เพราะรักสลักใจ 857-864

 ตอนที่ 857 ขวัญกำลังใจของทหารชายแดนสั่นคลอน


 


 


ทีแรกจ้าวเซิงยังกลัวว่าซูเซียงจะไม่ชอบองครักษ์คนใหม่ที่พระพันปีมอบให้นาง แต่ผิดคาดตอนเขาพลิกตัวกลับไปก็เห็นซูเซียงกำลังสนทนากับองครักษ์หญิงคนนั้น ดูออกว่ายอมรับแล้ว


 


 


 “นายหญิงวางใจ ต่อไปพวกข้าน้อยเป็นคนของนายหญิงแล้ว ไม่มีทางมีใจเป็นอื่นเด็ดขาด”


 


 


ซูเซียงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นคนของเสด็จย่าข้าก็จะรับพวกเจ้าไว้ ต่อไปข้ากินหนึ่งคำ พวกเจ้าก็กินหนึ่งคำ ข้าไม่ยึดติดแนวคิดใครนายใครบ่าว ต่อไปทุกคนล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”


 


 


ก่อนองครักษ์ลับคนนี้จะมา พระพันปีได้บอกเล่าเรื่องราวมากมายของซูเซียงให้นางฟังแล้ว ดังนั้นแม้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่ซูเซียงบอกว่าจะยึดถือพวกนางเป็นญาติพี่น้อง แต่กลับยังอบอุ่นหัวใจ พยักหน้ากล่าว “นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกข้าน้อยจะปกป้องนายหญิงสุดชีวิต ไม่ยอมให้นายหญิงถูกลอบทำร้ายเช่นนั้นเด็ดขาด ”


 


 


ประโยคนี้แม้พูดอย่างคลุมเครือ แต่ซูเซียงก็ฟังเข้าใจ ต่อให้นางกับจ้าวเซิงกลับถึงชนบทแล้ว เบื้องหน้าจักรพรรดิกับรัชทายาทไม่ก่อการณ์อะไร แต่ลับหลังมีคนถ่อยที่ต้องการประจบเอาใจพวกเขาเหล่านั้นก็มิใช่น้อย หรือพูดได้ว่าภาวะการณ์ของพวกเขามิได้ปลอดภัยมากนัก


 


 


ซูเซียงพยักหน้า “เช่นนั้นภายหน้าก็ลำบากพวกเจ้าแล้ว”


 


 


องครักษ์หญิงฝืนยิ้มๆ ยกโจ๊กตุ๋นด้านข้างป้อนให้ซูเซียงดื่มทีละคำเล็ก ปากพยายามพูดเอาใจทุกวิถีทางเพื่อปลอบโยนซูเซียง


 


 


ซูเซียงฟังออกว่าสตรีนางนี้เพื่อสรรหาคำพูดน่าฟังมาปลอบนางต้องรีดเค้นสมองมากทีเดียว ในหัวใจก่อเกิดความอบอุ่น


 


 


พักแรมอยู่ในจวนของผู้ว่าราชการฉางสองวัน ซูเซียงและจ้าวเซิงทั้งขบวนก็เร่งเดินทางไปหมู่บ้านสกุลซ่ง


 


 


ตอนกลับถึงบ้าน พระราชเสาวนีย์ฉบับที่สามของพระพันปีก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว คหบดีท้องถิ่นหลายแห่งไปจนถึงขุนนางท้องที่อื่นต่างทยอยกันมาแสดงความยินดีกับผู้เฒ่าหวังและหวังต้าเหนียง พูดจาไพเราะน่าฟัง ประจบเอาใจ แต่ผู้เฒ่าหวังกับหวังต้าเหนียงกลับดีใจไม่ออกอย่างสิ้นเชิง


 


 


ลูกสาวของพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงประสบเคราะห์ใหญ่หลวง หลานที่นับวันตั้งตารอก็ไม่มีเสียแล้ว พวกเขาโมโหจนคิดอยากทำร้ายคน ถ้ามิใช่กลัวว่าจะลากลูกสาวให้พลอยลำบากและเห็นแก่คนทั้งครอบครัวใหญ่แล้ว พวกเขาสองสามีภรรยาอยากโยนพระราชเสาวนีย์บ้าบออะไรนั่นทิ้งลงกองปฏิกูลไปเสียให้พ้น


 


 


ถ้าลูกสาวบ้านตัวเองแต่งให้ชายหนุ่มหมู่บ้านข้างเคียงแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นล่ะก็พวกเขาสองผัวเมียคงบุกไปเผาบ้านของผู้อื่นแล้ว แต่ใครใช้ให้ลูกสาวบ้านตัวเองไม่แต่งกับหนุ่มชนบทบ้านนาทั่วไป แต่ไปแต่งกับลูกชายของฮ่องเต้เล่า เลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินความอัดอั้นตันใจอยู่แบบนี้


 


 


 “ตาแก่เจ้าอย่าโมโหไปเลย ประเดี๋ยวลูกสาวกลับมาเห็นสภาพนี้ของเจ้าแล้วจะปวดใจอีก” หวังต้าเหนียงคอยกล่อมอยู่ข้างๆ แต่ในใจตัวเองก็ยังมีความคับแค้นอยู่เต็มท้อง


 


 


“รอให้ไอ้หนุ่มนั่นกลับมาข้าต้องต่อยเขาสักยกให้จงได้ แม้แต่ภรรยากับลูกตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ เป็นผู้ชายประสาอะไรของมัน?! ” ผู้เฒ่าหวังโมโหมากแล้ว แม้แต่คำหยาบคายก็ล้วนพูดออกมา พ่นยาสูบควันฉุยหนึ่งคำ เคาะกล้องยากับขอบประตูดังแกร๊งๆ


 


 


ได้ยินความเคลื่อนไหวในลานบ้าน ภูตผีปีศาจทุกสารทิศที่พากันเข้าประตูมาประจบก็ไม่กล้าเดินเข้ามาด้านใน รวมถึงพวกชิงเหมยชิงหลานก็มิใช่ตัวละครที่หาเรื่องด้วยได้ เห็นนายท่านนายหญิงอาวุโสบ้านตัวเองปล่อยโทสะแล้ว พวกนางไหนเลยจะกล้าปล่อยให้คนผู้ใดเข้ามา ไม่ทันไรก็ชักมีดยืนอยู่ตรงหน้าประตู หน้าตาเย็นชาราวกับพญายม


 


 


ต่อมาพระพันปีก็มีพระราชเสาวนีย์ลงมาอีก รับองค์หญิงเต๋อฮุ่ยเป็นธิดาบุญธรรม แต่งตั้งเป็นองค์หญิงกู้หลุนฮู่กั๋วเป็นกรณีพิเศษ


 


 


แต่พระราชเสาวนีย์ที่พระพันปีประกาศลงมาทางจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินไม่รับ จวนองค์หญิงเองก็ไม่รับ ส่งกลับไปแบบปิดผนึกดังเดิม และน้องชายทั้งสองขอราชบุตรเขยก็มิได้กลับจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน แต่ตรงไปอยู่ที่จุดพักม้า เดิมทีพระพันปีอยากให้พวกเขากลับไปดูแลชายแดนก่อน หลังจากนี้ไม่นานจะให้คำตอบเป็นที่พึงพอใจแก่ทุกคน แต่สองคนปฎิเสธรับราชโองการ บอกว่าถ้าไม่ได้คำตอบก็ไม่กลับชายแดน


 


 


เนื่องด้วยทั้งสองอยู่ในเมืองหลวงระยะเวลานานแล้วยังไม่ได้ตามคำขอ สถานการณ์ทางชายแดนก็ยิ่งบีบคั้น นายทหารจำนวนมากทยอยกันส่งคำร้องคืนอำนาจทางทหาร ลากลับบ้านเกิด 


 


 


ทุกคนต่างรู้สึกว่าในเมื่อกองทัพของตัวเองสู้รบหลั่งเลือดในสมรภูมิต้านภัยต่างแคว้น แต่มิอาจยับยั้งความคลุ้มคลั่งของจักรพรรดิแคว้นตัวเองได้ มิสู้ถือโอกาสตอนมีชีวิตอยู่กลับไปกอดลูกเมียที่บ้านใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักสองวันเล่า ถึงเวลาก็ตายไปอย่างเต็มใจมิใช่หรือ?


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 858 ราชสำนักโกลาหล ชายแดนปั่นป่วน  


 


 


อย่างที่รู้กันว่าขวัญกำลังใจของทหารสั่นคลอนเป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้วเป็นทุนเดิม ประกอบกับในใจทุกคนถึงกับมีความคิดแบบนี้จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายโกลาหล


 


 


ทว่าจักรพรรดิกับรัชทายาทดันไม่สำนึกผิด วันๆเอาแต่อาละวาดด่าทออยู่ในตำหนักบรรทม


 


 


ไม่รู้เรื่องเป็นมาอย่างไร ว่ากันว่าจักรพรรดิกับรัชทายาทลักลอบออกจากพระตำหนักตอนกลางคืน กระทำเรื่องโง่เง่าอะไรบางอย่างจนพระพันปีทรงกริ้ว ตรงเข้าถือตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อนขึ้นราชสำนัก ประณามจักรพรรดิขาดคุณสมบัติปกครองบ้านเมือง ให้เขาลงจากตำแหน่ง อีกทั้งรัชทายาทใช้วิธีการชั่วร้ายไม่คู่ควรกับวังบูรพา จะลดขั้นเขาเป็นชินอ๋อง


 


 


ราชสำนักโกลาหล ขุนนางวอนขอ ด้านหนึ่งประณามจักรพรรดิ ด้านหนึ่งขอร้องพระพันปีคำนึงถึงประชาราษฎร์ให้ทรงถอนคำสั่ง


 


 


อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าคืนนั้นรัชทายาทกับจักรพรรดิกระทำเรื่องโง่เขลาอันใด แต่พอจะมองออกว่าพวกเขากระทำขาดหลักคุณธรรม ดังนั้นไม่ว่าพระพันปีรับสั่งอะไร จักรพรรดิกับรัชทายาทล้วนไร้ทางโต้แย้ง จักรพรรดิกับรัชทายาททำได้เพียงเผชิญหน้าทุกคนกลางท้องพระโรง ให้คำมั่นว่าต่อไปจะไม่ก่อกวนคู่สามีภรรยาจ้าวเซิงอีก


 


 


           ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าวใบหน้าเย็นชาของพระพันปี จักรพรรดิยังถูกบังคับใก้ออกราชโองการตำหนิตัวเอง  โบยชุดคลุมมังกร แต่พระพันปีไม่ยอม ให้คนโบยจักรพรรดิยี่สิบไม้


 


 


จักรพรรดิถูกโบย เรื่องนี้ไม่เคยประสบพบเจอในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ แต่ครานี้ทุกคนต่างทำเป็นหูหนวกตาบอดหันหน้าไปอีกทาง


 


 


จักรพรรดิโดนโบยแล้ว รัชทายาทก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ถูกทำโทษให้คุกเข่าคัดคัมภีร์อยู่ในหอบรรพชน ไม่อนุญาตไม่ออกมาเป็นเวลาครึ่งปี ทั้งยังใช้กองกำลังทหารเฝ้าดูอย่างเข้มงวด


 


 


ไม่มีลูกชายที่คอยออกความคิดกำหนดแผนการอยู่ข้างกายตลอด จักรพรรดิกริ่งเกรงพระพันปี ย่อมไม่กล้าก่อความวุ่นวายอีก แต่ในใจกลับท่องด่าซูเซียง เกลียดชังแทบตาย เขาสาบานเลยว่าถ้ามีโอกาสเขาจักต้องจัดการคนชั่วผู้นั้นให้ตายไร้หลุมฝังร่าง! ยังมีบิดามารบุญธรรมอะไรนั่นของนาง คิดเป็นฮูหยินขุนนาง คิดเป็นท่านปั๋วเชียวรึ ไม่มีทาง! แม้กระทั่งคนในมณฑลอำเภอนั่นก็สมควรตายทั้งหมด เขาจะไม่ยอมปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!


 


 


หึหึ อย่างไรก็เคยเกิดขึ้นแล้ว


 


 


สถานที่เกิดโรคระบาด ให้โรคมัน “ระบาดซ้ำ”อีกครั้ง มิใช่เรื่องเรื่องใหญ่เปลืองแรงอะไร ถึงเวลาเขาก็ส่งหมอหลวงที่ไม่ชอบหน้าสองสามคนตามลงไปก่อกวน สุดท้ายค่อยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดไปยังมณฑลอำเภอข้างเคียง สั่งปิดประตูเมืองแล้วค่อยสุมไฟกองใหญ่เผาให้เกลี้ยง!


 


 


 “คนชั่วสมควรตาย! ปล่อยให้ได้ใจไป! ปล่อยให้เจ้าได้ใจไป!” จักรพรรดิคลุ้มคลั่งอยู่ในตำหนักบรรทม


 


 


ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เนื่องด้วยวิธีการแข็งกร้าวของพระพันปี เรื่องในครานี้จึงนับว่าควบคุมลงได้


 


 


เพราะจักรพรรดิถูกโบย รัชทายาทถูกกักบริเวณ และนับว่าเป็นการระบายอารมณ์โกรธของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินโดยทางอ้อมแล้ว ดังนั้นน้องชายของราชบุตรเขยทั้งสองคนแม้ไม่พอใจอย่างมากที่สูญเสียทายาทสืบสกุล แต่ก็รับคำสั่งกลับไปประจำชายแดน


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเองก็เศร้าโศกจนตัวคนผอมลงไปมากทีเดียว เดิมทีก็ไม่สูงอยู่แล้ว บัดนี้ผอมลงอีก ราวกับถูกลมพัดก็ล้มได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น ทว่านางยังรับราชโองการของพระพันปีที่แต่งตั้งนางเป็นฮู่กั๋วกงจู่ นับเป็นการแสดงออกว่าไม่สืบสาวเรื่องนี้แล้ว


 


 


แต่ถึงแก่นแล้วเพราะสูญเสียทายาทสืบสกุล ในใจทุกคนล้วนรู้สึกย่ำแย่ และการบาดเจ็บของซูเซียงครานี้ก็สาหัสยิ่งนัก หมอหลวงกล่าวแล้วว่านับแต่นี้เกรงว่าซูเซียงคงไม่อาจมีบุตรได้อีก ดังนั้นเพียงชั่วขณะเดียวองค์หญิงเต๋อฮุ่ยจึงเหมือนกับชราลงไปสิบปี พระพักตร์เปี่ยมความโดดเดี่ยวโศกา ทุกวันนั่งคุกเข่าในห้องพระ ถือศีลกินเจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา


 


 


น้องชายทั้งสองของราชบุตรเขยแม้กลับชายแดนแล้วจะนับว่าควบคุมเรื่องราวลงได้ แม้นสองคนมิได้เอ่ยอันใด ทว่าเหล่าทหารชายแดนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่รู้สึกยินดี ขวัญกำลังใจก็มิได้สูงนัก ดังนั้นในสองศึกที่ผ่านมาทุกคนจึงไม่ได้ตั้งใจออกไปรบ ไม่เพียงแต่เสียอำเภอเล็กๆไปอำเภอหนึ่ง แม้กระทั่งข้าวของสมบัติก็ถูกชิงไปไม่น้อย คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน อีกทั้งค่ายบัญชาการใหญ่ที่ประจำการก็ถอยร่นไปสิบกว่าลี้ สองสมรภูมินี้นับได้ว่าพ่ายแพ้ยับเยิน


 


 


รายงาน…เสียอำเภอหยางชา กองกำลังของเราถอยทัพสิบลี้


 


 


รายงาน…เสียจังหวัดอี๋ กองกำลังของเราถอยทัพสิบลี้


 


 


รายงาน…ขุนพลนายกองฝ่ายซ้ายสิ้นชีพ ขอกำลังขุนพลไปเสริม


 


 


รายงาน…


 


 


หลายวันติดต่อกัน เรื่องที่ตกสู่พระกรรณของพระพันปีล้วนเป็นข่าวร้ายเหล่านี้ ทำให้แม้กระทั่งยามราตรีนางยังไม่กล้าหลับตา


 


 


 “พระองค์ท่าน เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามทราบเรื่องท่านอ๋องสงครามแล้ว นี่ นี่จะทำเช่นไรกันดีเพคะ?” แม่นมที่สุขุมหนักแน่นมาตลอด เวลานี้ยังเดินวนไปวนมาอยู่ข้างๆ ด้วยจิตใจว้าวุ่น


ตอนที่ 859 ในที่สุดก็กลับถึงบ้าน


 


 


นับตั้งแต่จ้าวเซิงถอดบรรดาศักดิ์อ๋องสงครามคืนอำนาจทางทหาร เหล่าทหารนายพลของฝ่ายศัตรูก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ขาดพญายมผู้น่านับถือไปคนหนึ่ง ศึกครานี้พวกเขาคงตีพ่ายได้มากแล้ว


 


 


ภายในค่ายบัญชาการใหญ่ของศัตรู เหล่าแม่ทัพคนสำคัญทั้งหลายกำลังกินดื่มฉลองกันสนุกเฮฮา มิใช่น่าปิติยินดีหรอกหรือ


 


 


 ‘’มาๆ ทุกท่านร่วมชนแก้วกันหน่อย พรุ่งนี้ตีพวกเขาให้รับมือไม่ทันไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


 


 “นี่ พี่ใหญ่ ท่านว่าฮ่องเต้ต้าหรงผู้นั้นน้ำเข้าสมองหรือว่าถูกขี้อุดสมองไว้กันแน่? ลูกชายมีความสามารถเช่นนี้ไม่เก็บรักษาไว้ ไปรังแกลูกเมียผู้อื่นเขา ยังริบอำนาจทหารผู้อื่นอีก นี่มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกรึ…”


 


 


 “ไอ้โง่ อยากให้ดาวหายนะนั่นยังอยู่หรือไร?!”


 


 


 “หามิได้ๆ เขาไม่อยู่ย่อมดี! ฮ่าๆฮ่าๆ พี่ใหญ่ คืนนี้เรากินดื่มให้อิ่มหนำพรุ่งนี้ทำการศึกใหญ่ บุกทะลวงเมืองหลวงต้าหรง ฮ่าๆ ฮ่าๆ!”


 


 


 “ถูกต้องๆ บุกทะลวงเมืองหลวงต้าหรง เปิดอาณาเขตขยายดินแดน ถึงเวลาเราก็จะได้เป็นวีบุรุษแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า… ”


 


 


ในค่ายศัตรูร้องรำทำเพลง แต่พระพันปีทางเมืองหลวงหลายวันนี้เกศาดำขรับที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเสี้ยวล้วนขาวโพลนหมดแล้ว ราวกับเผลอแป๊บเดียวก็ชราลงไปกว่าสิบปีแล้ว


 


 


แม่นมเห็นพระพันปีเอาแต่ประทับนิ่งเหมือนเขาไท่ซาน ไม่เอ่ยเอื้อนวาจา ก็กังวลร้อนใจ สุดท้ายก็ไม่สนใจเรี่องนายบ่าวแบ่งแยกอะไรแล้ว เข้าไปดึงแขนฉลองพระองค์ของพระพันปี “นายหญิง นายหญิงเพคะ พระองค์เรียกสติกลับมา ตอนนี้พระองค์จะนั่งเหม่อไม่ได้นะเพคะ นี่ต้องทำเช่นไร พระองค์ต้องแสดงออกมาเพคะ!”


 


 


เมื่อครู่พระพันปีเหม่อลอย กำลังคิดถึงจ้าวเซิง ขอเพียงแค่ส่งอ๋องสงครามชื่อนี้ออกไปรบ รู้ดีว่าให้จ้านอ๋องนำทัพ ข้าศึกไม่ทันรบก็ขี้ขลาดตาขาวไปก่อนแล้วสามส่วน แต่ตอนนี้ เฮ้อ ทั้งหมดต้องโทษลูกโง่กับหลานโง่ใช้การไม่ได้พวกนั้น มิเช่นนั้นไยบ้านเมืองจะประสบภัยหนักหนาเช่นนี้!


 


 


 “นายหญิง หรือไม่ลองเขียนจดหมายลับปิดผนึกให้ท่านอ๋องสงคราม? ท่านอ๋องแม้โกรธเคือง แต่ถูกผิดสำคัญเขาย่อมเข้าใจ…” แม่นมคิดอยู่ครึ่งวัน ก็คิดวิธีการไม่ออกจริงๆ จำต้องเสนอความคิดนี้ขึ้นมา


 


 


แม้กล่าวว่าวังหลังไม่ยุ่งราชกิจ ยิ่งแม่นมเป็นนางข้าหลวงคนหนึ่ง ตามหลักการแล้วเรื่องเหล่านี้นางไม่ควรก้าวก่าย ทว่าพระพันปีไว้ใจนาง ภายในห้องก็ไม่มีคนอื่น พูดไปก็ไม่เป็นไร อีกทั้งนางเองก็เป็นห่วงจากใจริง


 


 


สถานการณ์ดำเนินมาเช่นนี้ขอแค่มีจ้าวเซิงออกหน้าถึงจะสามารถสงบอารมณ์ของทหารศึกชายแดนได้ มิเช่นนั้นล่ะก็ ให้ขุนพลและเหล่าทหารนำพาภาวะอารมณ์นี้ออกรบ อย่างไรก็รบได้ไม่ดี


 


 


คิดไม่ถึงว่าพระพันปีนิ่งเงียบไตร่ตรองครึ่งวัน สุดท้ายกลับส่ายหน้า “พวกเขาสองสามีภรรยาประสบเรื่องสาหัสเช่นนี้ ให้พวกเขาชีวิตอย่างสบายใจเถอะ อย่าไปรบกวนเลย”


 


 


 “แต่ว่านายหญิงเพคะ…”


 


 


 “ไม่ต้องพูดแล้ว ประกาศราชเสาวนีย์ของอายเจียไป ชนะศึกครานี้ได้ ขุนพลทุกคนได้เลื่อนขั้นหนึ่งชั้น พลทหารทั้งหมดได้เพิ่มเบี้ยหวัด ”


 


 


นี่เป็นวิธีการที่พระพันปีหมดวิธีแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงใช้ชื่อเสียงเงินทองมาซื้อใจขุนพลนายทหารชายแดน หวังแค่ให้พวกเขาเห็นแก่ตำแหน่ง เห็นแก่เงินทอง พยายามเพิ่มขึ้นอีกหน่อย อย่าให้ถึงกับบ้านเมืองต้องสูญสิ้น


 


 


ช่วงเวลานี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวถั่วลิสงกับสมุนไพรพอดี ดังนั้นสามีภรรยาผู้เฒ่าหวังก็ต้องกลับมาตรวจดูสักหน่อย


 


 


ตอนจ้าวเซิงกับซูเซียงเพิ่งกลับมาถึง ก็เห็นในลานบ้านกำลังชุลมุนกับการตากสมุนไพร ตากถั่วลิสง มีหวังต้าเหนียงกำลังนั่งยองคัดถั่วลิสงบนพื้น มีผู้เฒ่าหวังพิงขอบประตูเคาะกล้องยาสูบส่งเสียงถอนหายใจ


 


 


ในวินาทีนี้เอง น้ำตาของซูเซียงก็เอ่อล้นออกมา


 


 


นางแสนเกลียดวังหลวงนั่น แสนชิงชังสถานที่ดำมืดเลวร้ายนั่นจริงๆ ได้รับความทรมานขนาดนี้ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้กลับมาพบหน้าพ่อแม่ของตัวเองแล้ว อดมิได้ที่จะสะทกสะท้อนใจ


 


 


 “ท่านพ่อ ท่านแม่…” ซูเซียงเรียกแค่นี้ก็ร้องไห้พูดไม่เป็นภาษา อารามตื่นเต้น พอร้องไห้ก็ล้มพับไป


 


 


จ้าวเซิงตกใจแทบแย่ เป็นผู้เฒ่าหวังรีบจับชีพให้ซูเซียง บอกว่าเพราะอารมณ์ผันผวนมากเกินไป ประกอบกับร่างกายไม่แข็งแรงจึงเป็นลมสลบไป มิใช่เรื่องใหญ่


 


 


 “แม่ เจ้ามัวนิ่งอยู่ทำไม รีบเก็บกวาดห้องต้มน้ำร้อนให้ลูกสาวสิ” ผู้เฒ่าหวังตะโกนไปทางหวังต้าเหนียงที่ยืนนิ่งตื่นกังวลจนมือสั่นอยู่ข้างๆ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 860 ความปวดใจของเขาเกินกว่าบรรยาย


 


 


 “อ้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้…” หวังต้าเหนียงพูดแล้วก็วิ่งไปทางห้องที่ซูเซียงอยู่ก่อนหน้านี้ บอกว่าเก็บกวาด แท้ที่จริงก็มิได้ยุ่งยากอะไร สตรีทั้งหลายในบ้านปัดกวาดห้องของซูเซียงกับจ้าวเซิงสะอาดสะอ้านทุกวันอยู่แล้ว


 


 


จ้าวเซิงช้อนตัวซูเซียงอุ้มทันที ใบหน้าเย็นชา สาวเท้าเก้าใหญ่เข้าไปในห้อง


 


 


วางซูเซียงลงบนเตียงอย่างระวังเบามือ คลุมเสื้อผ้าให้นางเรียบร้อยแล้วค่อยจับมือซูเซียงเอาไว้ ใบหน้าหนาวเย็นปานน้ำแข็ง


 


 


สองสามีภรรยาสกุลหวังรู้แล้วว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร บัดนี้เห็นสีหน้าเย็นเฉียบของจ้าวเซียงก็ไม่อยากถามอะไรมาก ด้วยกลัวจะกระตุ้นความเศร้าในใจของซูเซียงกับลูกเขย


 


 


แต่พวกเขาไม่อาจถาม จำต้องกลั้นคำพูดเอาไว้ในใจ ผู้อาวุโสทั้งสองย่อมสีหน้าไม่ดี สวรรค์รู้ดีหลายวันมานี้พวกเขาเสียใจมากเพียงใด เป็นห่วงมากเพียงใด ไม่ว่าคนในบ้านจะปลอบโยนอย่างไร ดูแลดีอย่างไร คนทั้งสองก็ผอมแห้งลงไปมาก


 


 


ยังมีย่าของซูเซียง แม่เฒ่าสกุลซูโมโหจนล้มป่วย เมื่อวานเพิ่งได้หายใจหายคอ โชคดีที่เวลานี้ผู้อาวุโสนางพักฟื้นอยู่ที่จวนจวิ้นจู่ ไม่อย่างนั้นเห็นเหตุการณ์นี้เข้าคงไม่พ้นล้มป่วยอีกรอบ


 


 


จ้าวเซิงบิดผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้ซูเซียงพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ที่รัก เรากลับบ้านแล้ว เจอหน้าท่านพ่อท่านแม่แล้ว เจ้าพักผ่อนได้อย่างสบายใจ…”


 


 


ลูกผู้ชายอกสามศอก ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ด้วยสีหน้าเย็นชาจบขอบตาก็แดงผ่าวแล้ว น้ำตาหยดหนึ่งร่วงแหมะบนหลังมือของซูเซียง จากนั้นทั้งตัวคนก็เอนซบลงบนไหล่ของซูเซียงร้องไห้โฮออกมาอย่างโศกเศร้าอ้างว้าง อย่างอับจนและเจ็บปวดหัวใจ


 


 


สามีภรรยาสกุลหวังเดิมรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจ ได้ยินเสียงร้องไห้อัดอั้นของลูกเขย ในหัวใจคนทั้งสองก็รู้สึกแย่เหลือเกิน


 


 


 “แม่ ไปตุ๋นไก่ให้ลูกสาวสักตัว ต้องบำรุงร่างกายหน่อย”


 


 


ตอนซูเซียงกลับมาถึงแล้วเป็นลมไป กล้องยาสูบของผู้เฒ่าหวังก็โยนลงพื้นไปแล้ว ตอนนี้สั่งงานหวังต้าเหนียงจบ ก็หันร่างไปหน้าประตูหยิบกล้องยาสูบของเขา ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกังวล


 


 


อย่าว่าแต่ผู้เฒ่าหวัง แม้กระทั่งหวังต้าเหนียงที่ตุ๋นไก่ให้ซูเซียงอยู่ในครัวยังอดมิได้ที่จะตบริมฝีปากทั้งคู่ของตัวเอง ผู้เฒ่าหวังเข้าห้องครัวมาเห็นฉากนี้พอดีก็รีบร้อนถาม “ภรรยา นี่เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?!”


 


 


หวังต้าเหนียงขอบตาแดง น้ำเสียงห่อเ**่ยว “พ่อ ตอนนั้นเราไม่น่าตอบตกลงเรื่องแต่งงานนี้เลย ถ้า ถ้าเลือกหนุ่มชาวนาเอาการเอางานสักคนคงดีกว่านี้มาก หากมีเรื่องเรายังพอระบายความโกรธกับเขาได้บ้าง บัดนี้ลูกเขยเป็นโอรสของฮ่องเต้ เรากลับพูดอะไรไม่ได้แม้แต่คำเดียว อึดอัดเหลือเกิน… ”


 


 


เมื่อครู่ผู้เฒ่าหวังก็คิดเช่นนี้ แต่เรื่องเป็นมาถึงขั้นนี้แล้ว นึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงเอ่ยปลอบ “แม่ อย่าคิดฟุ้งซ่านไปเลย รีบทำอาหาร เดี๋ยวลูกสาวตื่นมาจะได้กิน คำพูดพวกนี้ต่อไปก็อย่าพูดต่อหน้าลูกเขยเลย ลูกเขยเองก็เป็นคนดี เป็นคนรู้จักเอาใจใส่ เฮ้อ….”


 


 


หวังต้าเหนียงทอดถอนใจหนึ่งเสียง แม้ความอึดอัดเต็มท้อง แต่นึกถึงเสียงร้องไห้อัดอั้นภายในห้องที่ได้ยินเมื่อครู่ก็ใจอ่อน ไม่ว่าลูกเขยคนนี้จะเป็นลูกชายของฮ่องเต้หรือไม่ ถึงที่สุดแล้วก็เป็นลูกเขยของพวกเขา เป็นคนที่รักลูกสาวสุดหัวใจ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงยอมทิ้งแม้กระทั่งยศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจทางการทหาร เพียงเพื่อกลับชนบทมาด้วยกันกับลูกสาว


 


 


ในห้องเหลือเพียงซูเซียงที่นอนสลบไปกับจ้าวเซิงที่กลัดกลุ้มไม่พูดจา บรรยากาศเงียบเชียบ อึดอัดและอ้างว้างยิ่งนัก


 


 


ในใจจ้าวเซิงขมฝาดอย่างบรรยายไม่ออก ตอนกระพรวนน้อยกับก้อนแป้งน้อยเกิดเขาก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างภรรยาและลูก ไม่ได้อยู่ดูแลลูกทั้งสองเติบโตนั่นเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของเขาแล้ว แต่ตอนนี้แม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ ลูกน้อยตัวเล็กแค่นั้น ยังไม่ทันได้ร้องเสียงอ่อนเรียกเขาว่าท่านพ่อสักคำ ยังไม่ทันลืมตาดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ ก็ไม่อยู่เสียแล้ว….


 


 


แม้มิใช่ลูกสาวขาวผ่องเป็นยองใยที่เขานับวันเฝ้ารอคอย แต่เป็นลูกชายเขาก็ชอบเหมือนกัน มาถูกทำร้ายจนเสียไปเช่นนี้เขาปวดใจจนมิอาจเติมซ้ำได้อีก แต่กลับไม่กล้าเปิดเผยต่อหน้าผู้คนแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะต่อหน้าซูเซียง เขากลัวตัวเองไม่ทันระวังจะกระตุ้นให้ซูเซียงเสียใจ ดังนั้นจำต้องข่มมันไว้ กดทับมันไว้


ตอนที่ 861 อ๋องสงครามตกห้วงคนคลั่งรักภรรยา


 


 


แท้ที่จริงหัวใจเขาเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าซูเซียง แต่เขาเป็นบุรุษ ยังมีภรรยากับลูกที่โตแล้วสองคนต้องดูแล เขาจำเป็นต้องเข้มแข็ง


 


 


หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามน้ำแกงไก่ก็เคี่ยวได้ที่แล้ว หวังต้าเหนียงกับผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาก็หันกายกลับมาอีกครั้ง เห็นซูเซียงยังหลับลึก ลูกเขยบ้านตนกุมมือของลูกสาวไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนก็ทอดถอนใจ


 


 


 “พ่อ ให้ลูกสาวพักอีกหน่อยเถอะ ในใจลูกเขยเองก็คงเสียใจเหมือนกัน ให้เขาระบายหน่อย เราอย่าไปกวนเลย”


 


 


เวลากลางดึกซูเซียงถึงค่อยตื่นขึ้น จ้าวเซิงรีบไปยกน้ำแกงไก่อุ่นร้อนให้นาง คะยั้นคะยอให้ดื่มแล้วจึงประคองคนเอนกายกลับลงไป


 


 


 “ภรรยา ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” จ้าวเซิงเอ่ยถามอย่างค่อนข้างกังวล


 


 


ซูเซียงส่ายหน้าเบาๆ บนหน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ เอียงหน้าไปอีกทางแล้วก็หลับตา แม้นอนไม่หลับแต่นางไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะกับผู้ชายที่อยู่ข้างกายคนนี้ แค่เห็นเขา นางก็นึกถึงลูกของตนที่เกิดมาก็ไร้ลมหายใจคนนั้นแล้ว


 


 


จ้าวเซิงเองไม่ถือโทษ จัดการตัวเองนั่งอยู่ข้างเตียง พูดพึมพำไปเรื่อยเปื่อย บอกว่าไม่กี่วันข้าวโพดน่าจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว รากป่านหลานที่ปลูกเจริญเติบโตดีมาก ถั่วลิสงยังเหลืออีกสองหมู่ ยังบอกอีกว่านาดีร้อยกว่าหมู่ที่พระพันปีพระราชทานให้ ตอนนี้พวกหลี่ปั๋วหมิงก็กำลังจัดการอย่างดี ทั้งหมดปลูกสมุนไพรตามที่นางต้องการ…


 


 


พูดจ้อเป็นครึ่งค่อนวัน แต่ซูเซียงก็ยังไม่ลืมตาเหลือบมองเขาสักสายตา แม้แต่เสียงตอบอืมสักเสียงยังไม่มี เพียงแต่ขนตาขยับเล็กน้อย บอกได้ว่านางไม่ได้หลับ


 


 


วันถัดมา องครักษ์มังกรทางชายแดนเห็นสถานการณ์ท่าไม่ดีแล้วจริงๆ ไม่อาจไม่ส่งข่าวมาให้จ้าวเซิง บอกว่าชายแดนใกล้เสียการรักษา เหล่าทหารศึกในใจมีโทสะ ทำศึกได้ไม่ดี


 


 


ตอนจ้าวเซิงรับพิราบส่งสารทีแรกยังหลบเลี่ยงซูเซียง ด้วยกลัวเรื่องน่าเคืองใจเหล่านี้จะกระตุ้นให้นางรู้สึกไม่ดีอีก แต่คิดไม่ถึง ซูเซียงกลับเป็นคนไปเรียกนกพิราบตัวนั้นเข้ามาเอง ซ้ำยังล้วงหยิบเม็ดข้าวจากในเอี๊ยมออกมาป้อนอย่างคล่องมือเหมือนอย่างที่เคยชินมาตลอด


 


 


จ้าวเซิงยังไม่ทันได้อ่านจดหมาย ซูเซียงก็เปิดออกก่อนแล้ว หลังเหลือบมองเสร็จแล้วก็ยัดลงในมือจ้าวเซิง หมุนตัวเดินไปไม่เปล่งวาจา


 


 


 “เซียงเอ๋อร์? ที่รัก…” หน้าจ้าวเซิงค่อนข้างมึนงง ภรรยาเขาหมายความว่าอย่างไร ดูเสร็จแล้วไม่พูด หรือว่าไม่พอใจ?


 


 


จ้าวเซิงร้องเรียกสองเสียงแล้วซูเซียงยังไม่สนใจเขา มุ่งตรงกลับเข้าในห้อง คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ จากนั้นออกประตูหยิบเคียว หิ้วตะกร้าเดินไปทางนอกบ้าน


 


 


ซูเซียงพักอยู่ในวังหลวงกว่าครึ่งเดือน ตอนเดินทางจ้าวเซิงก็คอยระมัดระวังทุกเวลาทุกวินาที เวลาระหว่างการเดินทางรอบนี้รวมที่แวะพักผ่อนตามจวนมณฑลต่างๆนับไปนับมารวมแล้วก็เป็นยี่สิบสามสิบวัน แม้ซูเซียงพักฟื้นอยู่ไฟไม่สงบมากนัก แต่อย่างไรก็เป็นเวลาเกือบสี่สิบกว่าวันแล้ว มากน้อยก็ยังพอเดินขยับได้บ้างเล็กน้อย


 


 


เห็นซูเซียงสวมเสื้อแล้วถือตะกร้าเดินไปทางนอกประตู ในใจจ้าวเซิงแม้นึกสงสัยทว่ายังปลาบปลื้มยินดี อย่างน้อยภรรยาก็รู้จักดูแลร่างกายของตัวเอง ดีกว่าท่าทางในตอนแรกที่ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่พูดจาตั้งเยอะ


 


 


 “ที่รัก ที่รัก เจ้าจะไปไหนหรือ? ข้าสามีไปเป็นเพื่อนนะ” จ้าวเซิงเสนอหน้าตามไปอยู่ข้างๆ เขาไม่กล้าบอกให้ซูเซียงรีบกลับไปพักผ่อน กลัวขัดใจนางแล้วจะอารมณ์ไม่ดี


 


 


จ้าวเซิงช่วงนี้น่าสงสารมาก กลายเป็นคนคลั่งรักภรรยาอย่างสมบูรณ์แบบ กิริยาวาจาล้วนระมัดระวัง ด้วยกลัวจะทำให้ซูเซียงไม่พอใจ


 


 


ซูเซียงหันหน้ามองเขาหนึ่งสายตา ไม่พูดอะไรสักคำ หิ้วตะกร้าเดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ฝีเท้ากลับช้าลงเล็กน้อย แค่นิดเดียวเท่านั้น ให้จ้าวเซิงไล่ตามมาทัน


 


 


 “ที่รัก มาข้าช่วยถือ นี่เจ้าจะไปทำอะไรหรือ?” จ้าวเซิงใบหน้ามีสีสันขึ้นทันที ขึ้นหน้าเข้ามารับตะกร้าในมือซูเซียงไว้ กลัวเหลือเกินว่าสิ่งของมีกิ่งมีก้านพวกนี้จะบาดมือของนาง


 


 


เห็นซูเซียงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสองผืนออกมาจากเสื้อตัวใน และไม่ใช่ผ้าซับเหงื่อทั่วไป แต่ทำรูปทรงเหมือนรูปนิ้วมือ ของสิ่งนี้เขาเคยเห็นมาก่อน ก็คือสิ่งที่ภรรยาเขาเรียกว่าอะไรนะ อืม ดูเหมือนจะเรียกว่าถุงมือ ทำนองนั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 862 พวกเขาไม่คู่ควรครอบครองความสุข


 


 


ทุกครั้งที่ซูเซียงสวมถุงมือคู่นี้โดยพื้นฐานแล้วจะใช้จัดการกับสมุนไพร จ้าวคิดในใจ คงมิใช่ภรรยาคิดจะไปเก็บสมุนไพรล้ำค่าอะไรหรอกนะ


 


 


ซูเซียงยังคงไม่สนใจเขาเหมือนเดิม จัดการหยิบถุงมือใส่ให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ดวงตาทั้งคู่กวาดมองไปรอบๆคันนา แต่เดินไปเรื่อยๆสิบกว่าคันนาแล้วก็ยังไม่เห็นของที่ตัวเองต้องการ


 


 


แม้นางพักฟื้นหลังคลอดดีมากแล้ว แต่เดินไกลขนาดนี้ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงหันกลับมาโพล่งถามบุรุษผู้เหมือนสุนัขภักดีข้างกาย “วิชาตัวเบาเจ้าดีไหม? เราขึ้นภูเขาสักเที่ยว?”


 


 


จ้าวเซิงพยักหน้าทันที นำตะกร้ากับเคียวให้ซูเซียงถือแล้วอุ้มตัวคนขึ้นมา หนำซ้ำยังเป็นการอุ้มท่าเจ้าหญิงประเภทนั้น พาให้ซูเซียงทนไม่ไหวขวยเขินอยู่บ้าง


 


 


จ้าวเซิงเห็นท่าทางของซูเซียงก็อบอุ่นในหัวใจ น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วนอย่างอดมิได้ “ภรรยาอยากไปที่ไหนเราก็ไปที่นั่น”


 


 


ซูเซียงแค่นเสียงมิได้รับถ้อยคำของเขา ผู้ชายเย็นชาเป็นน้ำแข็งคนนี้ เดี๋ยวนี้ถึงกับรู้จักพูดจาน่าฟังเอาใจคนแล้ว หายากจริงๆ แต่เพราะเรื่องของลูกยังเป็นหนามยอกอกนาง อย่างไรก็เหยียดยิ้มไม่ออก พูดเพียงหนึ่งประโยค “ไปดูตรงที่ปลูกต้นหลิวหน่อย ข้าจะหาของบางอย่าง”


 


 


จ้าวเซิงอุ้มซูเซียงไปยังบริเวณที่ปลูกต้นหลิวซึงก็คือริมฝั่งแม่น้ำสายนั้น


 


 


 


 


ซูเซียงหาดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ในที่สุดก็พบพืชพุ่มใหญ่ที่ตัวเองต้องการ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ พูดอย่างมั่นอกมั่นใจกับจ้าวเซิง “ไป ขุดของนั่นขึ้นมาให้ข้า เอารากที่อยู่ข้างล่าง” พูดแล้วก็หยิบถุงมือสองข้างยัดลงใส่มือจ้าวเซิง “เจ้าระวังหน่อย สวมถุงมือไว้ อย่าโดนใบกับเหง้าที่ขาดออก ระวังเจ้าจะคันแทบตาย”


 


 


จ้าวเซิงมองดูของสิ่งนั้นอย่างละเอียดแล้วตามด้วยตอบสนองกลับมาทันที ครานั้นตอนพวกเขากำลังจัดการพื้นที่ภูเขาผืนนี้ก็มีคนงานเผลอชนเข้ากับพืชชนิดนี้ กลับไปคันอยู่สามวันสามคืน ถ้าไม่ได้ยาสมุนไพรของซูเซียงทันเวลา กลัวว่าคงเกาจนทั้งตัวยับเยิน คิดมาถึงตรงนี้ จ้าวเซิงผู้ซึ่งเป็นลูกผู้ชายองอาจไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินก็ขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทั้งร่างกาย


 


 


ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว สภาพคันคะเยอของบุรุษคนนั้นยังติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นเขาไปมีทางไปโดนใบนั่นเด็ดขาด


 


 


แม้จะประหลาดใจว่าภรรยาบ้านเขาจะเอาสิ่งที่ทำให้คนคันจนเกือบตายได้นี้ไปทำอะไร แต่ดีร้ายนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนกว่าที่ซูเซียงเรียกใช้งานเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องทำงานนี้ให้ดี ทำให้ภรรยามีความสุข


 


 


ดังนั้นจึงรีบรับถุงมือทันที พยักหน้า “อื้ม เช่นนั้นที่รักรออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะลงไปจัดการให้เจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


ก่อนจ้าวเซิงลงไปยังถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนปูรองบนก้อนหิน เลี่ยงมิให้ไอเย็นบนก้อนหินส่งถึงภายในร่างกายของซูเซียง อย่างไรนางก็เพิ่งผ่านช่วงอยู่ไฟมา รับความเย็นไม่ไหว


 


 


หลังทำทั้งหมดนี้เสร็จ จึงคว้าตะกร้าถือมีด ไปตะลุมบอนกับพืชที่ทำให้คนคันแทบตาย


 


 


ซูเซียงนั่งบนหินรองเสื้อคลุมก้อนนั้นอย่างว่าง่าย สายตาจ้องจับผิดจ้าวเซิง เมื่อก่อนผู้ชายคนนี้ชอบเรียกนางว่าเซียงเอ๋อร์ไม่ก็ภรรยา บัดนี้เปลี่ยนคำเรียกขานเรียกนางว่าที่รักทุกที


 


 


ซูเซียงรู้ เพราะตัวเองชอบฟังคำว่า “ที่รัก” คำนี้จ้าวเซิงจึงเรียกเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกหวั่นไหว นั่นคงโกหกแล้ว


 


 


เห็นบุรุษผู้สังหารศัตรูอย่างห้าวหาญยามอยู่ในสนามรบ แข็งแกร่งกระดูกเหล็ก บัดนี้กำลังขดตัวเป็นนกกระทาอยู่ตรงซอกมุมตรงนั้นขุดของให้ตัวเองอย่างระวังเต็มอัตรา กระแสอุ่นสายหนึ่งในใจซูเซียงแผ่ซ่านทั่วร่างกาย นางถึงกับคิดว่า ถ้าครานั้นพวกเขาไม่ได้เข้าวังจะดีมากเพียงใด เด็กคนนั้นคงไม่ต้องจากไปอย่างไม่ยุติธรรม เช่นนั้นนางกับจ้าวเซิงจะมีความสุขมากขนาดไหน?


 


 


แต่บัดนี้ พวกเขาซึ่งเป็นบิดามารดาไม่อาจดูแลลูกให้ดี พวกเขาไม่คู่ควรให้มีความสุข!


 


 


โดยรวดเร็ว จ้าวเซิงขุดสิ่งของที่นางอยากได้ขึ้นมา เหมือนกันกับเผือกแดงนั่น หัวใหญ่มากทีเดียว ส่วนที่ไม่ระวังเผลอทำให้ปริแตกเล็กน้อยขาวโพลนราวกับหิมะ


 


 


เพราะนึกสงสัย จ้าวเซิงใช้นิ้วที่สวมถุงมือ ลูบเบาๆตรงส่วนที่แตกออก เนื้อสัมผัสลื่นๆมันๆ แต่ไม่ทันรอให้เขาได้พูดอะไร บนนิ้วมือก็มีความปวดแปลบแหลมคมระลอกหนึ่งส่งผ่านเข้ามา ตามด้วยอาการคันยุบยิบ


ตอนที่ 863 ภรรยายังห่วงใยเขา


 


 


ไม่มีความลำบากใดที่เขาไม่เคยพบเจอ ไม่มีความเจ็บปวดใดที่เขาไม่เคยประสบ แต่บัดนี้ความคันทะลุหัวใจนี้ทำเอาเขาแทบตกลงไปในน้ำ ตะกร้าในมือลื่นลงมา ไหลไปตามกระแสน้ำ เขาทะยานตัวเหินขึ้นทันที ร่วงตกลงบริเวณพื้นที่แห้ง


 


 


ซูเซียงเห็นดังนี้ ในใจร้อนรนกระโดดเข้าไปหาเขา ดึงแขนเขาไว้แล้วพูดอย่างฉุนเฉียว “เจ้าลาโง่ ทำอะไรเนี่ย บอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าจับ อย่าจับ! ทำไมเจ้าไม่ระวังเลย เดี๋ยวเจ้าก็ได้ตายเพราะโง่หรอก!”


 


 


พูดตามตรง ทั้งชีวิตจ้าวเซิงไม่เคยคันคะเยอแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน คันจนเขาอยากหยิบมีดมาตัดนิ้วทิ้งใจจะขาด


 


 


แต่เห็นซูเซียงนั้นพองแก้มเหมือนกบน้อยอบรมเขา หัวใจก็อบอุ่นขึ้นเป็นระลอก


 


 


บุรุษที่หน้านิ่งเย็นชามาตลอด บัดนี้กลับฉีกยิ้มโง่งมยิ่งนัก “ฮี่ๆ ไม่เป็นไรที่รัก ไม่คัน ไม่คันเลย…”


 


 


ซูเซียงตีเขาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูท่าทางโง่เง่าของเจ้าสินั่น ยังบอกว่าไม่คัน คันจะตายอยู่แล้วนั่นน่ะ!”


 


 


ซูเซียงแม้ด่าก็ส่วนด่า แต่ยังเป็นห่วงมากอยู่ดี ดึงมือของเขาพลางกล่าว “ ไป รีบกลับบ้าน โชคดีที่ในบ้านยังมียาอยู่นิดหน่อย ไม่อย่างนั้นมือข้างนี้ของเจ้าคงใช้ไม่ได้แล้ว!”


 


 


           จ้าวเซิงกลัวของบนมือจะเปื้อนติดร่างกายซูเซียง รีบเอามือข้างนั้นไพล่ไว้ด้านหลัง กอดรัดซูเซียงไว้ในรักแร้ เหาะกลับบ้านอย่างระมัดระวัง


 


 


ซูเซียงกลับมาแล้วก็ตะโกนเข้าไปในเรือน “ชุ่ยหลิ่ว ชุ่ยหลิ่ว รีบหยิบกล่องยามาให้ข้า!”


 


 


ชุ่ยหลิ่วเดิมทีให้อาหารไก่อยู่ในสวนหลังบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนของซูเซียงก็ใจเต้นตูมตาม คงไม่มีใครบาดเจ็บมากระมัง? ทันใดนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว โยนถาดอาหารไก่ออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถาดกลิ้งไปถึงไหน วิ่งเข้าห้องซูเซียงรวดเร็วปานลมปานไฟ หิ้ว**บยาออกมา


 


 


ครั้นเห็นว่ามิใช่ซูเซียงบาดเจ็บ ชุ่ยหลิ่วถึงค่อยตบๆหน้าอก แต่ลมหายใจนี้ของนางยังไม่ทันคลายลงก็เห็นนิ้วมือสองนิ้วที่บวมเหมือนกับกีบเท้าหมูของจ้าวเซิง พลันตกใจจนกรามแทบหลุด


 


 


 “ท่านเขย ท่านเป็นอะไรไปนี่?!” ชุ่ยหลิ่วประหลาดใจถามเสียงตื่น


 


 


หลังจากกลับมาจ้าวเซิงก็กำชับทุกคนไม่ให้เรียกเขาว่าองค์ชายอีก ดังนั้นพวกชุ่ยหลิ่วจึงถือโอกาสเปลี่ยนคำเรียกจ้าวเซิงเป็น “ท่านเขย”


 


 


ซูเซียงไม่ทันมองชุ่ยหลิ่วสักสายตา รีบพลิกห่อยาใบเล็กออกมาจาก**บยาชั้นล่างสุด ยาห่อนี้เป็นยาที่เหลือจากให้คนงานเตรียมสมุนไพรเมื่อคราวนั้น


 


 


ซูเซียงเปิดห่อยาออกทันที จากนั้นพลิกเหล้าล้างแผลด้านบน ผสมมันเข้ากันเป็นเนื้อเหลวข้นแล้วทาลงบนนิ้วทั้งสองของจ้าวเซิง จากนั้นหยิบผ้าขาวมาพันไว้


 


 


 “อวดเก่งนักนะ! บอกเจ้าแล้วว่าของสิ่งนี้ห้ามสัมผัส เดี๋ยวเจ้าจะคันตายเอา อยากเห็นข้าเป็นห่วงเจ้าใช่ไหม?!”


 


 


ซูเซียงพูดพลางดึงแถบผ้าผืนนั้นเข้ามาพันหลายรอบแล้วผูกเป็นเงื่อนผีเสื้อ จากนั้นฮึดฮัดงึมงำอยู่ในปาก แสร้งทำเป็นไม่สนใจไปเก็บ**บยาของนาง เพียงแต่สายตาเหลือบมองมายังนิ้วมือของจ้าวเซิงอยู่บ่อยครั้ง


 


 


จ้าวเซิงเห็นซูเซียงแอบมองเขาแบบนี้ ในใจก็หวานฉ่ำปานได้กินน้ำผึ้ง ภรรยาคนนี้ของเขาแม้ตีหน้าเย็นชา บอกว่าไม่ห่วงเขา บอกว่าเห็นเขาน่ารำคาญ แต่แท้จริงแล้วก็ยังวางเขาไว้ในหัวใจ


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ จ้าวเซิงแบกมือเหมือนหมูคากินั้นส่ายไปส่ายมาอยู่ในบ้านหลายวัน ซูเซียงแม้ตาขวางเย็นชาใส่เขาทุกวัน แต่ก็ยังเปลี่ยนยาให้เขาตามเวลา


 


 


ของที่จ้าวเซิงขุดเมื่อวันก่อนไม่ได้นำกลับมา ต่อมาซูเซียงจึงสั่งให้หลงฉีไปจัดการของสิ่งนั้นกลับมาอย่างระมัดระวัง ทั้งยังกำชับให้ใส่ถุงมือหนังหั่นหัวเผือกนั้นออกเป็นแว่น วางไว้บนหม้อใบใหญ่อบให้แห้ง จากนั้นบดเป็นผงอย่างระมัดระวัง เพียงแต่หม้อใบใหญ่ที่เคยใช้อบของสิ่งนี้แล้วต่อไปก็ไม่อาจใช้งานได้อีก 


 


 


เพราะมีซูเซียงคอยเป็นผู้กำกับอยู่ข้างๆหลงฉีกับพวกชุ่ยหลิ่ว ทุกคนจึงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ไม่ได้บาดเจ็บถึงตัวเองและคนอื่นๆ 


 


 


โดยรวดเร็ว เวลาสั้นๆเพียงประมาณสามวัน ซูเซียงก็นำของทั้งหมดที่บดเป็นผงแล้วบรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ที่นางจัดทำพิเศษ กระบอกไม้ไผ่สี่สิบกว่าแท่ง นับดูแล้วน่าจะมีประมาณยี่สิบสามสิบชั่ง


 


 


ลองคิดดู ของที่เพียงแค่แตะนิดเดียวยังคันคะเยอหาใดเปรียบ ถ้าติดตามตัวจำนวนมากขนาดนี้ โอย ไม่กล้าจะคิดต่อ…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 864 รัชทายาทกับจักพรรดิผู้สูงส่งกำลังทำอะไรกันอยู่


 


 


รอจนทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นแล้วซูเซียงจึงค่อยเรียกจ้าวเซิงเข้ามา ชี้สิ่งที่อยู่บนรถม้าพลางกล่าวว่า “เจ้ารีบให้คนหวดแส้เร่งม้าเร็วส่งไปยังชายแดน ที่ประจำการของฝ่ายศัตรูย่อมต้องมีแหล่งน้ำ พวกเจ้าคิดหาวิธีนำของสิ่งนี้ทั้งหมดปล่อยลงในน้ำ ถึงเวลาไม่ว่าจะดื่มหรือลูบตัวล้วนเกิดปัญหา เออใช่ ระวังหน่อย อย่าใช้มากเกินไป ข้าทำของสิ่งนี้เป็นแค่แผนรับมือชั่วคราว ไม่อยากสร้างบาปฆ่าคน โดยเฉพาะถเบาดเจ็บถึงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เข้าใจแล้วหรือยัง?!”


 


 


จ้าวเซิงยังตื่นตะลึงไม่ได้สติกลับมา เห็นแค่ริมฝีปากภรรยาบ้านตนอ้าๆหุบๆพ่นถ้อยคำออกมา ในใจเขาอึ้งตะลึงถึงที่สุด


 


 


สองวันนี้แม้เขาตัวติดกับซูเซียงตลอด แต่ยังไม่วางใจคิดหาสารพัดวิธี แอบใช้นามของตัวเองเขียนจดหมายไปให้ขุนพลทั้งหลาย ให้พวกเขารับศึกดีๆ แต่ถึงที่สุดก็รู้ดีว่านี้มิใช่การรักษาที่ต้นตอ


 


 


คิดไม่ถึง ตอนนั้นภรรยาบ้านเขายัดแผ่นกระดาษลงบนมือเขา ไม่พูดพร่ำก็ออกไปขุดของที่ทำให้คนยุบยิบ ที่แท้ทั้งหมดก็ทำเพื่อเขา


 


 


อันที่จริงเป็นจ้าวเซิงคิดมากไปแล้ว ซูเซียงไม่ได้ทำเพื่อเขาทั้งหมดโดยสิ้นเชิง แต่ทำเพื่อราษฎรของบ้านเมือง มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดี รังคว่ำมีหรือไข่สมบูรณ์ ถ้าบ้านเมืองเสียหาย ชาวบ้านราษฎรยังจะอยู่ดีหรือ? ถึงเวลาคนบาดเจ็บล้มตายจะต้องมากกว่าอุบายนี้ของนางพันล้านเท่าแน่


 


 


จ้าวเซิงราวกับได้รับของล้ำค่า สายตาที่มองซูเซียงต่างออกไป สุดท้ายถึงกับหอมแก้มซูเซียงภายใต้ดวงตาเบิกกว้างของธารกำนัล แล้วค่อยสาวเท้าเดินไปด้วยสีหน้าอบอุ่น


 


 


ซูเซียงยื่นมือลูบใบหน้าบริเวณที่ถูกจ้าวเซิงจูบ ใจเต้นเล็กน้อย ดวงหน้าพลันขึ้นสีแดง


 


 


 “ตาบ้า” ซูเซียงงึมงำหนึ่งคำ หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอย่างเขินอาย


 


 


ทีแรกสามีภรรยาสกุลหวังยังเป็นห่วงอยู่ว่าคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวทะเลาะเบาะแว้งกันภายหลังจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ หลังเห็นฉากนี้ก็นับว่าวางใจลงได้แล้ว


 


 


หวังต้าเหนียงซึมอยู่หลายวันเพราะเสียหลานไปทั้งยังเป็นห่วงลูกสาว ในที่สุดตอนนี้บนใบหน้าก็พอมีรอยยิ้มขึ้นบ้างเล็กน้อย ผู้เฒ่าหวังที่มองดูอยู่ก็โล่งใจลงไปมาก


 


 


เขาตรวจชีพจรให้ซูเซียงเรียบร้อยแล้ว แม้กล่าวว่าครั้งนี้ร่างกายนางบาดเจ็บสาหัสจริง ไม่อาจมีบุตรได้ในชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าดูแลรักษาให้ดีล่ะก็ พวกเขายังเยาว์วัย ผ่านไปสักเจ็ดแปดปีก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว


 


 


แต่คำเหล่านี้เขารู้แค่ในใจไม่เคยบอกใครคนใด กลัวว่ายิ่งหวังมากก็จะยิ่งผิดหวังมาก


 


 


 


 


ทางชายแดน  เพราะมีจดหมายลับส่วนตัวของจ้าวเซิงส่งไป ขวัญกำลังใจของเหล่าขุนพลจึงนับว่าดีขึ้นมาหน่อย ต่อมายังทำตามแผนของจ้าวเซิงไปเผาเสบียงของฝ่ายศัตรูส่วนหนึ่ง ในที่สุดเวลานี้เหล่าพลทหารชั้นประทวนก็มีใจฮึดสู้ขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


แม้จ้าวเซิงไม่ได้ลงสนามด้วยตัวเอง แต่กลับส่งองครักษ์มังกรมีความสามารถเหล่านั้นไป ด้วยกำลังความร่วมมือช่วยเหลือของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินกับกำลังของเขา หลังรบชนะติดต่อกันสองสมรภูมิ ผงคันคะเยออันนั้นของซูเซียงก็ส่งไปถึงแล้ว


 


 


พวกเขาลักลอบใส่ลงในน้ำบริเวณค่ายพักแรมของศัตรู บัดนี้นับว่าชุลมุนฟ้าพลิกแล้ว


 


 


ทัพศัตรูแม้มิได้รับพิษหมดทุกคน แต่มีมากว่าห้าส่วนประสบทุกข์ครั้งใหญ่ เนื้อตัวคันยิบเหลือทน ผู้ใดโดนเข้าคนผู้นั้นก็โชคร้าย แม้กระทั่งแพทย์ทหารที่ดูแลพวกเขาก็ยังติดไปด้วย เป็นเพราะจัดการไม่ถูกวิธีทั่วทั้งร่างกายจึงคันยับเยิน


 


 


นอกจากนี้วัตถุดิบตั้งต้นของผงคันยุบยิบนี้ก็มีแค่ในพื้นที่ภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้นแถบมรสุมและบริเวณชุ่มน้ำ  ผู้ที่ทำศึกกับต้าหรงครานี้พอดีเป็นชนเผ่าทุ่งหญ้า เครียดให้ตายพวกเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นของผีบ้าอะไร เรื่องแก้พิษยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


ศึกครานี้ย่อมไร้หนทางสู้รบต่อไปได้ ศัตรูเป็นอันถอยทัพไปในที่สุด พระพันปีที่อยู่ในวังหลวงก็ได้รับข่าวทันที ย่อมมีสายข่าวยิบย่อยส่งมาเช่นกัน ทราบว่าเป็นความช่วยเหลือของจ้าวเซิง และทราบว่าผงคันคะเยอนั้นเป็นผลงานที่ซูเซียงสรรค์สร้างขึ้น


 


 


แต่พระนางไม่ทันได้โล่งพระทัย ก็ได้ข่าวแว่วมาว่าทางรัชทายาทกับจักรพรรดิก่อเรื่องอาละวาด โทสะนางพลันพลุ่งจนเจ็บตับไตไส้พุง


 


 


ทุกผู้ทุกคนต่างวิตกกังวลเรื่องทางชายแดนเหลือคณา แม้กระทั่งสตรีคนหนึ่งยังรู้จักคิดหาวิธีการ แต่จักรพรรดิกับรัชทายาทผู้สูงส่งกำลังทำอะไรกันอยู่?!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม