใจทำงานอย่างยิ่ง ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ยังออกแรงจนเหงื่อท่วมศีรษะ ซ้ำไม่สนใจจะเช็ดด้วยซ้ำ


 


 


ซูเซียงค่อยๆวางใจลง วันนี้เป็นวันกำหนดจ่ายเงินค่าแรง มีสตรีหลายคนมาเพราะบุรุษบ้านตัวเองทำงานอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้รับน้ำใจจากซูเซียง แม่สามีจึงให้พวกนางรีบมาช่วยทำงาน ฉะนั้นจึงไม่เคยคิดต้องการเงินค่าแรงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น


 


 


ได้ยินเสียงเคาะฆ้องตีกลองรวมพล ทุกคนก็รู้ว่าถึงเวลาจ่ายเงินค่าแรงแล้ว ดังนั้นพวกบุรุษจึงจัดระเบียบเสื้อผ้ารีบมาถึงสถานที่นัดหมาย แต่สตรีเหล่านั้นกลับไม่ได้ขยับตัว ก่อนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงคงทำงานไม่ด้มากเท่าไหร่ ยังจะให้เอาเงินของผู้มีพระคุณก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงมิได้ขยับตัว


 


 


ไหนจะคิดถึง เวลานี้ชุ่ยหลิ่วถือกลองทองเหลืองตีขึ้นอีกครั้ง “ท่านป้า ท่านน้า พี่สาวทุกท่านมารวมตัวกันทางนี้ จ่ายค่าแรงเจ้าคะ”


 


 


หลังทุกคนได้ยินก็สลับกันมองหน้า ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า บางคนเพราะครอบครัวยากจนอย่างแท้จริงคิดว่าได้เงินบ้างเล็กน้อยก็ยังดีจึงทยอยไปยังสถานที่ที่ชุ่ยหลิ่วบอก ทว่าก็สตรีไม่น้อยรู้สึกละอายใจ ถึงขั้นคิดจะแอบย่องหนีอย่างลับๆ


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ถูกซูเซียงคาดการณ์ไว้แล้วตั้งแต่แรก นางเคยบอกกับชุ่ยหลิ่วไว้ก่อนแล้ว ชุ่ยหลิ่วเห็นสถานกาณ์เช่นนี้ก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เคาะฆ้องแรงๆขึ้นอีกหน “อย่าชักช้าเสียเวลากันเลย คนของเราล้วนมีรายชื่อจำนวนชัดเจน ขาดไปคนหนึ่งก็ต้องเสียเวลาหา จะยุ่งยากหลายเรื่อง นี่จะลากเวลาเพาะปลูกให้เลื่อนออกไป”


 


 


ฟังคำของชุ่ยหลิ่ว สตรีแม่บ้านที่กำลังแอบย่องหนีเหล่านั้นพลันจิตใจปั่นป่วน นี่จะเดินก็ไม่ใช่ หยุดเดินก็ไม่เชิง หรือพวกนางต้องไปเอาเงินค่าแรงจริงๆ? แต่ถ้าแอบหนีไป ถึงเวลาคงสร้างความยุ่งยากให้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเพิ่มอีก


 


 


“พี่หญิงรอง ทำอย่างไรกันดี เราจะไปหรือไม่ไปดี? ”


 


 


 “นี่ นี่…”


 


 


ไปเถอะ เดี๋ยวจะเพิ่มความลำบากให้ผู้อื่น อย่าไปเลย เอาเงินค่าแรงก็รู้สึกละอายใจอีก ทุกคนไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไรดี แต่สุดท้ายภายใต้การคะยั้นคะยอของชุ่ยหลิ่วก็ไปยังสถานที่นัดหมาย เพราะเข้าใจสิ่งชุ่ยหลิ่วพูดดี ถ้าขาดไปคนหนึ่งเงินค่าแรงก็จ่ายไปไม่ได้ เสียเวลาผู้อื่น ยังทำให้งานในนาล่าช้าอีก


 


 


ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแข่งกับเวลาแล้ว จำเป็นต้องใช้โอกาสจัดการที่ดินให้เรียบร้อยก่อนหิมะตกหนักในหน้าหนาว ฤดูใบไม้ผลิจะได้หว่านเมล็ดดีๆ ถ้าเสียเวลาก็จะยุ่งยากมากแล้ว ดังนั้นแต่ละคนล้วนยืนอยู่ตรงสถานที่นัดหมายด้วยจิตใจลังเลอยู่ไม่สุข


ตอนที่ 867 หัวใจไร้ที่ยึดเหนี่ยวดวงหนึ่ง


 


 


เป็นเพราะซูเซียงเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเงินค่าแรงจึงแจกจ่ายอย่างรวดเร็ว ย่อมจ่ายให้เหล่าบุรุษก่อน แต่ละคนรับเงินกันอย่างดีอกดีใจ


 


 


ตอนนั้นซูเซียงตกลงกับพวกเขาไว้ที่วันละห้าสิบอีแปะ แต่วันนี้กลับจ่ายให้หกสิบอีแปะ ย่อมทำให้ทุกคนหน้าชื่นตาบาน


 


 


แต่ทางฝั่งสตรีนั้น ตอนจ่ายเงินค่าแรงมีหลายคนเกรงใจไม่กล้ารับ แม้รับแล้วก็ยังกล่าวขอบคุณซาบซึ้งบุญคุณหรือไม่ก็รับไปเพียงหนึ่งส่วนแล้วตั้งท่าถอยหลังกลับไป


 


 


สุดท้ายยังเป็นชุ่ยหลิ่วพูดยืนกราน เงินที่จ่ายให้ทุกคนพูดตกลงกันดีแล้ว ถ้าบ้านหนึ่งไม่รับ ทุกคนก็ต้องทิ้งไว้รั้งรออยู่ที่นี่ ดังนั้นสตรีทั้งหลายจึงไม่กล้าปฏิเสธอีก รับเงินไปอย่างว่าง่าย แต่ละคนกล่าวขอบคุณซาบซึ้งบุญคุณ สัญญาว่าต่อไปจะตั้งใจทำงานอย่างดีแน่นอน


 


 


ที่ทุกคนคิดไม่ถึงเลยก็คือ พวกเด็กๆที่มาทำงานกับพ่อแม่เหล่านั้นก็มีค่าแรงให้ทั้งหมด แม้เพียงสิบกว่าอีแปะหรือเด็กเล็กหน่อยก็ยังได้สองสามอีแปะ แต่พวกเด็กๆต่างก็ดีใจจนยิ้มตาหยีเห็นฟัน


 


 


ทั่วทุกแห่งล้วนได้ยินเสียงสตรีเอ็ดลูกน้อย “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ใครให้พวกเจ้ารับเงิน รีบเอาไปคืนเลย!”


 


 


 “ท่านอาซูเซียงให้มา ให้เราเอาไปซื้อลูกอมกิน ฮี่ๆ! ”


 


 


 “เดี๋ยวแม่ตีเจ้าเลย รีบเอาเงินไปคืน เจ้าเด็กนิสัยไม่ดี ครานั้นหากไม่ได้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง ไหนเลยจะมีชีวิตหนูน้อยอย่างเจ้า!”


 


 


 “แง ท่านอาซูเซียงบอกว่าถ้าเราไม่รับไปดีๆก็จะไม่ให้เรามาทำงานแล้ว อาเป่าอยากมาช่วยท่านอาทำงาน ไม่อยากโตแล้วเป็นบุรุษขี้เกียจเอ้อระเหยลอยชาย ท่านแม่ ท่านอาซูเซียงบอกว่าบุรุษเกียจคร้านจะไม่ได้แต่งภรรยา ท่านแม่ไม่อยากอุ้มหลานหรือขอรับ…”


 


 


วาจาเช่นนี้พูดออกมาจากปากของเด็กน้อยอายุหกเจ็ดขวบแล้วทำให้ทุกคนทั้งโกรธทั้งขำ สุดท้ายมารดาอดไม่ได้บิดหูเขาไปสองครั้งแล้วเตะไปสองที ไล่เขาให้รีบไปทำงาน มีอย่างที่ไหนรับเงินค่าแรงผู้อื่นมามากขนาดนั้นแล้วยังแอบอู้งาน!


 


 


พวกเด็กๆเดิมทีตามพ่อแม่มาทำงาน มีคนเต็มใจ ก็ย่อมมีคนไม่เต็มใจ แต่ซูเซียงดีต่อพวกเขามาก สอนพวกเขาว่าต้องทำงานถึงจะได้เงินค่าแรง สร้างทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตและคุณค่าที่ดีงามให้แก่พวกเขา


 


 


เด็กที่เคยเกรกมะเหรกเกเร ลงแม่น้ำจับปลา ไปจนถึงแอบหยิบจับสิ่งของผู้อื่นพวกนั้น บัดนี้ล้วนปรับปรุงตัว อย่างเช่นอาเป่าเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้ก็เป็นหัวโจกตัวน้อยในหมู่บ้านของพวกเขา บัดนี้ถึงกับรู้จักทำงานหาเงิน ไม่เป็นพวกขี้แพ้มีมือเสียของเปล่า อนาคตจะได้แต่งภรรยาดีๆ


 


 


ด้วยเหตุนี้เด็กๆจึงยิ่งรู้ความขึ้นทุกวัน ซูเซียงเองก็ไปช่วยสอนอยู่บ่อยครั้ง เห็นลูกแมวบ้านตัวเองเชื่อฟังขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งยังทะเล้นซุกซน แต่ก็ไม่มีท่าทางเกเรแบบนั้นอีกแล้ว คนเป็นบิดามารดาย่อมมีความสุขมาก


 


 


ทุกคนรับเงินค่าแรงแล้วก็เก็บระมัดระวังอย่างดี จากนั้นปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการลาพักร้อน คนงานส่วนหนึ่งต้องนำเงินส่งกลับบ้าน คนที่ต้องทำงานต่อก็ให้เพื่อนร่วมหมู่บ้านช่วยนำเงินกลับไปให้


 


 


คนที่ต้องทำงานเหล่านั้นซูเซียงก็ให้เวลาพักพวกเขาครึ่งชั่วยาม เพื่อให้พวกเขารีบนำเงินและสิ่งของฝากคนในหมู่บ้านช่วยนำไปให้ จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน


 


 


กำหนดให้เป็นเช่นนี้ แต่ในใจทุกคนล้วนคำนวณไว้แล้ว กอรปกับเพิ่งได้รับเงินค่าแรงจำนวนมาก ย่อมเต็มใจจะเอื่อยเฉื่อย บอกว่าครึ่งชั่วยาม แท้จริงแล้วก็เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ทุกคนปรึกษาธุระเรียบร้อยเสร็จสรรพแล้วแต่ละคนก็ถือเครื่องมือทำงานกลับมาตรงตำแหน่งของตัวเองแล้วทำงานต่อ


 


 


ซูเซียงยืนอยู่บนสนามแข่ง มองทุกคนยุ่งเต็มกำลัง ตกอยู่ในภวังค์เงียบเชียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


 “ ที่รัก…” เสียงของจ้าวเซิงแว่วมาข้างหู บนไหล่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมกันลมขนปุยตัวหนึ่ง


 


 


ซูเซียงเอียงหน้ามองเขาหนึ่งสายตา ฝืนยิ้มให้ จ้าวเซิงเองก็ไม่ได้พูดอันใดอีก สองสามีภรรยายืนอยู่ตรงนั้นพยายามปรองดองถึงที่สุด มองดูทุ่งนาที่แทบจะเรียกได้ว่าสุดลุกหูลูกตาแห่งนี้


 


 


ทุ่งนาปลายสารทต้นเหมันต์ หญ้าแห้งใบเหลือง แลดูหดหู่อย่างยากจะเลี่ยง เฉกเช่นจิตใจของซูเซียงในตอนนี้


 


 


เป็นฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว เวลาที่ควรยิ้มแย้มเบิกบานแท้ๆ ทว่าหัวใจดวงนี้ดันแช่มชื่นไม่ออก กลับกลายเป็นใบไม้ร่วงที่ล่องลอยตามสายลม หมุนเคว้งกลางสายลม ไร้ที่ยึดเหนี่ยว…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 868 ช่วยชีวิตแม่ลูกคู่หนึ่ง


 


 


 “มีคนตาย มีคนตาย กรี๊ด กรี๊ด มีคนตายแล้ว…”


 


 


 “ว๊าย มีคนตาย…”


 


 


ขณะที่สามีภรรยาทั้งสองกำลังยืนอยู่ข้างทุ่งนาอย่างเงียบสงบ ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องตกใจกลัวของสตรีหลายคน


 


 


ทุกคนทยอยกันข้ามไปตรงสถานที่เกิดเหตุ จ้าวเซิงก็ประคองซูเซียงเร่งฝีเท้าเข้าไปเช่นกัน


 


 


ในตอนที่พวกเขารีบเร่งมาถึงก็เห็นสตรีอายุสามสิบกว่าคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ข้างๆยังมีเด็กน้อยตาปรือหายใจรวยรินอีกหนึ่งคน


 


 


ตอนซูเซียงกับจ้าวเซิงรุดหน้าเข้ามา คนใจกล้าคนหนึ่งก็นำตัวเด็กน้อยอุ้มไว้ในอ้อมแขน แต่สตรีที่นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนแล้ว และไม่เห็นว่ากำลังหายใจ ทุกคนจึงไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง


 


 


ซูเซียงย่อตัวลงตรวจอาการให้สตรีคนนั้นทันที พบว่ายังมีชีวิตอยู่ “มานี่สองคน รีบส่งเข้าไปในบ้าน เอ้อร์โก่วจื่อ รีบไปตามตัวพ่อข้ากลับมา!”


 


 


 “ชุ่ยหลิ่ว รีบกลับไปต้มน้ำแกงโสม แล้วต้มน้ำร้อนสักหน่อย ต้องเร่งมือแล้ว! ไม่ๆ เคี่ยวน้ำแกงโสมไม่ทันแล้ว รีบกลับไปเอาผงโสมที่ข้าบดไว้มา เอาโสมโลหิตอันนั้น เร็วหน่อย…  ”


 


 


ซูเซียงสั่งงานพลางชักเข็มเงินที่พกติดตัวมา ฝังลงไปตามจุดชีพจรบนร่างของสตรีผู้นั้น


 


 


เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตคน มีหญิงแต่งงานแล้วสองคนผลักบุรุษบ้านตน “รีบเข้าไปช่วยจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงหามคนสิ ยังมัวยืนทำอะไรอยู่?!”


 


 


เดิมทีบุรุษสองคนนั้นกังวลการระวังตัวระหว่างเรื่องชายหญิง ไม่กล้าขยับบุ่มบ่าม  แต่เห็นภรรยาบ้านตนให้คำแล้ว แต่ละคนก็เป็นคนกลัวเมีย ไม่กล้าไม่ทำตาม รีบเข้าไปช่วยซูเซียง ยกสตรีคนนั้นหามเดิน


 


 


อย่างไรแล้วจ้าวเซิงก็เอาใจถนอมซูเซียง เคารพซูเซียง เรื่องเหล่านี้ทุกคนล้วนเห็นอยู่ฏํฐสายตา เรื่องที่ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์กระทำย่อมเป็นสิ่งถูกต้อง ซึ่งนั่นก็คือ บุรุษควรเอาใจถนอมภรรยา ไม่ว่าภรรยาพูดอะไรก็ควรว่าตามอย่างนั้น


 


 


เวลานี้อาสะใภ้ที่อยู่ข้างๆจึงค่อยเอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงรีบดูอาการเด็กเถิดเจ้าค่ะ อยู่ด้วยกันกับสตรีคนนี้ ท่านดูหน่อย ใกล้จะไม่หายใจแล้ว…”


 


 


เนื่องจากตอนที่ซูเซียงกับจ้าวเซิงเร่งเข้ามา เด็กก็ถูกอาสะใภ้อุ้มขึ้นมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันสังเกต เวลานี้ได้ยินอาสะใภ้เอ่ยเช่นนี้ ซูเซียงก็รีบขึ้นหน้าตรวจอาการให้เด็กทันที


 


 


พบว่าเด็กคนนี้ที่จริงแล้วอดยากหิวโหย ผอมหนังหุ้มกระดูก หายใจรวยรินอย่างแท้จริง จึงรีบสั่งการให้ไปต้มโจ๊กนมแพะมา “อย่าเคี่ยวให้แห้งเกิน ให้ใสหน่อย ไม่อยากนั้นเด็กจะกลืนไม่ลง”


 


 


หลังส่งคนไปบ้านแล้ว ผู้เฒ่าหวังก็รีบร้อนถือ**บยาวิ่งกลับมา เช้าตรู่วันนี้ หนุ่มชาวนาที่บ้านอยู่ไม่ไกลออกไปมาคุกเข่าอยู่นอกประตูจวนจวิ้นจู่ บอกว่ามารดาชราในบ้านป่วยไข้ หมอระแวกใกล้เคียงสี่ลี้แปดหมู่บ้านล้วนเชิญมาหมดแล้ว แต่ไร้ทางรักษาอย่างแท้จริง ได้ยินมาว่าจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงกับท่านหมอหลี่วิชาแพทย์สูงส่งผู้นั้นสนิทกัน จึงมาขอความช่วยเหลือ


 


 


นี่กลับมิใช่หมอหลี่ไม่ยินดีไปดูไข้ให้ชาวบ้านยากจน แต่ไปออกหน่วยตรวจรักษาให้หมู่บ้านห่างไกลที่อื่นสองหมู่บ้าน กลับมาไม่ทันในเวลาชั่วครู่ชั่วยาม หนุ่มคนนี้เองก็กังวลร้อนใจถึงได้มาขอร้องถึงจวนจวิ้นจู่


 


 


ซูเซียงเองก็ไปตรวจดูมาแล้ว จนกระทั่งเห็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วจึงทิ้งผู้เฒ่าหวังให้อยู่ดูแลต่อ ตอนซูเซียงให้คนไปเชิญผู้เฒ่าหวัง เขาก็หิ้ว**บยากลับมาได้ครึ่งทางแล้ว


 


 


ผู้เฒ่าหวังรับผิดชอบตรวจรักษาสตรีที่อาการหนักคนนั้นให้ซูเซียง กลัวว่าจะเกิดอะไรไม่คาดฝันจึงไปเชิญท่านปู่ที่ค่อนข้างสนิทกับหลี่ปั๋วหมิงมาช่วยดูแลด้วยกันอีกคน ส่วนซูเซียงกับหวังต้าเหนียงไปช่วยดูแลเด็ก ป้อนโจ๊กนมแพะให้เขาทีละคำเล็ก


 


 


เด็กหิวมากอย่างเห็นได้ชัด แม้เจียนตายแล้ว แต่พอได้กลิ่นนมก็ยังสูดจมูกเล็กน้อย


 


 


 “โอ้ เด็กคนนี้ยังช่วยได้ ยังช่วยได้อยู่…” อาสะใภ้ที่อุ้มเด็กคนนั้นยืนอยู่ด้านข้างตื่นตันใจจนหยดน้ำกลิ้งไหลออกมา


 


 


โถเด็กน้อยชีวิตรันทด ไยประสบทุกข์ยากถึงเพียงนี้ คิดถึงลูกสาวบ้านนาง ตอนสองสามขวบยังปืนป่ายออดอ้อนพวกนางอยู่เลย ครอบครัวนางแม้ยากจนแต่เลี้ยงดูบุตรอย่างดียิ่ง สะดุดหกล้มนิดหน่อย พวกเขาสามีภรรยายังปวดใจอยู่เป็นครึ่งวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพเช่นนี้….


ตอนที่ 869 ความไม่พอใจของพ่อบ้านชรา


 


 


ซูเซียงเห็นจมูกเล็กของเด็กขยับ ปากเล็กทำหมุบหมิบก็โล่งใจ เมื่อครู่นางกระตุ้นเข็มให้เด็กเรียบร้อยแล้ว ยังฝืนนับว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ถ้าเด็กยังไม่ดื่มโจ๊กลงไปล่ะก็นั่นคงเปล่าประโยชน์แล้ว นี่เป็นยุคโบราณถอยหลังมิใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่จะสามารถให้สารอาหารให้น้ำเกลืออะไรได้


 


 


เนื่องด้วยเด็กน้อยหิวจัด ครั้งนี้ซูเซียงไม่กล้าให้นางกินอะไรมากเกินไป หลังตักให้นางสองสามช้อนแล้วก็ไม่ได้ป้อนต่ออีก


 


 


เด็กดูเหมือนเพราะกินไม่อิ่มจึงร้องท้วงอยู่บ้าง แต่ร่างกายเล็กๆของนางกับเสียงร้องไห้เหมือนลูกแมวทำให้คนฟังทรมานใจ


 


 


ตอนพลบค่ำสตรีคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมา ผ่านการบอกเล่าเคล้าน้ำตากระท่อนกระแท่นของนางแล้วจึงรู้ว่าเป็นเพราะนางให้กำเนิดลูกสาว ภายหลังบาดเจ็บจนร่างกายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกจึงถูกบ้านสามีขับไล่ออกมา


 


 


ทีแรกนางอุ้มลูกตั้งใจจะกระโดดแม่น้ำแล้ว แต่บังเอิญได้ยินหญิงซักผ้าหลายคนพูดกันว่าเซียงหรงจวิ้นจู่ทางมณฑลชิงเหอใจดี ที่ใดมีเซียงกรงจิ้นจู่ ที่นั่นชาวบ้านก็มีทางรอด


 


 


นางคิดว่าตัวเองตายไปก็ไม่เป็นไร แต่เห็นลูกสาวตัวน้อยในอ้อมอกที่ร้องไห้แทบขาดใจ นางก็ทำใจร้ายไม่ลง จึงหอบลูกมาด้วยความหวังเพียงเส้นเดียว ต้องการขอเพียงทางรอดชีวิตทางเดียว


 


 


ผู้หญิงคนหนึ่งไม่เคยออกจากบ้านเดินทางไกล อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยอายุสองขวบกว่าคนหนึ่ง เดินทางนับร้อยลี้ ความยากลำบากนี้ไม่ต้องบอกก็รู้


 


 


ไม่ง่ายนักกว่าจะมีคนชี้ทางให้นาง บอกว่าทางนี้เป็นที่นาของครอบครัวเซียงหรงจวิ้นจู่ พอดีนางได้ยินเสียงเคาะฆ้องตีกลองทางนี้ ได้ยินเสียงคนคึกคักก็อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายอยากเข้ามาดูว่าเซียงหรงจวิ้นจู่ที่นี่หรือไม่


 


 


แต่เรี่ยวแรงในร่างกายนางถูกสูบไปหมดสิ้นแล้ว เดินได้ไม่นาน เห็นฝูงชนเสียงดังคึกคัก ทว่าขานางกลับก้าวไม่ออกแล้ว กอดลูกสาวตัวน้อยไว้แล้วล้มลงไปบนทุ่งนา


 


 


นางคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีเวลาได้ลืมตา โดยเฉพาะได้เห็นลูกน้อยบ้านตนยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังขยับปากหมุบหมิบกินอาหารได้ นางไม่รู้ว่าตัวเองมีความสุขมากเพียงใด


 


 


 “ขอบพระคุณจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง ขอบพระคุณจวิ้นหม่า ฮึก ฮือๆ…พวกท่านเป็นพระโพธิสัตว์ตัวเป็นๆจริงแท้…” สตรีคนนั้นกล่าวพลางทำท่าจะลงไปโขกศีรษะให้ซูเซียง


 


 


ชุ่ยหลิ่วรีบมาห้ามนางไว้ “อาสะใภ้ท่านนี้ ตอนนี้ร่างกายท่านอ่อนแอมาก ไม่ต้องมากพิธี ถึงเวลาเป็นลมเป็นแล้ง ยังจะลำบากจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบ้านข้า…”


 


 


สตรีคนนั้นเดิมทียังอยากพูดแย้งอะไรบางอย่าง แต่ถูกประโยคนี้ของชุ่ยหลิวขวางกลับไป กลืนน้ำลาย มองดูซูเซียง กลัวเหลือเกินว่าซูเซียงจะโกรธ แต่กลับเห็นคนแย้มยิ้มพอใจ นางพลันรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก


 


 


ด้วยเหตุนี้ สตรีนามว่าเฉิงยวนผู้นั้นจึงอาศัยอยู่ในบ้านซูเซียง ตอนแรกเริ่ม ซูเซียงแค่ให้นางช่วยทำงานจิปาถะภายในบ้าน หรือไม่ก็ไปทำงานในทุ่งนาเหมือนสตรีคนอื่นๆ


 


 


เพราะซาบซึ้งในบุญคุณซูเซียงช่วยชีวิตนาง รวมกับเดิมทีเฉิงยวนก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ทำการทำงานยิ่งขยันขันแข็ง ช่วยเหลือจัดการงานทั้งในบ้านนอกบ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเวลาว่างนิดหน่อยก็ไปช่วยงานในนา


 


 


มีหลายครั้งหลายคราวที่ซูเซียงสั่งแกมบังคับให้นางกลับไปดูแลลูก อย่างไรเด็กหญิงคนนั้นก็เพิ่งสองสามขวบ ซ้ำยังพบเจอความลำบากมาขนาดนั้น แม้อยู่ในบ้านจะเลี้ยงดูเอาใจเหมือนคุณหนูทองพันชั่งก็จริง แต่ร่างกายมักจะมีบางอย่างไม่เข้าที่นัก ย่อมไม่อาจขาดมารดาอยู่ข้างกาย


 


 


จนกระทั่งไม่นาน พ่อบ้านก็มาคุยกับนางว่าสตรีที่ชื่อเฉิงยวนคนนั้นไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปในแปลงกวาโหลว[1] ยืนกรานว่าต้องรออีกสองสามวันถึงจะเก็บได้


 


 


ซูเซียงเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรจึงโบกมือกล่าวกับพ่อบ้านคนนั้น “ในเมื่อทุกคนออกความเห็น เช่นนั้นก็รออีกสองสามวันเถอะ…”


 


 


สำหรับเรื่องนี้ซูเซียงกลับมิได้รับมาใส่ใจ จากนั้นไม่นานเฉิงยวนกับพ่อบ้านชราถึงกับทะเลาะกันขึ้นมา


 


 


 “ผู้หญิงคนนี้นี่ ผู้หญิงคนนี้นี่ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปหาจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง…” พ่อบ้านชราเดือดดาลอย่างแท้จริง ตั้งแต่สตรีชื่อเฉิงยวนนี่มาอยู่ ก็เที่ยวเจ้ากี้เจ้าการ แม้แต่ในจวนฆ่าไก่ล้มแพะตัวเดียวนางก็เป็นอันต้องได้เอาตัวเองเข้ามาสอดปากสักหน่อย


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กวาโหลว (瓜篓) หรือกวยลู้ เป็นพืชตระกูลแตง (Cucurbitaceae) มีสรรพคุณละลายเสมหะ ขับร้อน หล่อลื่นลำไส้ ช่วยระบาย รสชาติหวานปนขมเล็กน้อย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 870 ความเป็นมาของเฉิงยวน


 


 


ทุกครั้งที่คุยที่ทะเลาะกับนาง ผู้อื่นก็จะมีเหตุผลมาเป็นกองใหญ่ บอกว่าจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงช่วยชีวิตนางไว้ จวิ้นจู่เหนียงบอกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นครอบครัวของนางแล้ว เรื่องในบ้านตัวเองนางจะไม่สนใจจัดการได้หรือ?


 


 


ตอนซูเซียงเข้ามาก็ทันได้ยินเฉิงยวนกำลังพูดไม่รู้เรื่องลงรอยกันอยู่ตรงนั้น “ก็ข้าบอกว่าต้องตากให้แห้งอีกหน่อย ตากอีกหน่อย ท่านก็ไม่ฟัง ถึงเวลาเก็บไว้นานเกิดขึ้นราขึ้นมา นั่นก็เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า[1]น่ะสิ…”


 


 


 “นางหญิงปากร้าย เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าอะไรกัน ข้ามิได้ทำร้ายคนเสียหน่อย ไยถึงเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าแล้ว?!” พ่อบ้านอาวุโสตอกกลับอย่างไม่พอใจ


 


 


 “สตรีผู้น้อยมิได้บอกว่าท่านเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า เพียงแค่บอกว่าสมุนไพรนี้ต้องตากแดดอีกหน่อย น้ำในนี้ยังไม่แห้งดี รสยาก็ไม่ถูกต้อง ถึงเวลาเก็บไว้จะขึ้นรา ท่านเอาของขึ้นราให้คนป่วยกินนั่นมิใช่เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้าหรอกหรือ? โอย ทำไมข้าคุยกับท่านไม่รู้เรื่องเลย ข้ามิได้ด่าท่านเสียหน่อย ใจเย็นๆเถิด…”


 


 


“ใจเย็น? ข้าไม่เย็นบ้าเย็นบออะไรทั้งนั้น ข้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนเก่าแก่ที่จวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมา แต่ตลอดชีวิตนี้ข้าเป็นคนขยันตั้งใจ รับผิดชอบในหน้าที่ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรม เจ้าสตรีผู้นี้เปิดปากปิดปากก็เอาแต่พูดว่าเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า ข้ารับข้อกล่าวหานี้ไม่ได้! วันนี้เจ้าต้องพูดกับข้าให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นก็ให้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงตัดสินความ…” พ่อบ้านชราผู้สุภาพอ่อนโยนเสมอมาโมโหแทบแย่แล้ว


 


 


 “โอ๊ย โอ๊ย..” เฉิงยวนกุมขมับโอดครวญ “เรื่องเล็กน้อยขนไก่เปลือกกระเทียมเช่นนี้ไยต้องไปลำบากรบกวนจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง จวิ้นจู่เหนียงเนียงนางอารมณ์ไม่สู้ดีอยู่ท่านไม่รู้หรือ?”


 


 


 “เฮอะ จวินจู่เหนียงเนี่ยงอารมณ์ไม่ดี แล้วเจ้าจะมาวางท่าดูหมิ่นชื่อเสียงข้าได้หรือ? ข้าเป็นคนที่ขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าประตูผีแล้ว เจ้ายังกล้าใส่ร้ายว่าข้าเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า นี่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไรเล่า… ”


 


 


ตอนซูเซียงเข้ามา ก็ได้ยินคนทั้งสองกำลังทะเลาะกันอึกทึกอยู่ตรงนั้น พ่อบ้านชราเดือดดาลกระทืบเท้า ส่วนเฉิงยวนกลับหงุดหงิดจนปัญญา


 


 


 “พอแล้ว อย่าทะเลาะกันแล้ว รอบบ้านห้าลี้ล้วนได้ยินเสียงของพวกท่านหมดแล้ว บอกมาสิ ทะเลาะเรื่องอะไรกัน?” ซูเซียงเดินเข้าไป เอ่ยปากพูดไม่หนักไม่เบา


 


 


อันที่จริงนางยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว สองคนทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แต่คนทั้งสองก็ทะเลาะกันวนเวียนอยู่ที่เรื่องเห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า แม้นางได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยกระจ่างนัก ยังอยากฟังคนทั้งสองพูดสักหน่อย ถ้าใครมีจิตใจคิดคดนางเองก็ไม่อาจเก็บไว้ แม้เป็นคนที่มารดาส่งมา นั่นก็ไม่ละเว้น


 


 


ผลคือท่ามกลางเสียงถกเถียงของคนทั้งสองอื้ออึงในหูสองข้างของนาง ในที่สุดก็จับต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวได้กระจ่างชัดแล้ว


 


 


ที่แท้ทะเลาะกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็เพราะทั้งสองคนล้วนหวังดีต่อครอบครัวตัวเอง พ่อบ้านชรารู้สึกว่าสมุนไพรตากได้ที่แล้วจึงรีบจัดเก็บจะได้ตากของรอบใหม่ ส่วนเฉิงยวนกลับบอกว่าสมุนไพรนี้ยังแห้งไม่สนิท โดยเฉพาะรากป่านหลาน มีรสชาติไม่ถูกต้อง


 


 


พ่อบ้านชราไม่เข้าใจ สมุนไพรตากอยู่ดีๆไยจะรสชาติไม่ถูกต้อง? นี่มิใช่กำลังบอกว่าเขาปลอมปนของเดิมนี้หรอกหรือ? หม้อดำนี่เขาไม่อาจแบกรับได้!


 


 


มิน่าเล่า ลงเอยที่สองคนทะเลาะกันขึ้นมา


 


 


ซูเซียงเองก็กุมหน้าผากค่อนข้างจะปวดหัว กล่าวกับจ้าวเซิงที่อยู่ข้างๆ “ไปเถอะ เราไปดูรากป่านหลานนั่นด้วยกันหน่อย”


 


 


สองสามีภรรยาไปยังบริเวณที่พ่อบ้านชราต้องการจะเก็บแต่เฉิงยวนไม่ยอมให้เก็บ ซูเซียงตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงก็ยังมีน้ำอยู่นิดหน่อยยังต้องรอให้ระเหย ตากแห้งต่ออีกวันประสิทธิภาพก็ยิ่งดีขึ้นและไม่ขึ้นราง่าย


 


 


ซูเซียงค่อนข้างสงสัย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้ที่แม้แต่ตัวนางเองถ้าไม่ใส่ใจก็อาจยังละเลยได้ แต่เฉิงยวนเป็นหญิงชนบทคนหนึ่งทำไมถึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้?


 


 


เห็นซูเซียงสงสัยในตัวนางเล็กน้อย เฉิงยวนก็รีบคุกเข่าลงพื้นดังปึง โขกศีรษะสองครั้งแล้วกล่าวขึ้นว่า “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงอย่าเข้าใจผิด อย่าเข้าใจผิดนะเจ้าคะ สตรีผู้น้อยเคยเป็นเด็กรับใช้ข้างกายคุณหนูตระกูลแพทย์ ต่อมาคุณหนูเมตตาให้ข้ากลับบ้านออกเรือน แต่ไหนจะรู้ ไหนจะรู้…”


 


 


เฉิงยวนพูดไปพูดมาก็เริ่มปาดน้ำตา ถ้ารู้ก่อนว่าคนที่แต่งด้วยจะเป็นสิ่งของใจคอโหดเ**้ยม ตอนนั้นนางน่าจะอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายคุณหนู เข้าเมืองหลวงด้วยกันกับคุณหนู


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เห็นชีวิตคนเป็นต้นหญ้า หมายถึงไม่เห็นคุณค่าคน เทียบได้กับสำนวนไทย เห็นคนเป็นผักปลา


ตอนที่ 871 ตรวจสอบคนมาใหม่


 


 


แม้ไม่อาจเพลิดพลินพรั่งพร้อมเกียรติยศเงินทอง แต่อย่างน้อยที่สุดคุณหนูก็ดีต่อนาง อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดชีวิตนี้กินอยู่ไม่อดยาก ตอนนั้นคุณหนูยังเคยบอกว่า ถ้านางยินดี ยังสามารถเป็นนางต้นห้องของคุณหนูได้ เป็นพี่สาวน้องสาวช่วยดูแลซึ่งกันและกันตลอดชีวิต ทั้งหมดต้องโทษที่นางเลอะเลือนเหมือนกินน้ำมันหมูอุดตันหัวใจ เห็นผู้ชายคนนั้นดีกว่า


 


 


ซูเซียงมองประเมินเฉิงยวนสักพัก หลายปีมานี้ซูเซียงเองก็กินความลำบากมาไม่น้อย เห็นคนมาก็ไม่หน่อย กอรปกับสายตาจริงใจของเฉิงยวน แป๊บเดียวก็พอมองออกว่านางไม่ใช่คนประเภทเจ้าเล่ห์เพทุบาย


 


 


 ซูเซียงถอนหายใจ “เจ้าลุกขึ้นเถิด เรื่องแบบนี้เจ้าควรบอกข้าให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ในเมื่อมีพรสวรรค์ดีถึงเพียงนี้เราก็ไม่อาจฝังกลบไว้ ไว้เดี๋ยวข้าจะเชิญอาจารย์มาช่วยชี้แนะสอนวิชาให้เจ้าดีๆสักเที่ยว


 


 


เฉิงหยวนไหนเลยจะยอม รู้สึกว่าตัวเองหอบลูกสาวตัวน้อยมาขออาศัยจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงก็โชคดีใหญ่หลวงแล้ว ไหนเลยยังจะรบกวนจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเชิญอาจารย์ให้นางอีก นี่มิใช่กำลังลดอายุขัย[1]หรอกหรือ?


 


 


นางรีบบอกปัด “ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ขอบพระคุณจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง สตรีผู้น้อยได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ของท่าน ขอข้าวประทังชีวิตเลี้ยงดูลูกสาวก็นับเป็นโชคดีใหญ่หลวงแล้ว นี่รับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ…”


 


 


ซูเซียงพยุงนางขึ้นมา กล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยนว่ากิจการสมุนไพรของนางอย่างไรก็ต้องทำการใหญ่โตอยู่แล้ว ถึงเวลาเรื่องจำพวกรับส่งเมล็ดพันธุ์สมุนไพรคงไม่อาจมาจัดการได้เองทุกเรื่อง  อยากได้คนเป็นงานสักคนมาช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างกาย


 


 


เฉิงยวนคิดอยู่นาน รู้สึกว่าที่ซูเซียงพูดมาก็มีเหตุผล ตนได้บุญคุณผู้อื่นช่วยชีวิตไว้ ซ้ำยังเลี้ยงดูแม่ลูกสองคน บุญคุณครั้งนี้ต้องตอบแทน ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง นางก็ยินยอมอุทิศชีวิต ดังนั้นจึงตอบตกลง


 


 


แม้ซูเซียงไม่ค่อยปลื้มกับความดื้อรั้นหัวชนฝาของพ่อบ่านชรา แต่ผู้อื่นก็เจตนาดี รวมถึงเป็นคนที่ทางมารดาส่งมา ย่อมต้องไว้หน้าให้สามส่วน


 


 


ดังนั้นซูเซียงจึงยืนตรงหน้าพ่อบ้านชรา “ท่านลุงต้าหนิว ท่านลุกขึ้นเถิด เราตกลงกันดีแล้ว ในบ้านไม่ยึดติดกฎเกณฑ์พวกนี้ เรื่องในวันนี้ก็ไม่นับว่าเป็นความผิดของท่าน มิต้องใส่ใจ ต่อไปควรเป็นเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด”


 


 


ทีแรกพ่อบ้านชรานึกว่าซูเซียงจะโกรธเขา ก็เห็นซูเซียงดีต่อเฉิงยวนเสียขนาดนั้น ทั้งจะเชิญอาจารย์ให้ ทั้งพร่ำสอนกวดขัน มากน้อยก็ยังน้อยใจอยู่บ้าง คิดว่าเรื่องที่ตนทำคงไม่ดีต่อทุกคน…


 


 


คิดไม่ถึงซูเซียงกลับทำตรงกันข้ามเข้ามาปลอบเขา ทำให้พ่อบ้านชราเบาใจลงไม่น้อย กอรปกับเฉิงยวนเองก็รู้ตัวว่าตนเป็นอนุชนกระตุ้นโทสะผู้อาวุโสนั้นไม่ถูกต้อง จึงรีบขอโทษขออภัย บัดนี้พ่อบ้านชราจึงอารมณ์ดีแล้ว


 


 


โดยรวดเร็วช่วงเวลาหว่านเมล็ดพันธุ์ฤดูใบผลิของปีใหม่ก็มาถึง ซูเซียงเตรียมเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าสมุนไพรไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นแล้ว สมุนไพรบางอย่างที่ต้องเพาะเลี้ยงต้นอ่อน ซูเซียงก็ใช้โรงเรือนเพาะเอาไว้ก่อนนานแล้ว แต่ละต้นเจริญเติบโตแข็งแรง


 


 


และในช่วงเวลานี้เอง นางก็ร่วมมือกับหลี่ปั๋วหมิงเปิดสำนักศึกษาให้ความรู้แห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งสอนหนังสือเด็กๆให้อ่านออกเขียนได้ และอีกด้านหนึ่งก็รับศิษย์สอนวิชาแพทย์และเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ


 


 


เรื่องนี้อันที่จริงมิใช่ซูเซียงเป็นผู้คิดขึ้นก่อน แต่เป็นเฉิงยวนเสนอกับนาง กล่าวว่าในเมื่อภายในบ้านขาดแคลนคนเช่นนี้ มิสู้ตัวเองจัดตั้งสำนักศึกษาฝึกอบรมคน อย่างไรก็เป็นคนที่ตัวเองไว้ใจได้ ใช้งานก็สบายใจขึ้นมาก


 


 


ที่จริงตอนแรกที่มอบงานสำคัญให้กับเฉิงยวน ในใจซูเซียงมากน้อยก็ยังหวั่นๆอยู่บ้าง ซ้ำยังเคยหารือกับจ้าวเซิง


 


 


 


 


คำพูดดั้งเดิมของจ้าวเซิงในตอนนั้นคือ “ก่อนอื่นอย่างเพิ่งส่งมอบเรื่องที่เป็นความลับให้นาง ดูๆไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


ซูเซียงเองก็คิดเช่นนี้ สุดท้ายแล้วกาลเวลาพิสูจน์คน ประโยคนี้มีมาแต่โบราณย่อมต้องมีเหตุผลมิใช่หรือ?


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าเฉิงยวนจะเสนอความคิดเช่นนี้กับนาง บอกว่าต่อไปในบ้านให้มีคนที่มีความสามารถด้านการบริหารจัดการมากหน่อย ไม่ว่าจะช่วยเหลือคนก็ดี เปิดโรงหมอขายยาก็ดี หรือขยายกิจการไปทั่วแคว้นก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อราษฎร


 


 


ตอนนั้นซูเซียงยังถามนางว่า “ถึงเวลามีคนมากความสามารถเพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าตำแหน่งของเจ้าอาจจะรักษาไว้ไม่อยู่?”


 


 


 


 


——


 


 


[1] มีความเชื่อว่าถ้าได้รับความโปรดปรานมากเกินไปหรือโชคดีมากเกินไปอายุขัยก็จะลดลง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 872 ไยเจ้าคิดอยู่แค่นี้


 


 


หลังเฉิงยวนฟังจบก็อึ้งก่อนเล็กน้อย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “ได้รับความกรุณาจากจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงเห็นความสำคัญให้ข้าดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้ แต่ว่ากันแล้ว ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง รวมถึงยังต้องเลี้ยงดูเด็กหญิง แท้จริงแล้วกำลังมีจำกัด หากภายหลังมีตัวแทนทำงานได้ดีกว่านั่นย่อมดีที่สุด ข้าก็ติดตามข้างกายจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง คอยยกน้ำยกชา หยิบจัดเสื้อผ้าให้ท่าน สบายใจกว่าตั้งเยอะมิใช่หรือ ”


 


 


ซูเซียงถูกนางขบขันใส่ก็ทำเสียงดุ “เจ้านี่นะ ไยคิดอยู่แค่นี้! ผู้อื่นเขาโลภทรัพย์โลภสิน เจ้าไม่อยากก้าวหน้ากับเขาหน่อยหรือ?”


 


 


คิดไม่ถึงว่าสีหน้าของของเฉิงยวนกลับเข้มลง แล้วยิ้มกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “คนเรานี้ ต้องเข้าใจรู้จักพอ โชควาสนาที่เทพสวรรค์มอบให้เรานั้นกำหนดมาชัดเจน ถูกเราใช้จนหมดก็ไร้สิ้นแล้ว…”


 


 


วาจาเหล่านี้ของเฉิงยวนย่อมเข้าหูของซูเซียงและจ้าวเซิง ตอนกลางคืนสองสามีภรรยาก็หารือกันถึงเรื่องนี้รอบหนึ่ง


 


 


คราแรกจ้าวเซิงเองไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะบุ่มบ่ามใช้งานเฉิงยวนเช่นนี้ แต่หลังผ่านเรื่องคราวนี้ความคิดของจ้าวเซิงก็คือ หลังจากนี้อะไรที่นางทำได้ก็มอบหมายให้นางทำไปเถิด


 


 


ไม่ว่าจะในตัวเมืองในอำเภอ หรือกระทั่งในหมู่บ้านใหญ่ๆก็ล้วนมีสำนักศึกษา แต่การสอนอบรมนั้นล้วนเป็นสี่ตำราห้าคัมภีร์[1] แต่สำนักศึกษาที่เปิดสอนวิชาแพทย์เช่นของพวกซูเซียงนี้สร้างเป็นที่แรกในประวัติการณ์


 


 


ถ้าพูดถึงการรับสมัครผู้ศึกษา นั่นก็หาง่ายทีเดียว เด็กในบ้านสามีภรรยาที่มาทำงานเหล่านั้นก็มีมิใช่น้อย บางคนช่วยทำงานในทุ่งนาน่ารักน่าเชื่อฟังมากทีเดียว เด็กบางคนก็ช่างทะเล้นซุกซนอย่างแท้จริง


 


 


การจัดตั้งสำนักศึกษาเดิมทีก็เป็นเรื่องดีงามเรื่องหนึ่ง รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเด็กซนกลุ่มใหญ่นี้ได้ ในทุ่งนาเองก็เงียบสงบลงไม่น้อย


 


 


ความคิดในตอนแรกของจ้าวเซิงคือ อย่างไรในบ้านก็มีเงิน ให้เด็กๆเหล่านี้ร่ำเรียนโดยไม่ต้องเสียเงินแล้วกัน เห็นว่าคนไหนมีแววก็ค่อยอบรมเลี้ยงดูเพิ่มมากขึ้นหน่อย 


 


 


แต่ซูเซียงกลับรู้สึกว่าการทำบุญด้วยข้าวก็สร้างแค้นด้วยข้าว ตัวนางเองไม่อยากเป็นเจ้าหนี้ทุกคน แม้เงินทองในบ้านนางมีมาก ยินดีจะหยิบออกมาทำเรื่องการกุศล แต่ก็ไม่อาจเอามาใช้ให้ท้ายจนเด็กสร้างกองทัพคนโตแต่ตัวที่ช่างแม่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องเอาใจทำดีด้วย ทัศนคติไม่ดีแบบนี้ห้ามเอามาใช้เลี้ยงเด็กเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้มีความรู้มากก็เปล่าประโยชน์!


 


 


อย่าว่าแต่ค่าเล่าเรียนเลย แม้แต่เครื่องเขียนให้ลูกใช้ก็ยังซื้อไม่ไหว อีกทั้งเด็กบางคนช่วยทำงานแล้วอย่างไรก็ยังได้เงินเล็กน้อยแค่สองสามอีแปะเท่านั้น


 


 


เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปวดสมองบางอย่าง ซูเซียงจึงประกาศใช้นโยบายสองข้อ


 


 


ข้อแรกคือ ผู้เข้าเรียนเป็นเด็กอายุหกปีถึงสิบสองปี จ่ายแค่ค่าเครื่องเขียนเดือนละห้าสิบเหรียญทองแดง อันที่จริงก็ทำไปอย่างนั้น ทุกคนล้วนอยู่แล้วว่า แค่ราคาแผ่นกระดาษก็มิใช่แค่ห้าสิบเหรียญทองแดงแล้ว ข้อสอง แบ่งเด็กห้องละห้าสิบคน ถ้าสอบได้ห้าอันดับแรกก็จะได้รับทุนการศึกษา และหากผลคะแนนอยู่ลำดับต้นๆของโรงเรียนทุนการศึกษาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นมากกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน


 


 


แม้ในนี้มีหลายครอบครัวทีเดียวที่ยังไม่เข้าใจ คิดว่าบรรพบุรุษล้วนเท้าย่ำโคลน ไม่รู้หนังสือก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงแก่เฒ่า ไยต้องจ่ายเงินร่ำเรียนหนังสือ?


 


 


ต่อมาได้คนในบ้านเกลี้ยกล่อมว่านี่เป็นประสงค์ของจวิ้นจู่เหนี่ยงเนี่ยง นอกจากนี้ค่าเล่าเรียนก็ไม่แพง ให้ลูกไปเรียนหนังสือหน่อยก็ดี แม้นอนาคตมิได้มีความสามารถใหญ่โตอะไร ดีเลวอย่างไรพอออกนอกบ้านไปอ่านหนังสือเห็นโฉนดก็ไม่ถูกคนเขาหลอก เรียนวิชาแพทย์ไว้บ้าง ในบ้านเกิดมีคนเจ็บป่วยเล็กๆน้อย ก็สามารถช่วยดูแลให้ได้มิใช่หรือ


 


 


อีกทั้งระบบมอบทุนการศึกษาของซูเซียงนี้ แม้โอกาสที่เด็กเป็นพันคนจะสามารถเอาที่หนึ่งที่สองมาได้จะมีน้อยมาก ทุกคนเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มิใช่กล่าวว่าห้องละห้าสิบคน ห้าอันดับแรกของแต่ละห้อง ล้วนมีทุนการศึกษาให้หรอกรึ? อย่างน้อยนั่นก็สิบกว่าตำลึงเงินเชียวล่ะ


 


 


ดังนั้นทุกคนต่างให้การตอบรับสำนักศึกษาวิชาแพทย์สมุนไพรที่ซูเซียงเปิดอย่างมาก หลังเปิดสำนักสอนได้สองเดือนกว่าๆยังมีปราชญ์ชาวบ้านจำนวนมากมาขอคำแนะนำ/ขอเรียน ถึงขั้นทิ้งลูกศิษย์ที่มีความสามารถของตัวเองไว้หรือไม่ก็ลงสนามเข้าร่วมการเรียนการสอนด้วยตัวเอง อีกทั้งล้วนเป็นอาสาสมัครสอนแบบไม่เอาเงิน สำคัญคือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับทุกคน


 


 


เดิมทีชื่อเสียงของซูเซียงกับหลี่ปั๋วหมิงก็ดีมากอยู่แล้ว หลี่ปั๋วหมิงเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ในวงการแพทย์คนหนึ่ง บัดนี้ไปมาหาสู่กับปราชญ์ชาวบ้านต่างๆเพิ่มอีก บ้านที่ยังลังเลอยู่เหล่านั้นก็ส่งลูกเข้ามาเรียนทันที


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] สี่ตำราห้าคัมภีร์ (四书五经) ตำราทั้งสี่เล่ม ประกอบด้วย 1. ตำราต้าเสวีย大学 (อุดมศึกษา มหาบุรุษ) 2. ตำราจงยง中庸 (ทางสายกลาง) 3.ตำราหลุนอี่ว์ 论语 (ตำราบันทึกคำสอนระหว่างขงจื่อกับศิษย์) 4.ตำราเมิ่งจื่อ 孟子 (ตำราบันทึกคำสอนระหวางเมิ่งจื่อกับศิษย์) ส่วนคัมภีร์ทั้งห้า ประกอบด้วย 1.คัมภีร์อี้จิง (易经) เกี่ยวกับโหราศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ 2.คัมภีร์ซือจิง (诗经) เกี่ยวกับลำนำบทกวี 3. ซูจิง (书经) เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ 4.คัมภีร์หลี่จี้ (礼记) เกี่ยวกับจารีตประเพณี 5.คัมภีร์ชุนชิว (春秋) บันทึกพงศาวดาร เหตุการณ์สำคัญ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม