สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 83.4-90.2

 บทที่ 83 ลอบสังหาร (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“หรงเฟย เจ้ากำลังตั้งครรภ์ จะวู่วามไปไย?” หลัวฮองเฮาสังเกตสีหน้าและคำพูด ด้านหนึ่งก็ปลอบฮ่องเต้อยู่ อีกด้านก็หันมาตำหนิอย่างไม่พอใจ


ทั่วป๋าหรงเหยาร้อนใจ น้อมคำนับต่อฮ่องเต้แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันถูกปรักปรำ! ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดตัดสินด้วยเพคะ!”


“แต่หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าที่องค์ชายสี่พูดมาก็มีเหตุผล” เต๋อเฟยที่ยืนอยู่ข้างฮองเต้กล่าว “หรงเฟย เจ้าเอาแต่พูดว่าตัวเองถูกใส่ร้าย แต่กลับมีนักฆ่าอยู่ที่ตำหนักของเจ้า อยู่ข้างกายเจ้า หากเจ้าไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เกรงว่ายังไงก็คงจะฟังไม่ขึ้นน่ะสิ?”


ในใจทั่วป๋าหรงเหยายังคงร้องเรียก หาความเป็นธรรม


สาวใช้ที่ติดตามรับใช้นางอย่างใกล้ชิดก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมา อย่างไรเสียนางก็ไม่มีทางปัดความรับผิดชอบไปได้


เต๋อเฟยเห็นนางหมดหนทางกลบเกลื่อนคำโกหกของตนเอง ก็เอ่ยเสียงเย็นอีกว่า “ถูกใส่ร้ายอะไร ข้าว่าเจ้าวางแผนร้ายมาตั้งนานแล้ว มาถึงขั้นนี้ ข้าขอเตือนให้เจ้ายอมรับสารภาพอย่างว่าง่ายดีกว่า! เจ้าเป็นคนสั่งนางบ่าวชั่วนั่นให้ฉวยโอกาสลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทใช่หรือไม่?”


“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ทั่วป๋าหรงเหยาหน้าซีด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะอายุยังน้อยจึงหุนหันพลันแล่น ตะโกนตอบโต้เสียงแหลม แล้วลุกขึ้นตวาดด้วยสีหน้าโกรธแค้นทันที


“คุ้มกันเร็วเข้า!” เต๋อเฟยทำทีหวาดกลัวและขยับเข้าไปใกล้ฮ่องเต้อีก แล้วชี้นิ้วไปที่นางทันที


องครักษ์สิบกว่านายที่ถือทวนยาวอยู่ในมือก้าวมาข้างหน้าโดยพร้อมเพรียง ปลายทวนส่องสว่างดุจหิมะสะท้อนแสงแสบตา


เดิมทีทั่วป๋าหรงเหยาอยากจะเข้าไปอธิบายเหตุการณ์ให้ฮ่องเต้ฟัง แต่ยิ่งดูจากท่าทางดิ้นรนสุดชีวิตในตอนนี้ราวกับมีคมหอกและหน้าผาขวางอยู่ตรงหน้า บีบบังคับให้เธอหมดหนทางจนถึงที่สุด


ด้วยปัญหาที่รุมเร้าเข้ามากระทบจิตใจ ทำให้จิตใจนางว้าวุ่นไปชั่วขณะ


นัยน์ตาหลัวฮองเฮาส่องประกาย ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นตีสีหน้าเคร่งขรึมและตรัสเสียงเฉียบขาดว่า “พระวรกายของฝ่าบาทสำคัญยิ่งนัก คุมตัวหรงเฟยไว้ให้ข้าก่อน!”


ไม่ว่าทั่วป๋าหรงเฟยจะเป็นคนทำเรื่องนี้จริงหรือไม่ ในเมื่อมีโอกาสดีขนาดนี้มากองอยู่ตรงหน้า นางก็จะใช้กำจัดคนช่างประจบสอพลอต่อหน้าธารกำนัลอย่างเต็มที่


ทั่วป๋าหรงเหยาตื่นตระหนกจนหน้าซีด ร้องตะโกนอย่างหวาดหวั่น “ฝ่าบาท!”


พอเหล่าองครักษ์ก้าวเข้าไปหวังจะล้อมจับนาง


นางก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ


เพียงชั่วครู่องครักษ์ที่อยู่ใกล้นางที่สุดพลันสังเกตเห็นระหว่างคิ้วนางเปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอยู่ๆ ร่างกายของนางกลับแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้แล้วล้มหงายไปด้านหลังโดยไม่มีสาเหตุท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย


พอนางล้มลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างรับมือไม่ทัน


สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังรีบเข้าไปหวังจะรับร่างของนางเอาไว้ แต่นางกลับนอนหมดสติตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้นเสียแล้ว


ทั่วป๋าไหวอันรีบวิ่งเข้าไปดูอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น พอเห็นว่าหว่างคิ้วของทั่วป๋าหรงเหยายังเหลือร่องรอยอยู่ก็เกิดพาลโกรธขึ้นมาดื้อๆ คุกเข่าหันไปทางฮ่องเต้กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ฝ่าบาท พระสนมเหมือนจะถูกพิษเหมือนกันพะยะค่ะ! เช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีคนต้องการให้พวกเราพี่น้องเป็นแพะรับบาป ดังนั้นจึงต้องฆ่าปิดปาก ถึงแม้โม่เป่ยของกระหม่อมจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ บริเวณชายแดน แต่ก็หาใช่พวกไม่มีสัจจะ หากฝ่าบาททรงสงสัยว่าพวกเราพี่น้องมีเจตนาไม่ดี สามารถสอบสวนความจริงได้อย่างเต็มที่เลยพ่ะย่ะค่ะ ถ้ามีพยานและหลักฐานจริง กระหม่อมก็ไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้น แต่ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์และยังต้องมาประสบกับความไม่เป็นธรรมในครั้งนี้ ก็ถือว่าฝ่าบาททรงมีอคติต่อพวกเราชาวโม่เป่ย แต่พระองค์จะไม่สนใจแม้กระทั่งลูกที่อยู่ในท้องพระสนมเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะถูกคนวางยา แต่ก็เมินเฉยต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เองไม่ได้


ทั่วป๋าไหวอันพูดแบบนี้มีเจตนาข่มขู่พระองค์อย่างชัดเจน แต่ด้วยทิฐิจึงถือตนว่าจะมองข้ามพระองค์ซึ่งเป็นฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือประชาชนไม่ได้


เพราะทั่วป๋าหรงเหยาล้มลงอย่างกะทันหัน ฮ่องเต้เองก็สับสนไปชั่วครู่ อีกทั้งยังโดนทั่วป๋าไหวอันยั่วยุ สีหน้าจึงยิ่งโมโหมากขึ้น


“ยังไม่ไปดูอีก?” ฮ่องเต้ตรัส ทอดมองเหยียนหลิงจวินและคนอื่นอย่างไม่สบอารมณ์


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” แต่เหยียนหลิงจวินกลับไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนตอนที่ตรวจอาการฮ่องเต้เมื่อครู่ เขาทำความเคารพฮ่องเต้อย่างนอบน้อม หลังจากนั้นก็พอเดาได้ ไม่ต้องรอให้เขาลงมือ คนอื่นก็แย่งกันเข้าไปรักษาทั่วป๋าหรงเหยากันให้วุ่นแล้ว


เหยียนหลิงจวินสอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้เลย จึงถือโอกาสยืนดูอยู่แค่ด้านข้างแล้วกัน


ฉู่สวินหยางนั่งอยู่ด้านล่าง ห้องอุ่นฝั่งนี้ของฮ่องเต้เป็นพื้นที่เฉพาะของฝ่ายใน ถึงแม้พวกนางจะเป็นพระญาติ แต่หากไม่มีรับสั่งของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถเข้าไปตามใจชอบได้ ดูสถานการณ์ฝั่งนั้นแล้วก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีเหมือนกัน


“เป็นแบบนี้ได้ยังไง?” ฉู่สวินหยางพึมพำ ถึงแม้จะยังคงรักษาสีหน้าปกติ แสดงออกมาเฉพาะตอนไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น ในน้ำเสียงยังคงแฝงความประหลาดใจเล็กน้อย


ชายและหญิงแยกที่นั่งกัน ตอนนี้ทั้งฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงต่างก็ไม่ได้นั่งด้วยกันกับนาง


“ทำไมหรงเฟยอยู่ดีๆ ก็ล้มลงไป?” ชิงหลัวไม่สบายใจยิ่งกว่า “เมื่อครู่ข้ามองอยู่ตลอด ก่อนหน้านั้นนางก็ดูปกติดี ไม่เห็นว่ามีคนลงมือเลย”


ฉู่สวินหยางขบคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับยิ้มเยาะเหยียดหยามว่า “ใครเป็นคนลงมือไม่สำคัญ ตอนนี้ที่สำคัญคือ…นางหมดสติไปเช่นนี้ ต้องการให้พุ่งเป้าไปที่ผู้ใดกันแน่!”


จะพุ่งเป้ามาที่วังบูรพาของตนเองหรือไม่?


ฝั่งวังบูรพากับฝ่ายในของวังหลวงต่างขีดเส้นแบ่งกันชัดเจนมาโดยตลอด ถ้าหากพุ่งเป้ามาที่นางหรือวังบูรพาจริง ก็ไม่รู้ว่าเงื่อนงำนี้จะมาผูกโยงเข้ากับตนเองได้ยังไง


ถ้าเป็นฉู่ฉีเหยียนคงไม่ทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้แน่ แต่หากเขามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย เช่นนั้นครั้งนี้ก็อันตรายมาก


ฉู่สวินหยางคิดไปก็ยิ่งถลำลึกเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว กลายเป็นเกาะติดสถานการณ์ห้องอุ่นด้านนั้นเป็นพิเศษ


หลังจากหมอหลวงทั้งกลุ่มรักษาด้วยความเร่งรีบ สุดท้ายยังคงเป็นหมอคังที่มารายงานฮ่องเต้อย่างหวาดหวั่นว่า “ฝ่าบาท พิษเข้าสู่ร่างกายพระสนมหรงเฟย หม่อมฉันขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ย้ายพระสนมกลับตำหนักก่อน จะได้รักษาได้อย่างเต็มที่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


ฮ่องเต้ลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้ตรัสกลับไปในทันที


แต่องค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงกลับไม่ยอมรามือ รีบยืนขึ้นมาพูดเสียงเย็นชาว่า “เสด็จพ่อถูกลอบปลงพระชนม์ และนางยังเป็นผู้ต้องสงสัย จะย้ายคนออกไปงั้นรึ? คิดไม่ได้รึไง? ถึงแม้นางจะตั้งครรภ์อยู่ แต่ในโลกนี้ก็ไม่มีชีวิตใครมีค่ามากไปกว่าเสด็จพ่อ ถ้ายังสืบหาความจริงเรื่องลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อให้กระจ่างไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ออกจากตำหนักนี้ไม่ได้ทั้งนั้น!”


“แต่ว่าอาการของพระสนมเป็นอันตรายต่อชีวิตนัก…” หมอคังเอ่ยสองจิตสองใจ


“เรื่องนี้จะยากสักแค่ไหนกัน? ในเมื่อพวกเจ้าสงสัยว่าพระสนมหรงเฟยวางแผนร้ายวางยาฝ่าบาท เช่นนั้นยาพิษนี้ก็ควรจะมีที่มาที่ไปหน่อยใช่หรือไม่? ลองเริ่มสืบสวนจากเบาะแสนี้ไป ยังไงความจริงก็ต้องปรากฏออกมา!” ทั่วป๋าไหวอันตาต่อตาฟันต่อฟัน สีหน้าเย็นชาเช่นเดียวกัน


“ผลของยาชนิดนี้แปลกประหลาด เกรงว่าคนทั่วไปคงผสมออกมาไม่ได้!” หมอจูหมออีกท่านหนึ่งเสริมมาอีกประโยค แล้วเผลอลูบเคราอย่างไม่รู้ตัว


“ตอนแรกที่เข้าวังก็ตรวจสอบทั้งสินสอดและของที่เตรียมมาจากบ้านของพระสนมโดยละเอียดแล้ว ไม่เคยเอาของผิดแปลกอะไรเข้ามาอย่างแน่นอน” ขณะนั้นสาวใช้นางหนึ่งออกมายืนข้างกายทั่วป๋าหรงเหยา นางสะอึกสะอื้นทูลฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระสนมของพวกเรามาไกลจากโม่เป่ย ในวังนี้ไม่มีทั้งเพื่อนและญาติพี่น้อง ช่วงที่ผ่านมานี้นางมักเก็บตัวไม่ยอมออกมาจากห้อง แม้แต่องค์ชายของพวกเราก็ไม่เคยได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ พระองค์จะปรักปรำนางเช่นนี้ไม่ได้ หม่อมฉันขอร้อง ให้คนพาพระสนมไปรักษาดีกว่าได้ไหมเพคะ?”


ฮ่องเต้เม้มปาก ราวกับยังลังเลอยู่ ไม่ยอมเอ่ยในทันที


แต่เต๋อเฟยกลับไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดรอดไป นางเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้าว่าหรงเฟยไม่เคยพบคนนอกรึ? งั้นไม่แปลกรึ? หรือยาพิษนี้สามารถหล่นลงมาจากท้องฟ้าได้?”


“ความจริงเป็นเช่นนี้ ท่านอย่ามาใส่ร้ายกันมั่วๆ!” สาวใช้คนนั้นกล่าวเสียงดัง “พระสนมของเราตั้งครรภ์ ใต้เท้าเหยียนหลิงเคยกำชับว่ายังท้องอ่อนให้นางพักผ่อน พระสนมก็อยู่แต่ในตำหนักไม่ออกไปข้างนอกจริงๆ ไม่เคยเจอคนนอกด้วย!”


ไม่เคยพบคนนอก แต่กลับเคยเจอใต้เท้าเหยียนหลิงที่ไปตรวจแทนนางแค่คนเดียว แถม…


เหยียนหลิงจวินยังมีอีกด้านที่เป็นหมอที่มีฝีมือเก่งกาจด้วย!


ฉู่สวินหยางฟังถึงตรงนี้ก็ยิ้มเยาะ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก…


ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง หมากกระดานนี้ยากยิ่งนัก ทั้งลำบากลงแรงไปตั้งมาก มาถึงจุดนี้ความจริงถึงได้เปิดเผยออกมาทั้งหมด เดิมทีทำไปไม่ใช่เพื่อใครที่ไหน…


แต่เพื่อให้พุ่งเป้าไปที่เหยียนหลิงจวินนั่นเอง!


……………………………………………………………………


บทที่ 84 คนสารเลว (4)


ทุกคนเบิกตาโพลงอย่างพร้อมเพรียง ต่างมองเขาพลางทอดถอนใจ


ฉู่อี้เจี่ยนเดินผ่านไป ก่อนจะยกมือกดไหล่ของเฉินเกิงเหนียนไว้ พร้อมทั้งยิ้มบางๆ แต่กลับกล่าวกับหมอคัง ผู้ที่กำลังตื่นตะลึงอยู่บนพื้น “หมอคัง เจ้าเลือกฟังสิ่งที่เจ้าจะเชื่อ เจ้ากับใต้เท้าเหยียนหลิงดำรงตำแหน่งอยู่ที่สำนักหมอหลวง หรือว่าเจ้ายังไม่รู้ ว่าพระสนมหรงเฟยกับใต้เท้าเหยียนหลิงไปเพราะรับสั่งของฝ่าบาทมาแล้วเมื่อหลายวันก่อน และการตรวจชีพจรครั้งนั้น ก็ทำลงไปเพราะเห็นแก่หน้าฮองเฮาและพระสนมชิ่งเฟย หลายวันมานี้เพราะข้าโรคเก่ากำเริบ จึงเชิญเขาไปที่จวน ส่วนการตรวจชีพจรให้พระสนมหรงเฟย มีผู้อื่นรับผิดชอบไปแล้ว”


หมอคังได้ยังดังนั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าเช่นไรดี


สายตาคมกริบของฉู่สวินหยางกวาดมองผู้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


ทั่วป๋าไหวอันจ้องเขม็ง ฝ่ายฉู่ซวีเหยียนกลับหลุบตามองแก้วสุราสีทองในมือราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่ต่างจากเดิม ทว่านิ้วมือที่ประคองแก้วเอาไว้กลับสั่นระริก บ่งบอกว่ายามนี้เขาก็รู้สึกตกใจอย่างสุดขีดเช่นเดียวกัน!


เป็นไปตามคาด


สองคนนี้รวมหัวกันจริงๆ!


ขณะเดียวกัน หมอหลี่แห่งสำนักหมอหลวง ผู้มีคิ้วดกดำและใบหน้าเหลี่ยม อายุราวสิบสิบปีก็สาวเท้าเดินออกมาจากบรรดาหมอหลวง ก่อนจะคุกเข่าลงด้วยอารามหวาดหวั่น “ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง กระหม่อมเพียงแค่ไปตรวจชีพจรให้พระสนมหรงเฟย เพราะรับบัญชาของฝ่าบาทมาเท่านั้น ทุกครั้งล้วนตรวจชีพจรต่อหน้าคนมากมาย เมื่อตรวจเสร็จสิ้นข้าก็ไป ไม่มีทางไปหาหาสู่ตำหนักพระสนมอย่างลับๆ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


เหยียนหลิงจวินเคยไปห้องนอนของทั่วป๋าหรงเหยาหนึ่งครั้ง และวันนั้นก็ไปเพราะได้รับบัญชาเร่งด่วนจากฝ่าบาท เพื่อสกัดชีพจรต่อหน้าฝ่าบาท


เป็นสตรีในวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกคนล้วนขอให้ตนได้มีโอรสอยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมที่ไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยทั่วไปหากเจ้านายคนใดมีเรื่องน่ายินดี พวกนางล้วนฝากฝังหมอหลวงที่ตรวจพบชีพจรครรภ์ของนาง ภายหลังหากได้ฝากครรภ์ให้หมอหลวงคนใดแล้ว ก็จะไม่มีการเปลี่ยนหมอหลวงอีก


หลายวันมานี้เหยียนหลิงจวินไปรายงานตัวกับสำนักหมอหลวงตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นก็นำยาสำหรับเด็กและกล่องยาออกไป ทุกคนจึงรู้กันว่าเขาไปตรวจชีพจรให้ทั่วป๋าหรงเหยา แต่กลับไม่เคยคิดว่านางไม่เคยเข้าวังหลัง และจัดการให้หมอหลวงหลี่ผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ไปแทนเขาเป็นปกติ


สาวใช้ของทั่วป๋าหรงเหยาล้วนมาจากโม่เป่ย ยังรู้เรื่องลับลมคมในภายในวังหลวงไม่กระจ่างแจ้ง คิดเพียงขอแค่เหยียนหลิงจวินเคยไปห้องนอนของทั่วป๋าหรงเหยา ก็นับเป็นหลักฐานที่มัดตัวไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ ยิ่งเส้นสายภายในวังหลวงของพวกนางไม่ได้กว้างขวาง จึงไม่ได้ตั้งใจป่าวประกาศเรื่องเปลี่ยนหมอหลวงออกไป


บังเอิญเสียจริง


นี่นับเป็นช่องโหว่หนึ่ง ทำให้แผนการในครั้งนี้ของพวกนางพังไม่เป็นท่าโดยสิ้นเชิง


ไม่มีใครสงสัยคำพูดของฉู่อี้เจี่ยน อีกทั้งมีคนจากสำนักหมอหลวงเข้าไปปฏิบัติงานภายในวังหลวงทุกวัน ฝ่ายในล้วนมีบันทึกไว้ เพียงตรวจสอบก็ชัดเจนแล้ว


“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” เฉินเกิงเหนียนทำหน้าตาถมึงทึง ราวกับกำลังแสดงอำนาจให้หมอคังเห็น


ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หมอคังที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นมีเหงื่อออกจนเปียกชุ่มแล้ว จนมองเห็นคราบน้ำที่อยู่บนแผ่นหลังอย่างชัดเจน


“เอ่อ…นี่…” เขาเริ่มอ้ำอึ้ง เพิ่งรู้สึกเสียดาย


เหตุใดต้องคิดไปอยู่เหนือกว่าเหยียนหลิงจวินด้วย คราวนี้จบสิ้นแล้ว ด้วยขุดหลุมฝังตนเองเช่นนี้ รอบกายยังมีคนล้อมรอบ จับจ้องด้วยสายตาคมกริบอีกต่างหาก พวกเขาคล้ายกับจะยกเท้ากระทืบเขาได้ทันทีที่เขายื่นหน้าออกมา


“ฝ่าบาท…กระหม่อม…กระหม่อมแค่…เพียงแค่…ทำไปตามน้ำพ่ะย่ะค่ะ!” สุดท้ายหมอคังก็อดทนตั้งสติไม่ไหว เขาก้มหน้ามองอิฐสีทองบนพื้น แต่สายตากลับสอดส่ายไปทั่ว ผ่านไปนานทีเดียวถึงจะคิดหาคำพูดที่เหมาะสมออกมาได้


เขาไม่กล้าแก้ตัวอีก แม้กระทั่งมีท่าทียอมแพ้อยู่บ้าง


“ให้การเท็จต่อผู้บังคับบัญชา หลอกลวงเบื้องสูง ระรานผู้อยู่เบื้องล่างหรือนี่ หมอคัง เรื่องนี้เหมือนจะจบลงด้วยคำพูดเดียวของเจ้าไม่ได้แล้วกระมัง” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มบางๆ พลางเหลือบมองอีกฝ่าย


หมอคังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่อยู่บนบังลังก์ในทันที ก่อนจะกล่าวอย่างรีบร้อน “ฝ่าบาท…”


ทว่ายังไม่ทันพูดจบ เฉินเกิงเหนียนก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยความเดือดดาล สะบัดฝ่ามือลงบนปากของหมอคัง พร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห “ทำไปแล้วก็ทำไปเถิด หรือว่าตอนนี้เจ้ายังคิดจะกลับดำเป็นขาวเสียให้ได้?”


เฉินเกิงเหนียนเหมือนจะไม่ได้ออกแรงมากเท่าไรนัก ทว่าทุกคนที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ ล้วนได้ยินเสียงฝ่ามือดังกังวานอย่างที่คิดไว้ ขณะที่กำลังรอเขาชักมือกลับ หมอคังกลับเงียบเชียบไม่พูดจา ทุกคนเห็นเพียงหนวดเคราของเขาสั่นไหวอย่างหยุดไม่อยู่ ผ่านไปนานทีเดียว กล้ามเนื้อทั่วใบหน้ากลับเหมือนหยุดนิ่ง จะขยับปากก็ทำไม่ได้


“เข็มสองเล่มนี้นับเป็นการตักเตือนที่ตาแก่อย่างข้าให้ไว้กับเจ้า ลงโทษไม่ให้เจ้าเอ่ยวาจาเป็นเวลาสามวัน และให้เจ้าไปคิดดูให้ดี ว่าสิ่งใดพูดได้ สิ่งใดพูดไม่ได้บ้าง” เฉินเกิงเหนียนพึมพำ เห็นเพียงเขาหยิบเข็มทองสองเล่มที่ซ่อนไว้ออกมา ก่อนจะสอดกลับเข้าไปในกระเป๋าเข็มที่พกติดตัวไว้ และพูดทิ้งท้ายกับหมอคังอย่างดุดัน หลังจากที่กลับหลังหันไปแล้ว “ผู้ใดกล้าเล่นสกปรก ทำลายศิษย์น้องอันเป็นที่รักของข้า ข้าจะเอาชีวิตมันผู้นั้นเสีย!”


เขาพูดเหมือนสัตว์ในกรงที่กำลังปกป้องลูกไม่มีผิด ดวงตาสองข้างถลึงคล้ายระฆังทองแดง แล้วเขย่ากระเป๋าเข็มให้หมอคังและคนอื่นๆ ดู


หมอคังถูกเข็มทองของเขาทิ่ม ทำเอาครึ่งแก้มด้านหนึ่งชาหนึบ จิตใจของเขารุ่มร้อนแต่กล่าวอะไรออกมาไม่ได้ ร้อนรนจนเหงื่อกาฬเย็นเฉียบผุดออกมาจากหน้าผาก


เฉินเกิงเหนียนก่อเรื่องตามอำเภอใจอยู่นาน


ฮองเฮาหลัวมองสีหน้าของฮ่องเต้อยู่หลายครั้ง ทว่าฮ่องเต้ดูเหมือนอ่อนล้าอยู่บ้าง เขาพิงบัลลังก์หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง นางรู้ดีว่าเขาจงใจปล่อยให้เฉินเกิงเหนียนกระทำการตามใจชอบ แม้นางเองจะไม่พอใจ แต่ก็ข่มใจไว้ ไม่ได้ร้องให้หยุด


ทว่านางได้แต่แอบประหลาดใจ


เหตุใดฝ่าบาทถึงปล่อยให้ตาแก่นี่ทำตามอำเภอใจได้ถึงเพียงนี้ ปกติต้อนรับอย่างสมเกียรติมากกว่าคนอื่นก็ช่างเถิด แต่ครั้งนี้ปล่อยให้เขาพูดจาไร้สาระในท้องพระโรงต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร


นี่มัน…


เกินไปหน่อยหรือไม่


อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่คิดจะหยุดยั้งเขาแม้สักนิด คนอื่นต่างก็เหมือนวิญญาณ ล้วนหลุบตาลงต่ำทำเป็นว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น


แม้เฉินเกิงเหนียนจะใช้อารมณ์เกินไปอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่เหยียนหลิงโซ่ว เขาทำงานรับใช้อยู่ในราชสำนักมานานปี จึงเห็นแก่ความเหมาะสมอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าก่อเรื่องวุ่นวายได้พอประมาณแล้ว เขาก็หยุด แล้วกลับหลังหันคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ พลางยืดอกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท กระหม่อมเอาหัวรับประกันให้เจ้าหนุ่มเหยียนหลิงได้ เขาไม่มีทางทำเรื่องที่มีโทษผิดใหญ่หลวงแน่ ความเข้าใจผิดครั้งนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ขอฝ่าบาทรักษาความยุติธรรม ล้างมลทินให้พวกกระหม่อมสักครั้ง!”


คำพูดนี้ของเขามัดรวมตนเองกับเหยียนหลิงจวินไว้ด้วยกัน อาศัยหน้าของตนเองขอความเห็นใจต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้


ฮ่องเต้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ความโกรธกริ้วมัวหมองตรงหว่างคิ้วคลายลงบ้างแล้ว


“เอาล่ะ เดิมทีข้าก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่เขา” ฮ่องเต้โบกมือ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า


พระองค์ไม่มีรับสั่งใด ทว่าหลี่รุ่ยเสียงที่อยู่ข้างๆ ลอบทำสัญญาณมือให้องครักษ์เสียแล้ว


ทันใดนั้นพลันมีองครักษ์ก้าวมาข้างหน้า ก่อนจะคุมตัวหมอคังออกไป


เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน หมอคังตกใจจนคุมสติไม่อยู่ ทว่าบัดนี้เขาไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ทั้งยังเอ่ยวาจาใดออกมาไม่ได้ ขณะที่ถูกองครักษ์คุมตัวไว้ เขากลับหันหน้าไปมองบัลลังก์ของฮ่องเต้ด้วยความกระวนกระวาย


โอรสสวรรค์ชราบัดนี้มีสีหน้าเหนื่อยล้า ไม่แม้แต่จะมองหมอคังสักครั้ง


จู่ๆ หมอคังก็รู้สึกหวาดหวั่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ แทบจะถูกลากออกไปด้วยความสิ้นหวัง


ฮ่องเต้พักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะมองไปทางทั่วป๋าหรงเหยาที่นอนอยู่บนพื้น กล่าวว่า “เจ้ามาพอดีเชียว เจ้าคนพวกนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ข้าต้องไหว้วานเจ้า ช่วยดูหรงเฟยหน่อยเถิด”


“พ่ะย่ะค่ะ!” เฉินเกิงเหนียนตอบรับอย่างนอบน้อม หลังจากประสานมือทำความเคารพแล้ว เขาก็ไปตรวจชีพจรให้ทั่วป๋าหรงเหยา


ฮ่องเต้มองเขาด้วยสีหน้าเงียบขรึม ก่อนจะถามด้วยใจกังวลอย่างอดไม่อยู่ “พิษนี้มีวิธีถอนหรือไม่”


เฉินเกิงเหนียนเงียบกริบ ก่อนจะจับชีพจรของทั่วป๋าหรงเหยาอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยกองหนวดเคราดูกลัดกลุ้ม สุดท้ายถึงจะตอบเสียงเบา “พระสนมถูกพิษที่ไหนกัน นางถูกผีร้ายสิงอยู่ชัดๆ!”


————————————————————————


บทที่ 84 คนสารเลว! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

คาดไม่ถึงว่าจุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นการฉวยโอกาสช่วงชุลมุนนี้จัดการเหยียนหลิงจวิน!


เห็นสีหน้าหม่นหมองของฮ่องเต้แล้ว ฉู่สวินหยางพึมพำอยู่ชั่วครู่ แล้วกวักมือเรียกชิงหลัวเข้ามาสั่งงาน 2-3 ประโยค


ชิงหลัวตั้งใจฟังแล้วตอบรับทุกถ้อยคำ


เวลานี้โฉมหน้าที่แท้จริงของนักฆ่าที่วางยาพิษถูกเปิดโปงแล้ว แน่นอนว่าคำสั่งปิดตำหนักของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ก็ถูกยกเลิกตามไปด้วย


ชิงหลัวอาศัยช่วงเวลาที่ความสนใจของทุกคนต่างถูกดึงไปรวมกันที่ห้องอุ่น ถอยไปหลบหลังเสาในทันใด แล้วฉวยโอกาสที่องครักษ์หละหลวม แอบออกไปทางประตูด้านข้าง


ฉู่ฉีเหยียนที่นั่งเยื้องกันดูราวกับกำลังสนใจสถานการณ์ฝั่งฮ่องเต้ด้านนั้น แท้จริงแล้วกลับแอบสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของฉู่สวินหยางทางด้านนี้ตลอด…


เกิดเรื่องกับเหยียนหลิงจวิน นางไม่ยอมอยู่เฉยแน่


ทันใดนั้นพอเห็นชิงหลัวออกไป เขาเองก็ไม่รอช้ารีบส่งสายตาเป็นนัยไปให้หลี่หลินที่อยู่ข้างกายทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “ตามออกไป ขวางนางไว้!”


“ขอรับ!” หลี่หลินตอบรับ แล้วก็หาทางหลบออกไปทางประตูด้านข้างที่อยู่ด้านหลังที่นั่งฝ่ายชายเหมือนกัน


แน่นอนว่าคนที่คอยสังเกตการณ์ทุกอย่างในตำหนักนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว พอฉู่ฉีเฟิงเห็นว่าเขาสั่งให้หลี่หลินออกไปก็รู้ได้ว่าเขาไปจัดการชิงหลัว ในขณะเดียวกันเขาก็ตีหน้าตายแอบส่งสัญญาณมือให้เจี่ยงลิ่ว


เจี่ยงลิ่วรับคำสั่ง รีบตามหลี่หลินไปอีกคน


โต๊ะที่ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนนั่งอยู่นั้น มีแค่ที่นั่งเดียวคั่นกลางระหว่างพวกเขาสองคน ดังนั้นความจริงแล้วไม่ว่าพวกเขาสองคนจะแอบทำอะไรก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาอีกฝ่ายไปได้แม้แต่น้อย


ฉู่ฉีเหยียนเห็นเขาจงใจยั่วโมโหก็หันไปมองเขาแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ


ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่หลบตาเช่นกัน ดึงสายตากลับมาจากที่ไกลและยิ้มเยือกเย็นให้เขา


ทั้งสองคนสบตากัน


ทว่าเพียงชั่วครู่ต่างคนต่างก็ยอมรามือไปเอง แม้ในช่วงเวลานั้นคนหนึ่งจะมีท่าทีนิ่งสงบ ส่วนอีกคนก็ท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่จุดที่สายตามาบรรจบกันนั้นราวกับเกิดพายุหิมะในทันที พลังความหนาวดุจดั่งจะแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกทั้งใบนี้


ทั้งสามคนต่างแอบลงมือกันอย่างลับๆ นอกจากไม่กี่คนที่รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว คนอื่นก็แทบจะดูไม่ออกเลย ความสนใจของคนทั้งงานยังคงรวมอยู่ที่ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องอุ่นตรงนั้น


เพราะสาวใช้นางนั้นเหมือนกับ ‘เปิดประเด็น’ ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาของทุกคนต่างก็ค่อยๆ ย้ายไปที่เหยียนหลิงจวิน


“ข้าก็ว่าคุณสมบัติของยานี้แปลกนัก คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเหยียนหลิงไม่ได้ตรวจแม้แต่ชีพจรของฝ่าบาทด้วยซ้ำก็กล้าลงมือฝังเข็มรักษา” พลันหมอคังนึกขึ้นมาได้ ถึงจะเป็นแค่เสียงพึมพำ แต่กลับคุมระดับเสียงนั้นให้บุคคลสำคัญไม่กี่คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้ยินอย่างชัดเจนพอดี


ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด กลับเป็นสีหน้าของหลัวฮองเฮาที่เข้มขึ้นก่อนใคร ตะโกนถามเสียงดุดันว่า “เหยียนหลิงจวิน เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”


เหยียนหลิงจวินคารวะนางก่อน สีหน้ากลับสงบเยือกเย็นมาก และตอบอย่างไร้ความกังวลร้อนใจว่า “ตามหลักการแพทย์ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า จะให้ใช้วิธีการเดิมตลอดคงไม่ได้หรอกจริงหรือไม่? พระวรกายฝ่าบาทถูกพิษชนิดร้ายแรง อันตรายดั่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ถ้าหากทำตามที่หมอคังว่า หรือเจ้าไม่เห็นแก่ความปลอดภัยของฝ่าบาทแล้วงั้นรึ?”


“เจ้าอย่ามาพูดจาบ่ายเบี่ยง!” หมอคังว่า  “เรื่องอื่นยังไม่พูดถึง แต่เจ้ารักษาถูกได้ยังไงในเมื่อยังไม่ได้จับชีพจร? หากไม่ใช่เพราะรู้สรรพคุณและวิธีการใช้ยาพิษนี้มาก่อนแล้ว ไม่งั้นเจ้าจะกล้าใช้วิธีนี้ถอนพิษรึ?”


“ท่าทางสายตาของหมอคังจะไม่ค่อยดี หรือเจ้าไม่เห็นว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้เป็นคนถอนพิษให้ฝ่าบาท แต่ใช้ยาถอนพิษที่แย่งมาจากมือสังหารนั่นต่างหาก” เหยียนหลิงจวินตอบเสียงเรียบ แล้วเอ่ยต่ออย่างไม่อยากโต้เถียงกับเขาเลยสักนิดว่า “ข้าฝังเข็มสกัดจุดเส้นพระโลหิตบนพระหัตถ์ของฝ่าบาทก่อน ซึ่งปกติก็เป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้กับอาการถูกพิษ หยุดการแพร่กระจายของพิษไว้ชั่วคราว หมอคังอาศัยจุดนี้เพียงจุดเดียวมาจับผิดข้า แบบนี้มันเหมือนกับ…”


เขาพูดไปส่ายหัวไปอย่างมีเลศนัย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจออกมาว่า “ใส่ความ!”


หน้าของหมอคังนั้นเปลี่ยนสีเล็กน้อย คารวะฮ่องเต้แล้วเอ่ยอย่างหวาดหวั่นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้ใส่ความใครมั่วซั่วนะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าสาวใช้ของพระสนมหรงเฟยได้ยาพิษที่แปลกและร้ายแรงขนาดนี้มาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เรื่องนี้ดูมีลับลมคมในจริงๆ ฝีมือการรักษาของใต้เท้าเหยียนหลิงเหนือกว่าผู้ใด ทุกคนต่างรู้ดี และยัง…”


เขาพูดไปเพื่อหลีกหนีสายตาที่มองมาอย่างคลุมเครือ เว้นวรรคไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยต่อว่า “ตามที่เล่ากันมาตอนที่เขารักษาองค์ชายเจี่ยนก็ใช้วิธีรักษาแบบใช้พิษแก้พิษ ตอนนั้นพิษในร่างกายองค์ชายเจี่ยนแม้แต่หมอเฉินยังอับจนหนทาง ถ้าเขาสามารถใช้พิษช่วยชีวิตคนได้แบบนั้น คิดว่า…สำหรับเขาแล้วยาพิษที่พบวันนี้ก็คงไม่เกินความสามารถหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”


สีหน้าฮ่องเต้หมองคล้ำ ถึงแม้จะกินยาถอนพิษยับยั้งไม่ให้พิษเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงไปแล้ว แต่ยังไงก็ถือว่าได้รับบาดเจ็บ และยังมีร่องรอยยาพิษบางส่วนเหลืออยู่บนแขนที่ต้องไปรักษาต่อ ตอนนี้ดูท่าทางไม่ค่อยดีและมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย


ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสสักคำ แค่มองเหยียนหลิงจวินอย่างจริงจังอีกรอบเท่านั้น


เมื่อครู่ที่เหยียนหลิงจวินตอบอย่างใจเย็น ไม่ได้ทำไปเพื่อไขข้อสงสัยของหมอคัง แต่เพื่อลองใจทั่วป๋าไหวอันด้วยตนเองว่า “องค์ชายห้าคิดเห็นเช่นไร? ท่านก็คิดว่าข้ากับพระสนมหรงเฟยสมคบคิดกันก่อกบฏลองปลงพระชนม์หรือไม่?”


ทั่วป๋าไหวอันพลันอึ้งไปชั่วขณะ เงยศีรษะมองหน้าเขาอย่างสับสน


จากข้อแก้ต่างก่อนหน้านี้ หรงเอียนสาวใช้ที่ตายไปเป็นนักฆ่าจริง แต่เรื่องนี้กลับไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปที่ทั่วป๋าหรงเหยาโดยตรงเลย


ขณะนี้เหยียนหลิงจวินไม่ได้ยืนยันความบริสุทธิ์เพื่อตนเอง แต่กลับดึงเอาโทษทัณฑ์ในครั้งนี้มาไว้ที่ตนเอง และยังแบกรับด้วยกันทั่วป๋าหรงเหยา


ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอ อีกทั้งยังเป็นสนมของฮ่องเต้ เหตุใดต้องลงมือกับฮ่องเต้ด้วย? เช่นนั้นแผนการขั้นต่อไปก็ชัดเจนมากพอแล้ว…


ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นองค์หญิงแห่งโม่เป่ย นางมีเหตุผลมากพอที่จะลอบปลงพระชนม์…


เพื่อบ่อนทำลายราชสำนัก ร่วมมือกับคนโม่เป่ยโจมตีประสานกันทั้งจากด้านในและด้านนอก มุ่งทำลายราชสำนักซีเยว่อันยิ่งใหญ่


แต่นางเป็นเพียงสตรี ไม่บอกก็เดาได้ว่าเพียงแค่ดึงตัวนางมาได้ ต่อไปทั่วป๋าไหวอันต้องลากไปทำเรื่องไม่ดีแน่นอน


เหยียนหลิงจวินมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง!


ทั่วป๋าไหวอันแอบกัดฟัน รีบทูลฮ่องเต้ด้วยสีหน้ายากที่จะปกปิดความวุ่นวายใจได้ว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อพระสนมหรงเฟยถวายตัวเข้าวังแล้ว คนเดียวที่นางจะพึ่งพาอาศัยได้ก็มีแต่ฝ่าบาทเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้นางกำลังตั้งครรภ์ ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำเช่นนี้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


“ใครจะรู้ว่าชาวโม่เป่ยอย่างพวกเจ้าวางแผนร้ายอะไรไว้ล่ะ!” องค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงเยาะเย้ย


หมอคังกลอกตาไปมา แล้วก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กล่าวอย่างซื่อสัตย์ว่า “ฝ่าบาท ที่องค์ชายสี่พูดมานั้นก็มีเหตุผล ถ้าหากมีแค่ใต้เท้าเหยียนหลิงเป็นคนทำเรื่องนี้ ก็ยากที่จะหาเจตนาที่แท้จริงที่เขาทำเรื่องไม่ควรเช่นนี้ได้ แต่ถ้าหากสมคบคิดกับชาวโม่เป่ยล่ะก็…”


เหยียนหลิงจวินไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่มองเขาและยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอย่างกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองเท่านั้น


ทั่วป๋าไหวอันหน้าเปลี่ยนสีทันที เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้าหาเหตุเพิ่มโทษให้ข้า ตอนนี้น้องสาวของข้าก็ถูกพิษยังไม่ได้สติเหมือนกัน พวกเจ้าเป็นหมอ แต่นอกจากจะไม่คิดช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีก เพิ่มโทษไม่ดูตาม้าตาเรือ คิดจะเล่นงานเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทให้ถึงตายเลยรึไง? ตาแก่ เจ้าเจตนาจะทำการใดอีก?”


หมอคังถูกเขาด่าจนโมโห ย้อนถามว่า “ข้าไม่รักษาคนนอกที่มีเจตนาร้ายจนยากที่จะรู้ได้!”


เพียงเอ่ยประโยคนี้ออกไป ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างยากที่จะสังเกตเห็น


“คนนอก!” พลันทั่วป๋าไหวอันก็ยิ้มหยัน และไม่สนใจขนบธรรมเนียมอะไรของซีเยว่อีกต่อไป ลุกขึ้นมาอุ้มทั่วป๋าหรงเหยาไว้แล้วจะเดินออกไปจากห้องอุ่น “ได้ เช่นนั้นคนนอกอย่างพวกเราก็จะไม่อยู่ที่นี่ให้ลำบากอีก ฝ่าบาทจะไม่สนความเป็นตายของเด็กก็ได้ แต่กระหม่อมไม่อาจเมินเฉยต่อความเป็นตายของน้องสาวตนเองได้ เรื่องวันนี้ถือว่าโม่เป่ยเคราะห์ร้ายเอง ขอฝ่าบาทโปรดเปิดทาง พวกกระหม่อมจะออกไปเดี๋ยวนี้!”


เขาออกเดินโดยไม่รอฮ่องเต้รับสั่งด้วยซ้ำ แต่ก็ออกไปไม่ได้ เหล่าองครักษ์กรูกันล้อมเข้ามาโดยพร้อมเพรียง ทวนยาวปิดตายขวางทางที่จะไป!


“อะไรกัน?” ทั่วป๋าไหวอันหันกลับมา นัยน์ตาทอดมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่อย่างเย็นชา ท่าทางไร้ซึ่งการให้เกียรติและความเคารพอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง “ฝ่าบาท นี่เป็นการรังแกแคว้นเล็กอ่อนแออย่างโม่เป่ย คิดจะใช้อำนาจบีบบังคับสกุลทั่วป๋ารึ? กล่าวหาว่าหรงเหยาสมคบคิดกับคนอื่นลอบปลงพระชนม์ แต่วันนี้ฝ่าบาทก็ประทับอยู่ที่นี่ได้ปกติดี กลับเป็นมือสังหารอย่างน้องสาวของกระหม่อมด้วยซ้ำที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจะตายได้ทุกเมื่อ”


พอเขาพูดแบบนี้แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหัวเราะเสียงดัง


หลังจากนั้นก็เลิกคิ้วมองไปที่เหยียนหลิงจวินด้วยสายตาเย็นเยียบ “ข้าว่าหาใช่เจ้ากับหรงเหยาสมคบคิดทำร้ายผู้ใดไม่ แต่ชัดเจนแล้วว่าราชาและขุนนางของพวกเจ้าร่วมมือกัน อยากจะใช้โทษกบฏปราบแคว้นโม่เป่ยให้อยู่หมัด!”


เพียงเอ่ยประโยคนี้ออกไปก็เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นทั้งงาน


————————————————————


บทที่ 84 คนสารเลว! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“ทั่วป๋าไหวอัน เจ้าบังอาจมาก!” ซูหลินเป็นคนแรกที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนตบโต๊ะลุกขึ้นมา “ฝ่าบาทของข้าเป็นผู้มีปรีชาสามารถจะทำพฤติกรรมชั้นต่ำแบบนั้นได้อย่างไร? เจ้ากล้าจาบจ้วงในงานเลี้ยงราชสำนัก ข้าว่ามันก็ชัดเจนแล้วว่าโม่เป่ยแอบคิดคดและมีเจตนาเอาใจออกห่างตั้งนานแล้ว!”


“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็แล้วแต่ว่าเจ้าจะคิดยังไง!” ทั่วป๋าไหวอันเผชิญหน้าและไม่สนใจคำครหาของเขาโดยสิ้นเชิง ยิ้มเยาะว่า “ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเขตของพวกเจ้าชาวซีเยว่ ข้าก็อยู่ที่นี่ จะฆ่าจะแกงก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า!”


“เจ้ามันบ้าระห่ำมาก!” ฉู่อี้อันก็ทนไม่ไหวจนโมโหขึ้นมาเหมือนกัน


ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ข้างๆ คิ้วกระตุก กำลังชั่งใจว่าควรหรือไม่ควรก้าวออกมา ก็เห็นหลี่หลินเดินหน้าซีดเข้ามาจากประตูด้านข้างบานนั้น


ฉู่ฉีเหยียนเลิกสนใจทั่วป๋าไหวอันไปชั่วขณะ รอแค่หลี่หลินเดินมา ทว่าพอกวาดสายตาไปจึงเห็นว่าระหว่างนิ้วมือนั้นอาบไปด้วยสีแดงของเลือดซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวของเขา


“ใช้ดาบรึ?” ฉู่ฉีเหยียนกดเสียงต่ำลงถาม นัยน์ตาทอประกายความโหดเหี้ยมอย่างเบาบาง แตกต่างจากสีหน้าที่อดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านตอนนี้โดยสิ้นเชิง


“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ เจี่ยงลิ่วรับมือยากเกินไป นางคนนั้นออกจากวังไปแล้วขอรับ” หลี่หลินกล่าวอย่างละอายใจ “ไม่รู้ว่าคนด้านนอกจะขวางนางไว้ได้หรือไม่!”


“คงยากแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนตอบเสียงเย็น


เขาอุตส่าห์เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จัดเตรียมให้คนเฝ้าอยู่นอกประตูวังแต่ละด้านตลอดเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงก็เตรียมพร้อมมาเหมือนกัน ข้ามฉู่สวินหยางไปก่อน แค่เจ้าฉู่ฉีเฟิงจอมสอดรู้สอดเห็นไปซะทุกอย่างนั่น ถ้าหากเขาไม่ได้จัดการล่ะก็…


นั่นถึงจะเรียกว่าแปลก!


“ช่างเถอะ!” ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว ฉู่ฉีเหยียนตัดสินใจได้แล้ว “ไปจัดการบาดแผลให้เรียบร้อยก่อน อย่าให้ใครเห็น!”


ในวังเข้มงวดเรื่องการพกพาอาวุธเข้าออก ถึงแม้ตอนนี้เจี่ยงลิ่วจะเป็นคนลงมือ แต่ถ้าต้องสู้กันจริงๆ ฉู่ฉีเฟิงต้องกัดเขาไม่ปล่อยแน่ ถึงตอนนั้นเขาคงได้ไม่คุ้มเสีย


เพราะเป็นช่วงที่ผู้คนแต่ละฝ่ายในตำหนักกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดพอดี การกระทำลับๆ ล่อๆ ของเขาในมุมนี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครเท่าไหร่


หลี่หลินปิดบังอาการบาดเจ็บที่ข้อมือและถอยออกไปอย่างไร้เสียง


ฉู่ฉีเหยียนราวกับกำลังคิดบางอย่าง สายตามองข้ามทั้งท้องพระโรง ก่อนจะกลับมาหยุดที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งฉู่สวินหยางกำลังก้มหน้าดื่มชาหน้าตาเฉยอีกครั้ง


สีหน้าของหญิงสาวสงบนิ่ง ท่าทางราวกับไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เพียงแค่ชายตามองเหยียนหลิงจวินที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในห้องอุ่นจากมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเป็นบางครั้ง


ราวกับนางไม่ได้ตั้งใจเข้าไปยุ่งกับเรื่องคืนนี้ แต่นางส่งชิงหลัวออกไปนอกวังด้วยเหตุใดกัน? ถ้าแค่เพื่อกู้หน้าให้เหยียนหลิงจวิน แทนที่เขาจะวางใจลงบ้าง กลัวแต่ว่า…


ในใจฉู่ฉีเหยียนมีความไม่สบายใจอยู่เลือนราง แต่เขากลับไม่ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับความไม่สบายใจนั้นนานนัก สงบสติอารมณ์ได้ในชั่วพริบตา จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้นมา เข้าไปตบบ่าปลอบทั่วป๋าไหวอันว่า “องค์ชายห้า ท่านร้อนใจเรื่องความปลอดภัยของพระสนมหรงเฟยก็มีเหตุผล ดังนั้นจะเข้าใจผิดไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจะปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ ทำลายมิตรภาพที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากของเราทั้งคู่ จะไม่น่าเสียดายรึ?”


แต่ทั่วป๋าไหวอันกลับหัวเราะเยาะอย่างไม่ไยดี และสะบัดไหล่หลุดจากมือเขา


ฉู่ฉีเหยียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมว่า “ตอนนี้พระสนมหรงเฟยจะเป็นหรือตายยังไม่รู้แน่ชัด ท่านก็จะพานางไปเช่นนี้ จะไม่เป็นการใส่ความฝ่าบาทโดยมิชอบรึ? สถานการณ์เมื่อครู่สับสนอลหม่าน ทุกคนต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท ดังนั้นจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงคำพูดที่รุนแรงเกินไปได้ ขอท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”


เขาพูดไปก็ยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ภายนอกเหมือนไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ที่จริงแล้วแอบใช้แรงตบบ่าทั่วป๋าไหวอัน


สายตาทั่วป๋าไหวอันเข้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับในใจนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่กลับลังเลไม่พูดไม่จาไปชั่วครู่


ทางด้านหมอคังเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครุ่นคิดไปพร้อมกับชำเลืองมองปฏิกิริยาของฮ่องเต้เป็นระยะ แต่กลับเห็นสีหน้าฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและรำคาญใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกใจสั่น พลันนึกขึ้นได้…


ฮ่องเต้เงียบกับเรื่องนี้มาได้พักใหญ่แล้ว


หัวใจหมอคังกระตุกไปทีหนึ่ง แล้วรีบกล่าวว่า “กระหม่อมโง่เขลาเบาปัญญา แต่ไม่ได้มีเจตนาจะสงสัยพระสนมหรงเฟยนะพะยะค่ะ พระสนมเป็นคนของฝ่าบาท จะวางแผนทำร้ายฝ่าบาทได้เชียวหรือ? ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านจงใจบิดเบือนคำพูดของข้า ทั้งยังด่วนสรุปแรงจูงใจของพระสนม หรืออยากจะยุแยงให้เราผิดใจกับโม่เป่ยแล้วเกิดสงครามขึ้นอีกงั้นรึ? ”


ตลอด 2-3 เดือนที่พี่น้องทั่วป๋าไหวอันถูกกักตัวอยู่ในเมืองหลวงนี้ ฝ่าบาทก็ปฏิบัติอย่างสมเกียรติแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เห็นได้ชัดว่าทรงอยากจะเจริญสัมพันธไมตรีกับโม่เป่ย


คนทั้งวังเป็นอย่างไร? เวลานี้พลันกระจ่างในทันที…


หากฮ่องเต้อยากจะลงโทษพี่น้องทั่วป๋าไหวอันจริง ก็ไม่น่าจะเงียบและสงวนท่าทีมานานขนาดนี้


ดังนั้น…


หรือฮ่องเต้ก็ไม่อยากให้คนโม่เป่ยมาพัวพันกับเรื่องนี้? หรือเพียงเพราะมือสังหารดันไปโผล่ที่ตำหนักของหรงเฟยจึงไม่อาจเมินเฉยได้?


ในใจของทุกคนตีกันสับสนวุ่นวาย คนที่ตั้งตัวได้เร็วก็พยายามออกหน้าไกล่เกลี่ยปรับความเข้าใจ


ฮ่องเต้หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเหมือนมีเมฆฝนปกคลุม ไม่ได้จับจ้องไปที่ใครเป็นพิเศษ


ที่นี่วุ่นวายไปชั่วขณะ ต่างคนต่างพยายามหาทางรอดให้ทั่วป๋าไหวอันทุกวิถีทาง ใบหน้าทั่วป๋าไหวอันยังไม่ละความโกรธ แต่ถ้าในสถานการณ์แบบนี้หากเขายังไม่ยอมรับความหวังดีของคนอื่นไว้อีกก็เหมือนบังคับให้ตนเองเดินเข้าสู่ทางตันแล้ว ดังนั้นจึงลำบากใจที่ถูกกล่อมให้กลับมานั่งที่เดิม


เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าสายตามุ่งร้ายนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันไปรวมอยู่ที่เหยียนหลิงจวินทันที


เพราะต้องหาคนมารับผิดชอบเรื่องในวันนี้ ไม่งั้น…


ก็เหลือแค่โม่เป่ย เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบแน่!


“เหยียนหลิงจวิน เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” หมอคังก็ยังไม่ยอมรามือ ยืดตัวตรงแล้วตวาดถามอย่างเดือดดาล “ยาพิษในมือนางคนนั้น เจ้าเป็นคนให้นางใช่หรือไม่?”


“เจ้าว่ายังไงล่ะ?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ รอยยิ้มที่แสนงดงามนั้นทำให้ถึงแม้เขาจะตกอยู่ท่ามกลางสายตาคุกคามมากมายก็ไม่เหมือนกับกำลังจนมุม


เขามองหมอคังและยังคงยิ้มอย่างสบายใจ “ไม่ต้องพูดถึงว่าข้ามีแรงจูงใจที่จะปองร้ายฝ่าบาทแบบนี้หรือไม่ ก็แค่…หากสาวใช้คนนี้สมคบคิดกับข้าหรือได้รับคำสั่งจากข้าจริง ข้าจะต้องแย่งยาถอนพิษจากมือนางมาช่วยชีวิตฝ่าบาทอีกทำไม? มันไม่ขัดแย้งกันรึ? ข้าจะตัดทางหนีของตนเองงั้นหรือ?”


ทางด้านฮ่องเต้ ถึงแม้เต๋อเฟยจะพบเรื่องถูกพิษเร็วโดยบังเอิญ แต่หากเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เกรงว่าตอนนี้คงกลายเป็นศพแข็งทื่อนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว


หมอคังถูกเขาดักทางไว้ได้ แต่ก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว จึงรีบพูดใหม่ทันทีว่า “นั่นเป็นเพราะคนอื่นรู้แผนร้ายของเจ้าเข้า และเพื่อล้างมลทินให้ตนเอง เจ้าจึงจำเป็นต้องทิ้งแผนเดิมที่วางไว้ แล้วส่งสาวใช้คนนี้ไปตายแทน ส่วนตัวเจ้าเองยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทมากยิ่งขึ้นจากความดีความชอบในครั้งนี้ แล้วต่อไปก็จะหาโอกาสลงมือได้สะดวกขึ้น!”


ฟังที่พูดแล้ว ด้านล่างก็มีคนยิ้มขึ้นมา “ท่านหมอคัง อยู่ที่สำนักหมอหลวงไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่งั้นรึ? คิดได้ละเอียดรอบคอบขนาดนี้ น่าจะลองให้ท่านมาเป็นผู้ว่าการศาลต้าหลี่กับศาลาว่าการพระนคร!”


เป็นที่รู้กันดีว่าถึงแม้สำนักหมอหลวงจะเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่กลับเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้มีอำนาจจริง ถึงแม้จะมีเหยียนหลิงจวินซึ่งเป็นขุนนางระดับ 4[1]เป็นผู้รักษาการแทน แต่ในสายตาของขุนนางที่มีอำนาจหน้าที่จริงเหล่านั้น เขาก็เป็นแค่คนนอก


วันนี้ขุนนางชั้นผู้น้อยระดับ 6 อย่างหมอคังกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกลางท้องพระโรง ก็ถือว่าเสียมารยาทแล้ว


คนที่เอ่ยปากหยอกล้อคือฉู่ฉีเฟิง


เพียงเอ่ยออกไป คนมากมายก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา


หมอคังหน้าแดงไปทั้งหน้า แต่กลับไม่รู้พูดอะไรต่อจึงชะงักไปชั่วครู่ ทำได้เพียงกัดฟันหันกลับไปพูดกับเหยียนหลิงจวินอีกว่า “อย่าหาว่าข้าคิดมากไปเลย เป็นตัวเจ้าเองที่มีเบื้องหลังน่าสงสัย ตอนแรกก็สวามิภักดิ์กับจวนรุ่ยอ๋อง แล้วก็เข้ามาสำนักหมอหลวง คนแบบเจ้าใครจะรับประกันได้ว่าไม่ใช่ไส้ศึกที่ศัตรูส่งมาและจงใจวางแผนร้ายเข้าใกล้ฝ่าบาท?”


ในบันทึกข้อมูลของสำนักหมอหลวง ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะมีประวัติส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์ ทว่าสำหรับสามัญชนคนธรรมดาแบบเขาที่อยู่ดีๆ ก็โดดเด่นขึ้นมา…


คนมากมายต่างก็รู้สึกระแวงและสงสัย ถึงแม้ว่าความสงสัยนี้จะไร้ร่องรอยให้สืบหาอย่างสิ้นเชิงก็ตาม


อันที่จริงหมอคังเหมือนได้พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจทุกคนไปแล้ว


“เหลวไหล!” เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันเสียงลมพัดอื้ออึง ของชิ้นหนึ่งที่น่ายำเกรงราวกับเสือฝ่าแสงอาทิตย์ที่แสบตาจากด้านนอกบินเข้าสู่ตำหนักโดยตรง


——————————————————-


 [1] ในสมัยโบราณจีนแบ่งตำแหน่งขุนนางเป็น 9 ระดับ 18 ชั้น โดยขุนนางระดับ 1 ชั้นเอกเป็นขั้นสูงสุดและขุนนางระดับ 9 ชั้นโทเป็นขั้นต่ำสุด


บทที่ 84 คนสารเลว! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

เหล่าองครักษ์ตกใจจนหน้าถอดสี รีบเตรียมพร้อมคุ้มกัน


สิ่งนั้นบินเข้าสู่ท้องพระโรง และกระแทกหน้าผากหมอคังดังโครม ศีรษะของหมอคังถูกกระแทกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กุมหน้าผากร้องอย่างน่าเวทนา


เพียงทุกคนจ้องมองไป ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่กระแทกหน้าผากเขาจะเป็นไม้เท้าหัวนกกระเรียนที่แกะสลักจากกิ่งไม้โบราณอายุนับร้อยปี


ในช่วงเวลาที่ทุกคนจ้องเขม็งไปที่ประตูท้องพระโรงและเคร่งเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่นั้น เหยียนหลิงจวินที่ต่อให้ภูเขาไท่ซานพังทลายลงตรงหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้านก็เขม่นหน้าผาก สีหน้าเป็นทุกข์และลำบากใจ


แต่ดีที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ควบคุมสติได้ดีเป็นพิเศษจึงยังตั้งสติไว้ได้


ทางฝั่งที่นั่งด้านนี้มีแต่ฉู่สวินหยางที่มุมปากยกโค้งขึ้นยิ้มอย่างเยือกเย็น


แต่ฉู่ฉีเหยียนฟังเสียงนี้แล้วสีหน้าก็มืดหม่นไปครึ่งหนึ่ง…


คาดไม่ถึงว่านางคนนั้นจะเชิญเขามาได้ ท่าทางแผนการร้ายในวันนี้คงสำเร็จได้ยากแล้ว


คำพูดของคนๆ นี้ทำให้คนตกตะลึง ตัวยังมาไม่ถึงก็ชิงลงมือก่อนแล้ว อีกทั้งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักกลับไม่มีใครขวางเขา เพราะว่า…


ในมือเขาถือสาส์นสีทองเชิญร่วมงานเลี้ยงราชสำนักในวันนี้


ผู้อาวุโสอายุปูนนี้แล้ว ผมหงอกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงแม้สีหน้ายังดีอยู่ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมจึงยากที่จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่าผู้อื่น ด้วยท่าทางแบบนั้นหากบอกว่าเป็นลุงจวนข้างๆ ยังเหมาะสมกว่า


อายุมากแล้ว หลังของเขาค่อมเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีไม้เท้าก็ยังเดินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงชั่วลมหอบหนึ่งพัดผ่านก็เดินเข้ามาจากนอกตำหนัก


“กระหม่อมเฉินเกิงเหนียน ขออวยพรให้ฝ่าบาททรงพระเจริญ!” หลังจากผู้อาวุโสเข้ามาก็รู้กาลเทศะ คารวะฮ่องเต้ตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อน


ขณะนั้นฮ่องเต้ที่เดิมทีเหนื่อยล้าจนอยากนอนเต็มทีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นยิ้มแล้วตรัสว่า “ท่านหมอบอกว่าแข้งขาไม่ค่อยดี แต่วันนี้ก็เห็นเข้าวังมาได้ไม่ใช่รึ?”


“กระหม่อมอายุเยอะเดินเหินไม่คล่องนัก แต่หูไม่ได้หนวก ตาไม่ได้บอด จึงไม่อาจยอมให้พวกมีตาแต่หามีแววไม่มาสบประมาทคนของกระหม่อมได้” เฉินเกิงเหนียนตอบ แม้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่ได้หวั่นเกรง จ้องหมอคังอย่างโมโหแล้วตวาดถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่าใครเบื้องหลังน่าสงสัย? ว่าใครเป็นไส้ศึก? และว่าใครวางแผนร้าย?”


หน้าผากหมอคังโดนไม้เท้ากระแทกจนหัวโน เวลานี้ยังเวียนศีรษะและตาพร่า


คนอื่นกลับไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว


ใช่แล้ว เฉินเกิงเหนียนเป็นคนแนะนำฝากฝังเหยียนหลิงจวิน เดิมเฉินเกิงเหนียนเคยเป็นหมอที่ตามเสด็จไปกับกองทัพตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นนายพลทหาร ทั้งยังเคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้หลายครั้งในสงครามที่โหดร้ายทารุณ เหยียนหลิงจวินเป็นศิษย์หลานของเขา มีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้ ใครจะกล้าว่าเขามีเบื้องหลังน่าสงสัยอีก?


หลังจากที่ขอลาออกเกษียณอายุไป เฉินเหนียนเกิงก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมานานมากแล้ว แต่ทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงใหญ่โตฮ่องเต้ก็จะให้คนส่งสาส์นไปที่จวนเฉิน เพื่อระลึกถึงบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตไว้ แต่ก่อนผู้อาวุโสมักจะปฏิเสธอย่างที่คาดไว้ ไม่คิดว่าวันนี้จะมาเป็นครั้งแรก ไม่เพียงแต่มาแล้วยังเปิดตัวได้อย่างอลังการด้วย ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน


พอหมอคังเจอเขาก็เหมือนพลังจะลดไปครึ่งหนึ่งเลยทันที เอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่า “ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น พวกเราต่างก็เชื่อใจในตัวท่านหมอเฉิน แต่กับเจ้าเด็กนี่…และยาพิษที่แปลกและหาได้ยากนี้ ที่นี่นอกจากใต้เท้าเหยียนหลิงแล้ว ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะมีความสามารถด้านนี้อีก”


“คนที่มีความสามารถก็เหมารวมว่าเป็นคนเลวที่วางแผนร้ายหมดงั้นรึ?” เฉินเกิงเหนียนด่ากลับ น้ำลายกระเด็นใส่หน้าเขา ไม่สนว่าเป็นงานเลี้ยงราชสำนักและมีคนทั้งวังอยู่ด้วยแม้แต่น้อย ชี้นิ้วแทบจะทิ่มปลายจมูกหมอคัง “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? ตอนที่คนแก่อย่างข้าคอยตามเสด็จรักษาฝ่าบาท ยังไม่รู้ว่าเจ้าไปมุดหัวอ่านตำราแพทย์อยู่ตรงมุมไหนเลย ฝีมือหมอยังไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องคิดให้ร้ายผู้อื่นกลับเก่งไม่น้อย นี่กล้าถึงขั้นทำตามใจชอบกล่าวหาอย่างไร้เหตุผลต่อหน้าพระพักตร์เลยรึ? เป็นหมอ แต่มีความสามารถทำได้แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ข้าล่ะอายแทนเจ้า!”


เฉินเกิงเหนียนอายุมากแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะปากร้ายถึงเพียงนี้ ด่าหมอคังจนหน้าดำหน้าแดง ไร้แรงตอบกลับโดยสิ้นเชิง


จนสุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไรดี หมอคังจึงหันไปคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาเอ่ยเสียงดังว่า “ขอฝ่าบาทและฮองเฮาโปรดพิจารณา กระหม่อมเพียงแค่ว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายผู้ใด อีกอย่าง…เอ่อ…เอ่อ…”


ระหว่างที่เขาพูด ในใจก็ยิ่งเรียกร้องหาความเป็นธรรม หันกลับไปชี้สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างกายทั่วป๋าหรงเหยาว่า “ที่กระหม่อมคาดการณ์เช่นนั้น ก็เป็นไปตามคำให้การของสาวใช้คนนี้ทั้งหมด ฝ่าบาท ฮองเฮา กระหม่อมถูกปรักปรำพ่ะย่ะค่ะ!”


“พวกเจ้าบอกว่าคนของข้าจะวางยาฝ่าบาทรึ?” เฉินเกิงเหนียนกลับไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัส พุ่งไปดึงคอเสื้อเขาไว้แน่นและลากตัวเขาขึ้นมา หมอคังไม่ทันได้ป้องกันตัวสักนิดก็ถูกเขาลากตัวเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้องอุ่น และลากตัวเดินเหมือนลิงไปเกือบรอบตำหนักทอง


เฉินเกิงเหนียนชี้ไปที่ผู้คนรอบด้านอย่างเดือดดาล พร้อมกับตวาดจนน้ำลายกระเด็นว่า “ดูเอาไว้ให้ดี ให้ท่านอ๋องและใต้เท้าทุกท่านเป็นพยาน เจ้าก็ลองถามทุกคนดูสิ หากใจของเราสองปู่หลานคิดคดต่อฝ่าบาทจริง จำเป็นต้องรอให้ถึงวันนี้ด้วยรึ? จำเป็นต้องใช้กลอุบายที่มีช่องโหว่มากมายแบบนี้ล่อให้มาที่นี่ด้วยรึ? นี่คงเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในใต้หล้า!”


ฮ่องเต้มีนิสัยขี้ระแวง ถึงได้ไม่ไว้ใจสำนักหมอหลวงทั้งหมด หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะป่วยหนักหรือป่วยเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ให้เฉินเกิงเหนียนรักษาอยู่แต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากเฉินเกิงเหนียนคิดไม่ซื่อจริง ต่อให้ตอนนี้ฮ่องเต้มีร้อยชีวิตก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยแล้ว


ทุกคนต่างก็รู้แก่ใจดี และไม่มีใครยอมร่วมมือทำเรื่องชั่ว ต่างคนต่างปิดปากไอและหลบสายตา


“ท่านหมอเฉิน พวกเราต่างนับถือท่านเป็นเสาหลักของสำนักหมอหลวง แต่ท่านก็อย่าได้ทะนงตนไป ก่อกวนสร้างความวุ่นวาย!” หมอคังถูกเขาลากจนเดินเซไม่หยุด จนยากที่จะหลุดพ้นจากมือเขาได้ มัวแต่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยเสียงดังด้วยสีหน้าโกรธแค้นว่า “เรื่องของใครก็คือเรื่องของคนนั้น ความจริงใจที่ท่านมีต่อฝ่าบาทเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพวกเราทุกคน ไม่เคยมีใครคิดสงสัยเลย แต่คนที่พวกเราพูดถึงวันนี้คือเหยียนหลิงจวิน!”


“ถุย!” เฉินเกิงเหนียนไม่รอให้เขาพูดจบ พลันถ่มน้ำลายใส่เต็มหน้าหมอคังต่อหน้าธารกำนัล


ครั้งนี้ทำเอาทุกคนนิ่งอึ้งไปเลยจริงๆ ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใดทันที


เบื้องหน้าพระพักตร์ ถึงแม้ว่าการกระทำนี้จะไม่ได้ทำกับฮ่องเต้ แต่ก็ถูกมองว่าไม่ให้ความเคารพต่อเบื้องสูง


เฉินเกิงเหนียนคนนี้กล่าวกันว่าติดนิสัยที่ถือตัวว่าเก่งกว่าคนอื่นจากอาจารย์มานิดหน่อย ค่อนข้างหยิ่งยโสในความสามารถของตนเอง อีกทั้งในปีที่เกิดความวุ่นวายจากสงครามนั้นยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้หลายครั้ง จึงได้ปูนบำเหน็จจากฮ่องเต้เป็นพิเศษ เมื่อก่อนถือว่าเป็นบุคคลที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่สำนักหมอหลวง


เวลานี้เขาได้ขอเกษียณอายุพักผ่อนอยู่บ้านแล้ว ไม่คิดว่าไม่เจอกันไม่กี่ปี นิสัยกลับแย่ลงกว่าเดิม


หมอคังก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสในสำนักหมอหลวง เคยโดนเหยียดหยามต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้เมื่อไหร่? ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าอย่างรวดเร็ว หน้าแดงจนเหมือนเลือดจะออก อยากร้องไห้ต่อหน้าทุกคนใจจะขาด


เฉินเกิงเหนียนกลับยังไม่ยอมเลิกรา ชี้จมูกด่าเขาอย่างรุนแรงอีก “เจ้ามันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงรนหาที่ตาย! เหยียนหลิงจวินอะไร? ชื่อสามตัวอักษรนี้เจ้าเรียกได้งั้นรึ? แย่ที่สุด เรียกใต้เท้าเหยียนหลิงสักคำก็คงไม่ถือว่าเสียศักดิ์ศรีเจ้าหรอก! งานเลี้ยงราชสำนักในวันนี้ เจ้าไม่ให้ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าฝ่าบาท ฮองเฮา และขุนนางทั้งวังรึ? คังเสวียอี้ จิตใจที่ชั่วร้ายของเจ้านั้น คนอื่นไม่รู้ แต่ข้ามองเห็นอย่างชัดเจน เจ้าก็แค่ไม่พอใจที่เหยียนหลิงอายุยังน้อยก็ได้ตำแหน่งขุนนางแซงหน้าเจ้าไปแล้วใช่หรือไม่? พยายามทุกวิถีทางที่จะใส่ร้ายป้ายสี คิดเพ้อเจ้อว่ากำจัดเขาไปได้แล้วตนเองก็จะได้ตำแหน่งสูงขึ้นรึ? ดีที่เจ้ายังคุยโวโอ้อวดได้อย่างไม่ละอายใจแบบนี้ เจ้ามันหน้าไม่อาย แต่ข้าอายแทนเจ้าแทบแย่!”


ความในใจของหมอคังถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว


“เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ถึงแม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้นจริง แต่ไม่ว่ายังไงก็จะยอมรับต่อหน้าคนมากมายไม่ได้ แต่หมอเฉินผู้นี้เป็นนักพูดที่ฉลาดและวาจาคมคาย ยังไงก็เถียงไม่ชนะเขา จึงลนลานหันไปคารวะทางห้องอุ่นที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ความพ่ะย่ะค่ะ วันนี้กระหม่อมเพียงว่าไปตามสถานการณ์ พระสนมหรงเฟยเคยแต่ติดต่อกับใต้เท้าเหยียนหลิงเท่านั้น แต่กระหม่อมไม่ได้เป็นคนพูดนะพ่ะย่ะค่ะ!”


เฉินเกิงเหนียนกำลังจะพูด กลับได้ยินเสียงคนกระแอมขึ้นมาเดี๋ยวนั้น


ทุกคนมองไปตามเสียง กลับเป็นฉู่อี้เจี่ยนอมยิ้มและมีเด็กรับใช้ที่คอยติดตามอย่างใกล้ชิดประคองแขนข้างหนึ่งลุกขึ้นเดินออกมาจากที่นั่งอย่างเชื่องช้า


เขาเดินทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าขาจะยังเดินได้ไม่คล่องจนต้องให้เด็กรับใช้คอยช่วยพยุงแขนข้างหนึ่ง แต่เขาก็กลับมายืนได้แล้วจริงๆ


————————————————————————


บทที่ 85 จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? (1)


ฮ่องเต้ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นกริ้วโกรธฉับพลัน


ขุนนางคนอื่นๆ มีสีหน้าหลากอารมณ์ราวกับว่ามีศัตรูบุกเข้ามา


ที่ผ่านมาคาถาเวทมนตร์เป็นสิ่งต้องห้ามในราชวัง เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่ายาพิษที่จับต้องได้เสียอีก


โดยเฉพาะในบรรดานางสนมที่อยู่ในห้องอุ่นต่างตระหนกใบหน้าซีดเซียว ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย


บริเวณท้องพระโรงเงียบสงัดลง กระทั่งเข็มหล่นยังได้เสียงคมชัด


ฮ่องเต้ใช้มือข้างหนึ่งค้ำใบหน้าด้านข้างนิ่งเงียบ ไม่นานก็พูดพึมพำราวกึ่งหลับกึ่งตื่นว่า “เจ้าบอกว่าผีสิงหรงเฟยอย่างนั้นรึ?”


โทนเสียงต่ำ กระทั่งเสียงยังแหบแห้งเหมือนไม่มีพละกำลัง


หลัวฮองเฮาใจเต้นแรงรีบลุกจากที่ประทับคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้พูดว่า “เพราะหม่อมฉันปกครองวังหลังไม่เคร่งครัด บริหารควบคุมไม่รอบคอบ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเพคะ”


พูดด้วยสายตาเฉียบคมและพูดกับแม่นมเหลียงด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “แม่นมเหลียง เจ้ายังไม่รีบไปตรวจสอบอีก เจ้าไปตรวจสอบว่าผู้ใดที่กล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้!”


ตอนที่ฮองเฮาพูดจบ ไม่เพียงแค่นาง เหล่านางสนมปิงเฟยที่นั่งอยู่ในนั้นต่างยินดี


ดีที่ผู้ที่รับเคราะห์คือหรงเฟย ถ้าไม่ระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ให้ดี…


ผลที่ตามมาก็คือหายนะ


ส่วนผู้ที่นั่งอยู่เต็มท้องพระโรง รวมถึงผู้ที่ไร้ความปรานีอย่างองค์ชายสี่ฉู่อี้ชิงก็ปิดปากเงียบ สายตามองต่ำและเก็บซ่อนความเกลียดชัง


หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม เหตุฉะนี้อาจทำให้ฮ่องเต้สงสัยในตัวเขามากขึ้น?


 แท้จริงคือ…


เขามีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้


คิดได้ดังนั้นฉู่อี้ชิงก็เหงื่อไหลท่วมตัว


ส่วนแม่นมเหลียงได้รับคำสั่งจากฮองเฮาหลัวแต่ไม่กล้ารีบลงมือจัดการ ได้แค่ก้มหัวต่ำเหลือบตามองปฏิกิริยาของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง


ฮ่องเต้พิงที่ประทับ มือวางบนหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด


ทั้งท้องพระโรงมีแต่ความเงียบสงัด


ในที่สุดฉู่อี้อันก็จัดการกับอาภรณ์ที่สวมใส่แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับคำนับแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถป้องกันได้ ถือเสียว่ามีผู้ฝืนกฎต้องห้ามแต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเสด็จแม่ อีกทั้งพระราชวังกว้างขวาง การที่จะตามหาสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นด้วยตาเช่นนี้แล้วเกรงว่าจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง กระหม่อมคิดว่าเรียกโหรหลวงมาสอบถามเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”


ถึงแม้ว่าโหรหลวงจะไม่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์คาถา แต่สามารถใช้เหตุและผลทำนายโชคชะตาได้เป็นอย่างดี ดีกว่าหาผู้ที่ไม่มีความชำนาญ…..


ฮ่องเต้ตรองอยู่ครู่หนึ่งและพยักศีรษะเล็กน้อย “อืม หลี่รุ่ยเสียง!”


“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับบัญชา ออกไปเชิญด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานก็นำผู้บัญชาการหยางเฉิงประจำสำนักหอดูดาวเข้ามายังท้องพระโรง


ระหว่างที่ผู้บัญชาการหยางเฉิงคารวะฮ่องเต้ ดวงตาของฉู่ฉีเหยียนก็มองแคบลง สายตาที่เฉียบคมจ้องมองไปยังฉู่สวินหยาง


ทันใดนั้นทั่วป๋าหรงเหยาก็เป็นลมล้มพับลงไป หรือเป็นเพราะฝีมือของเด็กบ้านี่?


เวทมนตร์คาถาไม่สามารถต้านทานได้ ถ้านางจะคิดการร้าย เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครคิดจะลองดีก็จะต้อง ‘ตาย’ สถานเดียว


นี่ช่างเป็นกลอุบายที่โหดร้ายเสียจริง!


แต่นี่เป็นวังหลัง ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนแล้วแต่เข้มงวด เด็กคนนี้มีความสามารถถึงขนาดทำเรื่องชั่วร้ายในพระราชวังได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ?


แม้ว่าฉู่ฉีเหยียนจะไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในใจที่กังวลร้อนรุ่มแขวนอยู่กลางเวหา ในฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ


แต่เพราะสายตาพิฆาตแรงกล้าที่กำลังจ้องมองของเขาทำให้สวินหยางรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นทันที


แท้ที่จริงแล้วฉู่ฉีเหยียนคาดเดาถูกเหมือนกัน ถึงตอนนี้นางยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ที่จะทำเรื่องร้ายในพระราชวัง อีกอย่าง…


เวทมนตร์คาถา นางคงไม่กล้าที่จะลองดี


เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใช่นางหรือไม่ เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเหยียนหลิงจวินก็เป็นได้


หากเป็นฝีมือของเหยียนหลิงจวิน ฉู่ฉีเหยียนจะต้องเอาเรื่องนี้ไปคิดบัญชีกับเขาเป็นแน่ นางคงไม่ทำอะไรไม่ได้


ดังนั้นนางจึงยังไม่หลบลี้ จึงทำได้เพียงมองดูความเคลื่อนไหวอย่างใจเย็น


เฉินคังเหนียนตรวจจับชีพจรหรงเฟย จากนั้นก็ถอยหลังไปยืนอยู่ข้างเหยียนหลิงจวินยืนนิ่งสังเกตการเปลี่ยนแปลง


หยางเฉิงหยิบเข็มทิศขึ้นมาชี้ไปด้านหน้าและก้าวไปข้างหน้าสำรวจรอบตัวหรงเฟยชั่วขณะหนึ่ง ฮ่องเต้สีหน้าหมองหม่น จ้องมองการกระทำของหยางเฉิงทุกฝีก้าว


หลังจากที่คำนวณทั้งสี่ทิศแปดตำแหน่งแล้ว เขาก็เก็บเข็มทิศนั้นและคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท


วังหลังเกิดเรื่อง หลัวฮองเฮาเป็นกังวลเพราะมีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม “เป็นอย่างไรบ้าง หรงเฟยถูกเวทมนตร์สะกดจริงหรือไม่?”


“ทูลฮ่องเต้ ฮองเฮา หรงเฟยได้รับผลจากการถูกพลังลี้ลับ แต่กระหม่อมกลับคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เวทมนตร์แต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงทูล


 ตั้งแต่มีการรวมแคว้นซีเยว่เจี่ยน หยางเฉิงรับหน้าที่ดูแลสำนักหอดูดาวตลอดมา เขามีพลังเหนือธรรมชาติ ทำนายโชคชะตา มีความรอบรู้ในการสังเกตปรากฎการณ์บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเกิดเหตุใด เพียงแค่เขาคำนวณก็สามารถหาฤกษ์งามของพิธีการต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ


หยางเฉิงกล่าวเช่นนี้ออกมา ผู้คนในท้องพระโรงต่างโล่งอก แม้กระทั่งฮ่องเต้ที่ไม่ปิดบังความรู้สึกก็เผยท่าทางโล่งใจอย่างเปิดเผย


ในกรณีลงโทษผู้ทำมนตร์ดำจะต้องมีการตรวจสอบและได้รับการลงโทษอย่างสาสม


จากนั้นความคิดที่ผ่อนคลายผุดขึ้นมาทันใด สีหน้าของฮ่องเต้ก็พลันสง่าผ่าเผยขึ้นมา


ฮ่องเต้ขมวดคิ้วจ้องมองทั่วป๋าหรงเหยาที่สลบไสลไม่ได้สติแล้วตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดหรงเฟยจึงสลบไสลเป็นเพราะเหตุใดกันแน่?”


“ทูลฝ่าบาท พระสนมดวงไม่สอดคล้อง ได้รับการปะทะกัน” หยางเฉิงกล่าว


รอยย่นบนคิ้วยิ่งปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มองทั่วป๋าหรงเหยาอย่างฉงน


หลัวฮองเฮาเองก็ข้องใจ “หากดวงเกิดการปะทะ ก็น่าจะมีอาการปรากฏ จะเป็นไปได้อย่างไรว่าจะเกิดอันตรายร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน?”


หยางเฉิงกล่าวต่ออีกว่า “พระสนมเกิดอาการช่วงบ่ายพอดี ปกติแล้วธาตุหยินอ่อนแอ  และยังทรงกำลังตั้งครรภ์ทำให้คนกลั่นแกล้งพระนางได้ง่าย กระหม่อมได้ยินมาว่าช่วงนี้พระสนมสุขภาพจิตไม่ค่อยดีมาโดยตลอด หากกระหม่อมเดาไม่ผิดผู้ที่มีดวงปะทะกับพระสนมน่าจะอยู่ในท้องพระโรง เมื่อก่อนอยู่ไกลจากพระสนมจึงไม่มีอันตราย วันนี้ดวงปะทะอย่างจังทำให้พระวรกายพระสนมต้านทานไม่ไหวพ่ะย่ะค่ะ”


ทันทีที่พูดจบ ทั้งท้องพระโรงเกิดความโกลาหลอีกครั้ง ทุกคนถอนหายใจอีกทั้งเสียงซุบซิบ ทุกคนต่างขนลุกวาบ


ทว่านี่คือสิ่งที่หยางเฉิงประจักษ์พยานว่าดาวทุกข์ที่มีต่อหรงเฟย จะทำให้ฮ่องเต้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ จะไม่สามารถรับประกันอาชีพการงาน หญิงผู้นั้น ในภายหลังจะถูกผู้คนกีดกัน ทั้งชีวิตจบสิ้น


เรื่องที่หยางเฉิงพูดฮ่องเต้ไม่ทรงสงสัย เพียงแค่คิดเล็กน้อยและมองไปรอบๆ ท้องพระโรงแล้วตรัสว่า “เจ้าพูดว่ามันอยู่ในท้องพระโรงขณะนี้รึ?”


“แปดเก้าส่วนคือความจริงพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงกล่าว


“พูดมาว่ามันเป็นใคร!” ฮ่องเต้ทรงสั่ง


ทุกคนต่างหยุดหายใจชั่วขณะ


หยางเฉิงรู้สึกลำบากใจและพูดด้วยความกังวลว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ เกรงว่าไม่สามารถที่จะชี้ตัวให้เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ ฝ่าบาทจะสามารถรับสั่งให้ขุนนางที่อยู่ที่แห่งนี้เขียนวันเกิดที่ถูกต้องจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดนี้กระหม่อมจะทำการเปรียบเทียบตรวจสอบแต่ละคน แสดงให้เห็นว่าที่กระหม่อมพูดไปไม่เป็นการพูดโป้ปด และใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์”


ฮ่องเต้ทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นหรงเฟยเล่า? นางจะยังมีชีวิตรอดหรือไม่?”


“ไม่มีผลกระทบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงตอบ “เพียงแต่ช่วงนี้จะต้องดูแลพระวรกายของพระสนมให้ดี และอย่าได้รับสิ่งกระตุ้นใดๆ อีก”


ฮ่องเต้ได้ยินคำนี้แล้วก็โล่งอกและไม่ลังอีกต่อไป ทรงมีราชโองการ “หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่ง เตรียมพู่กันและหมึกบัดเดี๋ยวนี้”


“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำสั่ง ไม่นานบรรดาข้าทาสบริวารก็เดินเรียงแถวเข้ามาพร้อมกับนำหมึกพู่กันส่งมอบทุกโต๊ะ


ทุกคนเป็นกังวลที่จะต้องเขียนอักษรวันเกิดของตน ส่วนหลัวฮองเฮาออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ประคองตัวหรงเฟยออกไป


พระนางทรงชำเลืองตามองใบหน้าเฉินเกิงเหนียนและเหยียนหลิงจวิน แล้วก็มองผ่านไป


เฉินเกิงเหนียนจงใจแกล้งทำเป็นก้าวเท้าครึ่งก้าวยืนอยู่หน้าเหยียนหลิงจวิน ท่าทีราวกับต้องการปกป้องเขา


หลัวฮองเฮาไม่พอใจนัก ถอนหายใจแล้วชี้ไปยังใต้เท้าหลี่กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้จับชีพจรหรงเฟยเจ้าก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เพื่อป้องการความผิดพลาด”


“รับพระบัญชา!” ใต้เท้าหลี่ถวายความเคารพแล้วรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว


เหล่าขุนนางต่างเขียนวันเกิดแล้วนำไปวางไว้ในกล่องไม้เล็ก


ฮ่องเต้มองเล็กน้อยแล้วตรัสกับหยางเฉิงว่า “เจ้านำไปเถอะ แล้วรีบแจ้งข่าวกับเราโดยเร็ว!”


“กระหม่อมรับพระบัญชา” หยางเฉิงรับพระบัญชาและคำนับ จากนั้นก็ถอยไปจัดการ


ที่นี่ถูกก่อกวนทำให้งานเลี้ยงล่าช้าไปกว่าหนึ่งชั่วโมง


หลัวฮองเฮาเห็นว่าในท้องพระโรงอาหารบนโต๊ะจืดชืด จึงทูลว่า “ฝ่าบาท ทรงทอดพระเนตรงานเลี้ยง…”


“พูดต่อสิ!”


หลี่ลุ่ยเสียงรีบเรียกบ่าวรับใช้นำอาหารสุรามาเปลี่ยน


ศพของนางในหรงเอียนก็ถูกลากลงมา โต๊ะสำรับของทั่วป๋าหรงเหยาก็ถูกเก็บออกไป แม้ว่าจะยังหาตัวผู้ลอบวางยาฮองเต้ไม่พบ ฮองเฮากลับดูปกติเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และไม่ทรงตรัสสิ่งใดอีก


ฉู่ฉีเหยียนขยิบตาเล็กน้อย และส่งสายตาที่มีความหมายแอบแฝงไปยังฉู่อี้หมิน


————————————————————————


บทที่ 85 จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่อี้หมินรินเหล้าหวังดื่มเพื่อกลบความตระหนก ทันใดนั้นคิดขึ้นมาได้จึงวางจอกเหล้าลง แล้วลุกขึ้นคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องของพระสนมหรงเฟย ทำให้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยได้รับความเดือดร้อน ตอนนี้ในเมื่อสอบสวนแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด ขอเสด็จพ่อทรงปูนบำเหน็จและลงโทษผู้กระทำผิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ หรือว่า….”


สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทั่วป๋าไหวอันอับอาย เขาเกือบถูกฮ่องเต้สั่งให้ถูกจองจำ การปลอบใจครั้งนี้สมควรที่จะได้รับ


ฮ่องเต้ยิ้มมุมปากและค่อยๆ ตรัสว่า “นี่เป็นสิ่งสมควร”


ขณะที่พูดก็มองไปที่ทั่วป๋าไหวอันและตรัสถาม “เรื่องเมื่อครู่ทำให้เจ้าเดือดร้อน บอกมาว่าเจ้าประสงค์สิ่งใด เราจะสนองคืนเจ้า!”


“กระหม่อมมิกล้า!” ทั่วป๋าไหวอันพูดแล้วรีบลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ


เพลานี้เขาไม่สามารถต่อรองกับฮ่องเต้ได้


ฉู่อี้หมินถอนหายใจโล่งอก และกำลังจะพูดอีกครั้ง ฉู่อี้อันที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพลางพูดว่า “องค์ชายห้าเป็นเพียงผู้น้อย เสด็จพ่อทรงตรัสถามต่อหน้าสาธารณชน เขาคงไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก? ในทางตรงกันข้ามอาจทำให้คนรู้สึกว่าเสด็จพ่อไม่พอพระทัย! เหตุใดจะต้องรีบร้อน รอหลังงานเลี้ยงจบลงค่อยถามยังมิสายพ่ะย่ะค่ะ”


ทั่วป๋าไหวอันและฉู่ฉีเหยียนมีจุดประสงค์เดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีกลอุบาย ฉู่อี้หมินต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ทวงบุญคุณรึ? อย่าแม้แต่จะคิด!


ภายในใจของฮ่องเต้ลึกๆ มิได้ปิติยินดี เมื่อฟังจบก็เพียงพยักหน้า และตรัสกับทั่วป๋าไหวอันว่า “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าลองกลับไปคิดดูว่าต้องการสิ่งใดตอบแทนหากมิเกินประสงค์เราให้เจ้าได้ทั้งนั้น!”


ผู้อื่นหากประสงค์สิ่งใดจักได้ในบางเรื่อง แต่ทั่วป๋าไหวอันเอ่ยปากเมื่อใดจะต้องไตร่ตรองก่อน


คำพูดท้ายของฉู่อี้หมินถูกห้ามมิให้พูด สีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในท้องพระโรงแห่งนี้ อีกฝ่ายก็เป็นทั้งพี่ชายที่แท้จริงทั้งยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็มีน้ำหนักมากกว่า เขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงเออออพูดสองสามคำแล้วนั่งลง


ท่านชายรุ่ยเงยหน้า ทุกคนต่างยกจอกเหล้าแล้วดื่มแสดงความเคารพ จากนั้นเรื่องเมื่อครู่ก็ถูกตัดบทไป


ต่อมาฉู่อี้เจี่ยนยกจอกเหล้าแต่กลับไม่ได้นั่งลงทันที ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยได้รับความเดือดร้อนจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมิได้ให้รางวัลฝ่ายเดียวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเหยียนรีบไปช่วยเหลือพระองค์ ภายหลังถูกกล่าวหา ผู้บริสุทธิ์กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝ่าบาททรงพิจารณา ขอทรงให้ความเป็นธรรมเสมอภาคด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


“เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ สองปีที่ไม่ได้เจอ การทดแทนบุญคุณจะต้องมาขอต่อหน้าเรา!” ฮ่องเต้หัวเราะอารมณ์ดีและทอดพระเนตรมองไปที่ขาสองข้างของเขาที่ยืนมั่นคง แววตาสั่นไหวมีความรู้สึกเห็นใจตรัสว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิงมีความสามารถเก่งกาจเสียจริง”


ขาของฉู่อี้เจี่ยนพิการหลายปี กระทั่งเฉินเกิงเหนียนยังหมดหนทางรับมือ บัดนี้เขาได้ลุกขึ้นยืนต่อหน้าสาธารณะชนแล้ว


แม้ว่าแต่ก่อนหลายคนคิดว่าเหยียนหลิงจวินพึ่งโชคชะตามาโดยตลอด พอถึงวันนี้กลับทำให้ผู้คนมองเขาในแง่ดี


ฮ่องเต้ไตร่ตรองสักพักแล้วมองไปยังหลี่รุ่ยเสียงตรัสว่า “หลิวเหยียนประจำสำนักหมอหลวงสองวันก่อนเคยยื่นลาออกมิใช่รึ? พรุ่งนี้ก็รีบอนุมัติซะ บอกว่าเราอนุญาตแล้ว! แล้วค่อยประกาศราชโองการ ให้เขาดำรงตำแหน่งแทน ถือเสียว่าเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ!”


ใต้เท้าหลิวกลับบ้านเพื่อไปดูแลรักษามารดาที่กำลังป่วย เขาไม่ต้องการให้มารดาที่แก่ชราป่วยหนัก จากนั้นไม่นานมารดาได้จากโลกนี้ไป ฮ่องเต้ทรงไม่อยากให้เขาไว้อาลัย แล้วรีบกลับมาถวายงานอีกครั้ง ถือโอกาสนี้พายเรือตามน้ำ     ภายในหนึ่งปีอายุเพียงสิบเก้า เขากลับรวยมหาศาล ตำแหน่งรองผู้ช่วยแพทย์ของเด็กหนุ่มทำให้คนจำนวนมากอิจฉาริษยา จนบัดนี้ระยะเวลาเพียงแค่สามเดือน ได้รับตำแหน่งพระราชทานจากฮ่องเต้ได้นั่งเก้าอี้สำนักหมอหลวง!


บรรดาหมออาวุโสสำนักหมอหลวงที่ไต่เต้านับปีต่างอิจฉาตาร้อน แต่เมื่อเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ “เขาสมควรได้รับเกียรตินี้” ใครก็มิอาจขัด


เหยียนหลิงจวินไม่ปฏิเสธ ยอมรับตำแหน่งไม่อ้อมค้อม


ในมือซูหลินถือจอกทองเทเหล้าเข้าปาก สายตาอำมหิตจ้องมองเงาบุรุษที่รวยล้นฟ้า นัยน์ตาเปล่งประกายราวคมมีด กัดฟันพูดว่า “ช่างโอหังนัก!”


ส่วนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซูหว่านอี้แววตามืดมนกลอกตา มองไปยังสวินหยางแต่ไม่สามารถเดาว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่


บางทีซูหลินอาจจะยังไม่รู้ ดูออกชัดเจนว่าฉู่หลิงอวิ้นเป็นปรปักษ์กับฉู่สวินหยาง เหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากตัวเหยียนหลิงจวิน เขาได้ก้าวข้ามเมฆอีกขั้นเช่นนี้ หากฉู่หลิงอวิ้นรู้ข่าวเช่นนั้นแล้วคงเกลียดนางเข้ากระดูกดำ


จิตใจนางว้าวุ่นปั่นป่วน เร่งรีบวางอุบาย


ในห้องอุ่น ฮ่องเต้และเฉินเกิงเหนียนพูดทักทายขึ้นมา “นานทีเจ้าจะเข้าวัง ในเมื่อมาแล้วก็ร่วมดื่มสักจอกเถิด!”


“เป็นพระมหากรุณายิ่ง หม่อมฉันจะขัดพระประสงค์ได้อย่างไร?” เฉินเกิงเหนียนพูด เปลี่ยนจากเมื่อครู่ที่อารมณ์ดุร้ายแล้วคำนับ


ฮ่องเต้จ้องมองเขา จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยมิได้ ยกพระหัตถ์บอกหลี่รุ่ยเสียง “นำโต๊ะมาเพิ่ม!”


“มิต้องๆ” เฉินเกิงเหนียนโบกมือไปมา ยิ้มพลางพูดว่า “มิกล้ารบกวนผู้บัญชาการ ชายชราผู้โดดเดี่ยวเยี่ยงข้าใช้พื้นที่ไม่มากหรอก ข้ากับเหยียนเฉิงเสี่ยวจื่อเบียดกันนั่งก็ได้ มิกล้ารบกวน มิกล้ารบกวน ฮ่าๆ!”


เหยียนหลิงจวินได้ยินแล้วก็ยักคิ้วตกใจ


ฮ่องเต้ไม่มีแรงที่จะสนใจเรื่องพวกนี้จึงโบกมืออย่างเหนื่อยล้า


เฉินเกิงเหนียนดีใจดึงแขนเสื้อเหยียนหลิงจวินแล้วออกจากห้องอุ่น ถอยกลับมาตำแหน่งที่นั่งของเขาด้านนอก


เพราะเป็นงานเลี้ยงแคว้นจึงไม่มีใครกล้าแสดงความยินดีกับเหยียนหลิงจวินที่ได้เลื่อนตำแหน่ง มีเพียงสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองดู กำลังตรวจสอบ ความอิจฉาริษยา หรือแม้กระทั่งชื่นชม…


ในใจเหยียนหลิงจวินไม่ยินดียินร้าย พยายามปกปิดความรู้สึก เก็บซ่อนสีหน้าแสร้งยิ้ม รินเหล้าส่งให้เฉินเกิงเหนียนพูดว่า “ท่านอาจารย์ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อย ดื่มขจัดความเหนื่อยล้าก่อนเถอะ!”


ใบหน้ายิ้มแย้ม เบื้องหน้าของเฉินเกิงเหนียนเต็มไปด้วยสีหน้าที่เจ้าเล่ห์ราวเด็กน้อย


เฉินเกิงเหนียนไม่สนใจ เอามือลูบเครา แล้วดื่มเหล้า จากนั้นยกมือตบเข้าไปที่หัวเขาไปหนึ่งที ด่าว่า “เจ้าเด็กบ้านี่จะทำให้ข้าเดือดร้อน!”


ชายชราที่ไม่คำนึงถึงกาลเทศะทำตามใจชอบ


สีหน้าของเหยียนหลิงจวินที่เก็บซ่อนความรู้สึกมาตลอดก็ถูกเผยออกมา แต่ดีที่เขาเตรียมการไว้แล้ว เขาไม่ปริปากพูด ทำเพียงเอนหลังพิง จอกเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา ยื่นมาอยู่บนมือของเฉินเกิงเหนียนที่กำลังจะตบหัวเขาพอดี


เฉินเกิงเหนียนผู้ชื่นชอบดื่มเหล้า โดยเฉพาะเหล้าฉงเจียงที่เก็บรักษาไว้ในพระราชวังกว่าร้อยปี ทำให้เขาไม่สามารถอดใจได้ จากนั้นรับโถเหล้ามา สูดกลิ่นส่ายหัวสรรเสริญไม่หยุด ลืมเรื่องที่กำลังจะตบหัวไปโดยปริยาย


เหยียนหลิงจวินรินเหล้าให้หนึ่งจอกแล้วค่อยๆ พูด “ความจริงแล้วข้าไม่ได้คิดจะรบกวนท่าน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้ารับมือไหว”


ภูมิหลังของทั่วป๋าหรงเหยาช่างซับซ้อน เขาคิดหาวิธีป้องกันไว้นานแล้ว จะให้คนไปหลอกใช้หญิงผู้นั้นไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่อาจจะต้องยุ่งยากสักหน่อย!


“เอาอีกสิ เจ้าเอาอีกสิ” เฉินเกิงเหนียนได้ยินตาจ้องเขม็ง ด่าว่า “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตก็ไม่บอกให้ข้ารู้ล่วงหน้าสักคำ ข้าอุตส่าห์ปฏิบัติต่อมารดาเจ้าเหมือนลูกสาวแท้ๆ จะต้องให้เจ้าทำตัวดีๆ มิเช่นนั้นวันข้างหน้าเจ้าจะให้ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบนาง?”


ท่าทางเขาขึงตา ดูเหมือนเคร่งครัดจริงจัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ดูแล้วกลับทำให้รู้สึกตลกขบขันยิ่งนัก


“ถ้าท่านอาจารย์ได้ยินคำนี้ ต้องเกิดเรื่องแน่?” เหยียนหลิงจวินอดหัวเราะไม่ได้ ขยิบตาให้ “เขาให้ความสำคัญลำดับรุ่นเสมอ!”


เมื่อปีนั้นมารดาแต่งเข้าจวนช้า เขาจึงอายุห่างกันกับเฉินเกิงเหนียนยี่สิบปี ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาว แต่เฉินเกิงเหนียนปฏิบัติต่อเธอเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง


เฉินเกิงเหนียนเฒ่าผู้นี้อารมณ์ร้อนรุนแรง แต่เขากลับเคารพนับถืออาจารย์เขาเป็นอย่างมาก หรือพูดได้ว่าเกรงกลัวอาจารย์มาก


ได้ยินแล้วก็เสียงแหบ ไม่ได้พูดแต่ท่าทางไม่พอใจ “เจ้าจะต้องมีความกตัญญูเช่นนั้นจริง อยู่กับเขานานสองปีคงเก่งกาจ ตอนนี้มีอย่างที่ไหนกันเล่า มัวแต่สร้างความเดือดร้อนให้ข้าไปทั่ว!”


เหยียนหลิงจวินหัวเราะร่าแต่ไม่ได้แสดงความเห็นใด


เขาเขย่าโถเหล้าที่อยู่ในมือ รู้สึกว่าเหล้าใกล้จะหมด คงจะต้องเรียกให้คนเอาเหล้ามาให้อีก หลังจากที่ตามองออกไปห้องอุ่น มองดูฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านบน ก็ยิ้มมุมปาก แล้วรอยยิ้มก็ลอยจางไปพลางพูดประชด “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าใครเสียอีก นึกไม่ถึงวันหนึ่งจะสามารถทวงบุญคุณต่อหน้าเขา!”


“การทวงบุญคุณใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวจบ” เฉินเกิงเหนียนกอดโถเหล้าเงยหน้าแล้วเทเหล้าหยดสุดท้ายเข้าไปในปากแล้วเลียริมฝีปาก ไม่คิดว่าเมื่อครู่เปลี่ยนท่าพอดีได้เหลือบเห็น เขาถอนหายใจพลางเอ่ย “เขารับประกันว่าเจ้าขอได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ภายหลังเจ้าก็ขอเองแล้วกัน!”


————————————————————————




บทที่ 85 จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? (3)

โดย

Ink Stone_Romance

หลายปีมานี้ เขานำเอาความรู้วิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมช่วยชีวิตยามฝ่าบาทเกิดอันตรายไว้ได้หลายครั้ง บุญคุณที่ช่วยชีวิตนี้ สำหรับผู้อื่นแล้วมีค่ากว่าทองคำพันช่าง แต่ไม่ใช่กับฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหน้านี้…


เมื่อครู่เขาไม่ให้ความเคารพก่อความวุ่นวายอย่างบ้าบิ่น


ฮ่องเต้ไม่ได้ติดใจเอาความ ในครานี้โชคชะตาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮ่องเต้ได้สิ้นสุดลง!


เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก มองย้อนกลับมาและมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจพลางพูด “เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวก็พอแล้ว!”


ฮ่องเต้ผู้เย็นชา ครั้งนี้ไว้หน้าเฉินเกิงเหนียนถือว่าเป็นโอกาสที่หายาก ใครต้องการต่อรองทวงบุญคุณกับฮ่องเต้ ช่างเป็นการรนหาที่ตาย ความจริงแล้วหากเฉินเกิงเหนียนไม่ปรากฏตัว เรื่องในวันนี้เขาก็คงไม่ถูกดึงเข้าไปพัวพัน ทว่าตอนนี้เป็นเช่นนี้จะดีกว่า


เฉินเกิงเหนียนก่อความวุ่นวายเช่นนี้ ทำให้ยิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาชัดมากยิ่งขึ้น  เพียงแค่สักวันหนึ่งเป็นของเขาแล้วก็จะไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงต้นกำเนิดในอดีตของเขาที่ไม่มีใครรู้มาเล่นงานได้ ฮ่องเต้ไว้ใจเฉินเกิงเหนียน อีกอย่างเฉินเกิงเหนียนมีเจตนาเช่นนี้เขาจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย


ดังนั้นการปรากฏตัวของเฉินเกิงเหนียนครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก


หากเป็นเช่นนี้แล้วสายตาของเหยียนหลิงจวินมองเข้าไปในท้องพระโรง


ฉู่สวินหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่นั่งนางอยู่ใกล้กับห้องอุ่นของฮ่องเต้ที่อยู่ด้านนอก อยู่ไกลจากที่ประทับฮ่องเต้ เมื่อเขามองไปก็เห็นเพียงแค่ร่างพรางๆ ของนางอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ในบรรดาสตรีที่แต่งองค์ทรงเครื่องจำนวนมาก กลับมีเพียงเงาของนางที่สะดุดตา พอเหลือบตามองในสายตามีเพียงนางผู้เดียว ถึงแม้จะมองสีหน้าอารมณ์ไม่ชัดนัก แต่ภาพเงานางติดอยู่ในสมองไม่ลืมเลือน และในขณะที่นางพูดคุยอยู่ไม่ว่านางจะยิ้มหรือขมวดคิ้วอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ล้วนตรึงตรา ตรึงใจ


เน่ยซื่อ[1]ที่ให้ไปนำเหล้ามาผ่านไปนานก็ยังไม่กลับมา ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินใจลอยทั้งสงบนิ่ง เฉินเกิงเหนียนรินเหล้าตั้งนานใจร้อนรอไม่ไหวทั้งรู้สึกว่าช่างน่าเบื่อ จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขยับไปข้างๆ เหยียนหลิงจวิน ขยิบตายักคิ้วดึงคอเขา แล้วหันหน้ามองเข้าไปในท้องพระโรงพลางเอ่ย “จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? นางคือคนไหนเล่า? ข้าแก่มากแล้วแขนขาไร้เรี่ยวแรงจะไปไหนก็ลำบาก เจ้าชี้ให้เรายลโฉมได้หรือไม่”


เหยียนหลิงจวินเก็บเหล้าที่เหลือไว้ไม่ให้เขาดื่ม เวลานี้เขารินชาเอง พอได้ยินก็สำลัก ชาหนึ่งถ้วยก็คว่ำหกราดเต็มตัวเขา เขาโกรธจนอยากที่จะเอาถ้วยชานั้นเขกหัวเฉินเกิงเหนียน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนแอบหัวเราะเบาๆ


“ภรรยาที่ไหนรึ?” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย ไม่รู้ว่าใบหน้าที่หัวเราะใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มือข้างหนึ่งถือกาหยกอีกข้างถือจอกทองยืนอยู่ด้านหลัง เขาสนใจสายตาทั้งสองคนที่กำลังมองไปในท้องพระโรงพลางพูดว่า “เหยียนหลิงท่านมีหญิงที่ชื่นชอบแล้วรึ? เป็นบุตรสาวจวนไหน? ชี้ให้ข้าดูสักหน่อย! ตระกูลที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ต้องไว้หน้าเสด็จพ่อ ถึงตอนนั้นก็ให้เขาไปสู่ขอแทนเจ้า ไม่นานก็สำเร็จอยู่แล้ว!”


อันที่จริงฉู่อี้เจี้ยนตั้งใจเย้าเล่น เฉินเกิงเหนียนสีหน้ากลับมีความสุข ตาสองข้างเปล่งประกายร่างเอนเอียง


เหยียนหลิงจวินดูท่าไม่ดี ก็รีบเอากาหยกยัดใส่มือฉู่ฉีอี้พลางพูดว่า “อาจารย์ของข้ารักการดื่มเหล้า ข้าขอดื่มฉลองให้ท่านอ๋อง!”


พอพูดจบก็เกรงว่าเฉินเกิงเหนียนจะก่อกวนอีก เขารีบลุกขึ้นแล้วลากฉู่อี้เจี่ยนพร้อมกับเดินออกจากท้องพระโรง


เฉินเกิงเหนียนเมาจนตาลอยมองขึ้นบน พอดีตอนนั้นเน่ยซื่อก็นำเหล้ามาส่งให้พอดี ขณะนั้นก็ไม่ได้สนใจคำติฉินนินทาคนข้างๆ มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า แล้วก็หัวเราะแล้วเริ่มเลียปากกาเหล้า


ทางด้านฉู่อี้เจี่ยนและเหยียนหลิงจวินก็เดินจากท้องพระโรงทางประตูข้าง และยืนอยู่บนทางเดินที่ไม่มีผู้คน


“วันนี้เรื่องที่ท้องพระโรงต้องขอขอบคุณองค์ชายที่ช่วยแก้ต่าง!” เหยียนหลิงจวินพูด ขณะที่พูดก็แสร้งเป็นคำนับ


“นี่!” ฉู่อี้เจี่ยนประคองยกมือของเหยียนหลิงจวินตอนที่คำนับ สีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดอย่างขรึม “ระหว่างท่านกับข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องแบบนี้ ท่านและข้าต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน วันนี้ข้าก็แค่ตอบแทนเจ้าเท่านั้น!”


เหยียนหลิงจวินหัวเราะแต่ไม่เต็มใจนัก


ฉู่อี้เจี่ยนตามองลงแล้วดื่มเหล้า สายตาทอดยาวไปไกล สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยพูดว่า “เฉินเกิงเหนียนเป็นผู้ที่ฉลาดซื่อตรงยากจะซื้อใจเขาได้ ปัญหาในครั้งนี้จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถึงอย่างไรก็ตามก็คงไม่มีคนสืบสาวภูมิหลังเจ้าแล้วเล่นงานเจ้า อนาคตเจ้าคงมีหน้าที่การงานที่สดใสราบรื่นมากขึ้น”


“องค์ชายก็พูดไป การเป็นหัวหน้าหมอหลวงประจำสำนักหมอหลวงเป็นตำแหน่งที่สบาย เราจะไม่คุยเรื่องอนาคตด้านหน้าที่การงาน” เหยียนหลิงจวินพูด “แต่ข้าต้องพึ่งพาบารมีผู้สูงศักดิ์ จะต้องได้พึ่งพารับความช่วยเหลือสนับสนุนจากท่านอ๋องรุ่ย”


ฉู่อี้เจี่ยนตะลึง หันไปมองเขาด้วยความงงงวย “เจ้าเตรียมจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงต่องั้นรึ?”


“มิเช่นนั้นเล่า?” เหยียนหลิงจวินถามกลับ


ฉู่อี้เจี่ยนกลับพูดไม่ออก สายตามองเขาอย่างสับสน พอจะพูดสุดท้ายก็หยุดแล้วตบไหล่พูดว่า “เอาเถอะ เจ้าคงมีเหตุผลของเจ้า เขาก็คงไม่เข้าไปยุ่ง แต่ความสัมพันธ์ของเราก็จบลงตรงนี้แล้วกัน ข้าคงไม่เตือนไม่ได้ จงระวัง! ซูหลินไม่น่ากลัวนัก แต่ฉู่ฉีเหยียน เจ้าถูกจับตามองแล้วกลับไม่ใช่เรื่องดีนัก!”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉู่อี้เจี่ยนก็ดูออกว่าจากกระทำเล็กน้อยที่แสดงในวันนี้เหล่านั้น


“รับทราบ ขอบพระคุณองค์ชายที่เตือน” เหยียนหลิงจวินยิ้ม แล้วก้มหน้าเล็กน้อยแสดงความซาบซึ้ง


ฉู่อี้เจี่ยนหัวเราะ สายตามองไปรอบด้านด้วยสายตาหวาดระแวง แล้วมองทั่วทั้วสี่ด้าน เห็นไม่มีคนก็ก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แสร้งเป็นพับคอเสื้อให้เรียบร้อยพลางพูดว่า “หากเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมสวินหยางหญิงสาวผู้นั้นให้เป็นภรรยาเจ้าก็ไม่เลว ความจริงแล้วตัวข้าเองก็จะคอยช่วยสนับบสนุนเจ้า!”


เมื่อพูดจบแล้วก็หัวเราะดัง แล้วค่อยๆ เดินกลับตำหนักไปอย่างเคร่งขรึม


เหยียนหลิงจวินอยู่ที่เดิมแล้วมองดูเขาเดินจากไป


ทุกคนไม่ได้ตาบอด ถือเสียว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่สวินหยางนั้นมืดมนยิ่งนัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวังเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาทำให้รู้สึกว่าความทะเยอทะยานที่เห็นได้ไม่ยากของเขา เพียงแต่ฉู่อี้เจี่ยนมองเห็นได้ชัดเจนกว่าก็เท่านั้นเอง


เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตั้งใจจะว่ากล่าวสิ่งเหล่านี้ เขายืนอยู่ตรงทางเดินนั้นแล้วจึงเดินกลับตำหนักไป


เพราะว่าเกิดเรื่องลอบสังหารขึ้นทำให้เกิดความล่าช้า งานเลี้ยงแคว้นในครั้งนี้ก็จะต้องดำเนินการย้ายไปไว้ในภายหลัง


ระหว่างทางมีคนมารายงานว่าหรงเฟยฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ก็รีบลุกจากที่ประทับแล้วพาเหยียนหลิงจวินตามไปวังหลังด้วยและทำการชำระล้างพิษในร่างพระสนม


เมื่องานเลี้ยงจบลง ท้องฟ้าก็มืดพลบค่ำ


ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง เนื่องจากทำให้ทุกคนตกใจหวาดกลัว วันนี้ฮ่องเต้ทรงเมตตาอนุญาตให้แขกที่มาเข้าร่วมงานได้พักผ่อนเดินชมสวนตามอัธยาศัยหนึ่งชั่วยาม


เพื่อให้บรรยากาศสอดคล้องกับเทศการตรุษจีนจึงได้มีการให้ประดับตกแต่งสวนดอกไม้ใหม่ สถาปัตยกรรมต่างๆและริมทางเดินต่างประดับตกแต่งโคมไฟแปดเหลี่ยมสีสันสดใส มองดูราวกับมังกรที่คดเคี้ยวไปมาหนึ่งตัว ยาวเหยียดเสียดฟ้า สวนดอกไม้ถูกแทนที่ด้วยพุ่มไม้กระถางดอกไม้ที่เขียวชอุ่ม เพื่อปกปิดบรรยากาศฤดูหนาวที่เหน็บหนาว รวมทั้งนำต้นดอกเหมยขาวแดงนำมาปิดบังไว้ตรงกลาง ดูราวกับว่าผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทุกที่กลายเป็นที่ที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา


ริมทางเดินมีแต่เสียงจ้อกแจ้กหญิงสาวมากมายเดาปริศนาโคมไฟแปดเหลี่ยมบรรยากาศรื่นเริงมีชีวิตชีวา


งานเลี้ยงรื่นเริงในตำหนักยังไม่สิ้นสุด ขุนนางระดับสูงก็ยังไม่หยุดที่จะแลกเปลี่ยนดื่มฉลองอย่างสุภาพ


ในสวนดอกไม้และข้างตำหนัก เหล่าสตรีสามสี่คนก็พูดคุยโต้เถียงกันเกี่ยวกับเครื่องประดับสีแดงที่เพิ่งออกใหม่


ทุกคนต่างลืมเรื่องเป็นตายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางวันในตำหนักราวกับถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง


ยามสองเกิงด้านหน้าตำหนักเจาเต๋อได้เตรียมดอกไม้ไฟไว้เรียบร้อยแล้ว


ฮ่องเต้ไม่ได้ปรากฏตัว ให้ฮองเฮาออกหน้าด้วยตัวเองจุดประทัดแถวแรก แสงสว่างหลากหลายสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แผ่กระจายเป็นประกายพร้อมเสียงปะทุ กระจายบนท้องฟ้าในค่ำคืนที่มีสีสันสวยงามที่สุด ส่วนบรรดาหญิงสาวทั้งหลายต่างตื่นตาตื่นใจ


ดอกไม้ไฟอันหนึ่งตกลงมาแล้วก็กระเด็นสูงขึ้น ปะทุขึ้นไปพร้อมเสียงดัง


ไม่นานทั้งพระราชวังก็ถูกปกคลุมด้วยรัศมีแสงสว่างของดอกไม้ไฟ เหลือเพียงแค่ดอกไม้ไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างงดงามทั้งท้องฟ้าสีสันสวยงามละลานตา


มีคนยกเก้าอี้มา ฮองเฮาทรงประทับบนเก้าอี้มองดูแล้วยิ้มด้วยความเมตตา ฟังบรรดาสนมข้างกายชื่นชมยินดี รอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหาย


“ช่างน่าดูยิ่ง! งดงามจริง!” หญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างปิติยินดีหญิงที่สวมชุดสีมรกตยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาพูด พอดูได้สักพักรู้สึกว่าไม่เพลิดเพลิน จึงหันมากอดแขนข้างหนึ่งของฮองเฮา พูดออดอ้อน “ท่านป้า ให้หม่อมฉันไปเที่ยวเล่นเถอะเพคะ”


หญิงสาวที่อายุราวสิบสามสิบสี่ ใบหน้าเรียว ดวงตากลมโต เสียงหวานคมชัด


ดูเหมือนว่านางไม่มีท่าทีเกรงกลัวฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย สนิทสนมใกล้ชิดฉุดดึงแขนขอร้องฮองเฮา


————————————————————————


[1] เน่ยซื่อ หมายความว่า บ่าวรับใช้ในราชสำนัก ส่วนใหญ่เป็นขันที




บทที่ 85 จวินอวี้ ภรรยาเจ้าอยู่ไหนรึ? (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ตอนนั้นหลัวฮองเฮากำลังอารมณ์ดี จึงดุนางแล้วพูดว่า “ก็มีแต่เจ้าที่ชอบเที่ยวเล่น”


“ก็มีแต่เสด็จป้าที่รักหม่อมฉัน!” หญิงสาวขยิบตาส่งยิ้มหยาดเยิ้ม แล้วจับกระโปรงวิ่งออกไป หันหลังแล้วมองย้อนกลับมากะทันหัน ยักคิ้ว ดวงตาจ้องมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังฮองเฮาท่าทางสงบเสงี่ยมอายุใกล้เคียงกับนาง


หญิงสาวจ้องสายตาที่เร่งเร้าของนางแต่นางกลับเมินเฉย และหลบสายตาไปด้านข้าง ฮองเฮากลับทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้ เพียงแต่ยิ้มแล้วตรัสว่า “พวกเจ้าก็ไปเที่ยวเล่นเถอะ แม่นมเหลียงสั่งให้คนคอยติดตามและระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย!”


“เพคะ ฮองเฮา!” แม่นมเหลียงรับคำสั่งพลางยิ้ม


สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ท่าทางดีใจเก็บอารมณ์ความรู้สึกไม่ไหว พากันกล่าวขอบคุณ แล้วท่านหญิงก็พาสาวรับใช้วิ่งไป เน่ยซื่อกำลังช่วยกันลองจุดดอกไม้ไฟ จากนั้นก็มองดูประกายของดอกไม้ไฟที่กระจายออกจากดอกไม้ไฟที่พวกเขาถือ


เหล่าหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างต่างครึกครื้น ยิ่งยกระดับบรรยากาศเฉลิมฉลองคืนวันส่งท้ายปีเก่าไปถึงจุดสูงสุด


เพื่อให้เหมาะกับบรรยากาศ ฉู่สวินหยางก็จุดดอกไม้ไฟสองอันตามพวกนาง จากนั้นก็คว้าประทัดแล้วหลบไปไกลอยู่หลังต้นเหมย ค้ำราวประคองนำเอาด้ามถือดอกไม้ไฟที่อยู่ในมือโยนไปมา ขณะนั้นจิตใจของนางรู้สึกผ่อนคลาย


ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ที่นางสติหลุดลอย ทันใดนั้นนางสังเกตได้ว่าด้ามถือดอกไม้ไฟที่โยนไปตั้งนานก็ไม่กลับมาสักที  นางสังเกตได้ว่ามีความผิดปกติ สายตามองย้อนกลับมา แต่กลับเห็นร่างที่สวมชุดแดงหม่น นั่นคือเหยียนหลิงจวินรูปร่างหน้าตาหล่อเหลายืนยิ้มอยู่ด้านหลังนาง


มือของเขาถือประทัดซึ่งเหมือนกับประทัดที่ก่อนหน้าสวินหยางโยนเล่นเพื่อแก้เบื่อ สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มสาวน้อยที่วิ่งเล่นสนุกสนาน มองไปรอบๆ และมองกลับมา มองเห็นสาวน้อยที่พิงกำแพงตรงทางเดินอย่างเฉยชา เขาอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าควรไปเล่นกับพวกนาง มัวแต่อุดอู้ทำอะไรอยู่คนเดียวรึ?”


ลักษณะนิสัยของฉู่สวินหยางไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าสังคม เพียงแต่ต้องดูว่านางอยากไปหรือไม่


“มีเรื่องกังวลใจ จะเล่นก็ไม่สนุก!” ฉู่สวินหยางถอนหายใจด้วยความฟุ้งซ่าน ขาขวาที่วางขวางราวประคองก็ถอยออกมาแล้วขยับตัวเพื่อให้มีที่ว่างตรงนั้น


พอเหยียนหลิงจวินสะบัดชุดที่สวมแล้วนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ


ฉู่สวินหยางใช้คางชี้ทางที่เขามาจากวังหลังพลางเอ่ย “เป็นเช่นไรบ้าง? เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”


“ตั้งแต่ต้นจนจบทุกอย่างเป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่ง จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?” เหยียนหลิงจวินเบะปากหน้าบึ้ง โยนประทัดขึ้นสูงแล้วรับ หมุนด้ามจับประทัดควงเล่นเป็นวงกลมแล้วพูดแดกดันออกนอกหน้าว่า “จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องทำให้เขาลำบากใจ คนอย่างเขาขี้สงสัยและระแวง วันนี้ถูกใช้เป็นเหยื่อล่อเพื่อผลกำไรอันน้อยนิด  ฮ่องเต้ของเจ้าอายุมากเช่นนี้ก็ยังทะเยอทะยานไม่เปลี่ยนจริงๆ!”


“หึ…” ฉู่สวินหยางหัวเราะแต่นางกลับไม่ได้แสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ นางงอเข่า เอาคางวางบนเข่า ผ่านไปสักพักจึงพูดว่า “จะว่าไปทั่วป๋าไหวอันครั้งนี้ถือว่าโชคร้าย ใครจะคิดว่าเขามีแผนการร้าย วินาทีที่เขาไปจากโม่เป่ยในตอนนั้นก็ตกอยู่ในกลอุบายอย่างสมบูรณ์แบบ”


เหยียนหลิงจวินเม้มปากแต่ไม่ได้พูดอะไร


ฉู่สวินหยางคิดอยู่พักหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พระชายาองค์ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่จากอ๋องโม่เป่ยเป็นผู้ใดกัน? แท้จริงแล้วแอบสมรู้ร่วมคิดกับฝ่าบาทฉกชิงอำนาจของโม่เป่ยในนามอ๋องโม่เป่ยอย่างนั้นงั้นรึ?”


“นางเป็นใครไม่สำคัญ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนคนโง่ที่อวดฉลาด” เหยียนหลิงจวินเย้ยหยันอย่างไม่พอใจพลางพูดว่า “นางช่างเป็นคนที่คิดสั้นไม่มองการไกล ยังคิดที่จะยืมมือซีเยว่เชาถิงมาใช้ในการยึดครองอำนาจอีกรึ? ฮ่องเต้ที่ปกครองซีเยว่ของพวกเจ้าองค์นี้ อย่าคิดว่าจะหาผลประโยชน์จากเขา เมื่อกระทำการสำเร็จแล้วโม่เป่ยก็จะยอมจำนนรึ? นับประสาอะไรกับเด็กที่อายุที่ไม่ถึงสองขวบ? ว่ากันว่าฉางจื่อ ลูกชายของอ๋องโม่เป่ยก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ขอเพียงแค่โม่เป่ยและทั่วป๋าไหวอันตายไปทีละคน ก็สามารถยึดครองโม่เป่ยได้ทั้งหมด สำหรับซีเยว่แล้วทุกอย่างก็ช่างง่ายดาย เขาและนางเหตุใดต้องวางแผนกระทำการเช่นนี้กัน หากยังทำเช่นนี้ต่อไปจะทำให้ตัวเขาเดือดร้อนในภายหลัง”


“นั่นน่ะสิ!” ฉู่สวินหยางถอนหายใจ


ข่าวคราวที่ซูอี้ได้รับก่อนหน้านี้ บอกว่าทั่วป๋าไหวอันมาเมืองหลวงภายในสองเดือนที่ตำหนักโม่เป่ยได้มีจดหมายส่งมาให้ฮ่องเต้หลายครั้ง ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินเข้าใจว่าระหว่างอ๋องโม่เป่ยและฮ่องเต้มีอุบายมาโดยตลอด กระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทั่วป๋าหรงเหยาถูกวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ ตอนที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็แอบนัดพบนางอย่างลับๆ ฉู่สวินหยางเองก็เพิ่งรู้


จดหมายเหล่านั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่อ๋องโม่เป่ยหรือฮ่องเต้ส่งมา แต่แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของหวังเฟยส่งมา


เมื่อสามปีก่อนหวังเฟยองค์นี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหวังเฟยองค์ใหม่ คนโม่เป่ยไม่สนใจเกี่ยวกับเลือดเนื้อเชื้อไข เพียงแต่สนับสนุนผู้ที่มีพลังอำนาจ ดังนั้นหวังเฟยองค์นี้จึงได้รับตำแหน่งนี้ อย่างไรก็ตามหวังเฟยองค์นี้กลับไม่กลัวตาย หลังจากมีลูกชายก็มักใหญ่ใฝ่สูง ในการแย่งชิงบัลลังก์โม่เป่ย ทั่วป๋าไหวอันเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งรองจากซื่อจื่อจึงกลายเป็นขวากหนามของหญิงผู้นี้ ดังนั้นจึงถือโอกาสใช้ประโยชน์จากการที่เขาได้ไปเป็นทูตที่ซีเยว่ ในครั้งนี้ หวังเฟยจึงแอบนำเอาความลับอ๋องโม่เป่ยใช้เป็นช่องทางส่งจดหมายลับโต้ตอบกับฮ่องเต้เพื่อวางอุบายฆ่าทั่วป๋าไหวอันในการกำจัดขวากหนาม


ก่อนหน้าฉู่สวินหยางรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าไม่ได้เตรียมจะสมรสเพื่อสันติเพียงฮ่องเต้รับสั่งคำเดียวทุกอย่างก็จบ แต่เขากลับดันทุรังยื้อเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ทั่วป๋าไหวอันอยู่เมืองหลวงหลายเดือน จนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมาได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจจึงรู้แจ้ง


สมรสเพื่อสันติอะไรกัน  แท้จริงฮ่องเต้เตรียมวางแผนกำหนดการที่จะทำให้ทั่วป๋าไหวอันถูกกำจัด! ถ้าจะกำจัดเขาก็ต้องมีความสมเหตุสมผล ไม่สามารถเอาเรื่องที่เขาทำผิดมาเล่นงาน เช่นนี้จะมีอะไรที่สามารถกล่าวหาให้คนหลงกลเชื่อว่ามีผู้ลอบทำร้ายฮ่องเต้ในงานเลี้ยงได้ดีไปกว่านี้อีกรึ?


ไม่เพียงสามารถฆ่าทั่วป๋าไหวอันได้ ซ้ำยังทำให้หวังเฟยมีความมั่นคง ทั้งยังมีข้ออ้างหนึ่งที่สมเหตุสมผลในการส่งกองกำลังไปโจมตีอีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ช่างเป็นอุบายที่แยบยลยิ่ง


“ครั้งนี้เขาก็ได้เสียสละเลือดเนื้อ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉู่สวินหยางก็ยิ้มเยาะเย้ย


“โดยนิสัยของเขา เขาจะต้องทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่าในมือที่หรงเอียนถือคือยาถอนพิษ ถึงเขาจะโดนยาพิษเสียเอง เขาจะต้องหาคนมาลองทดสอบยาพิษนี้ก่อนแน่นอน” เหยียนหลิงจวินพูดต่อ


ครั้งก่อนเขาได้รับยาแก้พิษจากหรงเอียน ฮ่องเต้ไม่ลังเลกลืนยาถอนพิษลงไป เพียงแค่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่นิสัยของฮ่องเต้แล้ว


ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “โชคดีที่เฉินเกิงเหนียนรอบคอบ ปิดปากใต้เท้าคัง มิเช่นนั้นเขาคงเป็นหมาจนตรอกสลัดไพ่ใบสุดท้ายของฮ่องเต้ออกไป ทำให้งานเลี้ยงแคว้นในวันนี้อาจกลายเป็นเรื่องตลก”


เรื่องทั้งหมดไม่เป็นเพียงแผนการอันขมขื่น ที่ฮ่องเต้เป็นผู้กำกับและแสดงเอง ใต้เท้าคังน่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้ ตอนนั้นเตรียมพร้อมที่จะพยายามใช้ยาถอนพิษช่วยชีวิต มิเช่นนั้นพอโดนยาพิษเต๋อเฟยจะบังเอิญเห็นได้อย่างไร? เพียงแต่หมากรุกที่วางตัวนี้กลับถูกเหยียนหลิงจวินทำลายแผนลงโดยไม่รู้ตัว ส่วนทางใต้เท้าคังก็ปรารถนาที่จะเห็นเหยียนหลิงจวินถูกดึงลงจากตำแหน่ง


ในงานเลี้ยงฮ่องเต้มีท่าทีเงียบทำให้เห็นความจริงทั้งหมดได้อย่างชัดแจ้ง


แผนการที่เขาวางไว้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำเป็นเพิกเฉยเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มองดูใต้เท้าคังกำลังรนหาที่ตายและถือเป็นการปิดฉากเรื่องนี้ลง


แผนการและความตั้งใจของฮ่องเต้ในครั้งนี้ ช่างทำให้คนเกรงกลัว


ทว่าเหยียนหลิงจวินพูดถึงเรื่องนี้กลับไม่รู้สึกอะไร เขาชะงักชั่วขณะแล้วเปลี่ยนน้ำเสียง หัวเราะออกมา “จะว่าไปทั่วป๋าไหวอันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อปกป้องตัวเองให้พ้นจากปัญหาจึงพึ่งพาฉู่ฉีเหยียน เขาทั้งสองกำลังคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของฮ่องเต้ แต่แสร้งรอดูการเคลื่อนไหวของเขาว่าจะมาไม้ไหน โยนให้ทั่วป๋าไหวอันกลายเป็นแพะรับบาป ขณะฮ่องเต้กำลังตัดสินคำพูดของเขาความผิดก็ได้ปรากฏขึ้น ในเวลานั้นฮ่องเต้กลบเกลื่อนคำพูดปดและพูดเพื่อเอาใจ ต่อมาอ๋องหนานเหอก็ลุกขึ้นมา “หากมิได้องค์รัชทายาทขัดจังหวะ เกรงว่าจะต้องพูดเรื่องการสมรสอีกน่ะสิ”


ฉู่สวินหยางมองไปที่เขา “ใช่แล้ว ก่อนที่ทั่วป๋าไหวอันประกาศสู่ขอฉู่หลิงอวิ้นต่อหน้าสาธารณชน เวลานี้หากเรื่องเก่าถูกยกขึ้นมาพูดเรื่องที่เขาเพิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อปรับความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น เมื่อใดที่เขาพูดขึ้นมานั่นหมายความว่าตระกูลจางคงหมดคำพูด หากให้ข้าเดา ฉู่หลิงอวิ้นคงไม่รู้อุบายของบิดาและน้องชายตนเอง นิสัยของนางให้ตายก็ไม่ยอมแต่งกับโม่เป่ยแน่นอน”


“เพลานี้ไม่ใช่เวลามาเป็นห่วงนาง” เหยียนหลิงจวินกล่าว แสดงออกว่าไม่สนใจอย่างชัดเจน เขาลุกขึ้นจัดระเบียบชุดที่ใส่ แล้วก็ค่อยๆ พูดว่า “ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่า หากเรื่องนี้ยังไม่สำเร็จ ไม่ว่าฮ่องเต้ก็ดี ทั่วป๋าไหวอันก็ดีหรือฉู่ฉีเหยียนก็ดีคงไม่ยอมแพ้แน่นอน เจ้าเดาสิว่าพวกเขาทั้งสองจะใช้วิธีไหนอีก?”


เรื่องที่ฉู่สวินหยางเป็นกังวลจริงๆ ก็คือเรื่องนี้ เมื่อได้ยินก็ยักคิ้วแล้วรู้สึกกังวลตาม ขณะที่เขาคิดและกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาจากลานกว้างด้านหน้าดังขึ้น


————————————————————————




บทที่ 86 แย่งชิงความโปรดปราน (1)

โดย

Ink Stone_Romance

พวกเขามองไปตามเสียงที่ได้ยิน ปรากฏว่าด้านหน้าลานกว้างตำหนักเจาเต๋อโกลาหลวุ่นวายประกายไฟกระเด็น ทั่วทุกทิศทุกที่เต็มไปด้วยภาพผู้คนกรีดร้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง


บรรดาท่านหญิงที่แต่งตัวงดงามแต่ละตระกูล เน่ยซื่อ นางกำนัล หญิงรับใช้ต่างโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด


“ข้าจะไปดูสักหน่อย!” ฉู่สวินหยางพูดพลางลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปหน้าตำหนัก


“ที่นั่นสถานการณ์วุ่นวายนัก ประเดี๋ยวค่อยไปเถอะ!” เหยียนหลิงจวินขวางไม่ให้นางไป นิ้วจับข้อมือนางผ่านแขนเสื้อ การกระทำเช่นนี้ทำนางยากที่จะปฏิเสธ


ฉู่สวินหยางไม่พอใจขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเหยียนหลิงจวิน


ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหยุดยั้งนางเช่นนี้มาก่อน สถานการณ์เช่นนี้หากเป็นฉู่ฉีเฟิงคงไม่รั้งนางแน่แต่จะตามนางไปพร้อมกัน


สายตาเหยียนหลิงจวินกลับมองไกลออกไป ไม่ได้สังเกตตนเองว่าเป็นเพราะปัญหาที่เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายจึงทำให้เขาถูกเกลียดชัง เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่อาจจะไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุธรรมดา”


เมื่อเสียงจบลงฉู่สวินหยางก็ทำปากจู๋ออย่างที่นางชอบทำเป็นประจำ เหน็บแนมพลางเอ่ย “ที่นี่คือวังหลวง นางกำนัลขันทีพวกนั้นอยากหัวหลุดออกจากบ่ารึอย่างไร? เกิดเรื่องอะไรตั้งแต่เช้าจรดเย็นมากมายเช่นนี้!”


ระหว่างที่พูดเสียงเอ็ดตะโรก็ค่อยๆ เบาลง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาว


เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วคลายมือจากข้อมือนาง “เจ้าไปเถอะ เรื่องเช่นนี้ข้าไม่สะดวกเข้าไปยุ่งเกี่ยว!”


“อืม!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เขาและไม่ขัดข้อง


ระหว่างนั้นบนลานกว้างที่ยุ่งเหยิงก็ถูกควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ บนพื้นรกรุงรัง บริเวณนั้นเกลื่อนด้วยกระบอกไม้ไผ่ ประทัด ในอากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นดินปืนและยังมีกลิ่นไหม้หลงเหลืออยู่


ฉู่สวินหยางเร่งรีบเดินไปดู


ฮองเฮาถูกรายล้อมผู้คนต่างเบียดเสียดกัน หัวหน้าขันทีที่ดูแลรับผิดชอบพลุบริเวณลานกว้างและแม่นมระดับอาวุโสคุกเข่าสีหน้าตระหนกตกใจ


นอกจากนี้ยังมีเหล่าท่านหญิงที่ถูกสาวรับใช้ประคองสภาพมอมแมม หลายคนเสื้อคลุมถูกประกายไฟพุ่งมาใส่ไหม้เป็นรู แม้นสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนแต่ก็ไม่ถึงกับบาดเจ็บ ทว่าเหล่าท่านหญิงที่ฐานะร่ำรวยถูกเลี้ยงตามใจตั้งแต่วัยเยาว์ยังคงผวาไม่หาย แต่ละคนต่างสีหน้าซีดเซียว บ้างก็ซุกในอ้อมแขนมารดา บ้างก็ซบไหล่สาวรับใช้ร้องห่มร้องไห้


ภายในนั้นมีสองคนที่บาดเจ็บสาหัส หนึ่งในนั้นคือหญิงชุดสีมรกตที่ยืนข้างฮองเฮาเสนอขอไปเที่ยวเล่น ท่านหญิงสามตระกูลหลัวนามว่าหลัวอวี่ก่วน อีกคนคือท่านหญิงตระกูลข่งลูกสาวเสนาบดีการคลัง ทั้งสองเสื้อผ้าบางส่วนไหม้เกรียม กระทั่งเส้นผมบางส่วนของหลัวอวี่ก่วนก็ถูกเผาไปไม่น้อย บนใบหน้าเปื้อนควันเขม่า หลังมือยังมีรอยแผลเห็นได้ชัดเจน


เช่นนี้แล้วถือเป็นเรื่องปั่นป่วนวุ่นวายยิ่ง


ขันทีที่เกี่ยวข้องคุกเข่าลงบนพื้นสายลมพัดโชย น้ำเสียงสั่นเครือพลางก้มหัวรับโทษ “ฮองเฮาโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยเลินเล่อ ข้าน้อยสมควรตาย!”


“พวกเจ้าจัดการเรื่องนี้อย่างไรกัน ฮองเฮาทรงกำชับให้พวกเจ้าอารักขาท่านหญิงทุกคน เหตุใดจึงเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้?” เต๋อเฟยตำหนิน้ำเสียงดุพลางชี้ไปยังบ่าวรับใช้ หันหน้าพลางเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกไปเอาใจฮองเฮาที่อยู่ข้างนางและพูดว่า “ฮองเฮาเพคะ เมื่อครู่ผู้ที่ก้มหัวรับโทษมีอยู่มาก น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า บ่าวรับใช้พวกนี้ถือว่าไม่ขี้ขลาดตาขาวและไม่ได้หลบหนีละทิ้งต่อหน้าที่เพคะ!”


วังหลังเกิดเรื่องต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของหลัวฮองเฮา แต่พิธีการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าของแคว้นที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เตรียมการจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่มากเกินไป พระองค์จะต้องแบ่งงานบางเรื่องของวังหลังให้พระสนมผู้สูงศักดิ์บางคนช่วยกันดูแล


บังเอิญว่าขันทีที่รับผิดชอบเรื่องนี้เขาก็คือหัวหน้าขันทีประจำตำหนักของเต๋อเฟยมีนามว่า เจี่ยงลิ่ว


สตรีในวังมองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู เต๋อเฟยเพียงต้องการที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ชิ่งเฟยกลัวว่าเรื่องจะไม่ยุ่งเหยิงพอจึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านพี่เต๋อเฟยท่านไม่คิดว่าจะเป็นปัญหารึ?” เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่าท่านหญิงเป็นลูกสาวที่มาจากตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบ หากวันนี้พวกนางได้รับความเดือดร้อนไม่รีบปลอบใจพวกนาง แต่กลับรีบร้อนแก้ตัวแทนบ่าวรับใช้พวกนี้น่ะหรือ?


“ท่านไม่คิดบ้างหรืออย่างไร หรือจะให้ฮองเฮาใจไม่ไส้ระกำเยี่ยงท่าน?”


เต๋อเฟยถูกชิ่งเฟยยอกย้อนจนนางพูดไม่ออกชั่วขณะ นางเกรี้ยวโกรธส่งสายตาอันแหลมคมพุ่งออกมาราวกับมีด


ชิ่งเฟยกลับไม่สนใจนาง ถอนหายใจแล้วดึงหลัวอวี่ก่วนที่มือได้รับบาดเจ็บมา มองดูรอยแผลทางยาวหลังมือพูดด้วยความสงสารว่า “ดูนี่สินางได้รับบาดเจ็บ เด็กสาวคนหนึ่งหากแผลหายกลายเป็นแผลเป็นจะทำอย่างไรเล่า? หลานซีเจ้ายังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก?”


“เพคะพระสนม!” นางในที่อยู่ข้างกายชิ่งเฟยก็รีบวิ่งไปตามคำสั่ง


ผู้ที่บาดเจ็บหากเป็นผู้อื่นก็แล้วไป หากแต่เป็นญาติของหลัวฮองเฮา เป็นหลานสาวของหลัวฮองเฮา!


ถึงอย่างไรความเกลียดชังในครั้งนี้ก็ไร้ประโยชน์ เต๋อเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยจิตใจที่หนักแน่นตะคอกใส่เจี่ยงลิ่ว “เจ้าเป็นใบ้หรือ? ยังไม่รีบเล่าให้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งอีก เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ยังดีๆอยู่ เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้?”


“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!” เจี่ยงลิ่วยิ่งร้อนใจกระวนกระวาย


หากลานกว้างหน้าตำหนักครู่นี้เต็มไปด้วยผู้คนอีก ถึงเขามีสามสมองตาหกข้างก็ยังไม่เพียงพอ  ยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เขากลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา แต่ไม่สามารถอธิบายทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมพลางพูดว่า “ข้าน้อยก็มิทราบ รู้เพียงว่ามีคนไม่ระวังชนพลุไฟที่จุดล้มคว่ำ ท่านหญิงตกใจจากนั้น… จากนั้นเหตุการณ์ก็มิสามารถควบคุมได้!”


เขาไม่สามารถให้เหตุผลว่าเหตุเกิดจากอะไร เต๋อเฟยไม่สามารถปกป้องได้ เรื่องสำคัญเช่นนี้ทำได้เพียงแบกหน้าไปหาฮองเฮาให้ช่วยสืบสาวราวเรื่อง “ฮองเฮาเพคะ พระองค์ทรงคิดว่า…”


“บ่าวรับใช้ที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก!” หลัวฮองเฮาสีหน้าฉุนเฉียว ตรัสอย่างเยือกเย็นว่า “ใครก็ได้ ลากพวกมันออกไป บ่าวรับใช้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้ลากไปให้หมด โบยคนละยี่สิบไม้แล้วไล่ออกไป ในวังหลวงไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์!”


ในวังหลวงพวกบ่าวรับใช้ที่ทำกระทำความผิดถูกทำโทษโบยเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อใดที่ถูกขับไล่ออกจากวังแล้วนั่นหมายความว่าหมดหนทางที่จะไปต่อ


บ่าวรับใช้หลายสิบคนไม่สามารถทำอะไรได้จึงคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ บัดนั้นท่ามกลางบรรยากาศค่ำคืนรื่นเริงถูกลบเลือนหายไป


ฮองเฮาจ้องมองด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไปค่อยๆ แผ่รังสีอำมหิตไร้ซึ่งความปรานี


เต๋อเฟยนึกจะขอร้องแทนเจี่ยงลิ่ว พอเห็นใบหน้าฮองเฮาน้ำเสียงก็แหบแห้งขึ้นมาทันทีจึงไม่กล้าจะพูดแม้แต่คำเดียว


มีทหารองครักษ์มานำตัวเน่ยซื่อ บรรดาแม่นมร้องไห้น่าเวทนาเมื่อเห็นว่ากำลังจะลูกบีบบังคับลากตัวออกไป ทันใดก็มีมือน้อยๆที่มีรอยแผลเป็นที่สุดตากระตุกแขนเสื้อของฮองเฮาเบาๆ ให้ทำการไต่สวน


ท่านหญิงสามหลัวอวี่ก่วนตระกูลหลัวก้าวไปข้างหน้าอย่างระวัง ขอร้องฮองเฮาเสียงต่ำ “ฮองเฮาเพคะ เมื่อครู่นี้…เป็นเพียงอุบัติเหตุ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ขอฮองเฮาทรงไว้ชีวิตพวกเขาด้วยเถอะเพคะ!”


น้ำเสียงของนางแผ่วเบา เพราะตื่นตกใจมากไป บนใบหน้าเล็กๆ ซีดเซียว นัตย์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยละอองแห่งความโศกเศร้า พยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล


คิ้วของฮองเฮาขมวดโดยไม่รู้ตัว หันหน้าไปมองนาง


หลัวอวี่ก่วนรู้สึกประหลาดใจ รีบหลบสายตา ราวกับว่ากลัวที่ต้องสบสายตากับนางซึ่งหน้า


เต๋อเฟยมองดูสีหน้าของทั้งสองคน ทันใดนั้นในใจก็คิดออกกระทันหัน ดังนั้นจึงไม่รีรอให้ฮองเฮาปฏิเสธก็รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็วพลางพูดว่า “ท่านหญิงหลัว เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุอย่างงั้นรึ? แต่กลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอุบัติเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”


หลัวอวี่ก่วนดูเหมือนจะตกใจ ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ


ถือว่าฮองเฮาอยากที่จะแก้ไขปัญหาสงบลงแต่ก็ทำไม่ได้ คนอื่นๆ ต่างหันไปมองพระองค์ดวงตาเบิกกว้างเปล่งประกาย


ฮูหยินข่งโกรธหน้าดำหน้าแดงเพราะเรื่องที่บุตรสาวของนางถูกไฟไหม้ผมเผ้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ จะปล่อยผ่านไปง่ายๆได้อย่างไร?  รีบก้าวไปข้างหน้าพูดว่า “ท่านหญิงหลัวความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้นรึ? ท่านรู้อะไรบ้าง? ไม่ทราบว่าจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่ ที่นี่มีฮองเฮา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดคงไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน”


หลัวอวี่ก่วนพยายามก้มหัวต่ำ ขยี้เสื้อตนเองอย่างตึงเครียด แต่ไม่ได้โต้ตอบ มีท่าทีราวกับว่ามีคำพูดที่ปิดบังซ่อนเร้น ผ่านไปสักพักก็กระซิบเบาๆว่า “ไม่! ข้า… ข้าแค่เพียงทนไม่ไหว… ข้าทนไม่ได้ที่จะมองดูคนบริสุทธิ์ที่ต้องถูกลงโทษ!”


เต๋อเฟยได้ยินแล้วก็หัวเราะน้ำเสียงเย็นชา ไม่ได้ให้คำตอบและไม่ได้ปฏิเสธ “แม้ว่าเจ้าจะรับรองว่าคนพวกนี้บริสุทธิ์จริงกระนั้นก็ยังต้องพูดความจริงออกมา จึงจะสามารถปลดปล่อยความทนทุกข์ทรมานของพวกเขาไปได้ หากยังยืนยันที่จะปิดบังล่ะก็…ท่านหญิงสามจะต้องเจ็บปวดเพราะการที่เจ้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อช่วยฆาตกรเพียงคนเดียว?”


หลัวอวี่ก่วนถูกคำพูดเหล่านี้กดดัน เงยหน้ามามองนางสีหน้าหวาดกลัว


หลัวฮองเฮาสีหน้ากระวนกระวายใจ ท้ายที่สุดบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังหลัวอวี่ก่วนอดไม่ไหวก้าวมายืนต่อหน้าทุกคนแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าหลัวฮองเฮา “ท่านหญิงของหม่อมฉันไม่กล้าพูดเพคะ หม่อมฉันพูดเอง! เมื่อครู่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่อุบัติเหตุ เห็นได้ชัดว่ามีผู้ประสงค์จะทำร้ายท่านหญิงเพคะ!”


เมื่อพูดจบทุกคนต่างแสดงสีหน้าเหมือนรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้ตั้งนานแล้ว มีเพียงเต๋อเฟยที่โล่งอกทนไม่ไหวจึงยิ้มออกมา


————————————————————————




บทที่ 86 แย่งชิงความโปรดปราน (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เต๋อเฟยครุ่นคิดและมองไปรอบๆ สีหน้าเป็นกังวลแล้วพูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”


“สุ่ยอวี้! เจ้าห้ามพูดจาเหลวไหล!” หลัวอวี่ก่วนโกรธตะคอกใส่นาง


บ่าวรับใช้ที่มีนามว่าสุ่ยอวี้กลับทรยศนาง สักพักน้ำตาไหลริน ยังคงมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนชี้นิ้วท่ามกลางฝูงชนพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ท่านหญิงใหญ่เป็นคนทำต่างหาก! นางประสงค์จะทำร้ายท่านหญิงของหม่อมฉัน หม่อมฉันเห็นกับตา ว่านางตั้งใจจะเตะพลุไฟให้ล้มกลิ้ง หากบ่าวไม่ดึงตัวท่านหญิงออกกมา เสื้อผ้าที่สวมใส่อาจจะไหม้หมดแล้ว มิเช่นนั้นใบหน้าทั้งใบของท่านหญิงคงเสียโฉมไปแล้วเจ้าค่ะ!”


ข้อกล่าวหานี้เห็นได้ว่าตอนนี้ได้มาถึงจุดที่ได้ประกาศความจริงต่อหน้าผู้คนอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด


สายตาทุกคนมองไปยังนิ้วที่นางชี้ไปทางท่านหญิงหลัวซืออวี่


เดิมทีผู้ที่ยืนอยู่ข้างนางไม่กี่คนก็รีบหลบลี้ราวกับนางเป็นโรคระบาดแล้วถอยออกมาครึ่งก้าว แม้ว่าจะเป็นระยะห่างที่เล็กน้อย กลับทำให้หญิงผู้นั้นดูโดดเดี่ยวสีหน้าหวาดกลัวแสดงออกชัดเจนมากขึ้น


รูปโฉมภายนอกหลัวซืออวี่ไม่เหมือนหลัวอวี่ก่วนที่มีเสน่ห์ดึงดูด แต่กลับสุภาพอ่อนโยนเงียบสงบดูเป็นธรรมชาติเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่สง่างามตั้งแต่หัวจรดเท้า ปกติเมื่อมีการพบปะสังสรรค์นางจะสันโดษและเฉยชาแต่ไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดเท่าไหร่นัก


เช่นนี้แล้วนางจึงถูกคนกล่าวหาต่อหน้าฝูงชน หลัวซืออวี่แท้จริงเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสี่ ยามถูกจ้องเขม็งนางจึงหน้าขาวซีดทนไม่ไหวลุกลี้ลุกลนพูดโพล่ง “ข้าไม่ได้เป็นคนทำ!”


ฮองเฮากลับไม่ได้รีบไต่ถามให้ถี่ถ้วน มองนางด้วยแววตาพินิจพิจารณา


หลัวซืออวี่ตกตะลึงจากนั้นก็เรียกสติกลับมาจึงรีบร้อนสะบัดกระโปรง คุกเข่าลงแล้วแก้ตัวว่า “ฮองเฮาเพคะ ซืออวี่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ สุ่ยอวี้คงมองผิดคนเป็นแน่ หม่อมฉัน…”


“หลัวซืออวี่เจ้าเป็นคนของตระกูลหลัว พวกเจ้าสองคนหากเปรียบเปรยก็เหมือนปลาข้องเดียวกัน ตัวหนึ่งเน่าก็พาพลอยให้เหม็นไปด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านหญิงสามมีจุดประสงค์ต้องการที่จะทำลายชื่อเสียงเจ้า ทำให้ตนเองตกที่นั่งลำบากไปเพื่อเหตุใด?” เต๋อเฟยขัดจังหวะขณะหลัวซืออวี่กำลังพูด


ครั้งนี้เต๋อเฟยสงบสติอารมณ์ไว้ได้ นางคนใบชาที่อยู่ในจอกอย่างเนิบๆ แววตาหยิ่งยโส


นี่เป็นเรื่องที่หลานสาวหลัวฮองเฮายอมรับด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา


หลัวฮองเฮาไม่ได้ตอบหลัวอวี่ก่วนแต่อย่างใดเพียงรู้สึกรางๆ ว่าน่าจะมีผู้ที่รู้เรื่องราวเบื้องหลัง ต้องการที่จะเก็บไว้รอให้กลับไปตำหนักโซ่วคังแล้วจังค่อยสอบสวนอีกครั้ง ไม่ต้องการให้สุ่ยอวี้เปิดเผยต่อหน้าทุกคนเรื่องนี้ฮองเฮาจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้แล้ว


นางสีหน้าไม่ค่อยดีจ้องมองหลัวซืออวี่อย่างเย็นชาแล้วตรัสว่า “เจ้าหมายความว่าเป็นบ่าวรับใช้ของน้องสาวเจ้า ที่เตรียมการกล่าวหาผู้อื่น ประสงค์ใส่ร้ายเจ้าเช่นนั้นรึ?”


ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ทำให้หลัวซืออวี่หมดคำพูดจะโต้ตอบ!


ฉู่สวินหยางยืนอยู่ในฝูงชนเบะปากยิ้มเยาะ


ความขัดแย้งภายในของตระกูลหลัวถูกลากมาสู้ถึงในวัง ไม่ว่าจะเป็นหลัวอวี่ก่วนโยนความผิดให้ผู้อื่น หรือหลัวซืออวี่เป็นผู้ก่อเรื่อง ความวุ่นวายเหล่านี้จะยิ่งยืดเยื้อสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงศักดิ์ศรีของหลัวฮองเฮายิ่งนัก


คำพูดคลุมเครือของหลัวฮองเฮาแสดงให้เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดันหลัวซืออวี่


หลัวซืออวี่กัดริมฝีปากของนางขาวซีดอย่างชัดเจน


ตอนนั้นในฝูงชนมีคนอุทานขึ้นว่า “อ้อ! ข้านึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนั้นเปลวไฟดูเหมือนจะมาจากทางท่านหญิงหลัวจริงๆ”


เพียงคำพูดนั้นคำเดียวราวกับโยนหินลงไปในแม่น้ำอันสงบเงียบเดือนสาม ระหว่างนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่นึกถึงสถานการณ์นั้นขึ้นมาได้ ทุกคนต่างพร้อมใจกันพลอยเห็นตามไปด้วย…


ตอนนั้นสถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย แต่ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้อยู่ระว่างสองพี่น้องตระกูลหลัว


หลัวอวี่ก่วนไม่ได้พูดพิสูจน์หลักฐานจากปากตนเอง หลัวซืออวี่มองไปรอบๆ ด้วยความน่าเวทนา จวนจะหมดหวัง


สาวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังนางรออยู่นาน ต้องทนมองท่านหญิงของตนเองที่ต้องถูกคนพวกนั้นเกลียดชังไม่ไหว ในที่สุดนางก็ทนไม่ได้ที่จะต้องเปิดโปงเรื่องที่เกิดขึ้น


หลัวซืออวี่คาดเดาถึงเจตนาของนางได้ตั้งนานแล้ว กวาดสายตาคลุมเครือราวกับมีด แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ฉู่สวินหยางจ้องมองใบหน้านางโดยไม่ละสายตายังคงใช้สายตามองเพื่อล่วงรู้ถึงความลับนั้น


สาวรับใช้ถูกนางจ้องมอง ลืมตอบกลับพูดไม่ออกชั่วขณะ


ขณะนั้นเองฮูหยินตระกูลหลัวสองท่านได้ยินข่าวก็รีบเร่งมา หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้คร่าวๆ ฮูหยินใหญ่ไม่พูดอะไร นางคุกเข่าลงต่อหน้าลูกสาว ขวางกั้นสายตาอำมหิตที่กำลังจ้องมองหลัวซืออวี่ และก้มคำนับต่อฮองเฮาอย่างจริงใจพลางพูดว่า “ฮองเฮาเพคะ ซืออวี่เป็นคนที่พระองค์ทรงเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนโต นางเป็นคนอย่างไรพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือเพคะ? แม้นางจะอายุน้อย แต่ลูกสาวตระกูลหลัวไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอนเพคะ”


ฮูหยินรองก็โผเข้าไปกอดลูกสาวที่น่าสมเพชเวทนาพลางซับน้ำตาให้ เมื่อฟังจบก็เช็ดน้ำตาแล้วหันมาพูดว่า “เจ้าหมายความว่า ลูกของเจ้าใสซื่อบริสุทธิ์ กลับถูกสาวรับใช้ของท่านหญิงสามใส่ร้ายเป็นกับดักให้สองพี่น้องขัดแย้งกันรึ?”


ขณะที่พูดก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเขม่าควันที่ติดอยู่บนหน้าหลัวอวี่ก่วน เศร้าใจพลางถามว่า “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง? เจ็บมากหรือไม่?”


“ท่านแม่ ลูกไม่เป็นไร!” หลัวอวี่ก่วนตอบ กลั้นน้ำตาไว้แล้วผละฮูหยินรองออกไป จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าฮองเฮาพูดว่า “เสด็จป้าเมื่อครู่ตรงลานกว้างผู้คนมากมายเบียดเสียดกัน ทว่าระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่มีคนเดินชนกันเป็นเรื่องธรรมดา ท่านพี่โตมาด้วยกันกับหม่อมฉัน คอยดูแลเอาใจใส่หม่อมฉันเรื่อยมา หากเกิดเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนางจริง หม่อมฉันคิดว่า… น่าจะเป็นเพียงอุบัติเหตุเพคะ!”


หลัวซืออวี่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการพิสูจน์ความจริง มีเพียงแต่ฮูหยินใหญ่ที่กล่าวถึงผู้กระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอื่นต่างตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องราวที่สุดท้ายฮองเฮาจะตัดสินเช่นไร


ขณะนั้นเองฮั่วชิงเอ๋อร์ที่อยู่รอบนอกฝูงชนอดทนมานาน สุดท้ายทนไม่ไหวจึงถอนหายใจแล้วเบียดเสียดผู้คนเดินไปข้างหน้าพลางพูดว่า “มิใช่…”


จากนั้นนางยังไม่ทันตะโกนออกมาก็ถูกคนเอามือปิดปากนางไว้


ฮั่วชิงเอ๋อร์ตกใจ ใช้ข้อศอกจะศอกเข้าให้ ฉู่สวินหยางกลับเดาถูกว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของนางได้ จึงยกฝ่ามือป้องข้อศอกฮั่วชิงเอ๋อร์ไว้


ฮั่วชิงเอ๋อร์หันมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ปรากฏว่าผู้ที่ขัดขวางนางไว้คือฉู่สวินหยาง นางตกตะลึงงงงวย


ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัวห้ามนางไว้กระซิบว่า “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องนี้ มองดูก็พอ!”


ฮั่วชิงเอ๋อร์ลังเลใจ เวลานั้นฮองเฮารับสั่งอย่างเฉยเมยว่า “ถือเสียว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ บ่าวรับใช้ท่านหญิงใหญ่ก็ช่างไม่รู้ประสีประสา เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่รู้จักระมัดวัง ดีที่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคืออวี้ก่วน เรื่องของสองพี่น้องไม่เกี่ยวกับเจ้า หากว่าผู้เสียหายเป็นผู้อื่นเล่า พวกเจ้าจะให้ข้าอธิบายอย่างไร?”


“ใช่แล้วเพคะ เป็นความสะเพร่าของซืออวี่เพคะ!” หลัวซืออวี่รีบโขกศีรษะ


หลัวฮองเฮามองนางอย่างไร้ความรู้สึกจากนั้นก็ทอดสายตาไปมองหน้าฮูหยินใหญ่ตรัสว่า “นำตัวนางกลับไปสั่งสอนเสียใหม่ ลงโทษให้คัดลอกตำราหนี่ว์เจี้ยร้อยรอบ ก่อนหน้านี้ก็เก็บตัวคิดไตร่ตรองให้ดีซะ!”


ฮูหยินใหญ่ขมขื่นใจแต่ใบหน้ากลับดูเคารพยำเกรง “เพคะ หม่อมฉันจะทำตามฮองเฮารับสั่งเพคะ!”


หลัวฮองเฮาพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้สนใจสองแม่ลูก แต่กลับดึงมือหลัวอวี่ก่วนที่หลังมือบาดเจ็บมาดู สีหน้าราวกับค่อยๆโล่งอก แล้วตรัสกับแม่นมเหลียงว่า “พานางกลับไปตำหนักโซ่วคัง แล้วเรียกหมอหลวงมาดูอาการอย่างละเอียด หญิงงามไม่ควรมีรอยแผลเป็นอันขาด!”


“เพคะฮองเฮา!” แม่นมเหลียงถวายความเคารพและโน้มตัวไปประคองหลัวอวี่ก่วน


หลัวอวี่ก่วนรีบเอื้อมมือไปวางในมือสุ่ยอวี้พลางกล่าวแสดงความซาบซึ้งว่า “หม่อมฉันมิกล้ารบกวนฮองเฮา!”


พูดพลางแสดงการคำนับฮองเฮา หันหลังแล้วเดินตามแม่นมไป[1]


ฮูหยินรองมองดูสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย สายตาเป็นประกาย อิ่มอกอิ่มใจจนพูดไม่ออก


ในที่สุดท้ายเรื่องก็คลี่คลายไม่เพียงแต่เป็นพียงเรื่องวุ่นวายระหว่างหญิงสาวในครอบครัวของฮองเฮา ทุกคนต่างโล่งใจ


เต๋อเฟยก็เริ่มมีกำลังใจ ลองทูลถามฮองเฮาว่า “ฮองเฮาเพคะ พระองค์จะทรงจัดการกับบ่าวรับใช้พวกนี้อย่างไรเพคะ?”


“เนื่องจากละเลยต่อหน้าที่จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงความผิด ทำตามที่ข้าสั่งก่อนหน้าก็แล้วกัน สั่งโบยคนละยี่สิบไม้ จะได้เชือดไก่ให้ลิงดู” ฮองเฮาตรัสอย่างหงุดหงิด แต่ทรงไม่ได้รับสั่งเรื่องเนรเทศออกจากวังหลวง


เต๋อเฟยรู้สึกโล่งใจ บ่าวรับใช้ทั้งหมดก็ถูกนำไปลงโทษ


หลัวฮองเฮาโบกมือตรัสว่า “พวกเจ้าเลิกเบียดเสียดกันได้แล้ว ข้าเห็นแล้วปวดหัว พวกเจ้าออกไปได้แล้ว!”


ทุกคนคำนับแล้วถอยออกไป


        ฮูหยินใหญ่จูงมือหลัวซืออวี่แล้วทูลขออภัยโทษ แล้วออกจากวัง


        สองแม่ลูกเดินไปตามทางเดินอย่างนิ่งเงียบ แล้วแหวกคนที่อยู่ด้านหลังไกลออกไป ฮูหยินใหญ่ยากจะอดกลั้นถอนหายใจแรง ใช้แรงสัมผัสปลายนิ้วหลัวซืออวี่ไปมา สีหน้าหมองมัวและสับสนเอ่ยว่า “ทำให้เจ้าลำบากแล้ว!”


        “ลูกไม่ลำบากเลย!” หลัวซืออวี่ยิ้ม ระหว่างที่ยิ้มสีหน้าหวาดกลัวเมื่อครู่มลายหายไปตั้งนานแล้ว ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย คนนอกมองมาก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น


บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังนางเช็ดน้ำตาที่ไหลด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจพึมพำว่า “ท่านหญิงท่านต้องการให้พวกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้หรือคะ? วันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ชื่อเสียงของท่านอาจป่นปี้หมดแล้ว ถ้าหากเมื่อครู่ท่านหญิงให้บ่าวรับความผิดแทนคงจะดี!”


“เจ้าช่างโง่เขลานัก หากข้าให้เจ้ารับผิดแทน ตอนนี้เจ้าคิดว่าจะยังมีชีวิตเช่นอยู่อีกรึ?” ฮูหยินใหญ่ยิ้มขื่นขม เงยหน้าลูบเส้นผมเหยียนเอ๋อร์


หลัวซืออวี่จับมือเหยียนเอ๋อร์พูดว่า “ที่นี่ช่างเป็นที่ที่วุ่นวาย ข้ากำลังวางแผนเพื่อออกจากวัง วันนี้ก็สมใจปรารถนาแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ!”


————————————————————————


[1] หนี่ว์เจี้ย หนี่ว์ แปลว่า สตรี ส่วน เจี้ย หมายถึง ข้อห้าม หนี่ว์เจี้ย เป็นวรรณกรรมสอนสตรีภายใน “นารีจตุรปกรณ์” ที่ประพันธ์ขึ้นเป็นเรื่องแรก โดยวรรณกรรมสอนสตรีนี้มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “เตือนหญิง”




บทที่ 86 แย่งชิงความโปรดปราน (3)

โดย

Ink Stone_Romance

“ดี!” ฮูหยินใหญ่มองดูหลัวซืออวี่ แม้ว่ายังคงปวดใจยิ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สองแม่ลูกประคองกันเดินจากไป


“ความจริงแล้วเรื่องไม่ใช่อย่างที่ท่านหญิงสามพูด!” ทางด้านฮั่วชิงเอ๋อร์ลากฉู่สวินหยางเข้าไปข้างๆ สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว รอไม่ไหวที่จะเปิดเผยความจริง ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าก็อยู่ข้างๆ มองเห็นเต็มสองตาเลยทีเดียว”


ขณะที่ฮั่วชิงเอ๋อร์กำลังพูดก็ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว คว้ามือของฉู่สวินหยางขึ้นมาเขย่าพลางส่งสายตาให้นางช่วยเหลือ “เป็นเพราะสาวรับใช้ของหลัวอวี่ก่วนที่จงใจเดินไปชนท่านหญิงใหญ่หลัว ท่านหญิงใหญ่จึงล้มไปถูกกระบอกไม้ไผ่นั่น อีกอย่างตอนนั้นทิศทางที่กระบอกไม้ไผ่ล้มคว่ำไม่ได้พุ่งไปทางหลัวอวี่ก่วน พอกระบอกไม้ไผ่พลิกคว่ำคนรอบข้างก็ตกใจเตะพลุไฟพลิกคว่ำ สถานการณ์จึงวุ่นวายเช่นนี้ ต่อมากว่าทุกคนจะรู้เสื้อผ้าก็กำลังติดไฟลุกไหม้ไปแล้ว”


พอพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของฮั่วชิงเอ๋อร์แสดงความห่อเหี่ยวใจอย่างชัดเจน…


ฮั่วกังมีห้องสำหรับอนุภรรยาสองห้อง แต่เพราะว่าบ้านตระกูลฮั่วมีกฎระเบียบเคร่งครัด อนุทั้งสองต่างไม่มีลูกชายสืบสกุลดังนั้นในบ้านจึงปฏิบัติตามกฎเป็นกิจจะลักษณะมาโดยตลอด ใครก็ไม่กล้าก่อเรื่องต่อหน้าฮั่วฮูหยิน ในบ้านหลังนี้ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยวางแผนสกปรกเช่นนี้มาก่อน


ฮั่วชิงเอ๋อร์เป็นคนจิตใจซื่อตรง นางจึงคิดว่าตนเองรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่อยากปิดบังเรื่องนี้ไว้ นางไม่สามารถเห็นหญิงสาวที่ไร้มลทินถูกใส่ร้ายป้ายสี ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ยุติธรรมกับหลัวซืออวี่อยู่ดี


ฉู่สวินหยางเห็นว่าฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่มีทางออกและไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ฉู่สวินหยางทำได้เพียงปลอบใจกุมมือฮั่วชิงเอ๋อร์ไว้พลางพูดว่า “อย่าคิดมากไปเลย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในของตระกูลหลัว ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”


“ทว่าท่านหญิงใหญ่หลัวคงไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ตลอดไปหรอกรึ?” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูด นางแสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นก็ปรากฏต่อหน้าสาธารณชน ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่านางจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถูกตราหน้าว่าวางแผนทำร้ายลูกพี่ลูกน้องตนเอง ชื่อเสียงถูกประณามย่อยยับ”


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่องเช่นนี้?” ฉู่สวินหยางหัวเราะ ดวงตาเป็นประกาย กลับไม่ไว้หน้านางพูดขัดจังหวะขึ้นมา


ฮั่วชิงเอ๋อร์นิ่งงัน ขมวดคิ้ว สีหน้างงงวยพูดว่า “ท่านหญิงพูดเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นชัดว่า…”


“เจ้าคิดว่าท่านหญิงหลัวโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ รึ?” ฉู่สวินหยางถาม ดูเหมือนว่าฮั่วชิงเอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวจะโต้กลับ รีบส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “กระทั่งเจ้าเป็นคนนอกยังมองออกว่า เรื่องนี้หลัวอวี่ก่วนเป็นคนวางแผนทำร้ายตนเองเพื่อหลอกให้คนตายใจ นางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผู้อื่น?”


ฮั่วชิงเอ๋อร์ตกตะลึงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง


ฉู่สวินหยางไม่ได้มองชิงเอ๋อร์แต่พูดต่อว่า “เมื่อครู่ข้อกล่าวหาเป็นเท็จเหล่านั้นที่หลัวซืออวี่เผชิญ หากนางจงใจจริง เหตุใดแม้กระทั่งข้อแก้ตัวนางกลับไม่มีพูดออกมา?  ดูเหมือนนางกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็แก้ตัวไม่ขึ้นอยู่ดี  ทว่าแท้จริงแล้วนางมีเจตนาที่จะทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ และยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการต่างหาก”


“แต่…แต่ว่า…” ฮั่วชิงเอ๋อร์บิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ  ยังคงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น นางเร่งรุดก้าวเท้าสองก้าว ขมวดคิ้วมองฉู่สวินหยางพลางพูดว่า “เช่นนั้นแล้วนางทำเช่นนี้เพราเหตุใด? ตนเองยอมถูกปรักปรำ เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลดีกับนางเลย”


“เจ้าคงต้องไปถามนางเองแล้วว่า เรื่องนี้ข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้” ฉู่สวินหยางยิ้มกริ่ม


เงยหน้าขึ้นมามองไปข้างหน้าเห็นชายหนุ่มรูปงามสวมชุดอีฮวาสีม่วงอ่อนเดินตรงมาที่นาง


เขาก็คือฉู่ฉีเฟิง


“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางร้องเรียกแต่ไกล “ท่านมาได้อย่างไร?”


“ข้าได้ยินว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้น เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ฉู่ฉีเฟิงถาม ระหว่างที่สนทนาก็จับที่ไหล่ทั้งสองข้างของนาง มองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าสีหน้าเป็นกังวล


ฉู่สวินหยางยิ้มพลางพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้ายืนอยู่ไกล ไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย”


ฉู่ฉีเฟิงตรวจดูให้แน่ใจว่านางยังสภาพปกติดี มีเรี่ยวแรง เขาจึงจะวางใจ


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงพูด แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว


ฮั่วชิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบคุกเข่าลง ตามองต่ำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดว่า “คารวะท่านอ๋อง!”


รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ยิ้มแย้มร่าเริงแจ่มใส แต่ครั้งนี้กลับหน้าแดงเขินอายเล็กน้อย


“ท่านหญิงฮั่วไม่ต้องมากพิธีหรอก ลุกขึ้นเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกหน้าเล็กน้อย แล้วยิ้มนุ่มนวลพลางพูดเตือนสติว่า “วันนี้สถานการณ์ในวังไม่สู้ดีนัก พวกเจ้าอย่าเดินไปไหนมาไหนตามลำพัง ต้องระวังตัวด้วย”


“อืม!” ทั้งสองพยักหน้า


สายตาของฉู่ฉีเฟิงก็เปลี่ยนไปมองใบหน้าของฉู่สวินหยางเอ่ยว่า “อีกครู่เจ้ารออยู่ที่ตำหนักเจาเต๋อก่อนเถอะ แล้วอีกสองเค่อข้าจะมารับเจ้าที่นี่ แล้วออกจากวังพร้อมกัน”


“ก็ได้!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า


ฉู่ฉีเฟิงยังมีเรื่องจะต้องไปจัดการ จึงไม่มีกระจิตกระใจอยู่ที่นี่ต่อ เขาสะบัดชายเสื้อหันหลังเดินจากไป


ฮั่วชิงเอ๋อร์เหลียวมองเขาเดินจากไปด้วยใบหน้าเปล่งประกายสดใส แต่นัยน์ตากลับเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์


สายตาของฉู่สวินหยางกลับมองนางแต่ไม่ได้ทำอะไร ขณะที่ในใจกลับถอนหายใจแผ่วเบา


หญิงสาวตระกูลฮั่วและตำหนักบูรพามักเกิดเรื่องบ่อยครั้ง นางและฮั่วชิงเอ๋อร์ไปมาหาสู่กันบ่อย ระหว่างฮั่วชิงเอ๋อร์และฉู่ฉีเฟิงก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน


ฮั่วชิงเอ๋อร์แอบรักฉู่ฉีเฟิง ดูเหมือนว่าชาติก่อนเป็นพรหมลิขิตระหว่างเขาสองคน เมื่อครั้งที่ฉู่ฉีเฟิงเกิดเรื่อง คนในตระกูลฮั่วก็รีบไปทาบทามสู่ขอทันที ต้องการให้ลูกสาวได้แต่งงานเป็นคู่ครองกับเขา


ตอนนั้นฮ่องเต้ยังคงรู้สึกเศร้าสร้อยเพราะพระองค์ไม่ได้ดูแลเขามาอย่างดีตั้งแต่เล็กดังนั้นจึงตอบรับโดยไม่ลังเล สุดท้ายฉู่ฉีเฟิงเข้าวังด้วยตนเอง เนื่องจากเขาพิการจึงไม่อยากจะเป็นภาระของตระกูลนั้นจึงปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้


ตอนนั้นฉู่ฉีเฟิงคิดว่าฉู่สวินหยางเข้าใจผิดมาโดยตลอด แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจหรือเป็นเพียงแค่ข้ออ้างหนึ่งที่เขาต้องการจะบ่ายเบี่ยง


เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ ท่าทีของฉู่ฉีเฟิงดูเหมือนว่าเขาไม่มีใจให้ฮั่วชิงเอ๋อร์


ส่วนความทุกข์ใจของฮั่วชิงเอ๋อร์ฉู่สวินหยางรู้อยู่แก่ใจดี แต่ทำได้เพียงหลับหูหลับตาแกล้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากช่วยให้สมปรารถนา แต่เป็นเพราะฉู่สวินหยางรู้ดีว่านิสัยส่วนตัวของฉู่ฉีเฟิงเป็นเช่นไร นางมองว่าเขาเป็นพี่ชายที่สุภาพอ่อนโยนสูงส่งสง่างามดุจหยกล้ำค่า ลึกๆ เป็นคนที่ดื้อรั้นและมีความคิดเป็นของตนเอง หากเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ใครเอาอะไรมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ แม้ว่าตนเองจะ…


พออยู่ต่อหน้าเขากลับพูดอะไรไม่ได้


ฉะนั้นแล้วเลือกที่จะไม่พูดเสียดีกว่า หากต้องการจะให้ความหวังผู้อื่น สุดท้ายแล้วก็ไม่ช่วยอะไร นอกเสียจาก…


มิใช่เป็นการสร้างบาดแผลให้เจ็บเพิ่มมากขึ้นหรือ?”


ฉู่สวินหยางส่ายหัวสลัดเอาความคิดที่ไม่จริงนี้ออกไป นางหันกลับมากุมมือฮั่วชิงเอ๋อร์พลางพูดว่า “ไปกันเถอะ เรากลับไปรอที่ตำหนักเถอะ ประเดี๋ยวฮั่วฮูหยินหาไม่พบจะพลอยเป็นกังวล”


“ได้!”ฮั่วชิงเอ๋อร์พยักหน้า


ขณะที่กำลังหันกลับไปก็อดไม่ไหวที่จะมองกลับไปยังทางเล็กๆข้างหลัง


พอตกกลางคืนหมอกหนาที่นั่นก็ไม่มีแม้แต่เงาของผู้นั้นที่กำลังเดินจากไป


ฉู่สวินหยางเดินตามเธอถอยกลับไปสองก้าว ทันใดนั้นนึกขึ้นมาได้จึงหยุดก้าวเท้า


ฮั่วชิงเอ๋อร์หันกลับไป ถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”


“ดูเหมือนว่าข้าไม่ได้พบน้องหญิงสี่มาสักพักแล้ว ข้าจะต้องไปเยี่ยมนางสักหน่อย เช่นนั้นอีกสักครู่ออกจากวังคนผู้มากมาย น้องสาวคงหาเราไม่เจอแล้ว” ฉู่สวินหยางพูดพลางยิ้มด้วยความเกรงใจ


“เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง!” ฮั่วชิงเอ๋อร์พูด


“ข้าไปคนเดียวดีกว่า เจ้าออกไปไกลเกินไปฮั่วฮูหยินจะเป็นกังวล” ฉู่สวินหยางพูดพลางตบหลังมือนางเบาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรเส้นทางในวังหลวงข้าชำนาญ ไม่มีปัญหาหรอก”


ฮั่วชิงเอ๋อร์ครุ่นคิดในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ได้ เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ!”


“ได้!” ฉู่สวินหยางตอบ แล้วมองนางเดินกลับตำหนักไป ผ่านไปสักพักมีเงาปรากฏอยู่ตรงสวนดอกไม้ มีคนหัวเราะอย่างร่าเริงเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้ด้านข้างไม่ไกลนัก


ตั้งแต่ที่ท่านหญิงอันเล่อเกิดเรื่องขึ้น ภายในช่วงนี้หลัวฮองเฮาทรงมีพระบรมราชโองการ ทรงประสงค์ให้ท่านหญิงตระกูลหลัวทั้งสองเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อน”เหยียนหลิงจวินพูด ไม่รู้ว่าแอบฟังนานเพียงใด ตอนที่เดินออกมานั้นก็ไม่รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด “นางหมายความว่าท่านหญิงทั้งสองคนหนึ่งในนั้นจะถูกเลือกออกมาคนหนึ่งเพื่อมาอยู่ข้างกายและรอดำรงตำแหน่งแทนท่านหญิงอันเล่อที่ว่างอยู่ คงเป็นโอกาสทองที่จะได้เลื่อนตำแหน่งที่ควรค่าจะพนันสักตา”


ฉู่สวินหยางไม่สนใจเหยียนหลิงจวิน เพียงแต่ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางเอ่ย “ท่านหญิงใหญ่หลัวคนนั้นช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก แท้จริงแล้วสามารถอดทนอดกลั้นได้ถึงเพียงนี้เชียว!”


น้ำเสียงนางเนิบแต่ไม่ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วเป็นการประชดหรือชื่นชม


“เมื่อก่อนหลัวฮองเฮาวางแผนเพื่อจะให้ฝ่าบาททรงรับปากส่งลูกชายตระกูลหลัวไปควบคุมดูแลค่ายทหารที่ฉู่โจว” เหยียนหลิงจวินดูเหมือนจะเลิกสนใจเรื่องของท่านหญิงทั้งสอง เบี่ยงเบนไปคุยเรื่องอื่นแทน


ฉู่สวินหยางมองเขาแล้วเม้มปาก สายตาก็จริงจังขึ้นมา


“ตอนนั้นฮูหยินคนก่อนตระกูลหลัวเสียชีวิตไปพระมารดาผู้ให้กำเนิดหลัวฮองเฮาจึงได้แต่งเข้าสืบสกุลเป็นฮูหยินตระกูลหลัว ดังนั้นหลัวฮองเฮาถึงแม้ว่าจะเป็นสายตรง แต่พระองค์และหลัวกั๋วกงที่ตอนนี้เป็นผู้ถืออำนาจของตระกูลหลัว ความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน” ฉู่สวินหยางสูดหายใจลึกทอดสายตาไปไกลเห็นหลัวฮองเฮาที่ถูกคุ้มกันถูกล้อมรอบดั่งดาวล้อมเดือน


 “ผู้หญิงคนนี้ได้รับการสถาปนานั่งบัลลังก์เป็นมารดาแห่งแคว้นและได้ควบคุมฝ่ายใน นับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน นึกว่าตนเองนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลหลัว ทุกคนในตระกูลหลัวล้วนก้มหัวให้นาง ทุกอย่างอยู่ในกำมือของนาง หลัวกั๋วกงเผอิญเป็นผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของฮองเฮา กระทั่งรัชทายาทซื่อจื่อหลัวเว่ยปฏิบัติต่อฮองเฮาอย่างหน้าไหว้หลังหลอก ฮองเฮาทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ภายนอกแม้ไม่พูดจา แต่ใจจริงให้ความสำคัญกับฮูหยินรองตระกูลหลัวเป็นอย่างมาก”


————————————————————————




บทที่ 86 แย่งชิงความโปรดปราน (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“ความหมายของเจ้าก็คือ… ปลดลูกคนโตแล้วแต่งตั้งลูกอีกคน จากนั้นก็สนับสนุนหลัวอี้ขึ้นครองราชย์แทนอย่างนั้นรึ?” เหยียนหลิงจวินคิดพิจารณา ทนไม่ไหวถอนหายใจพลางพูดว่า “หญิงผู้นี้มือยาวสาวได้สาวเอา นางไม่คิดว่าตนโลภมากไปหน่อยหรือ?”


“พูดถึงประเด็นนี้ ฮองเฮาและฝ่าบาท สองสามีภรรยาสามารถพูดได้ว่าต่างคนต่างไม่ด้อยไปกว่ากัน” ฉู่สวินหยางพูด “ตั้งแต่ต้นจนจบต่างต้องการควบคุมผู้อื่นให้อยู่ภายใต้อำนาจตน หากคิดดูดีๆ ตอนนี้ฮองเฮามีพระชนมพรรษาขนาดนี้พยายามจะทำเรื่องเหล่านี้นางจะสามารถทำเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”


“ฮ่องเต้องค์นี้ก็ทรงเป็นผู้บุกเบิกแว่นแคว้น กว่าจะได้มานั่งบัลลังก์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทรงมีอำนาจอยู่ในมือก็ปรารถนาว่าตนจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น” เหยียนหลิงจวินพูดพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า “ท่านอาจารย์ดื่มมากไปแล้ว ข้าขอตัวไปส่งอาจารย์กลับก่อน ข้าจึงมาบอกลาเจ้าสักหน่อย”


“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าไม่ได้ห้ามอะไร “เช่นนั้นท่านก็รักษาตัวด้วย!”


ภายในมีความหมายแอบแฝง เหยียนหลิงจวินได้ฟังก็เข้าใจ


“ไม่เป็นไร! เรื่องภายในตำหนักเจาเต๋อเพิ่งเกิดเรื่องขึ้นได้ไม่นาน ภายในเวลาอันสั้นพวกเขาจึงต้องการหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย คงไม่ทำเรื่องเสียหายแน่นอน!” เขายิ้มแล้วเงยหน้าใช้มือลูบผมม้าบนหน้าผากของนาง


นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาดูเหมือนว่าจะเป็นติดนิสัย มักคิดว่าทุกครั้งที่สัมผัสเส้นผมนางทำให้เขารู้สึกดี เส้นผมมีสัมผัสที่นุ่มนวลสลวย หลังจากที่สัมผัสผมที่หนานุ่มทำให้เขาคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งทำให้นางยิ่งน่าดึงดูดใจช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก เขาตามองต่ำลง รอยยิ้มยิ่งลึกซึ้งแน่นแฟ้นมากขึ้น


ฉู่สวินหยางไม่เคยคิดว่าเขาจะคิดมิดีมิร้าย เพียงแต่นางรู้สึกแปลกประหลาดจึงถอยหลังหนึ่งก้าว นางอุตส่าห์จัดแต่งทรงผมอย่างดีกลับถูกเขาทำเสียทรงหมด


หลังจากที่เหยียนหลิงจวินบอกลาฉู่สวินหยาง เขาก็พยุงเฉินเกิงเหนียนที่เมามายไม่ได้สติออกจากวัง พอกำลังจะแบกเขาขึ้นรถม้าก็เหลือบไปเห็นต้นหลิวด้านข้างที่ลู่กิ่งก้านสาขาลงมา ใต้ต้นมีเงาคนกำลังเดินตรงมา


ไม่ใช่ใครอื่นใดแต่เป็นฉู่ฉีเหยียน


แม้ว่าเขาทั้งสองความคิดไม่ตรงกัน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่บังเอิญเดินมาเจอหน้ากัน


เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก เขารู้ว่าคนๆ นี้จงใจเดินตรงเข้ามาไม่หลบลี้หนีหน้า แสร้งสั่งการอิ้งจื่อแล้วหันหลังกลับไปคำนับ


“ช่างบังเอิญนัก  ซื่อจื่อกำลังรออยู่ที่นี่เพื่อส่งข้าออกจากวังเช่นนั้นหรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้ม


ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำ ฉีฉู่เหยียนมองซื่อจื่อ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งและมั่นคงพลางพูดว่า “ช่างบังเอิญยิ่งนัก ตอนที่หรงเฟยเป็นลมหมดสติก็ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้เชียว?”


ทั้งสองจ้องมองตาฝ่ายตรงข้ามตาต่อตาฟันต่อฟัน


ในค่ำคืนที่ขุ่นมัวราวกับหมู่ดาวไร้แสงท้องฟ้ามืดมิดดุจความอำมหิตเยือกเย็น


เหยียนหลิงจวินยอมรับเรื่องที่ฉู่ฉีเหยียนซื่อจื่อกำลังทดสอบเขาอย่างตรงไปตรงมา


เขาก้มหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาแสร้งยิ้มไม่หยุด แล้วถามกลับไปว่า “เช่นนั้นแล้วจะทำไม?”


“เจ้าวางแผนจะทำร้ายหรงเฟยอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ระหว่างที่กำลังพูดสายตาของเขาจ้องมองเหยียนหลิงจวินอย่างฉับพลัน และพยายามมองผ่านสายตาของเขาว่ามีจุดด่างพร้อยหรือไม่


แต่ก็ไร้ประโยชน์ สายตาของเหยียนหลิงจวินดูเป็นปกติ เขาเพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร


ฉู่ฉีเหยียนไม่สามารถทำอะไรได้จึงทำได้เพียงแค่พูด “แม้ว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเจ้าไปตำหนักของหรงเฟยครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความสามารถของเจ้า หากว่าวางแผนคิดจะทำร้ายนางเรื่องนี้คงไม่ยากน่ะสิ? หรือไม่ก็…”


พอพูดจบขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด น้ำเสียงนั้นที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า “เจ้าใช้ใต้เท้าหลี่เป็นเครื่องมือเช่นนั้นรึ? ทุกวันยาที่หรงเฟยจะต้องดื่มบำรุงครรภ์จะต้องผ่านมือเจ้าก่อน เจ้านั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับมา ขณะที่ใต้เท้าหลี่ไม่รู้เรื่องที่เจ้ากลับวางแผนคิดร้ายวางยาหรงเฟย นี่คงมิใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าเลย!”


ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นลมหมดสติกะทันหัน ไม่มีใครคาดคิด ดูจากปฏิกิริยาของฝ่าบาทแล้วก็ไม่น่าใช่การกระทำของพระองค์


ฉะนั้นแล้วตอนนี้มีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือ…


เรื่องนี้มาจากฝีมือของเหยียนหลิงจวิน เป็นเขานั่นเอง!


จะต้องเป็นเขาที่ใช้ยาชนิดหนึ่งที่สามารถควบคุมทั่วป๋าหรงเหยาไว้ แล้วบังเอิญทำให้ทั่วป๋าหรงเหยาเป็นลมล้มลงไปแล้วยังสร้างภาพลวงตาให้ทุกคนคิดว่านางถูกผีสิง!


แม้ว่าเหยียนหลิงจวินจะสามารถเตรียมยาที่สามารถควบคุมการออกฤทธิ์ตามเวลาแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลไหนมาอธิบายได้สมเหตุมากกว่านี้


“ซื่อจื่อท่านพูดมาตั้งมากมาย เพียงเพื่อที่จะลองใจข้าเท่านั้น!” เหยีนหลิงจวินยิ้มเล็กน้อย แม้เขาทั้งสองรู้ความจริงอยู่แก่ใจแต่ไม่กล้ายอมรับ


เขายกมือไปดึงกิ่งต้นหลิวที่ลู่ลงมาลงมาตรงหน้า แล้วปล่อยมือกิ่งหลิวนั้นก็แกว่งไกวไปมาทำให้เกิดเสียงลมแหลมคมอยู่กลางอากาศ


“เจ้าจะพูดอย่างไรก็ช่าง สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ฮ่องเต้ต้องเป็นคนตัดสิน” เหยียนหลิงจวินพูดพลางแสร้งยิ้ม “เพลานี้ดึกมากแล้ว หากซื่อจื่อไม่มีข้อสงสัยแล้ว เอาเป็นว่าวันหลังค่อยพบกันใหม่ ข้าขอตัวก่อน!”


เมื่อพูดจบก็หันกลับแล้วเดินไปยังรถม้าของเขา


ฉู่ฉีเหยียนมองดูเขาค่อยๆ เดินจากไป ดวงตาเป็นประกายเยือกเย็นอำมหิต


เขาไม่ขยับตัวเพียงแต่เปล่งเสียงสูงตะโกนออกมา “ความจริงแล้วเจ้าใช้อะไรควบคุมหรงเฟยไม่สำคัญ สิ่งที่ข้าสงสัยคือเจ้าให้สินบนอะไรกับหยางเฉิงกังจึงสามารถทำให้เขาทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ!”


หยางเฉินเกิงเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท ก็คบหาสมาคมกับเหยียนหลิงจวินที่เพิ่งเข้ามาใหม่รึ? ต้องการติดสินบนให้หยางเฉิงกังให้ช่วยเป็นพยานเท็จต่อหน้าฝ่าบาท? เรื่องเช่นนี้ไม่น่าเป็นไปได้


ข้อสงสัยที่เขาถามเหยียนหลิงจวินเป็นเพียงลมปากที่เหยียนหลิงจวินไม่แยแส แล้วเขาค่อยๆ เดินจากไปอย่างช้าๆ


ฉู่ฉีเหยียนเห็นท่าทางที่เขาทำเป็นไม่สนใจใยดีฉู่ฉีเหยียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แสดงอาการที่ยากนักจะปรากฏ แสดงสีหน้าเย็นชา


หลี่หลินเดินมาจากข้างหลังถามด้วยความกังวลว่า “ซื่อจื่อท่านเกรงว่าเขาจะใช้หยางเฉิงกังก่อเหตุเช่นนั้นหรือ?”


“เขาไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้น!” ฉู่ฉีเหยียนพูดพลางยิ้มเหน็บแนม สายตาจ้องมองรถม้าตระกูลเฉินชั่วขณะ “ฝ่าบาททรงจิตใจโหดเหี้ยม แม้เหยียนหลิงจวินจะมีความสามารถล้นฟ้าเพียงใด ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะหูเบาเชื่อเขาแน่นอน” เจ้าก็รู้ว่าเรื่องทุ่มเทมากไปท้ายที่สุดจะคว้าน้ำเหลว!” นับประสาอะไรกับหรงเฟยเล่า? แม้นในครรภ์จะเป็นโอรสสวรรค์ ภายหลังคนที่กำลังถูกหยางเฉินเกิงลากออกมา ขอเพียงมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ ข้าเอาหัวเป็นประกันว่าแผนที่พวกเขาวางไว้มานานจะสูญเปล่า เพราะจะทำให้ฮ่องเต้ทรงสงสัยเป็นลำดับแรก”


ทั่วป๋าหรงเหยาตัวคนเดียวจะมีอำนาจเท่าไหร่กันเชียว? อีกอย่างนางเพิ่งมาอยู่ซีเยว่ได้ไม่นาน? ทั้งยังเป็นหญิงจากชนเผ่าอื่น นางบอกว่ามีผู้ต้องการเอาชนะนางรึ?  หากอ้างว่านางโชคร้ายทำให้ผู้อื่นเกิดปัญหายังจะดีเสียกว่า


ฉะนั้นทางด้านหยางเฉิงกัง คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้จึงหลับหูหลับตาทอดสะพานให้ ไม่ว่าจะเป็นเหยียนหลิงจวินหรือฉู่สวินหยางก็ตาม พวกเขาไม่มีทางเอามาเป็นอาวุธในการลอบทำร้ายอ๋องหนานเหอหรือเชื้อพระวงศ์ในวังของชนเผ่าแน่


ข้อนี้ฉู่ฉีเหยียนไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย


หลี่หลิงฟังจบใจก็หล่นอยู่ที่ตาตุ่ม พอเรียกสติกลับมาก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่งว่า “ ซื่อจื่อ เมื่อครู่ทั่วป๋าไหวอันได้เดินออกไปจากวังทางประตูทิศบูรพา วันนี้ที่ตำหนักเกิดเรื่องขึ้น พระองค์จะไปพบเขาพูดให้กระจ่างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


“แผนการที่วางไว้ของฮ่องเต้ล้มเหลว เขากำลังกริ้วโกรธ เวลานี้ยังไม่รู้ว่าให้คนจับตามองทั่วป๋าไหวอันอยู่มากน้อยเพียงใด ใครกล้าเข้าไปยุ่งเท่ากับรนหาที่ตาย!” ฉู่ฉีเหยียนน้ำเสียงเย็นชา คว้าแส้ม้าพลางพูดว่า “กลับวัง!”


หลี่หลินรีบเรียกให้บ่าวรับใช้จูงม้ามา กลุ่มคนที่นั่งอยู่บนม้าเฆี่ยนม้าพลางควบม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหนานเหอ


ทางด้านเหยียนหลิงจวินจัดการกับเฉินเกิงเหนียนเรียบร้อยแล้ว พอกำลังจะขึ้นรถก็มองเห็นม้าเร็ววิ่งมาฝุ่นตลบ กลางค่ำคืนมืดมิด เสียงเกือกม้าวิ่งเร็วดังก้องฝุ่นกลุ่มขนาดใหญ่ลอยล่อง วิ่งไปอย่างรีบร้อน


เงาผู้นั้นที่กำลังวิ่งมาช่างคุ้นตา เหยียนหลิงจวินยืนรออยู่ที่เดิมอย่างใจจดใจจ่อ


ผู้นั้นควบม้าวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่ไกล ม้ายังไม่ทันได้หยุดนิ่งก็กระโดดลงมาจากหลังม้า เสื้อคลุมที่อยู่ข้างหลังสีเพลิงชาดสะบัดพลิ้วกลางอากาศ ธงปลิวไสวตามสายลม ที่แท้เขาก็คือซูอี้ คุณชายรองตระกูลซู


บนใบหน้าของซูอี้ต่างจากในอดีตที่เคยอ่อนโยนและสงบนิ่ง ท่าทางเคร่งขรึมค่อนข้างใจร้อน เหยียนหลิงจวินยังไม่ทันจะอ้าปากพูดเขาก็รีบแจ้งทันทีว่า “จวินอวี้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”


เหยียนหลิงจวินเลิกคิ้ว ทันใดในหัวก็ผุดคิดขึ้นมาเรื่องหนึ่งและถามว่า “เป็นเรื่องของโม่เป่ยใช่หรือไม่?”


“หอเชียนจีเพิ่งได้รับข่าวล่าสุดว่าโม่เป่ยซื่อจื่อขณะที่ล่าสัตว์ถูกห่าฝนธนูยิงเข้าใส่ ตอนนี้อาการทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่า…อนาคตอันใกล้จะเกิดเรื่องวุ่นวาย!” ซูอวี้น้ำเสียงเศร้าโศก


เหยียนหลิงจวินใจเต้นแรง พอกำลังจะตอบกลับ เขาชำเลืองหันไปยังประตูวัง และเห็นว่าฉู่สวินหยางกำลังนำบ่าวรับใช้สองคนเดินลงมาจากทางสะพานหร่วน


ซูอี้มองดูบ่าวรับใช้ทั้งสองคนดูตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามหากกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ส่วนฉู่สวินหยางสายตาแหลมคม ครั้งแรกก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวบริเวณนั้น


สายตาเหยียนหลิงจวินที่ไม่สามารถอธิบายได้ยลเห็นสายตาที่ใสบริสุทธิ์ของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็นท่ามกลางคืนราตรี ยิ่งไปกว่านั้น…


บรรยากาศควบแน่นด้วยรังสีเจตนาลอบสังหารแผ่ขยายออกมา!


————————————————————————


บทที่ 87 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก (1)

โดย

Ink Stone_Romance

 


ในเวลานั้น เหยียนหลิงจวินจู่ๆ ก็จิตใจว้าวุ่น มือไม้อ่อนขึ้นมาชั่วขณะ


สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เขาก็ยังอยากที่จะตามไป


ทางด้านฉู่สวินหยางที่เหมือนจะเงียบไปสักพัก ไม่รั้งรอให้เหยียนหลิงจวินได้ทำอะไร นางก็พาตัวสาวใช้ทั้งสองคนเดินตรงลิ่วนำหน้าเขาไปก่อนหนึ่งก้าว


ใบหน้านั้นเผยอารมณ์ราบเรียบเช่นเคย ดวงตาที่ระยิบระยับดั่งสายน้ำพร่างพราว ทั้งยังแฝงด้วยความสดใสและเจ้าเล่ห์แบบสาวน้อยอย่างเป็นเอกลักษณ์ของนาง


เหยียนหลิงจวินไม่อาจจะชะล่าใจ ขมวดหัวคิ้วขึ้นแผ่วเบา รอจนนางเดินเข้ามาใกล้


แม้ว่าจะมองไม่ออกถึงสัญญาณความโกรธจากการกระทำและใบหน้าของนาง ในใจเขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่แจ่มชัด


ผู้หญิงคนนี้วางแผนจะก่อกวนเขาแน่ๆ


ซูอี้ที่อยู่ด้านหลังเห็นท่าทางของทั้งสองคน จึงแสร้งไอในลำคอคล้ายกับจับไข้ เพียงเพื่อต้องการจะหลบหลีกจากสถานการณ์


มองเห็นฉู่สวินหยางที่เดินมาใกล้ เหยียนหลิงจวินก็ก้าวเท้าตามไปทันที กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ซินเป่า เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้า…”


“เมื่อครู่มิใช่ว่าเจอกันในวังแล้วหรอกหรือ? ยังมีเรื่องเร่งด่วนอันใดอีก?” ฉู่สวินหยางเอ่ยปากถามออกไปเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับจับจ้องอย่างไม่ลดละ เวลานี้ได้เดินผ่านเขาไป เดินยิ้มไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูอี้ “คุณชายท่านนี้ไม่คุ้นหน้าเสียเลย เป็นสหายของใต้เท้าเหยียนหลิงใช่หรือไม่?”


นางกระพริบตาปริบ ท่วงท่าแลดูเป็นธรรมชาติ ทั้งยังแนบเนียนไม่หยอก


หัวใจของเหยียนหลิงจวินราวกับถูกแขวนไว้กลางอากาศ


ก่อนหน้านี้ที่นางถามขึ้นต่อหน้า ทั้งยังเคยขอให้เขาช่วยตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของซูอี้ เวลานี้เห็นได้ชัดว่าซูอี้กระวนกระวายใจทั้งยังแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่สะดวกใจ ดังนั้นเหยียนหลิงจวินจึงทำเป็นไม่เห็นเขาไป แต่ขณะนี้กลับถูกนางยกมาพูดต่อหน้าอย่างจัง


นางอาจจะคิดว่าเขามีเจตนาที่จะปิดบัง? ไม่ก็มีอะไรที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก


หรืออาจจะมีเจตนาอย่างอื่นแฝง?


“ซิน…” เหยียนหลิงจวินขยับปากเอ่ยขึ้น เดินเข้ามาใกล้ กระตือรือร้นที่จะอธิบาย แต่เนื่องจากซูอี้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งยังมีแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงทยอยออกมาจากประตูวังเรื่อยๆ จึงไม่กล้าจะคุยกับนางอย่างเปิดเผย


แท้ที่จริงแล้วไม่เพียงแต่เหยียนหลิงจวิน แม้แต่ซูอี้ที่เพิ่งจะพบเจอกับฉู่สวินหยางเป็นคราแรก ในใจก็ยังเกิดความรู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ


สาวน้อยตรงหน้าดูงดงามสดใส คิ้วโก่งโค้งที่บางราวปีกกายกขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงงามเพียบพร้อมทว่าหยิ่งยโส สายตาแข็งรั้น รอยยิ้มที่ปรากฏในดวงตาดูเย็นเยียบ ทว่ากลับทำให้คนหาเหตุผลมาติไม่พบ


เมื่อถูกนางมองเช่นนี้  ถึงแม้จะไม่ได้เผยพิรุธอะไรออกไป แต่ก็ทำให้คนรู้สึกว้าวุ่นอย่างไร้สาเหตุ เป็นความรู้สึกกระวนกระวายทั้งยังเกรงกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


มุมปากของซูอี้ยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนพลางพยักหน้ารับ “ท่านหญิงสวินหยาง ได้ยินชื่อเสียงมานาน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”


ปากพูดออกไปแต่ในใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกที่น่าขนลุกนั้นเป็นตัวแสดงได้อย่างดีว่าเขากำลังร้อนรน


“อย่างนั้นหรือ? ท่านเองก็รู้จักข้า?” เขาพูดได้ครึ่งเดียวก็ถูกฉู่สวินหยางเอ่ยขัดด้วยความยินดีขึ้นก่อน ท่าทางราวกับดีอกดีใจเป็นอย่างมาก


ซูอี้ถึงกับงุนงง ชะงักไปพักใหญ่


ใบหน้าที่สง่างามของเหยียนหลิงจวินดูบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จับชายเสื้อนางเอาไว้แผ่วเบา พูดด้วยเสียงต่ำว่า “เกิดเรื่องขึ้นที่โม่เป่ย เป็นเรื่องเร่งด่วน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังภายหลัง”


มองเห็นคนที่ออกมาจากวังมากขึ้นเรื่อยๆ ซูอี้จึงรีบต่อรับบทสนทนาด้วยความรีบร้อน  “ในเมื่อพวกท่านมีเรื่องที่จะหารือกัน เช่นนั้นข้าต้องขอตัว ครั้งหน้า…”


ฉู่สวินหยางยื่นปากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนว่าข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับโม่เป่ยจะไม่เป็นที่สนใจของนางสักเท่าไร จู่ๆ นางก็ทำตาโต เดินด้วยความรวดเร็วไปดึงบังเหียนม้าของเขาตัวนั้น เอ่ยขึ้นว่า “รูปร่างของม้าตัวนี้ต่างจากม้าที่ถูกเลี้ยงในแคว้นพวกข้าอยู่บ้าง ว่ากันว่าเป็นลักษณะพิเศษที่มาจากดินแดนหิมะทางตะวันตกใช่หรือไม่?”


“ท่านหญิงความรู้กว้างไกล?” ซูอี้ยิ้มขมขื่น คล้อยตามอย่างใจลอย ทำท่าทีราวกับว่าอยากจะคุยเรื่องความเป็นมาของม้าตัวนี้กับนางเสียเต็มประดา ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายังมีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย ขออภัยท่านหญิง ต้องขอตัวก่อน?”


ขณะพูด ก็เตรียมที่จะแย่งบังเหียนม้าในมือฉู่สวินหยาง


ฉู่สวินหยางค่อยๆ คลายมือออก ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตร กล่าวว่า “ม้าของท่านตัวนี้ หายากนัก ข้าชอบมาก ท่านจะให้ข้ายืมสักสองวันได้หรือไม่?”


เวลานี้ สถานที่แบบนี้ อย่างไรนางก็ดูไม่ควรที่จะแสดงอาการอยากผูกสัมพันธ์ออกหน้าออกตากับคนที่แทบจะไม่รู้จักกันเช่นนี้มาก่อน


นางพูดด้วยความจริงใจสัตย์ซื่อ ซูอี้จึงลำบากใจที่จะปฏิเสธ


เหยียนหลิงจวินเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดี ไม่รอที่จะให้ซูอี้ตอบรับก็ออกคำสั่งทางสายตาเป็นนัยให้อิ้งจื่อ กล่าวว่า “ไปนำม้าของข้ามา!”


อิ้งจื่อรับคำสั่งก่อนจะเดินไปด้านข้าง นำม้าของเหยียนหลิงจวินมอบให้แก่ซูอี้


ซูอี้รับบังเหียนม้าตัวนั้นมาไว้ในมือ ไม่มีกะจิตกะใจจะมาคิดเล็กคิดน้อย กล่าวลากับฉู่สวินหยางด้วยความรีบร้อน


มุมปากของฉู่สวินหยางยังคงยกยิ้มอยู่เช่นนั้น ดวงตายังแฝงด้วยความหยอกเย้าและความขบขัน ใบหน้าเก็บซ่อนความสดใส ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ความสดใสนั้นค่อยๆ กลมกลืนไปกับอากาศหนาวเหน็บของยามค่ำคืนนี้


นางมองไปยังเหยียนหลิงจวิน ก่อนก้มลงมองบังเหียนม้าในมือ กระตุกบังเหียนอย่างไร้อารมณ์  ไปทางประตูวังอย่างเหนื่อยหน่าย


ที่แห่งนั้นยังมีคนออกมาอีกสองกลุ่ม ที่เดินอยู่ข้างหน้า กลับไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นกลุ่มของพี่น้องซูหลิน


งานแต่งเสร็จไปแล้ว ทั้งหน้าตาและศักดิ์ศรีนั้นแทบจะไม่มีเหลือ เวลานี้ซูหลินมองเหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางเป็นดั่งหนามยอกอก พออกจากวัง เรื่องอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด คิดเช่นนั้น ก่อนจะตระหนักได้ถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดที่นี่


ที่ผ่านมาฉู่สวินหยางและเขาต่างก็ไม่ถูกกัน ไม่สนใจซึ่งกันและกัน แค่เพียงจะทักทายยังคร้านที่กล่าว


ตอนนี้ทั้งสองคนเมื่ออยู่ต่อหน้าแล้ว เขากลับรู้สึกว่าฉู่สวินหยางผิดแปลกไป นางเผยรอยยิ้มก่อนเอ่ยทักทาย “นี่ซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นมิใช่หรอกหรือ?”


น้ำเสียงสดใสกังวาน ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มหวาน น่าขนลุกเสียจนซูอี้ที่กำลังจะขึ้นม้าทางด้านนี้เกือบจะลื่นล้ม


เวลานี้เหยียนหลิงจวินจึงทำได้เพียงแค่หลับตาลงอย่างเงียบๆ


“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดไปว่า สหายของใต้เท้าเหยียนหลิงช่างคุ้นตายิ่งนัก” ฉู่สวินหยางยังคงกล่าวต่อไปน้ำเสียงแฝงด้วยความเย้ยหยันและดูแคลน “อย่าบอกนะว่าที่คุณชายท่านนั้นกับซื่อจื่อยังคล้ายกันอยู่บ้าง เป็นเพราะว่าท่านเป็นญาติสนิทกัน?”


เมื่อครู่ตอนที่ซูอี้พบเจอกับนางครั้งแรก นางยังพูดอยู่เลยว่า ‘ไม่คุ้นหน้า’ เพียงพริบตาเดียวกลับพูดว่า ‘ดูไปดูมากลับคุ้นตา’ ไปเสียแล้ว


พูดได้ว่า ที่นางหาข้ออ้างมาพูดวกไปวนมาตั้งแต่เมื่อครู่ ก็เพียงเพราะรอคอยเวลาที่ซูหลินจะออกมาเท่านั้น


หญิงสาวผู้นี้หากได้ลงมือแล้ว ถ้าตกหลุมพรางไปก็ยากที่จะถอยออกมาง่ายๆ แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนแต่กุมชะตาชีวิตผู้อื่นได้อยู่หมัด


เหตุใดแววตาของซูหลินถึงน่ากลัวเช่นนี้? หลังจากที่โดนข่มขู่จากคนลึกลับในวันนั้น เขาก็ส่งคนออกตามหาชายชุดดำนั้นทุกหนทุกแห่ง แม้จะออกค้นหาทั่วทั้งเมืองหลวงแต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นราวกับเงาผีที่ปรากฏในโลกมนุษย์ พริบตาเดียวก็สลายหายไป  ไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรไว้ให้สืบเสาะ


ช่วงชีวิตของเขาล้วนแต่มีเกียรติและสูงส่ง เมื่อได้รับการบังคับข่มขู่ย่อมต้องจำฝังใจ วันนั้นถึงแม้จะไม่เห็นหน้าที่แท้จริงของผู้ที่มาจากหุบเขาหลูผู้นั้น ทว่าเขากลับสลักรูปร่างมันฝังลึกไว้ภายในจิตใจ


วันนี้เมื่อได้พบการปรากฏตัวของซูอี้ ยังรู้สึกว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้ยังแปลกไปอยู่บ้าง เวลานี้ฉู่สวินหยางยังเอ่ยปากถามขึ้นมา ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เขาเมินฉู่สวินหยาง ก่อนจะเดินผ่านนางไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


ซูหว่านปรายสายตาไปที่ฉู่สวินหยาง กระแอมในลำคอ เดินผ่านนางไปด้วยด้วยท่าทีหยิ่งผยองดั่งหลงเชวี่ย[1]


ฉู่สวินหยางยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่รู้สึกรู้สา


ทั้งยังไม่ได้หันกลับไปสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านหลังอีก…


ซูหลินและซูอี้มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันถึงสามส่วน ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่เชื่อว่า เมื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นไปไม่ได้ที่ซูหลินจะไม่รู้จักกับซูอี้


ถ้าหากจุดประสงค์ที่ซูอี้ปกปิดตัวตนที่แท้จริง เพื่อเร้นกายภายในจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างลับๆ เวลานี้นางก็เปิดเผยตัวตนของเขาออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นที่เหลือก็ให้พวกเขาเปิดเผยความลับกันเองก็แล้วกัน


ระหว่างนางกับซูอี้นั้น…


หาได้ต้องเกรงใจไม่!


พอคิดได้เช่นนี้ ฉู่สวินหยางก็ได้แต่เข่นเขี้ยวระบายความโกรธอยู่ในใจ


ชิงเถิงและชิงหลัวต่างก็มองหน้ากัน…


ทั้งสองคนล้วนแต่เติบโตมาพร้อมกับนาง รู้จักอารมณ์และนิสัยนางดี เมื่อตอนที่ออกมาจากวัง ต่างก็คิดว่าท่าทีที่ไม่ปกติของท่านหญิงผู้นี้จะต้องออกไปสร้างความลำบากให้ใครเข้าแน่ๆ จนมาถึงตอนนี้กลับยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง…


จู่ๆ เหตุใดนางถึงพุ่งเป้าไปที่ใต้เท้าเหยียนหลิงล่ะ?


เมื่อต้นครึ่งชั่วยามทั้งสองคนยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในวัง ไม่ได้แสดงท่าทีบาดหมางกันแม้แต่น้อย เสียเวลาไปตั้งเท่าใด เหตุใดจึงราวกับจะเกิดฟ้าผ่าขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นล่ะ?


เพราะเหตุอันใดน่ะหรือ…


ใบหน้าของฉู่สวินหยางตอนนี้ดูไม่ดีเอามากๆ


คล้ายกับเพิ่งจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ดวงตาของนางนั้นเย็นเยียบและมืดมน แม้แต่สีหน้ายังแฝงด้วยความโกรธเยือกเย็น


ถึงแม้ว่า…


ภายใต้การพยายามปกปิดอารมณ์ของนางจะทำให้มองอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออกก็ตาม


————————————————————————


[1] หลงเชวี่ย นกในตำนานจีนคล้ายกับนกฟีนิกซ์ มีขนสีดำและมีนิสัยดุร้าย



บทที่ 87 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

 


ทางด้านของซูหลินที่บรรยากาศคุกรุ่นนั้น  ได้นำรถม้าสองคันผ่านเข้าไปล้อมรอบจวนเฉินไว้อย่างรวดเร็ว


เหยียนหลิงจวินรู้อยู่แล้วว่าฉู่สวินหยางจะต้องนำเรื่องที่เขาปกปิดตัวตนของซูอี้มาเล่นงานเขา แต่กลับนึกไม่ถึงว่านางจะเติมฟืนโหมกองเพลิงจนใหญ่ถึงเพียงนี้


เขาไม่มีเวลาใส่ใจคนอย่างซูหลิน  เพียงแต่ส่งสายตามองตามหลังสวินหยางด้วยความกังวล หลังจากที่นางเดินผ่านเขาไป ก็ไม่หันกลับมามองสักนิด เดินตรงดิ่งไปยังประตูวังโดยหันหลังให้เขาที่ยืนอยู่


ไม่นาน ฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยก็ออกมาจากวังพร้อมกัน


ฉู่สวินหยางก้าวตามไปสองก้าว ก่อนจะกล่าวทักทาย


พักนี้เนื่องจากมีเรื่องของคนแซ่เหลย ฉู่ฉีฮุยจึงรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง ทั้งท่าทีก็ยังดูอ่อนล้า  เขาเพียงแค่พยักหน้ารับจากนั้นก็เดินนำหน้าไปหาขบวนรถ


ฉู่สวินหยางปรายสายตาไปยังภายในประตูวัง ถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อล่ะ? เหตุใดถึงไม่ได้ออกมาด้วยกัน?”


 “ฝ่าบาทถูกลอบสังหารยังคงตกพระทัยอยู่ คืนนี้ท่านพ่อและท่านลุงทุกคนจึงอยู่เฝ้าในวัง” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ยกมือวางที่ไหล่ของนาง “ค่ำมืดปานนี้ พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ!”


“อื้อ!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร สายตาของฉู่ฉีเฟิงที่มองผ่านนางไป ก็ยังคงรับรู้ถึงอาการแปลกๆ


ดวงตาของเขาดำดิ่งลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมา เพียงแต่เอ่ยกับฉู่เยว่ซินและฉู่เยว่หนิงที่อยู่ด้านข้างว่า “ขึ้นรถกันเถอะ เดี๋ยวก็จะออกเดินทางแล้ว”


“เข้าใจแล้ว!” ทั้งสองคนขานรับ ก่อนจะเดินนำขึ้นรถม้าไปก่อน


สวินหยางเม้มริมฝีปาก ไม่ได้ขึ้นไปนั่งกับสองคนนั้น แต่กลับเดินขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหลังแทน


ฉู่ฉีเฟิงหยีตา มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยปรากฏเป็นรอยยิ้ม…


เด็กคนนี้มีเรื่องอยู่ในใจอีกแล้ว ท่าทีที่เปลี่ยนไปนั้นกลับเปิดเผยตัวเองออกมาซะแล้ว


“ท่านชาย!” เจี่ยงลิ่วมองเขาอย่างงุนงง เดินอ้อมมาจากด้านหลัง เอ่ยเตือนด้วยเสียงราบเรียบ “ซื่อจื่อกับใต้เท้าเหยียนหลิงดูเหมือนจะมีเรื่องกันแล้ว!”


ฉู่ฉีเฟิงรวบรวมสติ ก่อนจะปรายสายตามอง


ช่วงเวลาเที่ยงคืน ยามที่ดวงจันทร์เคลื่อนผลัดเปลี่ยน แม้ว่าภายในประตูวังจะแขวนโคมไฟไว้อย่างละลานตา แต่แสงก็ยังส่องสว่างไปไม่ถึง นอกจากเงาผู้คนขมุกขมัวแล้ว อย่างอื่นก็แทบแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด


สายตาของฉู่ฉีเฟิงสั่นพร่าเล็กน้อย ค่อยๆ มองฝ่าความมืดไป…


ตอนที่ออกจากวังมาเมื่อครู่ เขามองเห็นฉู่สวินหยางเดินมาจากทางนั้นไกลๆ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับนาง แม้ว่านางจะไม่พูด ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่คิดจะซักถาม เพียงแค่เผยรอยยิ้มพูดกับเจี่ยงลิ่วว่า “ไปเถอะ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราเสียหน่อย!”


พูดจบก็เดินอย่างรวดเร็วไปทางรถม้าที่จอดคอยอยู่


องครักษ์ลากม้ามาให้เขา แต่เขากลับรั้งมือกลับ เดินตรงดิ่งผลุบหายเข้าไปในรถม้าแทน


ฉู่สวินหยางเดิมทีกำลังขลุกกับการรินชาให้ตนเองอยู่ พอเงยหน้าก็พบเข้ากับฉู่ฉีเฟิงที่ตามขึ้นมา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย“ท่านพี่ เหตุใดจึงขึ้นมานั่งรถคันนี้ล่ะ?”


“ก่อนหน้านี้ข้าดื่มสุราในงานเลี้ยงมากไปหน่อย อยากจะยืมรถม้าของเจ้าพักผ่อนสักครู่” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เข้ามาก่อนจะจัดแจงหาที่นั่งลง


ฉู่สวินหยางมีท่าทีเหนื่อยหน่าย จึงไม่มีอารมณ์ต่อกรกับเขา ทั้งยังคลำหาหมอนนุ่มแถวนั้นโยนส่งให้เขาไปพลาง


ฉู่ฉีเฟิงรับไว้ ก่อนจะนำไปซ้อนพิงด้านหลัง


ฉู่สวินหยางรินชาส่งให้เขา ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา


ฉู่ฉีเฟิงยกถ้วยชากระเบื้องลายครามชั้นดีขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ สายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเอาแต่จ้องมองไปที่ใบหน้านางไม่หยุด


ภายใต้แสงตะเกียง นางหรี่ตาลง ขนตาที่งอนยาวซ้อนทับกันเป็นเงา ปกคลุมดวงตาไปเกือบครึ่ง ทำให้มองเห็นแววตานั้นไม่ชัด ขบเม้มริมฝีปาก ไม่ปริปากพูดใดใด


เป็นลักษณะท่าทางที่นางมักจะทำในเวลาโมโห แม้แต่นางเองก็สังเกตไม่เห็นถึงความคุ้นชินนี้


ไม่เปิดเผย ไม่แสดงอะไรออกมา แต่เมื่อพบเจอแล้วกลับทำให้รู้สึกปวดหัว


นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้เห็นเด็กคนนี้อารมณ์เสียอย่างนี้?


สายตาฉู่ฉีเฟิงยังตรึงอยู่ที่ใบหน้า ในดวงตาส่องประกายความอ่อนโยน ค่อยๆ จมดิ่งลงไป ย้อนคิดกลับไปในอดีต


ครั้งที่แล้วที่นางโกรธจนไม่สนใจใครไปหลายวัน เป็นเพราะปีนั้นหลังจากที่เขาหลบอยู่ในอุโมงค์สวนดอกไม้ตำหนักโซ่วคัง ไม่ให้นางได้พบเจอ นางก็ร่ำไห้สะท้านฟ้าสะเทือนดินต่อหน้าผู้คนมากมาย ครั้งนั้นที่นางออกมาจากวังก็ไม่มองหน้าเขาถึงห้าวันเต็มๆ ทั้งยังไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ การตั้งแง่ตั้งงอนของนางนั้น แม้แต่จะอาศัยฉู่อี้อันมาสอนนางด้วยใบหน้าจริงจังก็ใช้ไม่ได้ผล ท้ายที่สุดแล้ว ดีที่ประจวบเหมาะกับเทศกาลชีซี[1] เขาตะล่อมนางอยู่นานกว่านางจะยอมไปเดินเที่ยวงานวัดกับเขา เรื่องนี้จึงจบลงไปได้ด้วยดี


เวลานี้ผ่านไปหลายปีแล้ว ยากนักที่จะพบนางอารมณ์เสีย เห็นได้ชัดว่ามีคนไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว


ฉู่ฉีเฟิงที่กำลังคิดนั้นสติไม่อยู่กับตัว


ฉู่สวินหยางที่ถูกเขาจ้องอยู่พักใหญ่ ถึงแม้จะแค่ถูกมอง แต่นางก็ไม่ปล่อยผ่านไป มองกลับไปด้วยความขุ่นเคือง“ท่านพี่ อย่าบอกนะว่าท่านเมาสุรา? เหตุใดจึงจ้องมองข้าเช่นนี้เล่า?”


ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะร่า ดึงสติกลับมาก่อนจะยื่นถ้วยชาส่งคืนให้นาง “เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็เลยคิดว่าข้าทำอะไรผิดต่อเจ้าไปน่ะสิ!”


ฉู่สวินหยางมึนงง ก่อนจะเริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย พอคิดได้ว่าคนที่นั่งตรงข้ามนางคือฉู่ฉีเฟิงท่าทีก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่แยแสอะไร ก่อนจะหันหน้าหนีไม่สนใจเขา


ฉู่ฉีเฟิงส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็ไม่เคยไล่เอาคำตอบ เขาค่อยๆหลับตาลงครุ่นคิด


เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหยียนหลิงจวิน ข่าวคราวที่เขาได้ยินมาช่วงนี้ก็มีไม่น้อย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องกัน เป็นความห่วงใยที่พี่ชายมีต่อน้องสาว ระหว่างเขาและฉู่สวินหยางหากแม้ต้องพูดตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการก้าวก่ายมากมายแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไม่อยากจะเอ่ยปาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือยังมีความไม่เต็มใจที่จะบอกอยู่บ้าง


พูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนผู้หนึ่งที่มีภูมิหลังไม่ชัดเจนทั้งยังอาจจะแอบแฝงความอันตรายเอาไว้ ในใจเขาก็มีสัญชาตญาณเตือนให้ออกห่างจากความลึกลับนั้น…


ฉู่สวินหยางไม่พูด เขาก็จะไม่ถาม!


ถึงแม้ว่า…


ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่อยากได้ยินนางพูดถึงผู้ชายคนนั้น!


ความรู้สึกนี้ ยังมีความซับซ้อนอยู่บ้าง  เวลาที่ผ่านมาสิบสี่ปีของเขาล้วนแต่มีความขัดแย้งในการยึดมั่นหลักการและบรรทัดฐาน แต่ว่าครั้งนี้เขาเองก็ยอมปล่อยตัวเองไปกับความคิดแปลกๆ เช่นนี้ หรือว่า…


พูดตามตรงก็คือ เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของเขาเอง


บนรถม้าเงียบสงัดไร้เสียง สองพี่น้องต่างก็นั่งขบคิดเรื่องราวภายในใจอย่างเงียบๆ


นั่นกลับเทียบไม่ได้กับ ซูอี้และเหยียนหลิงจวินที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังไกลๆ คลับคล้ายกลับจะถูกพายุโหมกระหน่ำเข้ามา เวลานี้ยังไม่พร้อมตั้งรับกับความโกรธเกรี้ยวของซูหลิน


ด้านหลังของวังมีผู้คนทยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย เวลานี้ซูอี้อยากที่จะหลบหนี


ไม่ใช่ว่าเพราะเรื่องวันนี้


แต่เป็นเพราะ…


เมื่ออยู่ต่อหน้าซูหลินและสกุลซูคนอื่นๆ เขาไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้


โดยเฉพาะซูหลินนั้น…


ครั้งนี้ฉู่สวินหยางสร้างความลำบากให้เขาแล้วจริงๆ


กล่าวว่าถึงจะแพ้ก็ต้องแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี ถึงจะว่าอย่างนั้นในใจกลับคร่ำครวญไม่ขาดสาย ซูอี้รีบปรับใบหน้าเคร่งครึมคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว รอคอยเวลาที่กลุ่มของซูหลินจะเดินผ่านมา


ตอนที่ซูอี้ออกจากตระกูลนั้น ซูหว่านยังเป็นเพียงเด็กน้อย จึงแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา จากที่ฉู่สวินหยางพูดมา รูปลักษณ์ของคนผู้นี้กับพี่ชายใหญ่ของเขาดูคล้ายกันจริงๆ  นางถึงกับตกตะลึง มือชี้ไปที่ซูอี้อย่างคาดไม่ถึง “จะ…เจ้า เหตุใดถึง…”


เสียงของนางขาดหายไป ราวกับค้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ใบหน้าของซูหลินมีน้ำแข็งค้างปกคลุมไว้ แววตาดุดันเย็นเยียบจ้องมองไปที่ชายหนุ่มแปลกหน้ารูปงามคนนั้น


เขากัดฟันอดกลั้นความโกรธสุดกำลัง และเพราะว่าอดกลั้นเอาไว้ กล้ามเนื้อกรามนั้นจึงกระตุกขึ้นเล็กน้อย


เมื่อซูอี้ยืนประจันหน้ากับเขา ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มที่ส่องสว่างราวกับหยกเม็ดงาม ดั่งคลื่นน้ำที่เงียบสงบ  เพียงแต่ดวงตานั้นกลับซ้อนทับด้วยความเยือกเย็น ดูยากที่จะรับมือ


ทางด้านของเหยียนหลิงจวินกลับไม่สนใจสองคนนั้น เอาแต่มองไปตามทางที่รถม้าของวังบูรพาเคลื่อนห่างไกลออกไป แววตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ลึกลงไปในตาคู่นั้น ราวกับว่ายังคิดอะไรอยู่


สักพัก เขาก็โบกมือเรียกอิ้งจื่อ ออกคำสั่งกับนางสองประโยค


อิ้งจื่อฟังด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ


เหยียนหลิงจวินปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก โบกมือสั่งอีกครั้ง “ไปเถอะ! ไม่ใช่ว่านางโกรธข้า แล้วนางจะไม่สนใจข้าสักหน่อย เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว!”


อิ้งจื่อเป็นองค์รักษ์ลับมือดีที่สุดของเขา ทุกครั้งที่เขาออกคำสั่งก็จะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงแม้ครั้งนี้นางจะไม่ได้ขัด แต่ก็ยังลังเลอยู่บ้าง แววตาซับซ้อนมองไปยังเขา ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่ง หมุนตัวเร้นกายไปท่ามกลางความมืด


————————————————————————


[1] เทศกาลชีซี เทศกาลแห่งความรักของจีน


ตอนที่ 87.3 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

 

ทางฝั่งของซูอี้และซูหลินที่เผชิญหน้ากันมาสักพักใหญ่ เป็นซูหลินที่อดไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”


 


ระหว่างที่พูด สายตาก็เหลือบไปทางเหยียนหลิงจวิน


 


คนผู้นี้และฉู่สวินหยางต่างก็เป็นพวกเดียวกัน ทั้งยังเคยลงมือหมายที่จะเอาชีวิตของซูหว่าน


 


แล้วเหตุใด? ซูอี้จึงอยู่กับเขา? หรือจะเป็นไปได้ว่า เหยียนหลิงจวินนั้นได้รับความช่วยเหลือจากซูอี้ ดังนั้นจึงกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างเปิดเผยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


 


มิน่าล่ะ? มิน่าล่ะ!


 


ไม่จำเป็นที่อีกฝ่ายจะออกมายอมรับ เพราะขณะนี้ความโกรธในใจของซูหลินได้เตรียมปะทุออกมาแล้ว


 


ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นประตูวังที่คนเข้าออกมากมายล่ะก็ เขาคงจะอดทนไม่ไหว ลงมือจัดการกับเจ้าคนชั่วนี่ไปแล้ว!


 


“พี่ใหญ่ เขาเป็นใครกันแน่?” ใบหน้าของซูหว่านเต็มไปด้วยความสงสัย เริ่มแยกรูปลักษณ์ระหว่างคนสองคนออกแล้ว


 


“หว่านเอ๋อร์ เขาก็เป็นพี่รองของเจ้ายังไงเล่า!” ซูหลินพูดเสียงราบเรียบ เขากัดฟันพูดเน้นชัดทุกถ้อยทุกคำด้วยความเย้ยยัน “เขาออกจากจวนไปหลายปีแล้ว เจ้าจำไม่ได้ ยังไม่รีบมาดูอีก”


 


ซูหว่านตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อสติกลับมาจึงค่อยเอ่ยออกมา “ท่านพี่เคยบอกว่าเขาเป็นคนที่ถูก…”


 


พูดได้ครึ่งเดียว นางจึงค่อยตระหนักได้ว่าแสดงท่าทีไม่งามต่อหน้าผู้คน รีบร้อนหุบปากที่อ้ากว้างด้วยความตื่นตะลึงลง มองไปที่ใบหน้าสง่างามทว่าเรียบนิ่งที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของซูอี้ อาการนั้นราวกับไม่ใช่อาการที่ปรากฏยามที่ตัวเองได้พบกับพี่น้องที่แยกจากกันไปนาน แต่กลับเป็นอาการที่ราวกับมีสัตว์ร้ายกินคนปรากฏขึ้นตรงหน้า


 


ซูอี้มองข้ามอาการนั้นของนางไป


 


ซูหลินเหยียดยิ้มตรงมุมปาก แววตาจับจ้องไปที่หน้าเขา ค่อยๆ กล่าวทวนซ้ำด้วยโทนเสียงเย็น “ใช่แล้ว เขาเป็นพี่รองของเจ้า! หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่พบเขามานาน เป็นอย่างไร คงจะถูกใจล่ะสิ!”


 


มุมปากของซูหว่านขยับเล็กน้อย นางอยากจะพูด แต่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ใบหน้ายังปรากฏอาการคล้ายกับเจอผี ตื่นตะลึงจนเรียบเรียงเป็นคำพูดไม่ออก


 


ด้านข้างนั้นก็ยังคงมีคนผ่านไปมาลอบมองมาไม่หยุด


 


ซูอี้เปรยยิ้มมองไปยังพี่น้องที่แสดงอาการต่างจากเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ วันนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจมาพบท่าน ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ ท่านคงยังมีธุระอื่นอีก เช่นนั้นเชิญท่านตามสบายดีหรือไม่?”


 


พูดจบก็เบี่ยงกาย เปิดทางให้สองคนนั้นเดินผ่านไป


 


คำพูด ‘พี่รอง’ ที่ซูหลินพูดขึ้นมา ก็เพื่อใช้ในการเหน็บแนมเขาเท่านั้น ไม่อยากจะมองเขาอยู่ในสายตา แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ซูอี้กลับใช้คำพูดราวกับไม่ใช่คนในตระกูลมากล่าวกับพวกเขา คำว่า ‘พี่ใหญ่’ ยังไงก็ไม่มีทางออกจากปากเขาแน่


 


แววตาของซูหลินจมดิ่งลึก ความแค้นทั้งเก่าใหม่ปนเปปะทุขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อทนไม่ไหวจึงก้าวมาข้างหน้าดึงคอเสื้อของซูอี้ จ้องมองระยะประชิด เค้นพูดขึ้น “พูดสิ เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาข้าถึงเมืองหลวง? ทำตัวลับๆล่อๆ บอกข้ามา ว่าเจ้าก่อเรื่องลับหลังพวกเราไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว?”


 


ครั้งนั้นที่ประตูจวนซู เป็นเขาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ยอมรับว่าลูกเล่นของเหยียนหลิงจวินนั้นมีมากมายอยู่จริง แต่ไฉนซูอี้กลับมีความสามารถเช่นนี้ด้วย หากไม่ใช่เพราะวันนี้พบเจอเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ ไม่แน่ว่าเขาก็ยังจะถูกเล่นงานอยู่แบบนี้เรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงมาก่อน เด็กเหลือขอที่สกุลซูเกือบหลงลืม วางแผนทำเรื่องอย่างลับๆ ทั้งยังทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้?


 


ความคิดต่างๆ ไหลผ่านเข้ามาในหัวของเขา ซูหลินที่อดกลั้นไม่ไหวนั้นค่อยๆ แผ่บรรยากาศเยือกเย็นออกมา มองไปที่แววตาของซูอี้ที่กำลังเตรียมพร้อมรับมืออยู่เช่นกัน


 


ใบหน้าของซูอี้ยังคงปรากฏอารมณ์เช่นเดิม หลุบตามองตามมือที่จับคอเสื้อเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ที่นี่คือประตูวัง ข้างหลังซื่อจื่อไม่เกินสามร้อยก้าว มีทหารรักษาการณ์เฝ้าระวังอยู่  หากเกิดเรื่องขึ้นมา คงมิวายจะถูกลากไปสอบถามต่อหน้าฝ่าบาท ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาจะอย่างไรก็ได้  เพียงแต่ท่านคิดว่าทำแบบนี้เหมาะสมหรือไม่เล่า?”


 


วังหลวงเป็นเขตหวงห้าม มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถึงแม้จะอยู่บริเวณภายนอก ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก่อเรื่อง


 


หากสกุลซูจะปิดประตูทุบตีในจวนอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดสนใจอยู่แล้ว เพียงแต่ที่นี่คือ…


 


นี่เป็นเรื่องที่ควรจะตระหนัก!


 


ซูหลินเมื่อได้ยินดังนั้น จึงเกิดลังเลขึ้นมาชั่วขณะ


 


ด้านซูหว่านที่เวลานี้ปรับท่าทีมาเป็นอย่างเช่นเคย รีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ดึงมือของซูหลิน กล่าวว่า “ท่านพี่ ด้านข้างมีคนมากมายกำลังมองอยู่ เหตุใดพวกเราไม่กลับไปคุยที่จวนก่อนเล่า!”


 


ซูหลินคลายมือออกด้วยความโกรธ


 


ซูอี้จึงค่อยๆ จัดแจงคอเสื้อให้เข้าที่เข้าทางอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับไม่มีใครยอมถอยกลับ


 


ซูหว่านที่ดูอยู่นั้น อดที่จะสับสนไม่ได้ ร้องเตือนออกไป “ท่านพี่!”


 


ซูหลินถึงค่อยแค่นหัวเราะออกมา กล่าวอย่างเย้ยยันขึ้นว่า “สกุลซูของพวกเรามีเกียรติสูงส่ง ไม่อาจยอมให้เจ้ามาทำเรื่องแปดเปื้อน ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่ามาทำเรื่องลับหลังข้า มิฉะนั้น… ถ้าเจ้ายังตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยกับจวนอ๋องฉางซุ่นล่ะก็ ปีนั้นอาจเพราะท่านพ่อเมตตาจึงไม่สืบสาวเอาความจากเจ้า แต่หากเป็นข้า ไม่ว่าจะบัญชีแค้นเก่าใหม่ของเจ้า ข้าจะนำมาชำระความให้หมด”


 


เขาย้ำเตือนด้วยความหนักแน่นชัดเจน


 


แววตาของซูอี้ที่สงบคล้ายคลื่นน้ำราบเรียบ เวลานี้กลับเผยความเยือกเย็นออกมา เพียงแต่อาการนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครสัมผัสได้


 


 “เชิญทำตามที่ท่านต้องการเถอะ!” เขายิ้มหน้าระรื่น จัดคอเสื้ออย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ก่อนจะวางมือลงแนบกาย


 


             ซูหลินรู้สึกราวกับไม่สามารถจัดการอะไรเขาได้ ในใจจึงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ด้านซูอี้นั้นเบนสายตาหนีไม่สนใจเขาอีกต่อไป


 


             ท่าทางของเขานั้นไปกระตุ้นความโกรธซูหว่านเข้า นางจึงพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าคุยกับพี่ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะว่าเจ้าทำเรื่องพวกนั้น ถูกขับไล่ออกจากตระกูลจึงเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เป็นเพราะความเมตตาของท่านปู่และท่านพ่อเจ้าถึงได้มีโอกาสอย่างทุกวันนี้ ตอนนี้เจ้ายังไม่แม้แต่สำนึกผิด ยังกล้ากำเริบเสิบสานไม่ให้เกียรติพี่ใหญ่? เจ้า… เจ้ามันบ้าเสียสติ สันดานหยาบช้า!”


 


คำพูดพวกนี้ไม่ใช่แค่คำวิจารณ์ธรรมดาซะแล้ว


 


เหยียนหลิงจวินยืนพิงอยู่ที่ข้างประตูรถม้า


 


เขาไม่ได้ร่วมผสมโรง แต่ก็ไม่ได้ไปไหน เพียงแค่ยกมือสองข้างขึ้นกอดอก มองไปยังผืนฟ้าที่ย้อมสีดำไกลสุดลูกลูกตาพลางครุ่นคิดเรื่องราวของตนเอง ไม่ได้ให้ความสนใจกับสถานการณ์ตึงเครียดที่อยู่ตรงหน้าระหว่างซูอี้และพี่น้องสกุลซูแม้แต่น้อย


 


ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันมาสนใจ ส่งแววตาเจือความกังวลหันไปมองทางซูอี้


 


มือที่อยู่ในแขนเสื้อของซูอี้นั้นกำแน่นขึ้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับกำลังอดกลั้นอย่างสุดกำลัง แต่เพียงพริบตาเดียว เขาก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น เอ่ยปากพูด


 


“ใช่แล้ว!” เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ซูหว่านจึงรีบถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ หลังจากที่รอยยิ้มเรียบนิ่งของเขาปรากฏอยู่ในสายตาของนาง จึงค่อยพูดด้วยท่วงท่าอ่อนโยนและสง่างามอย่างช้าๆ ว่า “ในเมื่อรู้ว่าข้านั้นหยาบช้าไม่สู้เจ้า ยังกล้าใช้คำพูดเช่นนี้มากล่าวกับข้างั้นหรือ?  หรือเจ้าไม่กลัวว่าอยู่ๆ ข้าอาจจะเสียสติขึ้นมา ทำเรื่องที่เจ้ายากที่จะจินตนาการถึงผลลัพธ์ของมันได้?”


 


บนใบหน้าของเขายังปรากฏรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับไม่สามารถจะไปทำร้ายใครได้


 


เมื่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ในใจของซูหว่านก็ยิ่งสั่นไหวไม่หยุด ค่อยๆ ถอยหลังกลับไปด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด


 


ซูหลินนั้นดึงตัวนางมาไว้ด้านหลัง ยืดตัวบังซูหว่าน พูดเสียงเย็น  “ซูอี้ เจ้าอย่ามาได้คืบจะเอาศอก ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องระหว่างเราวันนี้ยังไม่จบ วันหลังข้าจะกลับมาคิดบัญชีแน่”


 


ซูอี้นั้นไร้อารมณ์ที่จะปะทะฝีปากกับเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอยออกมา พูดอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะคอย!”


 


ซูหลินนั้นรู้ดีว่าสถานที่แบบนี้ไม่เหมาะแก่การลงมือ จึงสะบัดผ้าคลุมอย่างอารมณ์เสีย หมุนตัวกลับไป ยามที่กำลังจะผ่านเหยียนหลิงจวินคล้ายกับหาที่ระบายอารมณ์ได้ เหยียดยิ้มเย็นกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนอย่างไร เจ้าเองก็คงยังไม่รู้แน่ชัด ข้าไม่รู้หรอกนะว่า เหตุใดเขาจึงยอมรับในตัวเจ้า ถึงขนาดยอมให้เจ้าบงการเช่นนี้ แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา ซื่อจื่อจะเตือนเจ้าไว้ประโยคหนึ่ง…”


 


ขณะที่เขากำลังพูด ก็สื่อเป็นนัยโดยการหันกลับไปจ้องที่ซูอี้เขม็ง แฝงไปด้วยความเหน็บแหนมรอดูละครฉากใหญ่ที่จะเกิดขึ้น “ฝากเนื้อไว้กับเสือ ถ้าไม่อยากถูกกัดจนเหลือแต่กระดูก เจ้าก็ต้องรีบถอนตัวออกมา!”


 


“ข้าจะคบสหายอย่างไร หรือจะคบค้าสมาคมกับคนเช่นใด ก็ยังมิวายถูกซื่อจื่อสอดมือยุ่งเกี่ยว!” เหยียนหลิงจวินกล่าวราบเรียบ เหลือบตามองเขา แววตาผ่อนคลายนั้นไม่ต่างจากซูอี้เท่าไร “ข้าไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องในบ้านสกุลซู เป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ อยากให้ซื่อจื่อใคร่ครวญสถานะตนเองดูสักหน่อย หากได้คืบจะเอาศอก!  ก็ใช่ว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ !”


 


 “เจ้าพูดอะไร? เจ้ากำลังขู่ซื่อจื่องั้นรึ?” ซูหลินอ้าปากพะงาบๆ สักพักจากที่โกรธกลับเปลี่ยนเป็นยิ้ม “เหยียนหลิงจวิน เจ้านับเป็นตัวอะไรกันแน่? อาศัยลูกไม้ตื้นๆ มาหลอกลวงผู้คนเอาความดีความชอบเป็นคนดังต่อหน้าฝ่าบาท นี่หรือวีรบุรษของราชสำนัก? น่าขันสิ้นดี! เหิมเกริมเป็นที่สุด!”


 


“ข้าเหิมเกริมแล้วอย่างไร? หลอกลวงแล้วอย่างไร? อย่างน้อยข้าก็มีความสามารถในด้านนี้” เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวให้เขา “ท่านถามว่า ข้าเป็นตัวอะไร? แต่เหตุใดไม่ลองถามตนเองก่อนเล่า? ว่าท่านเป็นตัวอะไร? ตัวข้านั้นอาจจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาแต่พึ่งบารมีเก่าของสกุลเพื่อเอาหน้าเอาตาเสียหน่อย ท่านดูแคลนข้า ข้าก็ดูแคลนท่านเช่นกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็เกลียดกันเช่นนี้ เหตุใดจึงจะต้องมาเสียเวลากันอยู่แบบนี้เล่า?”


 


————————————————————————

 

 

 


ตอนที่ 87.4 คุณชายรองซูผู้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

 

ทั่วทั้งราชสำนักซีเยว่นั้นมีเพียงจวนอ๋องฉางซุ่นและจวนรุ่ยชินอ๋องที่ดำรงตำแหน่งอ๋องหมวกเหล็ก รุ่ยชินอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่านำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ หากแต่หลังจากสิ้นซูจิ่นรั่ง ก็มีผู้คนมากมายที่ริษยาพูดจาเหน็บแหนมเสียดสีสกุลซูอยู่ลับหลัง พูดว่า ซูหังนั้นไร้ความสามารถ เอาแต่พึ่งบารมีสกุลเก่า เก็บกินบุญเก่าเท่านั้น ทั้งก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องการสมรสของซูหลินและฉู่หลิงอวิ้นที่น่าขายหน้า ทำให้มีคนพูดลับหลังซูหลินมากขึ้นไปอีก ไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะเสียใจแทนซูจิ่นรั่งที่ลูกหลานไม่สืบต่อเกียรติสกุล


 


แต่คำพูดเช่นนี้ ตามหลักแล้วไม่ควรจะนำมาพูดต่อหน้า ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับไม่เกรงกลัวสักนิดที่จะโจมตีด้วยคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา


 


ใบหน้าซูหลินนั้นประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดง มองออกอย่างชัดเจน เจ้าสองคนนี้สมรู้ร่วมคิดกัน เดิมทีก็น่ากลัวพออยู่แล้ว เมื่อตั้งใจจะปะทะฝีปากกับพวกเขา กลับต่อกรไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงหวดแส้ม้าพาซูหว่านและคนในสกุลออกไป


 


ทางด้านซูอี้และเหยียนหลิงจวินนั้นยืนกอดอกไม่ขยับไปไหน ทอดมองเงากลุ่มคนนั้นลับสายตาไป รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏบนใบหน้าซูอี้จึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย


 


เหยียนหลินจวินเดินมา ก่อนจะวางมือบนไหล่เขา


 


ท่าทางของซูอี้ที่ผู้คนไม่ทันจะสังเกตเห็นนั้น ทันทีที่เงยหน้ารอยยิ้มในดวงตาก็กลับมาอ่อนโยนดั่งเช่นเคย ท่าทีโมโหเล็กน้อยก่อนหน้านั้นก็ไม่มีให้เห็นแล้ว เวลานี้กลับช้อนตามองไปทางด้านหน้าที่รถม้าของตำหนักบูรพาห่างออกไป กล่าวอย่างหยอกล้อ “อะไรกัน? เจ้าไม่ตามไปหรือ?”


 


เขาไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่ความจริงแล้ว…


 


เป็นเพียงการแสร้งเป็นไม่มีอะไรเท่านั้น!


 


คบหากับเขาหลายปีมานี้ เหยียนหลิงจวินรู้จักนิสัยเขาดี ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบกลับ ทว่าก็ทอดมองตามทางด้านนั้นจนลับสายตา


 


ครุ่นคิดเงียบๆ พักใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้น “ทำไมข้าจึงรู้สึกว่า…ที่เด็กคนนั้นทำกับเจ้าคล้ายกับลึกๆ แล้วจะเป็นปรปักษ์อย่างไรอย่างนั้นเล่า?”


 


ซูอี้เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถึงกับเสียอาการ ยิ้มเยาะกับตัวเองกล่าวว่า “ปรปักษ์หรือ? นางเป็นปรปักษ์ตรงไหน พูดว่าปองร้ายน่าจะถูกกว่า!”


 


ลากซูหลินและเขาลงสังเวียนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?


 


ถึงแม้เขาจะไม่กลัวแต่ก็นับว่ากลายเป็นศัตรูกับสกุลซูไปแล้ว คอยวางแผนชักใยอยู่เบื้องหลัง ให้เป็นแบบนั้นเขายังจะรู้สึกดีกว่า


 


แต่เมื่อครู่ก็ไม่เลว ต่อให้เปิดเผยหรือวางแผนชักใยเขาก็ยังคงต่อกรกับซูหลินได้อยู่ดี!


 


แต่พอคิดก็เริ่มปวดหัวหนัก


 


ด้านเหยียนหลิงจวินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ…


 


หากนับซูอี้เป็นคนสกุลซู นั่นก็เท่ากับว่า เขามีเรื่องที่ปิดบังนางอยู่ แต่ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้มีนิสัยหาเรื่องให้คนโดยไร้เหตุผล ครั้งนี้ขุดกับดักหลุมใหญ่ไว้ให้ซูอี้แล้วจริงๆ ทว่าจะดูอย่างไรก็ไม่ใช่นิสัยนาง


 


หลังจากที่เหยียนหลิงจวินคิดแล้วคิดอีกก็ยังคงคาดเดาถึงความเป็นไปได้ต่างๆ  มองไปที่ซูอี้ด้วยความสงสัย “เจ้าเคยล่วงเกินนาง?”


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ซูอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทั้งยังมองเหยียนหลิงจวินที่มองเขาด้วยสายตาครุ่นคิดไปพลางสงสัยไปพลาง จนเกือบจะทนไม่ไหว สาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าเขากับเด็กคนนั้นไม่เคยเจอกันมาก่อน “เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้? วันนี้ข้าเพิ่งพบเจอนางเป็นครั้งแรก นางก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ข้าเสียแล้ว หากจะหาเอาคำตอบอย่างไรก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกับข้าหรอก?”


 


ทั้งสองคนต่างก็จ้องมองกันและกันอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พากันหลบตาหัวเราะอย่างขมขื่น


 


ซูอี้ที่ครุ่นคิดด้วยท่าทีจริงจังเล็กน้อยนั้นเดินไปอยู่ตรงหน้าของเหยียนหลิงจวิน ตบไหล่ของเขาก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องของข้าและสกุลซูที่ถูกเปิดเผยจะช้าจะเร็วก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด เจ้าไม่ต้องกังวลไป แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าเราร่วมมือกันแล้ว จากนี้ต่อไปคงมิวายโดนร่างแหไปด้วยกันแน่ หลายปีมานี้เส้นสายของสกุลซูในราชสำนักก็หาได้มีน้อยไม่ เจ้าเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง เป็นห่วงตัวเอง…จะดีเสียกว่า!”


 


เหยียนหลิงจวินเผยรอยยิ้มออกมา  คล้อยหลังไปนั้นรอยยิ้มจึงค่อยๆเลือนหายไป เคลื่อนสายตาไปทางวังหลวง พึมพำว่า “ตอนนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่า เป็นผู้ใดในราชสำนักที่มีกำลังเหนือวังบูรพา มีความสามารถจัดการจวนอ๋องหนานเหอ ทั้งยังบีบเค้นสกุลซูของพวกเจ้า นอกจากนี้ยังควบคุมผู้บัญชาการหยางเฉิงได้!”


 


“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” ซูอี้กังวลขึ้นมาอย่างทันที เรื่องในวังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่พอได้เห็นท่าทีที่จริงจังของเหยียนหลิงก็พอจะเดาออกว่า มีเรื่องที่ยากจะจัดการเกิดขึ้น


 


เหยียนหลิงจวินจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักเจาเต๋อให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ ทว่าท่าทีของทั้งสองคนกลับไม่ค่อยมีความตึงเครียด


 


“เรื่องของหรงเฟยในวันนั้น ตอนที่ข้าเข้าวังตรวจอาการของนางจึงถือโอกาสลงมือ เวลานั้นข้ากระตุ้นยาในร่างกายนาง แท้ที่จริงแล้วก็เพียงเพื่อเบี่ยงประเด็นให้เรื่องนี้ดูคลุมเครือ ต่อให้พวกเขาไปหาสาเหตุยังไงก็คงจะสืบสาวเรื่องราวจากนางไม่พบ ถึงแม้จะถูกโยงไปเรื่องผีสิงก็ตามที จนป่านนี้ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไร เรื่องนี้จึงทำได้แต่เพียงปล่อยผ่านไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากให้หยางเฉิงกังเข้ามายุ่งเกี่ยว ทว่าเรื่องกลับมาตกอยู่ที่ตัวเอง!  ก่อนหน้านี้ฉู่ฉีเหยียนก็ตั้งใจมาเค้นถามจากข้า เห็นได้ชัดว่า การกระทำเช่นนี้ผิดวิสัยของเขา ตอนนี้ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใครกันที่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ แม้แต่หยางเฉิงกังที่ประจำสำนักหอดูดาวหลวงมาหลายปี คนผู้นี้ก็ยังสามารถควบคุมเขาได้”


 


หยางเฉิงกังนั้น รับใช้ฝ่าบาทโดยตรง ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด ฝ่าบาทจึงไว้ใจเขา หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาจะกระทำการใดก็ยังคงเส้นคงวา ไม่ทำเรื่องขัดหูขัดตาฝ่าบาท


 


ทั่วป๋าหรงเหยาให้มองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีสิง ครั้งนี้หยางเฉิงกังกลับปั้นเรื่องต่อหน้าฝ่าบาท ดึงเรื่องนี้มาเกี่ยวพันกับตนเอง เรื่องเช่นนี้…


 


ดูอย่างไรก็ไร้เหตุผล


 


“มีความเป็นไปได้สองทาง ถ้าไม่ใช่เป็นสำนักหอดูดาวหลวงที่เตือนรัชทายาทให้เตรียมรับมือ ก็คงเป็น…”ตอนที่พูดก็บุ้ยปากไปทางตำหนักบรรทมของฝ่าบาท


 


“เป็นไปไม่ได้!” เหยียนหลิงจวินส่ายหน้ายิ้มๆ “รัชทายาทเป็นคนรอบคอบ คงไม่เสี่ยงเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่นใกล้หูใกล้ตาฝ่าบาทหรอก แต่ฮ่องเต้นั้น…ข้าว่า สีหน้าพระองค์ในตอนนั้นดูเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยจริงๆ”


 


หากเป็นฝีมือของฉู่อี้อัน เป็นไปไม่ได้ที่ฉู่สวินหยางจะไม่รู้ล่วงหน้า ทั้งยังตั้งใจไปเชิญเฉินเกิงเหนียนมาช่วยกู้หน้า


 


เขาอีก


 


ส่วนฝ่าบาทนั้น…


 


ตอนที่กำลังสอบสวนพี่น้องทั่วป๋าไหวอันต่อหน้า พระองค์ก็พุ่งเป้าเค้นหนัก ทำไมตอนนี้กลับมอบหมายให้หยางเฉิงกังหาเบาะแสเองเสียเล่า?


 


คิดมาถึงตรงนี้ เหยียนหลิงจวินก็ยังไม่รู้จะทำเช่นไร


 


กลับเป็นซูอี้ที่มองออก กล่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “หยางเฉิงกังนำดวงชะตาขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นกลับไปด้วยมิใช่หรือ?”


 


รอหยางเฉิงกังทำนายผลออกมา เวลานั้นก็จะมีเบาะแสออกมาเอง


 


“ถูกของเจ้า!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม “เป็นข้าที่วู่วามเอง”


 


ซูอี้ไม่พูดมาก เมื่อหาทางออกได้ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เมื่อครู่ที่เจ้าสั่งอิ้งจื่อให้ไปทำคือ…”


 


“ไม่มีอะไร” เหยียนหลิงจวินกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา ในใจนั้นลอบถอนหายใจ


 


เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าโกรธอะไรหนักหนา โมโหจนทำเรื่องไร้เหตุผล แม้แต่ข่าวของโม่เป่ยก็ไม่สนใจเสียแล้ว


 


เขาไม่อยากพูด ซูอี้ก็ไม่สาวความต่อ เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ทั้งสองคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป


 


ทางด้านสกุลซูที่อยู่ในการนั่งรถม้าระหว่างกลับจวน ใบหน้านั้นเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ


 


อดกลั้นมานาน แต่ซูหว่านก็ยังไม่คลายความโกรธ นางเขวี้ยงถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวว่า  “ท่านพี่ เหตุใดจู่ๆ เจ้านั่นถึงมาปรากฏที่เมืองหลวงได้เล่า? มิใช่ว่าเขาถูกขับไล่ให้อยู่นอกเมืองหรอกหรือ? เรื่องใหญ่เพียงนี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่ทราบมาก่อน? ตอนนี้เขายังเกี่ยวพันกับเหยียนหลิงจวินอีก? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


 


ใบหน้าซูหลินเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาเหลือบสายตามองนางก่อนจะเบนไปยังด้านข้างแทน ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


“ท่านพี่!” ซูหว่านยิ่งกระวนกระวายกว่าเดิม ส่งเสียงในลำคอก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง เวลานี้รถม้าที่พวกเขานั่งอยู่กลับกระตุกหยุดอย่างรุนแรง


 


น้ำชากระเด็นหกออกมา สาดเลอะโดนทั้งสองคน


 


ซูหว่านที่กำลังจะเตรียมปะทุความโกรธนั้น กลับได้ยินเสียงปะทะกันของอาวุธดังมาจากภายนอก เสียงที่ลอยมานั้นยังไกลอยู่บ้าง แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน คล้ายกับมีคนประมือกันบนถนน


 


สองพี่น้องต่างก็นิ่งเงียบไป ก่อนจะพากันตกใจ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอย่างฉับพลัน


 


———————————————————————–



บทที่ 88 ลอบสังหารกลางดึก (1)

โดย

Ink Stone_Romance

 


“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูหลินถามเสียงระคนโมโห


องค์รักษ์ที่คุมกันอยู่ด้านนอกต่างก็เตรียมการคุ้มกัน ก่อนคนสนิทของเขาจะเปิดประตูรถ กล่าวว่า “ซื่อจื่อ ด้านหน้ามีคนสู้กันขอรับ เหมือนว่ารถคันนั้นก็เพิ่งจะออกจากงานเลี้ยงวังหลวงเช่นกัน พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”


ขณะพูดก็กล่าวเพิ่มอีกประโยคด้วยความกังวล ”ทั้งสองกลุ่มดูอย่างไรก็เป็นคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา!”


หมายความว่า นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน


คืนสิ้นปี คนที่เข้าวังร่วมงานเลี้ยงของแคว้นในวันนี้ได้นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นขุนนางระดับห้าขึ้นไป แต่ก็กลับเกิดเรื่องลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งกลางเมืองหลวงเช่นนี้?


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องธรรมดาไม่


แววตาของซูหลินนิ่งไปชั่วครู่ รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ถนนสายนี้ ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี กล่าวอย่างโมโห “นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนนี่!”


ซูหว่านนั้นตกใจตามไปด้วย


 “ซื่อจื่อโปรดระงับความโกรธ” องค์รักษ์คนนั้นกล่าวด้วยเกรงกลัว “ตอนพวกเราออกจากวัง รถม้าแต่ละจวนก็ล้วนออกตามกันมา ถนนด้านตะวันออกนั้นจึงแน่นขนัด ข้าน้อยเห็นท่านเร่งรีบจึงตัดสินใจมาทางนี้เองขอรับ”


องค์รักษ์ผู้นี้รับใช้ซูหลินมาหลายปี นับว่าเชื่อถือได้ แม้ว่าจะยังไม่วางใจ แต่เมื่ออธิบายมาเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล


 “รถม้าสองคันนั้น…” ซูหว่านนั้นยังคงจมอยู่กับความคิด มองไปด้วยความสงสัย ก่อนหัวใจนางจะบีบรัดอย่างแรง “พี่ใหญ่ บนรถคันนั้นเหมือนจะมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์โม่เป่ย หรือว่าผู้ที่ถูกโจมตีจะเป็นทั่วป๋าไหวอัน”


ความสัมพันธ์ระหว่างซูหลินและทั่วป๋าไหวอันนั้นไม่นับว่าเป็นมิตร เห็นแต่จะออกไปทางศัตรูเสียมากกว่า


ซูหลินในตอนนี้ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบหันกลับขึ้นรถม้า ออกคำสั่งว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องดีกว่า กลับรถแล้วไปต่อได้ ”


ทั้งสองฝ่ายที่ประมือกันอยู่ด้านหน้าล้วนแต่มีฝีมือ องค์รักษ์ของสกุลซูทราบเรื่องนี้ดี จึงไม่รอช้าทำตามคำสั่งทันที เตรียมกลับรถไปยังทางที่มักจะใช้เวลากลับจวน


 “แต่ว่า…” ซูหว่านชะเง้อออกไปนอกหน้าต่างหันกลับไปมอง เห็นการต่อสู้ดุเดือดทางนั้นจึงรู้สึกกังวลใจ “พี่ใหญ่ ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ว่าท่านไม่ถูกกับทั่วป๋าไหวอัน หากเป็นคนอื่นก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเรากลับไปเช่นนี้แล้วเกิดเรื่องกับเขาขึ้นมา เรื่องอาจจะตกมาที่ท่านพี่ก็ได้”


ซูหลินนั้นยินดีอย่างมากหากจะเกิดเรื่องขึ้นกับทั่วป๋าไหวอัน แต่อย่างไรก็ยังคงเชื่อในคำกล่าวนั้น…


วาจาของคนเป็นสิ่งที่น่ากลัว


แววตามืดมนของเขาลังเลไปชั่วขณะ ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจ ปากซอยตรงหน้าก็ปรากฏกลุ่มคนชุดดำบุกจู่โจมเข้ามา


คนผู้นั้นปรากฏตัวว่องไวปราดเปรียว เห็นได้ชัดว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี


ถนนด้านตะวันออกนั้นเป็นถนนสายหลัก ส่วนถนนด้านนี้ถึงจะไม่แคบมาก แต่หากเป็นสกุลชั้นสูงที่ออกงานอย่างเป็นทางการย่อมต้องรักษาหน้าตา ดังเช่นรถม้าของสกุลซูสองคันนี้ที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้ติดอยู่ในซอยครึ่งหนึ่ง


ผู้ที่มานั้นติดอยู่ทางปากถนน จึงเกิดความลังเลขึ้นชั่วครู่


องค์รักษ์ที่ได้รับคำสั่งนั้นตกใจ รีบกล่าวออกไปทางด้านหน้า “พวกเราเพียงผ่านมาเท่านั้น เชิญพวกท่านตามสบายเถิด!”


คนชุดดำอีกฝ่ายนั้นดูเหมือนไม่อยากจะมีปัญหา เมื่อเห็นว่ารถม้าคันด้านหน้าไม่ใช่เป้าหมายที่เขาต้องโจมตีจึงไม่อยากเสียเวลาเข้าไปยุ่ง


ตอนที่หัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำนั้นกำลังจะโบกมือ กลับมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้น…


ดาวกระจายแวววับสีเงินพุ่งทะลุผ่านอากาศออกมา


ปฏิกิริยาคนชุดดำนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก เบี่ยงกายหลบไปทางด้านข้างทันที จึงรอดตายอย่างหวุดหวิด ทว่าคนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่โชคดีเช่นนั้น เพราะมองเห็นไม่ชัดว่าด้านหน้าเกิดอะไรขึ้น จึงตั้งรับไม่ทันถูกอาวุธลับนั้นปักเข้าที่หัวไหล่ ชั่วพริบตาก็ครางในลำคอ ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงก็ล้มหน้าคว่ำ แขนขาชักกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป


 “อาวุธมีพิษอยู่” มีคนส่งเสียงเตือนออกมา


อาวุธนั้นไม่เพียงแต่อาบยาพิษ ทั้งนี้ฤทธิ์ของมันก็รุนแรงจนสามารถปลิดชีพคนได้อย่างทันที


ทว่าหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำที่มีการสังเกตที่เฉียบคมนั้น กลับได้เห็นว่าอาวุธลับพวกนั้นถูกขว้างออกมาจากทางองค์รักษ์ของสกุลซู จึงโบกมือทั้งโกรธเกรี้ยวที่เสียรู้ “พวกมันล้วนเป็นพวกเดียวกัน ฆ่าให้หมด!”


พูดไม่ทันจบก็ลงมือด้วยความรวดเร็ว มีดโค้งรูปร่างประหลาดทะยานจากฟ้าพุ่งจู่โจมไปทางหัวหน้าองค์รักษ์สกุลซู


วรยุทธ์ที่เลิศล้ำ ออกดาบปัดป้องได้อย่างแน่นหนา มีดโค้งรูปร่างประหลาดนั้นวาดออกเหมือนตาข่ายที่กางหุ้มกลางอากาศ


องค์รักษ์สกุลซูคิดว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมีฝีมือมาก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจจนตั้งรับไม่ได้ถึงเพียงนี้ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น จึงทำได้เพียงต่อสู้จนร่วงลงจากหลังม้าหนีตายออกไปเท่านั้น


คนชุดดำเหล่านี้คิดไปแล้วว่าพวกเขาสมคบคิดกับทั่วป๋าไหวอัน ชายชุดดำนับสิบคนจึงถือมีดบุกเข้ามา


ภายในรถม้า ซูหว่านนั้นหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือกไปตั้งนานแล้ว


เวลานี้ซูหลินจึงนึกออกขึ้นมา…


เขาได้ตกอยู่ในแผนลับของใครบางคนเข้าให้แล้ว!


แต่ยามนี้บ่นแค้นอยู่ในใจก็ไม่ช่วยอะไร เพราะอีกฝ่ายบุกเข้ามาแล้ว หลบอยู่ในรถม้าก็เท่ากับรอความตายเท่านั้น คิดได้เช่นนั้นก็รีบดึงซูหว่านลงจากรถทันที ฉวยโอกาสตอนที่องค์รักษ์ต้านคนชุดดำไว้ คว้าเอวของซูหว่านมาหลบด้านข้างกำแพงเตี้ยเพื่อเตรียมกระโดดหนี


แม้จะป้องกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังมีช่องโหว่ ราวกับมีคนตั้งใจสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่าเขาเตรียมที่จะหาทางหนี ในความมืดก็ปรากฏดาวกระจายพุ่งเข้ามาหาเขาในฉับพลัน


เมื่อชั่วครู่แม้เขาจะนั่งอยู่บนรถ ก็เห็นภาพคนชุดดำที่ตายอนาถด้วยอาวุธลับนี้อย่างชัดเจน เวลานี้มือเท้าล้วนเย็นไปหมด ท่ามกลางความตกใจจึงไม่สนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว รีบหลบหลีกไปทางด้านข้าง


อาวุธลับที่ส่งให้คนชุดดำนั้นแฝงไปด้วยความรุนแรงดุดัน แต่กับเขานั้นถือว่าเมตตาอยู่บ้าง ซูหลินที่หลบพ้นนั้นโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วายมีเหงื่อเย็นผุดตามร่างกาย


เขาก่นด่าอยู่ในใจ รู้ว่ามีคนจับตามอง จึงไม่กล้าที่จะลองหนี


ซูหว่านที่ตัวสั่นหลบอยู่หลังเขา พูดเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่ คนพวกนี้สังหารคนไม่ได้หมายจะเอาชีวิต พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?”


ซูหลินมองไปรอบกาย วันนี้เขามีองค์รักษ์ติดตามมาสี่สิบกว่านาย ให้สกัดคนชุดดำไว้ชั่วครู่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับน่ากลัวดุดัน ทั้งยังล้วนมีฝีมือ  ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ ภายใต้สถานการณ์จนมุมเช่นนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ โบกมือกล่าว “ถอยไปยังด้านในตรอด”


ตัดสินเอาจากสถานการณ์ตรงหน้า เพื่อที่จะรักษาชีวิตจึงไม่สนใจเรื่องความแค้นส่วนตัวก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงต้องร่วมมือกับทั่วป๋าไหวอันเท่านั้น จึงจะสามารถดึงเวลารอจนกำลังเสริมมาถึง


ซูหลินดึงซูหว่านวิ่งนำไปก่อน


ทางฝั่งของทั่วป๋าไหวอันนั้นถูกมือสังหารกว่ายี่สิบคนล้อมโจมตี องค์รักษ์ของเขามีมาก ทว่าเวลานี้พละกำลังที่มีอยู่คงจะรั้งได้ไม่เกินหนึ่งเค่อเท่านั้น หกสิบคนหายไปกว่าครึ่ง เขานั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว บนไหล่และบริเวณเอวต่างก็มีบาดแผล ถึงแม้จะไม่ถูกจุดสำคัญ แต่เพราะว่าเสียเลือดมาก จึงสูญเสียกำลังภายใน ใบหน้านั้นไร้สีเลือดไปครึ่งหนึ่งแล้ว


ทั่วป๋าอวิ๋นจีถูกองค์รักษ์สองคนคุ้มกันอยู่ พิงอยู่ด้านข้างของรถม้า ท่าทีที่ทั้งหวาดกลัวและกดดันมองไปยังการต่อสู้ที่เกิดตรงหน้า  ลอบขบริมฝีปากจนมีเลือดไหลซิบออกมา


ท่าทางของนางดูคล้ายกับสามารถรักษาท่าทีไว้ได้อยู่ แต่ตัวนางกลับรู้ดีว่า เหตุการณ์ลอบสังหารที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนี้ เป็นการข่มขู่ให้นางรับความรู้สึกถึงความตายที่อยู่ตรงหน้า


ซูหลินดึงซูหว่านเข้ามา


ทั่วป๋าไหวอันที่กำลังพยายามต่อสู้นั้นมองเห็นเขา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทียินดีขึ้นมาสักนิด


ซูหลินกลับโกรธเกรี้ยว คำรามเสียงดัง “พวกเจ้าใจกล้านัก ไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใครกัน? กล้าทำเรื่องเปิดเผยใกล้เท้าฝ่าบาท ลอบสังหารขุนนางต่างแคว้นและเชื้อพระวงศ์ พวกเจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่?”


มือสังหารพวกนั้นกลับไม่ฟังคำขู่ของเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดขึ้นไปอีก


ทั่วป๋าไหวอันนั้นกวาดสายตามอง สายตาเหยียดหยันนั้นราวกับดูตัวตลกก็มิปาน…


คำพูดไร้สาระเช่นนี้เขาไม่คิดที่จะถาม เพราะว่าหากเป็นดั่งที่ซูหลินกล่าว ที่นี่คือเมืองหลวงใกล้หูใกล้ตาฝ่าบาท คนที่กล้าลงมือกับเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แทบไม่ต้องคิดมากในใจเขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว


แต่ว่าฝีมือที่ร้ายกาจของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาตระหนักถึงอันตรายที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไร้ซึ่งความหวัง ทำได้เพียงพยายามต่อสู้เอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลังเท่านั้น


การสังหารที่ดุเดือดนั้น ในขณะเดียวกัน บนหลังคาของเรือนเล็กในซอยด้านหนึ่งนั้นได้มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ


เสื้อคลุมคอกว้างสีดำ ตะเข็บสีดำ ตรงมือก็เป็นผ้าทอหยาบสีดำเช่นกัน เพียงแต่ตรงปลายแขนเสื้อนั้นมีปลายนิ้วสีราวไข่มุกอ่อนโผล่ออกมา


เวลานี้ในมือของเขาจับด้ามมีดโค้งที่เอวอย่างเงียบๆ มีดเล่มนั้นถูกห่อไว้อย่างลึกลับ ทว่ารูปร่างที่มองไม่เห็นกลับให้ความรู้สึกถึงอันตรายจากภายใน คล้ายกับสามารถบินออกมาตัดหัวผู้คนจนเลือดพุ่งกระฉูดได้ตลอดเวลา


บริเวณที่เขายืนอยู่นั้นถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด เมื่อมองลงมา ไม่เพียงมองเห็นฉากการต่อสู้ในตรอกอย่างชัดเจน แม้แต่สถานการณ์ทางถนนด้านข้างก็เห็นแจ่มชัด เพียงแค่คนของทางการหรือหน่วยลาดตระเวนผ่านมา เขาก็ย่อมได้เปรียบแน่นอน


………………………………………………………



บทที่ 88 ลอบสังหารกลางดึก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

 


คนที่อยู่ในตรอกต่างก็สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ประจวบกับเป็นยามค่ำคืนที่มีความมืดแผ่ปกคลุม ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ทว่าอิ้งจื่อที่แอบเล่นงานซูหลินกับมือสังหารเมื่อครู่นั้นกลับรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขานานแล้ว


คนผู้นี้ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่ในมือกลับทำท่าทางแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา…


ในตรอกที่เต็มไปด้วยความเดือดพล่าน เหมือนว่ามือสังหารทั้งหมดจะรับฟังคำสั่งจากเขาเท่านั้น มองดูผิวเผินคล้ายเป็นการสังหารที่ดูวุ่นวาย แต่ความจริงกลับเป็นการสังหารที่เตรียมการมาอย่างดี บีบทั่วป๋าไหวอันให้สิ้นทางหนีไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


ความสุขุมและเยือกเย็นในการควบคุมสถานการณ์ใหญ่เช่นนี้…


อิ้งจื่อที่มองดูอยู่นั้นถึงกับตกตะลึงอยู่ในใจ นางไม่แน่ใจว่าคนผู้นั้นมองเห็นนางหรือไม่ แม้แต่จะให้คาดเดาจุดประสงค์ของเขานางก็นึกไม่ออก…


ส่วนบางคนนั้น ได้มองจากที่ไกลไกลตั้งแต่เริ่มแล้ว


คำสั่งที่เหยียนหลิงจวินมอบหมายสำเร็จแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รั้งรอ เตรียมที่จะถอนตัว ก้มตัวหลบจากที่ซ่อนตัวอยู่ออกไปด้านหลังกำแพง


ท่ามกลางคืนที่มืดมิดนั้นกลับมีสายตาเฉียบคมราวกับนกอินทรีเพ่งเล็งมา ในช่วงเวลาอันสั้น แววตาที่แฝงไปด้วยสัญญาณอันตรายนั้นก็จับจ้องไปที่ด้านหลังนาง


สัญชาตญาณอันตรายร้องเตือนขึ้น อิ้งจื่อไม่จำเป็นต้องมองไปด้านหลังก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่บนหลังคาผู้นั้นพบตัวนางเข้าให้แล้ว ขนที่หลังคอทุกเส้นล้วนตั้งชัน นางปล่อยดาวกระจายออกไปทันที


คนผู้นั้นขยับกายเล็กน้อย กระทั่งอาวุธที่ซ่อนอยู่ในมือนั้นสว่างวาบ ชักมีดโค้งประกายแสงออกมา กระโดดไปอย่างเงียบเชียบ ดาวกระจายที่เดิมทีจะต้องพุ่งเข้าจุดสำคัญ บัดนี้ราวกับถูกฟาดสุดกำลังจนเปลี่ยนทิศไปทางอิ้งจื่อที่กำลังหลบหนี โจมตีไปที่จุดตายของนาง


กำลังภายในที่ฟาดไปกับมีด แท้จริงก็เพื่อตั้งใจให้ไล่ตามนางไป ตอนที่อาวุธลับนั้นย้อนกลับมาความแรงก็ยังเพิ่มขึ้นไม่ลดน้อยแต่อย่างใด ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหวีดหวิว


อิ้งจื่อคล้ายพบเจอกับศัตรูที่ร้ายกาจ เมื่อหลบไปทางด้านข้าง กลับมีคนฉุดข้อมือนางไป


ร่างของนางสั่นสะท้าน ล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น อาวุธนั้นพุ่งผ่านหน้าผากนางไป ตัดเส้นผมร่วงลงแผ่วเบา


พลาดไปเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ


ในขณะที่เหยียนหลิงจวินคว้าอิ้งจื่อออกมา ซูอี้ก็ลงมือทันที พลิกมือใต้แขนเสื้อ แสงสะท้อนสีทองปรากฏในมือ ก่อนจะปล่อยใบไม้สีทองหลายใบฝ่าอากาศออกไปยังจุดสำคัญของคนผู้นั้น


วรยุทธ์ของอิ้งจื่อนั้นแม้จะมีมากกว่าเขา แต่ถ้าเทียบกับซูอี้ที่ชำนาญในการใช้อาวุธลับ ครั้งนี้จึงต่างอยู่บ้าง เขาลงมือแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด ไม่ออมมือแม้แต่น้อย


ภายใต้ประกายแสงสีทอง คนผู้นั้นกลับยืนมั่นคงดั่งหินผาไม่ขยับกาย หลังจากนั้นจึงค่อยเอนไปด้างหลังด้วยท่วงท่าราวกลับผีเสื้อลู่ลม


กระดูกของเขาคล้ายกับยืดหยุ่นได้อย่างประหลาด มุมที่เอนนี้ทำให้เห็นร่างส่วนบนพับลงไปอย่างทื่อๆ ใบไม้สีทองที่ซูอี้ขว้างมานั้นพลาดเป้าไปกว่าครึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็กวาดมีดโค้งในมือ สะท้อนแสงสีเงินออกมาท่ามกลางความมืดมิด ราวกับสายฟ้าฟาดผ่ากลางอากาศ ใบไม้สีทองสองใบถูกใบมีดปัดออกไป จึงมีเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ ปักเข้าไปที่ไหล่ขวา บนเสื้อคลุมสีดำของเขาจึงปรากฏรอยขาดขนาดใหญ่ขึ้น


ซูอี้มองคนผู้นั้นจากที่ไกลๆ ถึงกับตกตะลึง


สามารถหลบอาวุธลับห้าชิ้นของเขาในเวลาสั้นๆ บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


เหยียนหลิงจวินที่อยู่ด้านข้างนั้นคว้าตัวเขา “ไป!”


คนทั้งสาม พร้อมกับเงาที่ทอดตาม เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับผ่านสายรุ้ง หนีมาสักพักก็เร้นกายซ่อนตัวเลียบเคียบไปกับกำแพงที่สูงๆ ต่ำๆ


คนชุดดำยังคงทอดสายตาสงบนิ่งไร้คลื่นน้ำ


ซูอี้นั้นหันกลับไปมอง กลับพบว่าเขาปรับเปลี่ยนท่าทางไปตามเดิมแล้ว จับด้ามมีดที่เอวด้วยมือเดียวอย่างเงียบๆ ใช้ท่าทางเหมือนกับกำลังมองดูชีวิตผู้คน มุ่งกลับไปสนใจยังฉากต่อสู้ในตรอกด้านล่างเช่นเดิม


ราวกับว่า…


การปะทะดุเดือดเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


เสียงการต่อสู้ในซอยนั้นค่อยๆ ทิ้งห่างออกไป ทั้งสามคนก็ไม่รั้งอยู่ที่ไม่ควรจะอยู่นาน รีบวิ่งกลับไปยังที่พักของเหยียนหลิงจวิน


อิ้งจื่อไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่มวยผมนั้นถูกอาวุธลับจนยุ่งเหยิง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงดูแทบไม่ได้


เหยียนหลิงจวินเหลือบมองนางก่อนจะกล่าว “กลับไปพักเถอะ ที่นี่ไม่มีเรื่องให้เจ้าทำแล้ว”


 “เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อก็ไม่รอช้า รับคำสั่งแล้วจากไป


ซูอี้ที่คุ้นเคยกับห้องนี้ดีจึงรินน้ำชาส่งให้เขา ตัวเขาเองก็นั่งลงบนตั่งนุ่มยกชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสบายแล้วกล่าวว่า “กองบัญชาการทหารเมืองเก้าคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า แต่ว่าการลอบสังหารในวันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ แม้กระทั่งทั่วป๋าไหวอันที่ไม่รู้ว่าจะสามารถจัดการปัญหาได้หรือไม่ เช่นนี้ก็ต้องอาศัยตัวเขาเองแล้ว”


เหยียนหลิงจวินเดินผ่านไป ถอดรองเท้าออกก่อนจะครองบนตั่งยาว ก้มลงนั่งอีกด้านหนึ่ง แววตาแวววับทั้งยังแฝงด้วยความเหน็บแหนมอยู่กลายๆ


เขาไม่ตอบรับ ซูอี้ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแต่จมดิ่งอยู่ในความคิดตัวเอง ในหัวก็ยังหยุดไม่ได้ที่จะคิดถึงการประมือกับคนชุดดำที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าตาเฒ่านั่นจะสามารถฝึกฝนกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาได้ดีเช่นนี้ หลายปีมานี้ ผู้คนเพียงแต่รู้ว่า เขาปกครองบ้านเมืองอย่างเข้มงวด ไม่เคยคิดเลยว่า อีกด้านหนึ่งที่ใช้คนลอบสังหารและปฏิบัติภารกิจลับก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกันด้วย”


เหยียนหลิงจวินคิดต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยกยิ้มแผ่วเบา ขยับถ้วยชาในมือกล่าว “เจ้าไม่รู้สึกว่าท่าทางของคนผู้นั้นดูแปลกๆหรือ”


 “หื้ม?” ความคิดของเขาถูกขัดขึ้น จึงส่งแววตาที่อยากถามด้วยความสนใจไปให้เขา


เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ยกจุดสีดำขึ้นมาจากกระดานหมากรุกที่อยู่ข้างมือ ขว้างไปชนหน้าต่างบานตรงข้ามจนเปิดออก


กลิ่นอายของความมืดจากด้านนอกแผ่เข้ามา ท้องฟ้ากลับปรากฏสีขาวราวท้องปลาเป็นรางๆ


ดวงตาของเขาดูเงียบสงบและห่างไกล เวลานี้จึงกล่าวขึ้น “ด้วยตำแหน่งที่เขายืนในเวลานี้ พูดได้ว่า มีความรู้หูตากว้างไกลก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินไป ไม่มีเหตุผลที่อิ้งจื่อลงมือสองครั้งแต่เขากลับไม่ค้นหา แต่เหตุใดถึงมาถูกจับได้ในตอนที่กำลังเดินออกมาอย่างเงียบๆ?”


ซูอี้พึมพำไม่เต็มเสียง “ความหมายของเจ้าก็คือ…เขาตั้งใจอ่อนข้อให้? จงใจปล่อยอิ้งจื่อให้หนีไป ดึงซูหลินและพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน”


 “เป็นเพราะเหตุใด?” เหยียนหลิงจวินกลับไม่ตอบคำถามนั้น นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนตารางหมากรุกเป็นระยะๆ เผยรอยยิ้มหยอกล้อให้แก่ซูอี้ “สกุลซูจะมีความแค้นฝังลึกขนาดนี้กับใครได้บ้างเล่า? เจ้าก็รู้กฏที่ราชวงศ์สร้างองค์รักษ์ลับ คนแบบนี้แทนที่จะเป็นคน มิสู้เป็นอาวุธสังหารคน แล้วคนแบบนี้…มีเหตุผลอะไรที่จะละเลยภารกิจอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ”


ถ้าไม่ใช่องค์รักษ์ลับหลวง ก็เป็นหน่วยกล้าตายที่ตระกูลสูงศักดิ์ใหญ่ๆ ฝึกฝนมา เช่นนั้นก็ไม่ควรให้พวกเขามีความรู้สึกส่วนตัว เพราะว่า…


ความรู้สึกมักจะนำเรื่องเลวร้ายมา!


ซูอี้ที่ก่อนหน้านั้นถูกวรยุทธ์ที่ร้ายกาจของเขาดึงดูด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ควรที่จะมองข้าม


“ดูอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล” ซูอี้กล่าว ในขณะที่คิ้วขมวดครุ่นคิดนั้นก็ยิ้มอย่างเหน็บแหนม “ไม่ใช่ว่าตาเฒ่าจะคิดไปทางเดียวกับเจ้าเสียหน่อย ตั้งใจจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จัดการสกุลซูที่เป็นดั่งตะปูในตาออกไปด้วยกันน่ะสิ?”


เริ่มแรกใช้ตำแหน่งของสกุลซูเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นความใจกว้างของเขา แต่เตียงนอนของตนจะให้ผู้อื่นมาหลับนอนได้อย่างไร[1]? สกุลซูที่มีเชื้อพระวงศ์ต่างแซ่…


ตั้งแต่การมีอยู่ของมันในวันนั้นก็กลายเป็นดั่งหนามยอกอกของฮ่องเต้


จะเร็วจะช้าก็ต้องหาวิธีที่จะดึงมันออกมา


“อย่างนั้นหรือ?” เหยียนหลิงจวินที่ไม่ได้คิดเช่นนั้นส่ายหน้ายิ้ม “หากเขาวางแผนเช่นนี้จริงๆ ตอนนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ข้าลงมือลากพี่น้องสกุลซูเขาไปเกี่ยว ทั้งปฏิบัติการขององค์รักษ์ลับหลวงนี้ล้วนแต่มีกฎที่เข้มงวด การเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่ต้น อีกอย่าง พวกเขาต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทผู้นั้น ไม่ต้องการที่จะเก็บสกุลซูไว้นาน แต่ว่าครั้งนี้ผู้ที่ฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาไปลอบสังหารก็คือทั่วป๋าไหวอัน แม้สกุลซูจะวิ่งเข้ามา อย่างไรพวกเขาก็คงไม่สนใจ แต่ว่าครั้งนี้กลับ…  ”


ขณะที่เหยียนหลิงจวินพูด ท่าทางนั้นคล้ายกับแฝงความลับที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “ดูเหมือนว่า…จะมีคนแหกกฎเสียแล้ว!”


องค์รักษ์ลับของฮ่องเต้ คนเช่นนี้ ควรจะทำตามคำสั่งเท่านั้นถึงจะถูก!


หากเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ก็แล้วไป มิฉะนั้นถ้าเป็นอย่างที่เหยียนหลิงจวินกล่าว ก็คงมีคนทำลายกฎอย่างลับๆ


นี่หมายความว่าอะไร?


มีคนที่สามารถทำเรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ดึงตัวคนที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ไปเป็นพวก?


ทั้งราชสำนักนี้ มีผู้ใดที่มีความสามารถเช่นนี้ได้? แล้วใครที่มีเหตุผลทำเช่นนี้?


ซูอี้เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้โดยทันที ใบหน้าจึงปรากฏท่าทีจริงจัง รอฟังประโยคถัดไปของเหยียนหลิงจวินอย่างเงียบๆ


————————————————————————


[1] เตียงนอนของตนจะให้ผู้อื่นมาหลับนอนได้อย่างไร1 อุปมาว่า ไม่อยากให้ผู้อื่นเข้ามารุกรานในอาณาเขตของตน เอาผลประโยชน์ไป



บทที่ 88 ลอบสังหารกลางดึก (3)

โดย

Ink Stone_Romance

 


เหยียนหลิงจวินนิ่งไปพักใหญ่ ท่าทางนั้นเรียบเย็นทั้งแฝงท่าทีสบายๆอยู่ตลอดเวลา เอนกายลงบนตั่งมองไปยังแผ่นฟ้าด้านนอกที่ค่อยๆ แยกออกจากกัน


 “เรื่องน่าสนใจขึ้นมาแล้ว หากตั้งแต่เริ่มจนจบล้วนเป็นข้าที่คาดการณ์ผิดก็แล้วไป แต่ถ้าทั้งหมดนี้อยู่เหนือการควบคุมของตาเฒ่า…ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องดี!”


หากมองตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นฝีมือของผู้ใด ก็ยังไม่ถือเป็นอันตรายต่อพวกเขา


แต่ว่าเบื้องหลังของผู้ที่ควบคุมนี้คงจะไม่ธรรมดา ภายใต้สถานการณ์ที่แยกไม่ออกว่ามิตรหรือศัตรูนั้น ไม่ควรจะเพิกเฉย


ยิ่งไปกว่านั้น…


ฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันสองพ่อลูกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน อำนาจนั้นสำหรับตัวเขาแล้วล้วนไม่มีคุณและโทษ เพียงแต่สอดมือเข้ามาเกี่ยวขนาดนี้แล้ว…


ในอนาคตการแย่งชิงอำนาจ ก็ต้องมีวังบูรพาเป็นคู่แข่งอย่างแน่นอน!


คนแบบนี้…


สามารถนับได้ว่าเป็นศัตรูในอนาคต!


คิดมาถึงขนาดนี้ เหยียนหลิงจวินก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร


ซูอี้เหมือนกับจะคิดอะไรออก เมื่อเป็นแบบนี้จึงลุกขึ้นจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่ “ในเมื่อเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน หากมีเรื่องอะไร ก็ให้คนไปส่งข่าวให้ข้าที่หอเชียนจีแล้วกัน”


 “อืม” เหยียนหลิงพยักหน้ารับ ทอดสายตามองเขาจากไป คล้อยหลังแววตาจึงค่อยๆเรียบนิ่งลง


เรื่องที่ต้องจัดการของเขาตอนนี้ก็คืออธิบายเรื่องของซูอี้ให้ฉู่สวินหยางได้เข้าใจ เพียงแต่ดูจากท่าทางของเด็กคนนั้น จะหาโอกาสเจอนางในเวลาสั้นๆยังนับเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็คงไม่อาจบุกเข้าไปยังวังบูรพาในกลางดึกได้หรอก?


เหยียนหลิงจวินขมวดคิ้วหมุ่น ยากที่จะเหนื่อยใจเช่นนี้ ค่อยๆเอนกายลงกับตั่งแล้วหลับไป


ทางด้านของฉู่สวินหยาง เนื่องจากบนถนนมีคนมากมายจึงล่าช้า เมื่อถึงวังบูรพาก็เป็นยามโฉ่ว[1]แล้ว


อารมณ์ของนางไม่ค่อยดี สิ่งที่ชิงหลัวกลัวที่สุดก็คือการปลอบคน เวลานี้จึงหาข้ออ้างปลีกตัวออกไปแล้ว


ชิงเถิงเรียกคนมาเตรียมน้ำร้อน คอยอาบน้ำและผลัดผ้าให้นาง ทั้งยังเรียกคนต้มชาสงบใจมาส่งให้


ฉู่สวินหยางนั่งสางผมที่เกือบจะแห้งบนเก้าอี้พลางดื่มชา ด้านนอกชิงหลัวที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง เผยใบหน้าเรียบเย็นก้าวเข้ามาจากด้านนอก กล่าวรายงานว่า “ท่านหญิง เมื่อครู่ข้าได้รับข่าวว่าด้านนอกเกิดเรื่องขึ้นแล้ว กล่าวว่ารถม้าขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับตำหนักรับรองเจ้าค่ะ ”


มือของฉู่สวินหยางที่ยกชาอยู่นั้นชะงักไปเล็กน้อยคล้ายกับแปลกใจอยู่บ้าง แต่คล้อยหลังกลับเม้มปากยิ้ม “ลอบทำร้ายต่อหน้าผู้คนไม่สำเร็จ ก็ส่งคนไปลอบสังหารอย่างเปิดเผยซะงั้น ความหนักแน่นที่ทำอะไรก็ทำอย่างถึงที่สุดช่างเหมาะกับฝ่าบาทของพวกเราเสียจริงๆ ”


ผู้อื่นไม่รู้ถึงความนัยก็แล้วไป แต่นางกลับไม่ต้องคิด…


ซื่อจื่อโม่เป่ยไร้การพัฒนา ทั่วป๋าไหวอันเป็นราชวงศ์แห่งโม่เป่ยเดียวที่สามารถต่อกรกับฝ่าบาทได้ ในเมื่อฮ่องเต้ลงมือ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกล้มกลางคัน ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องกำจัดเขาที่เป็นภัยร้ายออกไป


ชิงเถิงกระพริบตาปริบ เมื่อรู้ตัวจึงกลับออกไป


ชิงหลัวกลับหลับตาลง ไม่กล่าวอะไรออกมา


คำบางคำ ฉู่สวินหยางพูดได้ แต่นางนั้นหาพูดได้ไม่!


ฉู่สวินหยางยังคงครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นทั่วป๋าไหวอันล่ะ? ตายแล้ว?”


 “ไม่เจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบกลับทันที เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่…ขณะนี้เขาหายตัวไปเจ้าค่ะ!”


 “หายตัวไป?” ฉู่สวินหยางตกตะลึงเล็กน้อยด้วยไม่คาดคิดมาก่อน


 “เจ้าค่ะ! หายไปพร้อมกับท่านหญิงจวนอ๋องฉางซุ่นด้วยเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวกล่าว ไม่รอให้นางถามก็อธิบายสิ่งที่ได้รู้ออกมา “รถม้าขององค์ชายห้าและองค์หญิงหกแห่งโม่เป่ยเคลื่อนมาถึงถนนฉางโซ่วก็พบเข้ากับมือสังหารที่ไม่ทราบที่มาแน่ชัดโจมตี หลังจากนั้นซื่อจื่อซูและท่านหญิงซูได้ผ่านมาพอดี กล่าวได้ว่า ตอนที่ออกมือช่วยก็ติดร่างแหไปด้วย ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายจึงถูกมือสังหารบุกโจมตีแตกกันไปคนละทิศละทาง ภายหลังกองบัญชาการทหารเมืองเก้าตามมาถึง จึงช่วยองค์หญิงหกและซื่อจื่อซูไว้ ทว่าองค์ชายห้าและท่านหญิงซูกลับหายตัวไปอย่างไม่ทราบชะตากรรมเจ้าค่ะ ”


 “เป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก!” ฉู่สวินหยางเมื่อฟังจบกลับวางชาในมือลงอย่างไม่เชื่อ หัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องตลก “กองบัญชาการทหารเมืองเก้าที่ไร้ความสามารถพวกนั้นจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ทั่วป๋าไหวอันเป็นคนที่รอบคอบเพียงใด รู้อย่างแน่ชัดว่ามีคนเพ็งเล็งเขาอยู่ ตอนออกจากวังรอบกายล้วนแต่จัดเตรียมองค์รักษ์มือดี ทั้งยังมีพวกของสองพี่น้องสกุลซู อย่างไรก็ต้องรับมือได้ ทว่าคนพวกนี้ยังเอาชนะมือสังหารไม่ได้ กลับอาศัยทหารม้าเมืองเก้าที่มีคนจากทางการไม่กี่คนจัดการกับมือสังหารแทนอย่างนั้นรึ? นี่มันไม่เป็นเรื่องหลอกคนโง่ไปหน่อยหรือ?  ”


บริเวณเมืองหลวง หลังจากเข้าสู่ความมืดในทุกค่ำคืน ทหารรักษาการณ์ในเมืองก็จะส่งต่อหน้าที่ให้กับกองบัญชาการทหารเมืองเก้าและ กองพลทหารราบรับผิดชอบต่อ ยึดตามหลักแล้ว หน่วยทหารลาดตระเวนทุกหน่วยก็จะมีประมาณสิบแปดนาย ถ้าหากบังเอิญ หน่วยทหารม้าทั้งสองตามมายังที่จุดเกิดเหตุพร้อมกันก็เต็มที่แล้ว


องค์รักษ์ของทั่วป๋าไหวันกับซูหลินที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีกลับไม่ใช้ อาศัยยืมมือคนของทางการกว่าสามสิบคนถึงขับไล่มือสังหารพวกนั้นไปได้? ไม่ตลกไปหน่อยหรือ!


เรื่องแบบนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร นางคนหนึ่งแหละที่ไม่เชื่อ


แววตาของนางดิ่งลึก มองไปทางชิงหลัว “แท้จริงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?”


 “คือ…” ชิงหลัวมีหน้าลำบากใจ “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ได้ยินมาเพียงอีกว่า ซื่อจื่อซูบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หลังจากรอดออกมาแล้วก็รีบเข้าวังไปกับองค์หญิงอวิ๋นจี”


เมื่อฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งสังหารออกมาแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่มีทางปล่อยทั่วป๋าไหวอันให้หนีรอดไปได้เด็ดขาด เรื่องราวครั้งนี้แปลกประหลาดจริงๆ


ฉู่สวินหยางคิดวนไปมา เวลานี้จึงคิดออกว่าก่อนหน้านี้ที่ประตูวังเหยียนหลิงจวินได้พูดถึงเรื่องของโม่เป่ยเอาไว้


ฮ่องเต้จู่ๆ ก็ไม่สนใจอะไรลงมือกับทั่วป๋าไหวอันเช่นนี้ ต้องมีที่มาที่ไปเป็นแน่ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องโม่เป่ยที่เหยียนหลิงจวินพูดขึ้น? ราชวงศ์โม่เป่ยเกิดเหตุร้ายขึ้นงั้นรึ? ดังนั้นจึงบีบให้เขารับความเสี่ยง?


พอนึกถึงเหยียนหลิงจวิน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เป็นความโกรธธรรมดา แต่เป็น…


หากว่าระหว่างเขาและซูอี้มีความสัมพันธ์มานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องของชาติก่อนที่ซูอี้พยายามจะแย่งชิงอำนาจทางทหารของชายแดนใต้เอามาไว้ในมือตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่านั้นก็ต้องขบคิดให้ดีแล้ว!


นี่ไม่นับเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!


เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของนางก็มีแต่ความสับสน ตอนที่โบกมือให้ชิงหลัวกลับไป ชิงเถิงก็ผลักประตูเข้ามาจากด้านนอก “ท่านหญิง ท่านชายมาแล้ว!”


ฉู่สวินหยางพยักหน้ารับ ฉู่ฉีเฟิงก็ก้าวเท้ายาวเข้ามาแล้ว ใบหน้าปรากฏอารมณ์เคร่งเครียด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องทั่วป๋าไหวอันเป็นแน่


 “ท่านพี่เหตุใดจึงรีบร้อนเข้ามาเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ถนนฉางโซ่วใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางลุกยืนต้อนรับเขา


 “ใช่!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ก่อนจะดึงมือนางจัดแจงให้นั่งลงที่เดิม พลางกล่าวว่า “ท่านพ่อเพิ่งจะส่งข่าวจากในวังมา ทั่วป๋าไหวอันปรากฏตัวแล้ว บุกไปถึงตำหนักฝ่าบาท ต้องการให้ฝ่าบาท…แถลงไข”


ฉู่สวินหยางได้ฟังดังนั้นจึงอึ้งไป “เช่นนั้นฝ่าบาทว่าอย่างไร?”


 “จะว่าอย่างไรได้เล่า?” ฉู่ฉีเฟิงแค้นหัวเราะ ท่าทีดูแคลน “ก็ทำเพียงแสร้งปลอบใจเท่านั้น แต่ว่าเรื่องครั้งนี้ไม่สามารถปล่อยไปได้ ถ้าทั่วป๋าไหวอันตายก็แล้วไป ไม่มีผู้ใดรู้ แต่ตัวเขาเองต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครกันที่เป็นคนลงมือกับเขา เรื่องเช่นนี้หากเกิดเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถพูดได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ในเมื่อครั้งนี้พลาดมือ เว้นเสียแต่ว่าฝ่าบาทต้องการจะฉีกหน้าเขาอย่างเปิดเผยเพื่อจะเปิดฉากต่อสู้กับโม่เป่ย มิฉะนั้น…จากนี้ต่อไปเขาก็ไม่อาจจะลงมือกับทั่วป๋าไหวอันได้แล้ว ไม่เพียงแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ยังต้องปลอบขวัญและมอบรางวัลถึงจะสามารถปิดเรื่องนี้ไว้ได้”


 “เปิดสงครามกับโม่เป่ย?” ฉู่สวินหยางปฏิเสธความเป็นไปได้นี้ทันที “ข่าวการพ่ายสงครามของแม่ทัพฮั่วในแคว้นฉู่นั้นเพียงสองวันก็คงจะส่งมาถึงเมืองหลวง เรื่องสงครามทางนั้นเคร่งเครียดมาก ทั้งชาวโม่เป่ยยังขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญ กษัตริย์ของเขาก็อายุมากแล้ว เวลานี้จึงกังวลอย่างยิ่ง หากจะเปิดสงครามกับโม่เป่ย เช่นนั้นก็ต้องรับมือกับศัตรูทั้งสองด้าน อย่างน้อยที่สุด หลังจากเรื่องสงครามของแคว้นฉู่กลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็ไม่ทำเช่นนี้แน่”


ดังนั้นตอนนี้ฮ่องเต้ก็คงจะคิดออกอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือทำทุกวิถีทางที่จะระงับความโกรธของทั่วป๋าไหวอัน ยอมสงบศึกชั่วคราว เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกลัวแต่ว่าไม่ว่าทั่วป๋าไหวอันจะร้องขอสิ่งใดเขาก็จะยอมให้ทุกอย่าง มาคิดดูแล้วตาเฒ่าเดินหมากครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ


ฉู่สวินหยางคิดพลางถอนหายใจเบาๆ เมื่อสติกลับมาจึงค่อยตระหนักได้ว่า…


เรื่องเป็นของทั่วป๋าไหวอัน แล้วเหตุใดฉู่ฉีเฟิงถึงร้อนใจมาหานางเช่นนี้?


ในใจนั้นชะงักไปชั่วครู่ นางลืมนึกถึงสิ่งใดไปกันแน่ ทันใดนั้นก็หันไปหาฉู่ฉีเฟิง “ท่านพี่คงไม่ใช่ว่า…”


 “ท่านพ่อส่งข่าวกลับมา” ฉู่ฉีเฟงกล่าว ท่าทีตึงเครียดทั้งยังแฝงความโกรธอย่างเยือกเย็น ทว่าเขายังฝืนฉีกยิ้มออกมา ใช้ฝ่ามือตบปลอบหลังมือของฉู่สวินหยาง “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือตัวข้า ก็คงไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้ จุดประสงค์ของท่านพ่อ ก็เพียงอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องนี้ ในใจก็พอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งนานแล้ว”


ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก


เรื่องนี้ไม่ถึงกับทำให้นางกังวลสักนิด ทว่าลึกๆ กลับรู้สึกไม่สบายใจ


————————————————————————


 [1] ยามโฉ่ว ช่วงเวลาประมาณ 01:00 – 2:59



บทที่ 88 ลอบสังหารกลางดึก (4)

โดย

Ink Stone_Romance

“เป็นความต้องการของทั่วป๋าไหวอัน?” เขาไม่ใช่เป็นพันธมิตรกับฉู่ฉีเหยียนไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใจจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ใช้กลยุทธ์ตีเชิงตามไฟ[1]มาทางวังบูรพาแทนเล่า?” ฉู่สวินหยางถาม


ฉู่อี้อันไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทั่วป๋าไหวอันยึดอำนาจเป็นแน่ หากทั่วป๋าไหวอันจะทำโดยพลการ ก็รั้งแต่ยิ่งทำยิ่งเสียเท่านั้น แม้ประโยชน์เพียงครึ่งหนึ่งก็หาไม่เจอ ถ้าให้ฉู่สวินหยางมองเขา ก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่คิดว่าเขาจะทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าเช่นนี้


มุมปากของฉู่ฉีเฟิงรั้งขึ้นเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น ค่อยๆ หันศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธที่อดกลั้นไว้ “ไม่ใช่เขา!”


ฉู่สวินหยางตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ความคิดสว่างวาบเข้ามาในหัว ราวกับเสียงฟ้าร้องที่แยกเมฆขมุกขมัวในท้องฟ้าออกจากกัน ในช่วงเวลาอันสั้นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง


นางเข้าใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน พริบตาเดียวจากที่โกรธก็แค่นยิ้ม “เป็นความต้องการของฝ่าบาท?’


“พระราชโองการยังไม่ออกมา ทว่าเขากลับพูดคุยกับท่านพ่อไปแล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว แววตาทั้งสับสนทั้งยังถอนใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “ท่านพ่อนั้นยังไม่ได้ตอบกลับไป แต่ว่าพระประสงค์ของฝ่าบาทนั้นชัดเจน แต่งงานเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นเรื่องหลอก เขาเพียงต้องการใช้ฐานะเจ้าไปแทรกแซงโม่เป่ยชั่วคราว คอยดูผลที่จะเกิดอย่างเงียบๆ”


หากพูดถึงฐานะ ก่อนหน้านี้ฉู่หลิงอวิ้นและนางนั้นต่างก็มีสูสีกัน ทว่าตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้เป็นสาวบริสุทธิ์อีกแล้ว ทั้งยังเคยแต่งเข้าไปถึงสองบ้าน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้อย่างปีนั้นแล้ว


ฉู่ฉีเหยียนต้องการลากทั่วป๋าไหวอันมาเป็นพันธมิตรด้วย ทั้งสองคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ทั้งคู่


แต่กลับยืมมือวังบูรพา…


ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าความหมายต่างกันแล้ว


หากฮ่องเต้พูดเพียงว่า แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ฉู่อี้อันไม่ยอมตอบรับก็ยังพอไปได้ นางไม่ต้องการให้ตาเฒ่าตัดสินใจโดยไม่นึกถึงอะไรก็โยนนางลงหลุมสุดท้าย ใช้เรื่องของแคว้นมาบีบบังคับ


พูดตามตรง ฉู่สวินหยางเองก็เป็นเพียงหินที่ใช้โยนถามทางเท่านั้น


ด้วยความเป็นพ่อ ฉู่อี้อันสามารถยืนหยัดปฏิเสธไม่ให้ลูกสาวสุดที่รักแต่งออกไปไกลบ้านได้ แต่ด้วยความเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นแล้วนั้น…


การเสียสละเช่นนี้ แม้แต่หนทางปฏิเสธก็ยังไม่มี!


“ก่อนหน้านี้ เขาอาจจะไม่เคยฉีกหน้าท่านพ่ออย่างเปิดเผยเช่นนี้ แต่ว่าครั้งนี้ เป็นเพราะว่าถูกเรื่องของทั่วป๋าไหวอันเร่งรัด!” ฉู่สวินหยางค่อยๆปิดเปลือกตาลง หัวเราะอย่างเย็นเยียบ


พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องรู้สึกลำบากใจ


“สวินหยาง…” ฉู่ฉีเฟิงปรากฏใบหน้ากังวลใจลูบปลอบหลังมือนาง ก่อนจะเผยรอยยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลใจไป ท่านพ่อหาทางไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สำเร็จผลอย่างแน่นอน”


ฉู่สวินหยางตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่มาจากใจ “ข้าเชื่อท่านพ่อ อย่าพูดเลยว่าท่านพ่อไม่ตอบรับ ต่อให้เขาพูดตอบรับ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหน!”


หากเปลี่ยนเป็นชาติก่อนนั้น ถ้าฮ่องเต้ทำเช่นนี้นางก็คงจะรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง แต่หากเป็นตอนนี้ แค่ฟังทะลุหูไปก็พอแล้ว!


ไม่ใช่ญาติพี่น้อง กระทั่งยังมอบนางให้กับศัตรูแคว้นเก่า ไม่ว่าฮ่องเต้จะทำอย่างไรกับนาง นางก็แค่เล่นละครตบตาไปเท่านั้น


เจอปัญหาอะไรก็แค่หาวิธีแก้ไข!


ฉู่ฉีเฟิงเดิมทีกลัวว่านางจะเสียใจที่ถูกใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงร้อนใจมาปลอบขวัญ เวลานี้ท่าทีของนางราวกับไม่สะทกสะท้านอะไร จึงรู้สึกโล่งอก ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความสงสัย


ฉู่สวินหยางไม่รั้งรอกล่าวต่อทันที “เกิดในราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ข้าล้วนเข้าใจ ท่านพี่อย่ากังวลแทนข้าเลย”


“เด็กโง่!” ฉู่ฉีเฟิงลุกขึ้นเดิน แย้มยิ้มเล็กน้อย รวบหลังนาง ก่อนจะกดหน้านางลงกับอกของเขากอดเอาไว้


ฉู่สวินหยางอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ ถึงแม้ด้านนอกฟ้าจะพลิกแผ่นดินจะถล่ม นางก็สามารถเพิกเฉยไม่สนใจใดๆได้


ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้กอดจนนานเกินไป เขาพูดปลอบนางอีกสองประโยค เมื่อแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้คิดอะไรก็ปลีกตัวออกไป


เจี่ยงลิ่วที่รออยู่ภายนอกเรือน รีบร้อนยืดตัวตรงกล่าวขึ้นมา “ท่านชาย พวกเราจะไปเข้าวังใช่หรือไม่?”


“ไม่ไป!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว เดินด้วยท่าทีที่จริงจังออกไปยังด้านนอก ใบหน้านั้นเผยท่าทีไม่สง่างามอย่างเช่นเคย ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งที่เย็นเยียบ “เตรียมม้า ข้าจะไปเยี่ยมเยือนซื่อจื่อซูเสียหน่อย!”


ความสัมพันธ์ระหว่างวังบูรพาและจวนอ๋องฉางซุ่นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยไยดีต่อกัน เจี่ยงลิ่วแม้จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป รีบเร่งทำตามคำสั่งของเขา


เวลานี้ภายในวัง ฮ่องเต้กำลังอธิบายจุดประสงค์ของเขาอย่างจริงใจให้แก่ฉู่อี้อันฟัง


ในตอนนี้ราชนิกุลหญิงของราชวงศ์ก็มีเพียงฐานะของฉู่สวินหยางเท่านั้นที่สูงส่ง เหมาะสมที่จะปลอบขวัญและบรรเทาความโกรธของทั่วป๋าไหวอันไว้ได้  เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะทำให้ฉู่อี้อันโมโห แต่เมื่อถูกสถานการณ์บังคับเช่นนี้จึงไม่มีทางเลือก เพราะหากว่าฉู่อี้อันไม่รับปาก เขาก็จะไม่เปิดบังอีกต่อไป นำแผนที่ตั้งใจจะสยบโม่เป่ยออกมากดดัน


ฉู่อี้อันที่เป็นรัชทายาทของแคว้นนี้ หากแม้แต่ความทะเยอทะยานและความกล้าหาญยังไม่มี เช่นนั้นก็เท่ากับว่าป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้  จึงไม่แปลกใจสักนิดที่หลังจากการสนทนาครั้งนี้ฉู่อี้อันจะทำเพียงก้มหน้ายอมชะตาอย่างเงียบๆ  เพียงแต่พอจะเดาออก ตอนที่ออกจากห้องทรงอักษรมาใบหน้าขององค์รัชทายาทผู้นี้จึงไม่น่าดูนัก


ฮ่องเต้อย่างไรก็มีอายุมากแล้ว ผ่านมาค่อนคืนกลับยังไม่ได้นอน ทั้งก่อนหน้านี้ก็ถูกวางยาพิษ เวลานี้จึงมองเห็นความอ่อนล้าอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อทอดสายตาส่งให้ฉู่อี้อันที่จากไปแล้ว ก็ทำท่าราวกับท้อแท้ใจ ช่วงอกที่บีบรัดนั้นได้คลายลมที่อัดแน่นไว้ออกมา


หลี่ลุ่ยเสียงยืนอยู่ด้านหลังของเขา แม้รู้ดีแต่ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปดูแล


ฮ่องเต้เพียงทำอย่างนั้นสักพักก็กลับมานั่งตัวตรงเช่นเดิม เผยใบหน้าเยือกเย็นและเรียบนิ่ง


เวลานี้ผ้าม่านด้านข้างในห้องที่ไม่มีลมกลับขยับขึ้น เงาร่างสูงเพียวกระโดดพลิ้วลงมาจากเพดาน ยืนก้มหัวอยู่ด้านข้างเขา


“ฝ่าบาท!” น้ำเสียงหนักแน่นและทุ้มลึก ไม่ขึ้นไม่ลงแทบฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด


ม่านตาของฮ่องเต้หรี่ลง กล้ามเนื้อแก้มที่หย่อนนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด


เวลาต่อมา ก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่โบกมืออย่างแรงๆ


ฮ่องเต้อย่างไรก็ถือเป็นขุนพลที่มีความชำนาญในการรบคนหนึ่ง ถึงแม้การใช้ชีวิตที่มีเกียรติและอำนาจหลายสิบปีมานี้จะทำให้ไม่มีแรงหาญกล้าดั่งปีนั้นแล้ว ทว่าความโกรธที่อัดแน่นภายในกำมือนี้กลับมิอาจประมาทได้


ชุดคลุมสีดำดูองอาจ กายยืดตรงมั่น บัดนี้ศีรษะถูกบีบจนเอียงไปด้านข้าง ข้างแก้มปรากฏรอยนิ้วสี่รอยสีแดงชาด โลหิตไหลออกที่มุมปาก ล่วงลงบนหลังมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของฮ่องเต้


ฮ่องเต้ใช้สายตาเย็นชาจ้องไปที่เลือดสีแดงบนมือ ในดวงตาก็แดงกล้ำอย่างบ้าคลั่ง เมื่อคลื่นความโกรธผ่านไป ก็สบถออกมาทันที “เจ้าคนไร้ประโยชน์!”


น้ำเสียงแหบแห้ง เนื่องจากความโมโหอย่างรุนแรงจึงปะทุออกมาเต็มกำลัง ราวกับเม็ดทรายหยาบที่บดขยี้ในใจคน จนองค์รักษ์ด้านนอกที่ได้ยินต่างก็พากันขนลุก


คนชุดดำนั้นเบ้หน้า ช่วงเวลาที่เปลี่ยนผลัดระหว่างกลางวันและกลางคืน ในตำหนักใหญ่นี้มีเพียงแสงสลัว ใบหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย ไม่เผยอาการใดๆออกมา เวลานี้ขนตาที่ยาวหนาคลุมปิดลงเห็นเป็นเงา บังแววตาจนเห็นไม่ชัด


หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ระบายอารมณ์กับเขาแล้ว  เขาจึงคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและไร้อารมณ์เช่นเดิม “กระหม่อมทำเรื่องไม่สำเร็จ ยินดีรับโทษ ขอฝ่าบาทโปรดลงมือ! ”


ฮ่องเต้จ้องแววตาดุดันไปทางเขา ชั่วครู่จึงเค้นหัวเราะออกมา


คนชุดดำนั้นไม่รั้งรอให้เขาได้พูด ก็พลิกมือใต้แขนเสื้อคว้ากริชที่บางราวกับปีกจักจั่น เฉือนคมเข้าไปในเนื้อจนถึงกระดูก เสียบไปยังใต้ซี่โครง


ในอากาศค่อยๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ฮ่องเต้เมื่อได้กลิ่น ดวงตามืดดำขุ่นมัวนั้นก็ประกายแสงวาบขึ้นทันที


ในตำหนักเงียบงันที่มีคนสามคน สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็มีเพียงเสียงลมหายใจครืดคราดภายใต้ความโกรธของฮ่องเต้


เพียงแต่ตั้งแต่เริ่มจนจบ คนชุดดำนั้นกลับไม่ส่งเสียงครวญครางแม้แต่น้อย ราวกับกริชเล่มเมื่อครู่นั้นแทงลงบนซากไม้ ไม่ใช่บนเลือดเนื้อของเขา


ฮ่องเต้ไม่เอ่ยคำใดออกมา เขาจึงคุกเข่านั่งอยู่อย่างนั้นประมาณครึ่งถ้วยชา[2]จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจนแผลเปิด ค่อยๆก้าวทีละก้าวอย่างหนักแน่นออกไป เหลือให้เห็นเพียงเงาทอดยาวและเสียงก้าวเดินที่มั่นคง


เมื่อเวลาผ่านไป ด้านหลังจึงค่อยได้ยินหลี่ลุ่ยเสียงที่กล่าวรายงานกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท  เรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผล แท้จริงแล้วเรื่องเช่นนี้ก็ไม่อาจโทษเพียง…”


                คนชุดดำนั้นเดินก้าวเท้าไปไม่หยุด ผลักประตูออกไป ด้านนอกนั้นอาบไปด้วยแสงของยามเช้า สะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ราบเรียบไร้อารมณ์ นางหันหน้ามองไปทางพระอาทิตย์ขึ้นอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นร่างผอมบางที่สวมชุดคลุมดำก็ก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเลี้ยวโค้งตรงทางเดิน หายลับไปพร้อมกับแผ่นหลังที่จางๆ นั้น


————————————————————————


[1] กลยุทธ์ตีเชิงตามไฟ หมายถึง ฉวยโอกาสตอนศัตรูอ่อนแอหรือเกิดวิกฤต โจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะ


[2] ครึ่งถ้วยชา เวลาประมาณห้านาที



บทที่ 89 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง เสียงเล็กแหลมดังทะลุมา ทำลายทัศนียภาพและความสงบตรงหน้าไปเสียสิ้น


“ฮองเฮาทรงมีพระราชโองการ รับสั่งให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าขอรับ!” หัวหน้าขันทีแห่งวังวั่นโซ่ว หนีอันขุย เอ่ยปากตะโกนเสียงสูงอ่านพระราชโองการของฮองเฮา


เหล่าผู้คนในวังบูรพาต่างก้มหน้าก้มตาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ


ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงไม่อยู่ ส่วนฉู่สวินหยางคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ในใจของนางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ต้องรับพระราชโองการด้วยใบหน้าเคารพนับถือ


พ่อบ้านเฉิงยัดเงินรางวัลลงในมือของหนีอันขุย หนีอันขุยจึงเก็บเข้าไปในแขนเสื้อด้วยความเคยชิน


ฮูหยินใหญ่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินหน้าขึ้นมา พลางพูดว่า “ตามกฎของพระราชวังแล้ว ฮองเฮาให้พวกข้าเข้าเฝ้าช่วงยามเฉิน[1] ตอนนี้เวลายังเช้าตรู่นัก ยังไงเชิญท่านขันทีเดินทางกลับไปก่อนเถิด ไว้ข้าสะสางเรื่องในจวนเสร็จ จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาพร้อมกับท่านหญิงเอง!”


ราชวงศ์ซีเยว่มีกฎเกณฑ์มาตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ ในวันสุดท้ายของปี ฮองเฮาจำเป็นต้องให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า จัดงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่า จากนั้นช่วงเช้าของวันแรกแห่งปี ฮองเฮาต้องจัดงานเลี้ยงที่วังโซ่วคัง พร้อมทั้งต้องพบปะกับบรรดาสนมของฮ่องเต้และเหล่าญาติผู้หญิงในตระกูล


นี่เป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้ ก็หาได้จำเป็นต้องสั่งการซ้ำซ้อนอีกไม่ ตอนนี้หลัวฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้ฉู่สวินหยางเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว ฮูหยินใหญ่จะไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงได้อย่างไร? แต่ก็เพราะว่านางรู้ว่าหลัวฮองเฮาโกรธคนแซ่ฟางมาก จึงไม่ได้ประทับใจฉู่สวินหยางมากเท่าไหร่นัก ฉู่อี้อันเองก็ไม่อยู่ นางจึงทำได้เพียงแกล้งไม่รู้เรื่อง เพียงเพื่อไม่อยากปล่อยให้ฉู่สวินหยางเข้าวังไปคนเดียว


“ไม่จำเป็นหรอก!” หางตาของหนีอันขุยยกขึ้น ใบหน้ายิ้มแย้มแต่จิตใจหาได้มีความสุขไม่ “ฮองเฮาทรงรับสั่งว่าให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวเพียงผู้เดียว ย่าหลานเขาจะคุยธุระส่วนตัวกัน ท่านฮูหยินจัดการสะสางต่อเถิด ถึงเวลานัดแล้วค่อยเข้าวังก็ยังไม่สาย”


พูดจบก็หันไปคุยกับฉู่สวินหยางว่า “ท่านหญิงขอรับ ข้าน้อยเตรียมรถม้าไว้รออยู่ด้านนอกแล้ว เชิญขอรับ!”


เทียบกับการกระทำเมื่อครู่แล้ว ท่าทีนั้นช่างต่างกันลิบลับ


ในขณะนั้นเองฉู่สวินหยางก็ได้เปลี่ยนมาใส่ชุดขุนนางเพื่อรับราชโองการแล้ว ถึงฮูหยินใหญ่จะใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างเพื่อถ่วงเวลาก็ทำไม่ได้อีก ในใจของนางร้อนรุ่มยากจะทน


ถึงแม้หนีอันขุยจะโค้งตัวรออย่างเคารพนับถือ แต่ก็แฝงไปด้วยแรงบีบคั้นกดดัน


ฉู่สวินหยางยิ้มพลางชายตามองเขา มองข้ามแผ่นหลังของเขาไป เห็นรถม้าคันหรูจอดรออยู่ตรงตรอกถนนด้านนอก รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็หนีไม่พ้น จึงตกปากรับคำในทันที


“ข้าได้รับเกียรติจากฮองเฮาเช่นนี้ จะกล้าปฏิเสธได้เยี่ยงไร? งั้นรบกวนท่านขันทีด้วยนะเจ้าคะ!” ฉู่สวินหยางกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว


สีหน้าท่าทีของหนีอันขุยหาได้ยืนนิ่งแข็งทื่ออีกต่อไป ใบหน้าของเขารีบเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแล้วรีบเดินนำทางไปทันที


“เร็วเข้า หยิบผ้าคลุมขนจิ้งจอกของท่านหญิงมา!” ฮูหยินใหญ่เห็นว่าโน้มน้าวไปก็ไม่ได้ผล และก็ไม่คิดที่จะทำให้หลัวฮองเฮาโมโห นางจึงโบกมือสั่งเสียงดัง


สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบวิ่งเข้าไปด้านใน อุ้มผ้าคลุมขนสัตว์ของฉู่สวินหยางออกมาด้วยความรวดเร็ว


ฮูหยินใหญ่รับผ้าคลุมมา แล้วคลุมไหล่ให้ฉู่สวินหยางด้วยตนเอง พลางกล่าวขึ้นเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ไม่แน่กลางวันหิมะอาจจะตกอีกก็ได้ อย่าปล่อยให้ร่างกายไม่สบายล่ะ”


ในขณะที่พูดอยู่ก็พยายามส่งสายตาให้นางไม่หยุด


“ท่านฮูหยินใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงไป” ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตบลงบนหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล


ถึงแม้ตัวนางเองจะมั่นใจเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ถึงยังไงฮูหยินใหญ่ก็ยังวางใจไม่ได้


ฉู่สวินหยางคลุมผ้าแล้วเดินลงจากบันไดไปขึ้นรถม้าที่หลัวฮองเฮาจัดเตรียมไว้ให้


ฮูหยินใหญ่และคนอื่นมายืนส่งอยู่หน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย


ฉู่เยว่หนิงจับมือฮูหยินใหญ่เอาไว้ พูดปลอบใจขึ้น “ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลย ฮองเฮาคงเพียงต้องการคุยธุระส่วนตัวกับพี่สามแค่นั้นเอง? เดี่ยวพวกเรารีบตามเข้าวังไปก็ได้แล้วนะเจ้าคะ!”


หลัวฮองเฮารับสั่งให้ฉู่สวินหยางเข้าเฝ้าอย่างเปิดเผยแบบนี้ ไม่มีทางทำอะไรฉู่สวินหยางต่อหน้าผู้คนเป็นแน่ แต่การเรียกตัวเข้าเฝ้าครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน


ฮูหยินใหญ่เป็นกังวลอย่างมาก แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ลูกสาวของตน พร้อมทั้งกำชับว่า “พอได้แล้ว พวกเจ้าก็เลิกมายืนอยู่ตรงนี้ได้แล้ว ควรทำสิ่งใดก็รีบไปทำเสียเถิด!”


พูดเสร็จก็เรียกให้คนช่วยพยุงฉู่เยว่ซินและฉู่เยว่หนิงเข้าไปด้านใน


เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายไปหมดแล้ว หรูโม่ก็รีบเดินออกมา เรียนกับฮูหยินใหญ่ว่า “นายท่านหาต้องกังวลไม่ ข้าน้อยถามมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อเช้าตรู่ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกจากจวน ได้ไปพบท่านหญิงมาก่อนแล้ว อีกอย่างเหมือนว่าเมื่อคืนองค์รัชทายาทก็ให้คนมาส่งข่าวด้วย ทางฝั่งท่านหญิงจะไม่มีปัญหาแน่นอนเจ้าค่ะ”


เมื่อฮูหยินใหญ่ได้ยินดังนั้นถึงค่อยวางใจได้บ้าง แต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวลที่ยากจะปกปิดได้มิด นางถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น “ทำไมช่วงนี้ถึงได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเยอะแยะกันนะ ปีใหม่ทั้งทีก็ยังมีเรื่องไม่หยุดหย่อน”


“จริงเจ้าค่ะ!” หรูโม่พูดออกมาจากใจ พลางพยุงนางเดินเข้าประตู


ตัดมาอีกฝั่งในขณะที่กำลังไปพระราชวัง ฉู่สวินหยางเองก็หาได้คิดมาก นางเพียงปิดตาลงพิงอยู่บนเบาะที่อยู่ส่วนในสุดของรถม้าแล้วหลับไป


เมื่อคืนก่อนกลับจวนไปก็เที่ยงคืนให้แล้ว แถมยังมีเรื่องของทั่วป๋าไหวอันเกิดขึ้นอีก ทำให้นางแทบไม่ได้หลับเลยทั้งคืน เพิ่งได้หลับตาพักไปเมื่อตอนเช้าตรู่แค่ชั่วครู่ จากนั้นก็มีพระราชโองการของหลัวฮองเฮามาจากในวัง สองวันที่ผ่านมาในช่วงปีใหม่นี้มีเรื่องติดต่อกันไม่หยุด ฮองเฮากับไทเฮาทั้งสองพระองค์นี่ ยิ่งอายุเยอะแล้วแรงก็ยิ่งเยอะสินะ?


ตัวฉู่สวินหยางเองหาได้สนใจไม่ แต่สาวรับใช้สองคนด้านนอกกลับร้อนตัวไม่สบายใจ โดยเฉพาะชิงเถิง เหมือนมดที่อยู่ในกระทะร้อนอย่างนั้น อดทนมาตั้งนานแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พลางกระตุกแขนเสื้อของชิงหลัว พูดเสียงเบา “มาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านหญิงยังหลับอยู่อีกเล่า? นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากเชียวนะ! ฮองเฮารับสั่งให้เข้าเฝ้าในเวลาแบบนี้ แสดงว่าต้องได้ยินอะไรมาจากฮ่องเต้แน่นอน จากนั้นต้องมาบีบบังคับท่านหญิงของเราเป็นแน่!”


ชิงหลัวคิดถึงเรื่องนี้แล้วจิตใจก็ร้อนรน แต่เมื่อเทียบกับชิงเถิงแล้ว นางกลับเชื่อมั่นในตัวฉู่สวินหยางมากกว่า จึงพูดขึ้นเพียง “มีองค์รัชทายาทและท่านอ๋องอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน!”


“ข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่!” ชิงเถิงกล่าว ร้อนรนจนแทบจะร้องไห้ “แต่ถ้าผู้คนรู้เรื่องนี้เข้า งั้นความหมายก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากบทเรียนในอดีตของท่านหญิงอันเล่อ ถึงแม้สุดท้ายมันจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ถ้าถูกเปิดโปงจนผู้คนทั่วทุกสารทิศรู้ขึ้นมาเล่า ชื่อเสียงท่านหญิงของพวกเราก็คงได้รับผลกระทบไปด้วยนะ”


ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ หากความต้องการของฮ่องเต้ถูกเปิดเผยแล้วแพร่งพรายออกไป ในสายตาคนนอกท่านหญิงสวินหยางเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้ว แถมยังไม่ราบรื่นอีก หลังจากนั้นจะลือกันต่อไปว่ายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน


ชิงหลัวเองก็กังวลถึงเรื่องนี้ หันมองคนที่อยู่ด้านใน ก็เห็นฉู่สวินหยางนิ่งเงียบไม่พูดคำใด เดิมทีนางอยากจะพูดออกมาแต่ก็เก็บเอาไว้ พูดขึ้นเพียง “เลิกพูดได้แล้ว เรื่องพวกนี้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก!”


ชิงเถิงรู้ดีว่าพวกนางช่วยเหลือไม่ได้แม้แต่นิด คิดแล้วก็รู้สึกไร้ความสามารถ เลยหันหน้างอนไปอีกข้าง


รถม้าเดินหน้าไปอย่างราบรื่น เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงมาประตูวัง พวกนางได้รับคำอนุญาตจากหลัวฮองเฮา รถม้าจึงขับต่อไปยังวังลิ่วฉง[2]ถึงค่อยหยุดลง


ฉู่สวินหยางลงจากรถม้าจากนั้นขึ้นนั่งบนเกี้ยว


ในขณะนั้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วเช่นกัน บรรยากาศเช้าตรู่ในฤดูหนาว กับพระอาทิตย์วันใหม่ที่ค่อยๆ ขึ้นอยู่ลับขอบฟ้า สีแดงสดใสดงาม แต่หาได้ร้อนแรงจนทำร้ายผู้ใดไม่ รอบข้างมีลมเย็นพัดโชยมา ทำให้มองเห็นเป็นแสงสีรุ้งอยู่รำไร เห็นแล้วจำเริญตาจำเริญใจเป็นอย่างมาก


ฉู่สวินหยางหรี่ตามองดูอยู่ชั่วขณะ จากนั้นโค้งตัวเข้าไปนั่งในเกี้ยว


เวลายังเช้าอยู่ เมื่อหนีอันขุยพาตัวฉู่สวินหยางมาถึงวังโซ่วคัง ขณะนั้นหลัวฮองเฮาก็เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ กำลังบ้วนปากอยู่ภายใต้การรับใช้ของหลัวอวี่ก่วน


หญิงสาวผู้นั้นกดคิ้วลงต่ำพลางส่งสายตามอง มุมปากมักจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนเชื่อฟังอยู่เสมอ ถึงแม้หลังมือของนางถูกพันด้วยผ้าพันแผล แต่นางยังคงคอยรับใช้หลัวฮองเฮาอย่างสุดความสามารถ


ในเวลานี้นางมาอยู่ที่นี่…


ไม่ต้องสงสัยให้มากความ เมื่อผ่านพ้นเรื่องเมื่อคืนมา หลัวฮองเฮาก็ได้มอบความดีความชอบให้นาง โดยให้นางคอยรับใช้อยู่ข้างกายเป็นแน่


ส่วนสำหรับการดูแลเอาใจใส่ของนางนั้น สีหน้าท่าทีของหลัวฮองเฮาก็นิ่งเงียบอยู่เสมอ ดูไม่ออกออกเลยว่าชอบพอหรือเกลียดชัง


แม่นมเหลียงเดินเข้าไปในตำหนักแจ้งข่าวการมาถึง จากนั้นเดินนำฉู่สวินหยางเข้าไปด้านใน


ฉู่สวินหยางยกกระโปรงขึ้นเดินข้ามธรณีประตู ในขณะที่ลืมตาขึ้นมองนั้นก็พบว่า ด้านล่างของหลัวฮองเฮามีอีกคนนั่งอยู่แล้ว


รูปลักษณ์สะสวย ท่วงท่าสง่างาม กำลังหลับตาดื่มชาอย่างใจเย็น


หาใช่ใครอื่น…


แต่เป็นฉู่หลิงอวิ้นนั่นเอง…


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นว่าเป็นฉู่สวินหยางที่เดินเข้ามา แต่สายตาของนางหาได้สนใจไม่ ราวกับว่าแก้วชาในมือได้ดึงความสนใจของนางไปจนหมดสิ้น จึงดื่มชาเงียบๆ อย่างใจเย็น


——————————————————————-


[1] ยามเฉิน เวลาช่วง 7:00 น. ถึง 9:00 น.


[2] วังที่พำนักบรรทมของฮองเฮา



บทที่ 89 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

“หลานมาอวยพรปีใหม่ให้เสด็จย่าเพคะ ขอให้เสด็จย่าสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวนะเพคะ!” ฉู่สวินหยางไม่แยแสคนที่อยู่ด้านข้าง ตรงขึ้นไปทำความเคารพทันที


หลัวอวี่ก่วนถอยหลังไปด้านข้างอย่างรู้ความ


หลัวฮองเฮานิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด! นั่งสิ!”


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า” ฉู่สวินหยางลุกขึ้น


หลัวอวี่ก่วนเดินขึ้นหน้า คุกเข่าคำนับ “ถวายความเคารพเจ้าค่ะ ท่านหญิงสวินหยาง!”


“ท่านหญิงสามไม่ต้องพิธีรีตองหรอก!” ฉู่สวินหยางยิ้ม จากนั้นเบนสายตามอง


สายตาของหลัวอวี่ก่วนหยุดนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าสายตาที่นางมองมายังตนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่พอมองอย่างละเอียดแล้วก็หารู้อะไรไม่


ในขณะที่หลัวอวี่ก่วนยังคงมึนงงอยู่ ฉู่สวินหยางก็หันไปมองฉู่หลิงอวิ้น พลางกล่าวขึ้น “ท่านพี่อันเล่อ! ก็ว่าทำไมเสด็จย่าทรงเอ็นดูท่านพี่มากเหลือเกิน นี่ท่านพี่เข้าวังมากล่าวอวยพรให้เสด็จย่าตั้งแต่เช้าตรู่เลยเหรอเจ้าคะ?”


ฉู่หลิงอวิ้นนั่งดื่มชาอยู่ เดิมทีหากฉู่สวินหยางไม่สนใจนางก็ดีอยู่แล้ว แต่กลับทักทายนางเอาเสียได้ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉู่หลิงอวิ้นจึงจำเป็นต้องวางถ้วยชาลงลุกขึ้นยืน แล้วย่อเข่าทำความเคารพ พลางพูดขึ้น “เรื่องแบบนี้ต้องรีบมาอยู่แล้วสิ หาต้องรอโอกาสบังเอิญไม่ วาสนาบารมีของเสด็จย่ามากโข ข้าจึงมาขอรับบุญบารมีด้วยไงเล่า!”


ณ สถานที่ของหลัวฮองเฮาแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าใครมาแต่เช้าตรู่ก็เข้าเฝ้าได้ทุกคน


จากเรื่องครั้งก่อนที่ผ่านมานั้น ฉู่หลิงอวิ้นผู้ซึ่งควรโดนหลัวฮองเฮาถีบไสไล่ส่งเป็นคนแรก แต่นางกลับรู้ใจหลัวฮองเฮา แสดงละครร้องขอความเห็นใจ ยังไม่ทันถูกลอยแพ ก็ได้รับความไว้ใจจากหลัวฮองเฮาอีกครั้งเสียได้


แม่หญิงผู้นี้ช่างสุดยอดหาที่ใดเปรียบเสียจริง!


“ใช่!” ฉู่สวินหยางเอ่ยชื่นชมขึ้นในใจ ใบหน้ากลับยิ้มอ่อนโยน กล่าวขึ้นว่า “วันมงคลของท่านพี่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หากได้รับบารมีของเสด็จย่าไปบ้าง ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็จะประสบความสำเร็จ ได้รับความโชคดีกันถ้วนหน้าแน่นอน”


หากหลัวฮองเฮามีบุญบารมีที่สามารถพึ่งพาได้จริง ฉู่หลิงอวิ้นเองก็คงไม่ตกตะกรำลำบากถึงเพียงนี้หรอก


สีหน้าของฉู่หลิงอวิ้นเริ่มเปลี่ยนไป นางควบคุมอารมณ์ที่อุตส่าห์ปิดกั้นเอาไว้ในใจตั้งนานไม่ได้ จนแทบจะปะทุออกมาในทันที


ฉู่สวินหยางเห็นสีหน้าท่าทางนางเปลี่ยนไป ก็หยุดการกระทำของตนไว้แค่นั้น แล้วหันไปนั่งลงบนที่นั่งด้านข้าง


หลัวฮองเฮารู้อยู่แล้วว่าฉู่สวินหยางและฉู่หลิงอวิ้นไม่ค่อยถูกชะตากันนัก บทสนทนาประชดประชันเมื่อครู่เอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดถกเถียงกันระหว่างผู้หญิง พระองค์เองก็หาได้สะดวกที่จะออกหน้าเข้าข้างใครไม่ จึงทำหน้าไม่สบอารมณ์ไปหน่อยเท่านั้น


ฉู่หลิงอวิ้นแพ้อย่างไม่ยินยอม แต่ใครที่ไหนเขาจะยอมง่ายๆ แบบนี้กันเล่า พลางหันไปเอ่ยขึ้นกับหลัวฮองเฮาว่า “เสด็จย่าเพคะ ทรงเรียกให้ท่านหญิงสวินหยางเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือไม่เพคะ? ต้องให้หลานกับข้ารับใช้กลับไปก่อนหรือไม่เพคะ?”


สติของหลัวฮองเฮาถูกดึงกลับมา นิ้วมือที่สวมใส่ปลอกทองยกตวัดขึ้น ค่อยๆ รวบรวมใบชาในถ้วย จากนั้นพูดขึ้นเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “สวินหยาง พ้นปีใหม่เจ้าก็จะอายุสิบห้าแล้ว อีกสองเดือนก็ถึงเวลาอันควรที่ต้องออกเรือนแล้วนะ พ่อของเจ้างานยุ่งล้นมือ วังบูรพาเองก็หาได้มีพ่อบ้านคนใดที่เหมาะสมไม่ ข้ากังวลว่าเจ้าพวกนั้นจะปล่อยปละละเลย ก็เลยสั่งให้กรมวังเตรียมของไว้ให้ เจ้าเอากลับไป ถือเสียว่าเป็นของขวัญออกเรือนของย่าแล้วกัน!”


เมื่อคำพูดของหลัวฮองเฮาจบลง แม่นมเหลียงก็กวักมือเรียกคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก “ไปเอาของมาเร็ว!”


“เจ้าค่ะ!” ข้ารับใช้ทั้งสี่คนรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไป ไม่นานนักก็เดินเข้ามาพร้อมกับหีบไม้หนักอึ้งในมือ


เมื่อหีบไม้ถูกเปิดออก ไข่มุก เพชรนิลจินดาในนั้นพลันส่องแสงระยิบระยับไปทั่วตำหนัก


เพชรพลอยล้ำค่า ส่องประกายสวยงาม ฝีมือการประดิษฐ์ของปิ่นปักผม ต่างหู และเครื่องประดับประณีตไร้ที่ติ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นช่างชั้นสูงของกรมวังเป็นผู้จัดทำขึ้นมาแน่นอน


สี่หีบเต็มๆ!


จำนวนเยอะมาก!


แววตาของฉู่หลิงอวิ้นมั่นคงเยี่ยงขุนเขา มิได้สั่นคลอน ดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ มองเหตุการณ์ตรงนั้นในฐานะคนภายนอก แต่ภายในใจกำลังหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา…


บนโลกใบนี้มีสิ่งใดที่ได้มาง่ายๆ ที่ไหน? นางรู้เหตุผลที่ครั้งนี้หลัวฮองเฮายอมลงทุนมากถึงเพียงนี้ดี นางจึงเพียงรอดูฉู่สวินหยางโชคร้ายอย่างไม่สนใจ


แต่กระนั้นแววตาของหลัวอวี่ก่วนที่อยู่ด้านข้างกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา


นางเป็นลูกของฮูหยินรองแห่งจวนหลัวกั๋วกง ถึงแม้จะเป็นลูกสาวคนโต แต่อำนาจในจวนกลับตกอยู่ในมือของฮูหยินหลัวทั้งสิ้น เนื่องจากสถานภาพของหลัวฮองเฮาเป็นที่เคารพนับถือ นางจึงได้เห็นของล้ำค่าของจวนกั๋วกงมาไม่น้อย แต่ของขวัญออกเรือนยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้นั้น…


มันมากกว่าของขวัญออกเรือนที่มอบให้ฉู่หลิงอวิ้นเมื่อสองเดือนก่อนเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว


ตอนนั้นนางเทียบชั้นฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้ แต่ไรมาฉู่สวินหยางก็ใช่ว่าจะเป็นคนโปรดของหลัวฮองเฮา หรือว่าหลัวฮองเฮาสติไม่สมประกอบไปแล้วงั้นรึ?


ฉู่หลิงอวิ้นปรายตามองอากัปกิริยาของหลัวอวี่ก่วนที่เปลี่ยนไป ก็ยิ้มขึ้นอย่างดูถูกจากนั้นเบนสายตากลับ เฝ้าดูการกระทำของฉู่สวินหยางต่อไป


ฉู่สวินหยางลุกขึ้นกล่าวขอบคุณพร้อมกับท่าทางประหลาดใจ พลางพูดว่า “เสด็จย่าทรงเมตตาหลานถึงเพียงนี้ หลานจะรับไว้ได้เยี่ยงไร?”


“หลานข้า อย่าพูดคำพูดห่างเหินพวกนั้นเลย!” หลัวฮองเฮากล่าว


พลางกวักมือ ไฉ่เยว่จึงรับถ้วยชาในมือไปวางเก็บไว้อย่างดี


ฉู่สวินหยางสังเกตสีหน้าและคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นรีบเดินหน้าขึ้นไปช่วย


หลัวฮองเฮาจับมือของนางไว้ แล้วดึงให้นั่งลงข้างกาย พูดแนะนำขึ้นอย่างจริงใจว่า “เจ้าเองก็โตแล้ว อย่าได้คิดมากเลย พ่อเขารักเจ้า เจ้าเองก็หัดเชื่อฟังเสียบ้าง หัดคิดถึงจิตใจเขาหน่อย ช่วยเขาแบ่งเบาภาระถึงจะถูกนะ”


คำพูดของหลัวฮองเฮาอ่อนโยนอ้อมค้อม


ฉู่สวินหยางรู้อยู่แก่ใจดี ถึงแม้ฉู่อี้อันจะส่งข่าวไปที่จวนแล้ว แต่นางก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าตนไม่รู้เรื่องอยู่ดี…


จะให้ฮ่องเต้และฮองเฮารู้ไม่ได้ว่าวังบูรพารู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่ฉู่อี้อันถูกคุมขังอยู่ในวัง แต่ข่าวสารนั้น กลับถูกส่งกลับไปอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อยมาตั้งนานแล้ว


หลัวฮองเฮาเห็นนางทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจเรื่องราวตรงหน้า ก็โบกมือขึ้นเล็กน้อย


แม่นมและบรรดาข้ารับใช้ทั้งหลายต่างออกไปจากตรงนั้น ฉู่หลิงอวิ้นเองก็วางถ้วยชาลงอย่างรู้ตัว พลางพูดขึ้นว่า “เห็นว่าเมื่อครู่ในห้องครัวกำลังตุ๋นยาบำรุงให้เสด็จย่าอยู่นี่? เดี๋ยวข้าไปดูให้นะเพคะ ว่าทำเสร็จหรือยัง!”


หลัวอวี่ก่วนคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ใจจริงอยากอยู่ต่อ แต่ขนาดฉู่หลิงอวิ้นยังขอตัวออกไปเองแบบนี้ นางลังเลอยู่สักพัก จึงตามออกไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก


ภายในตำหนักว่างเปล่า เหลือเพียงฉู่สวินหยางและหลัวฮองเฮาสองคน


ฉู่สวินหยางหันไปมองรอบด้าน พูดปนหัวเราะขึ้น “เสด็จย่ามีเรื่องจะคุยกับหลานเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าเพคะ?”


หลัวฮองเฮาจ้องมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม ยกมือขึ้นหวีปลายผมของนาง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็โตแล้ว ย่าก็ไม่อยากพูดอ้อมค้อม อีกไม่นานเจ้าก็ถึงเวลาออกเรือนแล้วนะ พ่อของเจ้าเป็นผู้ชาย ไม่รู้เรื่องจุกจิกภายในพวกนี้ อาจดูแลเจ้าได้ไม่รอบคอบพอ ย่าเองก็เลยคิดจะหาคู่ครองให้เจ้า ถือโอกาสว่าวันนี้ว่างพอดี เลยเรียกเจ้ามาถามน่ะ”


“ขอบพระทัยเสด็จย่ามากเพคะ ที่อุตส่าห์คิดถึงหลานสาวอย่างข้าตลอดเวลา” ฉู่สวินหยางทอดตามองลงต่ำ หากมองจากมุมของหลัวฮองเฮาแล้ว เห็นได้ว่านางกำลังเขินอาย


หลัวฮองเฮาคิดพิจารณาคำพูดอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น “ย่าหลานคนกันเอง อย่าได้พูดคำพูดห่างเหินเช่นนั้นเลย ตอนนี้หามีใครอื่นอยู่ไม่ เจ้าพูดความจริงกับย่ามาเถิด เจ้าคิดว่าองค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยเป็นเยี่ยงไร?”


ในระหว่างที่พูดก็กลัวว่าฉู่สวินหยางจะปฏิเสธ จึงรีบพูดต่อขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้ว่าแคว้นโม่เป่ยนั้นอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก เจ้าอาจจะรู้สึกแย่ แต่ข้าขอบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง พระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ยนั้นอายุมากแล้ว ตอนนี้เองก็เหลือเวลาไม่นาน ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวหลุดมาว่า ซื่อจื่อ[1]เสียชีวิตไปโดยอุบัติเหตุ องค์ชายห้าทั่วป๋าไหวอันในตอนนี้ ก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้รับช่วงต่ออำนาจแห่งแคว้นโม่เป่ยมากที่สุด ในภายภาคหน้าแคว้นโม่เป่ยจำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์ของเราเป็นแน่ เจ้ายังมีท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าคอยหนุน เมื่อไปถึงที่แห่งนั้นแล้ว ด้วยสถานะของเจ้าหาได้มีผู้ใดกล้าแตะต้องแน่นอน ถึงแม้ถึงเวลานั้นทั่วป๋าไหวอันจะขึ้นรับช่วงต่อเป็นพระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ย มันก็ถือเป็นเรื่องดีกับเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก ชื่อเสียงเจ้าหญิงแห่งแคว้นโม่เป่ยหาได้มีแต่ชื่อไม่ เจ้าจะได้ทั้งชื่อเสียงได้ทั้งผลประโยชน์อย่างง่ายดายเลย”


หลัวฮองเฮาร่ายคำพูดยาวเหยียดออกมาในครั้งเดียว ฉู่สวินหยางฟังไปได้ครึ่งเดียวจิตใจก็ล่องลอยไปไกลแล้ว…


ซื่อจื่อแห่งแคว้นโม่เป่ยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุงั้นรึ?


ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้เอง!


ถึงว่าที่ฮ่องเต้ต้องจัดการทั่วป๋าไหวอันตั้งสองครั้งภายในวันเดียว ที่แท้ก็ถือโอกาสในขณะที่พระราชวังโม่เป่ยกำลังวุ่นวายนั่นเอง!


หลัวฮองเฮาเห็นว่านางนิ่งเงียบไม่พูดมาเนิ่นนาน ในใจรู้สึกร้อนรนขึ้น จึงฝืนทำจิตใจให้สงบจากนั้นพูดโน้มน้าวนางขึ้นอีก “อีกอย่างเจ้าเองก็เคยเห็นทั้งหน้าตาและนิสัยของทั่วป๋าไหวอันแล้ว แต่ละอย่างดีเลิศไร้ที่ติ เท่าที่ดูแล้วก็มีแค่ต้องออกเรือนไปอยู่พื้นที่ห่างไกลเท่านั้น ไม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”


ฉู่สวินหยางดึงสติของตนกลับมา ในใจของนางรู้ดี…


เมื่อคืนเรื่องที่เหยียนหลิงจวินไม่ทันได้บอกนาง น่าจะเป็นเรื่องการเสียชีวิตของซื่อจื่อแห่งแคว้นโม่เป่ย แต่ความลับนี้หลัวฮองเฮากลับรู้เข้าได้ นั่นจึงหมายความว่า ที่นางเรียกให้เข้าเฝ้าส่วนตัวตอนนี้ หาได้เป็นความคิดของหลัวฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียวไม่ ต้องได้รับการบงการจากฮ่องเต้ เพื่อดูท่าทีของตนเป็นแน่!


โดยใช้วิธีมอบของมีค่าเพื่อกดดัน จากนั้นค่อยบีบบังคับ หันไปทิศทางใดก็มีแต่คนจับตามอง…


ไม่ว่าจะมองยังไง นางก็ไม่มีสิทธิ์ที่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย!


————————————————————————


 [1] ซื่อจื่อ หมายถึง ลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา โดยส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ ตามแต่ความตั้งใจของผู้เป็นบิดา



บทที่ 89 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่สวินหยางยังคงก้มหน้าลงต่ำ ไม่เผยให้เห็นสีหน้าใดๆ เมื่อนางได้ยินคำพูดดังนั้นก็คิดอยู่ครู่ใหญ่ ในท้ายที่สุดจึงลุกขึ้นคุกเข่าทำความเคารพหลัวฮองเฮา จากนั้นพูดขึ้นว่า “เสด็จย่าทรงคิดแทนหลานอย่างรอบคอบ สวินหยางรู้สึกขอบพระทัยยิ่งนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็ต้องฟังคำพูดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ของแม่สื่อแม่ชักอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างให้เสด็จย่าจัดการได้เลยเพคะ!”


หลัวฮองเฮาตะลึง


พระองค์เตรียมใจไว้แล้วว่าเด็กคนนี้จะปฏิเสธอย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับในทันทีเยี่ยงนี้


ควรจะโล่งอกโล่งใจด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในเวลานี้ภายในใจของหลัวฮองเฮากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่นานนักก็ยิ้มอ่อนโยนขึ้นเต็มไปด้วยความรัก โอบอุ้มมือของสวินเหยาเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนเข้าใจง่ายดี ไม่ทำให้ข้าเสียเวลาเตรียมการแทนเจ้าไปอย่างเปล่าประโยชน์!”


ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทางให้ความเคารพนับถือ


หลัวฮองเฮาจับมือสวินหยางไว้ แล้วพูดเอาอกเอาใจขึ้นอย่างเหม่อลอยอีกสองประโยค เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาพบปะกับนางสนมและญาติผู้หญิงในตระกูลแล้ว ฉู่สวินหยางดึงมือของตนกลับ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เสด็จย่ายังมีธุระต้องจัดการต่ออีก หลานขอตัวลาก่อนนะเพคะ”


หลัวฮองเฮาแสดงละครมาตั้งนาน เนื้อหนังบนหน้าเริ่มแข็งตึง จึงเห็นสมควรตามนั้นหาได้ปฏิเสธไม่


ฉู่สวินหยางกล่าวลาไปทั้งรอยยิ้ม เมื่อแม่นมเหลียงเห็นเข้า จึงรีบเรียกสาวใช้เข้าไปหยิบหีบทั้งสี่ออกมา


แต่ฉู่สวินหยางกลับเดินออกไปไม่แม้จะเหลือบมอง…


สิ่งของพวกนี้หากตนไม่รับไว้ ก็เสียของเปล่าประโยชน์ หวังว่าหลังจากนี้ฮองเฮาจะต้องเสียใจที่ตัดสินใจกระทำการนี้!


เมื่อนางเดินจากออกไป ภายในหลังม่านในห้องหนึ่งของตำหนัก ก็มีคนสองคนเดินตามกันออกมาอย่างเชื่องช้า พื้นรองเท้าหนาตึกเหยียบลงบนอิฐทองคำ ไร้ซึ่งเสียงใดดังขึ้น


คนที่อยู่ด้านหน้าที่ถือพู่ไว้ในมือ ดวงตาเรียวคม ทั้งยังสงบใจเย็นผู้นั้นก็คือขันทีคนสนิทของฮ่องเต้นามว่าหลี่รุ่ยเสียง ส่วนคนด้านหลังที่เดินตามอยู่นั้น ก็คือลูกศิษย์ของเขานามว่าเย่าสุ่ย


คนหนึ่งเดินนำอยู่หน้า อีกคนเดินตามอยู่ด้านหลังเดินออกมาจากด้านในตำหนัก หลี่รุ่ยเสียงไม่พูดร่ำทำเพลง รีบเดินเข้าไปถวายความเคารพแก่หลัวฮองเฮา


หลัวฮองเฮาโบกมือ เขาจึงก้มหัวคำนับหันหลังกลับไป ไม่แม้แต่เอ่ยคำใดขึ้นตั้งแต่เริ่มจนจบ


แม่นมเหลียงเดินเข้ามาภายในตำหนัก หลัวฮองเฮาพิงเบาะแล้วยกมือขึ้นนวดขมับอย่างเหนื่อยล้า พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “แม่นม เจ้าคิดว่าเหตุการณ์วันนี้มันเป็นยังไงกันแน่?”


ฮ่องเต้สั่งให้หลัวฮองเฮาออกหน้าเพื่อดูท่าทีของฉู่สวินหยางและบีบบังคับสั่งให้อีกฝ่ายทำตาม พระองค์เองก็เตรียมการไว้แล้วอย่างดิบดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความเหนื่อยยากลำบากที่ตนอุตส่าห์เตรียมตัวไว้นั้น จะแลกมาได้แค่การพยักหน้าอย่างง่ายดายของแม่หญิงผู้นั้น


หากรู้ก่อนแต่ทีแรกว่าฉู่สวินหยางจะเป็นคนว่านอนสอนง่ายแบบนี้ ตนจะเปลืองแรงเปลืองสมองไปเพื่ออะไร?


“อย่าได้ทรงคิดมากเลยเพคะ พระองค์มิได้ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังแม้แต่น้อย!” แม่นมเหลียงเดินเข้าไปช่วยฮองเฮานวดขมับ พลางพูดปลอบขึ้นว่า “ขอเพียงแค่ท่านหญิงสวินหยางยอมตกลง เรื่องหลังจากนี้ท่านก็หาได้ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป เมื่อนางแต่งงานออกเรือนไปอยู่แคว้นโม่เป่ยแล้ว คำพูดของพระองค์ก็ถือเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำไปเพคะ!”


“อืม!” หลัวฮองเฮาขานตอบ ไม่ได้กังวลคิดมากต่อ จากนั้นค่อยๆ หลับตาลงบำรุงรักษาสุขภาพจิต


หลี่รุ่ยเสียงพาเย่าสุ่ยเดินออกจากตำหนักนั้นมา ก็เจอเข้ากับฉู่สวินหยางกำลังถลกกระโปรงกระโดดข้ามระเบียงตรงหน้า เพื่อหลบซ่อนไม่ให้ใครติดตามนางได้พอดิบพอดี


เย่าสุ่ยหันไปชะเง้อมอง พลางพูดขึ้นว่า “ใครบอกกันว่าท่านหญิงสวินหยางถูกองค์รัชทายาทตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ? นางก็เป็นคนมีเหตุผลดีนี่!”


หลี่รุ่ยเสียงไม่เอ่ยคำใด สายตาของเขาจับจ้องไปยังสุดทางเดินอยู่พักใหญ่ มุมปากยกขึ้นยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เข้าใจทุกสิ่งเป็นอย่างดี พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ไปกันเถิด กลับไปแจ้งข่าวกัน!”


“ขอรับ!” เย่าสุ่ยรีบขานตอบ ทำหน้าตาขึงขัง ทั้งสองคนหาได้เดินเข้าออกทางประตูใหญ่ไม่ แต่เดินอ้อมออกไปทางประตูด้านข้าง


ฉู่สวินหยางที่พลิกตัวข้ามมาทางอีกฝั่งของระเบียงทางเดิน ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในสวนตรงหน้า ก็เจอเข้ากับหลัวอวี่ก่วนและสาวใช้ที่ยกเครื่องยาบำรุงให้หลัวฮองเฮาอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี


ระเบียงทางเดินกว้างขวาง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนเดินตามมาด้วยจำนวนมาก ทำให้ทางเดินแคบลงขึ้นทันตา


ใบหน้าของหลัวอวี่ก่วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางเดินเชิดอกมุ่งตรงเข้ามา หาได้มีเจตนาที่จะถอยให้อีกฝ่ายก่อนไม่


ตามสถานภาพของนางแล้ว นางควรถอยให้ฉู่สวินหยางเดินก่อนเสียด้วยซ้ำ


ชิงเถิงขมวดคิ้ว กำลังจะอ้าปาก ฉู่สวินหยางกระตุกมุมปาก ยกมือขึ้น บอกเป็นนัยให้ข้ารับใช้หยุดฝีเท้าลง


ทุกคนถอยไปรอด้านข้างเปิดทางให้อย่างรู้ตัว


หลัวอวี่ก่วนเดินมาจากฝั่งตรงข้าม สายตาจดจ้องไปยังข้ารับใช้ที่ถือหีบไม้อยู่ กะพริบตา ส่งสายตาคลุมเครือไปให้สุ่ยอวี้สาวใช้ข้างกาย


เจ้านายลูกน้องสองคนนี้ช่างเข้าขากันได้ดี แต่ละครพวกนี้ไม่ระคายมือฉู่สวินหยางและชิงหลัวแม้แต่น้อย


เมื่อทั้งสองฝ่ายกำลังเดินเฉียดผ่านกันไปนั้น จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็คว้าข้อมือของหลัวอวี่ก่วนอย่างแรง ยิ้มอ่อนแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านหญิงหลัวลืมถวายความเคารพข้าหรือเปล่า? ที่ข้ายอมเปิดทางให้หมายถึงยาบำรุงของเสด็จย่า หาได้ยอมเปิดทางให้เจ้าไม่!”


หลัวอวี่ก่วนคาดไม่ถึง นางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน  ส่วนข้ารับใช้ข้างกายสุ่ยอวี้ที่เดินตามหลังอยู่ก็ไม่ทันได้คิด นางเดินผ่านหน้าหลัวอวี่ก่วนไป เดินไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงเล็กแหลมตะโกนร้อง จึงล้มหน้าคว่ำลง จนถ้วยลายครามในมือหล่นระจายไปรอบด้าน


หลัวอวี่ก่วนเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี อยากรีบหนีออกไป แต่กลับโดนฉู่สวินหยางจับข้อมือไว้แน่น หาได้มีโอกาสหลุดพ้นไปได้แม้แต่น้อย


ตัวฉู่สวินหยางขยับหันกายไปด้านข้าง เดิมทีนางตั้งใจจับศีรษะของอีกฝ่ายกดลงบนซุปรังนกเสียด้วยซ้ำ แต่กลับถูกซุปรังนกนั้นกลับราดใส่บนแขนเสื้อของทั้งสองคนพอดิบพอดี


ซุปรังนกถ้วยนั้นเตรียมจะเอาไปให้หลัวฮองเฮา เพื่อความสะดวกสบายให้การรับประทาน ตอนยกออกมาซุปก็เย็นลงจนเหลือความร้อนเพียงแค่แปดในสิบส่วนแล้ว ถึงแม้ความร้อนนั่นจะไม่ทำให้บาดเจ็บ แต่หลังมือของหลัวอวี่ก่วนก็ยังมีแผลไฟไหม้หลงเหลืออยู่


เมื่อซุปร้อนราดลงมา นางจึงส่งเเสียงร้องโอดครวญขึ้นอย่างน่าอนาถ


ฉู่สวินหยางปล่อยมือ จากนั้นผลักนางออกอย่างโซซัดโซเซ


ส่วนสุ่ยอวี้ที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นอึ้งตาค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้า ข้ารับใช้ที่เหลือรีบเข้าไปพยุงนางขึ้น


แม่นมเหลียงรีบวิ่งเข้ามาจากสวนหลังจากที่ได้ยินเสียง เมื่อเห็นซุปสาดกระจายไปทั่วพื้น และภาพเหตุการณ์ผู้คนชุลมุนวุ่นวายตรงหน้า สีหน้าของนางก็นิ่งขรึมลง


ณ เวลานี้นางมิกล้าทำให้ฉู่สวินหยางไม่พอใจ จึงหันไปซักไซ้ข้ารับใช้ข้างกายของหลัวอวี่ก่วนว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“คือว่า…คือว่า…” ข้ารับใช้ผู้นั้นอ้ำๆ อึ้งๆ หลบตาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร


ถึงแม้ฮองเฮาจะไม่ชอบพอท่านหญิงสวินหยาง แต่เมื่อครู่เพิ่งประทานรางวัลให้อย่างงดงาม ผู้ใดก็เดาใจเจ้านายของตนไม่ออก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ดูแล้วเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุจริงหรือไม่ ในเมื่อมีละครแบบนี้เกิดขึ้นในวังบ่อยครั้งถมไป


มือของหลัวอวี่ก่วนโดนลวกจนเป็นแผลพุพอง เจ็บปวดจนเหงื่อไหลไปทั่วศีรษะ พูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว “ข้าน้อยเดินไม่ระวังเองเจ้าค่ะ จนทำให้เสื้อผ้าของท่านหญิงสวินหยางสกปรก ข้าน้อยขออภัยเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ!”


นางเห็นท่าทีของแม่นมเหลียงชัดเจน ในเวลานี้หากยิ่งว่าร้ายฉู่สวินหยาง เรื่องมีแต่ยิ่งจะแย่ลง นางจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบไว้ด้วยตนเอง


แม่นมเหลียงโล่งอก ไม่พูดประโยคที่ตั้งใจจะพูดออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสเดินใกล้เข้ามา พลางพูดขึ้นอย่างไม่สนใจใยดีว่า “อยู่ในวังยังไม่ระมัดระวังแบบนี้ โชคดีนะที่วันนี้ชนแค่พี่น้องอย่างสวินหยาง ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูเสด็จย่าจะเป็นอย่างไรนะ?”


สุ่ยอวี้ตกใจ รีบลุกขึ้นมาขออภัยโทษ “ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสมควรตาย!”


“เจ้าสมควรตายอยู่แล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มหวาน พลางปรายตามอง “ทำของว่างที่เตรียมถวายให้เสด็จย่าเละจนหมด เป็นการหยามเกียรติ แถมยังทำให้เสื้อผ้าของผู้เป็นนายสกปรกอีก ตายครั้งเดียวยังไม่พอเลยด้วยซ้ำ!”


สุ่ยอวี้ได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่น


หลัวอวี่ก่วนรีบเอ่ยปากพูดขึ้น “นางไม่ได้ตั้งใจ แม่นม…”


“ในวังนี้หาได้ต่างจากที่อื่นไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างมีกฎเกณฑ์บังคับ ไม่ใช่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจคำเดียว แล้วเรื่องก็จบ!” ฉู่หลิงอวิ้นไม่รอให้นางพูดจบ พูดแทรกขึ้นทันที


หลัวอวี่ก่วนเดินตัวเอียง ใบหน้าขาวซีดเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว


แม่นมเหลียงได้แต่ฝืนอดทน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่ลังเลว่า “ใครก็ได้ลากตัวนังผู้นี้ออกไปที!”


“ไม่นะเจ้าคะ…” ดวงตาของสุ่ยอวี้เบิกโพลง นางเพียงแค่ทำตามคำสั่งท่านหญิงของตัวเอง ที่บอกว่าอยากทำให้ท่านหญิงสวินหยางโมโหเพียงเท่านั้น แต่นางไม่คิดเลยว่าตนจะต้องสละชีวิตตัวเองไปเพื่อการนี้ด้วย


แต่ทว่าวังโซ่วคังแห่งนี้หาใช่สถานที่ธรรมดาไม่ ข้ารับใช้ทุกคนต่างต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระเบียบ เมื่อคำสั่งการของแม่นมเหลียงจบลง ไม่ทันที่นางจะได้ตะโกนร้อง ก็มีขุนนางเข้ามาปิดปากลากตัวนางผู้นั้นไปทันที


หลัวอวี่ก่วนตะลึงตาค้าง พยายามจะอ้าปากหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็อ่อนแอพิงแขนของข้ารับใช้ไม่กล้าเอ่ยเสียงใดออกมา


แม่นมเหลียงเห็นดังนั้น ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “พาท่านหญิงสามไปเสีย แล้วเรียกท่านหมอมาด้วย!”


ข้ารับใช้พยุงหลัวอวี่ก่วนออกไปอย่างไม่รอท่า


แม่นมเหลียงเห็นแขนเสื้อของฉู่สวินหยางสกปรก ก็ยิ้มเป็นการขอโทษแล้วพูดขึ้นว่า “เสื้อของท่านหญิงสกปรกแล้ว ข้าน้อยพาท่านไปเปลี่ยนที่ตำหนักด้านข้างนะเจ้าคะ!”


“ท่านแม่นมไม่ต้องกังวลหรอก แค่ช่วยชี้ตำแหน่งทางไปตำหนักให้ข้าก็พอ เดี๋ยวข้าให้คนไปหยิบเสื้อผ้ามา แล้วเข้าไปเปลี่ยนเองก็ได้แล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ


แม่นมเหลียงก็ไม่ฝืน กล่าวขอโทษขึ้นแล้วพาข้ารับใช้เดินจากไป


————————————————————————



บทที่ 89 ใต้เท้าเหยียนหลิง มืออย่าสั่นสิ! (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมถอย ฉู่สวินหยางเองก็ไม่รีบร้อน หันไปกำชับกับชิงเถิงว่า “ฮูหยินใหญ่ใกล้จะมาแล้ว เจ้าพาพวกเขาเอาของไปไว้บนรถม้าก่อนเถิด แล้วดูว่าน้องสี่ทางนั้นมีเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่หรือเปล่า ยืมมาให้ข้าหน่อยสักชุดหนึ่ง”


“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเถิงขานรับคำสั่ง แล้วพาข้ารับใช้ยกของขวัญหนักอึ้งเดินออกไป


ฉู่หลิงอวิ้นมองซุปรังนกที่แข็งเป็นก้อนบนพื้น หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นว่า “ท่านหญิงหลัวผู้นั้นนี่ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ไม่ยอมคิดให้ถี่ถ้วน ทำไมถึงได้กล้าชนใส่ฉู่สวินหยางได้เนี่ย ก็แค่ของขวัญรางวัลนิดๆ หน่อยๆ จำเป็นต้องโกรธกันถึงขั้นนี้ด้วยหรือนี่?”


“เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก!” ฉู่สวินหยางไม่ยอมความ นางยิ้มตอบอย่างเกรงขาม เดินไปยืนขนาบข้างอีกฝ่ายอยู่ด้านหลังระเบียงทางเดิน “นางควรเจียมตัวเองให้มากกว่านี้ ริอาจแก่งแย่งความดีความชอบของท่านหญิงอันเล่อ ถึงแม้ท่านหญิงอันเล่อใกล้จะออกเหย้าออกเรือนแล้วก็ตามที เพราะวันหลังคงไม่มีเวลาว่างมาเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮาแล้ว จึงได้มีคนคอยจ้องมองตำแหน่งนี้กันตาเป็นมัน แต่ฮองเฮาเองก็สนใจแต่ท่านหญิงอันเล่อเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”


ฉู่หลิงอวิ้นน่ะหรือช่วยนาง? เพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เนี่ยนะ? ที่แท้ฉู่หลิงอวิ้นทำไปก็เพราะความแค้นส่วนตัวเท่านั้นแหละ!


แววตาของฉู่หลิงอวิ้นเย็นชาลง ชายตามองมาที่นาง ยิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมืดมน “ฉู่สวินหยาง เจ้าคงรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ว่าเป้าหมายที่เสด็จย่ายกย่องเชิดชูเจ้าคืออะไร? เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังยิ้มได้อยู่อีกรึ? เจ้าไม่กลัวว่าหนทางมันจะลำบากยาวไกลรึ ในภายภาคหน้ามีแต่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ถึงเจ้าได้ของขวัญพวกนี้ไป เจ้าคิดว่าตนจะมีโอกาสได้ใช้มันรึ?”


ฉู่สวินหยางกล้าคิดถึงนางด้วยงั้นรึ? แบบนี้ก็ดี ทุกคนต่างก็เหมือนกัน ผลกรรมที่ก่อไว้เห็นผลเร็วเสียจริง แค่ต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่แคว้นโม่เป่ย ฉู่สวินหยางเอ๋ย ทั้งชีวิตนี้เจ้าอย่าได้คิดจะกลับมาอีกเลย!


“ไม่จำเป็นหรอก!” ฉู่สวินหยางไม่ต่อปากต่อคำกับนาง “แต่เรื่องเล็กน้อยของข้า ท่านหญิงอันเล่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลย วันมงคลสมรสของท่านใกล้จะเข้ามาแล้ว รีบหาโอกาสใกล้ชิดกับท่านย่าเสียเถิด เรื่องบางเรื่องหามีโอกาสครั้งที่สองไม่ และงานมงคลสมรสของท่านครั้งนี้ก็คงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนะ!”


พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินไปยังตำหนักที่อยู่ด้านข้าง


ฉู่หลิงอวิ้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ออกแรงที่นิ้วแล้วกดทิ่มลงบนฝ่ามือ สีหน้าเต็มไปด้วยความมืดมน


จื่อเหวยและจื่อซวี่สบตามองหน้ากัน ในที่สุดจื่อเหวยก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านอย่าไปฟังคำพูดของท่านหญิงสวินหยางเลยนะเจ้าคะ นางกำลังยั่วโมโหท่านอยู่…”


ด้วยนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว พวกนางกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับงานมงคลสมรสครั้งนี้อีก แต่ช่วงนี้ฉู่หลิงอวิ้นเองก็ทำหน้าที่ทุกอย่างได้ดี ไม่เห็นมีเรื่องผิดปกติอะไร


“ไม่ต้องให้เจ้ามาบอกข้าหรอก!” ฉู่หลิงอวิ้นหันขวับไปมองด้วยสายตาโหดเหี้ยม ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น


นางรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับงานมงคลสมรสครั้งนี้ไปไม่ได้ ไม่งั้นนางคงโดนหลัวฮองเฮาลอยแพเป็นแน่ ถึงคราวนั้นทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว


“ข้ารู้สึกว่าคำพูดของนางคนนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่!” คิดอยู่ชั่วครู่ ฉู่หลิงอวิ้นก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี จากนั้นพูดขึ้นว่า “จื่อซวี่เจ้าไปหาวิธีสอดแนมมาหน่อย ครั้งนี้อย่าโดนนางคนนั้นจับได้เข้าล่ะ!”


“เจ้าค่ะ!” จื่อซวี่ขานตอบ วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยจิตใจที่กำลังกรีดร้องโอดครวญ


เมื่อฉู่สวินหยางมาถึงตำหนักด้านข้าง รอไม่นานชิงเถิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ที่เอามาให้นางเปลี่ยน จัดแจงเปลี่ยนเสร็จก็เดินออกมา ก็ถึงเวลาพบปะนางสนมของฮ่องเต้พอดี ในขณะที่ฉู่สวินหยางกำลังจะออกไปจากตำหนักด้านข้าง ก็เห็นหลี่รุ่ยเสียงเดินมา


“ทำความเคารพท่านหญิงสวินหยางขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงย่อตัวทำความเคารพ


“หัวหน้าขันที ท่านสบายดีนะเจ้าคะ!” ฉู่สวินหยางยิ้มตอบ “ท่านมาเข้าเฝ้าเสด็จย่ารึ?”


“มิใช่หรอก!” หลี่รุ่ยเสียงตอบ แล้วชี้นิ้วไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ด้านนอกวังโซ่วคัง “ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้เชิญท่านหญิงไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษรขอรับ!”


สถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษร ปกติแล้วไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้านี่


แต่ฮ่องเต้กลับส่งหลี่รุ่ยเสียงมารับนางด้วยตัวเอง ฉู่สวินหยางไม่ถามให้มากความ เดินตามไปบุคคลตรงหน้าแล้วขึ้นรถม้าไป


รถม้าเดินทางออกไป หลี่รุ่ยเสียงหาได้แจ้งข่าวการมาถึงของนางไม่ เดินนำหน้าพานางเข้าไปด้านในทันที


สถานการณ์ด้านในไม่ต่างจากที่ฉู่สวินหยางคิดเอาไว้ นอกจากฮ่องเต้กับฉู่อี้อันแล้ว ยังมีทั่วป๋าไหวอันบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกคน


ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปในตำหนัก จากนั้นถวายความเคารพให้แก่ฮ่องเต้ แล้วถอยมายืนอยู่ด้านหลังฉู่อี้อัน เอ่ยขึ้นอย่างเชื่อฟังว่า “ท่านพ่อ!”


ใบหน้าของฉู่อี้อันไร้ซึ่งอารมณ์ใด สีหน้าไม่ค่อยสู้ดี เมื่อได้ยินเสียงนั้นก็พยักหน้าตอบรับ


ทั่วป๋าไหวอันที่ยืนอยู่ตรงข้ามใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา บนด้านขวาของใบหน้ามีแผลอยู่ ร่างกายไม่มีร่องรอยใดที่เห็นได้ชัด แต่ดูจากสีหน้าซีดขาวของเขาแล้ว ก็คงได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อยเลยทีเดียว


ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฮ่องเต้กำลังพูดคุยกับทั่วป๋าไหวอันอย่างออกรส เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องใดไปไม่ได้ นอกเสียจะปลอบขวัญให้กำลังใจเรื่อง “อุบัติเหตุ” เมื่อคืน จากนั้นเย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอก ก็เดินเข้ามากราบบังคมทูลว่า “ฮ่องเต้ขอรับ ใต้เท้าเหยียนหลิงมาถึงแล้ว บอกว่าถึงเวลาฝังเข็มเพื่อที่จะได้ขับไล่พิษในร่างกายแล้วขอรับ!”


รู้ทั้งรู้ว่าฮ่องเต้กำลังสะสางเรื่องงานอยู่ แต่กลับเลือกเวลานี้มาหาเขาเนี่ยนะ?


ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น จากนั้นทอดมองลงต่ำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเป็นอย่างมาก คิดอยู่สักพักก็ไม่ปฏิเสธเรื่องตรงหน้า บอกให้คนเรียกตัวเขาเข้ามา


เหยียนหลิงจวินสวมชุดขุนนางสีแดงเลือดหมูเดินเข้ามา ก็ไม่รู้เหมือนกับว่าเป็นเพราะสีของชุดหรือเปล่า ทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมืดมน เขาทำความเคารพฮ่องเต้ จากนั้นหันไปยกมือคำนับฉู่อี้อัน “องค์รัชทายาท!”


ในขณะที่โค้งตัวลงทำความเคารพ สายตาของเขาก็เลิกมองขึ้นไปยังทิศทางที่ฉู่สวินหยางยืนอยู่


ฉู่สวินหยางรู้สึกได้ จึงยิ้มกว้างให้เขาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด


เหยียนหลิงจวินตะลึง เขาเองคิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเหม่อลอยไป สองมือที่ ‘คำนับ’ อยู่นั้นก็ค้างไว้นานเกินความจำเป็น


ฮ่องเต้สงสัย จึงกระแอมออกมา


เหยียนหลิงจวินรีบดึงสติกลับคืน ถือกล่องยาแล้วเดินเข้าไป


ร่างกายของฮ่องเต้ไม่สู้ดีเท่าไหร่ เอนกายพิงลงบนพนักเก้าอี้ พลางพูดกับทั่วป๋าไหวอันถึงความคิดที่เขาจะปลอบขวัญผู้คนยังไงต่อ พลางถลกแขนเสื้อขึ้นให้เหยียนหลิงจวินฝังเข็มเพื่อขับไล่พิษ


คำพูดที่ต้องพูดก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว เขาแสดงความต้องการออกอย่างชัดเจน ถึงแม้ทั่วป๋าไหวอันจะรู้ดีอยู่แก่ใจก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีหลักฐาน ถึงแม้จะมีก็…


ตอนนี้เขาตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย เขาจะทำอะไรได้? ในท้ายสุดแล้วก็ทำได้เพียงแสดงความสามารถออกมาให้เห็นก็เท่านั้น!


เมื่อฮ่องเต้รู้สึกว่าพอประมาณแล้ว จึงกระแอมไอแล้วพูดขึ้นว่า “หาได้ยากที่จะเห็นเจ้าใจกว้างเยี่ยงนี้ อุตส่าห์คำนึงถึงความลำบากของข้า ทางฝั่งผู้บุรุกนั้น ข้าได้สั่งให้ศาลาว่าการพระนครกับศาลต้าหลี่แล้วว่าให้ร่วมมือกันสืบค้นคดีนี้ให้เร็วที่สุด จะได้ตอบแทนให้เจ้าด้วย ตอนนี้ร่างกายของเจ้าบาดเจ็บ เกรงว่าคงต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่หลายวันหน่อยแล้วล่ะ”


ทั่วป๋าไหวอันขมวดคิ้ว…


ผู้เฒ่าคนนี้มีความคิดแบบนี้ด้วยงั้นรึ หรือแท้จริงแล้วต้องการจะกักขังเขาไว้ที่นี่งั้นรึ?


ในเวลานี้ แคว้นโม่เป่ยชุลมุนไปทั่วทุกหนแห่ง เป็นช่วงเวลาที่แย่งชิงราชสมบัติที่ดีที่สุด ตัวเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับคำนี้แน่นอน กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น มองไปยังฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ด้านหลังฉู่อี้อัน ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “สวินหยางเอ๋ย คนคนนี้เก่งทั้งบู๊และบุ๋น มีความสามารถมากเหลือล้น ข้าเองก็สังเกตพฤติกรรมเขาแทนเจ้ามาสักพักแล้ว คิดว่าไม่เลว จึงอยากประทานชายผู้นี้ให้เจ้าเป็นสามี เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


น้ำเสียงนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่ ฟังดูแล้วเป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น แต่เมื่อมันออกมาจากปากของฮ่องเต้…


ดังคำพูดที่ว่า ผู้เป็นราชาหาได้เอ่ยคำโกหกไม่ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าละเลย


ทั่วป๋าไหวอันตกใจ เขาคิดไม่ถึงเลย ลืมคำพูดที่เตรียมเอาไว้จะพูดปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมจนหมดสิ้น เพียงเงยหน้ามองไปยังฉู่สวินหยาง


รูปร่างหน้าตาของแม่หญิงผู้นี้สละสลวย คิ้วและดวงตาสดใสสวยงาม กิริยาวาจามิได้ปรุงแต่ง ภายใต้ใบหน้างดงามนั้นยังแฝงไปด้วยท่าทางสดใสเป็นธรรมชาติอีกด้วย


ผู้หญิงเยี่ยงนี้ ไม่ต้องพูดถึงเมืองซีเยว่เลย ขนาดในแคว้นโม่เป่ยยังหาแทบไม่มี ถึงแม้เขาจะไม่ถึงขั้นหลงใหล แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า…


ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอนาง เขาก็มีความรู้สึกดีไปกว่าครึ่งแล้ว แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ช่วงหลังบีบบังคับ เขาจึงจำยอมปล่อยความรู้สึกดีๆ นั้นทิ้งไป


ในวันนี้จู่ๆ ฮ่องเต้ก็มาเกี่ยวความทรงจำที่เขาฝังลึกไว้ในซอกหลืบของจิตใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น


ตอนนี้เขารู้สึกสับสนปนเปเป็นอย่างมาก ถึงแม้หากคิดด้วยเหตุผลแล้ว สิ่งที่ฮ่องเต้ทำอยู่นั้นคือการบงการเขาให้ตกลงในหลุมพรางอยู่ แต่ในเวลานั้นกลับพูดปฏิเสธออกมาไม่ได้เสียที


ฮ่องเต้เห็นสีหน้าของเขา พลันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก


เมื่อได้ยินดังนั้น เข็มในมือของเหยียนหลิงจวินก็ฝังลงผิดตำแหน่ง


ฮ่องเต้ทนไม่ไหวจนส่งเสียงร้องออกมา เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก


เปลือกตาของเหยียนหลิงจวินปิดลง ราวกับว่าเขากำลังตั้งใจฝังเข็มให้ฮ่องเต้อยู่ แต่จริงๆ แววตาของเขาเหม่อลอยไปตั้งนานแล้ว ชายตามองฉู่สวินหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาโมโห


ฮ่องเต้เห็นว่านางไม่ตอบก็ถามขึ้นอีกว่า “ที่นี่ไม่มีใครอื่น ข้าถามเจ้าอยู่ เจ้าตอบมาตามความจริงเสียเถิด ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าหรอก!”


ฉู่สวินหยางทอดตามองลงต่ำจับมุมเสื้อของตนไว้


ฉู่อี้อันก้มหน้าดื่มชาเงียบๆ ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้


ฉู่สวินหยางคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเดินขึ้นหน้าไป คุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะทรงอักษร พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ทุกสิ่งทุกอย่างขอมอบให้เสด็จปู่เป็นผู้ตัดสินใจเพคะ!”


คำพูดไม่กี่คำนั้น หนักแน่นมั่นคง ชัดเจนทุกถ้อยคำ!


ฮ่องเต้รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดขึ้น ก็ขมวดคิ้วสบถออกมาหนึ่งคำ…


เมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากรอยฝังเข็มที่หลังมืออย่างไม่หยุดหย่อน


ใต้เท้าเหยียนหลิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา มือสั่นอีกแล้ว!


————————————————————————



บทที่ 90 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ความคิดของฮ่องเต้ถูกขัดขึ้นอีกครั้ง พระองค์ขมวดคิ้วหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์


เหยียนหลิงจวินไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ฝังเข็มในมือต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นเองนิ้วมืออีกข้างหนึ่งของเขา ที่กำลังจับชีพจรบนแขนของฮ่องเต้อยู่นั้น สัมผัสได้ถึงแรงดันขึ้นจากภายใน เขาจึงใช้เข็มยาวทิ่มทะลุนิ้วกลางของฮ่องเต้ จากนั้นเลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด เลือดสีแดงเข้มที่เห็นชัดได้เลยว่าเต็มไปด้วยพิษร้าย


ใบหน้าของฮ่องเต้จึงค่อยๆ นิ่งสงบลง


คนที่เหลือไม่ส่งเสียงเอ่ยคำพูดใดขึ้น ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง


แววตาของฮ่องเต้ทอดมองยาวออกไปอีกครั้ง สังเกตได้ชัดเลยว่าเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บทสนทนาเมื่อครู่ราบรื่นไปได้สวย เผยรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน…”


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวลาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักจะให้คนนำยามาให้” เหยียนหลิงจวินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


ฮ่องเต้พึงพอใจในตัวเขาพอสมควร ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงโบกมืออนุญาต


เมื่อเลือดพิษถูกขับออกมาแล้ว เหยียนหลิงจวินก็หาข้ออ้างอย่างอื่นที่จะอยู่ต่ออีกไม่ได้ หากดึงดันฝังเข็มเพื่อการอื่นหรือถ่วงเวลาเขียนรายการยาบำรุงให้อีกล่ะก็ ทำแบบนั้นจะมีพิรุธมากเกินไป ยากที่จะรับประกันได้ว่าฮ่องเต้จะไม่เกิดความสงสัยระแวงขึ้น


เดินทีวันนี้เขาก็แค่อยากหาโอกาสมาพบเจอฉู่สวินหยาง เพื่ออธิบายเรื่องเมื่อคืนก่อนให้ชัดเจนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าคนจากวังบูรพาจะส่งข่าวมาให้เขา บอกว่าฉู่สวินหยางโดนหลัวฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบเป็นการส่วนตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เมื่อรวมกับเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว เป้าหมายที่หลัวฮองเฮาทำแบบนี้ เขาเองก็พอจะเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วน ตอนนั้นเขาเลยอดใจรอเจอนางด้านนอกวังไม่ไหว จึงหาข้ออ้างมายังห้องทรงอักษรให้ได้


ที่จริงดูจากสถานะของเขาแล้ว เขาไม่มีสิทธิมีปากเสียงในเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ ถึงเข้ามาก็ทำได้เพียงมองดู แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตน เมื่อรู้ว่านางอยู่ด้านในก็ดึงดันที่จะเข้ามาให้ได้


ฉู่สวินหยางคุกเข่ายืดตัวตรงอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าสงบเสงี่ยม เปลือกตาปิดลงไปกว่าครึ่ง ไม่เผยให้เห็นความรู้สึกใด


เหยียนหลิงจวินเข้าใจดี ไม่ว่าการตัดสินใจนี้จะมาจากความยินยอมของตัวนางเอง หรือว่าคิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของวังบูรพา ในท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้มันก็จบลงอย่างไม่สวยอยู่ดี แต่ถึงเป็นเยี่ยงนั้น คำพูดชัดเจนไม่ลังเลที่ได้ยินเมื่อครู่ กลับทำให้เขารู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างมาก เจ็บปวดราวกับโดนเม็ดทรายเสียดสีทิ่มแทง อดทนปิดกั้นความรู้สึกโกรธที่บอกไม่ถูกเอาไว้ไม่ได้จนแทบจะระเบิดปะทุออกมา


ถึงแม้มันจะเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง แต่พูดตามจริงเขาก็ไม่อยากได้ยินคำพูดนี้แม้แต่น้อย


เหยียนหลิงจวินถือกล่องยาเดินออกไป แววตาของเขาสับสนวุ่นวาย แต่หางตากลับมองใบหน้าด้านข้างของฉู่สวินหยางอย่างไม่ลดละ


สีหน้าของนางเงียบสงบ คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษรราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของนางบ่งบอกไม่ได้เลยว่า นางตั้งใจที่จะเล่นแง่ หรือยังคิดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่กันแน่


จิตใจของเหยียนหลิงจวินร้อนรนเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ ทำได้เพียงเดินเฉียดไหล่ของทั่วป๋าไหวอัน แล้วหันไปยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าองค์ชายห้าได้รับบาดเจ็บ หากต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ อย่าได้คิดเกรงใจนะขอรับ”


ทั่วป๋าไหวอันขมวดคิ้วขึ้น พลางมองรอยยิ้มอย่างใจกว้างเหมือนอย่างปกติของเขา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริง แววตานั้นมีความรู้สึกน่าเกรงขามและเยาะเย้ยอยู่ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่า…


เขากำลังส่งสายตาเตือนอยู่


สายตาของทั่วป๋าไหวอันหันไปมองร่างกายของฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหลังเขา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกแย่ไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก


แววตาของเขาเย็นชาลง เบนสายตาออกอย่างไม่แยแส “แค่แผลเล็กน้อย ไม่ต้องรบกวนใต้เท้าเหยียนหลิงหรอกขอรับ!”


เหยียนหลิงจวินยิ้ม จากนั้นก้าวเท้าเดินออกไป


ทางฝั่งฮ่องเต้เองก็อารมณ์ดี รื้อฟื้นรำลึกความหลัง พูดกับฉู่อี้อันขึ้นว่า “ในเมื่อเด็กทั้งสองคนเขามีใจให้กันแล้ว…”


เมื่อฉู่สวินหยางได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว…


มีใจงั้นรึ? นางและทั่วป๋าไหวอันมีใจให้กันจริง ถึงแม้จะไม่ได้พบกันต่อหน้า แต่ก็เจอกันสะสางเรื่องราวด้วยกันลับหลังมาแล้วหลายครั้ง มันไม่ได้เรียกว่ามีใจงั้นรึ?


เป็นเยี่ยงนั้นรึ…


หรือพูดให้ถูกแล้วล่ะก็ ต่างคนต่างมีใจหวังให้อีกฝ่ายลำบากมากกว่ากระมัง!


นางหาได้สนใจไม่ สีหน้าท่าทางรับฟังคำสั่งอย่างโดยดี ทั่วป๋าไหวอันที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็รู้สึกขมขื่นใจ


“กระหม่อมขอขอบพระทัยความรักความเอ็นดูที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมอบให้มากพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” ฮ่องเต้ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ทั่วป๋าไหวอันก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างกายฉู่สวินหยาง


เขาเอ่ยพูดออกมาอย่างไม่ลังเล หางตาอดไม่ได้ที่จะชายมองฉู่สวินหยาง พลางพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “ฝ่าบาททรงถอนคำพูดเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมออกเรือนกับท่านหญิงสวินหยางไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม แต่เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้นก็โยนทิ้งลงพื้นอย่างแรง


สีหน้าของฉู่อี้อันที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปในทันที พลันวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเสียงดัง เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชาว่า “ทั่วป๋าไหวอัน ข้าเห็นแก่พระราชาแห่งแคว้นโม่เป่ย ถึงได้ยินยอมที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย แต่เจ้ากลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี กล้าดูถูกบุตรสาวของข้าต่อหน้าผู้คน นี่เจ้าต้องการทำให้ข้ารู้สึกเสียหน้าใช่ไหม?”


ในใจของทั่วป๋าไหวอันกรีดร้องโอดครวญ แต่เวลานั้นทำได้เพียงกัดฟันอดทนเอาไว้


ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ก็รู้สึกได้ขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นที่ปกคลุมใบหน้าเอาไว้ เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “ทำไม? สวินหยางเป็นคนที่ข้าแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงเองกับมือ ดีเลิศทั้งหน้าตากิริยาวาจาหาที่ใดเปรียบ หรือว่าขนาดนี้ก็ยังเป็นการดูถูกเจ้าอีกงั้นรึ?”


ความคิดของเขาไม่เหมือนกับคนอื่น ทั่วป๋าไหวอันทำไปเพียงเพราะอยากรู้ความต้องการของเขา จึงตั้งใจพูดปฏิเสธออกไป


ฉู่สวินหยางไร้ที่ติทุกอย่าง ไม่ว่าจะหน้าตาหรืออากัปกิริยา ทำไมทั่วป๋าไหวอันจะไม่รู้เรื่องนี้ ถึงแม้เขาจะตอบรับสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานคู่ครองเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ แต่ในใจของเขารู้ดี…


ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีความคิดกระทำการอื่นเป็นแน่!


หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ช่างเสียเถิด แต่ทุกวันนี้สถานการณ์ของเขาหาได้ปกติดีไม่ ทุกย่างก้าวลำบากลำบน หากฝืนแต่งงานออกเรือนกับฉู่สวินหยาง ถึงเวลานั้นฮ่องเต้ไม่เพียงแต่จะไม่สบายใจ บุตรสาวสุดที่รักของฉู่อี้อันเองก็คงแค้นเคืองเขาอีกแน่ อีกอย่างฉู่สวินหยางเอง…


ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ยอมรับอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้นะ? เกรงว่าจะยอมตกเป็นตัวถ่วงของเขาอย่างเปิดเผยล่ะมั้ง?


แต่ทำไมนางต้องมาเป็นคนน่าชังคนนั้นด้วยเล่า?


“ฝ่าบาท โปรดยกโทษให้ข้ากระหม่อมด้วยเถิด องค์รัชทายาทใจเย็นก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาได้คิดดูถูกท่านหญิงสวินหยางไม่ ในทางกลับกัน ท่านหญิงทั้งฉลาดเฉลียวงดงาม ข้ากระหม่อมเองก็ชื่นชมมาโดยตลอด แต่เป็นเพราะกระหม่อมโชคไม่ดี…” ทั่วป๋าไหวอันกล่าว ความนึกคิดในใจสับสนว้าวุ่น แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเฉย “หากฝ่าบาททรงประทานให้ก่อนหน้านี้ กระหม่อมจะยอมรับแต่โดยดี แต่มาวันนี้ หากกระหม่อมตอบรับเรื่องนี้ไป มันจะกลายเป็นไม่ให้ความเคารพแก่ท่านหญิง ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเมืองนี้หรือแคว้นโม่เป่ยของกระหม่อม คงไม่ได้เป็นพันธมิตรกันอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความแค้นต่างหากพ่ะย่ะค่ะ!”


สีหน้าของฮ่องเต้มืดมนจนน่าเกลียด กำลังจะพูดเถียง แต่ฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากขึ้น


“พูดอ้อมค้อมมาตั้งนาน เจ้าก็แค่ต้องการพูดแค่ประโยคเดียว นั่นก็คือไม่อยากผูกสัมพันธ์กับวังบูรพาของข้าต่างหาก!” นางหันไปมองทั่วป๋าไหวอัน ใบหน้าไร้ซึ่งความเขินอาย แต่กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง “เดิมทีข้าตอบรับเรื่องนี้เพราะเห็นแก่หน้าของท่านปู่ แต่ตอนนี้กลับดีเจ้าไม่อยากสู่ขอข้า ข้าเองก็หาได้อยากแต่งกับเจ้าตั้งแต่แรกไม่ แต่พวกเราต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อน เรื่องนี้หาใช่เป็นสิ่งที่เราทั้งสองฝ่ายต่างต้องการไม่ สิ่่งที่ท่านปู่ทำไปก็ทำเพื่อบ้านเมืองเท่านั้น  ไม่ถึงขนาดต้องบีบบังคับคนอื่นเพื่องานแต่งงานหมั้นหมายของลูกหลานตน ข้าเสียหน้าแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะมาดูหมิ่นหยามเกียรติราชวงศ์ซีเยว่ของเราเช่นนี้ไม่ได้ วันนี้เจ้าจำเป็นต้องให้คำตอบเราอย่างเหมาะสม มิเช่นนั้นแล้วจะโดนจับตัวในโทษฐานหมิ่นประมาทความหวังดีจากฮ่องเต้ ทั้งยังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ซีเยว่และแคว้นโม่เป่ยอีกด้วย ถึงคราวนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ร้ายคดีติดตัวไปชั่วนิรันดร์!”


คำพูดพวกนี้น่าเกรงขาม ทำให้ฮ่องเต้อึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก


ริมฝีปากของทั่วป๋าไหวอันกระตุกยิ้มเยาะดูถูกตนเอง หลับตาลงแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมรู้ดีว่าข้าได้หยามเกียรติท่านหญิงไป แต่ทว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะว่า…”


คำพูดของเขายังไม่ทันจบ ก็มีเสียงผู้คนโหวเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากด้านนอก


ที่แห่งนี้คือสถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษร คนปกติธรรมดาไม่มีสิทธิที่จะเฉียดเข้าใกล้


สมาธิของฮ่องเต้ถูกดึงออกไป ใบหน้าที่หมองคล้ำก็ยิ่งมืดมนจนไม่น่ามองขึ้นไปอีก


หลี่รุ่ยเสียงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตะโกนขึ้นถามฝั่งตรงข้าม “มีเรื่องอะไรถึงได้มาโวยวาย?”


ไม่นานหลังจากนั้น เย่าสุ่ยวิ่งเข้ามาอย่างร้อนเหงื่ออาบไปทั่วหน้า คุกเข่ากราบทูลอย่างหวาดกลัว “ฝ่าบาท โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยพะยะค่ะ ข้าน้อยทำงานพลั้งพลาด ซื่อจื่อซู[1]แห่งจวนอ๋องฉางซุ่นมาเข้าเฝ้าบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนพะยะค่ะ ข้าน้อยห้ามแล้วแต่ห้ามเอาไว้ไม่ได้”


ซูหลินรึ?


ถึงแม้ผู้รับช่วงต่อแห่งสกุลซูจะเป็นคนเหลาะแหละไม่ได้เรื่อง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะแยกแยะเรื่องราวใดไม่ถูกหรอกกระมัง


ฮ่องเต้รู้สึกสงสัย


ฉู่อี้อันลืมตาดูเหตุการณ์ด้านนอก แล้วพูดว่า “ใช่ว่าจะเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาเสียหน่อย เหตุใดซื่อจื่อซูถึงรีบร้อนจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่มีเรื่องอะไรจะกราบทูลเสด็จพ่อหรอกใช่ไหมขอรับ?”


ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางที่ทำความดีความชอบ ฮ่องเต้เองก็ยากที่จะปฏิเสธเขาต่อหน้าคนอื่น


หลี่รุ่ยเสียงเห็นเขาเงียบเป็นนัยว่าอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ จึงหันไปส่งสายตาให้เย่าสุ่ย “เรียกให้ซื่อจื่อซูเข้ามา!”


“ขอรับ!” เย่าสุ่ยขานตอบ รีบลุกขึ้นมาออกไปบอกต่อ


ไม่นานหลังจากนั้น ซูหลินก้าวเข้ามาจากด้านนอกตำหนักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห เขาปรายตามองผ่านแผ่นหลังของทั่วป๋าไหวอันและฉู่สวินหยาง แล้วเดินผ่านสองคนไป จากนั้นคุกเข่าถวายความเคารพให้ฮ่องเต้ลงที่เบื้องหน้าโต๊ะทรงอักษร “กระหม่อมซูหลิน ขอถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นหมื่นปี!”


ฮ่องเต้พิงพนักเก้าอี้ ลืมตาขึ้นมอง น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ความน่าเกรงขามก็หาได้ลดหย่อนไม่ “ริอาจบุกรุกเข้ามาถึงห้องทรงอักษร เจ้านี่กล้ามากขึ้นทุกวันเชียวนะ!”


ถึงแม้เข้าจะไม่โมโห แต่เมื่อซูหลินได้ยินดังนั้นก็กลัวจนตัวสั่นเหมือนกัน


แต่ว่าตอนนั้นเขากำลังโมโห และยอมรับว่าคำพูดนั้นมีเหตุผล ถึงทำจิตใจให้สงบ จากนั้นก้มหัวคำนับฮ่องเต้เป็นการขออภัยโทษ จากนั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย กระหม่อมควรได้รับโทษฐานก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นด้านหน้าตำหนัก แต่กระหม่อมมีเหตุให้ต้องทำเยี่ยงนี้ ข้ากระหม่อมทำไปเพื่อชีวิตการแต่งงานของน้องสาว หวังว่าฝ่าบาทจะออกหน้าทวงคืนความยุติธรรมให้กับน้องสาวของข้าด้วยเถิด!”


ทั่วป๋าไหวอันหลับตาลง ถอนหายใจขึ้นในใจ แต่ไม่นานนัก สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ


ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าซูหลินจะถึงขั้นบุกรุกเข้ามาในวัง เพียงเพราะเรื่องแต่งงานของซูหว่าน เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนไป ปัดถ้วยชาด้านข้างลงอย่างแรง พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ระยำ! เจ้าริอาจบุกรุกเข้ามาถึงสถานที่สำคัญอย่างห้องทรงอักษร เพียงเพราะเรื่องส่วนตัวแค่นี้ เจ้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่? ทหาร…”


————————————————————————


[1] ซื่อจื่อ หมายถึง ลูกชายผู้จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา โดยส่วนมากจะเป็นลูกชายคนโต แต่บางครั้งก็อาจมีข้อยกเว้นเป็นลูกชายคนรองก็ได้ ตามแต่ความตั้งใจของผู้เป็นบิดา



บทที่ 90 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ซูหลินตกใจ แต่ในขณะนั้นจะสนใจอะไรมากไม่ได้ เขารีบตอบกลับพลางชี้ไปยังทั่วป๋าไหวอันว่า “ฝ่าบาททรงใจเย็นก่อนนะพะยะค่ะ ที่ข้ากระหม่อมมาขอเข้าเฝ้าตอนนี้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนใช้ความหวังดีของฝ่าบาทเป็นข้ออ้าง แล้วปฏิเสธความผิดที่ตนเคยก่อมาทั้งหมด!”


แววตาของฮ่องเต้หยุดนิ่ง จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง


ซูหลินโกรธจนควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ จ้องหน้าทั่วป๋าไหวอันอย่างไม่ลดละ “ก่อนหน้านี้เจ้าพาน้องสาวของข้าไปนานถึงสองชั่วยาม กลางดึกกลางดื่นชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง พอกลับมาก็ไม่มีคำอธิบายสักคำ เจ้าคิดว่าปล่อยให้ผ่านไปเรื่องก็จบงั้นรึ?”


ทั่วป๋าไหวอันสบตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นสถานการณ์มันบังคับ ข้าพาท่านหญิงซูไปด้วยเพราะโดนบีบบังคับอย่างช่วยไม่ได้ จะให้ข้าปล่อยให้นางโดนมือสังหารทำร้ายโดยที่ไม่สนใจใยดีได้เยี่ยงไรเล่า!”


“กลับกลอก!” ซูหลินพูดประชดอย่างเย็นชา ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองอย่างโมโห จากนั้นหันไปหาฮ่องเต้ สีหน้าท่าทางทุกข์ทรมานใจ “ฝ่าบาท คนอื่นรู้กันทั่วแล้วว่ามันผู้นี้พาตัวน้องสาวของข้าไป ที่กองบัญชาการทหารและกองพลทหารราบคนมากมายเหลือเกิน ตอนนี้เรื่องทุกอย่างกระจายออกไปทั่วแล้ว หากทั่วป๋าไหวอันไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาตั้งใจขัดขวางอนาคตของน้องสาวข้า ฝ่าบาททรงโปรดเข้าใจ ช่วยออกหน้าทวงคืนความเป็นธรรมให้ด้วยเถิดพะยะค่ะ”


คำพูดของซูหลินหาได้กล่าวเกินจริงไม่ หากนับเข้าจริงๆ เวลาตั้งแต่ที่พวกเขาเจอมือสังหาร จนถึงเวลาที่ทั่วป๋าไหวอันพาตัวซูหว่านกลับวัง นับรวมกันแล้วได้เพียงแค่สองชั่วยามกว่า[1] หากต้องการคำนวณเวลาที่มือสังหารบุกเข้าทำร้ายจนต่างคนต่างหนีเตลิดไป ก็แค่หนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น


แต่สำหรับหญิงสาวที่มาจากตระกูลสูงส่งแล้ว กลางค่ำกลางคืนหายตัวไปที่ไหนไม่รู้กับผู้ชายแปลกหน้า หนำซ้ำอยู่ด้วยกันสองต่อสองถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากแล้ว


ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ดี ก่อนหน้านี้เขาเองไม่ได้คิด จนมาวันนี้ซูหลินกลับโวยวายบุกมาถึงที่นี่


ใบหน้าของฮ่องเต้ราวกับปรากฎหน้ากากน้ำแข็งขึ้นมาหนึ่งชั้น มุมปากแข็งตึงอยู่นานกว่าจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดขึ้น “มันก็แค่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าน่ะ ทำไปเพราะช่วยเหลือคน…”


ซูหลินหันไปมองฉู่อี้อันที่นั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน กลัวว่าฮ่องเต้จะเข้าข้างคนในครอบครัวของตน จึงเอ่ยขึ้นเสียงดังอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท การที่เขาช่วยเหลือผู้อื่นหาได้ผิดไม่ แต่เขาไม่ควรทำลายชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของน้องสาวข้าแบบนี้!”


คำพูดของฮ่องเต้ถูกพูดแทรกขึ้น แววตานิ่งลึก ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นหันหน้าไปปรายตามองทั่วป๋าไหวอัน


“ท่านหญิงซูถูกมือสังหารทำร้ายจนเลือดไหลไม่หยุด ข้ากระหม่อมเห็นดังนั้นจะไม่ช่วยเหลือก็กะไรอยู่ ตอนนั้นข้าทำผิดกฎผิดเกณฑ์จริง แต่ข้าก็เพียงแค่ช่วยนางพันแผลเท่านั้นเองพะยะค่ะ!” ทั่วป๋าไหวอันตอบ น้ำเสียงเงียบสงบ ไม่วิตกวู่วาม!


คำพูดนั้นทำให้ซูหลินอึดอัดจนหงุดหงิด คิดอยู่แล้วว่าทั่วป๋าไหวอันจะไม่ยอมรับผิด ก็เห็นทั่วป๋าไหวอันกำลังพูดเบี่ยงประเด็น กราบทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่ก่อนที่ซื่อจื่อซูจะเข้ามา กระหม่อมจะกราบทูลถึงเรื่องนี้พอดี ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านหญิงซูเสียชื่อเสียง แต่มันก็ถือว่าผิดกฎอยู่ดี ตอนนี้ซื่อจื่อซูก็อยู่ด้วย เรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ขอฝ่าบาทช่วยตัดสินให้ด้วยเถิดพะยะค่ะ!”


เดิมทีซูหลินคิดว่าเขาจะปฏิเสธข้อกล่าวหาไม่ยอมรับผิดชอบ เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่จึงยังไม่รู้สึกตัว


ฮ่องเต้หันไปจ้องมองทั่วป๋าไหวอันด้วยแววตาดุร้าย จู่ๆ ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้…


คนคนนี้แท้จริงแล้วต้องการสร้างความวุ่นวาย มือสังหารพวกนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปยังน้องของซูหลินเสียหน่อย จะทำร้ายซูหว่านได้ถึงขนาดไหน? เกรงว่าคนคนนี้มีความคิดอื่นแอบแฝง คิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบเอาตัวรอดสินะ?


ทั่วป๋าไหวอันจ้องมองอย่างสงบเยือกเย็น ไม่หลบสายตา


ในระหว่างที่ดวงตาสี่ดวงปะทะกันอยู่นั้น ก็ราวกับมีคมมีดพุ่งเข้ามา


ทันใดนั้น สีหน้าของฮ่องเต้ก็แดงขึ้น แล้วไอออกมาเสียงดังอย่างน่ากลัว


“ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงรีบจะเดินเข้ามาพยุงกลับโดนฮ่องเต้ผลักออกไป สายตาของเขาไปจ้องทั่วป๋าไหวอันที่อยู่เบื้องล่าง สีหน้าแดงก่ำ ท่าทางแอบแฝงไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็เต็มไปด้วยความน่ากลัว พูดขึ้นอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ “ได้…ได้…ได้…”


พูดขึ้นสามคำ แยกไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห ทำให้ผู้คนต่างไม่รู้ว่า เขาชื่นชมหรือว่าคับแค้นใจกันแน่!


ทั่วป๋าไหวอันอยากแต่งงานผูกสัมพันธ์กับจวนอ๋องฉางซุ่นงั้นรึ? เรื่องนี้ฮ่องเต้ไม่มีทางตอบรับเป็นแน่!


ฉู่อี้อันเห็นทุกอย่าง เลิกคิ้วขึ้นสั่งฉู่สวินหยางกับคนอื่นว่า “พวกเจ้าออกไปรอด้านนอกตำหนักก่อน!”


“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ!” ฉู่สวินหยางกับทั่วป๋าไหวอันลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล


“ฝ่า…” ซูหลินร้อนรนใจ เดิมทีมีเรื่องจะทูลต่อ แต่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าผิดปกติ เขาหยุดนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ถอยตามคนอื่นออกไป


เมื่อออกมาแล้ว ซูหลินพ่นลมออกทางจมูกอย่างโมโห จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเดินไปยังด้านล่างของระเบียงทางซ้าย


ทั่วป๋าไหวอันหันไปมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นหันหลังออกไปทางด้านขวา


ฉู่สวินหยางออกมาเป็นคนสุดท้าย หันมองไปทางซ้ายและขวาดูพวกเขาสองคน จากนั้นเดินจากออกไปด้วยรอยยิ้ม แล้วสะบัดชายเสื้อขึ้นนั่งบนราวระเบียงด้านข้างทั่วป๋าไหวอัน


“องค์ชายห้าเจอเรื่องแบบนี้แล้วยังใจเย็นอยู่ได้ เจ้าแผนการจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ก็เพิ่งเห็นท่านปู่โดนคนอื่นบีบคั้นกดดันจนลงจากหลังเสือไม่ได้ก็คราวนี้แหละ!” ฉู่สวินหยางพูดขึ้นเบาๆ น้ำเสียงใสจังหวะช้าฟังสบาย เสียงไม่ดังแหลมจนถึงขั้นทำให้ขันทีผู้คุมประตูตำหนักและองค์รักษ์ได้ยิน


ทั่วป๋าไหวอันยันแขนลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้นก็หันไปมอง


สีหน้าของเขาหาได้เรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใดเหมือนอย่างตอนที่อยู่ในตำหนักไม่ แต่กลับยิ้มหัวเราะขึ้นอย่างขมขื่น “ถึงข้าจะเป็นเจ้าแผนการขนาดไหน ก็คงเทียบชั้นกับองค์รัชทายาทและท่านหญิงไม่ได้หรอก”


จากนั้นก็หันกลับไป แววตาดูถูกเหยียดหยามมองไปยังซูหลินที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกวังบูรพาของท่านเป็นคนเรียกซื่อจื่อซูมาสินะ? หากไม่มีวังบูรพาคอยช่วยเหลืออยู่ลับหลัง ลำพังแค่ความสามารถของข้าเอง คงโดนฮ่องเต้จัดการจนแหลกไม่เหลือสิ้นดีเลยกระมัง?”


ถึงแม้ฉู่ฉีเฟิงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนางก่อน แต่ไม่ต้องบอกฉู่สวินหยางก็รู้อยู่แล้ว ที่ซูหลินโผล่มาในเวลาแบบนี้ ต้องเป็นเพราะฉู่ฉีเฟิงบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่


หากฮ่องเต้ปิดประตูคุยเรื่องนี้กับพวกเขาสองคนพ่อลูกและทั่วป๋าไหวอัน ถึงแม้จะรู้ความจริงของเรื่องนี้แล้ว สุดท้ายก็ต้องประนีประนอมคุยกันอยู่ดี แต่เมื่อซูหลินก้าวเท้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ก็จัดการแบบเรื่องคนในครอบครัวไม่ได้อีกต่อไป


ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องใด หากเกี่ยวพันธ์ถึงสกุลซูแล้ว จำเป็นต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ดูท่าฮ่องเต้คงต้องปวดหัวกับเรื่องนี้อีกแล้ว


ฉู่สวินหยางนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ที่ฮ่องเต้ถูกบีบบังคับจนไม่รู้จะทำยังไง ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


เมื่อนางหัวเราะ ดวงตาของนางก็ยกงอราวกับพระจันทร์เสี้ยวสองดวง ลูกตาดำสะท้อนให้แววตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ระยิบระยับราวกับดวงดาวที่ส่องแสงสว่างอยู่กลางท้องฟ้า


ทั่วป๋าไหวอันเพิ่งเคยเห็นคนที่คิดมุ่งร้ายอยู่ในใจแต่กลับยิ้มออกมาได้อย่างสดใสงดงามแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่ได้ชักจูงให้คนเกลียดชัง แต่กลับสว่างไสวส่องแสงระยิบระยับ ทำให้คนที่มองอยู่ไม่อาจละสายตาไปได้เลย


อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น โอกาสมาถึงตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นภาพมายาไปเสียได้!


ความรู้สึกไม่พึงพอใจหลายครั้งหลายคราสะสมจนระเบิดออกมา สีหน้าของทั่วป๋าไหวอันพลันมืดมนลง


“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะตอบรับงั้นรึ?” เขาชิงถามขึ้น สายตาทอดมองลงต่ำ น้ำเสียงเยาะเย้ย


ฉู่สวินหยางมองออกไปยังโคมไฟที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ไม่ชายตามองเขาแม้แต่นิด แล้วเอ่ยปากถามเขากลับ “ท่านจะทำแบบนั้นรึ?”


นางส่ายหัว ไม่รอคำตอบจากทั่วป๋าไหวอัน พูดอย่างเชื่อมั่นว่า “ท่านไม่ทำหรอก! ท่านใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้นิสัยของท่านพ่อข้าล่ะ? หากท่านตอบรับคำของฮ่องเต้ไป ท่านไม่เพียงจะไม่ได้รับประโยชน์ใด แถมยังโดนราชวงศ์ควบคุมอำนาจอีก ไม่เพียงเท่านั้นยังจะทำให้ท่านพ่อของข้าโกรธอีกด้วย แค่เรื่องพวกนี้ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว ส่วนชื่อเสียงที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายบ้านเมืองนั่น ก็รีบหาแพะมารับเคราะห์แทนเถิด!”


ตอนนี้ทั่วป๋าไหวอันไม่เหลือทางให้ถอยลับอีกแล้ว เขาโดนฮ่องเต้จับตาจ้องดูอย่างเหนียวแน่น นอกจากจะยอมล้มเลิกผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วกลับไปแย่งชิงราชสมบัติแคว้นโม่เป่ยแล้ว เขาหาได้มีเส้นทางใดให้เดินต่ออีกไม่ หากแย่งชิงราชสมบัติมาได้ ก็จะรับประกันความปลอดภัยของตนได้ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นล่ะก็…


ขนาดชีวิตของตนก็น่าจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ จะมีเวลาที่ไหนไปนึกคิดแผนการอื่นอีก?


ฉู่สวินหยางรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี


เมื่อทั่วป๋าไหวอันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ


“อืม!” สุดท้าย เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นหันไปมองอย่างดุดัน “ท่านพูดถูก ข้ายอมรับว่าท่านหญิงสวินหยางไม่เหมือนผู้อื่น มีอำนาจบอกให้คนอื่นเห็นด้วยคล้อยตาม แต่คำพูดที่ท่านกล่าวขึ้นเมื่อครู่ว่า ชื่อเสียงของคนทำลายชาตินั้น…อย่างน้อยสำหรับข้าแล้ว ท่านหาได้มีอำนาจมากขนาดนั้นไม่!”


ฉู่สวินหยางยิ้ม หาได้แยแสคำพูดประชดประชันของเขาไม่


————————————————————————


[1] สองชั่วยาม เท่ากับสี่ชั่วโมงในเวลาปัจจุบัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม