ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 83.4-85.2

ตอนที่ 83-4 มาติดตามข้า ดีไหม

 

ด้านเว่ยอ๋อง พอฟังถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองป้านสุราบนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาผู้คน แม้อยากทำลายทิ้ง ก็ไม่มีปัญญาลงมือ อย่าว่าแต่ พอเจี่ยไทเฮาฟังฉินอ๋องได้เพียงครึ่งเดียว ก็สั่งให้จูซุ่นนำราชองครักษ์ไปที่โต๊ะของเหล่าองค์ชาย นำป้านสุราแต่ละป้านมาตรวจดู


 


 


และแค่ป้านสุราสองชั้นป้านหนึ่ง จึงตรวจพบได้ไม่ยาก


 


 


ซึ่งเว่ยอ๋องก็คือผู้ที่ใช้ป้านสุราสองชั้นของฉินอ๋อง ดังนั้น เจ้าของป้านสุราดอกท้อก็คือเว่ยอ๋อง


 


 


เว่ยอ๋องกลอกตาไปมา ไม่รอให้ไทเฮากริ้ว รีบก้าวเข้าไป ยกชุดยาว คุกเข่าลงก่อน


 


 


“เสด็จย่า หลานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น!”


 


 


พอมเหสีรองเหวยเห็นโอรสพรวดพราดออกไปเช่นนี้ ก็นึกด่าในใจ แต่กลับอ้าปากร้องขอความเป็นธรรม โดยดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางละล่ำละลักอยู่ด้านล่าง


 


 


“ไทเฮาต้องตรวจดูให้แน่ชัดนะเพคะ ต้องเป็นพวกบ่าวแน่ๆ ที่รีบร้อนแล้วหยิบผิดหยิบถูก หยิบสุราดอกท้อมาปะปนกับสุราขององค์ชาย!”


 


 


เจี่ยไทเฮายิ้มเย็นชา “ใช่บ่าวในวังหยิบผิดหรือไม่ ตรวจสอบไม่นานก็รู้ได้ เพราะผู้ที่ดื่มสุราดอกท้อในงานเลี้ยงน่าจะมีไม่กี่คน! ตรวจไม่ยากหรอก!”


 


 


ตอนซุนจวิ้นอ๋องเห็นฉากนี้ เข่าก็อ่อนไปแต่แรกแล้ว


 


 


ช่วงงานเลี้ยงเริ่มได้ไม่นาน แล้วสุราถูกนำมาวางบนโต๊ะ ขันทีคนสนิทข้างกายเว่ยอ๋องก็ยิ้มตาหยี เดินเข้ามาหาเขาพร้อมป้านสุราหยกในมือ บอกว่านี่เป็นสุราที่เว่ยอ๋องเก็บมานานหลายปี อยากให้คุณชายสูงศักดิ์ไม่กี่ท่านลองชิมดู ซึ่งซุนจวิ้นอ๋องชอบประจบประแจงเหล่าองค์ชายอยู่แล้ว แต่ปกติขออะไรไปก็ไม่เคยได้ พอเห็นว่าวันนี้เว่ยอ๋องยอมลดตัวลง มามอบสุราให้เป็นครั้งแรก ก็ยินดีปรีดายิ่ง รีบรับป้านสุราหยกไว้


 


 


และพอขันทีจากไป ค่อยพบว่าป้านสุราดอกท้อของตนที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ หายไป จึงคิดว่า บ่าวอาจเห็นว่าบนโต๊ะมีสุราเกินมาหนึ่งป้าน จึงเก็บกลับคืน โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ที่แท้ตนก็ถูกเว่ยอ๋องใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายไทเฮาและป้ายสีฉินอ๋อง


 


 


ส่วนการที่มู่หรงไท่มานั่งข้างๆ ซุนจวิ้นอ๋อง ก็เพราะต้องการจับตาดูเขาไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วที่เลือกซุนจวิ้นอ๋องก็มีสาเหตุเช่นกัน โดยในงานเลี้ยงไม่ใช่ซุนจวิ้นอ๋องคนเดียวที่ดื่มสุราดอกท้อ เพียงแต่ซุนจวิ้นอ๋อง เป็นหลานของซื่อจื่อในตระกูลขุนนางผู้บุกเบิกแคว้น เป็นคนอ่อนแอและขี้ขลาด ไม่มีความสามารถอะไร ปกตินอกจากสอพลอองค์ชายและผู้มีอำนาจแล้ว ก็เอาแต่สวมหมวกพระญาติเตร็ดเตร่ไปวันๆ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา ขมขู่หน่อย ก็น่าจะไม่กล้าพูดอะไร


 


 


พอมู่หรงไท่เห็นซุนจวิ้นอ๋องหน้าซีด เหงื่อกาฬหลั่งไหล ก็รู้ว่า เมื่อถึงเวลาเขาต้องแฉทุกอย่างออกมาแน่


 


 


ในชาติที่แล้ว สุราดอกท้อของซุนจวิ้นอ๋องถูกนำไปรินให้ไทเฮาดื่ม จนอาการภูมิแพ้กำเริบ แม้ไม่ใช่


 


 


ความผิดของเขา แต่เขาก็ถูกโยงใยและถูกลดตำแหน่งลง ชาตินี้ ก็คงต้องเคราะห์ร้ายต่อ


 


 


คิดแล้ว มู่หรงไท่ก็โน้มตัวเข้าไปพูดขู่เสียงเบา “ถ้าหุบปากไว้ วันหน้าท่านจะได้ดี แต่ถ้าปากมาก แม้ไทเฮาให้อภัย แต่คนสกุลเหวยไม่ปล่อยท่านไว้แน่”


 


 


อ๋องต่างสกุลจะเทียบกับอ๋องสกุลเดียวกันกับฮ่องเต้ได้อย่างไร! สกุลเหวยรุ่งโรจน์จากการพึ่งพามเหสีรองเหวยที่เป็นคนโปรดมาสิบกว่าปี แผ่อิทธิพลกับผู้คนมานักต่อนักทั้งในและนอกวัง สร้างหลักฐานเท็จและสังหารขุนนางชั้นสูงที่ไม่เห็นด้วยกับตนน้อยเสียที่ไหนกัน ซุนจวิ้นอ๋องจึงย่นจมูก ร่างพลางสั่นเทิ้ม


 


 


ไม่นาน ราชองครักษ์ก็ตรวจพบว่า สุราดอกท้อเป็นของซุนจวิ้นอ๋อง


 


 


จูซุ่นขมวดคิ้ว แล้วจึงหันมองซุนจวิ้นอ๋องที่หมอบอยู่กับพื้น


 


 


“มีคนมาขอสุราดอกท้อจากจวิ้นอ๋องหรือเปล่า”


 


 


ให้ตายอย่างไร ซุนจวิ้นอ๋องก็ต้องกัดฟันไว้ จึงพูดเสียงสั่น “ไม่ ไม่มี”


 


 


จูซุ่นไม่เชื่อ “แต่สุราของจวิ้นอ๋องถูกเปลี่ยนกลางคันชัดๆ แล้วก่อนหน้านี้สุราดอกท้อป้านนั้นอยู่ที่ไหน”


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องกลืนน้ำลายไปคำหนึ่ง ก่อนยืนยัน “ข้าไม่รู้จริงๆ…” เขากำลังแสร้งโง่ แสร้งมึน


 


 


เจี่ยไทเฮารู้ดีว่า เจ้าห้าต้องถูกโยงใยเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ซุนจวิ้นอ๋องก็ถูกข่มขู่จากอำนาจมืดอย่างเห็นได้ชัด ถึงได้ไม่กล้าแฉตัวผู้บงการเบื้องหลังออกมา จึงตบที่เท้าแขนเก้าอี้หงส์ แล้วยิ้มเย็นชา


 


 


“ดี กักบริเวณซุนจวิ้นอ๋องไว้ในจวนจวิ้นอ๋องก่อน แล้วให้สำนักพระราชวังส่งคนไปเฝ้าเอาไว้!”


 


 


ซุนจวิ้นอ๋องจึงถูกราชองครักษ์ลากตัวออกไป


 


 


เว่ยอ๋องจึงโล่งอกชั่วคราว เหงื่อในตัวแห้งไปบ้าง แต่ผ่อนคลายได้ไม่นาน ก็กลัวขึ้นมาว่า ซุนจวิ้นอ๋องอาจทนไม่ไหว และปากมากในที่สุด จึงเหลือบมองมู่หรงไท่


 


 


เมื่อมีกันชนทั้งที ยังจัดการไม่ได้อีกหรือ? ทำให้หุบปากตลอดไปก็สิ้นเรื่อง มู่หรงไท่จึงยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ก่อนจับขอบถ้วยไว้ตรงคอของตนเอง แล้ววาดผ่านอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณมือให้ “ฆ่า”


 


 


เว่ยอ๋องเข้าใจ


 


 


การก่อเรื่องเช่นนี้ ทำให้เหล่าชนชั้นสูงเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน แม้เจี่ยไทเฮาแค่ตกพระทัย ไม่เป็นอันตรายอะไร แต่เจี่ยงฮองเฮาก็ต้องทำหน้าที่ผู้นำ ลุกขึ้นยืนให้ทุกคนลุกขึ้นยืนตาม แล้วคารวะสุราเจี่ยไทเฮา


 


 


หลังผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ไป เจี่ยไทเฮาก็รู้สึกรังเกียจเว่ยอ๋องเพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งเย็นชากับมเหสีรองเหวย


 


 


อวิ๋นหว่านถงยืนอยู่หลังพี่สาวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ความปิติยินดีก็พลอยลดน้อยถอยลงไปด้วย ต่อให้นางไม่สนใจการเมืองเลย ก็รู้ดีว่า เว่ยอ๋องมีเอี่ยวกับสุราดอกท้ออย่างเห็นได้ชัด วันนี้แม้ไม่ถูกปลด ก็ถูกไทเฮาหมายหัวไว้แล้ว แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ต่อไปถ้าไทเฮาคิดเล่นงานเว่ยอ๋อง ก็ง่ายดังพลิกฝ่ามือ


 


 


เว่ยอ๋องเป็นโอรสมเหสีคนโปรด สกุลเหวยมีอิทธิพลใหญ่โต อนาคตน่าจะสดใส…มีความเป็นไปได้ ที่จะเข้าแทนที่ตำแหน่งรัชทายาทของซย่าโหวซื่อจุน แต่ทำไม…นางในตอนนี้ถึงขนลุกขนพอง รู้สึกถึงอนาคตที่ไม่สู้จะดีเท่าไหร่ พอคิดเช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มองออกว่านางรู้สึกไม่สบายใจ จึงได้แต่กระซิบบอก


 


 


“เมื่อคุณหนูสามเลือกเอง ก็อย่าได้เสียใจ”


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงยิ้มนิ่มๆ


 


 


“เสียใจ? ข้าเสียใจอะไร อูฐผอมตายยังยิ่งใหญ่กว่าม้า ถึงจะตกต่ำ ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน ถึงเว่ยอ๋องโชคร้าย ข้าก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวสกุลอวิ๋นที่มีความสามารถมากที่สุด สามีในอนาคตของพี่ใหญ่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกินหน้าข้า ส่วนสาวใช้อย่างเจ้า ต่อให้สิบชาติ ก็ไม่มีทางเป็นอย่างข้าได้”


 


 


พอได้ดี ก็ลืมกำพืด เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา


 


 


“สมกับเป็นลูกสาวอนุฟางจริงๆ” เมี่ยวเอ๋อร์หัวเราะเยาะ


 


 


อวิ๋นหว่านถงหน้าแดงถึงใบหู แต่ก็กัดฟันอดทนไว้


 


 


เวลาครึ่งวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง


 


 


ตามธรรมเนียม หลังจากแยกย้ายกันพักผ่อนในช่วงบ่าย ช่วงเย็น หญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายก็จะล่องเรือ ชมทิวทัศน์ทะเลสาบเฉิงเทียนเป็นเพื่อนเจี่ยไทเฮา ส่วนชายหนุ่มเชื้อพระวงศ์และลูกขุนนางชั้นสูง คนในวังก็จะพาไปชมสวนสัตว์ ชมสนามขี่ม้า สนามยิงธนูเป็นต้น


 


 


เหตุการณ์ในช่วงเช้า ทำให้เจี่ยไทเฮาประทับใจในตัวอวิ๋นหว่านชิ่นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ตนคงดื่มสุราดอกท้อผิดป้านนั่นไปแล้ว ตอนล่องเรือ จึงขอกับสนมเอกโดยเฉพาะ ให้อวิ๋นหว่านชิ่นมาล่องเรือด้วย


 


 


โดยในทุกๆ ปี ล้วนแล้วแต่เป็นอวี้โหรวจวงที่นั่งล่องเรือเป็นเพื่อนไทเฮา มาปีนี้ นางก็ทำเหมือนปีก่อนๆ รอที่จะลงเรืออยู่บนโป๊ะ แต่กลับเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นพยุงไทเฮาด้วยการให้คล้องแขน ก่อนก้าวลงเรือพระที่นั่งไปด้วยกัน จึงยืนอึ้ง อิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที


 


 


ยามบ่ายปลายฤดูใบไม้ผลิ แดดกำลังดี ไม่แรงจนเกินไป พอดีกับที่ระลอกคลื่นสีเขียวในทะเลสาบเฉิงเทียนที่เคลื่อนตัวมาเป็นพักๆ สายลมโชยมาเบาๆ สายน้ำเต้นระยิบระยับ คนถ่อเรือปล่อยให้เรือน้อยลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางทะเลสาบ กะว่าใกล้มืดค่ำ ค่อยถ่อกลับมา


 


 


ขณะนั่งรับลมอยู่ตรงหัวเรือ สายลมโชยกลิ่นสุราในงานเลี้ยงจนจางหาย ทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส ผิวหน้าผ่อนคลาย เวลาเพียงครึ่งวัน ในงานเลี้ยงเล็กๆ งานหนึ่ง กลับมีเรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน วังหลวง…เป็นที่ๆ กินคนได้จริงๆ คนที่อยู่ในนั้นทนได้อย่างไร ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ได้อย่างไร…อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากคิดมาก จึงตามรับใช้เจี่ยไทเฮาอยู่ข้างกายอย่างระมัดระวัง พลางซึมซับทิวทัศน์ที่สวยงามในวัง


 


 


เจี่ยไทเฮาคุยสรรพเพเหระกับเด็กสาวข้างกาย โดยนอกจากเรื่องเย็บปักถักร้อย เรื่องเครื่องประทินผิวของกุลสตรีทั่วไปแล้ว ยังมีกรรมวิธีและเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการทำเครื่องสำอางด้วย ทำให้ทรงเกษมสำราญยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะคุยให้ลึกลงไปอีก สุดท้ายก็หัวเราะพลางว่า


 


 


“วันเดียวก็ออกจากวังแล้ว สั้นไปจริงๆ ข้ายังอยากให้นังหนูอยู่เป็นเพื่อนให้นานกว่านี้”


 


 


จูซุ่นเอะใจ ด้วยรู้ใจเจี่ยไทเฮา จึงว่า


 


 


“ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ในทุกๆ ปีที่คุณหนูอวี้เข้าวัง ก็มักค้างคืนในวัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร งาน


 


 


เลี้ยงของปีก่อนและปีก่อนหน้า ไทเฮายังให้ท่านหญิงสวี่แห่งเมืองสวี่ และคุณหนูหลินแห่งสถาบันฮั่นหลิน พัก


 


 


ค้างคืนในตำหนักฉือหนิงเช่นกัน!”


 


 


อ้อใช่ เจี่ยไทเฮานึกขึ้นได้ ปีก่อน ท่านหญิงสวี่ เป็นท่านหญิงที่มีฝีมือเป็นเลิศด้านการนวด เวลากำปั้นเล็กๆ ดุจสำลีตามธรรมชาติทั้งสองข้างของนางทุบไปตามร่างกาย ตนจะรู้สึกสบาย คล้ายกระดูกกระเดี้ยวทาด้วยน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งตนติดใจจนให้นางอยู่ปรนนิบัติถึงดึกดื่นค่ำคืน


 


 


ส่วนคุณหนูหลิว ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เป็นมือหนึ่งด้านการเขียนอักษรตัวบรรจงของสกุลหลิว ลายเส้นของนาง สามารถชำระจิตให้รู้สึกเบาสบาย นางจึงพักอยู่ในวังหนึ่งคืน เพื่อคัดลอกบทสวดมนต์ให้ตนอย่างเคารพนบนอบ


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ เจี่ยไทเฮาก็กุมมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ พูดพลางยิ้มระรื่น


 


 


“ดี เช่นนั้นก็ตามนี้ หลังจากงานเลี้ยงในวันนี้ คุณหนูอวิ๋นจะค้างคืนในตำหนักฉือหนิง อยู่คุยเป็นเพื่อนข้า แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรีบถอนสายบัวตอบรับ


 


 


พอกลุ่มคุณหนูบ้านขุนนางที่นั่งเรือมาด้วยกันได้ยิน ต่างก็แสดงท่าทีริษยา หันมาซุบซิบนินทากันยกใหญ่ เนื่องจากใครก็ตามที่ไทเฮาให้พักค้างคืนด้วย ถือว่าบุญหล่นทับ ตอนออกเรือนยังใช้เป็นข้อต่อรองได้อีก


 


 


ท้ายเรือ อวี้โหรวจวงซึ่งมีลวี่สุ่ยคอยพยุง เอาแต่จ้องมองไปยังหัวเรือ ท่ามกลางคนในวังที่ยืนอยู่เต็มเรือ สายตาทุกคู่คล้ายพุ่งไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น เห็นใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ท่าทางกระตือรือร้น ครั้นเห็นเจี่ยไทเฉามองนางอย่างรักใคร่เอ็นดู ก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้…ตอนนี้ พอได้ยินเจี่ยไทเฮาบอกให้อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ในวังเป็นเพื่อนหนึ่งคืน อวี้โหรวจวงก็ถลึงตามอง


 


 


นางมีสิทธิ มีความสามารถตรงไหน มีคุณสมบัติอะไรกันแน่ ที่เข้าตาไทเฮา


 


 


อวี้โหรวจวงกำมือ ขณะเรือพระที่นั่งเข้าเทียบท่า


 

 

 


ตอนที่ 84-1 กุลสตรีมีมลทิน

 

 


 


คนในวังดึงเรือพระที่นั่งเข้ามา วางบันไดหยกลง แล้วคอยจูงสตรีสูงศักดิ์ทีละคนลงมา


 


 


เจี่ยไทเฮาขึ้นฝั่งก่อน พอหันกลับมามอง ก็เหลือบเห็นอวี้โหรวจวงยืนอยู่ที่หัวเรือ


 


 


ตอนล่องเรือ สีหน้านางไม่สู้ดีนัก ตอนนี้กลับยิ่งบึ้งตึงไม่พูดไม่จา เจี่ยไทเฮาจึงรู้ว่า คุณหนูอวี้กำลังน้อยใจตน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกครหาว่าตนลำเอียง จึงโบกมือเรียก


 


 


“โหรวจวง ยังไม่ลงมาอีก ทำไมถึงยืนคนเดียวอยู่ตรงนั้นล่ะ”


 


 


อวี้โหรวจวงพยายามข่มกลั้นไฟริษยา เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้ม ก่อนก้าวออกจากเรือพระที่นั่ง เดินลงบันไดหยก แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปยืนข้างเจี่ยไทเฮา ดวงตาหงส์เชิดใส่อวิ๋นหว่านชิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ เหล่ตามอง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา ไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป ฟังดูนุ่มนวลจับใจ


 


 


“ไทเฮาเพคะ เกรงว่าคุณหนูอวิ๋นคงไม่สะดวกที่จะอยู่ค้างคืนในวังเป็นเพื่อนพระองค์แล้ว”


 


 


“หือ? โหรวจวงหมายความว่าอะไร” เจี่ยไทเฮาตกพระทัย คิดไม่ถึงว่าอวี้โหรวจวงจะพูดเช่นนี้


 


 


คุณหนูสูงศักดิ์ท่านอื่นๆ ที่ขึ้นฝั่งแล้วต่างดึงสาวใช้ของตนไว้ แล้วหันมามองเป็นตาเดียว


 


 


อวี้โหรวจวงมองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนบิดผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไว้ครึ่งหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายคำพูดที่ตนกำลังจะพูด ค่อนข้างระคายหู แต่ไม่พูดก็ไม่ได้


 


 


“หม่อมฉันได้ยินมาว่า ก่อนที่คุณหนูอวิ๋นจะเข้าวังสองวัน มีพี่สาวจากหอโคมเขียวสองสามคนรุดไปจวนรองเจ้ากรม แล้วเข้าพบปะพูดคุยกับคุณหนูอวิ๋นถึงในเรือน ซึ่งเรื่องนี้แม้คนสกุลอวิ๋นพยายามปิดกันให้แซ่ด แต่คนในละแวกนั้นล้วนรู้ดี ถ้าทรงไม่เชื่อ ก็ให้คนไปถามดูได้ และเมื่อคุณหนูอวิ๋นเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการคบหากับหญิงสาวหอโคมเขียวแล้ว ถ้าให้นอนค้างอ้างแรมในวัง ก็อาจทำให้พระเกียรติมัวหมองไปด้วย และอาจมีคนเอาไปนินทาลับหลังอีก จึงขอให้ไทเฮาพิจารณาให้ถ้วนถี่อีกครั้งเพคะ”


 


 


“หญิงสาวหอโคมเขียว…” เจี่ยไทเฮาตาโต หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น “คุณหนูอวิ๋น มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ”


 


 


บีบคั้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กะไม่ให้หายใจกันเลยทีเดียว เมี่ยวเอ๋อร์ทนมาหลายวันแล้ว พอเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะทนได้อีก อยากก้าวเข้าไปฉีกหน้ากากของอวี้โหรวจวงเต็มทน แต่คุณหนูของตนกลับแอบจับมือไว้


 


 


เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ข้างกายเจี่ยไทเฮา ตอนนี้จึงก้าวออกมา ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน โดยหันไปโค้งให้เจี่ยไทเฮา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและอ่อนกว่าปกติ


 


 


“เรียนไทเฮา มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ”


 


 


พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ไม่เพียงเจี่ยไทเฮากับจูซุ่นเท่านั้นที่สูดหายใจเข้าลึกๆ กลุ่มคนสวยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี สายตามิได้มองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความริษยาแบบเมื่อครู่อีก แต่เหมือนกำลังมองขบถหัวรุนแรงอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เจี่ยไทเฮาขมวดคิ้ว พลางนึกในใจ นางเป็นเด็กสาวที่ตนชื่นชอบ และนางก็ได้ช่วยตนไว้ แต่ทำไมนางถึงมีพฤติกรรมส่วนตัวแบบนี้ไปได้!


 


 


พริบตาเดียว ผิวหน้าขาวเนียนที่ดูแลรักษามาอย่างดีของเจี่ยไทเฉาก็หมองคล้ำลง เดิมทีหลังขึ้นฝั่ง นางคิดจะไปศาลาปทุมหอม นั่งคุยกับหลานๆ ต่อ แต่ตอนนี้กลับโมโหจนมึนงง ยืนนิ่งอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก


 


 


พอเห็นไทเฮามีท่าทางปั้นปึ่ง ไม่รู้ว่าจะตำหนิอวิ๋นหว่านชิ่นหรือไม่อย่างไร หญิงสาวแต่ละคนไหนเลยยังจะกล้าส่งเสียง ทะเลสาบเฉิงเทียน จึงตกอยู่ในความเงียบงันทันที


 


 


ส่วนเหล่าองค์ชายและคุณชาย เนื่องจากต้องอยู่รับเสด็จไทเฮา จึงตัดสินใจออกจากสวนสัตว์และสนามขี่ม้ายิงธนูก่อนเวลา โดยได้กลับเข้านั่งประจำที่เดิมบริเวณศาลาปทุมหอมเรียบร้อย ขณะนี้จึงเห็นกลุ่มผู้หญิงทั้งหมดกำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบจากระยะไกล แต่บรรกาศดูตึงๆ ชอบกล ขนาดอยู่ไกลก็คล้ายได้กลิ่นควันไฟตุๆ คิดว่าต้องมีเรื่องอะไรกันแน่


 


 


รัชทายาทจึงโบกมือเรียกขันทีน้อยคนสนิทมากำชับ


 


 


“ไป ไปสืบดูหน่อยว่า ตรงไทเฮานั่น ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”


 


 


ขันทีน้อยรับคำ แล้วรีบวิ่งไป


 


 


กลับมาที่ข้างทะเลสาบเฉิงเทียน


 


 


จูซุ่นซึ่งรับใช้ไทเฮามาหลายสิบปี ตั้งแต่ทรงเข้าวังมาในฐานะพระสนม จนกระทั่งได้เป็นไทเฮาในรัชสมัยปัจจุบัน ไฉนจะไม่รู้ใจไทเฮาเล่า ข้อแรก ทรงโกรธที่กุลสตรีอย่างคุณหนูอวิ๋นคบหากับนางโลม ข้อสอง ตอนอยู่ในงานเลี้ยง ทรงชมเชยคุณหนูอวิ๋นว่า กตัญญูต่อบิดาและรักน้องสาว เป็นแบบอย่างที่ดีของกุลสตรีต้าเซวียน แต่ตอนนี้คุณหนูอวี้กลับพูดต่อหน้าผู้คนมากมายว่า จริงๆ แล้วคุณหนูอวิ๋นไม่ได้เป็นเช่นนั้น…เฮ้อ คุณหนูอวี้หนอคุณหนูอวี้ ท่านจะเล่นงานคุณหนูอวิ๋นน่ะไม่เป็นไร แต่พลอยตบหน้าไทเฮาไปด้วยนี่สิ นี่มิใช่กำลังบอกว่าไทเฮามีตาแต่หามีแววไม่ มองคนไม่ออกหรอกหรือ


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ จูซุ่นก็ต้องพยายามกู้หน้าและหาทางลงให้กับไทเฮาของตน ซึ่งพอคิดได้ ก็ค่อยๆ เตือนสติ


 


 


“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงเย็นพระทัย เมื่อคุณหนูอวิ๋นยอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยมิได้แก้ตัวแม้เพียงครึ่งคำ ในใจย่อมมีความในแอบแฝง มิสู้ซักถามอีกสักสองสามประโยค”


 


 


เจี่ยไทเฮาค่อยถอนหายใจออกมา คิ้วก็คลายลงได้บ้าง


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ข้าเห็นท่าทางของเจ้าในวันนี้ ไม่น่าจะเป็นคนไม่มีวินัย ทำไมถึงคบกับพวก…ไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้เล่า มีเหตุผลอะไรหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาอย่างซื่อตรงและเคร่งขรึม ก่อนตอบเสียงดังกังวานโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย


 


 


“เรียนไทเฮา วันก่อนมีหญิงสาวจากสำนักโคมเขียวสามคนมาเป็นแขกของจวนรองเจ้ากรมจริง และผู้ที่พวกนางมาหาก็คือหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่รู้จักพวกนาง จึงพูดไม่ได้ว่าคบหากันเป็นการส่วนตัว วันนั้นพอพวกนางมาถึง ก็ตะโกนโหวกเหวกว่า ต้องการพบหม่อมฉันให้ได้ ถ้าเป็นคนรู้จักกันจริง เหตุใดต้องทำเช่นนี้เล่า ในเมื่อคุณหนูอวี้บอกว่า คนแถวนั้นเป็นพยานได้ว่าพวกนางเข้ามาในจวน เช่นนั้นก็ขอให้สอบถามถึงวิธีการที่พวกนางใช้ เพื่อเข้าไปในจวนด้วย”


 


 


สีหน้าของเจี่ยไทเฮาค่อยดีขึ้นบ้าง แต่ยังคงถามต่ออย่างเคร่งเครียด


 


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่าคนเหล่านั้นมาก่อกวนให้เจ้าเดือดร้อน? แต่ถ้าไม่มีลมจะมีคลื่นได้อย่างไร เจ้าเป็นถึงกุลสตรีลูกสาวขุนน้ำขุนนาง และยังไม่ได้ออกเรือน ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงมาหาเรื่องเจ้าได้”


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ไม่มีมูล สุนัขไม่ถ่ายหรอก ทำไมนางโลมสามคนนั่น ถึงไม่มาหาข้าหรือหาคนอื่นๆ บ้างล่ะ ไปหาก็แต่เจ้า? แล้วบอกว่าไม่ได้คบเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้หรือ” น้ำเสียงอวี้โหรวจวงไม่หนักไม่เบาจนเกินไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่แม้แต่มองอวี้โหรวจวง หันหาไทเฮา พลางพูดอย่างมีจังหวะจะโคน


 


 


“ผู้มาเพียงบอกว่า ตนเองหน้าบวมจากการใช้ครีมทาหน้าที่หม่อมฉันทำขึ้นใช้เอง จึงมาหาเพื่อขอคำอธิบาย แต่ในเมื่อหม่อมฉันทำขึ้นใช้เอง ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าครีมหลุดออกไปได้อย่างไร ซ้ำยังหลุดไปในที่แบบนั้นอีก แต่เมื่อมีผู้ป่วยมาหาถึงบ้าน และหม่อมฉันอธิบายได้ จึงอธิบายไป พลางรักษาหน้าให้นางไปในตัว ถ้านับดู นี่ก็สองวันพอดี นางน่าจะหายเป็นปกติแล้ว ที่หม่อมฉันพูดมาทั้งหมด เป็นความจริงทุกประการ ถ้าทรงไม่เชื่อ ก็สามารถส่งคนไปสอบถามจากผู้ป่วยได้”


 


 


คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตฟังถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสริม


 


 


“ไทเฮาเพคะ คุณหนูอวิ๋นมีฝีมือด้านนี้จริงๆ ใบหน้าก่อนหน้านี้ของหม่อมฉัน ก็เป็นคุณหนูอวิ๋นนี่ล่ะ ที่รักษาจนหาย”


 


 


พออวี้โหรวจวงเห็นเช่นนี้ ก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนสนิทยืนอยู่ข้างไหนกันแน่ จึงมองค้อนอย่างดุดันไป คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตแม้ปลื้มอวิ๋นหว่านชิ่น แต่อย่างไรก็มีสัมพันธ์อันดีกับอวี้โหรวจวง จึงรีบหุบปาก ไม่ส่งเสียงอีก


 


 


ดูอวี้โหรวจวง คำก็นางโลมสองคำก็นางโลม แต่พอนังหนูพูด กลับกลายเป็นแขก เป็นผู้ป่วยไป ฟังแล้วรื่นหูกว่ามาก เจี่ยไทเฮาจึงรู้สึกโล่งอก


 

 

 


ตอนที่ 84-2 กุลสตรีมีมลทิน

 

เมื่ออวี้โหรวจวงเห็นความหมองคล้ำบนใบหน้าของไทเฮาจางหาย และเห็นว่า คำพูดแต่ละคำของขันทีจู ล้วนเป็นการหาทางออกให้กับอวิ๋นหว่านชิ่นทั้งสิ้น ก็รู้สึกไม่ยอม ไฉนจะยอมรามือง่ายๆ เช่นนี้ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า จะไม่สนใจอะไรอีก ตอนอยู่บ้านสกุลอวิ๋นแพ้ก็ว่าไปอย่าง หรืออยู่ในวัง ตนยังจะสู้ลูกสาวของรองเจ้ากรมไม่ได้


 


 


รอยยิ้มเย็นชาจึงปรากฏขึ้นบนแก้มสวยดั่งดอกชบา อวี้โหรวจวงหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่นตรงๆ พลางว่า


 


 


“นางโลมที่เข้าไปในจวนสามคนนั้น แม้คุณหนูอวิ๋นเล่นลิ้นว่าไม่รู้จัก เป็นผู้อื่นให้ร้าย ก็ยังพอจะอภัยให้ได้ แต่มีนางโลมคนหนึ่ง สามถึงห้าวันจะมาจวนรองเจ้ากรมครั้งหนึ่ง โดยแอบเข้าทางประตูข้าง ส่งจดหมายให้สาวใช้คนสนิทของคุณหนูอวิ๋น มองปราดเดียวก็รู้ว่า มีสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูอวิ๋น! คุณหนูอวิ๋นจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกใช่หรือไม่ หรือจะเล่นลิ้นว่า บ่าวในบ้านคบหานางเอง ตนไม่รู้ไม่เห็นด้วย”


 


 


เจี่ยไทเฮาตกพระทัย “โหรวจวง นี่ นี่เอานางโลมจากไหนมาอีกคน อย่าซี๊ซั๊วพูดเชียว!”


 


 


พูดเช่นนี้ หรือจริงๆ แล้วนังหนูนี่มีนิสัยขบถ ถึงได้คบหากับคนในแวดวงคาวโลกีย์โดยเฉพาะ!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่านางจะพูดถึงหงเยียน จึงเก็บสายตาคืนกลับ พลางคิด อวี้โหรวจวงนี่ ไม่รู้ว่าแอบจับตาดูตนมานานแค่ไหน รู้ลึกแค่ไหน!


 


 


สำหรับหงเยียน เป็นเรื่องที่น่ายินดีและไม่คาดคิดของอวี้โหรงจวง ด้วยเดิมทีนางให้เด็กรับใช้ในบ้านไปซื้อตัวเด็กจัดซื้อเครื่องสำอางบนเรือสำราญว่านชุน โดยใช้ประโยชน์จากอาการแพ้น้ำผึ้งของหานเจียว กระตุ้นให้กลุ่มนางคณิกาอย่างพวกนางไปเอาเรื่องกับอวิ๋นหว่านชิ่นที่บ้านสกุลอวิ๋น เด็กจัดซื้อโลภมาก พอได้เงินแล้ว ใยจะไม่ทำงานให้เล่า แถมยังเล่าให้ฟังด้วยว่า บนเรือมีพี่สาวคนหนึ่ง ชื่อหงเยียน หลายวันก่อนก็ถูกคนในบ้านสกุลอวิ๋นซื้อตัวไปเช่นกัน


 


 


พอได้ยินคำว่าสกุลอวิ๋น อวี้โหรวจวงก็สะดุ้ง และคิดว่าถ้าไม่ได้ขุดคุ้ย ต้องไม่ยอมรามือแน่ และพอฟังๆ ไป ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงถามไปอีกหลายประโยค


 


 


ที่แท้หงเยียนมิได้เป็นสาวใช้ในบ้านสกุลอวิ๋น แต่อาศัยอยู่ที่ตรอกดอกบัวในบ้านหลังหนึ่ง แถมทำงานเป็นผู้จัดการร้านด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ครั้นบอกให้ลวี่สุ่ยแอบไปสืบดู จึงรู้ว่า หงเยียนไปที่บ้านสกุลอวิ๋นเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง และสื่อสารกับอวิ๋นหว่านชิ่นโดยฝากคำพูดไปกับสาวใช้


 


 


พอนึกถึงเรื่องนี้ อวี้โหรวจวงก็ถกกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลง


 


 


“เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ หม่อมฉันเกรงว่าไทเฮาจะถูกหญิงสาวที่มีลับลมคมในหลอกลวงเอา จึงต้องพูดออกมา ส่วนเรื่องนางโลมสามคนนั่น พูดได้ว่าหม่อมฉันไม่คิดให้รอบคอบก่อนพูด แต่เรื่องนี้ คุณหนูอวิ๋นมิได้คบกับนางเพียงผิวเผินแน่! ซึ่งตอนนี้นางก็อาศัยอยู่ที่บ้านสกุลจู้ ในตรอกดอกบัวของเมืองหลวง นางมีชื่อว่าหงเยียน คล้ายทำงานเป็นผู้จัดการร้านๆ หนึ่งบนถนนจิ้นเป่า และมักไปหาคุณหนูอวิ๋นที่ประตูข้างของบ้านสกุลอวิ๋น…ทรงสามารถให้คนไปตรวจดูได้ทุกเมื่อ ก็จะรู้ทุกอย่างเพคะ!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “คำพูดของคุณหนูอวี้ขัดแย้งในตัวเองจริงๆ เมื่อนางอาศัยอยู่ในบ้านของชาวบ้านธรรมดา อีกทั้งยังทำงานเป็นผู้จัดการร้าน แล้วนางโลมมาจากไหน! คุณหนูอวี้พูดแต่คำว่านางโลมๆ ทำให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งเสียหายก็แล้วกันไป แต่ไม่กังขาว่าจะทำให้ปากของตัวเองสกปรกหรือ!”


 


 


อวี้โหรวจวงเป็นคนเย่อหยิ่ง หลงตัวเองว่าสวยสง่า ไหนเลยจะอยากพูดคำว่านางโลมบ่อยๆ คิดแล้วก็คับแค้นใจ ที่ตนเองต้องเป็นเหมือนนางร้ายเช่นนี้ ก็เพราะอวิ๋นหว่านชิ่นบีบให้ทำ จึงพูดเย้ยหยันกลับ


 


 


“ไม่ว่าอย่างไร แม้เป็นนางโลมหนึ่งวัน ก็ต้องอัปยศไปชั่วชีวิต! คุณหนูอวิ๋นไม่รังเกียจคนเหล่านี้ก็แล้วกันไป แต่การคบหาเป็นสหายสนิทนี่สิ แม้จวนรองเจ้ากรมไม่ใช่จวนขุนนางชั้นสูง แต่เมื่อเป็นจวนขุนนางของราชสำนัก และคุณหนูอวิ๋นเป็นคุณหนูลูกขุนนาง ก็ควรระวังคำพูดและการกระทำของตน แต่พฤติกรรมในตอนนี้ เห็นกันจะๆ ว่าทำให้คุณหนูลูกขุนนางในเมืองหลวงทั้งหมดขายหน้า! ฝ่าบาททรงพระเมตตา ไทเฮาทรงพระกรุณา ต้าเซวียนเราเปิดกว้างทางอารยธรรม ผู้หญิงมิได้ถูกจำกัดการกระทำมากเท่าสมัยก่อน แต่แม้เปิดกว้าง ก็ไม่ถึงกับอยู่ปะปนกันได้ทุกชนชั้นโดยไม่มีขอบเขตจำกัด! คุณหนูอวิ๋นละเมิดคำสอนกุลสตรี ฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติ ไทเฮาเพคะ คนเช่นนี้ อย่าว่าแต่พักค้างคืนในวังเลย งานเลี้ยงครั้งหน้า เกรงว่าคงไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมงานอีก! เพื่อไม่ให้คุณหนูต้าเซวียนทั้งหลายเห็นนางเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเลียนแบบตาม พากันคบหาคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ทำให้แวดวงสตรีชั้นสูงยุ่งเหยิงกันไปหมด!”


 


 


แต่ละประโยคประหนึ่งสายฟ้าฟาด เฉียบคมและรุนแรง ฟาดเปรี้ยงหนักๆ ลงมา ไม่คิดถนอมน้ำใจไมตรีแม้แต่น้อย


 


 


กลุ่มคนกลั้นหายใจ สีหน้าที่เพิ่งดูดีขึ้นบ้างของเจี่ยไทเฮา เริ่มมืดครึ้ม หมองคล้ำไปสักพัก


 


 


อีกด้านหนึ่ง ขันทีน้อยที่รัชทายาทสั่งให้ไปสืบเรื่องดู ก็วิ่งกลับมาที่ศาลาปทุมหอม แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบเฉิงเทียนให้รัชทายาทฟังอย่างละเอียด ทำให้องค์ชายที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน พลอยได้ยินไปด้วย


 


 


เยี่ยนอ๋องใช้ศอกสะกิดฉินอ๋อง ก่อนกระซิบล้อ


 


 


“ผู้หญิงของเสด็จพี่สามนี่โดดเด่นจริงๆ เพิ่งเข้าวังเป็นวันแรก ยังไม่ทันข้ามวัน ก็มีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ถูกคนจับจ้องอีกแล้ว แต่ข้าว่านะ จากความสามารถของนาง น่าจะไม่มีปัญหา…”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้พูดอะไร สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน เพียงหลุบตาลงขณะแววตามืดหม่น จะไม่มีปัญหาได้อย่างไร หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถูกคนชี้หน้าด่าว่าคบหานางโลม ต่อหน้าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวง ถ้าไม่ขจัดมลทินนี้ให้หลุดออกจากตัว ต่อไปก็ต้องแบกรับชื่อเสียงที่ไม่น่าฟังนี้ไปตลอดชีวิต


 


 


รัชทายาทที่นั่งอยู่ข้างๆ พอฟังจบ ก็ขมวดคิ้ว ก่อนเลิกคิ้วยาวขึ้น


 


 


“ระหว่างผู้หญิงด้วยกันนี่น่าเบื่อชะมัด บุตรีของอวี้เหวินผิงนั่นก็กินยาอะไรผิด ถึงรู้สึกไม่สบาย ถ้าไม่ได้หาเรื่อง”


 


 


ขันทีน้อยได้แต่ขานรับพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทพึมพำสักพัก ขณะจะลุกเดินไปดับไฟ ก็มีคนเอียงตัวเข้ามาใกล้ แกะฝ่ามือที่วางไว้บนตักออก แล้วยัดกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งเข้าไป


 


 


เป็นฉินอ๋อง


 


 


รัชทายาทเอะใจ จึงก้มลงดูแผ่นกระดาษ เห็นมีคำพูดสั้นๆ เขียนไว้ และมีชื่อคนอีกสองคนกำกับอยู่


 


 


จึงหันมองคนข้างๆ ซึ่งนั่งหน้าตาเฉย คล้ายกำลังระแวดระวัง ก่อนวางท่าที หยิบถ้วยหยกขึ้น ค่อยๆ ละเลียดน้ำชา คล้ายเขาไม่ใช่คนส่งกระดาษให้


 


 


ชิ่นเอ๋อร์รู้จักพี่สามด้วยหรือ แถมยังทำให้ตอไม้หน้าตายอย่างพี่สามลงมือช่วยนางได้อีก? หึๆ เยี่ยมจริงๆ


 


 


รัชทายาทยกมุมปากขึ้น ไม่ได้พูดอะไรมาก หันไปกำชับขันทีน้อยคนสนิทเสียงเบา


 


 


“ไปเรือนเหยาหวา เชิญเสด็จลุงมาหน่อย”


 


 


ขันทีน้อยอึ้ง เรือนเหยาหวาที่รัชทายาทพูดถึง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตำหนักบูรพา ซึ่งขณะนี้พระมาตุลาเจี่ยงยิ่น พี่ชายของเจี่ยงฮองเฮาพำนักอยู่


 


 


พระมาตุลาท่านนี้ เป็นคนแปลก เมื่อก่อนตอนยังหนุ่มเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก มีความซื่อสัตย์ยุติธรรม เป็นศัตรูกับคนชั่ว ทำอะไรเฉียบขาดแข็งกร้าว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม จึงได้รับความไว้วางใจจากหนิงซีฮ่องเต้เรื่อยมา เคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกตรวจเยี่ยมประชาชนทั่วทุกสารทิศ กำจัดข้าราชการโกงกิน ขุนนางกบฏ ตรวจสอบความไม่เป็นธรรม บัญชาการรบ พร้อมกระบี่อาญาสิทธิ์ในมือ จึงมีอำนาจเด็ดขาดที่จะดำเนินการก่อน รายงานทีหลัง ดังนั้นไปถึงที่ใด ผู้ฉ้อราษฏร์บังหลวงล้วนตื่นตกใจ หลายคนเข่าอ่อน สารภาพความผิดออกมาเองในที่สุด


 


 


ต้าเซวียนในช่วงนั้นจึงมีขุนนางตงฉินจำนวนไม่น้อย กระทั่งเพลงพื้นบ้านที่ร้องว่า “มีเจี่ยงยิ่น ไร้โกงกิน” ก็ยังเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งแผ่นดิน


 


 


พระมาตุลาเจี่ยงยิ่นอายุไม่ถึงสามสิบก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในราชสำนัก อีกทั้งยังมีน้องสาวเป็นฮองเฮา มีรัชทายาทที่เรียกเขาว่าเสด็จลุง เดิมทีก็น่าจะยินดีปรีดากับอนาคตอันสุขสมบูรณ์ แต่เมื่อสามปีก่อน ไม่รู้ทำไม กลับขอลาออกจากราชการ ไปบำเพ็ญเพียรที่วัดในหุบเขาลึกเสีย


 


 


ซึ่งหนิงซีฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยให้พระญาติขุนนางคนสำคัญจากไปดื้อๆ เช่นนี้ แต่รั้งตัวกี่ครั้ง ก็รั้งไว้ไม่อยู่ จึงได้แต่ปล่อยไป


 

 

 


ตอนที่ 84-3 กุลสตรีมีมลทิน

 

 


 


สกุลเจี่ยงของเจี่ยงฮองเฮามีเจี่ยงยิ่นเป็นที่พึ่งพิง พอเจี่ยงยิ่นจากไป อำนาจของฮองเฮาก็ลดลง รากฐานไม่แน่นดังเดิม ทำให้เจี่ยงฮองเฮาร้อนใจยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่ชายถึงได้หลงใหลการบำเพ็ญเพียรนักหนา จึงส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายกลับราชสำนัก แต่เจี่ยงยิ่นตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว ชวนกี่ครั้งก็ไม่คิดคืนกลับ


 


 


และพอนับนิ้วดู ตอนนี้เจี่ยงยิ่นได้ปลีกวิเวกที่วัดในหุบเขาลึกได้สามสี่ปีแล้ว


 


 


โดยสองปีมานี้ พออำนาจเปลี่ยนมือไปอยู่กับสกุลเหวยของมเหสีรองเหวย เจี่ยงฮองเฮาก็ยิ่งร้อนใจ ไม่อยากยอมแพ้ จึงพยายามเชิญพี่ชายให้กลับมาอย่างไม่ลดละ และเมื่อเดือนก่อน ก็นำวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบห้ารอบของเจี่ยไทเฮามาเป็นข้ออ้าง ซึ่งที่สุดแล้ว ก็สามารถเชิญพี่ชายท่านนี้กลับมาอยู่ได้ไม่กี่วัน


 


 


ซึ่งขณะนี้พระมาตุลาเจี่ยงกำลังพักอยู่ที่เรือนเหยาหวาในตำหนักบูรพา ช่วงเช้าพอเข้าร่วมพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเจี่ยไทเฮาเสร็จ ก็เสร็จสิ้นภารกิจ เหมือนเขาได้เข้าไปลาหนิงซีฮ่องเต้ตรงหน้าพระที่นั่งแล้ว และกำลังเตรียมตัวกลับวัด


 


 


ตอนนี้ พอขันทีน้อยได้ยินว่ารัชทายาทให้ไปเชิญเสด็จลุงมา ก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้


 


 


“เรียนรัชทายาท เกรงว่าพระมาตุลาอาจไม่มางานสังสรรค์เช่นนี้…บ่าวควรจะพูดอย่างไรดี”


 


 


รัชทายาทหันมองฉินอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางกลั่นกรองในใจ จากเนื้อความในกระดาษ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า เขาคิดจะทำอะไร จึงป้องปากกำชับขันทีน้อยไป


 


 


ขันทีน้อยฟังแล้วก็หันกาย วิ่งไปเรือนเหยาหวา


 


 


แล้วรัชทายาทก็ลุกขึ้นยืน พาคนในวังไม่กี่คนเดินออกจากที่นั่ง ตรงไปยังริมทะเลสาบเฉิงเทียน


 


 


ด้านเจี่ยไทเฮา พอฟังอวี้โหรวจวงกล่าวหาอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างดุเดือดจนจบ ก็เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ย


 


 


“คุณหนูอวิ๋น เจ้าจะแก้ตัวเช่นไร เจ้าคบหาคนชั้นล่างพวกนั้นจริงๆ หรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันหาเจี่ยไทเฮา แล้วย่อตัวลง สีหน้าไม่เปลี่ยน ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“ถ้าคนที่คุณหนูอวี้พูดถึงคือ เถ้าแก่เนี้ยของร้านที่ถนนจิ้นเป่า ก็เป็นจริงตามนั้นเพคะ”


 


 


“เจ้า…” พอเจี่ยไทเฮาเห็นนางยอมรับโดยดุสดีเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ


 


 


“แต่” อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใส ไม่กลัวที่จะเดิมพันข้างไทเฮาแต่อย่างใด “ไทเฮาพอจะฟังหม่อมฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดไหมเพคะ”


 


 


อายุน้อยแค่นี้ ไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหน แววตาไม่มีความกลัว ไม่มีความเสียใจให้เห็น กลับทำให้เจี่ยไทเฮาถอนหายใจออกมา “เล่าเถิด”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยืดตัวตรง หันมองคุณหนูสูงศักดิ์ที่รายล้อมอยู่ น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย แต่กลับคล้ายมีเสาคานที่แน่นหนาค้ำจุนอยู่ ไม่มีวันพังทลาย


 


 


“หญิงผู้นั้นเดิมทีก็เหมือนคุณหนูทุกๆ ท่านในที่นี้ เกิดและเติบโตขึ้นในครอบครัวที่ดี มีพ่อแม่คอยเลี้ยงดู


 


 


มีพี่ชายที่รักนาง และเคยฝันเช่นกันว่าต่อไปจะแต่งงานกับสามีแบบไหน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ใช้ชีวิต


 


 


ปกติธรรมดาตามประสา แต่เมื่อครอบครัวตกต่ำอย่างไม่มีทางเลือก นางจึงโชคร้าย ตกไปอยู่ในสถานบันเทิงเริงรมย์ ความฝันทั้งหมดจึงกลายเป็นฟองสบู่ นี่ยังคงเป็นโศกนาฎกรรมลำดับหนึ่งในใต้หล้า เดิมทีผู้หญิงทุกคนล้วนอยากรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ แต่ถึงจะวางแผนไว้ดีอย่างไร ก็คิดไม่ถึงว่า บ่าวผู้ชั่วร้ายในจวนของหญิงสูงศักดิ์ท่านหนึ่งจะบ้ากาม ร่วมมือกับแม่เล้า บังคับขืนใจนาง แล้วยังเหิมเกริม คิดครอบครองนางต่อไปเรื่อยๆ อีก นี่ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมลำดับสองในใต้หล้า ซึ่งต่อมาบ่าวผู้นั้นก็ได้กระทำความผิดร้ายแรงจนเรื่องแดง และถูกลงโทษด้วยกฎของบ้านอย่างเด็ดขาด หญิงผู้นั้นจึงไร้ที่พึ่ง ล่องลอยดุจจอกแหน ทั้งไร้บ้าน และไร้ที่ๆ ตั้งรกราก นี่ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมลำดับสามในใต้หล้า…”  


 


 


เจี่ยไทเฮาค่อยๆ มีอารมณ์ร่วม ความโกรธจึงลดลงไปกว่าครึ่ง


 


 


คุณหนูสูงศักด์หลายคนอ่อนไหว ตาจึงเริ่มแดง


 


 


แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่อ


 


 


“หลังจากผ่านโศกนาฏกรรมมาสามครั้ง จะมีผู้หญิงสักกี่คนในใต้หล้าที่ไม่หลั่งน้ำตา และยืนขึ้นได้อย่างปราศจากความกลัวบ้าง หญิงผู้นี้เข้มแข็งมาตลอด นางตั้งสติให้มั่น ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ หรือมองโลกในแง่ร้ายด้วยการโทษฟ้าดินว่ากลั่นแกล้ง นางมาขอเป็นบ่าวรับใช้หม่อมฉัน”


 


 


พอพูดถึงตรงนี้ ลำคอขาวเนียนก็หันมองไปรอบๆ พร้อมแววตาหมองหม่นน้อยๆ


 


 


“จึงอยากถามคุณหนูทุกท่านว่า ถ้าพวกท่านพบเจอคนเฉกเช่นในเรื่อง ลองถามใจตัวเองดูว่า สามารถไม่พูดไม่จา รีบไล่คนที่น่าสงสารเช่นนี้ออกไปจากบ้านหรือไม่”


 


 


จูซุ่นนึกได้คำหนึ่ง ร้ายกาจ เริ่มต้นก็ปูเรื่องได้ดีมาก บรรยายเสียจนเห็นภาพว่าหญิงผู้นั้นมีสภาพที่น่าเวทนาเพียงใด ไหนเลยจะมีคุณหนูสูงศักดิ์ท่านใดยอมรับว่าตนเองใจไม้ไส้ระกำ เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยบ้าง


 


 


และแล้ว เหล่าคุณหนูก็หันมามองหน้ากัน ตอบก็ไม่ดี ไม่ตอบก็ไม่ดี ถ้าตอบว่าช่วย ก็ละเมิดขอบเขตของกุลสตรี ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ถ้าตอบว่าไม่ช่วย ตนเองก็มิต้องกลายเป็นคนใจหิน ที่ไม่น่าชื่นชมหรอกหรือ


 


 


เลือกยากจริงๆ


 


 


เช่นนั้นก็ปิดปากเงียบ ไม่ตอบเสียดื้อๆ แล้วกัน


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้ต้องการให้เหล่าคุณหนูตอบกันจริงๆ พอเห็นกลุ่มคนเงียบงัน ก็หันกลับมามองเจี่ยไทเฮา


 


 


“…ตอนนั้นหม่อมฉันก็ตัดสินใจได้ยากเช่นกัน จึงลองชั่งน้ำหนักดู และเห็นว่า แม้นางตกทุกข์ได้ยาก แต่กลับมีใจสู้ชีวิตเรื่อยมา ทำให้หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่ง นางถูกบ่าวในบ้านหม่อมฉันทำให้มีสภาพเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันอยากชดใช้ให้ จึงตัดสินใจว่า คนต้องช่วย แต่ก็ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงสกุลอวิ๋นต้องเสียหายเพราะความเมตตา หม่อมฉันจึงมอบทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ให้นางนำไปใช้ตั้งต้นชีวิตใหม่ นี่คือวิธีประนีประนอมที่สุดที่หม่อมฉันคิดได้ ซึ่งนางก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล และมาที่จวนเพื่อขอบคุณหม่อมฉัน…ตอนที่หม่อมฉันพบกับหงเยียนนั้น นางได้พ้นจากการเป็นคนของเรือสำราญว่านชุนเรียบร้อย โดยถูกไถ่ตัวออกมานานแล้ว สถานะจึงไม่ถือว่าเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า ซึ่งต่อมานางก็หาเลี้ยงชีพด้วยสองมือของนางเอง ดังนี้ ถ้าต้าเซวียนยังรับผู้หญิง


 


 


เช่นนี้ไม่ได้ หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก!”


 


 


พูดเสียจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด เข้าใจเบี่ยงประเด็นนี่! อวี้โหรวจวงมิได้รู้สึกเห็นใจอะไร จึงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา


 


 


แต่เจี่ยไทเฮากลับสะเทือนใจไปกับคำพูดแต่ละคำแต่ละประโยค ตอนนี้จึงไม่รู้สึกโกรธนังหนูอวิ๋นแล้ว กลับมีความรู้สึกดีที่บอกไม่ถูกเพิ่มเข้ามา แต่ก็อย่างที่อวี้โหรวจวงพูด ถ้าให้นางพักอยู่ในวังอาจไม่เหมาะสม คิดพลาง เจี่ยไทเฮาก็ค่อนข้างรู้สึกเสียดาย และรู้สึกไม่พอใจอวี้โหรวจวงอยู่บ้าง เดิมทีก็สงบเงียบดีกันแท้ๆ ทำไมต้องทำให้เสียบรรยากาศด้วย จึงมองค้อนอวี้โหรวจวงด้วยสายตาเย็นชาไปทีหนึ่ง


 


 


อวี้โหรวจวงกำลังได้ใจ ด้วยมองว่า ที่อวิ๋นหว่านชิ่นมาร่วมงานเลี้ยง แล้วเอาอกเอาใจไทเฮา มิใช่เพราะอยากเป็นจุดสนใจของคนชั้นสูง เผื่อจะได้แต่งกับคนที่ดูดีมีสกุลสักคนหรอกหรือ


 


 


วันนี้ตนได้เปิดเผยเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของนางต่อหน้าคนชั้นสูงมากมาย แม้ไทเฮาไม่ลงโทษนาง แต่พอออกจากวังไป เรื่องที่นางคบกับหญิงคณิกาก็จะถูกพูดต่อๆ กันไปในแวดวงคนชั้นสูง ถึงตอนนั้น ตนก็อยากดูว่า จะมีตระกูลสูงศักดิ์ที่รักศักดิ์ศรีตระกูลไหนยังจะไปขอนางอีก!


 


 


ซึ่งจุดๆ นี้เมี่ยวเอ๋อร์ก็คิดได้เช่นกัน แม้คุณหนูอุตส่าห์เค้นความเจ็บปวดออกมา ทำให้รอดพ้นจากการถูกเจี่ยไทเฮาลงโทษไปได้ แต่เกรงว่าชื่อเสียงยังคงถูกกระทบกระเทือน และอาจเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังไม่ได้อีก ทำให้หมดโอกาสได้พบเจอผู้สูงศักดิ์ จึงกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว พลางมองอวี้โหรวจวงอย่างเชือดเฉือน


 

 

 


ตอนที่ 84-4 กุลสตรีมีมลทิน

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเมี่ยวเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น ก็ค่อยๆ จับมือที่หยาบกร้านของนางมาไว้ในแขนเสื้อหลวมๆ ของตน


 


 


บอกตามตรง นางไม่ยี่หระจริงๆ ว่าคนในตระกูลสูงศักดิ์จะอยากได้นางไปเป็นสะใภ้หรือไม่ ถ้าแต่งกับคนชั้นสูงไม่ได้ ก็แต่งกับคนชั้นล่างสิ มีชีวิตอยู่มาตั้งชาติหนึ่งแล้ว หรือยังไม่ชัดเจนอีกว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคู่คืออะไร ชาตินี้ ขอให้ได้กินอิ่ม นอนหลับ มีคนรัก มีเงินใช้ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ก็เพียงพอแล้ว!


 


 


ขณะอวี้โหรวจวงกำลังคิดอย่างอิ่มเอมใจ ก็รู้สึกว่ามีสายตาที่ดุดันคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตนเขม็ง จนตนเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เจี่ยไทเฮารักและทนุถนอมตน ดีกับตนมาตลอด แล้วเริ่มมองตนด้วยสายตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนระบายอารมณ์ใส่ตนชั่วขณะอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หลังจากเจี่ยไทเฮาจ้องมองอวี้โหรวจวงอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว ก็รู้สึกปวดขมับตะหงิดๆ ขณะเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ หันหน้าเข้าหาอวี้โหรวจวง แล้วเริ่มตอบโต้อย่างไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป


 


 


“เมื่อคุณหนูอวี้สอบสวนข้าจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าพอจะถามกลับสักเล็กน้อยหรือไม่ จวนท่านสมุหนายกเป็นจวนที่มีเกียรติในเมืองหลวง คุณหนูอวี้อาศัยอยู่ในนั้น รู้เรื่องสาวคณิกามาบ้านข้าก็แล้วกันไป แต่เหตุใดถึงรู้อย่างละเอียดยิบ กระทั่งหงเยียนเข้าทางประตูข้างบ้านข้า มาขอบคุณข้ากับสาวใช้ข้าหลายครั้งเล่า หมู่นี้ คนนอกก็ยังไม่ชัดเจนว่าข้าคบหากับสาวคณิกา มีเพียงคุณหนูอวี้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง เป็นเพราะคุณหนูอวี้สนใจในตัวข้ามาก จึงเฝ้าจับตาดูข้าทุกฝีเก้า หรือสนใจหญิงคณิกาเหล่านั้นกันแน่…คุณหนูอวี้รู้อยู่แก่ใจดีแต่แรก”


 


 


นี่กำลังพูดว่า นางโลมเหล่านั้น ล้วนเป็นคนที่อวี้โหรวจวงจงใจยุให้ไปหาเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นหรือ


 


 


เหล่าคุณหนูต่างเพ่งมองไปที่อวี้โหรวจวงเป็นจุดๆ เดียว


 


 


อวี้โหรวจวงหรี่ตาลงแล้วเชิดหน้าขึ้น พลางหัวเราะเย็นชา


 


 


“ข้ารู้ได้อย่างไร ไม่สำคัญหรอก เมื่อเจ้าไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถกล่าวหาข้าด้วยปากเปล่า”


 


 


และในตอนนี้เอง เสียงรายงานของขันทีที่อยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้น “รัชทายาทเสด็จ”


 


 


เหล่าคุณหนูพากันถอนสายบัวให้รัชทายาทที่สาวเท้าก้าวเข้าหาไทเฮาอย่างรวดเร็ว ไทเฮาจึงได้สติ


 


 


“รัชทายาททำไมถึงมาได้ล่ะ”


 


 


รัชทายาทไม่ชอบอยู่ในกฏเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร ตอนอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสจึงเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งรัชทายาทเองก็รู้สึกดีกับไทเฮามาก ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มหน้าสวยคล้องแขนเสด็จย่าไว้


 


 


“เสด็จย่าอย่าเพิ่งอารมณ์เสียไป หลานได้ให้คนไปตามหญิงสาวที่ชื่อหงเยียนแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมา เสด็จย่าจะได้สอบถามด้วยองค์เอง!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น มองแรงไปที่รัชทายาท บอกใบ้ว่าอย่า แต่รัชทายาทกลับแอบส่งสายตา พลางขยับริมฝีปากบอกนางว่า “วางใจ”


 


 


วางใจ? จะให้วางใจได้อย่างไร


 


 


หงเยียนเป็นลูกสาวของแม่ทัพที่สมรภูมิถังโจว แม้ไม่มีโทษตาย ก็มีโทษอยู่กับตัว ถ้าเรื่องนี้เผลอหลุดออกจากปากนาง หรือถูกเค้นถาม แล้วไทเฮาฟังออก ก็ไม่รู้แล้วว่าผลจะเป็นเช่นไร! อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะรู้ว่ารัชทายาทที่บ้าบิ่นจะบอกให้หงเยียนเข้าวังมา ตอนนี้พอเห็นเขาทำปากยื่นจมูกย่น ก็มันเขี้ยวอยากอ้าปากงับไปสักคำ นี่มิใช่เพิ่มความยุ่งยากให้ตนเองหรอกหรือ


 


 


รัชทายาทมีท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นใช้สายตาทิ่มแทงตน กลับยิ่งหัวร่อร่า ยักคิ้วทั้งสองข้างไปมา


 


 


พอเจี่ยไทเฮาเห็นว่ารัชทายาทส่งคนไปตามหงเยียนเข้าวัง ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน


 


 


“เจ้าเนี่ยนะ บอกว่าจะทำ ก็ทำทันทีทุกครั้ง ครั้งนี้ก็อีก ขนาดชาวบ้านร้านตลาดยังไปเชิญให้เข้าวังมา!”


 


 


“ก็หลานรู้นี่ว่า ถ้าเสด็จย่าไม่สบายพระทัยก็จะนอนไม่หลับ วันนี้ถึงต้องถามให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ขนาดเสด็จพ่อยังเคยสอบสวนขุนโจรเจียงหนาน กับหัวหน้ากบฏชาวนาซีเป่ย ในท้องพระโรงด้วยองค์เองมาแล้ว พวกเขาล้วนมิใช่ชาวบ้านร้านตลาดหรอกหรือ แล้วเหตุใดไทเฮาจะสอบสวนเถ้าแก่เนี้ยของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวงไม่ได้เล่า”


 


 


รัชทายาทหัวเราะอย่างหน้าชื่นตาบาน ดวงตาอ่อนโยนดุจดอกท้อน่ารักน่าชัง จนทำให้คนแก่ทนไม่ไหว หยิกเข้าที่แก้มหล่อๆ ของหลานเบาๆ


 


 


อีกด้านหนึ่ง รถม้าตัวเดียวประจำวังหลวงก็ได้วิ่งออกจากประตูวังอย่างรวดเร็ว ข้ามแม่น้ำฮู่หลง ใช้เวลาไม่นาน ก็ห้อตะบึงมาถึงร้านเป้าหมายบนถนนจิ้นเป่า


 


 


หงเยียนกำลังจัดเรียงสินค้า ขณะอุ้มกล่องใบหนึ่ง ปีนขึ้นบันไดที่พาดอยู่กับชั้นวางสินค้าได้ครึ่งทาง สวี่มู่เจินที่จับบันไดอยู่ด้านล่าง ก็จงใจเขย่าไปสองที ทำให้นางตกใจ ก้มลงไปต่อว่า


 


 


“เดี๋ยวข้าลงไป ได้เห็นดีกันแน่!”


 


 


ตั้งแต่สวี่มู่เจินเห็นญาติผู้น้องเปิดร้าน ก็เกรงว่าหงเยียนจะดูแลร้านคนเดียวไม่ไหว จึงแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นนิจ ช่วยงานนางเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราว วันนี้ก็เช่นเดียวกัน


 


 


ส่วนหงเยียน แม้รู้ว่าเขาไม่รู้เรื่องค้าขาย แต่อุตส่าห์ลงแรงช่วย ก็นับว่าไม่เลวทีเดียว ถ้าเขาอยากอยู่ก็แล้วแต่เขา ทั้งสองเป็นคนรักอิสระ จึงไม่มีขอบเขตสถานะคุณชายตระกูลพ่อค้ากับเถ้าแก่เนี้ยอะไร ตอนนี้ก็เหมือนตอนสงบศึก ขณะที่ทั้งสองกำลังหัวเราะคิกคักพลางง่วนอยู่กับงานจนเพลินนั้น เสียงของรถม้า ตามด้วยเสียงฝีเท้าคนเร่งรีบก็ดังขึ้นที่หน้าประตู


 


 


ผู้มาสวมชุดเครื่องแบบชาววังสีมรกต พูดเสียงดังฟังชัด


 


 


“แม่นางหงเยียนอยู่หรือไม่ นายท่านเรียนเชิญ ให้พวกเรามารับแม่นางไปด้วยกันในตอนนี้เลย!”


 


 


หงเยียนลงจากบันไดมา โดยไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร


 


 


“มิบังอาจ ขอถามว่า นายท่านของท่านคือผู้ใด”


 


 


สวี่มู่เจินมองปราดเดียวก็รู้ว่า คนผู้นี้คือ ขันทีข้างกายของรัชทายาท จึงตกใจ ดึงเขาออกมาด้านข้าง


 


 


ขันทีผู้นี้ย่อมรู้จักสวี่มู่เจิน พอเห็นเขาอยู่ที่นี่ ก็ดีใจ รีบเล่าเรื่องที่รัชทายาทกำชับไว้ให้ฟังคร่าวๆ


 


 


สวี่มู่เจินจึงโล่งใจ แล้วค่อยหันไปลากหงเยียนเข้าหลังร้าน


 


 


ก่อนโน้มตัวลงพลางพูดเสียงต่ำ


 


 


“หงเยียน ญาติผู้น้องข้ากำลังอยู่ร่วมงานเลี้ยงในวัง แล้วมีคนแฉว่าเจ้ากับนางไปมาหาสู่กัน คิดจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าจึงต้องเข้าวังไปในตอนนี้” พูดถึงตรงนี้ ก็กระชิบต่อที่ข้างหูหงเยียน


 


 


วันก่อนหงเยียนบังเอิญเจอพี่น้องบนเรือสำราญ ได้ยินเรื่องหานเจียวมาบ้างเหมือนกัน ตอนนี้พอได้ยินว่ามีคนใช้เรื่องนี้มาหาเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่น ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ฟังและจดจำไว้ในใจ พลางพยักหน้า


 


 


พอสวี่มู่เจินพูดจบ ก็ครุ่นคิดสักพัก แล้วว่า “นอกจากช่วยญาติผู้น้องแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่จะพลิกสถานะให้กับตระกูลของเจ้า เจ้าจะได้เป็นไทเสียที แต่ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน เจ้าพอจะไหวไหม”


 


 


“ขอเพียงสามารถช่วยคุณหนูใหญ่ได้ เรื่องอื่น หงเยียนไม่สนใจ”


 


 


ญาติผู้น้องดูคนไม่ผิดจริงๆ


 


 


สวี่มู่เจินหวั่นไหว พลันจับหลังศีรษะหงเยียน ผลักเบาๆ เข้าหาใบหน้า ให้หน้าผากนางสัมผัสกับริมฝีปากตน คล้ายอยากให้นางผ่อนคลายลงบ้าง เนื่องจากบิดาและพี่ชายนางถูกราชสำนักประหารชีวิต เข้าวังคราวนี้ นางต้องรู้สึกเศร้าหมองและอึดอัดใจอยู่บ้าง


 


 


หงเยียนใจเต้นตึกตัก นางกับเขาตบตีกันมาตลอด บางครั้งยังลงมือกันจริงจังด้วย แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ผละออกจากเขาเหมือนครั้งก่อนๆ


 


 


รถม้าห้อตะบึง พาหงเยียนผ่านเข้าประตูวัง


 


 


ริมทะเลสาบเฉิงเทียน


 


 


หงเยียนถูกพามาเฝ้าเจี่ยไทเฮาตรงหน้า และคุกเข่าลงต่อหน้ากลุ่มคน


 


 


นางสวมชุดสีแดง มวยผมต่ำ แต่งหน้าอ่อนๆ หน้าตาฉลาดเฉลียว จากหัวจรดเท้าก็คือลูกสาวของบ้านๆ หนึ่งดีๆ นี่เอง อีกทั้งยังเปล่งรัศมีความกล้าหาญและเยือกเย็นแบบที่คุณหนูทั่วไปไม่มีออกมาด้วย


 


 


ดูอย่างไร ก็ไม่เหมือนนางโลม


 


 


ถ้าผ่านแวดวงคาวโลกีย์มาแล้วจริงๆ ก็น่าเสียดายยิ่ง


 


 


ขณะเจี่ยไทเฮากำลังนึกเสียดาย หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ก็เอ่ยปากขึ้น


 


 


“หม่อมฉันหงเยียน ลูกสาวนักโทษทหาร คารวะไทเฮา”


 


 


ลูกสาวนักโทษทหาร? หมายความว่าอะไร กลุ่มคุณหนูส่งเสียงฮือฮา


 


 


เจี่ยไทเฮาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทรงกลม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุ้ง จ้องมองไทเฮา เรื่องนี้ที่สุดแล้วจะดำเนินไปเช่นไร!

 

 

 


ตอนที่ 85-1 พระมาตุลาละอายใจและการเร่...

 

“ผู้คุกเข่าเป็นใครกันแน่” จูซุ่นเอ่ยขึ้นก่อนอย่างตกใจ “พูดให้ชัดเจน!”


 


 


หงเยียนก้มศีรษะจรดพื้น กว่าสามปีแล้ว ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่ตนจะได้พูดชื่อแซ่ของคนในตระกูลได้อย่างโจ่งแจ้งเสียที จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระบายความอึดอัดออกมา ค่อยรู้สึกสดชื่นสุดจะเปรียบ ต่อให้ต้องตายก็คุ้มค่า จึงพยายามข่มไม่ให้เสียงสั่นขณะพูด


 


 


“หงเยียน เป็นลูกสาวนักโทษทหาร มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ถังโจว หัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองถังโจว หงซื่อฮั่น คือบิดาของหม่อมฉัน!”


 


 


“ถังโจว? หงซื่อฮั่น?” จูซุ่นหายใจเข้า


 


 


ปีนั้น เมืองถังโจวถูกทหารแคว้นเหมิงหนูตีแตกในคืนเดียว ฝ่าบาทพิโรธมาก จึงส่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงพื้นที่ ตัดสินลงโทษผู้เกี่ยวข้อง หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบตามขั้นตอน ขุนนางฝ่ายบู๊ผู้รับผิดชอบการรบทั้งหมด รวมถึงแม่ทัพนายกอง รองแม่ทัพ ผู้บัญชาการทหารและนายพลเป็นต้น ล้วนต้องโทษประหารหรือเนรเทศออกนอกเมืองโทษฐานละเลยในหน้าที่ทั้งสิ้น หงซื่อฮั่น ขุนนางชั้นสี่ หัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองย่อมไม่มีข้อยกเว้น ส่วนคนในครอบครัวของนักโทษทุกคนก็ล้วนถูกเนรเทศไปยังทะเลทรายทางตอนเหนือ


 


 


แล้วเหตุใดลูกสาวหัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองถึงมาปรากฏตัวที่นี้ได้


 


 


หงเยียนกลืนน้ำตาแล้วเล่าต่อ


 


 


“ระหว่างทางเนรเทศ คนในบ้านหม่อมฉันทนทุกข์ทรมานไม่ไหว เสียชีวิตไปตามๆ กัน โดยไม่มีแม้แต่โลงใส่ศพ ศพของท่านแม่ น้องชายกับน้องสาวของหม่อมฉันถูกมัดรวมกันแล้วม้วนไว้ในเสื่อผืนเดียว ก่อนฝังรวมกันในหลุมเดียว ในที่ๆ ไม่รู้จัก บ้านสกุลหงเหลือหม่อมฉันเพียงคนเดียว เดิมทีนึกว่าตนเองคงทนไม่ไหวและ กลายเป็นวิญญาณล่องลอยในไม่ช้า แต่แล้ว ผู้คุมนักโทษเนรเทศคนหนึ่งสูญเงินไปมากจากการเล่นพนันระหว่างทาง จึงคิดหาเงิน โดยจับหม่อมฉันมาแต่งตัวเป็นสาวใช้ เปลี่ยนชื่ออักษรเขียนเป็นหงเยียนที่พ้องเสียงกัน แล้วขายให้พ่อค้าทาส ชีวิตหม่อมฉันจึงพลิกผันไปมา จนถูกขายให้กับเรือสำราญว่านชุนในเมืองหลวง”


 


 


“เดิมทีคิดว่าตนเองคงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอัปยศเช่นนี้ไปทั้งชาติ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอคุณหนูอวิ๋น ที่แนะลู่ทางทำกินให้ หม่อมฉันจึงมีโอกาสได้ดูแลร้านๆ หนึ่ง ชีวิตจึงมีความหวังขึ้น เพียงแต่ หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าตนเองมีโทษติดตัว จึงไม่กล้าเปิดเผยสถานะที่แท้จริงให้คุณหนูอวิ๋นทราบ พยายามปิดบังมาตลอด และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ วันนี้พอรู้ว่าประสบการณ์ที่แปดเปื้อนมลทินของหม่อมฉัน เกือบทำลายชื่อเสียงของคุณหนูอวิ๋น หม่อมฉันจึงทนไม่ไหว ต่อให้ต้องตายก็ต้องมาเป็นพยานให้ได้ว่า คุณหนูอวิ๋นไม่มีความผิด และลูกสาวนักโทษทหารมิได้มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย อย่างมากคุณหนูอวิ๋นก็เพียงต้องการช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งที่กำลังจะตายแต่อยากมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่ได้คิดอะไรเท่านั้น! ฝ่าบาททรงปรีชา ไทเฮาทรงรอบรู้ กฎหมายข้อไหนของต้าเซวียน ที่ลงโทษคนทำความดีบ้าง”


 


 


เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบขึ้นอีกครั้ง


 


 


หงเยียนคนนี้ ที่แท้ก็เป็นลูกสาวนายทหารคนหนึ่ง เพียงแต่ตกเป็นเหยื่อของพวกค้าประเวณี จนต้องมีชีวิตอยู่กับคาวโลกีย์


 


 


การที่ผู้คุมนักโทษเนรเทศคิดหากำไรส่วนตัวและเกิดอารมณ์หื่นระหว่างทาง จนต้องขายหรือขืนใจนักโทษหญิงนั้น เป็นเรื่องสกปรกเรื่องหนึ่งในแวดวงราชการ มีหรือที่เจี่ยไทเฮาจะไม่รู้ เพียงคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าเช่นนี้


 


 


จูซุ่นแอบมองไทเฮา เห็นทรงมีสีหน้าเรียบนิ่ง จ้องมองหงเยียน พลางว่า


 


 


“การถูกเจ้าหน้าที่ฉ้อฉลขายออกไปนั้น ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังมีความผิดติดตัว แต่เพราะต้องการปกป้องคุณหนูอวิ๋น จึงมาเปิดเผยสถานะของตัวเอง แล้วรู้หรือไม่ว่าต้องถูกส่งกลับไปยังทะเลทรายทางเหนือ เพื่อรับโทษทัณฑ์ที่เหลือ”


 


 


หงเยียนตอบเสียงดังฟังชัด “ถ้าราชสำนักตัดสินว่าบิดาของหม่อมฉันกับเหล่าทหารที่ถังโจวมีความผิดจริง หม่อมฉันก็เต็มใจที่จะรับโทษทัณฑ์ที่เหลือ โดยไม่เรียกร้องความเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้น! ทะเลทรายทางเหนือน่ากลัวแค่ไหน หรือจะสู้หลายปีมานี้ ที่ไม่ว่าโทษทัณฑ์ขนาดไหน หม่อมฉันก็ยังผ่านมาได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตรอดจากทะเลทรายทางเหนืออีก และได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนผู้บริสุทธิ์ในสักวันหนึ่ง!”


 


 


จูซุ่นกระพริบตา ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางเป็นหญิงแกร่งกระดูกเหล็กคนหนึ่งจริงๆ ขณะนึกก็ได้ยินหงเยียนพูดต่อ


 


 


“เพียงแต่ก่อนรับโทษ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งหม่อมฉันไม่อยากให้ไทเฮาถูกหลอกลวง และหวังว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทุกท่านจะเข้าใจ และเห็นว่าใครกันแน่ที่ไม่เคารพต่อคำสอนของการเป็นกุลสตรี!”


 


 


หงเยียนพูดพลางกวาดตามอง ก่อนหยุดอยู่ที่ร่างในชุดสีแดงเพลิงซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง และกำลังสั่นน้อยๆ ขณะถูกหงเยียนมอง


 


 


“พี่สาวสามคนซึ่งไปก่อความวุ่นวายที่บ้านสกุลอวิ๋นนั้น เป็นคนของเรือสำราญว่านชุนแบบเดียวกับหม่อมฉัน วันก่อนหม่อมฉันเจอพวกนางครั้งหนึ่ง บังเอิญได้ยินหานเจียวหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายพูดว่า หลังจากพวกนางกลับออกจากบ้านสกุลอวิ๋น ก็ได้จับเด็กจัดซื้อเครื่องสำอางมาถามสอบถาม ถึงได้รู้ว่า มีคนคิดกลั่นแกล้งคุณหนูอวิ๋นจริงๆ และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น”


 


 


สายตาที่จ้องมองร่างในชุดสีแดงสดเย็นชายิ่ง


 


 


“คือคุณหนูอวี้แห่งบ้านท่านสมุหนายกคนปัจจุบันนี่เอง! คุณหนูอวี้ใช้ให้เด็กรับใช้ในบ้านนำสิ่งที่ทำให้หานเจียวแพ้ผสมลงไปในครีมทาหน้า จากนั้นก็ใช้พวกหานเจียวเป็นเครื่องมือ ไปก่อกวนที่จวนรองเจ้ากรม หยิบยืมเหตุการณ์นี้ทำลายชื่อเสียงคุณหนูอวิ๋น! เพียงแต่ พี่สาวบนเรือสำราญที่น่าสงสารและโชคไม่ดี จะไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับลูกสาวท่านสมุหนายกได้อย่างไรกัน จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน! ซึ่งการนี้ ถ้าพูดว่าคุณหนูอวิ๋นเลอะมลทินของนางคณิกาชั้นต่ำ คุณหนูอวี้ก็เคยติดต่อกับคนบนเรือสำราญเช่นเดียวกันมิใช่หรือ ถ้าพูดว่าคุณหนูอวิ๋นถูกคนกลั่นแกล้ง ถูกบีบจนต้องรับนางคณิกาเข้าบ้าน เช่นนั้น คุณหนูอวี้ผู้มีสกุลรุนชาติและได้รับการสั่งสอนมา


 


 


เป็นอย่างดี เหตุใดถึงต้องใช้วิธีกลั่นแกล้งคนรอบข้าง ด้วยการไปที่เรือสำราญติดต่อกับคนบนเรือด้วยเล่า”


 


 


“เจ้า…พูดจาเหลวไหล ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของข้า!” ร่างเพรียวบางของอวี้โหรงจวงสั่นสะท้าน


 


 


พลางยื่นนิ้วเรียวยาวออกมาชี้หน้าหงเยียน ก่อนหันหาเจี่ยไทเฮา กัดริมฝีปากขมวดคิ้ว ใบหน้าเศร้าหมอง


 


 


“อย่าเชื่อนางนะเพคะ! หมูตายย่อมไม่กลัวน้ำร้อน นางเป็นลูกสาวนักโทษทหาร อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว แต่ต้องการช่วยเหลือผู้มีพระคุณด้วย ย่อมต้องพูดแต่งเติมอะไรต่อมิอะไรออกมาหมด!”


 


 


“พูดจาเหลวไหลหรือไม่นั้น ไทเฮาทรงตรวจสอบดูก็รู้ได้ จากเด็กจัดซื้อบนเรือสำราญ พี่สาวกลุ่มนั้น และเด็กรับใช้ในจวนสมุหนายก…หม่อมฉันเองไม่มีความสามารถพอที่จะบอกให้พวกเขามาเป็นพยาน ใช่ว่าทุกๆ คนจะใช้มือข้างเดียวปิดฟ้าอย่างคุณหนูอวี้ได้!” หงเยียนหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ


 


 


“คุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูอวี้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง คุณหนูอวิ๋นไม่เคยล่วงเกินคุณหนูอวี้ ซ้ำยังเคยช่วยเหลืออีก! เพียงแค่คุณหนูอวี้หมั่นไส้คุณหนูอวิ๋น จนเกิดความคับแค้นใจ บวกกับศักดิ์ศรีลูกสาวท่านสมุหนายกค้ำคอ ถึงได้ใช้วิธีที่โหดร้ายต่ำทรามมาทำลายชื่อเสียงของคนแบบนี้ หงเยียนจึงยิ่งต้องขอให้คุณหนูทุกท่านประสบกับโชคดี ต่อไปถ้าคบหาคุณหนูอวี้ เอาใจได้ถูกใจก็ดีไป แต่อย่าได้ล่วงเกินหรือขัดใจคุณหนูอวี้ท่านนี้แม้เพียงนิดเดียวเข้าล่ะ หาไม่แล้วแม้ตาย ก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายอย่างไร!”


 


 


หัวเราะอีกครั้ง ก่อนหันมองคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง


 


 


“ซึ่งยิ่งสนิทเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”


 


 


เสียงหัวเราะเบาๆ ที่เยือกเย็นเช่นนี้ ทำให้คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตขนลุกซู่ และขยับออกห่างจากอวี้โหรวจวงโดยปริยาย


 


 


อวี้โหรวจวงถลึงตามอง ทรวงอกพลางกระเพื่อมขึ้นลง


 


 


เหล่าคุณหนูต่างหันมองอวี้โหรวจวงด้วยสายตาที่ระมัดระวังเพิ่มขึ้น บ้างก็พยายามหลบตา กุลสตรีบ้านท่านสมุหนายกผู้นี้ประพฤติตนอยู่ในกรอบเสมอมา ทั้งอากัปกิริยาและคำพูดล้วนสูงส่งไม่เป็นรองใคร แต่ตอนนี้ภาพพจน์กลับถูกทำลายลงครึ่งหนึ่ง


 


 


หงเยียนไม่พูดมากนอกเหนือไปจากนี้อีก ประสานมือให้ไทเฮา พลางว่า


 


 


“ขอไทเฮาทรงตีตรวนลูกสาวนักโทษทหาร! เพื่อเนรเทศพร้อมผู้คุมได้ทุกเมื่อ สิ่งที่หม่อมฉันอยากทำก็ได้ทำหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเหงื่อเย็นหลั่งไหล ถ้ารู้ว่าหงเยียนเข้าวังเปิดเผยสถานะเพื่อช่วยตนเองแล้วล่ะก็ เมื่อครู่ไม่ว่ารัชทายาทจะพูดอย่างไร ตนต้องหยุดไว้ก่อนแน่! แต่ตอนนี้ ไหนเลยจะย้อนเวลากลับไปได้อีก หรือต้องนิ่งดูดายยืนมองหงเยียนรับโทษเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนืออีกครั้งจริงๆ?

 

 

 


ตอนที่ 85-2 พระมาตุลาละอายใจและการเร่...

 

เจี่ยไทเฮาพินิจพิเคราะห์หงเยียน


 


 


“เจ้ากลับเป็นผู้หญิงที่แปลกคนหนึ่ง การตอบแทนบุญคุณคนนั้น พออภัยให้ได้ แต่กฎหมายยากผ่อนปรน…เจ้าหน้าที่…นำตัวลูกสาวหงซื่อฮั่นไปขังไว้ในเรือนจำหลวงก่อน รอพระบัญชาจากฝ่าบาท ว่าจะเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนือ หรือจะให้รับโทษอย่างอื่นแทน”


 


 


ราชองครักษ์ซึ่งยืนอยู่ข้างที่ประทับจึงก้าวเข้าไป คล้ายจะจับตัวหงเยียนขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจ้องมองรัชทายาทอย่างดุดัน


 


 


แต่รัชทายาทกลับยกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นแตะริมฝีปาก ทำท่าส่งเสียงชูว์ อย่างไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย


 


 


และขณะที่หงเยียนถูกราชองครักษ์พยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมเสียงร้องห้ามของบุรุษ “ช้าก่อน!”


 


 


ชายวัยกลางคนๆ หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมสูง เสียบปิ่นไม้ท้อขวางมวยผมเล็กๆ ไว้ สวมชุดยาวสีฟ้าแบบนักพรต ท่าทางดุจเซียน ไม่เหมือนมนุษย์ที่แปดเปื้อนกิเลศ ยิ่งไม่เหมือนผู้สูงศักดิ์ในวัง ขณะเดินเข้ามา ทั้งราชองครักษ์ ขันที และคนในวังต่างพากันหลีกทางให้ ไม่เพียงทำความเคารพ ยังเปล่งเสียง…


 


 


พระมาตุลา!


 


 


พระมาตุลา? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย จึงมองรัชทายาทอีกครั้ง พี่น้องของเจี่ยงฮองเฮา? เสด็จลุงของรัชทายาทหรือ


 


 


ปกติเจี่ยงยิ่นไม่มางานแบบนี้นี่ พอเจี่ยไทเฮาเห็นก็ตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที จะเห็นได้ว่า คนในวังให้ความสำคัญกับพระมาตุลาเจี่ยงมาก


 


 


เจี่ยไทเฮาถามอย่างแปลกใจ “…เหตุใดพระมาตุลาเจี่ยงถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”


 


 


เป็นญาติทางฝั่งเจี่ยงฮองเฮาจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ หรือเขาก็คือเจี่ยงยิ่น ผู้ตรวจการเจี่ยง ที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็แยกตัวออกจากคนที่บ้าน ลาออกจากราชการ ขึ้นเขาไปเป็นนักพรต?


 


 


เจี่ยงยิ่นในวัยหนุ่มโด่งดังมากจริงๆ แม้ตอนนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นยังเล็ก ก็จำได้ว่า เขาทำงานเพื่อราชสำนักอย่างแข็งกร้าว โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตัดสินคดีอย่างเฉียบขาด จับดาบแล้วฟันลงทันที ไม่ชักช้าและใจอ่อนแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่า ขนาดญาติผู้น้องที่แก้ผ้าวิ่งเล่นด้วยกันมาแต่เด็กทำความผิด เขาก็ยังลงโทษตามกฏหมายและควบคุมการประหารด้วยตนเอง ในยามที่ราชสำนักมืดมนและอ่อนแอ เขานับเป็นลมแรงที่นำพาความสดชื่นมาให้


 


 


แต่พระมาตุลาท่านนี้กลับเหมือนดอกโบตั๋นที่บานเฉพาะช่วงกลางคืน โดยเมื่อสามปีก่อนจู่ๆ เขาก็ลาออกจากราชการไปบำเพ็ญเพียร


 


 


เหล่าคุณหนูที่เคยได้ยินพี่ป้าน้าอาทางบ้านพูดถึงเจี่ยงยิ่น ล้วนตะลึงงัน พระมาตุลามามาถวายพระ


 


 


พร เฉลิมพระชนมพรรษาไทเฮาในครั้งนี้ เพียงเพราะเห็นแก่หน้าฮองเฮาหรอก ซึ่งนอกจากพระราชพิธีในตอนเช้า


 


 


แล้ว เขาก็เอาแต่อยู่ในเรือนเหยาหวา มิได้ออกมาอีก แล้วตอนนี้ทำไมถึงบึ่งมาที่นี่ได้เล่า


 


 


ทว่า พอได้เห็นบุคคลในตำนาน กลุ่มคนก็อดไม่ได้ที่จะลอบสำรวจมองอย่างละเอียด และเห็นว่าอาจเป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นเวลาหลายปี ทำให้เจี่ยงยิ่นที่อายุใกล้สี่สิบ ดูอ่อนเยาว์กว่าคนในวัยเดียวกันมาก ดูๆ ไปอย่างมากก็ราวสามสิบเศษ ผิวขาวเนียน ไม่มีรอยย่นแม้แต่น้อย ผมดกดำ คิ้วเรียบนิ่ง ชุดนักพรตที่ใส่ก็ยิ่งขับให้ดูเท่ ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ผอมไปหน่อย…


 


 


ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็น อีกทั้งอยู่ริมน้ำ กลุ่มผู้สูงศักดิ์ล้วนสวมเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่ ถ้ายังไม่พอ ก็สวมผ้าคลุมไหล่ทับอีกชั้นหนึ่ง แต่เจี่ยงยิ่นสวมเพียงชุดนักพรตบางๆ ตัวเดียว ทำให้ร่างยิ่งดูผอมบาง ราวกับปลิวได้ทุกเมื่อ ถ้าถูกลมพัด…มิน่าเล่าถึงมีคำพูดที่ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรในป่าเขาไม่กลัวความหนาว  นักพรตเหล่านี้ไม่กลัวแม้ต้องเปลือยกายเดินท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บในฤดูหนาว แต่ก็อธิบายได้ว่า หลายปีมานี้ พระมาตุลาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและยืนหยัดจนผ่านมันมาได้จริงๆ!


 


 


บุรุษที่อยู่ตรงหน้า อย่างไรกลุ่มคนก็ไม่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับผู้ตรวจการเจี่ยงที่เฉียบขาดแข็งกร้าว มีพลังดุจจงขุยผู้ปราบผีในปีนั้นได้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าเจี่ยงยิ่นไม่ลาออกจากราชการก่อน ต้องเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่โด่งดังคับฟ้าแน่!


 


 


แม้ผ่านไปสามปี ในราชสำนักก็ยังมีกลุ่มคนไม่น้อยที่คลั่งไคล้และยกย่องในตัวเจี่ยงยิ่น โดยตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่เขาจะกลับมา ขนาดตอนนี้ ยังมีบารมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนั้นว่า รุ่งโรจน์เพียงใด!


 


 


แต่ในสายตาของกลุ่มคนในตอนนี้ เห็นชัดว่า ผู้รักการเป็นเซียนเข้ากระดูกดำอย่างเจี่ยงยิ่น ดวงตากำลังฉายแววไม่สบายใจ ขณะจ้องมองหงเยียน และทันใดนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าไทเฮา คารวะ แล้วพูดเข้าประเด็นอย่างเด็ดเดี่ยว


 


 


“เรียนไทเฮา หญิงสาวผู้นี้ไม่มีความผิด ไม่สามารถคุมตัวไปกักขังที่เรือนจำหลวง ยิ่งไม่สามารถเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนือ! ขอทรงปล่อยนางให้ออกนอกวัง ทางด้านฝ่าบาท ข้าพระองค์จะกลับเข้าไปอธิบายให้ทรงทราบเอง!”


 


 


เจี่ยงยิ่นในตอนนี้ออกจากตำแหน่งแล้ว พอเข้าวังมา จึงเรียกตนเองว่าข้าพระองค์เหมือนประชาชนทั่วไป แต่เจี่ยไทเฮายังรู้สึกถึงการอุทิศตนให้ราชสำนักของเขาในอดีต จึงยังคงเรียกด้วยความเคารพว่าพระมาตุลา


 


 


“พระมาตุลา” พอเจี่ยไทเฮาได้ยินคำพูดของเจี่ยงยิ่น ก็ตกใจ คิดว่า


 


 


หรือคนผู้นี้บำเพ็ญเพียรจนโง่งมงายไปแล้ว


 


 


“เจ้าไม่รู้หรอกว่า หญิงสาวผู้นี้คือลูกสาวหัวหน้านายทหารที่สมรภูมิถังโจว มีโทษเนรเทศติดตัวที่ยังชดใช้ไม่หมด แล้วจะให้ปล่อยไปเช่นนี้ได้อย่างไร!”


 


 


ครั้นเจี่ยงยิ่นได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ เป็นการหัวเราะที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก โดยเป็นความคิดคำนึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนเป็นความเศร้าเสียใจ ซึ่งอารมณ์แตกต่างกันมาก


 


 


“เรียนไทเฮา นักโทษทหารที่รอดชีวิตในสมรภูมิรบถังโจวเมื่อสามปีก่อน ข้าพระองค์คือผู้ตัดสินโทษพวก


 


 


เขาเอง ทำไมจะไม่รู้เล่า”


 


 


จูซุ่นเอะใจ หันมาพูดข้างหูไทเฮา “ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาททรงมีพระบัญชา ให้ส่งพระมาตุลาเป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบและตัดสินคดีที่ถังโจว”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคิดได้ในทันที เมื่อสามปีก่อนเกิดการสู้รบที่ถังโจว ก็พอดีกับสามปีที่เจี่ยงยิ่นปลีกวิเวกไปเป็นนักพรต อยู่กับธรรมชาติ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก…เช่นนี้ หรือการลาออกของเจี่ยงยิ่นกับการสู้รบที่ถังโจวเกี่ยวข้องกัน?


 


 


เจี่ยไทเฮาก็เดาได้บางส่วนเช่นเดียวกัน คิ้วที่ดกดำและเรียบจึงขมวดรวมกัน


 


 


ส่วนหงเยียน พอเห็นเจี่ยงยิ่นเดินเข้ามา และได้ยินเขาพูดปกป้องตนเอง ตลอดทั้งร่างก็สั่นเทิ้ม ตอนนี้พอมองหน้าเขาให้ชัดๆ อีกครั้ง สีหน้าก็ซีดขาว


 


 


ใช่ นางเคยเห็นดวงตาคู่นี้ ชายผู้นี้ล่ะ เป็นเขา ผู้ตรวจการเจี่ยง ผู้มาจากเมืองหลวงในปีนั้น!


 


 


เพียงแต่ ในปีนั้น ดวงตาคู่นี้ทั้งโหดร้ายและไร้ความปรานี ตัดสินคดีโดยไม่ฟังเหตุผลใด แต่ตอนนี้ ดวงตาคู่นี้กลับไร้ซึ่งความปรารถนา คล้ายมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!


 


 


ปีนั้น พอเจี่ยงยิ่นมา ถังโจวที่ถูกทหารเหมิงหนูเหยียบย่ำมาแล้วครั้งหนึ่ง กลับต้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตอีกครั้ง!


 


 


เหล่าทหารถังโจวที่ปกปักษ์รักษาป้อมปราการของเมืองไว้ไม่ได้ ถูกมัดตัวไว้อย่างแน่นหนา แล้วให้คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงเมือง พอผู้ตรวจการเจี่ยงออกคำสั่ง ศีรษะของแต่ละคนก็หลุดออกจากบ่า จนกลิ่นคาวโลหิตลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศนานหลายวัน ขนาดเดินบนท้องถนน กลับถึงบ้านถ้าไม่ล้างหน้า หน้าก็จะมีสีแดงจางๆ เคลือบไว้!


 


 


เกิดเป็นคนในครอบครัวทหารชายแดน หงเยียนรู้ว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง บิดาและพี่ชายอาจต้องเสียชีวิตในสมรภูมิรบ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนกันเอง


 


 


บิดากับพี่ชาย และเหล่าผู้บังคับบัญชาของบิดาได้สู้รบต่อต้านศัตรูมาก่อน แม้พ่ายแพ้ แต่ก็สู้อย่างสุดชีวิต แล้วเหตุใด เหตุใดราชสำนักถึงไม่ปล่อยพวกเขา


 


 


ตายก็ตาย ยังต้องโทษละเลยในหน้าที่ ไม่สนใจชีวิตประชาชนอีก! สำหรับนายทหารแล้ว นี่เป็นความอัปยศอดสูยิ่ง


 


 


ถังโจวเป็นเมืองชายแดน ถ้าศัตรูจากต่างแดนทางตอนเหนือต้องการบุกรุกต้าเซวียน โดยทั่วไปก็จะบุกจากที่นี่ก่อน ทหารประจำเมืองชายแดนจึงเหน็ดเหนื่อยสุด


 


 


แต่การลำบากตรากตรำมาสิบกว่าปี กลับจบสิ้นในวันเดียว ผู้ฝึกฝนยุทธวิธีการรบให้ทหารในค่ายไม่หยุดหย่อนคือบิดานาง ผู้ที่ต้องออกรบโดยมีลูกเมียและคนในครอบครัวคอยเป็นห่วงคือพี่ชายนาง แล้วเหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ถึงได้ทำให้พวกเขากลายเป็นทหารที่ละทิ้งหน้าที่ ไร้ระเบียบวินัยไปได้?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม