จำนนรักชายาตัวร้าย 85.6-87.1

ตอนที่ 85-6 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

 

เมื่อซย่าโหวจวินอวี่มองดูโดยละเอียด ก็พบว่านางกำนัลคนนี้เป็นนางกำนัลข้างกายซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ถึงแม้ว่าเวลาที่เขาได้อยู่กับซย่าโหวฉิงเทียนตามลำพังจะถูกขัดจังหวะ ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่อวี่ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงเสวี่ยเป็นลมหมดสติไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็กังวลใจไม่น้อย


 


 


“เชิญหมอหลวงมาหรือยัง”


 


 


“องค์หญิงทรงมิให้เชิญหมอหลวงเพคะ! ทั้งยังมิให้บ่าวมาทูลรายงาน แต่บ่าวเป็นห่วงพระองค์จนทนไม่ไหว จึงแอบออกมาทูลรายงานเพคะ บ่าวขอร้องฝ่าบาท ขอทรงเสด็จไปเยี่ยมองค์หญิงด้วยเถิดเพคะ พระพักตร์ของพระองค์มิสู้ดีเลยเพคะ!”


 


 


ได้ฟังดังนั้น ในที่สุดซย่าโหวจวินอวี่ก็ลุกยืนขึ้น


 


 


ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องที่ซย่าโหวจวินอวี่แอบหนีออกไปนอกวัง ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่พิโรธเป็นอย่างมาก ทั้งยังสั่งลงโทษหลิวฮองเฮาด้วย


 


 


แต่เมื่อรอจนกระทั่งซย่าโหวเสวี่ยกลับมาในสภาพแทบจะไร้วิญญาณ ทำซย่าโหวจวินอวี่ใจอ่อนมิได้สั่งลงโทษนางรุนแรง เพียงแต่ให้นางเก็บตัวสำนึกผิด ห้ามออกไปไหน แม้กระทั่งฮองเฮาก็ห้ามมิให้เข้าเยี่ยมนาง


 


 


ใครจะคาดคิด ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ซย่าโหวเสวี่ยกลับล้มป่วยลงเลยหรือ


 


 


“เสด็จพี่ ท่านรีบเสด็จไปดูเถอะ! ข้าเองก็ไม่ได้พบหลานสาวตั้งนานแล้ว พวกเราไปเยี่ยมนางด้วยกัน!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้นยิ้มๆ


 


 


ได้เห็นรอยยิ้มของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอานางกำนัลถึงกับอดมิได้ที่จะพร่ำบ่นออกมา


 


 


ให้ตายเถอะ เหตุใดรอยยิ้มของหลินเจียงอ๋องถึงได้น่าหวาดกลัวเช่นนี้นะ


 


 


พลันนางกำนัลก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า การที่นางเข้ามาขัดจังหวะระหว่างฝ่าบาทกับหลินเจียงอ๋อง เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์


 


 


ประโยคเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่สั่งเตรียมขบวน เดินทางไปเยี่ยมซย่าโหวเสวี่ยพร้อมกับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เมื่อผ่านเข้าประตูตำหนักไป ก็เห็นนางกำนัลมากมายยืนล้อมซย่าโหวเสวี่ยอยู่ด้วยสีหน้าร้อนใจ


 


 


ส่วนซย่าโหวเสวี่ยนอนอยู่บนเตียง ดวงตาคู่สวยปิดสนิท ใบหน้าซีดขาว แก้มทั้งสองข้างแดงขึ้นเล็กน้อยเนื่องด้วยความผิดปกติของร่างกาย ดูท่าแล้วอาการป่วยของนางคงจะไม่น้อยทีเดียว


 


 


“ตามหมอหลวง!”


 


 


เห็นดังนั้นซย่าโหวจวินอวี่ก็สั่งการให้เซี่ยงจิ้นตามหมอหลวงประจำพระองค์ของตนมา


 


 


ไม่นาน หลิวฮองเฮาก็รีบร้อนเข้ามา


 


 


เมื่อนางเห็นฮ่องเต้และหลินเจียงอ๋องอยู่พร้อมหน้า หลิวฮองเฮาก็หันให้ทำความเคารพซย่าโหวจวินอวี่ทันที


 


 


“ไม่ต้อง…”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ร้องบอกอย่างตัดรำคาญ


 


 


อีกด้านหนึ่งก็คือเขายังไม่ยกโทษให้กับหลิวฮองเฮา อีกด้านหนึ่งก็กำลังเป็นห่วงอาการของซย่าโหวเสวี่ย


 


 


“ฝ่าบาท เสวี่ยเป็นอะไรกันแน่เพคะ”


 


 


ฮองเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้มิทรงโปรดทอดพระเนตรเห็นตนเอง จึงหลบไปนั่งด้านข้าง มองดูซย่าโหวเสวี่ย ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย


 


 


“ข้าได้เชิญท่านหมอหลวงหวังมาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง!”


 


 


ว่าแล้วหมอหลวงหวังก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เบื้องหลังของเขาติดตามด้วยเด็กบดยาสองคน ทั้งสองแบกกระเป๋ายาวิ่งตามเข้ามา


 


 


เมื่อเหลือบเห็นหมอหลวงหวังวิ่งเข้ามา ซย่าโหวจวินอวี่ก็รีบกวักมือเรียกเขาเข้ามาเพื่อตรวจอาการให้กับซย่าโหวเสวี่ยทันที


 


 


ในขณะที่หมอหลวงหวังกำลังวางผ้าแพรผืนบางลงบนข้อมือของซย่าโหวเสวี่ยนั่นเอง นางก็ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อเหลือบมองเห็นหมอหลวง ซย่าโหวเสวี่ยก็ตกใจเป็นอย่างมาก แล้วผลักหมอหลวงหวังอย่างแรง


 


 


“บังอาจ นี่ท่านกำลังจะทำอะไร”


 


 


ในตอนนั้นเองนางจึงพบว่า ซย่าโหวจวินอวี่อวี่นั่งอยู่ข้างกายของนาง


 


 


“เสด็จพ่อ เหตุใดจึงทรงมาอยู่ที่นี่เพคะ…”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยตื่นตระหนกจนทนแทบไม่ไหว ในใจของนางกำลังหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่ได้ จะให้เสด็จพ่อล่วงรู้เรื่องนี้มิได้ มิเช่นนั้นจะต้องทรงสังหารนางเป็นแน่!


 


 


“พ่อได้ยินว่าเจ้าเป็นลมหมดสติ เป็นห่วงจึงได้มาเยี่ยมเจ้า ทั้งยังเชิญหมอหลวงหวังมาตรวจอาการให้เจ้าด้วย แล้วนี่เจ้าเป็นอะไรไป”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เห็นการกระทำของซย่าโหวเสวี่ยก็โกรธเคืองไม่น้อย


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้เจ็บป่วยอะไร! ลูกสบายดีเพคะ! บ่าวไพร่ผู้ใดที่บังอาจเพ็ดทูลต่อหน้าพระพักตร์ ทำให้เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงได้ ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆเพคะ!”


 


 


 ซย่าโหวเสวี่ยพยายามยืนยันอย่างสุดความสามารถว่าตนเองสบายดี ถึงขนาดจะลงจากเตียง ก้าวเดิน เพื่อที่จะแสดงให้ซย่าโหวจวินอวี่ได้ดูว่าตนเองไม่เป็นอะไร


 


 


ใครจะคาดคิด เพียงแค่ปลายเท้าแตะลงที่พื้น ซย่าโหวเสวี่ยก็ร่างอ่อนปวกเปียก ทรุดลงที่พื้นทันที


 


 


“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก เจ้าจะอวดเก่งไปถึงเมื่อไหร่กัน”


 


 


จะชั่วดีอย่างไรซย่าโหวเสวี่ยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จะให้ซย่าโหวจวินอวี่สั่งสอนลูกในขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วยเขาทำไม่ลง


 


 


ดังนั้น ฮ่องเต้จึงประคองซย่าโหวเสวี่ยขึ้นมาด้วยพระองค์เอง แล้วสั่งให้นางนอนลงบนเตียงให้หมอหลวงหวังตรวจดูอาการ


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆ เพคะ!”


 


 


ยิ่งเมื่อเห็นหมอหลวงหวังเดินเข้ามาใกล้ ซย่าโหวเสวี่ยก็ยิ่งตื่นตระหนกหวาดกลัวจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม


 


 


ไม่ได้!


 


 


หมอหลวงหวังวิชาแพทย์สูงส่ง หากให้เขาตรวจอาการ เขาจะต้องพบความผิดปกติเป็นแน่!


 


 


“เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆ เสด็จแม่ช่วยลูกทูลเสด็จพ่อสิเพคะ!”


 


 


หลิวฮองเฮาไหนเลยจะฟังคำของซย่าโหวเสวี่ย


 


 


นางมีเพียงบุตรสาวสุดที่รักคนนี้เพียงคนเดียว เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวเป็นลมล้มพับ ทั้งยังเรื่องถึงฝ่าบาท หลิวฮองเฮาก็กังวลใจเป็นอย่างมาก


 


 


เจ็บป่วย ก็ต้องหาหมอให้รักษา นี่เป็นเรื่องปกติ


 


 


ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นโอกาสอันดีที่จะประสานรอยร้าวระหว่างพ่อลูก!


 


 


หลิวฮองเฮารู้ดีว่า ซย่าโหวจวินอวี่มักจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน


 


 


นางเองติดตามซย่าโหวจวินอวี่มานาน แน่นอนว่าย่อมต้องรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์อยู่บ้าง


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมู่หรงเยียน และนี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด ในบรรดาลูกสาวลูกชายมากมาย ซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้รักซย่าโหวเสวี่ยมากกว่าใคร


 


 


มาวันนี้ ซย่าโหวเสวี่ยใช้อาการป่วยของตนเพื่อให้ได้รับความรักจากเสด็จพ่อ โอกาสดีเช่นนี้ หลิวฮองเฮาจะปล่อยผ่านได้อย่างไรกัน!


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าอย่ากล่าวโง่ๆเช่นนั้นเลย! สีหน้าของเจ้าย่ำแย่เพียงนี้ จะต้องล้มป่วยเป็นแน่!”


 


 


“บ่าวไพร่พวกนี้ดูแลเจ้าอย่างไรกัน สมควรตายยิ่งนัก!”


 


 


คำพูดของฮองเฮา ทำให้เหล่านางกำนัลขันทีของซย่าโหวเสวี่ยทรุดคุกเข่าลงกับพื้น ร้องขอชีวิต


 


 


“บ่าวสมควรตาย ฮองเฮาทรงไว้ชีวิตด้วย!”


 


 


“พอแล้ว หุบปากให้หมด!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวตวาดขึ้นด้วยความปวดหัว


 


 


นานๆที ที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะกลับมาสักครั้ง ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ น่าปวดหัวจริงๆ


 


 


“หมอหลวงหวัง ท่านตรวจอาการองค์หญิงให้ดีๆ นางเป็นอะไรกันแน่ เสวี่ยเอ๋อร์ถึงได้ล้มป่วยลงขนาดนี้!”


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้เป็นอะไร ลูกสบายดี!”


 


 


ขณะที่สถานการณ์กำลังคับขัน ขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยต้องการที่จะชันกายลุกขึ้น ทว่ามีพละกำลังมหาศาลซึ่งไม่รู้มาจากที่ใดกดนางเอาไว้บนเตียง ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ แม้กระทั่งลำคอของนาง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างอุดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้แม้จะเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาก็ทำไม่ได้


 


 


นี่เกิดอะไรขึ้นกัน!


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยในตอนนี้ทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว แต่นางก็ทำได้เพียงมองดูหมอหลวงหวังยื่นมือออกมาจับชีพจรตรวจอาการของนางเท่านั้น


 


 


จะทำอย่างไรดี ครั้งนี้นางต้องตายแน่!


 


 


ความหวาดกลัวที่มิเคยมีมาก่อนก่อตัวเข้าเกาะกุมหัวใจของซย่าโหวเสวี่ย ในท้ายที่สุดมันก็คืบคลานไปทั่วร่าง


 


 


ผลตรวจที่ออกมาทำเอาหมอหลวงหวังถึงกับตกตะลึง


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของหมอหลวงประจำตัวแปลกไป ความอดทนอันน้อยนิดของซย่าโหวจวินอวี่ก็หมดลงทันที


 


 


“ว่ามา องค์หญิงเป็นอะไร”


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


หมอหลวงหวังคุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของซย่าโหวจวินอวี่และหลิวฮองเฮาด้วยท่าทีหวาดกลัว


 


 


แล้วกล่าวผลการตรวจออกมา


 


 


“องค์หญิงเสวี่ยทรงตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 86-1 เป็นลูกของเหลียนจิ่น

 

“อะไรนะ!”


 


 


คำตอบของหมอหลวงหวังทำให้ซย่าโหวจวินอวี่และหลิวฮองเฮาตะลึงงัน


 


 


มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!


 


 


องค์หญิงเสวี่ยยังมิได้แต่งงาน แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร!


 


 


เป็นฮ่องเต้ยังทรงสามารถประคองสติได้มากกว่า ทรงตรัสถามขึ้นว่า


 


 


“เจ้าแน่ใจนะ”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแน่ใจ”


 


 


หมอหลวงหวังเริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผม เขาคิดไม่ถึงว่า แค่การตรวจอาการป่วยให้กับองค์หญิง กลับกลายเป็นพบเจอกับเรื่องน่าอับอายของราชวงศ์เข้า


 


 


เรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้หากถูกเปิดเผยออกไป ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธมากเป็นแน่


 


 


บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดองค์หญิง เกรงว่าชะตาจะขาดเสียแล้ว!


 


 


สำหรับตัวเขาเองนั้น…หมอหลวงหวังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของเขาหวาดกลัวไม่น้อย


 


 


ต่อให้เขาเป็นหมอเทวดา แต่อย่างไรก็เป็นขุนนาง


 


 


หากฮ่องเต้ให้ตาย ขุนนางไหนเลยจะไม่ตาย!


 


 


“เจ้าพูดเหลวไหล!”


 


 


หลิวฮองเฮาเมื่อได้สติขึ้นมา ก็กล่าวโทษหมอหลวงเสียงดังสนั่น


 


 


หมอหลวงหวัง ช่างบังอาจนักนะ รับสินบนจากผู้ใดมา เหตุใดจึงต้องให้ร้ายองค์หญิง


 


 


แม้ว่าในใจของหลิวฮองเฮา จะเชื่อในบางส่วนของคำพูดของหมอหลวงหวังไปแล้ว


 


 


ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของซย่าโหวจวินอวี่ที่บึ้งตึงแทบจะดูไม่ได้ สายพระเนตรของพระองค์สว่างวาบ ทำให้หลิวฮองเฮายิ่งเชื่อไปกันใหญ่


 


 


แต่ทว่า เรื่องเช่นนี้ให้ตายอย่างไรนางก็จะไม่มีวันยอมรับ!


 


 


องค์หญิงสูญเสียความบริสุทธิ์ ตั้งครรภ์โดยมิได้แต่งงาน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับแคว้นต้าโจวมาก่อน


 


 


วินาทีนั้น สีหน้าของซย่าโหวจวินอวี่เข้มเสียยิ่งกว่าขี้เถ้าก้นหมอเสียอีก หลิวฮองเฮารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงรังสีความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านออกมาจากพระองค์


 


 


ห้ามยอมรับ


 


 


ห้ามยอมรับเด็ดขาด!


 


 


ต่อให้มันตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริง แต่เจ้าก็ห้ามยอมรับเด็ดขาด!


 


 


ความคิดของหลิวฮองเฮา มีหรือที่หมอหลวงหวังจะไม่รู้


 


 


แต่ทว่าในเมื่อเขาพบกับเรื่องใหญ่นี้เข้า หมอหลวงหวังไหนเลยจะกล้าปิดบังฝ่าบาทได้


 


 


หลิวฮองเฮาทรงคิดที่จะปกป้ององค์หญิง โดยเสียสละหมอหลวงหวัง หมอหลวงหวังมิใช่คนโง่ แล้วจะยอมให้ให้หลิวฮองเฮาสาดโคลนอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไรกัน!


 


 


“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมกราบทูลเป็นเรื่องจริงทุกประการ! อายุครรภ์ราวเดือนกว่าเห็นจะได้ ครรภ์ปกติดี กระหม่อมกล้าเอาศีรษะของหม่อมฉันเป็นประกัน ว่าองค์หญิงเสวี่ยทรงตั้งครรภ์จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท!”


 


 


หลิวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าซย่าโหวจวินอวี่


 


 


“ฝ่าบาท เสวี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กดี กตัญญูเชื่อฟังคำสั่ง แล้วจะทำเรื่องน่าบัดสีเช่นนี้ได้อย่างไร! ขอพระองค์ทรงไตร่ตรองด้วยเพคะ!”


 


 


เมื่อครั้งที่ซย่าโหวจวินอวี่ยังเป็นองค์ชายอยู่นั้น หลิวฮองเฮาก็เป็นพระชายาของเขา


 


 


คนทั้งสองอยู่กินฉันสามีภรรยามาตั้งหลายปี ต่อให้ไม่มีความรัก อย่างน้อยก็มีเป็นดั่งมิตรที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน


 


 


หลิวฮองเฮาเคียงข้างซย่าโหวจวินอวี่ในยามที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตมา


 


 


นางเคยถูกคนให้ร้าย เพราะการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวง แท้งลูก ทั้งยังเป็นลูกชายที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีอีกด้วย


 


 


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อีกเลย จนกระทั่งนางอายุยี่สิบเจ็ดถึงได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง ซึ่งก็คือซย่าโหวเสวี่ย


 


 


หลายปีที่ผ่านมา หลิวฮองเฮาทำหน้าที่ของตนเองได้ดีเสมอมา บวกกับซย่าโหวเสวี่ยรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมู่หรงเยียนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ค่อยลงรอยกับสองแม่ลูกนี่เท่าไหร่นัก


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


หลิวฮองเฮาน้ำตาอาบแก้ม ดูร่วงโรยยิ่งนัก


 


 


เส้นผมยาวของนางสยายปรกไหล่ ซึ่งในนั้นมีเส้นผมสีขาวแซมอยู่ไม่น้อย


 


 


ในขณะที่ให้กำเนิดซย่าโหวเสวี่ยนั้น ร่างกายของฮองเฮาหลิวบอบช้ำอย่างหนัก จนมิอาจมีลูกได้อีกต่อไป ดังนั้น หลิวฮองเฮาจึงทั้งรัก ทะนุถนอมและให้ท้ายลูกสาวคนเดียวเป็นอย่างมาก


 


 


ต่อให้นางทำเรื่องเช่นนี้ หลิวฮองเฮาก็ยังเลือกที่จะปกป้องซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้


 


 


เพราะว่า ซย่าโหวเสวี่ยคือชีวิตของนาง!


 


 


“ฮองเฮาไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก!”


 


 


คำพูดซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้หัวใจหลิวฮองเฮาปวดหนึบไปกว่าครึ่ง


 


 


นางจะลืมเรื่องราวของซย่าโหวหนาน สนมลี่ ฉินไทเฮาได้อย่างไรกัน…


 


 


ฝ่าบาท ทรงเป็นผู้ที่ยืนหยัดในอุดมการณ์ของตนเอง!


 


 


ในตอนนั้นเอง แรงมหาศาลที่กดซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ก็มลายหายไป นางพลิกกายลุกขึ้นจากเตียง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซย่าโหวจวินอวี่ ร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเจ็บปวด


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายเพคะ! ลูกยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า เรื่องนี้ห้ามยอมรับโดยเด็ดขาด!


 


 


ในระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง ซย่าโหวเสวี่ยได้พบกับคณะละครคณะหนึ่ง


 


 


ซึ่งภายในคณะละครนั้นนางได้พบกับบุคคลที่นางรู้จักสนิทสนมมากคนหนึ่ง…


 


 


รัชทายาทที่เคยรุ่งเรืองที่สุดแห่งยุค ซย่าโหวหนาน


 


 


ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์นั่น ซย่าโหวเสวี่ยไม่ได้จำคนผิดเป็นแน่ นางเกือบจะสงสัยในสายตาของตัวเองเสียด้วยซ้ำ


 


 


มารดาบังเกิดเกล้าของซย่าโหวหนานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือลี่เฟย สนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด อีกทั้งเขายังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ใครๆ ต่างก็คาดเดาว่าจะได้ขึ้นครองราชย์


 


 


ทว่า จุดจบของซย่าโหวหนานกลับเป็นดั่งตัวตลกในคณะละคร ต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง เห็นเป็นที่ระบายอารมณ์ ใช้ผิงกั่วเขวี้ยง ไข่ไก่ปาใส่เขาเพื่อระบายอารมณ์…


 


 


ภาพในวันนั้น ซย่าโหวเสวี่ยมิมีวันลืมเลือน


 


 


ซย่าโหวหนานทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธ จนถูกริบฐานันดรศักดิ์ปลดไปเป็นชนชั้นทาส จุดจบของเขาน่าอนาถยิ่งนัก ซย่าโหวเสวี่ยจะไม่ยอมเป็นซย่าโหวหนานคนที่สองอย่างแน่นอน! นางมิอยากเป็นเช่นนั้น!


 


 


“ลูกถูกใส่ร้าย! เสด็จพ่อ…”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารเช่นนี้ ยิ่งดูคล้ายกับมู่หรงเยียนเป็นอย่างมาก ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่มองดูถึงกับใจแกว่งอยู่ครู่ใหญ่ ราวกับว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เมื่อครั้งที่มู่หรงเยียนถูกบีบบังคับให้แต่งเข้าวังบูรพา ซึ่งเป็นวันที่เขาและนางพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายวันนั้น


 


 


วันนั้นมู่หรงเยียนร้องไห้หนักราวกับหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ถึงขั้นว่าจะใช้ความตายเป็นเครื่องยืนยันอุดมการณ์ของตนเอง


 


 


ทว่าเป็นซย่าโหวหนานที่ย้ำเตือนกับนางตลอดเวลา ‘พี่เยียน คนเราจะต้องมีลมหายใจจึงจะมีความหวัง’


 


 


สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าซย่าโหวจวินอวี่สีหน้าอ่อนลง ใบหน้าของเขาแสดงความหวั่นไหว ดังนั้นหลิวฮองเฮาจึงคุกเข่าลงอีกครั้งแล้วกล่าวว่าหมอหลวงหวังจิตใจสกปรกต่ำช้า ใส่ร้ายองค์หญิง สมควรตายหมื่นครั้ง


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันสูญเสียลูกไปแล้วคนหนึ่ง หม่อมฉันมิอาจสูญเสียเสวี่ยเอ๋อร์ได้อีกแล้วเพคะ!”


 


 


สุดท้าย หลิวฮองเฮาถึงกับหยิบยกเรื่องที่ตนเองแท้งลูกในปีนั้นขึ้นมาพูด


 


 


งานเลี้ยงในครั้งนั้น เนื่องจากซย่าโหวจวินอวี่ไม่สบาย ทำให้หลิวฮองเฮาต้องดื่มสุราแทนเขาหนึ่งจอก


 


 


ใครจะคาดคิดกลับถึงจวนเพียงไม่นาน พระชายาองค์ชายก็ปวดที่ท้องอย่างหนัก หมอหลวงมาตรวจอาการแล้ววินิจฉัยว่าถูกพิษ ในคืนนั้นนางก็ขับเด็กชายที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีออกมา เด็กก็ไร้ลมหายใจแล้ว


 


 


สำหรับลูกที่สูญเสียไป ซย่าโหวจวินอวี่ยังรู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด


 


 


ในวันนี้ฮองเฮาหลิวหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ซึ่งมันกระแทกใจของเขาอย่างแรง


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้โกหกนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หมอหลวงหวังมีหรือที่จะไม่รู้ว่าสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้อยู่ในภาวะคับขัน


 


 


เพียงแต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะแก้ตัวให้กับตนเองได้อย่างไร จึงทำได้เพียงคุกเข่าหลังตรงแน่ว เพื่อคงไว้ซึ่งคุณลักษณะที่แพทย์พึงมี


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกขอพระราชทานอนุญาตจากเสด็จพ่อ! เสด็จพ่อสามารถให้หมัวมัวของวังหลวงตรวจร่างกายของลูกได้เพคะ!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า วันนี้ระหว่างนางและหมอหลวงหวัง ซย่าโหวจวินอวี่เลือกได้เพียงคนเดียว


 


 


เมื่อถึงช่วงเวลาความเป็นความตาย ซย่าโหวเสวี่ยจึงเลือกใช้วิธีการสุดท้ายขั้นเด็ดขาด


 


 


โดยการที่ให้ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้หมัวมัวแห่งวังหลวงตรวจสอบร่างกายของนาง!


 


 


วังหลัง คือพื้นที่ของฮองเฮา


 


 


นับตั้งแต่ที่ลี่เฟยตายไป หลิวฮองเฮาก็ปกครองวังในด้วยความเรียบร้อยมีกฎระเบียบ ขณะเดียวกันก็คอยควบคุมบงการทุกคน


 


 


เมื่อได้ยินซย่าโหวเสวี่ยยื่นข้อเสนอว่าต้องการให้ตรวจสอบร่างกาย หลิวฮองเฮาก็รีบปาดน้ำตาแล้วออกปากสนับสนุนการตัดสินใจของนางทันที


 


 


“ฝ่าบาท ที่ผ่านมานางกำนัลเมื่อเข้าวังมาจะต้องถูกหมัวมัวตรวจสอบร่างกาย หากพระองค์ไม่เชื่อเสวี่ยเอ๋อร์ละก็ ก็ทรงมีพระบัญชาให้หมัวมัวตรวจสอบร่างกายของนางได้นี่เพคะ! ถึงตอนนั้นความจริงเป็นเช่นไร คงได้รู้ทั่วกัน”


 


 


หลิวฮองเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้จะไม่หาหมอคนหลวงคนอื่นมาตรวจอาการให้กับซย่าโหวเสวี่ยเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ หากเป็นความจริง ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียของราชวงศ์ ฮ่องเต้มิต้องการให้มีคนรู้มากเกินไป


 


 


ดังนั้น จะต้องจัดการหมอหลวงหวังให้จงได้!


 


 


เมื่อได้ฟังข้อเสนอแนะของหลิวฮองเฮา ซย่าโหวจวินอวี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่กลับมองสบสายตากับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าคิดเห็นประการใด”


 


 


ในตอนนั้นเอง ซย่าโหวเสวี่ยถึงได้พบว่าลุงสิบสี่ก็ยืนอยู่ที่ด้านข้างเช่นกัน ทำให้นางตกอกตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


ความสัมพันธ์ของนางและซย่าโหวฉิงเทียนจัดว่าเป็นเพียงผิวเผินธรรมดาๆ แต่ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่า เสด็จพ่อเชื่อใจท่านลุงสิบสี่เป็นมากเพียงใด


 


 


วันนี้นางจะรอดไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าลุงสิบสี่จะว่าอย่างไรแล้ว!


 


 


ท่านลุงสิบสี่ ขอร้องท่านล่ะ! 

 

 


ตอนที่ 86-2 เป็นลูกของเหลียนจิ่น

 

ซย่าโหวเสวี่ยจ้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาน่าสงสารแกมขอร้อง


 


 


“ชื่อเสียงเกียรติยศขององค์หญิง มิอาจลบหลู่ได้ เช่นนั้นปฏิบัติให้รอบคอบรัดกุมจะดีที่สุด!”


 


 


คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนทำเอาหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ยดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา ในสถานการณ์เช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนยังกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรม เขานับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง! (เว้นเสียแต่ว่าอดรนทนไม่ไหวขึ้นมา เหอะๆ)


 


 


“เซี่ยงจิ้น!”


 


 


ในตอนนั้นเอง ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาให้เซี่ยงจิ้นตามหมัวมัวที่มีประสบการณ์มากที่สุดเข้ามา… สวีหมัวมัว


 


 


สวีหมัวมัวเป็นแม่นมของซย่าโหวจวินอวี่ ทั้งยังเป็นคนข้างกายเขาอีกด้วย เนื่องจากนางไม่มีลูก ดังนั้นหลังจากที่ซย่าโหวจวินอวี่ขึ้นครองราชย์แล้วจึงรับนางเข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในวัง


 


 


เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก จึงมิอาจใช้คนนอกได้ ดังนั้นตัวเลือกหนึ่งเดียวในใจของซย่าโหวจวินอวี่นั่นก็คือสวีหมัวมัว


 


 


“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปี หมื่นๆปี!”


 


 


“สวีหมัวมัวรีบลุกขึ้นเถอะ!”


 


 


รอจนกระทั่งหรงหมัวมัวลุกขึ้นยืนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่จึงให้นางตรวจร่างกายของซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ถึงแม้ว่าสวีหมัวมัวจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สวีหมัวมัวก็อยู่ในวังมาหลายปี จึงรู้ดีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นจึงหายเข้าไปห้องด้านข้างพร้อมซย่าโหวเสวี่ย


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้น หมอหลวงหวังเหงื่อแตกทั่วร่างจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม


 


 


ดูจากสถานการณ์ ในใจของฝ่าบาททรงเอนเอียงไปทางองค์หญิงเสวี่ยมากกว่า


 


 


หรือว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาได้อยู่ในโลกนี้อย่างนั้นหรือ


 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน สวีหมัวมัวก็เดินออกมาโดยเบื้องหลังติดตามติดตามมาด้วยซย่าโหวเสวี่ยที่แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ


 


 


“ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา องค์หญิงเสวี่ยบริสุทธิ์ผุดผ่องเพคะ!”


 


 


ซวีม่าม่ายังคงโค้งกายทำความเคารพแล้วกล่าวคำตอบออกมา


 


 


เมื่อได้ฟังคำตอบของสวีหมัวมัว หมอหลวงหวังก็แทบจะเป็นลมล้มพับ


 


 


“เจ้าโกหก”


 


 


เมื่อต้องเผชิญกับคำกล่าวโทษของหมอหลวงหวัง แต่สวีหมัวมัวก็หาได้มีอาการร้อนรนแต่อย่างใดไม่ นางกล่าวตอบอย่างใจเย็น


 


 


“บ่าวมิเคยโกหกฝ่าบาท! หากพระองค์มิทรงเชื่อก็สามารถตามคนอื่นมาตรวจสอบได้เลยเพคะ”


 


 


“เป็นไปไม่ได้!”


 


 


นาทีนั้นหมอหลวงหวังแทบล้มทั้งยืน ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก


 


 


แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหลิวฮองเฮาแอบหยักยิ้มเล็กน้อย เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที


 


 


ฮองเฮาทรงซื้อตัวสวีหมัวมัว!


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


“เจ้าหุบปาก!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ยังมีทันเอ่ยอะไรออกมา ซย่าโหวเสวี่ยที่อารมณ์สงบลงบ้างแล้วก็ถลาเข้ามาที่เบื้องหน้า แล้วยกเท้าถีบยอดอกของหมอหลวงหวังอย่างแรง


 


 


“หมอหลวงหวัง ท่านช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงขนาดกล้าใส่ร้ายป้ายสีองค์หญิง!”


 


 


“บอกมา ใครบงการให้เจ้าทำ!”


 


 


“วันนี้เจ้าบังอาจกล้าให้ร้ายองค์หญิง พรุ่งนี้ก็คงกล้าทำร้ายองค์ชาย แล้วต่อไปเจ้าจะทำเรื่องทำเรื่องไม่ละอายต่อฟ้าดินอีกเท่าไหร่กัน! เสด็จพ่อ เจ้ากบฏเช่นนี้เอาไว้ไม่ได้นะเพคะ!”


 


 


คนพวกนี้มิอาจให้โอกาสมีลมหายใจต่อไปได้ หากรอจนกระทั่งพวกมันกลับตัวได้ ก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยพิษสง แว้งกลับมากัดนางอย่างแน่นอน


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยก็คือคนเช่นนี้


 


 


โทษมหันต์หลายกระทงซัดเข้าหาหมอหลวงหวังไม่หยุด


 


 


หน้าอกของเขาที่ถูกฝ่าเท้าของซย่าโหวเสวี่ยถีบเข้าเมื่อครู่ตอนนี้รู้สึกจุกแน่นเป็นอย่างมาก จนหายใจลำบาก แล้วจะมีแรงไปโต้แย้งใครได้


 


 


‘ความจริง’ กระจ่างแล้ว!


 


 


หลิวฮองเฮายืนอยู่เคียงข้างบุตรสาว ช่วยกันโจมตีหมอหลวงหวัง


 


 


ภายในเวลาไม่นาน ภายในห้องบรรทมก็ดังระงมไปด้วยเสียงกล่าวโทษและก่นด่าของหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ย ทำให้หมอหลวงหวังโกรธจนตาเหลือกแทบจะเป็นลมล้มพับไปด้วยซ้ำ


 


 


“พอแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ตวาดขึ้น ฮองเฮาหลิวและซย่าโหวเสวี่ยสบสายตากันแล้วถอยออกไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ


 


 


หมอหลวงหวังเป็นคนเช่นไร ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้ดี


 


 


เหตุที่เรียกสวีหมัวมัวเข้ามา ก็เพราะว่าท่าทางของซย่าโหวเสวี่ยที่กำลังร้องไห้คล้ายคลึงกับคนรักเก่าของเขา นั่นทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ทนดูไม่ได้


 


 


บวกกับเรื่องนี้เกี่ยวข้องชื่อเสียงความบริสุทธิ์ผุดผ่องขององค์หญิง ซึ่งในวังยังมีองค์หญิงที่อายุยังน้อยและยังไม่แต่งงานอีกมากมาย ซย่าโหวจวินอวี่จึงไม่ใช่เสด็จพ่อที่เลอะเลือน อีกทั้งยังต้องการสืบหาเหตุผลที่แท้จริงอีกด้วย


 


 


แต่ในตอนนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาล้วนแต่ชี้ชัดว่าหมอหลวงหวังวินิจฉัยผิด ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ


 


 


หมอหลวงหวัง สวีหมัวมัว สองคนนี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่โกหก!


 


 


คนหนึ่งก็เป็นหมอหลวงที่ทำหน้าที่แพทย์ด้วยความซื่อสัตย์อย่างเต็มกำลังความสามารถ อีกคนก็เป็นแม่นมที่เชื่อใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาคนใดโกหกเขาก็ตาม ซย่าโหวจวินอวี่ก็คงจะรู้สึกผิดหวังมาก


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้โกหก พ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


มือข้างหนึ่งของหมอหลวงหวังยันพื้นเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็กุมที่ทรวงอก เขาบาดเจ็บหนักดังนั้นทุกครั้งที่เขาโขกศีรษะกับพื้นก็จะมีเหงื่อเม็ดโตหยดลงบนพื้นเสมอ


 


 


ทำให้ภายในเวลาไม่นาน บนพื้นบริเวณที่หมอหลวงหวังนั่งคุกเข่าอยู่เปียกชื้นเป็นวงกว้าง


 


 


ถูกหลิวฮองเฮาและองค์หญิงเสวี่ยโจมตีอย่างหนัก เขายากที่จะสรรหาคำใดมาแก้ตัวได้ แต่จะไม่ให้เขาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กันตนเองเลยก็ไม่ได้


 


 


หมอหลวงหวังรู้ดีว่า หากเขายอมรับความผิดนี้เอาไว้ละก็ มิเพียงจะถูกไล่ออกจากสำนักหมอหลวง แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็จะถูกหางเลขไปด้วย


 


 


หากยอมปล่อยให้เขากลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เขาก็จะยอมรับ


 


 


ทว่าสมาชิกในครอบครัวของเขามีน้อย คงยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของพวกเขาได้นะสิ!


 


 


เพื่อครอบครัว เขาคงต้องสู้ตายอย่างเดียวแล้ว!


 


 


“เสด็จพี่ ข้ารู้ว่าอวี้หลัวช่าอยู่ที่ไหน ข้าสามารถเชิญนางมาได้!”


 


 


จับตาดูอยู่นานในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยปากออกมา


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ มีบุคคลสองคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี


 


 


คนหนึ่งคือซย่าโหวเสวี่ย ที่สีหน้าซีดขาวราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน ไม่นะ นางไม่ยอมพบอวี้หลัวช่าเด็ดขาด!


 


 


อีกคนคือหมอหลวงหวัง เขาซาบซึ้งตื้นตันใจซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก ร่างสั่นเทิ่มด้วยความดีใจ


 


 


อวี้หลัวช่า!


 


 


จักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวของแผ่นดิน!


 


 


วิชาแพทย์ของนางไร้ข้อกังขา หากว่าหลินเจียงอ๋องเชิญอวี้หลัวช่ามาได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วข้าก็มีโอกาสรอดแล้ว โอ้ว จริงหรือ! ดีจริงๆเลย!


 


 


ได้ฟังเช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตานางในดวงใจของบุตรชายมาก่อนเลย!


 


 


พอดีจะได้ถือโอกาสนี้พบกับอวี้หลัวช่า!


 


 


เพราะอย่างไรเสีย ซย่าโหวฉิงเทียนก็ต้องการทั้งสามคน บิดาจะช่วยเจ้าตรวจสอบเสียหน่อย ดูซิว่าอวี้หลัวช่าเป็นคนเช่นไร!


 


 


หากว่านางเป็นสตรีที่ดีจริงๆละก็ ต่อให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องขายหน้าแก่ๆนี้ เขาก็จะต้องไปขอนางมาเป็นสะใภ้ให้กับซย่าโหวฉิงเทียนให้จงได้


 


 


“ข้าจะไปเชิญนางมา!”


 


 


กล่าวจบก็หายตัวไปทันที


 


 


เมื่อเห็นบุตรชายรีบร้อนถึงเพียงนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็อมยิ้มในขณะที่มือก็ลูบเคราของตนเอง


 


 


อวี้หลัวช่า!


 


 


นี่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเขาเชียวนะ!


 


 


เขาในฐานะว่าที่พ่อสามีจะต้องดูดีหน่อย นางจะได้ประทับใจ!


 


 


อบอุ่น เมตตา ขาดไม่ได้สักข้อ!


 


 


แม่นางน้อยเข้าวังเป็นครั้งแรก มิควรทำให้นางตกใจ!


 


 


ใบหน้าจะต้องยิ้มแย้ม!


 


 


อื้ม จะต้องทำสิ่งเหล่านี้แหละ!


 


 


อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงว่า ซย่าโหวจวินอวี่จะคิดวางแผนไว้มากมาย


 


 


สรุปง่ายๆ เลยก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่พบหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกว่าตนเองแบกภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ ภาระหน้าที่ที่สำคัญเสียยิ่งกว่าการบริหารราชกิจเสียอีก! 

 

 


ตอนที่ 86-3 เป็นลูกของเหลียนจิ่น

 

ซย่าโหวจวินอวี่คิดจินตนาการไปไกล มีสะใภ้แล้ว แล้วหลานจะไปไหนเสีย


 


 


คำตอบก็คือมีแน่นอน


 


 


ถึงตอนนั้นก็มีสักขโยงหนึ่ง หลานตัวอ้วนที่รูปร่างหน้าตาประหนึ่งซย่าโหวฉิงเทียน เขาอยู่กินนอนเล่นหยอกล้อเป็นเพื่อนหลาน จะมีความสุขมากแค่ไหนกันนะ!


 


 


หลานตัวน้อยเนื้อตัวนุ่มนิ่ม หลานแท้ๆ ของข้า!


 


 


ดวงหน้ารูปไข่ที่เต็มไปด้วยเนื้ออุ่นๆ หอมเท่าไหร่ก็ไม่พอ!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ที่เมื่อครู่สีหน้าเคร่งเครียด ชั่วครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นร่าเริงบันเทิงใจเสียอย่างนั้น เขากำลังจมอยู่ในโลกของตัวเอง หลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ยมองดูด้วยอาการตื่นตระหนก


 


 


ฝ่าบาท นี่ทรงเป็นอะไรไป


 


 


คงมิใช่ว่าถูกวิญญาณร้ายอะไรเข้าสิงหรือเพคะ!


 


 


ณ ที่นั้นบุคคลหนึ่งเดียวที่เข้าใจอารมณ์ของซย่าโหวจวินอวี่ นั่นก็คือเซี่ยงจิ้น


 


 


ในฐานะที่เป็นขันทีที่จงรักภักดีและอารมณ์ขันซึ่งอยู่ข้างกายฝ่าบาทมาช้านาน เซี่ยงจิ้นก็รอคอยการพบหน้าใต้เท้าอวี้หลัวช่าเป็นครั้งแรกเช่นกัน


 


 


เขายังจำได้ดีถึงท่วงท่าที่สง่างามน่ามองของใต้เท้าอวี้หลัวช่า ณ จวนหลินเจียงอ๋อง


 


 


นึกไม่ถึงว่า ใต้เท้าอวี้หลัวช่าสำเร็จขั้นเป็นจอมเทวา ภายในเวลาอันสั้น ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถอีกด้วย


 


 


และเมื่อนึกได้ว่าใต้เท้าอวี้หลัวช่าเคยมอบยาให้กับเขาด้วยตัวเองหนึ่งเม็ด ยานั้นไม่เพียงแต่ขจัดพิษในร่างของเขา ทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บตั้งแต่เก่าก่อนของเขาจนหายเป็นปลิดทิ้ง นับตั้งแต่นั้นเซี่ยงจิ้นก็กลายเป็นผู้ที่ชื่นชมนางไปโดยปริยาย เหลือเพียงคุกเข่ากราบกรานนางเท่านั้นที่เขายังไม่ได้ทำ!


 


 


ท่านอ๋อง ท่านจะต้องสู้ๆ นะ!


 


 


ท่านจะต้องแต่งใต้เท้าอวี้หลัวช่าเข้าวังให้ได้นะ!


 


 


จวนจงอี้กงตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงปล่อยให้สองพ่อลูกอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ยที่ไม่ได้เจอกันมานานได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ส่วนตัวนางกลับมาที่หอซงเฮ่อ


 


 


หลังจากที่นางอาบน้ำจนสะอาด สวมชุดนอนเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ก็พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ในห้องนอนของนาง


 


 


นิสัยมาโดยไม่ได้รับเชิญของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้เฟยเยียนพูดอะไรไม่ออก


 


 


ยังดีที่เขายังแยกแยะได้ จึงมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในห้องอาบน้ำของนาง


 


 


เพียงแต่ว่ายิ่งรู้จักกันนาน ก็ยิ่งรู้สึกว่าหมอนี่ลึกลับยากเกินจะคาดเดามากขึ้น อวี้เฟยเยียนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีคนแอบเข้ามาในหอซงเฮ่อ ดูท่าแล้วเห็นที่คราวหน้าจะต้องให้เหลียนจิ่นสร้างค่ายกลล้อมไว้เสียแล้ว


 


 


อวี้เฟยเยียนที่เพิ่งอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ ใบหน้าสวยใสราวกับน้ำทิพย์ก็ไม่ปาน


 


 


ผิวพรรณนวลเนียนเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตานางราวกับมีเมฆหมอกมนต์สะกด สุกสกาวแวววาว แม้กระทั่งริมฝีปากของนางก็ยังชุ่มฉ่ำอิ่มน้ำ ซย่าโหวฉิงเทียนมองดูแล้วท้องหดเกร็งขึ้นมา จนต้องรีบเสหน้าหันไปทางอื่น


 


 


“เสี่ยวฉิงฉิง ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไรกัน”


 


 


อวี้เฟยเยียนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าซย่าโหวฉิงเทียน สองมือของนางเท้าเอวแล้วกล่าวถามขึ้น


 


 


ถูกเรียกขานเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนหวนรำลึกถึงเหตุการณ์แนบชิดกับนางเมื่อครั้งอยู่ที่หุบเขาลั่วสยาขึ้นมา ใบหูทั้งสองข้างของเขาพลันแดงก่ำ


 


 


เขาก้มศีรษะลงต่ำ พอดีกับที่สายตาเหลือบไปเห็นชุดนอนของอวี้เฟยเยียนเลิกขึ้น


 


 


มือกระต่ายน้อยช่างให้ความรู้สึกได้ดีจริงๆ ชวนให้คิดถึงไม่รู้ลืม!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลอบถอนใจ แก้มเนียนขาวใสกลับแต่งแต้มด้วยแป้งหอมเบาบาง


 


 


“พี่มีเรื่อง จะเชิญเจ้าเข้าวังสักครั้ง!”


 


 


ท่าทางไม่เป็นตัวของตัวเองของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมา


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านก็มีวันเขินอายหน้าแดงกับเขาด้วยหรือนี่ ต้องมีเรื่องอะไรแน่! ท่านบุกห้องนอนส่วนตัวของข้ากลางดึก คนที่เสียหายคือข้า ดังนั้นคนที่แก้มแดงควรจะต้องเป็นข้าสิ ใช่หรือไม่


 


 


อวี้เฟยเยียนหัวเราะออกมา ด้วยรู้ดีว่าซย่าโหวฉิงเทียนต้องมีเรื่องเป็นแน่ นางไม่รอให้เสียเวลา รีบไปค้นหาชุดในตู้เสื้อผ้าเตรียมเปลี่ยนทันที


 


 


เสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าของนาง ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าที่อวี้จิงเหลยซื้อให้กับหลานสาว เป็นชุดสตรีที่สวยงามนำสมัยทั้งสิ้น


 


 


อวี้เฟยเยียนเป็นคนที่รูปร่างหน้าตาสะสวยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าเสื้อผ้าอาภรณ์พวกนี้สวมใส่ยากยิ่งนัก นางใส่ไม่เป็น ดังนั้นทุกครั้งนางจึงสวมเพียงชุดกระโปรงที่เรียบง่ายมาโดยตลอด


 


 


ตอนนี้เจ้าชุดกระโปรงที่เรียบง่ายสกปรกหมดแล้ว นางจึงเลือกเอาชุดกระโปรงสีเหลืองเป็ดออกมาจากตู้เสื้อผ้าชุดหนึ่ง มันสวยงามยิ่งนัก แต่นางมองดูชุดนั้นอยู่นาน ก็ยังไม่รู้ว่ามันสวมใส่อย่างไรกันแน่


 


 


เป็นอะไรหรือ


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเงียบไปนาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินเข้ามาหานาง แล้วหยิบกระโปรงตัวนั้นขึ้นมา


 


 


“สวยงามยิ่งนัก!”


 


 


“สวยงามก็จริงอยู่! แต่ว่า…”


 


 


อวี้เฟยเยียนกัดริมฝีปากเบาๆ ขัดเขินเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา


 


 


“ข้าไม่รู้ว่ามันใส่อย่างไรน่ะสิ”


 


 


คราวนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนอึ้งไปเช่นเดียวกัน


 


 


ไม่รู้ว่าสวมใส่อย่างไร


 


 


พูดเช่นนี้ออกไปคงจะทำให้คนฟังหัวเราะจนฟันหักเป็นแน่!


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็เชื่อแน่ว่าสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมาเป็นความจริง


 


 


เพราะนางก็มีเพียงกระโปรงเรียบง่ายสองตัวสลับกันสวมใส่ไปมาเท่านั้น เมื่อต้องมาสวมใส่ชุดสวยๆแน่นอนว่านางจึงกลายเป็นมือใหม่ที่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนได้อย่างน่าเอ็นดูเช่นนี้ ดังนั้นนางมิได้โกหกอย่างแน่นอน


 


 


แม้แต่ชุดยังไม่รู้ว่าสวมใส่อย่างไรเลย แมวน้อยของพี่ เจ้าช่างน่าปกป้องน่าทะนุถนอมจริงๆเลย!


 


 


“พี่ช่วยเจ้าเอง!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนดูแลจัดการตัวเองมาตลอด ดังนั้นสวมใส่อย่างไร ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแตะต้องชุดของสตรีมาก่อน แต่คลำทางไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร


 


 


อดพูดไม่ได้ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนนี่มีความเป็นสามีที่แสนจะเชื่อฟังและเคารพภรรยาสูงจริงๆ


 


 


ลูบคลำอยู่เพียงสักครู่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าชุดที่ยุ่งยากซับซ้อนนี่มันสวมใส่อย่างไรกัน


 


 


“ยื่นมือซ้ายออกมา ยื่นมือขวาออกมา ยกมือทั้งสองข้างขึ้น! ดีมาก…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนออกคำสั่งให้อวี้เฟยเยียนทำตาม ขณะเดียวกันก็ช่วยนางแต่งตัวไปด้วย ไม่นาน สาวน้อยหน้าตางดงามก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“งามยิ่งนัก! ในที่สุดข้าก็เป็นสตรีกับเขาเสียที!”


 


 


อวี้เฟยเยียนมองดูตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่เป็นนาน แล้วพยักหน้าด้วยความดีใจ


 


 


ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็พอใจในผลงานของตนเองเป็นอย่างมาก


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าเป็นครั้งแรกที่แต่งตัวให้กับแมวน้อยจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ ข้าช่างมีพรสวรรค์จริงๆเลย! ชมตัวเองก็ได้!


 


 


ความภาคภูมิใจในตัวเองบังเกิดขึ้น


 


 


“ไปเถอะ! พวกเราเขาวังกัน!”


 


 


ขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจะเดินออกไปนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนกลับรั้งนางเอาไว้


 


 


“เจ้าจะปล่อยผมเข้าวังแบบนี้น่ะหรือ”


 


 


มองดูเส้นผมยามดำขลับที่ยาวสยายของตัวเองแล้ว อวี้เฟยเยียนก็จนปัญญา


 


 


ถ้าเป็นที่จีนแผ่นดินใหญ่ นางคือหญิงสาวผมสั้นที่สะอาดสะอ้านกระฉับกระเฉง ด้วยงานที่รัดตัว จึงไม่มีเวลามานั่งจัดแต่งทรงผม ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงตัดผมสั้นมาโดยตลอด


 


 


เมื่อมายังแคว้นต้าโจวแห่งนี้ แคว้นที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขมากมาย อวี้เฟยเยียนก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม แต่ทว่าปัญหาก็มาอีกแล้ว


 


 


นางหวีผมไม่เป็นนะสิ!


 


 


ดังนั้น ตั้งแต่มาที่นี่อวี้เฟยเยียนก็ทำผมอยู่เพียงทรงเดียวนั่นก็คือการมัดหางม้าอย่างง่ายๆแล้วมวยขึ้น บนศีรษะของนางไม่มีเครื่องประดับอื่นใดนอกเหนือจากนี้เลย


 


 


แม้กระทั่งตัวนางเองยังรู้สึกว่าชุดพวกนี้ล้วนแต่เป็นของล้ำค่า สิ้นเปลืองทรัพยากรที่ธรรมชาติรังสรรค์และสิ้นเปลืองเครื่องประดับและเพชรนิลจินดามากมายที่ท่านปู่เตรียมเอาไว้ให้กับนาง!


 


 


“เอ่อ…คือว่าข้าไม่รู้ว่าจะเกล้าผมอย่างไร…”


 


 


คำกล่าวเมื่อครู่ของอวี้เฟยเยียนทำให้หัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนราวกับถูกเติมเต็ม


 


 


ตัวน้อยที่แสนน่ารักของเขา!


 


 


แม้แต่ผมยังไม่รู้ว่าจะเกล้าอย่างไร!


 


 


อวี้เฟยเยียนที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนบังเกิดความรู้สึกอยากปกป้องทะนุถนอมนางให้ดีที่สุด…


 


 


แมวน้อยของข้า เจ้าเด็กโง่ที่แสนน่ารัก น่าถนอม ต้องการคนคอยดูแล


 


 


เช่นนั้น ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่เป็นเกียรติยิ่งนี้ให้ตกเป็นของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


แต่จะว่าไป เขาเองก็ไม่รู้ว่าผมของสตรีเขาเกล้ากันอย่างไรเสียด้วยสิ นี่เองทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก


 


 


ด้วยเวลาที่บีบคั้น ซย่าโหวฉิงเทียนเทียนจึงเกล้าผมมวยเฉกเช่นบุรุษง่ายๆ ให้กับนาง


 


 


สุดท้ายเขาก็บรรจงเลือกปิ่นปักผมบุษราคัมสีเหลืองอร่ามวาววับปักลงบนศีรษะ เพื่อลดความเข้มของทรงผมมวยแบบบุรุษให้กับนาง


 


 


“วันนี้ก็เกล้าเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไม่มีทางเลือก


 


 


เขาไม่เคยใส่ใจหญิงสาวคนไหนมาก่อน จึงไม่รู้จริงๆ ว่าสตรีชอบเกล้าผมทรงไหนกัน จนปัญญาจริงๆ


 


 


ทำให้แมวน้อยต้องผิดหวังเสียแล้ว!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนนึกโทษตัวเองอยู่ในใจ 

 

 


ตอนที่ 86-4 เป็นลูกของเหลียนจิ่น

 

ขณะเดียวกันเขาก็แอบสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ กลับไปเขาจะต้องตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง คราวหน้าจะได้มิทำให้แม่นางน้อยคนงามต้องกลายเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงเช่นนี้อีก


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมักจะเป็นเช่นนี้ เข้มงวดกับตัวเองเป็นที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับฝีมือของตนเองในครั้งนี้เท่าไหร่นัก


 


 


ผิดกับอวี้เฟยเยียนที่ยืนส่องกระจก หันซ้ายที ขวาที ชอบอกชอบใจยิ่งนัก


 


 


ร่างนี้สวยงามโดยธรรมชาติ ทำให้ไม่ว่าจะแต่งเติมอย่างไร ล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น


 


 


ถูกเลือกให้มีส่วนร่วมกับภารกิจในครั้งนี้ อีกทั้งวิญญาณของนางยังทะลุมิติมาถึงที่นี่ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกกำไรมากแล้ว!


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเก่งกาจยิ่งนัก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกนิ้วชื่นชมเขา


 


 


ได้รับคำชื่นชมจากสาวน้อยที่มีคุณธรรม ทั้งดูแล้วมิใช่การชมเชยจอมปลอม แต่เป็นการชื่นชมที่ออกจากใจจริง ทำให้ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมผิดหวังห่อเ**่ยว ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา


 


 


“ไปเถอะ! ฝ่าบาทคอยเราอยู่นะ!”


 


 


เพราะการแต่งตัวนางกินเวลาไปไม่น้อย เมื่อออกจากหอซงเฮ่อ ซย่าโหวฉิงเทียนก็อุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นแนบอก แล้วกระโดดขึ้นฟ้าทะยานออกไปทันที


 


 


“ช้าหน่อยเถอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ความเร็วระดับสูงสุด ทำให้อวี้เฟยเยียนรีบโอบคอเขาเอาไว้แน่น


 


 


ความเร็วระดับนี้ เทียบกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้เลยนะเนี่ย!


 


 


ทว่านี่เองทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกนับถือซย่าโหวฉิงเทียนมากขึ้นไปอีก มิรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่นางจะทำได้บ้าง!


 


 


ร่างนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมอก มือเล็กๆ ที่โอบคอเขาอยู่ ลมหายใจหอมหวนที่เป่ารดบริเวณปลายจมูก


 


 


ถึงแม้ว่าสายลมที่พัดมาจะหนาวเหน็บ แต่หน้าซย่าโหวฉิงเทียนกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น


 


 


ทว่า ยังมิทันที่เขาจะได้ดื่มด่ำกับสิ่งสวยงามเหล่านี้โดยละเอียด วังหลวงก็อยู่ที่ใต้เท้าพวกเขาเสียแล้ว


 


 


นี่เป็นครั้งแรก ที่ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่บ่นว่า เหตุใดวังหลวงถึงได้ใกล้นักนะ!


 


 


แม้กระทั่งเวลาที่จะได้ใกล้ชิดแมวน้อยตามลำพังยังไม่มีเลย!


 


 


หายากนักที่แมวน้อยจะยินยอมซุกกายอยู่ในอ้อมอกเขาแต่โดยดี


 


 


ไม่รู้ว่าครั้งหน้า เมื่อไหร่จะมาถึงกัน!


 


 


เสด็จพี่ ท่านย้ายเมืองหลวงเถอะ ดีหรือไม่!


 


 


ในขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่ร้อนใจจนลูบเคราร่วงหลุดไปหลายต่อหลายเส้นแล้วนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็จูงมืออวี้เฟยเยียนเดินเยื้องย่างเข้ามา


 


 


แม่นางน้อย แลดูบอบางอรชรอ้อนแอ้นเมื่อยืนอยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เมื่อคนทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ราวกับกิ่งทองใบหยกก็ไม่ปาน


 


 


เหมาะสมกันทุกประการ!


 


 


ครั้งนี้ อวี้เฟยเยียนมิได้สวมใส่ผ้าแพรผืนบางปกปิดใบหน้า แต่มาด้วยรูปโฉมที่แท้จริง


 


 


เมื่อได้เห็นใบหน้าอวี้เฟยเยียนแล้ว ในใจซย่าโหวจวินอวี่ก็บังเกิดคำว่า งามนัก…


 


 


ลูกชาย เจ้าช่างตาแหลมจริงๆ!


 


 


หญิงงามหยาดฟ้ามาดินเช่นนี้ ให้ตามหาทั่วทั้งแผ่นดิน คงมีคนนี้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น! ลูกชายข้ายอดเยี่ยมไปเลย


 


 


แววตาซย่าโหวจวินอวี่ทั้งชื่นชม ตกตะลึง ดีใจ ทั้งยังมีอาการตื้นตันจนแทบหลั่งน้ำตาออกมาด้วยซ้ำ คนอื่นที่อยู่ในห้องบรรทมของซย่าโหวเสวี่ย นอกจากฮ่องเต้แล้ว ล้วนอยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน


 


 


“ฝ่าบาท นี่หม่อมฉันกำลังมองเห็นนางฟ้าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เซี่ยงจิ้นขยี้ตาตัวเองเบาๆในขณะที่กระซิบ


 


 


“บ๊ะ! นี่คือลูกสะใภ้ของข้าต่างหาก!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวกับเซี่ยงจิ้นเสียงแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะได้ยินเข้า


 


 


ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็พากันจ้องมองอวี้เฟยเยียนไม่วางตาด้วยอาการตกตะลึงจนลืมสิ้นแล้วว่าตนเองกำลังถูกโอรสสวรรค์ทรงพิโรธ ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทุกคนราวกับกลายเป็นท่อนไม้เสียอย่างนั้น


 


 


หญิงงามขนาดนี้ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!


 


 


แม้กระทั่งหลิวฮองเฮา ที่เคยพบกับหญิงงามมามากมาย แต่ครั้งนี้เมื่อพบกับอวี้เฟยเยียนนางก็ยังชื่นชมอยู่ในใจ หญิงผู้นี้คงจะมีเพียงบนสวรรค์และคงจะเป็นที่โปรดปรานเป็นแน่แท้


 


 


คงมีเพียงแต่ซย่าโหวเสวี่ยที่เมื่อมองเห็นอวี้เฟยเยียนแล้ว นอกจากตกตะลึงยังระคนโกรธแค้นอยู่ด้วย


 


 


แต่ไหนแต่ไรมา นางคิดมาตลอดว่าอวี้หลัวช่าคงจะหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์ จึงมักสวมผ้าแพรปกปิดใบหน้าตลอดเวลา เพราะนางมิอาจสู้หน้าใครได้ ใครจะคาดคิด ในตอนนี้อวี้หลัวช่าใช้ความจริง ตบหน้าซย่าโหวเสวี่ยฉาดใหญ่


 


 


เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!


 


 


เพราะอะไรกัน!


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างที่สุด อวี้เฟยเยียนมิเพียงแต่เกิดมารูปร่างหน้าตางดงาม ทั้งยังมีสถานะจักรพรรดิโอสถและจอมเทวาอีกด้วย ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าข้างกายจะมีคนเท่าไหร่ที่ชื่นชมนาง


 


 


เมื่อนึกถึงสิ่งที่เหลียนจิ่นปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน หัวใจซย่าโหวเสวี่ยก็กำลังหลั่งเลือด


 


 


พี่ชายเหลียน ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางรูปร่างหน้าตางดงาม ท่านหวั่นไหว ดังนั้นพี่จึงเย็นชาละเลยข้าอย่างนั้นหรือ


 


 


เพราะเหลียนจิ่นเป็นเหตุ ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งทวีความเกลียดชังที่มีต่ออวี้เฟยเยียนมากขึ้นไปอีก


 


 


กระทั่งว่าซย่าโหวเสวี่ยรู้สึกว่า ครั้งแรกที่เมืองเฟิ่งหมิง อวี้เฟยเยียนรู้ว่าเสี่ยวอิงไม่น่าไว้ใจ แต่กลับไม่ตักเตือนนางเลยแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนมองดูนางค่อยๆติดกลับรังโจรทีละน้อย อวี้เฟยเยียนจงใจ!


 


 


อีกอย่างหนึ่ง อวี้เฟยเยียนวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อซย่าโหวเสวี่ยเกิดเรื่อง นางสามารถมาช่วยเหลือนางในทันที


 


 


แต่อวี้เฟยเยียนกลับถ่วงเวลา รอจนซือถูเจี้ยนทำเรื่องพรรค์นั้นกับนางไปแล้ว อวี้เฟยเยียนถึงได้ออกมาช่วยเหลือ


 


 


ทั้งหมอนี้ ล้วนแต่เป็นแผนชั่วของอวี้เฟยเยียน


 


 


จุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดซย่าโหวเสวี่ยให้พ้นทาง เพื่อที่จะครอบครองหัวใจของพี่ชายเหลียน!


 


 


สตรีไร้ยางอาย!


 


 


หน้าด้าน!


 


 


หากมิใช่อวี้เฟยเยียน นางก็คงมิถูกซือถูเจี้ยนข่มเหง มิต้องตั้งท้องมารหัวขนนี่ มิต้องถูกเสด็จพ่อเกลียดชัง…ซย่าโหวเสวี่ยตัดสินไปแล้วว่า เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนางนั้น มูลเหตุล้วนแต่มาจากอวี้เฟยเยียนทั้งสิ้น


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตมาดร้ายของซย่าโหวเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็มองกลับไป


 


 


เด็กน้อยที่ถูกตามใจจนเสียคน!


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดอยู่ในใจ


 


 


ถึงแม้ว่าในระหว่างทางที่มาซย่าโหวฉิงเทียนจะมิได้เล่ารายละเอียดว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อมาถึงที่นี่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ลองคิดดูแล้ว อวี้เฟยเยียนก็แน่ใจได้เลยว่าเรื่องในวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ยอย่างแน่นอน


 


 


แววตาอวี้เฟยเยียนราบเรียบยามที่มองกลับไป ราวกับกำลังมองดูบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้


 


 


อวี้เฟยเยียนทำร้ายนางจนบอบช้ำขนาดนี้ มิควรที่จะรู้สึกผิดหรอกหรือ


 


 


คนเช่นนี้ก็คู่ควรเป็นจักรพรรดิโอสถอย่างนั้นหรือ!


 


 


ท่าทีที่ราบเรียบของอวี้เฟยเยียน ยิ่งตอกย้ำซย่าโหวเสวี่ย


 


 


เมื่อถูกตอกย้ำมากเข้า ซย่าโหวเสวี่ยก็ร้องไห้ออกมาปากก็พร่ำกล่าวว่า


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกจะมิยอมให้นางมารักษา ลูกกับนางมีความแค้นต่อกัน นางจะต้องให้ร้ายลูกอย่างแน่นอน!”


 


 


“หา”


 


 


คราวนี้เป็นอวี้เฟยเยียนที่ประหลาดใจ


 


 


มีความแค้นกับท่าน


 


 


ท่านประเมินสติปัญญาของตนเองสูงเกินไปแล้วกระมัง องค์หญิงไป๋เสวี่ย!


 


 


“หุบปาก!”


 


 


ขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังครุ่นคิดว่าประโยคแรกจะกล่าวอะไรกับว่าที่ลูกสะใภ้ถึงจะดี อยู่นั่นเอง ซย่าโหวเสวี่ยก็พ่นประโยคเมื่อครู่ออกมา ทำให้สิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ขาดตอน


 


 


“ท่านนี้คือใต้เท้าอวี้หลัวช่า! เป็นถึงจักรพรรดิโอสถ เชิญท่านมาช่วยรักษาเจ้า นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว!”


 


 


“ลูกไม่ต้องการ เสด็จพ่อ นางจะให้ร้ายลูก!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยถอยร่นไปหลบหลังหลิวฮองเฮา ร่างสั่นเทา


 


 


เมื่อเห็นบุตรสาวมีอาการเช่นนั้น หลิวฮองเฮาก็รีบโอบกอดนางเอาไว้ แล้วปลอบโยนนางแผ่วเบา แววตาที่มองอวี้เฟยเยียนก็แปรเปลี่ยนเป็นอาฆาตมาดร้าย


 


 


“เรื่องนี้ตามใจเจ้าไม่ได้!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกว่าซย่าโหวเสวี่ยทำให้ตนเองขายหน้าเป็นอย่างมาก


 


 


ตอนนี้ควรจะเป็นภาพที่พ่อสามีพบกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความอบอุ่น แล้วไฉนกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า!


 


 


“เชิญท่านตรวจอาการให้กับหมอหลวงหวังเสียก่อน เขาบาดเจ็บ!”


 


 


สำหรับเรื่องซย่าโหวเสวี่ย ซย่าโหวฉิงเทียนรู้จากเหลียนจิ่นมาบ้างแล้ว


 


 


กล้าให้ร้ายแมวน้อยหรือ


 


 


บังอาจยิ่งนัก!


 


 


ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้พลังภายในควบคุมซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ ทำให้นางมิอาจขยับเขยื้อนได้ ต้องยอมให้หมอหลวงหวังตรวจอาการแต่โดยดี


 


 


มาตอนนี้ ซย่าโหวเสวี่ยแสดงท่าทีเช่นนี้กับอวี้เฟยเยียนต่อหน้าต่อตาเขา ซย่าโหวฉิงเทียนขอจดบัญชีนี้เอาไว้ในใจ โดยที่สีหน้าเรียบเฉยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


 


 


“รับด้วยเกล้า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปหาหมอหวงหวัง เพื่อตรวจดูอาการของเขา นางพบว่าที่หน้าอกหมอหลวงหวังที่รอยห้อเลือด กระดูกหน้าอกร้าว แต่ไม่ถึงกับหัก นางจึงสั่งยา ทั้งยังยกยามาให้กับหมอหลวงหวังด้วยตัวเอง


 


 


ไม่นาน อาการเจ็บของหมอหลวงหวังก็บรรเทาลง และหลังจากทายาบริเวณอกที่บาดเจ็บ เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว


 


 


สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิโอสถ!


 


 


“รบกวนท่านแล้ว…”


 


 


หมอหลวงหวังมองอวี้เฟยเยียนด้วยแววตาซาบซึ้งส่วนปากก็พร่ำกล่าวออกมา


 


 


ใบหน้านี้ เขาจะลืมได้อย่างไรกัน!


 


 


นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ในครั้งนั้นจะเป็นจักรพรรดิโอสถผู้ยิ่งใหญ่!


 


 


หมอหลวงหวังทั้งตกใจระคนดีใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เมื่อครู่ที่หลินเจียงอ๋องเห็นด้วยกับการให้ซย่าโหวเสวี่ยตรวจสอบร่างกาย ไม่ใช่ไม่เชื่อถือในวิชาแพทย์เขา แต่เพราะหลินเจียงอ๋องมีแผนทีหลังนี่เอง


 


 


ดีจริงๆ!


 


 


หมอหลวงหวังรู้ดีว่าชีวิตของเขาคงยากที่จะรักษาเอาไว้แล้ว นี่หลินเจียงอ๋องกำลังตอบแทนที่เขาเคยช่วยอวี้เฟยเยียนถอนพิษคราวก่อน


 


 


“เสด็จพี่ จะขาวหรือดำ อย่างไรเสียก็ต้องมีข้อสรุป ใครคือผู้บริสุทธิ์ ใครสมควรตาย อีกไม่นานก็รู้ผล! คน ข้าได้ไปเชิญมาแล้ว ที่เหลือควรจะทำเช่นไร เชิญเสด็จพี่เถอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนถอยไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีสบายๆ


 


 


คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนปลุกซย่าโหวจวินอวี่ให้คิดขึ้นได้ ใช่ ต้องจัดการเรื่องสำคัญก่อน!


 


 


“อะแฮ่ม!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ทดสอบเสียง แล้วเริ่มวางมาดฮ่องเต้ เขามองไปที่อวี้เฟยเยียนด้วยสายตาอ่อนโยน


 


 


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า เชิญท่านตรวจอาการให้กับบุตรสาวของข้าทีเถอะ ดูว่านางเป็นอะไรกันแน่!”


 


 


สีหน้าค่อนไปทางยินดีของฮ่องเต้ รอยยิ้มอบอุ่นจริงใจบนใบหน้าอวบอ้วนนั้น ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างในตอนแรก


 


 


           ฝ่าบาท มาดฮ่องเต้ของพระองค์ล่ะเพคะ


 


 


ท่านเป็นกันเองกับประชาชนเช่นนี้ จะดีหรือ


 


 


“ฝ่าบาท ขอทรงเรียกหม่อมฉันว่าเสี่ยวอวี้เถอะเพคะ! หม่อมฉันเป็นคนรุ่นหลัง ทรงเรียกขานหม่อมฉันเช่นนั้น หม่อมฉันมิบังอาจ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวไปยิ้มไป


 


 


เสี่ยวอวี้


 


 


รุ่นหลัง


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของซย่าโหวจวินอวี่เป็นประกาย


 


 


ข้าชื่นชมคนรุ่นหลังที่มีเหตุผลเช่นเจ้านี่แหละ!


 


 


หากเจ้าแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียนละก็ ข้าก็ยิ่งชอบมากเลย! 

 

 


ตอนที่ 86-5 เป็นลูกของเหลียนจิ่น

 

“ได้ๆ!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รีบตอบตกลงสามครั้งอย่าวรวดเร็ว


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพิธีรีตองใดๆ อีก เสี่ยวอวี้ เรื่องนี้รบกวนเจ้าแล้ว!”


 


 


กล่าวจบซย่าโหวจวินอวี่ก็มองไปที่ซย่าโหวเสวี่ย สวีหมัวมัวและหมอหลวงหวัง


 


 


“ข้าอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ ที่โกหกข้า!”


 


 


เมื่อครู่ซย่าโหวจวินอวี่ยังอ่อนโยนกับอวี้เฟยเยียนอยู่เลย มาตอนนี้คิ้วขมวดเป็นเส้นตรง จิตวิญญาณของความเป็นจักรพรรดิเข้าร่างแล้ว กลายเป็นฮ่องเต้ที่สูงส่งทันที


 


 


ฝ่าบาท พระองค์กำลังมีจิตใจที่โอนเอนใช่หรือไม่เพคะ


 


 


ใครๆ ต่างก็บอกว่า จะหน้ามือหรือหลังมือต่างก็เป็นเลือดเนื้อ แต่เมื่อได้พบกับลูกสะใภ้ ราวกับว่าพระองค์ไม่ต้องการหน้ามือหรือหลังมืออีกต่อไปแล้ว!


 


 


ในใจของเซี่ยงจิ้นกำลังครุ่นคิด


 


 


“ไม่นะ เสด็จแม่ช่วยลูกด้วย นางไม่หวังดีกับลูก นางจะต้องให้ร้ายลูกเป็นแน่!”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยหวาดกลัวอวี้เฟยเยียนเช่นนี้ หลิวฮองเฮาจึงทำได้เพียงแต่ยืนขวางกั้นระหว่างคนทั้งสอง นางยังมิทันได้เอ่ยปากขอร้องแทน ซย่าโหวจวินอวี่ก็ส่งสายตาคมกริบกลับมา


 


 


“ฮองเฮา ข้าต้องการรู้ความจริง!”


 


 


ความจริง!


 


 


เมื่อได้ยินคำๆ นี้ ในใจของหลิวฮองเฮาก็สั่นระรัว


 


 


ความจริงเป็นเช่นไร ถึงแม้ว่านางไม่แน่ใจ แต่ก็เดาได้แปดเก้าส่วนแล้ว


 


 


หากว่ามีเพียงแค่กล่าวอ้างของหมอหลวงหวังเพียงคนเดียว ซึ่งนางยังมีวิธีที่จะทำให้เขามิอาจกลับตัวขึ้นมาได้อีก แต่อวี้หลัวช่าเป็นถึงจักรพรรดิโอสถนะสิ!


 


 


ในขณะที่หลิวฮองเฮากำลังลังเลอยู่นั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็เดินมาถึงตัวซย่าโหวเสวี่ย


 


 


“เจ้าถอยไปนะ เจ้าต้องมาเยาะเย้ยข้าเป็นแน่!”


 


 


อาการโวยวายของซย่าโหวเสวี่ย ในสายตาอวี้เฟยเยียนเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลทั้งเพ


 


 


องค์หญิงสโนวไวท์ สติปัญญาของท่านมันหายไปแล้วหรืออย่างไร


 


 


คิดจะใช้ความผิดเหลวไหลทั้งเพมากล่าวโทษข้า คิดว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือ


 


 


“องค์หญิง ล่วงเกินแล้ว!”


 


 


เมื่อเห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยไม่ให้ความร่วมมือ อวี้เฟยเยียนจึงสกัดจุดนาง แล้วจึงยืนมือออกไปตรวจชีพจรของนาง


 


 


เพียงแค่ตรวจ อวี้เฟยเยียนก็รู้เหตุผลทันที


 


 


เห็นที เด็กคนนี้คงจะเกิดที่เมืองเฟิ่งหมิง…


 


 


“เป็นอย่างไร”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ถามขึ้นอย่างรอคอยคำตอบ


 


 


เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่ซย่าโหวเสวี่ยเสียมารยาทกับนาง อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มออกมาแล้วปล่อยมือ นางคลายจุดให้กับซย่าโหวเสวี่ยแล้วก็ยกมือกำแนบที่หว่างอกกล่าวว่า


 


 


“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยเพคะ ยินดีด้วยเพคะ! พระองค์จะทรงเป็นเสด็จตาแล้ว!”


 


 


“หา…”


 


 


เซี่ยงจิ้นเกือบจะกระอักเลือดออกมา


 


 


ใต้เท้าอวี้หลัวช่า ท่านมิเพียงแต่วิชาแพทย์สูงส่ง แต่ไม้อ่อนที่แหลมคมของท่านก็ใช้ได้อย่างดีเยี่ยม! ดูสิไม้นี้ ยอดเยี่ยมเลย!


 


 


หมอหลวงหวังที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็พลอยหัวเราะจนแทบจะปัสสาวะเล็ด


 


 


คงมีเพียงแต่ใต้เท้าอวี้หลัวช่าที่กล้าพูดกับฝ่าบาทเช่นนี้


 


 


ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ยินดีด้วย


 


 


ใต้เท้าอวี้หลัวช่า ท่านช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก ทั้งมีความรู้ และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง!


 


 


คราวนี้เป็นซย่าโหวฉิงเทียนที่ภาคภูมิใจเหลือเกิน สมกับเป็นแมวน้อยของพี่ ไม่ให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ!


 


 


เมื่อเทียบผู้อื่นที่ยินดีเสียจนแทบจะบ้า ทว่าซย่าโหวจวินอวี่กลับเคร่งเครียด สีหน้ามิสู้ดี


 


 


“เสด็จพ่อ นางใส่ร้ายลูก……”


 


 


ซย่าโหวเสวี่ยกล่าวยังมิทันจบ ซย่าโหวจวินอวี่ตบหน้านางฉาดใหญ่จนซย่าโหวเสวี่ยล้มลงบนพื้น


 


 


“สารเลว! มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาแก้ตัวอีกหรือ! เสี่ยวอวี้ทำไมถึงจะต้องให้ร้ายเจ้า เจ้ามีอะไรคู่ควรให้นางต้องใส่ร้าย!”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวเสวี่ยถูกผู้เป็นบิดาตบหน้า


 


 


ซึ่งซย่าโหวจวินอวี่ก็ไม่ถนอมน้ำใจ ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็ง น่าหวาดกลัวยิ่งนัก


 


 


“เสด็จแม่ช่วยลูกด้วย!”


 


 


มุมปากซย่าโหวเสวี่ยมีเลือดซึมออกมา นางคลานเข้าไปกอดขาหลิวฮองเฮา แต่ฮ่องเต้กลับสั่งให้คนมาลากฮองเฮาออกไป


 


 


“เด็กๆ ส่งฮองเฮากลับตำหนัก! ต่อแต่นี้ไปหากไม่มีตำสั่งจากข้า ห้ามให้ฮองเฮาออกจากตำหนัก! และห้ามใครเข้าเยี่ยม!”


 


 


ในเวลานั้นซย่าโหวจวินอวี่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก


 


 


สวีหมัวมัวเป็นแม่นมของเขาเอง ลึกๆ แล้วเขายังเห็นนางเป็นเสมือนญาติสนิทก็ไม่ปาน


 


 


คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะฝีมือสูงส่ง กระทั่งบุคคลที่เขาเชื่อใจที่สุดก็ยังซื้อตัวไปได้ ชักจะมากเกินไปแล้ว!


 


 


ในตอนนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ผิดหวังอย่างรุนแรง


 


 


ไม่ว่าจะกับทั้งสวีหมัวมัว และฮองเฮาหลิว


 


 


ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นแก่ความดีในอดีตของฮองเฮาหลิว มาถึงตอนนี้ความดีเหล่านั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น เพราะการโกหกหลอกลวงและการที่นางหลอกใช้สวีหมัวมัว


 


 


การลงโทษหลิวฮองเฮาเช่นนี้จากฮ่องเต้ สำหรับนางแล้วเหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ


 


 


นี่จะขังลืมนางอย่างนั้นหรือ


 


 


กักขังนาง มิให้นางสัมผัสโลกภายนอกได้อีก ทำเช่นนี้มันน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเสียอีก!


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


“เซี่ยงจิ้น เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร!”


 


 


ไม่เปิดโอกาสให้หลิวฮองเฮาได้กล่าวอะไรอีก ซย่าโหวจวินอวี่ก็ตะโกนขึ้น


 


 


“มัดฮองเฮากลับตำหนัก!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ รับด้วยเกล้า!”


 


 


เซี่ยงจิ้นคือบ่าวที่ซื่อสัตย์และภักดีของฮ่องเต้ ในเมื่อซย่าโหวจวินอวี่ใช้คำว่า ‘มัด’ เซี่ยงจิ้นจึงหยิบเอาเชือกมาแล้วมัดฮองเฮาหลิวอย่างแน่นหนา


 


 


เพื่อป้องกันมิให้หลิวฮองเฮาร้องเอะอะโวยวาย เซี่ยงจิ้นจึงใส่ใจนางด้วยการอุดปากนางด้วยผ้าอีกชั้น


 


 


จากนั้นเขาจึงกวักมือ ขันที่แสนซื่อสองคนก็วิ่งเข้ามา แบกร่างหลิวฮองเฮาขึ้นบ่าออกไปทันที


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพึงพอใจกับการกระทำของเซี่ยงจิ้นเป็นอย่างมาก


 


 


นึกไม่ถึงว่าขันทีจอมฮานี่ก็ไหวพริบเช่นกัน ไม่เลว!


 


 


“บอกมาว่า เด็กเป็นของใคร”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เดินมาหยุดที่เบื้องหน้าซย่าโหวเสวี่ย จ้องมองนาง


 


 


“มารหัวขนเป็นของใครกัน!”


 


 


ถูกภรรยา บุตรสาว แม่นมของตัวเองโกหกหลอกลวงพร้อมๆกัน หัวใจของซย่าโหวจวินอวี่บอบช้ำย่ำแย่อย่างยิ่ง ในตอนนี้เขาอยากรู้ที่สุดว่าใครกันที่เป็นพ่อของเด็กในท้องซย่าโหวเสวี่ย


 


 


“คือ…คือ… “


 


 


เสด็จพ่อที่ดุดันโหดร้ายซย่าโหวเสวี่ยไม่เคยเห็นมาก่อน


 


 


นางหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


ในขณะที่หวาดกลัวอย่างที่สุดอยู่นั้น ซย่าโหวเสวี่ยถอยร่นไปด้านหนึ่ง ใบหน้าเรียบเฉยของนางจ้องมองไปที่อวี้หลัวช่า มือของนางกำแน่นจนเล็บจิกลงบนเนื้อที่ฝ่ามือ


 


 


อวี้หลัวช่า เจ้าให้ร้ายข้าถึงเพียงนี้ มิใช่เพราะเจ้าอยากครอบครองพี่ชายเหลียนหรอกหรือ


 


 


ข้าจะไม่ให้เจ้าได้สมหวัง


 


 


“เด็กเป็นลูกของเหลียนจิ่น” 

 

 


ตอนที่ 87-1 ลงโทษ

 

ได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของอวี้เฟยเยียนนั่นก็คือ ‘โรคปัญญาอ่อนขององค์หญิงไป๋เสวี่ยกำเริบอีกแล้วสินะ’


 


 


โทษใครไม่โทษ


 


 


คิดจะใช้เหลียนจิ่นเป็นเกราะกำบัง…


 


 


นางคิดว่าเหลียนจิ่นหาเรื่องได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ


 


 


นอนรับกระสุนปืนโดยสมัครใจ หรือเป็นปลื้มที่จะได้เป็นพ่อคน นางคิดว่านี่เป็นกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งอย่างนั้นหรือ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคิดไม่ต่างจากอวี้เฟยเยียนเท่าไหร่นัก


 


 


ยิ่งเขารู้จักเหลียนจิ่นนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าไม้เท้าเทพนี่ลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก ทั้งยังชั่วร้ายพอตัวทว่าใบหน้าหมอนั่นกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่หล่อเหลา เป็นดั่งหมาป่าร้ายในคราบแกะน้อย


 


 


ซย่าโหวเสวี่ย เจ้านี่ช่างหาเรื่องใส่ตัวเก่งนักนะ


 


 


“เจ้าบอกว่าใครนะ”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าตกตะลึง


 


 


“เหลียนจิ่น! เด็กในท้องหม่อมฉันเป็นลุกพี่ชายเหลียนเพคะ!”


 


 


เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซย่าโหวเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองซย่าโหวจวินอวี่นิ่ง


 


 


“เสด็จพ่อ ที่ลูกมิยินยอมกราบทูลเสด็จพ่อ ก็เพราะลูกต้องการปกป้องพี่ชายเหลียน ลูกรู้ดีว่าเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับพี่ชายเหลียนยิ่งนัก ลูกไม่อยากให้เสด็จพ่อเข้าใจผิด ทั้งหมดนี่…ล้วนเป็นสิ่งลูกที่ยินยอมเองเพคะ!”


 


 


คำพูดนี้ พูดได้น่าฟังเชียว!


 


 


อวี้เฟยเยียนเกือบจะปรบมือให้กับคำพูดซย่าโหวเสวี่ยแล้วกล่าวชมว่ายอดเยี่ยมเสียแล้ว


 


 


ปกป้องเหลียนจิ่นอย่างนั้นหรือ


 


 


เจ้าไม่ให้ร้ายเขาก็บุญแล้ว!


 


 


เมื่อครูถูกซย่าโหวเสวี่ยหลอกลวงไปแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้ซย่าโหวจวินอวี่ไหนเลยจะเชื่อคำพูดของซย่าโหวเสวี่ยอีก


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่มองดูบุตรีที่เขารักทะนุถนอมตั้งแต่เล็กจนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


 


 


“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เด็กนี่เป็นลูกใคร คิดให้ดีแล้วตอบมา!”


 


 


ฮ่องเต้มิได้ทรงกล่าวออกมาตรงๆ แต่ซย่าโหวเสวี่ยก็เข้าใจในความหมาย เฉกเช่นที่เขากล่าวเมื่อครู่ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนาง


 


 


ยอมรับว่าตนเองโกหกน่ะหรือ


 


 


เช่นนั้นเท่ากับนางจะต้องสูญเสียความรักจากบิดาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง…


 


 


จะให้นางบอกกับซย่าโหวจวินอวี่ ว่าตนเองถูกขืนใจ พ่อของเด็กคนนี้คือคนชั่วช้าสามานย์อย่างนั้นหรือ เสด็จพ่อก็คงพระราชทานความตายให้นางทันทีน่ะสิ!


 


 


ไม่ได้ จะยอมรับไม่ได้!


 


 


หลังจากภายในจิตใจต่อสู้กันอย่างหนัก ซย่าโหวเสวี่ยก็กัดฟันตอบว่า


 


 


“เสด็จพ่อ ที่ลูกทูลเป็นความจริงทุกประการเพคะ”


 


 


“ดี! ดีมาก!”


 


 


ครั้งนี้ซย่าโหวจวินอวี่ผิดหวังในตัวซย่าโหวเสวี่ยอย่างยิ่ง


 


 


เหลียนจิ่น


 


 


เจ้ายังหน้ามากล่าวถึงเหลียนจิ่นอีกหรือ!


 


 


เหลียนจิ่นที่ร่างกายอ่อนแอบอบบางเช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นชายมักมากชอบใช้สตรีเป็นว่าเล่นก็ตาม แต่ร่างกายเขาก็คงทานทนไม่ไหว ตายคาอกสตรีไปนานแล้ว!


 


 


“เรียกเหลียนจิ่นเข้าวัง!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ไม่แม้แต่เหลือบมองไปที่ซย่าโหวเสวี่ยอีก


 


 


แม้ตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ซย่าโหวจวินอวี่ก็อยากจะให้ซย่าโหวเสวี่ยยอมรับผิดทั้งกายและใจให้ได้!


 


 


“เสด็จพี่ พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลากเก้าอี้เข้ามาให้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ซย่าโหวจวินอวี่นั่งลง ทั้งยังรินชาให้อีกด้วย


 


 


“อย่าโกรธเคืองไปเลย มันไม่คุ้มค่าสักนิด!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนปลอบใจซย่าโหวจวินอวี่ได้ทันท่วงที ซย่าโหวจวินอวี่มองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า พลันความโทสะเขาก็ลดลงจนจิตใจสงบ เขาดื่มชาร้อน ก่อนถอนใจออกมา แล้วมองไปที่สวีหมัวมัว[1]


 


 


“สวีหมัวมัว เหตุใดท่านถึงโกหกเรา”


 


 


ตั้งแต่เรื่องราวถูกเปิดโปง สวีหมัวมัวก็ตกใจจนตัวสั่นคุกเข่าลงไปที่พื้นและเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กล่าวโทษมาที่นาง สวีหมัวมัวก็รีบโขกศีรษะร้องขอชีวิตไม่หยุด


 


 


“เราอยากรู้เหตุผล”


 


 


“ท่านคือแม่นมของเรา กระทั่งท่านยังโกหกเรา เราเสียใจยิ่งนัก!”


 


 


น้ำเสียงซย่าโหวจวินอวี่ที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ


 


 


“ฝ่าบาท บุตรสาวบุญธรรมของบ่าวรับใช้อยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา องค์หญิงเสวี่ยทรงใช้ชีวิตบุตรสาวบุญธรรมของบ่าวมาข่มขู่ บ่าวมิอาจมิทำตามเพคะ!”


 


 


สวีหมัวมัวไม่มีลูกหลาน หลังจากเข้าวัง นางกำนัลคนหนึ่งได้กราบนางเป็นแม่บุญธรรม


 


 


เดิมทีนี่นับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่สวีหมัวมัวหารู้ไม่ว่า นี่เป็นวิธีการที่หลิวฮองเฮาใช้ควบคุมสวีหมัวมัว เมื่อถึงเวลาสำคัญ ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้


 


 


“ดี ดีมาก!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ก็ไม่ได้เลอะเลือน เขารู้ดีว่าสวีหมัวมัวอายุมากแล้ว คนสูงอายุหวาดกลัวความเงียบเหงา รอคอยความรักจากลูกหลาน นี่เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้


 


 


แต่สิ่งที่น่ารังเกียจคือ ฮองเฮาใช้ประโยชน์จากพื้นฐานทางจิตใจนี้ ให้คนของตนเองแฝงตัวอยู่ข้างกายสวีหมัวมัว


 


 


เมื่อถึงเวลาที่สำคัญ จะได้กลายเป็นเครื่องมือให้นางใช้สอยควบคุม ช่างรังเกียจยิ่งนัก!


 


 


“ลูกสาวบุญธรรมของท่านคือใคร”


 


 


 “อิงเกอเพคะ”


 


 


มาถึงขนาดนี้แล้ว สวีหมัวมัวจึงไม่กล้าปิดบังอะไรอีก


 


 


นางได้เล่าวิธีการของฮองเฮาออกมาโดยไม่มีหมกเม็ด ทั้งเรื่องที่ว่าฮองเฮาส่งสายสืบเข้ามาอย่างไร แล้วตัวสวีหมัวมัวเองรับอิงเกอเป็นบุตรสาวบุญธรรมได้อย่างไร


 


 


อิงเกอ


 


 


ฮ่องเต้คิดไตร่ตรองโดยละเอียด คลับคล้ายคลับคลาว่าข้างกายของฮองเฮา จะมีคนนี้อยู่จริงๆ


 


 


“เด็กๆ ไปจับตัวอิงเกอมาแล้วลากไปโบยต่อหน้าฮองเฮาจนกว่าจะตาย ให้ฮองเฮาดูให้เต็มตา!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่เป็นคนเด็ดขาดดุดัน


 


 


ถึงตอนนี้จะยังไม่สามารถทำอะไรฮองเฮาได้ด้วยเรื่องแค่นี้ แต่ในฐานะฮ่องเต้ หากคิดจะเอาชีวิตใครสักคน เขาย่อมมีสิทธิ์


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องนี้ขอให้หม่อมฉันไปจัดการ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยือกเย็น


 


 


เพียงแค่เขาดีดนิ้ว ชิงหงก็ปรากฏตัวแล้วพาคนของฮ่องเต้เดินอาดๆ ออกไปอย่างเปิดเผย


 


 


ชิงหงเข้าใจความหมายของนายท่านดี เมื่อไปถึงตำหนักบรรทมของหลิวฮองเฮา ก็จับอิงเกอกดลงที่พื้น ใช้ไม้ท่อนใหญ่โบยนางต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮาให้เนื้อแตกเป็นริ้วๆ


 


 


โบยต่อไปจนกระทั่งนางเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แล้วค่อยใช้ไม้ฟาดที่ศีรษะนางอย่างจัง


 


 


ในครั้งเดียวจนมันสมองแตกกระจาย สาดฉลองพระองค์สีขาวของหลิวฮองเฮาให้แปดเปื้อนไปด้วยมันสมองและเลือดสีแดงสดที่ยังอุ่นร้อนอยู่ ทำให้หลิวฮองเฮาตกใจจนเป็นลมหมดสติไปในที่สุด


 


 


รอจนกระทั่งชิงหงกลับมารายงาน เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนรู้ว่าหลิวฮองเฮาตกใจจนเป็นลมล้มพับ ก็พยักหน้าเบาๆ อย่างพอใจ


 


 


“ทำได้ดี เจ้าถอยไปก่อน…”


 


 


นาทีนั้นสวีหหมัวมัวตื่นตระหนกจนแทบจะทนไม่ไหว ด้วยเกรงว่าท่านอ๋องจะกล่าวโทษนางแล้วโบยนางจนตายไปด้วยอีกคน


 


 


เมื่อเห็นแม่นมตนมีท่าทีเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็เกิดความสงสาร


 


 


“สวีหมัวมัว เราจะให้เงินท่านจำนวนหนึ่ง ออกไปจากวังหลวงเสียเถอะ!”


 


 


ผู้คนในวังหลวงซับซ้อนยากจะหยั่งถึง สวีหมัวมัวอายุมากแล้ว อาจจะเลอะเลือนไปบ้าง อีกทั้งความสัมพันธ์ของนางกับฮ่องเต้ ยากนักที่จะมิให้ผู้คนจ้องจะหลอกใช้


 


 


จนท้ายที่สุด ซย่าโหวจวินอวี่ก็ตัดใจสั่งฆ่าสวีหมัวมัวไม่ลง


 


 


พระองค์เรียกฉู่อินเข้ามา แล้วให้เขาส่งสวีหมัวมัวออกนอกวังด้วยตัวเอง ทั้งยังให้เงินสวีหมัวมัวร้อยตำลึงเงิน แล้วบอกอีกว่าเขาจะให้เงินจำนวนนี้กับนางทุกปีๆ เพื่อเลี้ยงตัวยามชรา


 


 


เสด็จพี่ ท่านช่างใจดีจริงๆ…


 


 


สำหรับวิธีการของซย่าโหวจวินอวี่ ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่ามันเบาไปสักหน่อย


 


 


คนเช่นสวีหมัวมัว ที่หลอกใช้ความไว้ใจของฝ่าบาท กล้าทำเรื่องหลอกลวงเบื้องสูงเช่นนี้ สมควรฆ่าเสียให้ตาย!


 


 


เชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง!


 


 


“ข้าแก่แล้ว คนที่อายุมากก็มักจะใจอ่อนเช่นนี้แหละ ไม่เหมือนกับพวกคนหนุ่มสาวที่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รู้ดีว่าซย่าโหวฉิงเทียนหวังดีกับตนเอง ซึ่งเขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก


 


 


ยังดีที่ มีบุตรชายอยู่เคียงข้าง


 


 


เมื่อคิดถึงบุตรชาย ซย่าโหวจวินอวี่ก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


แล้วลูกสะใภ้เล่า


 


 


แย่แล้ว เมื่อครู่มัวแต่โมโหจนขาดสติไป ลืมไปเลยว่าลูกสะใภ้ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน คราวนี้คงตกใจแย่แล้วกระมัง!


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม