เพราะรักสลักใจ 849-856
ตอนที่ 849 ศิษย์หมอเตี๋ยแผลงฤทธิ์
ทันใดนั้นพลันรู้สึกเหมือนลูกเกาทัณฑ์แหลมทิ่มแทงหัวใจของตน ขั้วหัวใจปวดแปลบ คอหอยมีรสหวาน “พร่วด”เลือดสดใหม่คำใหญ่พ่นออกมา
มือที่กำลังสั่นชี้ประตู ไม่ทันเอื้อนเอ่ยสักประโยค ร่างกายก็โอนเอน สองตาพลิกสลบไป
“ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง! ใครก็ได้ รีบไปตามหมอหลวง…”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงล้มสลบอยู่ตรงหน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…”
“พวกลูกสัตว์เดรัจฉาน ยังยืนบื้อทำอะไรอยู่เล่า…”
“……”
นอกพระตำหนักบรรทมของจักรพรรดิชุลมุนโกลาหล ฝ่าบาทเดิมทีพร่ำด่าไม่คลายโทสะอยู่ด้านใน จู่ๆได้ยินเสียงวุ่นวายข้างนอกก็วิ่งออกมา เห็นพระมารดาของตนนอนอยู่บนพื้นเย็นเยียบ พระโอษฐ์ พระวรกายล้วนเป็นแอ่งเลือดแดงก่ำ พลันตะลึงงันทันใด นี่มันสถานการณ์อะไร?!
สมเด็จพระพันปีทรงประชวรหนัก ราชสำนักอลม่าน เหล่าหมอหลวงหมอหญิงเข้าๆออกๆตำหนักโซ่วอัน แม้กระทั่งหมอหญิงท่านนั้นที่ดูแลอาการบาดเจ็บองค์หญิงเต๋อฮุ่ยก่อนหน้านี้สีหน้ายังเย็นเยือกจนกลั่นเป็นเกล็ดน้ำแข็งได้
นางเข้าวังเป็นหมอหญิง เดิมทีเห็นแก่พระพักตร์พระพันปี บัดนี้ลูกศิษย์ชะตาลิขิตของอาจารย์นางถูกจักรพรรดิสุนัขตรงหน้าทำร้ายจนมิรู้เป็นตาย พระพันปียังถูกกระตุ้นโทสะจนเป็นสภาพนี้ นางไหนเลยยังจะทนไหว?!
ช่างหัวเป็นจักรพรรดิหรือรัชทายาทปะไร? ควงไม้ทุบยาตรงเข้าขวางตรงประตูใหญ่ด่าไฟแลบ “ไสหัวไป! ไสหัวไปให้แม่ทั้งหมด! ฆ่าเด็กกับหญิงท้องยังไม่นับ แม้กระทั่งมารดาของตัวเองก็คิดจะทำร้ายถึงตาย ข้าอยู่มาร้อยแปดสิบปีแล้วยังไม่เคยพบเจอลูกทรพีเช่นนี้ ไป! ไสหัวไปให้ข้าทั้งหมด!”
จักรพรรดิบันดาลโทสะไม่เบา ตั้งแต่หญิงชั่วช้านั่นปรากฎตัวเขาก็ไม่ได้ชีวิตสงบสุขเลยสักวัน! บัดนี้ดีเสียนี่กะไร จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ ถึงกับถูกหมอหญิงตัวเล็กๆด่าสาดเสียเทเสีย! ภาพลักษณ์ของกษัตริย์เยี่ยงเขายังต้องมีอีกหรือไม่?!
ยกพระหัตถ์ทันที ตะคอกกับองครักษ์รับใช้ข้างหลัง “ทหาร! จับคนสารเลวผู้นี้ให้เจิ้น! ลงดาบประหาร!”
“ลงดาบประหาร?! เหอะๆ ด้วยลูกอกตัญญูเยี่ยงเจ้าน่ะหรือ! ต่อให้ข้าถูกหมากัดตายก็ไม่มีทางถูกสิ่งของสู้เดรัจฉานมิได้เยี่ยงเจ้าลงดาบประหารหรอก!”
“ข้าเป็นศิษย์คนรองของหมอเทวดาเตี๋ยกู่ ถ้าเจ้าไม่กลัวล่วงเกินผู้รักษาของใต้หล้า เจ้าก็ให้คนมาจับข้าไปประหาร เจ้าลองประหารให้แม่ดูสิ! มาสิ คอข้ามันยื่นออกมาแล้ว มาสิ ตัดสิ!”
หมอหญิงคนนั้นเอ่ยพลางยืดคอของตัวเองไปข้างหน้า เห็นท่าทางตะลึงงันอึ้งค้างของทุกคน เยาะเย้ยหนึ่งเสียง ล้วงป้ายหยกขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก “เห็นชัดหรือยัง บนนี้เขียนตัวอักษรอะไร!”
จักรพรรดิจุกตันหัวใจ เขานึกว่านางเป็นแค่หมอหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าในวังแห่งนี้ถึงกับมีผู้สืบทอดของหมอเทพเตี๋ยกู่ ทั้งยังถือครองป้ายหยกของท่านหมอเตี๋ย…
นอกพระตำหนักโซ่วอัน ไม่ว่าเป็นคนของพระพันปี คนของจักรพรรดิรัชทายาทล้วนสะเทือนขวัญไม่มีที่สิ้นสุด หมอหญิงที่ดูแล้วมีอายุสิบกว่าเกือบยี่สิบปี ถึงกับกล้าแทนตัวเองว่าแม่ ซ้ำบอกว่าตัวเองอายุร้อยแปดสิบปีแล้ว ทั้งยังกล้าป่าวประกาศท้าทายจักรพรรดิและรัชทายาท
สวรรค์ พวกเขาได้ยินสิ่งใด พบเห็นสิ่งใด…
จักรพรรดิโกรธจนแทบทำลายฟ้าทลายแผ่นดิน ทว่าต่อหน้าหมอหญิงคนนี้แม้แต่ผายลมก็ยังไม่กล้า ฆ่าหมอหญิงคนหนึ่งเป็นเรื่องเล็ก แต่หาเรื่องเตี๋ยกู่นั่นก็ยุ่งยากแล้ว
“เสด็จพ่อ เราไปกันก่อนเถิด” รัชทายาทที่อยู่ข้างๆเองก็อดสั่นสะท้านมิได้ หลายปีมานี้ชายแดนไม่ขาดเรื่องสงคราม ได้เตี๋ยกู่ช่วยเหลือไว้ไม่น้อย แม้ไม่มีปัจจัยเรื่องนี้ แต่ใครเล่าจะกล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินหมอเทวดาของใต้หล้า นี่มิใช่ตัวเองรนหาทางตายหรอกรึ!
พระพันปีอัดอั้นตันใจ ซ้ำโทสะโจมตีหัวใจ จึงกระอักเลือดล้มสลบ โชคดีมีหมอหญิงท่านนี้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นทั้งสำนักหมอหลวงคงมืดมนจับทางไม่ถูกแล้ว
แต่ถึงอย่างนี้ หมอหญิงเฝ้าอยู่ในห้องบรรทมของพระพันปีไม่หลับไม่นอนแล้วสามวัน พระพันปีถึงค่อยนับว่าทุเลาลงในที่สุด ระหว่างนี้รัชทายาทมาเยี่ยมอีกครั้ง ก็ถูกหมอหญิงผู้อิดโรยถือสากตำยาไล่ออกไป เพียงแต่ดีกว่ากิริยาที่ปฎิบัติต่อจักรพรรดิ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน่อยนึง อย่างไรก็ยังทิ้งไว้หนึ่งประโยค “รีบไสหัวไป ยั่วโทสะอีกล่ะก็ข้าไม่ช่วยรักษาแล้ว!”
รัชทายาทเองมิใช่คนโง่ ย่อมฟังออกว่าเสด็จย่าของเขาไม่เป็นไรแล้ว ในที่สุดศิลาก้อนใหญ่ในใจก็ร่วงลงพื้น นี่ยังต้องรีบไปควบคุมสถานการณ์ พระพันปีประชวรหนักกะทันหัน บนราชสำนักบัดนี้ไม่ว่าคำพูดใดล้วนมีหมด
ตอนที่ 850 ทุกคนล้วนแสร้งโง่มึนงง
ถึงขั้นยังมีข่าวลือกล่าวทำนองว่า จักรพรรดิลอบทำร้ายแม้กระทั่งหลานผู้บริสุทธิ์ของตัวเอง นับประสาอะไรกับพระพันปีอาวุโสที่คอยควบคุมจำกัดเขาทุกเรื่องเล่า!
ข่าวลือนี้น่าสนใจแล้ว เหตุใดจักรพรรดิทำเช่นนี้น่ะหรือ? ง่ายมาก คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าคับดิน ไม่ยินยอมถูกคนควบคุมน่ะสิ พูดให้ลงลึกอีก พระพันปีประชวรได้อย่างไร เหอะๆ เรื่องราวภายในรั้วกระเบื้องแดงกำแพงสูง ผู้ใดเล่าจะบอกได้ชัดเจน…
แม้ข่าวลือเหล่านี้แท้จริงแล้วใส่ความจักรพรรดิ แต่ใครจะรู้ในก้นบึ้งหัวใจเขามีความคิดนี้อยู่หรือไม่? อย่างไรตั้งแต่หลังเกิดเรื่องอี้เมิ่งกุ้ยเฟยคราก่อน แม้บัดนี้คนตาสว่างแล้ว ทว่าพฤติกรรมนับวันกลับไม่ปกติลงเรื่อยๆ
สองวันนี้หมู่ขุนนางราชสำนักล้วนรวมตัวไม่แยก กิริยาท่าทางเหมือนหูหนวกตาบอด ครั้นฮ่องเต้ทรงกริ้วแล้วก็คุกเข่าร้องตะโกนสองประโยค “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” หลังลุกยืนแล้วก็กลับไปเป็นหุ่นไม้ ไม่พูดอะไรอีก
พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิทำเกินไป แต่นั่นแล้วอย่างไร ผู้อื่นเป็นกษัตริย์นี่! ตัวเองไหนจะใจกล้ากระด้างกระเดื่องเปิดเผย ทว่ากิริยาท่าทางในตอนนี้ก็เป็นการประท้วงโดยไม่ต้องพูดแล้ว ถึงกับมีขุนนางอาวุโสหลายคน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย พร้อมใจกันลาหยุดไม่เข้าราชสำนัก ถามว่าเป็นอะไรไป ข่าวคราวที่ส่งมาบอกว่ากลางคืนฝันร้ายตกใจปวดหัวจนหัวแทบแตก ลุกขึ้นไม่ไหวอย่างแท้จริง
ล้วนกล่าวกันว่าคนมโนธรรมไม่สงบจะฝันร้าย…
จักรพรรดิโมโหจนอยากฆ่าคนเหล่านี้ให้หมดสิ้นใจจะขาด ทว่าขุนนางอาวุโสหลายคนนี้ล้วนเป็นขุนนางเปรียบเหมือนกระดูกต้นแขน กอรปกับตอนนี้แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านก็มีข่าวลือว่าจักรพรรดิกลัวขุนนางอำนาจสูงกลบนาย มีเจตนาสังหารทายาทของตระกูลขุนนางผู้มีความดีความชอบ
พระพันปีอาเจียนเลือดแล้ว แม่นมเดิมทีไม่คิดอยากนำเรื่องขุ่นข้องหมองใจพวกนี้ไปสร้างความหนักพระทัย ทว่าจนใจข่าวลือข้างนอกหนาหูขึ้นทุกวัน ราชสำนักเองก็นับวันระส่ำระสาย นางเองคิดมานานแล้วว่าเรื่องนี้ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป
ฉะนั้นจึงอาศัยจังหวะพระพันปีดื่มยาหมดแล้ว นางค่อยพูดขึ้นอ้ำๆอึ้งๆ “นายหญิง ข้างนอกมีข่าวลือไม่ใคร่ดีนัก หม่อมฉัน หม่อมฉันกลัวว่า…”
ฟังถึงตรงนี้ พระพันปียังมีอันใดไม่เข้าใจ? มองไปยังแม่นม “เจ้าพูดมาเลย อายเจียยังมีอะไรให้รับไม่ไหวอีก?! ”
แม่นมจึงถ่ายทอดคำพูดเกี่ยวกับข่าวลือในราชสำนักและนอกวังเหล่านั้นให้แก่พระพันปี แม้นคำไม่น่าฟังเหลือรับเหล่านั้นนางตัดออกไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ยังทำให้พระพันปีทรงกริ้วไม่น้อย
“ลูกทรพี! ลูกทรพีจริงๆ!”
“นายหญิง พระองค์ใจเย็นระงับโทสะ ในสภาพการณ์เช่นนี้ ถ้าพระองค์เกิดเป็นอะไรขึ้นบ้านเมืองต้องโกลาหลเป็นแน่เพคะ”
ตอนแม่นมเอ่ยประโยคนี้ในใจก็เต้นตึกตักหนึ่งเสียง นางรู้ตัวเองพูดเช่นนี้มีโทษฐานทรยศ แม้ประหารล้างตระกูลเก้าชั่วโคตรนั่นก็มิได้เกินไป แต่นางเป็นห่วงจริงๆ
โชคดีที่พระพันปีมิได้ถือสาเรื่องพวกนี้ กลับกันคำพูดของแม่นมยิ่งเสริมให้ได้ยินหัวใจส่วนลึก ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวันในที่สุดก็กล่าวว่า “ถือตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อน แถลงราชโองการต่อใต้หล้า อายเจียจะว่าราชการหลังม่าน!”
แม่นมแม้ประหวั่นพรั่นพรึงเล็กน้อย แต่ยังรับบัญชาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสอดผ้าห่มให้พระพันปีพลางกล่าว “นายหญิงวางพระทัย เรื่องเหล่านี้หม่อมฉันจะไปจัดการให้เรียบร้อย พระองค์ทรงพักผ่อนสงบใจ ทางจ้านหวังเฟยนั้นหม่อมฉันก็จะไปดูสักเที่ยว พระองค์ตื่นแล้วค่อยไปเยี่ยมดูสักหน่อย”
พระพันปีพยักหน้า ต่อให้นางเป็นห่วงซูเซียงกว่านี้ก็ฝืนตัวเองไม่ไหวลุกไม่ขึ้นอย่างแท้จริง ในตอนที่แม่นมกำลังจะออกประตูยังกำชับอีกหนึ่งประโยค “เข้าพบคนแล้วอย่าเรียกว่าจ้านหวังเฟยอีก เรียกนางว่าจวิ้นจู่เถอะ”
ฝีเท้าของแม่นมชะงักเล็กน้อย ลอบทอดถอนใจ สุดท้ายขาน “เพคะ”หนึ่งเสียง นับว่าตกลงแล้ว นางติดตามพระพันปีหลายปีขนาดนี้มีหรือจะไม่รู้ความคิดที่แฝงอยู่ในนี้? แม่นางคนนั้นก็เป็นคนหัวแข็ง นี่ก็ห้าหกวันแล้วยังนิ่งเงียบไม่พูดกับท่านอ๋องแม้แต่ครึ่งคำ กระทั่งเหลือบมองสักสายตายังไม่ยินดี ทำเอาหลายวันนี้ทั้งร่างกายของท่านอ๋องกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เดินไปไหนก็มีไอเย็นแผ่ฟู่ออกมา
เรื่องพระพันปีมีราชโองการประสงค์ว่าราชการหลังม่านมิใช่เรื่องที่จะจัดการเรียบร้อยภายในวันสองวัน แม้นอย่างไรจักรพรรดินับว่าไม่ตามครรลองอยู่บ้าง ทว่าคนฝ่ายสนับสนุนจักรพรรดิเหล่านั้นก็ไม่ยินดีเสียผลประโยชน์สักเท่าใด ต้องการรักษาความชอบธรรมของผู้สืบสันติวงศ์อะไรทำนองนั้น คนสองฝั่งฉุดยื้อกันอยู่นาน สุดท้ายเนื่องด้วยจักรพรรดิกระทำไม่สมควรจริง คนฝ่ายขวาเหล่านั้นเองก็ไร้วาจาแก้ต่าง จำต้องหลับตาข้างลืมตาข้างว่าอย่างไรก็ตามนั้น เตรียมการเรื่องว่าราชการหลังม่าน
ตอนที่ 851 พี่น้องราชบุตรเขยบุกพระราชตำหนัก
เดิมคิดว่าพระพันปีว่าราชการหลังม่านแล้วเรื่องราวคงคลี่คลายลงบ้าง ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
พระพันปีทางนี้กำลังแต่งพระองค์เตรียมขึ้นราชสำนักว่าราชกิจ ผลกลับได้ยินรายงานด่วนม้าเร็วแปดร้อยลี้ แจ้งว่าทหารชายแดนเคลื่อนพล บุตรภรรยารองทั้งสองของจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วเจียงจวินและเป็นน้องชายทั้งสองของราชบุตรเขย นำกองกำลังเข้าเมืองหลวงภายใต้สถานการณ์คลุมเครือ ทั้งเนื่องด้วยทราบข่าวช้าไป ไม่นานเกรงว่าคนคงมาถึงแล้ว
มือของแม่นมที่ช่วยสวมเฟิ่งกวาน(มงกุฏหงส์)ให้พระพันปีอาวุโสสั่นงกจนเกือบทำเฟิ่งกวานร่วงลงพื้น
พระพันปีมิได้ติดใจถือโทษ ให้แม่นมรีบสวมให้นางทันที จากนั้นก็เร่งมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง
พระพันปีเพิ่งประทับมั่นคง ด้านนอกก็ส่งรายงานด่วนเข้ามา กราบทูลว่าน้องชายต่างมารดาทั้งสองของราชบุตรเขยยกขบวนมาถึงหน้าประตูวังแล้ว วาจาดุเดือดยิ่งนัก
“บังอาจ! บังอาจยิ่งนัก! ทหาร ไปจับผู้ทรยศสองคนนั้นมา ลงดาบประหาร! ” จักรพรรดิตบโต๊ะมังกร ตวาดสุรเสียงกึกก้อง
จักรพรรดิในตอนนี้ทรงพิโรธจนแทบเสียสติแล้ว ก็แค่สตรีคนหนึ่งกับเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกคนหนึ่งมิใช่หรือ? จะเป็นจะตายถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โตจนทุกคนไม่เลิกราจบสิ้นกับเขา!
กราบบังคมทูล…ฮู่กั๋ว[1]โหว[2]ขอเข้าเฝ้า!
กราบบังคมทูล…ฮู่กั๋วเจียงจวิน[3]ขอเข้าเฝ้า!
ตามด้วยเสียงร้องขานรายงานยาวเหยียดสองเสียง คนของจักรพรรดิไม่ทันส่งออกไป น้องชายทั้งสองของเจิ้นกั๋วเจียงจวินก็เหน็บดาบ สวมชุดเกราะ สาวเท้าตรงเข้ามาทางท้องพระโรง
และด้วยฐานะและคุณูปการต่อบ้านเมืองของพวกเขา เหล่าองครักษ์แม้ขวางกั้น ทว่าไม่กล้าทำร้ายคนจริงๆ ถึงกับมีองครักษ์บางคนลอบส่งสายตาบอกพรรคพวกว่าแค่แกล้งทำท่าทางพอสมควรก็พอแล้ว ผู้อื่นไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ควรมาทวงความยุติธรรมมิใช่หรือ
จักรพรรดิพลันตระหนก “ทหาร รีบจับตัวคนทรยศไว้ เจิ้นพระราชทานยศว่านฮู่โหวให้ รีบจับกบฏไว้! จับไว้! ”
ทว่า บัดนี้แม้เป็นกลุ่มคนผู้สนับสนุนจักรพรรดิต่างก็พากันไม่ขยับ เบือนศีรษะไปอีกทาง ทำราวกับไม่ได้ยินคำที่ฮ่องเต้พูด ยิ่งไปกว่านั้น ยังเบี่ยงสายตามุ่งไปทางพระพันปีที่อยู่หลังม่าน เอ่ยขอความกรุณา “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย! ”
บัดนี้จักรพรรดิตะลึงงันถึงที่สุด ไหนจะเหลือกิริยาที่กษัตริย์แห่งแคว้นควรมี ร้องตะโกนโหวกเหวกเหมือนกับตัวตลกกระโดดโหยงเหยงอยู่ตรงนั้น “บังอาจ! บังอาจ เจิ้นต่างหากเป็นฮ่องเต้ เจิ้นต่างหากเป็นประมุขของใต้หล้า พวกเจ้ามันกบฏ เจิ้นเป็นจักรพรรดิ แม่ไก่มาขันตอนเช้า สตรีปกครองเป็นเภทภัยต่อบ้านเมืองราษฎร…”
จักรพรรดิไม่โวยวายเช่นนี้คงดีกว่า แต่ไรมาต้าหรงยึดหลักกตัญญูปกครองใต้หล้า จักรพรรดิเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมานั่นคือไม่จงรักไม่กตัญญูแล้ว
ด่ามารดาของตัวเองว่าเป็นแม่ไก่ขันยามเช้า เป็นเภทภัยทำลายบ้านชานเมืองและราษฎร แหย่รังแตนเข้าแล้ว!
บัดนี้แม้แต่ฝ่ายสนับสนุนจักรพรรดิเหล่านั้นยังพากันส่ายหน้า คุกเข่าให้พระพันปีกราบบังคมทูลพระกรุณา “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงวินิจฉัย…”
“เข้ามา แจ้งราชโองการของอายเจีย ให้ฮู่กั๋วโหวและฮู่กั๋วเจียงจวินเข้าเฝ้าในท้องพระโรง… ”
แม่ทัพทั้งสองเดิมทีคิดว่าการเข้าพระตำหนักต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงขั้นเคยคิดว่าแม้สู้จนตัวตายไร้ศพ วันนี้พวกเขาก็ต้องก่อการณ์ให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!
กลับเหนือความคาดหมาย เพิ่งเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินรับสั่งของพระพันปี ความโกรธในใจพอจะลดลงไปบ้าง สองคนมองตากัน จึงค่อยวางดาบในมือไว้ตรงประตูพระตำหนักใหญ่ สาวเท้าก้าวเข้ามา
ทว่าอารมณ์บนใบหน้ายังคงดูไม่ดีดังเดิม ไม่เหมือนกับจ้าวเซิงที่เป็นประเภทปล่อยความเย็นชาออกมาจากก้นบึ้งในใจ บัดนี้บนหน้าพวกเขาล้วนเปี่ยมด้วยด้วยความเคียดแค้น
หลังสองคนเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงบนพื้นดังปึง เอ่ยปากพูดทันที “จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินของข้าบนล่างสี่ชั่วอายุล้วนภักดีต่อบ้านเมือง หลานชายและหลานสาวสองคนของบ้านพี่ชายล้วนพลีชีพเพื่อชาติ กระหม่อมสองพี่น้องแม้เป็นบุตรอนุ ช่วงเวลาพิเศษหากมีทายาทก็สามารถสืบสกุลได้ ทว่าบุตรในบ้านกระหม่อมกับน้องเล็กทั้งสี่คนเข้าสู่สนามรบล้วนมิอาจกลับมา กระหม่อมทั้งสอง คนหนึ่งร่างกายบาดเจ็บ คนหนึ่งถูกพิษทำร้ายถึงร่างกาย ล้วนมิอาจมีบุตรได้อีก วันนี้กระหม่อมนำพี่น้องรุดหน้ามา ไม่มีอื่นใด เพียงอยากถามฝ่าบาทหนึ่งประโยค เรื่องนี้พระองค์ตั้งใจจะอธิบายกับเราว่าอย่างไร?!”
——
[1] ฮู่กั๋ว หมายถึง พิทักษ์บ้านเมือง
[2] บรรดาศักดิ์ชั้น โหว เรียงจากบรรดาศักดิ์ทั้งห้าจากสูงไปต่ำ ได้แก่ กง โหว ปั๋ว จื่อ หนาน
[3] เจียงจวิน คือ ตำแหน่งแม่ทัพ ขุนพล
ตอนที่ 852 มนุษย์ดินปั้นยังมีอารมณ์สามส่วน
คำพูดนี้นับว่าแทงใจดำองค์จักพรรดิแล้ว คนหนึ่งท่อนล่างถูกฟันเสียหายในสนามรบ คนไม่รู้ยังคิดว่าตัวเขาประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บเอง ส่วนอีกคน สุราพิษจอกนั้นลงสู่ท้องได้อย่างไร ย่อมไม่มีใครรู้ชัดไปกว่าพวกเขาแล้ว
พูดตรงๆก็คือกลัวขุนนางมีผลงานเหนือกว่า กลัวจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วจะมีทายาทสืบสกุล แท้จริงแล้วเรื่องโสมมเช่นนี้ล้วนมีทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ทุกคนมิได้หยิบยกขึ้นมาพูดในที่สว่างก็เท่านั้น อีกอย่าง กษัตริย์ที่กระทำเกินขอบเขตเหมือนจักพรรดิองค์นี้ อดีตนั้นไม่เคยปรากฎ อนาคตไม่มีใครกระทำอย่างแท้จริง
ลองคิดดู คนทั้งตระกูลสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ ยังต้องประสบเจ้าประมุขมุ่งร้าย แม้เป็นมนุษย์ดินปั้นก็ยังมีอารมณ์อยู่สามส่วนกระมัง?!
จักรพรรดิเดิมทีทรงกริ้วเพราะทุกคนไม่ฟังคำเขาแต่กลับไปฟังพระพันปี บัดนี้เห็นบุตรอนุของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินสองคนยังกล้าข่มขู่เขาอย่างเปิดเผยกลางท้องพระโรง โทสะก็เดือดดาลพุ่งพล่าน
“อธิบาย? อธิบายอะไร! เจิ้นเป็นเจ้าครองแคว้น ขุนนางราษฎรทั้งใต้หล้าล้วนเป็นลูกหลานเจิ้น เจิ้นอยากตีก็ตี อยากฆ่าก็ฆ่า ยังจำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก?!”
ประโยคนี้เอ่ยมาอย่าว่าแต่กระตุ้นโทสะของแม่ทัพทั้งสองท่าน กระทั่งผู้คนในท้องพระโรงต่างลุกฮือขึ้นมา
พระพันปีเลิกม่านเดินตรงเข้ามายังพระที่นั่งทันที มือชี้จักรพรรดิกล่าวบริภาษ “เจ้าลูกทรพี ใต้หล้าเป็นของผู้คนทั้งใต้หล้า มิใช่ใต้หล้าของเจ้าคนเดียว! ถ้าไม่มีราษฎร จะมีจักรพรรดิหลงตัวเองคิดว่าตนสูงส่งเช่นเจ้ามาจากไหน?! ”
ทีแรกแม่ทัพทั้งสองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นลุกขึ้นเตรียมออกไปนอกพระตำหนักหยิบศาสตราวุธของพวกเขา คิดสังหารจักรพรรดิองค์นี้เสียให้สิ้นเรื่อง แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เองพระพันปีกลับออกมาตรัสเช่นนี้ ในที่สุดสองคนก็ฟื้นสติกลับมาเล็กน้อย
ถ้าไม่ถึงคราวเลวร้ายสุดวิสัยแล้วพวกเขาเองก็ไม่ยินดีแบกโทษประหารเก้าชั่วอายุคน แต่ถ้าข่มเหงรังแกคนจนเหลือรับได้ พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือก อย่างไรเสียก็ไร้บุตรขาดหลานแล้ว แทนที่ทั้งครอบครัวจะใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ มิสู้เปลี่ยนกษัตริย์ผู้ปรีชาชาญเพื่อคนทั้งใต้หล้าดีกว่า!
ดีที่พระพันปียังรู้เรื่องรู้ราวอยู่คนหนึ่ง ถ้าไม่ถึงจุดเลี้ยวโค้งสุดท้าย พวกเขาเองก็ไม่ยินดีนำชีวิตคนทั้งตระกูลไปเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับมาได้หรอก
พระพันปีตะคอกตำหนิจบ ก็ไม่รอให้จักรพรรดิเอื้อนเอ่ยอันใด เจิ้นกั๋วเจียงจวินและผู้เป็นน้องสามของราชบุตรเขย ทูลต่อจักรพรรดิทันที “จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินใจเดียวภักดีต่อบ้านเมือง มิเคยปรากฏคนทรยศสองใจ ฝ่าบาททรงหวั่นเกรงขุนนางงานสูงกลบนายกระมัง? ครานั้นพี่ใหญ่สิ้นชีพเยี่ยงไร แท้จริงในใจทุกล้วนกระจ่างชัดราวกระจกใส ล้วนเป็นภูตผี ไยต้องคลุมหนังมนุษย์แสแสร้งแกล้งทำ คนเห็นมันขยะแขยง! ”
บุตรเขยรับคำเสริมต่อทันที “ในเมื่อพระองค์หวั่นเกรงไยจำต้องมอบอำนาจทางการทหารให้เรามากถึงเพียงนี้? แค่ทรงมีพระราชโองการประหารตัดหัวจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินทั้งตระกูลก็ย่อมได้ มีแค้นมีเคืองอันใดท่านก็มาลงที่พวกกระหม่อม เด็กไม่รู้เรื่องด้วย เขายังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ มีพยาบาทอันใดกับท่าน? จำต้องกำจัดเขาให้ตายเชียวหรือ!”
เดิมทีทุกคนก่อเกิดกลุ่มก้อนความโกรธต่อพฤติกรรมของจักรพรรดิ หนำซ้ำบัดได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของน้องชายราชบุตรเขยทั้งสองท่าน ก็พลันสะท้านหนาวจับใจ
จักรพรรดิองค์นี้แม้ก่อนหน้าไม่มีวีรกรรมใหญ่โตอันใด ข้อเสียจุกจิกก็มีไม่น้อย แต่เป็นคนขยันพากเพียร ทว่าหลังประสบเรื่องอี้เมิ่งกุ้ยเฟย พระจริยวัตรก็ยิ่งไม่ถูกครรลองขึ้นทุกวัน บัดนี้ทุกคนไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วในพระทัยฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ริมฝีปากรัชทายาทอ้ำอึ้ง คิดอยากอ้าปากเกลี้ยกล่อมสองสามประโยค แต่คำมาจ่ออยู่ตรงพระโอษฐ์แล้วกลับไร้หนทางพูดออกมา
เรื่องเหล่านี้แม้เขามิได้มีบทบาท อีกทั้งตอนนั้นตัวเขาก็ยังเด็ก แต่อย่างไรเขาก็เป็นรัชทายาท รู้เรื่องราวภายในไม่น้อย ไยจะไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเสด็จพ่อของเขาทำเรื่องเหลวไหลอะไรไว้บ้าง? บัดนี้ให้เขาอ้าปากกล่าวโทษสายสกุลจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน เขาก็ละอายใจจนพูดไม่ออกอย่างแท้จริง
“บังอาจ พวกเจ้าจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินวันนี้ต้องการก่อกบฎใช่หรือไม่!? ทหาร! จับโจรกบฏพวกนี้เอาไว้ ประหารทั้งตระกูล!” จักรพรรดิตวาดสุรเสียงดังทั้งยังคว้าราชโองการขาวโล่งฉบับหนึ่งตั้งท่าจะเขียนลงไป
ตอนที่ 853 เปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดหัวเจ้าให้
พระพันปีเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะลุกลามมาถึงขั้นนี้ รู้ว่าแม่ทัพทั้งสองมาเพื่อทวงความยุติธรรม ขอเพียงนางผดุงความยุติธรรม ตำหนิองค์จักรพรรดิ ก็น่าจะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร
กลับกันมิใช่บอกว่านางลำเอียงจักรพรรดิ กระทำเรื่องผิดแล้วยังเข้าข้าง แท้จริงเพราะลูกชายของตนมิใช่คนธรรมสามัญ หากก่อเรื่องใหญ่โต บ้านเมืองก็ไม่สงบมั่นคง
ทว่าจักพรรดิกลับมิได้รับรู้ถึงความทุกข์ใจของพระนาง ตราบถึงบัดนี้ยังไม่สำนึกผิด ยังคิดโวยวายก่อเรื่อง
หากปล่อยให้จักรพรรดิเขียนราชโองการจริง สั่งประหารจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินทั้งตระกูล เช่นนั้นจะย่ำแย่เพียงใด?
พระพันปีร้อนพระทัย ข้ามไปข้างหน้าก้าวใหญ่ ไม่สนว่าในมือจักรพรรดิถือพู่กันจุ่มน้ำหมึกแล้วหรือไม่ ฝ่ามือตรงเข้าโบกให้คนล้มลงกับพื้น พู่กันหมึกร่วงหล่นบนหน้าบนตัวของจักรพรรดิ ทำเอาเปรอะเปื้อนดำปี๋
ฝ่ามือนี้ของพระพันปีเกือบจะเรียกได้ว่าใช้พลังทั้งหมดในกายนาง ตบเสร็จมือก็ชา ตาลาย โงนเงนสองหน ไม่ง่ายนักกว่าจะมีคนช่วยประคองจับโต๊ะมังกรได้อย่างมั่นคง แต่กลับพ่น “พรวด” อาเจียนเลือดสดออกมา
“ลูกทรพี! ลูกทรพี!”
“ทหาร เปิดหอบรรพชน อายเจียจักเฉดหัวจักรพรรดิไร้เมตตาไร้คุณธรรมผู้นี้ออกไป!” บัดนี้พระพันปีชราเองก็ถูกกระตุ้นโทสะจนเวียนหัวตาลาย เช็ดคราบเลือดตรงข้างริมฝีปากแล้วรับสั่งทันที
ผู้คนเห็นเรื่องลุกลามใหญ่โตจนถึงขั้นนี้ ต่างพากันขึ้นหน้าเกลี้ยกล่อมพระพันปี บ้านเมืองไม่อาจไร้กษัตริย์แม้แต่วันเดียว เปลี่ยนประมุขเป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้า
อีกฝ่ายก็ไปเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิ ให้เขารีบสำนึกผิด ยอมถอยลงมาให้จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน
มังกรตัวนั้นของเขา เขาเป็นถึงจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ จะยอมอ่อนข้อให้จวนแม่ทัพแห่งหนึ่งได้อย่างไร นี่มิใช่กำลังตบหน้าเขาอยู่หรือ ภายภาคหน้าจะปกครองบ้านเมืองอย่างไร!!
น้องชายทั้งสองของราชบุตรเขยเดิมทีก็ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่นานนัก จะอาละวาดใหญ่โตแค่ไหนก็ได้ ต่อให้ถูกประหารทั้งตระกูลพวกเขาเองก็ไม่นึกเสียดาย ไม่ว่าอย่างไรจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ได้!
ครั้นเห็นสภาพเช่นนี้ของพระพันปีพวกเขาก็ใจอ่อนลง ดีร้ายอย่างไรพระพันปีก็ยังมีสติเข้าใจเหตุผล พูดอีกอย่าง ทะเลาะกันก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ต่อให้พวกเขาทวงคืนความยุติธรรมได้ แต่ก็ทำให้ศัตรูเบิกบานใจแล้ว
ในที่สุดทั้งสองก็ใจเย็นลง ในใจอัดแน่นความคับแค้นไว้เต็มท้อง แต่กลับเดินขึ้นหน้ายกกำปั้นคารวะต่อพระพันปี “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงระงับโทสะ พวกกระหม่อมเพียงร้องขอความยุติธรรม มิ มิได้มีเจตนาเช่นนั้น ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงระงับโทสะ”
“พวกท่านล้วนเป็นขุนนางดีงาม แต่เป็นลูกทรพีผู้นี้เลอะเลือนผีสิง วางใจ อายเจียจักให้ความยุติธรรมแก่พวกท่านแน่นอน! วันนี้อายเจียจะเปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดให้เขาไสหัวไป!” พระพันปีตรัสแล้วก็ขึ้นหน้าคว้าคอเสื้อด้านหลังของจักรพรรดิคิดจะลากลงมาจากบัลลังก์
ฝูงชนอลม่านอีกระลอก ขึ้นหน้าเข้ามาไกล่เกลี่ย
พวกเขาต่างรู้ดีว่ามารดาของพระพันปีพระองค์นี้เป็นสามัญชน ดังนั้นพระพันปีเองก็ติดนิสัยของสามัญชนมาไม่น้อย ครานั้นตอนจักรพรรดิองค์ก่อนยังอยู่ พระพันปีก็ก่อเรื่องหลายครั้ง แต่เพราะจักรพรรดิองค์ก่อนไม่พูดอันใด ทั้งยังมีราชโองการว่าผู้ใดดูแคลนพระนางลับหลังจะไม่ทรงปรานีให้เด็ดขาด ฉะนั้นจึงไม่มีคำพูดไม่น่าฟังอะไรเผยแพร่ออกไป
คิดไม่ถึงว่าพระพันปีอายุอานามนี้แล้วกลับยังเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้ อ้าปากหุบปากก็ “ไสหัวไป” บ้าง “แม่[1]”บ้าง แม้ฟังแล้วไม่เข้าหูนัก แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้สาแก่ใจอย่างหาใดเปรียบ!
“พวกกระหม่อมจะรอข่าวอยู่ที่จุดพักม้า กระหม่อมทูลลา” แม่ทัพทั้งสองเห็นว่าลุกลามใหญ่โตแล้วก็ไม่อยากรั้งอยู่ต่อนาน เพียงทำความเคารพทูลลาพระพันปีแล้วออกไป
พระพันปีในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจแม่ทัพสองคนนี้ ทั้งหัวจิตหัวใจล้วนมีแต่ต้องการปลดลูกชายโง่งมคนนี้ลงจากบัลลังก์ ไม่ยอมให้เขาเหยียบย่ำขุนนางราษฎรอีกเด็ดขาด
“ไปเถิดๆ” พระพันปีตรัสพลางโบกพระหัตถ์ และไม่สนว่าคนเดินจะไปแล้วหรือไม่ พระนางตรงเข้าคว้าคอเสื้อของจักรพรรดิจะลากออกไปด้านนอกท่าเดียว ใครห้ามก็ไม่ฟัง
โถงราชสำนักทางนี้ทะเลาะกันเผ็ดร้อน ทางซูเซียงเองก็มิได้พ้นกันไปไหนไกล
เพียงแต่ซูเซียงกลับไม่ได้ทะเลาะกันเสียงดังแต่อย่างใด แต่แววตาสงบนิ่งไร้คลื่นแบบนั้นทำให้จ้าวเซิงเกิดเพลิงโทสะลุกโหม
แม้หลายวันนี้ซูเซียงไม่สนใจเขา แต่ทุกวันจ้าวเซิงก็ยังเสนอหน้าไปเยี่ยมซูเซียงวันละสองสามครั้ง โจ๊กตุ๋นน้ำแกงโสมไก่ที่เขาเพิ่งส่งให้ซูเซียงเมื่อครู่ ซูเซียงเองก็มิได้โวยวายอันใด ยกขึ้นดื่มได้ครึ่งชามก็วางตรงหัวเตียง ไม่เปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว
——
[1] แม่ หรือเหล่าเหนียง ในที่นี้เป็นคำแทนตัวของผู้หญิง ยกตัวเองว่าเป็นมารดาคนอื่น ใช้ในเชิงหยาบคาย ตรงกับคำว่า กู ในภาษาไทย
ตอนที่ 854 หนึ่งคำเรียกขาน หนึ่งความรู้สึก
เขากลับยินดีให้ซูเซียงเอะอะโวยวายสักครั้ง จะตีจะด่าเขาก็ได้ แต่ท่าทางเรียบร้อยตอนนี้ของซูเซียง กลับทำให้เขายิ่งรู้สึกแย่
หลายวันก่อนซูเซียงยังเคยพูดกับพระพันปีว่าต้องการเลิกรา ให้จ้าวเซิงรีบมอบหนังสือหย่าโดยสมัครใจให้นาง หรือจะเป็นหนังสือฟ้องหย่าก็ได้ ตอนนั้นจ้าวเซิงได้ยินคำที่ถ่ายทอดมาน้ำตาก็เอ่อท่วมขอบตา หมัดหนึ่งทุบบนกำแพง เลือดสดสาดกระเซ็น จนถึงตอนนี้มือขวาของเขายังคงพันผ้าพันแผลหนาตึบ
ความเคลื่อนไหววุ่นวายใหญ่โตบนท้องพระโรงเมื่อครู่ จ้าวเซิงไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่เขาไม่มีจิตใจคิดอยากสนใจอย่างแท้จริง ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป เขาไม่คิดอยากสนใจแม้แต่นิดเดียว
ซูเซียงแม้บอกว่าต้องการหนังสือหย่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าถึงที่สุดแล้วในใจของนางก็รักชอบบุรุษคนนี้ เห็นจ้าวเซิงไม่มาพูดเจื้อยแจ้วข้างหูนางเหมือนวันปกติ แต่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง ก้มหน้าคอตกไม่เปล่งเสียง ในใจนางก็อดมิได้ที่จะเกิดคำถาม
แต่นางในตอนนี้คิดแค่อยากดูแลรักษาร่างกายให้หายดีแล้วรีบออกไปจากสถานที่เฮงซวยแห่งนี้ เรื่องอื่นนางเองก็คร้านจะสนใจ
คิดไม่ถึงเวลานี้จ้าวเซิงกลับเปิดปากเอ่ยขึ้นกะทันหัน “ที่รัก เรากลับไปกันเถิด ท่านพ่อท่านแม่อยู่ในบ้านคงรอจนร้อนใจแล้ว”
ที่เขาเรียกขานมิใช่หวังเฟย มิใช่ภรรยา แต่เป็นคำที่คนชนบทเรียกขานภรรยาของตน
คำเรียกขานอย่างหนึ่ง มักให้ความรู้สึกชนิดหนึ่ง
ถึงแม้ตอนนี้หัวใจซูเซียงจมดิ่งดุจวารี กลับยังก่อเกิดระลอกคลื่นเล็กๆเพราะคำว่า “ที่รัก”คำนี้ของเขา
หลังพูดประโยคนี้จบจ้าวเซิงมองซูเซียงเงียบๆสองสายตา สุดท้ายก็ถอนหายใจเดินออกจากห้องไป
ทีแรกในใจซูเซียงมากน้อยก็ยังดีใจอยู่บ้าง คิดว่าบุรุษคนนี้อยากกลับชนบทกับนางจากใจจริง แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับไม่มีความอดทนสักนิด ตนยังไม่ทันตอบเขาก็เดินออกไปแล้ว
ในใจรู้สึกแย่ เบือนหน้าบึ้งตึง ทว่าพลันได้ยินเสียงตะโกนเอะอะ คนเดินไปเดินมาด้านนอก
“เร็วหน่อยๆ ท่านอ๋องสงครามมีคำสั่งแล้ว รีบเก็บข้าวของสัมภาระ!”
“นี่ๆ ของพวกนี้ไม่ต้องทำแล้ว พวกเจ้าสนใจจัดการแค่ปูฟูกในรถม้าให้มากชั้นหน่อย ให้จวิ้นจู่นอนสบายก็เป็นอันได้ ท่านอ๋องบอกแล้วว่า เวลาไม่มาก อย่ามัวพิรี้พิไร เสียเวลาเปลืองน้ำหมึก ”
“นี่ เจ้าหก เจ้าเซ่อมัวยืนบื้ออยู่ทำอะไรน่ะ! ไปหยิบเตาไฟ จวิ้นเหนียงเนี่ยงร่างกายบาดเจ็บ ห้ามให้หนาวเด็ดขาด!”
……
ซูเซียงในตอนนี้ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร พยายามเม้มริมฝีปาก ไม่ให้ตัวเองเหยียดยิ้มออกมา ทว่าในใจนางมากน้อยก็ยังได้รับการปลอบโยน ผู้ชายคนนี้รู้จักเอาใจภรรยา รู้ว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมยังยินดีเข้าหานาง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว นางไม่ควรเรียกร้องมากเกินไปจริงๆ
นางเองก็รู้อยู่แก่ใจ ที่เสียลูกไปมิอาจโทษว่าเป็นความผิดจ้าวเซิงโดยสิ้นเชิง แต่จนใจนางไม่สามารถก้าวข้ามหลุมในใจนี้ไปได้ คิดว่าเพราะฐานะองค์ชายของจ้าวเซิงจึงทำให้เสียลูกไป ทำให้นางได้รับโทษทัณฑ์นี้ ในใจจึงนึกเคืองแค้น
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ…” ซูเซียงพึมพำคนเดียว
บุรุษยอมทิ้งอำนาจทางทหาร ถอดยศตำแหน่ง ยอมกลับไปใช้ชีวิตสงบเงียบกับนาง นางเองก็จะให้โอกาสอีกครั้ง
โถงราชสำนักทางนั้นวุ่นวายอลหม่าน สุดท้ายไม่รู้ผู้ใดเกลี้ยกล่อมพระพันปีลงได้ จึงไม่ปลดจักรพรรดิลง เพียงแต่กักบริเวณจักรพรรดิไว้ที่พระตำหนักหมิงชิง ภายในสามเดือนห้ามว่าราชกิจ ให้พระพันปีว่าราชการหลังม่าน
แต่เรื่องพวกนี้จ้าวเซิงขี้เกียจจะใส่ใจแล้วอย่างแท้จริง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทุกสิ่งทุกอย่างก็จัดการเสร็จเรียบร้อย
จ้าวเซิงนำตราทหารวางลงบนโต๊ะของพระพันปี พูดขึ้นตามตรง “เสด็จย่า เป็นหลานอกตัญญู ไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่าน แต่หลานเองก็เป็นสามีของผู้อื่น เป็นบิดาของผู้อื่น ตอนนี้หลานอยากพาภรรยาออกไป ขอเสด็จย่าทรงอนุญาต!”
เดิมพระพันปีไม่อยากให้จ้าวเซิงไป แต่เรื่องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจ้าวเซิงยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าอาจก่อเกิดคลื่นลมอะไรบางอย่าง ไม่เป็นผลดีต่อชาติบ้านเมือง
พระพันปีทำได้เพียงถอนพระทัย หยิบราชเสาวนีย์ออกมา “อายเจียจัดการถอดถอนยศชินอ๋องให้เจ้า รับตราทหารคืน ทีนี้เจ้าก็พาเซียงเอ๋อร์ไปเถิด อายเจียรู้ว่าเจ้ากับเซียงเอ๋อร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่าเพื่อบ้านเมือง… ”
ตอนที่ 855 สองสามีภรรยาออกจากวังหลวง
พระพันปีตรัสถึงตรงนี้ก็มิได้เอ่ยอะไรต่อ นางเองก็รู้สึกละอายใจ แต่ยังทำอันใดได้?
หากนางตีจักพรรดิให้ตายเสียเรื่องราวก็คงพอแก้ไขได้ นางสามารถอัดลูกทรพีผู้นั้นให้ตายโดยไม่กะพริบตาได้จริงๆ
จ้าวเซิงรับราชโองการอย่างสงบเสงี่ยมแล้วโขกศีรษะคำนับให้พระพันปี รีบเร่งกลับไปยังห้องนอนของซูเซียง
“เสด็จย่ารับอำนาจทางทหารคืน ลดขั้นบรรดาศักดิ์ของข้าแล้ว ที่รัก เรากลับบ้านได้แล้ว” จ้าวเซิงจูงมือซูเซียงเอ่ยเสียงแผ่ว ในน้ำเสียงยังเจือด้วยความวิงวอนหนึ่งส่วน
แท้จริงสิบกว่าวันมานี้เขาคิดอยากพาซูเซียงออกไปนานแล้ว แต่หนึ่งเพราะร่างกายซูเซียงยังรับการสั่นโคลงไม่ไหว สองเพราะยังอยากเรียกร้องความยุติธรรมให้ซูเซียงและลูก
ตอนนี้จะยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมเขาก็ไม่อยากนึกถึงอีกแล้ว ร่างกายของซูเซียงแม้ยังแบกรับความเหนื่อยล้าสั่นโคลงเป็นเวลานานไม่ไหว แต่ระวังใส่ใจให้มากขึ้นหน่อย ดีกว่าให้ภรรยาทุกข์ใจอยู่ในวังหลวง ร่างกายยิ่งหายยาก
ซูเซียงมองเขาอยู่สักพัก เห็นบนหน้าเขาเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ อยากลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่ชนบทกับตนจริงๆ ในที่สุดก็พยักหน้า หยดน้ำตาใสกลิ้งออกจากขอบตา
น้ำตาหยดหนึ่งพาให้ขั้วหัวใจของจ้าวเซิงเจ็บปวด เขาแอบปฏิญาณไว้ในใจ ต่อไปนี้จะไม่ยอมให้ซูเซียงได้รับความไม่เป็นธรรมอีก เรื่องราวในครั้งนี้เขาจะใช้ทั้งชีวิตมาชดเชย
เห็นซูเซียงตกลงแล้ว จ้าวเซิงปลอบอีกสักพักแล้วค่อยให้คนนำรถม้ามายังสถานที่นัดหมาย สุดท้ายคลุมผ้าห่มให้ซูเซียงทั้งตัวอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วสาวเท้าออกไป
จักรพรรดิแม้ถูกกักบริเวณแล้ว แต่เพลิงโทสะในใจยังท่วมท้นแทบเผาทั้งวังหลวงได้ ร้องตะโกนโวยววายอยู่ในห้องบรรทม ขอเพียงเป็นของที่ทุบได้ โยนได้ ฉีกได้ ทั้งหมดล้วนถูกเขาฟาดผัวะผะจนหมดเกลี้ยง
“กาลกิณี! กาลกิณี! หญิงชั่วนั่นมันเป็นกาลกิณี! เจิ้นต้องฆ่านาง ฆ่านาง!”
จักรพรรดิโมโหกระหืดกระหอบ เขาคิดว่าซูเซียงต้องเป็นกาลกิณีบ้านเมืองอย่างแน่แท้ เป็นปีศาจจิ้งจอกสิงร่าง เป็นเพียงพอนบๅลกลับชาติมาเกิด มิเช่นนั้นเรื่องที่เขาผู้เป็นจักรพรรดิสูงศักดิ์แห่งแคว้นยังทำไม่ได้ นางซึ่งเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งสามารถรักษาความสงบมั่นคงของมณฑลหนึ่งได้อย่างไร? แม้กระทั่งเกิดโรคระบาด ที่นั่นยังเป็นสถานที่ที่คนตายน้อยที่สุด ถ้ามิใช่ปีศาจใช้กลอุบายที่คนมองไม่เห็นอะไรล่ะก็ จะจัดการได้อย่างไร?
อีกอย่างถ้านางไม่ใช่ปีศาจกาลกิณี เสด็จแม่จะแตกหักกับตนได้อย่างไร ยังมีคนมากมายคอยปกป้องอีก?! หญิงแพศยาคนนั้น ยังมีเด็กเวรที่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิดนั่นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นปีศาจทั้งสิ้น!
“ปีศาจจิ้งจอก! ปีศาจชั่วร้าย! เจิ้นจะฆ่านาง พวกเจ้าทุกคนอย่ามาขวางเจิ้น เจิ้นจะฆ่านาง!” จักรพรรดิดึงกระบี่อาญาสิทธิ์หลงหยิน(มังกรขับขาน)ของเขาออก ราวกับมารบันดล ท่าทางโหดเ**้ยมทำท่าจะพุ่งออกไปนอกพระตำหนัก
เหล่านางกำนัลขันทีหวาดกลัวพากันคุกเข่าลงกับพื้น กอดขาขององค์จักรพรรดิไม่ยอมปล่อย
ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงมีราชโองการลงมาแล้ว หากปล่อยให้จักรพรรดิออกไปจากตำหนักบรรทมแม้แต่ครึ่งก้าว เช่นนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกโบย อีกทั้งใครบ้างไม่รู้ว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิถูกมารสิงไปแล้ว
จักรพรรดิไหนเลยจะรับฟังคำเตือนของคนข้างๆ อย่าว่าแต่ขันทีนางกำนัลเลย แม้กระทั่งราชเลขาผู้ตรวจการเขาก็ยังฟาดล้มไปหลายคน เลือดสดนองพื้น กระทั่งบนพระแท่นมังกรยังสาดกระจายด้วยคราบเลือดด่างดวง
ทางด้านพระพันปี ลำพังได้ยินว่าหลังจ้าวเซิงรับราชโองการของนางก็อุ้มซูเซียงออกจากวังทันที ในพระทัยก็โทมนัสมากแล้ว คิดไม่ถึงกลับมีคนเข้ามารายงานอีกว่าจักรพรรดิสังหารราชเลขา
อีกทั้งทางรัชทายาทก็ไม่สงบ ได้ข่าวรัชทายาทด่าทอซูเซียงยกใหญ่อยู่ในวังบูรพา ซ้ำยังพูดจาใหญ่โตว่าตนน่าจะจัดการหญิงชั่วช้าคนนี้ทิ้งเสียตั้งแต่แรก พูดไปพูดมาล้วนกล่าวโทษซูเซียง เป็นเพราะหญิงแพศยาคนนี้ราชสำนักจึงวุ่นวายโกลาหล
หลังพระพันปีสดับแล้ว ก็เลี่ยงมิได้ที่จะกระอักเลือดสดคำหนึ่งออกมาอีกครั้ง พระพักตร์ซีดเผือด
หากบอกว่าเพราะเรื่องที่อี้เมิ่งกุ้ยเฟยวางยาจักรพรรดิสมองของพระองค์จึงไม่แจ่มใสแล้ว แต่หลานชายคนนี้ของนางน่าจะสติดีอยู่สิ บัดนี้เหตุใดถึงได้…
พระพันปีไม่มีทางเลือกอย่างแท้จริง จำต้องเพียงหยิบตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อนออกมาลงราชโองการให้กักบริเวณรัชทายาทในตำหนักบูรพาเช่นเดียวกัน และยังไล่นางกำนัลและขันทีอออกไปกว่าครึ่ง นอกจากคนที่คอยส่งอาหาร ซักเสื้อผ้าให้เขาทุกวันแล้ว ก็ห้ามใครเข้าใกล้เขาเด็ดขาด
——
[1] เพียงพอน (黄鼠狼) มีตำนานพื้นบ้านทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเชื่อว่าเพียงพอนสามารถยึดร่างคน ครอบงำจิตใจให้เลอะเลือนสับสน มีพฤติกรรมแปลกประหลาด บางท้องที่นับถือเป็นเทพ เรียกว่าหวงต้าเซียน (黄大仙) เพราะเพียงพอนเป็นสัตว์ฉลาดแสนรู้ ปราดเปรียวว่องไว จึงมักปรากฏในลักษณะเป็นสัตว์เทพกลายร่างหรือสัตว์ปีศาจกลายร่างในวรรณกรรมท้องถิ่น
ตอนที่ 856 บิดามารดาบุญธรรมซูเซียงได้รับพระราชทานแต่งตั้ง
กอรปกับหลังราชเลขาถูกฆ่า ราชสำนักอื้ออึง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทยอยกันถวายฎีกา เรียกร้องให้จักรพรรดิมีราชโองการตำหนิโทษตัวเองและปรับปรุงตัวใหม่
แน่นอนว่าลับหลังก็มีคนพูดว่าแม้จักรพรรดิกับรัชทายาททำเกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่ก่อนหน้านี้พระพันปีกักขังจักรพรรดิแล้ว บัดนี้ยังกักบริเวณรัชทายาทอีก ไม่แน่ว่าอาจเพื่อแย่งชิงอำนาจอะไรบางอย่าง
อย่างไรเสียไม่ว่าคำพูดใดล้วนมีหมด ชาวบ้านเองก็โวยวายฮือฮา ทว่าจ้าวเซิงกับซูเซียงในเวลานี้ออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว
จ้าวเซิงกับซูเซียงไม่ทันกลับถึงชิงโจว ราชโองการของพระพันปีก็ส่งมา ปรับยศจ้าวเซิงเป็นจวิ้นอ๋อง ริบอำนาจทางการทหารคืน พระราชทานชิงโจวให้เป็นดินแดนศักดินาของสองสามีภรรยา อีกทั้งมีพระบัญชาเด็ดขาดแน่ชัด หากไม่เรียกตัวไม่ต้องเข้าเมืองหลวง
สองคนกำลังพักแรมอยู่ในเคหาสน์ของผู้ว่าราชการฉางประจำชิงโจว ก็ได้ยินราชโองการแจ้งประกาศทั่วใต้หล้า
จ้าวเซิงกับซูเซียงต่างมิได้กล่าวอันใด แต่ผู้ว่าฉางนั้นต่างไป เขาถูมือรออยู่นอกประตู เดินวนไปมา หลังเห็นจ้าวเซิงออกมาแล้วก็รีบร้อนเข้ามารับ “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ? เห็นอยู่ชัดๆว่าหวังเฟยไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำไมยัง…”
จ้าวเซิงได้รับพระราชเสาวนีย์ของพระพันปีตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว มิได้เหนือความคาดหมายแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่ผู้ว่าราชการฉางกลับวนไปวนมาเหมือนมดบนหม้อร้อน เป็นเดือดเป็นร้อนรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนพวกเขาจากใจจริง
“องค์ชาย ท่านปกปักคุ้มครองชาติบ้านเมืองมานานหลายปี ลำบากถึงเพียงนี้ พระพันปีกับฝ่าบาทไย ไยถึงได้…”
รังสีเย็นชาบนตัวจ้าวเซิงจางไปเล็กน้อย ถึงขั้นเป็นฝ่ายยื่นมือตบๆไหล่ของผู้ว่าราชการฉางพลางกล่าว “ท่านเองก็มิต้องร้อนใจ เรื่องนี้ข้าองค์ชายกับภรรยาทูลขอเอง ไม่มีของจอมปลอมพวกนั้นก็ดีแล้ว จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“เฮ้อ เฮ้อ…”
ผู้ว่าฉางถอนหายใจเป็นชุด ขณะที่กำลังคิดจะไปทำของกินอร่อยๆให้ซูเซียง ก็ได้ยินผู้ส่งราชโองการรอบที่สองเข้ามา
หนนี้ยังคงเป็นพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี แต่งตั้งบิดาบุญธรรมของซูเซียง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าหวัง ให้มีบรรดาศักดิ์ปั๋วแบบสืบทอดสายสกุล และรับสั่งให้บุตรธิดาก่อนหน้านี้ของซูเซียงสามารถเลี้ยงดูในนามของผู้เฒ่าหวังได้ อีกทั้งให้สืบทอดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชั้นปั๋วได้ สิ่งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
นี่ยังไม่จบ ยังแต่งตั้งหวังต้าเหนียงมารดาบุญธรรมของซูเซียงเป็นเก้ามิ่งฟูเหริน[1]ขั้นสาม พระราชทานนาดีพันหมู่ยังมีแก้วแหวนเงินทองอีกจำนวนมาก และบ่าวปรนนิบัติรับใช้
ทุกคนคิดว่านี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังขันทีอ่านพระราชเสาวนีย์ทั้งสองฉบับจบ ก็มีบุรุษสตรีรูปร่างเพรียวสูง สุขุมจริงจังเจ็ดแปดคนออกมาจากรถม้าผ้าสีคราม
บนตัวของพวกเขาสวมเสื้อผ้าสีล้วนแบบเดียวกัน ดูแล้วเรียบง่ายเป็นระเบียบยิ่งนัก แต่คนตาแหลมแค่มองย่อมรู้ว่าวัสดุผ้ามิได้เรียบง่าย นั่นเป็นไหมฟ้าด้ายเมฆามูลค่าดั่งทองพันชั่ง เกรงว่าแม้แต่เหล่าจวิ้นจู่กงจู่ชีวิตนี้ก็ยังมีให้ใส่แค่ไม่กี่ตัวกระมัง
สตรีผู้เป็นหัวหน้าอายุราวสามสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินเข้ามา กำปั้นคารวะให้จ้าวเซิงกล่าวว่า “ท่านอ๋องสงคราม เหล่าข้าน้อยเป็นองครักษ์ลับของพระพันปี ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงส่งพวกข้าน้อยมาดูแลความปลอดภัยของเซียงหรงจวิ้นจู่ นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกข้าน้อยถือเป็นคนของเซียงหรงจวิ้นจู่แล้ว ” สตรีท่านนั้นก็หยิบป้ายแผ่นหนึ่งออกมา
จ้าวเซิงคิดจะยื่นมือไปรับ ทว่าสตรีคนนั้นกลับชักป้ายกลับไป กล่าวอย่างเคารพทว่าไม่นบน้อม “พระพันปีมีราชโองการ ต่อแต่นี้พวกข้าน้อยเป็นคนของเซียงหรงจวิ้นจู่ ฉะนั้นป้ายแผ่นนี้ข้าน้อยต้องมอบให้เซียงหรงจวิ้นจู่ด้วยมือตัวเอง ขอท่านอ๋องทรงอภัย”
เดิมทีจ้าวเซิงมิได้รู้สึกดีต่อการมาถึงของคนเหล่านี้มากนัก เมื่อเป็นคนที่เสด็จย่าส่งมา นั่นก็หมายถึงเป็นคนในวังหลวง เขาไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่ยินดีข้องแวะกับในวังแม้แต่นิดเดียว แต่หลังเห็นสตรีมีกิริยาวาจาเช่นนี้ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลงมากอย่างไม่มีเหตุผล พยักหน้ากล่าว “จวิ้นจู่กำลังพักผ่อนอยู่ข้างใน ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้เลย”
จ้าวเซิงพูดว่าจวิ้นจู่แทนที่จะเป็นหวังเฟย มิใช่เพราะเขาไม่ยอมรับฐานะของซูเซียง แต่เขาเข้าใจเจตนาของพระพันปี เพราะหลังเกิดเรื่องนั้นในวังหลวง ซูเซียงก็มีความรู้สึกต่อต้านกับชื่อเรียก“หวังเฟย”คำนี้อย่างยิ่ง เขาไม่อาจไม่เตือนสติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งประโยค เลี่ยงมิให้ซูเซียงไม่พอใจ
เดิมทีมีคนมากมายรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนจ้าวเซิงกับซูเซียง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในมณฑลอำเภอที่ซูเซียงอาศัยอยู่ ชาวบ้านต่างพากันร้องตะโกนจะเขียนฎีกาหมื่นราษฎร[2] แต่คิดไม่ถึงว่าพระราชเสาวนีย์ลงมาติดต่อกันอีกสองสามฉบับ ไม่เพียงแต่แต่งตั้งยศบรรดาศักดิ์ให้พ่อแม่บุญธรรมของซูเซียง ยังพระราชทานสิ่งของจำนวนมาก เช่นนี้จึงทำให้ทุกคนพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ช่วงหลายวันนี้นายอำเภอเสิ่นงานยุ่งหัวแทบไหม้ ทั้งหมดก็เพื่อปลอบขวัญราษฎรเหล่านี้ คอยบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็รอให้องค์ชายกับหวังเฟยกลับมาก่อนแล้วค่อยถามสถานการณ์ให้แน่ชัด ทุกคนไม่อาจก่อความวุ่นวายเพิ่ม พูดดีแล้วพูดร้ายแล้ว ในที่สุดก็สามารถควบคุมความโทสะของชาวบ้านให้อยู่ในขอบเขตได้
——
[1] เก้ามิ่งฟูเหริน (诰命夫人) ตำแหน่งภรรยาของขุนนางขั้นหนึ่งถึงขั้นห้า
[2] ฎีกาหมื่นราษฎร (万民书) หมายถึงหนังสือรวบรวมรายชื่อของราษฎรจำนวนมากเพื่อเสนอความคิดเห็นเรื่องสำคัญของชาติต่อราชสำนักและจักรพรรดิ แม้ชื่อว่าหมื่นราษฎรแต่รายชื่อที่รวบรวมไม่จำเป็นต้องหมื่นคนขึ้นไป แต่ใช้ในความหมายว่าคนจำนวนมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น