ระบบร้านค้าออนไลน์ 86-120

 TB:บทที่ 86 การได้มาซึ่งหินแห่งดวงอาทิตย์


 


เฉินหลงใช้เวลาปีนขึ้นไปยังส่วนหัวของรูปเคารพอยู่นานทีเดียว ตอนนั้นเองเฉินหลงได้เห็นหน้าผากของรูปเคารพที่มีอัญมณีสีทองอร่ามขนาดเท่ากับฝ่ามือฝังอยู่ เฉินหลงใช้แว่นตาวิเคราะห์เพื่อวิเคราะห์อัญมณี แว่นตานี้วิเคราะห์ได้แม้ว่าของชิ้นนั้นจะเป็นเครื่องมือระดับกึ่งอาวุธ แต่ครั้งนี้จู่ๆก็คล้ายกับว่าแว่นตาวิเคราะห์กำลังจะพัง


“หินแห่งดวงอาทิตย์”


หลังจากที่วิเคราะห์ชื่อของอัญมณีออกมาได้ แว่นตาวิเคราะห์ของเฉินหลงก็หายวับไปเพราะใช้ครบตามจำนวนครั้งแล้ว


“แค่ชื่อเหรอ” ปกติแล้วแว่นตาวิเคราะห์จะวิเคราะห์ได้มากกว่านี้ เฉินหลงพูดอะไรไม่ออกในทันที


แว่นตาวิเคราะห์จะวิเคราะห์ของเพียงน้อยชิ้นไม่ได้เท่านั้น และการที่เป็นแบบนั้นทำให้เฉินหลงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก และจากที่ได้ฟังคำพูดของเทียนซิงจื่อมา เฉินหลงไม่รู้แล้วว่าเขาควรจะจับหินนี้ด้วยมือเปล่าหรือไม่


จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในวิหาร


ภาษาที่พูดขึ้นมาเป็นภาษาที่เฉินหลงไม่เคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่เขากลับเข้าใจความหมาย


“หลังหลายปีผ่านไป ในที่สุดก็มีคนมาเสียที ขอให้ข้าได้แนะนำตัวเถิด ชื่อของข้าคือเฮลิออส เทพแห่งดวงอาทิตย์ของเจ้า ที่แห่งนี้คือวิหารที่เหล่าคนของข้าสร้างขึ้นมาให้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าจากไปยังที่ที่เจ้าไม่สามารถจะจินตนาการได้แล้ว สิ่งที่เจ้าได้ยินอยู่นี้เป็นเพียงข้อความที่ข้าทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นต่อไป ข้ารู้ว่าจุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่คือหินแห่งดวงอาทิตย์ของข้า หินแห่งดวงอาทิตย์นี้มีหยาดเลือดศักดิ์สิทธิ์ของข้าและมีทักษะ “ดวงอาทิตย์สุตราที่แผดเผา”อยู่ สิ่งที่มีอยู่นั้นคือของขวัญจากข้าที่ทิ้งไว้ให้ แม้ของสองชิ้นนี้จะเป็นของที่ดีแต่ก็ไม่ง่ายที่จะได้ไป ทางเดียวที่จะได้ครอบครองคือเจ้าจะต้องผ่านแบบทดสอบที่ข้าทิ้งไว้ให้เท่านั้น จึงจะได้หินแห่งดวงอาทิตย์ไปครอง จงไปและหลังจากแบบทดสอบเสร็จสิ้นเจ้าจะได้รับมรดกของข้าไป”


หลังจากเสียงพูดเงียบไป เฉินหลงไม่มีเวลาให้คิดว่าเป็นแบบทดสอบอะไรด้วยซ้ำ รูปเคารพส่งพลังออกมาใส่เฉินหลงอย่างแรง เขาล้มลงไปกับพื้น และคงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่เฉินหลงไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย


ในขณะที่เฉินหลงกำลังมองรูปเคารพด้วยความตกใจอยู่นั้นจู่ๆรูปสลักหัวสัตว์ประหลาดที่คุกเข่าอยู่รวมถึงรูปสลักมนุษย์ทั้งสี่สิบแปดชิ้นก็ยืนขึ้นมาทันที พวกมันเบิกตากว้างและมองไปที่เฉินหลง


ภาพที่น่ากลัวนี้ทำให้เฉินหลงถอยหลังไปสองสามก้าว


และในตอนนั้นหุ่นรูปคนที่มีหัวเป็นนกก็สยายปีกกว้างและบินตรงไปหาเฉินหลงในทันที


ขาของมันกลายเป็นกรงเล็บแหลม เฉินหลงมองดูทั้งน้ำหนักและความเร็วของมัน เขากลัวเหลือเกินว่ากระดูกเขาจะแตกเป็นชิ้นๆหากมันจับเขาได้


การที่เขาได้เห็นพลังของหุ่นครึ่งคนครึ่งนกนี้ทำให้เขานึกโกรธในใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่มันบททดสอบอะไรกัน เขารู้สึกอยากจะแกล้งตายเสียเองแล้ว


เฉินหลงทำอะไรไม่ได้นอกจากกลิ้งหลบหุ่นครึ่งคนครึ่งนกไปมา


เมื่อกรงเล็บของมันแตะบนพื้นหินมันก็จับกรวดขึ้นมาและกระจายไปทั่วในทันที หินกรวดกระจายมาบาดหน้าเฉินหลงทำให้เขารู้สึกเจ็บ เมื่อนึกภาพว่ามันใช้กรงเล็บจับเขาได้ เฉินหลงจะต้องบาดเจ็บอย่างหนักแน่นอน ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วก็ตามแต่ถ้าโดนสัตว์ประหลาดหินนี่จับได้ละก็ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่


“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีละ” ตอนนี้เฉินหลงทำตัวเป็นลาขี้เกียจๆตัวหนึ่งแล้วกลิ้งไปมาขณะที่คิดในหัวไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไป “เรามีอาวุธเก็บอยู่มากมายนักนี่นา เอาออกมาใช้ให้สุดๆไปเลยดีกว่า”


เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฉินหลงก็หยิบ “โล่ป้องกัน” ออกมาจากแหวนในมือเขาและปลุกใช้ ม่านเกราะพลังงานคลุมตัวเฉินหลงในทันที


ภายหลังจากที่เปิดใช้โล่พลังงานแล้ว กรงเล็บของรูปปั้นครึ่งนกครึ่งคนก็จับโล่พลังงานนี้แต่กลับไม่มีผลอะไรกับโล่พลังงานเลย คล้ายกับว่าหุ่นครึ่งคนครึ่งนกบินชนกำแพง ตอนนี้ตัวของมันติดอยู่บนโล่พลังงาน


เฉินหลงอดขำไม่ได้กับภาพหุ่นครึ่งคนครึ่งนกที่ติดอยู่บนกระจกใสแบบนี้


“เครื่องมือกึ่งเวทย์มนต์ก็ยังเป็นเครื่องมือกึ่งเวทย์มนต์อยู่ สุดยอดจริงๆ” ตอนนี้เฉินหลงเย็นลงแล้ว


จากนั้นเขาสวม “มงกุฎแห่งชีวิต” และนำเครื่องมือกึ่งเทวาที่ชื่อว่าค้อนแห่งแรงโน้มถ่วงออกมาใช้


“ค้อนแห่งแรงโน้มถ่วง” เป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายเหมือนกับชื่อ รูปร่างของเครื่องมือชิ้นนี้เป็นเหมือนค้อนหลอมเหล็กแต่การใช้งานช่างทรงพลัง มันสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ ไม่ใช่เพียงทวีความหนักของแรงโน้มถ่วงเท่านั้น แต่ยังลดแรงโน้มถ่วงได้อีกด้วย อีกทั้งยังเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้มากที่สุดถึงร้อยเท่า ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเดี่ยวหรือกลุ่ม เครื่องมือชิ้นนี้ก็เหมาะสมยิ่ง


เฉินหลงไร้พ่ายได้เพียงสิบนาทีเท่านั้น เขาจึงต้องเร่งตัดสินใจ


และเมื่อเขามีเครื่องมือแล้วหุ่นครึ่งคนครึ่งนกก็เปิดช่องว่างให้กับเฉินหลง มันมองเฉินหลงด้วยสายตา “ความแค้นนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”


“กล้าดีอย่างไรมามองฉันแบบนั้น เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะเลย”


เฉินหลงพุ่งไปข้างหน้าเขาทุบหุ่นครึ่งคนครึ่งนกด้วยค้อน


ด้วยน้ำหนักของค้อนนี้แรงโน้มถ่วงได้เพิ่มขึ้นไปห้าสิบเท่า หุ่นครึ่งคนครึ่งนกถูกทุบป่นปี้


เมื่อได้เห็นหุ่นนั่นกลายเป็นแค่เศษหินแล้ว เฉินหลงรู้สึกดีเป็นอย่างมาก


และหลังจากหุ่นนกนี่ทลายไปแล้วรูปสลักชายที่มีหัวเป็นหมาป่าก็พุ่งเข้าหาเฉินหลงทันที


เฉินหลงไม่รอช้าเขาใช้ค้อนทุบอีกรอบ รูปสลักหินนั้นโดนทุบจนป่นปี้เช่นกัน


หลังจากนั้นรูปสลักสี่ชิ้น แปดชิ้น สิบหกชิ้น และอีกสิบเจ็ดชิ้น ก็เข้ามาโจมตีพร้อมกัน


ด้วยพลังของเทวาครึ่งเทพมีแต่ฝ่ายพวกมันเท่านั้นที่จะโดนฆ่า ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นหินไร้ชีวิตอยู่แล้ว


เมื่อเฉินหลงทุบหุ่นพวกนั้นจนพังย่อยยับหมดแล้ว เสียงพูดดังขึ้นอีกครั้ง


“ยินดีด้วย บริวารของข้า เจ้าได้ผ่านบทดสอบที่ข้าทิ้งไว้แล้ว และตอนนี้เจ้ามีค่าพอที่จะได้รับมรดกของข้า”


หลังเสียงนั้นเงียบไปหินแห่งดวงอาทิตย์ที่ฝังบนหัวของรูปเคารพก็ลอยขึ้นช้าๆและหล่นลงบนมือของเฉินหลง


ขณะนั้นเองรูปสลักพวกนั้นที่เฉินหลงพังไปก็ลอยกลับมาประกอบกันอีกครั้งหนึ่งทีละตัวด้วยพลังที่ไม่ทราบที่มา


“อัญมณีจะบอกวิธีการให้เจ้าเอง ตอนนี้ข้าให้เจ้าออกไปได้”


มีพลังปรากฏขึ้นตรงที่เท้าเฉินหลง จากนั้นเฉินหลงก็หายวับไปจากวิหารในทันที สุดท้ายวิหารก็กลับสู่ความสงบดังเดิมทว่าไม่มีของประดับที่สร้างความงดงามทั้งหลายอีกแล้ว


เฉินหลงกลับไปทีตรอกมืดอีกครั้ง


ไม่รู้ว่าดวงของเฉินหลงดีหรือแย่กันแน่เพราะเขาได้พบกับพวกผู้ชายที่กำลังรังแกผู้หญิง


การที่ได้เห็นเฉินหลงที่จู่ๆก็ปรากฏตัวแบบนี้ ตาของหญิงสาวที่หมดหวังไปแล้วกลับมามีประกายด้วยความหวัง


เฉินหลงที่โผล่มาแบบกะทันหันทำให้ชายหลายคนสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นอัญมณีในมือเฉินหลงและ “มงกุฎแห่งชีวิต”บนหัวของเขา อีกทั้งยังมีอัญมณีมีค่าทั้งหลายในมือ ตาของชายพวกนั้นก็มีประกายแห่งความต้องการในทันที


ตอนที่เฉินหลงโดนส่งออกมาจากวิหาร เขาไม่ได้เก็บของอะไรเลย และของมีค่าพวกนั้นได้ปลุกเร้าความต้องการของคนโลภพวกนี้


“ฮะฮะ เหมือนวันนี้จะเป็นวันโชคดีของพี่ชายของเราเลยนะ เราไม่ได้มีแค่ผู้หญิงมาทำให้เรามีความสุขอย่างเดียว แต่นี่ยังมีคนรวยโผล่มาอีก ถึงเวลาที่พี่ชายเราจะยื่นของมาให้แล้ว” ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างตื่นเต้น


“พี่ใหญ่ มองกางเกงเราสิ ทำอย่างไรดีล่ะ” ชายคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าขมขื่น


“จะว่าอย่างไรล่ะถ้าให้ใส่กลับ เพราะหลังจัดการหมอนี่ เราก็จะรวยแล้ว” ชายคนแรกตอบด้วยความตื่นเต้นและมอง ลูกน้องของเขาที่พูดขึ้นมา


TB:บทที่ 87 ผู้คนที่น่าสนใจ


“ใช่แล้ว”


ชายคนนั้นคิดแล้วใส่กางเกง


“อยากได้เพชรในมือฉันเหรอ” เฉินหลงยกอัญมณีในมือเขาขึ้นมา


“เอามาให้เราซะ แกถึงจะไปได้” ชายคนแรกกล่าวเขาหยิบท่อนไม้ขึ้นมาจากบนพื้น


พรรคพวกของมันบางคนหยิบท่อนไม้ขึ้นจากพื้นบางคนหยิบมีดบาลีซองออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ควงมีดขู่เฉินหลง


พวกมันสั่งให้พรรคพวกคนหนึ่งเฝ้าหญิงสาวไว้เพื่อกันเธอหนีไป


“อยากได้ ก็เข้ามาเอาเองสิ” เฉินหลงกระดิกนิ้วท้าทายใส่พวกมัน


ความโลภช่างแรงกล้าจนทำให้คนบางคนขาดสติ


แม้จะเห็นอยู่ชัดๆว่าเฉินหลงปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่อย่างแปลกประหลาดที่สุด แต่พวกอันธพาลพวกนี้ก็เห็นว่าเฉินหลงท้าทายเหลือเกิน พวกมันทุกคนพุ่งเข้าใส่เฉินหลง


“ให้แรงกดสักสิบเท่าแล้วกัน” เฉินหลงยิ้มและโยนค้อนใส่คนพวกนั้น


ตอนที่อยู่บนเขานั่น ใช้แรงกดมากกว่าสิบเท่าเสียอีก


แต่อย่างไรเสีย เฉินหลงก็ไม่ได้อยากฆ่าใคร เขาจึงปล่อยให้แรงกดจัดการพวกมันสักสิบวินาทีแล้วค่อยทำให้กลับเป็นปกติ


เมื่อได้เห็นสภาพของพรรคพวกที่น่าอนาถแล้ว ชายอีกคนที่เฝ้าผู้หญิงอยู่ก็รู้สึกกลัวจับใจจนแขนขาอ่อนเปลี้ยไปหมด มันเหลือบมองสีหน้าของเฉินหลง ตอนนี้มันอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญหาย


เฉินหลงยิ้มและเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น


ชายคนที่เฝ้าผู้หญิงอยู่เมื่อเห็นเฉินหลงเดินมาทางตนก็คิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีของตัวเอง มันคุกเข่าให้เฉินหลงทันทีแล้วมันทำท่าทีอ่อนน้อมและพูดด้วยน้ำตานองหน้าว่า


“อย่า อย่าเข้ามาเลยนะครับ ผมรู้ว่าผมทำผิดไปแล้ว ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ได้โปรดเถอะ อย่าทำอะไรผมเลย”


“ผู้หญิงไม่ควรออกมาเที่ยวตอนดึกดื่น ถ้ากลับบ้านเองได้ ก็ไปซะนะ” เฉินหลงไม่ได้สนใจชายคนนั้นแต่อย่างใด เขาเพียงกล่าวกับหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่กับพื้น เสื้อผ้าของเธอยับยู่ยี้


“อย่างแรกเลย คุณเป็นพระเจ้าหรือ” หญิงสาวพูดโพล่งทันที น้ำเสียงยังคงดีอยู่ น่าจะไม่แก่ด้วย


“พระเจ้างั้นหรือ ไม่ใช่หรอก พวกผู้หญิงน่ะชอบบอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้านี่” เฉินหลงไม่รู้จะพูดอย่างไร


“คุณบอกชื่อได้ไหม แล้วฉันจะทดแทนบุญคุณของคุณ” หญิงสาวค่อยๆยืนขึ้น เธอสูงมาก ราวๆร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเป็นส่วนสูงที่กำลังดี


“ไม่ล่ะ แต่ถ้าเราเจอกันอีกรอบก็มาทดแทนได้” เฉินหลงว่าต่อ “แต่ว่านะ ขอถามหน่อยสิ ที่นี่คือที่ไหนกัน”


“ที่นี่คือถนนพาลาด้า ในเมืองลาปาส” หญิงสาว ไม่สิเด็กสาวเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ


หลังจากที่เข้ามาใกล้แล้ว เฉินหลงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธออายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีอีกทั้งน่าจะเป็นคนท้องถิ่น เธอสวยมากทีเดียว และอาจเพราะเธอโดนคนพวกนั้นจับตัวไว้เลยทำให้บนใบหน้าของเธอมีรอยเปื้อน


ตอนที่เฉินหลงได้ยินว่าเขากลับมาที่เมืองลาปาสแล้วเขารู้สึกโล่งใจ “เทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์” คงรู้อะไรสักอย่าง เลยส่งเฉินหลงกลับมา


“นี่ ตอนกลางคืนมันไม่ปลอดภัยนะ รีบกลับบ้านเถอะ” เฉินหลงกล่าวกับเด็กสาวว่าควรไปได้แล้ว


“ฉันชื่อแอนนาไฮม์นะคะ” เด็กสาวบอกกับเฉินหลง


เฉินหลงยิ้มให้กับเด็กสาว เธอจับมือเขาเขย่าแล้วก็จากไป


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เฉินหลงกลับไปถึงโรงแรม ทั้งลู่หงและเทียซิงไม่ได้พักผ่อนเลยแต่เมื่อได้เจอเฉินหลงแล้วพวกเขาได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน


เมื่อเฉินหลงอาบน้ำเสร็จเขาก็นอนลงบนเตียง


การได้ “หินแห่งแสงอาทิตย์” มาคราวนี้ช่างง่ายดาย แต่ถ้ามองว่ายากก็กล่าวได้ว่ายาก ถ้าไม่นับเรื่องปัญหานิดหน่อยเรื่องรูปเคารพตอนแรกที่เป็นเพราะเขาเอง ทุกอย่างก็ราบรื่นดี


จริงๆแล้วเฉินหลงไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนั้น เฉินหลงเพียงแค่โชคดีที่มีแว่นตาวิเคราะห์มาช่วยวิเคราะห์เครื่องมือกึ่งอาวุธ ถ้าเขาไม่ได้มันเขาก็คงไม่ได้เครื่องมือพวกนี้มาหรอก เขาคิดถึงความลำบากตอนที่เขารับมือกับรูปสลักทั้งสี่สิบแปดชิ้นว่าความยากมันระดับสิบเลยทีเดียว และถ้าเขาไม่มีอุปกรณ์พวกนี้ เขาคงเดี้ยงหลังโดนโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว


หลังจากที่เขานอนคิดเรื่อยเปื่อยบนเตียงได้ครู่หนึ่งเขาก็หยิบ “หินแห่งดวงอาทิตย์” ออกมาจากแหวนมิติ


และในตอนนั้นเอง ข้อความได้พรั่งพรูออกมาจาก “หินแห่งดวงอาทิตย์” เมื่อได้รู้ข้อมูลพวกนั้นแล้วเฉินหลงก็รู้สึกเหมือนได้กินแมลงวันเข้าไป


เพราะกลายเป็นว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์เป็นชายหน้าตาดีทีเดียว เขารู้สึกว่าการเก็บสกิลของเขาและหยาดเลือดศักดิ์สิทธิ์ไว้ในแหวนมิติก็คล้ายกับเป็นการดูถูกดีๆนี่เอง ดังนั้นเขาจึงเก็บเครื่องมือต่างๆไว้ใน “หินแห่งดวงอาทิตย์” ด้วยวิธีลับ เจ้า “หินแห่งดวงอาทิตย์” นี้เป็นวัตถุดิบที่เยี่ยมที่สุดสำหรับทำที่เก็บอุปกรณ์ และด้วยพลังของ “เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์”มันจึงสามารถสร้างพื้นที่ได้ในหินแห่งดวงอาทิตย์ แต่อย่างไรก็ไม่ควรลืมว่าหินแห่งดวงอาทิตย์ยังเป็นอัญมณีที่ทรงพลังที่สุดอยู่


ไม่รู้ด้วยเหตุอะไรแต่เฉินหลงรู้สึกรังเกียจ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขที่ว่าความแข็งแกร่ง ผู้ใช้และธรรมชาติของเครื่องมือต้องเป็นหนึ่งเดียวกันหรือเปล่า แต่เฉินหลงไม่ชอบใจเท่าไรนักในข้อนี้ เขาไม่ชอบมาก่อนจะได้รู้ข้อมูลจาก“หินแห่งดวงอาทิตย์”เสียด้วยซ้ำ


ในตอนนี้เฉินหลงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เขายังห่างไกลจากการเป็นเช่นนั้น


และแล้วเฉินหลงก็ทำได้เพียงเก็บ “หินแห่งดวงอาทิตย์” ไว้ในแหวนมิติแล้วเขาก็พักผ่อน


เวลาต่อมาเฉินหลงเที่ยวเล่นที่เมืองโบลิเวียอยู่สองสามวัน หลังจากช่วงเวลาที่ลำบาก เขามักจะต้องไปชมวิวทิวทัศน์


ห้าวันผ่านไป เฉินหลงเดินทางกลับด้วยเครื่องบิน


เขากลับมาถึงเมืองหลวงและในขณะที่เขากำลังลงจากเครื่องบินนั้นเองจู่ๆก็มีคนมาขวางเขาไว้


“คุณเฉินครับ เจ้านายของเราอยากจะคุยกับคุณหน่อย ช่วยมากับผมทีนะครับ”


ตรงหน้าเฉินหลงปรากฏคนที่น่าจะแก่กว่าเขานิดหน่อย เขามีเครื่องหน้างดงาม เบ้าตาลึก จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบางเย้ายวน มีคางเล็กแหลม สันกรามชัดเจน และมีสีหน้าของความเย้ยหยัน


“ผมเพิ่งจะกลับมานะ ผมอยากจะพักผ่อน ถ้าหากมีธูระอะไรค่อยคุยกันหลังผมไปพักก่อนได้ไหมครับ” เฉินหลงกล่าวตอบอย่างสุภาพ


ตอนที่เขาลงมาจากเครื่องบินแล้วเขาโดนขวางไว้ เขารู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน เขาเดินผ่านชายคนนั้นไปโดยไม่มอง


“ครับ ผมจะรอให้คุณได้พักผ่อนก่อน แต่ว่านะ ผมลืมบอกไป ตอนนี้เพื่อนๆของคุณน่ะอยู่กับคนสกุลซ่งของเรานะครับ” ชายคนนั้นไม่ได้ใส่ใจเฉินหลง เขายังคงยิ้มแย้ม


“แกและคนสกุลซ่งของแกกำลังท้าทายฉัน” เฉินหลงได้ยินคำพูดของชายคนนั้นแล้วเขาก็หันกลับมามองหมอนั่นทันทีด้วยสีหน้าเย็นชา


“เหรอครับ เรื่องนี้ต้องเป็นคนอื่นสิครับที่มาท้าพวกเราก่อนน่ะ” ชายคนดังกล่าวยังคงมองเฉินหลงอย่างใจเย็น


แม้พลังของเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าเฉินหลงก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ขลาดกลัวอะไรต่อสีหน้าเฉินหลงตอนนี้เลย นั่นเป็นเพราะ เขาเป็นคนของสกุลซ่ง


“ถ้ามีใครมาซ้อมแกจนตาย แกจะแก้แค้นไหมล่ะ” เฉินหลงมองชายคนนั้น


“ช่างเถอะ ดูแลเพื่อนฉันดีๆแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะไปเจอสกุลซ่งของแกด้วยตัวฉันเอง แต่ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรแม้แต่ผมเส้นเดียว ฉันขอให้สกุลซ่งรับมือความโกรธของฉันให้ได้ก็แล้วกัน ฉันจะไปคนเดียว ฉันไม่ได้มีคนเยอะแบบสกุลซ่งหรอกนะ”


หลังจากเขาทิ้งคำพูดที่คล้ายคำขู่ไว้ เฉินหลงและลู่หงก็เดินไป


“น่าสนใจนี่ เป็นคนที่น่าสนใจเสียจริง” เขามองแผ่นหลังของเฉินหลง ดวงตาฉายแววขี้เล่น


TB:บทที่ 88 ซ่งฟู่


เฉินหลงพักที่ห้องพักชั้นพิเศษที่โรงแรมหนึ่งคืนก่อนที่วันต่อมาเขาจะพาลู่หงและเทียซิงไปพบสกุลซ่งด้วยกัน


แม้เฉินหลงจะไม่เคยไปบ้านของสกุลซ่งมาก่อนก็ตาม แต่เขาหาที่นั่นได้ไม่ยาก เนื่องจากชื่อเสียงของสกุลซ่งในเมืองหลวงแห่งนี้


ก่อนหน้านี้เฉินหลงเคยซื้อรถเอาไว้ เมื่อถึงหน้าคฤหาสน์สกุลซ่งรถแท็กซี่สีส้มจอดก่อนที่จะขับออกไป


คฤหาสน์ของสกุลซ่งกินพื้นที่ถึงประมาณสิบสองถึงสิบห้าไร่เป็นขนาดพื้นที่ในเมืองหลวงที่ไม่น้อยเลย คฤหาสน์นี้สร้างขึ้นใหม่จากราชวังในสมัยราชวงศ์ชิง รูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรรมยังเป็นแบบของราชวงศ์ชิง ทว่าใช้วัสดุสมัยใหม่ในการสร้าง บนขื่อประตูมีป้ายที่เขียนด้วยอักษรหน้าสองตัว “ซ่งฟู่”


หลังลงจากรถ ลู่หงเดินไปยังประตูใหญ่ของสกุลซ่ง เขาใช้กำปั้นใหญ่ทั้งสองทุบประตูอย่างแรงด้วยความไร้มารยาท ถ้าเฉินหลงไม่ได้ห้ามประตูสองบานนี้คงโดนลู่หงทำลายไปจนสิ้นแล้ว


“คุณเฉินนี่เป็นผู้ศรัทธาแน่ๆเลย” ชายคนที่เฉินหลงเจอเมื่อวานเปิดกลอนของประตูจากด้านใน


“แกไม่ได้เป็นแค่คนส่งสาส์นแต่ยังเป็นคนเปิดประตูด้วยเหรอ” เฉินหลงไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่ เขาจึงไม่ทำตัวสุภาพแต่อย่างใด


“คุณเฉินนี่เป็นคนตลกจริงๆเลยนะครับเนี่ย ผมไม่ใช่คนรับใช้หรอกครับ ผมชื่อ ซ่งเจิ้ง”


อารมณ์ของซ่งเจิ้งช่างลึกซึ้ง ท่าทีเขาไม่ปลี่ยนไปตามคำพูดของเฉินหลงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้ม


ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงดีกว่าฉันหรือ ทำไมลูกพี่เฉินหลงถึงตั้งใจทำตัวเหมือนเป็นรังโจรกัน


“คุณเฉินตามผมมานะครับ” ซ่งเจิ้งยังคงยิ้มอยู่ราวกับว่าเขาไม่ได้โกรธ


เมื่อผ่านประตูไปแล้ว ทัศนียภาพที่เฉินหลงได้เห็นคือพื้นที่กว้างใจกลางคฤหาสน์ การได้เดินข้างในนั้นช่างเหมือนกับเดินบนภูเขาและแม่น้ำ


“พวกคนรวยนี่เป็นเหมือนกระทิงจริงๆ”


หลังจากเดินตามซ่งเจิ้งไป เฉินหลงและอีกสามคนก็ได้มาถึงห้องหลักของพื้นที่กว้างใจกลางคฤหาสน์แห่งนี้


ประตูของห้องหลักเปิดออกมา เฉินหลงเห็น เจิ้งอี้ ซวีหมิงเหม่ย และเฉียนชานเจียอยู่ในนั้น ตรงกลางของห้องใกล้ๆกับที่กั้นคือเก้าอี้นวมขนาดใหญ่ ชายอายุราวๆห้าสิบปีนั่งอยู่บนนั้น ชายคนนี้เป็นผู้นำคนปัจจุบันของสกุลซ่ง ชื่อซ่งเทียนเจี่ย


เมื่อเฉียนชานเจียนเห็นเฉินหลง รอยยิ้มที่ขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า  ในขณะที่เจิ้งอี้และซวีหมิงเหม่ยกลับมีสีหน้าปกติ นั่นเป็นเพราะคนหนึ่งเป็นหุ่นยนต์และอีกคนหนึ่งเป็นลูกน้องที่ภักดี พวกเขาจะไม่ทำตัวเป็นภาระแก่เฉินหลง


ซ่งเจิ้งพาคนทั้งสามเข้ามาในห้อง เขาโค้งคำนับให้เทียนเจียและเดินไปยืนข้างๆ สถานะของเขาคงสูงพอสมควร


“นายคือเฉินหลงหรือ คนที่เป็นยอดมนุษย์ตั้งแต่ยังหนุ่ม” ซ่งเทียนเจี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้เห็นหน้าเฉินหลง


“ยอดมนุษย์ไม่กล้าเรียกตัวเองว่ายอดมนุษย์หรอกครับ พวกเขาแค่คนที่ไม่ชอบการโดนรังแก” เฉินหลงไม่ได้แสดงท่าทีถ่อมตัวหรือโอหัง


เฉินหลงใช้เครื่องสืบหาเพื่อตรวจสอบดู เขาได้รู้ว่าคนตรงหน้าเขาตอนนี้คือนายใหญ่คนปัจจุบันของสกุลซ่ง ชื่อซ่งเทียนเจี่ย เขามีพลังกล้าแกร่งยิ่งกว่าเฉินหลง


เฉินหลงและซ่งเทียนเจี่ยเป็นระดับปรมจารย์ทั้งคู่ ทว่าในแต่ละระดับต่างก็มีจุดด้อยและจุดแข็ง อีกทั้งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้อีกด้วยที่คนที่เพิ่งมีพลังระดับสูงจะเทียบเท่าได้กับคนที่เป็นระดับสูงมาเป็นเวลานาน


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เฉินหลงก็ไม่กลัวชายคนนี้ และเนื่องจากอุปกรณ์ที่เขามี เขาไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้


“เชิญนั่งก่อน” ซ่งเทียนเจี่ยชี้ไปที่เก้าอี้ว่าง


เก้าอี้พวกนี้ทำจากไม้โรสวู้ดสีเหลืองทั้งหมด แต่ละตัวราคาหลายล้าน


แน่นอนว่าถ้าเขาไม่มีแว่นตาวิเคราะห์ก็ไม่มีทางรู้ได้เลย เขานั่งลง


“นายใหญ่ซ่งครับ ตอนนี้ผมก็อยู่ที่นี่แล้ว โปรดพูดธุระของคุณมาเถอะ และพอเรื่องจบแล้วผมจะได้พาเพื่อนผมกลับ พวกเขาไม่ชอบใจที่จะอยู่ที่นี่กันเท่าไร” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยแล้วเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่เขานั่งลง


“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่” ซ่งเทียนเจี่ยมองเฉินหลงด้วยสายตาใคร่รู้


เขาไม่เคยเจอเฉินหลงมาก่อน ทำไมเขาถึงจึงจะไม่รู้เรื่องนี้ จากข้อมูลที่เขามีเขารู้ว่าเฉินหลงไม่เคยได้ติดต่อกับคนใหญ่คนโตมาก่อน เขารู้อยู่แก่ใจ


“ไม่” เฉินหลงส่ายหัว


“แล้ว นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นนายใหญ่ของสกุลซ่ง” ซ่งเทียนเจี่ยว่า


“เมื่อวานคุณส่งสาส์นมานี่ ว่านายใหญ่ของสกุลซ่งต้องการพบผม แล้วตอนนี้ก็มีคนพาผมมาพบคุณ แถมคุณยังนั่งอยู่บนบัลลังก์นั่นอีก คุณเป็นใครละครับ” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยด้วยสีหน้าปกติ


“ถ้านายรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร นายก็น่าจะรู้ว่าทำไมฉันถึงขอให้นายมาที่นี่” ซ่งเทียนเจี่ยกล่าว ขณะที่เขาพูดอยู่เขาก็ใช้นิ้วก้อยที่ตั้งไว้บนที่วางแขนเคาะเป็นจังหวะ


“นายใหญ่ของสกุลซ่งน่าจะติดต่อผมมาเพราะเรื่องที่ลาปาส ครับ ผมยอมรับว่าผมทำไปเพราะอยากจะทำร้ายพวกเขาและทำให้พวกเขาทำงานต่อไปอีกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าสกุลซ่งให้ไปรังแกคนอื่นหรือครับ แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้คนอื่นเอาคืนด้วยนี่ครับ” เฉินหลงกล่าวไม่ได้มีท่าทีเอาชนะ


“นายพูดถูกแล้วล่ะ บนโลกนี้น่ะมันอยู่ได้ด้วยกำปั้นที่ใหญ่และใครเป็นเจ้าของกำปั้นนั้น หรือใครจะทำร้ายคนอื่นได้และใครที่ไม่มีกำลังพอจะตอบโต้คนที่มาทำร้าย พลังของนายก็แข็งแกร่งทีเดียวแต่คิดจริงๆหรือว่านายคนเดียวจะต่อกรกับคนทั้งสกุลนี้ได้” ร่างกายของซ่งเทียนเจี่ยในตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนือกว่าเนื่องจากเขาสามารถตัดสินความเป็นตายของผู้อื่นได้ดั่งใจ


ตอนที่ซ่งเต๋ากลับมาที่บ้านสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยพบว่าคนที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตนเองและมักไม่ย่อท้อต่อสิ่งใดอย่างซ่งเต๋ากลับสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองไป ดาบของเขาไม่คมอย่างที่เคยเป็นแล้ว


และเพราะเขาเป็นดั่งกระดูกสันหลังของสกุลซ่ง ถ้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นจะต้องสร้างความเสียหายอย่างมากกับสกุลซ่งอย่างแน่นอน


ตอนที่ซ่งเต๋ากลับมา ซ่งเทียนเจี่ยให้คำปรึกษาด้านจิตใจกับเขามาตลอดเพื่อเรียกให้ความมั่นใจของเขากลับมา ไม่ว่าจะด้วยเพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวนี้หรือเพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ก็ตาม ซ่งเทียนเจี่ยอยากให้ซ่งเต๋ากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง อีกทั้งยังเนื่องจากว่าเมื่อความมั่นใจของใครคนหนึ่งได้สูญเสียไปแล้วการสร้างให้กลับมาใหม่นั้นไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้นการที่เขารู้สึกขุ่นเคืองใจต่อเฉินหลงก็คงเป็นเรื่องที่พอนึกออก


“คิดว่าผมไม่มีพลังพออย่างนั้นหรือครับ” เฉินหลงหันหน้าเปื้อนยิ้มไปทางซ่งเทียนเจี่ย


ถ้าเขาไม่ได้มีเครื่องมืออยู่และถึงแม้เขาจะมีระบบแต่เฉินหลงคงไม่กล้าสู้กับสกุลซ่ง ทว่าในตอนนี้ที่เขามีเครื่องมือพวกนี้แล้ว อีกอย่างเขาทำลายรูปปั้นที่มีพลังแข็งแกร่งโดยกำเนิดจนย่อยยับ กับแค่จัดการสกุลนี้ก็คงไม่ครนามือเขา


“งั้นหรือ” ซ่งเทียนเจี่ยมองเฉินหลงด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ก็ลองได้นี่ครับ” เฉินหลงกล่าวอย่างใจเย็น


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉียนชานเจียหมดคำพูดที่จะพูดกับเฉินหลง เจ้าน้องชายเขาเป็นบ้าไปแล้ว ถึงเขาจะแข็งแกร่งมากๆแต่อีกผ่ายก็เป็นตระกูลใหญ่ที่สามารถใช้คนมาฆ่าพวกเขาได้


ซ่งเจี่ยเจี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆมองเฉินหลงด้วยความตกใจ เขารู้ว่าเฉินหลงไม่ได้โอ้อวดไปอย่างนั้นแต่เขามีความมั่นใจอย่างมาก มีพลังอะไรสักอย่างหนุนหลังเขาอยู่หรือ


ตอนนั้นซ่งเทียนเจี่ยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ หลังเขาได้เป็นนายใหญ่ของสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยวางแผนรับมือได้ทุกอย่าง แต่วันนี้เขารู้สึกลังเลเป็นครั้งแรกเมื่ออยู่เบื้องหน้าเฉินหลง


TB:บทที่ 89 สิบต่อหนึ่งกระบวนท่า


 


ตอนนี้เฉินหลงเป็นเหมือนลิงที่จู่ๆก็ได้ออกมาจากหิน พลังของเขาพัฒนาเร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะได้ “โฮชิงจือ”มา กำลังของเขาเกือบเทียบเท่าได้กับ “โฮชิงจือ”แล้ว อีกอย่างตอนนี้พลังของเขาสามารถบดขยี้ซ่งเต๋าได้อย่างเด็ดขาดด้วย ซ่งเทียนเจี่ยเชื่อว่าไม่มีทางที่จะไม่มีพลังอะไรหนุนหลังเขา


ดังนั้นแม้ซ่งเทียนเจี่ยจะเป็นคนแน่วแน่มาตลอดคราวนี้เขาจึงรู้สึกลังเลใจเป็นครั้งแรก


“เอาล่ะ มาประลองกันเถอะ ถ้านายชนะฉันได้ภายในสิบประบวนท่าที่ฉันจะให้ นายพาพวกเพื่อนกลับไปได้เลยและความบาดหมางระหว่างเราจะจบลงไปด้วย แต่ถ้าหากนายแพ้ นายก็พาพวกเพื่อนกลับไปได้ แต่จะต้องขออภัยต่อสกุลซ่งของเราก่อน” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งซ่งเทียนเจี่ยก็คิดวิธีแก้ไขความขุ่นเคืองใจในสงครามครั้งนี้ได้


ไม่มีทางที่ซ่งเทียนเจี่ยจะกล้าลงมือจริงๆกับเฉินหลง ถ้ามีพลังคอยหนุนเฉินหลงอยู่จริง อย่างแย่ที่สุดสกุลซ่งคงเข้าสู่ภาวะวิกฤต ด้วยความเป็นนายใหญ่ของครอบครัวสกุลซ่ง ซ่งเทียนเจี่ยจะไม่ผลักสกุลของเขาสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน และด้วยความเป็นเจ้าบ้าน เฉินหลงจะต้องรับผิดชอบด้วย ดังนั้นซ่งเทียนเจี่ยจึงคิดที่จะประลองกับเฉินหลง


“เอาตามความจริงเลยนะ ผมอยากจะเทียบกับคุณว่าคุณมีพลังแค่ไหนในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสกุลซ่ง ถ้าคุณบอกว่าจะใช้สิบกระบวนท่าแล้วชนะ ผมก็จะเล่นกับคุณ” เฉินหลงมองซ่งเทียนเจี่ยด้วยสายตา “ชอบจังเลยที่คุณเกลียดผมแต่ก็ฆ่าผมไม่ได้”


“เชิญ”


ซ่งเทียนเจี่ยไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและยืนตรงจากนั้นเขาก็ทำท่าทางเชิญชวนเฉินหลง


“เชิญครับ”


เฉินหลงก็ยืนขึ้นเช่นกันและกล่าวขึ้น สุดท้ายแล้วเขาคือหัวหน้าครอบครัว แน่นอนว่าต้องเสียหน้านิดหน่อย


“แน่ใจว่าจะชนะนะ เจ้าน้อง” เฉียนชานเจียเดินไปหาเฉินหลงและถามเขา


เฉียนชานเจียรู้ว่าซ่งเทียนเจี่ยเป็นหัวหน้าใหญ่ของสกุล ไม่มีทางที่เขาจะอ่อนแอ ดังนั้นเขาจึงห่วงว่าเฉินหลงจะชนะซ่งเทียนเจี่ยไม่ได้


“ไม่หรอก แต่ถ้าแพ้ผมคงแค่ขอโทษ ผมก็ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกอย่างไรก็เถอะผมไม่มีหน้าจะแพ้หรอก อีกอย่างนะไม่แน่ว่าผมจะแพ้เสียหน่อย” เฉินหลงยิ้มให้เฉียนชานเจีย


ถึงพลังของซ่งเทียนเจี่ยจะแข็งกล้ากว่าเขาทว่าคงไม่ยากที่จะเอาชนะกระบวนท่าเพียงสิบกระบวนท่าได้


เขากับซ่งเทียนเจี่ยเดินไปสนามฝึกซ้อม ที่นั้นมีอุปกรณ์ฝึกฝนมากมาย ที่นี่ยังใช้เป็นที่ทดลองอาวุธอีกด้วย


“ระวังด้วยนะ เพราะฉันจะไม่ออมมือ” ซ่งเทียนเจี่ยที่ยืนอีกด้านหนึ่งของสนามฝึกซ้อมกล่าวกับเฉินหลงที่อยู่อีกฟาก


“เชิญเลยครับ”


เฉินหลงกล่าวคำเชิญสั้นๆตอบ


ซ่งเทียนเจี่ยออกแรงส่งไปที่เท้า ร่างทั้งร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าไปยังจุดที่เฉินหลงเคยยืนอยู่ด้วยความว่องไวทันที


เพียงเฉินหลงดีดนิ้วแค่ครั้งเดียวพลังฉีของ “กดจุดชีพจรตัดโลหิต” ก็ส่งไปยังซ่งเทียนเจี่ยในทันใด


และด้วยความที่ซ่งเทียนเจี่ยมีการรับรู้พลังฉีที่แรงกล้าทำให้เมื่อ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”ไปถึงตัวเขา เขาได้ทำท่าหลบพลังฉีนี้อย่างรวดเร็ว


อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของเฉินหลงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว พลังแรกเป็นการนำทางและต่อมาคือพลังที่ส่งจากสองมือ


แม้จะได้เป็นยอดปรมาจารย์แล้ว การใช้“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”ยังคงจำกัดอยู่ แต่ทว่ายังใช้กับเหตุการณ์นี้ได้


ความรู้สึกถึงพลังฉีมาจากส่วนใบหน้าของเขา ซ่งเทียนเจี่ยรู้ว่าเขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงพลังนี้ได้อีกต่อไป เขารวมพลังฉีไปที่ “จุดตัดของเลือด”


แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ง่ายเลยที่จะรับมือ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต” หลังจากที่ซ่งเทียนเจี่ยสัมผัสโดนกระบวนท่านั้นแล้ว พลังฉีก็รุกรานเข้าไปยังเส้นเลือดของเขา ซ่งเทียนเจี่ยทำได้เพียงใช้พลังกด“กดจุดชีพจรตัดโลหิต” เอาไว้ด้วยพลังฉี


หลังจากที่ส่งพลังไปใช้กับ“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”เป็นจำนวนมากแล้ว เฉินหลงหยุดและมองซ่งเทียนเจี่ยที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับพลัง“กดจุดชีพจรตัดโลหิต”


ซ่งเจิ้งที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งแทบไม่เชื่อสายตาที่ซ่งเทียนเจี่ยเสียท่าให้กับเฉินหลง เป็นไปได้อย่างไรกัน


“ท่านอาจารย์ซ่ง ถ้าคุณไม่เข้ามาใกล้ผม ก็ไม่ต้องสู้กันแล้วครับ” เมื่อเฉินหลงใช้พลัง “กดจุดชีพจรตัดโลหิต” กับซ่งเทียนเจี่ย เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม


“ฉันยอมรับว่าดูถูกนายไปแล้ว พลังของนายแทบไม่น้อยไปกว่าฉัน ดังนั้นการประลองนี้จะตัดสินด้วยกระบวนท่าเดียว ถ้ายังรอดจากกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉันได้ นายก็ชนะไป เอาล่ะดูซะกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน”


ด้วยคำพูดนั้นซ่งเทียนเจี่ยไม่รู้ว่ามีวิธีลับที่เขาเคยใช้อยู่ เขาทำเพียงพ่นพลังเล็กน้อยในปากเขา แล้วตัวของเขาจู่ๆก็ขยายใหญ่ขึ้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นดุร้าย ซ่งเทียนเจี่ยเดินเข้าหาเฉินหลงทีละก้าว


เฉินหลงไม่รู้ว่าตัวเองประสาทหลอนไปหรืออย่างไร เขาคิดว่าซ่งเทียเจี่ยจะขยับตามทุกก้าวที่เขาเดิน ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินหลงสงบใจลงไม่ได้


เฉินหลงส่ายหัวไปมา พยายามที่จะสลัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่เขาทำไม่ได้


เฉินหลงพบว่าเขากำจัดความรู้สึกนี้ออกไปไม่ได้ เขาเตรียมรับมือกระบวนท่าต่อไปของซ่งเทียนเจี่ยเพื่อดูพลังและดูว่าเขาจะป้องกันการโจมตีได้หรือไม่


ในตอนที่ซ่งเทียนเจี่ยเข้ามาใกล้เรื่อยๆเฉินหลงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงในทันที เขารู้สึกเหมือนกับว่ายอดเขาทั้งลูกกำลังทับเขาอยู่ เพราะเช่นนั้นเฉินหลงจึงรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะเลิกประลองซะตอนนี้และยอมรับความพ่ายแพ้


ในทันทีที่เฉินหลงมีความคิดนี้ขึ้นมานั้น ตรงหน้าก็มีเพียงใบหน้าดุร้ายของซ่งเทียนเจี่ยที่ติดอยู่ในสายตาเขา


เมื่อได้เห็นเฉินหลงสับสนเช่นนั้นแล้ว ซ่งเทียนเจี่ยคิดว่าเขาจะชนะการประลองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นเฉินหลงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเขาก็นึกแปลกใจขึ้นมาทันที


ซ่งเทียนเจี่ยเดินไปหาร่างของเฉินหลงและผลักอกของเขา ด้วยพลังในตอนนี้เขากลัวเหลือเกินว่ากำปั้นของเขาจะทำให้หัวเฉินหลงกระเด็นหลุดไป เขาจึงทำได้เพียงทุบไปที่อก


เฉินหลงไม่กลัวแต่อย่างใด กำปั้นขวาของเขาต่อยไปอย่างแรงที่กำปั้นของซ่งเทียนเจี่ย


“ตู้ม”


เสียงดังสนั่นดังขึ้นตามมาด้วยเสียงน้ำสาดกระจาย


เฉินหลงและซ่งเทียนเจี่ยถอยหลังกันไปคนละก้าวสองก้าวพร้อมๆกันเนื่องจากแรงระดับต้านแผ่นดินไหว แต่เฉินหลงถอยไปไกลกว่าซ่งเทียนเจี่ยเล็กน้อย


หลังจากยืนมั่นได้ ฉินหลงก็ถ่มเลือดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาจะขวางกระบวนท่าของซ่งเทียนเจี่ยได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ


“นายชนะการประลอง” แม้เฉินหลงจะโดนเขาอัดและอาเจียนออกมา แต่เฉินหลงก็ขวางกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาได้ ซ่งเทียนเจี่ยนิ่งอึ้ง เขามองเฉินหลงก่อนจะพูดออกมา


พลังของทักษะลับแบบนี้และด้วยสถาพจิตใจของเขาในตอนนั้นคงทำการโจมตีเช่นนี้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ถ้าใช้กระบวนท่านี้อีกครั้งคงจะเกิดความเสียหายอย่างหนักต่อร่างกายเขา


“ขอบคุณ” เฉินหลงเป็นเหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง เขายื่นกำปั้นให้ซ่งเทียนเจี่ย


ท่ามวยนี้เขาเห็นมาจากหนัง ตอนนี้เขาได้ใช้แล้ว


แล้วเฉินหลงก็พาพวกเฉียนชานเจียออกไปจากตระกุลซ่งแห่งนี้


“ท่านอาจารย์ พลังของเฉินหลงกล้าแกร่งถึงเพียงนี้จริงหรือ” หลังจากที่พวกเฉินหลงออกไปแล้ว ซ่งเจิ้งก็ถามขึ้น


“พลังของเขาแกร่งกล้ามาก อาจน้อยกว่าข้าเพียงเล็กน้อย อย่าไปท้าทายเขาอีกในอนาคตหากไม่จำเป็น” สำหรับเฉินหลงแล้ว ซ่งเทียนเจี่ยรู้สึกว่าหากไม่จำเป็นอะไรก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก “ปรมาจารย์” ที่ยังหนุ่มขนาดนี้หากไม่สามารถผลักให้ออกห่างไปได้ ก็เป็นเขาที่ต้องหลีกห่างไปให้ไกล


TB:บทที่ 90 ส่งมอบบ้านและส่งมอบรถ


 


“น้องเฉิน เป็นอะไรหรือเปล่า คราวนี้ฉันติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่เลย” เฉียนชานเจียกล่าวกับเฉินหลงหลังจากออกมาจากบ้านตระกูลซ่งแล้ว


ตอนที่เขาอยู่เมืองนอก เฉินหลงได้ช่วยเขาไว้ และตอนนี้เมื่อเขากลับมาแล้วเขาก็ยังต้องพึ่งพาเฉินหลงให้มาช่วยเขาจากสกุลซ่งอยู่ แถมเขายังเจ็บตัวอีก เฉียนชานเจียรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อเฉินหลงเท่าไรนัก


“พี่เฉียนครับ ผมไม่เป็นไร ผมแค่บาดเจ็บแค่เล็กๆน้อยๆ คราวนี้พวกมันเล็งเป้ามาที่ผม ถ้าพวกมันไม่ได้แสดงพลังอะไร พวกมันคงไม่ยอมแพ้หรอก สำหรับสกุลใหญ่อย่างพวกมันแล้ว คนที่ให้ความสนใจกับคนที่แข็งแกร่งคือหัวหน้า ถ้าหากพวกเราไม่อยากให้พวกมันมาก่อกวน เราควรทำให้พวกมันลำบากใจที่จะมากวน” และหากไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่ไม่เกรงกลัวอะไรและพลังของตัวเขาเองที่ทำให้ซ่งเทียนเจี่ยไม่กล้าทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ได้เดินออกมาจากบ้านสกุลซ่งได้ง่ายขนาดนี้


“น้องเฉิน อย่างไรซะฉันก็ติดหนี้ชีวิตถึงสองครั้ง” เฉียนชานเจียมองเฉินหลงด้วยสีหน้าจริงจัง “และนายก็ไม่มีที่อยู่ในเมืองหลวงตอนนี้ใช่ไหม ให้พี่นายได้พาไปดูเถอะนะ”


เมื่อพูดจบเฉียนชานเจียก็ลากเฉินหลงไปที่ลานบ้านข้างนอกในซอยแห่งหนึ่งทางด้านตะวันออกของเมืองหลวง


หลังจากเฉินหลงเข้าไปอีกหลายคนก็เดินตามเข้ามา


แม้บ้านที่มีลานหญ้าทรงสี่เหลี่ยมตรงกลางนี้จะสู้กับ “บ้านพักตระกูล” ของสกุลซ่งไม่ได้แต่บ้านนี้ก็มีขนาดใหญ่มากพอตัว ขนาดของที่นี่คือประมาณห้าไร่ มีห้องยี่สิบสามห้อง มีต้นบีโกเนียและต้นทับทิมปลูกอยู่ที่ลานตรงกลาง สมัยเมืองหลวงเก่า ต้นบีโกเนียมีความหมายถึงความกลมเกลียวของพี่น้อง และต้นทับทิมหมายถึงลูกชายหลายคน


ที่นี่ยังมีอ่างปลาขนาดใหญ่ในนั้นมีปลาทองและดอกบัว ต้นบัวสาย ผักปลาและพืชชนิดอื่น


ในยุคเมืองหลวงเก่า อ่างปลาเป็นเครื่องเรือนและของประดับที่ขาดไม่ได้ในลานบ้าน การเพาะพันธุ์ปลาทองในสมัยนั้นหมายถึง “การมีกินมีใช้ตลอดปี” และ “ความร่ำรวยและความอุดมสมบูรณ์” วัฒนธรรมการเลี้ยงปลาไม่ได้มีความหมายเพียงด้านการเกษตรแต่ยังเป็นการช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมและจิตวิทยาในลานบ้านด้วย อ่างปลาและปลาทองเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการจัดลานบ้านช่วงสมัยเมืองหลวงเก่าเรื่อยมาจนถึงสมัยเมืองหลวงปัจจุบัน


บ้านหลังนี้ดูยังมีรูปแบบใหม่ๆ คล้ายๆกับ “ปราสาท” ของตระกูลซ่งที่ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ชิงไว้อยู่ ทว่าได้เก็บความเป็นเทคโนโลยีของสมัยใหม่ไว้ด้วย และเพราะการออกแบบเช่นนี้ รูปแบบของบ้านนี้จึงไม่ได้ดูเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง


“น้องเฉิน บ้านหลังนี้ดูไม่แย่เลยใช่ไหมละ” เฉียนชานเจียกล่าวยิ้มๆ


“พี่เฉียนครับ พี่ไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม ถึงผมจะเป็นคนบ้านนอก แต่ผมก็รู้ว่าราคาบ้านในปักกิ่งช่วงนี้กำลังพุ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านทรงนี้ที่มีค่ามากกว่าสองร้อยล้านหยวนแล้ว ถ้ามีบ้านแบบนี้ในปักกิ่งคงไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่แล้ว อีกอย่างที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่ดีๆนะที่นี่น่ะเป็นเหมืองทองเลยล่ะ” เฉินหลงได้แต่กรอกตา


ในตอนที่เฉินหลงกล่าว ตราบใดที่มี ระบบอยู่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินไปตลอดชีวิต


“ชอบไหมละ ถ้าให้นาย นายจะชอบไหม อย่างไรฉันก็ไม่อยู่ที่นี่อยู่แล้ว คงน่าเสียดายถ้าทิ้งไว้เฉยๆไม่มีประโยชน์อะไร” เฉียนชานเจียกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เมื่อได้รู้ว่าเฉินหลงอยากจะอยู่ฝึกฝีมือที่เมืองหลวงนี้ เฉียนชานเจียคิดได้ว่าเขาจะให้ที่อยู่ในเมืองหลวงกับเฉินหลง เขาเป็นหนี้เฉินหลงมากเกินกว่าจะทดแทน แค่ให้บ้านพวกนี้ไปเขายังรู้สึกว่าไม่พอเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างเฉียนชานเจียไม่อยากจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกแล้ว เพราะเมืองหลวงเป็นบ้านของสกุลซ่ง แม้พวกเขาจะไม่ต้องการอะไรจากพวกเฉียนชานเจียอีกแต่ใครจะไปรู้ละ เขารู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่ในเมืองหลวงนี้แล้ว เขาควรไปไกลๆ


“พี่เฉียน แล้วพี่จะไปอยู่ที่ไหน” เฉินหลงถาม


คนที่ยอมยกบ้านให้คนอื่นแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทนแบบนี้ เฉินหลงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ


“ฐานการผลิตฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว อีกอย่างตอนฉันมาที่เมืองหลวง นายคงไม่ทิ้งให้ฉันนอนข้างถนนหรอกใช่ไหม”


เฉียนชานเจียขยิบตาให้เฉินหลง


“ได้ งั้นผมจะรับบ้านนี้ไว้” เฉินหลงไม่สุภาพแล้ว


หลังจากที่เฉียนชานเจียให้คนมาทำเอกสารโอนย้าย เฉินหลงคิดไม่ถึงว่าเอกสารที่ส่งไปแล้วจะมีอย่างอื่นอีก


คนคนนี้คือผู้ช่วยส่วนตัวของเฉียนชานเจีย เสี่ยวหยางคนที่ให้พาสปอร์ตกับพวกเฉินหลงเมื่อครั้งก่อน


เมื่อเฉินหลงเซ็นชื่อในเอกสารแล้วเขาก็พบว่ายังมีวิลล่าในถนนวงเวียนอีกที่รวมถึงเอกสารโอนย้ายยานพาหนะด้วย


“พี่เฉียนนี่มัน…”


“ต่อไปฉันไม่อยู่เมืองหลวงบ่อยนัก คงดีกว่าถ้าให้นายไว้เผาให้พี่ชายคนนี้” สีหน้าเฉียนชานเจียนไม่ต่างไปจากเดิม


สำหรับเขาแล้วเงินเป็นเพียงตัวเลข ตราบใดที่เขายังมีธุรกิจอยู่เงินที่ใช้ไปไม่นานก็หากลับมาใหม่ได้


“ตกลง” จากนั้นเฉินหลงก็เซ็นชื่อในเอกสาร


หลังเซ็นชื่อแล้วของพวกนั้นที่อยู่ในเอกสารก็กลายเป็นของทรัพย์สินส่วนตัวของเฉินหลงพร้อมทั้งการคุ้มครองทางกฏหมาย


หลังได้เห็นเฉินหลงเซ็นชื่อแล้ว เฉียนชานเจียก็เผยยิ้มออกมา


เมื่อเฉินหลงและเฉียนชานเจียกินข้าวด้วยกันแล้วเฉียนชานเจียก็ออกไปจากเมืองหลวงและถ้าเป็นไปได้เขาคงไม่ขอกลับมาอีก


แต่ถึงแม้ว่าเฉียนชานเจียจะไปจากเมืองหลวงแล้วเขาได้ลืมคนไปคนหนึ่งเสียสนิท คนคนนั้นคือคุณเต๋า หรือกวงหาน เต๋าคนที่ตัดหัวซ่งหยู่ด้วยมีด ตอนนี้คุณเต๋าเป็นเหมือนคนธรรมดาที่ทำตัวให้กลมกลืนไปกันคนอื่นเพื่อเฝ้ารอคอยคำสั่งต่อไปของเฉียนชานเจีย ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าจะไม่มีคำสั่งอีกต่อไปแล้ว เพราะในหัวเฉียนชานเจียเรื่องที่ฆ่าซ่งหยู่โดนปิดผนึกไปเสียแล้ว


พอเฉียนชานเจียไป เฉินหลงได้ไปที่โรงรถในบ้านหลังนั้น ที่นั่นมีรถห้าคันคือ เบนท์ลีย์มูสสีดำ แมคลาเรนพีวันสีเงิน แลมโบกีนีแบทสีเหลือง และเฟอรารี่สีแดงสองคันที่มีรุ่นสี่ห้าแปดและลาเฟอรารี่จอดอยู่


“ไม่คิดว่าพี่เฉียนจะเป็นพวกชอบซิ่งนะเนี่ย รถสี่ในห้าคันเป็นรถซิ่ง เบนท์ลีย์มูสสีดำคันนี้ให้พวกเจิ้งอี้ขับดีกว่า แล้วสี่คันที่เหลือฉันจะขับเอง” เฉินหลงรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด


รถซิ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนหลงรัก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็ต่างเดือดพล่านให้กับความเร็วและเสียงเครื่องยนต์นี่ เพียงแต่ว่าคนส่วนมากซื้อพวกมันไม่ได้ ผู้หญิงบางคนเลือกที่จะร้องไห้ในบีเอมดีบเบิ้ลยูมากกว่าที่จะหัวเราะบนหลังมอเตอร์ไซค์


เมื่อได้เห็นรถแล้วเฉินหลงก็ขอให้เจิ้งอี้ขับเบนท์ลีย์มูสและจัดการดำเนินบริษัทต่อให้ ขณะที่เฉินหลงขับแมคลาเรนพีวันไปที่วิลล่าที่เฉียนชานเจียได้ให้เขาไว้


เมื่อแมคลาเรนพีวันขับข้ามถนนไปนั้นมันได้เรียกความสนใจของคนจำนวนมาก เพราะหน้าตาของแมคลาเรนพีวันเท่มากเฉินหลงจึงทิ้งแลมโบกีนีแบทและเฟอรารี่สองคันมาขับแมคราเรนพีวัน


วิลล่าหลังนี้กินพื้นที่ถึงพันตารางเมตร วิลล่าเป็นทรงยุโรปสองชั้น มีสวน น้ำพุ สระว่ายน้ำและอะไรอีกมากมาย เฉินหลงคิดว่าวิลล่าดีกว่าบ้านทรงเหลี่ยมนั่น เขาชอบความทันสมัยของวิลล่านี่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นเศรษฐีก็ว่าได้


แน่นอนว่าเฉินหลงก็กล่าวได้ในขณะเดียวกันว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่สามารถกินเข้าไปได้ แต่ใช้ได้


TB:บทที่ 91 การนัดหมาย


 


โรงรถของวิลล่าหลังเดิมที่เฉียนชานเจียทิ้งไว้ให้เฉินหลงยังมีรถมาเซราติ จีซีอีกคัน


เฉินหลงนั่งบนโซฟาในวิลล่า จู่ๆเขารู้สึกไม่มีเป้าหมายในชีวิต พวกคนที่ทำร้ายตัวเองมักจะเป็นคนทำให้ตัวเองแย่ลงกว่าเดิม ตอนนี้เขาอาศัยในวิลล่าและขับรถหรูๆ ในตอนนั้นเฉินหลงรู้สึกว่าชีวิตเขาเพียบพร้อมไปหมดแล้ว


นิสัยของเฉินหลงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างง่ายที่จะเติมเต็ม แต่ปัญหานั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เขาไม่ใช่คนพวกที่ทนกับความโด่งดังของคนอื่นได้ หลังจากที่เขาจัดการกับธุระทั้งหมดที่ต้องทำไปแล้วตอนนี้ปัญหาเรื่องพอใจกับอะไรง่ายๆจึงปรากฎออกมา


ครู่ต่อมาเฉินหลงหยุดความคิดไปในทันทีที่เขานึกขึ้นได้ว่าเขามีความบาดหมางกับตระกูลซ่ง หากมองเพียงผิวเผินตระกูลซ่งได้บอกว่าทั้งบุญคุณและปัญหาระหว่างพวกเขาได้จบลงไปแล้ว ทว่าตราบใดที่พลังของเขาไม่ได้พัฒนาไปไหน ตระกูลซ่งคงไม่ปล่อยเขาหลุดไปหรอก


จะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้นไปอีกเพื่อที่จะพอให้จัดการกับเรื่องในอนาคต จะต้องแข็งกล้าขึ้นแต่ไม่ใช่เพียงพละกำลังของตนที่แข็งแกร่งแต่พลังก็เช่นกันที่ต้องแข็งแกร่งมากขึ้น ตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป


เมื่อเฉินหลงนึกถึงการพัฒนาความสามารถตัวเองเขาก็นึกถึงคุณเต๋าที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้


ขณะที่เฉินหลงกำลังจะเอาเครื่องตรวจสอบออกมาเพื่อหาที่อยู่ของเต๋ากวงหานเสียงโทรศัพท์เขาได้ดังขึ้น


เฉินหลงหยิบโทรศัพท์ออกมา ฮ่าวฉางชิงที่ไม่ได้ติดต่อกันมาพักหนึ่งโทรมาหาเขา


หลังจากคุยกันแล้ว ต่อมาฮ่าวฉางชิงก็มายังเมืองหลวง


เมื่อเขารู้ว่าฮ่าวฉางชิงจะมาเมืองหลวง เฉินหลงจึงนัดพบกับเขา ฮ่าวฉางชิงเป็นคนที่มีความยอดเยี่ยมในแบบของตัวเอง เฉินหลงรู้สึกซาบซึ้งในตัวฮ่าวฉางชิงเสมอมา แม้ครั้งนี้เขาจะไม่มีของฝากมาให้จากโบลิเวียแต่เขาก็จะมอบเครื่องมือเล็กๆน้อยๆเป็นของขวัญขอบคุณ


ต่อจากที่เฉินหลงนัดหมายกับฮ่าวฉางชิงเรียบร้อยแล้ว เขาขับรถไปยังที่นัดพบ ที่นั้นเป็นร้านกาแฟหรู ดูเหมือนว่าฮ่าวฉางชิงจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงพอสมควร


เฉินหลงจอดรถ เขาลงจากรถและเดินไปที่ร้านกาแฟชื่อ “ชางเต๋า” พร้อมด้วยสายตาอิจฉามากมายของผู้ที่มองเขา เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพราะรถแมคราเรนพีวันคันนี้ราคามากว่าสิบล้านหยวน ถ้าเขามีรถคันนี้ได้ เขาต้องมีทรัพย์สินมากกว่าร้อยล้านหยวน  อีกอย่างปกติเฉินหลงก็โดนอิจฉาอยู่แล้วเพราะเขาเป็นคนหนุ่มที่หน้าตาดี


จากนั้นเฉินหลงเดินเข้าไปในร้านกาแฟ เขาเห็นฮ่าวฉางชิงกำลังพูดคุยและหัวเราะกับเด็กสาวสวยคนหนึ่งอยู่


เนื่องจากฮ่าวฉางชิงหันหลังไปอีกทางเขาจึงไม่เห็นเฉินหลงที่เดินเข้ามาในร้าน แต่เด็กสาวคนนั้นเห็นเขา


เฉินหลงไม่ได้สนใจเด็กสาวเขาเดินตรงไปหาฮ่าวฉางชิง


เด็กสาวมองเห็นคนหล่อแบบเฉินหลงกำลังเดินมาทางเธอ เธอจึงมองเฉินหลงและผงกหัว เธอตักไอศกรีมในถ้วยขึ้นมาด้วยช้อนเล็กๆด้วยท่าทางคล้ายกับเด็กหญิงที่ทำอะไรผิด


“ลุงฮ่าว สวัสดีครับ” เฉินหลงเดินเข้าไปหาฮ่าวฉางชิงและเรียกเขา


“อ้าว เสี่ยวเฉิน มาแล้วหรือ นั่งก่อนสินั่งก่อน” ฮ่าวฉางชิงบอกให้เฉินหลงนั่งลงแล้วไปสั่งกาแฟให้เฉินหลงด้วยตัวเอง


ตอนที่เธอได้ยินเรื่องราวของเฉินหลงว่าเป็นคนหนุ่มคนจากปากพ่อ ฮ่าวฉิเหวินมองเฉินหลงด้วยตาที่เบิกว้างในทันที และพอได้รู้ว่าเฉินหลงเป็นคนจัดการเรื่องที่ผ่านมาเธอรู้ว่านี่คือคนที่เธออยากเจอมาตลอด เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆที่ได้เจอเขาวันนี้ แล้วเขายังเป็นคนหน้าตาดีอีกด้วย นี่มันสเป็คของเธอเลย


“คุณฮ่าว ทางนี้คือ…” เฉินหลงมองฮ่าวฉิเหวิน


“นี่ลูกสาวผมเอง เธออยากเจอนายมาตลอดเลยนะหลังเรื่องที่ผ่านมา วันนี้เลยพาเธอมามองหน้านายให้เต็มที่” ฮ่าวฉางชิงพูดขำๆ


สำหรับลูกสาวเขาแล้ว ฮ่าวฉางชิงรักและเอ็นดูเธอมากเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะตามใจเธอมาก แต่ฮ่าวฉิเหวินก็ไม่ได้โตมามีนิสัยเหมือน เจ้าหญิงตัวน้อยๆที่เอาแต่ใจ


เสี่ยวฮ่าว ทักทายเฉินหลงที่ตอนแรกจะเรียกเธอว่าคุณผู้หญิง แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะเรียกแบบนั้นเขาจึงพูดต่อไม่ออก เฉินหลงไม่รู้จะเรียกฮ่าวฉิเหวินว่าอย่างไรดี


“พี่หลง พี่เรียกฉันว่าเสี่ยวฉิหรือเสี่ยวเหวินก็ได้นะ ทุกคนเรียกฉันแบบนั้น” ฮ่าวฉิเหวินไม่อยากทำให้เฉินหลงอับอาย เธอจึงเรียกเขาว่าพี่เฉินหลงก่อน


ใจจริงแล้วฮ่าวฉิเหวินประทับใจเฉินหลงแบบที่เธอเคยได้ยินจากปากคนอื่นมามากว่า  พอได้เจอเขาจริงๆเขากลับดูเป็นชายหนุ่มปกติ


“งั้นจะเรียกว่าเสี่ยวเหวินนะ” เฉินหลงตอบกลับฮ่าวฉิเหวิน


หลังจากนั้นเฉินหลงและฮ่าวฉิเหวินสนิทกันเพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาที่เป็นคนหนุ่มสาวก็เข้าใจกันเพราะคุยภาษาเดียวกัน


“เสี่ยวเฉิน มาทำอะไรที่ปักกิ่งหรือ” จู่ๆฮ่าวฉางชิงถามเฉินหลง


“ผมอยากเปิดบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีน่ะครับ แล้วการค้นคว้าหลักๆก็คือแก้ปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ เมื่อสองสามวันก่อน ผมเพิ่งจดสิทธิบัตรหน้ากากป้องกันฝุ่นไป(หมอกควัน)​” เฉินหลงบอกไปทั้งหมด เขาไม่ได้หลบซ่อนอะไร อย่างไรเสียบริษัทของเขาจะเป็นที่รู้จักหลังจากจัดการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นได้ ทุกๆคนจะต้องได้รู้จัก


“บริษัทเทคโนโลยีงั้นหรือ” ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงด้วยสายตาที่แปลกไป ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นนักคิดโฆษณามาก่อนหรือ แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมาทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อฮ่าวฉางชิงนึกถึงการตรวจสอบของเก่าอย่างน่ามหัศจรรย์แล้ว ทันใดนั้นฮ่าวฉางชิงไม่รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว


“โอ้โห้ พี่หลง จะจัดการกับฝุ่นนั้นงั้นหรือ” เฉินหลงดูเป็นคนสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วในสายตาฮ่าวฉิเหวิน เธอมองเฉินหลงด้วยสายตาหยาดเยิ้ม


“หมอดูหลอกเธอได้แค่แปดหรือสิบปีแต่ฉันหลอกเธอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ” เฉินหลงยกยิ้ม


จริงๆแล้วเจ้า “เครื่องกำจัดฝุ่น” เป็นของที่แลกมาจากระบบ ปกติแล้วเฉินหลงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


“เสี่ยวเฉิน ถ้านายมีวิธีแก้ปัญหาฝุ่นที่ใช้ได้ ฉันก็อยากนัดให้นายเจอใครสักคน” ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงด้วยสีหน้าจริงจัง


การกำจัดฝุ่นถือเป็นเรื่องเร่งด่วนของเมืองหลวง หากคนในเมืองหลวงต้องอาศัยในสิ่งแวดล้อมแย่ๆความเสียหายจะต้องน่ากลัวอย่างมาก และหากเฉินหลงมีทางออกของปัญหานี้จริงๆ ฮ่าวฉางชิงก็มีหน้าที่ที่ควรเร่งให้เกิดการแก้ปัญหานี้ให้ไว


“ถ้ามีอะไรที่ผมทำได้ ผมไม่คิดมากที่จะกำจัดฝุ่นที่น่ารำคาญนี้ไปให้พ้นๆหรอกครับ แสงอาทิตย์จะได้ส่องบนแผ่นดินนี้อีกครั้งเสียที” คำพูดของเฉินหลงช่างสร้างแรงบันดาลใจ


ฮ่าวฉิเหวินมองเฉินหลงด้วยสายตาที่หยาดเยิ้มมากขึ้น


“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นฉันจะไปหาคนที่ว่าล่ะนะ เสี่ยวเหวิน จะไปกับพ่อไหม” แม้ฮ่าวฉางชิงจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับลูกเขาทว่า อะไรที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับอนาคตควรแก้ไขให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ไม่ล่ะ หนูไปไม่กับพ่อหรอกถ้าพ่อจะไปหาสหายเก่า” ฮ่าวฉางชิง ไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ เธอคงไม่ได้เจอคนที่ถูกใจบ่อยๆ การได้ทำอะไรตามหัวใจแบบนี้เป็นเรื่องที่เธอใส่ใจ


“นี่ เสี่ยวเฉิน ช่วยดูแลเสี่ยวเหวินไม่ให้เล่นเรื่อยเปื่อยด้วยนะ” เมื่อได้ยินว่าลูกสาวของเขาไม่อยากไปกับเขา ฮ่าวฉางชิงก็ไม่อยากจะบังคับ


“พ่อคะ หนูเป็นเด็กมหาลัยแล้วนะ ไม่ใช่เด็กแล้ว พ่อไปเถอะแล้วก็รีบๆด้วย” คำพูดของฮ่าวฉางชิง ทำให้ฮ่าวฉิเหวินต้องยื่นคำขาด


TB:บทที่ 92 คำนับสามครั้ง


 


ฮ่าวฉางชิงยิ้มอย่างเสียไม่ได้ให้เฉินหลงแล้วเดินจากไป


ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงในแง่ดีอย่างมาก เฉินหลงเป็นเด็กหนุ่มที่รับผิดชอบและมีศักยภาพ แม้เขาจะใจร้อนแต่เพราะความใจร้อนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนหนุ่มเขาจึงรับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นหากได้เฉินหลงเป็นลูกเขยเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว


“เสี่ยวเหวิน พี่ได้ยินมาว่าเราเรียนที่มอจินเฉิงหรือ เรียนคณะอะไรละ” เมื่อฮ่าวฉางชิงออกไปแล้ว จู่ๆเฉินหลงที่มองฮ่าวฉิเหวินก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ เขาเลยถามคำถามน่าเบื่อไป


“ฉันเรียนการเงินค่ะ” ฮ่าวฉิเหวินตอบ


“การเงินหรือ” แน่นอนว่าหน้าตาของฮ่าวฉิเหวินใช้หาเลี้ยงตัวเองได้แต่เธอเลือกที่จะพึ่งความสามารถตัวเองทำงานมากกว่า เฉินหลงประหลาดใจกับจุดนี้


“เหวินเหวิน อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ บังเอิญจัง”


ก่อนที่ฮ่าวฉิเหวินจะได้พูดอะไรต่อก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้น


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฮ่าวฉิเหวินไม่ต้องหันไปดูว่าเป็นเสียงของใครเธอก็รู้ได้ เธอทำหน้าบึ้ง


“จางเสี่ยว เราไม่ได้สนิทกัน นายเรียกฉันได้แค่เพื่อนร่วมห้องฮ่าวหรือฮาวซือเม่ แต่ห้ามเรียกฉันว่าเหวินเหวิน” ฮ่าวฉิเหวินหันกลับไปมองชายหน้าตาหยิ่งยโสคนหนึ่ง


สีหน้าของจางเสี่ยวเปลี่ยนไปนิดหน่อยหลังได้ฟังคำพูดที่ไม่สุภาพนักจากฮ่าวฉิเหวิน ฮ่าวฉิเหวินส่งสายตา “อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่สนิทกับหมอนี่” ให้เฉินหลง เมื่อจางเสี่ยวได้เห็นแบบนั้น ใจของเขาเกิดประกายแห่งความหึงหวงขึ้นมา


จางเสี่ยวเป็นทายาทเศรษฐีอีกคนหนึ่ง สมบัติของครอบครัวเขามีมูลค่ามากกว่าร้อยล้านหยวน และเพราะส่วนสูงถึงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรและเส้นสายของครอบครัว เขาจึงได้ใช้โควตาพิเศษของนักกีฬาบาสเกตบอลเพื่อเข้าคณะกีฬาของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และเพราะพลังกายของเขา เขาจึงเป็นได้เพียงตัวสำรอง และทำได้เพียงเฝ้าตู้กดน้ำและโยนผ้าเช็ดตัวให้คนที่แข่งเท่านั้น เขาเข้าสนามแข่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่จางเสี่ยวเป็นคนหน้าตาดี ร่วมกับส่วนสูงและความเป็นทายาทเศรษฐีแล้ว เขาจึงเป็นที่รู้จักในมหาวิทยาลัย หญิงสาวทั้งหลายยอมทิ้งตัวลงในอ้อมแขนเขา แล้วเขาก็ไม่ปฏิเสธพวกเธอเสียด้วย แต่เมื่อเขาได้พวกเธอมาครอบครองแล้วเขาก็ทิ้ง และชื่อเขาจะติดอยู่ในใจพวกเธอ


นิสัยจางเสี่ยวเหมือนกับชื่อของเขาที่หยิ่งยโสร่วมกับความเป็นทายาทสืบทอดของมหาเศรษฐี  คำว่าคนใจง่ายไม่มีผลต่อจิตใจเขาเลยและแม้เป็นเช่นนั้นตัวเขาก็มีผู้หญิงเข้าหาไม่เคยขาด


ด้วยความ “บังเอิญ” ครั้งหนึ่ง จางเสี่ยวได้รู้เรื่องสาวสวยคนหนึ่งที่เรียนการเงินจากเพื่อนของเขา และเมื่อเขาได้พบฮ่าวฉิเหวินเขารุกเข้าหาเธอทันที แต่ฮ่าวฉิเหวินนั้นไม่ได้เป็นเด็กสาวที่มองอะไรเพียงผิวเผินที่จะชอบจางเสี่ยวเพียงเพราะเงินทอง เธอไม่สนใจใน คนร่ำรวย เลยแม้แต่น้อย


ถึงกระนั้นจางเสี่ยวไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อีกอย่างเขาไม่เคยได้ยินมาว่าฮ่าวฉิเหวินเคยมีแฟน ในใจของจางเสี่ยวจึงมีสถานะที่เขาคิดไปเองมอบให้ฮ่าวฉิเหวิน และเมื่อเขาได้เห็นฮ่าวฉิเหวินและเฉินหลงที่เป็นหนุ่มหล่ออยู่ด้วยกันแล้ว แถมยังดูน่าสงสัยในความคิดเขาด้วย เขาจึงรู้สึกหึงหวงในทันที เขาจะหาเรื่องกับหาเฉินหลง


“เพื่อนร่วมชั้นฮ่าว คนนี้แฟนเธอเหรอ” จางเสี่ยวมองเฉินหลงด้วยสีหน้าร้ายกาจ


“คุณเพื่อนร่วมชั้นจาง คุณคิดผิดแล้ว ผมเป็นแค่เพื่อนของเสี่ยวเหวิน ไม่ใช่แฟนครับ เป็นแค่เพื่อน ผมว่าคุณรักษาความเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับฮ่าวฉิเหวินไว้ดีๆเถอะ” เฉินหลงมองจางเสี่ยวและกล่าวตอบเบาๆ


ถึงเฉินหลงจะพูดไม่ชัดเจน แต่ความหมายเป็นดังที่เขาพูด จางเสี่ยวเป็นคนไม่ดีและอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ควรให้เข้าบ้านของเสี่ยวเหวิน


ตอนแรกฮ่าวฉิเหวินไม่ชอบใจที่ได้ยินคำพูดครึ่งแรกของเฉินหลง แต่ครึ่งหลังทำให้ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกสบายใจมากขึ้น เขาพูดแก้ตัวให้ตัวเอง


“นายว่าอะไรนะ” แม้จางเสี่ยวจะเป็นคนหยิ่งยโสแต่เขาไม่ได้โง่ เขาเข้าใจความหมายที่เฉินหลงจะสื่อ


“อย่าพูดแบบนั้นสิ” เฉินหลงพูดอย่างใจเย็น


“ยุ่งเรื่องตัวเองไปเถอะ” จางเสี่ยวตอบกลับเฉินหลงด้วยน้ำเสียงแกมขู่


ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะ จางเสี่ยวคงใช้ศิลปะป้องกันตัวใส่เฉินหลงแล้ว


“จางเสี่ยวระวังคำพูดตัวเองไว้เถอะ” ฮ่าวฉิเหวินมองจางเสี่ยวแบบไม่ชอบใจนัก


การพูดจากรรโชกแบบนี้เหมือนกับข่าวลือเรื่องความโอหัง แม้จะอยู่ต่อหน้าเธอเขายังกล้าขู่เพื่อนของเธอเลย


“เสี่ยวเหวิน อย่าไปยุ่งกับคนไร้คุณภาพเลย ไปกันเถอะ” เฉินหลงว่า เขาเรียกพนักงานมาเก็บเงิน จับมือฮ่าวฉิเหวินพร้อมจะออกไปจากร้าน


ในตอนนั้นจู่ๆคนที่สูงเท่าๆกับจางเสี่ยวหลายคนที่น่าจะเล่นตำแหน่งป้องกันในทีมเดียวกับจางเสี่ยวได้เข้ามาขวางทางไว้


แม้จางเสี่ยวจะเป็นเพียงตัวสำรองที่เล่นจริงในสนามไม่ได้แต่เขาพึ่งเงินเพื่อชนะใจเพื่อนร่วมทีม ส่วนใหญ่นักกีฬาที่เล่นบาสเกตบอลในมหาลัยมักไม่ใช่คนรวยอะไรและมีเงินไม่มาก


เมื่อเฉินหลงขัดคำพูดเธอ ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกถึงความรู้สึกที่เธอไม่เคยมีมาก่อน


ความรู้สึกที่คล้ายกับความประหลาดใจ ความเขินอาย ความอบอุ่น และความนุ่มนวล ทว่าเมื่อจางเสี่ยวพูดขัดขึ้นมา ฮ่าวฉิเหวินรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าเธอกำลังเห็นหมาหมู่จะทำร้ายคนอื่นอยู่หรือ


ตอนที่ฮ่าวฉิเหวินกำลังจะพูดต่อไปนั้น เฉินหลงได้กล่าวออกมา


“ปล่อยฉันไปเถอะ” เฉินหลงว่านิ่งๆ


แต่คล้ายกับว่าจางเสี่ยวไม่ได้ยินอย่างที่คนปกติได้ยิน เขาขวางทั้งสองไว้ไม่ขยับไปไหน


“เด็กดี อย่าขวางทางเลยนะ ไม่ได้ยินหรือไง ปกติถ้ามีหมามาขวางทาง ฉันจะไล่พวกมันไปไกลๆนะ” เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเฉินหลงที่จับมือฮ่าวฉิเหวินไว้ข้างหนึ่งก็ใช้มืออีกข้างดึงให้จางเสี่ยวออกไปพ้นทาง เหมือนกับเด็กสามขวบที่โดนผู้ใหญ่ผลักไม่มีผิด จางเสี่ยวลงไปนั่งกับพื้น เขามองเฉินหลงทีละน้อยด้วยความตกใจ


เฉินหลงมองเขาด้วยความรังเกียจ เขาจูงฮ่าวฉิเหวินออกไปข้างนอก


“รอก่อนสิ ต้องมีสักทางให้เราจัดการเรื่องนี้กันเอง” จางเสี่ยวเรียกเฉินหลงในทันที


เมื่อได้ยินจางเสี่ยวว่าเช่นนั้น เฉินหลงหยุดเดินและหันทั้งตัวไปมองจางเสี่ยว


“คือหมายความว่าจะสู้ตัวต่อตัวกับฉันหรือ”


“ใช่ประมาณนั้น แต่พวกเราก็เป็นผู้เจริญแล้ว เราไม่ควรจะสู้กันด้วยกำลัง ไปแข่งบาสเกตบอลกันดีกว่า ส่วนสูงแบบนายคงเล่นเป็นใช่ไหม กล้าแข่งไหมละ” จางเสี่ยวกล่าวพลางลุกขึ้นจากพื้น


จางเสี่ยวกลัวพละกำลังของเฉินหลง เขาเลยบอกให้แข่งบาสเกตบอลตัวต่อตัวแทน แม้กำลังของเขาจะแข็งแกร่งและช่วยให้เล่นบาสเกตบอลได้ดี แต่จางเสี่ยวไม่คิดว่าเขาจะชนะเฉินหลงได้ การที่เขาเป็นตัวสำรองทำให้เขาได้ซ้อมบาสเกตบอลทุกวันกับทีมของเขา จางเสี่ยวได้เปรียบมากหากเทียบกับผู้เล่นหรือคนทั่วๆไป


ในสายตาจางเสี่ยว เฉินหลงเป็นเพียงคนทั่วไปคนหนึ่ง


“ได้สิ อย่างไรก็น่าเบื่ออยู่แล้วที่จะแข่งกันตัวต่อตัว ทำไมเราไม่สร้างสีสันอีกเล่า” เฉินหลงเห็นด้วย แต่เขาไม่อยากทำ หากคุณมายุ่งกับคนอื่นเอง ก็ไม่ควรโทษคนอื่นหากโดนแกล้งกลับ


“ว่าอย่างไร ถ้าหากใครแพ้ จะต้องลงไปคำนับอีกคนสามครั้ง ตกลงไหม”


คำของเฉินหลงส่งไปหาจางเสี่ยวตรงๆ ที่เขาพนันเช่นนี้กับเฉินหลงเพราะจางเสี่ยวจะเล่นไม่ซื่อกับเฉินหลง


ที่จางเสี่ยวไม่พูดเรื่องใครแพ้จะปล่อยฮ่าวฉิเหวินไปเพราะมาตรฐานที่ต่ำของเขาและเพราะตราบใดที่เขาชนะ เฉินหลงจะได้ไม่มีหน้ามาเจอฮ่าวฉิเหวินอีกด้วย


TB:บทที่ 93 สิบลูก


 


“ได้สิ ไม่เลวนี่ ฉันชอบนะ เลือกเวลาแข่งมาได้เลย” สายตาของเฉินหลงมีประกายพึงพอใจเป็นที่สุด เขามองด้วยสีหน้าของคนที่ถูกเลือก


“ไปโดนแสงแดดยังดีกว่าเลือกวัน แถวนี้มีสนามบาสอยู่ เราไปแข่งที่นั่นได้”


จางเสี่ยวมองเฉินหลงด้วยใบหน้าที่หยิ่งยโสกว่าเก่า เขาหงุดหงิด แต่เพราะอะไรกันละ หากตัดสินจากตอนที่เฉินหลงผลักเขาล้มลงง่ายๆเหมือนผลักเด็กน้อย มีเขาสักสิบคนก็สู้เฉินหลงไม่ได้


“นำไปเลย” เฉินหลงว่านิ่งๆ


“เพื่อนร่วมชั้นฮ่าว ถ้าเธอไม่มีรถมา ฉันพาเธอไปที่นั่นได้นะ” จางเสี่ยวว่าแบบมีจุดประสงค์


“เรามีรถมา”


จากนั้นเฉินหลงและพวกจางเสี่ยวก็ไปที่ลานจอดรถ


รถของจางเสี่ยวคือรถ บีเอมดับบลิว เอ็กซ์ไฟฟ์ เจ็ดที่นั่ง


“เพื่อนร่วมชั้นฮ่าว ในรถฉันยังว่างนะ อยากจะมานั่งคันนี้ไหม” เมื่อขึ้นรถไปแล้ว จางเสี่ยวมองไปยังฮ่าวฉิเหวิน


เฉินหลงหมดคำจะพูดกับจางเสี่ยว เขาจูงฮ่าวฉิเหวินไปที่ที่เขาจอดรถไว้


“เฮ้ย ดูนั่นสิมีแมคราเรนพีวันอยู่ด้วย อย่างสวยเลย” เพื่อนของจางเสี่ยวมองไปทางที่เฉินหลงเดินไป เพราะมีแมคราเรนพีวันอยู่จึงมีความตื่นเต้นและอิจฉา


“เท่เป็นบ้า ฉันจะถ่ายรูปไว้เป็นความทรงจำ” คนอื่นๆว่าและกำลังจะออกไปจากรถของจางเสี่ยวเพื่อไปถ่ายรูป


“ถ่ายเยอะๆเลยแล้วส่งมาให้ด้วย”


……


เด็กชายทุกคนย่อมคลั่งไคล้รถซุปเปอร์คาร์ หากเป็นนักกีฬามหาลัยด้วยแล้วล่ะก็ ถ้าวันหนึ่งพวกเขาพัฒนาขึ้น พวกเขาอาจจะมีเงินพอจะเป็นพวกที่ซื้อรถหรูๆที่เขานั่งอยู่นี่ได้


อย่างไรเสีย ในตอนนี้พวกเขายังไม่มีปัญญาจะซื้อรถหรูพวกนี้เว้นแต่จะมีอะไรอัศจรรย์เกิดขึ้น


“สวยดีนี่ เดี๋ยวจะขับไปตรงนั้นให้พวกนายถ่ายนะ” พอเห็นเพื่อนของเขาจะลงจากรถเพื่อไปถ่ายรูปแมคราเรนพีวัน จู่ๆจางเสี่ยวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ


เขาก็เป็นทายาทเศรษฐีนะ แต่เพื่อนเขาจะไปถ่ายรูปรถหรูคันอื่น


เขาไม่ได้รู้สึกอับอายอะไรหรอก แต่ตอนนี้เฉินหลงยังอยู่แถวนี้ หากพวกนั้นไม่เห็นภาพที่เป็นอยู่นี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียหน้าอะไรหรอก จางเสี่ยวยอมให้เพื่อนลงจากรถไปถ่ายรูปไม่ได้เขาจึงทำได้เพียงขับรถไปให้พวกเขาถ่ายรูปเท่านั้น แต่ทำแบบนี้ก็ดูน่าสงสัยอยู่ดี


แต่เมื่อจางเสี่ยวกำลังขับผ่านไป เขาเห็นเฉินหลงเปิดประตูรถแมคราเรนพีวันให้ฮ่าวฉิเหวินเข้าไปในรถ สีหน้าทุกคนในรถจางเสี่ยวสับสน


“นำไป” เฉินหลงกดแตรรถ ลดกระจกลง เขากล่าวกับจางเสี่ยว


เมื่อได้ยินเฉินหลงว่าดังนั้น จางเสี่ยวรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า “ป้าบ ป้าบ ป้าบ” ถึงเฉินหลงจะไม่ได้อวดรวยอะไร แต่แค่รถที่ขับก็ชนะจางเสี่ยวแล้ว


ความรู้สึกนี้ทำให้จางเสี่ยวที่แม้จะเป็นคนหยิ่งยโสเสียเหลือเกินไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


ครั้งนี้จางเสี่ยวหวาดกลัวอย่างมากว่าเขาคงไม่มีโอกาสกับฮ่าวฉิเหวิน เขาไม่มีอะไรดีกว่าเฉินหลงเลยไม่ว่าจะมองจากเรื่องหน้าตาหรือความร่ำรวย คงจะแปลกถ้าฮ่าวฉิเหวินจะมาชอบเขา ถึงจะเป็นเช่นนั้นจางเสี่ยวได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าเขาจะแข่งกับเฉินหลงแม้จะไม่มีโอกาสทำคะแนน ความรู้สึกเหมือนโดนคนอื่นกดหัวแบบนี้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้ เขาอยากจะชนะแม้จะแค่ในสนามบาสเกตบอลก็เถอะ


“พี่หลง นี่รถพี่หรือ” เมื่อได้นั่งรถแล้วฮ่าวฉิเหวินถามออกมาอย่างตื่นเต้น


 


เมื่อฮ่าวฉิเหวินเห็นรถคันนี้ แม้ครอบครัวของเธอจะร่ำรวยแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งรถราคาหลายสิบล้าน แน่นอนว่าเธอตื่นเต้นเป็นที่สุด เธอเคยได้ยินจากพ่อมาก่อนว่าเฉินหลงขับแลนด์โรเวอร์ จู่ๆเขามาขับแมคราเรนได้อย่างไรนี่


“ได้มาจากเพื่อนน่ะ” เฉินหลงยิ้ม


ตอนแรกฮ่าวฉิเหวินจะถามเฉินหลงว่าได้มาจากใคร แต่คิดอีกที ผู้ชายคงไม่ชอบผู้หญิงช่างถาม เธอจึงไม่ได้ถามออกไป


เนื่องจากจางเสี่ยวนำทางไป พวกเขาจึงมาถึงสนามบาสเกตบอลอย่างรวดเร็ว หลังจากซื้อตั๋วและเข้าไปแล้ว เฉินหลงก็เดินเข้าไปข้างใน


รถเฉินหลงเตะตาเป็นอย่างยิ่ง และเพราะเป็นเจ้าของรถเฉินหลงจึงเตะตาคนเช่นกัน


ตอนนี้มีคนเล่นบาสเกตบอลอยู่หลายสนามแต่โชคดีที่มีครึ่งของสนามหนึ่งที่ไม่มีคน ทำให้เฉินหลงและจางเสี่ยวแข่งตัวต่อตัวกันได้


“พร้อมไหม” จางเสี่ยวมองเฉินหลง


“นายพร้อมจะคำนับฉันหรือยังละ” เฉินหลงถามจางเสี่ยว


“ฉันไม่อยากเถียงกับนาย วัดกันในสนามดีกว่า เอาเป็นว่าเล่นสิบลูก จะเป็นลูกสามแต้มหรือสองแต้มหรือดังค์ก็นับเป็นหนึ่งแต้ม ในสิบลูกใครทำคะแนนได้มากกว่าชนะไป ว่าไงละ” จางเสี่ยวรอไม่ไหวที่เฉินหลงจะคำนับเขาจนไม่อยากเสียเวลาเถียง


“ไม่ว่าไง เริ่มตอนไหนก็ว่ามาเลย”


จริงๆแล้วแม้เฉินหลงจะเคยดูการแข่งขันบาสเกตบอลแต่เขาไม่เคยเล่นเองมาก่อน  อย่างไรก็ตามด้วยพละกำลังของเขาและหากได้รู้วิธีเล่นแล้วเฉินหลงน่าจะเล่นได้ไม่มีปัญหาอย่างใด ตอนที่ขับรถมาเฉินหลงใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ให้บอกวิธีเล่นกับเขา


จางเสี่ยวเดินเข้าไปยังสนามพร้อมถือลูกบาสเกตบอล เฉินหลงเดินเข้าไปเช่นกัน


“ไม่ต้องหาว่าแกล้งกันนะ ฉันจะให้นายเริ่มรุกเข้ามาก่อน” จางเสี่ยวโยนลูกบอลให้เฉินหลง เขาย่อเข่าทำท่าป้องกัน


เมื่อเฉินหลงได้ลูกแล้วเขาเดาะลูกเหมือนคนไม่เคยเล่น


เฉินหลงได้รู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลมาจากระบบแต่เมื่อเล่นจริงจะต้องมีเวลาเพื่อปรับใช้ ด้วยสภาพกำลังกายที่เฉินหลงมี เวลาเพื่อปรับใช้ที่ว่าจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว คือการลองเล่นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น


เมื่อเขาเดาะลูกบอลด้วยมือของเขาแล้ว เขาเริ่มจับความรู้สึกได้ เฉินหลงรู้วิธีการหลักๆที่จะเล่นบาสเกตบอลแล้ว


จางเสี่ยวได้เห็นเฉินหลงเดาะลูกบาสเกตบอลเหมือนคนที่ไม่ชำนาญอะไรแล้วเขาเกือบหลุดขำออกมา เขามีฝีมือระดับพวกเริ่มเล่นแล้วยังกล้าจะแข่งกับเขาอีกหรือ จางเสี่ยวไม่เข้าใจว่าเฉินหลงเอาความมั่นใจมาจากไหน


เมื่อคิดได้ดังนั้น จางเสี่ยวก็พุ่งเข้าไปแย่งลูกบอลจากเฉินหลงทันที


แต่ตอนนั้นเฉินหลงหมุนตัวผ่านจางเสี่ยวไปได้ทั้งตัว เมื่อได้เลี้ยงลูกบอลไปได้สองครั้งเฉินหลงมาถึงหน้าแป้นบาสเกตบอล และด้วยการใช้กำลังขาเพียงน้อยนิด เฉินหลงดันลูกบอลลงห่วงด้วยมือข้างเดียว


จางเสี่ยวได้แต่ยืนนิ่งกับการกระโดดทำคะแนนด้วยมือข้างเดียวของเฉินหลง ไม่ใช่ว่าคนคนนี้ไวไม่พอจะชู้ตลูกทำคะแนนหรือ เขาโยนลูกลงห่วงด้วยมือข้างเดียวได้อย่างไร เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ คนคนนี้เป็นระดับมืออาชีพ


ฮ่าวฉิเหวินที่นั่งมองดูการแข่งอยู่ที่ขอบสนามกับคนอื่นๆอีกหลายคนมองดูเฉินหลงดังค์แล้วรู้สึกพรั่นพรึง แต่ต่อมา ฮ่าวฉิเหวินก็โห่ร้องและปรบมือ


เช่นเดียวกับหลายๆคนที่ดูการแข่งที่สนามนี้ พวกเขาทึ่งไปกับการดังค์ของเฉินหลง


“เยี่ยมสุดๆไปเลย ดังค์อีกลูกสิ”


“ดังค์อีกลูกเลยๆ”


……


เฉินหลงโยนลูกบาสเกตบอลไปให้จางเสี่ยวแต่จางเสี่ยวโยนกลับมาให้เฉินหลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำยอมให้เฉินหลงได้หน้าคนเดียว


ต่อจากนั้นเฉินหลงเลี้ยงลูกบอลไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเลี้ยงลูกบอลด้วยท่าทางเหมือนผ่านการฝึกมานับสิบปี เขามีฝีมืออย่างมาก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเขามองเห็นจางเสี่ยว


TB:บทที่ 94 รังแกคนไม่มีทางสู้


 


“ผีเสื้อโบยบินผ่านดงดอกไม้….”


จางเสี่ยวตัวไหวสั่นอยู่บนพื้น


“เขาตามไปเรื่อยๆทีละครั้ง”


จางเสี่ยวโดนบดขยี้เป็นผุยผง


“แย่งลูก…”


จางเสี่ยวขวางไม่ได้แม้แต่เส้นผม


“หยุดวิ่ง กระโดดขึ้น ชู้ต….”


“จบสิ้นสามนาที….”


…….


เฉินหลงใช้สกิลการเล่นบาสเกตบอลทั้งหมดอย่างมีฝีมือ วิธีการจู่โจมของเขาช่างเหมือนกับดอกไม้หมื่นดอกในถัง จางเสี่ยวอยากตายเสียเหลือเกิน ชีวิตที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นอีกครั้งที่เขาเริ่มเคลือบแคลงชีวิตตนเอง


เฉินหลงดังค์ลูกสุดท้ายด้วยสองมือ จบการประลองตัวต่อตัวนี่ไป


“นายไม่ได้กันลูกบอลเลยทั้งสิบลูก ตอนนี้จะทำตามอย่างที่พนันไว้ก่อนหน้าได้หรือยัง” เมื่อเฉินหลงดังค์ลูกแล้ว เขาเก็บลูกบาสเกตบอลและโยนไปให้จางเสี่ยว


เมื่อได้ยินคำของเฉินหลง สีหน้าจางเสี่ยวเปลี่ยนเป็นเหยเก ราวกับเขาถูกทำร้ายจนตั้งคำถามกับชีวิตตนเอง ตอนนี้เขาต้องคุกเข่าคำนับเฉินหลงถึงสามครั้ง และนี่แหละคือสิ่งที่ฆ่าเขาได้จริงๆ


“ไม่ใช่ว่าอยากจะคำนับแบบหัวชนพื้นหรือ แต่ถ้านายตกลงต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่เข้าใกล้เสี่ยวเหวินในสิบเมตรเสียงหัวที่จะชนพื้นสามครั้งก็ไม่จำเป็นนะ” เฉินหลงมองใบหน้าจางเสี่ยวและกล่าวด้วยรอยยิ้มรังเกียจ


“หมายความตามที่พูดจริงๆนะ” จางเสี่ยวเงยหน้ามองเฉินหลง


ในตอนนั้น จู่ๆจางเสี่ยวคิดว่าเฉินหลงตั้งใจให้เป็นแบบนั้น


“ถ้าคิดว่าฉันหมายความตามที่บอกไป ฉันจะขุดหลุมให้นายกระโดด” เฉินหลงไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธ


“นี่ แม้ฉันจะพลาดคราวนี้แต่ฉันหวังต่อไปว่านายจะไม่พลาดมาตกอยู่ในมือฉันนะ” เมื่อกล่าวจบ จางเสี่ยวก็หยิบลูกบาสเกตบอลและเดินไปทางฮ่าวฉิเหวิน


เฉินหลงไม่ได้ใส่ใจคำขู่ของจางเสี่ยว เสือจะไปกลัวคำขู่ของกระต่ายทำไมกันเล่า


“คุณฮ่าว จากวันนี้ไป ผมจะไม่ปรากฏตัวแถวที่คุณอยู่ภายในสิบเมตร” จางเสี่ยวหน้าดำหน้าเขียวพูดกับฮ่าวฉิเหวินต่อหน้าเพื่อนๆ


เฉินหลงยิ้มให้ฮ่าวฉิเหวินขณะมองจางเสี่ยวเดินจากไป


“โอ้โห้ ตะกี้เยี่ยมสุดๆไปเลย คุณเป็นมืออาชีพนี่”


“หกร้อยหกสิบหก ต่อ หก”


“จริงๆหมอนั่นไม่เลว แต่บังเอิญว่าคู่ต่อสู้เก่งไปหน่อย ความสามารถระดับนี้คือระดับแข่งในซีบีเอแน่ๆ”


…….


เมื่อจางเสี่ยวไปแล้ว คนที่ดูการแข่งขันอยู่ก็พูดคุยเรื่องเฉินหลงกัน บางคนที่ดูการแข่งถึงขนาดอยากถ่ายรูปกับเฉินหลงด้วยซ้ำ การประลองนี่ทำให้เฉินหลงได้แฟนคลับเพิ่มมาด้วย


หลังจากพบปะแฟนคลับตามที่พวกเขาต้องการแล้ว เฉินหลงกับฮ่าวฉิเหวินก็ออกไปจากสนามแข่ง


“พี่หลง ขอบคุณนะคะ ไอ้หมอนั่นเป็นก๊อบบลินขี้ตื๊อที่มหาลัยเลย หมอนั่นมาก่อกวนฉันได้ทุกวี่ทุกวัน ฉันเบื่อเขาแทบตาย แต่ตอนนี้หมอนั่นจะมากวนฉันไม่ได้แล้ว ฉันพูดได้เลยว่าหมอนี่เป็นขยะเพราะทุกๆคนพูดแบบนั้น เขาเป็นคนมั่นหน้าด้วย เขาไม่รู้สึกดีกับตัวเขาเองหรอก” ฮ่าวฉิเหวินนั่งข้างเฉินหลงและกล่าวอย่างมีความสุข


ตั้งแต่จางเสี่ยวมาตามตื๊อฮ่าวฉิเหวิน ชีวิตของเธอไม่มีความสุขเลย หมอนั่นส่งดอกไม้หลายช่อให้เธอทุกวัน บางครั้งหมอนั่นตะโกนด้วยเสียงที่เหมือนทรัมเป็ตพังๆ ฮ่าวฉิเหวินหน่ายเสียเหลือเกิน ตอนที่เธอได้พักผ่อนหมอนี่ก็ตามมาก่อกวนอีก ถ้าฮ่าวฉิเหวินฆ่าหมอนั่นได้คงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้หมอนั่นไม่อยู่กวนใจเธอแล้ว ฮ่าวฉิเหวินมีความสุขจากใจจริง


“เรื่องง่ายๆหน่า” เฉินหลงยิ้ม


“พี่หลง ทำไมพี่เล่นเก่งจัง” ฮ่าวฉิเหวินถามต่อไป


เพราะเธอเป็นแฟนบาสทำให้เธอรู้ระดับฝีมือการเล่นของเฉินหลงอย่างแน่ชัดเพียงได้ดูเขาเล่น ถึงระดับของฝีมือของจางเสี่ยวจะต่ำมากแต่การเล่นแบบมืออาชีพของเฉินหลงทำให้รู้ได้ว่าเขาฝึกอย่างหนักแน่นอน


“ปกติฉันฝึกไม่ก็เล่นตามใจน่ะ จะว่าไป ให้ฉันไปส่งไหม ตอนนี้เธอจะไปที่ไหนละ”


เฉินหลงไม่อยากสอนการเล่นบาสเกตบอลให้ฮ่าวฉิเหวิน


“พี่หลงจะไปส่งฉันก็ได้”


ฮ่าวฉิเหวินสะเทือนใจมากที่รู้ว่าเฉินหลงไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าเพื่อนเลย ลึกๆแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยแต่แล้วเธอรู้สึกโล่งใจ


เพราะในท้ายที่สุด เฉินหลงและตัวเธอได้รู้จักกันเพียงครึ่งวันเท่านั้น แค่นี้ไม่พอให้ใครตกหลุมรักใครหรอก


อย่างไรเสียเธอตัดสินใจไปแล้วว่าจะติดต่อกับเฉินหลงให้มากกว่านี้อีก เหมือนกับซุปนั่นแหละที่ต้องเคี่ยวช้าๆ


บ้านของฮ่าวฉิเหวินอยู่ที่ย่านหรูแถววิลล่าตรงถนนวงเวียนที่สอง เมื่อเขาส่งเธอแล้ว เฉินหลงออกตามหาเต๋ากวงหานต่อไป


หลังจากส่งฮ่าวฉิเหวินแล้ว เฉินหลงเพิ่งฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ได้มอบของขวัญให้ฮ่าวฉางชิง แต่ยังมีครั้งหน้า


ขณะนั้น เต๋ากวงหานกำลังแกะสลักเศษหยกอยู่ด้วยมีดแกะสลักเล็กๆในบ้านสามัญที่ตั้งอยู่ในย่านธรรมดาๆตรงแถวรอบนอกของถนนวงเวียนที่สี่


ผู้ฝึกศิลปะป้องกันตัวต้องให้ความสำคัญกับคำว่า “ความมั่นคง” เหมือนกับขั้นตอนแรกของการขี่ม้า ที่ผู้ขี่ต้องทำตัวให้นิ่งไว้ หลังจากที่ฝึกฝนการใช้อาวุธแล้ว ควรให้ความสำคัญกับความนิ่งของตนด้วย เพราะเพียงแค่ความมั่นคงของอาวุธในมือคุณไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่อต้องต่อสู้จริง


การฝึกฝนก็เหมือนกับการแกะสลัก


เพราะการแกะสลักบนเศษหยกชิ้นเล็กๆต้องอาศัยทั้งแรงกายและความมั่นคง เป็นการฝึกควบคุมที่เหมาะสมยิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่สมบูรณ์แบบ


การแกะสลักคล้ายกับการฝึกมีด วินาทีที่มีดแกะลงไปเพียงหนึ่งมิลลิเมตรสามารถบอกถึงความเที่ยงตรงของดาบและฝีมือที่เทียบกันไม่ได้ระหว่างความนุ่มนวลและการความสามรถของการป้องกัน


เฉินหลงขับรถไปยังสถานที่ที่เต๋ากวงหานอยู่ เขาขึ้นไปที่ชั้นที่เต๋ากวงหานอยู่และเคาะประตู


ในทันทีที่มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน มือของเต๋ากวงหานสั่นไหวเล็กน้อยทำให้เศษหยกที่เขาสลักอยู่มีรอยมีด


เมื่อได้เห็นร่องรอยบนหยกแล้วเต๋ากวงหานส่ายศีรษะไปมา จิตใจเขายังสงบไม่พอให้ละการก่อกวนจากโลกภายนอกได้


เขาวางมีดและหยกลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าและค่อยๆเดินไปเปิดประตู


หากไม่ได้ยินเสียงเคาะแล้วเต๋ากวงหานอาจจะแกะสลักต่อแต่เมื่อได้ยินไปแล้ว เขาทำได้เพียงเดินไปเปิดประตู


“นี่นายเหรอ” เมื่อประตูเปิดออก เขาเห็นเฉินหลงยืนอยู่หน้าประตู ใจหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


เขาไม่ได้บอกที่ซ่อนในเมืองหลวงนี้กับใคร รวมถึงเฉียนชานเจียด้วย แต่เฉินหลงหาเจอได้อย่างง่ายดาย เขารู้สึกทึ่งจริงๆ


“แปลกใจที่ได้เจอผมหรือ” เฉินหลงยิ้มให้เต๋ากวงหาน โดยปกติแล้วเขาจะไปเข้าบ้านเต๋ากวงหาน แต่เมื่อเห็นบ้านที่ธรรมดาเช่นนี้ เขาจึงพูดต่อไปว่า “ที่นี่เยี่ยมมากเลยนะ คุณเจอที่แบบนี้ได้ด้วย”


“การหลบซ่อนที่ดีที่สุดคือทำตัวให้เหมือนคนสามัญ” เต๋ากวงหานค่อยๆปิดประตู เขาระวังตัวกับเฉินหลง


แม้เต๋ากวงหานจะเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวทั้งหมดที่มีต้นกำเนิดมาจากเต๋า แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาดีไม่พอหากไม่มีเต๋า


ตอนที่แล้วTB:บทที่ 94 รังแกคนไม่มีทางสู้

ทั้งหมดรายชื่อตอน

ตอนถัดไปTB:บทที่ 96 ฝุ่นหายไปแล้ว 

TB:บทที่ 95 แผนของเฉินหลง


“คุณเต๋าไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายคุณ ผมอยากบอกอะไรบางอย่างเท่านั้น เพราะเรื่องซ่งหยู่ สกุลซ่งเลยสงสัยผมกับพี่เฉียนไปแล้ว อีกอย่างสกุลซ่งมีคนที่สะกดจิตคนอื่นได้ ผมเลยต้องผนึกความทรงจำของพี่เฉียนเรื่องที่มาไหว้วานคุณฆ่าซ่งหยู่ พูดอีกอย่างคือเขาลืมเรื่องที่เคยสั่งคุณไปแล้ว” เฉินหลงมองภาพของดาบอันเบาหวิวที่มีการป้องกันอันเยือกเย็น เขายกยิ้มเบาๆ เฉินหลงอยากให้เต๋ากวงหานผ่อนคลาย


“วันนี้นายมาทำอะไรที่นี่” เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงผนึกความทรงจำได้ เต๋ากวงหานไม่เพียงแต่แปลกใจเขายังรู้สึกกังวลอีกด้วย


ตอนที่เขาเห็นเฉินหลงเป็นครั้งแรก เต๋ากวงหานรู้ว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา แต่ในตอนนั้นเขามั่นใจมากว่าเขาประมือกับเฉินหลงได้ ในตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นเฉินหลงอีกครั้งเขาพบว่าพลังของเฉินหลงกล้าแกร่งเกินเขาจะเทียบได้แล้ว


“ไม่สำคัญหรอก ตั้งแต่พี่เฉียนลืมเรื่องนั้นไป คุณก็ไม่ได้ทำงานให้เขาอีกแล้ว ตอนนี้ผมต้องการคน คุณมาทำงานให้ผมได้ไหม” เฉินหลงมองไปที่มีด


“ตอนนี้ฉันมีปัญหากับสกุลซ่ง นายไม่กลัวฉันจะนำปัญหามาหรือ” หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินหลง ด้วยอะไรบางอย่าง เต๋ากวงหานรู้สึกโล่งใจ


“พลังของสกุลซ่งแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ต้องเกรงกลัวไป พวกเขายังทำอะไรไม่ได้” เฉินหลงว่า


หากกล่าวตามจริง เฉินหลงไม่ได้เกรงกลัวสกุลซ่งแต่อย่างใด หากสกุลซ่งต้องการจัดการพวกเขา เฉินหลงก็จะสู้กับสกุลซ่งในท้ายที่สุด หากเขาเท้าเปลือยอยู่ เขาจะเกรงกลัวการใส่รองเท้าหรือ


“นายมั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกิน” เต๋ากวงหานมองเฉินหลง


“เพียงคุณมีพลังคุณจะมั่นใจ คิดว่าอย่างไรเล่า คุณอยากจะช่วยผมไหม ถ้าไม่อยากผมขอให้คุณลืมๆไปว่าผมมาที่นี่วันนี้” เฉินหลงไม่อยากบังคับเต๋ากวงหานมากนัก


“ช่วยนายหรือ แล้วนายช่วยฉันจัดการกับสกุลซ่งได้หรือไม่” เต๋ากวงหานยังกล่าวอย่างเยือกเย็น


สิ่งสำคัญคือเขาเอาตัวรอดได้หลังฆ่าคนของสกุลซ่ง หากเขากำจัดสกุลซ่งไปได้คงเป็นการดีที่สุด เขารู้เพียงว่าหนทางยังอีกยาวไกล


“ครับ แต่ในตอนนี้ ผมอยากขอเวลาพัฒนาฝีมือตัวเองจะได้เหยียบสกุลซ่งให้จมดิน”


ตอนนี้ พลังของเฉินหลงและเครื่องมือกึ่งอาวุธพวกนั้นแข็งกล้ามาก แต่จากที่เจิ้งอี้บอกว่า เขาเป็นพลังหลักที่คุมทั้งหมดดังนั้นเพื่อจะพัฒนาพลัง เขาต้องการเวลา


ในท้ายที่สุดแล้ว คงจะเป็นการดีที่สุดหากคนหลักที่คุมควรมีผลซื่อสัตย์คอยควบคุมเพื่อที่จะไม่มีการหักหลัง


“ผลซื่อสัตย์” ต้องใช้แต้มแลกเปลี่ยน ในขณะที่ความสามารถหลักต้องการเวลา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการในเวลาสั้นๆหรือทำครึ่งๆกลางๆได้


ในใจเฉินหลงมีแผนอยู่ หากสกุลซ่งไม่ใช่ตระกูลใหญ่แล้วจะยังมีพลังอยู่ไหม จากนั้นเขาจะหาพรรคพวกมาดูว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน


“เครื่องกำจัดฝุ่น” เป็นโอกาสแรกที่จะสร้างชื่อให้บริษัท หลังจากนั้นเฉินหลงจะทำการแลกเปลี่ยนเครื่องมือจากระบบให้นานกว่าสิบหรือยี่สิบรุ่น และสร้างบริษัทของเขาให้เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก


หากคนอื่นเป็นเจ้าของความคิดนี้คงกลายเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับเฉินหลงแล้วเขามั่นใจอย่างมาก


“ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน” เต๋ากวงหานพูด


“อย่างมากก็ห้าปี”


เฉินหลงเริ่มธุรกิจของเขาไปแล้ว หากเขามีอิทธิพลที่ทรงพลังไม่ได้ในห้าปี เขาคงถึงคราว “ซวย”จริงๆแล้ว


“เอาล่ะ ห้าปีก็ห้าปี หากนายยังแก้แค้นให้ฉันไม่ได้ในห้าปี ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย” เต๋ากวงหานครุ่นคิดและตอบตกลง


เขายอมรับว่าเหตุผลที่เขาตอบตกลงส่วนใหญ่มาจากพลังของเฉินหลงที่แข็งแกร่งขึ้นภายในเวลาอันสั้น


“ยินดีเลย” เฉินหลงยื่นมือของเขาไปที่เต๋ากวงหาน


“อยากให้ผมทำอะไรละ เจ้านาย” เต๋ากวงหานถาม เขาและเฉินหลงจับมือตกลงกัน


“ไม่ยากเลย คุณแค่ต้องช่วยผมหาคนที่แข็งแกร่ง ต้องสู้ได้และไม่ได้สังกัดประเทศหรือสกุลไหน รวบรวมข้อมูลพวกเขาซะแล้วเอามาให้ผม” เฉินหลงแจกแจงรายละเอียดภารกิจให้เต๋ากวงหาน


งานประเภทนี้เหมาะกับเต๋ากวงหานที่สุดแล้วเพราะต้องอาศัยความรอบคอบและระมัดระวัง


“เจ้านาย แล้วผมจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จตามที่สั่ง” เต๋ากวงหานกล่าวอย่างจริงจัง


หากต้องการให้ใครมาแก้แค้นให้ ก็ควรแสดงว่ามีค่าพอให้ทำ และถ้าทำตามคำสั่งแรกไม่สำเร็จ เต๋ากวงหานก็ไม่มีหน้าไปให้เฉินหลงช่วยแก้แค้นหรอก หลังจากตกลงกันแล้วเฉินหลงให้ร้อยล้านยวนกับเต๋ากวงหานแล้วพวกเขาก็แยกกันไป


เฉินหลงอยากรวบรวมคนเก่งมาจากต่างประเทศด้วยไม่ใช่เพียงแค่ในจีน ดังนั้นทุนที่เขาให้กับเต๋ากวงหานจึงไม่น่าจะมากไป เพื่อให้ได้คนมีความสามารถมาเงินทองเท่าไหร่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ


เมื่อเฉินหลงกลับไปถึงวิลล่าแล้วเขาใช้ระบบเพื่อหาเครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน


ในระบบมีเครื่องมือมากมายที่ใช้ได้ อย่างซุปเปอร์ไฟร์วอล หรือ ซุปเปอร์ฮาร์ดดิสก์ เมื่อได้ยินชื่อ นิว บี แล้วก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม และเพื่อแลกเครื่องมือพวกนั้นเขาจำต้องใช้แต้มแลกเปลี่ยนกว่าพันแต้ม


และแม้ของพวกนี้จะทำให้เฉินหลงรู้สึกโลภ แต่เขาไม่ได้มีแต้มแลกเปลี่ยนเพียงพอจะแลก อีกอย่างเครื่องมือพวกนี้มีคู่แข่งอยู่แล้วในโลก เครื่องมือบนโลกที่เขาอยากเป็นผู้นำในด้านนั้นล้าสมัยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วย เขาจึงยอมแพ้ไปก่อน เพราะหลังจากสร้างชื่อให้บริษัทได้และเมื่อจำหน่ายเทคโนโลยีพวกนี้แล้วจะได้ไม่มีคู่แข่งใดมาสู้ได้


ในที่สุดเฉินหลงเลือกเครื่องมือฉายภาพเสมือนสุดทันสมัยมาจากระบบ การทำงานของเครื่องมือนี้คล้ายกับหมวกฉายภาพเสมือนในพวกนิยายเกมออนไลน์ เพียงแต่ของที่แลกมานั้นทรงพลังกว่า เพราะเครื่องมือนี้สามารถสร้างภาพดิจิทัลจากของที่มีอยู่จริงได้ แม้การทำงานด้านนี้อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมาก แต่อีกการทำงานหนึ่งยอดเยี่ยมนัก ระบบการสร้างภาพเสมือนไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่มีหรือความสามารถทางกายจากร่างจริงมาสร้างเป็นภาพเสมือนได้ ระบบนี้เคยใช้กันในด้านการทหารเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมากของกองทัพ


ทว่าเครื่องมือสร้างภาพเสมือนนี้ต้องใช้แต้มแลกเปลี่ยนกว่าห้าพันแต้ม


และเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับแต้มแลกเปลี่ยนแล้ว เรื่องพวกนี้ทำให้เฉินหลงปวดหัว เทียนซิงจื่อผู้แป็นอาจารย์ก็ใช้แต้มแลกเปลี่ยนแลกอาหารได้อีกต่อไปแล้ว ช่วงนี้เฉินหลงไม่รู้ว่าจะแลกเปลี่ยนกับเขาอย่างไรด้วย


เฉินหลงเหลือแต้มแลกเปลี่ยนอยู่เพียงไม่มากนัก


“นายอยากจะขายเครื่องมือระดับกึ่งเทวาอีกจริงหรือ”


เครื่องมือทั้งสี่สิบแปดชิ้นที่เขาได้มาจากวิหารมีวิธีการทำงานที่ต่างกัน แต่ของบางชิ้นเฉินหลงก็ไม่ได้ต้องการใช้


เขาจึงต้องการแลกของที่ไม่จำเป็นพวกนั้นเป็นของที่จำเป็น


“ลืมๆไปเถอะ ขายสักอันมาแลกคะแนนดีกว่า” แม้ใจเขาไม่อยากจะยอมแพ้แต่เพื่อให้ได้แต้มมาแล้ว เฉินหลงจำต้องประกาศขายเครื่องมือของเขาในร้าน


เครื่องมือชิ้นนี้ ชื่อ “เชือกแห่งความมืด” การทำงานของเครื่องมือนี้คือเมื่อผู้ใช้สวมแล้วจะล่องหน แม้จะเป็นผู้ที่แข่งแกร่งระดับ “ปรมารจารย์ระดับดวงดาว” ก็ไม่สามารถมองเห็นได้


TB:บทที่ 96 ฝุ่นหายไปแล้ว


 


เมื่อเขาประกาศขายเครื่องมือแล้ว เฉินหลงออกจากระบบ เขาจำต้องแลกเครื่องฉายภาพเสมือน และเมื่อเขาประกาศขายเครื่องมือในร้านเขาแล้วเขาจะไม่สามารถขายอะไรได้อีกสักพัก เขาจึงออกจากระบบไปก่อน


ตอนแรกเฉินหลงคิดว่าจะให้ฮ่าวฉางชิงตอบเขามาก่อน แต่หลังจากรอสักพักที่วิลล่าไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง เขาไม่อาจรอต่อไปได้แล้ว เขาออกไปจากวิลล่าพร้อมกุญแจรถ


รถซุปเปอร์คาร์ก็เหมือนของเล่นชิ้นใหญ่ที่เด็กผู้ชอบทุกคนชอบ และเมื่อเฉินหลงใช้แมคราเรนพีวันไปแล้วครั้งหนึ่งในไม่ช้าเขาก็ชอบรถพวกนี้


เนื่องจากตอนนี้ยังเช้าอยู่ เฉินหลงจึงขับไม่ไวนัก อีกอย่างความเร็วเท่านี้ยังทำให้เขาได้สนุกกับความอิจฉาในสายตาคนอื่นด้วย


คล้ายกับว่าเฉินหลงเสพติดไปแล้ว เขาขับรถบนถนนวงเวียนอยู่หลายชั่วโมง ในท้ายที่สุดเมื่อฟ้ามืดลงและรถไม่ค่อยติดแล้วเฉินหลงเร่งเครื่องอย่างบ้าคลั่งและเพลิดเพลินไปกับความเร็วอันหรรษา


และเนื่องจากพลังของเฉินหลงในตอนนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การควบคุมในความเร็วที่น่ากลัวของรถแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย


ตำรวจจราจรไม่ได้มาจัดการอะไร เขาจึงสนุกสนานไปกับความเร็วและความหลงใหล จากนั้นเฉินหลงกลับไปที่วิลล่า เขาอาบน้ำสบายๆและเข้านอน


เช้าวันถัดมาเฉินหลงเปิดตาตื่น เขาเข้าไปร้านของเขาในระบบเพื่อดูว่าเครื่องมือของเขาขายไปแล้วหรือไม่ น่าเสียดายที่เครื่องมือยังคงอยู่ เฉินหลงส่วยหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาจึงออกมาและล้างระบบ


ไม่มีทางที่จะขายได้ แม้เครื่องมือของเฉินหลงจะดีเพียงไรแต่ความนิยมของร้านเขาแทบจะเป็นศูนย์ คงไม่มีใครเข้ามาดู


หากเขาขายไม่ได้ในเร็ววันนี้ เฉินหลงจะขายเครื่องมือนี้ให้อาจารย์ขี้งกของเขา เขาจะช่วยอะไรนิดหน่อยและคิดราคาให้สูงที่สุด


เมื่อล้างระบบแล้ว เฉินหลงหยิบ “หน้ากากกำจัดฝุ่น” ส่วนตัวออกมาและใส่ไปวิ่งออกกำลังกาย


“หน้ากากกำจัดฝุ่น” อันนี้เป็นของที่แลกมาจากระบบและส่งไปจดลิขสิทธิ์แล้วแต่เจิ้งอี้ทำเพิ่มมาให้อีกอัน อุปกรณ์ของเฉินหลงหลายชิ้นเป็นของที่เจิ้งอี้ประดิษฐ์


เมื่อเขาวิ่งไปได้ชั่วโมงหนึ่ง เฉินหลงซื้ออาหารเช้าและกลับไปที่วิลล่า


เมื่อกินข้าวเช้าเรียบร้อย เฉินหลงรับสายจากฮ่าวฉางชิงที่บอกให้เขาไปหาเพื่อเล่าวิธีกำจัดฝุ่นที่เขาคิดให้ฟัง


ได้ยินดังนั้นเฉินหลงติดต่อเจิ้งอี้และขอให้เขานำอุปกรณ์และแบบของอุปกรณ์นั้นไปด้วย


ซวีหมิงเหม่ยในตอนนี้ได้ออกจากการจัดการเรื่องบริษัทไปแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องบางเรื่องก็เหมาะให้ผู้หญิงจัดการมากกว่าผู้ชายโดยเฉพาะกับผู้หญิงสวยๆ


รอบนี้เฉินหลงเลือกขับมาเซราติจีซีเนื่องจากไม่อยากเป็นจุดสนใจ


การจราจรติดขัดของปักกิ่งเป็นอันดับที่สิบห้าจากเมืองต่างๆทั้งโลก จึงนึกภาพได้ง่ายๆว่าเมืองหลวงนี้แออัดเพียงไร


อย่างไรก็ตามเฉินหลงมีความคิดใหม่ๆเพื่อจัดการกับปัญหารถติด ระบบสามารถจัดการกับปัญหารถติดได้เองแต่ยังเป็นเรื่องที่ยังเกิดไม่ได้ในเร็วๆนี้ อีกสองสามปีค่อยกลับมาพูดต่อแล้วกัน


เฉินหลงใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งจึงมาถึงที่ที่ฮ่าวฉางชิงนัดไว้


แถวนี้ดูเป็นชุมชนธรรมดาๆบนถนนวงเวียนที่สาม ดูเหมือนว่าจะเป็นชุมชนที่ค่อนข้างสามัญ แต่เมื่อเฉินหลงขับรถผ่านไปนั้นก็คล้ายกับมีสายตาจับจ้องรถเขาอยู่


เขาเลี้ยวตรงถนนในชุมชน แล้วเฉินหลงเห็นฮ่าวฉางชิงยืนอยู่ตรงหน้าตึกห้องชุด


ฮ่าวฉางชิงกำลังยืนบิดคอไปมาอยู่ในขณะที่มองดูเวลาไปด้วย


เฉินหลงจอดรถตรงหน้าฮ่าวฉางชิง เขาและเจิ้งอี้ลงจากรถทีละคน


เจิ้งอี้ถืออุปกรณ์อยู่


อุปกรณ์นี้หนักนิดหน่อยแต่ไม่ใช่ปัญหาเขาบอกกับเจิ้งอี้เพราะเฉินหลงให้ยาเสริมกำลังกับเขาแล้ว


“เสี่ยวเฉินนี่ไม่เลวเลย นายเปลี่ยนรถอีกแล้ว” เขาเห็นว่าเฉินหลงเปลี่ยนรถอีกครั้ง ฮ่าวฉางชิงยกยิ้มขึ้น


ทั้งชายหนุ่มและเด็กชายต่างก็สนใจรถหรูๆนั่นเป็นเพราะรถพวกนี้คือตัวตนของพวกเขา


“รถพวกนี้ไม่ใช่ของผมหรอก พี่เฉียนคิดว่าเขามีรถเยอะไปเลยให้ผมมาก็เท่านั้นเอง ผมเลือกแค่คันเก่าๆมาน่ะ” เฉินหลงกล่าวตลกๆ


รถที่เฉียนชานเจียให้มาแทบไม่เคยผ่านการขับเลย จึงแทบไม่ต่างอะไรกับรถใหม่ เฉินหลงรู้สึกว่ามันน่าสงสัยเลยพยายามแสแสร้งไป


“ตามฉันมา” ฮ่าวฉางชิงว่า เขาขี้เกียจจะพูดเรื่องรถกับเฉินหลงแล้ว เขาเพ่งความสนใจไปที่ของในมือเจิ้งอี้ อุปกรณ์นี้คืออันที่เฉินหลงบอกว่าใช้จัดการปัญหาฝุ่นแน่นอน


พวกเขาตามฮ่าวฉางชิงไปที่ชั้นสาม เขาเคาะประตูบานหนึ่ง


ประตูนั้นเปิดออกอย่างรวดเร็วโดยผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฮ่าวฉางชิงที่มีท่าทางใจดี


“เข้ามาสิ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เมื่อเข้าห้องมาแล้วก็พบว่าห้องนี้เป็นห้องธรรมดาๆแต่สะอาดมากๆ เจ้าของจะต้องเป็นคนที่ขยันและชอบทำความสะอาดมากแน่ๆ


“เหลาฮ่าว นี่น่ะหรือเด็กหนุ่มที่คุณชื่นชมนักหนา เขาดูดีทีเดียวนะเนี่ย” ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเฉินหลงและกล่าวกับฮ่าวฉางชิง


ผู้หญิงคนนี้มองคนเก่ง เพียงครั้งแรกที่เธอเห็นเฉินหลงก็เดาได้แล้วว่าเขาคือคนที่น่าเชื่อถือที่ฮ่าวฉางชิงพูดถึงตอนคุยกับภรรยาเขาเมื่อวาน เธอไม่ได้คิดว่าเจิ้งอี้คือคนคนนั้น


“สวัสดีครับ คุณป้า ผมชื่อเฉินหลง” เฉินหลงยิ้มให้หญิงคนนั้นและกล่าวอย่างสุภาพ


“ตาแก่ มาร์ควิสคนเก่ามาแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นเรียกคนคนหนึ่งให้เข้ามา


จากนั้นไม่นานเสียงเก้าอี้ถูไปกับพื้นก็ดังมาจากในห้อง ประตูเปิดออกพร้อมชายคนหนึ่งที่อายุราวหกสิบปี เขามีความคล้ายกับผู้สูงอายุที่ฉลาดหลักแหลม เขามีผมสีเทา มีรูปร่างที่ผ่ายผอมและสวมแว่นตา


“เหลาฮ่าว นี่น่ะหรือเด็กที่นายคุยโม้นักหนาว่า มีวิธีแก้ปัญหาฝุ่น” ชายคนนั้นว่าและมองยังเจิ้งอี้ที่ถืออุปกรณ์อยู่ในมือ ราวกับว่าเขาคิดว่าเจิ้งอี้คือเฉินหลง ฮ่าวฉางชิงจึงกล่าวต่อไป


“เหลาลู่เข้าใจผิดแล้ว คนคนนี้คือเฉินหลง” ฮ่าวฉางชิงมองชายคนนั้นที่ทักผิดคนอย่างมหันต์แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากกล่าวแนะนำ


เพื่อนเก่าของเขาเคยกล่าวว่าไอคิวเป็นสิ่งที่คนเหนือคนทั่วไปมีแต่อีคิวนั้นเป็นอีกเรื่อง หากภรรยาเขาไม่ได้ไล่ตื๊อเขา เขาคงยังเป็นโสดที่วาดรูปออกแบบทั้งวัน


“เอาออกมาดูสิว่าใช้ได้จริงหรือเปล่า เอาออกมาเลย” ลู่หนานกล่าวอย่างตื่นเต้น


สำหรับลู่หนานในองค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้นหากใครในองค์กรทำผิดพลาด เขาจะต่อว่าคนคนนั้นโดยไม่สนว่าเขาเป็นใคร


หากฮ่าวฉางชิงไม่ได้ตามกวนเขาทั้งวันแบบนี้ ลู่หนานก็ไม่ได้อยากเจอหน้าเฉินหลงหรอก ในความคิดเขาเฉินหลงเป็นแค่พวกไม่ออกตัวมาเบื้องหน้า


“เจิ้งอี้”


เฉินหลงกล่าวเพียงสองคำ


เมื่อจบคำของเฉินหลง เจิ้งอี้ก็ยื่นแบบของเครื่อง “อุปกรณ์กำจัดฝุ่น” ออกมาให้ลู่หนาน


ลู่หนานมองแบบอยู่พักหนึ่งด้วยสีหน้ารังเกียจ แต่สองวินาทีต่อมาความรังเกียจนั้นได้หายไปและกลายเป็นจริงจังและทึ่งแทนในท้ายที่สุด


ในฐานะที่เขาเป็น นิว บี ขององค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน แน่นอนว่าเขามีความสามารถ สิ่งที่เขียนในแบบประกอบออกมาเป็นรูปร่างในหัวเขา และในหัวเขาอุปกรณ์นี้เริ่มต้นทำงาน แล้วฝุ่นในบริเวณนั้นก็หายไป


TB:บทที่ 97 ยังมีทางออก


เฉินหลงได้เห็นสีหน้าของลู่หนานแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าเขา


“เครื่องกำจัดฝุ่น” ของคนอื่นกำจัดฝุ่นได้แค่ฝุ่นในโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง และหากเครื่องมือใช้การไม่ได้แล้วคงยากที่จะจัดการกับฝุ่นนี้ อีกอย่างคงจะดีกว่าหาก “เครื่องกำจัดฝุ่น” พวกนั้นลง “ถังขยะ” ไป


“นี่คือเครื่องกำจัดฝุ่นหรือ” หลังอ่านแบบของเครื่องกำจัดฝุ่น ลู่หนานมองเครื่องมือที่เจิ้งอี้วางลง


“คุณลู่ คิดว่าอย่างไรครับ ถ้าเครื่องนี่ใช้งานไม่ได้พวกเราจะเอาเครื่องนี้กลับไปแล้วขายเป็นเศษเหล็ก” เฉินหลงไม่ตอบคำถามของลู่หนาน แต่เขากล่าวกับตัวเอง


เมื่อได้ยินคำของเฉินหลงแล้ว ลู่หนานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ตัวเอง


ฮ่าวฉางชิงและภรรยาของลู่หนาน วานเจี่ย เห็นสีหน้าของลู่หนานแล้วก็ได้แต่แอบขำ


กรรมของอารมณ์พลุนพลันของลู่หนานสนองเขาคืนดีเหลือเกิน


“เสี่ยวหลง ฉันขอคืนคำที่พูดไปและต้องขอโทษเธออย่างเป็นทางการ” ลู่หนานว่าอย่างปราศจากทิฐิ เขาโค้งให้เฉินหลง


ในคราวนี้ลู่หนานรู้สึกผิดลึกๆและต้องการขอโทษจากใจจริง “เครื่องกำจัดฝุ่น” ที่เฉินหลงพัฒนาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันสูงส่งต่อมวลมนุษยชนทั้งปวง เมื่อลู่หนานนึกถึงการที่เขาปฏิบัติต่อเฉินหลงก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าเขาจำต้องขอโทษเฉินหลง


“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณลู่ ผมแค่ล้อคุณเล่นเท่านั้น อีกอย่างผมคงไม่มาที่นี่หรอกครับถ้าผมไม่อยากเอามาให้ดูน่ะ” เฉินหลงเห็นลู่หนานที่อยู่ๆก็ก้มหัวให้เขาและขอโทษแล้วเขารู้สึกไม่สบายใจ เฉินจึงรีบตอบกลับและพูดไป


“ขอบคุณนะ เสี่ยวเฉิน” ลู่หนานกล่าว เขามองเฉินหลงอย่างขอบคุณ


ความซาบซึ้งที่เขามีไม่ใช่เพราะคำพูดของเฉินหลงทว่าเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำให้มนุษย์โลก


ได้ยินดังนั้นแล้วลู่หนานก็ออกไปเพื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องมือนี้ เป็นดังที่เขาคาด พื้นที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ปราศจากฝุ่นไปโดยสิ้นเชิง เขามองฟ้าครามที่หายไปนาน ลู่หนานรู้สึกปริ่มใจอย่างเสียไม่ได้


“เสี่ยวเฉิน ฉันคงต้องเอาเรื่องนี้ไปผ่านเบื้องบน ฉันคิดว่าพวกเขาจะส่งคนมาคุยกับเธอในทันที” ลู่หนานกล่าวอย่างตื่นเต้น


เพราะเขาได้เห็นการทำงานของ “เครื่องกำจัดฝุ่นแล้ว” แล้ว และมันใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาใด ทั้งที่ราชวงศ์จีนอันยิ่งใหญ่ได้ใช้ทั้งกำลังคนและทรัพยากรไปอย่างมากเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นนี่แล้วแท้ๆแต่ผลลัพท์กลับน้อยนิด


อย่างไรก็ตามแต่ “เครื่องกำจัดฝุ่น” ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาลเพื่อใช้งานครั้งหนึ่ง ทว่าผลลัพท์ก็เห็นอย่างทันตา หากเครื่องนี้ได้การผลักดันที่เหมาะสมแล้ว ยิ่งจะเป็นสิ่งดีต่อมวลมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่กุมอำนาจของราชวงศ์จีนยิ่งจะเป็นที่รู้จักของหมู่คนด้วย ดังนั้นแล้วลู่หนานเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่สุด


“เอาล่ะ ขอบคุณครับ คุณลู่” เฉินหลงพยักหน้าและขมวดคิ้วใส่ลู่หนาน “คุณลู่ ผมไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้ไหม”


“เสี่ยวเฉิน พูดมาได้เลย ฉันฟังอยู่” ลู่หนานว่าขณะที่เขามองดูรอบๆเครื่องมือ


“คุณลู่ครับคือผมคิดว่าคุณดูไม่ดีนิดหน่อย คุณควรไปโรงพยาบาลแล้วตรวจร่างกายน่าจะดีกว่านะครับ” เฉินหลงมองลู่หนานด้วยสีหน้าจริงจัง


ตั้งแต่ที่เฉินหลงได้เจอลู่หนาน เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ และเมื่อเขาตรวจสอบร่างกายของลู่หนานด้วยเครื่องตรวจสอบเมื่อครู่แล้ว ในที่สุดเขาได้พบว่าอะไรที่แปลกไป นั่นคือพลังชีวิตของเขาลดลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว


อายุขัยมนุษย์เรามีจำกัด เมื่อเติบโตชีวิตของคนปกติก็จะใช้อายุขัยไปอย่างช้าๆ เมื่อใช้พลังงานชีวิตจนหมดสิ้นไป ชีวิตของคนทุกคนก็ย่อมจบลงไปด้วย


สำหรับคนทั่วไปชีวิตคงผ่านไปอย่างช้าๆและราบรื่น


ทว่าคนป่วยหรือคนที่ป่วยและไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ พลังชีวิตของคนพวกนี้จะใช้ไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นและมากขึ้น


แม้ตอนนี้อาการป่วยของลู่หนานจะยังไม่ปรากฏ แต่เครื่องมือของเฉินหลงได้บอกเขาว่าลู่หนานกำลังป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร


“เสี่ยวเฉิน ถึงฉันจะแน่ใจได้ว่านายเป็นอัจฉริยะ แต่นายไม่ใช่หมอ ฉันรู้ร่างกายฉันดี สภาพยังดีอยู่มากเลย” ลู่หนานไม่ได้สนใจอีกฝ่าย


เนื่องจากมะเร็งช่องท้องที่ลู่หนานเป็นยังเป็นเพียงระยะที่หนึ่งจึงยังไม่มีอาการปรากฏให้เห็น ลู่หนานจึงไม่เชื่อคำพูดของเฉินหลง


“เหลาลู่ ไม่ได้ตรวจร่างกายมาหลายปีแล้วนี่ ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ไปตรวจหน่อยล่ะ” ถึงลู่หนานจะไม่ได้สนใจร่างกายตัวเองนักแต่วานเจี่ยใส่ใจ


ภรรยาของชายแก่เป็นคู่หูคู่ชีวิตชายแก่ และเพราะชีวิตคนสูงอายุไม่ได้มีสีสันมากเหมือนชีวิตคนหนุ่มสาว ดังนั้นความสุขอย่างที่สุดคือการมีคู่ชีวิตอยู่ด้วย


“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปตรวจ” เจตนาของวานเจี่ยดีแต่ลู่หนานรู้จักร่างกายตัวเองดี วานเจี่ยจึงไม่ยอมแพ้เพียงแต่ยอมไปง่ายๆ


“งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ” เฉินหลงกล่าว


แม้เฉินหลงจะพูดเรื่องสภาพร่างกายของลู่หนานไปแล้ว แต่เขาจะยอมเชื่อต่อเมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง


“เสี่ยวเฉิน เธอยังมีแบบของเครื่องนี้อีกหรือไม่” ลู่หนานรีบกล่าว


“เราต้องขอแบบของเครื่องนี้ไว้ก่อนน่ะ”


เฉินหลงคิดว่าด้วยนิสัยของลู่หนานแล้วเขาจะไม่ใช่คนโลภที่จะขโมยความคิดคนอื่น แต่เฉินหลงไม่เชื่อใจคนเบื้องบน ดังนั้นคงดีกว่าหากเก็บแบบไว้กับตัว


จากนั้นฮ่าวฉางชิงก็ออกไปกับเฉินหลง


“เสี่ยวเฉิน พูดจริงหรือเรื่องที่เหลาลู่ป่วย” เมื่อลงไปยังชั้นล่างแล้ว ฮ่าวฉางชิงถามขึ้นมาทันที


และเนื่องฮ่าวฉางชิงได้ติดต่อกับเฉินหลงมาพักหนึ่งแล้ว เขารู้ว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา หากเขาไม่พบอะไรผิดปกติ เขาคงไม่กล่าวออกไปเช่นนั้น


“ผมเห็นว่าคุณลู่ดูไม่สบายเท่าไหร่ แต่หากอยากรู้แน่ชัดผมว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลมากกว่า” เฉินหลงไม่ยอมรับตรงๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็วินิจฉัยโรคได้เพียงแค่มอง แต่นี่อาจจะดูเกินกว่าความไป


เครื่องมือต่างๆและตัวเฉินหลงเองมักค้นพบความมหัศจรรย์จากอะไรเก่าๆ ในตอนนี้หากเขาแสดงออกไปเรื่องความสามารถทางการแพทย์ คนอื่นจะเป็นอย่าไรเล่า


เฉินหลงไม่ใช่คนที่ชอบเป็นจุดเด่น เขาจึงทิ้งที่ทางให้คนอื่น


ฮ่าวฉางชิงมองเฉินหลงแต่เขาไม่พูดอะไร และแม้เฉินหลงจะไม่ยอมรับแต่เขารู้ว่าเฉินหลงรู้ได้จริงๆ


แน่นอนว่าเมื่อลู่หนานตรวจร่างกายในวันถัดมาเขาพบว่าเขาเป็นมะเร็งช่องท้อง แต่ยังโชคดีที่ยังเป็นเพียงระยะแรก


“เหลาลู่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณได้อย่างไร พระเจ้าช่างไม่มีเหตุผลเสียจริง” เมื่อได้ทราบเรื่องของลู่หนาน ฮ่าวฉางชิงไปยังบ้านลู่หนานทันที


“เหลาฮ่าว มาทำไมน่ะ ฉันแค่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้นเอง ไม่ได้จะตายเสียหน่อย หมอยังบอกเลยว่าให้มองโลกในแง่บวกไว้ ท่าทีทีนายทำฉันเครียดได้นะ” ลู่หนานปลอบฮ่าวฉางชิงด้วยรอยยิ้ม


อย่างไรก็ตาม เมื่อลู่หนานเหลือบไปมองตาของภรรยาเขา วานเจี่ยพยายามที่จะเค้นยิ้มออกมา แต่ฉันสัญญากับวานเจี่ยไว้แล้วว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป ฉันคงทำไม่ได้แล้ว


“ยังมีทางหน่า”


TB:บทที่ 98 เงื่อนไขสองข้อ


 


เมื่อฮ่าวฉางชิงพูดจบแล้ว ลู่หนานกับวานเจี่ยก็มองเขาด้วยความแปลกใจทันที แม้ทั้งคู่จะรับความจริงที่ว่าลู่หนานเป็นมะเร็งได้แล้วก็ตาม แต่พวกเขาหวังเล็กๆว่าจะมีทางไหนที่จะไม่เป็นไปอย่างมนุษย์ทั่วไป


“เรื่องนั้นคงเกินมือผม แต่เฉินหลงที่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติแต่ต้นคงมีอะไรให้พูดได้บ้าง” ฮ่าวฉางชิงมองตาลู่หนานและกล่าวอะไรที่น่าอายออกไป


เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเขามีทางออกให้ เขาจึงรู้สึกอับอายนิดหน่อย


“ใช่สิ ลืมเสี่ยวเฉินไปได้อย่างไร” วานเจี่ยพูดขึ้นมาทันที


ไม่ใช่เฉินหลงหรือที่เป็นคนสังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อวาน เธอไม่ได้คาดว่าลู่หนานจะเป็นมะเร็งจริงๆตอนไปตรวจที่โรงพยาบาล


ลู่หนานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้มองในแง่ดีอย่างวานเจี่ย


อย่างไรเสียหากฮ่าวฉางชิงไม่ได้เห็นอะไรที่พิเศษในตัวเฉินหลง เขาอาจไม่สงสัยเรื่องนี้


“เหลาลู่วางใจให้สบายได้เลย ผมจะติดต่อเสี่ยวเฉินว่าเขาทำอะไรได้บ้าง” ฮ่าวฉางชิงรีบออกไปทันทีหลังพูดจบ


เห็นอย่างนั้นแต่ฮ่าวฉางชิงคิดว่าคงดีกว่าหากเฉินหลงเป็นคนพูดเอง เขาและเฉินหลงรู้จักกันมาสักพักแล้ว เฉินหลงคงกู้หน้าเขาได้


เมื่อฮ่าวฉางชิงไปแล้ว ลู่หนานและวานเจี่ยมองหน้ากัน พวกเขาต่างเห็นความคาดหวังในสายตาของฝ่ายตรงข้าม และหวังว่าฮ่าวฉางชิงจะกลับมาพร้อมข่าวดี


ในขณะนั้นเฉินหลงนั่งอยู่ที่คลับส่วนตัวในเมืองหลวงกับชายอายุราวสามสิบ เขาดูมีมารยาทและใส่เสื้อผ้าที่ปล่อยตามสบายอย่างเป็นธรรมชาติ ชายคนนี้คือ เกาเฟิงเสี่ยว คนที่ทางการส่งมาคุยกับเฉินหลง


เฉินหลงมองชายคนนี้แล้วเขาอดคิดว่าคนคนนี้เหมือนดาราหนังเกรดบีที่คนแก่พยายามทำตัวเท่ไม่ได้ ช่างมีบางอย่างที่เหมือนกันจริงๆ


“นายคิดว่าแปลกไหมที่คนอย่างฉันมาพบนาย” หลังจากจิบชาไปครั้งหนึ่ง เกาเฟิงเสี่ยว มองเฉินหลงพร้อมรอยยิ้มบนหน้าเขา


เฉินหลงไม่ตอบอะไร เขาทำเพียงยิ้ม เรื่องนี้เขาก็รู้อยู่แก่ใจ


เมื่อได้เห็นเกาเฟิงเสี่ยวและได้รู้ว่าเขาคือคนที่เบื้องบนส่งมาแล้ว เฉินหลงรู้สึกประหลาดใจจริงๆ หากกล่าวตามจริง เฉินหลงคิดว่าคนที่ทางเบื้องบนส่งมาน่าจะเป็นคนที่เป็นทางการไม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ แต่นี่เป็นคนอย่างเกาเฟิงเสี่ยวที่ทางการส่งมา เฉินหลงไม่เข้าใจจริงๆ


ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้พาเขามาที่คลับส่วนตัว ที่ที่หากไม่มีตัวตนเป็นที่รู้จักในเมืองหลวงแล้วก็ไม่อาจเข้ามาได้ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก


ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่โดนห้ามไม่ใช้เข้าสถานบันเทิงหรือ


“เอาล่ะ เรื่องที่ต้องพูดเกี่ยวกับเครื่องกำจัดฝุ่นนี่ ฉันอยากจะให้น้องเฉินมาร่วมกับเราน่ะ” เกาเฟิงเสี่ยวไม่พูดอ้อมค้อมใดๆ เขากล่าวออกมาตรงๆ


“ร่วมกับพวกคุณหรือ” คำพูดของเกาเฟิงเสี่ยวทำให้เฉินหลงคาดเดาไม่ได้ว่าทางการคิดอะไรอยู่


“ใช่แล้ว พวกเราคือหน่วยพิเศษที่สังกัดกระทรวงกลาโหม ต้องขอโทษด้วยแต่คงบอกชื่อของหน่วยให้รู้ไม่ได้จนกว่านายจะร่วมมือกันเรา” เกาเฟิงเสี่ยวว่า


“ผมเป็นแค่คนธรรมดา ผมแค่บังเอิญประดิษฐ์เครื่องกำจัดฝุ่นได้ เราคุยกันแต่เรื่องธุรกิจดีกว่าครับ” เฉินหลงส่วยหัว


ตอนนี้เขาเป็นอิสระชน เขาจะไปไหนก็ได้ที่อยาก นี่คือความอิสระที่เขามี หากเข้าร่วมกับหน่วยงานแล้ว เขาจะมีพันธะ แม้ผมจะเป็นลูกค้านักกินที่ซื่อสัตย์ผมก็ไม่ยอมจะอดตายหรอกนะครับ เมื่อเปรียบเทียบความอิสระเป็นอาหารจักรพรรดิแล้วคงเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ เพราะทำให้เฉินหลงไม่เบื่อด้วย


“น้องเฉิน นายเป็นคนซื่อเกินไป ถ้าคนอย่างนายเป็นคนธรรมดา โลกนี้คงมีคนธรรมดาอย่างนายน้อยมากๆ” แม้เฉินหลงจะปฏิเสธแต่เกาเฟิงเสี่ยวก็ไม่ได้สนใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม


เมื่อได้ยินคำของเกาเฟิงเสี่ยวแล้วตาเฉินหลงวาบเป็นประกาย คนตรงข้ามเขากำลังสอบสวนเขาอยู่เป็นแน่


“น้องเฉินอย่ากังวลไป ฉันมาดี ฉันรู้พลังของนายดี เรื่องนี้เบื้องบนก็สั่งการมาเหมือนกัน สำหรับคนที่มีกำลังเกินคนปกติอย่างฉันและนายแล้ว พวกนั้นจะเก็บข้อมูลเป็นสถิติไว้เพราะง่ายกับการจัดการมากกว่า ตราบใดที่นาย พวกที่ไม่ใช่คนทั่วไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนปกติ ทางการก็ไม่ทำอะไร แต่หากเราทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว พวกเราจะออกโรงไปจับพวกที่ทำพลาดไปที่พิเศษน่ะ” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลงที่กังวลแล้วอธิบายออกมา


“คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าผมไม่ใช่คนทั่วไป” เฉินหลงถามคำถามสำคัญ


คำถามที่เฉินหลงถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากเรื่องเกี่ยวข้องกับความลับของเขาที่อาจเก็บไว้ไม่มิด


“ตอนที่นายเข้าเมืองหลวงมาแก้แค้นครั้งแรกน่ะ พวกเราเริ่มจับตามองนายแล้ว พวกนายสามคนนี่ปลอมตัวกันเก่งจริงๆ เราใช้เวลาตั้วนานแหนะกว่าจะรู้ว่าเป็นพวกนายสามคนที่จัดการกับสกุลซ่ง” เกาเฟิงเสี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงปนอิจฉา


กล่าวตามความจริงแล้วเกาเฟิงเสี่ยวใช้ “หน้ากากร้อยหน้า” ได้อย่างไม่มีที่ติ เมื่อใส่หน้ากากนี่แล้วจะสามารถกลายเป็นคนอื่นได้ เขารู้สึกว่าอาจเป็นเรื่องน่ากลัวหากคนทุกคนสามารถเปลี่ยนตัวตนได้ตามใจ


เพราะอย่างไรสังคมนี่มันน่าเบื่อเกินไปที่จะเป็นตัวเอง หากสามารถเป็นคนอื่นได้เป็นบางเวลาแล้วก็จะกลายเป็นว่าหลงกับมันเกินไป และเมื่อกลับมาเป็นตัวเองคงยากที่จะใช้ชีวิตต่อ


แน่นอนว่าเกาเฟิงเสี่ยวไม่น่าอนาถอย่างคนทั่วไปเขาจึงไม่ได้มีปัญหานั้น


“ไปบอกพวกสกุลซ่งเถอะ” เฉินหลงมองเกาเฟิงเสี่ยว


“ทำไมต้องบอกสกุลซ่งเล่า เรามีหน้าที่ดูคนพวกนั้นในสกุลซ่งด้วย พวกเราไม่ใช่เครื่องมือของพวกนั้น อีกอย่างนายคิดว่าเราจะตามหาอิทธิพลของสกุลซ่งไม่ได้หรือ ฉันคิดว่าเป็นเพราะพลังนายมากกว่าที่ทำให้พวกนนั้นไม่สร้างปัญหากวนนายอีก แต่อย่าวางใจตามที่สกุลซ่งบอกแล้วกัน” เกาเฟิงเสี่ยวว่า


เกาเฟิงเสี่ยวพูดถูกอย่างชัดเจนเรื่องของตระกูลผู้ดีเก่านั่น พวกนั้นมักคิดดอกเบี้ยและหากพบว่าเฉินหลงผิดพลาดตรงไหนได้แล้วก็จะตามมาทำลายเฉินหลงด้วยสายฟ้าที่พวกนั้นมี


“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะระวัง อีกอย่างเรายังมีทางออกด้วย “เครื่องกำจัดฝุ่น”” เฉินหลงทำตัวชัดเจนว่าไม่อยากพัวพันกับปัญหานี่มากเกินไป


“เอาล่ะ คุยกันเรื่องเครื่องกำจัดนี่ดีกว่า เบื้องบนอยากจะซื้อลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี่ของนายไปเลยน่ะ แต่แน่นอนว่าชื่อนายยังเป็นคนคิดค้นนะ” เกาเฟิงเสี่ยวยิ้มบางๆ แต่เขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เพราะเขามีหน้าที่เป็นมือสังหาร


“เหรอครับ เท่าไรกันล่ะ” เฉินหลงไม่คิดมากกับเรื่องนี้ เขาตอบตกลง อย่างไรเครื่องมือนี่สร้างไว้เพื่อให้กับประเทศอยู่แล้ว ในตอนนี้ที่พูดกันอยู่คงเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด


“สองพันล้าน” เกาเฟิงเสี่ยวบอกราคา


ฟังดูเหมือนเป็นจำนวนที่มากมหาศาล แต่ราคานี้ถูกมากเมื่อเทียบว่ารัฐบาลจะใช้จัดการฝุ่น


เครื่องนี่ใช่เวลาและพลังงานอย่างมากเพื่อสร้างแม้จะเป็นโลกที่มีฝุ่นนี่


“ไม่มีปัญหา” เฉินหลงพยักหน้า แม้เงินนี่จะน้อยนิด แต่ก็ควรให้รัฐได้ประโยชน์ไปไม่ใช่หรือ เมื่อคิดได้ดังนั้น รัฐคงสะดวกขึ้นนิดหน่อยแต่รัฐคงไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม “แต่เรื่องนี้ต้องผ่านอีกสองขั้นนะ”


TB:บทที่ 99 ไพ่ตายของมือสังหาร


 


“เอาเลย” คนทั่วไปมักเห็นด้วยกับความคิดตนเอง เกาเฟิงเสี่ยวไม่ได้มีเหตุผลอื่นจะปฏิเสธ


“แล้วก็ ผมได้ส่ง “หน้ากากกำจัดฝุ่น” ไปจดลิขสิทธิ์วันก่อน ถ้าคุณสามารถช่วยให้ขั้นตอนไวขึ้นหน่อยจะได้หรือไม่ อ๋อ แล้วก็ตอนนี้ผมกำลังจะทำบริษัทเทคโนโลยีอยู่ คงดีนะครับถ้าได้ก่อตั้งไวๆ” เฉินหลงว่า อย่างไรเสียเกาเฟิงเสี่ยวก็เป็นตัวแทนของรัฐ หากเขาจะปล่อยให้รัฐได้ประโยชน์จากเขาแล้วรัฐจะไม่ช่วยเขาสักเล็กน้อยคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไร


“แน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันจะส่งคนไปจัดการทันทีที่ฉันกลับไป” เกาเฟิงเสี่ยวตกลงแม้ไม่อยากทำตาม


ตั้งแต่ที่พวกเขารู้เรื่องเฉินหลง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าเขาส่งเครื่องมือไปจดลิขสิทธิ์และเขาจะก่อตั้งบริษัท เมื่อได้ยินคำขอของเฉินหลงที่ขอเฉพาะเรื่องนี้แล้ว เกาเฟิงเสี่ยวก็ตอบตกลงไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่ยุ่งยากมากมาย


“เอาล่ะ คุณคิดว่าเราจะเซ็นข้อตกลงหรือสัญญานั่นกันเมื่อไรหรือครับ” เฉินหลงว่า


เฉินหลงไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเขาเป็นคนคิดค้นอะไรนั่น เขาสนเพียงแค่เรื่องเงินที่เขาจะได้


“เราจัดการเรื่องนี้พรุ่งนี้กันดีไหม” เกาเฟิงเสี่ยวตอบ


ใจจริงแล้วเขาไม่นึกว่าเฉินหลงจะตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดังนั้นสัญญาต่างๆที่เขาเตรียมมาจำต้องกลับไปแก้ไขอีก


“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เจอกันครับ” เมื่อเฉินหลงกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป


“น้องเฉิน คิดอย่างไรกับพลังของสกุลซ่งหรือ” เกาเฟิงเสี่ยวรีบเปิดปากพูดขึ้นมา เขากำลังจะใช้ไพ่ตายของมือสังหาร


“สกุลซ่งเป็นหนึ่งในสกุลเก่าแก่ของเมืองหลวงนี้ พลังที่พวกเขามีแน่นอนว่าเป็นอะไรที่คนธรรมดาอย่างพวกเราคงไม่อาจนึกถึงได้ คุณเกา คุณต้องการจะพูดว่าอะไรครับ” เฉินหลงกล่าว เขามองเกาเฟิงเสี่ยวอย่างไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์


“น้องเฉินคิดว่าด้วยพลังที่นายมีอยู่ นายไม่ต้องหวั่นเกรงซ่งเทียนเจี่ยแล้วหรือ จริงที่นายสู้กับซ่งเทียนเจี่ยได้อย่างสูสีและนายไม่ต้องกลัวเขา แต่นายคิดว่าทำไมสกุลหนึ่งในสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงอย่างพลังของสกุลซ่งจะมีอย่างที่เห็นเพียงผิวเผินกันเล่า” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลง


“คุณหมายความว่าพวกสกุลซ่งยังมีพลังที่ซ่อนไว้หรือ” เฉินหลงขมวดคิ้วและมองเกาเฟิงเสี่ยว


“ไม่ได้มีเพียงแค่สกุลซ่ง แต่ยังมีอีกสามสกุล เป็นเรื่องแย่ที่มีพลังของสกุลุทั้งสี่ที่แต่พวกเขาควบคุมไม่ได้ แต่ถึงแม้จะควบคุมไม่ได้ไม่หมายความว่าจะสู้ด้วยไม่ได้ อีกอย่างสกุลทั้งสี่ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นตอนนี้จึงมีสันติและความสงบเพียงผิวเผินอยู่ แต่หากสมดุลของสกุลต่างๆแตกหักกันแล้ว คงมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น พวกเราจึงควรรวมตัวรวมพลังเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น” ในตอนนี้สีหน้าของเกาเฟิงเสี่ยวแสดงออกถึงความเห็นใจ


“ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าซ่งเทียนเจี่ยอีกหรือ” เฉินหลงถาม


คนที่จะแข็งแกร่งกว่าซ่งเทียนเจี่ย มีแต่คนระดับ “ปรมาจารย์โดยกำเนิด” เท่านั้น คือคนที่มีพลังถึงระดับของขอบเขตที่มีมาแต่แรกเริ่ม มีคนที่แกร่งกล้าขนาดนั้นอยู่ในสี่สกุลเก่าแก่นี่จริงๆหรือ


“มีสิ สกุลเก่าแก่ทั้งสี่มีอยู่ในปักกิ่งมาหลายร้อยปีแล้ว หากคนที่แกร่งกล้ามีเพียงซ่งเทียนเจี่ย พวกเราคงไม่ต้องใส่ใจอะไรมากขนาดนี้” เกาเฟิงเสี่ยวไม่ได้กล่าวถึงซ่งเทียนเจี่ยว่าสูงส่งอย่างชัดเจน


เมื่อได้ยินที่เกาเฟิงเสี่ยวว่าแล้ว เฉินหลงเริ่มคิดจริงจังว่าเหตุผลที่สกุลซ่งยอมให้พวกเขากลับออกมาวันนั้นต้องเป็นเพราะพวกเขากลัวในกำลังของตัวเองเป็นแน่ หากสกุลซ่งรู้แล้วว่าพวกเขาไม่มีกำลังใดหนุนหลังอยู่พวกเขาคงไม่ยอมให้ง่ายๆ


ดูเหมือนว่าพวกเราต้องการคนหนุนหลังจริงๆแล้ว อิทธิพลของเกาเฟิงเสี่ยวก็ดูไม่เลวแล้วยังเป็นคนของรัฐอีก ดูแล้วช่างเหมาะจะเป็นผู้สนับสนุนเสียจริง


“มีข้อจำกัดอะไรในการเข้าร่วมกับพวกคุณหรือไม่” เฉินหลงยังกลัวว่าเขาจะโดนควบคุมอยู่ หากไม่ใช่เพราะการคุกคามของสกุลซ่งแล้ว เฉินหลงคงไม่ต้องเข้าร่วมกับฝ่ายใด นั่นเพราะเขามีกำลังของตนอยู่


“น้องเฉิน อย่ามองหน่วยเราแย่เกินกว่าความจริงสิ หน้าที่ของหน่วยเราคือการรวมมือกันเพื่อปกป้องประเทศจากการคุกคาม พูดง่ายๆก็คือพวกเรามีความอิสระมากที่จะทำตามอย่างที่เราอยากทำ ด้วยตัวตนของเรานี่ไม่ว่าจีนที่เกรียงไกรจะทำอะไร เรามีสิทธิ์ที่จะทำอย่างอื่น และนั่นก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมอย่างมาก อีกอย่างหากนายเข้าร่วมกับเราแล้วนายยังได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้เงินเดือนระดับหัวหน้าเลยหน่า ถึงแม้นายจะไม่ได้มีพลังอะไรจริงๆแต่แบบนี้ก็ไม่เลวนี่” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลง


เฉินหลงได้ยินที่เกาเฟิงเสี่ยวว่าแล้วเขาคิดว่าการเข้าร่วมก็ไม่มีอะไรเสียหาย หากประเทศของเขากำลังโดนคุกคาม เฉินหลงคิดถึงเหตุผลอื่นที่เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ออก เรื่องนี้เขาควรเข้าไปยุ่งด้วย


เนื่องจากวันต่อมาเฉินหลงต้องพบกับเกาเฟิงเสี่ยวอีก เขาจึงแยกกันกลับไป


ในขณะที่แยกกับเกาเฟิงเสี่ยวแล้ว ฮ่าวฉางชิงมาหาเฉินหลงถึงหน้าประตู


“คุณฮ่าว ต้องการให้ช่วยอะไรไหมครับ” เฉินหลงมองฮ่าวฉางชิงที่ดูกังวลแล้วเขาถามอย่างสงสัย


ฮ่าวฉางชิงบอกเฉินหลงตรงๆเรื่องมะเร็งกระเพาะอาหารที่ลู่หนานเป็น


“เสี่ยวเฉิน นายมีพลังเห็นความผิดปกติของร่างกายลู่หนาน พอจะมีทางที่จะรักษาเขาหรือไม่” ฮ่าวฉางชิงมองตรงไปหาเฉินหลง


“มะเร็งที่ช่องท้องของลู่หนานยังเป็นเพียงแค่ระยะที่หนึ่งครับ ตามทฤษฏีแล้วผมว่ายังรักษาได้แต่ผมต้องการเวลาเตรียมการเล็กน้อย รอผมสักหนึ่งเดือนนะครับ แม้เวลาที่ให้คอยจะดูไม่นานมาก แต่คุณฮ่าวช่วยบอกให้คุณลู่ทำใจให้สบายและมีความสุขไว้ในช่วงนั้นทีนะครับ เพื่อที่การรักษาจะได้ราบรื่นในขั้นต่อไป” เฉินหลงคิดแล้วก็พูดไป


มะเร็งกระเพาะอาหารที่ลู่หนานเป็นนั้นแน่นอนว่าด้วยการแพทย์สมัยนี้ยังเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ทว่าด้วยพลังของระบบเถาเปาที่ทรงพลังนี้ยังมีทางออกมากมายเพื่อรักษา เช่น “ยาชูเจิ้ง” “ยารักษาโรค” “ยาแก้ไขยีนส์” และอะไรต่างๆอีกมากมายที่ใช้งานได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังใช้ได้ง่าย เพียงแต่แต้มแลกเปลี่ยนสูงอยู่นิดหน่อย


อย่างไรเสียเฉินหลงไม่ได้คิดจะใช้ของพวกนั้นเพื่อรักษาโรคที่ลู่หนานเป็นอยู่แล้ว เขาคิดว่าเขาจะใช้แต้มแลกหนังสือการแพทย์มาจากระบบและเรียนรู้วิธีรักษาลู่หนาน เพราะในท้ายที่สุดแล้วในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่งไม่ว่าจะเป็นคนที่สูงส่งหรือไม่ ไม่ว่าคนคนนั้นจะต้องเจอกับโศกนาฏกรรมหกครั้งหรือต้องเป็นโรคหกโรคก็ตามแต่เมื่อเขาเป็นโรคใดแล้ว มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะถามไถ่ตัวเขาเองได้


หนังสือการแพทย์ที่แลกเปลี่ยนมาจากระบบคือทางที่จะเรียนรู้ตราบใดที่ยังสามารถที่จะทำได้อยู่ อีกอย่างยังไม่ต้องอาศัยเวลานาน อย่างไรก็ตามแต้มแลกเปลี่ยนที่เฉินหลงมียังไม่มากพอจะแลกหนังสือที่ว่า เขาต้องขายเครื่องมือให้ได้เสียก่อน เฉินหลงยังคิดว่าหากขายเครื่องมือในร้านของเขาเองไม่ได้เขาจะเอาไปขายในร้านของอาจารย์ขี้งกของเขา แต่อย่างไรคงต้องใช้เวลา


“ยังมีทางครับ เอาล่ะ ไปบอกเขาเถอะครับ” เมื่อได้ยินคำของเฉินหลงว่ามีทางรักษาโรคที่ลู่หนานเป็น ฮ่าวฉางชิงก็จากไปอย่างตื่นเต้น


และเมื่อเฉินหลงเห็นท่าทีของฮ่าวฉางชิงแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว


TB:บทที่ 100 คนหลอกลวงที่เก่งกาจ


 


“เหลาลู่ ข่าวดีครับ ข่าวดี เมื่อกี้ผมถามเสี่ยวเฉินมา เขาบอกว่าเขามีทางครับ แต่อาจจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมตัว” ฮ่าวฉางชิงกล่าวตอนที่เขามาถึงบ้านของลู่หนาน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


“จริงหรือ” วานเจี่ยกล่าวอย่างดีใจ


วานเจี่ยและลู่หนานผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันเป็นสิบๆปี สำหรับตัวเธอแล้ว วานเจี่ยเป็นห่วงสภาพร่างกายลู่หนานมากกว่าตัวเอง


“ใช่แล้วครับ เขาบอกผมเองว่าต้องการเวลาเพื่อเตรียมตัวเดือนหนึ่ง แล้วเขายังหวังว่าเหลาลู่จะยังรักษาความอารมณ์ดีไว้ในช่วงที่รอด้วยเพื่อที่จะสะดวกต่อการรักษาขั้นต่อไปครับ” ฮ่าวฉางชิงทวนคำเฉินหลง


เมื่อได้ยินฮ่าวฉางชิงพูดดังนั้น สีหน้าของวานเจี่ยและลู่หนานก็แสดงความตื่นเต้นออกมา


“คนโกหก”


จู่ๆก็มีเสียงขัดขึ้นมา


ฮ่าวฉางชิงตกใจที่มีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย


“เสี่ยวเชียง เธออยู่ที่นี่ด้วยหรือ” ฮ่าวฉางชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เขากำลังกล่าวกับเด็กสาวที่อายุเกือบยี่สิบปี เธอมีคิ้วโก่งเรียว ตาฉ่ำหวานเหมือนดอกท้อ จมูกโด่ง ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อ เจ้าของเสียงแหลมเล็กกำลังมองฮ่าวฉางชิงด้วยความโกรธ


แม้ในตอนนี้โลกเราจะมีความสวยที่สร้างขึ้นมาหลายแบบที่ทำให้คนทุกคนหน้าตาเหมือนกันไปหมดทว่าเด็กสาวคนนี้มีความงามจากธรรมชาติโดยแท้


“เสี่ยวเชียง อย่าทำตัวไม่มีมารยาทแบบนี้สิ” วานเจี่ยมองหลานสาวของเธอและกล่าวด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก


เพระวานเจี่ยเติบโตในครอบครัวที่มีการศึกษา เธอจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกหลานเธอ ในตอนนี้หลานสาวเธอไม่สุภาพและวานเจี่ยไม่มีความสุขกับเรื่องนี้


“พี่สะใภ้ครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” ฮ่าวฉางชิงรีบกล่าว


ลู่เชียงเป็นเด็กคนหนึ่ง ฮ่าวฉางชิงจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอได้อย่างไร


“คุณยาย เชื่อคำของเขาจริงๆหรือ หนูคิดว่าเรื่องคุณตานี่ควรให้โรงพยายาบาลรักษาดีกว่าไหมคะ”


ลู่เชียงเป็นนักศึกษาแพทย์ เธอจึงไม่เชื่อคำของฮ่าวฉางชิง ถึงแม้เธอจะหวังให้โรคของคุณตาของเธอรักษาหายได้ก็ตาม แต่เธอไม่ได้อยากให้ใครหลอกตาของเธอ และเพราะการหลอกให้มีความหวังแล้วทำลายความหวังนั้นไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายเป็นที่สุด


“เสี่ยวเสี่ยวเชียง ยายว่าหลานควรมีมารยาทกับคนที่แก่กว่านะ” เมื่อเห็นว่าลู่เชียงยังคงไม่สุภาพ วานเจี่ยจึงขึ้นเสียงอีกครั้ง


“พี่สะใภ้ครับ ไม่เป็นไรจริงๆครับ เสี่ยวเชียง แกแค่เป็นห่วงเหลาลู่น่ะครับ” เขาเห็นวานเจี่ยโกรธอย่างมากแล้ว ฮ่าวฉางชิงจึงรีบกล่าวขึ้นมา “เสี่ยวเชียง ฉันรู้ว่าเธอเป็นหมอแต่เธอเห็นว่าคุณตาเธอเป็นอะไรก่อนหน้านี้ไหม”


ลู่เชียงไม่ตอบ เธอทำเพียงส่ายหัวเท่านั้น


“แต่คนที่ฉันไปคุยมาน่ะ เขารู้ก่อนเลยนะว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกายของตาของเธอ” ฮ่าวฉางชิงว่าต่อ


“อาจจะบังเอิญก็ได้” ลู่เชียงยังคงไม่เชื่อเขา


“เสี่ยวเชียง อย่างไรก็เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ไม่อยากให้คุณตาหายหรือ เพียงแค่อีกเดือนเดียว เธอก็จะรู้แล้วว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่” ฮ่าวฉางชิงเชื่อใจเฉินหลงอย่างเต็มเปี่ยม


“เช่นนั้นก็ได้ เดือนเดียวก็เดือนเดียว หากคนคนนั้นรักษาคุณตามให้หายไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน เขาควรต้องขอโทษพวกเรา”


ลู่เชียงว่าโดยไม่แสดงความอ่อนแออกมาเลย


แม้เพียงแค่เดือนเดียวจะรักษาคุณตาของเธอได้ไม่มาก แต่ก็คุ้มกับการรักษาช้าไปหนึ่งเดือน เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอโกรธดังนั้นเธอจึงคิดว่าควรให้เฉินหลงขอโทษ


“ได้สิ” ฮ่าวฉางชิงรับปาก เขาไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้หากเขาไม่ต้องการ แต่เขาตอบตกลงเนื่องจากความเชื่อมั่นในตัวเฉินหลงว่าเขาจะไม่ทำพลาด


เมื่อได้ยินคำมั่นของฮ่าวฉางชิงแล้ว ลู่เชียงหันหน้าไปด้านหนึ่งและไม่มองฮ่าวฉางชิงอีก เพราะแม้เขาจะรับคำของเธอแต่ลึกๆแล้วเธอยังโกรธจึงทำให้เธอไม่มองฮ่าวฉางชิง


“เหลาฮ่าว เด็กคนนี้โดนพวกเราตามใจน่ะ ไม่ต้องไปถือสาหรอก” วานเจี่ยยิ้มให้ฮ่าวฉางชิงอย่างเสียไม่ได้


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ฮ่าวฉางชิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ


เขารู้ว่าลู่เชียงเป็นห่วงอาการป่วยของตาเธอจึงไม่อยากจะโทษคำพูดของหลาน


เมื่อรู้ว่ามีทางรักษาแล้วลู่หนานก็อารมณ์ดีขึ้น เขาคุยกับฮ่าวฉางชิงต่อโดยเป็นเรื่องของเฉินหลงซะมาก


ลู่เชียงตามมาฟังด้วยแต่เธอไม่พูดอะไร เธอทำเพียงนั่งฟังฮ่าวฉางชิงเล่าถึงอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเฉินหลง


ในตอนนี้เฉินหลงเป็นศัตรูของเธอแล้ว คงจะดีกว่าหากเธอจะรู้เรื่องของเขาให้มากขึ้น ยุทธศาสตร์การรบของซันซื่อกล่าวไว้ว่าหากเรารู้จักศัตรูของเราอย่างที่เรารู้จักตนเอง รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง


ฮ่าวฉางชิงกลับไปเมื่ออยู่บ้านของลู่หนานไปได้พักหนึ่ง เพราะลู่หนานเป็นคนไข้เขาควรจะพักให้มากๆ


เมื่อฮ่าวฉางชิงออกไปแล้ว ในหัวของลู่เชียงเริ่มมีภาพของเฉินหลงลางๆ


เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร


“เอาล่ะ จะอะไรนักหนากับหน้าตาดี ถ้ายังเป็นแค่คนหลอกลวง” ลู่เชียงคิดในใจ “ไม่สิ ฟังจากคำของคุณตาฮ่าวภาพยังไม่ชัดเจนพอ ฉันเห็นด้วยตาตัวเองคงดีกว่า” เขาคงถูกกับเสี่ยวเหวิน ลู่เชียงเจอวิธีจัดการแล้ว


เมื่อคิดได้เช่นนั้นลู่เชียงจึงโทรหาฮ่าวฉิเหวิน


ฮ่าวฉางชิงและลู่หนานเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา ดังนั้นความสัมพันธ์ของลู่เชียงและฮ่าวฉิเหวินจึงเยี่ยมมากชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสาวกัน


“พี่เชียง ลมอะไรหอบมาละ ขอบคุณพระเจ้าพี่ยังจำฉันได้อยู่” ทันทีที่รับสายฮ่าวฉิเหวินก็ต่อว่าลู่เชียง


เธอไม่มีทางที่จะลืมหรอก ทว่าลู่เชียงเรียนแพทย์ เธอจึงใช้เวลาอย่างมากไปกับการเรียน


เธอจะหาเวลาที่ไหนไปเจอฮ่าวฉิเหวิน


ถึงกระนั้นลู่เชียงรู้ว่าฮ่าวฉิเหวินจะต่อว่าเธอทันทีที่รับสายเธอจึงยื่นโทรศัพท์ให้ห่างไปก่อน


เมื่อเวลาผ่านไปสักพักลู่เชียงจึงขยับโทรศัพท์มาใกล้หู


“ก็ ที่มหาลัยยุ่งๆน่ะ ถ้าว่างไว้เราไปซื้อของกันนะ” ลู่เชียงว่าด้วยความอับอาย


“ก็ได้ ก็ได้ แต่จำคำตัวเองไว้ด้วย ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่ได้โทรมาหาฉันเพราะเรื่องนี้หรอกใช่ไหม” ฮ่าวฉิเหวินกล่าว


“ใช่อยู่แล้ว ช่วงสองวันนี้คุณลุงฮ่าวมาที่บ้านแล้วบอกว่าเธอมีแฟนหล่อๆอยู่นี่ ไปมีแฟนมาเมื่อไหร่กัน แล้วทำไมไม่บอกฉันเลยเรายังเป็นพี่น้องกันไหมเนี่ย” ทันทีที่เสียงของเธอเปลี่ยนไปลู่เชียงก็ถามฮ่าวฉิเหวิน


“ยังไม่ใช่ อย่าไปฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคุณพ่อ” เมื่อฮ่าวฉิเหวินพูด เธอมีความลังเล


“ไม่สำคัญหรอกว่าเป็นแฟนหรือยังไม่เป็น เรื่องสำคัญคือจุดประสงค์เธอต่างหาก พยายามเข้า เราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะ ขอดูหน้าแฟนเธอว่าหน้าตาเป็นอย่างไรหน่อยสิ” ลู่เชียงว่า


ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเธอต้องรู้เรื่องเฉินหลงจากฮ่าวฉิเหวินให้มากที่สุด


“เสี่ยวเชียง เขายังไม่ใช่แฟนฉันจริงๆ ถ้าอยากจะเจอเขาฉันนัดให้เขามาก็ได้ แล้วจะแนะนำให้เธอรู้จักเขานะ” ฮ่าวฉิเหวินแก้ความเข้าใจให้ลู่เชียงก่อนแล้วจึงตอบตกลง


ตั้งแต่ที่เธอแยกกับเฉินหลงมาวันนั้น เขายังไม่ได้ติดต่อเธอกลับมาเลย ดังนั้นฮ่าวฉิเหวินจึงอยากหาโอกาสพบกับเฉินหลง


TB:บทที่ 101 รู้จักตัวเองและรู้จักศัตรู


หลังจากคุยโทรศัพท์กับ ฮ่าว ฉิเหวิน เสร็จ เฉินหลงก็ออกไป อย่างไรก็ตามของกึ่งสิ่งประดิษฐ์นั้นยังคงแขวนอยู่ในร้านของเขา เฉินหลงไม่สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรต้องทำ ก็เลยเดินเล่นไปแบบนั้น


ฮ่าว ฉิเหวิน นัดให้ไปร้าน ฮาเกน ดาซ เพราะผู้หญิงมีความสนใจในขนมหวานอยู่แล้ว นอกจากนี้ นี่ก็เป็นฤดูร้อน ไอศกรีมแสนอร่อยก็เลยเป็นที่โปรดปรานของหญิงสาว เขาเคยพบกับ ฮ่าว ฉิเหวินมาก่อน ตอนนี้เธอกำลังกินไอศครีม


เฉินหลงขับรถมาเซราติมาที่ร้านที่ ฮ่าว ฉิเหวิน นัด


เฉินหลงเห็น ฮ่าว ฉิเหวินกำลังนั่งอยู่กับ ลู่เชียง เขาเดินเข้าไปในร้าน แต่เฉินหลงไม่รู้จักลู่ เชียง


“นกขนเหมือนกันก็จะบินไปด้วยกันสินะ ” เขากล่าว


เมื่อเห็นว่า ฮ่าว ฉิเหวิน และ ลู่ เชียง เป็นทั้งผู้หญิงที่สวย แต่ก็เป็นคู่ซี้ที่สนิทกันมาก เฉินหลงได้แต่รู้สึกว่าคำพูดของคนสมัยก่อนนี่พูดไว้ได้ตรงมาก


“พี่หลง นี่ค่ะ” เมื่อเห็นว่าเฉินหลงกำลังมา ฮ่าว ฉิเหวิน ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและโบกมือให้เฉินหลงโดยไม่ได้เดินมาหา และวางช้อนลง


เมื่อได้เห็น ฮ่าว ฉิเหวิน กระทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ลู่ เชียง มองดูเธอแบบพูดไม่ออก เธอเป็นแค่เด็ก เธอต้องการนี่ และดูน่าอายมากที่จะนั่งกับเธอ


ลู่ เชียง คิดอย่างนั้น แต่เมื่อเธอเห็นเฉินหลงมา เธอก็ยังแปลกใจเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับเฉินหลง แต่เธอก็ยังต้องยอมรับว่าเฉินหลงดูเป็นเด็กที่ดีมากเมื่อเธอได้พบกับเขา


“ก็ ก็แค่ดูดีเล็กน้อยเอง แต่ คนโกหกก็ยังเป็นคนโกหก” แม้ว่า ลู่ เชียง จะคิดว่า เฉินหลงดูเยี่ยมมากในใจ แต่เธอก็ยังดื้อดึง คิดแต่ว่าเฉินหลงเป็นคนขี้โกหก เป็นคนขี้โกหกที่หน้าตาดีเท่านั้น


“เสี่ยวเวินคุณต้องการให้ผมทำอะไร? ไม่ใช่ว่าจะให้เลี้ยงไอศกรีมนะ” เฉินหลงหัวเราะและพูดแหย่เธอเล็กน้อย ดูจากฐานะความมั่งคั่งในปัจจุบันของเฉินหลงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลี้ยงไอศครีม เพราะแม้แต่จะซื้อทั้งร้านก็ยังไม่เป็นปัญหาเลย


“ร้ายกาจ” ลู่ เชียง พูดในใจ


เฉินหลงแค่พูดเล่น แต่ ลู่ เชียง ที่มีปัญหากับเขา ฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่า ขี้เหนียวสุดๆ


“พี่หลง ไม่เห็นโทรมาหาฉันเลย ให้ฉันโทรหาพี่ไม่ได้หรอ ฮ่าว ฉิเหวินพูด


เมื่อเห็นสีหน้าของ ฮ่าว ฉิเหวิน ลู่ เชียง ก็พูดไม่ออกอีกครั้ง พอได้พบ ก็กระดี็กระด๊าเชียวนะ อยากทำแบบนั้นจริงๆหรอ


“สองวันมานี้พี่ยุ่งๆอยู่น่ะ … ” เฉินหลงพูดด้วยความอาย


พูดตรงๆเลยว่า ฮ่าว ฉิเหวิน เป็นคนสวยมาก พวกเขาเพิ่งรู้จักกันเพียงวันสองวันเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เฉินหลงจะตกหลุมรัก ฮ่าว ฉิเหวิน ตั้งแต่แรกพบ นอกจากนี้ เฉินหลงก็มี จี้โม่ซี อยู่แล้วด้วย เขาคุยกับ จี้โม่ซี ผ่านวีแชท ทุกวัน เขาจะคิดถึงหญิงอื่นได้อย่างไร


“พี่หลง ฉันขอแนะนำพี่สาวที่แสนดีของฉันนะ ลู่ เชียง” จากนั้น ฮ่าว ฉิเหวิน ก็คงจะเพิ่งระลึกขึ้นได้ว่า ลู่ เชียง ยังอยู่ที่นี่ ก็เลยแนะนำให้รู้จักกัน “แน่นอนว่า คุณยังจำฉันได้ที่นี่” ดูสิ


“สวัสดีคนสวย” เฉินหลงอยากเรียกเธอว่า มิส ลู่ แต่หลังจากคิดๆดูแล้ว ก็เลยเปลี่ยนคำพูด


ลู่ เชียง พยักหน้าให้เฉินหลง ถ้าเธอไม่อยากรู้จักเฉินหลง เธอก็คงไม่ต้องพยักหน้าให้ก็ได้


ฮ่าว ฉิเหวิน มองไปที่ ลู่ เชียง ด้วยสายตาแปลกๆ เกิดอะไรกับพี่สาวเธอในวันนี้ นี่ไม่ใช่วิธีที่จะปฏิบัติกับคนอื่นแบบปกติ ทำไมวันนี้ดูเย็นชาจังเลย กินยาอะไรผิดมาหรือเปล่าเนี่ย


“พี่หลง สิ่งประดิษฐ์ของพี่เป็นไงบ้างแล้วล่ะ” ฮ่าว ฉิเหวิน ถาม เฉินหลงด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าเธอจะทานยาผิดหรือเปล่า


“แน่นอน ว่าไม่มีปัญหาอะไร ผู้บังคับบัญชาส่งคนมาคุยแล้ว จะได้กรรมสิทธิ์ไปหากซื้อในราคาสองพันล้านหยวน” เฉินหลงพูดความจริง


แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปกปิดอะไร ทำไมจะต้องปกปิดด้วยล่ะ มีอะไรที่พูดไม่ได้หรือ


เมื่อได้ยินเฉินหลงพูดว่าสองพันล้านหยวน ฮ่าว ฉิเหวินก็เริ่มรู้สึกไม่สงบในใจแล้ว


และ ลู่ เชียงก็มองว่าเฉินหลงเป็นคนขี้โกหก โกหกมากๆ


“จริงหรือ” ฮ่าว ฉิเหวิน มองไปรอบๆ แล้วพูดเบาๆ กลัวว่าใครจะแอบฟังอยู่


“แน่นอน ไม่เห็นต้องโกหกหนิ” เฉินหลงพูดจริงจัง


“บอกได้ไหมว่าสิ่่งประดิษฐ์นั้นคืออะไรแล้วทำไมถึงได้เงินมากมายขนาดนั้น เงินที่บอกมาไม่ใช่สกุลเงินของญี่ปุ่นหรอกนะใช่ไหม” ลู่ เชียง ถึงคราวพูดบ้างแล้ง และน้ำเสียงก็ดูไม่พอใจมากด้วย โดย ลู่ เชียง ไม่รู้ว่าสิ่งประดิษฐ์ของเฉินหลงเป็นเครื่องกำจัดฝุ่น หากรู้ คงไม่บอกว่าเป็นเงินสกุลญี่ปุ่นอย่างแน่นอน


“จะเป็นเงินญี่ปุ่นไปได้ยังไงล่ะ นอกจากนี้ เครื่องกำจัดฝุ่นของผมก็ไม่ได้ขายให้กับคนไม่ดีหรอกนะ” เฉินหลงขมวดคิ้ว


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับ ลู่ เชียง แต่ดูเหมือนเธอโกรธเขา ราวกับว่าเขทกู้เงินเธอมาเป็นล้านและยังไม่ได้จ่ายคืน ไม่เคยทำหน้าดีๆให้เลย แต่ก็ยังตั้งเป้าหมายเองไปซะทุกเรื่อง นี่ทำให้เฉินหลง งงงวย


“เครื่องกำจัดฝุ่นหรอ” จริงหรือเนี่ย” ลู่เชียงมองมาที่เฉินหลง


“รัฐบาลส่งคนมาคุยกับผม คิดว่าโกหกหรือไง” ลู่เชียงกำลังโดนเพ่งเล็งและน้ำเสียงของเฉินหลงเริ่มดูไม่พอใจ


“ใครจะรู้ว่าพูดถึงเครื่องนี้ล่ะ” ลู่ เชียง ก็ดูไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นสีหน้าของเฉิน หลง เหมือนกับ ลู่ เชียง โกรธเฉินหลงมานานตั้งแต่ชาติปางก่อน และยังคงเป็นแบบนี้มาตลอด


“พี่เซียง ฉันมีไอศกรีมรสชาติอร่อยนะ ลองไหม” หลังจากได้ยินความผิดพลาดที่ลู่ เชียง และ เฉินหลงได้ทำไป ฮาว ฉิเหวิน ก็เลยหยิบไอศครีมชิ้นหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วส่งไปที่ปากของ ลู่ เชียง แล้วรีบกระซิบใส่หู “พี่กำลังทำอะไรเนี่ย นี่น้องพาพี่มาให้รู้จักมักคุ้นกัน อย่าทำให้เสียสิ จากนี้ หยุดพูดไปเลยนะ”


ฮ่าวฉิเหวินยังทำอะไรไม่ถูก เห็นว่าทุกคนหันมาสนใจ ลู่ เชียงทำไมวันนี้กลายเป็นเช่นนี้ รู้งี้ไม่พามาด้วยหรอก


“พี่หลง พี่หาเงินมาได้มาก งั้นพี่จะเลี้ยงฉันได้ไหม” หลังจากกระซิบบอกลู่เชียงฮ่าวฉิเหวินก็มองมาที่เฉินหลง อีกครั้ง


“ผมจะทานไอศกรีมของคุณ” เฉินหลงหยอดมุกอีก


“คุณเฉิน คุณทำเงินได้ตั้งสองพันล้านดอลลาร์ การเลี้ยงไอศกรีมเราน่ะ มันราคาถูกเกินไป ลู่ เชียง พูดอีกครั้ง


เมื่อได้ยินลู่เชียงพูด ฮ่าวฉิเหวินก็จิกตามองมายังลู่ เชียง ทำให้เธอสงบลงและหยุดพูด


“จะไม่มีการเซ็นต์สัญญาจนกว่าจะพรุ่งนี้ ไม่มีการเก็บเงินใดๆทั้งสิ้นในวันนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้พึ่งเงินนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยากกินอะไร ซื้ออะไร หรือ เล่นอะไรในวันนี้ ฉันเลี้ยงหมดเลยนะ” คำพูดของลู่เชียง ทำให้เฉินหลงรู้สึกไม่ดี สิ่งสุดท้ายที่ผู้ชายจะทนฟังไม่ได้ก็คือที่ผู้หญิงพูดใส่เขาว่า “ไม่” “ไม่มีประโยชน์” หรือ “ขี้เหนียว” ลู่ เชียง ใจร้ายขนาดนั้นเลยหรอ งั้นจะทำให้เห็นว่าฉันนี่แหล่ะ ใจร้ายจริงๆ ฉันมีเงินกว่าสองพันล้าน และฉันคิดว่าเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ทำอะไรไม่ได้เลยนั่นแหล่ะ


TB:บทที่ 102 อยู่ยงคงกระพัน


“บอกเองนะ อย่าเสียใจละ” คุณคนรวย ไม่ชอบกระเป๋าปราด้าหรอ และก็ชอบขวดน้ำหอมแชแนลด้วยนะ


วันนี้เราจะมาซื้อของกันนะ เอาเป็นว่าซื้อของทั่วๆไปละกัน ไม่ต้องซื้ออะไรที่เป็นสีขาว” หลังจากลู่ เชียง ได้ยินที่เฉินหลงพูด ก็ตอบมาทันที


“พี่เชียง” กินไอศกรีมไปซะ แล้วหยุดพูดได้ไหม พี่หลง ไม่ต้องฟังพี่ฉันก็ได้ วันนี้คงจะอารมณ์ไม่ดีน่ะ ปกติเป็นคนดีมากนะ” ตอนนี้ ฮ่าว ฉิเหวิน รู้สึกว่าไม่น่าพาลู่ เชียง มาเลย ซวยมากจริงๆ


พอ ฮ่าว ฉิเหวิน พูดว่าแบบนั้นใจของลู่เชียงก็ใจเต้น แล้วจะพูดออกมา แต่ ฮ่าว ฉิเหวินส่งสายตาพิฆาตมา ก็เลยพูดอะไรไม่ออก


“โอเค ก็บอกว่าจะให้ทุกอย่างที่อยากได้ เมื่ออยากซื้อ เดี๋ยวจะเป็นคนโอนจ่ายผ่านมือถือให้เอง” เฉิน หลง ไม่ได้แคร์คำพูดที่ผ่านมาเลย เป็นผู้ชาย เราพูดแล้วต้องทำ ยิ่งเมื่อพูดต่อหน้าสายสวยแล้วด้วย


หลังจากเฉินหลงทานเสร็จ ฮ่าวฉิเหวินกลัวว่าลู่เชียงจะพูดอะไรอีก ก็เลยจ้อง ลู่ เชียง ตลอดเวลา ลู่ เชียงแสดงให้เห็นว่า “ไม่ได้อยากพูดนี่” ให้ฮ่าว ฉิเหวิน ได้รู้


“พี่หลง เธอแค่ล้อเล่นนะ ไม่ต้องไปฟังหรอก” พอ ฮ่าว ฉิเหวินเห็นว่า ลู่ เชียง ไม่ได้พูดอะไร ก็หันไปหาเฉินหลงต่อ


“แต่ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”เฉินหลงพูดอย่างจริงจัง


เมื่อเห็นการแสดงออกที่จริงจังของเฉินหลง ฮ่าวฉิเหวินไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอมองย้อนกลับไปและจ้องมองลู่เชียงอีกครั้ง


อย่างไรก็ตามลู่ เชียงดูราวกับว่าเธอไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย เธอกินไอศครีมอย่างใจเย็นและพยักหน้าอย่างพึงพอใจขณะกิน


ลักษณะของลู่ เชียง ทำให้ฮาวฉิเหวิน โกรธมากจนไม่รู้จะพูดอะไร ในเวลานี้เธอเริ่มรู้สึกเสียใจ เธอบ้าไปแล้วและที่ตกลงพาเธอมาที่นี่เพราะเธอเป็นเพียงเพื่อนร่วมทีมมืออาชีพ ตอนนี้ความประทับใจของเฉินหลงต้องถูกทำลายแน่นอนเลย


“เหวินเหวินโปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันไม่สามารถให้เธอตกอยู่ในอ้อมแขนของคนโกหกนี้” เมื่อเห็นลักษณะที่โกรธของฮ่าวฉิเหวิน ลู่เชียงทำได้เพียง แต่ขอโทษเธอในใจ


หลังจากนั้นซักครู่ ลู่ เชียงก็ทานเสร็จ แล้วก็พาฮ่าว ฉิเหวินไปซื้อของ


และเฉินหลงในเวลานี้ก็ซื้อซิงเกิ้ลออกไปด้วย


ฮ่าวฉิเหวินไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เธอไม่ต้องการไปช้อปปิ้ง แต่ลู่เชียงและเฉินหลงตั้งใจจะไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปโดยไม่สนใจ ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายลง ฮ่าวฉิเหวินต้องตามไปด้วย


หลังจากออกจากร้าน เฉินหลงขับรถไป


ฮ่าวฉิเหวินคิดว่าเดิมทีรถของเฉินหลงคือแม็คลาเรนในวันนั้น แต่เธอไม่คิดว่าจะจะเป็นมาเซราติในวันนี้


แต่หลังจากที่ ลู่ เชียงเห็นรถของเฉินหลง เธอพูดว่า “ยังมีคนรวยที่ขี้โกหกอยู่นะเนี่ย เดี๋ยวจะทำให้รู้สึก”


“สาวสวยทั้งสอง จะไปไหนดี” เฉิน หลง กล่าว เมื่อหญิงสาวทั้งสองก้าวขึ้นรถ


“ไปที่ปราด้าก่อน”


……


เฉินหลงขับรถของเขาไปรอบ ๆ ร้านค้าหรูในปักกิ่ง นำทางโดยลู่ เชียง


จริงๆแล้ว ฮ่าว ฉิเหวิน ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรที่ ลู่ เชียง ทำแบบนี้ ตอนนี้คิดแต่เรื่องที่ว่าอยากซื้ออยากได้อะไร


สิ่งที่เฉินหลงไม่ได้ทำคือซื้อของฟุ่มเฟือย กระเป๋า น้ำหอม นาฬิกา และอื่น ๆ


สองในสามคนกำลังช็อปปิ้งจริง ๆ และอีกคนกำลังเฝ้าเฉินหลงอย่างระมัดระวัง คนนี้คือลู่เชียง


หลังจากซื้อน้ำหอมชาแนลขวดหนึ่งแล้วลู่เชียงไม่ซื้อของต่อไปเพียงแค่คุยกับฮ่าวฉิเหวินและมองดูเฉินหลง


หลังจากที่เข้าร้านค้าหลายแห่งเธอค้นพบว่าเฉินหลงไม่สนใจเรื่องเงิน ธนบัตรเป็นหมื่นใบที่จ่ายเพื่อซื้อน้ำหอมนั้น ในดวงตาของเขาเหมือนเพียงราคาสองสามสตางค์ และซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องกระพริบตา


ยิ่งไปกว่านั้นความฟุ่มเฟือยทั้งหมดที่เขาซื้อเพื่อตัวเขาเองนั้นมีราคามากกว่า 100,000 หยวนและหลายแสนหยวนซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจเงินเลย


หลังจากพบว่าเฉินหลงไม่สนใจเรื่องเงิน ลู่เชียงต้องการเลิกคิดเรื่องที่จะใช้เงิน แต่ฮ่าวฉิเหวินอยากช็อป และแน่นอนว่าจะไม่ปล่อยไว้แน่ๆ


ไม่มีทาง ลู่เชียงทำได้เพียงติดตามเฉินหลงและช็อปต่อ


หลังจากฮาวฉิเหวินพอใจแล้ว ลู่เชียงก็เห็นเลขจำนวน 268 เฉินหลงใช้เงิน 2.68 ล้านไปกับการช็อปปิ้งอันสนุกสนานนี้


“ตอนนี้จะไปไหนต่อล่ะ” หลังจากขึ้นรถไปแล้ว เฉินหลงถามต่อ


” ไม่ พอแล้วล่ะ ได้ของที่อยากได้แล้ว” ฮ่าวฉิเหวินกลัวว่าลู่เชียงจะพูดอะไรเพิ่มเติมดังนั้นเธอจึงพูดก่อน


คราวนี้ฮ่าวฉิเหวินซื้อของเกือบ 20,000 ชิ้นและซื้อทุกอย่างที่เธออยากได้มาก่อน ซึ่งก็พอใจแล้ว แน่นอนแม้ว่าอยากได้นั่นนี่ แต่เธอก็พอใจในจำนวนนี้แล้ว


“ไม่ ฉันไม่มีอะไรจะซื้อ แต่หากคุณซื้ออย่างหนึ่งได้ จะการันตีได้ว่า คุณไม่ขี้เหนียว” ลู่ เชียงกำลังคิดหาทางอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอได้เปลี่ยนใจไปแล้ว


ก่อนหน้านี้ ลู่เชียงมาดูเฉินหลง แค่อยากรู้ว่าเฉินหลงเป็นยังไง และอยากเข้าใจเขา


แต่หลังพบกันกับเฉินหลง ลู่ เชียงไม่เห็นว่าเฉินหลงโกหกแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดี เธอพยายามทำให้เฉินหลงรู้สึกไม่ดี สำหรับลู่ เชียง หากฉันรู้สึกไม่ดี เธอก็ต้องเป็นแบบนั้นด้วย


“ตราบใดที่มีสินค้าวางในตลาด ผมไม่เชื่อว่าผมจะซื้อมันไม่ได้” เฉินหลงตอนนี้รู้ว่าลู่เชียงต้องจงใจมองหาปัญหา เพื่อตัวเอง ดังนั้นโดยธรรมชาติเขาจึงไม่สามารถแสดงจุดอ่อนได้


“ดี ฉันได้ยินเพื่อนของฉันบอกว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีผลิตภัณฑ์ความงามที่เรียกว่า ” ครีมบำรุงเสริมความงาม”ซึ่งมีผลดีต่อผิวหากหาได้ ฉันจะไม่ใจร้ายกับคุณ ใบหน้าของเชียงเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์


แม้ว่าเธอจะเคยได้ยิน” ครีมบำรุงเสริมความงาม” มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน “ครีมบำรุงเสริมความงาม” นี้มีน้อยมาก หากได้มา จะต้องซ่อนไว้เป็นอย่างดี ไม่อยากให้ใครเห็น และประสิทธิผลของ “ครีมบำรุงเสริมความงาม” ตัวนี้ก็ดังไปทั่วด้วย


เมื่อลู่เชียงพูดถึง “ครีมบำรุงเสริมความงาม” ฮ่าว ฉิเหวินก็มองไปที่เฉิน หลง ด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นผู้หญิง “ครีมบำรุงเสริมความงาม” เป็นชีวิตของพวกเธอ


“งั้น พรุ่งนี้จะซื้อให้นะ” เฉินหลงคิดและพูดออกมา แต่ก็ดีใจอยู่ลึกๆ


หาก ลู่ เชียง บอกว่ามีของที่ยากที่จะซื้อได้ สงสัยจะยากสำหรับเฉิน หลง ด้วย แต่ “ครีมบำรุงผิวเสริมความงาม” มันธรรมดามาก สำหรับคนหามเช้ากินค่ำ มันยากที่จะซื้อ แต่สำหรับเฉิน หลง การซื้อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ เพราะเฉิน หลง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน “ครีมบำรุงผิวเสริมความงาม”


TB:บทที่ 103 การโต้กลับ


“อืม พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ พูดแล้วนะ และพรุ่งนี้ คุณบอกจะเซ็นสัญญา 2 พันล้านหยวน ให้เราไปร่วมงานได้ด้วยหรือไม่คะ?” เมื่อได้ยินถึงเรื่องสัญญาของเฉินหลง ลู่เชียงก็ใช้คำพูดนี้หยุดเขาทันที


เฉินหลงทำหน้าแปลกๆ เขาไม่รู้ว่า”ครีมบำรุงเสริมความงาม” ที่ว่านั้นคืออะไร เขายังคงกล้าที่จะบอกว่า เดี๋ยวจะซื้อให้พรุ่งนี้ และดูสิว่าจะทำให้ตัวเองเป็นคนโง่ในวันพรุ่งนี้หรือไม่


“เฉินหลงคุณมีวิธีซื้อจริง ๆ หรอ?” ครีมบำรุงเสริมความงามยากมากที่จะซื้อได้เชียวนะ? “หัวใจของฮ่าวฉิเหวินสับสนเล็กน้อย เธออยากให้เฉินหลงยอมแพ้ แต่เธอต้องการดูว่าเฉินหลงสามารถรับมือได้หรือไม่


“ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหา แล้วหากพรุ่งนี้ผมหา” ครีมบำรุงเสริมความงาม” และพรุ่งนี้และเซ็นสัญญา 2 พันล้านหยวนได้ คุณจะทำอะไรให้ล่ะ เฉินหลงเริ่มตอกกลับ


“ถ้าคุณทำทั้งคู่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะเป็นของคุณวันหนึ่งและฉันจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการให้ฉันทำ” ลู่เซียง โต้กลับทันที


“ก็คิดไว้แบบนั้นอยู่แล้วล่ะ” ใบหน้าของเฉินหลงแสดงรอยยิ้มแห่งชัยชนะ


หลังจากนั้น เฉินหลงส่งหญิงสองคนกลับมา ลู่เชียงไม่ได้กลับไปบ้านของเธอ แต่ไปที่บ้านของฮ่าวฉิเหวิน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวดีมาก หญิงทั้งสองสร้างบ้านของตัวเองแบบสบาย ๆ


“พี่สาว ทำไมพูดแบบนั้นไป หากเขาชนะจริงๆและอยากให้ทำแบบนั้น มันจะดีหรอ” ฮ่าว ฉิเหวิน มองไปที่ ลู่ เชียง ด้วยความโกรธภายในห้อง


เฉินหลงเป็นตัวของตัวเองมาก หากเขาต้องการแบบนั้น เขาก็จะทำ เขาจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร


“ไม่ต้องห่วง แม้จะบอกว่าจะทำทุกอย่างให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขามาเอาประโยชน์ไปได้ มีอะไรอีกล่ะ เขาเป็นพวกใจที่อยากได้ของคนอื่นอยู่แล้ว แต่ขี้ขลาด เดี๋ยวไปพรุ่งนี้ตะรู้เอง” ลู่ เชียง ยิ้มอย่างมีเลศนัย


หลังจากได้ยินคำพูดของ ลู่ เชียง ฮ่าว ฉิเหวินก็โล่งใจ


“พี่สาว เธอฉลาดแกมโกงมากๆ”


“ผู้หญิงควรต้องปกป้องตัวเอง โดยเฉพาะคนสวยอย่างฉัน” ลู่เชียงบอก “แต่ว่านะ เสี่ยวเหวิน เธอโหดมาก เอาเงินจากเขาไปได้ตั้ง 200000 หยวนในคราวเดียวเลยนะ”


“ทำไมล่ะ ก็ได้ของมา 200000หยวนก็จริง แต่พรุ่งนี้ฉันก็จะเอาไปคืนให้เขาอยู่แล้ว” ฮ่าว ฉิเหวิน หน้าแดงมาก


ความจริง ฮ่าว ฉิเหวิน ไม่เคยคิดว่าจะซื้อของเหล่านี้มาเลย


“ลืมไปซะเถอะ เฉินหลงไม่สนใจเรื่องเงินเลย เธอจะเห็นว่าสิ่งที่เขาซื้อ เขาซื้อเพื่อตัวเอง และแถมมีมากกว่าสองล้านหยวน แต่เขาไม่เคยฉุกคิดอะไรเลย ถ้าเธอจ่ายเงินคืนในวันพรุ่งนี้ เขาจะไม่ยอมรับมัน ดังนั้นพยายามทำแบบนั้นเลยดีกว่า” หลังจากเข้ากันได้แล้ววันนี้ ลู่เชียงยังรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเฉินหลงอีกด้วย


“ยังไงก็เหอะ เธอเป็นอะไรอ่ะในวันนี้ จู่ๆก็ใส่เขาเอา ใส่เขาเอา ฉันคิดว่าจะโดนเธอฆ่าไปแล้วนะ” ฮ่าว ฉิเหวิน เริ่มถามขึ้นมา


ลู่ เชียง ก็เล่าให้ ฮ่าว ฉิเหวิน ฟัง


“อ่าว ปู่ลู่เป็นมะเร็งหรอ เฉินหลงบอกเขารักษาให้ได้งั้นหรอ” ฮาวฉิเหวินตกใจกับสองข้อความนี้


“ใช่ แม้ว่าฉันจะอยากให้ปู่หายจากโรค แต่จากการรักษาตอนนี้ แม้ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จ แต่ก็มีโอกาสเกิดมะเร็งใหม่ได้ แต่ ปู่ก็เป็นหมอที่ดีนะในสาขาวิชาของฉัน แต่มันส่งผลต่อระยะเวลาในการรักษาของคุณปู่คุณคิดว่าฉันควรจะว่าเฉินหลงไหมล่ะ ลู่เชียงพูดด้วยความโกรธ


“ไม่ เพราะฉันคิดว่าเฉินหลงทำได้” ไม่รู้ว่ายังไง แต่ ฮ่าว ฉิเหวินดูมั่นใจในเฉินหลง มาก


“เธอ…”


ลู่เชียงไม่รู้จะพูดกับ ฮ่าว ฉิเหวิน อย่างไร เลยได้แต่หันหน้าหนีฮ่าว ฉิเหวิน


“ไม่ต้องห่วง พี่หลงจะรักษาปู่ลู่ได้แน่” ฮ่าว ฉิเหวิน มั่นใจมาก


……


เช้าวันรุ่งขึ้นเฉินหลงขับรถไปรับลูกสาวสองคนของฮาวฉิเหวิน ระหว่างทางเฉินหลงพูดกับเกาเฟิงเสี่ยวและบอกว่าเขาจะพาเพื่อนสองคนมาด้วย เกาเฟิงเสี่ยวไม่มีปัญหากับเรื่องนี้


“นี่คือสิ่งที่คุณเรียกว่า” ครีมบำรุงเสริมความงาม”หรือ เฉินหลงหยิบขวดออกมาหบังจากออกจากบ้านของฮ่าวฉิเหวิน


“ครีมบำรุงเสริมความงาม” เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับเฉินหลง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการผลิตขวดหลายสิบขวด ตอนนี้ความสามารถของเฉินหลงเพิ่มมากขึ้นและการปรับ “ครีมบำรุงเสริมความงาม” ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก


“ให้ฉันดูสิ” ลู่เชียงตอกกลับเฉินหลง “ครีมบำรุงเสริมความงาม” และมองอย่างระมัดระวัง


ลู่เชียงมองดูแพคเกจครีมบำรุงเสริมความงามอย่างระมัดระวังและพบว่ามันเหมือนกับของเพื่อนของเขา


อย่างไรก็ตามลู่เชียงไม่ค่อยสบายใจ ดังนั้นเธอจึงถ่ายรูปและส่งให้เพื่อนของเธอ


ภายในสองวินาทีเพื่อนของเธอโทรมาและถามเธออย่างตื่นเต้นว่าเธอมี “ครีมบำรุงเสริมความงาม” หรือไม่ ถ้าทำได้ จะจ่ายหนึ่งล้านหยวนเพื่อซื้อ


เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นกันมาก ลู่เชียงบอกว่าเธอเพิ่งได้รูป เธอพูดติดตลกว่าเธอจะไม่ขายสิ่งนี้หรอก ที่เงินไม่สามารถซื้อได้


หลังจากได้ยิน เพื่อนของเธอก็บ่นใส่ และวางหูโทรศัพท์


“คุณแน่ไม่ใจเหรอ?” เฉินหลงพร้อมที่จะหยิบ “ครีมบำรุงเสริมความงาม” จากมือของลู่เชียง


อย่างไรก็ตามลู่เชียงก็ดึงมือกลับ


“ถ้าเป็นจริง เราจะต้องลองดูละกัน” ในหัวใจของลู่เชียง เธอรู้แล้วว่านี่คือ “ครีมบำรุงเสริมความงาม” ไม่มีอะไรผิดปกติ ดังนั้น เธอไม่อยากเอาสิ่งดีๆแบบนี้คืนให้เฉินหลง แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งความงดงามนี้ได้


“อันที่จริงมันเป็นของปลอม ผมโกหก” เฉินหลงกล่าว


แต่ลู่เชียงไม่เชื่อเลย เธอฉลาดเหมือนฉัน เรื่องโกหกอาจหลอกเด็กได้ แต่หลอกเธอไม่ได้


“แล้วนี่คุณไปเอามาจากไหน” ครีมบำรุงเสริมความงาม ” ลู่ เชียง มองไปที่ เฉินหลง.


ลู่ เชียง สนว่า เฉินหลง ไปเอาเจ้า “ครีมบำรุงเสริมความงาม” นี้มาจากไหน


“เข้าไปในรถสิ ทุกคนรออยู่นะ” เฉินหลง ไม่ได้แคร์ ลู่ เชียงเลย


พอเห็นว่า เฉินหลง ไม่ตอบ ลู่ เชียง ก็ไม่แคร์ เดินขึ้นรถไปกับ ฮ่าว ฉิเหวิน


พอขึ้นรถไปแล้ว ลู่ เชียง ก็เริ่มโจมตีด้วยคำพูด ตลอดทาง บอกแต่ว่า “ครีมบำรุงเสริมความงาม” มาจากไหน ทำให้ เฉินหลง ปวดหัวมาก


สุดท้าย เฉินหลง ก็บอกว่า ได้มาจากเพื่อน ชื่อว่า เฉียนซานเจีย


หลังจากนั้น เฉินหลงก็ไม่ต้องหนวกหูอีก


พอเฉินหลง ไปถึงคลับส่วนตัวที่มาเมื่อวาน ฮ่าว ฉิเหวิน และเพื่อเธอรู้เลยว่านี่ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะมาได้ แต่ก็ได้แต่คิดว่าทำไมเฉินหลงอยากมาที่นี่


TB:บทที่ 104: สิ่งที่คาดไม่ถึง


เมื่อเห็นว่าเฉินหลงได้พาสาวสวยสองคนมาด้วยเกาเฟิงเสี่ยวก็แปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเฉินหลงนำทนายและผู้เชี่ยวชาญบางคนมา แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาเป็นสาวงามสองคน แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมากมาย


เฉินหลงไม่ได้แนะนำฮ่าวฉิเหวินให้กับเกาเฟิงเสี่ยว ดังนั้นเขาจึงเริ่มเซ็นสัญญากับเฉินหลง


หลังจากเซ็นสัญญาแล้วเฉินหลงได้มอบแบบวาดของ “เครื่องกำจัดฝุ่น” ให้แก่เกาเฟิงเสี่ยว “และในไม่ช้าโทรศัพท์มือถือของเฉินหลงก็ได้รับข้อความสั้นๆ จากธนาคาร


“คุณเฉิน คุณมีทุกอย่าง อย่าเสียมันไปล่ะ หรือ เดี๋ยวจะเตรียมไว้ให้อีกนะ” หลังจากรอบัญชีธนาคาร เกา เฟิงเสี่ยว ก็ให้กล่องหนึ่งแก่เฉินหลง


สงสัยว่าเฉินหลงคงจะร่วมกับเกา เฟิงเสี่ยว ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับแผนกอะไรสักอย่าง


“ได้ครับ” เฉิน หลง พยักหน้า


หลังจากนั้น เฉิน หลง และ เกา เฟิงเสี่ยว ก็แยกย้ายกันไป


“เชื่อซะเถอะ” หลังจากออกจากคลับส่วนตัวมา เฉินหลงเดินถือกระดาษสัญญาที่เกา เฟิงเสี่ยวเซ็นต์มาแล้วให้กับ ลู่ เชียง


“จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นของจริง” ลู่ เชียง ยังคงพูดแบบนั้น


“งั้นจะแสดงให้ดู” เฉินหลงกล่าว แล้วเปิดให้ดูบัญชี


เมื่อ ลู่ เชียง เห็นข้อความบนมือถือของ เฉิน หลง ลู่ เชียงก็พูดไม่ออก


“งั้นก็คงรักษาปู่ฉันได้” ตอนนี้ ลู่ เชียง รู้สึกเหมือนเฉินหลงเป็นผู้วิเศษ น่าจะรักษาปู่เธอได้


“ใครคือปู่ของเธอกัน” เฉินหลง งง กับคำพูดของลู่เชียง


“ปู่ของฉันคือ ลู่ หนาน” ลู่เชียงมองไปที่เฉินหลง โดยไม่มีคำพูดออกมา


ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เธอคือ หลานของ ลู่ หนาน เขาไม่ได้แสดงความตกใจออกมามาก


“อ๋อ เธอเป็นหลานของ ลู่เหลา การป่วยของเขายังอยู่ในขั้นต้น ก็ยังคงรักษาได้อยู่ดี แต่ต้องรอเวลาหน่อย ผมต้องเตรียมการไว้ก่อน” หลังจากรู้ว่า ลู่เชียงคือหลานของลู่หนาน เฉินหลงก็ยิ่ง งง ไปใหญ่ เธอก็รักษาลู่หนานได้ ทำไมไม่ทำ เธอควรจะเชื่อมั่นในตัวเองนะ


“การรักษาของคุณสู้เทคโนโลยีการรักษาสมัยใหม่ได้ไหม” ลู่เชียงมองไปที่เฉินหลง


จากนั้นเฉินหลงได้เรียนรู้จากฮ่าวฉิเหวินว่า ลู่เชียงกำลังเรียนการแพทย์ตะวันตกแ ละจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดลู่เชียงจึงเพ่งเล็งไปที่ตัวเขาเอง เธอคิดว่าเขาเป็นคนโกหก


“คุณลู่ ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการหลอกคุณปู่ของคุณ” เฉินหลงเริ่มกังวลเรื่องไอคิวของลู่เชียงขึ้นมาบ้างแล้ว


ลู่เชียงคิดถูกแล้ว คนโกงโกงเงินหรือผลประโยชน์บางอย่าง แต่ปู่ของเขาไม่มีอะไรจะให้เขาโกง


ทำไมไม่คิดอย่างนั้นมาก่อน


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วลู่เชียงก็เสียใจมากที่เธอทำผิดต่อเฉินหลง


ในความเป็นจริงเธอคิดว่าเฉินหลงเป็นคนโกหกเพราะเธอเป็นนักศึกษาแพทย์


ในช่วงเวลาหลายปีของการเรียนแพทย์ เธอได้เรียนรู้ว่าเธอสามารถใช้ยาตะวันตกเพื่อแก้ปัญหาเมื่อเธอเป็นมะเร็งเท่านั้น


ดังนั้นหลังจากได้ยินฮ่าวชางฉิงบอกว่าเฉินหลงสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือผู้ชายคนนี้เป็นคนโกหก


ดังนั้นเธอจึงเคยคิดว่า เฉินหลงเป็นคนโกหก


“เอาล่ะวันนี้เธอเป็นของผม ไปบ้านกันเถอะ” เฉินหลงหันไปลู่เชียงด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย


“คุณต้องการจะทำอะไร?” เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเฉินหลง ลู่เชียงจึงกุมมือเธอไว้ที่อกแสดงให้เห็นถึงความกลัว


“ก็แน่นอน ทำสิ่งที่ผมต้องการไง” เฉินหลงหรี่ตาลง และมองไปที่ลู่เชียงด้วยสีหน้าที่อ่านอารมณ์ไม่ออก”เสี่ยวหวิน ผมจะพาคุณกลับบ้านก่อน”


“ไม่ เสี่ยวหวินเธอบอกว่าเธอจะมากับฉัน” ลู่เชียงส่ายหัวและจับมือฮ่าวฉิเหวินไว้


“ไม่มีปัญหา” เฉินหลงตกลง


เฉินหลงขับรถกลับไปที่วิลล่า แล้วจอดรถไว้ และเดินไปหาลู่เชียง


เมื่อเห็นเฉินหลงเข้ามาหา ลู่เชียงก้าวไปข้างหลังด้วยความกลัว


“คุณกลัวอะไร ผมไม่ได้จะกินคุณซะหน่อย คุณบอกว่าคุณจะทำให้ผมทุกอย่างไม่ใช่หรือ บ้านผมไม่ได้ทำความสะอาดมานาน โปรดทำความสะอาดสถานที่อย่างรวดเร็วอย่า ‘ อย่าขี้เกียจ เพราะผมจะไปตรวจดู” เฉินหลงกลับไปที่ห้องของเขาพร้อมกล่อง


เฉินหลงแค่จะทำให้เธอกลัว คนแบบนี้ต้องสั่งสอนหน่อย ให้เธอได้มีความทรงจำที่ไม่มีวันลืม


ลู่เชียงถอนหายใจยาวๆ ลู่เชียงทำความสะอาดห้องให้เฉินหลงได้ ช่วยไม่ได้ เธอแพ้เขาแล้ว


เฉินหลงกลับห้อง เปิดกล่องบรรจุชุดทหารพร้อมใบรับรองของนายทหารและใบรับรองอีกใบ


และมีเอกสารสีม่วงที่มีคำห้าคำว่า “ศูนย์ความมั่นคงแห่งชาติกลุ่มศูนย์”


เปิดบัตรประชาชนมีรูปเฉินหลงตำแหน่งเป็นสมาชิกทีมระดับกลาง


และใบรับรองเจ้าหน้าที่ยังมีรูปเฉินหลงและอันดับของเขา


หลังจากอ่านใบรับรองสองฉบับเฉินหลงจดจ่อกับชุดทหาร


เฉินหลงไม่ได้เข้าร่วมกองทัพ นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย แต่ตอนนี้เขามีชุดเครื่องแบบทหารหรือยศพันตรีซึ่งสามารถสนองความเสียใจของเฉินหลงว่าเขาไม่ได้สวมชุด


เฉินหลงหยิบชุดออกจากกล่อง และสวมใส่


ต้องบอกว่าเกาเฟิงเสี่ยวและงานของพวกเขาเนี๊ยบมาก เครื่องแบบทหารนี้เหมาะกับเฉินหลงมาก


เมื่อเห็นรูปหล่อของเขาในกระจกหลังจากใส่ชุดทหารเฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หล่อจริงๆ” กับตัวเองในกระจก


ชายคนนี้ยังคงหล่อที่สุดเมื่อสวมใส่เครื่องแบบ


เฉินหลงที่หล่อ แต่เดิมหล่อมากหลังจากใส่เครื่องแบบแล้ว แน่นอนว่าถ้าสาวๆเห็นก็คงไม่เหลือ


หลังจากนั้นเฉินหลงได้ทำท่าทางแบบทหารที่แปลกๆหน้ากระจก


เฉินหลงชอบชุดทหารนี้มาก หลังจากถ่ายรูปตัวเองด้วยโทรศัพท์มือถือเฉินหลงถอดชุดและแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง


หลังจากนั้นเขาก็ออกไปจากห้องของเขา


และลู่เชียงทำความสะอาดห้องของเขาอยู่


เห็นเฉินหลงออกมา ลู่เชียงจ้องที่เฉินหลงอย่างดุเดือด


“นี่ มีฝุ่นบนที่พักแขนเก้าอี้น่ะ เช็ดเร็วๆสิ” เฉินหลงจงใจพูดกับลู่เชียง


อย่ามั่นใจ เธอกล้าจ้องฉัน งั้นฉันก็จะทำให้คุณรู้สึก


แม้ว่าลู่เชียงต้องการชกหน้าเฉินหลง แต่ตามที่ จาง เดอ เซกล่าว คนแพ้ก็ต้องแพ้ และยอมรับมันซะ


“ทำความสะอาดห้องน้ำบนชั้นสองด้วยนะ” เฉินหลงพูดต่อตอนที่เห็น ลู่ เชียง เช็คที่พักแขนเก้าอี้


“ได้” ลู่เชียงโกรธมาก แต่เธอพยายามที่จะฝืนยิ้ม


หลังจากเช็ดที่พักแขนเก้าอี้ได้แล้ว ลู่เชียงก็ขึ้นไปชั้นบน ตอนนี้เธออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่น เธอเป็นคนซื่อสัตย์และเชื่อฟังและรอดชีวิตมาได้ในวันนี้ มิฉะนั้นใครจะรู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร


เฉินหลงในฐานะหัวหน้างานที่ไร้จริยธรรมต้องเดินตามลู่เชียง


อย่างไรก็ตามเฉินหลงและลู่เชียงไม่ได้คาดหวังว่าจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น


TB:บทที่ 105 การแสดงออก


เฉินหลงติดตามลู่เชียง และทำให้ลู่เชียงรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่สามารถมีสมาธิได้ หลังจากเปิดประตูห้องน้ำเธอก็เดินเข้ามา เธอไม่ได้สังเกตว่ามีน้ำอยู่บนพื้นสีขาวใต้เท้าของเธอ


หลังจากที่เท้าของลู่เชียงเหยียบลงไป เธอก็คุมร่างกายไม่ได้


“อ้า ~”


เธอร้องในใจ


อาจจะเป็นไปได้ว่าลู่เชียงรู้ว่าเฉินหลงอยู่ข้างหลัง หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอหมุนตัวและล้มลงใส่เฉินหลง


แม้ว่าเฉินหลงจะอยากหนีออกจากลู่เชียง เขาก็ไม่ได้อยากจะเห็นอันตรายที่เกิดขึ้นกับเธอ เขาก็เลยดึงเธอมากอดไว้


ไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรืออะไร จู่ๆ ปากของลู่เชียงก็ประกบเข้ากับปากของเฉินหลงพอดี


และทั้ง ลู่ เชียง และ เฉินหลง ก็นิ่งไปชั่วขณะ


สองสามวินาทีให้หลัง  ลู่ เชียงถอยออกมาอย่างเร็วจากอ้อมแขนของเฉินหลง และวิ่งหน้าแดงลงบันไดไป


จากเหตุนั้น ลู่เชียงอายมากเกินกว่าจะอยู่คนเดียวกับเฉินหลง


หน้าของเฉินหลงก็แสดงให้เห็นถึงความอายผ่านทางรอยยิ้ม เขาไม่ได้อยากจะฉวยโอกาสกับผู้หญิง แต่นี่มันเป็นอุบัติเหตุที่เหลือเชื่อ


“โชคดีที่จูบแรกของผมน่ะมันผ่านไปแล้ว ยกเว้นแต่เธออยากฉวยโอกาสจากผม แต่ก็ดี เธอก็รู้สึกดีด้วย”


ในช่วงที่เกิด “สัญญาตามตกลง” กับลู่เชียง มือของเฉินหลงโอบเอวของลู่เชียงอยู่ เมื่อเธอผลักออกของเฉินหลงออก เฉินหลงสัมผัสได้ถึงเรือนร่างของเธอ ที่ดูมีค่ามาก


“พี่สาว เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” หลังจากเห็น ลู่ เชียง วิ่งลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว ฮ่าว ฉิเหวิน ก็เลยถามด้วยความสงสัย


ลู่ เชียงบอกว่า “แค่ลื่นน่ะ ไม่เป็นไร”


เธอไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าอายเกินไป


“ใช่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เธอลื่นและเกือบล้ม ดีนะผมอยู่ข้างหลัง ไม่งั้นคงตกลงไปแล้ว ดีที่ตกมาใส่ผม ไม่งั้นผมคงรู้สึกแย่”


เฉินหลง เดินลงมาแล้วพูดแบบนั้น “แต่ คุณยังไม่ได้ขอบคุณผมเลยนะ”


พอลู่เชียงเห็นเฉินหลงเหมือนจะฉวยโอกาสจากเธอ ก็เลยพูดด้วยใจที่รู้สึกรังเกียจมากว่า


“ถ้าไม่บอกให้ฉันทำความสะอาด มันก็ไม่เกิดแบบนี้ขึ้นหรอก ไม่ทำแล้ว เหวินเหวิน กลับบ้านกัน” ลู่เชียงบอกทันที


“เธอยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลยนะ ยังไม่ครบวันเลย” เฉินหลงมองมาที่ลู่เชียงที่ยืนเงียบตรงนั้น เขาไม่ได้จะเอาประโยชน์จากเธอ ไม่มีประโยชน์ที่ต้องทำแบบนั้น เขาไม่ได้เอาเธอเข้ามาจูบซะหน่อย


“ฉันโกหกน่ะ แล้วไง พาเรากลับบ้านเร็วๆ เดือนหน้า ฉันต้องเห็นคุณรักษาปู่ฉันให้หายได้นะ ไม่งั้นจะประกาศให้ทั่วเลยว่าเป็นคนขี้โกหก” ลู่เชียงเริ่มทำตัวไม่มีเหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ


พอเห็นว่าลู่เชียงดูเหมือนกับเสือเลย เฉินหลงก็เลยต้องใจเย็นๆ ไม่มีทางอื่นใด ผู้หญิงเกิดมาแบบนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ


หลังจากเอากุญแจออกมา เฉินหลงก็ส่งสาวทั้งสองกลับบ้าน


หลังจากนี้ ทำให้เฉินหลงและความสัมพันธ์กับสาวทั้งสองซับซ้อนขึ้นไปอีก


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งเดือนหลังจากนั้น เขาไปที่ที่ต้องรักษาลู่หนาน


ในเดือนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัท วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเฉินหลงก่อตั้งขึ้น แน่นอนว่าในเมืองหลวงทั้งหมด แถมยังดึงดูดความสนใจของคนทั้งโลก เพราะได้มีการประกาศอย่างยิ่งใหญ่จากราชวงศ์จีนว่าพวกเขาสามารถควบคุมฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เดิมทีราชวงศ์จีนผู้ยิ่งใหญ่นั้นจะประกาศชื่อเฉินหลงและทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลก แต่เฉินหลงก็ยังไม่เห็นด้วย สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของเฉินหลงเรื่องใช้ชีวิตแบบง่ายๆแต่โปรไฟล์สูงๆดีกว่า


คำแถลงของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลายประเทศสงสัย ในที่สุดฝุ่นในเมืองหลวงก็อยู่ภายใต้การควบคุมมาระยะหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็มีการพูดกันว่าคงมีวิธีรับมือนั่นล่ะ ทำให้เกิดข่าวไม่ค่อยดีเท่าไร


อย่างไรก็ตามในไม่ช้าประเทศเหล่านั้นก็รู้ว่าพวกเขามองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะฝุ่นปกคลุมเมืองหลวง แต่สุดท้ายฝุ่นก็ถูกกำจัดออกจากพื้นที่ขนาดใหญ่ และแสงแดดที่สูญเสียไปนานก็กลับคืนมาในดินแดนเมืองหลวง


รัฐบาลจีนที่ยิ่งใหญ่ได้ทำให้หลายประเทศจับตามอง โดยเฉพาะ MIDI ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่สงบ ซึ่งรวมกลุ่มกับประเทศต่างๆเพื่อขอให้จีนแผ่นดินใหญ่เผยแพร่มาตรการเพื่อกำจัดฝุ่น แน่นอนว่าจีนแผ่นดินใหญ่ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น


แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ได้รับการพัฒนาด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ซื้อด้วยทองคำและเงินแท้ หากเราจะแจกฟรีๆ คงเป็นไปไม่ได้


ดังนั้นจึงมีคำสั่งอื่นออกมา


ประเทศที่ต้องการควบคุมฝุ่นสามารถซื้อเครื่องเพื่อกำจัดฝุ่น แต่เทคโนโลยีเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แน่นอนธุรกิจนี้ไม่ได้ถูกบังคับให้ซื้อและขาย หากคุณยินดีที่จะซื้อ เราก็ยินดี หากไม่เอา เราก็ไม่ว่าอะไร


ต้า เทียน เจาพูดอย่างหนักแน่น ทำให้ประเทศ MIDI รู้สึกหมดหนทาง พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผยชื่อเสียๆหายๆต่อสาธารณชนในประเทศจีนบนอินเทอร์เน็ตและช่องทางต่าง ๆ


และเราไม่กลัว จีนมหาอำนาจก็เริ่มต่อสู้กลับ บอกว่าทำไม MIDI ถึงไม่แบ่งปันสิ่งดีๆในครอบครัวของคุณ ให้หยุดพูดซะ อย่างไรก็ตอนนี้โลกทางอินเตอร์เน็ตกำลังเดือดอยู่


เฉินหลง กลับไปที่ซิงเฉิงเพื่อดูครอบครัวของเขา เฉินยี่ตัดสินใจที่จะไม่ศึกษาต่อที่ ซิงเฉิง แต่อยู่กับครอบครัวของเธอสักพักแล้วเธอก็กลับไปที่หมู่บ้าน


หลังจากพักอยู่ในซิงเฉิงหนึ่งหรือสองวัน เฉินหลงกลับไปที่เมืองหลวง


ย้อนกลับไปในเมืองหลวง ฮ่าวฉิเหวินมาหาเฉินหลงทุกวันและลู่เชียงติดตามฮ่าวฉิเหวินมาทุกครั้ง เธอแค่ไม่อยากให้เฉินหลงหนี ข้อแก้ตัวนี้ได้ยินอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เธอไม่สามารถหาข้อแก้ตัวอื่นได้อีก


“ คุณไม่ต้องจ้องผมทุกวันก็ได้ ผมบอกว่าไม่หนีไง” หลังจากออกไปเฉินหลงเห็นฮ่าวฉิเหวินและคนของเธอสองคนขับรถมินิโรสีแดงมารออยู่


“ใครจะรู้” การทะเลาะกับเฉินหลงได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับลู่เชียง


เฉินหลงไม่สนใจเรื่องลู่เชียง หลังจากขึ้นรถ เขาบีบแตรเพื่อส่งสัญญาณให้หญิงสาวสองคนขับรถออกไป


วันนี้เฉินหลงกำลังจะไปรักษาลู่หนาน


เฉินหลงได้รับ “สมบัติทางการแพทย์หมื่นอย่าง” หลังจากศึกษามาแล้วนั้น เขาก็พบว่าความเจ็บป่วยของลู่หนานนั้นเรียบง่ายเหมือนกับการรักษาความเย็นให้กับตัวเอง


เดิมที เฉินหลงคิดว่าถ้าไม่มีใครซื้อสิ่งประดิษฐ์ของเขา หลังจากครึ่งเดือนเขาจะขอให้อาจารย์ขายให้ราคาถูกๆ


อย่างไรก็ตามกว่าสิบวันที่ผ่านมา ยานไทเกาทำธุรกรรมกับเฉินหลงอีกครั้ง ธุรกรรมนี้ถึงคะแนนแลกเปลี่ยน 20,000 คะแนน เฉินหลงไม่กังวลเกี่ยวกับคะแนนแลกเปลี่ยนในขณะนี้ ของของเขาสามารถขายได้ช้าๆ ภายในร้านของเขา


เมื่อพวกเขาเห็นเฉินหลงมา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ในเวลานี้เฉินหลงได้กลายมาเป็นพระผู้กอบกู้ของครอบครัวลู่หนานไปแล้ว


TB:บทที่ 106 ดีจริงๆ


 


“เสี่ยวเฉิน คุณมาแล้วหรอ” ฮ่าว ฉางชิง มองที่ เฉินหลง ดูว่าเขาป่วยหรือไม่


“ใช้เวลานานกว่านี้ในการเตรียมตัวสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง การเตรียมตัวอย่างเขาก็เตรียมไว้อย่างเต็มที่และยิ่งดีกว่าผลของการรักษาโชคดีที่อาการของลู่หนานอยู่ในระยะเริ่มแรกเท่านั้น ผมต้องเตรียมตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่หากเป็นระยะกลางและระยะสุดท้าย คงต้องเตรียมนานขึ้น” เฉินหลงเริ่มคุยโม้


“คุณหมายถึงคุณสามารถรักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งขั้นสูงได้” ตอนนี้ลู่เชียงมีความเชี่ยวชาญในการต่อปากกับเฉินหลง


“แน่นอนว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผมกลัวว่าผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสูงจะไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้น” เฉินหลงพูดเบา ๆ


“คุณจะเตรียมตัวนานแค่ไหน?” ลู่เชียงถาม


“ประมาณครึ่งปี” เฉินหลงกล่าว “ตอนนี้ผมจะรักษาคุณลู่แล้ว ขอให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป”


เมื่อเขาพูด เฉินหลงมองไปที่ลู่เชียง ก็เหมือนกับพูดว่า “ผมหมายถึงคุณ”


“คุณหมายถึงอะไร” ลู่เชียงมองเฉินหลงด้วยความโกรธ


“เสี่ยวเชียง พูดกับแขกแบบนี้ได้ยังไง” วานเจียเริ่มว่าลู่เชียง


“ไม่เป็นไร เป็นเพราะผมต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบในระหว่างการรักษา” เฉินหลงยิ้มด้วยการแสดงออกว่า “ผมเป็นผู้ใหญ่กว่า ไม่ได้เหมือนคุณ”


“ได้ยินไหม ดูสิเสี่ยวเฉินสุภาพมาก คุณเป็นผู้หญิงคุณก็ต้องเป็นแบบนี้นะ” วานเจียเปรียบเทียบเฉินหลงกับลูกของครอบครัวคนอื่น และสอนลู่เชียง


ลู่เชียงไม่พูด แต่เดินไปข้าง ๆ และไม่สนใจวานเจียและเฉินหลง แน่นอนในใจของเธอเธอเริ่มสาปแช่งเฉินหลงว่าทุกอย่างไม่เป็นไปด้วยดี เช่นดื่มน้ำเพื่อทำความสะอาดฟัน กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยไม่ปรุงรสและอื่น ๆ


วานเจียมองหลานสาวของเธอ และทำได้แค่ส่ายหัวและยิ้มแห้งๆไปที่เฉินหลง


หลังจากนั้นเฉินหลงและลู่หนานก็เดินเข้าไปด้วยกันเพื่อทำการรักษา


“คุณลู่ตอนนี้คุณนอนราบและผ่อนคลาย”


มีเตียงเล็ก ๆ ในการรักษา ซึ่งโดยปกติลู่หนานจะใช้นอนเมื่อง่วงนอน


หลังจากลู่หนานอยู่บนเตียง เฉินหลงมองสุขภาพของลู่หนานด้วยเครื่องตรวจจับ ไม่เป็นไร และไม่มีการเสื่อมสภาพ


จากนั้นเฉินหลงหยิบถุงผ้าแบนๆ มาวางไว้บนโต๊ะแล้วค่อยๆเปิดทีละชั้น มีเข็มเงินมากมาย


มีเทคนิคการฝังเข็มจำนวนมากและวิธีการฝึกฉีภายใน “ตำราแห่งยานับหมื่น” ที่เฉินได้รับการแลกเปลี่ยนมาจากระบบ สิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือทักษะในการฝึกฝนพลังฉี ตามสภาพของโรคแต่ละโรคร่างกายของคนที่ฝึกฝนทักษะสามารถปลูกฝังชนิดของยาพลังฉีที่สามารถรักษาโรคนี้ได้โดยเฉพาะด้าน การใช้ยาพลังฉีชนิดนี้ ก็จะสามารถกำจัดพลังฉีได้


มีโรคนับหมื่นใน “ตำราแห่งยานับหมื่น” กล่าวคือรักษาควรใช้ยาพลังฉีมากกว่าหมื่นชนิด


แน่นอนยาพลังฉีชนิดนี้สามารถเก็บไว้ในร่างกายได้แม้ว่าจะไร้ประโยชน์ก็ตาม ด้วยยาพลังฉีนี้ จะทำให้ร่างกายป้องกันตัวเองไม่มีโรคภัยคุกคามใด ๆ


อย่างไรก็ตามยาพลังฉีไม่เพียง แต่ช่วยชีวิตผู้คน แต่ยังสามารถฆ่าผู้คนได้โดยขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานของผู้ปฏิบัติงาน


ในช่วงสิบวันที่ผ่านมาเฉินหลงได้ฝังก๊าซชีวภาพหกตัวในร่างกายของเขาเอง ก๊าซชีวภาพทั้งหกตัวนี้สามารถรักษาโรคของมนุษย์ที่ค่อยๆแข็งตัว, มะเร็ง, โรคเอดส์, โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, โรครูมาตอยด์และโรคอัลไซเมอร์ตามลำดับ อย่าประมาทการใช้ก๊าซสมุนไพร ในระยะแรกของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เช่นที่ลู่หนานเป็น มีเพียงร่องรอยของก๊าซที่ใช้รักษามะเร็งเท่านั้นที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งทั้งหมดในร่างกายของเขา


เดิมเฉินหลงสามารถใช้ยาได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ แต่เพื่อไม่ให้สงสัยเขาจึงทำเข็มหนึ่งชุด


“คุณลู่ตอนนี้ผมจะใช้เข็มนะ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายคุณบอกได้” เฉินหลงหยิบเข็มเงินออกมาและพูดกับลู่หนานผู้ซึ่งนอนอยู่บนเตียง หลับตาอยู่


ลู่หนานพยักหน้าด้วยความสงบ


จากนั้นเฉินหลงปักเข็มเข้าไปในร่างกายของลู่หนาน


ด้วยความช่วยเหลือของการตัดเลือดและระบบอัจฉริยะ เฉินหลงมีความเข้าใจร่างกายมนุษย์มากกว่าแพทย์อายุหลายสิบปี


แม้ว่าผู้สูงอายุจะมีสุขภาพที่ดี พวกเขาจะมีปัญหาเล็กน้อย เฉินหลงไม่ได้รักษามะเร็งของลู่หนานด้วยพลังฉีในทันที แต่เขาใช้เข็มเงินเพื่อแทงผ่านช่องทางที่ถูกปิดผนึกอย่างช้า ๆ ในร่างกายของลู่หนาน


เมื่อช่วยเปิดทางเลือดให้ลู่หนานได้แล้ว ใบหน้าของลู่หนานแสดงความรู้สึกสบายราวกับว่าภาระที่เคยแบกรับไว้อยู่ของเขาได้บรรเทาลงแล้ว


หลังจากอยู่ในการรักษาครึ่งชั่วโมง เฉินหลงก็ใส่ยารักษามะเร็งไว้ในร่างกายของลู่หนานด้วยเข็มเงิน


ทันทีที่ยาเข้าสู่ร่างกายของลู่หนาน ยาตัวนี้ก็รีบวิ่งไปที่ท้องราวกับว่าเซลล์มะเร็งนั้นเป็นอาหารจานอร่อย


หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ก๊าซที่อยู่บนกระเพาะอาหารของลู่หนานทั้งหมดก็ทำการล้างเซลล์มะเร็ง


ในที่สุดยาพลังฉีก็ถูกนำตัวออกจากร่างกายของลู่หนานโดยเฉินหลง และมาอยู่ที่ปลายนิ้วชี้ของเฉินหลง แก๊สยานี้เข้าไปผสมกับเซลล์มะเร็งแล้วและไม่สามารถนำใส่เข้าสู่ร่างกายของเขาได้


อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีคุณค่า มีวิธีในหนังสือเพื่อปรับยานี้ให้เป็นยาพิษ


ตอนนี้เฉินหลงกำลังปรับแต่งก๊าซยาตัวนี้ด้วยพลังของเขาเอง


ในไม่ช้าก๊าซที่ปลายนิ้วของเขาก็เปลี่ยนเป็นเม็ดเล็กสีดำขนาดเท่าถั่วเหลือง


เฉินหลงหยิบขวดเล็กออกมาแล้วใส่ยาเม็ดเล็ก ๆ ลงไป เม็ดเล็ก ๆ ดูไม่เหมือนเรื่องใหญ่ แต่มันมีพลังมาก ตราบใดที่ใครก็ตามกินเซลล์มะเร็งเข้าไป มะเร็งก็จะพบเจ้าของคนใหม่


นำขวดเล็กใส่กลับไปในกระเป๋าของเขาเฉินหลงให้ลู่หนานลุกขึ้น


“คุณรู้สึกยังไงบ้างครับคุณลู่หนาน” เฉินหลงถาม


“ดีมาก ดีมาก ฉันไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย เสี่ยวเฉินคุณเป็นผู้ช่วยชีวิตของฉัน” ลู่หนานรู้สึกประหลาดใจที่จะกล่าวว่าการรักษาของเฉินหลงได้รักษาโรคเรื้อรังของลู่หนานแล้ว แน่นอนลู่หนานรู้สึกว่าทั้งชีวิตของเขาผ่อนคลาย


“คุณลู เซลล์มะเร็งของคุณได้ถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้สิ่งที่คุณต้องทำคือใส่ใจกับอาหารที่ถูกสุขลักษณะหรือทำงานและพักผ่อน” เฉินหลงอธิบาย “ถึงเวลาที่เราจะออกไปข้างนอก แล้ว คิดว่าทุกคนน่าจะรอคุณอยู่”


จากนั้นเฉินหลงและลู่หนานออกจากห้องรักษา


เมื่อเฉินหลงและลู่หนาน ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสี่คน เห็นได้ว่าสีหน้าของวานเจียและทั้งสี่ มีความคาดหวังมาก และวิตกกังวล


“มันไม่ใช่เรื่องยาก” เฉินหลงไปยังพวกเขาและมีรอยยิ้มอีกปรากฏบนใบหน้าของเขา


“จริงเหรอ? เยี่ยมมาก” หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินหลงวานเจียร้องไห้ต่อหน้าลู่หนานด้วยความดีใจ


ลู่หนานกอดวานเจียไว้ คราวนี้ลู่หนานรอดจากความตาย พวกเขาจึงตื่นเต้นกันมาก


หลังจากชั่วครู่หนึ่ง ลู่หนานก็เดินออกจากวานเจียมา


ยังมีคนหนุ่มๆสาวๆอยู่ที่นี่นะ ลู่หนานรู้สึกเริ่มเขินอายแล้ว


“ปู่ของฉันดีแล้วจริงๆเหรอ?” ลู่เชียงเดินไปที่เฉินหลงและถามด้วยเสียงโทนต่ำ


แม้ว่าลู่เชียงหวังว่าปู่ของเธอจะโอเค แต่ในฐานะนักศึกษาแพทย์เธอไม่เชื่อว่าเฉินหลงใช้เวลาเล็กน้อยในการรักษาโรคมะเร็งของปู่ของเธอ แม้ว่าเธอจะเข้ากับเฉินหลงได้ดีขึ้นแล้ว แต่เธอก็รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาและรู้ว่าเขาจะไม่พูดอะไรที่เกินจริง


TB:บทที่ 107 เจ้านายหล่อมาก


ถ้าคุณไม่เชื่อคุณสามารถพาคุณปู่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายได้ เฉินหลงกล่าวว่า


จากนั้นจงใจทำให้ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวราวกับว่าการรักษาของลู่หนานนั้นมีการบริโภคจำนวนมากและจากนั้นไปที่ลู่หนาน, “คุณลู่ รอสักครู่ คุณไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบว่าคุณเป็นอย่างไรบ้างก่อน หากหายแล้วผมจะกลับไปพักผ่อนก่อน “


“เสี่ยวเฉิน ฉันรู้ว่าคุณไม่สามารถแสดงความขอบคุณต่อเราได้ด้วยการพูดขอบคุณ แต่ฉันยังคงอยากจะขอบคุณ” ลู่หนานมองที่เฉินหลงอย่างจริงใจ


เฉินหลงยิ้มพยักหน้าให้เขาแล้วออกจากตระกูลลู่


หลังจากเฉินหลงไปแล้ว ลู่เชียงพาลู่หนานไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ผลก็คือเซลล์มะเร็งในร่างกายของลู่หนานได้หายไปอย่างสมบูรณ์


ผลลัพธ์นี้ทำให้โรงพยาบาลประหลาดใจ เมื่อสองวันก่อนมีเซลล์มะเร็ง แต่ตอนนี้เซลล์มะเร็งหายไปหมดแล้ว หากเรารู้ว่าเหตุผลคืออะไรมันจะเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่สำหรับประวัติศาสตร์การแพทย์ของมนุษย์


แน่นอนครอบครัวของลู่รู้ว่าความสำเร็จของลู่หนานนั้นไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเครดิตของเฉินหลง ตามธรรมชาติแล้วลู่หนานจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองและให้เขา 100 ล้านหยวน


หลังจากรู้ว่าเซลล์มะเร็งทั้งหมดในร่างกายของปู่ของเธอหายไป ลู่เชียงก็อยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเฉินหลง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาหายจากโรคมะเร็งโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย แม้ว่าจะเป็นมะเร็งระยะแรก แต่การแพทย์ก็ควรจะสนใจสิ่งนี้


“ปู่ เฉินหลงรักษาปู่ได้อย่างไร” หลังจากกลับถึงบ้านแล้วลู่เชียงถาม


“ฉันจำได้ว่าเขาใช้เข็มเงิน ดูไม่ออกเลยว่าเขายังเด็ก แต่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตำราโบราณมาก แต่ยังสามารถคิดค้นเครื่องจักรเพื่อควบคุมฝุ่นเขายังรู้วิธีใช้เข็มเงิน ช่างเป็นคนอัจฉริยะจริงๆ”ลู่หนานยอเขาไม่ขาดสาย


ลู่หนานเคยเชื่อใครในชีวิตของเขา แต่เขาเชื่อเฉินหลงในครั้งนี้


“ด้วยเข็มเงินหรือไม่ก็ยาจีนโบราณนี่ดีจริง ๆ จริงไหม” ลู่เชียงรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินว่าเฉินหลงได้รักษามะเร็งของลู่หนานด้วยเข็มเงิน


“เรามีอารยธรรมเป็นพัน ๆ ปีแล้วการแพทย์แผนจีนนั้นทรงพลังอย่างมาก แต่ในหลายพันปีมันก็สูญเสียความสำคัญบางอย่างไปดังนั้นจึงดูเหมือนว่ายาตะวันตกไม่ได้ทรงพลังมากนักดูเหมือนว่ายาจีนของเราสามารถพกพาไปได้  ” ลู่หนานเป็นคนจริงจัง


“ทราบแล้วค่ะ ปู่ หนูออกไปก่อนนะ” ลู่เชียง พยักหน้าและพูด


เนื่องจากเรารู้จักพลังอันแข็งแกร่งของเฉินหลงแล้ว เราจึงปล่อยเขาไม่ได้


ในโรงพยาบาล ครอบครัวลู่ไม่ได้บอกว่าทำไม แต่ก็มีบางคนยังรู้เกี่ยวกับเรื่อง


คนเหล่านี้ รวมถึงตระกูลซ่ง


หลังจากทราบข่าวของเฉินหลงแล้ว ซ่ง เทียนเจียก็นั่งสมาธิ


ดังที่เกาเฟิงเสี่ยวกล่าวว่าครอบครัวซ่งไม่เคยตั้งใจจะปล่อยเฉินหลง พวกเขาเฝ้าระวังเขาอย่างลับๆพยายามหาข้อบกพร่องเมื่อเกิด “เครื่องกำจัดฝุ่น” เท่านั้น


และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซ่งเทียนเจียผู้มีข้อสงสัยในที่สุดก็ยืนยันว่าจะต้องมีการเพ่งเล็งไปที่เฉินหลงให้มากขึ้น สงสัยมีผู้สนับสนุนที่มีอำนาจมากๆอยู่เบื้องหลังเขาแน่ๆ ทำให้เฉินหลงคิด “เครื่องกำจัดฝุ่น” และรักษามะเร็งของลู่หนานได้


“เครื่องกำจัดฝุ่น” เป็นเรื่องที่ตระกูลซ่งไม่ใส่ใจหรือสนใจในตัวเฉินหลงเท่าไร แต่หลังจากที่เฉินหลงมีทักษะนี้ เหตุการณ์จะเปลี่ยนไป


เพื่อสนับสนุนเขา ด้วยเหตุนี้เฉินหลงจึงสามารถสร้าง “เครื่องกำจัดฝุ่น” และรักษาโรคมะเร็งของลู่หนานได้


เฉินหลงสามารถสร้างมิตรภาพกับกองกำลังบางอย่างที่เปรียบได้กับตระกูลซ่งของตัวเองเช่นตระกูลใหญ่อีกสามตระกูล


ยิ่งอายุมาก ยิ่งจะเกิดปัญหา แม้แต่คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มีคนแก่บางคนในตระกูลซ่งซึ่งกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ หากคุณสามารถปล่อยให้เฉินหลงรักษาพวกเขา แต่ ซ่ง เทียนเจีย รู้ว่าได้แค่คิด แม้ว่าตระกูลซ่งจะต้องก้มหัวเพื่อเชิญเฉินหลงมา เขาก็ไม่มาแน่นอน


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซ่ง เทียนเจียก็ปวดหัวอีก


ครั้งก่อนที่เฉินหลงมาที่บ้านครอบครัวซ่ง ก็ทำให้เขาปวดหัวแล้ว เขาคิดว่า เขาจะแก้ปัญหาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาไม่ได้คิดว่าจะปวดหัวมากขึ้นกว่านี้


หลังจากคิดมาระยะหนึ่งแล้ว ซ่ง เทียนเจียได้ตัดสินใจที่จะทำความรู้จักกับเฉินหลง


ในไม่ช้าก็มีคำสั่งออกมา


ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังอันทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังเฉินหลง ทักษะทางการแพทย์ของเฉินหลงหรือความจริงที่ว่าตอนนี้เขามีสัญลักษณ์ “กลุ่มซีโร่” ซ่งเทียนเจียไม่ต้องการยุ่งกับเฉินหลงอีกต่อไป


มันไม่ใช่แค่ว่าสมาชิกของหน่วยงานย่อยหลายแห่งถูกโจมตีหรือ แค่ต่อสู้ ใครจะไม่ถูกตีกัน สำหรับตระกูลซ่ง เมื่อตระกูลซ่งได้รับประโยชน์มากขึ้น ใครจะสนใจเรื่องนี้


หลังจากที่ตระกูลซ่งรู้จักข่าวของเฉินหลงแล้ว กลุ่ม “ซีโร่” ก็รู้ แต่ความคิดของพวกเขาแตกต่างจากของตระกูลซ่ง สมาชิกของพวกเขามีความสุขมากที่พวกเขาสามารถรับสมัครเฉินหลงภายใต้คำสั่งของพวกเขา


ในทำนองเดียวกันตระกูลใหญ่อีกสามแห่งในเมืองหลวงก็รู้ถึงความสามารถของเฉินหลงและพวกเขาก็เริ่มส่งผู้คนอย่างช้า ๆ เพื่อติดต่อเฉินหลง


หลังจากออกจากตระกูลลู่ แล้วเฉินหลงก็ขับรถไปที่บริษัทของเขา และบอกว่านี่เป็นบริษัท ของเขาเอง อย่างไรก็ตามหลังจากการดำเนินการมาหลายวันหัวหน้า ก็คือเขานั่นเอง ไม่เคยไปที่ บริษัทเลย


เฉินหลง มีฉายาที่เรียกกันใน บริษัท ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่า เว่ยหลง เพราะชื่อนี้ หมายถึงการทำให้ บริษัท เป็น บริษัท ที่มีอำนาจมากที่สุดในในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่อยู่ของ บริษัท ตั้งอยู่ที่ชั้น 25 ของอาคารสำนักงานในซานโถว


การขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 25 เฉินหลงเดินไปที่ บริษัท ของเขา


ด้านนอกของแผนกต้อนรับส่วนหน้าเป็นสีเขียวและผนังด้านหลังเป็นสีเขียว สีเขียวสองชนิดไม่เหมือนกันและจะเข้ากันได้ดีเมื่อผสมกัน


บนผนังด้านหลังเป็นโลโก้ของ บริษัท เทคโนโลยี เว่ยหลง โลโก้เป็นมังกรบินสีทอง


“สวัสดีคุณได้นัดไว้ก่อนหรือไม่คะ?” ที่ด้านหน้าของแผนกต้อนรับนั่งเป็นสาวสวย เมื่อเห็นเฉินหลงมาเธอลุกขึ้นยืนและพูดอย่างสุภาพ


“อยากให้นัดหรือ งั้นโทรหาคุณเจิ้งและบอกเขาว่าผมรู้จักผู้จัดการเจิ้ง” เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม


ครั้งนี้ คิดว่าอยากจะให้บริษัทได้เห็น ผมตั้งใจจะมาวัดระบบคสามปบอดภัยกับเจิ้งอี้ เขาไม่ได้บอกเจิ้งอี้ล่วงหน้า


หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หญิงสาวโทรเรียกเจิ้งอี้ และพูดอะไรสักอย่าง


ในไม่ช้าเจิ้งอี้ก็ออกมา หลังจากได้ยินคำอธิบายของหญิงสาวเจิ้งอี้รู้ว่าเป็นเฉินหลง แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้เฉินหลงรอ


“เสี่ยวหวัง นี่คือคุณเฉินของบริษัทเรา ไม่ใช่คนนอก ไม่จำเป็นต้องนัดหมาย” เจิ้งอี้บอกหญิงสาวที่แผนกต้อนรับถึงอัตลักษณ์ของเฉินหลง


“คุณเฉิน” เสี่ยวหวังพูดด้วยความอาย


เมื่อเธอเข้ามาในบริษัท เธอได้ยินว่าเจ้านายของบริษัทนั้นเป็นชายหนุ่มและหล่อเหลา แต่เธอไม่เคยพบเขาเลย เธอไม่ได้คาดหวังที่จะพบเขาเป็นครั้งแรกในวันนี้และเกือบจะไม่สนใจเขา เจ้านายเฉินหล่อมากจริงๆ


TB:บทที่ 108 สิ่งที่สวยงาม


“ ไม่เป็นไร ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานที่ไร้เดียงสาหรือไม่ คุณเป็นพนักงานที่ขยันขันแข็ง ผมชอบมาก”


หลังจากชื่นชมเสี่ยวหวัง เฉินหลง และเจิ้งอี้ ก็เดินไปที่ บริษัท


หลังจากที่เฉินหลงชม เสี่ยงหวังก็เต็มไปด้วยความสุข พอเธอได้สติขึ้นมานั้น เฉินหลงก็เข้ามาในบริษัทแล้ว


เช่นเดียวกับบริษัททั่วไป บริษัทนี้มีคอมพิวเตอร์ในสำนักงานหลายสิบเครื่อง แต่ไม่มีพนักงานคนใดนั่งอยู่ข้างหน้าพวกเขา


ไม่มีทาง บริษัท ก่อตั้งมาเพียงประมาณหนึ่งเดือนและเราจะค่อยๆพบความสามารถเหล่านั้นได้อย่างช้าๆเท่านั้นเอง


พอมาถึงสำนักงานของ เจิ้งอี้ ซวีหมิงเหม่ยกำลังรออยู่ข้างในดูเฉินหลงเข้ามาและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว


“นั่งลงและพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนาในอนาคตของ บริษัท หน่อยสิ ” เฉินหลงนั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งผู้จัดการของเจิ้งอี้ และพูดตรงๆ


ในห้องนี้ เจิ้งอี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ของเขา ซวีหมิงเหม่ยเป็นหุ่นยนต์ที่ออกแบบโดยเฉินหลง เฉินหลงไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ แล้วใครจะนั่ง


“หัวหน้า สิทธิบัตรของ” หน้ากากป้องกันฝุ่นส่วนบุคคล “จะนำไปใช้เมื่อโรงงานเสร็จสมบูรณ์เราสามารถผลิตได้” เจิ้งอี้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดกับเฉินหลง


“หน้ากากป้องกันฝุ่นส่วนบุคคล” สามารถทำได้ หรือทำไมไ่ด้  “เครื่องกำจัดฝุ่น” ปริมาณการขายอุปกรณ์จะไม่มากอย่างแน่นอนดังนั้นตอนนี้เรากำลังจะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ ” เฉินหลงหยิบชิปตัวเล็กออกมาชิปตัวนี้มีโปรแกรมระบบภาพเสมือน เฉินหลงขี้เกียจเกินกว่าที่จะดูว่าใช้โปรแกรมอะไร แล้วก็โยนไปที่เจิ้งอี้


สำหรับสิทธิบัตรของ “หน้ากากป้องกันฝุ่นส่วนบุคคล” ให้ถือว่าเป็นเกียรติแก่ บริษัท ที่เราจะนำมาประดับแขวนอยู่บนผนัง


“นี่คืออะไร?” เจิ้งอี้ถาม


“โปรแกรมระบบภาพเสมือนจริงระบบภาพเสมือนจริงนี้ใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปีข้างหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัยหากโปรแกรมนี้ถูกสร้างขึ้น บริษัท ของเราจะทำกำไรแน่นอนคุณมีรูปลักษณ์ก่อนแล้วจึงวางแผน


เฉินหลงมีความมั่นใจมากเกี่ยวกับระบบภาพเสมือนจริงนี้และเขาก็มีความมั่นใจมากในเจิ้งอี้ ไม่งั้นยาเม็ดปัญญาคงจะไม่มีประโยชน์กับเจิ้งอี้


เจิ้งอี้หยิบชิปบนแล็ปท็อปของเขาเพื่ออ่านเนื้อหาของชิป


เมื่อเจิ้งอี้อ่านเนื้อหาของชิปเฉินหลงก็ยืนอยู่ข้างหลังเขาและมองดู แม้ว่าเขาจะมีระบบอัจฉริยะของเขาเองเพื่อช่วยเขาเฉินหลงรู้สึกเหมือนเขากำลังอ่านหนังสือแห่งสวรรค์


อย่างไรก็ตามเจิ้งอี้พยักหน้าบ่อย ๆ ดูเหมือนว่าสติปัญญาระดับสูงก็มีประโยชน์เช่นกัน


ครึ่งชั่วโมงต่อมา เจิ้งอี้ยืนขึ้นและมองเฉินหลงด้วยสีหน้าตื่นเต้น “หัวหน้า ระบบการถ่ายภาพเสมือนนี้น่าทึ่งจริงๆคุณตัดสินใจที่จะโปรโมทให้ทั่วโลกหรือไม่?”


หลังจากได้เห็นระบบการถ่ายภาพเสมือนในชิป เจิ้งอี้รู้ว่านี่ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างยุคสมัยแน่นอน หากเปิดตัวผลกระทบจะยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้และอาจจะเปลี่ยนรูปแบบของโลกในทุกวันนี้


หากมีวิธีที่จะทำให้ง่ายขึ้นให้ลบฟังก์ชั่นการออกกำลังกายและการเรียนรู้หรือไม่ก็สามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการเท่านั้นมันจะดีกว่า”


เฉินหลงแน่นอนรู้ว่าระบบการถ่ายภาพเสมือนนั้นทรงพลังมาก แต่เพื่อให้ได้เงินจำนวนมากและไม่สามารถอนุญาตให้ชาวต่างชาติเหล่านั้นใช้ฟังก์ชั่น นิวบี ได้เขาสามารถแก้ไขโปรแกรมได้เท่านั้น


“บอสโปรแกรมของระบบถ่ายภาพเสมือนนี้มีความซับซ้อนมากหากจำเป็นต้องแก้ไข ผมกลัวว่าจะใช้เวลาสองสามเดือน ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยก็คงจะเร็วขึ้นมาก” เจิ้งอี้พูดอย่างจริงจัง


“ฉันหาเอง แค่ขอให้จำไว้ว่า ให้ทำทุกอย่างให้เรียบง่าย และให้ประเทศจีนใช้ฟังก์ชั่นเหล่านั้น เฉินหลงเกิดขึ้นพร้อมกับความคิดที่ว่าเขาสามารถรับความสามารถบางอย่างโดยไม่ต้องใช้เงิน


หลังจากนั้นเฉินหลงขอให้เจิ้งอี้คืนโปรแกรมระบบภาพเสมือนจริงให้กับตัวเองและออกจาก บริษัท


สำหรับธุรกิจของ บริษัท นั้นขึ้นอยู่กับเจิ้งอี้และซวีหมิงเหม่ย


หลังจากออกจาก บริษัท เฉินหลงติดต่อเกาเฟิงเสี่ยว ด้านข้างของเขามีเครื่องจักรขนาดใหญ่หรือไม่? ให้เขาช่วยเขาด้วยอุตสาหกรรมขนาดเล็ก แต่ก็โอเค


ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาพวกเขาไม่จำเป็นต้องขายให้กับรัฐก่อน


“คุณเฉิน คุณอยากให้ผมทำอะไร หากไม่คุยทางโทรศัพท์ ก็ให้ผมมาและนัดกัน” เกาเฟิงเสี่ยวขับรถ BMW ไปที่ลานจอดรถในพื้นที่ หลังจากเห็นเฉินหลง เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย


“นำสิ่งนี้กลับมาและค้นหาคนที่รู้วิธีอ่านเราจะพูดถึงสิ่งนี้หลังจากอ่านแล้ว” เฉินหลงส่งชิปตัวเล็กด้วยชิ้นส่วนของโปรแกรมระบบถ่ายภาพเสมือนให้กับเกาเฟิงเสี่ยวดู


เมื่อเห็นชิปในมือของเขาและเฉินหลงนั่งอยู่ในรถอีกครั้ง เกาเฟิงเสี่ยวก็งงมาก เขาเรียกตนเองมาดูชิปนี้หรอ


เกาเฟิงเสี่ยวยังคงเอาชิปกลับไปและใส่กับอัจฉริยะคอมพิวเตอร์ชื่อ “ไคเหมินเจ่อ” ในแผนกเพื่อตีความเนื้อหา


เมื่อ “ไคเหมินเจ่อ” เห็นเนื้อหาของชิปเขาก็ตกใจกับโปรแกรมขั้นสูงในทันที


“เป็นไปได้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยมันวิเศษมาก” หลังจากเห็นความเป็นไปได้ของโปรแกรมแล้ว “ไคเหมินเจ่อ” เขาก็ตื่นเต้นทันที


หลังจากความตื่นเต้น “ไคเหมินเจ่อ” นึกถึงเกาเฟิงเสี่ยวผู้ให้ชิป และไปหาเขา


“มีอะไรที่ดีในนั้นหรือไม่” เมื่อเห็น “ไคเหมินเจ่อ” มองหาตัวเขาเองเกาเฟิงเสี่ยวพูดพร้อมกับยิ้ม


“บอกฉันทีว่าใครมอบให้คุณบ้าง?” ไคเหมินเจ่อตื่นเต้นมากจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง


“เฉินหลงให้มา เป็นสมาชิกใหม่ของแผนกน่ะ แล้วนี่ตกลงแล้วสิ่งนี้คืออะไร”


เกาเฟิงเสี่ยวมองดูความตื่นเต้นของ “ไคเหมินเจ่อ” และอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในชิปทันที


“มันเป็นโปรแกรมที่สามารถเปลี่ยนอนาคตของเราตอนนี้ได้ เขาอยู่ที่ไหนแล้วพาฉันไปหาเขา”


“ไคเหมินเจ่อ” แทบรอไม่ไหวที่จะพบเฉินหลงเพราะมันเป็นระบบภาพเสมือนจริง


ดูเหมือนว่าเฉินหลงได้มอบสิ่งวิเศษสุดแก่เขา งั้นเราไปหาเขาตอนนี้กัน


ยังคงเป็นที่จอดรถ แต่คราวนี้มีเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง


หลังจากออกจากรถ “ไคเหมินเจ่อ” ไปที่มุมหนึ่งแล้วก็อาเจียน ดูเหมือนว่าเขาจะเมารถ


“พี่เฉินสามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ ในโปรแกรมนี้ได้จริงหรือ” หลังจากอาเจียน “ไคเหมินเจ่อ” ก็ทำหน้าซีดและมองเฉินหลงและถาม


“ แน่นอนตอนนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือในการทำให้กระบวนการง่ายขึ้น”


จากนั้นเฉินหลงพูดคุยเกี่ยวกับระบบภาพเสมือนจริงอีกครั้งและหยิบยกแนวคิดของเขาเอง


สิ่งที่ดีเช่นนี้ไม่สามารถสั่งซื้อได้ราคาถูกสำหรับชาวต่างชาติ


“ฉันเข้าร่วมด้วย เอาฉันด้วย ถ้าคุณต้องการใครสักคน ฉันสามารถขอให้เพื่อนของฉันมาหลังจากได้ยินความคิดของเฉินหลง “ไคเหมินเจ่อ”เห็นด้วยทันที


ผลิตภัณฑ์ทำยุคนี้หากคุณสามารถรักษาชื่อเสียงของคุณไว้ได้ ก็จะเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ


TB:บทที่ 109 สวนจักรพรรดิ์


ชื่อของ “ไคเหมินเจ่อ” คือเย่ข่ายซึ่งมีชื่อเหมือนกับตัวละครของ กู หลง ต้า อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถบินด้วยมีดได้ แต่มีสิ่งเดียวกับเย่ข่าย คือ ตราบใดที่เขาโจมตีเซิร์ฟเวอร์หรือแพลตฟอร์ม เขาจะเป็นเหมือนมีดบินเลยล่ะ ซึ่งเป็นมีดในมือของเย่ข่ายและยิงเป้าหมายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


เย่ข่ายและเกาเฟิงเสี่ยวมาที่ บริษัท ของเฉินหลง เขาจึงแนะนำให้เจิ้งอี้และซวีหมิงเหม่ยรู้จัก


หลังจากรู้ว่าโปรแกรมอยู่ในมือของเจิ้งอี้ เย่ข่ายก็เข้า”ประชิด” เจิ้งอี้ ทันที


“คุณเฉิน โปรแกรมอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นมาก” เกาเฟิงเสี่ยวเห็นเย่ข่ายที่ตื่นเต้นบางอย่างแสดงออกอย่างงงงวย


คุณรู้นี่ เย่ข่ายเป็นคนที่มักจะขอให้เขาทำอะไรซักอย่าง เขามักจะแสดงออกว่า “ให้อัจฉริยะของเขาทำสิ่งปัญญาอ่อนนี้อีกครั้ง” แต่คราวนี้เฉินหลงใช้โปรแกรมสั้น ๆ เพื่อให้เย่ข่ายแสดงความบ้าคลั่งออกมา ไม่จำเป็นต้องมีช่องว่างขนาดใหญ่เช่นนี้


“แน่นอนว่า ทุกที่มีเวทมนตร์นะคุณเกา คุณควรรู้ว่าค่าร่างกายของคนในประเทศจีนนั้นไม่ดีเท่าคนต่างชาติ นี่เป็นความจริงที่ว่าเราไม่สามารถหักล้างได้ในขั้นต้นอาจใช้เวลานานกว่าเพื่อจะเปลี่ยนสิ่งนี้ แต่ด้วยโปรแกรมนี้ สมรรถภาพทางกายของผู้คนแห่งสวรรค์จะดีขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นคุณคิดว่านี่สามารถทำให้เขาเป็นแบบนี้ เฉินหลงได้อธิบายสั้น ๆ


“โปรแกรมนั้นสามารถปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายของผู้คนได้จริงหรือ” ดวงตาของเกาเฟิงเสี่ยวเบิกกว้าง


โปรแกรมหนึ่งสามารถปรับปรุงสมรรถภาพทางกายของผู้คนซึ่งเรียกได้ไกลเกินไป


เฉินหลงหัวเราะและไม่พูด ไม่ว่าเขาจะบอกว่าตอนนี้มันไม่เป็นประโยชน์เท่าที่พูดกับข้อเท็จจริงเมื่อผลิตภัณฑ์ออกมา


ในเวลานี้เจิ้งอี้ปล่อยให้เย่ข่ายเห็นขั้นตอนส่วนใหญ่ของระบบภาพเสมือนจริง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดถูกสงวนไว้


ท้ายที่สุดหัวใจของผู้คนก็ยากที่จะทำนายได้ ใครจะรู้ว่าเย่ข่ายจะทำอะไรหลังจากดูรายการแล้ว บางทีเขาอาจจะทุ่มเทให้กับประเทศในขณะนี้ แต่ในอนาคตใครจะรู้ดังนั้นเฉินหลงและเจิ้งอี้จะไม่รับความเสี่ยงนี้


“คุณเฉิน ถ้าโปรแกรมนี้มีค่ามากมันไม่ปลอดภัยที่จะปล่อยให้อยู่ที่นี่เหรอ?” เกาเฟิงเสี่ยวคิดถึงความปลอดภัยของโปรแกรม


“คุณเกา ตราบใดที่เราไม่พูดออกไป ใครจะรู้” เฉินหลงกล่าวว่า


เกาเฟิงเสี่ยวถูกต้องที่จะคิดเกี่ยวกับมัน แต่เรื่องยังคงต้องมีการรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา ดังนั้นเกาเฟิงเสี่ยวและเฉินหลงพูด และออกจาก บริษัท


เฉินหลงรู้ว่าเกาเฟิงเสี่ยวอยากรายงานต่อไปเมื่อเขาจากไป ท้ายที่สุด ก็เป็นการดี ที่จะให้คนชั้นนำทราบเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ เฉินหลงเดิมต้องการขายให้กับรัฐ เขาบอกประเทศผ่านปากของเกาเฟิงเสี่ยวว่าเขาสามารถขายในราคาที่ดี ทำไมจะไม่ล่ะ


หลังจากนั้นเฉินหลงกำลังรอการตอบกลับของเกาเฟิงเสี่ยวใน บริษัท


และเย่ข่ายและเจิ้งอี้ คนสองคนเริ่มศึกษาวิธีทำให้โปรแกรมง่ายขึ้นหรือทำเป็นหลายๆรุ่นออกมา


เกาเฟิงเสี่ยวไม่ขอให้เฉินหลงรอนาน หลังจากหนึ่งชั่วโมงเขากลับไปที่ บริษัท และเอาเฉินหลง, เจิ้งอี้, เย่ข่าย และเอาโปรแกรมไปวาง


เมื่อเห็นสถานที่นี้เฉินหลงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะสถานที่แห่งนี้เป็น “สวนแห่งจักรวรรดิ” ที่ไกลเกินเอื้อมของคนทั่วไป


“สวนจักรพรรดิ์” ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์พระราชวังอิมพีเรียลและทางใต้ของสะพานอ้าวหยู่ ครอบคลุมพื้นที่ 1,500 ม. รวมถึงผิวน้ำ 700 มม. เป็นหน่วยพิทักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ มันเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อซีหยวน ก่อนการปลดปล่อย “สวนหลวง” เป็นสถานที่สำหรับจักรพรรดิศักดินามาเยี่ยมและเยี่ยมชมอยู่เสมอ ทิวทัศน์หลักรวมถึง ซี่เกือง พาวิลเลียน คินเชงฮอลล์, สวนกล้วย, ศาลาชูอิยุน, หยิงตาย เฟิงแซหววน และ จิงกุ


ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่อาศัยของผู้นำสูงสุดสัญลักษณ์และคำสรรพนามของอำนาจการบริหารสูงสุดและสถานที่ลึกลับสำหรับโลก


รถขับรถข้ามสะพานถ้ำอ้าวหยู่สีทองไปทางกำแพงสีแดงอย่างช้าๆ


เมื่อพวกเขามาถึงกำแพงสีแดง เกาเฟิงเสี่ยวและเฉินหลงลงจากรถ


ทันทีที่เขาลงจากรถ เฉินหลงรู้สึกว่ามีดองตานับพันจ้องเขาอยู่ว่าหากเกิดเขามีการกระทำที่ไม่เหมาะสม เขาจะโดนจับแน่


ในขณะนี้เครื่องตรวจจับเฉินหลงนอกจากนี้ยังอาจกล่าวได้ว่าระบบอัจฉริยะชี้ตำแหน่งของผู้ที่ล็อคตัวเอง


ทันใดนั้นเฉินหลงก็ให้คิดซุกซน ทันใดนั้นเขาก็หันหัวของเขาและแสดงรอยยิ้มที่ตำแหน่ง 90 องศาซ้ายของเขา


ในตำแหน่งนั้น ผู้ชายที่มีปืนซุ่มยิง เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มจากเฉินหลงจากสายตาเขาก็รู้สึกตื่นเต้น เขาเกือบจะยิงเฉินหลง อย่างไรก็ตาม การอบรมด้วยความเข้มข้นสูงทำให้เขายังระงับอารมณ์ของเขาไว้ได้


“หัวมังกรของฉันถูกพบแล้ว” แน่นอนว่าชายคนนั้นรู้ว่าเฉินหลงเห็นเขา เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจะรายงานเบื้องบนเท่านั้น


“แปด ไม่ต้องห่วงมากขนาดนั้นรักษาตำแหน่งของคุณไว้” เสียงมาจากชุดหูฟังของชายคนนั้นสั่งให้เขาอยู่ที่ไหน


คนที่สั่งก็ทำอะไรไม่ถูกด้วยเช่นกันเพราะเขาได้รับรายงานจากสมาชิกทุกคนในทีม ข่าวทั้งหมดคือว่าเขาได้รับการค้นพบ ในทำนองเดียวกันเขาเห็นเฉินหลงหัวเราะ ถ้าเขาไม่รู้ว่าเฉินหลงเป็น “กลุ่มซีโร่” เขาจะน่าสงสัย


“กลุ่มซีโร่” พวกนั้นแข็งแกร่งจริงๆคนที่สั่งไม่คิดอะไรเลย


“ตอนนี้ฉันกำลังดูอะไรอยู่?” เกาเฟิงเสี่ยวมองเฉินหลง


ตอนนี้เกาเฟิงเสี่ยวเห็นเฉินหลงจากซ้ายไปขวาและบางครั้งเขาก็แสดงรอยยิ้มเหมือนคนบ้า เขาเห็นเกาเฟิงเสี่ยวแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม


“ไม่มีอะไรนอกจากคำทักทาย” เฉินหลงยิ้ม


เห็นเฉินหลงไม่เต็มใจที่จะพูดว่าเกาเฟิงเสี่ยวไม่ถามอีกแล้วและยังคงพาเฉนหลงและทั้งสามคนเข้าไปข้างใน


ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาพวกเขาจะเห็นชายในชุดดำกระจัดกระจายอยู่รอบตัวพวกเขาเป็นครั้งคราว


ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ที่นั่น แต่เมื่อพวกเขาพบว่ามีอันตรายพวกเขาจะกลายเป็นโหมดโจมตีและนักฆ่าอันตราย


เพียงไม่นานเฉินหลงก็มาถึงที่เซนได ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่


หลังจากเกาเฟิงเสี่ยวและเจ้าหน้าที่นอกเมืองเซนไดพูดสองคำ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามารายงานอีกคนกำลังดูเกาเฟิงเสี่ยวสี่คนด้วยความระมัดระวัง


มีผู้รายงานไม่กี่คนออกมาและเปิดประตูเพื่อให้เกาเฟิงเสี่ยวและสี่คนเข้ามา


ในเวลานี้เฉินหลงก็ทักทายทหารสองคนในทันทีและทั้งสองคนก็คารวะให้เฉินหลงโดยไม่รู้ตัว


เฉินหลงยิ้มให้พวกเขาแล้วเดินเข้ามา


ฉันเป็นคนสำคัญอยู่ดีและก็เหมาะสำหรับพวกเขาที่จะแสดงความเคารพตัวเอง


เฉินหลงกับเกาเฟิงเสี่ยวและคนสามคนมาที่ห้องโถงใหญ่ของเซนได


เฉินหลงเข้ามาในห้องโถงหลักของเซนไดผู้นำคนแรกและคนที่สองของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่นั่งคุยกันและหัวเราะในขณะที่ชายชราในวัยห้าสิบของเขายืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังพวกเขา


เมื่อเห็นชายชรา เฉินหลงก็รู้สึกว่าขนลุก


อันตราย ชายชราคนนี้อันตราย อยู่ห่างจากเขา อย่าเป็นศัตรู


เฉินหลงคิดอย่างเดียวหลังจากที่ได้เห็นชายชราคนนี้


TB:บทที่ 110 เอกภาพของมนุษย์และธรรมชาติ


ชายชรามองที่เกา เฟิงเสี่ยว และละสายตาออก แม้ว่าชายชราละสายตาไปแล้ว แต่เฉินหลงก็รู้สึกว่าเขายังถูกจับตามองอยู่


ด้วยความประหลาดใจและความอยากรู้อยากเห็น เฉินหลงมองความแข็งแกร่งของชายชราด้วยเครื่องตรวจจับ มันไม่สำคัญ ชายชราชื่อหวังฮง ชื่อของเขาเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่อาณาจักรของเขามาผู้เปลี่ยนปราณให้เป็นพลังและความแข็งแกร่งของเขาแข็งแกร่งจนเขารุนแรง


เฉินหลงมีความรู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะมีสิ่งประดิษฐ์เพื่อปกป้องตัวเองและหลบหนีแต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าชายชราด้วยสิ่งประดิษฐ์นั้น


แต่เดิมเฉินหลงคิดว่าเขาสามารถเดินในแนวนอนบนโลกด้วยความมีอาวุธครึ่งเทพ แต่เมื่อเขาเห็นชายชราเขารู้ว่าเขาคิดผิด เขาคิดผิดมาก


เมื่อเฉินหลงสำรวจหวังฮง หวังฮงหงุดหงิดเล็กน้อยและมองไปรอบ ๆ อย่างมีความรู้สึกราวกับว่ารู้สึกอะไรบางอย่าง


อย่างไรก็ตามในไม่ช้าการแสดงออกของเขาก็ผ่อนคลายอีกครั้ง


“แข็งแกร่งมาก”


หลังจากเห็นว่าระดับหวังฮง สูงมากจนเขาสามารถตรวจจับได้เอง เฉินหลงกลายเป็นคนซื่อสัตย์ในทันที


อันที่จริงนี่ไม่ใช่ความรู้สึก มันควรจะเรียกว่า “สัมผัสที่หก” สัญชาตญาณของผู้แข็งแกร่ง


“มา นั่งลงสิ” เมื่อผู้นำคนแรกเห็นเฉินหลงและพวกเขาก็มาเขาพูดพร้อมกับยิ้ม


“ทำความเคารพ” ในเวลานี้เฉินหลงก็ยกย่องผู้นำ


เฉินหลงควรยกย่องเขา


“ คุณเฉินหลง. คุณมีความกระตือรือร้นมาก แต่นี่ไม่ได้เป็นขบวนพาเหรดทหารคุณไม่ต้องทักทายก็ได้” ผู้นำคนแรกยิ้มให้เฉินหลง


ดูเหมือนว่าเขาจะประทับใจเฉินหลงเป็นอย่างดี


และผู้นำคนที่สองนั่งถัดจากคนแรกกำลังดูเฉินหลงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา


“เสี่ยวเฉินฉันได้ยินเสี่ยวเกาบอกว่าคุณมีโปรแกรมที่สามารถปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายของมนุษย์ฉันสงสัยว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่” เขาทิ้งรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและเผชิญหน้าอย่างจริงจัง


ครั้งล่าสุดที่เฉินหลงหยิบยก “เครื่องจักรกำจัดฝุ่น” ซึ่งทำให้จีนยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาในโลกและปล่อยให้ชาวอเมริกันอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง สิ่งต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยความแข็งแกร่งโดยรวมของประเทศ


แต่คราวนี้เฉินหลงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของประเทศเขาจึงถือไพ่เหนือกว่าอยู่เป็นการส่วนตัว หากสิ่งต่างๆในมือเฉินหลงสามารถพัฒนาคุณภาพร่างกายของผู้คนได้จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความฝันที่จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจแรกของโลก


ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองหลังจากหลายปีของความกดดันในตัวเอง


“แน่นอน ระบบการถ่ายภาพเสมือนจริงของฉันช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้จิตสำนึกของพวกเขาในการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสมือนจริงและผลการฝึกอบรมจะสะท้อนให้เห็นโดยตรงกับร่างกายของผู้ใช้ในการกล่าวง่ายๆคุณมีความฝันในการฝึกฝน เพื่อค้นหาว่าร่างกายของคุณได้รับการฝึกฝน นอกจากนี้ในระบบยังสามารถเรียนรู้ความรู้ที่หลากหลายสามารถจำลองสภาพแวดล้อมที่หลากหลายในคำหนึ่งคำตราบใดที่คุณคิดคุณสามารถจำลองได้” เฉินหลงอธิบายให้หัวหน้าผู้บริหารฟัง


“ความเข้มสูงสุดคืออะไร” ถามชายคนแรก


ระดับความตายไม่ใช่ความตายในความฝัน เฉินหลงยิ้ม


ได้ยินคำตอบของเฉินหลงผู้นำคนแรกและผู้นำคนที่สองมองกันและกันและพบความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขา


ใช่ ถ้าระบบภาพเสมือนนี้ถูกใช้ในกองทัพความสามารถของทหารในกองทัพจะดีขึ้นอย่างมากและประสิทธิภาพการต่อสู้ของทีมต่อสู้พิเศษจะถูกทำลายโดยทีมพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นอกจากนี้หากโปรแกรมนี้ได้รับความนิยมทั่วประเทศสมรรถภาพทางกายของคนทั้งหมดในประเทศจีนก็จะดีขึ้น ใครกล้าบอกว่าเราคนที่ป่วยของเอเชียตะวันออก


และหวังฮงก็อยากรู้อยากเห็นในตัวเฉินหลงซึ่งเป็นผู้ที่ดูลึกลับมาก


“ระยะทดลองสามารถดำเนินการได้เมื่อใด” หัวหน้าผู้บริหารกล่าวด้วยความตื่นเต้น


ผู้นำของจีนผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต้องการให้มหาจีนเติบโตขึ้นจากโลกและเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อเขามีโอกาสประสบความสำเร็จ


“ ในความเป็นจริงระบบการถ่ายภาพเสมือนสามารถทดลองกับร่างกายมนุษย์ได้ แต่คุณรู้ว่าผมเป็นนักธุรกิจผมจะทำให้มันกลายเป็นเกมเสมือนจริง พวกเขาจะเรียนรู้และไม่รู้ว่ามันสามารถเสริมกำลังร่างกายของพวกเขา แต่พวกเขาสามารถสัมผัสกับเกมที่น่าตื่นเต้นทุกชนิด … “


จากนั้นเฉินหลงกล่าวว่าแผนการของเขาที่จะสร้างเกมโลกที่มีโลกแห่งความจริงเป็นฉากหลัง


ผู้นำทั้งสองไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่เฉินหลงพูด แต่ก็ไม่ง่ายที่จะขัดจังหวะเฉินหลง พวกเขาต้องฟังเฉินหลงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับว่าพวกเขากำลังฟังเรื่องตลก


เย่ข่ายถูกดึงดูดโดยความคิดของเฉินหลง ในฐานะผู้เล่นเกมอาวุโสเขาไม่ได้เล่นเกมหนึ่งพันเกม แต่รวมถึง 800 เกม เฉินหลงกล่าวว่าเกมนี้สนุกและระเบิดได้และเขารู้ว่าเขาทำได้


เราทุกคนเคยได้ยินถึงความไม่พอใจอันยิ่งใหญ่ของโลกใหม่และได้อ่านนวนิยาย บางคนอิจฉาที่อาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอม


ในเวลานี้เกมปรากฏขึ้นซึ่งทำให้ผู้คนอยู่ในโลกแห่งความท้อแท้อย่างยิ่งใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก


ดังนั้นหลังจากฟังคำพูดของเฉินหลง เย่ข่ายกล่าวว่าเขาจะต้องเป็นคนแรกที่เล่นเกมนี้


“เสี่ยวเฉิน เราไม่มีปัญหาใด ๆ กับการพัฒนาเกมที่คุณกล่าวถึงเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยคุณ แต่ฉันหวังว่าคุณจะสามารถส่งระบบภาพเสมือนนี้ไปยังประเทศของเราเพื่อให้ประเทศของเราสามารถเสริมกำลังทหารของเรา ความแข็งแรง” ผู้นำมองไปที่เฉินหลงอย่างระมัดระวัง


เฉินหลงไม่มีความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบภาพเสมือนให้เป็นผู้นำเกม ท้ายที่สุดแล้วระบบการถ่ายภาพเสมือนที่ไม่สามารถเรียนรู้และเพิ่มความแข็งแกร่งได้นั้นรุ่นที่ผ่านขั้นตอนแล้วไม่มีคุณค่าในการใช้งานมากนักสำหรับประเทศ


“ผู้บริหารระดับสูงในฐานะชาวจีนผู้ยิ่งใหญ่มีสิทธิ์ที่จะมอบระบบถ่ายภาพเสมือนให้กับประเทศได้ฟรี แต่อย่างที่คุณรู้ระบบถ่ายภาพเสมือนนี้ก็ทำงานหนักมากหากรัฐสามารถให้ค่าตอบแทนแก่ผมได้ จากนั้นผมยินดีที่จะมอบระบบการถ่ายภาพเสมือนให้แก่ประเทศ “


แม้ว่าเฉินหลงไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน หากคุณไม่ได้แสดงความจริงใจต่อสิ่งที่คุณต้องการจากฉัน ก็ดูไม่เหมือนสไตล์การทำงานของประเทศที่ยิ่งใหญ่


หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินหลง เขาก็ยิ้มออกในทันที


ถ้าเฉินหลงส่งมอบระบบโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย ผู้นำจะเป็นกังวลว่าเฉินหลงมีจุดประสงค์ หรือว่าระบบนั้นเป็นของปลอมหรือไม่ แต่ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเฉินหลงต้องการผลประโยชน์


“ ฮ่า ฮ่า เจ้าหนู ไม่ต้องกังวลอะไร ประเทศเราจะไม่เอาสิ่งของของคุณไปเปล่าประโยชน์ ครั้งสุดท้ายที่เราทำเงินให้คุณ เพื่อกำจัดฝุ่นถึงสองพันล้านหยวน ครั้งนี้เราจะจ่ายให้ระบบสร้างภาพเสมือนจริง สองหมื่นล้านหยวน นอกจากนี้หากคุณไม่ใช่คนสำคัญ คุณจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายพลใหญ่ ฉันไม่ทราบว่าคุณได้สิ่งดีๆมากมายมาจากไหน” ในคำพูดสุดท้ายนี้ ทำให้ผู้นำทุกคนอิจฉาเฉินหลงกันหมด


TB:บทที่ 111 การช่วยเหลือ


“2หมื่นล้าน? เราไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น ลดลงหน่อยก็ได้ครับ” เฉินหลงรู้สึกตะลึงเมื่อได้ยินจำนวนเลขนั้น


พูดตามความเป็นจริง เฉินหลงต้องการให้ระบบภาพเสมือนจริงกับประเทศนี้ ไม่สำคัญว่าจำนวนเงินจะมากหรือน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเฉินหลงก็อยากที่จะพึ่งเจ้าระบบนี้เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประเทศในอนาคตและเงินจำวนวน 2หมื่นล้านหยวนนี้ก็ดูมากเกินไป


อีกอย่างคือมันน่าแปลกใจมากที่ตำแหน่งทหารของพวกเขาจะเลื่อนยศเป็นนายพลใหญ่ได้ขนาดนี้


“คนที่ทำธุรกิจและขายของก็ต่างหวังที่จะได้ผลตอบรับสูง ยิ่งสูงยิ่งดี งั้นแล้วคุณจะสร้างรายได้ที่มากกว่านี้ได้ยังไงละ?” ท่านผู้นำคนที่สองมองเฉินหลงอย่างสนใจพร้อมกับพูด


เป็นครั้งแรกที่เขาส่งเครื่องกำจัดฝุ่นมายังประเทศนี้และเป็นครั้งที่สองที่เขาส่งระบบภาพเสมือนมา ตอนนี้เฉินหลงยังคงมีความสำนึกในเรื่องทางการเมือง ท่านผู้นำคนที่สองนั้นก็ยิ่งพอใจในตัวเฉินหลงมากขึ้นไปอีกและอีกอย่างเขาก็เป็นสมาชิกของกลุ่มซีโร่ด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีหลานสาว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรับเฉินหลงมาเป็นหลานเขยไปแล้ว


“พวกเราก็มาจากประเทศจีนมหาอำนาจ สิ่งที่ตอนนี้ประเทศกำลังกังวลก็คืออนาคตของพันกว่าล้านคนในประเทศจีน ไม่ว่าคุณจะชอบเงินมากแค่ไหนก็ตาม คุณก็ไม่สามารถหาเงินได้ ให้ผมแค่หนึ่งหรือสองพันล้านหยวนก็พอและส่วนเงินที่เหลือผมจะนำไปเป็นเงินสนับสนุนให้กับประเทศ” เฉินหลงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


ถึงแม้ว่าเฉินหลงจะต้องการเงินจำนวน 2หมื่นล้านหยวน แต่ตอนนี้เขาก็ยังมีเงินเป็นพันล้านหยวนและสามารถสร้างได้มากกว่านี้ในอนาคต ครั้งนี้ 2หมื่นล้านหยวนเป็นเงินของประเทศชาติ เขาจึงยอมยกให้ก่อน


ทั้งสองฝั่งยื่นมือจับกันและพูดว่า “งั้นพวกเราก็เอาเปรียบคุณอีกครั้งนะสิ ถ้างั้นเงินของคุณก็จะเป็นทั้งหมด 2พันล้านหยวน และถ้าหากคุณเจออุปสรรคอะไรในอนาคต คุณสามารถติดต่อมาได้โดยตรงเลยนะครับ”


เมื่อได้ยินคำพูดของท่านผู้นำสูงสุด เฉินหลงก็รับรู้ได้ว่าเป้าหมายของเขาครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยการการันตีจากท่านผู้นำที่มีอำนาจรัฐสูงสุดจากทั้งสองท่านด้วยเงินจำนวน 2หมื่นล้านหยวน ธุรกิจประเภทนี้ดูคุ้มค่าที่จะทำ


หลังจากนั้นเฉินหลงก็ส่งมอบระบบภาพเสมือนจริงให้กับรัฐซึ่งเขาก็ได้ค่าตอบทนกลับมาเป็น   2000​ ล้านหยวน ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นพลตรีที่อายุน้อยที่สุดในราชวงศ์จีน


หลังจากที่รัฐบาลได้ระบบไปก็ได้เริ่มทดสอบกับมนุษย์อย่างลับๆในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีเว่ยหลงก็ยังคงตัดระบบภาพเสมือนต่อไป ในเวลาเดียวกันบริษัทเทคโนโลยีเว่ยหลงก็เริ่มเปิดรับสมัครคนจากในสังคมและมหาวิทยาลัย


สุดท้ายในการสร้างเกมส์ขึ้นมานั้นไม่ใช่สิ่งที่คนหนึ่งหรือสองคนจะสามารถสร้างขึ้นมาได้


บางโรงงานในประเทศก็ได้เริ่มผลิตสิ่งที่เหมือนกับที่คาดหัวซึ่งเป็นบริการของเกมส์จากบริษัทเทคโนโลยีเว่ยหลง หลังจากที่ลงโปรแกรมเกมส์ลงไปในที่คาดหัวแล้ว ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่โลกเสมือนจริงเพื่อค้นหาความเร้าใจที่เหล่าผู้ใช้ต้องการได้


เฉินหลงได้ขอให้รัฐบาลช่วยผลิตที่คาดหัวพวกนี้แต่เขาก็ไม่ได้ให้เงินกับรัฐบาลไปเลย ซี่งใน


คำพูดของเฉินหลงที่ว่ารัฐได้ผลประโยชน์จากเขาไปเยอะมากแล้วคุณยังต้องขอเงินจากผมอีกหรอ?


ทางด้านของรัฐบาลก็รู้ว่ามันน่าอายที่จะต้องขอเงินจากเฉินหลง ดังนั้นรัฐจึงไม่พูดถึงเรื่องเงินอีกและนั้นก็ทำให้เฉินหลงสบายใจไม่มีทางและไม่ว่าใครก็ตามที่เอารัดเอาเปรียบแล้วในใจจะยังคงมีความสุข เดิมทีเฉินหลงคิดว่าธุรกิจของบริษัทควรจะมอบอำนาจให้กับเจิ้งอี้ แต่หากพวกรัฐบาลจะเข้าไปทำเอง เขาก็โอเคเพราะเขาก็ไม่คาดหวังที่จะเจอกับอะไรอยู่แล้ว


บุคคลคนแรกที่เข้ามาที่บ้านของเฉินหลงทุกวันก็คือลู่เซียง เธอชอบทำให้เฉินหลงรำคาญและมักขอให้เฉินหลงรับเธอเป็นเด็กฝึกงาน แม้ว่าเฉินหลงอยากจะปิดบังวิธีรักษาปู่ของเธอ แต่เธอก็รู้จนได้ อย่างไรก็ตามลู่เซียงก็ยังคงหมกหมุ่นอยู่กับเฉินหลงจนฮ่าวซือเหวิน(ฮ่าวฉิเหวิน)​กลัวว่าจะเกิด


เรื่องระหว่างทั้งเฉินหลงกับลู่เซียง ในเมื่อลู่เซียงไปเซ้าซี้เฉินหลงทุกวัน ดังนั้นฮ่าวซือเหวินก็เลยตามดูเธอทุกวัน ส่วนบุคคลที่สองที่มาหาเฉินหลงวันนี้ก็คือคนรู้จักของเฉินหลงและในอนาคตก็อาจมีคนอย่างพวกเขาเพิ่มขึ้น คนคนนี้ก็คือลั่วฮุยซึ่งเป็นพี่สี่ของตระกูลลั่วที่เฉินหลงได้เจอที่ปักกิ่ง แน่นอนว่าตอนนี้เฉินหลงเป็นบุคคลสำคัญในปักกิ่ง


ถึงแม้ว่าตระกูลของลั่วฮุยจะไม่ใช่หนึ่งในสี่ของตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวงแต่ฐานะและอำนาจของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพวกสี่ตระกูลชนชั้นสูง


“พี่สี่ ทำไมวันนี้ถึงมาหาผมได้ละ?” หลังจากที่เชิญให้ลั่วฮุยนั่งลง เฉินหลงก็ถามด้วยรอยยิ้ม


“น้องเฉิน ฉันจะไปที่โถงซานเปา ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอให้นายช่วย” ลั่วฮุยแสดงสีหน้าอย่างช่วยไม่ได้


ในฐานะตระกูลลั่ว ลั่วฮุยได้ออกมาจากตระกูลแล้วเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ตามที่ต้องการ


และถ้าหากครั้งนี้มันไม่ยากเกินไป เขาก็คงไม่มาขอความช่วยเหลือจากเฉินหลงหรอก


“พี่สี่ พูดออกมาเถอะ ถ้าผมช่วยได้ ผมจะช่วย” เฉินหลงพูดอย่างจริงจัง


เฉินหลงเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างเกี่ยวกับลั่วฮุยที่ปักกิ่ง ว่าลั่วฮุยเป็นคนรุ่นใหม่ของตระกูลลั่วและเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลก่อนที่เขาจะออกไป ลั่วฮุยเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในปักกิ่งโดยอาศัยความสามารถในการผูกมิตรเก่งของตนเอง แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเขา คนอย่างลั่วฮุยจึงไม่สามารถผ่านบททดสอบได้อย่างสวยงาม ตอนลั่วฮุยอายุได 25 ปี เขาได้พบกับผู้หญิงที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขา นั้นก็คือ หมินซี


แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ตระกูลลั่วได้ทำการหมั้นหมายกับคงอี้เหยียนไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลชนชั้นสูง ตัวเอกสำคัญในการหมั้นครั้งนี้ก็คือลั่วฮุยกับคงอี้เหยียน          คงอี้เยียนเป็นลูกสาวของผู้นำตระกูลคง ลั่วฮุยก็เป็นหนุ่มหล่อส่วนคงอี้เหยียนก็มีเสน่ห์และเธอก็เป็นที่รู้จักไปทั่วแถมเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถด้วย


แต่ยังไงลั่วฮุยก็ได้เจอกับหมินซีแล้ว มันเหมือนขั้วบวกกับขั้วลบที่ดึงดูดเข้าหากัน ลั่วฮุยตกหลุม


รักหมินซีจนถอนตัวไม่ขึ้นและไม่สามารถมองผู้หญิงอื่นได้อีกแล้ว


ตระกูลของพวกชนชั้นสูงจะให้ความสำคัญมากกับเรื่องปัญหาหน้าตาทางสังคม ลั่วฮุยเหมือนตบหน้าคงอี้เหยียนอย่างจังจึงย่อมทำให้ตระกูลคงไม่มีทางอภัยได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาก็เหมือนสร้างปัญหาให้กับตระกูลลั่วและเขาจึงขอให้ครอบครัวของเขาช่วยอธิบายให้


เนื่องจากลั่วฮุยเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลลั่วที่มีพรสวรรค์มากที่สุด คนในครอบครัวตระกูลลั่วเลยโน้มน้าวให้ลั่วฮุยแต่งงานกับคงอี้เหยียน จากนั้นก็ไปค่อยไปคบกับหมินซีลับๆ วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะรักษาหน้าให้กับตระกูลคง ลั่วฮุยก็ไม่ต้องแยกทางกับหมินซีด้วย


แต่กระนั้นครอบครัวตระกูลลั่วนั้นประมาณหัวใจของลั่วฮุยต่ำเกินไป เพราะลั่วฮุยยอมที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อหมินซี เช่นนั้นลั่วฮุยจึงประกาศออกจากตระกูลลั่วต่อหน้าคนในตระกูลลั่วและตระกูลคง ดังนั้นการหมั้นหมายจึงถูกยกเลิกไป


หลังจากที่ลั่วฮุยประกาศออกจากตระกูลลั่วแล้ว เขาก็ได้ออกจากเมืองหลวงมาพร้อมหมินซี


เดิมทีลั่วฮุยคิดว่าถ้าเขาทำแบบนี้แล้ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือกับหมินซีได้อย่างมีความสุข แต่น่าเสียดายที่มีใครบางคนไม่อยากให้มันจบง่ายขนาดนั้น


ในระหว่างทางที่ลั่วฮุยและหมินซีกำลังเดินทางออกจากเมือง เขาทั้งสองถูกไล่ล่าซึ่งคนที่ไล่ตามพวกเขามาก็เป็นพวกมีฝีมือ ลั่วฮุยผู้ซึ่งมีพละกำลังแค่เพียงเล็กน้อย ท่อนบนของร่างกายย่อมถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ โชคดีที่คนฝีมือดีของตระกูลลั่วมาถึงทันเวลาและช่วยเขาและหมินซีไว้ได้ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ครอบครัวตระกูลลั่วก็โกรธเป็นอย่างมากและพูดสั่งไว้ว่า


ถึงแม้ว่าลั่วฮุยจะไม่ใช้คนในตระกูลลั่วอีกต่อไปแล้ว แต่ใครก็ตามที่กล้ามาทำร้ายลั่วฮุย พวกเขาก็พร้อมที่จะเป็นศัตรูด้วย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็จะถูกตระกูลลั่วคิดบัญชีคืนแน่นอน


ทุกคนต่างรู้ชัดว่าผู้ชายที่ไล่ตามลั่วฮุยไปนั้นต้องถูกส่งมาจากตระกูลคงแน่ จากนั้นตระกูลลั่วจึงได้ส่งคนไปบอกกับตระกูลคงว่าจะรักษาหน้าให้กับตระกูลคงทั้งหมด แต่ถ้าจะเล่นลับหลังกันขนาดนี้ก็คงต้องหยาบคายใส่บ้างแล้ว


หลังจากที่ตระกูลลั่วได้ฝากคำพวกนี้ไปถึงตระกูลคง ฝั่งตระกูลคงเมื่อรับรู้ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา


ด้านลั่วฮุยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงยังคงไม่มีเรี่ยวแรงหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ และหมินซีก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา เมื่อร่ากายของเธอโดนทำร้ายและโดนกระทบกระเทือน ร่างกายของเธอจึงอ่อนแอและป่วยได้ง่าย และในเวลาเดียวกันเธอก็หมดโอกาสที่จะเป็นแม่คนแล้ว


ลั่วฮุยรู้ว่าทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นทำให้ตระกูลคงเสียหาย เขาเคียดแค้นตระกูลคง แต่เขารู้ว่าเขาไม่ได้มีความสามารถที่จะแก้แค้นในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือดูแลหมินซี


แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ร่างกายของหมินซีนั้นรับไม่ไหวแล้ว แม้ลั่วฮุยจะเชิญแพทย์จำนวนมากมาดูอาการเธอ แต่ก็ไม่มีแพทย์คนไหนสามารถรักษาอาการของเธอได้ซึ่งมันก็ทำให้ลั่วฮุยหมดหวัง


ในเวลานี้ หลังจากที่ได้ยินว่าเฉินหลงเคยรักษาโรคมะเร็ง หัวใจของเขาก็เริ่มมีความหวัง


“น้องเฉินหลง”ลั่วฮุยพูดกับเฉินหลงด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังอ้อนวอนเขา


TB:บทที่112 ปลดปล่อย


“พาผมไปหาพี่สะใภ้ตอนนี้เลย” หลังจากที่รับรู้ถึงความรู้สึกลึกๆในใจของลั่วฮุย เฉินหลงก็รู้สึกนับถือเขาที่กล้าทำและยินดีที่จะช่วยเหลือเขา


“ภรรยาของพี่เธอนอนป่วยอาการหนักอยู่บนเตียง ตอนนี้เธออาศัยอยู่ที่บ้านพักที่กวางฮุย ถ้านายสามารถไปได้ ได้โปรดไปกับพี่ตอนนี้เลยได้ไหม ถ้าช้ากว่านี้ พี่กลัวว่าเธอจะอดทนไม่ไหวแล้ว” สีหน้าของลั่วฮุยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล


ในขณะนั้น  ร่างกายของหมินซีได้รับผลกระทบจากลมปราณและการทำร้ายจากคนของตระกูลคง เส้นลมปราณในร่างกายส่วนใหญ่ของเธอถูกทำลาย ซึ่งลั่วฮุยสามารถยืดเวลาชีวิตของภรรยาออกไปมากกว่าสิบปี เขาได้ให้ยารักษาเธอมาเป็นเวลาหลายปี ลั่วฮุยได้หาหมออัจฉริยะ(天才医生)โดยอาศัยหาจากหนังสือพิมพ์จีนเก่าๆ(ตี๋เป้า 邸报)และบังคับให้พวกเขาช่วยชีวิตภรรยาของเขา แต่ไม่ว่ายาช่วยชีวิตจะดีมากแค่ไหน หากกินเข้าไปมากๆยาก็จะค่อยๆไม่ได้ผลและจากนั้นก็เริ่มเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วจนตอนนี้ภรรยาของเขามีอายุได้ 30 ปีแล้ว


“งั้นก็รีบเถอะ” เฉินหลงรีบตกลงทันที


คราวนี้ มุมหนึ่งเขาก็ต้องรักษาหมินซี ส่วนอีกมุมหนึ่งเขาก็กังวลเรื่องลู่เซียงและอยากที่จะหลบหน้าเธอ แน่นอนว่ายังมีเวลาอยู่มากกว่าสิบวันก่อนที่ลู่เซียงจะเริ่มกลับไปเรียน ดังนั้นเขาจำต้องปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้เธอรู้ ในไม่ช้าเฉินหลงและลั่วฮุยได้ออกเดินทางไปเมืองเฉิงตูอีกครั้ง หลังจากที่เฉินหลงออกนอกเมืองมากับลั่วฮุย ก็มีใครบางคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่


“เฉินหลง ฉันหวังว่านาจะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง”


ผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า เฉินหลงก็กลับมาที่บ้านพักกวางฮุยอีกครั้ง ลั่วฮุยได้เดินนำเฉินหลงเข้าไป จนเขาพบกับร่างของหมินซีที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง


ครั้งแรกที่ได้เห็นหมินซี เฉินหลงพบว่าเธองดงามหาใครเปรียบไม่ได้ แม้ตอนนี้ใบหน้าของเธอจะซีดเผือด มันก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าอันงดงามของเธอได้เลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลั่วฮุยถึงสามารถทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอได้


หลังจากนั้น เฉินหลงได้ตรวจร่างกายของหมินซีและพบว่าความเย็นได้กัดกร่อนร่างกายของเธออยู่ตลอดเวลาจนทำให้ระบบการทำงานในร่างกายทั้งหมดเกือบจะทำงานไม่ได้อีกต่อไป หากหัวใจของเธอไม่ได้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฤทธิ์ยา ป่านนี้หัวใจของเธอคงถูกกัดกร่อนด้วยความเย็นจนไม่สามารถหายใจได้อีกเหมือนกับตอนนี้ เฉินหลงคิดว่าลั่วฮุยคงพยายามช่วยรักษาร่างที่เหมือนศพหญิงงามไว้


 


ใบหน้าของเธอซีดเหมือนไร้เลือดและทั่วทั่งร่างของเธอก็ดูเหมือนมีไอเย็นบางๆไหลซึมออกมา “คุณเฉิน เป็นยังไงบ้าง?” เมื่อเห็นเฉินหลงได้ตรวจเช็คร่างกายของภรรยาตนและเห็นว่าเขาขมวดคิ้วและยังคงเงียบ ลั่วฮุยจึงรู้สึกไม่วางใจ


“นี่มันยากมาก มีพลังธาตุเย็นในร่างกายของพี่สะใภ้ที่กำลังกัดกร่อนร่างของเธอ เราต้องกำจัดพลังธาตุเย็นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถถอดรากถอนโคนโรคร้ายได้หมด แต่พลังธาตุเย็นนี้ถูกผนวกเข้ากับร่างกายของเธอแล้ว มันจึงยากมากที่จะกำจัดพลังงานพวกนี้ออกให้หมด ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ” เฉินหลงพูดอย่างเคร่งเครียด


พลังธาตุเย็นพวกนี้เกือบจะรวมเข้ากับร่างของหมินซีจนหมด มันอยู่เกือบทุกเส้นของลมปราณและกายทวารเพื่อที่จะกำจัดพลังธาตุเย็นนี้ เราต้องดึงเอาพลังเย็นที่อยู่ในร่างของหมินซีออกมาก่อนและใช้พลังธาตุไฟกับร่างของเธอซึ่งเป็นวิธีที่เฉินหลงคิดว่าดีที่สุด


“ขอบคุณนะ น้องเฉิน”  เมื่อได้ยินเฉินหลงพูดว่ายินดีที่จะลองรักษา มันก็ทำให้หัวใจของลั่วฮุย


กลับมามีความหวังอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ลั่วฮุยก็ได้เชิญหมอชื่อดังหลายคนมารักษา พวกเขาต่างพูดว่าไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เฉินหลงไม่พูดมาก เขารีบหยิบเข็มเงินออกมาจากกระเป๋า


พลังธาตุไฟผสานเข้าคู่กับเข็มเงินจะดีที่สุด ครั้งนี้เฉินหลงจะไม่ใช้เพียงแค่เข็มงิน


เฉินหลงถือเข็มเงินไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและจากนั้นก็แทงลงไปที่จุดฝั่งเข็มหรือที่เรียกว่าเส้นลมปราณของหมินซี ในแต่ละครั้งที่แทงเข็มลงไป ร่างของหมินซีก็จะสั่นและร่องรอยของพลังธาตุเย็นก็กระจายออกมา


ร่างกายของหมินซีเย็นมานานมากกว่าสิบปี หากเฉินหลงต้องการที่จะเอาคามเย็นออกมาให้หมด เขาจะต้องไม่ทำลายร่างของเธอเลยแม้แต่น้อย การควบคุมแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นเหมือนบททดสอบของเฉินหลงไม่เพียงแต่ทางกายแต่ทางใจด้วย


สองชั่วโมงผ่านไป ในตอนท้ายเฉินหลงได้ใช้พลังธาตุไฟรวมลมปราณเย็นไว้ตรงกลางในร่างของหมินซีทีละขั้นจากเส้นลมปราณไปจนถึงกายทวารและไปหยุดอยู่ที่หน้าอกของเธอ


จากนั้นเฉินหลงก็ได้ใช้ฝ่ามือของเขากดลงไปที่อกของหมินซีและพลังธาตุไฟก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของเขา เฉินหลงใช้จิตในการควบคุม เขาตั้งท่าเพื่อสัมผัสพลังธาตุไฟในตัวเธอ


“ออกไปจากร่างเธอซะ” เฉินหลงตะโกนออกมา


ภายใต้การควบคุมของเฉินหลง พลังธาตุไฟในตัวของหมินซีเริ่มเค้นเอาความเย็นออกมาจากร่างกาย ในขณะที่พลังงานบนฝ่ามือเฉินหลงได้ส่งแรงดูดเอาความเย็นออกมาซึ่งเมื่อร่างกายของหมินซีซึมซับพลังธาตุไฟเข้าไปจึงทำให้เหมือนเป็นแรงผลักเอาความเย็นออกมา


ยิ่งฝั่งเข็มไปที่ร่างของหมินซีมากเท่าไหร่ ความเย็นก็จะค่อยๆเล็ดลอดออกมาจากร่างกายทีละน้อยจนใบหน้าของเธอเริ่มมีสีเลือด และตอนนี้หน้าผากของเฉินหลงก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเล็กน้อย


ภายใต้การต่อสู้กันของสองพลังธาตุ ความเย็นในร่างกายของหมินซีก็เริ่มถูกขับออกจากร่างกาย


หลังจากที่ออกห่างจากร่างของหมินซี ไอความเย็นได้จับตัวกันเป็นก้อนเท่าลูกฮอกกี้ขนาดเท่ากำมือเด็กปรากฏขึ้นในมือของเฉินหลงซึ่งมันได้ปล่อยลมเย็นออกมารอบๆด้วย


“เปลี่ยน” เฉินหลงได้ใช้พลังธาตุไฟหุ้มลูกฮอกกี้น้ำแข็งเอาไว้และกลั่นเจ้าลูกฮอกกี้น้ำแข็งนี้


ในที่สุด เจ้าลูกฮอกกี้น้ำแข็งก็ได้เปลี่ยนเป็นลูกบอลน้ำแข็งสีฟ้าเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง


เฉินหลงหยิบเอาขวดเล็กๆออกมาแล้วใส่เจ้าเม็ดน้ำแข็งนี้ลงไปจากนั้นก็ใส่ไว้ที่กระเป๋าเสื้อของเขาเอง แต่จริงๆแล้วเขาถือโอกาสนี้เก็บมันไว้ในพื้นที่ในแหวนของเขา


เมื่อเฉินหลงทำทุกอย่าเสร็จเรียบร้อย เขาก็นั่งลงกับพื้น หลังจากที่ควบคุมพลังมาเป็นเวลานาน จิตที่แข็งแกร่งของเฉินหลงก็มาถึงจุดวิกฤต การกำจัดพลังธาตุเย็นในตัวของหมินซีนั้นเรียบร้อยแล้วแต่เฉินหลงไม่สามารถคุมร่างกายตัวเองให้กลับมาผ่อนคลายได้ในทันที


 


“น้องเฉิน เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” เมื่อเห็นเฉินหลงนั่งลงกับพื้นด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนแรง ลั่วฮุยก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเฉินหลง


“ผมไม่เป็นไร ผมได้กำจัดพลังธาตุเย็นออกจากตัวของพี่สะใภ้ให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งไปโดนตัวเธอ ผมจะคุยเรื่องนี้ตอนที่ร่างกายฟื้นตัวแล้ว” หลังจากที่เฉินหลงพูจบ เขาก็เริ่มฟื้นฟูร่างกาย


หลังจากที่ได้ยินเฉินหลงพูดถึงสิ่งที่ทำให้พี่สะใภ้ต้องทนทุกข์ทรมานมามากกว่าสิบปี ลั่วฮุยก็รู้สึกร้อนใจ เขาอยากจะสัมผัสภรรยาของเขาตอนนี้ แต่คำพูดของเฉินหลงก็เหมือนสั่งให้เขาต้องหยุดความคิดนี้ เขาอยากที่จะคอยอยู่เคียงข้างและมองดูภรรยาที่นอนอยู่บนเตียง เขาพบว่าใบหน้าของเธอเริ่มกลับมาเป็นเหมือนคนปกติและลมหายใจของเธอก็สม่ำเสมอ แม้ลั่วฮุยจะไม่ได้รู้เรื่องทางการแพทย์มากนักแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าอาการของภรรยาตนดีขึ้น ลั่วฮุยมองใบหน้าของภรรยาที่กำลังหลับอยู่ จากนั้นน้ำตาก็ได้ไหลออกมา


หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เห็นหน้าของเธอดำคล้ำจากความเย็น ลั่วฮุยก็รู้สึกเกลียดตัวเอง ว่าเขานั้นไร้ความสามารถ ไม่สามารถแบ่งเบาความทุกข์และมอบความสุขให้กับเธอได้


แต่ในตอนนี้ ในที่สุดภรรยาของเขาก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะมอบความสุขในชีวิตตามที่เธอต้องการ เธอไม่ต้องอุ้มท้องมีลูกแล้ว พวกเราก็แค่รับเด็กมาเลี้ยง ถ้าเธอไม่ชอบเที่ยวรอบโลก พวกเราก็แค่ไปเที่ยวที่ที่ได้ไปด้วยกัน ตราบใดที่เธอต้องการ เขาก็จะให้เธอทั้งหมด ขณะนี้ สิ่งที่ทำให้ต้องตำหนิตัวเองและความรู้ผิดในใจของลั่วฮุยในเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้นได้ถูกปลดปล่อยเรียบร้อยแล้ว


TB:บทที่113 ขอบเขตกำเนิด


สองชั่วโมงผ่านไป เฉินหลงจะตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากที่เขาตื่นเขาก็พบกับสิ่งหนึ่งทันทีซึ่งก็คือพลังที่คาดไม่ถึงในร่างกายของเขา ช่วงเวลาที่เขาปรับลมหายใจ เขาก็ได้เลื่อนขั้นจากระดับปรมาจารย์ขั้นสูง มาเป็นระดับกำเนิด


“ให้ตายเถอะ มันผ่านง่ายขนาดนี้เลยหรอ?” เฉินหลงไม่ได้คาดหวังไว้จริงๆว่าจะผ่านระดับง่ายแบบนี้


ความจริงก่อนหน้านี้ พลังของเฉินหลงได้มาถึงจุดสูงสุดของปรมาจารย์ขั้นสูง มีเพียงโอกาสเดียวที่จะผ่านไปถึงขั้นกำเนิดและการรักษาหมินซีก็ทำให้พลังวิญญาณและพลังจิตของเฉินหลงผสานเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่เฉินหลงฟื้นตัว แรงพลังก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นซึ่งก็คือพลังที่ได้รับเปลี่ยนเป็นระดับขอบเขตกำเนิด


ถ้าเขามีพลังกำเนิดแล้ว เขาก็จะสามารถข่มพลังในร่างกายของเขาได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีข้อจำกัดของพลังทางร่างกายอยู่ จนกว่าเขาจะข้ามผ่านขีดจำกัดได้ พลังของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป  เหมือนกับลู่หงและเทียซินที่กินยาต้าลี่เพิ่มขึ้นเมื่อพลังของพวกเขาถึงระดับสูงสุดจนไม่สามารถทนไหว ถ้าจะให้พลังของพวกเขาไม่เพิ่มขึ้นอีก พวกเขาต้องเลื่อนขั้นซึ่งยาต้าลี่ก็ไม่สามารถทำให้พลังของพวกเขาเลื่อนขั้นได้


หลังจากที่เฉินหลงตื่น เฉินหลงก็มองไปที่ลั่วฮุยที่กำลังนั่งมองภรรยาของเขาด้วยความรัก


“พี่สี่” เฉินหลงเรียก


“น้องเฉิน ตื่นแล้วหรอ เยี่ยมเลยแล้วตอนนี้พี่ต้องทำอะไรบ้าง?” เมื่อได้ยินเสียงของเฉินหลง ลั่วฮุยก็รีบหันไปมองเฉินหลงอย่างตระหนก


เฉินหลงที่ยืนอยู่ก็เดินไปส่งสัญญาณให้ลั่วฮุยหลีกทาง จากนั้นลั่วฮุยจึงรีบหลีกทางมาด้านข้าง


หลังจากที่เฉินหลงหายใจเข้าลึกๆ เฉินหลงก็เริ่มฝุ่งเข็มเงินไปที่ร่างของหมินซีทีละเข็ม


สิบหน้าที่ผ่านไป ในที่สุดเฉินหลงก็ฝั่งเข็มเงินบนร่างหมินซีจนครบจุดและจากนั้นก็ดึงออกแล้ว


เก็บใส่ไว้ในถุงผ้า


“เอาละ ความเย็นในตัวของพี่สะใภ้ถูกขับออกไปหมดแล้วและในร่างกายก็จะไม่มีพลังธาตุเย็นหลงเหลือในร่างกายเธอแล้ว แต่ยังไงร่างกายของเธอที่ถูกความเย็นกัดกร่อนมาหลายปีเลยทำให้เส้นลมปราณในร่างกายถูกทำลายไปเยอะจนแปรปรวน เกรงว่าเธอคงต้องเอาใจใส่ในการฝึกสักครึ่งปีก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัว” เฉินหลงพูดไปพร้อมเก็บเข็มลงกระเป๋า


“ขอบคุณมากนะน้องเฉิน แต่ทำไมตอนนี้เธอยังไม่ตื่นละ?” ลั่วฮุยเห็นหมินซียังไม่ฟื้นคืนสติ เขาจึงยังเป็นกังวล


“ตอนนี้ระบบการทำงานในร่างกายของพี่สะใภ้ค่อยๆเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ และอีกไม่นานเธอก็จะฟื้น” เฉินหลงงพูดจบเขาก็เดินออกไปข้างนอก ถ้ารอจนหมินซีตื่น เขาทั้งสองคงอดไม่ได้ที่จะต้องกอดกัน เฉินหลงจึงไม่อยู่ในห้องต่อเพื่อเป็นกางขวางคอ


ลั่วฮุยรู้ถึงความคิดของเฉินหลงจึงให้พ่อบ้านหลิวพาเฉินหลงออกไปด้านนอกและดูแลเขาเป็นอย่างดี ไม่กี่นาทีก่อนหน้าที่เฉินหลงออกมา หมินซีก็ค่อยลืมตาขึ้น เมื่อเธอเห็นลั่วฮุยใบหน้าของเธอก็แสดงรอยยิ้มและเรียกชื่อ “ฮุย”


“เสี่ยวซี” ลั่วฮุยดึงหมินซีเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน


หลังจากนั้นลั่วฮุยก็ได้บอกเธอเกี่ยวกับการรักษาของเฉินหลง


“ฮุย พาฉันไปพบเขาหน่อยค่ะ ฉันอยากไปขอบคุณเขาต่อหน้า” อันหมินซีรับรู้ได้ว่าเธอไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเย็นอีกต่อไปแล้ว เธอได้กลับมาเป็นผู้หญิงปกติแล้ว จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้น


ลั่วฮุยห้ามเธอและพูดข้างหูเธอว่า “เสี่ยวซี ถึงแม้ความเย็นในร่างกายของคุณจะถูกขับออกไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณยังคงอ่อนแออยู่นะ วันนี้พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะพาน้องเฉินมาพบและให้คุณได้พูดขอบคุณเขาต่อหน้าเลย” อันหมินซีพยักหน้า แล้วน้ำตาของเธอก็เริ่มพรั่งพรูออกมาด้วยความสุขด้วยที่เธอรอวันนี้มานานมากกว่าสิบปีแล้ว


ลั่วฮุยสวมเข้ากอดหมินซีพร้อมพูดว่า “เสี่ยวซี ไม่ต้องกังวลนะ ในอนาคตพวกเราจะต้องมีความสุขแน่” อันหมินซีกอดตอบลั่วฮุยพร้อมพยักหน้ารับไม่หยุด


พ่อบ้านหลิวรู้ว่าเฉินหลงเป็นแขกวีไอพีของลั่วฮุย ดังนั้น เขาจึงไม่ปล่อยปละละเลยเฉินหลง เขาต้องการให้เฉินหลงได้พักที่ห้องที่ดีที่สุดในบ้านพักและได้รับประทานอาหารที่ดีที่สุดด้วย


หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เฉินหลงก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับพลังระดับขอบเขตกำเนิด


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ก่อนหน้าที่จะมีพลังระดับขอบเขตกำเนิด แรงของนิ้วเฉินหลงก็มีแรงของเขาเป็นปกติ แต่ครั้งนี้เรี่ยวแรงที่นิ้วของเขารู้สึกมีพลังลึกลับบางอย่างระหว่างสวรรค์และโลกอย่างเลือนราง ก่อนหน้าที่เขาจะมีพลังแบบนี้ เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาตัวเล็กมาก


“นี่พลังระดับขอบเขตกำเนิดจริงหรอ? มันแข็งแกร่งจริงๆ ปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดนี่ช่างแข็งแกร่งจริงๆ แล้ววันนั้นคนพวกนั้นตอนอยู่ที่นั้นจะเป็นยังไงกันบ้างละ?” เฉินหลงได้นึกถึงหวังฮงผู้ที่เปลี่ยนปราณเป็นพลัง “เอาละ ยังไงสวรรค์และมนุษย์ก็อยู่ที่เดียวกัน ถึงมันจะยังห่างไกลสำหรับฉัน แต่โชคยังดีที่ฉันกับเขาเป็นมิตรกัน ถ้าได้คนอย่างเขามาเป็นศัตรู ไม่อย่างนั้นคงจะกินจะนอนลำบากน่าดู” เฉินหลงเริ่มคุ้นชินกับพลัง


ทีละน้อย ไม่นานเขาก็กลับไปพักผ่อน


วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เฉินหลงตื่นนอนและทานอาหารเช้า ลั่วฮุยก็ได้พาหมินซีมาหาเขาด้วย


“น้องชาย พี่สาวคนนี้ถูกช่วยชีวิตไว้ด้วยความช่วยเหลือของน้อง พี่สาวคนนี้ไม่สามารถทำอะไรตอบแทนน้องชายได้มากนัก พี่สาวจึงทำได้เพียงจดจำไว้ในหัวใจ แต่ขอให้พี่สาวคนนี้ได้คำนับน้องชายอย่างจริงใจและได้พูดขอบคุณตรงหน้าด้วยเถอะค่ะ” พูดจบ หมินซีก็คุกเข่าตรงหน้าเฉินหลงพร้อมกับลั่วฮุยที่ช่วยอยู่ด้วย


เฉินหลงรีบพุ่งเข้าไปประคองด้านข้างหมินซีและพูดกับเธอว่า


“พี่สาว ตั้งแต่ที่เรียกผมว่าน้องชาย ก็อย่าคุกเข่าให้น้องเลย แล้วตอนนี้ร่างกายของพี่สาวก็ยังไม่หายดี พี่สาวควรกลับไปพักก่อนจะดีกว่านะ” อันหมินซีดูจะไม่ค่อยฟังเฉินหลงนัก หลังจากที่ได้โค้งคำนับเฉินหลงด้วยตัวเอง เธอก็ลุกขึ้นยืน


“พี่สาวของฉันนอนบนเตียงมานานกว่าสิบปี มันดีมากจริงๆเลยนะที่ได้เห็นเธอสามารถเดินบนพื้นได้” พูดจบหมินซีก็ยิ้มให้เฉินหลง


เมื่ออันหมินซียิ้มให้เฉินหลง เฉินหลงก็รู้สึกได้ถึงดอกไม้นับร้อยที่กำลังเบ่งบานขึ้นมาทันทีจนอดบอกในใจไม่ได้ว่าพี่สี่โชคดีแค่ไหน


เฉินหลงได้พักอยู่ที่บ้านลั่วฮุยต่อสองวัน จากนั้นเขาก็ได้กลับเข้าเมือง เฉินหลงต้องการดูการฟื้นตัวของร่างกายหมินซี และเมื่อเห็นว่าการฟื้นตัวเป็นไปได้ด้วยดี เฉินหลงจึงได้กลับเข้าเมืองหลวง ก่อนกลับ หมินซีได้พูดบางอย่างกับเฉินหลงเมื่อเธออาการดีขึ้นแล้วว่าเธอจะเข้าเมืองหลวงไปพบเขา พอกลับมาถึงบ้านพักเมื่อเฉินหลงไม่พบกับผีที่ตามติดอย่างลู่เชียงเขาก็รู้โล่งใจ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะจากไปหลายวันนี้จะไม่ได้รับโทรศัพท์เธอและไม่ได้บอกให้เธอรู้ว่าเขาไปไหน ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เธอรู้สึกขาดใจบ้าง


เมื่อเฉินหลงนั่งลงที่โซฟา เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่วิกฤต จากนั้นเขาก็พบว่าในห้องนั่งเล่นแห่งนี้มีคนอยู่มากกว่าหนึ่งคนนอกจากเขาซึ่งใบหน้าน้นสวมหน้ากากและมีพลังระดับขอบเขตกำเนิดเป็นผู้หญิง


“นายคือเฉินหลงหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นมองเฉินหลงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง


“ไม่เลว” เฉินหลงสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังในร่างของหญิงสาวและตั้งท่าระวังเธอด้วย


“นายกล้ามากๆเลยนะ นายกล้ามากที่จะมาสู้กับตระกูลคง” ผู้หญิงคนนั้นจ้องเฉินหลงด้วยแววตาที่เยือกเย็น


“สู้กับตระกูลคงงั้นหรอ? ฉันไปสู้กับพวกตระกูลคงตอนไหนกัน?” เฉินหลงงงกับคำพูดของหญิงสาว


TB:บทที่114 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ (1)


“ถ้านายไปเจอนังสารเลวหมินซีมาละก็ นั้นก็แปลว่านายเป็นศัตรูกับตระกูลคง” ในคำพูดของหญิงสาวคนนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังหมินซี


เมื่อได้ยินถึงความเกลียดชังของหญิงสาวที่มีต่อหมินซี เฉินหลงก็ใช้ปัญญาและเดาได้ถึงตัวตนของหญิงสาวคนนี้ทันที


“นี่ผมกำลังพูดถึงใครกัน? งั้นคุณคงคือคงอี้เหยียนที่ช้ำใจเพราะพี่สี่ของตระกูลลั่วสินะ จริงๆแล้วผมคิดว่าพี่สี่ควรจะเสียใจเรื่องการแต่งงาน แต่ว่านะ คุณไม่สมควรได้ครอบครองเขาหรอก” เฉินหลงพยักหน้าไปด้วยพูดไปด้วย


“ไปตายซะ” หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเฉินหลงแต่กลับตบเขาแทนด้วยความโกรธ


เฉินหลงเตรียมจับมือเธอในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง มือของทั้งสองผสานกันและจับมือครั้งนี้ก็เหมือนเป็นการชดเชยกันและกันในเรื่องที่พูดไป


เมื่อเห็นว่าเฉินหลงยื่นมือมา แววตาของหญิงสาวกแสดงออกอย่างประหลาดใจ เพราะจากข้อมูลที่หามาบอกแค่ว่าพลังของเขาถีงระดับสูงสุดแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าพลังมาถึงระดับขอบเขตกำเนิดแล้วตอนนี้ และหญิงสาวก็ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเฉินหลง


“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงไม่สนใจตระกูลคง แต่นายก็ไม่ควรประมาณตระกูลคงของพวกเราต่ำไปละ พลังของพวกเรานั้นมันมีเกินกว่าที่นายจะคิด ฉันหวังว่านายจะสามารถดูแลตัวเองได้นะ” พูดจบ หญิงสาวคนนั้นก็จากไป


ทันทีผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพูดบางอย่าง แล้วต้องการตบหน้าเขาและจากนั้นก็จากไป ทั้งหมดนี้จึงทำให้เฉินหลงงุนงง


“ดูเหมือนว่าจะติดกับเข้าแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เข้าไปพัวพันกับตระกูลซ่งแล้วตอนนี้ยังมีตระกูลคงอีก ฉันไม่รู้แล้ว่าจะมีตระกูลไหนอีกที่ต้องไปเกียวข้อง แต่ยังไงฉันก็เกิดมาบนโลกแล้ว ไม่ง่ายที่เลยที่จะแกล้งตัวเอง” หลังจากที่คิดถึงเรื่องพวกนี้ เฉินหลงดูไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหัว


สองวันถัดมา เฉินหลงก็ได้คิดถึงเรื่องตระกูลคงว่าคงต้องพบกับปัญหาที่ตัวเองก่อต่อไป แต่คิดว่าเรื่องมันจะเงียบขนาดนี้


เฉินหลงเดาว่าผู้หญิงคนนี้คือคงอี้เหยียน ที่ผ่านมาพลังของเธอไม่ได้สูงขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะความไร้ปราณีของเธอ พลังของเธอถึงได้ถึงระดับขอบเขตกำเนิด อย่างไรก็ตามมันเป็นความตั้งใจของเธออยู่แล้วที่จะมาหาเรื่องเฉินหลงและตระกูลคงก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้


แต่สุดท้ายชื่อของเฉินหลงก็แพร่ไปถึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่เมืองหลวงนี้ ด้วยทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์นี้ มันเหมือนเป็นขนมผังที่หอมกรุ่นสำหรับตระกูลที่ยิ่งใหญ่และตระกูลคงก็คิดว่าเฉินหลงเป็นเช่นนั้นด้วยแล้วจะเกิดความบาดหมางได้อย่างไร หากพวกเขายังไม่มีเวลาที่จะทำความรู้จักกันเลย


ความตั้งใจแต่แรกของคงอี้เหยียนนั้นก็แค่จะขู่เฉินหลงเพราะเธอไม่คิดว่าเฉินหลงจะปากกล้าจนทำให้เธออารมณ์ไม่ดีได้


หลังจากที่เฉินหลงกำลังไม่มีทางเลือกเธอจึงใช้โอกาสหนีไป แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับครอบครัวเธอ ดังนั้นจึงย่อมไม่เกิดเรื่องตามมา แต่อย่างไรก็ตามคงอี้เหยียนก็รู้ว่าพลังของเฉินหลงสามารถเป็นภัยคุกคามกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่ช้าก็เร็วและอาจมีการแสดงดีๆให้ดูด้วย


ตระกูลจะไม่ได้มาหาเรื่องให้ตัวเอง แต่ลู่เซียงก็ได้มาที่หน้าประตูอีกครั้ง


“อาจารย์ วันนั้นไปไหนมาคะ? หนูติดต่ออาจารย์ไม่ได้เลย ไม่รู้หรอคะว่ามีคนเป็นห่วงเยอะขนาดไหน”


ลู่เชียงพูดด้วยน้ำเสียงแสร้งทำออดอ้อน “หนูเป็นเด็กดีนะคะ”


“ไม่ ไม่ ใครเป็นอาจารย์เธอ” เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เชียง เฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น พลังของชายหนุ่มที่แข็งแกร่งยังไม่สามารถต้านทานไว้ได้เลย


“อาจารย์ อาจารย์กลัวอะไรอยู่คะ? ลูกศิษย์ไม่กินอาจารย์หรอกคะ” ลู่เชียงติดต่ออยู่กับเฉินหลงมาเป็นเวลานานแล้ว เธอจึงได้พบจุดอ่อนของเฉินหลงนั้นก็คือเขายังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังบริสุทธิ์ ดังนั้นเราควรใช้เหตุผลให้คุ้มค่า


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยชินกับการพูดแบบนี้ แต่เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมาย เธอจึงต้องทำ


เฉินหลงมองลู่เชียงโดยที่ไม่พูดอะไร ท่าทางและคำพูดที่หญิงสาวแสดงออกมาชัดเจนว่าเธอไม่ได้เจตนา ดังนั้น เขาจึงไม่ได้จะตอบกลับ


“ลู่เชียง เธอคิดว่าคนอย่างฉันจะโดนแกล้งได้ง่ายๆหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้าเสี่ยวเหวินไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันจะจับเธอกินซะ อย่าลมนะว่าฉันเป็นผู้ชาย ผู้ชายทั่วไปที่ยังมีความต้องการอยู่” พูดจบเฉินหลงก็ตบไปที่สะโพกลู่เชียงเบาๆ


ในเวลานี้ ฮ่าวซื่อเหวินเพียงทำเป็นว่ามองไม่เห็น


ทันทีที่ลู่เชียงถูกเฉินหลงตบไปที่ก้น หน้าก็เธอก็แดงและถอยห่างจากเฉินหลงทันที ถึงคำพูดของลู่เชียงจะดูชัดเจนว่าเป็นแค่การพูดแกล้งหยอกเฉินหลง แต่ตอนนี้เฉินหลงตอบโต้เธอกลับอย่างแรงและทำให้เธอต้องแพ้ในครั้งนี้


เมื่อเห็นท่าทางของลู่เชียงที่เหมือนกับแกะที่กำลังหวาดกลัว เฉินหลงก็หัวเราะขึ้นมาทันที เขาไม่ได้เพียงแค่โต้กลับแรงๆนะ แต่ยังได้เอาเปรียบอีกด้วย ดี ดี


“เฉินหลง พวกเรามีประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการในวันมะรืนนี้นะ โปรดไปเข้าร่วมกับฉันพรุ่งนี้ด้วย” เมื่อเห็นเฉินหลงทำตัวแบบนี้ ในใจของลู่เชียงนั้นรู้โกรธเขาเอามากๆ เธออยากจะออกไปจากตรงนี้ทันทีเสียจริง แต่เธอทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าเย็นชากับเขาเมื่อนึกได้ถึงเหตุผลที่เธอมาในวันนี้


“ไม่” เฉินหลงปฏิเสธเพราะเขาไม่ต้องการที่จะไป


ทำไมฉันต้องไป เพราะคุณไม่ใช่คนของฉัน นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนทางวิชาการแล้ว คุณก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย เดิมทีเฉินหลงได้คิดเรื่องนี้แต่แรกแล้วก่อนที่จะปฏิเสธไปและตอนนี้ลู่เชียงก็ดูท่าทางไม่พอใจมาก


แต่กระนั้น อยู่ๆเธอปากหวานและใช้น้ำเสียงที่น่ายั่วโมโหกับเขาอย่างไม่คาดคิด เธอจับแขนของเฉินหลงแล้วแกว่งไปมาซ้ายขวา


“พี่หลง พี่จะไปกับตระกูลลู่ไหม ตราบใดที่พี่ไปกับตระกูลลู่ ตระกูลลู่ก็จะทำทุกอย่างตามที่พี่ต้องการ” เมื่อเห็นท่าทางของลู่เชียง ฮ่าวซื่อเหวินก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง มันจำเป็นมากเลยหรอที่จะต้องเชิญเฉินหลงไปงานประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการวันมะรืนนี้ด้วย?


“เอาละ ฉันจะไป ฉันจะไป” ตอนที่ลู่เชียงแกว่งแขนเฉินหลงไปมาและเธอก็ทำท่างเหมือนจะตั้งใจและไม่ตั้งใจที่จะปล่อยให้แขนของเฉินหลงมาโดนหน้าอกเธอซึ่งนั้นทำให้ชายหนุ่มเลือดบริสุทธิ์อย่างเฉินหลงเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้และอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยไปกับเธอ


เมื่อได้รับความยินยอมจากเฉินหลง สีหน้าของลู่เชียงก็แสดงออกอย่างผู้ชนะและพูดกับเฉินหลงต่อว่า


“ห้ามกลับคำละ” เฉินหลงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้


หลังจากที่เฉินหลงตกลง ลู่เชียงและฮ่าวซื่อเหวินก็เตรียมพร้อมที่จะออกไป


เมื่อเฉินหลงมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตู เขาก็ได้กระซิบข้างหูลู่เชียงว่า


“เธอควรจำสิ่งที่เธอพูดไว้ด้วยนะว่าเธอสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ฉันสั่งให้เธอทำ ครั้งหน้า ฉันจะลองดู” พูดจบ เฉินหลงก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้ลู่เชียง


ทันทีที่เฉินหลงพูดจบ ลู่เชียงที่อารมณ์ดีอยู่ๆก็เหมือนถูกกลับมาทำให้อารมณ์เสีย


เมื่อพวกเขาทั้งคู่ได้ขึ้นรถแล้ว เฉินหลงได้โบกมือและยิ้มให้ทั้งคู่


สองวันต่อมา เฉินหลงได้ตามลู่เชียงไปเข้าร่วมงานประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เดิมทีเฉินหลงคิดว่ามันคงเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างโรงเรียน แต่เขากลับไม่คาดคิดว่านี้จะเป็นถึงระดับนานาชาติ  ที่ลู่เชียงเข้าร่วมการประชุมนี้ได้ด้วยอาจารย์ของเธอ


อาจารย์ของลู่เชียงเป็นชายวัยเพียง 30 ผมของเขาถูกหวีอย่างเรียบร้อยพร้อมกับสวมแว่นตา หนวดตรงบริเวณริมฝีปากและคางของเขาถูกเล็มอย่างดีแถมมีเคราที่ดูดี เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวลำลองและสวมรองเท้าลำลอง เขาดูอบอุ่นและดูเป็นทางการและเต็มไปด้วยเสน่ห์ของชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่ ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าจงเหอ เขาอายุ 35 ปี เป็นอาจารย์อยู่วิทยาลัยการแพทย์ ด้วยความรู้และเสน่ห์ของเขา เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นยูโรปา “Europa”ที่เป็นชายหนุ่ม ในวิทยาลัยการแพทย์ เพราะว่าเขายังโสดและได้รับความชื่นชอบจากสาวๆมากมาย แน่นอนว่าต่อหน้าคนอื่นๆ เขาเป็นเพียงอาจารย์คนนึงและเขาก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วย


TB:บทที่ 115 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ (2)


ซุนจงเหอเป็นอาจารย์หมอที่ของวิทยาลัยแพทย์และมีชื่อเสียงในเมืองจีน ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นศิษย์คนโปรด ลู่เซียงจึงถูกเขาพามาเข้าร่วมการประชุมด้วย แน่นอนว่าการที่เขาทำเช่นนั้นมันดูจะเห็นแก่ตัวเล็กน้อย แต่ยังไงเพื่อที่จะทำให้เขาได้ประหลาดใจ ลู่เซียงได้พาชายหนุ่มที่ไม่ใช่ทั้งนักเรียนและหมอมาด้วย


“คุณลู่นี้ใครหรอ?” ซุนจงเหอมองเฉินหลงพร้อมกับถามลู่เซียงไปด้วย


ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง ซุนจงเหอก็รู้สึกถึงภัยคุกคามได้ทันทีว่าเฉินหลงคงต้องกลายมาเป็นศัตรูเขา เขาคิดว่าไม่มีทางที่ใครหน้าไหนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เมื่อหญิงหรือชายคนที่เขาได้พบนั้นเกือบจะดีหรือดีมากกว่าตัวเองแถมยังมาปรากฏตัวอยู่รอบๆหนุ่มสาวคนโปรดของเขา เขาก็จะรู้สึกถึงภัยคุกคาม


“คุณซุน เขาคือเฉินหลง เพื่อนของหนูเองค่ะ ทักษะการแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ วันนี้เป็นวันการประชุมแลกเปลี่ยนของพวกเราและประเทศอื่นๆ บางทีเขาอาจจะเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์ได้บ้างน่ะค่ะ” ลู่เซียงแนะนำเฉินหลงให้ซุนจงเหอรู้จักอย่างกับว่าเขาเป็นของล้ำค่า


สำหรับลู่เซียงแล้ว เฉินหลงก็เป็นเหมือนกับเด็กน้อยที่ประมาณค่าไม่ได้


แต่น่าเสียดายที่ซุนจงเหอไม่ได้คิดว่าเฉินหลงจะมีค่าขนาดนั้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับคิดว่าเฉินหลงเป็นเหมือนกับแท่งที่มีอุจาระติดอยู่


“สรุปว่าคุณเฉินก็คือคนพวกเดียวกับผมนี่เอง ไม่ทราบว่าคุณเฉินจบมหาวิทยาลัยไหนมาหรอครับ?” ซุนจงเหอมองแท่งที่ติดก้อนอึตรงหน้าด้วยทีท่าที่กระตือรือร้นด้วยความอยากรู้ทันที


ถ้ามีฐานะที่เท่ากันมันก็คงง่ายที่จะเป็นเพื่อนกัน สิ่งแรกที่จะเอามาใช้กดดันก็คือมหาลัย แต่ถ้าเปรียบเทียบได้ ก็มาแข่งกันในเรื่องเชิงวิชาการ ว่าต้องประสบความสำเร็จในด้านการแพทย์อย่างมากและต้องไม่สามารถเอาไปเปรียบกับพ่อหนุ่มขนดกอย่างเฉินหลงได้ นอกจากนี้เขายังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของแพทย์หนุ่มอย่างเฉินหลงในวงการแพทย์ของจีนแผ่นดินใหญ่มาก่อนเลย


“ผมจบจากมหาวิทยาลัยชุนอันครับ สำหรับทักษะทางการแพทย์ ผมมีความรู้เพียงนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการฝั่งเข็มและการรมยา” เฉินหลงยิ้ม เฉินหลงรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังของจงเหอที่มีต่อเขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจการแสแสร้งเล็กๆน้อยๆนี้


“โอเค เข้าไปข้างในกันเถอะ ครั้งนี้พวกเราเป็นประธานในการจัดประชุม ผมหวังว่าจะได้ฟังคำแนะนำจากคุณเฉินนะครับ” เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงจบมาจากมหาวิทยาลัยชุนอัน ใบหน้าของซุนจงเหอก็ยิ้มออกอย่างเหยียดหยันและคิดว่าเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับตน ตอนนี้ในที่ประชุมก็อย่าทำให้ตัวเองดูเป็นคนโง่แล้วกัน


การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้ไม่ได้จัดใหญ่มาก เพียงจัดการประชุมที่ห้องประชุมของโรงแรมห้าดาว


ซุนจงเหอได้ยื่นบัตรเชิญของเขาออกมาแสดงและเดินเข้าห้องประชุมไป ซึ่งบัตรเชิญของจงเหอก็สามารถที่จะพาคนอื่นเข้าร่วมประชุมไปกับเขาได้ เฉินหลงและลู่เซียงจึงไม่ต้องหยุดรออยู่ด้านนอก


ห้องประชุมนี้สามารถจุคนได้ถึง 300 คน ตอนนี้มีผู้มาร่วมประชุมแค่เพียง 30 ถึง 40 คนเท่านั้น และดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่จะเริ่มประชุม หลังจากที่ซุนจงเหอเข้ามาด้านใน เขาได้กล่าวทักทายคนบางกลุ่มในห้องประชุม เราควรรู้ว่าการแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้เป็นถึงการประชุมทางวิชาการระดับนานาชาติ ทุกคนล้วนเป็นนักวิจัยทางการแพทย์ที่จบการศึกษาในระดับสูง เช่น พวกนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการและอาจารย์ที่มาเข้ามาร่วมการประชุม หากพวกเราสามารถผูกมิตรกับคนพวกนี้ไว้ได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก


เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนที่เข้ามาร่วมงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงชาวต่างชาติบ้างเล็กน้อยซึ่งก็ได้มาจากอเมริกา ญี่ปุ่นและบราซิล คนเหล่านี้อาจมีชื่อเสียง แต่เฉินหลงก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านี้เลย แต่ยังไงลู่เซียงก็ดูรู้จักมากอยู่


“ว้าว นั้นคุณทอมสัน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจและสมอง”


“ดูนั้นสิ นั้นคุณฮั่ว เขาเป็นหนึ่งในหมอที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน เขาถูกเขียนในนิตยาสารไว้หลายเล่มแถมรักษาคนดังมามากมาย”


……


ลู่เซียงพูดกับเฉินหลงถึงเรื่องของคนที่มาร่วมงาน


แต่อย่างไรก็ตาม เฉินหลงก็ไม่ได้สนใจพวกนักวิชาการแก่ๆเหล่านี้เท่าไหร่ ถ้าพวกเขาเป็นสาวสวยทั้งหมดได้ก็ว่าไปอย่าง


ไม่นานก็ได้เวลาเริ่มการประชุม หลังจากที่พิธีกรขึ้นเวทีและได้พูดเปิดการประชุม การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการก็เริ่มต้นขึ้น


เวลานี้ผู้เชี่ยวชาญได้ขึ้นเวทีทีละคนเพื่อที่จะพูดถึงเกี่ยวกับความรู้และแนวทางทางการแพทย์


เฉินหลงคิดว่าการให้ความรู้ทางการแพทย์แบบนี้นั้นดี มันก็เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้จากสองสถาบันที่มีความแตกต่างมาเรียนรู้ซึ่งกันและกันซึ่งมันสามารถขยายขอบเขตและสร้างแรงบันดาลใจได้มากยิ่งขึ้น นี่เป็นการช่วยเหลือที่ดีในการพัฒนาการแพทย์


อย่างไรก็ตาม การประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการนั้นควรจะดูเรียบง่าย เพราะการประชุมใช้เวลาถึงสามวันและในวันที่สามก็จะมีแพทย์หลายท่านมาจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ตั้งใจมาโต้แย้งกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ของจีนเพราะปัญหาทางวิชาการบางอย่างจนท้ายที่สุดก็ต้องเปลี่ยนเป็นการแข่งขันการรักษาภาคสนาม


“ชาวต่างชาติพวกนั้นดูไม่สุภาพเลย พวกเขาเป็นถึงระดับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงนะ” ลู่เซียงมองไปที่พวกเขาเหล่านั้นด้วยความโกรธเพราะ เหตุการณ์นี้บางส่วน มีการให้ความรู้ที่ดีแต่กลับเป็นคนแบบนี้หรอ


“พวกเขาทำแบบนั้นโดยที่ไม่ได้เจตนาหรอก” เฉินหลงพูดเบาๆอย่างแสแสร้ง


ในสายตาของเฉินหลง เขาได้เห็นทักษะของพวกเขาผ่านการแสดงเหล่านั้น


ลู่เซียงมองเฉินหลงอย่างประหลาดใจและพูดว่า “คุณรู้ได้ยังไง?”


“ง่ายมาก เพราะทักษะการแสดงของพวกเขานั้นแย่มากและคนไข้ของพวกเขาจะอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานถ้าไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน” เฉินหลงพูดอย่างสบประมาท


“ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้?” ลู่เซียงถามด้วยท่าทางงุนงง


“บางทีอาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้ทำให้ประเทศอื่นๆเสียหน้าอย่างแรง แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลับมาคนเดียวด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสในการประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการทำให้พวกเราขายหน้า ฉันเดาว่านี้ไม่ใช่โรคทั่วไป” เฉินหลงพูด


เฉินหลงคาดเดาได้ถูกต้องว่าเครื่องกำจัดฝุ่นจะทำให้รัฐบาลต้าเทียนได้หน้าไปในครั้งที่แล้ว อำนาจของรัฐบาลต้าเทียนสามารถทำให้คนพวกนี้เสียหน้าได้ ดังนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็ได้คิดหาโอกาสที่จะทำให้รัฐาบาลต้าเทียนเสียหน้าบ้างเหมือนกัน ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้เริ่มการประชุมแลกเปลี่ยนและเตรียมพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนลูกใหญ่


ครั้งนี้ พวกเขาต้องเตรียมการแข่งขันถึงสามรอบ รอบแรกเกี่ยวกับโรคหอบหืด


หลังจากที่พบกับคนไข้โรคหอบหืดสองคนที่ได้ปรากฏขึ้น ลู่เซียงนั้นได้มั่นใจว่าเฉินหลงก็ได้แค่เดาจริงๆ


ทุกคนที่อยู่ ณ ปัจจุบันตรงนี้ต่างมีชื่อเสียงในวงการแพทย์ ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นโรคหอบหืดจริงๆหรือไม่ พวกเขาก็ไม่สารถหลีกหนีจากพวกมันไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเลือกอะไรได้


โรคหอบหืดเป็นคำย่อมาจากโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม โรคหอบหืดเป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อยกับเซลล์และองค์ประกอบของเซลล์ ในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดถึง 300 ล้านคนในโลกและ 300 ล้านคนนั้นก็อยู่ในประเทศจีน


โรคหอบหืดเป็นโรคที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิต ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันเวลาและได้มาตรฐาน โรคหอบหืดอาจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าการรักษาได้มาตรฐาน ผู้ที่ป่วยโรคหอบหืดก็จะสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดีและการทำงานและชีวิตของพวกเขาก็เกือบจะไม่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ แต่ก็ยังคงรักษาให้หายขาดไม่ได้ นี่เป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นอันตรายไม่มาก


TB:บทที่ 116 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ (3)


“ทุกคนต่างรู้ว่าโรคหอบหืดเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดถึงจะได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานแล้วก็ตามและแม้ว่ามันจะไม่ได้ส่งผลกับชีวิตเรามากนัก แต่โรคก็ยังคงต้องได้รับการรักษา ถ้าเรามียาที่สามารถรักษาอาการและควบคุมตอนหอบหืดกำเริบได้ในทันทีและเป็นเวลานาน สิ่งนี้ก็เป็นเหมือนกับพรสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดและเราได้คิดค้นยานี้ขึ้นซึ่งระยะเวลาในการควบคุมยับยั้งโรคนี้นานถึงหนึ่งเดือน เมื่อกี้พวกคุณได้พูดว่าการฝั่งเข็มนั้นทรงพลังมากแค่ไหน ผมสงสัยมันจะใช้ได้ผลกับโรคนี้ได้อย่างไร?” แพทย์สูงวัยชาวอเมริกาพูดกับแพทย์ชาวจีนหลายคน


ในอดีตชาวต่างชาวพวกนี้ได้ประกาศท้าทายข้ออ้างในการฝั่งเข็มและการรมยาของแพทย์แผนจีน เมื่อได้ยินสิ่งที่แพทย์ท่านนั้นพูด มิสเตอร์ฮั่วและหมอแพทย์แผนจีนหลายท่านก็ต่างมองหน้ากันเพราะไม่มั่นใจว่าครั้งนี้จะชนะได้หรือไม่ พวกเขาทำไปก็เพื่อชื่อเสียงของการแพทย์แผนจีน ถึงแม้พวกเขาอาจไม่มีโอกาสชนะศึกในครั้งนี้ แต่ยังไงพวกเขาก็อยากที่จะชนะ


มิสเตอร์ฮั่วเป็นหนึ่งในแพทย์ชั้นนำของการแพทย์แผนจีน เขาเป็นคนเดียวที่จะสามารถสู้ศึกครั้งนี้ได้


“คุณพร้อมหรือยัง?” ชาวต่างชาติยิ้มให้คุณฮั่ว


“เชิญรับชม” มิสเตอร์ฮั่วพูดเพียงแค่ว่าให้รับชมแล้วจากนั้นเขาก็หยิบเข็มเงินออกมา


มิสเตอร์ฮั่วมีชื่อจริงว่าฮั่วหมิงเหรินซึ่งเกิดในตระกูลการแพทย์แผนจีน เขาเข้ามาคลุกคลีในการแพทย์แผนจีนตั้งแต่ยังเป็นเด็กซึ่งเข้าได้เริ่มเรียนรู้มันหลังจากที่เขาเริ่มรู้ความได้ เขามีประสบการณ์หลายสิบในวงการการแพทย์แผนจีนและมีความเข้าใจในการแพทย์แผนจีนระดับสูง ครั้งหนึ่งเขาเคยอ่านตำราวิธีการฝั่งเข็มรักษาโรคหอบหืดในสมัยโบราณ แต่วิธีการฝั่งเข็มนี้ได้สูญหายไปแล้ว


ในใจของฮั่วหมิงนั้นเศร้ามาก ที่การฝั่งเข็มที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้สูญหายไปกับแม่น้ำแยงซีตามกาลเวลา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้มีฝั่งเข็มแบบนั้นแล้ว แต่เพื่อชื่อเสียงของการแพทย์แผนจีน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่และสู้ให้ถึงที่สุด


มิสเตอร์ฮั่วฝั่งเข็มเงินลงไปที่คอของผู้ป่วยหลายเล่มเพื่อยับยั้งโรคหอบ ไม่นานอาการหอบของผู้ป่วยก็ค่อยๆทุเลาลง


ทางด้านแพทย์ชาวอเมริกา เขาได้ยื่นหลอดแก้วเล็กๆที่มีของเหลวสีฟ้าให้กับผู้ป่วย อาการหอบของผู้ป่วยได้ลดลงทันทีและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วโดยปราศจากอาการต่างๆที่เป็นอุปสรรค


ผู้ป่วยเป็นชายวัย 40 เมื่อเขาพบว่าอาการหอบของเขาหายเป็นปกติ เขาก็รีบแสดงความขอบคุณกับแพทย์ทันที


“ไม่เป็นไรครับ นั้นเป็นสิ่งที่แพทย์ควรจะทำ มันไม่ได้เพียงแค่หยุดอาการหอบของคุณตอนนี้เท่านั้น นอกจากนี้ถ้าคุณออกกำลังกายอย่างหนัก อาการหอบของคุณก็จะไม่กลับมาอีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน”


“จริงๆหรอครับ?” หลังจากที่ได้ยินคำพูดจากคนที่เป็นหมอ ชายคนนั้นก็รีบวิ่งไปทั่วบริเวณห้องประชุม


หลังจากที่ได้วิ่งสองสามนาที ชายที่เป็นโรคหอบก็ไม่ได้กลับมากำเริบอีกและจากนั้นก็มีเสียงปรบมือจากรอบๆห้องประชุมดังขึ้นมา ถ้าไม่ต้องคำนึงถึงการแข่งขัน ยาที่ถูกคิดค้นขึ้นจากสหรัฐนั้นก็ดูเหมือนเป็นพรที่ผู้ป่วยโรคหอบปรารถนาจริงๆ


ส่วนทางด้านฮั่วหมิงเหรินที่กำลังรักษาชายโรคหอบหืดเช่นกัน อาการกำเริบของโรคหอบก็ถูกควบคุม แต่ฮั่วหมิงเหรินได้ให้ผู้ป่วยพักสักครู่โดยที่ไม่ให้ขยับตัว


ด้วยวิธีนี้ ทำให้เกาเซี่ยได้ทำการตัดสินทันที


“มิสเตอร์ฮั่ว ดูเหมือนว่าแพทย์แผนจีนของคุณจะดูไม่คู่ควรสมชื่อนะ มันไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับการแพทย์ปัจจุบันของเราได้ บางสิ่งก็ควรจะทิ้งเมื่อพวกมันเก่าแล้ว” แพทย์ชาวอเมริกาได้พูดกับฮั่วหมิงเหริน


“มิสเตอร์มิลเลอร์ การฝั่งเข็มและการรมยาของจีนอยู่ในประวัติศาสตร์มานับพันปี ซึ่งมันเป็นทักษะทางการแพทย์ที่วิเศษมาก น่าเสียดายที่คนอย่างผมได้เรียนรู้เพียงผิวเผินจนไม่สามารถแสดงการฝั่งเข็มและการรมยาที่วิเศษนี้ได้” ฮั่วหมิงเหรินรีบตอกกลับทันที


นั้นมันไม่ได้หมายความว่าการฝั่งเข็มและการรมยาของจีนนั้นไม่ได้ผล ในสมัยโบราณ มีเทคนิคการฝั่งเข็มที่น่าอัศจรรย์ที่สามารถรักษาโรคที่รักษายากและโรคนานาชนิดได้หมด จริงๆถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็อยากที่จะเห็นเทคนิคการฝั่งเข็มวิเศษพวกนี้ด้วยตาของเขาเอง แต่ตอนนี้คนพวกนี้พูดว่าการฝั่งเข็มนั้นไร้ประโยชน์ ฮั่วหมิงเหรินจึงไม่เห็นด้วย


“ใช่ แต่พวกเราก็ต้องการที่จะเห็นการฝั่งเข็มสุดวิเศษและการรมยาในราชวงศ์สวรรค์ ถ้ามิสเตอร์ฮั่วมีวิธีละก็ พวกเราสารารถรอได้อีกหน่อย” ตอนแพทย์สูงวัยชาวอเมริกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาจึงย่อมไม่ปราณีใครถ้าในเมื่อเขาอยู่เหนือกว่าแล้ว แถมใครมันจะไม่อยากเห็นสีหน้าของคนที่เหมือนจะแพ้ตอนที่พวกเขาได้ยินคำพูดพวกนี้บ้างละ?


ในเวลานี้ ซุนจงเหอถึงกับยกมือขึ้นปิดปากของเขาเมื่อได้ยินคำพูดจากเฉินหลงและพูดกับเขาว่า


“คุณเฉิน ชาวต่างชาติคนนั้นเขาหยิ่งยะโสมากจนเพิกเฉยกับหมอแพทย์แผนจีนในราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่ของเพวกเรา ถ้าผมรู้เรื่องการแพทย์แพทย์จีน แม้ว่าจะต้องแพ้ ผมก็จะขึ้นไปสู้แน่นอนและจะไม่ปล่อยให้พวกเขาดูถูกพวกเราแบบนี้ เอ่อเกือบลืม คุณไม่ได้พูดหรอว่าสามารถฝั่งเข็มและรมยาแบบจีนได้? คุณไม่ขึ้นไปสั่งสอนให้เขารู้จักเงียบปากบ้างละ”


ถึงแม้ว่าในคำพูดเขาจะดูเคร่งครึมและตรงไปตรงมา แต่เขาร้ายกาจที่หลอกให้เฉินหลงขึ้นไป


ถ้าทักษะของเฉินหลงอยู่ในระดับต่ำ เฉินหลงก็เหมือนทำตัวโชว์โง่ และด้วยลักษณะของเฉินหลงก็ดูไม่เหมือนอยู่ในระดับสูงเลย


“ยังไงฉันก็ไม่ชอบพวกต่างชาตินั้นอยู่แล้ว งั้นฉันก็จะขึ้นไปเล่นกับเขา” เดิมทีเฉินหลงก็ไม่ได้อยากจะทำ แต่เมื่อเห็นชาวต่างชาติที่ดูจะอวดดีเกินไป เฉินหลงก็เริ่มไม่พอใจเท่าไหร่และอยากจะให้บทเรียนแก่เขา ดังนั้นเมื่อซุนจงเหอพูดจบ เฉินจึงตอบตกลง


เมื่อได้ยินการตอบรับที่ง่ายดายของเฉินหลง ซุนจงเหอและลู่เซียงก็นิ่งครู่นึง เพราะมันดูไม่เป็นไปตามไพ่ที่วางไว้


“เฉินหลง เอาเลย” เมื่อเห็นเฉินหลงเริ่มขยับตัวที่จะไป ลู่เซียงก็เหมือนใส่น้ำมันเข้าไปในกองเพลิงรีบเชียร์เฉินหลงอย่างตื่นเต้น


ครั้งล่าสุดตอนอยู่ที่บ้าน เธอไม่ได้เห็นเฉินหลงแสดงฝีมือมานานแล้ว ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วแน่นอนว่าเธอนั้นตื่นเต้นมาก


“มิสเตอร์มิลเลอร์ สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ก็เหมือนกับกบที่อยู่ก้นบ่อ(井底之蛙) เทคนิคการฝั่งเข็มที่ถูกส่งต่อมาราชวงศ์แห่งสวรรค์มานับพันปีนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการแพทย์แผนปัจจุบันที่คุณพูดถึงอีก ยารักษาโรคหอบหืดเฉพาะทางของคุณ มีผลในการรักษาอาการกำเริบโรคหอบหืดในตอนนี้ได้อย่างทันทีและถูกควบคุมยับยั้งอาการโรคเป็นเวลาหนึ่งเดือน นั้นมันอ่อนเกินไป การฝั่งเข็มและการรมยาของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้ แต่มันสามารถรักษาโรคหอบหืดได้” เฉินหลงลุกขึ้นยืนและเดินไปพูดหน้าเวที


คำพูดของเฉินหลงทำให้คนในห้องประชุมพากันถกเถียงกันว่าเหมือนเฉินหลงกำลังคุยโว


ฮั่วหมิงเหรินและแพทย์คนอื่นๆก็ไม่ได้มองเฉินหลงไปในแง่ดีเช่นกัน


“คุณครับ สิ่งที่คุณพูดนั้นดีมาก แต่ผมสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงเพราะเรายังไม่ได้เห็นได้ด้วยตา จริงไหม?” มิลเลอร์มองเฉินหลงและยิ้มอย่างเหยียดหยาม


เฉินหลงยิ้มและเดินไปขึ้นเวที เขาเดินไปหาฮั่วหมิงเหรินที่เพิ่งทำการรักษาและพูดไปว่า


“แน่นอน ผมสามารถทำได้ ไม่อย่างนั้นผมจะมาอยู่ตรงนี้ทำไม?”


“ครับ คุณเริ่มได้เลยครับ” มิลเลอร์พูดพร้อมกับมองเฉินหลง มิลเลอร์ไม่เชื่อว่าเพียงแค่เข็มของเฉินหลงจะสามารถรักษาโรคหอบหืดได้ มันเป็นไปไม่ได้


“เดี๋ยวก่อนครับ” เฉินหลงพูดหยุด


“มีอะไรให้ผมช่วยคุณไหมครับ?” มิลเลอร์ถาม


“เกือบลืมไปว่าเมื่อกี้คุณพูดว่ายารักษาโรคพิเศษของคุณนั้นได้ผล และพูดว่าการแพทย์แผนจีนของพวกเรานั้นไร้ประโยชน์ แต่ถ้าผมสามารถรักษาโรคหอบหืดได้ คุณจะพูดว่าการแพทย์แผนปัจจุบันของคุณนั้นมันไร้ประโยชน์หรือไม่ได้ผลได้ไหมละ?” เฉินหลงมองมิลเลอร์อย่างจริงจัง


“ได้ ผมเดิมพันเลย แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ นั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าการแพทย์แผนจีนของคุณนั้นไร้ประโยชน์จริงๆ” มิลเลอร์ไตร่ตรองและตอบตกลง



TB:บทที่ 117 สมาคมแลกเปลี่ยนการทางแพทย์ (4)


“มิสเตอร์ฮั่ว มันถูกต้องนะครับที่เด็กผู้ชายคนนี้จะมาเป็นตัวแทนของพวกเรา?  เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะเดิมพันในครั้งนี้? เขาทำตามที่พูดไม่ได้หรอก”


“ใช่แล้วมิสเตอร์ฮั่ว รีบเอาเด็กคนนั้นลงมาเถอะ”


“เกมส์ครั้งนี้เราแพ้แล้ว ไว้ค่อยไปแข่งเกมส์หน้าอีกดีกว่า เราอย่าปล่อยให้เด็กคนนั้นมาทำเป็นเล่นๆแถวนี้เลย”


……


เมื่อเห็นว่าเฉินหลงขึ้นไปบนเวทีจริงๆแล้วมิลเลอร์ก็ยังมาท้าพนันอีก หมอแพทย์แผนจีนหลายท่านก็ต่างว้าวุ่นและรีบพูดกับฮั่วหมิงเหริน


ฮั่วหมิงเหรินจ้องไปที่หมอแพทย์แผนจีนที่มาร่วมงานและพูดกลับอย่างไม่สบอารมณ์ไปว่า


“หมอแพทย์แผนจีนอย่างพวกเราโดนดูหมิ่นโดยมิสเตอร์มิลเลอร์ ตอนที่ชายคนนั้นพูดดูถูก ทำไมพวกคุณไปตอกกลับบ้างละ? แล้วตอนนี้มีบางคนยินดีที่จะก้าวออกมาเป็นตัวแทนการแพทย์แผนจีนแทนพวกเรา แต่พวกคุณยังจะมาพูดแบบนั้นแบบนี้ เป็นแบบนี้นะดีแล้ว มันจะดีกว่าถ้าให้เขาได้พยายามลองดู ไม่แน่เขาอาจะทำให้พวกเราประหลาดใจได้ก็ได้นะ” ถึงแม้ว่าฮั่วหมิงเหรินจะไม่รู้จักเฉินหลง แต่เขากลับเชื่อว่าเฉินหลงน่าจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเพราะดูจากความมั่นใจที่เขามีแล้วมันทำให้เขากล้าที่จะปล่อยให้เด็กคนนี้ได้ลอง หากเขาไม่สามารถทำได้ เขาก็พร้อมที่จะเป็นตัวช่วยและพูดว่าเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของการแพทย์แผนจีนได้


ในเวลานี้ หากเฉินหลงมีความมั่นใจอยู่ในใจ เขาต้องรู้น่าว่าเขาจะต้องทำมันออกมาได้ดี


เมื่อหมอแพทย์แนผจีนหลายท่านได้ฟังสิ่งที่ฮั่วหมิงเหรินพูดเช่นนั้น พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่หยุดพูดและเฝ้ามองเฉินหลงเท่านั้น


ในฐานะปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิด สิ่งที่ฮั่วหมิงเหรินและแพทย์อีกหลายท่านที่พูดเกี่ยวกับตัวเฉินหลงซึ่งเขาเองก็ได้ยินทั้งหมดชัดเจน เขาได้ยิ้มให้กับฮั่วหมิงเหรินและจากนั้นก็ได้หยิบเข็มเงินขึ้นมา


“เนื่องจากคุณ แพทย์แผนปัจจุบันโรคหอบหืดไม่มีทางรักษาได้ ดังนั้นผมจะแสดงให้กบที่อยู่ก้นบ่ออย่างคุณได้เห็นการฝั่งเข็มที่น่าอัศจรรย์ของแผ่นดินจีน” เมื่อได้เห็นเทคนิคการฝั่งเข็มเงินของเฉินหลง ดวงตาของฮั่วหมิงเหรินก็เบิกกว้าง ด้วยเทคนิคนี้ มันทำให้ทักษะการฝั่งเข็มของชายคนนี้ดูไม่แย่เลย


หลังจากที่เข็มเงินของเฉินหลงแทงเข้าไปที่คอของผู้ป่วย หน้าของมิลเลอร์ก็แสดงรอยยิ้มที่เหยียดหยามออกมา นั้นดูดีมากเลยนะ แต่ในสุดท้ายมันก็เป็นเทคนิคที่เหมือนกับฮั่วหมิงเหรินไม่ใช่หรอ?


การฝั่งเงินของเฉินหลงก็เหมือนกันกับฮั่วหมิงเหรินแต่ของเฉินหลงมีการกระตุ้นเส้นลมปราณซึ่งในเทคนิคของฮั่วหมิงเหรินไม่มี


เมื่อครู่นี้เฉินหลงได้กลั่นยาบางส่วนมารักษาอาการหอบหืดจากในร่างกายของเขา พลังความแข็งแกร่งมาถึงระดับขอบเขตกำเนิดแล้ว ดังนั้นความเร็วในการกลั่นไอของยารักษาจึงเร็วขึ้นหลายเท่า เมื่อเข็มเงินเจาะผ่านทะลุไอของยาผ่านเข้าสู่ลำคอของผู้ป่วยและเริ่มชำระล้างกลุ่มเซลล์ที่ทำให้เกิดโรคหอบและการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ หลังจากนั้นเฉินหลงก็ได้แทงเข็มเพิ่มลงไปสองสามเล่มและจากนั้นก็หยุด


สิบนาทีผ่านไป เฉินหลงก็ถอนเข็มออกและพูดกับมิลเลอร์ว่า


“ผมได้ทำการรักษาโรคหอบหืดแล้ว ตอนนี้คุณสามารถเข้ามาทดสอบได้เลย” สำหรับไอของยาที่กลั่นออกมาจากเฉินหลงโดยตรงได้เข้าสู่เส้นลมปราณและได้กระจายหายไปในอากาศ


เมื่อเฉินหลงพูดจบ ไม่เพียงแต่มิสเตอร์มิลเลอร์ที่ตกตะลึง ฮั่วหมิงเหรินและรวมถึงคนอื่นๆก็พากันตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกเขาคาดไม่ถึงว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้


ในไม่ช้า ผู้เชี่ยวชาญมิลเลอร์ก็กลับมาได้สติและได้เริ่มตรวจสอบผู้ป่วย


สุดท้ายเขาก็ได้ผลตรวจสอบจากผู้ป่วยและต้องตกใจกับผลที่ได้เพราะมันถูกรักษาแล้วจริงๆ


มันเป็นไปได้ยังไง? มิลเลอร์และคนอื่นพากันสับสน


เมื่อพวกเขาเห็นท่าทีของมิลเลอร์ก็พากันงงงวย ฮั่วหมิงเหรินกับหมอแพทย์แผนจีนอีกหลายทันก็ต่างรู้ว่าเฉินหลงนั้นสามารถผู้ป่วยโรคหอบหืดได้แล้ว ทันใดนั้นพวกเขาก็ส่งสายตาที่เป็นประกายไปหาเฉินหลง นี่คือการแพทย์แผนจีนที่กำลังผงาดในวงการแพทย์แผนจีนแห่งแผ่นดินจีนที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะไม่มีหมอแพทย์จีนคนไหนมองเฉินหลงไปในทางที่ดีมีเพียงฮั่วหมิงเหรินที่เชื่อในตัวเขาอยู่ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้เข้าไปขัดขวางเฉินหลงในการเข้าไปกอบกู้ชื่อเสียงของการแพทย์แผนจีนในตอนนั้น ส่วนจงเหอที่อยู่ด้านล่างของเวทีก็ถึงกับงง


ภายในงานนี้เฉินหลงไม่ใช่คนที่ถูกเชิญมา เขาเป็นเพียงคนที่จบมาจากมหาวิทยาลัยชุนอันแต่กลับสามารถรักษาโรคหอบหืดได้ มันช่างน่าตลก ตอนนี้ลู่เซียงถึงกับอุทานออกมาอย่างดีใจ


“เฉินหลง เยี่ยมไปเลย”


หลังจากที่เฉินหลงได้รักษาโรคมะเร็งของคุณปู่มา ลู่เซียงจึงมั่นใจในตัวเฉินหลงมาก แม้แต่โรคมะเร็งยังถูกรักษาให้หายได้ แล้วนับประสาอะไรกับโรคหอบหืด


เมื่อได้ยินเสียงของลู่เซียง เฉินหลิงก็ยิ้มให้เธอแล้วจากนั้นก็พูดกับมิลเลอร์ว่า


“เอ่อนี่ คุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดที่อยู่ที่นี่ พวกคุณทุกคนควรจะรู้แจ้งได้แล้วนะว่าโรคหอบหืดของชายคนนี้ถูกรักษาแล้ว” พูดจบเฉินหลงก็มองมิลเลอร์และพวกผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ยอมรับผลการตรวจสอบ


“เบื้องหน้าของพวกคุณคือผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ได้รับการรักษา แต่ไม่ว่าอาการจะกลับมากำเริบหรือไม่ก็ต้องคอยเฝ้าสังเกตอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง” มิลเลอร์พูดอย่างหมดหนทาง


“กลับมากำเริบหรอ  ตอนนี้ฉันรู้สึกแหมือนคนปกติแล้ว ดังนั้นก็อย่ามาแช่งฉันซิ” มิลเลอร์เพิ่งพูดจบ ผู้ป่วยที่ได้ให้ความร่วมมือทำการทดสอบก็พูดโต้อย่างใจร้อนออกมาทันทีและหันไปพูดกับเฉินหลงอย่างสุดซึ้งว่า


“คุณหมอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหมอ ผมคงต้องติดแง็กกับโรคนี้ไปตลอดชีวิตแน่ ขอบคุณ ขอบคุณครับและก็ขอบคุณการแพทย์ที่สุดยอดของราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่นี้”


“มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนเป็นหมอต้องรักษาโรค” เฉินหลงพยักหน้าให้กับชายคนนั้น


จากนั้นชายคนดังกล่าวก็เดินลงเวทีไปอย่างมีความสุข


“ถ้าคุณไม่กล้าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ คุณเพียงแค่มองไปที่ผู้ป่วยสิ คุณไม่แม้แต่จะกล้าเผชิญหน้ากับตัวเองด้วยซ้ำ”เฉินหลงพูดกับมิลเลอร์


คำพูดของเฉินหลงทำให้หน้าของมิลเลอร์ตอนนี้ถึงกับหน้างอ มิลเลอร์ก็เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้เขาโดนเด็กหนุ่มตรงหน้าวิจารณ์ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาเข้าใจถึงความหมายของชายสูงส่งคนนั้นที่พูดถึง ตอนนี้เขาต้องการที่จะหาทางออกจริงๆ


ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการลบล้าง แต่เขาก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าคนที่เป็นโรคหอบหืดจริงๆจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ ในเวลานี้ได้มีชายคนหนึ่งได้ออกมาพูดช่วยเขา


“หนุ่มสาวทั้งหลาย ทักษะทางการแพทย์นั้นกว้างขวางและลึกซึ้ง มันใช่การรักษาโรคที่ต้องนำใครมาเปรียบเทียบกัน มิสเตอร์มิลเลอร์ไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของการแพทย์แผนปัจจุบัน ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นถือว่าไม่นับ” คนที่พูดเป็นชายวัย 50 ที่ดูออกจะมอมแมมเล็กน้อย เขาเป็นชายชาวญี่ปุ่นที่พูดจีนแข็งจนไม่ต้องพึ่งล่าม


“มิสเตอร์ซาโนะ คุณจะไม่ลำเอียงไปหน่อยหรอ ตอนที่มิสเตอร์มิลเลอร์พูดดูถูกการแพทย์แผนจีน ตอนนั้นคุณก็ไม่ได้ออกมาพูดนิ ตอนนี้เราแค่ต้องการให้ทำในสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านั้น แต่คุณกลับก้าวออกมาพูดคำเหล่านี้ ดูเหมือนว่าคุณก็เป็นตัวแทนของแพทย์แผนปัจจุบันสินะ” เมื่อเห็นมารตัวน้อยกระโดดออกมาสู้ ฮั่วหมิงเหรินก็ไม่มีทางปล่อยให้เฉินหลงถูกรังแก


เจ้ามารตัวน้อยนี้เป็นน้องชายที่แสนจะถักดีต่อฝั่งสหรัฐ ทั้งสองประเทศนี้สมรู้ร่วคิดกันซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ดี เมื่อเขาถูกยับยั้งเมื่อครู่ เขาจึงช่วยอะไรฝั่งนั้นไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฝั่งจีนถือไพ่เหนือกว่า ดังนั้นฮั่วหมิงเหรินจะไม่ยอมพวกเขาแล้ว


“ผมไม่ได้พูดว่าเป็นตัวแทนของการแพทย์แผนปัจจุบัน ผมแค่กำลังพูดถึงเรื่องๆนี้” ซาโนะ กังฟูสนับสนุนคำพูดของฮั่วหมิงเหรินและจากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ


“ตราบใดเรื่องนี้ก็ยังคงเกี่ยวข้อง กล่าวคือคุณสามารถพูดดูถูกการแพทย์แผนจีนได้ แต่ก็ต้องให้เราตอบโต้กลับได้ด้วยสิ” ฮั่วหมิงเหรินพูดกดดันต่อ


 TB:บทที่118 สมาคมแลกเปลี่ยนทางการแพททย์ (5)


“เปล่า ผมไม่ได้พูดแบบนั้น” ซาโนะ กังฟู รีบพูดขึ้นมาทันที


ถ้าเฉินหลงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็คงไม่กล้าที่จะพูดหรอก แต่เมื่อเฉินหลงได้ปรากฏตัวขึ้นและสามารถรักษาโรคหอบหืดได้ในขณะที่ในทางการแพทย์แผนตะวันตกยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ต่อให้เฉินหลงจะให้ความมั่นใจซาโนะ กังฟู 100% แต่เขาก็คงไม่กล้าที่จะพูดขึ้นมาหรอก


“ถ้าไม่ได้พูดแบบนั้น ก็ปล่อยให้มิสเตอร์มิลเลอร์พูดสิ แค่ให้เขาพูดเพราะยังไงเขาก็ไม่เป็นตัวแทนของแพทย์แผนปัจจุบันอยู่แล้วใช่ไหมละ?” เมื่อครู่มิลเลอร์ได้พูดดูถูกแพทย์แผนจีนอย่างจองหอง ตอนนี้ฮั่วหมิงเหรินจึงอยากจะฉีกหน้าเขา


หลังจากที่ได้ยินฮั่วหมิงเหรินพูดดังนั้น ซาโนะกังฟูจึงไม่รู้จะตอบไปว่ายังไง เขาทำได้เพียงมองทอมสันที่เป็นหัวหน้าการประชุมในครั้งนี้


“มิสเตอร์ฮั่ว สิ่งที่มิสเตอร์มิลเลอร์พูดไปเมื่อกี้นั้นผิดจริง ให้ผมขอให้เขาขอโทษคุณไหม?” ทอมสันเป็นชายผมบลอนด์ร่างสูง ซึ่งในตอนที่เขายังหนุ่มถือได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ผิวของเขาได้เหี่ยวย่นคล้ายกับพุดดิ้งเพราะตอนนี้เขามีอายุมากกว่า 60 ปีแล้ว


ในตอนนี้ เฉินหลงยังไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่ช้าก็พูดขึ้นอย่างเหยียดหยันว่า “ถ้าคำขอโทษมันเป็นประโยชน์ แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไมกัน? ตอนนี้ไม่ว่ามิสเตอร์มิลเลอร์จะทำตามที่เขาพูดไหม ผมไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องประชุมแลกเปลี่ยนต่อไป”


“ใช่ เสี่ยวเฉินพูกถูก ถ้ามิสเตอร์มิลเลอร์ไม่ทำตามที่เขาพูด การประชุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะดำเนินต่อไปไม่ได้ สุดท้ายแล้วเฉินหลงก็พิสูจน์ได้แล้วว่าการแพทย์แผนจีนแห่งราชวงศ์จีนที่ยิ่งใหญ่นั้นดีกว่าการแพทย์แผนปัจจุบัน” ฮั่วหมิงเหรินพูดขึ้นมาทันที ชาวต่างชาติพวกนี้ไม่ได้ดีพอที่จะมาที่นี่ ฮั่วหมิงเหรินจึงไม่อยากจะทำตัวสุภาพกับพวกเขาอีกแล้ว


“ใช่ ใช่ ทำในสิ่งที่พูดไว้หรือจะยุติการประชุมแลกเปลี่ยนนี้”  “ใช่”


“ใช่”


เมื่อฮั่วหมิงเหรินเปิดปากพูด หมอแพทย์แผนจีนที่เหลือก็ต่างออกมาพูดตาม


เมื่อพวกเขาเห็นฮั่วหมิงเหรินทำเช่นนั้ก็ต่างเปลี่ยนท่าทีไปในทันทีและตอนนี้มันทำให้ทอมสันก็ปวดหัวไปด้วย คำพูดของเฉินหลงเป็นเหมือนกับกองทัพที่จะมาโจมตีทอมสัน ครั้งนี้เขาทำงานหนักเพื่อที่จะทำให้ประเทศจีนนั้นเสียหน้า แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าหลังจบการแข่งขันพวกเราจะพ่ายแพ้เสียเอง ถ้ายุติการประชุมลงมันจะทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าเองและทอมสันก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นด้วย เขามาที่นี่เพื่อมาสร้างชื่อเสียง เขาคงเห็นแก่มิลเลอร์ไม่ได้ เขาได้พูดสองสามคำอย่างสุภาพและนั้นมันทำให้มิลเลอร์หน้าเสียขึ้นไปอีก


ครั้งนี้ยาเฉพาะทางโรคหอบหืดเดิมทีถูกเตรียมไว้อย่างพิถีพิถันจากมิลเลอร์ เมื่อเขาได้พูดจาโอ้อวดไว้เยอะ เขาต้องเจอกับผลที่ร้ายแรงของมัน และเพื่อนของเขาก็ไม่ได้มีความเห็นที่ต่างออกไป แต่ตอนนี้เขาต้องปล่อยให้ตัวเองรับผลซึ่งในใจของมิลเลอร์ก็รู้สึกเสียใจ


ถึงแม้ว่ามิลเลอร์จะไม่เต็มใจทำสิ่งที่เขาได้พูดไว้ก่อนหน้านั้น แต่ด้วยคำพูดของทอมสันเขาย่อมต้องทำให้มันจบ หลังจากนั้นเขาหมอสูงวัยชาวอเมริกาก็ยังคงต้องทำตามในสิ่งที่พูด


“การแพทย์แผนปัจจุบันที่ผมได้เรียนรู้มานั้นมันไร้ประโยชน์จนไม่สามารถเทียบได้กับการแพทย์แผนจีนของประเทศจีนได้” มิลเลอร์ต้องบังคับตัวเองฝืนพูดต่อหน้าสาธารณะ


“ครั้งนี้ ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าทักษะการแพทย์ของจีนแผ่นดินใหญ่นั้นประวัติมายาวนานกว่าพันปีและความน่าอัศจรรย์ของการแพทย์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกอย่างคุณจะมาดูถูกได้” เฉินหลงมองมิลเลอร์และพูดกับเขาอย่างเยือกเย็น


“มิสเตอร์ฮั่ว ในเมื่อมิสเตอร์มิลเลอ์ได้ทำตามที่เขาพูดแล้ว พวกเราประชุมกันต่อเลยได้ไหมครับ?” ครั้งนี้เป็นทอมสันที่มาพูดกับฮั่วหมิงเหรินด้วยตัวเอง ในความคิดของเขา ฮั่วหมิงเหริน ยังคงที่มีวาทศิลป์มากที่สุดท่ามกลางแพทย์ในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ฮั่วหมิงเหรินก็ไม่ได้ตอบกลับไปทันทีแต่กลับมองไปที่เฉินหลงแทน หลังจากที่ได้เห็นทักษะการฝั่งเข็มของเฉินหลง ฮั่วหมิงเหรินก็รู้ว่าเขาจะต้องทำตามเฉินหลงเท่านั้น เฉินหลงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย


“โอเค ประชุมต่อได้เลยครับ” เมื่อฮั่วหมิงเหรินเห็นเฉินหลงพยักหน้าเขาก็รีบตอบตกลงทันที ตอนนี้เขามีความมั่นใจมาก


เวลานี้ทอมสันได้บอกให้คนของเขาพาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจสองคนมา ผู้ป่วยสองคนนี้มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงและสวยมากด้วย แต่อาจเป็นเพราะโรคของพวกเธอทำให้หน้าทั้งสองซีดเผือดและนั้นก็ยิ้มเพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก


“ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด พวกเขาได้รับการผ่าตัดตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่นานมานี้อาการก็กลับมากำเริบจนไม่สามารถควบคุมได้ พวกเราได้คิดค้นยาเพื่อที่จะยับยั้งโรค หลังจากที่รับประทานยาไป พวกเราก็สามารถควบคุมไม่ให้อาการกลับมากำเริบอีกครั้งได้ ผมสงสัยว่าการฝั่งเข็มและการรมยาของคุณจะสามารถทำได้รึเปล่า? ” ทอมสันพูด


 


การประชุมแลกเปลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในตาราง ดังนั้นงานจึงดำเนินไปด้วยความแปลกใจของหลายคน “ควบคุมหรอ? ผมว่ามันจะดูถูกทักษะการฝั่งเข็มและการรมยาของประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าผมไม่สามารถรักษาเธอได้ แล้วจะแสดงทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ของจีนแผ่นดินได้อย่างเล่า?”เฉินหลงพูดแกมดูถูก


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลง ใจก็ทอมสันก็กระตุกวูบทันทีและพูดว่า “โอเค ถ้าคุณสามารถรักษาโรคหัวใจของพวกเธอได้ งั้นการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้จะไม่เอามาเปรียบเทียบกับของผมแล้วพวกเราก็จะขอโทษคุณกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านั้นด้วย” ท่าทางมั่นใจของเฉินหลงมันทำให้ทอมสันรู้สึกได้ทันทีว่าการมาที่ประเทศจีนเป็นสิ่งที่ผิดและเพื่อที่จะไม่ให้เหตุการณ์แย่ลงไปกว่านี้ เขาจึงต้องหาทางออกให้ด้วยเองด้วย


หลังจากมองดูไปที่ทอมสัน เฉินหลงก็บอกให้หญิงสาวทั้งสาวนอนที่เตียงผู้ป่วยข้างกันและจากนั้นเขาก็เริ่มรักษาพวกเธอทั้งสอง


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เฉินหลงได้ถอนเข็มออกจากร่างทั้งสองสาว


โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างในหัวใจบางส่วน ก๊าซยานั้นได้เขาไปรักษาซ่อมแซมตราบเท่าที่จะทำได้


“เอาละ ตอนนี้คุณสามารถมาตรวจสอบได้แล้วครับ” หลังจากที่ฝั่งเข็มเสร็จแล้วเฉินหลงก็พูดกับทอมสันที่ได้เตรียมพร้อมที่จะตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลง ทอมสันและคนของเขาก็ได้รีบหยิบเครื่องมือขึ้นมาตรวจสอบทั้งสองสาวทันที แน่นอนว่าผลการตรวจสุดท้ายของหญิงสาวทั้งสองระบุว่าโรคของพวกเธอทั้งสองนั้นได้ถูกรักษาจนหายขาดแล้ว ถึงแม้ว่าทอมสันจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นผลการตรวจสอบแล้วว่าหัวใจของพวกเธอทั้งสองกลับมาเป็นแบบเดียวกับคนปกติแล้วซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับทอมสันจริงๆ ในเวลาเดียวกัน ความน่าเชื่อถือของการฝั่งเข็มและการรมยาของประเทศจีนนั้นได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากในความคิดของเขา


หญิงสาวทั้งสองเมื่อได้ยินว่าโรคของพวกเขาได้ถูกรักษาโดยหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นอกจากนี้ร่างกายของพวกเธอก็ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเท่านี้มาก่อน ดังนั้นพวกเธอจึงเดินมาหาเฉินหลง กอดเขาและจูบแก้มเขาด้วยความตื่นเต้น


เมื่อได้เจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ผู้คนที่มองดูอยู่ก็อดที่จะปรบมือให้เฉินหลงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่ลู่เซียงเห็นว่าเฉินหลงโดนผูหญิงกอดและโดนบังคับจูบ เธอก็รู้สึกข่มขืนอยู่ในใจขึ้นมาทันที เธอรู้สึกราวกับว่าของของเธอกำลังจะถูกคนอื่นแย่งไป


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมฉันต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย? เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? นี่มันไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉันเลย ฉันควรจะดีใจสิ. ” เมื่อพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติ ลู่เซียงก็เริ่มหาข้ออ้างมาโทษตัวเอง


TB:บทที่ 119 ศิษย์อาวุโส


“มิสเตอร์ฮั่ว มิสเตอร์เฉิน ทักษะทางการแพทย์แผนจีนของพวกคุณช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ ผมขอโทษอย่างจริงใจสำหรับคำพูดที่ไม่เหมาะสมก่อนหน้านี้ ผมว่าพวกคุณจะรับคำขอโทษของผมนะครับ ถ้ามีโอกาส ผมหวังว่าพวกคุณจะสามารถมาให้ความรู้กับพวกเราได้” ทอมสันพูดด้วยท่าทีที่จริงใจ


ตอนนี้ผลการตรวจสอบได้ปรากฏออกมาแล้ว ทอมสันและคนของเขาก็กลายเป็นเหมือนผู้แพ้ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว พูดจบทอมสันและกลุ่มคนของเขาก็ได้จากไป


เดิมทีพวกเขาได้เตรียมความพร้อมกู้หน้าจากการแพทย์ประเทศจีนแล้ว แต่พวกเขาไม่คาดคิดจะถูกทำให้เสียหน้าโดยคนเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามั่นใจว่าครั้งนี้จะไม่พบปัญหาใดแน่ แต่กลายเป็นว่าครั้งนี้พวกเขาต้องกลับไปอย่างน่าอับอาย


หลังจากที่ทอมสันและคนของพวกเขากลับไป ฮั่วหมิงเหรินก็หันมาถามเฉินหลงด้วยความตื่นเต้น “น้องชาย ขอบคุณสำหรับครั้งนี้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องโดนโจมตีจากต่างชาติพวกนั้นแน่ ผมมีบางอย่างจะให้คุณดู โปรดมากับผม” ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินหลง ชื่อเสียงของหมอแพทย์แผนจีนต้องป่นปี้และอับอายจนต้องกลับบ้านไปหายายแน่ ดังนั้นฮั่วหมิงเหรินจึงอยากจะขอบคุณอย่าจริงใจ


“โอเค” เฉินหลงพยักหน้าตอบตกลง


ฮั่วหมิงเหรินและแพทย์เหล่านี้เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีหากจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเหล่านี้ นอกจากนี้เฉินหลงก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว


เมื่อเห็นว่าเฉินหลงตอบรับ ฮั่วหมิงเหรินก็ได้เตรียมใครบางคนไว้


หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินหลงก็มาพร้อมกับลู่เซียงและฮั่วหมิงเหรินไปทานข้าวที่ร้านอาหารชื่อดังในปักกิ่ง


ส่วนทางด้านซุนจงเหอ ตอนที่เฉินหลงพาลู่เซียงออกไปเขาไม่ได้อยู่ที่นั้นแล้ว หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเฉินหลงแล้วเหมือนกับว่าเขาไม่กล้าสู้หน้าอยู่ต่อจึงกลับไปก่อน


“เสี่ยวเฉิน ทักษะการฝั่งเข็มของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก คุณมาจากที่ไหน?” หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ ฮั่วหมิงเหรินก็ถามเฉินหลงเกี่ยวกับวิธีการฝั่งเข็มซึ่งเป็นคำถามที่หมอแพทย์แผนจีนหลายท่านที่อยู่ข้างๆต้องการที่จะรู้ด้วย


“คุณจะเชื่อผมรึเปล่าว่าผมเรียนด้วยตัวเอง?” เฉินหลงยิ้ม


ตามความเป็นจริงแล้ว ทักษะการฝั่งเข็มนั้นเฉินหลงเขาเรียนรู้ด้วยตนเองจริงๆโดยอาศัยความรู้ในเรื่องร่างกายของเขา การแพทย์โบราณชั้นยอด ไหวพริบของเขาเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับทักษะของอาจารย์เลยสักนิด


“โอเค โอเค ผมไม่ถามแล้วก็ได้ครับ วันนี้พวกผมจะไม่ถามถึงเรื่องนี้ งั้นพวกเรามาคุยกันแค่เรื่องชาวต่าวชาติพวกนั้นดีกว่า คุณพูดว่าถ้าคนต่างชาติพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง พวกเขาจะต้องอับอาย ผมนี้อยากจะเห็นคนพวกนั้นเป็นแบบนั้นจริงๆเลย” เมื่อฮั่วหมิงเหรินเห็นเฉินหลงไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องนี้ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที


“หึ หึ คุณนึกภาพพวกเขาตอนอยู่บนเวทีได้เลย”


“ใช่ มันต้องเป็นวันที่ดีมาก”


“ผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่กล้ากลับมาอีกนานหลังจากที่พวกเขากลับไปครั้งนี้แล้ว”


“ใช่ เพราะเสี่ยวเฉินอยู่ที่นี่ พวกเขาเลยโดนฉีกหน้าไปหลายครั้ง”


……


“สาวสวยคนนี้ใครหรอ แฟนของเสี่ยวเฉิน?” เฉินหลงได้พาลู่เซียงมาทานมื้อค่ำด้วย ตอนแรกฮั่วหมิงเหรินไม่ได้ถามถึงเธอแต่ตอนนี้กลับเป็นหัวข้อบทสนทนา


ตั้งแต่ที่เธอมาทานมื้อค่ำ ลู่เซียงรู้สึกค่อนข้างที่จะอึดอัด เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นเหมือนเทพเจ้าที่ยากจะพบ มันจึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกอึดอัด


“มิสเตอร์ฮั่ว ผิดแล้วละ เธอไม่ใช่แฟนผมหรอกครับ พวกเราเป็นแค่เพื่อน ถ้าเธอไม่เชิญผมมา ผมคงจะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมนี้ แล้วถ้าผมมีเวลา ผมก็อาจจะอยู่ที่บ้านเพื่อที่จะเรียนรู้เรื่องการแพทย์ได้มากขึ้น” เฉินหลงรีบอธิบายเรื่องความสัมพันธ์เพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิด


เมื่อได้ยินเฉินหลงอธิบายว่าลู่เซียงไม่ใช่แฟนของเขา มันทำให้ลู่เซียงรู้สึกเจ็บปวด ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง เธอก็รู้สึกเจ็บอยู่ในใจจริงๆ แต่อย่างไรเธอก็ยังปั้นหน้าฝืนยิ้มพร้อมพูดว่า


“มิสเตอร์ฮั่ว ฉันไม่ใช่แฟนของเขาหรอกค่ะ คุณเข้าใจผิดแล้วและถ้าแฟนฉันรู้นะคะ เขาต้องโกรธแน่ๆ แฟนฉันเขาเป็นคนขี้หึงมากๆเลยค่ะ” อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ฝืนใจ เธอจึงได้มโนถึงแฟนปลอมๆของเธอขึ้นมา


เฉินหลงมองหน้าลู่เซียงอย่างประหลาดใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า


“นี่เธอมีแฟนแล้วหรอ? แล้วเมื่อไหร่เธอจะพามาหาฉันละ?”


เมื่อไม่นานมานี้ ลู่เซียงเธอหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ด้วยเฉินหลงคิดว่าเธอไม่มีแฟน เขาจึงไม่ได้คิดที่จะมีแฟนจริงจังแถมเธอยังบอกว่าเขาเป็นคนขี้หึงด้วย แต่ด้านเฉินหลงนั้นเขากลับรู้สึกโล่งอกที่เธอจะได้ไม่ต้องมาเกาะเกะเขาอีกแล้ว


“ตอนนี้เขากลับบ้านช่วงวันหยุดน่ะ ตอนมหาลัยเปิด ฉันจะพาเขามา” เธอยังคงต้องฝืนพูดเรื่องโกหกที่เธอสร้างขึ้นต่อไป


เฉินหลงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรมาก เขายังคงยิ้มและพูดกับฮั่วหมิงเหรินต่อ


หลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำชั้นยอดเสร็จ แพทย์ที่มีชื่อเสียงก็ได้ถยอยกลับไปทีละคนทีละคน แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับ พวกเขาได้ทิ้งนามบัตรไว้ให้กับเฉินหลงและหวังว่าเฉินหลงจะมาหาพวกเขาเมื่อมีเวลา


หลังจากที่เฉินหลงได้รับนามบัตรของทีละคน เขาก็ได้พูดกล่าวลาพวกเขา


สำหรับเฉินหลง เขามีเพียงนามบัตรของบริษัทเว่ยหลงเทคโนโลยีเท่านั้น แน่นอนว่ามันจะไม่เป็นการดีที่จะให้พวกเขา ดังนั้นเขาจึงพูดไปว่าเขาไม่มีนามบัตรจึงได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไปแทน


และก็เหลือฮั่วหมิงเหรินเป็นคนสุดท้าย แทนที่เขาจะพูดกับเฉินหลงสองสามคำ เขากลับหาโอกาศที่จะได้พูดกับเฉินหลงเพียงลำพัง


“คุณเฉิน ทักษะการฝั่งเข็มของคุณนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ผมมีเรื่องขอร้องที่ดูไม่น่ายินดีนัก ผมสงสัยว่าคุณจะสามารถรับมันได้ไหม?” ฮั่วหมิงเหรินมอเฉินหลงอย่างจริงจัง


“มิสเตอร์ฮั่ว ไม่เป็นไรหรอกครับถึงคุณจะพูดแบบนั้น ตราบใดที่ผมรับได้ ผมก็จะไม่ปฏิเสธมัน” เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม


จากการที่ได้พูดคุยเมื่อกี้  เฉินหลงก็มีความรู้สึกดีๆกับฮั่วหมิงเหริน หากเขามีอะไรอยากจะถาม เฉินหลงก็เต็มใจที่ตอบและช่วยเขา


คุณเฉิน ผมต้องการที่จะเรียนรู้จากคุณ” ฮั่วหมิงเหรินพูดอย่างจริงจัง


เมื่อดูจากท่าทีของเฉินหลงแล้ว มันเขาต้องเปลี่ยนความคิด


“มิสเตอร์ฮั่ว คุณเป็นถึงผู้นำในวงการการแพทย์แผนจีนนะครับ คุณจะยกผมเป็นอาจารย์ได้ยังไง? คุณไม่สามารถทำแบบนี้ได้” เฉินหลงถึงกับพูดเสียงสูงและจากนั้นก็พูดไม่ออกเมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ดูจริงใจของฮั่วหมิงเหริน


เขาไม่รู้หรอว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว เขาจะมาเรียนรู้จากเฉินหลงได้อย่างไร เด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆเนี่ยนะ? และถ้าคนอื่นรู้ว่าเขามีลูกศิษย์ที่อายุมากขนาดนี้ คนพวกนั้นก็จะพากันพูดว่าเขานั้นมีรสนิยมอย่างไร


“ตั้งแต่เกิดเรื่อง​นี้  คุณได้เป็นอาจารย์ของผมแล้ว ทักษะทางการแพทย์ของคุณนั้นเหนือกว่าของผมจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่ผมจะนับถือคุณเป็นอาจารย์ โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วย”พูดจบ ฮั่วหมิงเหรินก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฉินหลง


เมื่อเห็นการกระทำของฮั่วหมิงเหริน เฉินหลงก็รีบเข้าไปพยุงเขาและพูดตลกใส่ คนที่คุกเข่าเป็นชายที่อายุมากกว่าเขาหลายสิบปี นั้นมันทำให้คนนั้นดูเป็นขี้แพ้ไปเลย


“มิสเตอร์ฮั่ว นี่คุณจะยกให้ผมเป็นอาจารย์หรือจะทำให้ผมอายุสั้นกันแน่? ถ้าคุณไม่รีบลุกขึ้น ผมจะไม่อยู่ตรงนี้แล้วนะ” การได้เจอคนแบบนี้ มันทำให้เฉินหลงถึงกับทำตัวไปไม่ถูก


นอกจากฮั่วหมิงเหรินจะสนับสนุนเฉินหลงแล้ว เขาก็ยังอยากจะนับถือเขาเป็นอาจารย์ด้วย “อาจารย์ ผมปรารถนาจริยธรรมทางการแพทย์สูงสุดในเส้นทางนี้ ได้โปรดรับผมอย่างจริงใจด้วย


“ครับ ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เฉินหลงไม่มีทางเลือกจึงต้องตอบตกลง


ฮั่วหมิงเหรินเป็นถึงคนที่มีชื่อเสียงมากของประเทศจีน แต่การที่ได้เป็นลูกศิษย์ของคนคนนี้ มันได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์


TB:บทที่120 เดินท่ามกลางสายฝน


เมื่อเห็นเฉินหลงตกลง ฮั่วหมิงเหรินก็เรียกเฉินหลงว่า “อาจารย์”


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเรียนรู้อะไรจากอาจารย์ ฮั่วหมิงเหรินได้ให้เบอร์ของเขากับฮั่วหมิงเหรินและจากนั้นฮั่วหมิงเหรินก็กลับไปอย่างมีความสุขเพื่อรอวันเหมาะๆที่เขาจะได้ฝึกทักษะการแพทย์จากเฉินหลง


หลังจากที่ฮั่วหมิงเหรินกลับไป เฉินหลงก็ได้ขับรถพาลู่เซียงกลับบ้าน ลู่เซียงที่ปกติจะเป็นคนที่ดูร่าเริงตลอดแต่วันนี้ตอนนี้เมื่อเธอถูกพามาส่งที่บ้านเธอกลับค่อนข้างเงียบ เฉินหลงคิดว่าเธอดูแปลกไปเล็กน้อยแต่เขาก็เดาว่าเธอน่าจะคิดเรื่องแฟนของเธออยู่และเขาคงไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าพลังของเฉินหลงจะมาถึงระดับขอบเขตกำเนิดแล้วแต่เขาก็ยังคงเป็นหนุ่มเวอร์จิ้นและไม่ได้รู้ของผู้หญิงมากนัก


เมื่อลู่เซียงเห็นว่าเฉินหลงไม่มีทีท่าจะพูดอะไรเลยตลอดทางนั้นจึงทำให้เธอยิ่งโกรธเข้าไปอีก เธอก็ไม่ได้พูดอะไรกับเฉินหลงด้วยซึ่งมันทำให้บรรยากาศในรถดูแปลกๆไป


หลังจากที่ได้ส่งลู่เซียงถึงหน้าบ้านแล้ว เธอก็เข้าไปบ้านโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


หลังจากที่ลู่เซียงลงจากรถไปแล้ว เฉินหลงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที เขาเกาหัวพร้อมกับขับรถกลับ


เมื่อเห็นว่าเฉินหลงขับรถออกไปแล้ว ลู่เซียงก็ร้องกรี๊ดออกมาทันทีและเธอก็สบถด่าเขาว่า ‘คนโง่’ อยู่ในใจ จากนั้นเธอก็กลับมามีอาการปวดหัวและจะหาแฟนที่เหมาะสมให้กับตัวเอง


วันถัดมา การประชุมแลกเปลี่ยนไม่ได้ถูกเผยแพร่สาธารณะในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวางนัก และชื่อของเฉินหลงก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงแม้สักนิดเดียว ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจของพวกเขาปกปิดถึงเรื่องนี้ด้วย และพวกชาวอเมริกาก็ไม่มีหน้าที่จะพูดอะไรกับความอับอายและการพ่ายแพ้ของการแข่งขันครั้งนี้


หลังจากที่เมื่อวานนี้กุเรื่องแฟน ลู่เซียงเธอก็กำลังมองหาคนที่จะมาเป็นแฟนเธอ เพราะเธอไม่อยากรู้สึกอับอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินหลง แล้วเธอก็ไม่ได้มีเวลาที่จะตามตื้อเฉินหลง นอกจากนี้ ตอนนี้มหาลัยก็ใกล้จะเปิดแล้ว ส่วนฮ่าวซือเหวินก็ไม่ได้มาหาเฉินหลงเลย เฉินหลงจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องกิจการของบริษัท ในที่สุดเฉินหลงก็รู้สึกเบาสมองสักที


เมื่อเฉินหลงรู้สึกผ่อนคลายแล้ว จี้โม่ซีก็เพิ่งได้ให้ตัวหยุดพักผ่อนจากงาน เธอจึงเข้าเมืองมาหาเฉินหลง สุดท้ายแม้เฉินหลงจะเป็นผู้ชายที่เก่งมาก แต่เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวในเมืองหลวงนี้ และแม้ว่าทั้งสองคนจะแชทคุยกันทุกวัน พวกเขาก็ต่างรู้สึกไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ด้วยกัน ดังนั้นจี้โม่ซีจึงเข้าเมืองมาหาเฉินหลง


เป็นครั้งแรกที่จี้โม่ซีเข้ามาที่เมืองหลวง เฉินหลงจึงอยากที่จะพาเธอมาที่นี่อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่เขาก็ได้ไปเยี่ยมชมจุดชมวิวหรือชมเมืองของเมืองหลวงนี้มาบ้างแล้ว


จี้โม่ซีตั้งใจจะมาอยู่ในเมืองประมาณอาทิตย์นึง นอกจากจะอยู่เที่ยวเล่นทุกวันแล้ว สถานที่นี้ยังเป็นที่ที่โรแมนติกสำหรับคู่รัก ทั้งจี้โม่ซีและเฉินหลงทั้งคู่ยังคงมีความมั่นใจในกันและกันอยู่มาก หากพวกเขาทั้งคู่ไม่มีความมั่นใจในกันและกัน มันอาจเกิดช่องว่างระหว่างพวกเขาได้ แต่ตอนนี้ช่องว่างพวกนี้มันไม่อีกต่อไปแล้วและความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นยังดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าด้วย พูดได้ว่าเหมือนกับกาวที่ติดกันหนึบ


“ที่รัก ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปได้ก็ดีเนอะ” จี้โม่ซีซบไปที่แขนเฉินหลงพร้อมพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไป เธอก็ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเฉินหลง


คู่รักหนุ่มสาวที่ได้ลิ้มรสผลไม้ต้องห้ามเป็นครั้งแรกก็ย่อมหวังว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาและตลอดไป


เฉินหลงมองไปที่จี้โม่ซีและพูดอย่างจริงจังว่า “ที่รัก พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


จี้โม่ซีไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดตอบเฉินหลงเท่านั้น


ตั้งแต่ที่พวกเขาคบกัน พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์ เวลานี้พวกเขาจึงไม่รับโทรศัพท์จากใครเลยยกเว้นเบอร์จากคนในครอบครัวโทรมา เดิมทีพวกเขาต้องการที่จะอยู่ในรังรักของพวกเขาต่อ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอาหารเหลืออยู่ในบ้านเลย พวกเขาจึงต้องออกไปซื้อของข้างนอกและออกไปรับลมด้วย พวกเขาใส่ชุดลำลองออกไปเพื่อที่จะสะดวกต่อการไปเดินเล่นรับลม ครั้งนี้เฉินหลงไม่ได้เป็นคนขับรถ


หลังจากที่ถึงซุปเปอร์มาเก็ตจี้โม่ซีจับแขนเฉินหลงแล้วเดินเล่นไปด้วยกันซึ่งมันทำให้รู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมาก  หลังจากที่ช็อปปิ้งในซุปเปอร์มาเก็ตและซื้ออาหารเสร็จ เฉินหลงและจี้โม่ซีก็กลับ ตอนที่พวกเขาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต ด้านนอกตอนนี้ฝนกำลังตก เฉินหลงจึงต้องซื้อร่มมาด้วย หลังจากที่ออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ต เฉินหลงก็กางร่มและโอบจี้โม่ซีเข้ามาในร่มเดินไปที่รถด้วยกัน


“ที่รัก พวกเราไม่ได้เดินตากฝนด้วยกันนานแล้วนะคะ ” จี้โม่ซีมองเฉินหลงและพูด


“เดินตากฝนมันดีตรงไหนกัน? ถ้าคุณไม่สบาย ผมจะรู้สึกไม่ดีเอานะ ” เฉินหลงจุ๊บจี้โม่ซีและพูดกับเธอ


“ที่รักเป็นคนดีจังเลย” จี้โม่ซีมองเฉินหลงด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก


“สามีควรจะทำดีกับภรรยา นั้นมันก็ถูกต้องแล้ว” ใบหน้าของเฉินหลงก็แสดงออกอย่างไม่แสแสร้ง


หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ภายใต้ร่มกำลังเดินท่ามกลางสายฝนอย่างช้าๆ ฝนที่ตกลงมาก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เฉินหลงกลัวว่าจี้โม่ซีจะเปียก เขาจึงเอียงร่มไปฝั่งเธอซึ่งมันทำให้ไหล่ของเฉินหลงเปียกน้ำฝน ดวงตาของจี้โม่ซีเริ่มแดงก่ำเมื่อเธอเห็นเช่นนั้น


ความรักในหญิงสาวนั้น เวลาที่อยู่ในห้วงความรักความรู้สึกของพวกเธอจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกรักและไวต่อความรู้สึกด้วย


เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงร้านเสื้อผ้าหลุยส์วิตตอง ก็ได้มีรถเฟอร์รารี่ รุ่น458 ได้มาจอดอยู่หน้าร้านด้วยความเร็ว


อย่างไรก็ตาม น้ำที่นองอยู่บนถนนด้วยน้ำฝน ด้วยความเร็วของรถเฟอร์รารี่นั้นเร็วมาก น้ำที่อยู่บนถนนก็สาดมาโดนเฉินหลงและจี้โม่ซี


สิ่งแรกที่เฉินหลงตอบสนองคือบังไม่ให้ร่างของจี้โม่ซีโดนน้ำที่กระเซ็นมาโดยการที่เขากอดเธอและใช้ร่างกายของตัวเองบังไม่ให้น้ำมาโดนเธอ


ตอนนี้ได้มีชายหญิงได้ออกมาจากรถคันนั้นโดยที่ไม่หันไปมองเฉินหลงเลย พวกเขาเดินตรงไปที่ร้านค้าและแสดงออกเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ขับรถจนน้ำกระเซ็นไปโดน


เมื่อเห็นว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่ได้แม้แต่จะกล่าวคำขอโทษ เฉินก็โกรธขึ้นมาทันที


“พวกคุณควรขอโทษรึเปล่า?”


“โทษนะ ผมต้องขอโทษคุณด้วยหรอ?”หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฉินหลง ชายหนุ่มคนนั้นก็หันมามองเฉินหลงด้วยสีหน้าที่เหยียดหยาม


ชายคนนี้อายุราว 25-26 ปี รูปร่างหน้าตาก็ดูไม่แย่นัก เขาใช้ของแบรนด์เนมและดูมีกลิ่นผู้ดีด้วย


“ไม่ควรหรอ?” เฉินหลงตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“เหอะ เหอะ เขาพูดว่าไม่ควรหรอ? นั้นเป็นมุกตลกที่ขำที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาของวันนี้เลย”ชายคคนั้นไม่สนใจเฉินหลงและทำเพียงยิ้มให้กับเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างเขา


“พี่เต๋า ชายที่น่าสงสารคนนี้ อย่าไปสนใจเขาเลย” เพื่อนสาวก็พูดดูถูกเช่นเดียวกับเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจเฉินหลงเท่าไหร่ เฉินหลงและแฟนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆที่ราคาน่าจะประมาณร้อยกว่าหยวน พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะสนใจคนพวกนี้อยู่แล้ว กลับเป็นห่วงรถหรูของพวกเขาแทน


“ไม่ได้ยินรึไง? ออกไปจากตรงนี้ซะ ถ้าพวกคุณอยากจะเอาเรื่องจริงๆ ก็ไปที่รถผมสิ มันเป็นตัวที่ทำให้น้ำกระเซ็นหนิ” ชายคนนั้นมองเฉินหลงอย่างดูถูก


ในความคิดเขา เฉินหลงเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถจะมีรถเป็นของตัวเองได้นอกจากต้องทำงานตลอดชีวิต นั้นจึงทำให้เขามั่นใจมากว่าเฉินหลงคงไม่กล้าทำอะไรรถของ แต่ครั้งนี้เขาคงคิดผิด เฉินหลงไม่ได้เป็นคนประเภทที่จะโดนรังแกได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต่อสู้กับพวกตระกูลชนชั้นสูงหรอก

 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม