ชายาเคียงหทัย 86.1-87.3

ตอนที่ 86-1 จดหมายลับจากอวิ๋นโจว

 

           ณ เมืองหลวง


 


 


           “ท่านอ๋อง จดหมายลับจากอวิ๋นโจวพ่ะย่ะค่ะ!” ในห้องหนังสือ หัวหน้าพ่อบ้านม่อเร่งฝีเท้าเดินนำจดหมายที่ถูกปิดผนึกด้วยรูปเปลวไฟสีดำเข้ามา


 


 


ม่อซิวเหยาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมองทันที เมื่อรับจดหมายจากมือหัวหน้าพ่อบ้านม่อแล้วก็รีบดึงออกอ่านอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลงอ่านด้วยสีหน้าที่ดูหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศภายในห้องจึงพลอยอึดอัดขึ้นตาม


 


 


หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง”


 


 


ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงอย่างอึ้งๆ เขาขยำจดหมายในมือโดยไม่รู้ตัว ก่อนค่อยๆ ปิดตาข่มอารมณ์โกรธในใจลง แล้วม่อซิวเหยาจึงได้กางจดหมายออกในมือออกอีกครั้งแล้วพับลงให้เรียบร้อย แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เรียกเฟิ่งจือเหยามาที อีกเรื่อง…เชิญท่านเสิ่นมาด้วย แล้วไปเตรียมตัวที อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าวัง”


 


 


หัวหน้าพ่อบ้านม่อขมวดคิ้ว ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับพระชายา ท่านอ๋องก็มิได้เข้าวังอีกเลย ดูท่าว่าข่าวที่ส่งมาจากทางอวิ๋นโจวคงส่งมาแจ้งว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นเป็นแน่ ถึงแม้จะยังดูกังวลใจไม่น้อย แต่นั่นเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงได้แต่รับคำ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ผ่านไปไม่นาน เฟิ่งจือเหยาและเสิ่นหยางก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องหนังสือ เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องมีอันใดจะสั่งการหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยายื่นจดหมายที่มีรอยยับไปให้เขา แล้วพูดเสียงขรึมว่า “เจ้าลองอ่านดูสิ”


 


 


คิ้วคมของเฟิ่งจือเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย เขารู้จักม่อซิวเหยาดีจึงย่อมรู้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเขาในยามนี้มีความหมายใดแฝงอยู่ จึงมิได้ถามอันใดให้มากความ เขารับจดหมายมาแล้วไปหาที่นั่งนั่งลงอ่าน “มาจากอวิ๋นโจวหรือ ลายมือของท่านชิงอวิ๋นมิใช่หรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาจึงดูหนักใจตามไปด้วย เดิมทีพวกเขาหวังเพียงว่าจะมีคนในตระกูลสวีที่มีความรู้พอสามารถแปลความหมายสิ่งที่เยี่ยหลีส่งกลับมาให้ได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเดือดร้อนไปถึงท่านชิงอวิ๋น เรื่องที่ทำให้ท่านผู้อาวุโสท่านนี้สนใจได้ย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ เฟิ่งจือเหยานั่งลงอ่านจดหมาย


 


 


เสิ่นหยางหันมองม่อซิวเหยาด้วยความสงสัยพร้อมเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือ ท่านไม่สบายตรงใดหรือเปล่า” ตัวเสิ่นหยางนั้นเป็นหมอ เขาจึงมิค่อยสนใจเรื่องเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เดิมทีอีกไม่กี่วันท่านเสิ่นก็จะออกเดินทางไปซีหลิงแล้ว เพียงแต่ยามนี้เกรงว่าคงต้องขอให้เลื่อนการเดินทางออกไปก่อน”


 


 


           เสิ่นหยางขมวดคิ้ว “แผนของท่านอ๋องมีการเปลี่ยนแปลงหรือ”


 


 


ม่อซวิเหยาถอนหายใจ “ไม่ทันการณ์แล้ว ท่านเสิ่น ข้าจะไปหนานเจียง”


 


 


           “อันใดนะ!” เสิ่นหยางร้องถามเสียงดัง แม้แต่เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่อีกด้านก็พลอยอึ้งไปด้วย เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ


 


 


เสิ่นหยางไม่เปิดโอกาสให้ม่อซิวเหยาได้พูดอธิบาย เขาพูดกับม่อซวิเหยาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ท่านอ๋อง ท่านกำลังล้อเล่นหรืออย่างไร ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายท่านจะดีกว่าช่วงฤดูหนาวมาก แต่ท่านอย่าลืมว่าเมื่อเทียบกับฤดูหนาวเท่านั้น! อากาศทางหนานเจียงทั้งชื่นและมีฝนมาก ไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของท่าน อีกอย่าง…ตัวท่านเองก็รู้ เมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว เราไม่สามารถควบคุมพิษเย็นในตัวท่านได้ ถึงแม้จะหาวิธีกดมันลงไว้ได้ แต่ร่างกายของท่านในตอนนี้มีแต่จะแย่ลง หากเสี่ยงเดินทางไปที่อื่น เราอาจควบคุมพิษเย็นในร่างกายท่านไม่ได้อีกครั้ง!”


 


 


เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจนัก “อากาศทางภาคใต้ก็อบอุ่นดี มิใช่ว่าจะเหมาะกับร่างกายของท่านอ๋องมากกว่าหรือ”


 


 


เสิ่นหยางได้แต่กลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเป็นเช่นนั้นหลายปีมานี้พวกเราจะทนทรมานกันทำไม ให้ท่านอ๋องไปพักรักษาตัวที่ภาคใต้ก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ”


 


 


           “ท่านเสิ่น” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว มองเสิ่นหยางด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมพูดเสียงขรึมว่า “ข้าจำเป็นต้องไป” น้ำเสียงที่กดต่ำและแน่วแน่นั้น แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนใจ


 


 


           “เหตุผล!” เสิ่นหยางพูดด้วยความโกรธ “ท่านอ๋องโปรดให้เหตุผลว่าเหตุใดท่านจึงไม่เห็นแก่ชีวิตของตนเอง! ตัวข้าเป็นหมอ อย่างน้อยข้าควรมีสิทธิ์รู้ว่าเหตุใดคนไข้ของข้าจึงจะพาตนเองไปตาย”


 


 


           ม่อซิวเหยาถอนหายใจ เขาให้ความเคารพผู้อาวุโสที่หลายปีมานี้คอยลากเขาขึ้นมาจากนรกครั้งแล้วครั้งเล่าท่านนี้มาก น่าเสียดายก็เพียงเขาไม่อาจไม่ขัดความตั้งใจดีของเขาได้ “นั่นเพราะ…หากข้าไม่ไป อีกหน่อยพวกเราคงได้แต่ต้องตายเพื่อชดเชยความผิด”


 


 


เสิ่นหยางอึ้งไป เรื่องที่สามารถทำให้ม่อซิวเหยาพูดเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมมิใช่เรื่องที่ตนสามารถขัดขวางได้ หรือบางทีตัวเขาอาจจะขัดขวางไม่ได้แต่แรกแล้วก็เป็นได้ เสิ่นหยางดูเหมือนจะแก่ลงไปทันทีสิบปี พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้ท่านจะไปถึงหนานเจียง แต่ด้วยร่างการของท่านในตอนนี้ก็ไม่มีทางทำอันใดได้” ร่างกายที่ถูกพิษเย็นนั้น อ่อนไหวกับสภาพอากาศด้านนอกที่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ภาคเหนืออากาศค่อนข้างแห้ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ร่างกายของม่อซิวเหยาจะอ่อนแออย่างมากและจะเริ่มเจ็บปวดตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าฤดูฝน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางใต้ที่มีฝนมาก หากม่อซิวเหยาเดินทางไป สภาพร่างกายเขาคงมิได้ดีไปกว่าช่วยฤดูหนาวสักเท่าไร


 


 


           ม่อซิวเหยาหลุบตาลง “ข้ารู้ว่าท่านมีวิธี ท่านเสิ่น ข้าไม่สามารถไปหนานเจียงด้วยสภาพเช่นนี้ได้ ข้าจะต้องยืนให้ได้ และไปปรากฏตัวยังหนานเจียงด้วยสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงดี ท่านเข้าใจหรือไม่”


 


 


           “ท่านบ้าไปแล้ว!” เสิ่นหยางร้องเสียงหลง


 


 


เฟิ่งจือเหยาเองก็ถลึงตัวลุกขึ้นเช่นกัน “ท่านอ๋อง เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น พวกเราออกเดินทางไปหนานเจียงก่อน แล้วถึงเวลา…ถึงเวลาค่อยว่ากันดีหรือไม่”


 


 


           ม่อซิวเหยามองหน้าเขาด้วยความนิ่งสงบ แล้วพูดว่า “เจ้าน่าจะรู้ หากข้าไปหนานเจียงไม่ได้ แล้วเรื่องเกิดไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ก็คงสายไปเสียแล้ว”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาก้มหน้าลง กำจดหมายในมือแน่นอย่างพูดไม่ออก


 


 


           เสิ่นหยางส่งเสียงเหอะเบาๆ “ข้าไม่สนใจว่าเรื่องจะไปถึงขั้นใดแล้ว ไม่มีทางก็คือไม่มีทาง! ข้าเป็นหมอ มิใช่ฆาตกร ข้าไม่มีทางให้ท่านทำเช่นนั้นเป็นแน่!”


 


 


ม่อซิวเหยาไม่สนใจ พูดกับเฟิ่งจือเหยาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปเตรียมตัวเถิด ข้าจะไปเข้าวังสักหน่อย”


 


 


เฟิ่งจือเหยาหันมองหน้าเขาอยู่พักใหญ่ โดยไม่รู้จะพูดอันใดดี ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้แต่พูดตอบเสียงต่ำว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” 


 


 


ม่อซิวเหยาขยับมือเพียงนิดเดียว เก้าอี้รถเข็นก็เลื่อนออกไปด้านนอกทันที เมื่อตอนเข็นผ่านเสิ่นหยาง ยังได้เอ่ยทิ้งท้ายไว้กับเขาเรียบๆ ว่า “ท่านเสิ่น ข้ากลับมาต้องได้เห็นยานะ”


 


 


           “ข้าไม่มีทางให้ท่าน!” เสิ่นหยางตะโกนเสียงดัง เลิกรักษาภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยอย่างคนเป็นหมอไปโดยปริยาย น่าเสียดายที่คนที่เขาตั้งใจตะโกนใส่หายออกไปไกลแล้ว


 


 


เฟิ่งจือเหยาหันมองเสิ่นหยางที่โกรธจนหน้าแดงลำคอแข็งเกร็ง แล้วแต่ได้กำจดหมายในมือก่อนเดินตามออกไป เสิ่นหยางที่ยังคงโกรธอยู่จึงทำได้เพียงยืนอึ้งอยู่ในห้องหนังสือ พักใหญ่จึงได้ระเบิดเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “คนตระกูลม่อของพวกเจ้าเป็นโรคอันใดกัน โลกนี้ไม่มีพวกเจ้าก็ไม่ต้องอยู่กันแล้วหรือไร!”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาหันกลับไปมองห้องหนังสือทีหนึ่ง แล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินตามม่อซิวเหยาไป ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเขาเรียบๆ ว่า “เจ้าอยากจะพูดอันใดหรือ”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วในที่สุดก็ได้แต่ส่ายหน้า “ข้ามิได้อยากพูดอันใด ท่านอ๋องได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วย”


 


 


           ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “เรื่องในเมืองหลวงจำเป็นต้องมีเจ้าคอยจัดการ”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าดูห้าวหาญขึ้นหลายส่วนอย่างที่ปกติมิได้เห็น “ท่านอ๋อง เฟิ่งซานเป็นทหาร ความปรารถนาของข้าคือการได้อยู่ในสนามรบ มิใช่คอยควบคุมองครักษ์ลับหรือการรวบรวมข่าวสารพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ม่อซิวเหยาอึ้งไป เขาหันมองม่อซิวเหยา เวลาล่วงเลยมานานเกินไป จนเขาเกือบลืมไปแล้ว เมื่อยามพวกเขายังเป็นเด็กที่มีความดื้อรั้น เฟิ่งจือเหยาในชุดสี่แดงเคยยืนพูดใส่หน้าเขาว่า วันหนึ่งเขาจะเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งให้ได้ จากนั้นพอเฟิ่งจือเหยาอายุได้สิบสามปีก็ละทิ้งชีวิตอันแสนสะดวกสบายในตระกูลเฟิ่ง แล้วออกติดตามเขาบุกน้ำลุยไฟไปด้วยกัน บางทีหากมิใช่เพราะเรื่องในครานั้น เฟิ่งจือเหยาอาจได้เป็นแม่ทัพใหญ่อย่างที่เขาคาดหวังไว้แล้วก็เป็นได้ มิใช่อย่างตอนนี้ที่ต้องอยู่แต่ในเมืองหลวง ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่เที่ยวเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพื่อปกปิดตัวตนที่เป็นถึงผู้บังคับบังชาองครักษ์ลับทั้งหมดเช่นนี้


 


 


           ผ่านไปพักใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้พูดเสียงเบาขึ้นว่า “เอาเถิด หากพวกเขาทำเช่นนั้นจริง…พวกเขาก็ควรรู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนเรื่ององครักษ์ลับนั้น ข้าจะหาทางจัดการเอง” สมัยนั้นเฟิ่งจือเหยาติดตามเขาไปออกรบโดยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง คนที่รู้เรื่องเขาจึงมีอยู่น้อยนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเลย


 


 


เฟิ่งจือเหยาดีใจเป็นอย่างมาก “ขอบคุณท่านอ๋อง!”


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ ด้วยความยินดี “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า อีกเรื่อง รีบให้ม้าเร็วส่งจดหมายไปให้อาหลี ให้นางระวังซูม่านหลิน!” 

 

 


ตอนที่ 86-2 จดหมายลับจากอวิ๋นโจว

 

เมืองหลวง แคว้นหนานจ้าว


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าหานหมิงซีที่มองมาด้วยความไม่เป็นมิตร สลับกับสวีชิงเฉินที่อยู่ในสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายหาน…”


 


 


หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วจึงหันหน้ามายิ้มให้เยี่ยหลี “น้องหลิวอวิ๋น ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก ในเมื่อเจ้าก็รู้จักกับจวินเหวย เรียกข้าว่าพี่หมิงซีก็พอ”


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองเขาอย่างพูดอันใดไม่ออก กลืนคำพูดปลอบโยนที่คิดอยากจะพูดกลับลงไป


 


 


เมื่อหานหมิงซีเห็นว่าสาวน้อยคนงามไม่ยอมสนใจตน จึงได้แต่ยักไหล่ด้วยความเสียใจ แล้วจึงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาประเมินพร้อมพูดว่า “จะว่าไป น้องหลิวอวิ๋นกับจวินเหวยดูมีส่วนคล้ายกันอยู่นะ อันที่จริง จวินเหวยมิใช่น้องชายของคุณชายชิงเฉิน แต่เป็นพี่ชายของน้องหลิวอวิ๋นกระมัง พวกเจ้าแซ่ฉู่เหมือนกันพอดีด้วยมิใช่หรือ”


 


 


เยี่ยหลีได้แต่นึกปาดเหงื่อในใจ “พี่ชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของจวินเหวยจริงๆ”


 


 


หานหมิงซีแววตาเปลี่ยนไป เขากะพริบตาอย่างใสซื่อใส่เยี่ยหลี “เช่นนั้นชื่อของจวินเหวยก็มิใช่ชื่อจริงๆ อย่างนั้นสิ น้องหลิวอวิ๋น บอกพี่ได้หรือไม่ จวินเหวยจริงๆ ชื่ออันใดกันแน่”


 


 


           เยี่ยหลีเกิดความลำบากใจจนพูดไม่ออก ลอบนึกเสียใจว่าเหตุใดตอนนั้นถึงได้ใจเร็วยอมให้หานหมิงซีช่วยเหลือ นางหันมองสวีชิงเฉินที่เอาแต่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อย่างขอความช่วยเหลือ


 


 


สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นพูดเรียบๆ ว่า “สวีชิงหลิว”


 


 


           “ชิงหลิวหรือ เป็นชื่อที่ดี…เหมาะกับจวินเหวยอย่างมาก ไม่เหมือนใครบางคน…ที่ทำชื่อดีๆ เสียหมด แต่ไม่สิ…ในบรรดาคุณชายตระกูลสวีทั้งห้าคน ไม่มีผู้ใดชื่อสวีชิงหลิวเลยนี่!”


 


 


หานหมิงซีพูดบ่นงึมงำ ก่อนนึกอันใดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจึงมาจ้องสวีชิงเฉินเขม็ง


 


 


สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ใครบอกเจ้าว่าเขาเป็นหนึ่งในห้าของคุณชายตระกูลสวีกันเล่า”


 


 


หานหมิงซีก้มหน้าลงนิ่งคิด ไม่มีผู้ใดบอกเช่นนั้นจริงๆ เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้น เขามองหน้าสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ และดูลังเลใจ หากสังเกตดีๆ แล้วยังจะเห็นแววดูถูกในนั้นอีกด้วย


 


 


เยี่ยหลีได้แต่มองหน้าหานหมิงซีแล้วคิดในใจว่า นี่เจ้าคิดอันใดขึ้นมาได้อีกเนี่ย


 


 


           หานหมิงซีส่งเสียงเหอะ มองขึ้นๆ ลงๆ สำรวจสวีชิงเฉินเสียรอบหนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าถึงไม่เคยได้ยินชื่อสวีชิงหลิวมาก่อน หรือว่าเวลาอยู่ข้างนอกเขายังต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ด้วย เหอะๆ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าได้คิดรังแกชิงหลิว…ไม่สิ หากเรียกชื่อนี้เขาจะต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่ ตระกูลสวีของพวกเจ้าอย่าได้คิดจะรังแกจวินเหวยเชียวนะ! เขาเป็นคนของข้าแล้ว”


 


 


สีหน้าเยี่ยหลีดูอับอาย คิ้วเข้มของสวีชิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อย “จินตนาการของคุณชายหานใช้ได้ทีเดียว”


 


 


หานหมิงซีพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ฝีมือการต่อสู้ของข้าดีกว่านี้เสียอีก หากไม่เห็นแก่จวินเหวย ดูซิว่าข้าจะไม่จัดการพวกเจ้าไหม!”


 


 


           “คุณชายหาน…” เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยเรียกเขา ในใจรู้สึกซาบซึ้งที่หานหมิงซีให้ความจริงใจกับฉู่จวินเหวยเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนปกปิดเขาแล้ว ในใจจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นหลายส่วน


 


 


           หานหมิงซีปรายตามองนาง “น้องหลิวอวิ๋น เจ้ารีบเปลี่ยนคู่หมั้นเสียเถิด คนบางคนภายนอกเป็นชนชั้นสูงที่แสนจะดูดี แต่ข้างในใครจะรู้ว่าเละเทะเพียงใด เหอะ…จวินเหวยหายไปเป็นนานแล้วยังไม่กลับมาก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นห่วงเป็นไยอันใด ข้าจะไปหาเขาเอง!” พูดจบ หานหมิงซีก็กระโดดหายไปราวกับลม


 


 


           สวีชิงเฉินวางถ้วยชาลง พูดอย่างใช้ความคิดว่า “หานหมิงซีดูจะดีกับเจ้าไม่น้อย”


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกเสียใจที่หลอกเขาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “เวลาอยู่ข้างนอกระมัดระวังไว้หน่อยนั้นถูกต้อง เจ้ารีบอธิบายให้เขาฟัง เขาน่าจะเข้าใจได้”


 


 


เยี่ยหลีได้แต่มองเขาด้วยความสงสัย “เช่นนั้นเมื่อครู่ที่พี่ใหญ่พูดชื่อสวีชิงหลิวอันใดนั่น หากข้าอธิบายให้เขาฟังแล้ว จะไม่ถือว่าข้าหลอกเขาเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งหรือ”


 


 


สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “กลับไปข้าจะขอให้ท่านปู่บันทึกชื่อนี้ลงในประวัติตระกูล ก็ไม่ถือว่าหลอกเขาแล้ว แต่ส่วนเจ้า…”


 


 


           เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินด้วยความสงสัย สวีชิงเฉินส่ายหน้าแต่มิได้พูดต่อ


 


 


           “สวีชิงเฉิน!” มีเสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้นที่หน้าประตู เสียงประตูดังขึ้นโครมใหญ่จากการที่มีคนถีบเข้ามาจากด้านนอก เงาคนในชุดสีน้ำเงินเข้มรีบพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว


 


 


พอเยี่ยหลีเห็นหญิงสาวที่รีบร้อนเดินเข้ามาก็อดขนลุกไม่ได้ นางหันไปมองสวีชิงเฉิน แต่กลับเห็นสวีชิงเฉินยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ ประหนึ่งหญิงสาวที่รีบร้อนเข้ามาด้วยความโกรธมิได้เข้ามาหาเขากระนั้น


 


 


หญิงสาวผู้นั้นรีบร้อนเดินเข้ามาถึงหน้าประตูห้องโถงใหญ่ แล้วฝีเท้าก็หยุดชะงักลง นางมองสวีชิงเฉินด้วยสีหน้าตกตะลึง เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ กระแอมไอเสียงเบาแล้วกล่าวว่า “พี่องค์หญิง”


 


 


องค์หญิงอันซีประหนึ่งเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ นางก้าวเข้ามาในห้องโถง แล้วจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”


 


 


           สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “เห็นท่าทางขององค์หญิงเมื่อครู่แล้ว ข้ายังคิดว่าองค์หญิงจะมาเล่นงานข้าเสียอีก”


 


 


           สีหน้าองค์หญิงอันซีซับสีเลือดขึ้นอย่างรวดเร็ว นางถลึงตาใส่เขาพร้อมพูดว่า “ข้าไม่ควรเล่นงานเจ้าหรือ เจ้าทำเรื่องอันใดไว้ในวังบ้าง”


 


 


           สวีชิงเฉินยิ้มอย่างใสซื่อ “ข้ามิได้ทำอันใดเสียหน่อย” เข้ามิได้ทำอันใดจริงๆ เรื่องทั้งหมดเขาให้องครักษ์ลับกับคนของเทียนอี้เก๋อเป็นคนทำต่างหาก


 


 


องค์หญิงอันซีเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง จ้องหน้าสวีชิงเฉินด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามิได้ทำอันใด แต่วังหลวงสับสนวุ่นวายกันไปหมด! เมื่อครู่ท่านพ่อยังได้เรียกข้าเข้าวังไปสอบถาม ท่านสงสัยว่าข้าเป็นคนทำ” ถึงแม้เดิมทีนางก็วางแผนที่จะทำเช่นนี้ไว้แต่แรก แต่ไม่ใช่ว่าถูกคนตัดหน้าลงมือไปก่อนแล้วหรือ เหตุใดเสด็จพ่อยังนึกสงสัยนางอีก


 


 


สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้นถาม “รู้ว่าหนานจ้าวอ๋องสงสัยในตัวท่าน แล้วท่านยังมาที่นี่อีกหรือ”


 


 


องค์หญิงอันซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความดูแคลน “ก็แค่พวกเศษสวะไม่กี่คน ข้าอยากให้พวกมันตาม พวกมันถึงจะตามข้าได้ หากข้าไม่อยากให้พวกมันตาม ต่อให้พวกมันวิ่งจนขาขวิดก็ตามข้าไม่ได้หรอก”


 


 


           “องค์หญิงรีบมาเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ” สวีชิงเฉินเอ่ยถาม


 


 


           เยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้านได้แต่นึกถอนหายใจยาวๆ ในใจ ที่องค์หญิงอันซีรีบร้อนมาเช่นนี้มิใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ใหญ่หรอกหรือ เขาถามองค์หญิงว่านางมาด้วยเรื่องอันใดตรงๆ เช่นนี้ จะให้นางตอบออกมาตรงๆ ว่าข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านถึงได้มาอย่างนั้นหรือ


 


 


           องค์หญิงอันซีอึ้งไป เหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วจึงพูดว่า “ไม่มีเรื่องอันใดแล้วมาไม่ได้หรือ อย่างไรข้าก็ต้องมาดูหน่อยว่า คนที่เป็นทั้งสหายและที่ปรึกษาทางการทหารของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”


 


 


           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับองค์หญิงพอดี ในเมื่อองค์หญิงมาแล้วก็ไม่ต้องให้ใครไปหาท่านที่ตำหนักองค์หญิงอีก”


 


 


องค์หญิงอันซีขมวดคิ้ว มองหน้าสวีชิงเฉินแล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลับไปตำหนักองค์หญิงแล้วหรือ” นางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนเหลือบตามองเยี่ยหลีแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณหนูฉู่ก็พักอยู่ที่ตำหนักของข้า เจ้ากลับไปพร้อมกันก็จะได้มีคนคอยดูแล พวกเราจะปรึกษาอันใดกันก็สะดวกดีมิใช่หรือ”


 


 


เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย แล้วจึงถือโอกาสพูดก่อนที่สวีชิงเฉินจะเปิดปากว่า “องค์หญิง ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ข้าหลอกท่าน…”


 


 


           องค์หญิงอันซีขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เยี่ยหลีพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนั้น…อันที่จริงข้า…”


 


 


           “อันที่จริงหลิวอวิ๋นมิใช่หญิงสาวที่บอบบางอ่อนแอทำอันใดมิได้ วันนี้ก็ได้นางกับหลินหานที่เข้าไปช่วยข้าออกมาจากในวัง ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าเจ้าจะสงสัยถึงได้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด”


 


 


สวีชิงเฉินชิงพูดต่อเรียบๆ เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ลอบถลึงตาใส่สวีชิงเฉิน แต่สวีชิงเฉินกลับเอาแต่นิ่งเฉยประหนึ่งหินผา


 


 


           องค์หญิงอันซีหันมองเขาด้วยความสงสัย แล้วจึงหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “เรื่องนั้นจะเป็นไรไป แต่น้อยนักที่จะเห็นหญิงสาวจงหยวนที่มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊อย่างคุณหนูฉู่ ที่คุณหนูฉู่ทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของชิงเฉิน ข้าก็มิใช่คนใจแคบอันใดเช่นนั้น”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณองค์หญิงแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 87-1 ตัวตนถูกเปิดเผย

 

  ทั้งสามคนเคลื่อนตัวเข้าไปยังห้องหนังสือ ถึงแม้องค์หญิงอันซีนึกสงสัยที่เยี่ยหลียังตามพวกตนเข้ามาด้วย แต่ด้วยเพราะความไว้ในเชื่อใจในสวีชิงเฉินจึงทำให้นางมิได้เอ่ยถามอันใด เพราะถึงอย่างไร หญิงสาวที่ดูสวยหวานตรงหน้านี้ก็ได้พาผู้ติดตามอีกคนหนึ่งเดินทางมาเป็นพันลี้เพื่อมาที่หนานจ้าว ทั้งยังหลอกนางจนสำเร็จ และเป็นคนที่ช่วยสวีชิงเฉินออกมาได้อีกด้วย นางย่อมมิใช่คนธรรมดา แววตาขององค์หญิงอันซีที่มองประเมินเยี่ยหลีดูมีความซับซ้อนอย่างมาก เยี่ยหลีเห็นสายตาที่มองมา แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มขื่นๆ อยู่ในใจเท่านั้น นางลอบถลึงตาใส่สวีชิงเฉิน พร้อมส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า อีกเดี๋ยวอธิบายให้ข้าฟังด้วย ส่วนสวีชิงเฉินเอาแต่ยิ้มน้อยๆ มิได้พูดอันใด 


 


 


           เมื่อเข้ามานั่งลงในห้องหนังสือแล้ว องค์หญิงอันซีรีบผลักเรื่องส่วนตัวออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางดูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมาทันที สวีชิงเฉินถามขึ้นว่า “ได้ตราทหารมาหรือไม่”  


 


 


องค์หญิงอันซีส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วย ชิงเฉิน จุดที่พวกเราสืบพบว่าตราทหารอยู่ที่นั้นก่อนหน้านี้ เป็นจุดลวง ตราทหารไม่เคยอยู่ที่นั่น”  


 


 


สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเล้กน้อย “ว่ากันตามเหตุผลแล้ว…ซูม่านหลินไม่ควรรู้ว่าพวกเรากำลังหาตราทหาร และไม่ควรมีคนนอกรู้ว่าตราทหารที่แท้จริงอยู่ที่ใด เหตุใดนางถึงต้องนำตราทหารไปหลบซ่อนเสียมิดชิดเช่นนั้นด้วย แล้วยังทำเหมือนตั้งใจวางกับดักไว้ให้พวกเราเช่นนั้นอีก”  


 


 


องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “คนของพวกเราที่รู้เรื่องนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน และข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาเชื่อใจได้จริงๆ”  


 


 


สวีชิงเฉินส่ายหน้า “คนของเจ้าพวกเราย่อมเชื่อใจอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้…อันซี เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ครึ่งปีมานี้ เกือบทุกครั้งที่พวกเราจะจับซูม่านหลินที่ทำผิดจนอาจมีโทษถึงตายได้ นางกลับหลบหนีไปได้ก่อนทุกครั้ง” 


 


 


           องค์หญิงอันซีพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะใครเสียอีกท่ามิใช่เสด็จพอ เสด็จพ่อมักเข้าข้างซูม่านหลินอย่างไม่มีเหตุมีผลเสมอ! บอกว่านางเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง ไม่มีทางทำเช่นนั้นบ้างล่ะ บอกว่าข้าคิดทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างขุนนางแคว้นหนานจ้าวของเราบ้างล่ะ ที่น่าขันที่สุดคือ มีครั้งหนึ่งท่านถึงขั้นบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด! หลายปีมานี้เสด็จพ่อเลอะเลือนหนักเข้าไปทุกที” 


 


 


           สวีชิงเฉินเอ่ยถามอย่างใช้ความคิดว่า “ท่านหนานจ้าวอ๋องอายุมากจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ” 


 


 


           องค์หญิงอันซีอึ้งไป แล้วจึงหันหน้าไปถามสวีชิงเฉินว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


           สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “เดิมทีพวกเราคิดว่าท่านหนานจ้าวอ๋องเชื่อฟัง เข้าข้างและถือหางซูม่านหลินมากกว่า แต่ครานี้…วันนั้นหลังจากข้าถูกจับได้ ข้าก็ถูกคนวางยาสลบทันทีก็จริง แต่ยังจำได้ว่าก่อนที่ข้าจะสลบไปนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณท้ายยามเว่ย* แต่ตอนที่ข้าตื่นมาในห้องศิลานั้น เป็นยามเซิน** กับอีกสองเค่อ วันนั้นเจ้าส่งคนไปคอยดูธิดาเทพไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกมันจะต้องเส้นทางออกไปทางนอกวังหลวง แต่…ช่วงเวลานั้น ตามปกติท่านหนานจ้าวอ๋องจะประทับพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทม ต่อให้ท่านมิได้อยู่ที่นั่น แต่องครักษ์ที่คอยเฝ้าเวรยามอยู่ในวังหนานจ้าวอ๋องและทางเดินลับเส้นนั้นก็มิได้มียืนไว้เล่นๆ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว อันซี พอเจ้าเข้าไปในวังแล้วได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้กันบ้างหรือไม่”  


 


 


องค์หญิงอันซีก้มหน้านึกย้อนไปอยู่พักหนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า “ไม่มีเลย ตอนที่ข้ารายงานเสด็จพ่อว่าเจ้าหายตัวไป เสด็จพ่อดูเป็นกังวลอย่างมาก แล้วยังรับสั่งว่าจะส่งคนมาช่วยข้าตามหาตัวเจ้า เพียงแต่ถูกข้าปฏิเสธไป”  


 


 


สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ท่านเป็นถึงหนานจ้าวอ๋อง เกิดเรื่องขึ้นในห้องบรรทมของเขา เขาจะไม่รู้เชียวหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเดินลับที่เขาส่งคนไปคอยเฝ้าเวรยามไว้ตลอดเวลาด้วย” 


 


 


           องค์หญิงอันซีอึ้งไปพักใหญ่ นางเงยหน้าขึ้นมองสวีชิงเฉิน ในแววตายังดูไม่อยากเชื่อและยังเคลือบแคลงใจอยู่ “เจ้ากำลังจะบอกว่า เสด็จพ่อมิได้ถูกซูม่านหลินปั่นหัว แต่ท่านเลือกที่จะเข้าข้างและช่วยเหลือนางอย่างนั้นหรือ เหตุใดกัน…ข้าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน เป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวนะ ตามปกติข้าก็ไม่เคยทำเรื่องอันใดที่ผิดต่อฐานะของข้าเลย” 


 


 


           “บางที อาจเป็นเพราะท่านทำหน้าที่ตามฐานะของท่านได้ดีเกินไปอย่างนั้นหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยเสียงเบา 


 


 


           องค์หญิงอันซีกวาดตามองไปทางนางอย่างรวดเร็ว “คุณหนูฉู่หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาทีหนึ่ง แล้วหันมองหน้าองค์หญิงอันซี “ที่จงหยวนมีประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าองค์หญิงเคยได้ยืนหรือไม่”  


 


 


องค์หญิงอันซีมองหน้านางโดยมิได้พูดอันใด  


 


 


เยี่ยหลีพูดต่อเสียงขรึมว่า “ทำดีเกินหน้านาย องค์หญิงกับหนานจ้าวอ๋องเป็นพ่อลูกกันก็จริง แต่…ถึงแม้องค์หญิงจะเรียกหนานจ้าวอ๋องว่าเสด็จพ่อ แต่เท่าที่ข้าเห็น โดยหลักการแล้วน่าจะท่านอ๋อง พ่อถึงจะถูก ตัวท่านเกิดเป็นเชื้อพระวงค์ ต้องเป็นท่านอ๋องก่อน แล้วจึงค่อยเป็นพ่อ ส่วนองค์หญิงก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นขุนนางก่อน แล้วจึงค่อยเป็นบุตรสาว หลายวันที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงของหนานจ้าวนี้ ชื่อเสียงขององค์หญิงข้าได้ยินมาไม่น้อย ประชาชนชื่นชมองค์หญิงมาก ว่าเป็นรัชทายาทหญิงที่มีความสามารถและหลักแหลมยิ่งนัก แม้แต่คนจงหยวนที่เพิ่งมาถึงหนานจ้าวได้ไม่เท่าไรอย่างข้ายังมีภาพเช่นนี้ในหัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประชายนชาวหนานเจียงเหล่านั้นที่เคยได้รับความกรุณาจากองค์หญิง” 


 


 


           องค์หญิงอันซีหน้าขาวซีด พูดเสียงสั่นว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าเสด็จพ่อกำลังเกรงกลัวข้าอย่างนั้นหรือ ท่านถึงได้คอยหนุนหลังซูม่านหลินให้เป็นปฏิปักษ์กับข้า เพื่อจะกดข้าเอาไว้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความสงสาร “องค์หญิงคงเคยได้อ่านประวัติศาสตร์ของจงหยวนมาอยู่บ้าง เรื่องในอดีตเราไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ก็พอ ถึงแม้องค์หญิงจะอยู่ที่หนานเจียง แต่เชื่อว่าท่านคงเข้าใจถึงสถานะของตำหนักติ้งอ๋องอยู่บ้างใช่หรือไม่”  


 


 


มุมปากที่ถูกกัดจนขาวซีขององค์หญิงอันซีกระตุกน้อยๆ หันมองสวีชิงเฉินอย่างขอความช่วยเหลือ สวีชิงเฉินถอนหายใจเบาๆ “อันซี…ข้าเคยเตือนท่านแล้วว่าดีเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”  


 


 


องค์หญิงอันซีก้มหน้ากัดริมฝีปากอยู่เงียบๆ ดีเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี…ประโยคนี้เขาพูดกับนางตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว แต่นางกลับไปเคยเก็บมาใส่ใจอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อนเลย เพราะนางทำเพื่อความรุ่งเรืองของหนานจ้าวด้วยใจจริง นางสามารถพูดกับทุกคนได้อย่างไม่อายว่า นางไม่เคยทำเพื่อตัวนางเองเลย นางคิดแต่เพียงว่าขอเพียงนางตั้งใจพยายามช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่ออย่างเต็มที่ เสด็จพ่อก็จะพอพระทัยในตัวนาง นางคิดแต่เพียงว่าขอเพียงทำให้หนานจ้าวแข็งแกร่งและรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ประชาชนทุกคนอยู่อย่างมีความสุข น้องซีสยาก็คงไม่ต้องไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้น แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ซีสยากลับหนีไปต้าฉู่เสียเอง นางปิดบังฐานะและชื่อแซ่ แล้วแต่งงานออกไปเป็นอนุให้กับผู้ชายคนหนึ่ง เสด็จพ่อลอบวางแผนว่าจะถ่วงดุลอำนาจของตนได้อย่างไรเสียนานแล้ว เช่นนั้น ความพยายามตลอดหลายปีมานี้ของนาง…เรื่องที่นางเพียรพยายามทำทั้งหมด จะมีความหมายอันใด 


 


 


           เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดขององค์หญิงอันซีแล้ว เยี่ยหลีกับสวีชิงเฉินจึงทำได้เพียงนั่งมองนางเงียบๆ ความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายความรู้สึกเช่นนี้ แค่เพียงคำปลอบโยนเพียงไม่กี่ประโยคคงไม่สามารถช่วยแก้ไขอันใดได้ ทุกอย่างคงต้องรอให้องค์หญิงอันซีคิดได้เองถึงจะช่วยให้หายได้ 


 


 


           บรรยากาศภายในห้องหนังสือหนักอึ้ง องค์หญิงอันซีนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออกว่านางรู้สึกอย่างไร แต่มือที่กำแน่นอยู่บนที่เท้าแขนจนปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาวนั้น บอกให้รู้ว่าสภาพจิตใจของนางในยามนี้ไม่สงบนัก  


 


 


เยี่ยหลีนึกชื่นชมอยู่ในใจ อย่างน้อยๆ องค์หญิงอันซีก็รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ของตนได้อย่างไร ซึ่งคนเช่นนี้มีอยู่ไม่มาก และยิ่งในหญิงสาวด้วยแล้วยิ่งหาได้น้อยนัก  


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ๆ องค์หญิงอันซีจึงได้เงยหน้าขึ้น ทำลายความเงียบภายในห้องหนังสือ “หากข้ายอมล้มเลิกทุกอย่างตอนนี้ เสด็จพ่อจะ…” 


 


 


           “อันซี…” สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว มองหน้าพร้อมส่ายหน้า “หนานจ้าวอ๋องจะทำเช่นไรนั้นข้าไม่รู้ แต่ซูม่านหลิน…อันซี ซูม่านหลินกำลังโกรธแค้นเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ นางไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ อีกอย่าง…นางจะผลักหนานจ้าวให้ลงนรกไปอย่างแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็นหรือ”  


 


 


อันซีมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ “นางโกรธแค้นข้า ข้ารู้ดี หากเห็นท่าไม่ดีข้าไปอยู่ที่จงหยวน หรือซีหลิง หรือเป่ยหรงก็ยังได้ แต่ท่านบอกว่า…” 


 


 


           “ท่านคิดว่านางเอาตราทหารไปเพื่อเหตุใดกัน รวบรวมกำลังองครักษ์ภายในเมืองหลวงเพื่อโจมตีตำหนักองค์หญิงของท่านอย่างนั้นหรือ ข้าคุยเรื่องนี้กับท่านกี่รอบแล้ว นางมีความทะเยอทะยานมากนัก เพียงแต่…นางแข็งแกร่งไม่เท่าความทะเยอทะยานของนางเท่านั้น” สวีชิงเฉินพูด 


 


 


           สีองค์หญิงอันซีดูหนักอึ้ง มองหน้าสวีชิงเฉินด้วยความสงสัย “ท่านจะบอกว่า…นางคิดจะ…” 


 


 


           สวีชิงเฉินพูดว่า “ท่านลองถามหลิวอวิ๋นดูสิ ว่านางทำอันใดไว้บริเวณชายแดนระหว่างแคว้นหนานจ้าวกับต้าฉู่บ้าง” 


 


 


           องค์หญิงอันซีหันมองไปทางเยี่ยหลี เยี่ยหลีพูดเสียงขรึมว่า “ระหว่างทางที่พวกเรามาหนานเจียง ข้าบังเอิญพบว่า มีหุบเขาอสรพิษที่มีคนสร้างขึ้นอยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปไม่ไกลนัก และสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังหุบเขาอสรพิษนั้นเป็นโรงหลอมอาวุธที่มีขนาดใหญ่มาก อาวุธพวกเขากำลังผลิตอยู่นั้น ทั้งหมดเป็นอาวุธที่ทหารของต้าฉู่นิยมใช้กัน แล้วข้ายังได้พบของอย่างอื่นที่อยู่ข้างในอีกด้วย อีกอย่าง คนที่คอยควบคุมดูแลโรงผลิตอาวุธแห่งนั้นคือหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ นามเล่อเจียง” 


 


 


           “หุบเขาอสรพิษที่คนสร้างขึ้นหรือ ไว้เพื่อผลิตอาวุธของต้าฉู่หรือ นางคิดจะทำอันใดกันแน่” องค์หญิงอันซีพูดด้วยความตกใจระคนโกรธเคือง คนหนานเจียงทั่วไปชื่นชอบงูก็จริง แต่มิได้หมายความว่าชื่นชอบให้หนานเจียงกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยงูพิษ ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อนที่ม่อซิวเหยาเผาหุบเขาอสรพิษจนราบคาม จึงมิได้ทำให้คนชาวหนานเจียงโกรธแค้นมากนัก ไม่คิดว่ามาวันนี้ยังไม่ทันถึงสิบปีดี หนานเจียงจะมีหุบเขาอสรพิษขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  


 


 


ส่วนเรื่องที่มีการผลิตอาวุธของแคว้นอื่นภายในบริเวณหนานเจียงนั้น ถือได้ว่าเป็นการล้ำเส้นขีดจำกัดขององค์หญิงอันซีเข้าให้แล้ว ผู้ใดเลยจะรู้ว่า วันหนึ่งอาวุธเหล่านั้นอาจถูกใช้เพื่อห้ำหั่นคนหนานเจียงก็เป็นได้ เรื่องนี้สำหรับองค์หญิงอันซีถือได้ว่าเทียบเท่ากับการก่อกบฏเลยทีเดียว 


 


 


           ทั้งหมดนี้เสด็จพ่อรู้หรือไม่ จะว่าถูกซูม่านหลินปิดบังเอาไว้หรือตั้งใจทำเป็นไม่รู้กันแน่ หรือว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยกับแผนการของซูม่านหลิน 


 


 


           สวีชิงเฉินพูดขึ้นว่า “มันชัดเจนมากมิใช่หรือ หลีอ๋องช่วยให้ธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้ครอบครองแคว้นหนานจ้าว ในทางกลับกัน ซูม่านหลินก็ย่อมต้องช่วยให้หลีอ๋องได้ครอบครองแคว้นต้าฉู่เช่นเดียวกัน” 


 


 


           “โง่เง่า!” องค์หญิงอันซีร้องตะโกนขึ้น ช่วยให้หลีอ๋องได้ครอบครองแคว้นต้าฉู่ พูดน่ะง่าย แต่เอาเข้าจริงจะต้องแลกมาด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากพ่ายแพ้แล้ว หนานจ้าวจะต้องเผชิญกับความสูญเสียมากน้อยเพียงใดบ้าง แต่ต่อให้สำเร็จแล้วจะมีผลดีเช่นไรต่อหนานจ้าว ถึงเวลานั้นหากหนานจ้าวเสียหายถึงขีดสุด ก็คงได้แต่ต้องคอยพึ่งพาหลีอ๋อง แล้วก็จะกลับไปเป็นดังเช่นหนานเจียงเมื่อหลายร้อยปีก่อน “ข้าจะเข้าวังไปถามจากเสด็จพ่อให้รู้เรื่อง!” องค์หญิงอันพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ 


 


 


           “อันซี” สวีชิงเฉินมองหน้านางอย่างไม่เห็นด้วย องค์หญิงอันซีหันมองทั้งสองคน แล้วจึงพูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องห้ามข้า ชิงเฉิน…ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาที่หนานจ้าวด้วยเป้าหมายใด แต่ครึ่งปีมานี้หากไม่ได้เจ้า เกรงว่าข้าคงถูกซูม่านหลินเล่นงานไปนานแล้ว ดังนั้น อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า พวกเจ้าเป็นคนนอก ที่นี่อย่างไรเสียก็เป็นเมืองหลวงของหนานจ้าว หากพวกเจ้าอยากกลับออกไปอย่างปลอดภัยคงไม่ยากนัก แต่หากเสด็จพ่อคิดจะตัดขาดกับข้าจริงๆ พวกเจ้าก็คงยื้อไว้ได้ไม่นานนัก รีบไปจากหนานจ้าวเถิด ข้าจะไปทำเรื่องที่ข้าควรทำ”  


 


 


สวีชิงเฉินพูดว่า “ตอนนี้การเดินเข้าไปหากับดักเป็นเรื่องที่รัชทายาทแห่งหนานเจียงควรทำหรือ” 


 


 


           องค์หญิงอันซียิ้มขื่นๆ “ตำแหน่งรัชทายาทหญิงเป็นตำแหน่งที่ท่านพ่อทรงแต่งตั้ง หากท่านพ่อใจดำคิดจะเข้าข้างซูม่านหลิน อย่าว่าแต่รัชทายาทหญิงคนหนึ่งเลย ต่อให้มีเป็นสิบคนก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะต้องไปคุยเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ” 


 


 


           เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ขององค์หญิงอันซีแล้ว ทั้งสองจึงรู้ดีว่าคงห้ามนางไม่ได้ สวีชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำว่า “อันซี รักษาตัวด้วย” 


 


 


           องค์หญิงอันซีระบายยิ้ม “วางใจเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านพ่อ ท่านไม่ฆ่าข้าหรอก” 


 


 


 


 


 


* ยามเว่ย ช่วงเวลาประมาณ 13.00 – 15.00 น. 


 


 


** ยามเสิน ช่วงเวลาประมาณ 15.00 – 17.00 น.  

 

 


ตอนที่ 87-2 ตัวตนถูกเปิดเผย

 

เมื่อเห็นองค์หญิงอันซีหายตัวไปจากหน้าประตูโดยไม่ลังเลแล้ว เยี่ยหลีจึงได้แต่หันมองสวีชิงเฉินแล้วถอนหายใจ ก่อนถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ใจอ่อนสักนิดเลยหรือ องค์หญิงอันซีเป็นหญิงสาวที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยพบมาเชียวนะ”  


 


 


สวีชิงเฉินสีหน้าเรียบเฉย ปรายตามองนาง “พูดอันใดไร้สาระ ข้ากับองค์หญิงอันซีเป็นสหายกัน”  


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงไม่ให้ข้าบอกความจริงกับองค์หญิงอันซี นั่นหมายความว่าในใจท่านเองก็รู้ดีมิใช่หรือ”  


 


 


สวีชิงเฉินมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเอาเวลามาเสียให้กับเรื่องพวกนี้หรือ กับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกนั้นจะเสียเวลาคิดไปไย” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว องค์หญิงอันซีเป็นหญิงสาวที่มีความทระนงตนมาก หลังจากที่นางรู้ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของท่านนางคงไม่มีทางคิดอันใดกับท่านอีกเป็นแน่ แต่ว่าพี่ใหญ่ หลายปีมานี้ท่านคงมิได้ใช้วิธีนี้ในการหลบหลีกโชคชะตาจากหญิงสาวทั้งหลายหรอกกระมัง ข้าจะบอกไว้ว่า ครั้งนี้ข้าทำผิดเองก่อน แต่ต่อไปท่านอย่าได้เอาข้าไปเป็นไม้กันหมาอีกเชียว”  


 


 


สวีชิงเฉินยกมือขึ้นหยิบสมุดพับเล่มหนึ่งโยนให้นาง เยี่ยหลีรับมาอ่านตัวอักษรที่อยู่ด้านบน เป็นข่าวในเมืองหลวงของหนานจ้าวหลายวันนี้ที่เทียนอี้เก๋อส่งมา ในใจอดที่จะรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ “พี่ใหญ่ องค์หญิงอันซีจะเป็นอันใดหรือไม่”  


 


 


สวีชิงเฉินส่ายหน้า “เสือที่ดุร้ายยังไม่กินลูกตนเอง องค์หญิงซีสยาถือได้ว่าตายไปแล้ว องค์หญิงอันซีเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างแท้จริง หากเกิดอันใดขึ้นกับองค์หญิงอันซี หนานจ้าวคงต้องยกบัลลังก์ให้กับผู้อื่นมาสืบทอดต่อ และในสถานการณ์ที่หนานจ้าวอ๋องมีเกียรติคุณที่ไม่สูงส่งนักเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากที่จะถูกยกเรื่องที่ไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ มาบีบให้ต้องสละบัลลังก์” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ “มีกฎเช่นนี้ด้วยหรือ” 


 


 


           “หนานเจียงกับคนจงหยวนอย่างพวกเราไม่เหมือนกัน สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ทั้งหญิงและชาย แต่ไม่มีการให้บุตรบุญธรรมสืบทอดบัลลังก์ หากมิมีทายาทสืบสกุล คนหนานเจียงจะคิดว่าหนานจ้าวอ๋องไม่ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้า จึงย่อมไม่มีความสามารถในการคุ้มครองประชาชนของตนเช่นเดียวกัน ดังนั้นเรื่องการสละบัลลังก์จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่มีอันตรายก็ดี เรื่องอื่นๆ ค่อยวางแผนทีหลังก็ได้” 


 


 


           “คุณหนู” องครักษ์ลับสองปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู 


 


 


           “ทำไมหรือ” 


 


 


           “เมื่อครู่เทียนอี้เก๋อส่งข่าวมาขอรับ นายท่านเหลียงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงพานายท่านเหลียงไปยังสถานที่ที่ซ่อนสิ่งของไว้แล้ว เมื่อครู่คุณชายหานก็รีบตามไปแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสองเอ่ยเสียงขรึมขึ้น 


 


 


           “บ้าจริง เขาไปวุ่นวายอันใดด้วย! เหตุใดจึงเข้ามาวุ่นวายได้ทุกครั้งกันนะ” เยี่ยหลีเอ่ยก่นด่าเสียงต่ำ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสั่งการว่า “เจ้ากับองครักษ์ลับสามไปเตรียมตัวเสีย พวกเราจะตามไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


           “ขอรับ” องครักษ์ลับสองหายไปจากหน้าประตูอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีหันกลับไปพูดกับสวีชิงเฉินว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการก่อน หากมีเรื่องอันใดท่านสั่งองครักษ์ลับให้ไปจัดการได้เลย ในเมื่อองค์หญิงอันซีพูดเช่นนี้ ท่านจะต้องรีบเดินทางออกจากหนานจ้าวหรือไม่”  


 


 


สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้ายังมีบางเรื่องที่จะต้องจัดการให้แน่ชัด ตอนนี้จะอยู่ที่นี่ไปก่อน เจ้าระวังตัวด้วย”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “พี่ใหญ่เองก็ระวังตัวด้วย” 


 


 


เยี่ยหลีพาองครักษ์ลับสองและสามขึ้นม้าเร็ววิ่งห้อไปตามเครื่องหมายที่เทียนอี้เก๋อและองครักษ์ลับทิ้งเอาไว้ โชคดีที่หนานเจียงไม่ถือว่ากว้างใหญ่นัก บริเวณโดยรอบเมืองหลวงก็ย่อมไม่กว้างใหญ่ไปกว่ากัน  


 


 


พวกนางขี่ม้ามาได้สองชั่วยามกว่า ในที่สุดก็หาจุดที่เทียนอี้เก๋อส่งมาให้ข่าวพบ พวกนางพบรอยเครื่องหมายที่หานหมิงซีทำทิ้งไว้ที่ตีนเขา “คุณชาย ที่นี่แหละขอรับ พวกเขาเข้าไปในภูเขาแล้ว”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วหันไปสั่งการว่า “แยกกันไป”  


 


 


องครักษ์ลับสามคัดค้าน “มิได้ขอรับ คุณชายแยกไปคนเดียวอันตรายเกินไป”  


 


 


เยี่ยหลีไม่รู้จะทำอย่างไรดี “องครักษ์ลับสามไปกับข้า องครักษ์ลับสองลอบตามมา” 


 


 


           “ขอรับ” 


 


 


           นางพาองครักษ์ลับสามเดินเข้าภูเขาไปตามเครื่องหมายที่หานหมิงซีทิ้งไว้ ภูเขาและป่าของหนานเจียงนั้นชื้นแฉะกว่าทางภาคเหนือมาก มีแมลงและพืชมีพิษอยู่หลากหลายชนิด โชคดีที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้สร้างความลำบากให้กับทั้งสองไม่มากนัก  


 


 


พวกนางเดินเข้าไปตามเครื่องหมายที่ทำไว้ทันที “คุณชาย ลองดูข้างหน้าสิขอรับ” องครักษ์ลับสามกระชับอาวุธในมือ มองไปด้านหน้าด้วยสายตาระมัดระวัง ภูเขาลูกเล็กด้านหน้ามีร่างชายในชุดของเทียนอี้เก๋อนอนกองอยู่สามสี่คน รอยเลือดบนบาดแผลมีความแห้งกรัง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาตายมาหลายชั่วยามแล้ว  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ แล้วจึงชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง “ไปทางนั้น”  


 


 


องครักษ์ลับสามเดินนำขึ้นไปด้านหน้า ระหว่างทางพวกเขาพบศพคนของเทียนอี้เก๋อเป็นระยะๆ องครักษ์ลับสามพูดเสียงเบาขึ้นว่า “ไม่มีคนของพวกเราขอรับ”  


 


 


คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดมุ่น เท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด 


 


 


           พวกเขาเดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงอาวุธปะทะกันดังมาจากด้านหน้า ทั้งสองหันมองหน้ากัน แล้วจึงค่อยๆ แทรกตัวเดินขึ้นหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง  


 


 


ในปากถ้ำถ้ำหนึ่ง บัณฑิตขี้โรคกำลังหัวเราะด้วยสีหน้าได้ใจ มองคนที่นั่งอยู่กับพื้นพร้อมหัวเราะด้วยน้ำเสียงมาดร้าย “หานหมิงซี เจ้าคิดว่าข้ากลัวพี่ใหญ่ของเจ้าเลยไม่กล้าลงมือทำอันใดเจ้าอย่างนั้นหรือ ตลอดทางมานี้คนของเทียนอี้เก๋อคอยขัดแข้งขัดขาข้ามาตลอด ข้าไว้ชีวิตเจ้ามาถึงตอนนี้ก็ถือว่าเกรงใจมาแล้วกระมัง”  


 


 


หานหมิงซีล้มตัวลงนั่งกับพื้นอย่างทุลักทุเล ท่าทางคุณชายตระกูลดังที่ถือพัดพับติดมืออยู่เป็นนิจ ถูกโยนทิ้งลงกับพื้นดิน เขากระแอมไอขึ้นสองครั้งแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าข้าเสียเล่า” 


 


 


           “ฮ่าๆ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน เจ้าลำบากตรากตรำคอยวิ่งเต้นให้ฉู่จวินเหวย ก่อนตายข้าก็ควรให้เจ้าได้พบหน้าเขาสักหน่อยใช่หรือไม่ เจ้าวางใจได้ ถึงเวลาข้าจะส่งเขาลงไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย” บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเด็กแซ่ฉู่นั้นก็ช่างใจกล้านัก ไม่เคยอยู่ในยุทธภพคงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้า หานหมิงซีเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ ของของข้าเคยแบ่งให้ผู้ใดเมื่อไรกัน ถึงขั้นกล้าเรียกค่าตอบแทนจากข้า แล้วยังคิดหวังอยากได้ดอกปี้ลั่วอีก หึหึ…แค่กๆ… ตอนนี้ดอกปี้ลั่วอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะคอยดูว่าสำหรับเขาแล้ว สหายที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วันอย่างเจ้านั้นสำคัญหรือว่าของล้ำค่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้นี่จะสำคัญกว่ากัน” 


 


 


           “เหลวไหล…” หานหมิงซีเอ่ยเสียงต่ำด้วยความดูแคลน  


 


 


บัณฑิตขี้โรคดูจะได้ใจเป็นอย่างมาก เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เหลือของเจ้าให้ดีเถิด ทางที่ดีเจ้าควรสวดขอพรให้ฉู่จวินเหวยคิดว่าเจ้าสำคัญจนสามารถมาถึงที่นี่ได้ภายในหนึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าคงต้องจำใจยอมพลาดละครฉากสำคัญ แล้วเอาศพเจ้าคืนให้เขาเท่านั้น” 


 


 


           เยี่ยหลีมองเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเงียบๆ พร้อมย่นคิ้วอย่างใช้ความคิด ไม่นาน องครักษ์ลับสามก็กลับมาข้างกายนางพร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “รอบๆ ไม่มีใครซุ่มอยู่ขอรับ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกยืนขึ้นเดินออกไปด้านนอก องครักษ์ลับสามคิดจะดึงตัวนางไว้ก็ช้าไปเสียแล้ว เยี่ยหลียื่นมืออ้อมหลังมาส่งสัญญาณมือให้เขาซ่อนตัวไว้ เขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เขาหันไปสบตากับองค์รักษ์ลับสองที่ซุ่มอยู่ แล้วจึงจับตามองไปยังผืนหญ้าด้านนอกถ้ำ  

 

 


ตอนที่ 87-3 ตัวตนถูกเปิดเผย

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินประสานมือเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ แววตาบัณฑิตขี้โรคก็เป็นประกายขึ้นทันที “เจ้ามาจริงๆ เสียด้วย” 


 


 


           เยี่ยหลีค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นปกติ นางกวาดสายตามองหานหมิงซีรอบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ หันมองบัณฑิตขี้โรค “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม พอข้ามแม่น้ำได้แล้วก็ทำลายสะพานทิ้งมิใช่นิสัยที่ดีเอาเสียเลยนะ”  


 


 


บัณฑิตขี้โรคหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่งเสียงเหอะพร้อมยิ้มอย่างโหดเ**้ย “ข้ามแม่น้ำแล้วทำลายสะพานทิ้งอย่างนั้นหรือ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าละโมบเกินไป”  


 


 


เยี่ยหลีเคาะพัดพับลงบนฝ่ามือพร้อมถอนหายใจ “ศีลธรรมของคนยุคนี้…ช่างไม่เหมือนกับในอดีตเอาเสียเลยจริงๆ เอาเถิด ถือเสียว่าคราวนี้ข้าโชคไม่ดีเองก็แล้วกัน บอกมาเถิด เจ้าจะทำเช่นไร แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าปล่อยหานหมิงซีเสียก่อนดีหรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวหานหมิงเย่ว์ แต่ข้าคิดว่า…หลิงเถี่ยหานคงไม่ชอบนักที่เจ้าจะทำให้เทียนอี้เก๋อโกรธ” 


 


 


           “เจ้า…ใจกล้านักนะ ถึงขั้นคิดเอาพี่ใหญ่มาข่มขู่ข้า” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกพัดในมือ “เปล่าเลย เพียงแค่พอดีว่าข้ามีพี่ชายท่านหนึ่งที่เป็นสหายรักกับท่านเจ้าสำนักหลิงพอดี และที่พอดีไปกว่านั้นคือ ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ข้าได้บอกเขาเอาไว้แล้ว หากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเราที่นี่ เขาจะได้กลับไปแจ้งข่าวการตายของข้ากับตระกูล และแน่นอนว่าจะไม่ลืมไปแจ้งข่าวนี้แก่คุณชายเฟิงเย่ว์และท่านเจ้าสำนักหลิงด้วย ท่านคิดว่าอย่างไร ศัตรูคู่แค้นเช่นนี้ มีน้อยไปสักคนก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ” 


 


 


           บัณฑิตขี้โรคเหลือบมองหานหมิงซีที่อยู่ที่พื้น แล้วหันกลับมามองเยี่ยหลี “ได้ หานหมิงซีไปได้ ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่” 


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่มีปัญหา” 


 


 


หานหมิงซียังคงนั่งกับพื้นไม่ขยับไปไหน เยี่ยหลีจึงขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอันใดไป บาดเจ็บหนักหรือ” 


 


 


           หานหมิงซีขมวดคิ้วพร้อมส่งเสียงเหอะทีหนึ่ง ผ้าบริเวณขาซ้ายมีสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร เยี่ยหลีก้าวขึ้นหน้าไปสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หมิงซี ท่านเป็นอันใดมากหรือไม่”  


 


 


หานหมิงซีเลยหน้าขึ้นมอง แล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร…จวินเหวย เจ้าไม่ต้องสนใจข้า รีบไปเสีย”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มพร้อมส่ายหน้า “ท่านทำให้บัณฑิตขี้โรคโกรธเพราะข้า ข้าจะทิ้งท่านแล้วหนีไปก่อนได้อย่างไร หมิงซี ก่อนหน้านี้ข้าโกหกท่าน ถือว่าข้าทำไม่ถูก ท่านเรียกข้าด้วยชื่อที่แท้จริงเถิด ชื่อจวินเหวยนี้…อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนัก”  


 


 


สีหน้าหานหมิงซีมีแววประหลาด ก่อนจะพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้น…” 


 


 


           หานหมิงซีพยักหน้า ยกมือขึ้นยื่นไปทางมือเยี่ยหลีที่ยื่นมาให้ 


 


 


           “อย่า!” การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นเอง ในขณะที่มือของหานหมิงซีกำลังจะจับเข้ากับมือของเยี่ยหลีนั้น ก็มีมือพุ่งเข้ามาหาเยี่ยหลีอย่างรวดเร็วประหนึ่งกรงเล็บเหยี่ยว ขณะที่เยี่ยหลียอบตัวลงต่ำพร้อมถอยไปด้านหลังนั้น มือที่เดิมเคยถือพัดอยู่นั้นก็มีประกายจากแผ่นเงินส่องแสงวาบขึ้น และเกือบจะพร้อมๆ กันนั้น ก็มีร่างๆ หนึ่งพุ่งตรงออกมาจากในถ้ำตรงเข้าหาเยี่ยหลีประหนึ่งสายฟ้าฟาด เยี่ยหลีขมวดคิ้วก่อนขว้างกริชในมือออกไปทันที 


 


 


           “แค่กๆ…” คนที่พุ่งตัวเข้าหาเยี่ยหลีนั้นหน้าตาเหมือนหานหมิงซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งอย่างกับแกะ เพียงแต่ในเวลานี้สภาพเขาดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก และมีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก “จวินเหวย…จวินเหวยเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีผลักคนที่อยู่บนตัวออกไป แล้วพูดเสียงเย็นด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่เป็นไร คนที่จะเป็นคือเจ้าต่างหาก เจ้าโง่!” เมื่อครู่ฝ่ามือของคนที่อยู่ตรงข้ามกระแทกเข้ากลางแผ่นหลังเขาเข้าพอดี เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาคมประหนึ่งคมดาบไปยังร่างของอีกฝ่าย “คุณชายหมิงเย่ว์ ตอนนี้ท่านคงพอใจแล้วสินะ”  


 


 


บนหัวไหล่ของหานหมิงซี…หานหมิงเย่ว์ มีกริชปักอยู่เล่มหนึ่ง ชุดสีแดงเข้มมีคราบของเหลวปรากฏขึ้น เขาจ้องมองคนที่เยี่ยหลีประคองอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “หานหมิงซี เจ้าชั่ว เจ้ากำลังทำอันใด ใครให้เจ้าออกมา” 


 


 


           หานหมิงซีทิ้งตัวพิงเยี่ยหลีอย่างไม่มีแรง ร่างของเยี่ยหลีที่เดิมทีก็ไม่สูงอยู่แล้ว เมื่อต้องมาเป็นหลักให้กับคนที่ร่างสูงโปร่งจึงดูทะลักทุเลไม่น้อย  


 


 


หานหมิงซีเองก็กำลังจ้องชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเกือบเหมือนกับตัวเขาอย่างกับแกะอยู่เช่นเดียวกัน เขายิ้มอย่างยั่วโมโหพร้อมกล่าวว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้ว ฝีมือการแสดงห่วยๆ ของเจ้ายังคิดอย่างจะแสดงเป็นข้า ตบตาจวินเหวยไม่ได้หรอก อีกอย่าง… ต่อให้ข้าชั่วอย่างไร ข้ากำไม่ชั่วเท่าเจ้าหรือ” 


 


 


           “บังอาจ! เจ้าคิดจะทิ้งชีวิตเพื่อคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วันนี่น่ะหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็น 


 


 


           หานหมิงซีอึ้งไป กัดฟันตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็เป็นเพื่อนของข้า! ต่อให้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่ก็ดีกว่าท่าน อย่างน้อยจวินเหวยก็มาช่วยข้า เจ้าล่ะ…ทำอันใดอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากข้าแล้วผู้ใดจะสนใจว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย!”  


 


 


เมื่อได้ฟังน้องชายที่กำลังโกรธเคืองพูดแล้ว หานหมิงเย่ว์ดูอึ้งไปไม่น้อย สีหน้าที่มองทั้งสองคนเต็มไปด้วยความสับสน เขาเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว หันมองเยี่ยหลีพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พี่สะใภ้ รบกวนท่านช่วยปล่อยน้องชายข้าก่อน” 


 


 


           หานหมิงซีตัวเกร็งขึ้นทันที ก้มลงจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาจ้องหน้านางประหนึ่งอยากมองให้รู้ว่านางมีตรงใดที่ทำให้หานหมิงเย่ว์เรียกนางว่าพี่สะใภ้ได้  


 


 


พักใหญ่จึงได้ฝืนยิ้มขึ้นอย่างยากลำบากแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ คมมีดคงมิได้ทำให้สมองท่านเลอะเลือนไปหรอกกระมัง เจ้าอย่าได้เที่ยวนับญาติไปทั่ว ข้ามิได้มีพี่ชายอีกคนเสียหน่อย”  


 


 


หานหมิงเย่ว์หัวเราะเสียงเย็นขึ้น ชี้ไปทางเยี่ยหลี “หานหมิงซี เบิกตาเจ้าแล้วดูให้ดีๆ คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้านั่นเป็นชายหรือ หรือว่าเจ้าเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกจนแยกหญิงชายไม่ออกแล้ว” 


 


 


           เยี่ยหลีพยุงหานหมิงซีไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ถอยตัวออกมามองหานหมิงซีด้วยสายตาขอโทษ “พี่หาน ขอโทษด้วย ข้าโกหกท่าน” 


 


 


           หานหมิงซีจ้องหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่แล้วจึงเบ้ปากด้วยความไม่เต็มใจ “เอาเถิด ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นหญิง เห็นแก่ที่พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมา อย่างน้อยเจ้าก็ควรบอกข้าว่าเจ้าเป็นพี่สะใภ้คนใดใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากฟังเจ้าสารเลวนั่นพูด!”  


 


 


เยี่ยหลีหันหน้าไปมองบัณฑิตขี้โรคที่กำลังจ้องมองนางด้วยความโกรธแค้น กับหานหมิงเย่ว์ที่เอาแต่ทำหน้านิ่งอย่างไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ แล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “ข้าชื่อเยี่ยหลี” 


 


 


           “เยี่ยหลี…สวีชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า…ใช่แล้ว สวีชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าจริงๆ เจ้าคือคุณหนูสามตระกูลเยี่ย เจ้า…เจ้าคือ…!” หานหมิงซีจ้องหน้านางนิ่ง สีหน้าเขาดูย่ำแย่ประหนึ่งกลืนแมลงวันลงไป  


 


 


คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเขาเคยพบหน้ามาก่อน…แต่คำถามคือ ชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาตรงหน้านี้ เหมือนกับคุณหนูชนชั้นสูงที่แสนจะเจ้าเล่ห์และชอบวางท่าวางทางสง่างามผู้นั้นกันที่ตรงใดกัน! เขาได้สาบานไว้แล้วว่าจะอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวผู้นั้น เหตุใดหลายวันนี้ยังคอยวนอยู่รอบตัวนางได้ “เจ้าหลอกข้า!” หานหมิงซีชี้หน้านาง  


 


 


เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยด้วยความเสียใจว่า “ขอโทษด้วย” 


 


 


           “ขอโทษก็พอแล้วหรือ ข้าต้องการการชดเชย ซวินหย่าเก๋อ ข้าต้องการอีกส่วนหนึ่ง!” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความยินดี “ไม่มีปัญหา” 


 


 


           หานหมิงซีหรี่ตาลง แล้วเอ่ยเงื่อนไขของตนต่อว่า “อย่างน้อยต้องมีน้ำหอมกลิ่นใหม่สี่ขวดทุกปี” 


 


 


           เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า “ได้” 


 


 


           หานหมิงซีเอียงคอ มองหน้านางประหนึ่งกำลังประเมินว่าคำพูดของนางเชื่อได้หรือไม่ พักใหญ่จึงได้เชิดหน้าขึ้นพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะฝืนใจยอมยกโทษเรื่องที่เจ้าโกหกข้าก็ได้ และจะยอมรับว่าเจ้า เยี่ยหลี เป็นสหายของข้า หานหมิงซี” 


 


 


           เยี่ยหลีไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ได้แต่พูดออกไปว่า “ขอบคุณพี่หานที่ใจกว้างเช่นนี้” 


 


 


           หานหมิงซียังคงส่งเสียงเหอะๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนหันไปปรายตามองหานหมิงเย่ว์ด้วยความดูแคลนว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ยังมีหน้ามาพูดว่าตนเองหาเงินเก่งอีก หากตระกูลหานหวังพึ่งเจ้า คงได้หิวตายกันโขยงใหญ่” 


 


 


           หานหมิงเย่ว์จ้องหน้าหานหมิงซีด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พูดจาไร้สาระจบหรือยัง หากพูดจบแล้วก็ไสหัวหลบไปเสีย” 


 


 


           หานหมิงซีกลอกตาใส่เขา “เจ้าบื้อไปแล้วหรือ หญิงผู้นี้เป็นสหายของข้า เป็นคู่ค้าในอนาคตของข้า เจ้าลองทำอันใดนางดูสิ” 


 


 


           “หานหมิงซี!” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงดุดัน 


 


 


           “ข้ารู้ว่าข้าชื่ออะไร” หานหมิงซีเอนหลังพิงเนินเขาพร้อมเอามือแคะหูด้วยท่าทีเกียจคร้าน 


 


 


           “คุณชายหาน…พวกท่านรื้อฟื้นอดีตกันพอหรือยัง หากยังไม่ลงมือ อีกเดี๋ยวคนของตำหนักติ้งอ๋องมาถึงก็คงสายไปแล้ว” เสียงไม่พอใจของบัณฑิตขี้โรคดังขึ้นที่ด้านหลัง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม