ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 85.3-86.4

ตอนที่ 85-3 พระมาตุลาละอายใจและการเร่...

 

เจี่ยงยิ่นในปีนั้นมีนิสัยเลือดเย็น วิธีที่ใช้ก็รุนแรงและเฉียบขาด เพราะต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญทหารใหม่ของถังโจว จึงจับผู้หญิงในครอบครัวนักโทษทหารมัดไว้ในลานประหาร ให้ดูการประหารไปด้วย


 


 


หงเยียนในวัยสิบสามจึงได้แต่เบิกตามองบิดากับเพื่อนทหารด้วยกันศีรษะหลุดออกจากบ่าทีละคนๆ พลางกรีดร้อง “สถานการณ์ในสนามรบมีแต่ความไม่แน่นอน พวกเขาไม่ได้ประมาท ไม่ได้เลินเล่อ หรือละเลยในหน้าที่เป็นอันขาด…พวกท่านจะตัดสินความผิดพวกเขาแบบนี้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…พวกเขาไม่มีทางไม่สนใจประชาชน ไม่พิทักษ์ป้อมปราการ…อยุติธรรมชัดๆ!”


 


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนก็มองลงมาด้วยสายตาเย็นชา พลางว่า “อุดปากนางไว้!”


 


 


แล้วจึงโบกมือ ทิ้งป้ายคำสั่ง พอป้ายตกถึงพื้น ‘กึก’ ดาบในมือเพชฌฆาตก็ฟันลง โลกของบิดา พี่ชายและนางก็ถูกตัดขาดออกจากกัน!


 


 


ตอนนี้พอเห็นผู้ตรวจการซึ่งตัดสินคดีทหารถังโจวในปีนั้นอีกครั้ง ความทรงจำในอดีตของหงเยียนก็ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ความรู้สึกทุกอย่างหลั่งไหลพรั่งพรู จนในที่สุดก็ร้องไห้เสียงดังและทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด


 


 


ก่อนเข้าวัง สวี่มู่เจินบอกให้นางอธิบายความเป็นมาเป็นไปต่อหน้าไทเฮา และให้นางอดทนไว้ อย่ากลัว ด้วยรัชทายาทจะส่งคนๆ หนึ่งเข้ามาพลิกสถานการณ์ แต่นางคิดไม่ถึงว่า ผู้มาจะเป็นผู้ตรวจการเจี่ยงที่ตัดสินคดีและควบคุมการประหารในปีนั้น


 


 


พอเจี่ยงยิ่นเห็นอาการของหงเยียน คิ้วก็กระตุกไม่หยุด จึงไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น ยกชุดยาวขึ้น คุกเข่าทั้งสองข้างลง ก่อนค่อยๆ พูดเป็นวรรคๆ คล้ายไม่รู้สึกอะไร แต่กลับทำให้กลุ่มคนฟังแล้ว ยิ่งรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริศและเศร้าสลดใจ


 


 


“เรียนไทเฮา การสู้รบที่ถังโจวในปีนั้น ข้าพระองค์เป็นคนยโสโอหัง ทำอะไรตามความคิดของตัวเอง พอเห็นเมืองถังโจวย่อยยับ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คดียังสืบไม่ถึงที่สุด ก็อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว ตัดสินว่าทหารถังโจวดูเบาศัตรู ถึงได้ถูกคนเหนือวางยา เป็นเหตุให้เมืองแตก เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญทหารตนเองและศัตรู ข้าพระองค์จึงเพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้น ประหารทหารรักษาการณ์ทุกระดับชั้นหนึ่งร้อยสามสิบหกชีวิต เนรเทศคนในครอบครัวของพวกเขารวมเจ็ดร้อยกว่าคน ซึ่งในจำนวนนี้กว่าครึ่งทนความยากลำบากไม่ไหว เสียชีวิตระหว่างเดินทาง…”


 


 


เจี่ยไทเฮาถอนหายใจยาวๆ ออกมา “นั่นเป็นหน้าที่รับผิดชอบ ใยเจ้าถึงต้องโทษตัวเองเช่นนี้เล่า พระมาตุลา”


 


 


“เรียนไทเฮา” เจี่ยงยิ่นเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเหมือนคนใจสลาย “พอกลับถึงราชสำนัก มีคนจับคนเหนือได้คนหนึ่ง ข้าพระองค์จึงสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง ถึงได้รู้ว่า ตนเองผิดมหันต์แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว!”


 


 


น้ำเสียงเจ็บปวดไม่หาย “คืนก่อนการสู้รบ ชาวเหมิงหนูส่งคนเหนือสองคนเข้ามาปะปนในค่ายทหาร ซึ่ง


 


 


สองคนนี้ได้ขโมยแผนการรบ และทำลายอาวุธสำคัญของทหารรักษาการณ์ไป…แต่ทหารรักษาการณ์ก็สู้สุดชีวิต


 


 


จนที่สุดแล้ว เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยสุด ถึงได้ยกธงขาว ทิ้งเมืองไปก่อน…แต่ ด้วยความอหังการ อยากสร้างผลงาน ข้าพระองค์มักรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางผิดพลาด ตอนสอบสวนคดีทหารที่ถังโจว จึงได้แต่อิงสมมติฐานและประสบการณ์ส่วนตัว ไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทำให้ทหารตระเวนชายแดนร้อยกว่าคนต้องจบชีวิตลง และครอบครัวต้องรับโทษอย่างไม่เป็นธรรม…ข้าพระองค์จึงทำใจให้สงบไม่ได้ทั้งวันทั้งคืน รู้สึกละอายใจยิ่ง และคล้ายได้ยินเสียงวิญญาณร้องขอความเป็นธรรมสะท้อนไปมาในหูอยู่เสมอ ทุกครั้งที่นึกถึง ก็แทบจะกระอักโลหิตออกมาให้ได้ เมื่อประมาทเลินเล่อในหน้าที่รับผิดชอบอย่างร้ายแรงเช่นนี้ แบกรับชีวิตนับร้อยไว้ในใจเช่นนี้ ข้าพระองค์ยังจะมีหน้าเป็นขุนนางต่อได้หรือ”


 


 


“นี่…” เจี่ยไทเฮารับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตรงหน้าไม่ทัน หัวสมองรู้สึกสับสนอยู่บ้าง “หรือเพราะเรื่องนี้ พระมาตุลาถึง…ถึงได้ขอลาออกจากราชการ”


 


 


ผู้ซึ่งเดิมทีเป็นคนยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน เป็นที่ภาคภูมิใจของสวรรค์ พลันทำผิดร้ายแรงขึ้นมา มาตรฐานเดิมจึงถูกล้มล้าง แล้วจะไม่ให้ใจสลายได้อย่างไรเล่า


 


 


ไม่เพียงละอายใจต่อชีวิตคนนับร้อย ยังโมโหที่ตนเองตัดสินคดีผิดพลาดด้วย เดิมทีคิดว่าซ่อนตัวบำเพ็ญเพียรในป่าเขาจะสามารถลบเลือนความทรมานจากมโนสำนึกได้ แต่วันนี้พอเห็นหงเยียน พระมาตุลาก็จิตตกอีก!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสะทกสะท้อนใจ จึงหันมองรัชทายาทอีกครั้ง เขาเป็นหลานของเจี่ยงยิ่น คิดว่าต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงในการลาออกของเสด็จลุงแน่ มิน่าเล่า…ถึงได้เชิญเจี่ยงยิ่นมา เพราะนอกจากเจี่ยงยิ่นแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถปกป้องหงเยียนได้อีก


 


 


เจี่ยงยิ่นคล้ายไม่ได้ยินคำถามของเจี่ยไทเฮา ด้วยใกล้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เต็มที เสียงพูดจึงเบาบางลง เคล้าเสียงสะอื้นไห้


 


 


“…ดังนั้น หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าไทเฮา มิใช่ลูกนักโทษทหารแต่อย่างใด นางเป็นลูกกำพร้าของขุนนางผู้ภักดีต่างหาก! ไทเฮา…ข้าพระองค์ติดค้างนาง ราชสำนักติดค้างนาง ต้าเซวียนติดค้างนางนา! ข้าพระองค์เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองมาสามปี วันนี้เมื่อสวรรค์ให้โอกาสชดใช้ ต่อให้ต้องตาย ข้าพระองค์ก็ต้องปกป้องนาง!”


 


 


เมื่อรัชทายาทเห็นว่าพอสมควรแล้ว จึงโบกมือ “เด็กๆ พยุงพระมาตุลากลับไปพักที่เรือนเหยาหวาก่อนทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว เชิญหมอหลวงมาด้วย ให้ตรวจชีพจร และดูแลรักษาให้ดี”


 


 


ขันทีรูปร่างใหญ่สองคนจึงก้าวเข้าไปพยุงเจี่ยงยิ่นที่ผอมราวกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งขึ้น แต่เจี่ยงยิ่นที่อัดอั้นตันใจมาสามปี พอได้ระเบิดอารมณ์ออก ไหนเลยจะเก็บกลับคืนได้ง่ายๆ ยังตกอยู่ในห้วงแห่งความละอายต่อบาปและโทษตัวเอง จึงตรึงแขนของขันทีทั้งสองไว้ อย่างไรก็ไม่ยอมไป


 


 


“คุณหนูหง ข้าต้องขอโทษเจ้า ขอโทษพ่อเจ้าและทหารถังโจวอีกนับร้อยชีวิต…ไทเฮา ทรงอย่าทำให้คุณหนูหงต้องอึดอัดใจเลย ขอได้โปรด…”


 


 


น้ำเสียงค่อยๆ เบาบางลง จนใกล้ไม่รู้สึกตัว


 


 


สามปีของการบำเพ็ญเพียรอย่างหนักในป่าเขา ทุกวันฉันอาหารเจเพียงมื้อเดียว ฝนตกลมแรงและเหน็บหนาวเพียงใด ก็มีเพียงหลังคามุงแฝกบางๆ คุ้มศีรษะ ร่างกายของชายหนุ่มสูงใหญ่แข็งแกร่งที่มีอยู่แต่เดิม ถูกทำลายลงจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและโรคภัยไข้เจ็บเต็มตัว


 


 


มอมอที่มีแรงมากหน่อยก็ล้วนสามารถอุ้มเขาขึ้นได้ อย่าว่าแต่ขันทีสองคนเลย ตอนนี้เจี่ยงยิ่นจึงถูกพยุงแกมบังคับให้เดินไปไกลพอควร


 


 


แต่เจี่ยงยิ่นก็ยังดิ้นรนมือไม้ปัดป้อง เนื่องจากชุดนักพรตหลวม พออวิ๋นหว่านชิ่นมองไป ก็เห็นมือในแขนเสื้อหลวมโพรกของเขาถูกชูขึ้นสูง ต่อหน้าต่อตากลุ่มคน


 


 


ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นทอประกาย พลันเห็นอะไรบางอย่าง จึงเอะใจ ก้าวตามไปเงียบๆ สองเก้า


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นคุณหนูใหญ่มีท่าทางแปลกๆ จึงรีบดึงนางไว้ “คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนโบกมือ “ไม่เป็นไร”


 


 


ส่วนจูซุ่น พอเห็นว่าหงเยียนยังคุกเข่าอยู่ ก็หันมองเจี่ยไทเฮา ขณะจะเรียกให้ราชองครักษ์นำตัวนางไป ไทเฮาก็ค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น


 


 


“ให้นางออกจากวังเถิด”


 


 


“อา?…” จูซุ่นตกใจ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกับรัชทายาทก็ตกใจเช่นกัน แต่ก็เป่าปากออกมายาวๆ อย่างโล่งอก


 


 


ดูไปแล้ว เจี่ยไทเฮาก็ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย แต่เสียงยังคงเฉียบขาดและดังกังวาน พูดรวดเดียวโดยไม่เว้นให้ใครพูดแทรก


 


 


“การแจงสี่เบี้ยของพระมาตุลาในวันนี้ คิดว่าต้องทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ คดีนี้ต้องรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ส่วนแม่นางหง เมื่อกล้ายอมรับสถานะ อีกทั้งยังมีบ้าน มีร้าน มีรกรากในเมืองหลวงแล้ว ยังจะหนีไปไหนได้อีก ให้นางกลับไปก่อนเถิด รอให้ฝ่าบาทส่งคนไปสืบคดีนี้อย่างเป็นทางการเอง ส่วนวันนี้ ข้าจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ มิใช่งานเลี้ยงสอบปากคำ และสตรีวังหลังอย่างข้า ก็ไม่มีเหตุผลที่จะยื่นมือเข้าแทรกแซงการเมืองจับคนติดคุกติดตารางอะไร แม่นางหงเป็นลูกสาวนายทหารถังโจวก็ดี เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านในเมืองหลวงก็ดี ข้าไม่ชัดเจน และไม่คิดที่จะตรวจสอบ ให้โอรสสวรรค์อย่างฝ่าบาทไปตรวจสอบเองน่ะดีแล้ว! กลับไปเถิด!”


 


 


ว่าแล้วก็สะบัดปลายแขนเสื้อดิ้นทองให้ตกลง


 


 


หงเยียนกลั้นน้ำตา รู้สึกปลื้มปิติเป็นล้นพ้น เหตุใดไทเฮาถึงได้ตรัสคำพูดที่ไม่มีพันธะผูกพันออกมา เมื่อทรงตรัสเช่นนี้ ก็แสดงว่าไทเฮาทรงยอมรับแล้วว่าตนเป็นลูกกำพร้าของทหารผู้ภักดี พยานคนสำคัญอย่างผู้ตรวจการเจี่ยงในปีนั้น ก็ยอมเป็นพยานแล้ว คดีความย่อมพลิกแน่!


 


 


มลทินของบิดากับพี่ชาย และเหล่าทหารถังโจวจะถูกลบล้าง หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ชื่อว่านักโทษทหารผู้ประมาทศัตรูและละเลยต่อการป้องกันเมืองอีก ตนก็สามารถกลับไปใช้นามสกุลเดิม และใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสง่าผ่าเผยเสียที


 


 


หงเยียนจึงโขกศีรษะสามครั้ง


 


 


“ไทเฮาจะประจักษ์แก่สายพระเนตร! ข้าพระองค์ต้องอยู่บ้านในเมืองหลวง รอการสอบสวนคดีอย่างเป็นทางการแน่นอน!”    

 

 

 


ตอนที่ 85-4 พระมาตุลาละอายใจและการเร่...

 

 


 


ก่อนถูกคนในวังพาออกจากวัง หงเยียนยังหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่นเงียบๆ พลางกลั้นน้ำตา ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา ก่อนส่งสายตาให้กำลังใจตอบ


 


 


พอเจี่ยไทเฮาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกับหงเยียนสบตากัน คิ้วก็คลายลงโดยไม่รู้ตัว พลันหันมาทางกลุ่มคน พลางพูดด้วยน้ำเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


 


 


“เรื่องในวันนี้ ผ่านพ้นไปแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมดูออกว่า เป็นการช่วยเหลือลูกสาวนายทหารของคุณหนูอวิ๋น หลังออกจากวัง ถ้าข้าได้ยินผู้ใดพูดว่า มีคุณหนูลูกขุนนางคบหากับนางโลมหรือนางคณิกาอีก ผู้นั้นกับข้าได้เห็นดีกันแน่!


 


 


ประโยคสุดท้าย เห็นชัดว่าพูดให้อวี้โหรวจวงฟัง นางเพิ่งถูกหงเยียนแฉ เดิมทีไม่มีใครเข้าใกล้อยู่แล้ว ขณะยืนบูดบึ้งตามลำพัง แต่พอได้ยินประโยคนี้ กลับเสียวสันหลังวาบ


 


 


เหล่าคุณหนูต่างพากันพยักหน้าและขานรับ


 


 


เจี่ยไทเฮายุ่งมาครึ่งค่อนวัน รู้สึกเพลีย จึงคร้านที่จะกลับศาลาปทุมหอมอีก อยากกลับตำหนักไปพักมากกว่า จึงชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“เมื่อล้วนเป็นการเข้าใจผิด คืนนี้เจ้าก็ค้างคืนในวังตามเดิม ไปบอกสนมเอกก่อนก็แล้วกัน สายหน่อยข้าค่อยให้คนมารับเจ้าไปตำหนักฉือหนิง”


 


 


“เพคะ ไทเฮา” อวิ๋นหว่านชิ่นถอนสายบัว ก่อนส่งไทเฮาเดินจากไปด้วยสายตา


 


 


อวี้โหรวจวงมองตามหลังไทเฮาไป การหาเรื่องในวันนี้ ถือว่าเสียแรงเปล่า! ไม่เพียงทำให้หงเยียนมีโอกาสพลิกชีวิต ได้ใช้ชื่อจริง จากการรื้อคดีถังโจวขึ้นมาสอบสวนใหม่ ยังเป็นการบวกชื่อเสียงให้อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่ม! จนได้เป็นสตรีผู้กล้าที่ช่วยชีวิตลูกทหารตกยากไป คิดแล้วก็เจ็บปวดใจจริงๆ


 


 


รอจนขบวนเสด็จไทเฮาจากไปเรียบร้อย ก็มีคนนำพาเหล่าคุณหนูที่อยู่ริมทะเลสาบเฉิงเทียนกลับไปยังศาลาปทุมหอม


 


 


พอกลุ่มคนแยกย้าย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนึกถึงเรื่องเอะใจเมื่อครู่ ใจที่เพิ่งสงบลงก็เต้นโครมครามขึ้นมาอีก


 


 


ไฝ หลังมือของเจี่ยงยิ่น มีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง


 


 


ใช่คนที่ป้าเว่ยพูดถึงหรือไม่…ขุนนางชั้นสูงที่ไหว้พระกับท่านแม่ในอุโบสถวัดเซียงกั๋ว?


 


 


ซึ่งความจริง ต่อให้ใช่ ก็ไม่ได้หมายความว่าชายผู้นั้นต้องเกี่ยวข้องกับท่านแม่ แต่ นอกจากชายผู้นั้นแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่า ในชาติภพนี้ ท่านแม่เคยพบเจอชายใดอีก!


 


 


ด้วยกลัวว่า ถ้ากลับไปที่ศาลาปทุมหอมจะไม่มีโอกาสอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฉวยโอกาสส่งสายตาให้รัชทายาทระหว่างทางเดิน


 


 


และพอรัชทายาทเห็นนางกระพริบตาให้ไม่หยุด ก็ส่งสัญญาณมือให้คนรอบข้างถอยออก แล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าหา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดๆ ก็รู้สึกว่า จะถามตรงๆ ไม่ได้ จึงพูดอ้อมไปมา ก่อนยิ้มหวานให้ แลดูแปลกๆ ชอบกล


 


 


“รัชทายาทเพคะ ตอนพระมาตุลาเป็นขุนนางในราชสำนักนั้น เวลาว่างชอบทำอะไรบ้าง เช่น ไปไหว้พระที่วัดเป็นประจำหรือเปล่า อะไรทำนองนี้…”


 


 


รัชทายาททำตาโต “ชิ่นเอ๋อร์ เสด็จลุงของเราอายุมากกว่าเจ้ายี่สิบกว่าเชียว เจ้าอย่าได้…”


 


 


อวิ๋นหว่านชินค้อนควับ ในสมองของเขามีแต่เรื่องพรรณนี้หรือนี่


 


 


“พระมาตุลามีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง วันนี้หม่อมฉันได้เห็นตัวจริงเสียงจริง ก็รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”


 


 


รัชทายาทค่อยยิ้มยิงฟัน “อ้อ เรานึกว่าชิ่นเอ๋อร์สนใจเสด็จลุงของเราเสียอีก เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าเสด็จลุงมีงานอดิเรกอะไร ตอนท่านโด่งดังนั้น เรายังเล็กอยู่เลย! จำได้ที่ไหน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ยอมลดละ ม้วนปอยผมข้างหูเล่น แกล้งทำท่าสบายๆ พลางว่า


 


 


“เช่นนั้น…พระมาตุลาเคยไปวัดเซียงกั๋วหรือเปล่าเพคะ”


 


 


วัดเซียงกั๋ว? รัชทายาทสงสัย “วัดเซียงกั๋วเป็นวัดหลวงที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จากคนในราชวงศ์ ที่ผ่านมามีผู้สูงศักดิ์ไปกันมากมาย ฝ่าบาทก็ยังไปเป็นประจำ เสด็จลุงก็น่าจะเคยไปนะ”


 


 


ถามแบบนี้ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเปลี่ยนคำถาม


 


 


“รัชทายาทเพคะ แล้ว…คนเรียกขานพระมาตุลาว่าอะไรกันบ้าง ตอนนั้น บ่าวรับใช้มักเรียกท่านว่าอะไร”


 


 


ป้าเว่ยบอกว่า วันนั้นในวัดเซียงกั๋ว มีผู้ติดตามตะโกนเรียก คลับคล้ายว่า ท่าน…อะไร นี่ก็เป็นอีกเบาะแสหนึ่ง ที่ปล่อยไปไม่ได้


 


 


“เรียกขาน?” รัชทายาทขมวดคิ้ว “น่าจะเป็น พระมาตุลา ผู้ตรวจการ ท่านอำมาตย์…”


 


 


เดี๋ยว! อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว รีบขัดจังหวะ “ท่านอำมาตย์? พระมาตุลาเคยถูกเรียกว่าท่านอำมาตย์หรือ”


 


 


รัชทายาทมองนางอย่างแปลกใจ


 


 


“เสด็จลุงอายุไม่ถึงสามสิบ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์แล้ว ถ้าอยู่ในที่สาธารณะ คนรอบข้างมักเรียกว่า ท่านอำมาตย์ มากสุด ส่วนพระมาตุลา ใช้เรียกขานกันภายในเป็นการส่วนตัว”


 


 


ท่านอำมาตย์ ท่านอำมาตย์เจี่ยง…จริงสิ ทำไมนึกไม่ถึงนะ ตอนนั้นเพียงคิดว่า ท่านแล้วน่าจะตามด้วยแซ่ อย่างที่ผู้คนชอบเรียกขานกัน ไหนเลยจะคิดว่า เสียงตะโกนเรียกว่า ท่านอะไรที่วัดเซียงกั๋ว จะเป็นท่านอำมาตย์!


 


 


เม็ดเหงื่อผุดขึ้นกลางฝ่ามืออวิ๋นหว่านชิ่น ในเบื้องต้นนางยืนยันได้แล้วว่า ผู้ที่อยู่ในอุโบสถวัดเซียงกั๋วร่วมกับมารดา น่าจะเป็นเจี่ยงยิ่น!


 


 


ยังมี ผู้ที่มาพบมารดาเป็นการส่วนตัวในจวนรองเจ้ากรมช่วงฤดูหนาว…บุรุษที่บิดายอมให้พบกับภรรยาตัวเองในห้อง ย่อมเป็นบุรุษที่มีตำแหน่งใหญ่โต


 


 


บิดาเป็นคนเกรงใจผู้มีอำนาจ จึงยอมกล้ำกลืนฝืนทน กระทั่งอาสาจัดที่ทางให้ เจี่ยงยิ่นในวัยหนุ่ม ต้องได้รับสิทธิๆ นี้อย่างแน่นอน


 


 


ผู้สูงศักดิ์ที่วัดเซียงกั๋ว บุรุษที่มาเยี่ยมเยียนมารดาในค่ำคืนฤดูหนาว…สองเงาร่างรวมกันเป็นร่างเดียว อยู่บนร่างของเจี่ยงยิ่น


 


 


หมายความว่า มารดาอาจรู้จักเจี่ยงยิ่น และ อาจรู้จักเป็นการส่วนตัว?


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบ ไม่พูดจา


 


 


พอรัชทายาทเห็นนางไม่พูดอะไรต่อ เอาแต่เดิน ก็ก้มใบหน้าอันหล่อเหลาลง ก่อนยื่นมาอยู่ตรงหน้าใบหน้ารูปไข่ของนาง


 


 


“ไหนบอกว่าไม่สนใจเสด็จลุงไง…”


 


 


สนสิ สนใจ…แต่เป็นความสนใจที่พูดไม่ออกน่ะ!


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นรัชทายาทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก็ฉวยโอกาสที่เขาไม่ทันระวัง ผลักออกด้านข้างเบาๆ


 


 


พอกลุ่มคนเดินมาถึงทางเข้าศาลาปทุมหอม ซย่าโหวซื่อถิงที่นั่งอยู่กับโต๊ะหันไปเห็นทั้งสองมีท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมกันพอดี จึงขรึมไปสักพัก เพิ่งบอกนางให้รักษาระยะห่างกับรัชทายาทไปหยกๆ หึ กลับมากระเซ้าเย้าแหย่กันเสียนี่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะสนใจว่า ตรงที่นั่งมีสายตาใครบางคนกำลังลุกเป็นไฟอยู่ ได้แต่คิดฉวยโอกาสที่ยังพอจะพูดกับรัชทายาทได้ ก้าวเข้าไปใกล้ ขมวดคิ้วพลางพูดเสียงเบา


 


 


“วันนี้รัชทายาทช่วยข้าไว้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ ท่านรู้เรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับหงเยียนได้อย่างไร แถมยังรู้สถานะของหงเยียนอย่างแจ่มแจ้งอีก?”


 


 


เจี่ยงยิ่นเป็นเสด็จลุงของเขา ไม่แปลกที่เขาจะรู้เบื้องหลังการลาออกจากราชการของเจี่ยงยิ่น แต่สถานะของหงเยียนถูกปกปิดอย่างมิดชิดมานานหลายปี ไม่สามารถบอกคนรอบข้างได้ ยิ่งผู้สูงศักดิ์ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างรัชทายาทยิ่งไม่มีทางรับรู้ ขนาดอวิ๋นหว่านชิ่นเอง ตอนนั้นก็ยังได้แต่เดาว่านางเป็นลูกสาวแม่ทัพที่สมรภูมิถังโจว โดยไม่แน่ใจว่านางเป็นลูกสาวบ้านไหน แต่รัชทายาทกลับรู้สถานะที่แท้จริงของหงเยียนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังหาร้านพบ และพานางเข้าวังได้อย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะรู้เรื่องอย่างแน่นอน


 


 


รัชทายาทมองไปทางอื่น ก่อนทำสีหน้าจริงจัง ไม่พูดอะไร


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะถามต่อ ก็มีคนในวังก้าวเข้ามาเชิญให้รัชทายาทไปนั่งประจำที่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเอะใจ หรือว่า…ผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำการซื้อร้านบนถนนจิ้นเป่า แล้วขอร่วมทุนทำการค้ากับนาง ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่กลับทำตัวลึกลับ ไม่ยอมเผยตัวตนให้เห็น ก็คือรัชทายาท?


 


 


มีแต่ต้องเป็นเช่นนี้ล่ะ มิเช่นนั้นรัชทายาทจะหาโอกาสที่ไหนตีสนิทกับหงเยียน ถึงได้รู้สถานะนาง ต้องเป็นเพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจเชิญนางเข้าวังได้ในทันที แล้วค่อยเชิญเจี่ยงยิ่นมา


 


 


ขณะคิด สนมเอกเฮ่อเหลียนก็เดินเข้ามาหา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเก็บความคิดไว้ในใจ ก้าวเข้าไปรับใช้ก่อน

 

 

 


ตอนที่ 85-5 พระมาตุลาละอายใจและการเร่...

 

เนื่องจากเจี่ยไทเฮาเสด็จกลับตำหนักก่อน กลุ่มคนบริเวณศาลาปทุมหอมจึงกินดื่มและสนทนากันต่อสักพัก พอเห็นว่าเย็นแล้ว ประกอบกับมีคนในวังเข้ามาประกาศเลิกงานเลี้ยง พร้อมจัดรถม้าจอดรอเตรียมไว้ให้ เหล่าคุณชายคุณหนูผู้สูงศักดิ์จึงทยอยกันเดินไปขึ้นรถม้า กลับออกจากวังทางประตูเจิ้งหยาง


 


 


เนื่องจากอวิ๋นหว่านชิ่นต้องพักค้างคืนในวังตามพระประสงค์ของไทเฮา ราชองครักษ์จึงเป็นผู้บังคับรถม้าส่งอวิ๋นหว่านถงและเมี่ยวเอ๋อร์กลับจวนรองเจ้ากรมด้วยตัวเอง ซึ่งอวิ๋นหว่านถงอยากรีบกลับบ้านไปแจ้งข่าวดีแทบไม่ทัน ด้วยตอนออกจากบ้าน ตนเป็นลูกเมียน้อยที่ต้องเดินตามลูกเมียหลวงต้อยๆ แต่ตอนกลับถึงบ้าน กลับมีคนในวังมาส่งด้วยตนเอง พอรู้สึกว่ารัศมีชายารองจวนเว่ยอ๋องในอนาคตกำลังเฉิดฉาย จึงตื่นเต้นจนใจเต้นแรงไม่หยุด


 


 


ส่วนเมี่ยวเอ๋อร์ พอรู้ว่าคุณหนูใหญ่ต้องพักค้างแรมในวัง กลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เสียดายในวังกฏระเบียบเข้มงวด ไทเฮาตรัสเพียงให้คุณหนูใหญ่พัก นางจึงอยู่เป็นเพื่อนด้วยไม่ได้ ก่อนจากกันจึงได้แต่กำชับเบาๆ ไปไม่กี่คำ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก็คุยเล่นกับนางสักพัก เพื่อให้นางสบายใจขึ้น ก่อนกลับตำหนักชุ่ยหมิงพร้อมคนของสนมเอกเฮ่อเหลียน


 


 


พอไปถึง สนมเอกเฮ่อเหลียนพูดคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นไม่กี่คำ ก็กลับไปปฏิบัติตนตามปกติ เดินเข้าไปหลังม่านไข่มุก นั่งลงตรงโต๊ะไม้พยุง อ่านหนังสือและฝึกเขียนพู่กัน


 


 


โดยมีอวิ๋นหว่านชิ่นกับพวกหลานถิงหรือสาวใช้ทั้งสี่คอยรับใช้เงียบๆ อยู่นอกม่าน ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็มีเรื่องเจี่ยงยิ่นที่ติดอยู่ในใจให้คิด จึงไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นพระอาทิตย์เริ่มตกดิน สนมเอกเฮ่อเหลียนก็วางพู่กันลง ชะเง้อมองออกนอกหน้าต่าง หลานถิงซึ่งเข้าใจคนมากสุดและความรู้สึกไว รู้ว่าพระสนมเอกกำลังคอยใคร จึงเดินเข้าไป ยิ้มแล้วว่า


 


 


“อย่างไรไปเดินเล่นในสวนดอกเหมยกันก่อนไหมเพคะ”


 


 


ทุกคนจึงเดินไปยังสวนดอกเหมยนอกพระตำหนักร่วมไปกับพระสนมเอก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเดินพลางชมสวนดอกเหมยน้อยๆ ที่สดชื่นและเงียบสงบ


 


 


บ้านสวนโย่วเสียนก็มีสวนดอกเหมยโดยเฉพาะเหมือนกัน จากอากาศและอุณหภูมิในเมืองหลวง ดอกเหมยน่าจะบานราวเดือนสิบสองหรือไม่ก็เดือนแรกของปีใหม่ พอถึงเดือนสามจึงจะทยอยกันเ**่ยวร่วง ตอนนี้เพิ่งเข้าเดือนสิบเอ็ด อีกราวหนึ่งเดือนถึงจะบาน แต่หมู่นี้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว พอฝนฤดูใบไม้ร่วงตกก็เย็นลงทันที ท่าทางเหมือนเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ดังนั้นบนกิ่งจึงมีดอกตูมเล็กๆ ผุดขึ้น มีใบอ่อนงอกเงยออกมา ซึ่งดอกเหมยใบจะงอกก่อนดอก พอเห็นสภาพเช่นนี้ ก็คิดว่ามีน่าจะบานก่อนกำหนด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนใช้มือจับกิ่งเหมยที่เกลี้ยงเกลาเบาๆ คิ้วโค้งดุจภูเขาขมวดน้อยๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางนางแล้วก็ยิ้มหวาน “ใบงอกออกมาแล้วเพคะ อีกเดือนนึงก็น่าจะบานได้ ถึงตอนนั้นที่นี่จะกลายเป็นทะเลหิมะที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวล”


 


 


พอสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินนางพูดสำนวนจอมยุทธ์ ก็ผ่อนคลายความกดดันในใจลงชั่วคราว ตาสวยกระพริบ แล้วยิ้มน้อยๆ “นังหนูนี่รู้ไปหมด เช่นนั้นเจ้าลองบอกหน่อยซิว่า ดอกเหมยอะไรดีที่สุด”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “ปัจจุบันภาคกลางของเรามี ฉู่เหมย จินเหมย สุยเหมย ถังเหมย และซ่งเหมย ฉู่เหมยสวยสดใส ราคาต่อต้นแพงสุด จินเหมยสวยน่ารัก มีกลิ่นที่เหมาะกับการวางไว้ในห้องมากสุด สุยเหมยสวยสง่า เหมาะกับการให้เป็นของขวัญ ถังเหมย เวลาบานจะให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์ ซ่งเหมยแม้ต้นเล็ก แต่บานแล้วดูคล้ายทะเลดาวในยามค่ำคืน แต่ละชนิดสวยกันคนละแบบ ถ้าจะให้บอกว่าดอกเหมยชนิดไหนดีที่สุด พระสนมเอกก็ทำให้หม่อมฉันจนมุมแล้ว เพราะต่างก็มีความสวยในแบบฉบับของตนเอง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม ก่อนเหลือบมองดอกตูมบนก้าน “แต่ถ้าอิงจากสายตาที่นอบน้อมของหม่อมฉัน ชนิดที่ปลูกในสวนนี้น่าจะเป็นถังเหมย เวลาบานต้องสวยงามยิ่งใหญ่ดุจมหาสมุทรอย่างแน่นอนเพคะ”


 


 


พอเห็นนางเดาถูก สนมเอกเฮ่อเหลียนก็ยิ่งชอบใจ


 


 


“ข้าฟังเจ้าพูดแล้ว กลับรู้สึกสบายใจกว่าอ่านบทกลอนชมดอกเหมยเสียอีก ไม่รู้ว่าดอกเหมยเหล่านี้จะบานเมื่อไหร่ แต่ปากน้อยๆ ของเจ้ากลับทำให้คนเบิกบานได้ทุกเมื่อ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มรับ


 


 


“พระสนมเอกเพคะ ดอกเหมยเหล่านี้ใกล้บานเต็มที ถ้าฝ่าบาททอดเนตรเห็น ต้องชอบแน่ๆ เพคะ”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มค้าง แล้วค่อยๆ เดินต่อ


 


 


หลานถิงจึงดึงอวิ๋นหว่านชิ่นไปด้านข้าง แล้วกระซิบ


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ความจริงดอกเหมยในตำหนักชุ่ยหมิงเรา บานช้ากว่าตำหนักอื่นๆ มาก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับของมเหสีรองเหวย จะกลายเป็นคนละชั้นทันที ตำหนักฉางหนิงของนางนั้นดินดีอยู่แล้ว แต่ยังไม่วายมาแย่งคนสวนที่เก่งที่สุดของวังหลังไปอีก นางล้วนครอบครองแต่ของดีๆ ทั้งภูมิประเทศ ภูมิอากาศและทรัพยากรบุคคล ทำไมจะปลูกดอกไม้ที่ดีออกมาไม่ได้เล่า…ฝ่าบาทของเราหรือก็หลงไหลแต่ดอกเหมย รักนกก็ต้องรักรังนกด้วย พอเห็นดอกเหมยตำหนักไหนงาม ก็มักไปเดินเล่นที่นั่นบ่อยๆ เช่นนี้ ถึงหน้าดอกเหมยบานทีไร พระสนมเอกเป็นต้องกลุ้มใจไปทุกครั้ง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสำรวจมองรอบๆ บริเวณอย่างถ้วนถี่ ก็จริง ตำหนักชุ่ยหมิงตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวัง โดนแดดค่อนข้างน้อย อากาศก็แห้ง สิ่งแวดล้อมไม่นับว่าดีที่สุดต่อการเจริญเติบโตของต้นเหมย ประเมินสักพัก จึงว่า  


 


 


“จริงๆ แล้วมีวิธีนะ ที่จะทำให้ปีนี้พระสนมเอกมาเป็นที่หนึ่ง โดยไม่ต้องเป็นที่โหล่แบบทุกๆ ปีอีก”


 


 


หลานถิงตกใจ “หรือคุณหนูอวิ๋นเป็นเทพดอกไม้ มีวิธีเสกให้ดอกเหมยบานก่อนเวลา?”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม ”จากนี้ไป พวกเจ้าต้องใช้น้ำด่างรดแทนน้ำธรรมดา”


 


 


“น้ำด่าง?” หลานถิงสงสัย


 


 


“ไม่ผิด” อวิ๋นหว่านชิ่นอธิบาย “ใช้ผงด่างละลายในน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมารดต้นไม้ จะทำให้ดอกไม้บานเร็วขึ้น อีกอย่าง ต้นเหมยชอบอากาศเย็น พวกเจ้าต้องไปเอาน้ำแข็งก้อนใหญ่จากห้องเก็บน้ำแข็งมาห่อผ้า แล้ววางไว้ใต้ต้นเหมย พอต้นเหมยรู้สึกว่าอุณหภูมิได้ที่ ก็จะหนุนให้ออกดอกเร็วขึ้น”


 


 


หลานถิงหลุดขำ “ตอนแรก บ่าวไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ตอนหลังถึงเข้าใจแล้วว่า คุณหนูอวิ๋นต้องการหลอกต้นเหมยนี่เอง!” นางหัวเราะพลางจดจำ ว่าแล้วก็ปฏิบัติตามทันที


 


 


ที่บ้านสวนโย่วเสียน อวิ๋นหว่านชิ่นเรียนรู้ทักษะการดูแลไม้ดอกไม้ใบในทางปฏิบัติมาไม่น้อย ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในความรู้ดังกล่าว ซึ่งป้าเว่ยเล่าว่า มารดาของตนเป็นผู้ค้นพบ


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เหยาฝูโซ่วมาที่ตำหนักชุ่ยหมิง แจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า คืนนี้หนิงซีฮ่องเต้จะเสด็จ ให้พระสนมเอกเตรียมทุกอย่างให้พร้อม และยังหอบเอาชุดที่ฝ่าบาทต้องใส่ออกว่าราชการในเช้าวันรุ่งขึ้นมา เหมือนจะทรงพักค้างคืนที่นี่ด้วย


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนย่อตัวรับ จากนั้นบ่าวในตำหนักก็ยุ่งอยู่กับการตระเตรียม


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าแดงระเรื่อ ก็รู้แล้วว่าหมู่นี้นางน่าจะเป็นคนโปรดของฝ่าบาท จึงรู้สึกผ่อนคลายลง และพอคิดว่าหนิงซีฮ่องเต้กำลังจะมา ตนก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ พอดีกับที่มอมอจากตำหนักฉือหนิงคนหนึ่งถือโคมไฟสีขาว มาพร้อมกับขันทีสองคน เชิญให้อวิ๋นหว่านชิ่นไปเฝ้าไทเฮา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงคุกเข่าลาสนมเอกเฮ่อเหลียน แล้วเดินตามมอมอ ออกจากตำหนักชุ่ยหมิง


 


 


พอมืดค่ำ หมู่ดาวก็กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม บรรยากาศในวังเงียบสงบลง มีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วจนรู้สึกหนาว ตลอดทั่วทั้งวัง นอกจากเสียงกรับบอกเวลาแล้ว ระหว่างกำแพงแดง ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารรักษาพระองค์ปฏิบัติหน้าที่พร้อมคบเพลิงสว่างเป็นจุดๆ


 


 


ครั้นหนิงซีฮ่องเต้เสร็จจากราชกิจ ก็เสด็จมายังตำหนักชุ่ยหมิง ซึ่งสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ให้การต้อนรับอย่างอ่อนโยนและพิถีพิถัน เป็นอีกคืนหนึ่งที่ทั้งสองอิงแอบแนบชิดและหวานซึ้งไม่รู้จบ


 


 


รุ่งอรุณ แสงแรกบนท้องฟ้าปรากฎ หนิงซีฮ่องเต้ก็ทรงตื่นจากพระบรรทมตามปกติ หลังจากล้างหน้าล้างตาโดยมีพระสนมเอกคอยปรนนิบัติเรียบร้อย ก็สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีม่วงทอง เดินออกจากห้องด้านในพลางยืดเส้นยืดสาย มาถึงห้องด้านนอก และผลักหน้าต่างออก เพื่อรับลมเย็นในยามเช้า


 


 


หนิงซีฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยลืมตาขึ้น พอเห็นทิวทัศน์ด้านนอกอย่างแจ่มชัด ก็ทรงอ้าปากค้าง ขมวดคิ้วเข้ม คล้ายถูกบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นความรู้สึก จนพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน เนิ่นนานถึงเปล่งเสียง


 


 


“ใคร มีใครอยู่บ้าง…” 

 

 


ตอนที่ 86-1 เข้าใจผิด

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินเสียงตะโกนเรียก ก็รีบวิ่งมาที่ห้องด้านนอก เห็นหนิงซีฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงหน้าต่างไม้แดงสลักลายเถาวัลย์บานใหญ่ พลางเบิกตากลมโตอย่างประหลาดใจ


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนตกใจ “ฝ่าบาท มีอะไรหรือเพคะ…” พลางก้าวเท้าเข้าไป แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ยืนตะลึงงันอยู่ตรงหน้าต่างเช่นกัน


 


 


หน้าต่างบานนี้หันหน้าเข้าหาสวนดอกเหมยน้อย ซึ่งทิวทัศน์ของสวนในตอนนี้เปลี่ยนไป แตกต่างจากเมื่อวานมาก


 


 


หลานถิงที่อยู่ด้านหลังก็ยืนอึ้งเช่นเดียวกัน เมื่อวานยังเป็นสวนดอกเหมยโล้นๆ อยู่เลย เพียงคืนเดียว ดอกตูมบนกิ่งเหมยก็บานสะพรั่งเป็นดอกเหมยสีชมพูอ่อนแล้ว แถมยังมีจุดเล็กๆ สีน้ำตาลแต้มอยู่ทั่วกิ่งก้านที่เรียวยาวอีก ถังเหมยเป็นต้นเหมยที่ให้ดอกขนาดใหญ่กว่าต้นเหมยชนิดอื่นๆ อยู่แล้ว จึงเตะตามาก กวาดตามองไป ก็เห็นดอกเหมยบานอยู่แน่นขนัด งามสง่ายิ่ง เป็นอย่างที่คุณหนูอวิ๋นบอกเมื่อวานจริงๆ ผืนทะเลหิมะหอม!


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนดึงสติคืนกลับ ดีใจสุดคณา วิธีเร่งให้ดอกเหมยบานของนังหนูอวิ๋นนี่ ได้ผลจริงๆ!


 


 


“อวี้เยียน” หนิงซีฮ่องเต้มีความสุขมาก จึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ปีก่อนๆ เจ้ามักบอกว่าดินในตำหนักชุ่ยหมิงไม่ดี แต่เราว่า ปีนี้เทพแห่งดอกไม้เข้าข้างเจ้าแล้ว! ความสวยแรกแย้มในวัง ล้วนบานอยู่ในบ้านเจ้าที่เดียว! บานเร็วขนาดนี้ เห็นทีปีนี้อาจได้เห็นดอกเหมยบานสองรอบ!”


 


 


ฝ่าบาทชอบดอกเหมยเป็นชีวิตจิตใจจริงๆ พูดถึงตรงนี้ ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ไม่สนใจความหนาวเย็นในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ร่วงอีก และไม่ต้องการผู้ติดตามใดๆ ทั้งนั้น กระชับเสื้อคลุมให้แน่น แล้วเดินออกไปชมดอกเหมยบานก่อนเวลา ซึ่งพานพบได้ยากยิ่ง


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ค่อยได้เห็นหนิงซีฮ่องเต้เบิกบานพระทัยเช่นนี้ จึงไม่กล้าขัดให้เสียบรรยากาศ รีบคว้าเสื้อคลุมมาคลุม แล้วเดินตามออกไปปรนนิบัติ


 


 


ตอนกลับเข้ามา ทั้งสองหนาวจนจมูกแดงและมือเท้าเย็นไปหมด หนิงซีฮ่องเต้จึงกางเสื้อคลุมตัวใหญ่ โอบสนมเอกเฮ่อเหลียนมาไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินเข้าตำหนักด้วยกัน


 


 


พอนั่งลง ก็พูดขึ้นอย่างสุขใจ “ปีนี้ดอกเหมยบานเร็วเฉพาะตำหนักชุ่ยหมิง สนมเอกเก่งมาก ที่ทำให้เรามีความสุขได้ เหยาฝูโซ่ว มอบไข่มุกราตรีทะเลตะวันออกให้สนมเอกหนึ่งคู่ ผ้าไหมสีม่วงหนึ่งพับ เครื่องประดับศีรษะห้าหงส์หนึ่งชุด และให้รางวัลต่างหากกับบ่าวในตำหนักชุ่ยหมิงทุกคน!”


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” บ่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมใจกันคุกเข่าลง พลางหน้าชื่นตาบานไปตามๆ กัน จากนั้นก็รีบนำเตาทองเหลืองอังมือที่ก่อไฟจนอุ่นเข้ามา


 


 


วันนี้พอตื่นเช้า หนิงซีฮ่องเต้ก็ได้เห็นทิวทัศน์ดอกเหมยปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว จึงรู้สึกอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทรงใช้มือโอบเตาให้มืออุ่น แล้วยกขึ้นจับที่แก้มสวยๆ ของสนมเอกให้นางอุ่น เหมือนวัยรุ่นสิบแปดสิบเก้าอย่างไรอย่างนั้น พลางหัวเราะ


 


 


“แก้มของอวี้เยียนเย็นจนแดงไปหมดแล้ว มา ให้เราจับหน่อย…”


 


 


เหล่าสาวใช้ไม่ค่อยได้เห็นหนิงซีฮ่องเต้อ่อนโยนละมุนละไมเช่นนี้ แต่ละคนจึงแอบปิดปากขำ ส่วนคนที่อายุมากหน่อย อย่างมอมอที่ติดตามสนมเอกเฮ่อเหลียนมานาน ก็รู้สึกปลื้มปิติเช่นเดียวกัน แม้ปีที่สนมเอกเข้าวังใหม่ๆ แล้วเป็นที่โปรดปรานมากสุด นางก็ยังไม่เคยเห็นหนิงซีฮ่องเต้มีอารมณ์ละเมียดละไมเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้ พอเห็นทั้งสองมีความรักลึกซึ้งไปอีกขั้น จึงส่งสายตาและส่งยิ้มให้สาวใช้ทุกคน ก่อนก้มหน้าก้มตาถอยออก ไม่รบกวนความหวานชื่นของคู่รักอีก


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ว่าวันนี้หนิงซีฮ่องเต้มีความสุขจริงๆ จึงรู้สึกขอบคุณอวิ๋นหว่านชิ่นในใจเพิ่มมากขึ้น ขณะซึมซับความรักจากฮ่องเต้ ก็ลุกขึ้นไปหยิบชุดว่าราชการกับมงกุฎมา พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน


 


 


“ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือไรว่าหม่อมฉันถือกำเนิดจากที่ไหน ความหนาวเย็นของทุ่งหญ้าทางเหนือ หนาวเหน็บกว่าเมืองหลวงหลายเท่านัก หม่อมฉันเคยชินแต่เด็กแล้ว ไม่กลัวหนาวหรอก กลับเป็นฝ่าบาทเสียอีก ที่ต้องรีบเปลี่ยนชุด มิเช่นนั้นจะจับไข้เอา”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ก็แย้มยิ้มพลางอ้าแขนทั้งสองข้างออก ให้สนมเอกสวมฉลองพระองค์ให้


 


 


สนมเอกจึงจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องให้หนิงซีฮ่องเต้ หมู่นี้ทรงเสด็จมาตำหนักชุ่ยหมิงสามถึงห้าวันต่อครั้ง ซึ่งบ่อยกว่าเสด็จไปตำหนักฉางหนิงของมเหสีรองเหวยเสียอีก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาของการกลับมาเป็นคนโปรดที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นตอนนี้ถ้ามีเรื่องอะไรอยากจะพูด ก็นับเป็นโอกาสดีที่จะพูดออกมา คิดพลางขยับมือ ดึงปลายชุดยาวของหนิงซีฮ่องเต้ให้ตึง ก่อนพูดหยั่งเชิงอย่างอ่อนโยน


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ ซื่อถิงก็โตแล้ว ไม่รู้ว่าหมู่นี้ทรงพิจารณาให้โอรสหรือยัง ฝ่าบาทมีโอรสมากมาย องค์ชายที่โดดเด่นก็มีอยู่ไม่น้อย อย่าลืมโอรสของหม่อมฉันนะเพคะ”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ย่อมรู้ ที่สนมเอกพูดว่า ‘พิจารณา’ ก็คือเรื่องเสกสมรสขององค์ชาย จึงจับคางแหลมๆ ของคนสวย พลางว่า “จะลืมได้อย่างไรกัน ลูกสาวคนโตของอวี้เหวินผิง คู่ควรกับเจ้าสามทั้งรูปโฉมและอายุ ขึ้นกับว่าจะแต่งช้าแต่งเร็วเท่านั้น ปีก่อนเราก็เคยพูดถึงนี่ สองปีมานี้ เราเห็นเจ้าสามยิ่งโต ก็ยิ่งดูบึกบึนแข็งแรง ควรที่จะหาคนมาดูแลหลังบ้านได้แล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้เราให้เหยาฝูโซ่วไปบอกเจ้าสามก็แล้วกันว่า ปีนี้เราจะพระราชทานสมรสให้”


 


 


จริงๆ ด้วย เจ้าสาวที่ฝ่าบาททรงเล็งไว้ก็คือคุณหนูอวี้ ดูท่าน่าจะเปลี่ยนใจยากอยู่ แต่สนมเอกเฮ่อเหลียนก็ยังนึกถึงสายตาของโอรสที่มองคุณหนูอวิ๋นในงานเลี้ยง จึงตัดสินใจย่อตัวลง ยิ้มหวานพลางพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“ขอบพระทัยที่ทรงพระราชทานสมรสให้ ถ้าได้คุณหนูอวี้เป็นชายาของฉินอ๋อง คอยดูแลการบ้านการเรือนในจวนอ๋อง หม่อมฉันก็สบายใจได้ แต่หม่อมฉันเห็นองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง อีกทั้งองค์ชายห้า กระทั่งรัชทายาท ก่อนเสกสมรสชายา ในเรือนมีสาวๆ เคียงข้างหลายคนอยู่นะเพคะ…”


 


 


พอหนิงซีฮ่องเต้ได้ยินก็เข้าใจแล้ว นางอยากจะบอกว่าในจวนของเจ้าสามมีสาวๆ น้อยไปล่ะสิ จึงหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้


 


 


“เจ้านะเจ้า เห็นสงบเสงี่ยม ไม่ค่อยพูดจา เรายังนึกว่าเจ้าเรียบร้อย ที่แท้ก็โลภอยู่เหมือนกัน อยากให้


 


 


โอรสสุดที่รักของเจ้า รับภรรยาน้อยเข้าบ้าน ก่อนที่จะแต่งภรรยาหลวงใช่หรือเปล่าล่ะ”


 


 


“ฝ่าบาทล้อหม่อมฉันอีกแล้ว” สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าแดง


 


 


“หลังเรือนมีคนมากหน่อย โอกาสมีลูกมีหลานจะได้มากตาม ยิ่งซื่อถิงร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ ถ้ามีคนมาก จะได้มีลูกหลานเชื้อพระวงศ์เพิ่มขึ้นไงเพคะ”


 


 


ก็จริง ก่อนที่องค์ชายจะแต่งชายา ถ้ารับชายารอง ชายาบ่าว หรือแม้แต่นางกำนัลเข้ามา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก บางครั้งผู้อาวุโสสูงศักดิ์ในวังยังมาขอดองด้วยหรือไม่ก็ส่งคนมาให้ด้วยซ้ำ หนิงซีฮ่องเต้หรี่ตามอง สนมเอกคนนี้ สุขุมรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบพูดมาก ถ้าพูด ย่อมมีแผนในใจแต่แรก จึงหัวเราะ


 


 


“อวี้เยียน เจ้ามองใครไว้ในใจแล้วใช่ไหม”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนหลุบตาลง “ลูกสาวของรองเจ้ากรมกลาโหมที่มาเป็นเพื่อนหม่อมฉันในงานเลี้ยงเป็นคนคล่องแคล่ว รูปโฉมก็งดงาม อายุแม้น้อยกว่าเจ้าสาม แต่รอบรู้มาก ไม่เอาแต่ใจแบบเด็กๆ คอยปรนนิบัติรับใช้ เอาใจใส่หม่อมฉันเป็นอย่างดีทีเดียว”


 


 


พอเห็นฝ่าบาทนิ่งไปไม่พูดจา จึงเสริมขึ้นอีกว่า “แม้คุณหนูอวิ๋นเพิ่งเข้าวังมางานเลี้ยงเป็นครั้งแรก แต่กลับวางตัวได้อย่างเหมาะสม เมื่อคืนไทเฮายังให้นางพักอยู่ในวังคืนหนึ่งด้วยนะเพคะ”


 


 


ตอนคำพูดนี้หลุดออกจากปาก หนิงซีฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว


 


 


“ลูกสาวคนโตของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ที่ชื่ออวิ๋นหว่านชิ่นใช่ไหม”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนอึ้ง พอพูดถึง ฝ่าบาทก็หลุดปากเอ่ยชื่อนังหนูออกมาทันที เหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่พอคิดๆ ดู ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อคืน จูซุ่นได้รายงานให้หนิงซีฮ่องเต้ทรงทราบว่า หงเยียนเป็นลูกสาวของนายทหารที่สมรภูมิถังโจว ต่อมาเจี่ยงยิ่นก็ไปยังพระที่นั่งอี้เจิ้ง เฝ้าหนิงซีฮ่องเต้ สารภาพความผิดในการตัดสินคดีเก่าของตนให้ฟังอีกครั้ง ตอนทั้งสองบรรยายเรื่องราวทั้งหมด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงอวิ๋นหว่านชิ่น ฝ่าบาทถึงจำชื่อนี้ได้ จึงรีบพยักหน้า


 


 


“เพคะฝ่าบาท คุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลอวิ๋น” 

 

 


ตอนที่ 86-2 เข้าใจผิด

 

ผ่านไปสักพัก หนิงซีฮ่องเต้ค่อยเอ่ยปาก


 


 


“ที่แท้คนที่เจ้าเล็งไว้ก็คือเด็กสาวคนนั้นนี่เอง แม้เราไม่เคยเห็นหน้านาง แต่เมื่อวานก็ได้ยินจูซุ่นกับเจี่ยงยิ่นพูดถึงอยู่ รู้สึกเหมือนกันว่านางมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญแบบที่กุลสตรีทั่วไปไม่มี น่าสนใจ”


 


 


พอสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินก็แอบดีใจ ขนาดฝ่าบาทก็ยังรู้สึกว่านังหนูใช้ได้ เช่นนี้ก็มีความหวังแล้ว


 


 


“แต่ ฝ่าบาทเพคะ เด็กสาวคนนั้นแม้ดูเป็นคนละเอียดอ่อน ไม่ละเลยสิ่งละอันพันละน้อย แต่ความคิดจิตใจคล้ายผู้ชายอยู่บ้าง เหมาะกับซื่อถิงมาก ถึงบิดานางเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม แต่หม่อมฉันได้ยินมาว่า เหมือนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมในไม่ช้า เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นขุนนางชั้นสอง ซึ่งพอจะได้อยู่ถ้าจะให้เป็นชายารองของซื่อถิง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ สนมเอกเฮ่อเหลียนก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะสำเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วน ด้วยสถานะของฝ่ายหญิงเหมาะสมกับตำแหน่ง อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของเจี่ยไทเฮา และได้รับคำชมจากฝ่าบาทไม่น้อย ยังจะมีปัญหาใหญ่อะไรอีก


 


 


แต่ผิดคาด พอสนมเอกพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ หนิงซีฮ่องเต้กลับปิดปากเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่มีรอยยิ้มให้ชื่นชมแบบเมื่อครู่อีก


 


 


สนมเอกจึงสะดุดกึก “ฝ่าบาท ทรงรู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นไม่ดีหรือเพคะ…”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ใช่ไม่ดี”


 


 


ไม่ใช่ไม่ดี อาการลังเลใจของฝ่าบาทที่จะให้อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นชายารองของเจ้าสาม ทำให้สนมเอกเฮ่อเหลียนแปลกใจ หรือฝ่าบาทรู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นยังไม่ดีพอสำหรับตำแหน่งชายารอง ต้องรอพิจารณาอีก? แต่ดูจากสีหน้าของพระองค์ ก็ไม่เหมือนกำลังหาข้อบกพร่องของคุณหนูอวิ๋นอยู่…แต่จะพูดอะไรมากก็ไม่ดี จึงจัดฉลองพระองค์ให้เข้าที่ต่อ


 


 


พอดีกับเสียงอันนอบน้อมของเหยาฝูโซ่วดังขึ้นที่นอกม่าน


 


 


“เกี้ยวพระที่นั่งพร้อม ได้เวลาเสด็จท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แต่พอเห็นสนมเอกคล้ายผิดหวังอยู่บ้าง ก็ทรงปลอบโยน


 


 


“อวี้เยียน วันนี้เราปฏิบัติราชกิจเสร็จ ค่อยมาชมดอกเหมยบานร่วมกับเจ้า เช้านี้เวลาจำกัด ยังชมได้ไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่”


 


 


ตอนสนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ก็ผิดหวังจริงๆ แต่พอได้ยินฝ่าบาทว่า เสร็จราชกิจแล้วจะมาอีก ก็ดีใจ โค้งกายลงอย่างนิ่มนวล


 


 


“อวี้เยียนจะอยู่ในตำหนักคอยปรนนิบัติฝ่าบาททุกเมื่อเพคะ” ว่าแล้วก็เดินไปส่งพระองค์ออกว่าราชการ


 


 


ตอนหนิงซีฮ่องเต้เดินผ่านลานในตำหนัก ก็เหลือบไปเห็นหลานถิงเดินฝ่าความหนาวเย็นออกมาจากสวนดอกเหมย พลางอุ้มน้ำแข็งก้อนใหญ่ไว้กับอก พอเดินมาปะกับโอรสสวรรค์ ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่


 


 


เมื่อวาน หลานถิงรีบทำตามคำแนะนำของคุณหนูอวิ๋น ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งก้อน แล้วขุดหลุมตื้นๆ ฝังไว้ใต้ต้นเหมย คุณหนูอวิ๋นยังบอกอีกว่า ถ้าดอกเหมยบานแล้ว ให้นำก้อนน้ำแข็งออกมา จะวางไว้ตลอดไม่ได้ เลี่ยงไม่ให้เกิดผลในทางกลับกัน และพอหลานถิงเห็นหนิงซีฮ่องเต้เดินออกจากสวนดอกเหมย ก็รีบทำตามคำพูดของคุณหนูอวิ๋น นำก้อนน้ำแข็งออกมา ด้วยเกรงว่าจะวางไว้ใต้ต้นเหมยนานจนเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับหนิงซีฮ่องเต้เข้า 


 


 


เป็นไปตามคาด ทรงหยุดฝีเท้า ก่อนถามตามสามัญสำนึก


 


 


“อากาศเย็นขนาดนี้ เจ้าถือก้อนน้ำแข็งไว้ในมือทำไม”


 


 


หลานถิงมองนายหญิง ซึ่งพระสนมเอกก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง กลับคิดว่า นี่เป็นโอกาสดี จึงก้าวเข้าไปทูลเสียงเบา


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ ปีนี้ที่หม่อมฉันโชคดี ได้ที่หนึ่งเรื่องดอกเหมย มิใช่เพราะเทพดอกไม้คุ้มครอง แต่เพราะได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณหนูอวิ๋นมาช่วยเหลือ พวกเราถึงได้ชื่นชมดอกเหมยในปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวกัน”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้อึ้ง “นาง ทำให้ดอกเหมยบานก่อนกำหนดได้อย่างไร”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนเล่าวิธีการของอวิ๋นหว่านชิ่นให้ฟังคร่าวๆ เพียงหวังให้ฝ่าบาทประทับใจ ชื่นชม และยอมรับในตัวอวิ๋นหว่านชิ่น นี่เป็นสิ่งที่นางสามารถช่วยโอรสเท่าที่จะช่วยได้มากที่สุด นอกเหนือจากนี้ก็ขึ้นกับโชคของเด็กสาวแล้ว


 


 


พอได้ยินว่า น้ำด่างเร่งดอกไม้ให้บานได้ คิ้วเข้มของหนิงซีฮ่องเต้ก็ขยับทันที พลางพึมพำ


 


 


“น้ำด่างเร่งดอกเหมยบาน”


 


 


“ใช่เพคะ” สนมเอกหัวเราะ “ตอนที่หม่อมฉันได้ยิน ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์เช่นกัน ไม่รู้ว่านังหนูไปเอาความคิดแผลงๆ นี้มาจากไหน ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผลจริงๆ”


 


 


สีหน้าหนิงซีฮ่องเต้คืนกลับดังเดิม ยกมุมปากขึ้น ฝืนยิ้ม


 


 


“อืม ลูกสาวของอวิ๋นเสวียนฉั่งคนนี้ มีความคิดแผลงๆ ไม่น้อย”


 


 


แม้กำลังพูดชมเชย แต่น้ำเสียงกลับแห้งแล้งชอบกล คล้ายไม่เต็มใจพูดออกมา


 


 


เหยาฝูโซ่วอ่านสีหน้าคนเก่ง ลอบมองสีหน้าของหนิงซีฮ่องเต้ แล้วจึงกระแอมไอเบาๆ ออกมาสองที ก่อนพูดอย่างอ่อนน้อม


 


 


“ได้เวลาเสด็จท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าเหล่าขุนนางจะมากันพร้อมหน้าแล้ว”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงไม่กล้าพัวพันฝ่าบาทอีก โค้งกายลง “น้อมส่งเสด็จ”


 


 


หนิงซีฮ่องเต้ปรายตามองสวนดอกเหมยจากระยะไกล แล้วจึงเสด็จออกจากตำหนักชุ่ยหมิงพร้อมเหยาฝูโซ่ว


 


 


ทว่า พอเกี้ยวพระที่นั่งเลี้ยวตรงมุมกำแพงมาได้ครึ่งทาง ก็พลันหยุดลง


 


 


เหยาฝูโซ่วที่เดินตามอยู่ด้านหลัง รีบวิ่งเข้ามา คิดว่าฝ่าบาทอาจมีธุระจะให้ไปดำเนินการ


 


 


พระหัตถ์เรียวยาวขาวเนียนของหนิงซีฮ่องเต้เลิกผ้าม่านขึ้น


 


 


“ดูเหมือนยังเช้าอยู่ เราขอไปถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงก่อน แล้วค่อยไปท้องพระโรง”


 


 


ถวายพระพรไทเฮา? เหยาฝูโซ่วอึ้ง ฝ่าบาทเป็นคนกตัญญู ต่อให้ราชกิจยุ่งเพียงใด ในวันหนึ่งๆ ก็ต้องเจียดเวลาเสด็จไปถวายพระพรไทเฮาสองถึงสามครั้ง แต่ตามปกติ ช่วงเช้าจะเสด็จหลังประชุมท้องพระโรงนี่นา ไม่เคยรีบเสด็จก่อนประชุมมาก่อน ขณะจะถามเพิ่มเติม กลับเปลี่ยนใจ คิดว่าฝ่าบาทอาจมีจุดประสงค์อื่น…จึงกลืนคำถามลง รีบกำชับคนแบกเกี้ยวพระที่นั่งให้เปลี่ยนเส้นทางไปตำหนักฉือหนิง


 


 


 


 


ตำหนักฉือหนิง


 


 


เมื่อเย็นวาน หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจี่ยไทเฮาให้พักค้างคืนในวังและมาถึงตำหนักฉือหนิง ก็ถูกจัดให้นั่งตรงเก้าอี้นั่งเล่นริมหน้าต่าง จับเข่าคุยอย่างเป็นกันเองกับเจี่ยไทเฮาอยู่นานสองนาน เนื่องจากเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสนุกสนานของสามัญชน เรื่องสง่างามต่างๆ ของกุลสตรี อีกทั้งขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ในการทำเครื่องประทินผิว นางล้วนเล่าออกมาหมด ซึ่งเจี่ยไทเฮาก็เพลิดเพลินยิ่ง หัวเราะจนหุบปากไม่ลง จวบจนได้ยินเสียงกรับบอกเวลายามสอง จูซุ่นและมอมอคนสนิทจึงเร่งรัดให้ทรงเข้าบรรทม เจี่ยไทเฮาจึงยอมเข้าบรรทมอย่างไม่เต็มใจนัก


 


 


จากนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกจัดให้นอนในห้องที่ติดกับห้องพระบรรทม เดิมทีนึกว่าอาจนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ แต่เข้าวังคราวนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางจึงรู้สึกอ่อนล้า พอได้นอนบนเตียงที่ใหญ่โตและนุ่มนิ่ม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับผิว พอหัวถึงหมอนไม่นานก็หลับปุ๋ย ไม่ฝันตลอดทั้งคืน


 


 


รุ่งเช้า พอฟ้าสว่าง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตื่นขึ้น ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย การนอนหลับสนิทบนที่นอนนุ่มนิ่มเมื่อคืน ทำให้จิตใจแจ่มใสเต็มที่ พอมองดูท้องฟ้า และเห็นว่าได้เวลาออกจากวัง สาวใช้ในตำหนักก็พาไปเฝ้าไทเฮาเพื่อถวายพระพรลา


 


 


เจี่ยไทเฮามองดูนังหนูที่ตื่นขึ้นพร้อมหน้าตาอิ่มเอิบแจ่มใส แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ดวงตาทอประกาย ฉายแววฉลาดเฉลียวยิ่ง จากเสื้อผ้าสีอ่อนสวยสง่าที่ใส่ตอนเข้าวังเมื่อวาน ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นชุดใหม่ ที่คนในวังเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นคนละแบบกับเมื่อวาน ชุดกระโปรงผ้าแพรยาวลากพื้นห้าสี ทำให้ดูสดใสอ่อนโยน และมีเสน่ห์ ติ่งหูเล็กๆ ทั้งสองข้างห้อยต่างหูสีแดงปะการังไว้ ขับผิวให้ดูขาวเนียนดุจน้ำนมอย่างเห็นได้ชัด 

 

 


ตอนที่ 86-3 เข้าใจผิด

 

ลักษณะการแต่งตัวเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ดูสวยไปอีกแบบ ถ้าเมื่อวานคล้ายดอกบัว เรียบสวยสง่า วันนี้ก็คล้ายดอกโบตั๋น ละเอียดอ่อนงดงาม รูปร่างหน้าตาอวิ๋นหว่านชิ่นเหมือนไม้แขวนเสื้อจริงๆ ใส่อะไรก็ให้ความรู้สึกตามนั้น


 


 


เจี่ยไทเฮาแม้เป็นไทเฮาผู้สูงศักดิ์ แต่ก็เป็นเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะไม่ชมชอบความสวยความงาม จึงดึงอวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาใกล้ๆ ดูซ้ายดูขวาอีกรอบ ยิ้มชื่นชมสักพัก พอเห็นว่าได้เวลาพอสมควร ค่อยบอกให้จูซุ่นนำของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถกกระโปรง คุกเข่า ก่อนสั่นศีรษะ”เมื่อวานในงานเลี้ยง หม่อมฉันได้รับปิ่นปักผมจากไทเฮามาอันหนึ่งแล้ว จะรับของขวัญจากพระองค์อีกได้อย่างไรกัน”


 


 


จูซุ่นยิ้มพลางว่า “ไม่เป็นไรหรอก ของขวัญชิ้นนี้ราคาไม่สูงนัก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรับมาดู เป็นกล่องไม้ท้อสีแดงสามชั้น พอดึงลิ้นชักออก แต่ละชั้นล้วนมีผลไม้วางเอาไว้


 


 


“นี่คือกล่องผลไม้เก้าเก้า เป็นกล่องผลไม้แบบชาววัง” จูซุ่นชี้ไปที่กล่องพลางว่า “เลขเก้าเป็นเลขมงคล ในกล่องจึงมีผลไม้เก้าชนิด ทุกชนิดล้วนหมายถึงความเป็นสิริมงคล มีลำไย เกาลัด เม็ดบัว ลูกเกด ลิ้นจี่ แปะก๊วย พุทราเขียว ถั่วเม็ดสน ถั่วลิสง ทุกชนิดมีเก้าเม็ด ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป จึงเรียกว่ากล่องผลไม้เก้าเก้า”


 


 


พอได้ยิน อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกขึ้นได้ ไม่เพียงนึกขึ้นได้ เมื่อชาติที่แล้ว นางยังเคยมีโอกาสได้สัมผัสกับกล่องผลไม้เก้าเก้าด้วย ของขวัญชิ้นนี้ แม้ราคาไม่สูง…แต่มีคุณค่าทางใจยิ่ง นี่เป็นอาหารที่ผู้สูงศักดิ์ในวังมอบให้กับขุนนางผู้ประกอบคุณงามความดี โดยเฉพาะขุนนางผู้ปกปักษ์รักษาแผ่นดินที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวัง ซึ่งจะได้รับคนละกล่องตอนออกจากวัง


 


 


เมื่อชาติที่แล้ว ท่านโหวอาวุโสมู่หรงเป็นนักรบผู้เกรียงไกร เข้าวังทีไรก็มักได้รับกล่องผลไม้แบบนี้แทบทุกครั้งไป และพอกลับถึงบ้านก็จะนำมาแบ่งให้หลานๆ บางครั้งก็เหลือผลไม้ที่เก็บได้นานๆ ไว้กับตัวเอง รอให้มีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน ค่อยนำออกมาอวด


 


 


เหล่าขุนนางล้วนอยากได้กล่องผลไม้เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลทั้งสิ้น


 


 


เพียงนึกไม่ถึงว่า ไทเฮาจะให้คนที่ห้องเครื่องทำกล่องผลไม้เก้าเก้ามอบให้ตนเอง


 


 


กระทั่งบิดาทำอย่างไรก็ยังไม่ได้รับเกียรตินี้ แต่ตนกลับได้รับก่อน! ถ้ายกเข้าบ้าน เกรงว่าลูกกะตาของบิดาอาจถลนออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ยังคงต้องพูดอย่างเกรงใจออกมาสักสองสามคำ ขณะพยายามเก็บอาการหน้าแดง


 


 


“หม่อมฉันมิได้ทำคุณงามความดีอะไรให้ราชสำนัก! มิเท่ากับไทเฮาประหารหม่อมฉันหรือเพคะ เพราะถ้าหม่อมฉันกลับถึงบ้าน บิดาอาจดุด่าหม่อมฉันอย่างหยาบคายว่า อะไรๆ ก็กล้ารับเอาไว้!”


 


 


จูซุ่นชำเลืองมองเจี่ยไทเฮา ดูออกว่าทรงชอบคุณหนูอวิ๋นเข้าแล้วจริงๆ จึงดำเนินการตามพระประสงค์ ของผู้อาวุโส ยิ้มตาหยี แล้วว่า


 


 


“ใครว่าไม่มีคุณงามความดีเล่า เจ้าอยู่คุยสรรพเพเหระเป็นเพื่อนไทเฮามาคืนหนึ่ง ซึ่งทรงมิได้เบิกบาน


 


 


พระทัยเช่นนี้มานานแล้ว ถ้าไทเฮาทรงสุขใจ ฝ่าบาทก็ย่อมสุขใจไปด้วย นี่ก็คือคุณงามความดีที่เจ้ามีต่อราชสำนัก!”


 


 


“ถ้ารองเจ้ากรมอวิ๋นกล้าดุด่าเจ้า บอกให้เขามาหาข้า ข้าจะค่อยๆ คุยกับเขาเอง!” เจี่ยไทเฮาเลิกคิ้วขึ้น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยแย้มยิ้มพลางรับกล่องผลไม้เก้าเก้าไว้ เพิ่งขอบพระทัยไทเฮาได้ไม่ทันไร ด้านนอกก็มีคนในวังมาขอเข้าเฝ้า และพอเข้ามา ก็มารายงานที่ข้างหูไทเฮา


 


 


แม้มีชื่อของ พระมาตุลา ลอยเข้าหูอวิ่นหว่านชิ่นรางๆ แต่ว่าด้วยเรื่องอะไรนั้น กลับไม่ค่อยได้ยิน


 


 


แต่การนี้ ได้สะกิดเรื่องที่อยู่ในใจอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมาอีก พอเห็นผู้รายงานจากไป จึงคิดพิจารณาสักพัก ค่อยพูดเสียงเบา


 


 


“เมื่อวานหม่อมฉันยังนึกไม่ถึงอยู่เลยว่า การลาออกจากราชการของพระมาตุลาจะมีสาเหตุเช่นนั้น แม้พระมาตุลาจะทรงรู้สึกว่าได้ตัดสินโทษทหารที่ถังโจวรุนแรงจนเกินเหตุ แต่หม่อมฉันมาคิดดูอีกที ใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่เกิดความรู้สึกละอายต่อความผิดเช่นนี้ แต่พระมาตุลากลับละทิ้งลาภยศสรรเสริญ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เพื่อชดใช้ความผิดเป็นเวลาสามปี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”


 


 


คำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่น สะกิดความเศร้าเสียใจของเจี่ยไทเฮาอยู่บ้าง ไม่ต้องถามก็สามารถทำให้ทรงพูดสิ่งที่คนในวังรายงานให้ฟังเมื่อครู่ออกมา


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานพอพระมาตุลาสารภาพเรื่องนี้ที่ริมทะเลสาบเฉิงเทียน ก็ยังอุตส่าห์บึ่งไปยังพระที่นั่งอี้เจิ้งอธิบายให้ฝ่าบาทฟังอีก พอกลับถึงเรือนเหยาหวา อาจเพราะสะเทือนใจมาก บวกกับร่างกายถูกทรมานอยู่หลายปีจนทรุดโทรมลง จึงจับไข้นอนซมอยู่เงียบๆ เมื่อครู่คนในวังมารายงานว่า รัชทายาทเพิ่งบอกให้หมอหลวงไปตรวจดูน่ะ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุก สีหน้าเผยความกังวลใจให้เห็น “พระมาตุลาไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ”


 


 


คำพูดนี้มิได้เสแสร้ง กลับเป็นการถามจากใจจริง ตอนนี้ขออย่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ตนยังไม่มีโอกาสได้ถามเจี่ยงยิ่นให้กระจ่างนา!


 


 


เจี่ยไทเฮาสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรแล้ว เพียงกังวลใจมากจนเกินไป เลือดลมจึงไม่หมุนเวียน แต่โรคชนิดนี้ เกรงว่าคงยากที่จะลุกจากเตียงได้ในสองสามวัน และกลับที่พักโกโรโกโสในป่าเขาไม่ได้ชั่วคราว ตามความเห็นของข้านะ เป็นความโชคดี มิใช่โชคร้าย! บวกกับฝ่าบาทได้สั่งให้ศาลสูงและกรมอาญา รื้อฟื้นคดีถังโจวขึ้นมาสอบสวนใหม่ พระมาตุลาเป็นพยานคนสำคัญ ต้องอยู่ช่วยเหลือ หมู่นี้คงไปไหนไม่ได้หรอก”


 


 


ดีจริง! อวิ๋นหว่านชิ่นดีใจ แต่ก็รีบกดความรู้สึกลง โชคดีที่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แม้บอกว่าเจี่ยงยิ่นพักอยู่ในวัง ตนคงยากที่จะพานพบ แต่ขอเพียงเขายังอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังพอมีหวัง


 


 


พุดคุยอีกสองสามประโยค พอเห็นว่าถึงแก่เวลาอันควร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงถวายพระพรลา แล้วเดินตามมอมอคนหนึ่ง ออกจากตำหนักฉือหนิงไป


 


 


และหลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นจากไปได้ไม่นาน คนในตำหนักฉือหนิงก็เปล่งเสียงยาวแจ้งว่า


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ…”


 


 


เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว “เชิญ รีบเชิญ”


 


 


แปลก ตอนนี้เป็นเวลาประชุมท้องพระโรง ฝ่าบาททำไมถึงมีเวลามาที่นี่ได้


 


 


ยังไม่ทันไร บุรุษผู้สวมมงกุฎและชุดออกว่าราชการสีเหลืองทองก็เดินผ่านคนในวังมากมาย เข้ามาทำความเคารพพระมารดา


 


 


พอเจี่ยไทเฮาได้ยินเหยาฝูโซ่วว่าฮ่องเต้มาถวายพระพรตนในช่วงเช้า ก็ไม่คิดอะไรมาก บอกให้คนชงชาต้งติ่งอู่หลงมากาหนึ่ง


 


 


หนิงซีฮ่องเต้จิบชา พลางพูดโน่นนิดนี่หน่อย พยายามหาเรื่องคุยกับไทเฮา และทำทีเป็นกวาดตามองซ้ายมองขวาไปเรื่อย


 


 


เหยาฝูโซ่วย่อมรู้ว่านายกำลังมองหาอะไร จึงเดินออกไปดึงตัวขันทีของตำหนักฉือหนิงคนหนึ่งมาถาม ถึงได้รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นเพิ่งออกจากตำหนักไปได้ไม่นาน จึงรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูนาย


 


 


เดิมทีเจี่ยไทเฮาก็รู้สึกอยู่ว่าฝ่าบาทใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งเห็นว่า ขณะเหยาฝูโซ่วกระซิบ สีหน้าฮ่องเต้ก็ปรากฎความเสียดายให้เห็นอยู่บ้าง จึงเข้าใจในทันทีว่า ที่ฮ่องเต้มาที่นี่ เพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น


 


 


นั่งอยู่สักพัก หนิงซีฮ่องเต้ก็วางถ้วยชาลง แล้วขอลาไปท้องพระโรง


 


 


เจี่ยไทเฮาน้อมส่งฮ่องเต้ด้วยสายตา จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ บอกให้จูซุ่นไปเรียกเหยาฝูโซ่วมาพบโดยลำพัง


 


 


พอเหยาฝู่โซ่วมาถึง ไทเฮาก็ทรงเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น พลางถามอย่างจริงจัง


 


 


“เมื่อครู่ฝ่าบาทมาตำหนักฉือหนิงทำไม”


 


 


เหยาฝูโซ่วอึ้ง เกาศีรษะพลางทำหน้ายิ้มๆ ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน “แหม ทูลกระหม่อมของบ่าว ฝ่าบาทจะเสด็จมาเพื่ออะไรไปได้ นอกจากถวายพระพรพระองค์”


 


 


“กระต่ายน้อยริอาจเล่นลิ้นต่อหน้าข้ารึ!” เจี่ยไทเฮาไหนเลยจะเชื่อลมปากของเหยาฝูโซ่ว


 


 


เหยาฝูโซ่วยิ้มเจื่อนๆ แต่ยังคงพยายามปกปิด “ก็ ก็ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


เจี่ยไทเฮาจึงพูดอย่างเย็นชา “ทำไมล่ะ หรือต้องให้ข้านำตัวเจ้าไปสอบสวนที่สำนักพระราชวัง”


 


 


จูซุ่นยืนขำจนหน้าแดงอยู่ด้านข้าง “เหยากงกง ท่านก็พูดไปเถอะ ฝ่าบาทของเราสนิทกับไทเฮาอยู่แล้ว หรือท่านคิดว่า ดวงตาอันชาญฉลาดของผู้อาวุโสอย่างไทเฮา จะมองเงื่อนงำไม่ออก” 

 

 


ตอนที่ 86-4 เข้าใจผิด

 

เหยาฝูโซ่วรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ยอมสารภาพความจริงในที่สุด


 


 


“ฝ่าบาทมาดูคุณหนูอวิ๋นบ้านรองเจ้ากรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อสุนีบาตฟาดพสุธา! มาดูนังหนูอวิ๋น? เจี่ยไทเฮากำผ้าเช็ดหน้าขณะจ้องมองเหยาฝูโซ่ว


 


 


จูซุ่นก็ตื่นตระหนก ฝ่าบาทยังไม่เคยพบหน้าคุณหนูอวิ๋นแท้ๆ แต่กลับลดตัว เสด็จมายังตำหนักฉือหนิงเพื่อมาดูคุณหนูอวิ๋น ขณะจะพูดอะไร เจี่ยไทเฮาก็ยกมือขึ้นปราม “เจ้ากลับไปเถิด”


 


 


เหยาฝูโซ่วขานรับ แล้วรีบถอยออก


 


 


จูซุ่นกลับสูดอากาศเย็นเข้าปอด จ้องมองไทเฮา “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ นี่ฝ่าบาททรง…”


 


 


เขาพูดไม่ออก ด้วยไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ


 


 


เจี่ยไทเฮาย่อมคิดแบบเดียวกันกับขันทีคนสนิท ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินข่าวความโดดเด่นของอวิ๋นหว่านชิ่นในงานเลี้ยงสังสรรค์ ฝ่าบาทจะสนพระทัยหรือ


 


 


หนิงซีฮ่องเต้เป็นโอรสแท้ๆ ของเจี่ยไทเฮา แล้วนางใยไม่แจ่มแจ้งในอุปนิสัยของโอรสเล่า โอรสเป็นคนเจ้าชู้ประตูดินมาแต่วัยหนุ่ม ตอนนี้แม้อายุสี่สิบกว่า เขี้ยวเล็บก็ยังมิได้ลดน้อยถอยลง มีสาวงามในวังหลังมากมายก่ายกอง ซึ่งนอกจาก มาจากการคัดเลือกสนมนางในเข้าวังของทุกๆ ปีแล้ว หลายปีก่อน ตอนฮ่องเต้แต่งเป็นสามัญชนออกประพาสต้น ก็ยังพาคุณหนูจากทางใต้กลับมาคนหนึ่ง ปีก่อน ถูกใจนางในคนหนึ่งของที่นี่ ก็ยังจะขอไปอีกเหมือนกัน


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ เจี่ยไทเฮาก็มั่นใจในความคิดเบื้องต้นของตน จึงรู้สึกดีใจอยู่บ้าง ถ้าฮ่องเต้ถูกใจนังหนูอวิ๋นจริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ตนถูกชะตากับนาง ถ้านางได้เข้าวังจริงๆ ก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนตนได้ทุกเมื่อ


 


 


เพียงไทเฮากระพริบตา จูซุ่นก็สามารถเดาออกทันทีว่าทรงคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขารู้ใจไทเฮา รู้ว่าไทเฮาต้องการอะไร จึงยิ้มพลางพูดเสียงต่ำ


 


 


“เสียดาย ที่คลาดกันเพียงนิดเดียว คุณหนูอวิ๋นเพิ่งก้าวออกไป ฝ่าบาทก็ก้าวเข้ามา จึงไม่ได้พบหน้ากัน! อีกทั้งการคัดเลือกสนมนางในของปีนี้ก็เพิ่งเสร็จสิ้นลง ไม่ทันการ ถ้าจะรอการคัดเลือกในปีหน้า ก็ต้องนับไปอีกสามเดือนหลังตรุษจีน ไปๆ มาๆ อย่างต่ำก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งปีเห็นจะได้ ยืดเวลาออก…”


 


 


เสียงจิ๊จ๊ะ เจี่ยไทเฮาใช้นิ้วชี้ที่เรียวยาวจิ้มไปที่ศีรษะของจูซุ่น


 


 


“เจ้านี่โง่จริงๆ ใครบอกว่าต้องผ่านการคัดเลือกสนมนางในถึงจะเข้าวังปรนนิบัติฮ่องเต้ได้ หาสักโอกาส ไม่ง่ายกว่ารึ! อย่างทำให้เป็นเรื่องบังเอิญ หรือพระราชทานอะไรสักอย่าง เยอะแยะไปหมด กลัวก็แต่เจ้าจะคิดไม่ออกนี่ล่ะ!


 


 


จูซุ่นยิ้มยิงฟันพลางจับศีรษะตนเอง ยังคงเป็นไทเฮาที่ทรงพระปรีชา ขณะเดียวกันก็พลันคิดอะไรออก


 


 


“อ้อจริงสิพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังจะไปป่าฮู้หลงล้อมรั้วล่าสัตว์อยู่พอดี…”


 


 


การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ นอกจากเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว ยังมีเหล่าขุนนางและลูกๆ ของ


 


 


พวกเขาไปด้วย ลูกชายมักขี่ม้าเป็นเพื่อนองค์ชาย ส่วนลูกสาวก็มักอยู่เป็นเพื่อนชายากับผู้ติดตาม เมื่อเวลานั้นมาถึง จะกลุ้มใจไปใยอีกว่าไม่มีโอกาส


 


 


ไทเฮายิ้มออกแล้ว ก่อนใช้ดวงตาอันลึกล้ำจ้องมองขันทีคนสนิท โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก


 


 


 


 


ด้านอวิ๋นหว่านชิ่น พอเดินออกจากตำหนังฉือหนิง ก็นั่งเกี้ยวของวังหลวง มุ่งหน้าสู่ประตูเจิ้งหยาง


 


 


วันนี้อากาศไม่เลว เย็นสบาย แดดไม่แรง ลมไม่หนาว อีกสักประเดี๋ยวพอออกจากประตูเจิ้งหยาง ข้ามคลองคูวัง ก็จะถึงถนนย่านพระราชฐาน ที่กลับบ้านได้


 


 


พออวิ๋นหว่านชิ่นลงจากเกี้ยวหน้าประตูเจิ้งหยาง ก็เห็นรถม้าหลังคาเขียวเข้มที่คุ้นเคยของบ้าน จอดรออยู่อีกฝั่งของคลองคูวัง และเมี่ยวเอ๋อร์กำลังโบกมือไหวๆ อยู่ข้างรถ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันมาบอกคนในวัง


 


 


“คนที่บ้านข้ามารับน่ะ ไม่รบกวนรถม้าของวังไปส่งแล้ว”


 


 


มอมอจากตำหนักฉือหนิงซึ่งเจี่ยไทเฮามอบหมายให้มาส่งอวิ๋นหว่านชิ่นหันมองตาม ก่อนลังเลเล็กน้อย


 


 


“คุณหนูอวิ๋น รถม้าจวนรองเจ้ากรมที่มารับท่าน คันไหนกันแน่”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ จึงหันมองไปยังอีกฝั่งของคลองคูวังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกต แต่พอมองดูดีๆ ด้านหลังรถม้าบ้านตน มีรถม้าจอดอยู่หลายคันจริงๆ คร่าวๆ ก็ราวสี่ถึงห้าคัน แต่ยังไม่ทันตอบ เด็กชายที่ท่าทางคล้ายบ่าวคนหนึ่ง ก็กระโดดลงจากรถม้าคันหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ด้วยการวิ่งมาที่ป้อมหน้าคลองคูวัง แล้วโบกมืออย่างสุดแรงเกิด พลางตะโกน


 


 


“คุณหนูอวิ๋น คุณชายของบ่าวคือพระราชปนัดดาหยิ่นซื่อจื่อ เมื่อวานที่ตึกไจซิง บ่าวยังเคยคุยกับสาวใช้ของคุณหนูด้วย จำบ่าวได้ไหม ซื่อจื่อรู้ว่าเช้าวันนี้ คุณหนูอวิ๋นจะออกจากวัง จึงให้บ่าวขับรถม้ามาหน้าวัง รอส่งคุณหนูกลับจวนรองเจ้ากรม!”


 


 


บ่าวของรถม้าอีกคันก็ไม่น้อยหน้า วิ่งมายืนข้างบ่าวของพระราชปนัดดา แค่นเสียงเฮอะ ใส่ ก่อนตะโกน


 


 


“คุณหนูอวิ๋น บ่าวมาจากบ้านราชครูหยาง เมื่อวานคุณชายหยางของบ่าวก็เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ด้วย นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามท่านเยื้องไปทางซ้ายลำดับที่สาม คนที่หล่อสุดน่ะ! วันนี้คุณชายให้บ่าวมารับท่านกลับบ้าน!”


 


 


“เอ๊ะ ข้าว่าเจ้านี่…รู้หรือเปล่าว่าใครมาก่อนมาหลังน่ะ!” บ่าวคนแรกพับแขนเสื้อ


 


 


“ใครมาก่อนมาหลังอะไร? ข้ารู้แต่ว่าใครมาถึงที่นี่ก่อน ก็ควรได้ก่อน!” บ่าวคนที่สองโต้กลับเสียงกร่าง


 


 


ขณะโต้ตอบกันไปมา บ่าวคนอื่นๆ ซึ่งปฏิกิริยาช้ากว่า ก็วิ่งมาถึงกันหมด แล้วเริ่มตะโกนข้ามคลองคูวัง ประกาศศักดาบ้านนายของตนจนโกลาหลไปหมด


 


 


พอมอมอเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หัวร่องอหาย “ที่แท้ก็เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในงานเลี้ยงสังสรรค์เมื่อวานนี้นี่เอง ตอนนี้กลับมาหมอบราบคาบแก้วอยู่ใต้กระโปรงสีทับทิมของคุณหนูอวิ๋น เช่นนั้น คุณหนูอวิ๋นก็ต้องเลือกรถม้าเอาเองสักคันแล้วล่ะ”


 


 


กระโปรงสีทับทิมอะไรกัน อวิ๋นหว่านชิ่นอยากจะโยนกระโปรงสีทับทิมหลายๆ ตัวไป แล้วจับพวกเขามัด


 


 


ไว้ด้วยกัน โทษฐานที่ทำให้คลองคูวังอีกฝั่งวุ่นวาย กีดขวางทางของตน


 


 


ก่อนหน้านี้ เมี่ยวเอ๋อร์ไม่รู้ว่ารถม้าที่วิ่งตามมาด้านหลัง จะมารับคุณหนู ตอนนี้พอมองดู และกำลังจะก้าวเข้าไปขับไล่พวกเขา กลับมีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินอ้อมพวกเขาไป ก่อนเดินตรงไปข้างหน้า


 


 


ชายหนุ่มแสดงป้ายคำสั่ง พอยามประจำป้อมเห็นป้าย ก็ประสานมือคารวะ ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปที่หน้าประตูเจิ้งหยาง พูดกับอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“คุณหนูอวิ๋น นายท่านเตรียมรถม้าไว้แล้ว ให้บ่าวมาส่งท่านกลับจวน”


 


 


เป็นซือเหยาอัน ฉินอ๋องก็มาร่วมป่วนกับเขาด้วยหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นทำปากยื่น


 


 


“ขอบคุณใต้เท้าซือมาก แต่บ้านข้าส่งคนมารับแล้ว”


 


 


ซือเหยาอันชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยน เพียงก้าวเข้าใกล้ “ที่ไหนมี ไม่เห็นนี่ ทำไมคุณหนูอวิ๋นถึงไม่นั่งรถม้าของจวนฉินอ๋องล่ะ หรืออยากจะนั่งรถม้าของผู้ที่ไม่รู้จัก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นมอมอที่อยู่ด้านข้าง มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น จึงไม่ยากเวิ่นเว้ออีก เอาล่ะ ก็แค่นั่งรถม้าของจวนเขา ต้องให้เกียรติเขาหน่อย จึงเดินตามซือเหยาอัน ข้ามคลองคูวัง ออกจากวังหลวง


 


 


บ่าวของคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายรู้จักซือเหยาอันดี และรู้ว่านายของเขาคือใคร หรือต่อให้ไม่รู้จัก พอเห็นป้ายคำสั่งเข้าออกวังหลวงในมือเขาเมื่อครู่ ก็รู้แล้วว่าภูมิหลังนายของเขาต้องไม่ธรรมดา ไหนเลยจะยังทะเลาะกันต่อ ต่างคนต่างยืนอึ้งอยู่กับที่


 


 


“คุณหนูใหญ่…” พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเดินไปขึ้นรถม้าของจวนฉินอ๋อง ก็รีบก้าวเข้าหา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ไม่เป็นไร เจ้ากับคนขับรถม้า ตามอยู่ด้านหลังของข้าก็พอ อย่างไรใต้เท้าซือก็ต้องส่งข้ากลับจวนอยู่ เราก็แค่กลับจวนก่อนหลังตามกันเท่านั้น”


 


 


แล้วเมี่ยวเอ๋อร์ก็เดินกลับไปขึ้นรถม้าของบ้านสกุลอวิ๋น


 


 


ซือเหยาอันเลิกผ้าม่านขึ้น วางบันไดลง อวิ๋นหว่านชิ่นจับคานรถ แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป


 


 


เพิ่งมุดศีรษะเข้าไป ก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง ในตัวรถม้ามีคน พอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องเผชิญกับลูกตาที่ดำขลับและลึกล้ำคู่หนึ่ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม