วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 8.5-9.7

ตอนที่ 8-5

 

เสียงควบเท้าม้าและผู้คนหายไปในชั่วพริบตา ฮอนและรยูฮาที่เฝ้าดูเบื้องหลังของพวกเขาอย่างนิ่งเฉยจึงเริ่มควบม้าไปบ้าง มินอาที่อยู่ด้านข้างและเหล่าทหารรักษาความปลอดภัยจึงตามทั้งคู่ไป  


 


 


“เห็นคนที่จับได้สีขาวใช่หรือไม่ หน้าตาดูไม่ได้เลย” 


 


 


พอฮอนพูดขึ้นอย่างร่าเริง รยูฮาก็ยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้  


 


 


“คอยดูเถอะเพคะ พวกนั้นได้อ้าปากค้างแน่ ลูกธนูเตรียมมาเพียงพอใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


“แน่นอน มินอาคงเหนื่อยมากทีเดียว” 


 


 


คยอกรังที่ถูกส่งขึ้นไปบินวนเป็นวงกลมบนท้องฟ้าแจ่มใส แล้วโฉบลงบนพื้นดินเหมือนฟ้าผ่า ในขณะเดียวกันเสียงร้องคร่ำครวญของเหล่าสัตว์ป่าก็ดังขึ้นในป่า  


 


 


“ตามไป!” 


 


 


เหล่าทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตีฆ้องเล็กขึ้นพร้อมกัน หมูป่าที่ถูกจะงอยปากแหลมคมจิกลงกรีดร้องอย่างไร้สติ และพอได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งตรงข้ามก็วิ่งไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ แต่ว่าลูกธนูเล็กก็ปักลงตรงขาหน้าอย่างแม่นยำ จากนั้นลูกธนูขนาดใหญ่ก็เจาะทะลุตรงต้นคอหนา ทำให้มันล้มลงบนพื้น 


 


 


“ว้าว!” 


 


 


“จับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ทหารสองนายวิ่งไปพร้อมเสียงโห่ร้องยินดี ส่วนลมหายใจของเจ้าหมูที่หอบฮักๆ ก็สิ้นลง มันคือหมูป่าที่ดูแล้วขนาดตัวของมันประมาณหนึ่งคนโอบ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวสำหรับสัตว์ตัวแรกที่ล่าได้ 


 


 


“เวลาสั้นๆ เช่นนี้ถือว่าไม่เลวเลยเพคะ” 


 


 


ถึงจะเป็นน้ำเสียงแหบแห้งไร้รอยยิ้มแต่ก็คือคำชม ฮอนยักไหล่พลางยกแขนเข้าโอบไหล่ของรยูฮาและพยายามจะจุมพิตลงบนหน้าผากของนาง แต่ว่ารยูฮาหลบไปทางด้านหลัง ริมฝีปากนั้นจึงค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าสงสาร  


 


 


“คนมองเยอะเพคะ รักษาหน้าตาด้วย” 


 


 


“เย็นชาเหลือเกิน” 


 


 


แทนที่จะตอบ รยูฮากลับหยิบอาหารที่อยู่ในกระเป๋าห้อยข้างอานม้าออกมาแล้วโยนขึ้นสูง ท่าทางของคยอกรังที่บินโฉบเข้ามารับแล้วนั่งลงทำให้เหล่าทหารพากันอุทานออกมา 


 


 


“เจ้าตัวเล็กพลังเหลือล้นมากพ่ะย่ะค่ะ พระชายา” 


 


 


“เหยี่ยวจับหมูป่าได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนเองก็ยื่นแขนไปทางคยอกรังด้วยใจที่นึกอิจฉา เหยี่ยวตัวเล็กหลบเขาเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของรยูฮา แล้วหันไปมองทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ 


 


 


“เย็นชาเหมือนเจ้าของไม่มีผิด” 


 


 


กลับพระราชวังไปต้องหาซื้อเหยี่ยวล่าสัตว์ฉลาดๆ สักตัวแล้วสิ ฮอนตั้งใจเช่นนั้นแล้วเอ่ยปากกับรยูฮา 


 


 


“พระชายา มาพนันกันดีหรือไม่ ตั้งแต่นี้ไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน ใครจับได้สัตว์ตัวใหญ่และมากกว่าเป็นผู้ชนะ” 


 


 


“พนันด้วยอะไรเพคะ” 


 


 


“คนแพ้ต้องรับคำขอของคนชนะไง” 


 


 


สายตาของรยูฮาเฉียบแหลมขึ้นก่อนคำพูดจะจบลงเสียอีก และตอนนั้นเองนางก็ยกธนูขึ้นเล็งไปทางพงหญ้า สายธนูที่ถูกดึงจนตึงทำให้เกิดเสียงที่ฟังแล้วกระปรี้กระเปร่า จากนั้นฝั่งตรงข้ามมีบางอย่างบินสูงขึ้นแล้วร่วงลงมา มินอามุ่งหน้าเข้าไปในดงหญ้าแล้วกลับมาพร้อมไก่ฟ้าตัวใหญ่ รยูฮาหันไปทางฮอนที่กำลังขมวดคิ้วแล้วยิ้มอย่างร่าเริง 


 


 


“ไก่ฟ้าหนึ่งตัว ตอนนี้หม่อมฉันกำลังชนะอยู่สินะเพคะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ช่วงเวลากลางวันในป่าช่างสั้นนัก เวลาในการล่าสัตว์จึงไม่ยาวนัก ผู้คนที่กระจัดกระจายกันออกไปล่าสัตว์ก็เข้ามารวมตัวกันเป็นวงกลมตรงเพิงที่พักชั่วคราว ขันทีคลี่กระดาษม้วนที่บันทึกรายการสัตว์ป่าที่ล่ามาได้วันนี้ออกแล้วค่อยๆ อ่านทีละอย่าง 


 


 


“ต่อไปเป็นองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ หมูป่าสองตัว ไก่ฟ้าสี่ตัว กวางสามตัว กระต่ายห้าตัว…” 


 


 


เทียบกับเหล่าทหารที่มีความสามารถสูงก็ถือว่าเป็นตัวเลขจำนวนมากเกินความคาดหมาย ตอนที่เสียงแหลมของขันทีพูดว่าหมีหนึ่งตัว เสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความชื่นชม พระราชาเห็นเหล่าขุนนางที่เคยยิ้มเยาะเหยี่ยวตัวเล็กน่ารักของพระชายาถึงกับอ้าปากค้าง 


 


 


“หืม หากพรุ่งนี้ข้าไม่ออกแรงตั้งแต่เช้ามืดมีหวังโดนตราหน้าแน่ องค์รัชทายาทจับหมีนั้นมาได้อย่างไรกันแน่” 


 


 


“กระหม่อมโชคดีพ่ะย่ะค่ะ เจอมันหลับอยู่เลยได้มาเป็นหน้าเป็นตาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


รอยยิ้มเย็นชาถูกวาดลงบนในหน้าของชานผู้ซึ่งฟังที่ฮอนตอบอย่างถ่อมตัวอยู่เงียบๆ เขารู้ว่าลูกธนูที่ปักลงบนคอของหมีอย่างแม่นยำเป็นอันเดียวกันกับที่รยูฮาเอามา หญิงสาวยิงลูกธนูใส่หมีที่มีรูปร่างใหญ่กว่าตัวเองถึงสามเท่า 


 


 


ชานนึกถึงความรู้สึกตื่นเต้นตอนที่ปะทะดาบกับหญิงสาวขึ้นมา ทั้งเพลงดาบที่งดงามน่าหลงใหลและริมฝีปากแดงที่มองเห็นหลังคมดาบนั้น นึกถึงรอยยิ้มที่เผยออกมาเงียบๆ รับกับปรอยผมนั้น ความคิดของเขาที่เริ่มแปลกประหลาดหยุดลงแล้วกลับมาที่เดิมเพราะน้ำเสียงของพระราชา 


 


 


“ไม่ต้องดูก็รู้ว่าผู้ชนะวันนี้คือองค์รัชทายาท เหล่าขุนนางดูอย่างองค์รัชทายาทไว้แล้วพรุ่งนี้ก็พยายามให้มากขึ้น จุดไฟเสีย ส่วนสุราก็ดื่มแต่พอดี” 


 


 


ความสนุกของงานแข่งขันล่าสัตว์คืองานเลี้ยงที่นำบรรดาสัตว์ที่จับมาได้มาย่างตรงกองไฟ กลิ่นเนื้อที่กำลังจะสุกช่างน่าอร่อยและเสียงพูดคุยเสียงดังชวนให้อยากสุรา รยูฮาผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าไปแทรกตรงนั้นได้เอาไก่ฟ้าที่จับมาได้มาย่างทั้งตัว แล้วยกเหล้าตรงหน้าที่ขโมยมาเทอย่างเต็มที่ เรื่องเช่นนี้นางไม่มีทางทำได้ตอนอยู่ในพระราชวัง รยูฮายกตะเกียบขึ้นแล้ววางลงก่อนจะชี้นิ้วไปทางมินอาที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระแวดระวัง 


 


 


“มินอา ข้าขออีกขวดนึง…” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ” 


 


 


“ไม่ดื่มเยอะหรอก” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ” 


 


 


ถึงจะนึกขอบคุณที่มินอาเป็นห่วงกลัวว่าจะทำกริยาไม่เหมาะสมต่อหน้าพระราชา แต่นางก็ทำเกินไป โยนแก้วชาใส่หน้าผากนั้นดีไหมนะ รยูฮาครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะยกแก้วชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา นางดื่มสิ่งนั้นซึ่งไม่ชอบใจเข้าไปหนึ่งอึกแล้วขมวดคิ้ว ตอนวางลงใครบางคนก็หอบลมหนาวเข้ามาแล้วเข้ามายืนในเพิงที่พักชั่วคราว 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


รยูฮาคิดว่าเป็นฮอนจึงไม่ได้หันไปมอง แต่กลับลุกพรวดจากที่นั่งอย่างตกใจเพราะน้ำเสียงมินอา  


 


 


“ฝ่าบาท เสด็จมาได้อย่างไร…” 


 


 


“นั่งลงเถอะ” 


 


 


“ข้ามาดื่มเหล้ากับลูกสะใภ้เสียหน่อย อีกสักครู่องค์รัชทายาทก็จะตามมา” 


 


 


พระราชาผู้ซึ่งดื่มสุราอย่างหนักจนอารมณ์ดีมาแล้วระเบิดเสียงหัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นแล้วส่งสัญญาณมือออกไป แต่เสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจเมื่อมองเห็นชาและอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ พระราชานิ่วหน้าขึ้นมาทันที หัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบก้มหัวลงอย่างตกใจ  


 


 


“ฝ่าบาท หากมีสิ่งไม่พอพระทัย…” 


 


 


“นี่มันทุ่งหญ้าหรือ คงกินกระต่ายที่องค์รัชทายาทจับมาได้หมดแล้วสินะ เฮ้อ ไปเอากวางย่างกับเหล้ามา!” 


 


 


หัวหน้าองครักษ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วรีบวิ่งออกจากเพิงที่พักไป สีหน้าของรยูฮาที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะจู่ๆ ก็เสด็จมาเริ่มคลายออกอย่างสดใส เนื้อและเหล้าทยอยเข้ามาวางจนขาโต๊ะแทบหักพระราชาถึงพอใจ อีกทั้งยังยกขวดเหล้ารินใส่แก้วของรยูฮาจนเต็ม  


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ” 


 


 


“มหากรุณาธิคุณอะไรกัน วันนี้พระชายาเหนื่อยมามาก” 


 


 


ภาพของพระราชาที่พูดเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีซ้อนทับกับใบหน้าของฮอน ตอนแรกนางคิดว่าฮอนคล้ายกับพระสนมยอน แต่มาดูตอนนี้รอยยิ้มกลับคล้ายพระราชา สายเลือดไม่อาจปิดซ่อนได้จริงๆ  


 


 


“หม่อมฉันทำอะไรถึงได้เหนื่อยเพคะ ฝ่าบาทต่างหากที่ต้องทรงเหนื่อยเพราะพาหม่อมฉันติดตามมาด้วย” 


 


 


“เหนื่อยตรงไหนกันเล่า พระชายาจับหมีตัวเท่าบ้านมา เจ้าต่างหากที่เหนื่อย” 


 


 


ดวงตาของรยูฮาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหว แม้แต่สายตาที่มองผ่านไหล่ของพระราชาไปยังที่ไกลๆ ก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ 


 


 


“จับหมีมาอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท หมายความว่าอย่างไรเพคะที่ว่าหม่อมฉันจับหมีตัวใหญ่นั้นมา” 


 


 


“เจ้าคิดจะโกหกต่อหน้าข้างั้นหรือ” 


 


 


พระราชายิ้มแล้วถามขึ้นราวกับว่ารู้อยู่แล้ว รยูฮาตระหนักได้ว่าควรจะหยุดแล้วยกเหล้าที่รับมาขึ้นดื่ม  


 


 


“ขอประทานอภัยด้วยเพคะ แต่ทรงทราบได้อย่างไรว่าหม่อมฉันจับมาเพคะ” 


 


 


“เพราะพ่อแม่เจ้าเป็นข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ของข้า ทั้งเจ้ายังคล้ายฮูหยินท่านมหาเสนาบดีไม่มีผิด” 


 


 


“ทรงรู้จักพ่อแม่ของหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ” 


 


 


พระราชาขยับคิ้วเล็กน้อยแทนคำตอบแล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม ตอนนั้นเองที่ประตูที่พักชั่วคราวถูกเปิดออกแล้วฮอนกับชานก็เดินเรียงกันเข้ามา รยูฮาเม้มปากลงในสภาพที่เสียโอกาสที่จะได้ถามซ้ำอีกครั้ง 


 


 


“เสด็จมาก่อนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ฝ่าบาทอะไรกัน ในที่แบบนี้เรียกเสด็จพ่อ เฮ้อ ไปสั่งเหล้ามาอีกสักสองสามขวดแล้วเจ้าก็มานั่งนี่เสีย!”   

 

 


ตอนที่ 8-6

 

หัวหน้าองครักษ์ผู้เซ่อซ่าไม่มีวี่แววว่าจะตอบรับ เขาบอกว่าจะออกไปสั่งการด้านนอกแล้วหายตัวไปเลย แม้แต่มินอาเองก็เลี่ยงออกไปจากตรงนั้น ข้างในเพิงที่พักชั่วคราวอันกว้างใหญ่จึงเหลือแค่สี่คนที่นั่งล้อมเป็นวงกลม ไฟลุกโชนอย่างร้อนแรงทำให้ภายในเพิงที่พักอบอุ่นขึ้น 


 


 


“ปีที่แล้วองค์ชายสองจับสัตว์มาได้เยอะที่สุด คราวนี้เจ้าพลาดไปหน่อยนะ” 


 


 


พระราชามองไปทางชานพลางตรัสหยอกล้อ ชานยิ้มเล็กน้อยตอบกลับไป 


 


 


“เสด็จพ่อเองก็ดูหมือนต้องล้มเลิกความตั้งใจแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ หากอยากเอาชนะหมีน่าจะต้องล่าเสือภูเขามานะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่ากังวลไปเลย พรุ่งนี้ข้าจะแบกเสือภูเขาตัวใหญ่กว่าพระราชวังลงมาเอง” 


 


 


ทุกคนที่นั่งล้อมอยู่ตรงนั้นหัวเราะไปกับท่าทางของพระราชา ตอนนั้นเองมือข้างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้โต๊ะก็วางลงตรงต้นขาของรยูฮา พอกวาดสายตามองดูแล้วเห็นฮอนกำลังส่งสายตาหวานเชื่อมมาทางรยูฮาในสภาพที่กำลังเมาได้ที่ รยูฮาตอบกลับสายตานั้นไปด้วยรอยยิ้มที่เล็กมากๆ และพอจับตะเกียบอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าสายตาของฮอนเลิกจับจ้องมาที่นางแล้วหรือยัง 


 


 


“พระชายาคงสึกหรอไปเยอะทีเดียวสินะ” 


 


 


คำพูดล้อเล่นของพระราชาทำให้รยูฮาก้มหน้าลงด้วยความประหม่า แต่รู้สึกได้ถึงความสบายใจจากใบหน้าของฮอนที่กำลังยิ้มร่า 


 


 


“ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะนางรูปโฉมงดงามแต่ไหนแต่ไรมา” 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


“ข้าพูดผิดหรือ นางงามหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” 


 


 


คราวนี้เป็นลักษณะการพูดเหมือนเกลี้ยกล่อม จะมีใครในโลกนี้ไหมนะที่บอกว่านางไม่งดงาม แม้แต่พระราชาก็คงไม่เอ่ยคำนั้นออกมา 


 


 


“อืม อืม งาม” 


 


 


ฮอนยิ้มร่าเริงเพราะได้คำตอบที่ต้องการ ตอนนี้ชานยิ่งรู้สึกลำบากใจที่จะมองภาพพวกนี้ 


 


 


“กระหม่อมเมาแล้ว กลัวจะทำเรื่องเสียมารยาท ขอออกไปรับลมหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ตามใจเจ้าเลย” 


 


 


ชานลุกขึ้นโค้งตัวแล้วเปิดแผ่นหนังที่ติดอยู่ตรงปากทางเข้าเพิงที่พักขึ้น ขณะออกมาเขาแอบสังเกตเห็นมือที่อยู่ใต้โต๊ะ มือนั้นวางอยู่บนต้นขาของรยูฮาซึ่งชานไม่อาจสัมผัสได้ แต่มือนั้นกลับวางลงตรงนั้นราวกับเป็นขาของตัวเองอย่างเปิดเผย 


 


 


“ไม่ต้องตามมา” 


 


 


องครักษ์สองสามคนกำลังจะเดินตามหลังเขาไปแต่เขายกมือห้ามไว้ก่อน สถานที่ที่เขาถือขวดเหล้าเดินโซเซไปคนเดียวคือตรงก้อนหินขนาดใหญ่ในป่ามืด ชานนั่งลงบนนั้นยกขวดเหล้าเข้าปากแล้วดื่ม มีเงาขนาดเล็กปรากฏขึ้นด้านหลังเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา 


 


 


“อากาศเย็นนะเพคะ” 


 


 


“ทำไมถึงออกห่างจากข้างกายพระชายามาได้” 


 


 


ชานที่ฟังออกว่าเป็นเสียงใครหันกลับหลังไป สายตาของมินอามองผ่านป่าไปยังกองไฟไม่ใช่เขา 


 


 


“องครักษ์ของฝ่าบาทคุ้มครองอยู่สองสามชั้น เวลาเช่นนี้หม่อมฉันก็ต้องพักบ้างสิเพคะ” 


 


 


“นั้นสิ นั้นสินะ” 


 


 


หลังคำพูดร่ายยาวที่ไม่รู้เอ่ยกับใครผ่านไป ความเงียบอันหนักอึ้งก็ดำเนินต่อไป ชานผู้ซึ่งจ้องไปทางกองไฟที่มินอาเฝ้ามองอยู่รู้สึกได้ถึงสายตาที่สัมผัสลงมาข้างใบหน้าจึงหันไป สีหน้าของมินอายังคงไร้ความรู้สึกเหมือนทุกที แต่สายตานั้นแบกรับหลายสิ่งไว้และถูกวางลงมุมหนึ่งของหัวใจชานอย่างหนักหน่วง  


 


 


“ทำไมมองแบบนั้น” 


 


 


“ขออภัยด้วยเพคะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัว” 


 


 


มินอาไม่ได้ดูตกใจหรือดูรู้สึกผิดแต่อย่างใด ทันใดนั้นนางก็หายตัวไปในพริบตาเหลือแค่เสียงพึมพำเบาๆ ของชานภายใต้อากาศเย็น 


 


 


“อย่ามอง ข้าไม่มีอะไรจะให้นอกจากความรู้สึกผิด” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ลมมีความชื้นนะเพคะ พระชายา วันนี้อย่าเข้าไปลึกเลยเพคะ” 


 


 


ท้องฟ้าแจ่มใสแต่มินอาก็รู้สึกไว นางรู้สึกได้ถึงความชื้นที่แทรกเข้ามาในอากาศ ถึงฤดูกาลที่จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ระวังไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย 


 


 


“เตรียมพร้อม” 


 


 


ฮอนที่เตรียมตัวเสร็จแล้วควบม้าสีดำเข้ามาด้านข้างรยูฮาที่พยักหน้าตามแล้วขึ้นไปบนหลังม้า ใบหน้าของเขาเตรียมพร้อมที่จะล้างแค้นให้กับความพ่ายแพ้อย่างเต็มที่ 


 


 


“วันนี้ไม่พาคยอกรังไปหรือ” 


 


 


“เมื่อวานมันขยับตัวเยอะมากเพคะ วันนี้เลยคิดว่าจะให้พัก” 


 


 


“ถ้าไม่มีคยอกรังวันนี้ก็น่าจะเอาชนะข้าลำบากนะ” 


 


 


“คงไม่เพคะ ฝ่าบาทต้องทรงจับหมีให้ได้ถึงจะเสมอหม่อมฉัน ทำได้หรือไม่เล่าเพคะ” 


 


 


รยูฮายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยแล้วโต้ตอบอย่างอวดดี ฮอนเม้มปากแน่น ถึงจะเป็นเขาเองที่ชวนพนันอย่างชะล่าใจแต่จะมาเสียหน้าไม่ได้ ตอนที่จับกวางได้ก่อนนั้น ชัยชนะมาอยู่ตรงปลายจมูกแล้วแท้ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าหญิงสาวจะจับหมีมาได้ 


 


 


“พระชายาใช้ธนูที่แข็งแรงกว่า ข้าคิดว่านี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” 


 


 


“กลับกันหากจับไม่ได้ในคราวเดียวก็คือพลาดเลยนะเพคะ แต่ฝ่าบาทสามารถยิงได้หลายครั้งมิใช่หรือเพคะ” 


 


 


การที่ไหล่ของฮอนยังไม่หายดีแล้วออกมาล่าสัตว์ได้เป็นเพราะอาวุธที่มีแค่ในตระกูลของรยู ลูกธนูดอกเล็กที่สามารถเก็บไว้ในแขนเสื้อแล้วนำออกมายิงได้ด้วยมือเดียวนั้นดูเหมือนเป็นของเล่น แต่ว่ามันทั้งเร็วและเผลอๆ อานุภาพของมันอาจจะทำลายกระดูกได้เลย ถึงเป็นอาวุธของตระกูลแต่ก็ไม่รู้ตระกูลจองคิดอะไรอยู่ถึงได้สอนสิ่งนั้นให้กับมินอาไม่ใช่รยูฮา แล้วมินอาก็สอนให้กับฮอนอีกที 


 


 


“เรื่องคำพูดนี่เอาชนะไม่ได้เลย” 


 


 


“เรื่องล่าสัตว์ก็เอาชนะไม่ได้เพคะ” 


 


 


รยูฮาสะกิดความมั่นใจในตัวเองของฮอนจนถึงท้ายที่สุดแล้วควบม้านำหน้าออกไป เขายิ้มแห้งอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วเตะสีข้างม้าเบาๆ ควบตามออกไป เข้ามาในป่าลึกขนาดไหนแล้วนะ เสียงของมินอาหยุดรยูฮาที่อยู่หน้าสุด 


 


 


“เข้ามาถึงในนี้แล้วยังไม่เห็นพวกสัตว์เลยเพคะ หันม้ามุ่งหน้าไปทางอื่นน่าจะดีกว่าเพคะ” 


 


 


พวกสัตว์ตัวน้อยที่มักจะหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตก็คงมีความรู้สึกไวเช่นกัน การที่บรรดาสัตว์เลี่ยงหนีไปจากที่ตรงนี้หมายความว่ามีตัวที่จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหารอยู่ 


 


 


“คงต้องเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทเพคะ จะไปทางตะวันตกไหมเพคะ” 


 


 


รยูฮาพยักหน้าแล้วหันหน้าไปมองฮอน ตอนนั้นเอง 


 


 


ฮี้! 


 


 


“อ๊าก!” 


 


 


จู่ๆ ม้าก็พากันกระโดดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับตกใจอะไรบางอย่างแล้วความโกลาหลก็เริ่มต้นขึ้น ม้ามีสีดำของฮอนยังอยู่กับที่ แม้แต่ม้าพันธุ์ดีก็ยังพ่นลมหายใจแรงแล้วใช้ขาหลังเขี่ยดินอย่างน่าเป็นกังวล  


 


 


“โอ๊ะ โอ๊ะ!” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


ความพยายามที่จะทำให้ม้าสงบลงนั้นดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ม้าที่รยูฮาขี่มาวิ่งเตลิดเข้าไปในป่า ฮอนไม่ได้มองหน้ามองหลังเขาควบม้าตามไปราวกับสายลม มินอาทำให้ม้าสงบลงได้สำเร็จก่อนใครแต่ก็สายไปแล้ว มินอาหน้าซีด แทบจะไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อครู่ หางสีเหลืองที่ผ่านเข้าไปในป่า แน่นอนว่าทิศทางที่มันมุ่งหน้าไปก็คือ… 


 


 


“เสือ!” 


 


 


มินอาและองครักษ์สองคนหายเข้าไปในเส้นทางเดียวกัน แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์ ม้าของรยูฮาไม่ยอมหยุดวิ่งเลย และม้าสีดำที่วิ่งตามไปก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่นกัน 


 


 


เสียงครางต่ำของเสือกำลังไล่หลังฮอนมา 


 


 


“ให้ตายเถอะ” 


 


 


ฮอนกัดฟันเพื่อให้ใจเย็นลง ถ้ายิงม้าที่รยูฮานั่งอยู่ตอนนี้ก็จะหยุดมันได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะอันตรายยิ่งขึ้น ตัวเลือกของเขามีอย่างเดียวเท่านั้น ฮอนผละมือข้างหนึ่งออกจากบังเ**ยนม้าแล้วเอี้ยวตัวไปทางด้านหลัง ตอนนั้นเองเสือก็กระโจนเข้าหาเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


อึก! 


 


 


ลูกธนูดอกเล็กปักเข้าตรงสะบักของเสือที่กระโจนขึ้นมากลางอากาศอย่างโหดร้าย ลูกธนูอีกสองดอกปักเข้าตรงสองขาของเสือที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด และคราวนี้ตรงคออีกหนึ่ง 


 


 


เลือดสีแดงไหลออกจากตรงริมฝีปากล่างที่ถูกกัดอย่างแรงไปตามคาง ฮอนไม่รู้ถึงความเจ็บปวดแล้วปล่อยธนูดอกสุดท้ายลอยออกไป ไม่ได้ตรวจดูเลยว่าลูกธนูนั้นปักลงตรงที่ที่เขาเล็งไว้หรือไม่ เสียงที่ทำให้ขนลุกมากกว่าเสียงร้องของสัตว์ป่าที่กำลังเจ็บปวดลอยเข้ามาตรงหน้า 


 


 


ตูม! 


 


 


“รยูฮา!” 


 


 


เกิดระลอกคลื่นพร้อมกับเสียงดังตูมขึ้นอีกครั้งเหนือแม่น้ำ ฮอนควานหารยูฮาในน้ำเย็นยะเยือกอย่างเอาเป็นเอาตาย ชุดล่าสัตว์ที่หนาอุ้มน้ำและรั้งเขาลงไปใต้น้ำอยู่เรื่อยๆ 


 


 


เสื้อหนังที่ถูกถอดออกด้วยมือเดียวหลุดจากตัวไปอย่างรวดเร็ว ไปติดอยู่ตรงต้นไม้ที่ล้มลงมาเพราะพายุเมื่อคราวที่แล้ว รยูฮาอยู่ตรงนั้นนางหลับตาราวกับตายไปแล้ว และไม่เคลื่อนไหวใดๆ 


 


 


ในหัวว่างเปล่าและคิดอะไรไม่ออก ฮอนตะเกียกตะกายใช้แขนคว้ารยูฮาเข้ามากอดไว้แล้วจับรากของต้นไม้ไว้แน่น ตรงหัวไหล่ที่ยังไม่หายดีเริ่มฉีกแล้วความเจ็บปวดก็ตีตื้นขึ้นมา 


 


 


“อึก…” 


 


 


ลอยมาไกลแค่ไหนแล้วนะ โชคดีที่รยูฮาตกน้ำแล้วหมดสติไป ไม่งั้นก็คงหมดแรงในน้ำแล้วจมลง ฮอนดันรยูฮาขึ้นไปริมฝั่งแม่น้ำก่อนแล้วตัวเองถึงขึ้นมาจากแม่น้ำ 


 


 


“รยูฮา ซอรยูฮา” 

 

 

 


ตอนที่ 8-7

 

เขาวางรยูฮาลงบนพื้นหญ้าแล้วใช้มือแตะลงตรงใต้จมูกแต่ไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิใดๆ เลย ได้โปรด ได้โปรดเถิด ฮอนประกบปากลงไปแล้วเป่าลมเข้าไปอย่างจริงจังให้ไหลผ่านเข้าไปยังปอดของรยูฮา มือที่มีเลือดออกก็กดลงบนอกของรยูฮาอย่างแรง เป่าลมเข้าอีกครั้งแล้วก็ปั้มลงบนหน้าอกอีกครั้ง ฮอนทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยในเวลาน่าเป็นห่วงเช่นนี้ 


 


 


“แค่ก แค่ก!” 


 


 


น้ำที่ปิดกั้นลมหายใจอยู่ไหลออกมาในคราวเดียว แล้วรยูฮาก็ลืมตาขึ้น 


 


 


“รยูฮา!” 


 


 


ฮอนดึงรยูฮาเข้ามากอดอย่างไร้สติ ไม่มีอะไรจะนึกขอบคุณมากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาลูบลงบนหัวกลมเล็กที่เปียกน้ำนั้นด้วยมืออันสั่นเทา 


 


 


“ขอบคุณ ขอบคุณ” 


 


 


“ฝ่าบาท ทรง…” 


 


 


“แค่เจ้ารอดชีวิตมาได้ ร่างกายของข้าก็ช่างมัน” 


 


 


“ทำไมพูดห้วน…” 


 


 


“ขอโทษที” 


 


 


ฮอนประคองรยูฮาให้ลุกขึ้นนั่งแล้วลูบหลังให้สำลักน้ำที่เหลือออกมา ลมหายใจกลับมาอีกครั้งแล้วแต่จะปล่อยให้ร่างที่เปียกปอนปะทะเข้ากับลมหนาวไม่ได้ 


 


 


“ลุกขึ้นไหวหรือไม่” 


 


 


รยูฮาพยักหน้าแล้วพิงไปที่ฮอนก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น แต่แล้วนางก็ส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อยแล้วทรุดตัวลง เพราะความเจ็บปวดที่พุ่งเข้ามาตรงขาด้านซ้าย  


 


 


“…เหมือนว่าขาซ้ายจะบาดเจ็บเพคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร” 


 


 


ฮอนอุ้มรยูฮาขึ้นมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วย้ายไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่สุดตรงหน้า เหล่าใบไม้แห้งที่ร่วงแถวนั้นก็กองกันสูงน่าจะใช้พรางตัวตอนนอนได้ แต่ก็ไม่สามารถกั้นลมได้ทั้งหมด 


 


 


“รออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหาที่หลบ” 


 


 


ฮอนสำรวจทุกหนทุกแห่งจนไปเจอเข้ากับถ้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตรงปากทางเต็มไปด้วยใยแมงมุมราวกับไม่มีอะไรเข้าออกมาเป็นเวลานาน พอปัดใยแมงมุมเข้าไปด้านใน จึงเห็นว่ามีใบไม้แห้งกระจัดกระจายตรงนั้นตรงนี้แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าสะอาด เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกลับมาอุ้มรยูฮาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ขออภัยด้วยเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าหมายถึงอะไร” 


 


 


“แล้วก็…ขอบพระทัยที่ช่วยชีวิตหม่อมฉัน” 


 


 


“ผู้หญิงของข้า ข้าก็ต้องช่วยอยู่แล้ว” 


 


 


ฮอนเผลอตอบออกไปแล้วกอดรยูฮาแน่นขึ้นไปอีก สายตาของรยูฮาที่ช้อนมองเขาจมอยู่ในห้วงความคิด ทำไมป่านนี้แล้วนางถึงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าฮอนในตอนนี้แตกต่างจากสมัยเด็ก ไม่ใช่คนที่นางต้องปกป้อง แต่คือชายหนุ่มผู้สง่างามและเป็นกษัตริย์ในอนาคตที่จะนำพาประเทศนี้ไป เป็นคู่ครองตลอดชีวิตที่รยูฮาเลือก 


 


 


ฮอนวางรยูฮาลงบนกองใบไม้ที่ทับถมอยู่ในถ้ำอย่างเบามือ แทนที่เขาจะพัก แต่เขากลับออกไปข้างนอกไป เก็บกิ่งไม้กับลำต้นต้นไม้แห้งมากองรวมกันไว้ตรงกลางถ้ำ เพราะเตรียมตัวมาดี เนื้อแห้งและเชื้อไฟในกระเป๋าจึงไม่เปียกน้ำ ไม่นานกองไฟก็ลุกโชนกลางถ้ำ ฮอนถอดเสื้อผ้าเปียกออกผึ่งไฟไว้ แสงไฟสีแสดอมแดงส่องประกายมายังร่างกายของเขา รยูฮาหน้าแดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วหันไปทางด้านข้าง 


 


 


“ต้องถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำพวกนั้น…ออก” 


 


 


เรื่องประหม่าฮอนเองก็เป็นเหมือนกัน น้ำเสียงที่พูดติดขัดเล็กน้อยก้องอยู่ในถ้ำ 


 


 


“ใช่…ใช่แล้วเพคะ” 


 


 


“เดี๋ยวข้าจะหลังให้ เจ้าถอดเสื้อแล้วก็…มานั่งอังไฟ” 


 


 


ฮอนที่นั่งหันหลังให้รยูฮาพยายามเพ่งประสาทการรับรู้ด้านการได้ยินไปยังเสียงไฟที่ลุกโชนแต่ก็ไร้ประโยชน์ แน่นอนว่าเสียงไฟที่สุมไว้น่าจะดังกว่าอยู่แล้ว แต่หูของเขากลับดันทรยศ ไวต่อเสียงเปลี่ยนเสื้อผ้าของรยูฮาและเสียงหยดน้ำที่หยดลงมาจากร่างกายของนาง รยูฮาถอดเสื้อผ้าตากไว้ข้างๆ เสื้อผ้าของฮอน แล้วมานั่งตรงกองไฟในสภาพใส่แค่ชุดซับในที่บางชนิดว่าไม่รู้ว่าใส่อยู่หรือเปล่า 


 


 


ในขณะเดียวกันเหล่าทหารที่ล้มเหลวจากการไล่ตามองค์รัชทายาทและพระชายาก็กลับไปยังเพิงที่พักชั่วคราวเพื่อแจ้งข่าว ทุกคนหยุดการล่าสัตว์แล้วออกตามหา ในป่ามีเพียงร่างของเสือที่ถูกธนูหลายดอกปักอยู่ ไม่สามารถหาร่องรอยของทั้งสองคนได้ มิหนำซ้ำก้อนเมฆและกลิ่นฝนก็เข้าปกคลุมดวงอาทิตย์อีก 


 


 


“ฝ่าบาท ต้องเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ไม่ ข้าจะหาเอง” 


 


 


“ดูเหมือนฝนจะตกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จกลับเข้าไปข้างในรักษาพระวรกายเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะหาองค์รัชทายาทกับพระชายาให้เจอให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานพาพระราชาผู้ซึ่งบอกว่าจะช่วยค้นหาในป่ากลับเข้าไปยังที่พัก แต่พระราชาก็ตรัสซ้ำคำเดิมและไม่ยอมละสายตาจากข้างนอก 


 


 


“ต้องหาลูกชายข้าให้เจอ” 


 


 


ทรงเป็นพ่อที่แข็งแกร่งเหมือนหินอยู่เสมอ ปิดซ่อนความอ่อนไหวไว้ข้างหลังรอยยิ้มนั้นและตวาดใส่ข้าราชบริพาร สำหรับชานภาพพระราชาในตอนนี้ช่างไม่คุ้นตาเหลือเกิน 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


ชานคุกเข่าเงยหน้ามองหน้าพระราชา สายตาที่ไม่เอ่ยคำพูดอื่นออกมาและเอาแต่จ้องมองนั้นช่างซื่อตรง สายตาของพระราชาค่อยๆ หันมองสายตาของเขาที่ไม่มีสั่นไหวแม้แต่น้อย พอความเงียบสักครู่ผ่านไปพระราชาก็จับมือของลูกชายคนที่สองไว้แน่น 


 


 


“ขอร้องล่ะ ช่วยหาให้เจอด้วย” 


 


 


ชานรับเอาคำฝากฝั่งอันหนักอึ้งมาแล้วออกมาข้างนอก ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา 


 


 


“ม้าขององค์รัชทายาทกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดูแล้วไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทคงทรงปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่งพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


อย่างน้อยการที่ม้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็หมายความว่าไม่ได้โดนเสือกัดหรือถูกสัตว์ป่าอื่นจู่โจม แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เมฆที่เลื่อนเข้ามาปกคลุมตอนนี้เริ่มกลายเป็นสายฝนโปรยปรายไปทั่วพื้นป่า สุนัขล่าสัตว์ไม่สามารถใช้จมูกดมกลิ่นได้ภายใต้สายฝน ยิ่งฝนตกลงมาใจของชานก็ยิ่งหมองลง 


 


 


พระชายาอยู่ที่ไหนกันแน่ ปลอดภัยดีอยู่หรือไม่ ความคิดในแง่ร้ายดำเนินต่อไปเรื่อย จนปลายทางมาหยุดอยู่ที่ภาพของรยูฮาที่ออกมาล่าสัตว์เมื่อวาน 


 


 


“…เหยี่ยว” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? องค์ชาย?” 


 


 


พอคำพูดเลื่อนลอยออกมาจากปากของชานผู้ซึ่งยืนตากฝนได้สักครู่แล้ว ทหารที่ยืนอยู่ข้างกันก็มองเขาอย่างมึนงง ตอนนั้นชานก็กำลังวิ่งไปทางที่พักของรยูฮาแล้ว 


 


 


“ไปซะ ไปหาเจ้านายของแก” 


 


 


ชานกระซิบเสียงต่ำราวกับเหยี่ยวจะฟังเข้าใจแล้วเปิดกรงให้คยอกรังบินขึ้นสูงเหนือท้องฟ้า เหยี่ยวตัวน้อยบินวนกลางอากาศทะลุผ่านสายฝนก่อนจะหายไปไกล 


 


 


“ค้นหาต่อไป! ถ้าหาทั้งคู่ไม่เจอพวกเจ้าหัวหลุดออกจากบ่าแน่!” 


 


 


ชานส่งความหวังสุดท้ายไปแล้วขึ้นม้าควบออกไป ได้โปรดมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยด้วยเถิด ชานภาวนาในใจโดยไม่รู้ตัวว่าภายในคำภาวนานั้นไม่มีน้องชายของตัวเองอยู่ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝนตกน่าจะออกค้นหาได้ช้า แต่เหล่าทหารคง…” 


 


 


คำพูดสุดท้ายของฮอนที่ออกไปนอกถ้ำแล้วกลับมาถูกกลืนเข้าไปในปากและไม่ได้พูดต่อให้จบ เพราะรยูฮาที่นั่งกอดเข่ามองมาที่เขาตรงกองไฟ ผิวลื่นที่ทะลุผ่านชุดซับในตัวบางออกมาเข้ามาสู่สายตาของเขา ฮอนพยายามหันไปแล้วนั่งหันหลังให้รยูฮาตามเดิม หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือและเลือดร้อนก็ไหลผ่านไปทั่วทั้งร่าง 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“อืม? ไม่สิ…เรียกทำไม” 


 


 


ทำไมน้ำเสียงดูไร้ชีวิตชีวาแบบนี้ รู้สึกว่าเสียงสะท้อนที่ปะทะเข้ากับผนังถ้ำแล้วย้อนกลับมากระตุ้นทั้งร่างกาย  


 


 


“มาทางนี้เถอะเพคะ มันหนาว” 


 


 


หนาวอะไรกัน ร้อนจะตาย แต่ฮอนไม่ได้พูดคำนั้นออกไปแล้วเข้าไปข้างๆ รยูฮาในสภาพที่หันหน้าไปอีกทาง ความชื้นแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนเพราะความร้อนจากกองไฟ ขณะที่กลิ่นกายของรยูฮาปกคลุมไปทั่วตัวเขา หญิงสาวก็เรียกเขาด้วยเสียงเบาหวิว 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“…ว่ามา” 


 


 


“มองหม่อมฉันหน่อยเพคะ” 


 


 


มือเย็นโอบรอบใบหน้าของฮอนที่พยายามไม่หันกลับไป ริมฝีปากชื้นของทั้งคู่ประกบกันแล้วลิ้นก็แทรกเข้าไปในปากอย่างไม่ยอมหยุดพัก ฮอนลังเลอยู่สักครู่แล้วรับเอาสิ่งนั้นเข้ามาและกอดรยูฮาไว้ ความสนใจมุ่งไปที่ตรงปลายลิ้นซึ่งส่งต่อทุกความรู้สึกราวกับเป็นร่างกายเดียวกัน แล้วหายใจหอบออกมา มือที่เป็นห่วงกดไล่ลงไปนับตั้งแต่ต้นคอไปตามกระดูกสันหลังของรยูฮาแล้วค่อยๆ ลงไปข้างล่างทีละนิด 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากนั้นสักพัก รยูฮาที่ผละริมฝีปากออกมาก็กระซิบขึ้นในสภาพมุดใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเขา 


 


 


“กอดหน่อยเพคะ” 


 


 


“ว่า ว่าไงนะ…” 


 


 


“อยากทำตอนนี้เพคะ คืนเข้าหอของเรา” 


 


 


ฮอนตะกุกตะกักพลางผละมือออกจากรยูฮา แล้วใช้มือโอบใบหน้าของหญิงสาวไว้ก่อนจะลูบขึ้นลง คงล้อเล่นอีกแล้วใช่ไหม ตั้งใจจะคิดแบบนั้นแต่ดวงตาของรยูฮาที่มองมาก่อนหน้านี้เล็กน้อยไม่ได้มีความล้อเล่นอยู่เลย ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรแล้วริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันก็ประทับลงไปบนริมฝีปากของรยูฮาอีกครั้งอย่างนุ่มนวลและผละออกมา มาตอนนั้นฮอนถึงได้ควบคุมลมหายใจได้แล้วเบนสายตาไปทางรยูฮาอีกครั้ง 


 


 


“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บ แล้วก็…” 

 

 

 


ตอนที่ 8-8

 

ปลายเสียงหายไป จากนั้นเขาก็ตบลงที่หลังของรยูฮาเบาๆ การกระทำนั้นช่างอ่อนโยนและดูระมัดระวัง 


 


 


“ไม่อยากกอดเจ้าครั้งแรกในที่แบบนี้ ข้าจะให้เราได้ดื่มเหล้าบ่าวสาวอย่างถูกต้องและให้เจ้านอนลงบนที่นอนที่ดี…” 


 


 


“ไม่เพคะ” 


 


 


มือของฮอนถูกรยูฮาดึงไปสัมผัสตรงหน้าอกด้านซ้ายของนาง ด้านล่างชุดซับในที่บางเสียยิ่งกว่ากระดาษคือหัวใจที่กำลังเต้นรัวอยู่ตรงฝ่ามือพร้อมกับความรู้สึกอ่อนนุ่ม ทั้งหมดนั้นถูกส่งต่อไปยังฮอน 


 


 


“ดูสิเพคะ มันต้องการท่านอยู่ตอนนี้” 


 


 


“พระชายา” 


 


 


“ในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน ช่วยจัดที่ทางด้วยมือของฝ่าบาทไม่ใช่นางกำใน ช่วยทำให้หม่อมฉันมอมเมาไปกับกลิ่นของฝ่าบาทไม่ใช่สุราในวันอภิเษกสมรส ช่วยกอดหม่อมฉันในฐานะรยูฮาไม่ใช่พระชายาด้วยเถอะเพคะ” 


 


 


สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจพันกันยุ่งเหยิงกลางอากาศ ฮอนมองเข้าไปในดวงตาดำที่กำลังสั่นไหวแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น เขาใช้เสื้อผ้าของตัวเองที่แห้งพอประมาณแล้วปูบนกองใบไม้แห้ง จากนั้นจึงอุ้มรยูฮาขึ้นไปวางบนนั้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


“รยูฮา…” 


 


 


เสียงหวานและริมฝีปากเด่นชัดราวกับถูกวาดเอาไว้กลืนกินริมฝีปากของรยูฮา มือใหญ่แก้มัดชุดซับในออกแล้วลูบไล้ไปตามหน้าอกที่ถูกปิดอยู่อย่างหมิ่นเหม่ด้วยความระมัดระวัง สัมผัสตรงยอดปทุมถันเบาๆ มือของเขาขย้ำตรงเนินเนื้อนุ่มแรงขึ้นราวกับสนุกไปกับปฏิกิริยาของรยูฮา แล้วก็หมุนวนตรงส่วนปลาย ร่างกายของรยูฮาบิดเร่าตามสัญชาตญาณจากการกระตุ้นที่รู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิต  


 


 


“ให้ข้าหยุดดีหรือไม่” 


 


 


ฮอนขบตรงติ่งหูเล็กของรยูฮาแล้วกระซิบ ในระหว่างที่มือข้างหนึ่งลูบไปบนหัวของนางราวกับแสดงความจริงใจออกมา อีกมือหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เลื่อนลงไปตามเอวคอดผ่านท้องน้อยแล้วค่อยๆ เลื่อนลงไปด้านล่าง 


 


 


“ช่วย…ช่วยทำต่อหน่อยเพคะ” 


 


 


น้ำเสียงสั่นสะท้านกลายเป็นตัวกระตุ้นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้และทำให้รู้สึกตื่นเต้นราวกับจะทำให้ชายผู้หลงใหลในเพศตรงข้ามเป็นบ้า ความตั้งใจที่จะเข้าหาอย่างระมัดระวังและอ่อนโยนโบยบินหายไป ฮอนขบเม้มยอดปทุมถันเข้าไว้ในปากแล้วดูดถึงอย่างเอาแต่ใจ ส่วนมืออีกข้างก็คลึงหน้าอก 


 


 


“จะบ้าตาย” 


 


 


ฮอนที่แลกน้ำหวานในปากของรยูฮาราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่งพึมพำออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ดื่มแล้วดื่มอีกราวกับกระหายน้ำ แม้จะมัวเมากับหญิงสาวมามากมายแต่เขาเพิ่งเคยรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่จะควบคุมร่างกายที่ลอยขึ้นเองตามอำเภอใจก็ทำได้ยากเกินกำลัง เขาระดมริมฝีปากลงบนร่างเปลือยสีขาวนวลตามที่สัญชาตญาณนำพาไป จากนั้นจึงค่อยๆ ลดต่ำลงแล้วฝั่งหน้าลงตรงหว่างขาอย่างไม่ลังเล 


 


 


“อึก เดี๋ยวก่อน…” 


 


 


ตอนนี้แม้แต่น้ำเสียงร้อนรนของรยูฮาก็ไม่สามารถหยุดฮอนได้ ลมหายใจร้อนสัมผัสลงบนผิวทำให้รู้สึกราวกับถูกเปิดเผยออกจนหมด ฮอนค่อยๆ ใช้ลิ้นไล่เลียลงไปด้านล่าง มือหนากระตุกปมสายชุดซับใน ปมนั้นก็หลุดออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นรังไหมที่ยื่นออกมาในสภาพชุ่มไปด้วยของเหลว 


 


 


“อย่ามอง” 


 


 


รยูฮาผลักไหล่ของฮอนออกแล้วตีเล็กน้อย แต่แทนที่ฮอนจะถอยออก กลับเลียลงบนผิวนุ่มช้าๆ เขาเลียลงหนักๆ ครั้งหนึ่งแล้วแทรกเข้าไปตรงระหว่างหุบเขาด้านล่าง จากนั้นก็ไล่เลียไปตามมุมต่างๆ ไข่มุกที่ถูกฝั่งอยู่ในเนื้อนุ่มทนได้ไม่นานก็ขยายตัวออกมา เผยตัวตนให้เห็น  


 


 


“ฝ่าบาท ฮึก อ๊า…” 


 


 


ผมหลุดลุ่ย ร่างที่แอ่นขึ้นมากระหายบางอย่างที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน รยูฮารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเป็นสิ่งที่ฮอนสามารถมอบให้นางได้ ว่าแต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมมอบสิ่งนั้นให้นางเสียที รยูฮายื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัวพลางกดศีรษะของฮอนลง ให้แนบชิดผิวกายของนางมากขึ้น 


 


 


ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้คิดอะไรไม่ออกเสียจริง ฮอนอ้าปากอมไข่มุกที่ยั่วยวนเขาตั้งแต่เมื่อครู่ แล้วค่อยๆ ดูดเบาๆ เขาใช้ปลายลิ้นเลียไปทุกซอกทุกมุมและพอโอบอุ้มไข่มุกด้วยลิ้นทั้งหมด น้ำหวานที่ถูกกระตุ้นก็ไหลออกมาและถูกกลืนลงคอเขาไปในทันที  


 


 


รยูฮาใช้มือข้างหนึ่งปิดเสียงร้องครวญครางที่เปล่งออกมาพลางจ้องมองฮอนด้วยสายตามึนนงง ภาพกลุ่มผมสีดำที่อยู่ตรงหว่างขานั้นดูลามกเสียยิ่งกว่าภาพวาดลามกใดๆ ที่เคยได้เห็นมา คนนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่คือฮอน ระหว่างที่ฮอนเข้าครอบครองหน้าอกของรยูฮาด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะอย่างแปลกประหลาด ริมฝีปากของเขาก็ไล่ไปบนนั้นเพื่อหาจุดสูงสุดของความรู้สึกที่หญิงสาวเองก็ไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่ฮอนดูดตรงไข่มุกเบาๆ แล้วผละออกมันจะขยายตัวขึ้น การเคลื่อนไหวที่ค่อยๆ เร็วขึ้นนำรยูฮาไปสู่ปลายทางแห่งความสุขสมซึ่งตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน 


 


 


“อ๊ะ อ๊า อื้อ!” 


 


 


รยูฮาเชิดหน้าขึ้นแล้วครางเสียงสูง ทั้งร่างเหมือนลอยขึ้นเหนือก้อนเมฆแล้วสิ่งอุ่นๆ ก็ไหลทะลักออกมาจากข้างในท้อง ฮอนมองรยูฮาถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งแรกด้วยสายตาหลงใหลแล้วรับเอาของเหลวที่ไหลออกมากินเข้าไปจนหมดเกลี้ยง 


 


 


“อ๊ะ อ๊า ฝ่าบาท อ๊า!” 


 


 


เขาประกบริมฝีปากร้อนลงไปบนปากของรยูฮาผู้ซึ่งลืมตาได้ยากอีกครั้งอย่างไม่ยอมให้หยุดพัก ดูเหมือนว่าฮอนจะกลายเป็นชายหนุ่มที่ต่างจากที่นางเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง เขาทั้งดูดอย่างแรงจนเหมือนลิ้นจะหลุดออกมา และเติมเต็มเข้าไปในปากจนเหมือนจะหายใจไม่ได้ แล้วก็ขย้ำลงบนริมฝีปากนั้นถี่ๆ เขาก็ใช้มือจับของของตัวเองไว้พร้อมไปกับบดขยี้ลงบนต้นขาด้านในของรยูฮาอย่างร้อนแรง 


 


 


“อ๊า รยูฮา” 


 


 


แม้แต่เสียงที่เคยเรียกรยูฮาอย่างอ่อนโยนก็กลายเป็นเสียงแหบพร่า ความเป็นชายที่วนเวียนอยู่ตรงหว่างขาสอดแทรกเข้าไปยังหุบเขาที่เปียกชื้น เส้นเลือดปูดขึ้นเพราะความตื่นเต้นอันมากล้นแล้วก็สัมผัสเข้ากับตรงส่วนที่อ่อนไหว เรือวิ่งเข้าชนเม็ดไข่มุกจนเหมือนจะระเบิดออก 


 


 


“ไม่ต้องเกร็งนะ อยู่เฉยๆ” 


 


 


รยูฮาพยักหน้าแทนที่จะเอ่ยปากตอบการกระซิบบอกของฮอน ฮอนแยกขาของรยูฮาออกอีกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง เรือที่หมุนวนเป็นวงกลมตรงจุดศูนย์กลางแทรกเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วโดยไร้สัญญาณเตือน  


 


 


“เฮือก!” 


 


 


เจ็บ ความสุขสมที่เคยได้รับมาจนถึงตอนนี้หายไปแล้ว ความเจ็บปวดเข้าครอบงำร่างกายของรยูฮาราวกับจะเจาะทะลุร่าง เล็บแหลมจิกเข้าตรงข้อมือของฮอน 


 


 


“ช้าๆ ใช่แล้ว ไม่เป็นไร…” 


 


 


ความเป็นชายที่เข้าไปได้สักครึ่งไม่ดันเข้าไปต่อ แต่ก็ไม่ได้เอาออกมา เขาปลอบประโลมรยูฮาผู้ซึ่งกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างอ่อนโยนแล้วลูบไล้ร่างกายนางไปทุกส่วน ในระหว่างนั้นกล้ามเนื้อตรงผนังด้านในที่เคยหดตัวก็ค่อยๆ คลายตัวลงแล้วก็เริ่มรับเอาฮอนเข้ามา 


 


 


เขาประกบลงไปบนปากแดงรอให้นางปรับตัวได้ ริมฝีปากนั้นทั้งอ่อนโยนและหอมหวาน เมื่อเอวที่เขาจับไว้นั้นเหมือนจะเกร็งน้อยลง เขาก็ดันความเป็นชายเข้าไปอีกครั้ง การเคลื่อนไหวโดยไม่ให้หญิงสาวเจ็บเป็นเรื่องลำบากกว่าที่คิด ทำให้เหงื่อเกาะอยู่ตรงหน้าผากของเขาตอนที่เข้าไปได้จนหมด 


 


 


“ขยับได้ไหม” 


 


 


รยูฮาพยักหน้าเงียบๆ แทนคำตอบ ความเป็นชายถูกดึงออกมาครึ่งหนึ่งด้วยความเร็วคล้ายกับตอนเข้าไป แต่ก็กลับเข้าไปเร็วกว่าเดิมอีกนิด ในระหว่างที่ฮอนขยับตัวพลางเร่งความเร็วขึ้น ความเจ็บปวดก็สงบลงกลายเป็นความสุมสมอย่างมากเข้ามาเติมเต็มที่ตรงนั้น 


 


 


“อ๊ะ อ๊า” 


 


 


เสียงครวญครางคล้ายถอนหายใจถูกส่งออกมาจากริมฝีปากของรยูฮา ถึงจะเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้งแต่ความรู้สึกก็ตีตื้นขึ้นมาเพราะน้ำเสียงนั้น ฮอนจับขาข้างหนึ่งของรยูฮายกขึ้นแล้วสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปจนสุด ต่อมาผละออกเหมือนจะถอนออกแล้วดันเข้ากลับไปอีกครั้งอย่างแรง 


 


 


“เฮือก!” 


 


 


การเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าที่เหมือนสายน้ำไหลเอื่อยของฮอนเร็วขึ้นเหมือนน้ำตก แล้วต้อนรยูฮาให้จนมุม ใบไม้ที่ปกคลุมอยู่ตรงช่วงล่างเกิดเสียงและกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง ความเป็นชายที่เติมเต็มเข้าในข้างในเคลื่อนไหวดันเข้าออกไปมาและกดลงตรงผนังด้านในไปทั่วตามอำเภอใจ ในหัวเกิดเป็นประกายไฟที่ทำให้คิดอะไรไม่ออก 


 


 


ความเป็นชายที่ดูเหมือนจะขยายตัวใหญ่จนถึงขีดจำกัดแล้วขยายตัวแข็งขึ้นไปอีกและสร้างความปั่นป่วนให้รยูฮาไม่มีหยุด กล้ามเนื้อต้นขาของรยูฮาหดตัว อืม ฮอนเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นแต่ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมา ในขณะเดียวกันเอวของรยูฮาก็บิดเร่าและสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต จนสุดท้ายหยาดหยดแห่งความปรารถนาก็ไหลทะลักออกมา 


 


 


“หม่อมฉันรักฝ่าบาทนะเพคะ” 


 


 


ฮอนล้มตัวลงเหนือหญิงสาวเพราะคำสารภาพที่ไร้คำโกหกเจือปน เขาหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วรยูฮาก็คว้าเอวของฮอนที่กำลังจะลุกขึ้นมากอดไว้แน่น นางน่ารักได้ขนาดนี้เชียวหรือ ฮอนปัดเส้นผมที่ตกลงมาบนหน้าผากมนออกให้แล้วเข้าประกบปาก 


 


 


“ข้าก็รักเจ้า รยูฮา รักมาก” 


 


 


เสียงกองไฟสีแดงลุกโชนและเสียงสายฝนที่ตกลงมาดำเนินต่อไปดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำ สายตาของฮอนที่ค่อยๆ ขยับลงนอนด้านข้างของรยูฮาอย่างระมัดระวังมองไปที่แก้มแดงเรื่อเหมือนกลีบดอกไม้ แต่รยูฮาก็คว้าข้อมือของเขาที่ยื่นเข้ามาหวังจะลูบไล้ให้หยุดไว้กลางอากาศ 


 


 


“อย่าจับเพคะ” 


 


 


“จู่ๆ ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ” 


 


 


ฮอนท้วงอย่างน้อยใจ แต่รยูฮาก็ปล่อยข้อมือนั้นลงแล้วหมุนตัวนอนหันหลังให้ฮอน 


 


 


“ทำไมเล่า ไหนพูดสิ หืม” 


 


 


“ไม่อยากมองเพคะ” 

 

 

 


ตอนที่ 8-9

 

 


 


 


ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ หรือไร คิดว่าพอเข้าหอแล้วตอนนี้คงได้แสดงความรักและได้แบ่งปันความเพลิดเพลินใจด้วยกันทุกค่ำคืน ทั้งที่กำลังไปได้สวย แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้า เขาเองก็ไม่กล้าแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา ได้แต่โอบกอดไหล่พลางอ้อนวอน  


 


 


“ข้าผิดไปแล้ว” 


 


 


“รู้หรือเพคะว่าทำอะไรผิด” 


 


 


ฮอนรวบรวมความกล้าจุมพิตลงบนไหล่ขาวเพราะคำพูดที่ดูอบอุ่นขึ้น 


 


 


“ข้าผิดทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ว่าอะไรก็ตาม” 


 


 


ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่ทำไมมือถึงรุกรานหน้าอกนุ่ม และทำไมริมฝีปากถึงก่อกวนตรงซอกคอขาว รยูฮาตีลงบนหลังมือซนแต่เขาก็ไม่มีท่าทีจะหยุดเลย 


 


 


“คราวหน้าข้าจะคุกเข่าขอโทษ” 


 


 


ปัญหาคือปากนี่เอง รยูฮาหันหน้ามางับลงบนริมฝีปากที่กำลังพูดอย่างเจ้าเล่ห์ 


 


 


“อ๊ะ!” 


 


 


“นี่คือเรื่องที่ทำผิดเพคะ ได้ยินข่าวลือมาว่าองค์รัชทายาทคือหนุ่มเจ้าสำราญของพระราชา ไม่มีใครเทียบได้ทั้งเรื่องสตรีและสุรา นึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่หรือเพคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีทางชำนาญได้ขนาดนี้หรอกเพคะ!” 


 


 


“คือว่า เรื่องนั้น…” 


 


 


ถึงอย่างจะแก้ตัวอย่างไร แต่สายตาของรยูฮาที่จ้องมองมาทางเขานั้นช่างดุร้าย ดังนั้นฮอนจึงละทิ้งความคิดที่จะแก้ตัวและเริ่มออดอ้อนอีกครั้ง 


 


 


“ข้าผิดไปแล้ว คราวนี้แม้แต่ชายเสื้อของหญิงอื่นข้าก็จะไม่แล” 


 


 


“จริงหรือเพคะ” 


 


 


“แน่นอน ข้าขอสาบานใต้ฝ่าพระบาทพระราชา” 


 


 


พอถึงขั้นพูดถึงพระราชา นางจึงไม่มีคำใดจะเอ่ยออกมาอีก ฮอนอาศัยจังหวะที่รยูฮาวางใจแล้วเริ่มลงมืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว สองคนแบ่งปันความรักจนถึงฝั่งฝันไปหลายครั้งถึงได้หลับใหลเคียงข้างกันใกล้กองไฟในสภาพอิงแอบแนบลมชิด 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“องค์ชาย ถึงอย่างไร…” 


 


 


ดูเหมือนว่าทั้งสองพระองค์จะตกลงไปในน้ำ นายทหารกล้ำกลืนคำที่จะพูดลงไปแล้วอ้ำอึ้ง แต่ต่อให้ไม่ได้ยินชานก็รู้ได้ รยูฮาว่ายน้ำได้หรือไม่ แล้วฮอนว่ายน้ำเก่งหรือไม่ ในหัวคิดอะไรไม่ออกเลยมันว่างเปล่าไปหมด 


 


 


“ออกค้นหาโดยใช้แม่น้ำเป็นจุดศูนย์กลาง” 


 


 


ชานเปล่งคำพูดที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังคิดว่ามันดูอวดดี แล้วลงจากม้าพลางทอดสายตามองแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า ฝนซาลงแล้ว แต่เพราะฝนที่จู่ๆ ตกลงมาทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นโคลนและกำลังไหลบ่าอย่างแรง ทั้งคู่จะออกมาจากแม่น้ำก่อนที่มันจะไหลแรงได้หรือไม่นะ 


 


 


“ตรงนั้น เหยี่ยวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ชานหยุดการเคลื่อนไหวเพราะทหารที่อยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นแล้วมองไปยังท้องฟ้า เหยี่ยวตัวน้อยบินวนบนท้องฟ้าแล้วโฉบลงมาวางเศษผ้าสีขาวไว้ที่ฝ่ามือของชาน ก่อนจะบินออกไปอีกครั้ง 


 


 


“ทางนั้น! ไป!” 


 


 


สีเดียวกันกับเสื้อผ้าที่รยูฮาใส่ ชานพยายามขับไล่ลางร้ายในหัวแล้วควบม้าวิ่งไปในสายฝน คยอกรังบินอยู่สักพักไม่นานมันก็บินวนตรงจุดหนึ่งตรงข้ามแม่น้ำแล้วหายไปตามทางที่มาอีกครั้ง 


 


 


“ฝ่าบาท ตรงนั้นมีอะไรบ้างอย่างพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ตรงรากต้นไม้ใหญ่ด้านในแม่น้ำมีบางอย่างติดอยู่ ใบหน้าของชานที่เห็นของพวกนั้นซีดเผือด แต่พอรู้ว่าเป็นเสื้อผ้าที่รยูฮาใส่เขาก็ถอนหายใจโล่งอกออกมา 


 


 


“ไปหาตรงฝั่งตรงข้ามนั้นซะ” 


 


 


“คือ นี่มัน…ตรงนั้นมีสะพานอยู่พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนจะลอยขึ้นมาตรงนั้น” 


 


 


โธ่เอ๊ย! ชานจมอยู่ในความคิดเงียบๆ และลองประมาณความกว้างและความเร็วของน้ำในแม่น้ำ แม่น้ำที่ดินโคลนไหลแรงกระแสน้ำแรงพอตัว แต่ตรงนี้ความกว้างของแม่น้ำแคบลงและความเร็วของกระแสน้ำก็เบาลงด้วย มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางกระแสน้ำอยู่ ถ้าว่ายน้ำเก่งก็สามารถข้ามไปได้ เขาไม่คิดนาน ถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่โยนทิ้งแล้วตะโกน 


 


 


“เอาเชือกมา ข้าจะข้ามไปเอง” 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ถ้าอย่างนั้นให้กระหม่อมไปเสียดีกว่า” 


 


 


“นี่เป็นคำสั่ง เร็วเข้า!” 


 


 


ทหารที่เอ่ยปากห้ามปิดปากลงแล้วเอาเชือกที่ม้วนอยู่ตรงหลังม้ามาส่งให้ ชานรับมาแล้วผูกเชือกเข้ากับเอวของตัวเองเอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นปลายเชือกให้ทหารอีกครั้ง  


 


 


“ข้าจะข้ามไปมัดเชือกที่ต้นไม้ แล้วพวกเจ้าค่อยจับข้ามไป” 


 


 


ชานกระโดดลงน้ำไปโดยไม่เว้นช่องให้ใครห้ามปราม ใช้แรงทั้งหมดที่มีว่ายฝ่ากระแสน้ำไป ถึงจะไม่กว้างมากแต่โคลนที่ไหลบ่าอย่างน่ากลัวก็ไหลทะลักเข้าปากเขาไม่หยุด เหล่าทหารที่เฝ้าดูอย่างใจหายใจคว่ำ ทุกครั้งที่มือของชานลื่น พวกเหล่าทหารก็จะกำมือแน่น ชานลื่นไถลไปตั้งหลายครั้งแต่ก็คว้ารากต้นไม้ไว้ได้อย่างปลอดภัยก่อนจะขึ้นไปยังริมแม่น้ำอีกฝั่งและสะบัดน้ำออก 


 


 


หลังจากนั้นก็ไม่ยาก เขาเจอเสื้อผ้าหนึ่งชุดที่ปลิวสะบัดอยู่ตรงต้นไม้ ไม่ผิดแน่ นี่เป็นเสื้อผ้าที่ฮอนเคยใส่ แถวต้นไม้ที่เข้าไปใกล้มีถ้ำเล็กอยู่ และมีควันจางๆ ลอยออกมาจากข้างในนั้น 


 


 


เจอแล้ว แล้วก็ปลอดภัยดี แม้จะไม่เคยตื้นตันใจกับอะไร แต่ความรู้สึกในตอนนี้เขารู้โดยสัญญาตญาณว่ามันคือความตื้นตันใจ ความรู้สึกดีใจอย่างเหลือล้นนั้นก็เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ชานเดินตามควันเข้าไปในถ้ำแล้วก็ตัวแข็งเป็นน้ำแข็งไปพร้อมกับภาพที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


ฮอนและรยูฮาหลับลึกภายในอ้อมกอดของกันและกันอย่างแนบชิดข้างกองไฟ ทั้งชุดซับในสีขาวที่ถูกวางอยู่ข้างๆ ภาพทั้งหมดนั้นชัดเจน และร่องรอยสีแดงเรื่อนั้นก็ผลักชานลงนรก 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ล่าสัตว์คราวนี้เจ้าชนะสินะ” 


 


 


พระราชาเห็นองค์รัชทายาทและชายาตามหลังชานมาก็พูดขึ้นก่อน ถึงจะไม่ใช่การเจอกันที่น่าประทับใจมากนักแต่ก็ถือว่าโชคดี ฮอนที่รู้ว่าทรงเป็นห่วงจึงยิ้มอย่างหมดแรง 


 


 


“กระหม่อมจับเสือภูเขาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“กระดูกคอมันหักเลย ไปเอาลูกธนูแบบนั้นมาจากไหน” 


 


 


เสื้อภูเขาคือสัตว์ป่าชนาดใหญ่ แน่นอนว่าถึงแม้จะมีลูกธนูปักอยู่หลายที่แต่พอดึงลูกธนูอันนั้นออกมามันเล็กชนิดที่ยากจะเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่ปลิดลมหายใจของเสือได้ ทั้งยังตรงส่วนปลายที่แยกออกจากกันจนดึงออกไม่ง่ายนักก็เป็นลูกธนูที่พระราชาไม่เคยเห็นมาก่อน แน่นอนว่าต้องถามดูแบบนี้ ฮอนเก็บลูกธนูด้วยตัวเองก็พบว่าสมควรแล้วที่เสือจะอยู่ในสภาพเช่นนั้น 


 


 


“คือว่า…” 


 


 


ฮอนขับไล่ความกลัวออกไปแล้วหันไปมองรยูฮา มันคืออาวุธที่สืบทอดมาจากตระกูลของรยูฮา เขาจะเอ่ยเรื่องนั้นออกไปได้หรือไม่ รยูฮาส่ายหน้าเงียบๆ ให้กับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม  


 


 


“ค่อยกราบทูลครั้งหน้าได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทูลตอนนี้มัน…” 


 


 


มีหูที่เงี่ยฟังอยู่เยอะแยะ ฮอนไม่ได้พูดคำนั้นออกมา แต่พระราชาก็เข้าใจแล้วพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะอ้าแขนกอดลูกชายกับลูกสะใภ้ไว้  


 


 


“ฝ่า ฝ่าบาท!” 


 


 


“ข้าเป็นห่วงมากกลัวจะเสียพวกเจ้าไป เจ้าพวกไม่รักดี” 


 


 


“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“นั่นหมายความว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว แต่พวกเจ้าทำให้ข้าเป็นห่วง ดังนั้นจงนำหนังเสือนั่นให้ข้าเสีย” 


 


 


“ตั้งใจจับเพื่อถวายเสด็จพ่อแต่แรกอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้แต่เหล่าทหารที่ห้อมล้อมอยู่ยังหัวเราะไปกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของฮอนแล้วก็พากันหุบปากเงียบ มีเพียงชานที่เม้มปากแน่นไม่ยิ้ม แต่ด้วยความที่ปกติเขาก็ยิ้มน้อยอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ 


 


 


เหตุการณ์การหายตัวไปขององค์รัชทายาทและพระชายาทำให้พระราชวังวุ่นวาย เพิงที่พักชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล่าสัตว์ถูกเก็บอีกครั้ง ถึงจะได้กลับวังไปพักผ่อน เนื่องจากการล่าสัตว์อันแสนเหน็ดเหนื่อย แต่ชานที่กลับมาพระราชวังกลับแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งตรงไปยังวังซูอาน ที่พักของมารดาเขาซึ่งเขาเคยตั้งใจว่าจะไม่ไปเยือน 


 


 


“พระสนมเพคะ องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าเพคะ” 


 


 


“เปิด” 


 


 


ให้ได้อย่างนั้นสิ รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากสีแดงเหมือนเลือดของพระสนมมุนแล้วหุบยิ้มลงอีกครั้ง นางยินดีอย่างมากที่ได้เห็นลูกชายเดินเข้ามาตรงประตูที่ถูกเปิดออก 


 


 


“ทุกคนออกไปจากวังให้หมด ไม่ให้เหลือเลยแม้แต่คนเดียว” 


 


 


พระสนมมุนผู้ซึ่งอ่านใจของชานออกจัดการกับหูที่กำลังเงี่ยฟังเสียก่อนที่เขาจะได้เปิดปากพูด แล้วก็ปิดม่านตรงหน้าต่างด้วยตัวเอง แสงเทียนในห้องมืดลุกโชนอย่างไม่น่าปลอดภัย เงาของชานที่สะท้อนกลับมาเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดและพลิ้วไหว 


 


 


“มีเรื่องอะไรหรือเพคะ องค์ชาย” 


 


 


“ดูเหมือนจะทรงทราบอยู่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ปลายนิ้วของพระสนมมุนชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงหน้า ชานค่อยๆ ดึงออกมาแล้วนั่งลง พอเขามองไปยังมารดา พระสนมมุนก็มองเขาด้วยสายตาที่ใช้มองคนแปลกหน้า เป็นท่าทางที่ไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน ปากของนางเป็นเส้นตรง จมูกโด่ง และคางที่ดูแข็งแรง มีเพียงสายตาที่เคยส่องประกายเหมือนอาวุธที่เหมือนถูกปกคลุมด้วยบางอย่างต่างไปจากเมื่อก่อน นางซ่อนใจที่เริ่มอ่อนแอลงไว้ใต้ปลายเล็บหรูหราแล้วเคาะลงบนโต๊ะ 


 


 


“ในที่สุดองค์ชายก็มาตามจุดประสงค์ของแม่คนนี้” 


 


 


“ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่นัดคราวนั้น” 


 


 


“กระหม่อมจะไม่แตะต้องลูกพลับที่อยู่บนยอดนั้นเพคะ” 


 


 


แต่หากเน่าในสภาพห้อยอยู่อย่างนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ พระสนมไม่พูดต่อท้าย เพราะปล่อยไว้ไม่นานก็คงได้รู้ 


 


 


“กระหม่อมควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้เพคะ ถ้าเตรียมพร้อมแล้วแม่คนนี้จะไปหา ขณะที่รอโอกาส องค์ชายก็ทำตัวสนิทสนมเข้าไว้ ไปดื่มชา ขี่ม้าตีกยอกกู ล่าสัตว์ แล้วก็ดื่มสุราด้วยกันก็ดีเพคะ” 


 


 


ชานลุกขึ้นโดยไม่มีทั้งคำตอบและคำบอกลาก่อนจะออกจากวังซูอานไป ลมจากทางเหนือพัดผ่านจมูกจนรู้สึกเย็น เขาไม่สูดลมหายใจหรือถ่มน้ำลายเหมือนปกติ เขาไม่อาจรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดของวังซูอานอันวุ่นวายนับตั้งแต่เข้าก้าวย่างเข้ามา 


 


 


 


 


 


* * * 

 

 

 


ตอนที่ 8-10

 

“ฝ่าบาท ปากของหม่อมฉันเหงาเหลือเกินเพคะ” 


 


 


“ข้าออกไปเอาของว่างมาให้ดีหรือไม่” 


 


 


“อืม…” 


 


 


รยูฮาที่นอนเอนอยู่บนเตียงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ปากว่างอยากกินอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ลูกกวาด ขนมแป้งทอด หรือไม่ก็ผลไม้? ชา? นางคิดอยู่นานจึงเปิดปาก 


 


 


“ไม่เอาลูกกวาด ขนมแป้งทอด แล้วก็ผลไม้เพคะ เอาของที่หวานแต่ก็ไม่หวานมากแล้วก็มีรสกลมกล่อม… อยากกินอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทจัดการหามาให้ด้วยนะเพคะ” 


 


 


ว่าแต่สิ่งนั้นมันคืออะไร ฮอนกลืนคำพูดที่ตีตื้นขึ้นมาถึงคอหอยแล้วพยักหน้า เขาออกไปหาทหารที่อยู่ด้านนอก คิดว่าถ้าเข้าหอคงสามารถทำอะไรได้ตามใจแต่กลับไม่ใช่เลย ถ้าไม่ทำในสิ่งที่รยูฮาปรารถนาทันที นางก็จะหันไปเช็ดดาบหรือไม่ก็อ่านหนังสือ ไม่แม้แต่จะสบตาฮอน 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นคือให้นางในออกไปจากรอบโถงทางเดิน ถ้ามินอาไม่อยู่ อย่าได้พูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีเลย ฮอนต้องเป็นคนออกไปหาสิ่งที่รยูฮาต้องการมาให้ 


 


 


“องค์รัชทายาทอยากได้อะไรหรือเพคะ” 


 


 


“นี่ ยอนฮวา” 


 


 


โชคดี เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็เจอยอนฮวาถือชุดน้ำชามา ฮอนยื่นมือออกไปรับถาดที่ชุดน้ำชาวางอยู่ด้วยใบหน้ายินดี 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันจะเอาเข้าไปเองเพคะ!” 


 


 


ยอนฮวาตกใจไม่มีทางปล่อยให้ง่ายๆ นางดึงถาดเข้าหาตัวเพราะตกใจ กาน้ำที่มีน้ำร้อนอยู่สั่นและก็โยกไปมาอย่างอันตราย 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


ก่อนที่กาน้ำจะเอียงล้ม แต่ฮอนก็คว้าเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว 


 


 


“อ๊ะ ร้อน” 


 


 


“ฝ่าบาท ให้โทษตายหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!” 


 


 


ฮอนเป่านิ้วที่จับกาน้ำร้อนก่อนจะสะบัดขึ้นลง ยอนฮวาเห็นดังนั้นก็ตาเบิกกว้างแล้วเริ่มมีทีท่าว่าจะร้องไห้อีกแล้ว แต่ฮอนกลับยิ้มร่าเหมือนไม่มีอะไรก่อนจะแย่งถาดไปอีกครั้ง แล้วล้อเลียนหญิงสาว 


 


 


“หากข้าให้เจ้าตายทุกครั้งตามที่ขอ ปานนี้ศพคงกองเต็มภูเขา อันนี้ข้าจะยกเข้าไปเอง เจ้าไปเอาของว่างมา อะไรก็ได้ที่เป็นของหวานแต่ไม่หวานมากแล้วก็รสกลมกล่อม…พระชายาบอกเช่นนี้ ต้องหามาให้ได้ เข้าใจหรือไม่” 


 


 


ฮอนบอกแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าไปหารยูฮาที่รออยู่ข้างในอย่างอารมณ์ดี ยอนฮวาถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวตรงโถงทางเดินอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว นางก้มใบหน้าที่แดงก่ำลง แล้วจับปลายนิ้วตัวเองอย่างระมัดระวัง มือที่ได้สัมผัสกับมือขององค์รัชทายาทเมื่อครู่ตอนรับเอาถาดไป 


 


 


“ของหวาน แต่ไม่หวาน…” 


 


 


ต้องหาของที่องค์รัชทายาทสั่งมาให้ได้ ยอนฮวาลอบยิ้มเงียบๆ แล้วพึมพำว่าของหวานแต่ไม่หวานไปเรื่อยๆ พร้อมเดินออกไปข้างนอก 


 


 


“ยอนฮวาไปแล้วหรือเพคะ” 


 


 


พอฮอนถือชุดน้ำชาเข้ามาแทนของว่าง รยูฮาก็ลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง นางคิดในใจว่าไม่ค่อยอยากดื่มชา แต่ฮอนก็กำลังรินน้ำร้อนทำให้แก้วชาอุ่นแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แม้แต่งานรินชาก็ถูกโยนไปที่ฮอนอย่างเป็นธรรมชาติ 


 


 


“คงกำลังมา ข้าบอกตามที่เจ้าบอกไปแล้ว อีกไม่นานก็คงยกของว่างมา ยอนฮวารู้จักอาหารที่ถูกปากเจ้ามากกว่าข้าไม่ใช่หรือ” 


 


 


หลังเข้าหอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือการใช้คำพูดแบบเป็นกันเอง ถูกใจฮอนมากเพราะรู้สึกได้ถึงความสนิมสนมมากกว่าการใช้คำพูดแบบเป็นทางการ อีกทั้งตอนรยูฮากระซิบข้างหูก็จะเรียกว่าฮอน แต่นอกกำแพงวังมีหูอยู่จึงไม่ได้เรียกอย่างนั้นบ่อยนัก 


 


 


“ถึงเด็กนั่นจะซนแต่ก็ใจดีและทำงานเก่ง ทำให้นางร้องได้บ่อยๆ จะเสียใจเอาได้” 


 


 


“ถึงไม่อย่างนั้น ก่อนหน้านี้ตอนกาน้ำเกือบหก นางก็น้ำตาคลอแล้วบอกให้ฆ่าทิ้งเสีย ถ้าเป็นมินอาคงบอกแค่ว่าขออภัย ว่าแต่มินอาอยู่ไหนกัน” 


 


 


“หม่อมฉันส่งนางกลับไปที่บ้านเพคะ หม่อมฉันไม่ค่อยได้กลับเลยส่งมินอาไปเป็นเพื่อนคุยกับท่านแม่ก็ยังดีเพคะ” 


 


 


ฮอนทำให้แก้วชาอุ่นแล้วเทน้ำทิ้งจากนั้นจึงกะประมาณอุณหภูมิแก้วด้วยปลายนิ้ว สายตาของรยูฮาติดอยู่ที่มือใหญ่และหยาบ เป็นมือที่สมกับเป็นชายที่ช่างไม่เหมาะกับริมฝีปากเรียวเล็กและผิวสาวใสเหมือนคุณหนู ตอนนี้นางชอบมือนั้นมากกว่าใบหน้าหล่อเหลาของฮอนเสียอีก 


 


 


“เรียบร้อยแล้ว จะรอกินพร้อมของว่างหรือไม่เล่า” 


 


 


“ไม่เพคะ ขอหม่อมฉันเลยเพคะ” 


 


 


รยูฮายิ้มร่าเคาะลงบนโต๊ะตรงหน้าตัวเอง ฮอนมองหญิงสาวนิ่งๆ แทนที่จะยื่นแก้วชาไปให้ 


 


 


“ไม่ให้หรือเพคะ” 


 


 


“เจ้าต้องจ่ายค่าชาด้วยสิ” 


 


 


“ใจแคบเสียจริงนะเพคะ” 


 


 


“เจ้าต่างหากที่ใจแคบ ไม่ยอมจ่ายค่าชาแล้วก็จะรับเอาชาไป” 


 


 


หลังจากเถียงกันเสร็จคราวนี้รยูฮาเป็นฝ่ายแพ้ และแน่นอนว่านางแสดงออกว่าเป็นฝ่ายยอมแพ้ให้ แม้แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างโฮจินยังไม่สามารถเอาชนะรยูฮาได้สักครั้ง แล้วอย่างฮอนจะทำได้หรือ รยูฮาทำปากยื่นแล้วเคาะลงเบาๆ นางทาบริมฝีปากลงบนไปปากของเขาราวกับจะดึงดูดความสนใจของฮอน 


 


 


“เฮ้อ…” 


 


 


เสียดายแม้กระทั่งเสียงถอนหายใจเบาๆ ที่ออกมาจากปากของรยูฮา ฮอนกลืนกินริมฝีปากนั้นราวกับจะปิดปากและจับเส้นผมมันวาวรั้งเข้ามา แต่ว่าตอนนั้นเองที่ริมฝีปากของทั้งคู่ต้องแยกออกจากกันอย่างเสียดายเพราะเสียงที่ดังมาจากข้างนอก 


 


 


“พระชายา ยอนฮวามาแล้วเพคะ” 


 


 


“เข้ามาได้” 


 


 


นางถือถาดที่เต็มไปด้วยลูกพลับเข้ามายืนในห้องอย่างระมัดระวัง ตาของยอนฮวาดูประหม่าและก้มมองพื้น เป็นเพราะริมฝีปากอันเปียกชื้นของทั้งพระชายาที่นั่งอยู่และองค์รัชทายาทที่ยืนอยู่ข้างหน้านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผมมันเงาที่มักจะปกคลุมตรงไหล่ของพระชายาก็ดูกระเซอะกระเซิงเหมือนถูกใครทำให้ยุ่ง ต่อให้เป็นนางในที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในห้อง 


 


 


“ลูกพลับแห้งนี่เอง วางไว้ตรงนั้นก่อนเถอะ” 


 


 


ฮอนเห็นความยินดีตรงมุมปากของรยูฮาก็ยิ้มแฉ่ง ของหวานที่ไม่หวานมากและมีรสกลมกล่อมคือลูกพลับแห้งนี่เอง คราวหน้าต่อไปถ้ามีคำขอร้องที่งงงวยแบบนี้อีกก็แค่ตามหายอนฮวาก็พอ ฮอนคิดเช่นนั้นแล้วก็ป้อนลูกพลับแห้งที่ดูน่าอร่อยใส่ปากให้รยูฮา ท่าทางอ่อนโยนแบบนั้นทำให้ใบหน้าของยอนฮวาแดงเรื่ออีกครั้งในระหว่างที่ประตูถูกปิดลง 


 


 


“ทำงานเก่งจริง หาของที่เจ้าสั่งมาได้” 


 


 


“ยอนฮวาน่าสงสารจะแย่เพคะ เห็นนางประหม่าเพราะไม่รู้จะมองไปทางไหนหรือไม่เพคะ” 


 


 


“แล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้เราก็เป็นคู่สามีภรรยากันจริงๆ แล้ว ว่าแล้วก็รีบทำงานให้เสร็จ…” 


 


 


“วันนี้อย่าฝันเลยเพคะ เมื่อวานเพราะฝ่าบาทแท้ๆ หม่อมฉันถึงนอนไม่เต็มอิ่มแล้วก็เหนื่อยมากเพคะ” 


 


 


ฮึ ฮอนผิดหวังพลางเคี้ยวลูกพลับแห้งช้าๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ช่วยไม่ได้เมื่อคืนจับรยูฮาไว้ไม่ปล่อยทั้งคืน ไว้เอาใจอีกสักครั้งแล้วสักวันคงได้… 


 


 


“คิดอะไรอยู่ถึงได้ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นเพคะ” 


 


 


“ปะ เปล่าสักหน่อย ลูกพลับอร่อยแฮะ” 


 


 


 รยูฮาเอ็นดูฮอนที่มองออกง่ายแล้วอมยิ้มเงียบๆ ก่อนจะยกแก้วชาขึ้น เห็นช่องว่างแม้เพียงนิดก็บุกเข้าหาเหมือนสัตว์ป่า ไม่สมกับที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเอาเสียเลย ว่ากันตามตรงไม่ได้ไม่ชอบแต่คืนนี้อยากนอนพักให้เต็มที่ จึงรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงมาจากทางด้านนอก 


 


 


“องค์รัชทายาท องค์ชายสองของเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เสด็จพี่?” 


 


 


ฮอนมองรยูฮาครั้งหนึ่งราวกับเสียดายแล้วถอนหายใจออกมา ตั้งใจจะลองโน้มน้าวนางดูแต่วันนี้พลาดไปแล้วจริงๆ 


 


 


“ไปบอกว่าข้าจะรีบออกไป” 


 


 


“ไม่พามาดื่มชาหรือเพคะ” 


 


 


“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก” 


 


 


ฮอนดื่มน้ำชาปิดท้ายแล้วลุกจากที่นั่ง แล้วก็จุมพิตลงบนริมฝีปากของรยูฮาแล้วเลื่อนไปยังหน้าผากขาวอย่างเป็นธรรมชาติ  


 


 


“ที่อยู่ของเจ้าให้ชายอื่นเข้ามาไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นของข้า” 


 


 


“ฝ่าบาทเป็นของหม่อมฉันต่างหากเพคะ” 


 


 


แม้แต่น้ำเสียงที่ยอมรับอย่างมั่นใจยังอ่อนหวาน ฮอนทนไม่ได้ดึงรยูฮาเข้ามากอดแล้วงับลงบนต้นคอ ตรงนั้นเป็นส่วนที่ฮอนชอบด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นจุดที่ทำให้รยูฮารู้สึกได้มากที่สุด แม้จะชอบทุกส่วนจนแทบบ้าก็ตาม 


 


 


“ราตรีสวัสดิ์” 


 


 


“ฝ่าบาทก็ด้วยเพคะ” 


 


 


“รัก” 


 


 


“เช่นกันเพคะ” 


 


 


ถึงจะกระซิบบอกอย่างนุ่มนวล แต่หลังจากเข้าหอกันที่ถ้ำ รยูฮาก็ไม่เอ่ยคำว่ารักก่อนเลย ฮอนผู้น้อยใจกับเรื่องนี้ดึงเส้นผมของรยูฮาอย่างเอาแต่ใจแล้วเปิดประตูเดินออกไป ความเสียดายติดสอยห้อยตามจากทางด้านหลังเหมือนหาง รยูฮาอมยิ้มเล็กน้อยอีกครั้งแล้วลูบตรงเส้นผมที่ถูกดึง 


ตอนที่ 9-1

 

“พระชายา ทรงพระกรรสะหรือเพคะ” 


 


เสียงของมินอาที่กลับมาตอนเช้ามืดปลุกรยูฮาที่อยู่ระหว่างโลกของความฝันกับความเป็นจริง 


 


“เข้ามาสิ” 


 


รยูฮาหาวอย่างอ่อนเพลียแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ตอนก้าวลงมาจากเตียงสายตาเฉียบแหลมเหมือนตอนปกติก็กลับมา นางลูบลงบนหัวของมินอาที่นั่งพิงอยู่ตรงเก้าอี้ราวกับจะชมเชย  


 


“เหนื่อยแย่เลยสินะ ดื่มชาสักแก้วดีหรือไม่” 


 


“หม่อมฉันจะดื่มน้ำเพคะ” 


 


มินอาเอียงขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วดื่มรวดเดียวหนึ่งแก้ว ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้รยูฮา 


 


“ส่งของให้ท่านมหาเสนาบดีเรียบร้อยแล้วเพคะ ท่านฝากมาบอกว่าจะเฝ้าระวังคนนั้นไม่ให้คลาดสายตาเพคะ” 


 


“ดีมาก ท่านแม่ว่าอย่างไรบ้าง”  


 


“ท่านบอกว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทครอบครองอยู่นั้น พระราชาทรงทราบอยู่แล้วเพคะ แต่ว่าไม่เคยเห็นของจริง บอกว่าพระองค์คงคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะมีเพคะ” 


 


รยูฮาถอนหายใจอย่างโล่งอก นางเป็นห่วงว่าถ้าหากเรื่องที่มีอาวุธร้ายแรงอยู่ถูกฟื้นฝอยขึ้นมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คงถูกจับได้ แต่พอว่าบอกว่าพระราชาทรงทราบอยู่แล้วเรื่องราวก็ต่างออกไป 


 


“อืม กลับเข้าไปพักเถอะ แล้วมาให้ทันงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยล่ะ” 


 


มินอาพยักหน้าแล้วหายไปนอกประตู รยูฮากลับมาที่เตียงอีกครั้งแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด การซักไซ้ถามถึงเบื้องหลังของจูเยฮึงถูกส่งต่อให้ท่านพ่อไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีฮอน 


 


ตอนนี้ฝั่งที่จะได้ประโยชน์จากการที่ฮอนเป็นอันตรายมีแค่เพียงพระสนมมุนเท่านั้น แต่ว่าไม่ใช่พระสนมมุน พิจารณาตามสถานการณ์ในมุมนั้นมุมนี้ดูแล้วปรากฎเป็นรอยแยกอย่างประหลาด เรื่องตามสืบอย่างลับๆ นั้นไม่มีใครตามโฮจินทัน รยูฮารู้สึกเสียดายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


“ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่” 


 


“มีเพคะ พระชายา” 


 


“เตรียมพร้อม ไปวังชังชุนกัน ฝ่าบาทเองก็น่าจะเสด็จไปเช่นกัน” 


 


หลังจากนั้นไม่นานเหล่านางในที่จัดเตรียมเสื้อผ้า เครื่องประดับและเครื่องชำระล้างใบหน้าก็ทยอยกันเข้ามาข้างใน รยูฮานั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งและทักทายทีละคนจนเห็นสีหน้าของลูกเจี๊ยบตัวที่ห้าที่อยู่ท้ายสุดดูแปลกๆ นางจึงส่งสัญญาณมือออกไป 


 


“ยอนฮวา เจ้าไม่สบายหรือ” 


 


“ไม่…ไม่เพคะ” 


 


“ไม่อะไรกัน” 


 


รยูฮายกมือขึ้นแตะตรงหน้าผากของยอนฮวา 


 


“ไม่มีไข้ หรือว่าปวดท้อง” 


 


“นอนน้อยเลยเหนื่อยเพคะ ไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ พระชายา” 


 


“งั้นหรือ งั้นพอกลับมาแล้วเจ้าก็กลับไปพักที่ที่พักเสีย” 


 


“ขอบพระทัยเพคะ พระชายา” 


 


ในขณะที่เหล่านางในอยากจะแต่งตัวให้รยูฮาเพิ่มอีกนิด แต่รยูฮากลับอยากประดับเครื่องประดับให้น้อยลง สองฝ่ายจึงยื้อยุดกัน แล้วยอนฮวาก็ถูกลืมไปในไม่ช้า ในที่สุดก็ได้ข้อตกลงร่วมกันว่าจะใช้เป็นหมวกบังลมหนาวแทนการปักปิ่นปักผมรูปดอกไม้ รยูฮายกกระจกขึ้นส่องก่อนออกไปข้างนอกแล้วยิ้มอย่างสดใสบนใบหน้าที่ฉายความยินดี 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


“ทำไมออกมาช้าเช่นนี้ ข้ารอตั้งนาน” 


 


ฮอนสวมชุดมังกรสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาทอย่างสง่างาม เขาเดินไปมาตรงลานด้านหน้าแล้วเข้าไปจับมือของรยูฮาเอาไว้แน่น อุณหภูมิที่สัมผัสตรงปลายนิ้วร้อนขึ้น รยูฮารู้สึกได้จึงยกยิ้มขึ้นพลางจับผิด 


 


“ทรงรอหม่อมฉันตั้งนาน แต่มือยังอุ่นอยู่เลยนะเพคะ” 


 


“โทษที ข้าเพิ่งมาถึง” 


 


เขาหวังว่ารยูฮาจะเป่ามือให้เหมือนตอนที่ออกมารอพระราชาตรงลานด้านหน้าเหมือนครั้งที่แล้ว ฮอนคิดว่าคราวหน้าต้องทำมือให้เย็นก่อนแล้วค่อยมาเสียแล้ว ก่อนจะชื่นชมหมวกที่มีขนติดอยู่บนผ้าลำสีของรยูฮา 


 


“สวมหมวกนี่เอง น่ารักเชียว” 


 


“พวกนางจะติดนั่นติดนี่ให้ หม่อมฉันก็ต้องเอาตัวรอดเพคะ” 


 


“ปักที่ปักผมรูปดอกไม้ก็สวย สวมหมวกก็สวย แต่ว่า…” 


 


ฮอนรั้งเอวของรยูฮาเข้ามาแล้วกระซิบเบาๆ ข้างหู 


 


“ตอนไม่ใส่อะไรสวยที่สุ…โอ๊ย!” 


 


บทลงโทษที่กวนใจนางแต่เช้าคือถูกหยิกสีข้างอย่างแรง ชนิดที่ว่าเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทีเดียว แต่เพราะด้านหลังมีนางในยืนเรียงกันอยู่จึงหยุดแค่นี้ ถ้าอยู่กันสองคนคงได้จุมพิตลงบนแก้มหรือไม่ก็งับลงตรงหู ในระหว่างที่นางในพากันหัวเราะ การหยอกล้อที่กวนใจก็ดำเนินต่อไป จนเท้าของทั้งคู่ที่เดินเคียงคู่กันมาหยุดอยู่ตรงแถววังชังชุน 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาทและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


“ทำไมเป็นทางการขนาดนั้นเสด็จพี่ จะเสด็จไปวังชังชุนหรือ ไปด้วยกันเถอะ” 


 


ร่างของฮอนที่ยิ้มร่าและเดินนำไปหนึ่งก้าวบังรยูฮาจากสายตาของชานพอดีโดยบังเอิญ ชานรู้สึกได้ถึงรสขมที่ตีตื้นเข้ามาในปาก แล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง 


 


“กระหม่อมเพิ่งออกมา ฝ่าบาทเข้าไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


พระชายามาที่วังชังชุนบ่อย พออากาศหนาวเย็นขึ้นการมาเยี่ยมก็ยิ่งบ่อยขึ้น เหล่านางในพากันชื่นชม ฮอนรู้เพราะแม้แต่ในพระราชวัง กำแพงก็ยังมีหูและประตูก็มีตา เมื่อทั้งคู่เดินผ่านไป เงาของพระชายาก็เข้ามาในสายตาของชานที่ยังคงก้มมองพื้นอยู่  


 


เงานั่นผ่านข้อเท้าของเขาแล้วจู่ๆ ก็หยุดชะงัก ชานได้แต่ยืนกุมมือของตัวเองที่เย็นเฉียบเนื่องจากอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นเลย เมื่อเงยหน้าขึ้นเงานั้นก็หายไปแล้ว มีแค่ภาพเบื้องหลังอันอ่อนโยนของทั้งคู่ที่เดินห่างไกลออกไปที่เข้ามาในสายตาเย็นชาของชาน ฮอนและรยูฮาที่ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมาสักครั้งเดินเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รู้ว่าชานเป็นเช่นนั้น 


 


 


 


“เสด็จย่า รยูฮามาแล้วเพคะ” 


 


“โธ่ อากาศหนาวเช่นนี้ยังมาที่นี่อีก นั่งลงก่อน พระชายา” 


 


รยูฮาผู้ซึ่งกลายเป็นเด็กสิบขวบและทำตัวเหมือนเด็กเลื่อนเก้าอี้ออกมาตรงเตาผิงไฟด้วยตัวเองกับภาพของพระพันปีที่กำลังจุดไฟตรงเตาผิงไฟดูเหมาะอย่างน่าประหลาด ฮอนเฝ้ามองทั้งคู่อยู่ข้างๆ เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้างพระพันปี ข้างนอกมีพายุหิมะ พายุนั้นพัดมาถึงจุดที่ลึกที่สุดของพระราชวัง แต่ว่าภายในวังชังชุนที่เหลือเครื่องประดับตกแต่งไม่กี่ชิ้นกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น 


 


“ระหว่างมาเจอกับเสด็จพี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จมาเร็วเหมือนกัน” 


 


“องค์ชายสองหรือ อ้าว มาแล้วทำไมถึงไม่เข้ามา” 


 


รยูฮาที่กำลังเอามืออังไฟตรงเตาผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮอนสังเกตเห็น สายตาของฮอนที่สบกันพอดีในชั่วพริบตาเปี่ยมไปด้วยความหมายเดียวกัน ชานบอกว่าเข้ามาแล้ว งั้นที่เขาเดินเตร่ไปมารอบวังชังชุนหมายความว่า… 


 


“ดูเหมือนว่าคงทรงหลีกทางให้พวกหม่อมฉันได้ใช้เวลาร่วมกันเสด็จย่านานๆ เพคะ” 


 


ฮอนยกยิ้มให้กับคำพูดของรยูฮาที่หันกลับไปแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย 


 


“องค์ชายสองก็เป็นแบบนั้น พระสนมมุนโหดร้ายกับโอรสมากตั้งแต่เด็ก แต่พระสนมยอน…” 


 


พระพันปีพูดถึงตรงนี้แล้วเม้มปากเงียบอีกครั้ง เรื่องราวแม่บังเกิดเกล้าของฮอนถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างไม่รู้ตัว ฮอนยิ้มแห้งแล้วค้นหาเกาลัดที่สุกดีแล้วในเตาออกมาหนึ่งลูก 


 


“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครพูดเรื่องเสด็จแม่ของกระหม่อมให้ฟังเลย พระพันปีช่วยเล่าให้ฟังหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


ตอนนี้เองพระพันปีผู้ซึ่งเฝ้ามองภาพของหลานชายที่กลิ้งเกาลัดไปมาแล้วเป่าราวกับได้ย้อนไปยังสมัยเป็นเด็ก จึงยิ้มออกมาเงียบๆ แล้วเปิดปากอีกครั้ง 


 


“เป็นผู้หญิงที่อบอุ่นแล้วก็น่ารักมาก องค์ชายสองถ้าอยู่กับพระสนมยอนคงหลุดจากนิสัยเด็กที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่และเป็นเหมือนเด็กทั่วไป” 


 


“เสด็จพี่เป็นเด็กที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


“องค์ชายสองจะดูเป็นเด็กก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าพระสนมยอนเท่านั้น พระสนมมุนเองก็คงรู้ดี นางดูไม่พอใจแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าองค์ชายสองแอบไปหาพระสนมยอน ความจริงแล้วก็เหมือนเลี้ยงลูกชายสองคน ก็เท่ากับว่ามีพี่น้องสองคนที่สามารถพึ่งพากันได้เกิดขึ้นในพระราชวังที่เงียบเหงานี้ไม่ใช่หรือ” 


 


“แต่ความสัมพันธ์คู่พี่น้องไม่ได้เป็นไปตามนั้น ปัญหาคือตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวและความโลภของเหล่าบริวารที่ห้อมล้อมพวกเขาก็ยิ่งเป็นปัญหา แย่แล้ว คนแก่พูดมากไปแล้ว” 


 


พระพันปีผ่าเกาลัดออกครึ่งหนึ่งแล้วเอาเข้าปาก ส่วนที่เหลือป้อนเข้าปากหลานสะใภ้ที่นั่งอยู่ข้างๆ รยูฮาไม่ปฏิเสธเพราะเกรงใจและรับเอาสิ่งนั้นมากิน นางขยับปากและยิ้มหวาน แต่ในหัวกลับวุ่นวายไปหมด 

 

 

 


ตอนที่ 9-2

 

พระพันปีไม่ใช่คนที่จะไม่ระมัดระวังคำพูดที่ออกจากปาก เพราะอยู่ในฐานะผู้หญิงที่มีตำแหน่งสูงสุดในพระราชวังแห่งนี้มานานหลายสิบปี ตอนนี้คนแก่ผู้ชาญฉลาดคนนี้กำลังสอนบางอย่างกับทั้งคู่ พระสนมยอน, พี่น้อง, ตำแหน่งที่มีหนึ่งเดียว, ผู้หญิง, ความโลภ ในนั้นเหมือนจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกัน ทำให้ความคิดยุ่งเหยิงไปหมด 


 


“เพราะพระชายา คนแก่ถึงได้พลอยกินเกาลัดที่องค์รัชทายาทแกะไปด้วย” 


 


“เกาลัดกระหม่อมเป็นคนแกะ ทำไมถึงว่าเพราะพระชายาล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


ถึงจะบ่นพึมพำแต่มือก็ง่วนไปกับการแกะเกาลัด และส่งต่อไปที่มือย่นของพระพันปี แล้วสิ่งนั้นก็ถูกป้อนเข้าไปในปากของฮอนที่บ่นพึมพำทั้งลูกเพื่อปิดปาก 


 


“พระชายาพาองค์รัชทายาทมาถึงได้มาแกะเกาลัดอยู่อย่างนี้ไม่ใช่หรือ ความจริงก่อนพระชายาจะถูกรับเข้ามาปีหนึ่ง กว่าย่าคนนี้จะได้เจอหน้าเจ้ายังยากเลยมิใช่หรือ” 


 


“จริงหรือเพคะ เสด็จย่า ดูท่าพระชายาคนนี้ต้องพาองค์รัชทายาทมาบ่อยๆ เสียแล้วสินะเพคะ” 


 


“กลับไปเถอะ อากาศหนาวจะเป็นหวัดเอาได้ รักษาสุขภาพจนกว่าฤดูหนาวจะผ่านพ้นไป” 


 


“เสด็จย่าก็ทรงจุดไฟเตาผิงไว้แบบนี้ก็ได้ หากเข้ามาด้านในจะได้อบอุ่นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


รอยยิ้มของพระพันปีที่ยกยิ้มเงียบๆ เพราะคำพูดนั้นคล้ายกับนกที่อยู่ในกรงทอง รยูฮาคิดอย่างนั้น หญิงสาวที่เคยน่ารักและสดใสเหมือนดอกไม้ถูกขังอยู่ในพระราชวังแล้วอายุก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในขณะที่แก่ตัวลงดูเหมือนว่านางจะลืมแม้กระทั่งวิธีหัวเราะแบบส่งเสียงออกมา 


 


ค่าตอบแทนที่ได้คืออะไร หญิงสูงส่งที่สุดในประเทศที่ซึ่งทุกคนแหงนหน้ามอง เสด็จแม่ของพระราชา ไม่ว่าจะชื่อเรียกแบบไหนสำหรับคนแก่คนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลย ทั้งอำนาจในมือ ทั้งทองเต็มห้องและสิทธิพิเศษอันล้นเหลือ ทั้งหมดนั้นช่างไร้ความหมาย เพราะถ้าเทียบกับมือที่เป่าและแกะเกาลัดให้ตอนนี้ทุกอย่างก็ไม่มีค่าอะไรเลย  


 


แต่รยูฮาก็รู้ว่าภาพของพระพันปีในตอนนี้นั้นจะเป็นภาพของนางเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเช่นกัน พลอยสีแดงที่พระพันปีมอบให้กับพระราชินี และพระราชินีส่งต่อให้พระชายาขององค์รัชทายาทเป็นตัวบอกให้รู้ว่าคงเป็นเช่นนั้น 


 


“กลับไปกันได้แล้ว ไหนจะเตรียมงานเลี้ยงตอนเย็นอีกคงเหนื่อยแย่” 


 


 ไฟในเตาผิงที่เคยลุกโชนค่อยๆ แผ่วลง เกาลัดที่อยู่ในนั้นก็ถูกหยิบออกมาจนเริ่มเห็นพื้น พระพันปีเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน 


 


“พอคิดว่าตอนเย็นจะได้เจอกันอีกก็ดีใจแล้วเพคะ” 


 


“พระชายาของย่าไปเรียนคำพูดน่ารักแบบนี้จากที่ไหนกันหรือ” 


 


รยูฮาจับมือเ**่ยวย่นนั้นไว้แน่นแล้วยิ้มสดใส นางเชิญให้พระพันปีกลับเข้าไปอีกครั้งเพราะอีกฝ่ายตั้งใจจะออกมาข้างนอก รยูฮาเดินออกมาจากวังชังชุนได้สักพักจึงหันกลับไปมองฮอนที่เดินตามหลังมา 


 


“ตามมาทำไมเพคะ” 


 


“อืม เจ้าเหนื่อยเรื่องเตรียมงานเลี้ยงงั้นรึ” 


 


ฮอนเข้ามาตามคำสั่งก่อนหน้านี้ แต่เป็นวัฒนธรรมที่ว่าองค์รัชทายาทจะเรียนเรื่องงานราชการอยู่ข้างๆ พระราชา ดังนั้นรยูฮาจึงทำได้เพียงดันหลังให้ฮอนออกไป 


 


“ยังไม่ใช่เวลางานเลี้ยง รีบไปร่ำเรียนเถอะเพคะ” 


 


หลังของรยูฮาที่ไล่ฮอนอย่างเย็นชาแล้วหันกลับไปถูกดึงเข้ามากอด เหล่าผู้ติดตามพากันหมุนตัวและโค้งตัวลงเพราะการแสดงความรักที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายของทั้งคู่ ซึ่งในบรรดานั้นการเคลื่อนไหวของยอนฮวาเร็วที่สุด 


 


“พวกเขาจะนินทาเอาได้ ปล่อยเถอะเพคะ” 


 


“ยกเว้นเรื่องอากาศที่หนาวเหน็บแล้ว ตอนนี้ไม่สวมหมวกคงจะดีเสียกว่า” 


 


ฮอนฝังใบหน้าลงบนต้นคอเรียวขาวของรยูฮาในขณะที่กอดนางจากทางด้านหลังแล้วกระซิบ ดูแล้วแม้แต่น้ำเสียงก็ยังทำให้รู้สึกดีดูเหมือนว่าความรักจะทำให้ตาบอดเสียแล้ว 


 


“ไหนว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สวยและน่ารักไงเพคะ” 


 


“ตอนนี้ข้าอยากกัดหูเจ้า แต่หมวกบ้านี่มันบังอยู่ไม่ใช่หรือ” 


 


รยูฮายิ้มร่าแล้วหันมา ขณะนั้นแก้มของฮอนก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มที่สัมผัสลงมา จากนั้นก็ทิ้งร่องรอยเลือนรางไว้แล้วผละออกไป 


 


“เรียนเสร็จแล้วมานะเพคะ หม่อมฉันจะบอกให้พวกเขายกสำรับมาที่วังซึงกอน” 


 


“ข้าไม่รับสำรับเช่นนั้น” 


 


ฮอนงับลงบนริมฝีปากของรยูฮาที่ผละออกอย่างน่าเสียดายเมื่อครู่ 


 


“คิดเรื่องตั้งใจเรียนเถอะเพคะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” 


 


ไม่มีใครขี้เกียจแล้วได้ดี รยูฮาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนริมฝีปากที่ทำให้รู้สึกดีแล้วเดินไปทางวังซึงกอนโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ลมพัดมาอย่างหนาวเย็น นางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะหนาว เป็นเพราะนางใส่ใจกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของเหล่านางในที่เดินตามมาต่างหาก ฮอนเห็นแล้วเข้าใจผิดว่ารยูฮารีบเดินออกไปเพราะอยากรีบแยกจากตน เขาจึงเตะลงบนแง่งหินด้วยความเสียใจ จากนั้นจึงเดินกลับไปอีกทาง 


 


“จูฮวัน” 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


ขันทีรับรู้ได้ถึงความขุ่นข้องหมองใจของฝ่าบาทที่เดินนำอยู่ข้างหน้าจึงโค้งตัวลงจนสุดแม้ไม่ได้ทำผิด 


 


“ทำอย่างไรรยูฮา ไม่สิ พระชายาถึงจะหลงเสน่ห์ข้าแล้วชวนให้อยู่ด้วยกันทุกวัน” 


 


ต่อให้ฟ้าแยกเป็นสองฝั่งก็คงไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ นั่นคือความคิดของจูฮวัน แน่นอนว่าออกมาเป็นน้ำเสียงไม่ได้ เขาจีบปากจีบคอแล้วพูดแปลกๆ ออกมา 


 


“ทรงทำในสิ่งที่พระชายาน่าจะชอบสิพ่ะย่ะค่ะ” 


 


“สิ่งที่น่าจะชอบ…” 


 


ฮอนครุ่นคิดและจมสู่ความคิดโดยไม่รู้ว่าคำพูดนั้นจูฮวันพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะต้องการจะเป็นองค์รัชทายาทที่มีความอดกลั้นเลยกลายเป็นว่าเขาไม่พยายามหรือ ถ้าเป็นเรื่องเรียนเขาก็ตั้งใจอย่างไม่ให้มีข้อบกพร่อง เรื่องฝึกฝนการต่อสู้เขาก็ตั้งใจทำอย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่มีคำชมเลยสักคำ 


 


มาคิดดูแล้ว รยูฮาแทบจะไม่เคยขอร้องอะไรเพื่อตัวเองเลย อย่างมากก็คือขอให้เอาของว่างเข้าไปให้หรือให้ช่วยบีบนวดตรงไหล่ เพราะอย่างนั้นการคาดหวังคำชมจากคำไหว้วานจึงเป็นเรื่องไร้เหตุผล 


 


“ดูเหมือนว่านอกจากเรื่องที่ข้าเรียนแล้วก็ฝึกต่อสู้ พระชายาก็ไม่สนใจอย่างอื่น” 


 


“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ลองหาสิ่งที่หากเป็นสตรีไม่ว่าใครก็ชอบดูพ่ะย่ะค่ะ” 


 


ฮอนลืมเรื่องที่เตะแง่งหินไปแล้ว เขาเดินช้าๆ และตกอยู่ในห้วงความคิด สิ่งที่หากเป็นสตรีไม่ว่าใครก็ชอบ เหมือนมีหางม้าฟาดลงในหัวตรงไหนสักแห่ง  


 


“อ๋อ!” 


 


ฮอนหยุดฝีเท้าแล้วอุทานออกมา ทำไมคิดไม่ถึงกันนะ สิ่งที่หากเป็นสตรีไม่ว่าใครก็ชอบ ไม่ใช่บ้านของพ่อแม่ตัวเองหรอกหรือ น้ำเสียงของรยูฮาที่บอกว่าส่งมินอาไปแทนตัวเองเมื่อคืนวนเวียนอยู่ข้างหู 


 


“จูฮวัน ต้องรอนานสักแค่ไหน กว่าพระชายาจะออกไปข้างนอกได้” 


 


“ถ้าว่ากันตามกฎมณเฑียรบาล หลังจากงานอภิเษกเข้าปีที่สามถึงจะออกไปได้ แต่ว่าในหนึ่งปีออกไปได้ไม่เกินสามครั้ง สองครั้งก็ถือว่าบ่อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


“ทำไมถึงได้น้อยขนาดนั้น” 


 


“เดิมทีออกไปได้ตั้งแต่ปีแรกและจะออกไปกี่ครั้งก็ย่อมได้ แต่เพราะพระราชินีและพระสนมของพระราชาก่อนหน้านี้ทรงฟุ่มเฟื่อยมาก ทุกครั้งที่เสด็จกลับบ้านก็จะทรงใช้เงินพระคลังเยอะมาก พระราชาทนดูไม่ได้จึงลดขอบเขตลง กำหนดให้หนึ่งปีออกไปได้สามครั้งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


พระราชาองค์ก่อนหน้านี้เป็นคนกำหนดไว้หรือ กำแพงใหญ่กว่าที่คิดไว้ ทำไมใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟื่อยไร้สาระขนาดนั้น ฮอนเจ็บแค้นพวกหล่อนอยู่ในใจและคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นไปจนจบงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในตอนเย็น 


 


“ใช่! งานแข่งขันล่าสัตว์!” 


 


“พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


“ข้าชนะการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ไม่ใช่หรือ! พระราชาบอกว่าจะให้รางวัลใหญ่ ดูท่าต้องขอให้พระชายาได้กลับบ้านแทนรางวัลใหญ่เสียแล้ว คิดว่าอย่างไร” 


 


“เป็นความคิดที่ฉลาดเฉลียวมากพ่ะย่ะค่ะ พระชายาคงหลงเสน่ห์พระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


จูฮวันผู้ซึ่งดูแลอยู่เคียงข้างฮอนมาตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องใช้งานคนโดยใช้คำชมและคำเตือนไม่มีใครตามเขาได้ ฮอนยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปใหญ่กับคำชมเคลือบน้ำผึ้งของจูฮวัน เขาตั้งใจว่าตอนเช้าจะจูงมือกันไปยังบริเวณป้อมปราการ ตอนนี้หาภาพที่ก่อนหน้านี้เดินตัวเบาทำหน้าสลดไม่เจอแล้ว 


 


 


 


* * *  

 

 


ตอนที่ 9-3

 

 


 


 


“องค์รัชทายาทไม่ได้บอกว่าจะเสด็จมาหรือเพคะ พระชายา” 


 


 


ยอนฮวาเดินถือสำรับเข้ามาตรงหน้ารยูฮาแล้วกวาดตามองสิ่งที่วางอยู่ด้านข้างทีละอย่าง จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างลังเล 


 


 


“คงเสด็จมายากเพราะมีเรื่องต้องปรึกษาหารือพระราชา บอกว่าจะมารับก่อนเริ่มงานเลี้ยง แต่ก็อย่าไปรอเลย” 


 


 


รยูฮาบอกว่าไม่ต้องจัดเตรียมการต้อนรับองค์รัชทายาทอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ใบหน้าอันเป็นกังวลของยอนฮวาที่ปรากฏขึ้นก็ปิดซ่อนไว้ไม่ได้ รยูฮามองด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสลงตรงหลังมือของยอนฮวาผู้เป็นกังวลเพื่อวัดไข้ 


 


 


“ละเลยไม่ได้เลยเชียว ช่วงนี้อากาศหนาว ไม่ใช่ว่าเจ้ามีไข้งั้นหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ พระชายา อยู่ข้างนอกแล้วเข้ามาเลยตัวร้อนเพคะ” 


 


 


จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ภายในห้องที่รยูฮาอยู่มักจะอบอุ่นอยู่เสมอจนไม่แปลกที่จะบอกว่าเหงื่อไหล แต่ตรงโถงทางเดินที่เหล่านางในออกไปยืนนอกประตูนั้นหนาวเย็นเกินกว่าจะบรรยาย ไม่สามารถวางเตาผิงเอาไว้ตรงโถงทางเดินได้ รยูฮาครุ่นคิดอยู่นานจากนั้นจึงจัดการความคิดแล้วเปิดปาก 


 


 


“รอประเดี๋ยว ไหนๆ เงินคลังของวังซึงกอนก็เหลือเยอะไม่ใช่หรือ ข้าจะบอกมินอาให้เอาสำลีกับผ้าไหมมาให้ แล้วแต่ละคนก็เอาไปเย็บเสื้อผ้าหนาๆ ใส่ให้อุ่นเสีย ข้าเองก็อยากบอกห้องตัดเย็บให้เย็บให้พวกเจ้าเหมือนกัน แต่ทางนั้นก็ยุ่งเกินกว่าจะตัดให้พวกเจ้า หากตัดเสร็จดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิก็คงบานพอดี นอกจากนั้นแล้วพวกเจ้ามาเอาเตาผิงไปไว้ที่ห้องของตัวเองคนละอันเสียด้วยล่ะ ไม่ต้องกังวลให้มากความ เพราะนี่เป็นคำสั่ง” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องจะมาร้องไห้ ลองไม่ฟังคำสั่งข้าดูสิ ถ้ามีห้องไหนหนาว ข้าจะไปขนเตาผิงไปใส่ไว้ให้เองเลย คอยดูสิ” 


 


 


ฤดูหนาวแรกในพระราชวังมีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะ เป็นความผิดของนางเองที่ไม่ได้คิดถึงเหล่านางใน รยูฮาวางตะเกียบลงและตัดสินใจว่าจะให้พวกนางเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่ตอนฤดูใบไม้ร่วง คิดเช่นนั้นพลางเช็ดมุมปาก 


 


 


“ยกออกไป” 


 


 


“ต้องเสวยอีกนะเพคะ พระชายา” 


 


 


ยางจิน นางในผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในบรรดานางในรบเร้าอยู่ด้านข้าง พยายามให้รยูฮากินอีกแม้จะเพียงช้อนเดียวก็ตาม เป็นภาพที่เกิดขึ้นเกือบทุกมื้ออาหารแต่ก็ไม่เคยจบลงที่ชัยชนะของยางจินเลยสักครั้ง 


 


 


“อีกสักพักจะมีงานเลี้ยงมิใช่หรือ ยกออกไปก่อนเถิด แล้วพวกเจ้าเองก็รีบไปกินข้าวเสีย ข้าตื่นเช้าเลยรู้สึกเหนื่อย ดูท่าต้องพักสายตาเสียหน่อย” 


 


 


รยูฮาสะบัดมือไล่เหล่านางในให้ออกไปราวกับรำคาญ จากนั้นก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงราวกับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เหล่านางในพากันถอนหายใจแล้วยกถาดอาหารที่ดูไม่ต่างจากตอนแรกที่ยกเข้ามาออกไป 


 


 


“ว้าว อันนี้ข้าชอบที่สุด” 


 


 


โซฮวาผู้ชื่นชอบของกินเห็นแล้วถึงกับกลืนน้ำลาย ยางจินกลอกตาไปมาอย่างเย็นชาแล้วหยิกเข้าที่ท้องอวบอั๋นของโซฮวา 


 


 


“ไม่ดูตาม้าตาเรือ อาหารนี้พระชายาเองก็โปรดปรานมากเช่นกัน แต่ทรงไม่แตะต้องเพราะให้พวกเราได้กินไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“งั้นเราก็ต้องกินให้อร่อย อ้า หิวแล้ว รีบยกไปกันเถอะ” 


 


 


เหล่านางในทุกคนจะกินอาหารที่เจ้านายของตนกินเหลือ ไล่ลำดับจากผู้ที่มีตำแหน่งและประสบการณ์ทำงานสูงไปยังต่ำ เหล่านางในระดับล่างจึงมักจะหิวอยู่เสมอ แต่ในวังซึงกอนไม่มีเรื่องน่าห่วงเช่นนั้น รยูฮาไม่เสียดายเงินพระคลังและสั่งอาหารอย่างพอเพียงเพื่อให้ยกขึ้นโต๊ะเสวย จากนั้นก็มักจะเหลืออาหารอร่อยไว้ให้เหล่านางในเกือบทั้งหมด เหล่านางในที่เป็นที่น่าอิจฉาไม่ใช่นางในวังกอนชองของพระราชาหรือวังชานยองของพระมเหสี หากแต่เป็นนางในที่อยู่ในวังซึงกอนต่างหาก 


 


 


“โชคดียิ่งนัก คนชั้นต่ำอย่างเราชีวิตก็ผกผันตามเจ้านายมิใช่หรือ จะเจอเจ้านายอย่างพระชายาได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน” 


 


 


โซฮวาวางสำรับอาหารไว้ตรงหน้าแล้วจับตะเกียบพลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมา นางในที่เหลือต่างพากันพยักหน้าและตอบรับอย่างเห็นด้วย 


 


 


“พระชายาช่วยแม้กระทั่งค่ายาของท่านแม่ข้า เพราะพระองค์ข้าถึงได้พาท่านแม่ไปโรงหมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวง อาการท่านแม่จึงดีขึ้นจนเดินเหินได้ หากอาศัยเพียงแค่เงินและสิ่งของของข้า รวบรวมอยู่สามเดือนก็ยังไม่ได้” 


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพระชายาขึ้นเป็นพระมเหสี…” 


 


 


ยางจินลดเสียงต่ำลงแล้วมองไปรอบๆ 


 


 


“บอกว่าจะพาพวกเราไปทั้งหมดไม่ใช่หรือ จะได้เข้าไปในวังชานยอง! เพราะงั้นต่อไปเราก็จะกลายเป็นนางในสูงสุด” 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


เหล่านางในที่นั่งล้อมวงกันคาดหวังไปกับอนาคตสีชมพูที่ฟุ้งอยู่ตรงหน้า สิ่งที่ยอมรับได้อย่างยากเย็นคือเข้าวังมาตั้งแต่หกขวบในฐานะเด็กตักน้ำล้างหน้าให้ขันทีและทำงานจนตายในชุดสีม่วงของนางใน ดูแล้วถ้าสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยก็จะกลายเป็นนางในชั้นสูง ได้อยู่ในห้องที่ใช้กันแค่สองคน และในบรรดาเหล่านางในที่พระราชา พระมเหสีและองค์รัชทายาทดูแลอยู่จะมีแค่พวกนางเท่านั้นที่โดดเด่นในชุดสีน้ำเงิน 


 


 


ปกติแล้วนางในสูงสุดหนึ่งคนจะมาจากวังชานยอง นางคือหัวหน้าที่แท้จริงของเหล่านางในที่แม้แต่ขันทีหรือผู้แทนก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อนางได้ตามอำเภอใจ ถ้าใส่สีเหลืองคือนางในพิเศษหรือก็คือนางสนม แต่ถ้าพระปรีชาสามารถของพระราชาลดลง ชะตาของพวกนางก็จะขาดเหมือนเชือกที่มองไม่เห็นไม่ใช่หรือ นางในสูงสุดที่มีอำนาจไปจนตายและเรียกเด็กๆ ที่อยู่ในปกครองมาได้คือความฝันสูงสุดของเหล่านางใน 


 


 


“ยอนฮวา ทำไมสีหน้าของเจ้าถึงได้แย่เช่นนั้นเล่า หมู่นี้ดูแปลกๆ อันนั้นถ้าเจ้าไม่กินข้ากินได้ไหม” 


 


 


โซฮวายัดข้าวเข้าไปในปากจนปากจะฉีกพลางเหลือบมองยอนฮวาแล้วเอียงคอ เดิมทีก็จับตะเกียบอย่างฝืนๆ อยู่แล้วมาคราวนี้ส่วนของยอนฮวาแทบจะไม่พร่องไปเลย 


 


 


“เปล่าเจ้าค่ะ ท่านพี่ อาจจะเพราะฤดูเปลี่ยนเลยไม่อยากอาหารเจ้าค่ะ” 


 


 


นางวางตะเกียบลงเงียบๆ แล้วออกไปข้างนอก นางรู้ดีกว่าใครว่ามีชีวิตโดยได้รับความอุปถัมภ์มากขนาดไหน ตอนที่สูงเท่าเอวในตอนนี้นางโชคดีที่ถูกพาเข้าวังมา เพราะครอบครัวของนางนั้นทั้งยากจน ทั้งอดอยากและรันทดเป็นอย่างมาก 


 


 


ระหว่างทางไปชายแดนตอนที่เท้าฉีกเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับการรักษาจากหมอ นางไม่สามารถลืมวันที่นั่งกลับมาบนหลังม้าได้เลย ยิ่งเวลาผ่านไปหัวใจของยอนฮวายิ่งเป็นสีดำ นางย่อตัวนั่งลงและแก้มก็ขึ้นสีแดงเรื่อเพราะลมที่พัดอยู่ด้านนอกจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ 


 


 


“มาทำอะไรตรงนี้” 


 


 


น้ำเสียงของความยินดีดังก้องขึ้นในหัวใจ ยอนฮวาตั้งใจจะลุกขึ้นแต่เป็นเพราะนั่งอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเป็นเวลานานทำให้ขาไร้เรี่ยวแรงและไม่เชื่อฟัง ในระหว่างที่อุทานออกมาร่างกายก็เอียงไปข้างหน้า 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


คาดว่าหน้าจะทิ่มลงบนพื้นโคลนในไม่ช้านางจึงหลับตาแน่น แต่ว่าสิ่งที่สัมผัสกับร่างกายของยอนฮวาไม่ใช่โคลนที่เย็นเฉียบแต่เป็นอุณหภูมิร่างกายที่ทั้งอบอุ่นและแข็งแรง 


 


 


“ขอ…ขออภัยเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ยอนฮวาที่ตอนนี้กลายเป็นมันเทศสุกดีในชั่วพริบตาถึงกับตัวแข็งทื่อและโค้งตัวลงจนสุดอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฮอนชักแขนที่ยื่นออกไปกลับมาที่เดิมแล้วเดินเข้าไปด้านใน 


 


 


“พระชายาทำอะไรอยู่รึ” 


 


 


“ทรงว่าบอกเหนื่อย จะบรรทมสักครู่เพคะ” 


 


 


“ไม่ต้องบอกพระชายะล่ะ ข้าจะเข้าไปเงียบๆ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้” 


 


 


ฮอนย่องไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ โดยปล่อยเหล่านางในที่พามาด้วยไว้ตรงโถงทางเดินแล้วเปิดประตูออก เขาเห็นรยูฮานอนอยู่บนเตียง นี่คือโอกาส ฮอนเข้าไปใกล้เตียงแล้วดึงรยูฮาเข้ามากอดก่อนจะจุมพิตไปทั่วใบหน้าของนาง 


 


 


“อื้อ ฝ่าบาท อะไรกันเพคะ” 


 


 


“อยู่เฉยๆ ก่อนสักครู่” 


 


 


ห้องที่ไม่มีใครเห็น ขอแค่ตัดสินใจว่าจะทำรยูฮาก็สามารถทำให้ร่างกายของฮอนแตกเป็นเสี่ยงได้แต่นางก็ไม่ทำ ฮอนผู้ไม่รู้ตัวว่ากำลังขย้ำเสือไม่ใช่กระต่ายง่วนไปกับการก่อกวนตรงต้นคอ 


 


 


“พระชายา ตอนนี้ต้องเตรียมตัวไปงานเลี้ยงแล้วเพคะ” 


 


 


“ถึงเวลาแล้วหรือ อ้า ฝ่าบาท ช่วยอยู่เฉยๆ หน่อยเพคะ” 


 


 


“แล้วเจ้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือ” 


 


 


“ต้องรีบเพคะ จะไปสายกว่าพระราชาไม่ได้เพคะ”  

 

 


ตอนที่ 9-4

 

เสียงของยอนฮวาที่เตือนมาจากข้างนอกดูเหมือนจะเร่งด่วนเสียจริง นางหลับไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ รยูฮาเอียงคอดันร่างชของฮอนออกไปอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงรั้งใบหน้าของเขาเข้ามา จุมพิตลงตรงริมฝีปาก แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง 


 


 


“เตรียมตัวแล้วเข้ามาได้เลย” 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


ยอนฮวาเข้ามาแล้วก็จัดแจงเหล่าเครื่องประดับวางเรียงเป็นแถว แต่ไม่เห็นเหล่านางในคนอื่น รยูฮาที่นั่งตรงโต๊ะเครื่องแป้งแล้วจัดผมด้วยปลายนิ้วถามว่าแล้วคนอื่นล่ะ ตรงต้นคอของนางปรากฏรอยแดงที่ก่อนหน้านี้ไม่มี 


 


 


“บอกว่าจะไปจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้เพคะ… เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปอีกครั้งเพคะ” 


 


 


รยูฮามองยอนฮวาที่หลบสายตาแล้วหายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเบนสายตากลับมาที่กระจกอีกครั้ง พอดูอย่างละเอียดจึงเห็นรอยกลีบดอกไม้ที่ฮอนทิ้งไว้เมื่อครู่ระหว่างต้นคอและไหล่มันชัดเจนมาก อ้า เห็นตรงนี้นี่เอง รยูฮาปลายตามองฮอนที่สะท้อนตรงกระจกแล้วใช้มือปิดตรงนั้นไว้ 


 


 


“อันนี้จะทำอย่างไรเพคะ” 


 


 


“เจ้าเองก็ชอบมิใช่หรือ” 


 


 


“หม่อมฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าช่วยออกไปด้วยเพคะ” 


 


 


“อยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ เราเป็นสามีภรรยา… อ้า…เข้าใจแล้ว จะอายอะไรกัน” 


 


 


ฮอนเลี่ยงสายตาของรยูฮาที่ทอดมองมาผ่านกระจกไปยังห้องข้างๆ เสียดายเหลือเกินถ้ายอนฮวาไม่เรียกคงทำได้มากกว่านี้อีกนิด ห้องที่อยู่ด้านข้างมีเตียง โต๊ะและเก้าอี้วางอยู่อย่างไร้ชีวิตชีวาราวกับไม่ได้ใช้มานานแต่ก็สะอาดสะอ้าน ฮอนนอนกลิ้งไปมาตรงเตียงว่างนั้นสักพักก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับไป 


 


 


“ไม่มีชุดที่ปกเสื้อสูงกว่านี้หรือ” 


 


 


ในขณะเดียวกันในห้องของรยูฮา นางกำลังส่ายหน้าให้กับเสื้อผ้าแต่ละชุดด้วยสีหน้าเหลืออดและกำลังทะเลาะกับเหล่านางในที่พากันยกยิ้ม 


 


 


“ชุดนี้สูงที่สุดแล้วเพคะ พระชายา ไม่มีชุดไหนที่ปิดบังได้หรอกนะเพคะ” 


 


 


“ตัวนั้นมันหรูหราเกินไป” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ใส่ตัวนี้เพคะ” 


 


 


ชุดที่ยางจินยกขึ้นมาดูเรียบกว่าตัวเมื่อครู่เล็กน้อยแต่ก็เผยให้เห็นผิวมากไป รยูฮาถอนหายใจเลือกชุดหรูหราด้วยสีหน้าไม่เต็มใจเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกปิดรอยที่ถูกประทับตรงระหว่างต้นคอและไหล่ได้ 


 


 


“หม่อมฉันจะไม่เกล้าผมขึ้นไปหมดเพคะ จะปล่อยระต้นคอเอาไว้ คงจะช่วยปกปิดได้แต่ต้องระวังลมหน่อยนะเพคะ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ได้ เฮ้อ จริงๆ เลย” 


 


 


เหล่านางในรับคำรยูฮาอย่างสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน แล้วมือของพวกนางก็เริ่มเป็นระวิง เหล่านางในเกล้าผมครึ่งหัวและประดับด้วยปิ่นปักผมรูปดอกไม้และไข่มุกหลายอันอย่างคล่องแคล่ว ต่างหูห้อยพลอยสีแดงที่เข้ากับชุดถูกยกขึ้นข้างใบหน้า 


 


 


หลังจากทาแป้งบางเบาและเขียนคิ้วให้เข้มก่อนจะปัดขนตาให้ยกขึ้นด้วยแท่งไม้ ตาที่เด่นขึ้นรับกับผิวขาวยิ่งดูเด่นชัดขึ้นไปอีก สุดท้ายโซฮวาเติมริมฝีปากให้ด้วยสีดอกบัว ก่อนจะถอยหลังออกมามองเจ้านายของตนอย่างละเอียด 


 


 


“ว้าว!” 


 


 


ในที่สุดก็เสร็จแล้ว พอรยูฮาถอนหายใจด้วยความโล่งใจพร้อมลุกขึ้นจากที่นั่งก็มีเสียงอุทานดังมาจากเหล่านางในที่ห้อมล้อมอยู่ ช่างงดงามเสียจริง พระชายาของพวกเรา พวกนางในต่างพากันเชิดหน้าเชิดตาอย่างภาคภูมิใจ และเริ่มมองหาองค์รัชทายาทที่หายไปตั้งแต่เมื่อครู่ 


 


 


“องค์รัชทายาทอยู่ที่ไหนเพคะ” 


 


 


“ตามหาเขาทำไมกัน” 


 


 


“จะตามหาทำไมล่ะเพคะ ก็จะได้ให้พระองค์ทรงเห็นความงามนี้อย่างไรเล่าเพคะ” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ ต้องหลงเสน่ห์เป็นแน่เพคะ” 


 


 


“ต่อให้ไม่ทำแบบนี้ก็หลงเสน่ห์ข้าอยู่แล้ว ยอนฮวา ไปห้องข้างๆ แล้วพาฝ่าบาทมา” 


 


 


“กรี๊ด พระชายาล่ะก็!” 


 


 


รยูฮาไม่ได้ล้อเล่นเลยแต่ดูเหมือนเหล่าลูกเจี๊ยบจะเข้าใจว่าเป็นการล้อเล่น ยอนฮวาถูกสะกิดหลังและพาตัวเองออกมาจากเหล่านางกำในที่พากันหัวเราะร่วน มุ่งหน้าไปทางห้องด้านข้างเงียบๆ 


 


 


“องค์รัชทายาท พระชายาเตรียมตัวเสร็จแล้วเพคะ” 


 


 


นางบอกแล้วรออยู่นอกประตู แต่ไม่มีคำตอบรับจากข้างในเลย ไม่ใช่ห้องนี้หรือ ยอนฮวาครุ่นคิดเพียงครู่แล้วเปิดประตูเข้าไปข้างใน จากนั้นจึงปิดประตูลงแล้วเข้าไปใกล้เตียง องค์รัชทายาทบรรทมอยู่บนเตียงอย่างเรียบร้อย 


 


 


“ฝ่าบาท…?” 


 


 


เรียกเสียงเบาแต่ไม่มีคำตอบ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวเหมือนจะระเบิด ยอนฮวาหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงไปเพื่อมองใบหน้างดงามนั้นใกล้ๆ ขอเข้าไปดูใกล้กว่านี้แล้วก็ใกล้กว่านี้อีกนิด ขอแค่ดู และตอนนั้นเองที่ยอนฮวาเข้าไปใกล้ชนิดที่ว่าลมหายใจของนางสัมผัสเข้ากับฮอน 


 


 


“อุ๊บ!” 


 


 


ใครบางคนปิดปากของยอนฮวาจากด้านหลังแล้วดึงตัวนางออกมา 


 


 


“ออกมา” 


 


 


น้ำเสียงของผู้หญิงที่กระซิบข้างหูนั้นช่างเยือกเย็นและน่าหวาดเสียว ดวงตาของยอนฮวาถูกแช่แข็งเพราะความกลัว มองเห็นชายเสื้อสีเขียวอ่อน เป็นเสื้อผ้าของผู้ช่วยส่วนตัวที่แม้อยู่ในพระราชวังแต่ไม่ได้สังกัดตามคำสั่งพระราชวัง ในวังซึงกอนผู้ที่สวมเสื้อผ้าแบบนั้นมีแค่คนเดียว 


 


 


“คือ คือว่า… ไม่ใช่แบบนั้น…” 


 


 


ยอนฮวาถูกมินอาลากมายังห้องว่าง นางหน้าซีดและเพราะสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดยิ่งทำให้ลืมคำพูดที่จะแก้ตัวไปจนหมดและคออ่อนคอพับ แต่ก็ไม่นาน มินอาจับผมและรั้งคอของยอนฮวามาด้านหลังก่อนจะกระซิบเสียงเบาชนิดที่ว่าต้องอยู่ใกล้เท่านั้นจึงจะได้ยิน 


 


 


“นั่นน่ะสามีของนายข้า รู้ไว้ว่าครั้งหน้าข้าไม่ปล่อยไว้ขนาดนี้แน่ แค่ตัดคอเจ้ามันง่ายกว่าจับแมลงวันเสียอีก” 


 


 


น้ำเสียงต่ำและลักษณะการพูดคล้ายเจ้าของ แต่ก็เย็นชาและน่ากลัวจนเทียบไม่ได้ มินอาสะบัดผมที่จับอยู่ทิ้งไปจนยอนฮวาทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนตุ๊กตา มินอาทิ้งนางไว้แล้วออกจากห้องไป แต่ก็ยังยืนมองมือที่คว้าผมของยอนฮวาไว้เมื่อครู่อยู่ตรงนั้น 


 


 


การให้ใจกับชายที่มีสายตาไว้มองแค่สตรีเพียงแค่คนเดียว การให้ใจชายที่สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึงช่างเหมือนกับนาง หากมีใครสักคนช่วยมาจับผมของนางแล้วกระชากแบบนี้ก็คงดี มินอาปรารถนาเช่นนั้นแต่ก็เป็นความคิดที่ไร้ประโยชน์ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท ปิดปากนั้นหน่อยเพคะ ต้องรักษาเกียรติตัวเองหน่อยสิเพคะ” 


 


 


“งั้นเจ้าก็อย่างามให้มากนักสิ” 


 


 


ผู้แพ้ต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงอันหรูหราขึ้นมาประหนึ่งเป็นงานเลี้ยงฉลองให้แก่ฝ่ายที่ชนะในการล่าสัตว์ในครั้งนี้  


 


 


“ขอบใจพวกเจ้ามากที่มารวมตัวกันเช่นนี้ งานล่าสัตว์ครั้งนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนิดหน่อย แต่ก็จัดการได้อย่างราบรื่น เป็นโชคของข้า บอกว่าเป็นความสุขของประเทศนี้ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าคงได้สินะ ข้าจะไม่พูดยาวให้มากความ เอาน้ำหมึกกับพู่กันมา!” 


 


 


รอยยิ้มที่ฉายเต็มพระพักต์ของพระราชาไม่เลือนหายไปเลยราวกับทรงอารมณ์ดีมาก น้ำหมึกที่เหล่านางในถือเข้ามาตอนนี้เหลือหลงรอยเป็นจุดสีเข้มบนใบหน้าของฝ่ายที่แพ้ ในบรรดานั้นมีมหาเสนาบดีผู้เป็นพ่อของรยูฮารวมอยู่ด้วย 


 


 


“…อุ๊บ” 


 


 


ภาพของท่านพ่อที่มีจุดหมึกสีดำเท่านิ้วเล็บหัวแม่มือประทับอยู่ทำให้รยูฮาทนไม่ได้แล้วฝั่งหน้าลงบนไหล่ของฮอน ภาพนั้นที่ดูอ่อนโยนทำให้มหาเสนาบดียิ้มกว้างด้วยความพอใจ ตรงนี้เองที่ฮอนผู้ซึ่งใช้ทั้งเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในการอดทนทำได้เพียงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งคู่อิงแอบลงบนไหล่ของกันและกันแล้วหัวเราะคิกคักอยู่พักใหญ่ 


 


 


ทุกคนที่มารวมตัวกันที่งานเลี้ยงหัวเราะร่วมกันอย่างเป็นมิตร จนในที่สุดฮอนหยุดหัวเราะแล้วหันไปสบตาเข้ากับชานที่หันมาทางนี้ ไม่รู้ว่าเขาหันมาทางนี้พอดี หรือหันมามองทางนี้นานแล้ว 


 


 


ฮอนยิ้มอย่างงดงามพลางยกแก้วขึ้นไปทางชาน แล้วใช้แขนเสื้อกว้างบังรยูฮาที่พิงอยู่ตรงไหล่ของเขา ชานเองก็ยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นก่อนจะกรอกเหล้าลงไปในปาก ไม่ว่าใครมองมาก็ต้องบอกว่านี่คือพี่น้องที่แสนอ่อนโยน แต่ภายในนั้นปะทะคมกันหลายต่อหลายครั้งและจึงผละออกมา 


 


 


“องค์รัชทายาท น่ายกย่องจริงๆ เพคะ จับเสือมาถวายพระราชาด้วย” 


 


 


ตรงที่นั่งตำแหน่งสูงสุด พระมเหสีซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของพระราชายิ้มอย่างปลาบปลื้มใจไปทางฮอน ความสง่าผ่าเผยสมเป็นพระมเหสีเปล่งประกายเหมือนฤดูใบไม้ผลิราวกับเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ เป็นเสด็จแม่ที่ต่อให้ไม่ใช่เลือดเนื้อก็เลี้ยงฮอนมาด้วยความรัก สายตาของฮอนที่มองไปยังพระมเหสีเต็มไปด้วยความรักและความศรัทธา 


 


 


“กระหม่อมโชคดีพ่ะย่ะค่ะ ช่วงกลางฤดูหนาวจะจับสุนัขจิ้งจอกที่อยากได้มาถวายนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากเจ้าจับจิ้งจอกมา แล้วข้าจะเอาไปใช้ที่ใดกันเล่า” 

 

 

 


ตอนที่ 9-5

 

ฮอนส่งยิ้มขี้เล่นไปทางพระมเหสี ถึงจะเป็นชายที่เติบใหญ่จนถึงขั้นแต่งงานแล้ว แต่พอมองแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนเป็นเด็กเลย 


 


 


“ก็ต้องเอามาถวายเสด็จแม่สิพ่ะย่ะค่ะ จะจับตัวสีขาวแสนน่ารักมาถวาย รอได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โฮะๆ แค่เจ้าพูดมาเช่นนั้น ก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ลูกกตัญญูแบบนี้จะมีที่ไหนบนโลกอีก” 


 


 


สายตาของรยูฮาที่กำลังนั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่เงียบๆ มองไปทางพระพันปีผู้ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวาของพระราชา แสงแดดที่สาดส่องลงมาตรงระหว่างก้อนเมฆพอดีสะท้อนเข้ากับชุดเครื่องแบบสีทองของพระพันปีจนเป็นประกาย แสงนี้ช่างเหมาะสมกับอำนาจที่คนแก่ผู้นี้มีเหลือเกิน 


 


 


ตอนนั้นเองรยูฮาก็นึกบางอย่างออกเหมือนฟ้าแลบแล้วจ้องมองไปยังแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว 


 


 


พระราชาที่ประทับอยู่ระหว่างผู้หญิงสองคนตอนนี้สืบทอดราชบัลลังก์ตั้งแต่ยังเด็ก พระพันปีทรงว่าราชการแทนอยู่หลังราชบัลลังก์จนพระราชาเติบใหญ่และสามารถปกครองประเทศได้ ตอนนั้นเองพลอยสีแดงถึงถูกสวมที่นิ้วของพระพันปีเพื่อชี้สั่งเหล่าเสนาบดีมากมาย และต่อมาก็ถูกสวมลงบนนิ้วของพระมเหสีที่เข้าพิธีอภิเษกสมรสด้วย จากนั้นจึงถูกส่งต่อมายังรยูฮาหลังจากที่นางเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท 


 


 


ว่าราชการแทน ผู้หญิง พระพันปี แม่ของพระราชา ตำแหน่งสูงสุดที่จะสามารถขึ้นไปอยู่ได้ในฐานะผู้หญิง อนาคตของพระมเหสีและอนาคตของรยูฮา 


 


 


พระมเหสีที่ทรงอ่อนแอและลำบากมากจนเผยความอ่อนแอออกมาให้เห็นได้ให้กำเนิดองค์ชายหนึ่ง หลังจากนั้นพระสนมมุนผู้มีนิสัยไม่ยอมแพ้ก็ให้กำเนิดองค์ชายสอง และพระสนมยอนผู้ซึ่งขึ้นมาเป็นพระสนมคนโปรดที่สุดของพระราชา แม้ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่แต่ก็คลอดองค์ชายสามออกมา 


 


 


นอกจากองค์ชายหนึ่งแล้วต่อให้ใครขึ้นครองบัลลังก์ พระอัยยิกาก็มีสองคน อำนาจก็แบ่งกันสองฝั่ง แต่ว่าถ้าเป็นพระราชาผู้ซึ่งไม่มีแม่บังเกิดเกล้าจะเป็นอย่างไร แล้วสมมติว่าพระราชาคนนั้นไม่ใช่ผู้สืบทอดของพระราชาจะเป็นอย่างไร 


 


 


“พระชายา ไม่สบายหรือ” 


 


 


น้ำเสียงเป็นห่วงของพระมเหสีทำให้ความคิดที่ไหลรวมไปยังที่เดียวกันหยุดลง นางยิ้มน่ารักส่งกลับมาและตาที่มองตาก็ยังเป็นตาที่คงไว้ซึ่งความงดงาม 


 


 


ใบหน้าที่ไม่เหมือนฮอนเลยเพราะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด หลังจากพระสนมยอนสิ้นพระชนม์พระมเหสีก็กลายมาเป็นแม่ที่เลี้ยงฮอนจนเติบใหญ่ด้วยความรัก พระพันปีในอนาคต ผู้ดูแลสูงสุดทั้งเรื่องคนในวังและเงินพระคลังที่มาจากแต่ละวัง 


 


 


‘ใครดูก็รู้ว่าเป็นตำแหน่งของเสด็จพี่ มันเหมือนกับข้าแย่งมา’ 


 


 


‘ก่อนจะเกิดเรื่องนั้นได้ยินว่าพระพันปีทรงมีความเมตตายิ่งกว่าใคร’ 


 


 


‘ถ้าความคิดข้าถูกก็เพื่อไม่ให้ชีวิตเป็นอันตราย เพราะมันอันตรายต่อทั้งหัวใจและสติ ก่อนจะขึ้นครองราชย์ องค์รัชทายาทต้องสงวนท่าทีให้มาก’ 


 


 


‘ตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเป็นปัญหา ความโลภของเหล่าผู้หญิงที่รายล้อมเขาก็เป็นปัญหา’ 


 


 


เสียงไพเราะที่เหล่านักดนตรีบรรเลงห่างไกลออกไป พระพันปี สตรีที่ปกครองประเทศคอยว่าราชการอยู่ข้างหลังม่านยามที่พระราชาไม่อาจดูแลประเทศได้ 


 


 


ฆ่าแม่บังเกิดเกล้า แล้วเอาลูกชายมาเป็นองค์รัชทายาท สร้างบริวารรอบตัวเขาโดยเลือกนางในให้เองทำให้เขารู้จักเหล้าและสตรี มอบตำแหน่งให้แก่สามัญชนแล้วพาเข้าพระราชวัง ต่อให้องค์รัชทายาทผู้นั้นขึ้นครองราชย์ ตนเองก็ยังอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ด้วยองค์รัชทายาทนั้นไม่ใส่ใจในงานราชการ แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นองค์ชายผู้ซึ่งพึ่งพาและเชื่อเสด็จแม่กว่าใคร กลับค่อยๆ มอบอำนาจที่มีให้พระพันปีทีละนิด 


 


 


“พระชายา? กลับไปพักเถิด สีหน้าไม่สู้ดีแล้ว” 


 


 


สตรีที่ฆ่าพระสนมยอนแล้วแย่งลูกชายของนางมา สตรีผู้ส่งมือสังหารไปหาองค์รัชทายาทที่ตอนนี้เพิ่งออกมาสู่โลกภายนอกแล้วทำให้เขาต้องกลับพระราชวังมา สตรีคนนั้นกำลังมองมาที่รยูฮาด้วยสายตาเป็นห่วง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ห้าวันผ่านไปหลังจากไปถวายความเคารพเหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ในพระราชวัง ฮอนกับรยูฮาก็ขึ้นม้าเคียงกันออกไปนอกพระราชวัง จุดหมายคือจวนของมหาเสนาบดีพ่อของรยูฮา ฮอนล้มเลิกความตั้งใจที่จะใช้ช่วงเวลาตอนบ่ายกับรยูฮาสองต่อสอง แล้วไปเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อขอเวลาอันมีค่าดั่งทองคำนี้มา 


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาทและพระชายา ขอทรงพระเจริญ” 


 


 


บรรดาคนรับใช้ถูกเร่งให้เตรียมการต้อนรับองค์รัชทายาทและพระชายาตั้งแต่เช้ามืด จากนั้นมหาเสนาบดีและฮูหยินก็ออกมายืนหน้าสุดแล้วโค้งตัวถวายการต้อนรับ ฮอนเห็นรยูฮาแอบมองท่วงท่าอันงามสง่าของฮูหยินท่านเสนาบดี แล้วอมยิ้มตรงมุมปากด้วยความยินดี 


 


 


“ว่าจะมาพักเงียบๆ เท่านั้น ขอบใจทุกคนมากที่ต้อนรับดีเช่นนี” 


 


 


“ถึงที่แห่งนี้จะซอมซ่อ แต่เชิญฝ่าบาทพักผ่อนให้สบายพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จวนของมหาเสนาบดี สะอาดสะอ้านแต่ก็ดูหรูหราอยู่ในทีเหมือนนิสัยของเจ้าของ เรือนอีกหลังในอาณาเขตเดียวกันซึ่งเป็นเรือนที่รยูฮาใช้ก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรมนั้นถูกทำความสะอาดเอาไว้อย่างดี รอคอยเจ้าของที่ไม่ได้กลับมาเสียเนิ่นนาน หลังจากทั้งคู่เปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ ให้เข้ากับสถานที่โดยไม่สนใจลมหนาวข้างนอก ทำให้เหล่านางในที่ตามมาและเปิดหน้าต่างไว้นิดหน่อยต่างพากันเต้นผางๆ 


 


 


“อ้า ดีจัง” 


 


 


ใบหน้าของฮอมเต็มไปด้วยรอยยิ้มและมองออกไปยังสวนข้างนอกที่เป็นธรรมชาติพลางเอนตัวลงบนเตียง รยูฮาดื่มชาจากโต๊ะที่วางไว้ด้านล่างหน้าต่าง เบนสายตาไปตามการเคลื่อนไหวของเขา 


 


 


“ถูกใจหรือไม่เพคะ” 


 


 


“จะไม่ชอบที่ที่เจ้าโตมาได้หรือ มาเร็วมานอน” 


 


 


“นั่นมันเตียงหม่อมฉัน แต่ทรงตรัสเหมือนของพระองค์เลยนะเพคะ” 


 


 


“เจ้าเป็นของข้า เตียงของเจ้าก็เป็นของข้าสิ” 


 


 


“ถึงจะพูดย้ำหลายครั้งแล้ว แต่ฝ่าบาทต่างหากที่เป็นของหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


“งั้นก็เจ้าเป็นของข้าและข้าก็เป็นของเจ้า มาเร็วเข้ามาช่วยกอดข้าหน่อย หากข้าเจ็บไข้ได้ป่วยเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ” 


 


 


รฮูยาวางชาที่ดื่มอยู่แล้วขึ้นไปบนเตียงนอนหนุนแขนของฮอน ทั้งคู่ที่นอนอยู่เฉยๆ แบ่งปันอุณหภูมิร่างกายกันอยู่นั้นพอสบตากันเข้าก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน 


 


 


“ฮูหยินท่านมหาเสนาบดีช่างเหมือนเจ้ามาก” 


 


 


“ใครก็ว่าเช่นนี้เพคะ แต่นิสัยหม่อมฉันเหมือนท่านพ่อ คนที่นิสัยเหมือนท่านแม่คือมินอาเพคะ เทียบกับแล้วโหดร้ายกว่า ถ้ามินอาไม่ใช่คนของหม่อมฉันก็คงถูกเฉือดเฉือนเหมือนดาบเพคะ” 


 


 


“ฮูหยินท่านมหาเสนาบดีเป็นคนน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ บางครั้งเวลาข้าสบตามินอา ข้ายังสะดุ้งตกใจเลยด้วยซ้ำ” 


 


 


เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นประสานกันแล้วลอยออกไปข้างนอกหน้าต่าง เสียงนั้นลอยเข้ามากระทบหูของฮูหยินมหาเสนาบดีเดินมายังเรือนนี้เพื่อดูลูกสาวใกล้ๆ รยูฮากำลังมีความสุข ความสุขตีตื้นขึ้นในใจของผู้เป็นแม่ 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันนายหญิงตะกูลจอง ฮูหยินท่านมหาเสนาบดีเพคะ ขอเข้าไปได้ไหมเพคะ” 


 


 


“ท่านแม่ยาย! เชิญเข้ามาก่อน” 


 


 


ฮอนลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วไปต้อนรับถึงหน้าประตู ความดีใจฉายเต็มใบหน้าของรยูฮา แม้แต่ฮอนก็ยังสังเกตเห็น ถึงจะเสียดายแต่อย่างไรก็ต้องหลีกทางให้ 


 


 


“ข้าจะไปพูดคุยกับท่านมหาเสนาบดีสักครู่ พระชายา ใช้เวลาดีๆ ร่วมกับท่านแม่เถอะ” 


 


 


พอฮอนหายออกไปข้างนอกอย่างอ่านสถานการณ์ออก จู่ๆ รยูฮาก็เข้าสวมกอดนายหญิงตะกูลจองราวกับรออยู่ แล้วกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง นางสูดกลิ่นของแม่เข้าไปในจมูกถึงได้รู้สึกว่ากลับมาบ้านแล้วจริงๆ รยูฮาฝั่งหน้าลงบนไหล่ของแม่แล้วหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสูดกลิ่น 


 


 


“พระชายา รักษาเกียรติหน่อยสิเพคะ” 


 


 


“อ้า ท่านแม่ เลิกพูดเรื่องเกียรตินั่นสักทีเถอะเจ้าค่ะ เราอยู่กันแค่สองคนจะมามีเรื่องเกียรติอะไรกันเจ้าคะ” 


 


 


นายหญิงตะกูลจองลูบลงบนหัวน่ารักของรยูฮาที่ทำตัวเหมือนเด็กแล้วตัดสินใจเลิกบ่น ลูกสาวสองคนออกจากบ้านไปพร้อมกันในคราวเดียวทำให้บ้านว่างเปล่ามาก มาตอนนี้ถึงค่อยรู้สึกว่าบ้านถูกเติมเต็ม เวลาไม่กี่วันที่มีค่าเหมือนทองจะมาเสียไปเพราะคำพร่ำบ่นไม่ได้ 


 


 


“ชีวิตในวังเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” 


 


 


“อืม, ทุกคนดีกับข้าเจ้าค่ะ เด็กๆ ที่อยู่ในวังก็น่ารักใจดี โดยเฉพาะพระพันปีทรงดีกับข้าเหมือนหลานสาว ข้าเองยังอยากเลียนแบบพระองค์เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ดีแล้วเพคะ แล้วองค์รัชทายาทดีกับพระชายาหรือไม่เพคะ” 


 


 


“เสียตรงที่ทรงชอบข้ามากไปหน่อยเจ้าค่ะ เหมือนตอนเป็นเด็ก” 


 


 


พอมีเรื่องราวตอนเด็กขึ้นมาใบหน้าของนายหญิงตะกูลจองก็บิดเบี้ยวเล็กน้อยแล้วกระซิบเสียงต่ำ 


 


 


“ความทรงจำขององค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือเพคะ” 


 


 


“ยังหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่” 


 


 


รยูฮาหยุดยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง 


 


 


“ทำไมความทรงจำขององค์รัชทายาทถึงไม่กลับคืนมาล่ะเจ้าคะ”  

 

 


ตอนที่ 9-6

 

นายหญิงตระกูลจองจมอยู่กับความคิดแล้วลูบไล้ใบหน้าของลูกสาวนิ่งๆ เหมือนเมื่อวานนี้เองที่ภายในบ้านซึ่งมีลูกชายสามคนและมีลูกสาวคนเล็กเพียงหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ตอนนี้เติบใหญ่ออกเรือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลในฐานะพระชายาขององค์รัชทายาทผู้สง่าผ่าเผย วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“อีกหน่อยก็จะทรงทราบเพคะ” 


 


 


“เพราะพระ…” 


 


 


รยูฮาตั้งใจจะถามว่าเป็นเพราะพระมเหสีหรือไม่ แต่ก็ไม่พูดต่อแล้วเงียบลง เพราะนายหญิงตระกูลจองจับมือของรยูฮาไว้แน่นด้วยสองมือแล้วส่ายหน้า ดวงตาที่เคยยิ้มเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดขาด 


 


 


“ถึงรู้ก็อย่าพูดนะเพคะ โลกเราบางครั้งไม่รู้ดีกว่าเพคะ” 


 


 


ความคิดของรยูฮาถูกต้องแล้ว ท่านแม่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่เงียบไว้ ทำไมท่านแม่ถึงรู้และเก็บงำความลับเอาไว้ แม้แต่กับรยูฮาที่อาศัยอยู่ในวังด้วยความช่วยเหลือของพระพันปีก็ให้รู้ไม่ได้เลยหรือ นายหญิงตระกูลจองผ่อนแรงที่มือราวกับกำลังอ่านความคิดนั้น 


 


 


“กำลังสงสัยใช่ไหมเพคะว่าแม่รู้ได้อย่างไร” 


 


 


“เจ้าค่ะ” 


 


 


สายตาของนายหญิงตระกูลจองที่ลูบไล้ใบหน้าของรยูฮาอยู่มองไปยังแหวนคู่ที่ส่องประกาย ใช่แล้ว ตอนนี้รยูฮาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่คือสตรีผู้สง่างามที่จะกลายเป็นพระมเหสีของประเทศนี้ นางตัดสินใจแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก 


 


 


“หม่อมฉันคือคนผิดเพคะ เมื่อก่อนแม่คนนี้เคยทำผิดต่อองค์รัชทายาท และตอนนั้นพระราชาเองก็ทำผิดด้วยเพคะ” 


 


 


“ท่านแม่เคยถวายงานพระราชาหรือเจ้าคะ” 


 


 


รยูฮาถามอย่างตรงไปตรงมา นายหญิงตระกูลจองไม่ตกใจ รอยยิ้มเล็กที่ถูกยกขึ้นบนมุมปากของนางเต็มไปด้วยความคิดถึง 


 


 


“ฝ่าบาทตรัสให้ฟังหรือเพคะ” 


 


 


“ทรงตรัสออกมาตอนออกไปล่าสัตว์ บอกว่าท่านแม่เป็นบริวารผู้ซื่อสัตย์ ข้าแน่ใจว่าทรงตรัสว่าเป็นท่านแม่ไม่ใช่ท่านพ่อ” 


 


 


ท่านผู้นั้นก็เหลือเกิน นางหญิงตระกูลจองพึมพำพร้อมกับรอยยิ้มและลุกจากที่นั่ง แล้วดื่มชาที่รยูฮาดื่มก่อนหน้านี้ น้ำชาเย็นไหลผ่านคอไปทำให้รู้สึกเย็นสบายและทำให้หัวเย็นลง 


 


 


“ใช่แล้ว เมื่อนานมาแล้วแม่คนนี้เคยเป็นข้าราชบริพารของพระราชาเพคะ แต่ว่าไม่อาจทำหน้าที่ครบถ้วนได้ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่ถือว่าเป็นข้าราชบริพารอีกต่อไป และที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ แม่คนนี้ก็ไม่อาจเรียกตนเองว่าเป็นข้าราชบริพารที่ซื่อสัตย์ได้เช่นกันเพคะ” 


 


 


ใบหน้าที่พูดเช่นนั้นเริ่มหม่นหมองลง รยูฮาจึงเลิกถามแล้วลุกจากเตียง ดึงแผ่นหลังของท่านแม่ที่ดูเล็กลงเข้ามากอด 


 


 


“ฝ่าบาทไม่ได้คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ ทรงบอกว่าเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ ไว้ท่านแม่อยากเล่าค่อยเล่านะเจ้าคะ ข้าจะรอ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“แถวนี้มีตลาดกลางคืนมาเปิด” 


 


 


ฮอนนั่งตรงข้ามรยูฮาพลางเสวยมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบร้อย ตลาดกลางคืนหรือ สถานที่ที่เหล่านักแสดงต่างพากันแสดงผาดโผนภายใต้โคมไฟหรูหราและเต็มไปด้วยสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ เหนือสิ่งอื่นใดคือสถานที่ที่สามารถดื่มเหล้าและกินของว่างได้อย่างเต็มที่ รยูฮามองหน้าฮอนแทนคำตอบ และก่อนจะได้ตอบก็เปิดประตูออกไปเสียแล้ว 


 


 


“รีบไปกันเถอะเพคะ” 


 


 


“ข้างนอกมันหนาว ต้องสวมเสื้อผ้าให้พร้อม มินอาอยู่ข้างนอกหรือไม่” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“เตรียมตัวออกไปข้างนอก” 


 


 


ไม่นานเสื้อนอกและเสื้อผ้าสำลีไปจนถึงหมวกและปลอกแขนกันหนาวก็ถูกสวมลงบนร่างกายของรยูฮา ไม่ให้ลมพัดผ่านเข้ามาแม้แต่นิด ฮอนสำรวจโดยละเอียดจนพอใจแล้วจึงพยักหน้าเดินเคียงคู่รยูฮาออกไปข้างนอก มินอาและจูฮวันเองก็เปลี่ยนชุดก่อนจะเดินตามเจ้านายไปโดยทิ้งระยะไปห้าหกก้าว รยูฮาอยากผละออกมาจากสองคนนี้แล้วสนุกกันสองคน แต่นางรู้ดีว่าต่อให้ฝืนผละออกมา สองคนนี้ก็จะเร่งฝีเท้าตามติดราวกับเงาอยู่ดี จึงคิดว่าหรือจะใช้ความเป็นเชื้อพระวงศ์ดี แต่ก็ละทิ้งความคิดนั้นไป 


 


 


“เอาเงินมาพอไหมเพคะ” 


 


 


“ในตลาดกลางคืนใช้เงินเยอะหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่แค่ตลาดกลางคืนหรอกเพคะ ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามยิ่งกระเป๋าเงินยิ่งหนักยิ่งสนุกนะเพคะ” 


 


 


เป็นคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากของพระชายา แต่ท่าทางจริงจังนั้นก็ดูน่ารัก ฮอนหัวเราะคว้ารยูฮาเข้ามาจุมพิตลงบนหน้าผากมน 


 


 


“อย่ากังวลไปเลย ข้าเอามาจนสามารถซื้อตลาดกลางคืนนี้ได้ทั้งตลาด” 


 


 


ว่าแล้วก็หยิบออกมาให้ดู รยูฮาถึงกับตาเป็นประกายกับกระเป๋าเงินหนาก่อนจะหันหลังไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง จนสบเข้ากับมินอาที่ยังคงตามมาด้านหลังด้วยความเร็วคงที่ มินอาขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า 


 


 


“ไม่ได้เพคะ เอาไปใช้ซื้อของฟุ่มเฟื่อยยังดีเสียกว่าเพคะ โธ่” 


 


 


“…ฮึ” 


 


 


ได้ออกมาทั้งที ท้องฟ้ายามค่ำคืนปลอดโปร่ง ท้องถนนเสียงดังครึกโครมและลมหนาวพัดมา ช่างเป็นวันที่เหมาะกับการเล่นพนันไม่ใช่หรือ ฮอนมองออกถึงความเสียดายของรยูฮาจึงเก็บกระเป๋าเงินลงอีกครั้ง แล้วกระซิบลงตรงหูที่อยู่ใต้หมวก 


 


 


“ไม่เป็นไร ใช้ซื้อเหล้าดื่มเถอะ ดีไหม” 


 


 


“เท่าที่อยากดื่มไหมเพคะ” 


 


 


“ดื่มเท่าที่เจ้าอยากดื่ม” 


 


 


“ที่ไหนล่ะเพคะ” 


 


 


“ถ้าเป็นที่ที่เจ้าต้องการ จะที่ไหนก็ได้” 


 


 


ถึงไม่ยิ้มแต่ก็รู้ว่ารยูฮาอารมณ์ดีขึ้น เพราะนางคล้องแขนของตัวเองที่แขนของฮอน ทั้งที่ปกติแล้วนางจะไม่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ภาพของหนุ่มรูปงามผอมสูงกับหญิงงามราวกับดอกไม้เดินคล้องแขนกันอย่างอ่อนโยนเหมือนกับภาพวาด คนที่เดินขวักไขว่ตามถนนหนทางต่างก็หลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว ในระหว่างนั้นเท้าของรยูฮาที่เดินทอดน่องมองนั่นมองนี่ก็ไปหยุดอยู่ที่แผงขายของของหญิงชราที่เต็มไปด้วยโคมไฟ 


 


 


“โคมไฟเจ้าค่ะ ท่านสามี” 


 


 


“วะ ว่าอย่างไรนะ” 


 


 


ทันทีที่ฮอนตกใจจนพูดตะกุกตะกักออกมา รยูฮาก็หันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“ไม่รู้จักโคมไฟหรือเจ้าคะ ถ้าขอพรแล้วเอาไปแขวนไว้ที่สูงพรนั้นจะเป็นจริงเจ้าค่ะ” 


 


 


“มะ ไม่ใช่เรื่องนั้น…” 


 


 


“ว่าอย่างไรคะ ท่านสามี” 


 


 


ท่านสามี ท่านสามี ท่านสามี คำนั้นก้องวนเวียนอยู่ในหัวของฮอนเหมือนเสียงระฆัง ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ไพเราะและหอมหวานเช่นนี้ รู้อย่างนี้ตอนอยู่กันสองคนคงขอร้องให้นางเรียกแบบนี้แล้ว รยูฮามองฮอนแล้วถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า เจ้าคนบ้าทำตัวบ้าอีกแล้ว รยูฮาแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วนั่งลงด้านหน้าแผงขายของ พลางชี้นิ้วไปที่โคมไฟสีขาวที่ชอบ 


 


 


“ขออันนั้นเจ้าค่ะ” 


 


 


สายตาพร่ามัวของหญิงชราหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ชั่วขณะหนึ่งรยูฮาคิดว่านางมองไม่เห็น แต่คนตาบอดคงไม่สามารถขายของที่มีสีสันได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางถึงขั้นดันตัวออกมาข้างหน้าแล้วสำรวจรยูฮาอย่างละเอียดราวกับจะดูให้ชัด 


 


 


“ทำไมมองข้าเช่นนั้นเจ้าคะ” 


 


 


“คุณหนูผู้สูงส่งขาดเหลือสิ่งใดถึงจะขอพรหรือ” 


 


 


คำพูดนั้นลอยเข้าหูฮอนที่นั่งลงข้างรยูฮาและกำลังเลือกโคมไฟอย่างตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกหญิงชราอย่างกระตือรือร้น 


 


 


“คุณหนูผู้นี้เป็นผู้สูงส่งหรือ แล้วข้าล่ะ” 


 


 


หญิงชราละสายตาจากใบหน้าของรยูฮาแล้วขยับตัวไปอีกทาง ดวงตาสีขาวเหมือนลูกแก้วใต้หนังตาที่มีรอยเ**่ยวย่นกลอกไปมา จากนั้นหญิงชราก็ยิ้มด้วยริมฝีปากที่ไร้ฟันก่อนจะหยิบโคมสีเหลืองยื่นให้ฮอน มือนั้นเ**่ยวย่นและผมแห้งเหมือนเปลือกไม้ 


 


 


“เป็นสามีของคุณหนูผู้สูงส่งก็ต้องเป็นผู้สูงส่งแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นายท่านใช้อันนี้เถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเงิน” 


 


 


“ไม่ได้สิ ซื้อของก็ต้องจ่ายเงิน” 


 


 


ฮอนจ่ายเงินมากกว่าราคาโคมไฟสองอันแล้วดึงรยูฮาลุกขึ้น แล้วพอหันหลังกลับมาก็เจอเข้ากับเหล่าผู้ติดตาม เขาจึงส่งสัญญาณมือเรียก 


 


 


“พวกเจ้าก็เลือกคนละอัน นานแล้วไม่ได้ออกมาต้องทำให้หมด” 


 


 


“แหะๆ จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มินอาผู้อยู่ข้างๆ จูฮวันซึ่งยิ้มแล้ววิ่งไปเลือกโคมไฟก็ชี้เลือกไปหนึ่งอันราวกับอิจฉาอยู่ในใจ จูฮวันเลือกสีเขียวเหมือนชุดขันทีที่เจ้าตัวใส่อยู่ตลอด ส่วนมินอาเป็นสีดำ 


 


 


พอสิ่งนั้นถูกส่งมาจากมือของหญิงชรา ฮอนก็เปิดกระเป๋าเงินอีกครั้งหยิบเหรียญให้หญิงชราแล้วออกมาจากตรงนั้น หญิงชราที่ถูกทิ้งให้เหลืออยู่ด้านหลังบ่นพึมพำคนเดียวพลางจัดโคมไฟ พร้อมกับมองตามพวกเขาด้วยตาที่มองเห็นไม่ชัดนัก 


 


 


“เจ้าขอพระอะไรหรือ” 


 


 


ฮอนจุดเทียนอย่างพอใจแล้วถามรยูฮา เป็นเทียนที่อยู่ในโคมไฟสี่อันที่ซึ่งห้อยอยู่ใต้หลังคา 


 


 


“แล้วท่านสามีเล่าเจ้าคะ” 


 


 


“ความลับ” 


 


 


“ของข้าก็เป็นความลับเช่นกันเจ้าค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 9-7

 

อีกหน่อยคงต้องงับลงบนริมฝีปาที่โต้เถียงนั้นเสียแล้ว ฮอนตัดสินใจอย่างนั้นแล้วคิ้วของฮอนที่กำลังวางเทียนเข้าไปข้างในโคมไฟก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เป็นเรื่องบังเอิญหรือ โคมไฟสีเหลืองเข้มพอวางเทียนลงไปก็ส่องสว่างดูเหมือนสีทอง แสงสีทอง สีของพระราชา รยูฮาที่หันมามองก็มองด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม จูฮวันทำตามโตราวกับตกใจมาก 


 


 


“เป็นเรื่องบังเอิญหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือหญิงชราคนนั้นมีญาณพิเศษ” 


 


 


“อย่าคิดมากเลย อาจจะเป็นเพราะสีเหลืองขายไม่ค่อยดีเลยเอาให้ก็ได้” 


 


 


“ขายไม่ค่อยดีงั้นหรือ เกินไปแล้ว” 


 


 


ฮอนบ่นพึมพำ รยูฮาเข้าไปคล้องแขนอีกครั้งแล้วเริ่มเดินหาความสนุกสนาน มือของทั้งคู่ที่เดินเที่ยวชมตลาดกลางคืนตรงนั้นตรงนี้อยู่สักพักก็มีอาหารเสียบไม้ที่ขายตรงถนนถืออยู่ ส่วนในมือของจูฮวันมีแต่ของจุกจิกไร้ประโยชน์ 


 


 


“ท่านสามี อันนั้น” 


 


 


คราวนี้สิ่งที่รยูฮาชี้คือแผ่นป้ายที่ทำมาจากหยก เป็นของหายากกว่าที่คิด ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเพิ่มขึ้นจึงหยิบมาสำรวจ 


 


 


“โอ้ เจ้านาย สายตาในการเลือกของไม่ธรรมดาเลย เดี๋ยวนี้เหล่าคุณหญิงไม่ใช้แผ่นป้ายไม้แต่ใช้แผ่นป้ายที่ทำจากหยก เคลือบด้วยน้ำมันที่ทำจากไม้ยิ่งทำให้สีสันสวยงาม” 


 


 


เพราะคำเยินยอของพ่อค้าเหมือนกับทาน้ำผึ้งไว้ที่ปาก หรือเป็นเพราะท่าทางการสำรวจแผ่นหยกด้วยสายตาอย่างรู้อยากเห็น ถึงจะเป็นอย่างหลังเหล่าหญิงสาวที่ผ่านไปมาก็พากันแอบเหลือบมองและถอนหายใจ รยูฮาก้าวไปข้างหน้าเปิดกระเป๋าเงินของฮอนออก  


 


 


“เท่าไหร่” 


 


 


“อันนี้ไม่ใช่ของธรรมดาเลยราคาสูงหน่อย แต่มาเจอเจ้าของที่เหมาะสมกัน ข้าจะขายให้ในราคาห้าสิบนยางก็แล้วกัน” 


 


 


คิ้วของฮอนที่ฟังอยู่ขมวดเข้าหากัน เงินห้าสิบนยางพอเพียงกับค่าจ้างหนึ่งเดือนของผู้ดูแลสี่ฝ่าย ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาหนึ่งนยางสามารถเลี้ยงทั้งครอบครัวในหนึ่งเดือนได้เลย พ่อค้าคนนี้มองว่าฮอนและรยูฮาไม่รู้จักเสียดายเงินและใช้เงินฟุ่มเฟือยจึงพยายามจะหากินกับพวกเขาหรือเปล่า 


 


 


“งั้นหรือ ขอให้ขายได้นะ” 


 


 


รยูฮาเก็บกระเป๋าเงินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฮอนก็วางแผ่นป้ายหยกลงแล้วหันหลังไป แล้วพอก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวเสียงเรียกอันรีบเร่งก็รั้งพวกเขาไว้จากทางด้านหลัง 


 


 


“สี่…สามสิบนยาง! จ่ายสามสิบนยางก็เอาไปได้เลย เจ้านาย!” 


 


 


ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว 


 


 


“ยี่สิบห้า! ยี่สิบห้านยาง! คุณหนู!” 


 


 


แต่ก็ไม่อาจรั้งทั้งคู่ไว้ได้ พ่อค้าลังเลอยู่สักพักแล้วเห็นว่าวันนี้ถ้าไม่ใช่คู่สามีภรรยานี้ก็คงขายของชิ้นนี้ไม่ได้ 


 


 


“ข้าให้ในราคายี่สิบนยางขอรับ!” 


 


 


เท้าที่หยุดอยู่หันกลับมาด้านหลังอีกครั้ง ฮอนเปิดกระเป๋าจ่ายเงิน รยูฮารับเอาแผ่นป้ายหยกมันวาวมา นางถูกใจมากจึงไม่ส่งให้มินอาถือแต่กอดไว้ราวกับเป็นของสำคัญ ฮอนมองรฮูยาแล้วฉีกยิ้ม 


 


 


“ถูกใจขนาดนั้นเลยหรือ” 


 


 


“ในบรรดาของที่ซื้อวันนี้ ข้าถูกใจอันนี้มากที่สุดเจ้าค่ะ” 


 


 


“มีของที่อยากได้อีกหรือไม่” 


 


 


“ตอนนี้ไม่แล้วเจ้าค่ะ ข้าคอแห้งแล้วก็อยากพัก” 


 


 


หมายความว่ารีบไปดื่มเหล้ากันเถอะ ฮอนดูออกแล้วบอกว่าหากอยากไปที่ใดก็ให้นำทางไป รยูฮาตบมือสองครั้งแล้วเดินไปตรงถนนด้านข้างอย่างไม่มีเกรงใจ ก่อนจะเข้าไปในร้านเหล้าเก่าที่ไม่มีแม้แต่ป้าย 


 


 


“ไปที่ที่ดีกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ” 


 


 


ตัวเขาไม่เป็นไรแต่รยูฮาไม่ชอบอาหารที่มีพวกผักหรือธัญพืช พอฮอนมีสีหน้าไม่พอใจ รยูฮาก็รีบส่ายหน้าแล้วยื่นคางชี้ไปทางเหล่าผู้คนที่มารวมตัวกัน  


 


 


“ดูนั่นสิเจ้าคะ ร้านนี้ทำอาหารเก่งที่สุดในละแวกนี้” 


 


 


เท่าที่ดูไม่น่าอร่อยเลยสักนิด ฮอนตามหลังรยูฮาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเก่าพลางมองดูรยูฮาสั่งอาหารอย่างชำนาญ 


 


 


“ลองชิมดูนะเจ้าคะ ไม่เคยมาร้านนี้ ช่วงชีวิตหนุ่มโสดของท่านเสียเสียเปล่าแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮ่าๆ เสียงหัวเราะหลุดออกจากปากของฮอน ไม่รู้ว่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้นได้อย่างไร แต่ว่าท่าทางเหล่านั้นกลับดูสวยกว่าเหล่าสตรีที่มีอาวุธคือการยั่วยวนทั้งหมด หากจะบ้าเขาก็คงจะบ้าจริง ฮอนเท้าคางบนโต๊ะแล้วเริ่มมองใบหน้าของรยูฮา 


 


 


“ฮูหยิน” 


 


 


“เจ้าคะ ท่านสามี” 


 


 


“คิกๆ” 


 


 


“อย่าหัวเราะแปลกๆ สิเจ้าคะ” 


 


 


“ฮูหยิน” 


 


 


“เจ้าคะ ท่านสามี” 


 


 


“อุ๊บ! คิกๆ” 


 


 


ฮอนซุกหน้าลงกับแขนเสื้อ ใช้กำปั้นทุบโต๊ะแล้วหัวเราะด้วยเสียงแปลกประหลาด ฮูหยินหรือ ในหัวของเขาที่ว่านางคือหญิงบ้าและแม้แต่เรื่องคืนแรกที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวก็ถูกโอบล้อมด้วยความหอมหวานอันเทียบไม่ได้ 


 


 


“กินให้อร่อยนะขอรับ” 


 


 


คนงานในร้านที่ไม่เป็นมิตรเลยมองเขาอย่างไม่เกรงใจราวกับมองคนบ้า พอวางอาหารและเหล้าลงแล้วก็หายตัวไป ไม่มีอะไรพิเศษเป็นแค่ข้าวต้มที่คลุกเคล้ากับหมูต้ม เครื่องเคียงดองเค็มที่ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นปู ฮอนมีสีหน้าไม่พอใจอีกครั้งแล้วหยิบเอาผ้าไหมเช็ดมือออกมาจากตรงหน้าอกเช็ดลงบนแก้วและช้อนกับตะเกียบของรยูฮาให้อย่างรอบคอบ  


 


 


“อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ กินไปก็ไม่ตายหรอกเจ้าค่ะ” 


 


 


“ริมฝีปากนั้นต่อไปข้าจะดูดกิน ต้องทำให้สะอาดไว้สิ” 


 


 


แน่นอนว่าแก้มของฮอนถูกหยิก แก้วเหล้าที่ว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยเหล้าราคาถูก แต่ว่ารยูฮาก็ลองชิมแล้วดื่มจนหมดแก้ว นางคีบเนื้อหมูจิ้มลงบนเครื่องเคียงแล้วยื่นใส่ปากให้ฮอนแล้วก็คีบให้ตัวเองด้วย ฮอนคิดว่าเพราะรยูฮาป้อนต่อให้เคี้ยวหินก็อร่อย ตาของฮอนที่กำลังเคี้ยวหมูอยู่เบิกโพลง 


 


 


“เป็นอย่างไรเจ้าคะ รสชาติดีมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


“ข้าเพิ่งเคยกินของอร่อยแบบนี้ครั้งแรก” 


 


 


ใบหน้าของรยูฮาเปื้อนยิ้มเพราะท่าทางแบบนั้น พอได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยก็ดูเหมือนว่าโคมไฟจะช่วยทำให้พรของเขาเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เขาแขวนโคมแล้วจุดไฟพร้อมกับขอพรให้รยูฮายิ้มอยู่ข้างกายของเขาตลอดไป ฮอนยิ้มตามรยูฮาแล้วรินเหล้าลงในแก้วเปล่า 


 


 


“พวกเราออกมาข้างนอกเช่นนี้บ่อยๆ กันเถอะ” 


 


 


“ไม่ได้เจ้าค่ะ วันนี้ก็ขอท่านพ่อออกมาเป็นพิเศษไม่ใช่หรือเจ้าคะ”  


 


 


“ก็ขออีกไง” 


 


 


ฮ่าๆ ริมฝีปากของวาดเป็นเส้นโค้งงดงามอีกครั้งแล้วหัวเราะ หญิงสาวดื่มเหล้าที่ฮอนรินให้อีกครั้งแล้วคีบเครื่องเคียงกิน นางเท้าคางกับโต๊ะเหมือนฮอนแล้วมองไปยังใบหน้างดงามนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม 


 


 


“คราวนี้ไม่ออกมาแล้วเจ้าค่ะ หญิงที่เดินผ่านไปมาจ้องท่านสามีจนสึกหรอหมดแล้วค่ะ” 


 


 


“หืม? เจ้าหึงหรือ” 


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ หึง อยากทำให้ท่านสามีตัวเล็กนิดเดียวแล้วซ่อนไว้ในกระเป๋า ให้มีแค่ข้าเพียงผู้เดียวที่เห็นท่าน” 


 


 


“อ้า จริงๆ เลย เจ้าไปเรียนคำพูดพวกนี้มาจากที่ใดกัน” 


 


 


“ถ้าทำให้ตัวเล็กลงไม่ได้ก็คงต้องสร้างกระท่อมขึ้นมาหนึ่งหลัง มีแค่หนึ่งห้องแล้วให้ท่านสามีอยู่ในนั้นไม่ให้ใครเข้าไปได้” 


 


 


ถึงจะเหมือนคำที่ฝ่ายชายต้องเป็นคนพูดแต่ก็ไม่เห็นเป็นไร ริมฝีปากของฮอนกดลงบนฝ่ามือใต้คาง แล้วดูดเม้มปากของรยูฮาที่ยื่นออกมาข้างหน้าก่อนจะผละออกอีกครั้ง 


 


 


“อร่อยกว่าอาหารของร้านนี้เสียอีก” 


 


 


แก้มถูกหยิกอีกครั้ง รยูฮาที่วันนี้อารมณ์ดีใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดลงบนปากอันยั่วยวน ก่อนจะรินเหล้าและยกแก้วชนกับฮอน 


 


 


ความรู้สึกสบายใจที่ได้ออกมาจากพระราชวัง ความอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ท่านพ่อท่านแม่ ท่าทางของมินอาที่เฝ้ามองพวกเขาจากโต๊ะฝั่งตรงข้ามและสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของผู้ที่นั่งตรงข้ามกันทำให้รยูฮารู้สึกผ่อนคลาย 


 


 


ปล่อยวางสิ่งที่ทำให้ใจเจ็บปวดและหนักอึ้งสักพักเถอะ รยูฮาคิดอย่างนั้นแล้วยกแก้วขึ้นดื่มจนเกลี้ยงไปเรื่อยๆ ขวดเหล้าและจานถูกวางกองขึ้นสูงข้างสองคนที่มองและหัวเราะให้กัน 


 


 


“ท่านสามี ดื่มอีกแก้ว” 


 


 


รยูฮายกขวดเหล้าขึ้นแล้วเทใส่แก้ว นางยื่นปากออกไปรับเหล้าสองสามหยดที่หกลงมา ก่อนจะมองฮอนด้วยดวงตาผ่อนคลายและพูดด้วยท่าทางน่ารัก 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว! ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! ฮูหยินคนสวยของข้า” 


 


 


ฮอนเหยียดยิ้มในขณะที่ดวงตาดูผ่อนคลาย แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มของรยูฮาราวกับเอ็นดู 


 


 


“ฮิๆ ท่านสามี” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม