จำนนรักชายาตัวร้าย 84.4-85.5

ตอนที่ 84-4 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว

 

เซวียเฉียงเดิมทีก็เป็นผู้สืบทอดเป็นลูกหลานผู้รากมากดีอยู่แล้ว ยิ่งเขาแสดงออกเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาดูราวกับอ๋องน้อยที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยเข้าไปอีก


 


 


การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้ชาวบ้านที่มองดูอยู่โดยรอบแทบจะหัวเราะออกมา


 


 


“ข้า ฆ่าได้หยามไม่ได้ ท่านมิใช่ท่านอ๋อง ไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า!”


 


 


เมื่อครู่ก็นางเป็นฝ่ายพูดเองเสียอย่างดิบดีว่า เม่ยเหนียงจะเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์โดยไม่มีบ่นว่าใดๆ ตอนนี้มาทำตัวเป็นผู้สูงส่ง ทำเอาเซวียเฉียงถ่มน้ำลายลงบนพื้นต่อหน้านางอย่างมิเกรงใจ


 


 


“ข้าเจอพวกคนที่หน้าด้านมามากมาย ละครเด็กน้อยของเจ้านะ เอาไว้หลอกได้แต่พวกโง่เท่านั้น!”


 


 


หนุ่มน้อยตรงหน้าที่เที่ยวดูถูกผู้โดยไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงเป็นถึงอ๋องน้อยเชียวหรือนี่


 


 


เม่ยเหนียงมิอาจต่อกรกับเขาซึ่งหน้าได้ จึงทำได้เพียงแสร้งทำหน้าตาน่าสงสารให้ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นใจ นางรู้ดีว่าจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนเองอย่างไร ว่าแล้วก็ทำท่าทางน่าสงสารแล้วกล่าวขึ้น


 


 


“ท่านอ๋อง…”


 


 


เม่ยเหนียงเพียงแค่เอ่ยปาก แส้บังคับม้าได้มือของซย่าโหวฉิงเทียนก็ชี้ไปที่พื้นกล่าวย้ำ


 


 


“กินเข้าไป!”


 


 


คราวนี้ เม่ยเหนียงกลับเป็นฝ่ายตกตะลึงเสียเอง


 


 


จะชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง เหตุใดเขาถึงไม่อะลุ่มอล่วยกับสตรีบ้างนะ


 


 


ถึงกับให้นางกินอุจจาระต่อหน้าธารกำนัล ตั้งแต่เล็กจนโตเม่ยเหนียงมิเคยถูกลบหลู่ถึงเพียงนี้มาก่อน!


 


 


“คิกๆ”


 


 


คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อครู่ทำให้อวี้เฟยเยียนที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คำพูดเมื่อครู่ของเม่ยเหนียงทำให้นางอวี้เฟยเยียนผ่อนคลายยิ่งนัก


 


 


แต่เรื่องบางเรื่อง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เป็นบุรุษประเภทไม่ใส่ใจความรู้สึกใครเอาเสียเลย


 


 


บุรุษเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะละเลยความอ่อนโยนต่อหญิงสาวไปบ้าง แต่พึ่งพาได้อย่างแน่นอน


 


 


อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่หิ้วสตรีเข้าห้องเรื่อยเปื่อยเป็นแน่!


 


 


ต่อให้เป็นคนตาบอด พวกเขาก็จะเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน!


 


 


ต่อให้เป็นคนโง่ ก็คงจะถูกเขากลั่นแกล้งเช่นเดียวกัน ดูแล้วก็บันเทิงเริงใจยิ่งนัก!


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินของอวี้เฟยเยียนเข้า ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนึกขึ้นได้ว่าแมวน้อยอยู่ไม่ไกล เรื่องนี้ถึงแม้ว่าเขาจะบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ยากที่จะรับรองว่าแมวน้อยของเขาจะไม่คิดมาก


 


 


ดังนั้น เม่ยเหนียงก็ได้แต่มองซย่าโหวฉิงเทียนบึ่งเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนตาปริบๆ


 


 


“พี่ไม่รู้จักนางนะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรีบอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง


 


 


“ข้าเชื่อท่าน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเห็นซย่าโหวฉิงเทียนรีบร้อนเข้ามาอธิบาย นางก็อมยิ้มแล้วจึงตอบกลับ


 


 


“อื้ม!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตอบรับ และเมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเชื่อตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก ใบหน้ารูปงามเขาเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา


 


 


ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อยู่สายตาของเม่ยเหนียงทั้งสิ้น ซึ่งมันบาดตายิ่งนัก


 


 


กับนางเขาเย็นชาไร้หัวใจ แต่กับสตรีอีกนางเขาใช้วาจาสุภาพอ่อนโยนปลอบประโลมนาง ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นที่เขามาจับปลา ก็คงเพราะสาวน้อยผู้นี้เป็นแน่!


 


 


เม่ยเหนียงเป็นคนอดทนอดกลั้นคนหนึ่ง นางไม่เชื่อหรอกว่า ซย่าโหวฉิงเทียนจะบังคับให้นางกินอุจจาระสุนัขได้ลงคอ


 


 


อย่างไรเสีย สายตาของผู้คนมากมายกำลังจ้องมองมา สิ่งที่เขาทำลงไปในวันนี้ มิเกรงว่าจะถูกครหาก็ลองดู


 


 


“ในเมื่อท่านอ๋องสั่งเช่นนี้ ข้าน้อยก็ได้แต่ทำตาม…”


 


 


เม่ยเหนียงแววตาสงบนิ่ง นางใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยรองมือแล้วหยิบอุจจาระสุนัขแห้งนั้นขึ้นมาผ่านผ้าเช็ดหน้า เตรียมที่จะจัดแจงยัดใส่ปาก


 


 


ท่วงท่าของนางเชื่องช้าและสวยงาม รวมกับวันนี้ที่นางแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยแล้ว แต่ถึงแม้ว่าภาพที่ออกมานั้นจะสวยงาม ทว่าจะให้มองอย่างไร ภาพที่เห็นกับสภาพแวดล้อมช่างขัดตายิ่งนัก ดังนั้นจึงมีคนถกเถียงกันขึ้นมาทันที


 


 


ซึ่งนี่ก็คือผลลัพธ์ที่นางต้องการนั่นเอง!


 


 


เมื่อทุกอย่างเงียบงัน แววตาเม่ยเหนียงฉายแววลำพองใจวาบขึ้นมา ส่วนสีหน้านางก็แสร้งแสดงความจงรักภักดีที่แน่วแน่ออกมา


 


 


ทว่า ซย่าโหฉิงเทียนเป็นใคร เขามิใช่คนที่ใครจะใช้คำพูดไม่กี่คำมาทำให้เขาเปลี่ยนใจได้


 


 


สิ่งที่คนอื่นมอง เทียบมิได้กับท่าทีแมวน้อยของเขาเลย


 


 


“ช้าเกินไปแล้ว!’


 


 


ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีดหินในมือออกไปปะทะเข้ากับข้อมือของเม่ยเหนียงอย่างจัง มันช่วยดันมือของนางให้เข้าปากในทันที อุจจาระสุนัขทั้งกองเข้าไปในปากบางสีแดงราวลูกอิงเถานั่น


 


 


“แหวะ…”


 


 


สีหน้าของเม่ยเหนียงบิดเบี้ยว มือทั้งสองข้ากำบริเวณลำคอเพื่อให้อาเจียนเอาอุจจาระสุนัขออกมา ใครจะคาดคิดลมหายใจเฮือกใหญ่ของนาง ทำให้นางกลืนกินอุจจาระสุนัขทั้งกองลงไปจนหมดสิ้น


 


 


“นางกินอุจจาระสุนัขเข้าไปจริงๆ หรือนี่!”


 


 


เซวียเฉียงจ้องมองเม่ยเหนียงด้วยสายตาตกตะลึง


 


 


“ข้ายังคิดว่าครั้งนี้จะได้เห็นจอมยุทธ์ผู้กล้ากินอุจจาระสุนัข ที่ไหนได้ เป็นจอมยุทธ์หญิงผู้กล้าหาญแทน นับถือ!”


 


 


“อ้วก…”


 


 


ความขยะแขยงภายใน ทำเอาเม่ยเหนียงอาเจียนออกมาจนแทบหมดเรี่ยวแรง นางยื่นมือลงไปล้วงคอ เพื่อหวังว่าจะล้วงเอาสิ่งสกปรกที่กลืนกินลงไปเมื่อครู่ออกมา แต่มันกลับไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย


 


 


คราวนี้ น้ำตานางไหลเป็นสายลงมาอาบแก้ม


 


 


“ท่านอ๋อง เรื่องที่ท่านให้ข้าทำ ข้าได้ทำตามแล้ว! ท่านอ๋องคงจะเชื่อในความจริงใจของข้าน้อยเสียที!”


 


 


หยดน้ำตาเม่ยเหนียงหาได้มีประโยชน์ไม่ สิ่งที่รอคอยนางอยู่นั่นก็คือ แส้ควบคุมม้าที่ตวัดลงมาอย่างแรงเพื่อให้นางจดจำ


 


 


“พูดจากับข้า ใครอนุญาตให้เจ้าใช้คำว่า ‘ข้า’ เรียกแทนตนเองกัน”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมิเคยคิดถอย เพียงเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นหญิง


 


 


เมื่อมาหาเรื่องให้เขาต้องโมโห นางก็ต้องน้อมรับดวงไฟแห่งความพิโรธนั้น!


 


 


 “บ่าว…บ่าว”


 


 


แส้ควบคุมม้าของซย่าโหวฉิงเทียนหนักนัก บริเวณหลังเม่ยเหนียงปรากฏบาดแผลเลือดซิบเป็นทางยาว ผิวที่เนียนละเอียดมิเพียงแค่แดงช้ำ ทั้งยังแตกเป็นทางยาว


 


 


“เฮอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่คิดที่จะเสียเวลากับคนที่ไร้ประโยชน์ เตรียมเดินทางต่อไปกับอวี้เฟยเยียน ใครจะคาดคิด เม่ยเหนียงตัดสินใจเด็ดขาด พุ่งเอาตัวเข้าไปขวางม้าของอวี้เฟยเยียน


 


 


“ฮูหยิน บ่าวมิเคยคิดที่จะแย่งท่านอ๋องกับท่านเลยจริงๆ นะเจ้าคะ บ่าวเพียงแค่ตั้งใจจะปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องและฮูหยินด้วยใจจริงเท่านั้นเจ้าค่ะ !”


 


 


คำเรียกว่า ‘ฮูหยิน’ เพียงคำเดียว ทำเอาอารมณ์อวี้เฟยเยียนเดือดพล่าน


 


 


นางยังเป็นสาวแรกแย้มที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำไป แล้วไฉนกลายเป็นฮูหยินไปได้!


 


 


“ไสหัวไป!”


 


 


ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะสวมผ้าแพรผืนบางคลุมใบหน้า แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของนาง


 


 


มันน่าโมโหจริงๆ!


 


 


ข้าจะมีเพียงชายา มีเพียงภรรยาเท่านั้น จะมิมีเมียเอก เมียรองใดๆ พรรค์นั้นแน่นอน!


 


 


เม่ยเหนียงใช้คำว่า ‘ฮูหยิน’ เรียกขานแมวน้อย มันหมายความว่าอย่างไรกัน


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคิดใคร่ครวญถึงการกระทำของเม่ยเหนียงที่ส่อไปในทางร้าย นี่จงใจจะสร้างร้อยร้าวฉานระหว่างข้ากับแมวน้อยหรือนี่ น่าขยะแขยงยิ่งนัก!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคิดได้ดังนั้นก็กระตุกเชือกควบคุมม้าอย่างแรง ม้าตัวใหญ่จึงยกขาหน้าทั้งสองข้าขึ้น เตรียมเหยียบลงบนร่างของเม่ยเหนียงที่คุกเข่าอยู่


 


 


“หลินเจียงอ๋อง โปรดยั้งมือด้วย!”


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้น แส้ใหญ่ก็ตวัดมาเกี่ยวร่างเม่ยเหนียงให้รอดพ้นจากฝีเท้าของม้า ที่กำลังจะปลิดชีพนางเอาไว้ได้ทันท่วงที


 


 


อารมณ์ที่กำลังอยากจะปลิดชีพคนของซย่าโหวฉิงเทียนถูกขัดคอโดยไอ้โง่คนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาไม่ยอมเลิกราเป็นแน่ เขาตวัดฝ่ามือออกไปก็ลากเอาบุคคลที่ยับยั้งเขาเมื่อครู่ร่วงลงจากหลังม้า


 


 


คนผู้นั้น ไหนเลยจะตั้งรับได้ทัน ร่างขาตกจากหลังม้าแล้วฟาดเข้ากับต้นไม้ใหญ่อย่างจัง อวัยวะภายในทั้งหลายสั่นสะเทือน จนกระอักเลือดออกมา


 


 


“ท่านอ๋อง…”


 


 


ที่รถม้าด้านข้าง หญิงวัยกลางคนอายุราวสามสิบกว่า ได้ยินเสียงก็รีบลงจากรถม้ามาช่วยเหลือทันที


 


 


เมื่อเห็นหญิงที่ออกมาจากรถม้า อวี้เชียนเสวี่ยก็ปวดหนึบในใจ


 


 


“นางเอง…”


 


 


“ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”


 


 


หลี่รุ่ยประคองลั่วหยางอ๋องขึ้นมา สีหน้านางเป็นกังวล


 


 


“แค่กๆ ข้าไม่เป็นไร!”


 


 


ลั่วหยางอ๋อง ซย่าโหวอี้ลุกยืนขึ้นมาโดยมีพระชายาหลี่รุ่ยประคองอยู่ด้านข้าง


 


 


“น้องสิบสี่ วันนี้เห็นแก่หน้าข้า ไว้ชีวิตนางสักครั้งเถอะ!”


 


 


“หน้าท่าน มีค่าสักเท่าไหร่กัน” 

 

 


ตอนที่ 84-5 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว

 

ชาวบ้านที่มุ่งดูอยู่โดยรอบเมื่อได้ยินว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือหลินเจียงอ๋อง ดาวมฤตยูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ก็รีบกระจายตัวแตกฮือ ออกไปคนละทิศละทาง ไม่นานพื้นที่ที่เมื่อสักครู่มีผู้คนโอบล้อมคึกคักกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปในพริบตา


 


 


แย่แล้ว หญิงผู้นั้นล่วงเกินหลินเจียงอ๋องเข้า รนหาที่ตายจริงๆเชียว!


 


 


ทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน จะชั่วดีอย่างไรข้าก็เป็นเสด็จพี่ของเจ้านะ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มบนหลังม้าไม่ไว้หน้าตนเองสักนิด ซย่าโหวอี้ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมา


 


 


เดิมทีแล้วเขาตั้งใจที่จะมาเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ ทว่าเกิดปัญหาขึ้นระหว่างทางทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย


 


 


ซึ่งซย่าโหวอี้ก็ไม่ถือสาอะไร เพราะอย่างไรเสียการประลองปรุงโอสถครั้งก่อนๆ นี้ก็จัดขึ้นอยู่หลายวัน แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน


 


 


จวบจนกระทั่งซย่าโหวอี้รีบเดินทางมาที่เมืองกุยอวี๋แห่งนี้ ก็พบว่างานประลองโอสถเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้เขามิได้ชมอะไรสักอย่าง


 


 


ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะเดินทางกลับจวน แต่ก็มาพบกับเหตุการณ์นี้เข้าเสียก่อน


 


 


เมื่อครู่ ซย่าโหวอี้เห็นชัดเจน แม่นางผู้นั้น รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม


 


 


ซึ่งเดิมทีแล้ว ซย่าโหวอี้ก็จัดว่าเป็นอ๋องเจ้าสำราญคนหนึ่ง แล้วเขาไหนเลยจะไม่หวั่นไหว


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับหักหน้ากันเช่นนี้ น่าโมโหจริงๆ!


 


 


“เสด็จพี่”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหัวเราะออกมา รอยยิ้มเขางดงามไร้ที่ติ ราวกับเทพสวรรค์


 


 


“เสด็จพี่ที่ตายด้วยมือของข้าหากไม่ถึงสิบ อย่างน้อยก็เจ็ดคน นอกเสียจากว่า ท่านอยากนอนให้ดินกลบหน้าเป็นกับเพื่อนพวกเขาด้วยอย่างนั้นหรือ!”


 


 


คราวนี้ ซย่าโหวอี้ถึงกับหน้าถอดสี


 


 


ตายแล้ว สมองเขาเสียไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไปช่วยเหลือคนที่ดาวมฤตยูต้องการจะฆ่าด้วย ในปีนั้น เหตุการณ์เจ็ดอ๋องวิกฤต ซย่าโหวฉิงเทียนสังหารราชนิกุลไปเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยซย่าโหวอี้เป็นผู้รักสงบ ไม่มีใจคิดแสวงหาอำนาจในราชสำนัก ดังนั้นจึงเอาชีวิตรอดจากวิกฤตในครั้งนั้นมาได้


 


 


สองสามปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ได้ชีวิตอย่างมีอิสระ สงบสุข จึงลืมเลือนการมีอยู่ของซย่าโหวฉิงเทียนไป


 


 


“เอ่อ น้องสิบสี่ พี่คงจะนอนมากเกินไป จริงๆนะ! เชิญเจ้าตามสบาย ตามสบายเลย…”


 


 


ซย่าโหวอี้ข่มความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บ เขากัดฟันอดกลั้นถอยมาอีกด้าน


 


 


หญิงงามกับชีวิตหากเทียบกันแล้ว เขายังเห็นว่าชีวิตสำคัญกว่าเป็นไหนๆ


 


 


ไม่มีลมหายใจแล้ว จะเที่ยวหญิงงามได้อย่างกัน!


 


 


ซย่าโหวอี้ถอยไปอีกด้าน แต่หลี่รุ่ยกลับยืนมองอวี้เชียนเสวี่ยที่อยู่บนม้าด้วยอาการเหม่อลอย


 


 


เป็นเขาเอง อวี้เชียนเสวี่ย!


 


 


เขามิได้พิการไปแล้วหรือ เหตุถึงได้แลดูสดใสแข็งแรงเช่นนี้


 


 


อีกทั้ง อวี้เชียนเสวี่ยในตอนนี้ดูเยือกเย็นและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตอนที่เขายังเป็นหนุ่มน้อยมากนัก ในอดีตเขาคือหยกที่ยังมิได้เจียระไน ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นหยกน้ำงามแสนล้ำค่าไปแล้ว!


 


 


ตั้งแต่เมื่อครู่หลังจากการปรากฏตัวของหลี่รุ่ย มู่เหนี่ยนซีก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอวี้เชียนเสวี่ย


 


 


คราวนี้ หลี่รุ่ยก็เป็นฝ่ายจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ยด้วยอาการเหม่อลอย มู่เหนี่ยนซีจึงก้าวขึ้นไปด้านหน้า คล้องแขนอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แล้วกล่าวว่า 


 


 


“เสวี่ย นางเป็นใครกัน ถึงได้เอาแต่จ้องหน้าบุรุษของข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้!”


 


 


คำพูดของมู่เหนี่ยนซี ตอกย้ำโจมตีหลี่รุ่ยอย่างหนักหน่วง


 


 


เขาแต่งงานแล้วหรือ


 


 


หลี่รุ่ยมิอยากที่จะยอมรับความจริงข้อนี้


 


 


ในปีนั้น อวี้เชียนเสวี่ยพูดเองว่า เขาจะไม่งานกับใครเด็ดขาดหากมิใช่นางนี่นา! ต่อให้นางเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งงานก่อน แต่ภายหลังตลอดเวลาที่ผ่านอวี้เชียนเสวี่ยก็ครองตนเป็นโสดมาโดยตลอด แล้วเหตุใดจู่ๆเขาถึงมีหญิงอื่นได้นะ


 


 


“ไม่รู้จัก”


 


 


น้ำเสียงอวี้เชียนเสวี่ยเย็นชา


 


 


เมื่อก่อน อวี้เชียนเสวี่ยจินตนาการถึงภาพหากได้หวนกลับพบกับหลี่รุ่ยอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้ง


 


 


เขาจะด่าทอว่านางไร้หัวใจ หรืออาจจะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบความเป็นไปของนางด้วยความห่วงใย ทว่าเมื่อได้มาพบนางอีกครั้งจริงๆ และเห็นว่ารูปโฉมของนางโรยราไป ใบหน้าก็ซีดเซียว อวี้เชียนเสวี่ยก็ปล่อยวางลง ไม่อยากกล่าวอะไรออกมาอีกเลย


 


 


ไม่รู้จัก…


 


 


คำตอบนี้ ราวกับตบหน้าหลี่รุ่ยอย่างจัง


 


 


“อย่างนั้นหรือ!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีก็มิได้คิดจะซักอวี้เชียนเสวี่ยไปมากกว่านี้ นางยิ้มแล้วลากอวี้เชียนเสวี่ยเดินเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน


 


 


“ในเมื่อไม่รู้จักเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”


 


 


อวี้เฟยเยี่ยนมิใช่ว่าหลงลืมไปเสียเมื่อไหร่กัน การปรากฏตัวของหลี่รุ่ย ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในอดีตบางส่วนขึ้นมาได้


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยเคยมีคู่หมั้นคู่หมายที่ยังมิได้แต่งงานกันอยู่คนหนึ่ง แต่หลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยลมปราณสูญสิ้น อีกฝ่ายกลับต้องการที่จะแต่งงานเข้าจวนลั่วหยางอ๋องเป็นพระชายา โดยมิยินยอมแต่งเข้าตระกูลอวี้


 


 


วันนี้ โลกมันแคบเสียจริงๆเลย!


 


 


“ท่านอ๋อง ช่วยบ่าวด้วย!”


 


 


เม่ยเหนียงเมื่อรู้สึกตัวเองแล้วว่าตนเองกระทำผิดมหันต์ลงไป ซึ่งในตอนนี้บุคคลที่นางสามารถร้องขอให้ช่วยชีวิตได้ก็มีเพียงลั่วหยางอ๋องเท่านั้น


 


 


 คนผู้นี้เป็นพี่ชายของซย่าโหวฉิงเทียน แล้วก็เป็นอ๋องเช่นกัน


 


 


ในเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนมิสนใจในตัวนาง เหตุใดนางจึงจะไม่ลองเปลี่ยนคนดูเล่า!


 


 


คิดไตร่ตรองสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว เม่ยเหนียงจึงหยิบยกสิ่งที่ตนเรียนรู้จากหอนางโลมมาใช้ ทันใดนั้น นางรีบคลานไปตรงหน้าซย่าโหวอี้แล้วโขกศีรษะคำนับเพื่อร้องขอ


 


 


สาวงามอยู่ตรงหน้า ทั้งยังแลดูน่าสงสาร แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ซย่าโหวอี้ต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้อีกครั้ง


 


 


“ท่านอ๋อง ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ!”


 


 


เมื่อรับรู้แล้วว่าซย่าโหวฉิงเทียนคิดที่จะจัดการอย่างไรกันตน เม่ยเหนียงก็ร้องห่มร้องไห้จับกางเกงซย่าโหวอี้เอาไว้ มือน้อยขยุ้มที่ปลายขากางเกงเอาไว้แน่น แล้วค่อยๆ ทรุดกายลงเอาศีรษะแนบกับขากางเกงของเขาไม่ยอมปล่อย


 


 


คราวนี้ซย่าโหวอี้ถึงกลับกระแอมออกมาจนเกือบจะเสียอาการ


 


 


สมกับเป็นนางจิ้งจอกจริงๆ!


 


 


ซย่าโหวอี้ยังอาลัยอาวรณ์เม่ยหนียงไม่หาย


 


 


มองดูชายผู้เป็นสามีส่งสายตากับนางจิ้งจอกต่อหน้าต่อตาตน แล้วมองเลยไปที่อวี้เชียนเสวี่ยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากระซิบกระซาบกับมู่เหนี่ยนซี ท่าทีของคนทั้งสองหวานหยด จู่ๆ หลี่รุ่ยก็รู้สึกว่า ในอดีตนั้นตนทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปแล้วใช่หรือไม่นะ


 


 


ซึ่งภาพทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในสายตาของอวี้เฟยเยียนทั้งสิ้น นางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา


 


 


ตอนนั้นหลี่รุ่ยต้องการความสุขสบาย ทอดทิ้งคู่หมั้นคู่หมาย มาวันนี้ท่านได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดเช่นนั้นแล้วสินะ


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ในเมื่อนางร้องห่มร้องไห้ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น มิสู้ช่างมันเถอะ!”


 


 


ขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจะเอ่ยปากนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็ยื่นมือออกไปรั้งที่แขนเสื้อของเขาเบาๆ


 


 


“ดูแล้วก็น่าสงสารพิลึก! แต่จะชั่วดีอย่างไรก็ชีวิตคนชีวิตหนึ่งนะ! คิดเสียว่าทำบุญทำทานก็ได้!”


 


 


เม่ยเหนียงนึกไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่เอ่ยปากขอร้องแทนนางจะเป็นอวี้เฟยเยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน


 


 


เม่ยเหนียงคาดเดาเหตุผลไม่ออก แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนฟังคำของอวี้เฟยเยียน เขาพยักหน้าน้อยๆ และแล้วคณะของอวี้เฟยเยียนก็ตวัดม้าเดินทางต่อไป


 


 


แค่นี้น่ะหรือ


 


 


แค่นี้ก็หมดเรื่อง


 


 


ลั่วหยางอ๋อง ซย่าโหวอี้รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


 


นี่มิใช่วิถีของซย่าโหวฉิงเทียนนี่สักนิด!


 


 


แม่นางน้อยคนเมื่อครู่เป็นใครกันนะ น้ำเสียงไพเราะยิ่งนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร…


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวอี้ก็เริ่มรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“โอ๊ย…”


 


 


ได้ยินเสียงร้องของซย่าโหวอี้ หลี่รุ่ยก็รีบเข้ามาประคองเขาในทันที แต่ใครจะคาดคิดซย่าโหวอี้กลับสะบัดมือนางออกอย่างแรง


 


 


“พระชายา เมื่อครู่หน้าข้าถูกเจ้าทำลายจนย่อยยับ!”


 


 


ซย่าโหวอี้ก็มิใช่ตาบอด เมื่อครู่ที่หลี่รุ่ยจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ย เขาเองก็เห็นภาพนั้นอยู่เต็มตา!


 


 


หากจะบอกว่าคนทั้งสองไม่มีอะไรกัน เขาไม่มีทางเชื่อ


 


 


“ท่านอ๋อง…”


 


 


ต่อหน้าผู้คนซย่าโหวอี้กลับไม่ไว้หน้านางบ้าง ยิ่งทำให้หลี่รุ่ยยิ่งรู้สึกเจ็บปวดชอกช้ำ


 


 


ขณะที่นางเตรียมที่จะอธิบาย ใครจะรู้ว่าซย่าโหวอี้กลับยื่นมือออกไปประคองเม่ยเหนียงขึ้นมา


 


 


“เจ้าชื่อเรียงเสียงไรกัน”


 


 


“ทูลท่านอ๋อง บ่าวนามเม่ยเหนียง!”


 


 


เม่ยเหนียงท่าทางอรชรอ้อนแอ้น เงยหน้าขึ้นส่งสายตาให้กับซย่าโหวอี้


 


 


สายตาน้อยๆ นั่น กลับทำให้ซย่าโหวอี้จิตใจอ่อนยวบ รีบกล่าวว่าต่อว่า


 


 


“เม่ยเหนียง ชื่อดี! ชื่อดีนี่!”


 


 


“เม่ยเหนียงขอบพระทัยท่านอ๋องในบุญคุณที่ช่วยชีวิตเพคะ! แต่ก่อนเม่ยเหนียงเคยเห็นแต่ในนิยายที่มีวีรบุรุษ นึกไม่ถึงว่าในวันนี้เม่ยเหนียงสามารถพบเห็นด้วยตาของตนเอง ในความเป็นสุภาพบุรุษของท่านอ๋อง!”


 


 


คำพูดนี้ นับเป็นคำพูดประจบสอพลอชั้นเยี่ยม ที่ทำเอาซย่าโหวอี้ถึงกับตัวลอย


 


 


ซย่าโหวอี้ดึงมือเม่ยเหนียงขึ้นรถม้าในทันที ไม่สนใจท่าทีของหลี่รุ่ยด้วยซ้ำไป


 


 


อวี้เฟยเยียนยืนมองภาพนั้นจากที่ไกลๆ นางยิ้มออกมา


 


 


“พระชายาแห่งลั่วหยางอ๋อง นี่เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ท่าน! ได้รู้ว่าท่านมีชีวิตที่ไม่สุขสบายนัก ข้าก็วางใจแล้ว!


 


 


ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่เคยเห็นอวี้เชียนเสวี่ยในสภาพหมดอาลัยตายอยากหลังจากผิดหวังในความรักก็ตาม แต่นางก็สามารถนึกภาพออกเลยว่า สูญสิ้นวรยุทธ์ สูญเสียพี่น้อง ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ แม้กระทั่งคนที่ตนเองรักที่สุดก็ทรยศตนเอง อวี้เชียนเสวี่ยจะเจ็บช้ำทรมานใจมากเพียงไหน


 


 


เมื่อเป็นหนี้ อย่างไรก็ต้องชดใช้!


 


 


ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว! 

 

 


ตอนที่ 85-1 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

 

ท่าทีของลั่วหยางอ๋อง ทำให้หลี่รุ่ยหนาวเหน็บ


 


 


นางเหลือบตามองตามแผ่นหลังอวี้เชียนเสวี่ยที่ไกลออกไปเรื่อยๆ อีกครั้ง แผ่นหลังที่ตั้งตรงราวกับเข็มเล่มหนึ่งที่เสียดแทงเข้าไปในใจนาง มันเจ็บปวดเสียจนหลี่รุ่ยแทบขาดใจ


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงเม่ยเหนียงดังลอดออกมาจากรถม้า


 


 


“ท่านอ๋อง เม่ยเหนียงเจ็บแผลที่เอวจังเลยเพคะ! ท่านอ๋องช่วยดูให้เม่ยเหนียงหน่อยเจ้าค่ะ…”


 


 


“โอ้…เจ้าบาดเจ็บมากทีเดียว! ซย่าโหวฉิงเทียนเจ้าเดรัจฉาน ทำกับเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”


 


 


“ท่านอ๋อง มันน่าเกลียดมากหรือไม่เจ้าคะ จะเป็นรอยแผลเป็นหรือเปล่า แล้วต่อไปข้าน้อยจะอยู่อย่างไรกัน!”


 


 


“ไม่หรอก เม่ยเหนียง! ข้ามียาขนานเอกไว้ทาบาดแผล ใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากหอนภาหอมเชียวนะ ให้เจ้าทั้งหมดเลย! ข้ารับรองเลยว่าทายานี่แล้ว จะมิทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้อย่างแน่นอน!”


 


 


“จริงหรือเจ้าคะท่านอ๋อง ท่านอ๋องดีกับเม่ยเหนียงยิ่งนัก!”


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ข้านั้นอ่อนโยนกับสตรีเสมอ!”


 


 


ได้ยินเสียงสนทนานั้นแล้ว หลี่รุ่ยก็รู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก


 


 


ทว่า นางจะทำอะไรได้อีกเล่า


 


 


ตระกูลนางดันยืนข้างผิดในช่วงเหตุการณ์วุ่นวายเจ็ดอ๋อง จึงถูกฝ่าบาทจงชังน้ำหน้าเข้าให้


 


 


ดังนั้นบุคคลเพียงคนเดียวที่หลี่รุ่ยจะพึ่งพาได้นั่นก็คือลั่วหยางอ๋อง


 


 


หากเทียบกับการจัดการนางจิ้งจอกพวกนั้นแล้ว หน้าที่สำคัญที่สุดของหลี่รุ่ยนั่นก็คือจะต้องให้กำเนิดผู้สืบทอดตำแหน่งให้กับลั่วหยางอ๋องให้จงได้


 


 


ทายาท เป็นสิ่งที่ซย่าโหวอี้ให้ความสำคัญมากที่สุด


 


 


หลายปีที่ผ่านมา หลี่รุ่ยเที่ยวหาหมอและนักปรุงยามามากมาย กินยามาตั้งหลายขนาน แต่ก็ไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์ขึ้นมาบ้างเลย


 


 


เพราะเหตุนี้ ซย่าโหวอี้จึงเริ่มเย็นชากับนาง


 


 


การมาเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ เดิมทีหลี่รุ่ยตั้งใจว่าจะเชิญนักปรุงยาจากหอราชาโอสถช่วยตรวจร่างกายให้นาง


 


 


ใครจะคาดคิด งานประลองโอสถในครั้งเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น ประตูใหญ่ของหอราชาโอสถปิดลงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก ความหวังของหลี่รุ่ยจึงสูญสลายกลายเป็นความว่างเปล่า


 


 


แต่ทว่า หลี่รุ่ยสืบข่าวมาได้ว่า


 


 


งานประลองโอสถในครั้งนี้ ได้บังเกิดจักรพรรดิโอสถคนแรกของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ขึ้น


 


 


จักรพรรดิโอสถเชียวนะ!


 


 


ข่าวนี้ทำให้หลี่รุ่ยมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


วิชาแพทย์สูงส่งกว่าหมอเทวดาฮั่วเสียอีก!


 


 


หากว่านางตามหาจักรพรรดิโอสถอวี้หลัวช่าเจอละก็ ไม่แน่ว่านางอาจจะมีโอกาสตั้งครรภ์ กระทั่งให้กำเนิดบุตรชาย!


 


 


เมื่อมีลูกชาย นางก็จะมีที่พึ่งพาและพึ่งพิง ชีวิตของนางก็คงจะไม่ย่ำแย่เช่นวันนี้ที่ยังต้องอดทนอดกลั้นกับนังจิ้งจอกเหล่านั้นด้วย


 


 


อดทนไว้ก่อนเถอะ!


 


 


อดทนเอาไว้ก่อน!


 


 


หน้าที่สำคัญที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือ ต้องตามหาอวี้หลัวช่าให้เจอ ทำให้ตนเองตั้งครรภ์ให้จงได้!


 


 


เมื่อนางตั้งครรภ์ ให้กำเนิดบุตรชายแล้ว นางจะได้มีทุกสิ่งทุกอย่าง!


 


 


ขณะนั้นเองก็มีเสียงหยอกล้อต่อกระซิบ ‘ไอหยา’ ดังแว่วออกมา หลี่รุ่ยยืนตัวแข็งทื่ออยู่ด้านนอก สีหน้าแข็งกระด้าง


 


 


ท่านอ๋อง หญิงผู้นี้ เมื่อครู่เพิ่งจะกินอุจจาระสุนัขต่อหน้าธารกำนัลมานะเพคะ!


 


 


มาตอนนี้ท่านจุมพิตที่ริมฝีปากของนาง มิเท่ากับกินอุจจาระทางอ้อมหรอกหรือ


 


 


คำพูดนี้ดังอยู่ในใจของหลี่รุ่ย


 


 


นางมิอาจกล่าวมันออกมาได้ เพียงแค่รู้สึกว่าตนเองกำลังร้อนรุ่มในใจมากยิ่งขึ้น ตรงหน้าของนางยังปรากฏภาพที่อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีหยอกล้อต่อกระซิบกัน


 


 


ในตอนที่อวี้เชียนเสวี่ยลมปราณสูญสิ้น จากแม่ทัพหนุ่มผู้กล้าหาญเกรียงไกรกลับกลายเป็นคนพิการ ดังนั้นตระกูลหลี่จึงยกเลิกการแต่งงาน


 


 


ที่ร้ายไปกว่านั้นคือในตอนนั้นตระกูลอวี้แทบจะล่มสลาย อวี้เชียนสวินตายในสนามรบ อวี้เชียนหานหายสาบสูญไป อวี้เชียนเสวี่ยกลายเป็นคนพิการ อวี้จิงเหลยมีตำแหน่งโหวเหยี่ยที่มีแต่ชื่อ แต่ไร้ซึ่งอำนาจทำให้ตำแหน่งในสังคมตระกูลอวี้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว…


 


 


มุ่งเข้าหาด้านที่มีผลประโยชน์ นับเป็นสันดานเดิมของมนุษย์ ในสภาวะเช่นนั้น เป็นใครก็ย่อมต้องเลือกที่จะกระทำเช่นนี้อยู่แล้ว


 


 


ถึงแม้ว่าหลี่รุ่ยจะมีสถานะเป็นคู่หมั้นคู่หมายของอวี้เชียนเสวี่ย แต่อวี้เชียนเสวี่ยและตระกูลอวี้ให้ชีวิตและลาภยศสรรเสริญตามที่นางต้องการมิได้


 


 


ดังนั้น เมื่อลั่วหยางอ๋องมาสู่ขอนางเป็นพระชายาเอก หลี่รุ่ยจึงตกปากรับคำโดยไม่ลังเล


 


 


มาวันนี้หลี่รุ่ยรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองเลือกผิดไป


 


 


ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีพลิกผัน


 


 


ตระกูลอวี้ผ่านมันมาได้ จนกลับคืนไปเป็นตระกูลสูงศักดิ์ได้อีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หลี่รุ่ยคาดไม่ถึงจริงๆ


 


 


มาวันนี้ถึงแม้ว่าตระกูลอวี้จะหลงเหลือสมาชิกไม่มาก แต่อวี้จิงเหลยก็เป็นขุนนางเก่าแก่ที่ฝ่าบาททรงให้ความยำเกรงมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้เป็นโหวเหยี่ยที่มีความจงรักภักดีและมีคุณธรรม อีกทั้งตระกูลอวี้ก็มีจอมเทวาอวี้เฟยเยียนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง


 


 


ขอเพียงแต่จอมเทวาอวี้เฟยเยียนยังอยู่ เกียรติยศตระกูลอวี้ก็จะยังคงมีสืบต่อไป


 


 


จอมเทวาเชียวนะ!


 


 


นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายไขว่คว้าต้องการมานับร้อยปี ซึ่งตระกูลอวี้กลับมีวาสนานี้ ลูกหลานตระกูลอวี้เป็นถึงจอมเทวา!


 


 


คงจะเป็นเรื่องวาสนาที่พลิกผันสินะ!


 


 


เมื่อครู่หลี่รุ่ยเห็นชัดเจนว่าอวี้เชียนเสวี่ยไม่เพียงไม่ได้พิกลพิการเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่เขาแลดูสดใสเปี่ยมด้วยพลังและมีชีวิตชีวา ไม่มีท่าทีของผู้ที่ลมปราณแตกซ่านเลยสักนิด ต่างกับอวี้เชียนเสวี่ยที่นางจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง


 


 


ภายหลังจากที่หลี่รุ่ยแต่งงานออกไปแล้ว ก็อาศัยอยู่กับซย่าโหวอี้ที่เมืองหลวง เช่นนี้นางยังสามารถที่จะสืบข่าวคราวเกี่ยวกับอวี้เชียนเสวี่ยได้


 


 


เพียงแต่ว่าคุณชายเล็กแห่งตระกูลอวี้หลังจากที่ถูกยกเลิกงานแต่งงานแล้วก็กลับกลายเป็นบุคคลที่ล้มเหลว หมดอาลัยตายอยาก ทำให้ตระกูลอวี้กลายเป็นราชนิกุลสูงส่งที่โดนหัวเราะเยาะแห่งเมืองหลวง ภายหลังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกอีกว่า อวี้เชียนเสวี่ยมิเพียงกลายเป็นคนพิการ รูปร่างหน้าตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ไปด้วย รวมทั้งอารมณ์นิสัยเขากลายเป็นแปลกประหลาดพิสดารไปด้วย


 


 


ในวันนี้ อวี้เชียนเสวี่ยไม่เพียงไม่เหมือนกับสิ่งที่ผู้คนเล่าลือกันเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับหล่อเหลา สง่างามกว่าเมื่อก่อนเสียอีก


 


 


หรือว่าเขาพบอะไรดีๆ กันนะ


 


 


หลี่รุ่ยก้มหน้าคิดใคร่ครวญอย่างหนัก เมื่อครู่ทิศทางที่คณะของอวี้เชียนเสวี่ยเดินทางออกมาคลับคล้ายคับคลาว่าเป็นทิศทางจากหอราชาโอสถ


 


 


ไม่แน่นะว่าอวี้เชียนเสวี่ยอาจจะไปเจอกับอวี้หลัวช่า!


 


 


ใช่!


 


 


ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!


 


 


ยิ่งคิด หลี่รุ่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่นางคาดการณ์นั้นถูกต้อง ในเมื่ออวี้หลัวช่าสามารถรักษาลมปราณที่เสียหายของอวี้เชียนเสวี่ยได้ เช่นนั้นจะต้องทำให้นางตั้งครรภ์สำเร็จได้อย่างแน่นอน!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความแค้นเคืองที่หลี่รุ่ยมีต่อซย่าโหวอี้ก็เพิ่มขึ้นมาอีกกระทง


 


 


หากมิใช่เขาต้องการฉุดรั้งหญิงชาวบ้านแต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม สุดท้ายก็โขกหัวตนเองฆ่าตัวตายที่หน้ารถม้านั่น เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากตามมา นางก็คงจะไม่ชวดงานประลองปรุงโอสถหรอก!


 


 


แล้วตอนนี้ นางควรจะไปตามหาอวี้หลัวช่าที่ไหนกันนะ


 


 


คิดไปคิดมา หลี่รุ่ยก็นึกออกอยู่ที่หนึ่ง…


 


 


หอนภาหอม


 


 


หอนภาหอมเป็นสถานที่ซื้อขายที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินนี้ อีกด้านหนึ่งพวกเขายังทำการค้าข่าวอย่างลับๆ ด้วยการสืบข่าวลับโดยเฉพาะอีกด้วย


 


 


เพียงแค่จ่ายไหว ไม่ว่าจะข่าวอะไร พวกเขาก็สืบหาให้ได้


 


 


เมื่อเหลียนจิ่นได้รับสาสน์จากหอนภาหอมแล้ว ใบหน้าที่อ่อนโยนของเขาก็เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา


 


 


หลี่รุ่ยต้องการให้หอนภาหอมตามหาที่อยู่ของอวี้หลัวช่าอย่างนั้นหรือ


 


 


นาง ‘ฉลาด’ จริงๆนะเนี่ย!


 


 


บุญคุณความแค้นระหว่างหลี่รุ่ยและอวี้เชียนเสวี่ย เหลียนจิ่นรู้อยู่เต็มอก


 


 


ดังนั้นการกระทำของอวี้เฟยเยียนที่เมืองกุยอวี๋ ยัดเหยียดเม่ยเหนียงให้ไปอยู่ข้างกายลั่วหยางอ๋องอย่างแนบเนียน ทำให้เหลียนจิ่นอดชื่นชมนางมิได้


 


 


สำหรับมูลเหตุที่ว่าเพราะอะไรหลี่รุ่ยจึงต้องการตามหาอวี้หลัวช่านั้น เหลียนจิ่นก็ล่วงรู้ในเหตุผล


 


 


ลั่วหยางอ๋องอายุอานามปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีลูกสักคน ซย่าโหวอี้ร้อนใจ แล้วหลี่รุ่ยในฐานะที่เป็นชายาเอกย่อมต้องร้อนใจด้วยเช่นกัน!


 


 


ในเมื่อชายมากรักหลายใจพึ่งพาไม่ได้ มิสู้ให้กำเนิดลูกสักคนเอาไว้เป็นหลักให้พึ่งพิง


 


 


แต่หลี่รุ่ยไม่คิดบ้างหรืออย่างไรว่าหลายปีที่ผ่านมา ซย่าโหวอี้มีหญิงสาวมากมายมาเคียงข้างกายต่อให้ไม่ถึงร้อยแต่อย่างน้อยก็เจ็ดสิบแปดสิบคน แต่ไม่มีสักคนที่ตั้งครรภ์ เช่นนั้นก็แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ฝ่ายชายแล้ว


 


 


หลี่รุ่ยยังจะตามหาอวี้เฟยเยียน เห็นนางเป็นเจ้าแม่กวนอิมที่จะประทานลูกให้ได้ โง่เขลาและไร้เดียงสายิ่งนัก!


 


 


นางทำร้ายอวี้เชียนเสวี่ย ล่วงเกินตระกูลอวี้ อวี้เฟยเยียนไม่ยก**บยาพิษทั้ง**บสังหารนางเสีย นับว่าอวี้เฟยเยียนเมตตามากแล้ว!


 


 


คนโง่งมสมองกลวง! 

 

 


ตอนที่ 85-2 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

 

แต่ ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่เหลียนจิ่นก็ยังให้คนของหอนภาหอมส่งข่าวนี้ให้กับอวี้เฟยเยียนได้รู้


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าคนของหอนภาหอมล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง


 


 


แต่ว่า นางและหอนภาหอมเป็นพันธมิตรที่ร่วมงานกันมา ซึ่งก็เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด บวกกับหอนภาหอมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักษาความลับให้แก่นาง อวี้เฟยเยียนจึงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


และเมื่อรู้ว่าหลี่รุ่ยจะหานางเพื่อช่วยให้ตนเองได้ตั้งครรภ์ อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมา


 


 


นี่ส่งตัวเองมาให้ทรมาทรกรรมถึงที่เลยเชียวหรือ


 


 


ข้าไม่หาเรื่องท่าน นับว่าข้าเป็นคนดีมากแล้วนะ!


 


 


เดิมทีตระกูลอวี้และตระกูลหลี่เป็นพันธมิตรกัน แต่หลังจากที่เกิดเรื่องอวี้เชียนเสวี่ยขึ้น ตระกูลหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เหยียบย่ำตระกูลอวี้ โดยไม่นึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้สองตระกูลแตกหักกันมานานแล้ว


 


 


หลี่รุ่ย คนอย่างเจ้าก็รู้จักขอร้องคนเช่นกันหรือ


 


 


“เรื่องนี้รอให้กลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน พวกท่านยื้อไว้ก่อน บอกไปว่าข้าไม่อยู่ในแคว้นต้าโจว”


 


 


คำพูดของอวี้เฟยเยียน พ่อบ้านไหนเลยจะกล้ามิปฏิบัติตาม


 


 


ประมุขมีคำสั่งลงมา อวี้เฟยเยียนก็เป็นประมุขแห่งหอนภาหอมเช่นกัน


 


 


ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้านายแห่งหอนภาหอม แล้วจะมีบ่าวไพร่ที่ไหนกันที่จะกล้ามิฟังคำสั่งของเจ้านาย! หากว่าทำให้ประมุขเหลียนมิพอใจละก็ ประมุขจะต้องไม่เอาเขาไว้เป็นแน่!


 


 


เมื่อหอนภาหอมนำข่าวที่สืบได้มาบอกแก่หลี่รุ่ย ทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


หอนภาหอมให้สัญญากับหลี่รุ่ยว่า หากอวี้หลัวช่ามาถึงแคว้นต้าโจวเมื่อไหร่ พวกเขาจะแจ้งข่าวกับหลี่รุ่ยในทันที


 


 


เมื่อฟังเช่นนั้น หลี่รุ่ยก็ดีอกดีใจตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงกับจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับหอนภาหอมอีก


 


 


ขอเพียงได้พบอวี้หลัวช่า ความหวังที่อยากจะมีลูกของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที!


 


 


หลี่รุ่ยไหนเลยจะรู้ว่า บุคคลที่นางตามหาอยู่นั้นจะเป็นหลานสาวของชายที่นางเคยทอดทิ้งนั่นเอง


 


 


หากในตอนนั้นนางไม่ผิดคำสัญญา แต่งเข้าตระกูลอวี้ละก็ เท่ากับว่าอวี้เฟยเยียนก็เป็นหลานสาวของนางเช่นกัน ไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เฉกเช่นวันนี้!


 


 


เดินทางกันมากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดคณะของอวี้เฟยเยียนก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงในฤดูใบไม้ผลิพอดิบพอดี


 


 


“ที่นี่สวยจังเลย!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีมองดูถนนหนทางที่กว้างขวางของเมืองหลวงด้วยสายตื่นตะลึง ถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของมากมาย ทั้งยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้แตกต่างจากชีวิตฆ่าฟันกันที่ทะเลหมอกโดยสิ้นเชิง


 


 


“ท่านป้าสาม อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาท่านปู่แล้ว เดี๋ยวพวกเรามาเดินเล่นกันนะ!”


 


 


“ที่นี่มีที่สนุกๆ มากมายเลย!”


 


 


กล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็ส่งสายตาไปหาอวี้เชียนเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังมู่เหนี่ยนซีแล้วกล่าวขึ้น


 


 


“ท่านลุงสาม ถึงตอนนั้นท่านต้องเตรียมเงินไว้ให้มากหน่อยนะ เดินเล่นเป็นเพื่อนหญิงสาวไม่เพียงแต่ใช้พลังกายเท่านั้นนะ ยังต้องเตรียมทุนทรัพย์ไว้ให้ละลายอีกด้วย!”


 


 


ได้ยินคำพูดติดตลกของอวี้เฟยเยียน อวี้เชียนเสวี่ยก็หัวเราะแล้วตอบว่า


 


 


“เสี่ยวเยียนเยียน วางใจเถอะ หลายปีมานี้ ลุงเก็บเงินได้เป็นจำนวนไม่น้อย! พวกเจ้าอยากได้อะไร ขอแค่บอกมา ข้าจะซื้อให้พวกเจ้าเอง!”


 


 


ท่วงท่าที่สง่างาม แสดงถึงจิตใจที่กว้างขวางของอวี้เชียนเสวี่ยทำให้มู่เหนี่ยนซียิ้มออกมาไม่หยุด


 


 


มู่เหนี่ยนซีรูปร่างหน้าตางดงามหมดจด รอยยิ้มนาง ราวกับดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น มันทำให้อวี้เชียนเสวี่ยตะลึงตาค้าง


 


 


“ทึ่มเอ้ย!”


 


 


เห็นอวี้เชียนเสวี่ยจ้องมองตรงมาที่ตนเอง มู่เหนี่ยนซีก็เอี้ยวตัวไปเดินข้างๆ อวี้เฟยเยียน โดยไม่สนใจอวี้เชียนเสวี่ยอีก


 


 


หลังจากการปรากฏตัวของหลี่รุ่ย ระหว่างมู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยก็แลดูแปลกไป  


 


 


มู่เหนี่ยนซีก็เป็นสตรี แน่นอนว่าจะต้องมีสัญชาตญาณของสตรีอยู่แล้ว


 


 


พระชายาคนนั้นจะต้องสำคัญกับอวี้เชียนเสวี่ยมากเป็นแน่ มิเช่นนั้นเขาคงไม่เสียอาการเช่นนี้


 


 


ถึงแม้ว่าอวี้เชียนเสวี่ยจะพยายามแสดงออกว่าไม่รู้สึกรู้สา แต่มู่เหนี่ยนซีก็มองเห็นความเจ็บปวดจากแววตาเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่เหนี่ยนซีพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้


 


 


จนถึงตอนนี้ มู่เหนี่ยนซีถึงได้เข้าใจว่าอวี้เชียนเสวี่ยเจ็บปวดเพราะใคร


 


 


แต่ไม่มีสตรีคนไหนพบเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจะดีใจหรอกนะ!


 


 


มู่เหนี่ยนซีเองก็เช่นเดียวกัน


 


 


เรื่องราวในอดีตที่ผ่านก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ แต่อวี้เชียนเสวี่ยกลับเลือกจะเก็บงำเอาไว้


 


 


การต่อสู้ในสนามรบ เขาเชี่ยวชาญยิ่งนัก


 


 


แต่สำหรับการเอาอกเอาใจสตรี ปลอบโยนให้นางดีใจละก็ อวี้เชียนเสวี่ยแทบไม่ได้เรื่องเลยก็ว่าได้


 


 


ยิ่งอวี้เชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ ในใจมู่เหนี่ยนซีก็ยิ่งเคลือบแคลงตะขิดตะขวงใจ ถึงแม้ใครๆ ต่างก็บอกว่าทุกคนย่อมต้องมีรักแรก มีคนรักคนแรกที่ยังอาลัยอาวรณ์มิลืมเลือน แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นคือบุคคลที่สามที่ส่งผลกระทบกับความรักของคนสองคนต่างหาก


 


 


คนหนึ่งไม่ยอมอธิบาย อีกคนก็เอาแต่หึงหวง


 


 


จนสุดท้าย ก็เป็นอวี้เฟยเยียนคอยเป็นคนกลาง อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้มู่เหนี่ยนซีฟัง คนทั้งสองถึงได้กลับมาคืนดีกันดังเดิม


 


 


เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงที่จากไปเสียนาน คณะของอวี้เฟยเยียนก็ถึงเวลาต้องบอกลากันเสียที


 


 


โดยแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง ไปหามารดาของตน


 


 


เซวียเฉียงขอตัวเป็นคนแรก ต่อมาเหลียนจิ่นและมั่วซางก็ขอตัวกลับบ้านตระกูลเหลียน ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับต้องการจะไปส่งอวี้เฟยเยียนที่จวนจงอี้กงให้จงได้


 


 


“หลินเจียงอ๋อง ท่านกลับไปเถอะ!”


 


 


“พวกเรารู้เส้นทางแล้ว! ท่านมิต้องไปส่งหรอก จริงๆนะ ท่านกลับไปเถอะ!”


 


 


เบื้องหน้าก็คือจวนจงอี้กงแล้ว ได้มายืนอยู่ที่หน้าบ้านของตนเอง อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกมีกำลังใจฮึกเหิม


 


 


เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนตามติดอวี้เฟยเยียนราวกับแมลงวันตามก้น ก็ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยต้องแสดงอำนาจในความเป็นผู้ใหญ่ออกมา


 


 


ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะแสดงพฤติกรรมที่น่าชื่นชมตลอดระยะเวลาที่เดินทางด้วยกันมา แต่ว่า อวี้เฟยเยียนยังเด็กนัก จึงยังไม่ควรรีบร้อนที่จะแต่งงาน


 


 


ใครๆ ล้วนแต่กล่าวว่าลูกสาวที่เพียบพร้อม บ้านไหนก็อยากแต่งเป็นสะใภ้กันทั้งนั้น


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นอวี้เฟยเยียนยังเก่งกาจเช่นนี้ ไม่กลัวหรอกว่าจะไม่ได้แต่งงาน


 


 


อวี้เฟยเยียนคือสมบัติล้ำค่าหนึ่งเดียวของตระกูลอวี้ สามีนางจึงต้องเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี คิดไตร่ตรองให้มาก มิอาจเลือกแบบขอไปทีได้


 


 


ฮันจื่อหันซ้ายมองที่ซย่าโหวฉิงเทียนที หันขวามองที่อวี้เฟยเยียนที ไว้อาลัยให้กับโชคชะตาที่แสนรันทดของเจ้านายทั้งสอง


 


 


ลุงสามนางปฏิเสธถึงขนาดนี้แล้ว นายท่าน ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป


 


 


ว่าแล้วฮันจื่อก็นั่งลงด้านข้างเพื่อเฝ้ามองสถานการณ์


 


 


สำหรับท่าที ‘พรากคนรักออกจากกัน’ ของอวี้เชียนเสวี่ยนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นจนเคยชิน


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก็เป็นมนุษย์ประเภทที่ว่าไม่ยี่หระกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ รอบกายเสียด้วย เขายังคงทำตามวิถีทางของตนเอง จึงไม่มีทางที่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของอวี้เชียนเสวี่ยจะมาสั่นคลอนได้


 


 


“พอดีเลย ข้าอยากไปคารวะผู้อาวุโสอวี้อยู่พอดี!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้าวเดินออกมาด้านหน้า กุมราชสีห์ที่หน้าประตูแล้วเคาะเบาๆ


 


 


ตึงตึง


 


 


“หา จะชั่วดีอย่างไรท่านก็เป็นถึงอ๋อง อย่าหน้าด้านหน้าทนให้มันมากนักเลย!”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยไม่เคยเจอผู้ใดที่ ไร้ยางอาย เช่นนี้มาก่อน


 


 


“หน้าด้านหน้าทน และกระทำจนถึงที่สุด!”


 


 


ถูกซย่าโหวฉิงเทียนตอกกลับมาเช่นนี้ ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยแทบกระอักเลือด


 


 


ในตอนนั้นเองที่ประตูใหญ่ถูกเปิดขึ้น


 


 


แอด!


 


 


อวี้เฟยเยียนได้เขียนจดหมายมาบอกกล่าวกับอวี้จิงเหลยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วถึงวันเวลาที่จะเดินทางกลับถึงเมืองหลวง ดังนั้นสองสามวันมานี้พ่อบ้านเซี่ยงได้คอยเฝ้าดูที่หน้าประตูโดยตลอด


 


 


เมื่อได้พบกับอวี้เฟยเยียน พ่อบ้านเซี่ยงก็น้ำตารื้น


 


 


“คุณชายสาม ท่านกลับมาแล้ว!”


 


 


“ลุงเซี่ยง ข้าเอง!”


 


 


เดิมทีทุกคนต่างก็คิดว่าอวี้เชียนเสวี่ยและอวี้ซิงฉยงคงเกิดเรื่องแล้ว ทุกคนจึงเตรียมทำใจในกรณีเกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดขึ้นกับคนทั้งสอง


 


 


นึกไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะตามหาอวี้เชียนเสวี่ยกลับมาได้จริงๆ!


 


 


“คุณชายสาม คุณหนูใหญ่ แม่นางมู่ เชิญขอรับ!”


 


 


พ่อบ้านเซี่ยงถึงกับปาดน้ำตาในขณะที่ทุกคนเดินเข้ามา จนมาถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนสุดท้าย…ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ท่านอ๋อง เชิญขอรับ!”


 


 


ความไม่ลงรอยระหว่างอวี้เชียนเสวี่ยและซย่าโหวฉิงเทียนนั้นพ่อบ้านเซี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เชิญบุรุษชุดม่วงเข้ามาภายในจวนตามปกติ


 


 


อวี้จิงเหลยได้รับสาส์นจากอวี้เฟยเยียนจึงรออยู่ที่ห้องโถงอยู่เป็นเวลานานแล้ว


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าในจดหมายของอวี้เฟยเยียนจะเขียนในส่วนของรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าผู้เป็นปู่ไม่เห็นหลานทั้งสองตัวเป็นๆ ท่านยังคงไม่วางใจ


 


 


“ท่านแม่ทัพ คุณชายสามกลับมาแล้ว! คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”


 


 


พ่อบ้านเซี่ยงเดินแกมวิ่งเข้ามา


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของพ่อบ้านเซี่ยง อวี้จิงเหลยก็อดรนทนไม่ไหวก้าวยาวๆ ออกมา


 


 


ชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางสง่างามที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใครกัน 

 

 


ตอนที่ 85-3 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้ง...

 

อวี้จิงเหลยยังมองไม่ออกนั้น อวี้เชียนเสวี่ยก็ก้าวขึ้นมาคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้จิงเหลย


 


 


“ท่านพ่อ…”


 


 


เชียนเสวี่ย


 


 


อวี้จิงเหลยคุ้นชินกับภาพอวี้เชียนเสวี่ยที่ผ่ายผอมดำคล้ำ เมื่อเพ่งมองชายหนุ่มหน้าหยกตรงหน้าให้ชัดๆแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ถึงกับเงียบไปครู่ใหญ่


 


 


อวี้จิงเหลยมองสำรวจโดยละเอียดอีกครู่หนึ่ง เขาจึงได้ประจักษ์ว่าอวี้เชียนเสวี่ยที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ากับเจ้าหมาป่าคนเล็กแห่งตระกูลอวี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนคือคนคนเดียว


 


 


ชายผู้นี้คือบุตรชายคนเล็กของเขาจริงๆ!


 


 


“เชียนเสวี่ย เจ้าจริงๆหรือ!”


 


 


“ท่านพ่อ ลูกเอง! ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง!”


 


 


“กลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว!”


 


 


อวี้จิงเหลยละล่ำละลัก มือใหญ่ยื่นออกมาจับอวี้เชียนเสวี่ยให้ลุกขึ้นแล้วตบที่บ่าของเขาเบาๆ


 


 


“ไม่เลว! เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก! ดีจริงๆ!”


 


 


“ท่านพ่อ เบามือหน่อยครับ!”


 


 


แรงที่ฟาดลงมาหนักหน่วง ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยกัดฟันเบา


 


 


“เบามือ เยียนเอ๋อร์บอกว่าเจ้าสำเร็จขั้นราชันแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดแรงจากฝ่ามือแค่นี้ก็รับไม่ไหวกัน อย่างนี้ไม่ได้! พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตื่นแต่เช้า ไปฝึกซ้อมกับข้า”


 


 


คำพูดสั่งสอนของอวี้จิงเหลย อวี้เชียนเสวี่ยเศร้าใจแต่ก็พูดไม่ออก


 


 


ท่านพ่อ ท่านเป็นถึงขั้นจักรพรรดิแล้วนะ!


 


 


ฝ่ามือเดียวของท่าน ฟาดขั้นราชันเช่นลูกกระเด็นได้ รู้หรือไม่!


 


 


อีกอย่าง ข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านนะ!


 


 


ข้าเพิ่งจะกลับมา ท่านก็จะลากข้าไปฝึกซ้อมทันที มันจะใจร้ายไปหน่อยกระมัง!


 


 


“ท่านลุงสามกลับมาแล้ว ในสายตาของท่านปู่ก็มีแต่ท่านลุงสาม! เฮ้อน่าสงสารตัวเองจริงๆเลย! ข้าไปดีกว่า!”


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงหวานที่บ่นกระปอดกระแปดดังแว่วมา


 


 


“เยียนเอ๋อร์ เจ้าพูดว่าอะไรกัน!”


 


 


อวี้จิงเหลยแสร้งขมวดคิ้วเข้มแล้วค่อยฉีกยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปอุ้มอวี้เฟยเยียนยกขึ้นราวกับเด็กๆ


 


 


“เจ้าคิดเล็กคิดน้อยแม้แต่กับลุงสามของเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ เยียนเอ๋อร์เป็นที่หนึ่งในใจปู่เสมอ ที่หนึ่งในใจปู่! ลุงสามของเจ้าหยาบนัก จะมาเทียบกับเยียนเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน!”


 


 


“ท่านปู่ ท่านปู่ปราดเปรื่องยิ่งนัก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกนิ้วให้กับผู้เป็นปู่


 


 


“จริงๆ แล้วในใจของลุง เจ้าก็เป็นที่หนึ่งเช่นกัน!”


 


 


“จริงหรือคะ  ฮ่าๆ!”


 


 


เมื่อกลับมาที่บ้าน อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระ คราวนี้เลยอดมิได้ที่จะออดอ้อนผู้เป็นปู่


 


 


“คารวะ ท่านแม่ทัพ!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีก้าวมาด้านหน้าคารวะอวี้จิงเหลยอย่างเปิดเผย


 


 


ใครต่างก็บอกว่าสะใภ้จะให้ขี้เหร่อย่างไร ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องพบพ่อแม่สามี


 


 


เมื่อครู่ระหว่างทาง มู่เหนี่ยนซีรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก


 


 


นางชาติกำเนิดต่ำต้อย หากว่าตามการแบ่งชนชั้นวรรณะของโลกและจักรวาลแล้ว โจรสลัดจัดว่าเป็นชนชั้นปลายแถว เทียบชั้นอะไรไม่ได้เลยกับอวี้เชียนเสวี่ยที่เป็นลูกหลานกงโหวผู้สูงศักดิ์


 


 


ดังนั้นหากว่าเลือกที่ฐานะทัดเทียมกันละก็ มู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยไม่เหมาะสมกันแม้แต่น้อย แต่มู่เหนี่ยนซีก็ให้กำลังใจตัวเองมาโดยตลอด


 


 


นางชอบอวี้เชียนเสวี่ย นางจะอยู่กับเขา


 


 


ต่อให้อวี้จิงเหลยคัดค้าน นางก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ


 


 


ครานี้นางเห็นว่าอวี้จิงเหลยแลดูใจดีมีเมตตา ซึ่งแตกต่างจากจงอี้กงที่นางจินตนาการเอาไว้เองอยู่มาก ทำให้มู่เหนี่ยนซียิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น


 


 


“มู่เหนี่ยนซี…”


 


 


อวี้จิงเหลยจ้องมองสาวน้อยผมสีน้ำตาลนิ่ง


 


 


รูปร่างหน้าตานางราวกับเลือดผสม ผมยาวสลวยสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดั้งจมูกโด่ง กับริมฝีปากที่อวบอิ่ม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ท่าทางร่าเริงสนุกสนาน เต็มไปด้วยพลัง


 


 


“เจ้าค่ะ ข้าน้อยมู่เหนี่ยนซี!”


 


 


เมื่อรู้ว่าอวี้จิงเหลยรู้จักชื่อแซ่ของตน มู่เหนี่ยนซีไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก


 


 


อวี้เฟยเยียนเขียนจดหมายส่งข่าวให้กับอวี้จิงเหลย เรื่องนี่มู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยต่างก็รับรู้


 


 


และเรื่องที่ท่านลุงสามจะพาท่านป้าสามกลับไปด้วย อวี้เฟยเยียนก็บอกล่วงหน้าเอาไว้แล้วในจดหมาย รวมทั้งสถานะของมู่เหนี่ยนซี นางก็บอกเอาไว้อย่างชัดเจน


 


 


เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ปิดไม่อยู่อยู่แล้ว ไม่สู้บอกไว้ก่อนล่วงหน้า ให้ทั้งสองฝ่ายได้เตรียมใจกันเอาไว้


 


 


“เจ้าเป็นโจรสลัดอย่างนั้นหรือ”


 


 


อวี้จิงเหลยตั้งค่ายอยู่ริมมหาสมุทรของแคว้นต้าโจวเป็นเวลานาน จึงได้มีโอกาสได้ข้องเกี่ยวกับโจรสลัดหรือพวกโจรหลายต่อหลายครั้ง


 


 


แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นโจรสลัด ทั้งยังเป็นหัวหน้าอีกด้วย จึงเป็นอวี้จิงเหลยเสียอีกที่เป็นฝ่ายจ้องมองนางอยู่เป็นนาน


 


 


เพราะอย่างไรเสีย โลกของโจรสลัดก็แตกต่างกับโลกของผู้อื่นอยู่ไม่น้อย


 


 


มู่เหนี่ยนซีอายุยังน้อย ก็กลายเป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียง นั่นก็หมายความว่านางก็มีความสามารถอย่างแท้จริง!


 


 


“เจ้าค่ะ เป็นเจ้ใหญ่เจ้าค่ะ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้จิงเหลยรู้สถานะของตนเองดี มู่เหนี่ยนซีก็ไม่มีท่าทีเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับมีท่าทีภาคภูมิใจด้วยซ้ำไป


 


 


“อื้ม!”


 


 


อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ


 


 


ลองไม่กล่าวถึงว่านางเป็นโจรสลัดที่มีคุณธรรมหรือชั่วช้า


 


 


ณ ขณะนั้นนางแสดงท่าทีที่เปิดเผยซื่อตรงทั้งยังเคารพในอาชีพของตน นับว่ามู่เหนี่ยนซีเป็นหญิงที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง


 


 


“ท่านพ่อ…”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยเกรงว่าอวี้จิงเหลยจะทำให้มู่เหนี่ยนซีลำบากใจ เขาจึงรีบก้าวมายืนเคียงข้างนาง


 


 


“ท่านพ่อ เหนี่ยนซีคือผู้มีพระคุณของลูก!”


 


 


“ข้ารู้!”


 


 


เมื่อเห็นว่าบุตรชายเอาแต่ปกป้องมู่เหนี่ยนซีถึงขนาดนี้ อวี้จิงเหลยจึงใคร่ครวญอย่างหนัก


 


 


“แต่ว่ามู่เหนี่ยนซีคือนักโทษของราชสำนักนี่นา!”


 


 


ในรายนามประกาศจับของต้าโจวมีชื่อของมู่เหนี่ยนซีอยู่


 


 


หากว่าอวี้เชียนเสวี่ยเลือกที่จะอยู่กับนางจริงๆละก็ ความกดดันและความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นหนักหนายิ่งนัก มีคำพูดบางอย่างอวี้จิงเหลยมิอาจเอ่ยออกมาต่อหน้ามู่เหนี่ยนซี เขาต้องลองทดสอบท่าทีของบุตรชายเสียก่อนจึงจะตัดสินใจ อย่างไรเสีย ลูกคือดวงใจของพ่อแม่!


 


 


ในวันนี้เขาเหลือเพียงอวี้เชียนเสวี่ยบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าย่อมต้องสนใจท่าทีความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว


 


 


“ในเมื่อกลับมากันแล้ว ก็ไปอาบน้ำ พักผ่อน ครอบครัวเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมาตั้งนานแล้ว!”


 


 


ในตอนนั้นเองที่อวี้จิงเหลยมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาตกตะลึงชั่วครู่หนึ่ง


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านมาได้อย่างไร…”


 


 


“ข้าแวะมาเยี่ยมผู้อาวุโส! รู้มาว่าท่านชื่นชอบในการทหาร ตอนนี้ข้าได้ตำรา ‘เบญจพิชัยยุทธ์’ มาเล่มหนึ่ง จึงอยากจะให้ผู้อาวุโสช่วยตรวจสอบให้สักหน่อยว่าเป็นของจริงหรือไม่”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ มิเพียงแต่อวี้เฟยเยียนที่ตื่นตระหนก แม้แต่อวี้เชียนเสวี่ยก็เอ๋อไปเช่นกัน


 


 


แปลว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้มามือเปล่า มีการเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!


 


 


อีกอย่าง เขาล่วงรู้ถึงความชื่นชอบของท่านปู่ได้อย่างไรกัน


 


 


ดูแล้วเขาคงสืบข้อมูลเตรียมตัวมาอย่างดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!


 


 


นี่ถึงกับใช้กลยุทธ์การทหารเพื่อตามจีบเมียเลยหรือนี่!


 


 


ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนผู้นี้ลึกล้ำยากจะคาดเดา จิตใจและความคิดของเขาลึกซึ้งยิ่งนัก    


 


 


ไม่น่าเล่าเจ้าหมอนี่ อายุยังน้อยก็สามารถเล่นงานแคว้นซีเย่ว์เสียจนเละตุ้มเป๊ะ สติปัญญาของคนผู้นี้มิใช่ธรรมดา!


 


 


‘เบญจพิชัยยุทธ์’ คือตำราพิชัยยุทธที่แม่ทัพผู้กำชัยชนะแห่งแคว้นฉินจื้อท่านหนึ่งเรียบเรียงขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ซึ่งต่อมาแม่ทัพผู้นี้ก็ถูกจักรพรรดิสั่งให้ตายเพราะความริษยา ตำราการทหารเล่มนั้นจึงตกทอดสู่ผู้คน


 


 


ในฐานะที่เป็นคลั่งไคล้การทหารคนหนึ่ง เมื่อได้ยินชื่อตำราเข้า ตาอวี้จิงเหลยก็เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด เขาเชื้อเชิญซย่าโหวฉิงเทียนอยู่รับอาหารเย็นด้วยกันทันที


 


 


“ท่านพ่อ นี่มันมื้อเย็นของบ้านเรา ท่านอ๋องมีราชกิจมากมาย ท่านยุ่งนักแล…”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าซย่าโหวฉิงเทียน ก็เจ็บใจจนกัดฟันกรอด


 


 


หลินเจียงอ๋องผู้นี้มองข้ามมิได้เลยจริงๆ!


 


 


เขามั่นใจหนักหนาว่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลอวี้หลงใหลในตำราด้านการทหาร ชอบที่จะศึกษาการศึก นับว่าโจมตีถูกจุดทีเดียว! 

 

 


ตอนที่ 85-4 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

 

ในขณะที่อวี้เชียนเสวี่ยกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่าซย่าโหวฉิงเทียนหน้าด้านหน้าทน จะต้องอยู่ต่อที่จวนจงอี้กงให้ได้อยู่นั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ส่งมอบตำรา ‘เบญจพิชัยยุทธ์’ ให้กับอวี้จิงเหลยโดยอ้างว่าเขาจะต้องเข้าวัง ว่าแล้วก็หมุนกายเตรียมจากไป


 


 


นายท่าน ท่านจะทอดทิ้งผู้น้อยอย่างนั้นหรือ


 


 


ฮันจื่อลุกยืนขึ้นที่ด้านหลังของซย่าโหวฉิงเทียน ก้นของมันบิดส่ายไปมา


 


 


ในตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้นว่า


 


 


“แมวน้อย ที่จวนของข้าไม่มีใครพอจะดูแลฮันจื่อได้ ข้าจะขอฝากมันไว้ที่นี่ได้หรือไม่”


 


 


ขณะที่กล่าว ซย่าโหวฉิงเทียนก็นั่งยองๆ ลงลูบหัวของฮันจื่อไปด้วย


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้พูดโกหกเลยแม้แต่น้อย ฮันจื่อจัดว่าเป็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่แสนชาญฉลาด จึงไม่ใช่ใครก็ได้ที่เข้าตามัน


 


 


เพียงแค่ได้ยินคำพูดของซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็ตื่นตัวหูตั้งขึ้นทันที


 


 


นายท่าน ข้าน้อยรู้นะ นี่ท่านจะให้ข้าน้อยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของศัตรูเพื่อให้คอยเป็นหูเป็นตา ประสานงานกับท่านใช่หรือไม่!


 


 


ไอ้งานสายลับสอดแนมแบบนี้ ทดสอบความสามารถดีนักแล ข้าน้อยชอบที่สุดเลย!


 


 


ขอให้นายท่านวางใจ ข้าน้อยจะทำภารกิจให้สำเร็จ!


 


 


ข้าน้อยจะคอยเฝ้าดูแม่นางน้อยไว้ให้ดี!


 


 


ใครจะเข้าใกล้แม่นางน้อย หรือว่ามีใจคิดร้ายต่อแม่นางน้อย ข้าจะงับหัวมันให้เรียบ!


 


 


หนึ่งคนหนึ่งหมาสื่อสารกันผ่านสายตา ความชั่วร้ายต่างๆ ส่งผ่านสายตาของพวกเขา เพียงแต่ว่าคนอื่นมองไม่ออก ไม่เข้าใจก็เท่านั้น


 


 


 อวี้เฟยเยียนเคยชินเสียแล้วกับการที่ได้แกล้งหยอกเย้าฮันจื่อในทุกวัน หากว่าฮันจื่อไม่ได้อยู่กับนางแล้ว นางเองก็คงไม่ชินเหมือนกัน


 


 


 ดังนั้น นางจึงรับปากข้อเรียกร้องนี้ของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงค่อยกลับออกไป  อวี้เชียนเสวี่ยมองตามแผ่นหลังของชายชุดสีม่วงไป ในใจก็ครุ่นคิด


 


 


ถอยเพื่อรุก!


 


 


เรียบร้อยมีมารยาทไม่ทำให้ใครเกลียดชัง…


 


 


ที่หมอนั่นทำเช่นนี้ ทำให้อวี้จิงเหลยเกิดความประทับใจ


 


 


แผนเยี่ยม!


 


 


ฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักเอาไว้ที่นี่ ใช้คารมคมคายขอร้องให้อวี้เฟยเยียนช่วยดูแล


 


 


แท้ที่จริงแล้วใช้สัตว์เลี้ยงของตนเองเป็นสื่อ ถือโอกาสเข้ามาในบ้านตระกูลอวี้ ใกล้ชิดกับอวี้เฟยเยียน เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย!


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุการณ์หลังจากนี้น่ากังวลใจยิ่งนัก


 


 


ดูแล้ว นี่เป็นสงครามพิทักษ์หลานสาวที่ทั้งซับซ้อนและยากลำบากเสียแล้ว!


 


 


แต่เขาก็จะต้องรบอย่างเต็มกำลังความสามารถ!


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไป สมาชิกบ้านตระกูลอวี้ก็นั่งล้อมวงกัน กินข้าวอย่างมีความสุขครื้นเครง


 


 


มู่เหนี่ยนซีมีอารมณ์ขันและกล้าหาญ มีเรื่องอะไรก็พูดออกไปตรงๆ ทว่ากลับรู้จักขอบเขต ทำให้อวี้จิงเหลยรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก หากมิใช่นางมีสถานะเป็นโจรละก็ อวี้จิงเหลยแทบจะเคาะมือตัดสินให้ทั้งสองไหว้ฟ้าดินกันเสียเดี๋ยวนี้ไปเลย


 


 


เพียงแต่ว่าในบางทีบางครั้ง การที่คนเรายืนอยู่ในบางตำแหน่ง ทำให้ต้องไตร่ตรองเรื่องราวให้รอบคอบ


 


 


แม่ทัพที่ตั้งค่ายอยู่ริมมหาสมุทรแต่งงานกับนักโทษโจรสลัดสาว เรื่องนี้มิเพียงเกี่ยวข้องกับคนสองคนเท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับการเมือง ราชสำนัก ยิ่งกว่านั้นคือเกี่ยวกับเรื่องของคุณธรรม


 


 


หลังจากมื้อเย็นเสร็จสิ้น อวี้จิงเหลยเรียกอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเขา


 


 


มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมไป ตรงกันข้ามนางนั่งลงเคียงข้างอวี้เชียนเสวี่ย แล้วมองอวี้จิงเหลยด้วยสายตาแน่วแน่


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านต้องการจะรู้อะไร สามารถถามข้าน้อยตรงๆได้เลย!”


 


 


อวี้จิงเหลยก็มิใช่คนชอบเสแสร้งใดๆ ดังนั้นจึงถามคำถามของตนเองออกไป


 


 


“ถามเจ้าก็ดีเหมือนกัน! เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกประกาศจับ ข้าสืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดีนั้นมาแล้ว ในรายงานกล่าวว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการหนึ่งคน”


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าน้อยสังหารคนผู้นั้นเอง!”


 


 


มู่เหนียนไม่มีปิดบังในการกระทำของตนเองเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีท่าทีเสียใจเลยสักนิดในการกระทำของตนเอง


 


 


คนผู้นั้นบังคับขู่เข็ญให้ชาวบ้านจ่ายส่วยที่แพงลิบ คนไหนที่จ่ายไม่ไหว ชายจะถูกจับไปเป็นกรรมกรสร้างบ้านให้เขา หญิงที่หน้าตาสะสวยหน่อยก็จะถูกเขาข่มขืนรังแก


 


 


เมื่อนึกถึงว่าชาวบ้านที่น่าสงสาร ถูกบีบบังคับจนบ้านสาแหรกขาด มู่เหนี่ยนซีอารมณ์พลุ่งพล่าน


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”


 


 


อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ สีหน้าหนักใจ


 


 


“คนเช่นนี้ควรจัดการให้สิ้นซาก! สมควรตาย! เจ้ากำจัดภัยให้กับราษฎร!”


 


 


ได้ยินคำพูดนี้ของอวี้จิงเหลย ในที่สุดมู่เหนี่ยนซีก็ยิ้มออก


 


 


“ท่านแม่ทัพคิดเช่นนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ ท่านมิคิดหรือว่าการกระทำของข้าน้อยเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเกินไปหรือเจ้าคะ”


 


 


“เจ้าเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้ หายากนัก หากว่าในตอนนั้นข้าอยู่ที่ทะเลหมอกด้วยละก็ ข้าจะต้องจับเจ้าขุนนางสุนัขนั่นแล้วลองปล่อยให้มันเร่ร่อน แล้วค่อยตัดหัวมันต่อหน้าประชาชน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”


 


 


อวี้จิงเหลยเป็นผู้ที่เถรตรงและเที่ยงธรรม เมื่อเขาได้ไต่ถามจนล่วงรู้สาเหตุแล้วนั้นก็มิได้กล่าวโทษมู่เหนี่ยนซีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับชื่นชมวิธีการและแนวความคิดของนางด้วยซ้ำไป


 


 


ถึงแม้ว่าการที่นางกระทำเช่นนี้ จะทำให้ตนเองต้องกลายเป็นนักโทษอาญาแผ่นดิน แต่อวี้จิงเหลยก็รู้ดีว่า ในราชสำนักมีขุนนางไม่น้อยที่คอยช่วยเหลือพวกเดียวกันเอง


 


 


หากว่ามู่เหนี่ยนซีปรับเปลี่ยนวิธีการ เป็นนำเรื่องไปแจ้งแก่ทางการละก็ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์ที่ได้มิเพียงแต่ไม่มีใครสนใจนาง ตรงกันข้ามกลับนำมาซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวนางเอง


 


 


โลกใบนี้มันก็โหดร้ายเช่นนี้นี่เอง ดังนั้นผู้ที่มีเปี่ยมด้วยคุณธรรมมากมายจึงทำได้แต่เพียงใช้วิธีการของตนเองเพื่อช่วยเหลือราษฎรตาดำๆ


 


 


ขอเพียงแต่แม่นางน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจดี เพียงเท่านี้ก็เหมาะสมที่จะเป็นสะใภ้ของเขาแล้ว


 


 


“ตอนนี้เจ้าสำเร็จขั้นอะไรแล้ว”


 


 


อวี้จิงเหลยกล่าวถามต่อ


 


 


“ขั้นราชัน เพิ่งเข้าขั้นราชันเจ้าค่ะ”


 


 


มู่เหนียนยิ้มบางด้วยความเคอะเขินแล้วกล่าวตอบ


 


 


“ขั้นราชัน ดีนี่นา!”


 


 


คราวนี้ อวี้จิงเหลยถึงกับลุกขึ้นด้วยความดีใจ


 


 


“ดีมาก! ดีมากๆเลย!”


 


 


อวี้จิงเหลยตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก ทำเอามู่เหนี่ยนซีและอวี้เชียนเสวี่ยถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว จะมีสะใภ้เป็นนักรบขั้นราชันแค่นี้ ต้องดีใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ


 


 


สุดท้ายมีเพียงอวี้เฟยเยียนที่เข้าใจในความคิดของอวี้จิงเหลย


 


 


หากคิดตามหลักการของชาวแผ่นดินใหญ่ ขั้นราชันขึ้นไปมิต้องรับการลงทัณฑ์


 


 


จนกระทั่งหลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยเข้าใจในหลักการคิดของอวี้จิงเหลย อวี้เชียนเสวี่ยก็รีบกล่าวถามขึ้นด้วยความดีใจ


 


 


“ท่านพ่อ ท่านรับปากแล้วหรือ ท่านเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่ครับ”


 


 


“ใช่”


 


 


อวี้จิงเหลยพยักหน้าเบาๆ


 


 


“ก่อนหน้านี้พ่อยังเป็นกังวลเรื่องชาติกำเนิดและคดีที่นางก่อขึ้น พ่อยังคิดว่า หากว่าเจ้ายืนยันที่จะอยู่กับนาง เช่นนั้นก็จะให้พวกเจ้าแต่งงานแล้วหนีไปด้วยกันเสียเลย!”


 


 


“แต่มาตอนนี้ พ่อไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว!”


 


 


คำพูดของอวี้จิงเหลย ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าประมุขแห่งตระกูลอวี้มิได้ตั้งใจจะคัดค้านเขาทั้งสองตั้งแต่แรก


 


 


แต่คนที่ซาบซึ้งที่สุดนั่นก็คือ อวี้เฟยเยียน


 


 


ในปีนั้น เพื่อหลบหลีกมิให้บุตรชายคนที่สองถูกท่านหญิงแห่งหนานซานใช้อำนาจบังคับแต่งงาน อวี้จิงเหลยถึงกับแอบปล่อยอวี้เชียนหานและเยียนเอ๋อร์ไปอย่างลับๆ


 


 


มาตอนนี้บุตรชายคนเล็กก็ต้องพบเจอเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน แต่อวี้จิงเหลยก็ยังยืนหยัดที่จะกระทำเช่นเดิม


 


 


อวี้จิงเหลยช่างเป็นบิดาที่คิดถึงเพียงแค่ความสุขของลูกไม่เคยคิดถึงตนเองเลยจริงๆ!


 


 


ขณะเดียวกันในเวลานั้น ในวังหลวง ละครบิดาแสนดีก็กำลังเล่นอยู่เช่นเดียวกัน


 


 


ครานี้ซย่าโหวฉิงเทียนจากวังหลวงไปเป็นเวลานาน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่กังวลใจเป็นอย่างมาก


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเขียนจดหมายมาเพื่อแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงคิดคำนึงเขาอยู่มากนัก


 


 


ตอนนี้เมื่อได้พบซย่าโหวฉิงเทียนตัวเป็นๆ ปลอดภัยกลับมาอยู่ตรงหน้า ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับจ้ำอ้าวเข้าไปสวมกอดซย่าโหวฉิงเทียนที่ตัวสูงกว่าเขาอยู่มากโขอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ


 


 


กริยาที่ใกล้ชิดเช่นนี้ ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่


 


 


จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนถูกสวมกอดจากผู้สูงวัยกว่า


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่รูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย มีเนื้อหนังมาก แน่นอนว่าต้องอบอุ่นมาก อ้อมกอดของเขาอบอุ่นกว้างขวาง ให้ความรู้สึกราวกับว่าได้กลับบ้าน


 


 


“ในที่สุดเจ้าก็ยอมกลับมาเสียทีนะ”


 


 


หลังจากคลายอ้อมกอดจากซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถอยหลังสองก้าว แล้วใช้สายตาสำรวจซย่าโหวฉิงเทียนโดยละเอียด


 


 


“ผอมลงไป! ตกลงแล้วเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ มีข้าวกินสมบูรณ์พูนสุขหรือไม่”


 


 


จริงๆแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้ผ่ายผอมลงไป เพียงแต่ซย่าโหวจวินอวี่มิได้เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเวลานาน ในสายตาของเขาจึงเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนต้องลำบากลำบน จนผ่ายผอมลงไป ทำให้หัวใจของเขารู้สึกสงสารซย่าโหวฉิงเทียนนั่นเอง! 

 

 


ตอนที่ 85-5 ฝ่าบาท องค์หญิงเสวี่ยตั้งครรภ์

 

“ข้าไม่ได้ผอมลงเสียหน่อย”


 


 


ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอันมาก แต่เรื่องนี้เขาจำเป็นต้องพูดแก้ให้ถูกต้อง


 


 


“ข้าบอกว่าเจ้าผ่ายผอมลงไป เจ้าก็ผอมลงไป! ข้าคือโอรสสวรรค์ วาจาศักดิ์สิทธิ์นัก!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวต่อโดยไม่รู้ไม่ชี้ว่า


 


 


“อย่างไรเสียคืนนี้เจ้าก็ต้องกินข้าวสามชาม มิเช่นนั้นข้าไม่ยอมปล่อยเจ้ากลับไปแน่!”


 


 


“รับด้วยเกล้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอดมิได้ที่จะคิดถึงคำพูดของอวี้เฟยเยียนก่อนหน้านี้ ใครๆ ต่างก็บอกว่าคนรอบข้างคือผู้ที่มองเห็นชัดเจนที่สุด แท้ที่จริงแล้วฝ่าบาททรงดีกับเขายิ่งนัก ทรงปฏิบัติกับเขาราวกับบุตรชายแท้ๆก็ไม่ปาน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่รับอาหารเย็นเป็นเพื่อนซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้ทรงดีพระทัยเป็นอันมาก เครื่องเสวยแต่ละอย่างก็ทรงบอกย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ซย่าโหวฉิงเทียนกินให้มาก คาดว่าจะให้ซย่าโหวฉิงเทียนกินจนอ้วนภายในมื้อเดียวก็ว่าได้


 


 


“ไม่กินแล้ว! เดี๋ยวจะอ้วนเอา!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้นอย่างใส่ใจรูปร่างของตนเอง


 


 


“บุรุษน่ะจะต้องมีเนื้อมีหนังสักหน่อยจึงจะดี เจ้าน่ะผอมเกินไป!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คีบขาหมูใส่จานให้กับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความไม่พอใจในรูปร่างของเขาเท่าไหร่นัก จากนั้นเขาก็ตบที่ท้องของตนเองเบาๆกล่าวว่า


 


 


“พุงเช่นนี้ต่างหาก ที่สมเป็นชายชาตรี!”


 


 


“ไม่เอา! แมวน้อยคงไม่ชอบ!”


 


 


ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่เคยพูดอะไรก็ตาม แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ดีว่า นางคงจะชอบชายรูปงามเช่นกัน


 


 


หากว่าเขากลายเป็นแบบที่ซย่าโหวจวินอวี่ต้องการ กลายเป็นคนอวบอ้วนพุงพุ้ยละก็ อวี้เฟยเยียนจะต้องรังเกียจเขาเป็นแน่


 


 


ชายควรที่จะแต่งองค์ทรงเครื่อง ดูแลรักษารูปลักษณ์เพื่อหญิงอันเป็นที่รัก ดังนั้นเขาจะไม่ยอมอ้วนฉุเป็นแน่!


 


 


แมวน้อย


 


 


ได้ยินคำเรียกเมื่อครู่ ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับหูผึ่ง!


 


 


พลันเขาก็ชะงักกับคำเรียกที่สนิทชิดเชื้อนี้


 


 


“ฉิงเทียน แมวน้อยคือใครกัน”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ยิ้มล้อเลียนในขณะที่ดวงตาก็จ้องมองบุตรชาย ใบหน้าที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจที่จักรพรรดิพึงมีนั้น เต็มไปด้วยความอยากรู้ เพียงได้ยินคำเรียก ที่ฟังแล้วสนิทชิดเชื้อเป็นอย่างมากนั้น


 


 


บุตรชายเขา ออกไปข้างนอกคราวนี้มีบุพเพได้พบกับเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่น่าจดจำอย่างนั้นหรือ


 


 


เล่าสู่กันฟังบ้างสิ ให้บิดาได้มีส่วนร่วมกับเจ้าบ้างนะ!


 


 


แมวน้อย ฟังดูท่าจะน่ารักน่าดู!


 


 


ลูกเอ๋ย แท้จริงแล้วเจ้าก็มีด้านที่น่ารักกับเขาเช่นกันหรือนี่! นี่บิดาดีใจจนน้ำตาจะไหลทีเดียว!


 


 


“แมวน้อยก็คือแมวน้อย”


 


 


ยังพิชิตใจตระกูลอวี้ไม่ได้ ซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่เอ่ยนามอวี้เฟยเยียนออกมาเด็ดขาด


 


 


เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าด้วยความเอื้ออาทรของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาตวัดราชโองการ พระราชทานงานแต่งให้ นั่นจะทำให้ตระกูลอวี้เกิดความรู้สึกต่อต้าน รู้สึกว่าเขาเป็นพวกที่ชอบใช้กำลังอำนาจบังคับคนไปทั่ว!


 


 


มองดูใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา


 


 


“เซี่ยงจิ้น…”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เซี่ยงจิ้นที่ยืนอยู่ด้านข้างวิ่งเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้าของซย่าโหวจวินอวี่ด้วยความดีใจ


 


 


“ฝ่าบาททรงมีอะไรจะสั่งการพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก! ก็เพียงแค่รู้สึกว่าก่อนนี้ที่เจ้าเคยบอกว่า! ลูกผู้ชายเมื่อเติบใหญ่แล้ว รั้งอย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ คำพูดนี้มันช่างกระตุกบ่อน้ำตาของข้าเสียจริง! หลินเจียงอ๋อง ออกไปข้างนอกเดี๋ยวเดียวก็มีความลับกับข้าไม่สนิท ไม่คุ้นชินกับข้าเสียแล้ว!”


 


 


“หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก เสียใจเป็นที่สุด!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวไปพลางก็แสร้งโศกเศร้าเหม่อลอยไปด้วย จนเซี่ยงจิ้นมองดูแล้วอยากหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่กล้า


 


 


ฝ่าบาท ท่านอ๋องทรงมิยอมปริปาก พระองค์มาระบายเอากับหม่อมฉันมีประโยชน์อะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ


 


 


บ่าวก็มิอาจไปบังคับท่านอ๋องให้ทรงเอ่ยชื่อของนางในดวงใจออกมาได้ที่ไหนกัน!


 


 


แต่ว่า ในฐานะที่เป็นคนโปรดต่อหน้าพระพักตร์ ความสามารถในการปลอบโยนของเซี่ยงจิ้นถือเป็นอันดับหนึ่ง


 


 


“ฝ่าบาท ท่านอ๋องทรงเคอะเขินกระมังพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องเสด็จกลับมาคราวนี้ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! นี่คงจะเป็นอานิสงส์ที่ได้จากความรักนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เมื่อมีซย่าโหวจวินอวี่คอยหนุนหลัง เซี่ยงจิ้นก็อาจหาญอย่างเปิดเผย คำพูดนี้ สามารถปลอบประโลมบาดแผลที่เจ็บปวดในใจของซย่าโหวจวินอวี่ได้เป็นอย่างดี


 


 


เมื่อถอนตัวจากความผิดหวังเมื่อครู่มาได้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็จ้องมองสำรวจซย่าโหวฉิงเทียนหลายต่อหลายครั้งด้วยสายตาจริงจัง แล้วจึงพยักหน้า


 


 


“อื้ม! สายตาของเจ้าแหลมคม!”


 


 


“ข้ามั่นใจแล้วว่า ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังมีความรัก! ท่าทางของเขาจึงได้ผิดแผกไปจากเดิม!”


 


 


“ความเย็นชาที่แผ่ซ่านอยู่รอบกายมลายหายไปมาก อีกทั้งตอนนี้หากได้กล่าวถึงเรื่องของแมวน้อยละก็ สีหน้าของเขาจะฉายแววความอ่อนโยนที่หาได้ยากนักออกมา เห็นที ข้าจะต้องให้ฉู่อินไปสืบดูเสียหน่อยว่า คุณหนูบ้านไหนกันที่ทำให้ฉิงเทียนหวั่นไหวได้!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับเลือกใช้องครักษ์เสื้อแพร แต่ก็มิสามารถบังคับให้ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยนามอวี้เฟยเยียนออกมาได้อยู่ดี


 


 


ทว่า ไม่นานซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ก่อนหน้านี้ชอบพอในตัวอวี้เฟยเยียนเพียงคนเดียว ต่อมาเซี่ยงจิ้นก็สืบรู้มาว่าเขามีสัมพันธ์กับอวี้หลัวช่า มาตอนนี้ก็มีท่าทีปกป้องแมวน้อยเพิ่มมาอีกคน…


 


 


ลูกเอ้ย หัวใจของพ่อไม่จะสู้ดี เจ้าต้องการคนไหนกันแน่


 


 


คิดแล้วซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้สึกกังวลใจในอนาคตภายหน้าของต้าโจวขึ้นมา


 


 


อวี้เฟยเยียนคือจอมเทวา นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็ให้การยอมรับ


 


 


สำหรับอวี้หลัวช่า เรื่องที่เกิดขึ้นที่หอราชาโอสถ ซย่าโหวจวินอวี่รับรู้ตั้งนานแล้ว จอมเทวาพ่วงด้วยจักรพรรดิโอสถ นับเป็นบุคคลที่มิควรหาเรื่องเช่นกัน


 


 


หากว่า แมวน้อยของซย่าโหวฉิงเทียนอ่อนแอเกินไป ก็กลายเป็นถูกข่มขึ้นมาทันทีนะสิ!


 


 


แต่ซย่าโหวจวินอวี่ก็เชื่อแน่ว่า สายตาของบุตรชายของเขานั้นแหลมคม แมวน้อยผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลที่เก่งกาจเช่นเดียวกันเป็นแน่…


 


 


ใครๆ ต่างก็บอกว่า หญิงสามคนบนเวทีเดียวกันเวทีจะพัง แต่นี่หญิงเก่งสามคนรวมกันเชียวนะ เห็นทีเวทีจะพังไม่เป็นท่าแน่นอน!


 


 


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนยังไม่มีใครนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็รีบร้อนแทบเป็นแทบตายจนเกือบที่จะแสดงให้บุตรชายดูเป็นตัวอย่างด้วยตัวเองเสียแล้ว มาตอนนี้มีหญิงก็มีมากเกินไปอีก ซย่าโหวจวินอวี่กลับยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิมเสียอีก


 


 


คนแรกและคนที่สองล้วนแต่เป็นจอมเทวา พวกนางรบกับสักรอบก็เพียงพอที่จะพังเมืองหลวงจนราบได้แล้ว!


 


 


ลูกเอ้ย เจ้าอย่าทำให้บิดาตื่นตระหนกเช่นนี้เลย!


 


 


เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็อดมิได้ที่เอ่ยขึ้น


 


 


“ฉิงเทียน อวี้เฟยเยียน อวี้หลัวช่า แมวน้อย เจ้าคิดได้แล้วหรือยังว่านางทั้งสามคน เจ้าต้องการคนไหนกันแน่ หือ”


 


 


ทว่าในสายตาของซย่าโหวฉิงเทียน เขากลับรู้สึกว่าคำถามของซย่าโหวจวินอวี่มันเหลวไหลสิ้นดี


 


 


สถานะทั้งสามรวมอยู่ในคนคนเดียว แน่นอนว่าเขาต้องการทั้งหมดนะสิ!


 


 


“ต้องการทั้งหมด!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็แทบกระอักเลือด


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่า หากซย่าโหวฉิงเทียนต้องการเพียงอวี้เฟยเยียนจริงๆ ละก็ ต่อให้ต้องใช้แผ่นดินของเขาเข้าแลก เขาก็จะต้องช่วยให้บุตรชายของสมปรารถนาให้จงได้


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับมีอุดมการณ์แน่วแน่!


 


 


ต้องการทั้งสามคน!


 


 


สมแล้วที่เป็นลูกชายของข้า!


 


 


แต่แผ่นดินบิดามีเพียงผืนเดียวนะสิ ให้เจ้ามาเดิมพันเช่นนี้ไม่ไหว!


 


 


เพียงไม่นาน ใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็ผ่อนคลายลง


 


 


เพราะซย่าโหวฉิงเทียนเป็นฝ่ายคีบอาหารให้กับเขา ทั้งยังรินสุราให้อีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย


 


 


นี้เอง ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่แน่ใจว่าแมวน้อยคือผู้ที่เปลี่ยนแปลงซย่าโหวฉิงเทียน ให้เขามีความเอื้ออาทรมากขึ้น กลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นผู้เป็นคน จับต้องได้มากขึ้น


 


 


อานุภาพแห่งความรักจริงๆ!


 


 


ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้พบกับสตรีที่สำคัญที่สุดในชีวิตเสียที


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็จมูกร้อนผ่าว จนเกือบจะร้องไห้ออกมา


 


 


พี่เยี่ยน ท่านเห็นแล้วหรือยัง!


 


 


“ฉิงเทียน เมื่อไหร่มีเวลาเจ้าก็พาแมวน้อยเข้ามาในวัง ให้ข้าได้พบเสียหน่อย! ข้าไม่ได้บังคับเจ้า เพียงแค่อยากเห็นเจ้ามีความสุข ข้าก็วางใจแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ดวงตาแดงก่ำ ปิดบังซย่าโหวฉิงเทียนไม่มิด


 


 


เห็นสีหน้าที่เปี่ยมสุขของซย่าโหวจวินอวี่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับปาก


 


 


ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาแต่อย่างใด แต่กลับดีกับเขาเสียยิ่งกว่าบิดามารดาบังเกิดเกล้าของเขาเสียอีก


 


 


เปรียบกับบิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่ดี กับมารดาบังเกิดเกล้าที่คอยจ้องจะเอาชีวิตของเขาแล้ว ซย่าโหวจวิน อวี่กลับเป็นผู้ที่มอบความรักและความอบอุ่นให้กับซย่าโหวฉิงเทียนมากกว่า ความรักและความอบอุ่นที่เขามิเคยได้รับมาก่อน


 


 


ถึงแม้ว่าความรักนี้จะเป็นสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่มอบให้กับบุตรชายแท้ๆของเขา และซย่าโหวฉิงเทียนกำลังยึดครองพื้นที่ของผู้อื่น มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างของผู้อื่นอยู่ แต่ทว่า นับตั้งแต่วันที่ซย่าโหวฉิงเทียนมีตัวตนแทนเด็กผู้ชายคนนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็คือผู้ที่รับมอบทุกสิ่งทุกอย่างแทนที่เขา


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ดีกับเขาเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะมิทำให้เขาต้องเสียใจและจะยิ่งคุ้มครองดูแลซย่าโหวจวินอวี่อีกด้วย


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกไปวางลงบนมือของซย่าโหวจวินอวี่แล้วตบเบาๆ


 


 


“ข้าจะพานางมาหาท่าน!”


 


 


“ดีๆ ดีมากเลย!”


 


 


ได้ยินคำสัญญานี้ของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ดีใจเหนือสิ่งอื่นใด


 


 


ในตอนนั้นเอง นางกำนัลก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าซย่าโหวจวินอวี่อวี่ โดยที่ยังมิทันรายงาน


 


 


“ขอทรงโปรดเสด็จไปทอดพระเนตรองค์หญิงเสวี่ยเถิดเพคะ ทรงหมดสติไปแล้วเพคะ…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม