ชายาเคียงหทัย 83.2-85.2

ตอนที่ 83-1 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน

 

       เยี่ยหลีหยิบหนังสือรวมกลอนเล่มหนึ่งกลับห้องของตน แล้วนั่งลงอ่านหนังสืออย่างใจเย็น องค์หญิงอันซีได้เป็นรัชทายาทหญิงแห่งแคว้นหนานจ้าว นางย่อมมิใช่องค์หญิงเบาปัญญาไร้สมอง อย่างน้อยๆ คนที่นางส่งมาให้คอยจับตาดูนางนั้นก็ล้วนเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควiจึงไม่ทำให้แขกรู้สึกว่าถูกคุกคาม


 


เยี่ยหลีเองก็ขี้เกียจจะไปพูดมากอันใดในเรื่องนี้ หากองค์หญิงอันซีเชื่อทั้งหมดที่นางพูดสิ นางคงนึกสงสัยในสมองของรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว


 


           ”คุณหนู องค์หญิงอันซีออกจากตำหนักไปแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสองเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงต่ำ


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “องค์หญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา อย่าเข้าใกล้นางมากนักเดี๋ยวจะทำให้นางเข้าใจผิด”


 


องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว หันมองไปที่นอกประตูแล้วพูดว่า “นางมิได้เชื่อเราตั้งแต่แรก หากเป็นเช่นนี้แล้วพวกเรายังอยู่ที่นี่ จะไม่เปล่าประโยชน์และยิ่งทำให้ปลีกตัวออกไปได้ลำบากหรือขอรับ”


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงอันซีน่าจะรู้แน่ว่าพี่ใหญ่ไปที่ใด ถึงแม้ตอนนี้นางเองก็ยังหาพี่ใหญ่ไม่พบ แต่นางกลับดูไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพี่ใหญ่เลย พี่ใหญ่มาถึงหนานจ้าวแล้วเขาทำสิ่งใดบ้าง พอสืบได้หรือไม่”


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ข้าน้อยจะกลับมารายงานก่อนพรุ่งนี้เช้าขอรับ”


 


เยี่ยหลีพยักหน้า ขมวดคิ้วมองจ้องหนังสือในมือ แต่ความคิดในหัวนั้นกลับล่องลอยไปไกลเสียแล้ว พี่ใหญ่ดูจะมิได้ถูกคนจับตัวไป น่าจะคิดไปที่ใดที่หนึ่งด้วยตนเอง แต่หลังจากไปแล้วกลับมิได้กลับมาตามเวลาที่ได้บอกกับองค์หญิงอันซีไว้ ในหนานจ้าวนี้พี่ใหญ่มิได้มีคนที่เอื้อประโยชน์หรือศัตรูที่ใด เช่นนั้นก็น่าจะไปเพื่อองค์หญิงอันซี หากเป็นเช่นนั้น…ด้วยนิสัยคิดการณ์ทุกอย่างอย่างรอบคอบของพี่ใหญ่ที่ได้มาจากท่านลุงใหญ่แล้ว ก็ไม่น่าจะไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้เลย เบาะแสนั้น…อยู่ที่ใดกันนะ


 


           เยี่ยหลีหยิบกระดาษออกมาปูวางลงบนโต๊ะ พร้อมหยิบดินสอถ่านที่ใช้จนคุ้นมือออกมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ ในหัวนึกถึงเรื่องที่เมื่อคืนนางได้อดหลับอดนอนอ่านข้อมูลด้านต่างๆ ที่แสนจะซับซ้อนของหนานเจียงที่องครักษ์ลับนำมาให้ มือนางขยับเขียนตารางโครงสร้างการแบ่งอำนาจของหนานเจียงลงบนกระดาษ รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่มีอำนาจต่างๆ ภายในเมืองหลวงของหนานจ้าว ไม่นาน บนกระดาษที่ไม่เล็กนักแผ่นนั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายต่างๆ พร้อมตัวอักษรหน้าตาประหลาดเขียนอยู่เต็มไปหมด


 


องครักษ์ลับสองมองสิ่งที่นางวาดอยู่บนกระดาษซึ่งตนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่มิได้เอ่ยปากถาม เยี่ยหลีวางดินสอในมือลง ตัวเยี่ยหลีเองมองกระดาษแผ่นหนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง นางมิได้ตั้งใจที่จะกันมิให้ผู้ใดเห็นกระดาษแผ่นนี้ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่เขียนอยู่นี่ก็มิใช่ความลับอันใด ตนเพียงแค่นำข้อมูลที่ได้อ่านเมื่อคืนมาจัดเรียงใหม่อีกรอบหนึ่งเท่านั้น


 


นางมองกระดาษที่มีตัวอัษรของอย่างน้อยสี่แคว้นเขียนอยู่อย่างกระจัดกระจาย ในใจก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริงนางคิดถึงชีวิตอย่างเมื่อชาติที่แล้วของตนมาตลอด นางสามารถใช้ชีวิตอย่างพระชายาที่สงบเงียบเรียบร้อยได้แต่นางกลับไม่ชอบวิถีชีวิตเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อนางออกจากเมืองหลวงมานางจึงตั้งใจที่จะหลบหลีกความคุ้มครองของม่อซิวเหยา และเลือกที่จะทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงมากเช่นนี้


 


           เยี่ยหลีผลักความคิดที่ว้าวุ่นในหัวออกไป จ้องมองกระดาษบนโต๊ะอยู่เป็นนาน แล้วจึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงมิมีข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงเลย” ตารางที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกนางยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงที่เป็นบุคคลสำคัญของหนานเจียงอยู่อีกมากนัก ถึงแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงข้อมูลที่เอ่ยถึงผ่านๆ เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานและมิได้ต่างกับข้อมูลที่นางรับรู้เมื่อตอนอยู่ที่เมืองหลวงสักเท่าไร มีเพียงอายุและชื่อแซ่เท่านั้น แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากธิดาเพทแห่งหนานเจียงกำลังแก่งแย่งชิงอำนาจกับรัชทายาทหญิงแล้วล่ะก็ ก็ไม่น่าที่จะมีข้อมูลเพียงน้อยนิดเช่นนี้


 


           องครักษ์ลับสองกล่าวว่า “ธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพที่คอยปกปักรักษาหนานเจียง ซึ่งมีการเคารพบูชากันที่ตำหนักธิดาแทพซึ่งอยู่นอกเมืองหนานจ้าวไปห้าลี้ นอกจากช่วงที่มีงานใหญ่หรือเทศกาลสำคัญจริงๆ แล้ว ธิดาเทพจะไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใด และตามปกติคนที่จะได้ใกล้ชิดกับธิดาเทพก็มีเพียงสาวใช้ตำหนักเทพสามสิบหกคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปดูแลธิดาเทพเท่านั้น ธิดาเทพคนปัจจุบันชื่อซูม่านหลิน เข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุสิบห้าปี แปดปีมานี้เคยออกจากตำหนักเทพสิบครั้ง และล้วนสวมหน้ากากไปด้วยทุกครั้ง ว่ากันว่าทั้งหนานจ้าวนี้นอกจากธิดาเทพคนก่อนที่เข้าไปอยู่ยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรอีก”


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีทางเป็นไปได้ ธิดาเทพที่อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่มีสิทธิ์อบรมสั่งสอนธิดาเทพองค์ถัดไป เช่นนั้นแล้วผู้ใดเป็นคนอบรมสั่งสอนธิดาเทพกัน ตอนเด็กๆ ผู้ใดเป็นคนเลี้ยงดูนาง พ่อแม่ของนางเป็นใคร อีกอย่าง…หากไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของธิดาเทพแล้ว เช่นนั้น…ใครจะกล้ารับรองว่าคนที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นคือธิดาเทพตัวจริง”


 


           “เรื่องนี้…” องครักษ์ลับสองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


 


เยี่ยหลียกดินสอขึ้นเขียนตัวหนังสือสามสี่ตัวลงบนกระดาษ “ไปสืบข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์หนานจ้าวและธิดาเทพแห่งหนานเจียงให้ละเอียดอีกที อย่าให้พลาดรายละเอียดของเบาะแสใดๆ ไปได้”


 


           องครักษ์ลับสองเอ่ยรับคำ “ขอรับ ข้าน้อยจะรีบให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูสงสัยว่า…ธิดาเทพแห่งหนานเจียง…”


 


           เยี่ยหลีจับดินสอถ่านในมือเล่นพร้อมยิ้มน้อยๆ “หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงแทบไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใดเลยจริง จะไปคบค้าสมาคมกับหลีอ๋องได้อย่างไร หลายปีก่อนที่หลีอ๋องมาเป็นทูตที่หนานเจียง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เช่นนั้น…”


 


องครักษ์ลับสองตาเป็นประกาย “พวกเขาลอบพบกันอย่างลับๆ การจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหนานเจียงนั้นถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลีอ๋องไม่มีทางส่งผู้อื่นมาเจรจาแทนเป็นแน่ อีกอย่าง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็มิใช่คนที่จะพบหน้าได้ง่ายๆ เช่นนั้น”


 


เยี่ยหลีพยักหน้า นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมใช้ความคิด “ธิดาเพท…ฐานะเช่นนี้ช่างน่าประหลาดนัก อยู่ดีๆ ก็จับเอาเด็กสาวที่ไม่รู้ฐานะ ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ความสามารถมาดันให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่คนหนานเจียงให้ความเคารพบูชา คนหนานเจียงนี่เชื่อคนง่ายเกินไปหรือเปล่า”


 


องครักษ์ลับสองส่ายหน้า แล้วยักไหล่พูดว่า “หากเป็นที่ต้าฉู่ของพวกเรา การหาผู้ใดสักคนมาแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ต่อให้เป็นพระดำรัสของฮ่องเต้เกรงว่าก็คงมิมีผู้ใดเคารพ”


 


           “ตำแหน่งธิดาเทพแห่งหนานเจียงนี้ มีมานานพอๆ กับประวัติศาสตร์แคว้นหนานจ้าวหรือเปล่า”


 


           “ไม่ถือว่ายาวนานนักขอรับ ก่อนที่หนานจ้าวจะสถาปนาแคว้นขึ้นนั้น แต่ละชนเผ่าต่างมีการปกครองเป็นของตนเอง ซึ่งต่างไม่เคยมีตำแหน่งที่เรียกว่าธิดาเทพมาก่อน แต่ที่แน่นอนคือ หลังจากที่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นแล้ว ได้มีการให้บูรพาจารย์แห่งแคว้นในยามนั้น ที่ทำพิธีบูชาของราชวงศ์หนานจ้าว ให้เลือกธิดาเทพคนแรกขึ้นมา” องครักษ์ลับสองก้มหน้านึกย้อนไป


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ฟังดูแล้วหน้าที่ของธิดาเทพกับบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นดูไม่ต่างกันเท่าไรนัก ดังนั้นตั้งแต่มีตำแหน่งธิดาเทพปรากฏขึ้น หนานจ้าวถึงไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นอีกเลย”


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “การเป็นบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นมิได้เข้มงวดเหมือนของธิดาเทพ แต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั้นต่างกันไม่มากนัก เพียงแต่ สำหรับคนหนานเจียงแล้ว ธิดาเทพดูจะน่านับถือบูชากว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นมากนัก”


 


           “เมื่อเทียบกับตาเฒ่าที่ชอบไปไหนมาไหนไปทั่วแล้ว คนทั่วไปมักชื่นชมเด็กสาวที่สวยงามและลึกลับยากจะคาดเดาเสียมากกว่า” เยี่ยหลีพูดอย่างเห็นด้วย


 


           เช้าวันต่อมา เมื่อเยี่ยหลีกินอาหารที่สาวใช้ยกมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพาองครักษ์ลับสองออกไปด้านนอก แต่กลับพบเข้ากับองค์หญิงอันซีที่ดูเตรียมจะออกไปด้านนอกเช่นเดียวกัน


 


“คุณหนูฉู่ นี่เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ” เยี่ยหลีเดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้มอย่างคาดหวังและดูมีความกังวลใจ


 


“พี่องค์หญิง มีข่าวคราวของพี่ชิงเฉินแล้วหรือไม่”


 


องค์หญิงอันซีส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ขอโทษด้วย คุณหนูฉู่ ยามนี้ยังมิมีข่าวคราวของคุณชายชิงเฉินเลย”


 


เยี่ยหลีก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร พี่ชิงเฉินจะต้องไม่เป็นไร ข้ากับหลินหานจะออกไปหาพี่ชิงเฉิน จะต้องหาเขาพบในเร็ววันแน่นอน”


 


           “คุณหนูฉู่อยู่ที่หนานจ้าว ไม่คุ้นทั้งสถานที่และผู้คน คิดจะไปหาที่ใดหรือ”


 


           เยี่ยหลีบิดนิ้วมือไปมาอย่างทำอันใดไม่ถูก แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าจะลองหาไปทั่วๆ ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอาจหาพบก็ได้”


 


องค์หญิงอันซีอดยิ้มออกมาไม่ได้ “หากคุณหนูฉู่รู้สึกเบื่อ จะเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองก็ยังได้ หรือหากมีที่ใดที่อยากไป ก็บอกให้คนในตำหนักมาช่วยนำทางให้ก็ได้เช่นกัน แต่ในหนานเจียงนี้มีสถานที่ที่มีอันตรายอยู่หลายแห่ง คุณหนูฉู่อย่าได้ไปเสี่ยงอันตรายเลย จะทำให้คุณชายชิงเฉินเป็นกังวลเปล่าๆ”


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก ท่านจะหาพี่ชิงเฉินพบโดยเร็วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นข้าเขียนจดหมายไปหาท่านลุงสวีจะดีกว่า พี่ชิงเฉินบอกว่าท่านลุงสวีเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้านี้ ท่านลุงจะต้องมีทางหาพี่ชิงเฉินพบแน่ๆ”


 


           “ท่านหงอวี่หรือ” องค์หญิงอันซีอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบาขึ้น


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าหนักๆ “พี่องค์หญิงก็รู้จักท่านลุงสวีหรือ พี่ชิงเฉินบอกท่านใช่หรือไม่”


 


           องค์หญิงอันซียิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าเรียบๆ “คุณหนูฉู่วางใจเถิด ข้ารับประกันว่าจะต้องหาตัวคุณชายชิงเฉินเจอในเร็ววันนี้แน่นอน หนทางในหนานเจียงนั้นยากลำบากนัก อย่าทำให้ท่านหงอวี่เป็นกังวลเลย มิเช่นนั้นคุณชายชิงเฉินหากคุณชายชิงเฉินรู้เข้าคงไม่สะบายใจเช่นกัน จริงหรือไม่”


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความสับสนอยู่พักใหญ่แล้วจึงพยักหน้า “พี่องค์หญิงพูดถูก”


 


           เมื่อมององค์หญิงอันซีเดินจากไปแล้ว เยี่ยหลีก็เดินออกจากประตูใหญ่ตามมาด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มอ่อนๆ “ให้ใครสะกดรอยตามองค์หญิงอันซีที”


 


           “ขอรับ”


 


           ภายในโรงเตี๊ยม หานหมิงซีเดินลงมายังห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบอย่างคนเพิ่งนอนตื่นใหม่ๆ ท่าทางเกียจคร้านแต่สง่างาม ทั้งยังมากด้วยเสน่ห์แตกต่างจากคนหนานเจียงทั่วไป จึงดึงดูดสายตาของทุกคนภายในโรงเตี๊ยมได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าหานหมิงซีมิได้สนใจสายตาผู้อื่นที่มองมา เขาเดินลงมาอย่างเกียจคร้าน พร้อมเรียกเสี่ยวเอ้อที่เดินคอยรับใช้อยู่ในห้องโถงมาถามความว่า “เห็นคุณชายสองคนที่มาพร้อมกับข้าหรือไม่”


 


เสี่ยวเอ้อดูมีท่าทีงงงวย ก่อนรีบตอบว่า “เรียนคุณชาย คุณชายสองท่านนั้นออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ ใช่สิ มีจดหมายฉบับหนึ่งถึงคุณชายด้วยขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบวิ้งไปยังโต๊ะด้านหน้า หยิบจดหมายจากหลงจู๊มาส่งให้หานหมิงซี


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น รับจดหมายมากวาดตาอ่าน แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “จวินเหวยนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย มาทิ้งข้าหนีไปอย่างนี้ได้อย่างไร เหอะ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ข้าหาไม่พบ” เขาพูดพร้อมกับม้วนจดหมายในมือแล้วยกขึ้น ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บจดหมายกลับเข้าแขนเสื้อไป เขาเดินออกไปด้วยความโกรธ เหลือเพียงแขกที่ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้อยู่ภายในโรงเตี๊ยม 

 

 


ตอนที่ 83-2 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน

 

ยามนั้น ภายในห้องส่วนตัวในภัตตาคารที่เปิดโดยคนต้าฉู่ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยม เยี่ยหลีในเครื่องแต่งกายอย่างชายหนุ่มกำลังนั่งจิบชาสบายๆ อยู่ริมหน้าต่าง ผู้ติดตามก็เปลี่ยนจากองครักษ์ลับสองเป็นองครักษ์ลับสามเรียบร้อยแล้ว นางมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันได้เห็นหานหมิงซีที่เดินงอนตุ๊บป่องออกมาพอดี


 


เยี่ยหลีมองหานหมิงซีที่ค่อยๆ เดินตามฝูงชนไกลออกไปอย่างนึกขัน แล้วจึงถามว่า “เมื่อวานหานหมิงซีทำอันใดบ้าง”


 


องครัษก์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “คุณชายหานออกไปเมื่อตอนเที่ยงคืนของวันมะรืน จนเมื่อเที่ยงคืนเกือบหนึ่งเค่อของเมื่อวานถึงได้กลับเข้ามาขอรับ คิดว่าน่าจะไปที่จุดนัดพบของเทียนอี้เก๋อในหนานจ้าวขอรับ พวกเรากับเทียนอี้เก๋อต่างไม่เคยข้องเกี่ยวกันมาก่อน คุณชาย…จะให้ไปสืบหรือไม่ขอรับ”


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า พูดว่า “ไม่ต้องหรอก ขอเพียงเขาไม่ขัดขวางพวกเราเป็นพอ คอยฟังข่าวจากทางองครักษ์ลับสี่ด้วย อย่าให้หานหมิงเย่ว์เข้าถึงตัวพวกเราทั้งๆ ที่พวกเรายังไม่รู้ตัวได้”


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “คิดไปคิดมาแล้วคุณชายก็มิได้ถือว่าไปเล่นงานอันใดเทียนอี้เก๋อ คุณชายหานเองต่างหากขอติดตามมาที่หนานเจียงด้วย นายใหญ่ของเทียนอี้เก๋อไม่น่าจะมาหาเรื่องพวกเราถึงจะถูก”


 


           “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ข่าวจากทางเทียนอี้เก๋อยังส่งมาตามเวลาหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม


 


           “มีขอรับ ข้าน้อยลองเทียบข่าวที่ได้จากเทียนอี้เก๋อและข่าวของเราเองแล้ว ต่างกันไม่มากนัก” องครักษ์ลับสามพูดตอบ


 


เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “เช่นนั้นก็ดี…หากว่ายังมีผู้ใดที่สามารถปิดบังเรื่องราวจากองครักษ์ลับและเทียนอี้เก๋อพร้อมๆ กันได้แล้ว เช่นนั้นต่อให้พวกเราติดกับก็ไม่ถือว่าผิดนัก อีกเดี๋ยวให้แจ้งทางเทียนอี้เก๋อว่าพวกเราต้องการข้อมูลธิดาเทพแห่งหนานเจียง ข้าบอกหานหมิงซีไว้ว่าข้าต้องการดอกโยวหลัวหมิง ยามนี้หากบอกเขาว่าต้องการข้อมูลของธิดาเทพแห่งหนานเจียง เขาน่าจะไม่สงสัยอันใด”


 


           “ขอรับ คุณชาย ฝั่งบัณฑิตขี้โรคนั้นก็เริ่มได้ข่าวแล้ว นายท่านเหลียงน่าจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ท่านได้…”


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจ ไม่คิดว่ามาถึงหนานจ้าวได้ไม่เท่าไรก็จะได้ยินข่าวการหายตัวไปของพี่ใหญ่ ทำให้ตอนนี้นางไม่เพียงไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือข้อชี้แนะจากสวีชิงเฉินแล้ว ยังต้องหาทางรู้ถึงที่อยู่ของสวีชิงเฉินให้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดอีกด้วย ทำให้นางไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้ แต่ฟากของบัณฑิตขี้โรคนั้นนางจะไม่สนใจเลยก็ไม่ได้


 


“นายท่านเหลียงมิใช่คนที่มีวิทยายุทธ์ อีกอย่างด้วยวิธีของบัณฑิตขี้โรคแล้ว เกรงว่าต่อให้เป็นคนที่มีวิทยายุทธ์ก็คงทนได้ไม่นานเช่นกัน” ก่อนหน้านี้ที่บัณฑิตขี้โรคกลัวว่านายท่านเหลียงจะตาย มาตอนนี้ก็แทบไม่เหลือร่องรอยของความกลัวนั้นแล้ว ตอนนี้ของชิ้นนั้นก็อยู่ในมือเขา ต่อให้นายท่านเหลียงตายโดยไม่ยอมปริปาก เขาก็เพียงต้องเสียเวลาเพิ่มอีกเล็กน้อยในการหาเบาะแสให้พบเท่านั้น แต่หากไม่มีของชิ้นนั้น ตัวนายท่านเหลียงเองก็คงยากที่จะตอบเรื่องนี้ได้


 


           “พวกเขาอยู่ที่ใด”


 


           “นอกเมืองขอรับ”


 


           เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย “หาตัวพี่ใหญ่ให้เจอสำคัญกว่า ให้องครักษ์ลับจับตาดูพวกเขาไว้ให้ดีๆ หากจำเป็นจริงๆ ให้เขาช่วยคนหลัวอีปู้พวกนั้นพานายท่านเหลียงออกมาก็ได้ และอย่าได้ให้พวกเขาบอกวิธีการได้ดอกปี้ลั่วแก่บัณฑิตขี้โรคเป็นอันขาด อย่างน้อยๆ ก็ห้ามบอกก่อนที่พวกเราจะพอมีเวลา หากไม่ไหวจริงๆ คงต้องหาทางแย่งมา หากแย่งมาไม่ได้ก็ทำลายดอกปี้ลั่วเสีย อย่าให้บัณฑิตขี้โรคได้ไปเป็นอันขาด”


 


           องครักษ์ลับสามพูดด้วยความสับสนว่า “ดอกปี้ลั่วไม่แน่ว่าอาจช่วยรักษาโรคของท่านอ๋องได้ หากทำลายทิ้งเสีย…”


 


           “ดังนั้นจึงต้องรีบไปนำมาอย่างไร แต่หากเอามาไม่ได้จริงๆ ก็จะให้บัณฑิตขี้โรคได้ไปไม่ได้ เจ้าคิดว่าหากได้ดอกปี้ลั่วไป คนแรกที่เขาคิดจะจัดการคือผู้ใด” เยี่ยหลีถามขึ้นยิ้มๆ


 


           “ท่านอ๋องหรือขอรับ”


 


           เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง “บัณฑิตขี้โรคเป็นหัวหน้าหน่วยสามของสำนักเยี่ยนอ๋อง หากเขาคิดจะทำอันใดย่อมสามารถส่งลูกน้องในสำนักเยี่ยนอ๋องไปทำแทนได้ แต่ครานี้เขากลับเดินทางมาหนานเจียงเพียงคนเดียว ทั้งยังมิได้ใช้อิทธิพลใดๆ ของสำนักเยี่ยนอ๋อง จะด้วยเพราะเหตุใดกัน นั่นต้องเป็นเพราะหัวหน้าหน่วยอีกสองคนของสำนักเยี่ยนอ๋องคงไม่เห็นด้วยเป็นแน่ ปีนั้นที่บัณฑิตขี้โรคป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถึงแม้ยามนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหลือเพียงครึ่งชีวิตเท่านั้น เขาจะไม่คิดแค้นได้หรือ แต่สำนักเยี่ยนอ๋องได้ให้คำสัตย์แก่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วว่าจะไม่มีความขัดแย้งต่อกันอีก ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งตนเอง…” เยี่ยหลีนึกถึงสีหน้าเ**้ยมอำมหิตของบัณฑิตขี้โรคตอนที่พูดถึงนรกและสวรรค์ของดอกปี้ลั่วแล้ว อดรู้สึกใจสั่นเนื้อเต้นไมได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้นางถึงขั้นคิดว่าจะลงมือฆ่าบัณฑิตขี้โรคก่อนดีหรือไม่ แต่ก็เป็นความคิดเพียงชั่ววูบเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยฐานะของบัณฑิตขี้โรคหรือฐานะใดๆ ก็ตาม ณ ตอนนี้นางมิอาจฆ่าเขาได้ อย่างน้อยเขาไม่อาจตายด้วยน้ำมือของพระชายาติ้งอ๋อง


 


           “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไม่ได้ทางให้บัณฑิตขี้โรคได้ดอกปี้ลั่วไปแน่นอนขอรับ”


 


           ณ ตำหนักลึกลับแห่งหนึ่งในหนานจ้าว พื้นและเสาภายในตำหนักปูด้วยหินอ่อนที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีตงดงาม ประดับตกแต่งด้วยเครื่องทองฝังอัญมณีหลากสี พร้อมด้วยไข่มุกราตรีที่เปล่งประกายแวววาวที่ให้แสงสว่างแทนแสงเทียน ผ้าลูกไม้ฝูหรงที่ล้ำค้าที่สุดของหนานเจียงแขวนอยู่เป็นชั้นๆ เบื้องหลังผ้าม่านนั้น มีชายหนุ่มในชุดสีขาวท่าทางสง่างามกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบ ภายใต้แสงสว่างอันอ่อนนุ่มของไข่มุกราตรี ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูปเปล่งประกายออกมาน้อยๆ ทำให้ตัวเขายิ่งดูเยือกเย็นและสงบนิ่งยิ่งขึ้น


 


           ประตูหินหนักๆ บานใหญ่ถูกผลักเปิดออก หญิงสาวรูปร่างโปร่งบางค่อยๆ เดินช้าๆ เข้ามา ชุดของหญิงสาวไม่เหมือนกับชาวหนานเจียงตามธรรมเนียมดั้งเดิม นางอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเหลืองสดลวดลายหงส์ ชายเสื้อคลุมกรุยกรายลากมาตามพื้น ผมสลวยรวบขึ้นเรียบๆ มีเครื่องประดับหินห้าสีเสียบแซมอยู่บนเส้นผม หน้ากากทองที่จัดทำขึ้นอย่างปราณีตปิดบังใบหน้าอยู่อย่างมิดชิด หน้ากากที่ปราณีตงดงามนั้นดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ซึ่งขับให้ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นยิ่งดูลึกลับยิ่งขึ้น หญิงสาวค่อยๆ เดินอย่างงามสง่าเข้ามา มองชายหนุ่มในชุดสีขาวแล้วจึงหัวเราะขึ้นเบาๆ “คุณชายชิงเฉิน ท่านไม่คิดจะมองข้าสักหน่อยหรือ ขอเพียงท่านพยักหน้า ข้าก็พร้อมที่จะถอดหน้ากากออกให้ท่านดูทันที”


 


           สวีชิงเฉินวางหนังสือในมือลง ถอนหายใจน้อยๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่าน…งดงามกว่าหญิงสาวในภาพยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่เหล่านั้นหรือ”


 


           ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่สวีชิงเฉินมีปฏิกิริยาต่อคำถามนี้ของนาง หญิงสาวจึงดูอึ้งไปเล็กน้อย “ท่านชอบหญิงสาวของต้าฉู่หรือ ยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ท่านชอบคนใดเป็นพิเศษหรือ ใช่ซูจุ้ยเตี๋ยที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่หรือไม่ ดูเหมือนนางจะตายไปแล้วมิใช่หรือ”


 


สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ซูจุ้ยเตี๋ย…นางเป็นหญิงงามที่ไม่เลวเลยจริงๆ หากท่านงดงามไม่เท่านางก็คงไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าท่านหรอก”


 


           “ท่าน” ดวงตาของหญิงสาวมีประกายขุ่นเคือง แต่ก็กลับเย็นลงอย่างรวดเร็ว นางหัวเราะหึหึแล้วพูดว่า “คุณชายชิงเฉินจะไม่ช่างเลือกไปหน่อยหรือ เท่าที่ข้ารู้เด็กสาวที่เป็นคู่หมั้นของท่านรูปร่างหน้าตาไม่เลวก็จริง แต่…ดูเหมือนจะยังไม่ถือว่าเป็นหญิงงามกระมัง”


 


สวีชิงเฉินหลุบตาลง ปกปิดประกายประหลาดในแววตา แต่หญิงสาวกลับถือเอาท่าทีนั้นเป็นการยอมรับของสวีชิงเฉิน นางส่งเสียงเหอะเบาๆ “จะว่าไปคุณหนูฉู่ท่านนั้นดูจะมีใจรักท่านอย่างลึกซึ้ง ถึงขั้นเดินทางมาเป็นพันๆ ลี้มายังหนานเจียงโดยมีองครักษ์ติดตัวมาเพียงคนเดียว หากมองจากข้อนี้ ดูคุณหนูฉู่จะมิค่อยเหมือนหญิงสาวจงหยวนสักเท่าไร”


 


           “นางอยู่ที่ใด” สวีชิงเฉินเอ่ยถามขึ้น


 


           “หึหึ เมื่อวานนางถึงขั้นบุกเข้าไปยังตำหนักองค์หญิงอันซี รัชทายาทหญิงของพวกเราเชียวนะ ในเมื่อองค์หญิงอันซีกับคุณชายเป็นสหายรักกัน ท่านคงต้อนรับดูแลคู่หมั้นของคุณชายเป็นอย่างดีเป็นแน่”


 


หญิงสาวผู้นั้นยกมือปิดปากหัวเราะ “คุณชายชิงเฉิน จะไม่พิจารณาข้อเสนอของข้าสักหน่อยหรือ หากสำเร็จ…ท่านกับข้าจะได้ร่วมกันแบ่งปันผืนดินในใต้หล้านี้เชียวนะ”


 


สีหน้าสวีชิงเฉินราบเรียบ พูดเสียงเบาขึ้นว่า “หากข้าน้อยคาดเดาไม่ผิด สามปีก่อน แม่นางได้ให้คำสัญญาที่จะร่วมกันเบ่งปันผืนดินในใต้หล้ากับหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ไว้แล้ว”


 


หญิงสาวสะบัดแขนเสื้อพร้อมหัวเราะอย่างดูแคลน “ม่อจิ่งหลีน่ะหรือ เขาจะเทียบกับคุณชายได้อย่างไร ไม่สิ…ข้าเชื่อว่าในใต้หล้านี้ นอกจากติ้งอ๋องแล้วมิมีผู้ใดสามารถทัดเทียมท่านได้อีก น่าเสียดายก็เพียง…ติ้งอ๋องได้กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพไปเสียแล้ว คุณชายจึงเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้านี้ และก็เป็นชายหนุ่มที่เหมาะสมกับข้ามากที่สุดอีกด้วย”


 


           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ขอโทษด้วยจริงๆ ด้วยกฎการแต่งงานของตระกูลสวี ลูกหลานของตระกูลสวีมิอาจละโมบในความมั่งคั่งร่ำรวยและอำนาจอันหอมหวานได้ ชาตินี้ข้าน้อยขอแต่งงานกับคนเพียงคนเดียวก็พอแล้ว แม่นาง ท่านจับข้าขังไว้เช่นนี้เกรงว่าคงมิมีประโยชน์ เมืองหลวงของหนานจ้าวมิใช่เมืองใหญ่อันใด การที่คนจะหาที่นี่พบ เป็นเพียงเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”


 


หญิงสาวยืนพิงเสาหินอ่อนแล้วหัวเราะด้วยความขบขัน “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ ครึ่งปีมานี้ท่านเสนอความคิดแย่ๆ แทนอันซีมาตั้งเท่าไร ทำข้าเสียเรื่องไปมากน้อยเพียงใด ท่านมิได้ชื่นชอบหญิงสาวจงหยวนหรือ หรือว่าข้าเหมือนหญิงสาวจงหยวนสู้อันซีมิได้”


 


สวีชิงเฉินส่ายหน้า แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป พร้อมพูดว่า “หากท่านคิดจะฆ่าข้าก็คงฆ่าไปนานแล้ว อีกอย่าง…ฆ่าข้าแล้วท่านจะได้ประโยชน์อันใดหรือ”


 


           “ถูกแล้ว” หญิงสาวได้แต่ถอนใจ “หากฆ่าท่านเรื่องราววุ่นวายคงตามมาอีกมากนัก ตระกูลสวีแห่งจงหยวน ไม่แน่ว่าตำหนักติ้งอ๋องยังต้องมาหาเรื่องข้าด้วย แล้วยังรัชทายาทหญิงของพวกเราอีก คงคิดตามหาข้าอย่างเต็มกำลัง เพียงแต่…หึหึ ถึงแม้ข้าจะฆ่าท่านไม่ได้แต่ก็สามารถจับท่านขังไว้ที่นี่ได้ เพียงเท่านี้ท่านก็คงทำข้าเสียเรื่องไม่ได้แล้ว เมื่อไม่มีท่านคอยทำให้เสียเรื่อง ไม่นาน อันซีที่แสนจะเย่อหยิ่งและน่ารังเกียจนั่นคงได้ตายอย่างน่าทุเรศยิ่งขึ้น แน่นอนว่า…รวมถึงคู่หมั้นที่แสนน่ารักของท่านด้วย”


 


           “ท่านอย่าได้ทำอันใดนางเชียว” ดูเหมือนสวีชิงเฉินจะถูกทำให้โกรธเสียแล้ว เขาจึงเอ่ยเตือนเสียงเย็นขึ้น


 


           “เอ๋ ท่านเป็นห่วงนางจริงๆ หรือนี่” หญิงสาวมองสวีชิงเฉินด้วยความประหลาดใจ “เด็กสาวที่แค่มองก็รู้ว่ายังไม่โตนั่น ท่านชอบนางเข้าไปได้อย่างไร”


 


สวีชิงเฉินพูดเรียบๆ ว่า “ขอเพียงนางเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”


 


หญิงสาวจ้องหน้าเขา “ท่านหมายความว่าไม่ว่านางจะเป็นคนเช่นไร ขอเพียงนางเป็นคู่หมั้นของท่านท่านก็จะเป็นห่วงอย่างนั้นหรือ”


 


สวีชิงเฉินหัวเราะ “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ ในเมื่อนางจะเป็นภรรยาข้าในอนาคต หากข้าไม่เป็นห่วงนางแล้วจะเป็นห่วงผู้ใดเล่า”


 


           “ท่าน…ดี ข้าจะจัดการนางให้ท่านดู” หญิงสาวพูดพร้อมยิ้มเย็น จ้องหน้าสวีชิงเฉินด้วยความโกรธก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


 


           เมื่อได้ยินเสียงประตูหินอันหนักอึ้งปิดลง สวีชิงเฉินก็วางหนังสือในมือลง ดวงตาคมค่อยๆ หลุบลง “คู่หมั้น…คุณหนูฉู่…หลีเอ๋อร์หรือ…” 

 

 


ตอนที่ 83-3 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน

 

ตกดึก ภายในตำหนักองค์หญิงอันซีเงียบสงบ มีเพียงไฟในห้องหนังสือที่ยังสว่างอยู่น้อยๆ ใบหน้าคมเข้มขององค์หญิงอันซีมีแววเหนื่อยล้า คิ้วเรียวขมวดมุ่นมองคนตรงหน้า “ชิงเฉินยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ”  


 


ชายหนุ่มส่ายหน้าพูดเสียงขรึมว่า “ยังพ่ะย่ะค่ะ”  


 


องค์หญิงอันซีพูดด้วยความร้อนใจว่า “เกิดอันใดขึ้น หรือว่านางยังไม่เชื่อว่าพวกเราคิดว่าสวีชิงเฉินหายตัวไปจริงๆ อีก” 


 


           ชายหนุ่มพยักหน้า “เป็นไปได้มากพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้พวกเราจะส่งคนออกค้นหาคุณชายชิงเฉินไปทั่ว แต่เป็นไปได้มากที่นางจะคิดว่าพวกเราร่วมมือกับคุณชายชิงเฉินเล่นละครตบตานางพ่ะย่ะค่ะ” 


 


           “หวังว่าจะไม่เกิดอันใดขึ้นกับชิงเฉิน” องค์หญิงอันซีปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วนวดคลึงหน้าผากที่ปวดตุบๆ เบาๆ “พวกเราเสียเวลากันไปมาก กว่าจะทำให้สถานการณ์กลับดีขึ้นมาเล็กน้อยได้ หากจะมาล้มเหลวในก้าวสุดท้ายเอาตอนนี้ เกรงว่า…ฝั่งเสด็จพ่อ…”  


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทยังคงไม่ไว้พระทัยในองค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”  


 


องค์หญิงอันซียิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อเพิ่งมีพระชันษาเพียงสี่สิบปี กำลังอยู่ในวัยที่แข็งแรง ต่อให้ท่านวางพระทัยในพวกเราก็คงมิให้การสนับสนุนพวกเราอยู่ดี ท่านจำเป็นจะต้องมีอำนาจอีกทางหนึ่งที่คอยกดรัชทายาทหญิงอย่างข้าไว้” หากไม่มีท่านพ่อคอยลอบถือหาง ครึ่งปีมานี้พวกนางจะพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร ทุกครั้งที่นางจะจับหางคนผู้นั้นได้ นางก็จะหลบหนีไปได้ทุกครั้ง “ตอนนี้ตราทหารก็ไปอยู่ในมือนางแล้ว หากเรามิได้ตราทหารกลับคืนมา จะทำอันใดก็คงไม่มีประโยชน์” 


 


           องค์หญิงอันซีไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า เสด็จพ่อที่ทรงพระปรีชาสามารถมาโดยตอลด เหตุใดจะต้องถือหางผู้หญิงผู้นั้นให้ได้ แต่นางไม่สามารถทนเห็นนางทำเรื่องที่ประสงค์ร้ายต่อหนานจ้าวได้ ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของนางผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว 


 


           “ยามนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่ได้ พอสืบความได้หรือไม่” องค์หญิงอันซีเอ่ยถามขึ้น “หากไม่ได้จริงๆ ก็เชิญให้คุณชายกลับออกมาเถิด นี่เป็นเรื่องภายในของหนานจ้าว จะทำให้เขาลำบากไปด้วยไม่ได้” 


 


           ชายหนุ่มส่ายหน้า “เกรงว่าคงมิได้ ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะได้รับข่าวสารจากคุณชายชิงเฉินอยู่เป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งคุณชายชิงเฉินจะเป็นฝ่ายให้คนติดต่อพวกเรามา พวกเราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าคุณชายชิงเฉินอยู่ที่ใด” 


 


           “สารเลว” องค์หญิงอันซีเอ่ยสบถขึ้น 


 


           “มีผู้บุกรุก!” มีเสียงร้องดังขึ้นจากทางด้านนอก องค์หญิงอันซีรีบลุกยืนขึ้น  


 


ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างดึงมีดที่พกไว้ข้างกายออกมาพร้อมผลักประตูเปิดออกทันที ก่อนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ไปทางเรือนรับรองแขกขอรับ”  


 


องค์หญิงอันซีพูดว่า “เรือนแขกมีเพียงคุณหนูฉู่พักอยู่ ผู้บุกรุกจะเข้าไปหานางทำไม รีบไปดูเร็วเข้า” พูดจบก็รีบนำหน้าออกวิ่งไปยังเรือนแขกทันที ชายหนุ่มรีบปิดประตูลงแล้ววิ่งตามไป  


 


ภายในห้องหนังสือที่กลับเงียบสงบลงอีกครั้ง หน้าต่างบานหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ถูกคนผลักให้เปิดออกพร้อมกับเงาดำเงาหนึ่งที่หมุนตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำเป็นดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง ร่างในชุดดำนั้นรีบเดินไปยังข้างโต๊ะหนังสือพลิกดูม้วนกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ อ่านอยู่รอบหนึ่งเมื่อดูไม่มีประโยชน์อันใดจึงย้ายไปค้นบนชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลังต่อ หนังสือที่เก็บอยู่ในห้องหนังสือขององค์หญิงอันซีมีไม่มากนัก โดยมากเป็นเอกสารทางราชการต่างๆ และโดยมากเป็นตัวหนังสือของหนานเจียง ค้นอยู่ครู่ใหญ่ ม้วนกระดาษที่หลบมุมอยู่ในจุดที่ไม่สะดุดตาที่สุดก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตาของร่างในชุดดำนั้น สิ่งที่ดึงความสนใจนางมิใช่ตัวม้วนกระดาษ แต่เป็นตราประทับที่ปิดผนึกอยู่บนม้วนกระดาษนั้นที่เป็นรูปดอกขุย แววตาของร่างในชุดดำเป็นประกาย ในมือมีมีดเล่มบางปรากฏขึ้น ก่อนใช้มีดเล่มนั้นแกะส่วนที่ปิดผนึกอยู่ออก แล้วจึงรีบกวาดสายตาอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นทีเดียวสิบบรรทัด ดวงตาคู่งามมีรอยยิ้มขึ้นบางๆ แล้วจึงปิดผนึกม้วนกระดาษนั้นลงอีกครั้ง จัดการให้ห้องหนังสืออยู่ในสภาพเดิมแล้วจึงหมุนตัวออกนอกหน้าต่างไป 


 


           ในเรือนแขก เมื่อองค์หญิงอันซีมาถึงพร้อมองครักษ์ ก็ถูกองครักษ์ลับสองกันไว้ที่หน้าประตูทันที องครักษ์ลับสองมองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “องค์หญิง ดึกดื่นเช่นนี้ท่านมีธุระอันใดหรือ”  


 


องค์หญิงอันซีตอบว่า “เมื่อครู่มีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในเรือนแขก คุณหนูฉู่เป็นอันใดหรือไม่” 


 


           “ผู้บุกรุกหรือ” องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว “ข้อน้อยอารักขาอยู่ที่หน้าประตูมาโดยตลอด แต่ไม่เห็นมีผู้บุกรุกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


           องค์หญิงอันซีอึ้งไป องครักษ์ในตำหนักของตนไม่มีทางโกหก อีกทั้งเมื่อครู่ตนเองก็เห็นเงาสามสี่เงาเข้าไปทางเรือนแขกจากที่ไกลๆ จริง เหตุใดองครักษ์ของคุณหนูฉู่จะต้องปฏิเสธเสียงแข็งด้วย “องครักษ์หลิน คุณหนูฉู่เป็นคู่หมั้นของคุณชายชิงเฉิน หากเกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นกับนาง ข้าคงมิรู้จะพูดกับคุณชายชิงเฉินอย่างไร มิมีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในเรือนแขกจริงๆ หรือ”  


 


องครักษ์ลับสองสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน พร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “เมื่อครู่ที่เกิดเสียงดังที่ด้านนอก มีเงาดำสามสี่เงาเข้ามาใกล้จริง แต่ถูกอาวุธลับของข้าไล่ไปแล้ว หนึ่งในนั้นน่าจะมีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย แต่ไม่มีคนเข้ามาในเรือนแขกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ชื่อเสียงของคุณหนูสำคัญนัก ขอองค์หญิงได้โปรดระวังคำพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


           เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองแล้ว องค์หญิงอันซีถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดองครักษ์ผู้นี้ถึงได้ยืนยันว่าไม่มีผู้บุกรุกบุกเข้ามาที่นี่ หญิงสาวของจงหยวนให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียงมากกว่าทางหนานเจียงอยู่มากจริงๆ 


 


           “ขอโทษด้วย องครักษ์หลิน ข้าพูดผิดไปเอง” นางหันไปโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังออกไปค้นหาผู้บุกรุก แล้วจึงหันมาพูดกับองครักษ์ลับสองว่า “เหตุวุ่นวายเมื่อครู่ทำให้คุณหนูฉู่ตกใจกลัวหรือไม่ เหตุใดตอนนี้จึงไม่เห็นคุณหนูฉู่ออกมาเลย”  


 


องครักษ์ลับสองตอบเรียบๆ ว่า “คุณหนูอยู่ที่เรือนด้านใน อาจมิได้ยินเสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”  


 


องค์หญิงอันซีขมวดคิ้ว “ในเมื่อองครักษ์หลินไม่สะดวก เช่นนั้นข้าจะเข้าไปดูคุณหนูฉู่เองก็แล้วกัน หากเกิดตกใจกลัวขึ้นมาจริงๆ จะไม่ดี…” 


 


           “ไม่…” 


 


           “พี่องค์หญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเปล่าเพคะ”  


 


ในขณะที่องครักษ์ลับสองกำลังจะปฏิเสธนั้น ก็มีเสียงของเยี่ยหลีดังขึ้นที่ด้านหลัง บนตัวของเยี่ยหลีมีเสื้อคลุมตัวใหญ่ห่มคลุมอยู่ ผมเงาสลวยยาวเคลียบ่า ทั้งยังมีประกายง่วงงุนอยู่ในแววตาอีกด้วย ข้างกายมีสาวใช้ที่องค์หญิงอันซีส่งให้มาคอยรับใช้ยืนถือตะเกียงอยู่ด้วย  


 


องค์หญิงอันซียิ้ม “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก เมื่อครู่มีพวกโจรบุกเข้ามาน่ะ รบกวนคุณหนูฉู่หรือไม่”  


 


เยี่ยหลีเอียงหน้าลงหัวเราะเบาๆ อย่างน่ารัก “ข้าไม่กลัว วิทยายุทธ์ของหลินหานเก่งกาจนัก ตลอดทางมานี้ก็ได้เขาคอยคุ้มครอง หลินหาน ใช่หรือไม่”  


 


องครักษ์ลับสองก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ “ใช่แล้วขอรับ คุณหนูโปรดวางใจ ผู้บุกรุกเมื่อสักครู่มิได้เข้ามาที่นี่ ถูกข้าน้อยไล่ไปแล้วขอรับ” 


 


           เมื่อองค์หญิงอันซีเห็นว่าเยี่ยหลีดูมิได้มีอันใดผิดปกติ จึงได้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณหนูฉู่พักผ่อนเถิด ข้าจะให้คนลองดูที่อื่นด้วยเผื่อมีใครหลุดรอดสายตาไป” 


 


           “เพคะ ลำบากพี่องค์หญิงแล้ว” เยี่ยหลียิ้มอย่างว่าง่าย เมื่อมองส่งองค์หญิงอันซีไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีก็ค่อยๆ หุบลง หันไปพูดกับสาวใช้ว่า “พวกเราก็กลับกันเถิด” สาวใช้รับคำ แล้วจึงเดินตามเยี่ยหลีกลับเข้าเรือนด้านในไป  


 


เมื่อเข้าไปในห้องได้ไม่เท่าไรก็รู้สึชาขึ้นที่ด้านหลังก่อนนางจะตัวอ่อนฟุบลงไปอยู่ที่พื้น  


 


องครักษ์ลับสองปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ ที่หน้าประตู เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองเขาพร้อมถามว่า “ผู้บุกรุกนั่นเรื่องอันใดกัน”  


 


องครักษ์ลับสองตอบเสียงขรึมว่า “มีผู้บุกรุกจริงๆ ขอรับ น่าจะบุกเข้ามาหาคุณหนู” องครักษ์ลับสองเดินเข้ามาในห้อง โน้มตัวลงลากร่างในชุดดำออกมาจากใต้เตียง “มากันทั้งหมดสามคน พวกมันประมาทเกินไป ทั้งยังถูกองครักษ์ของตำหนักองค์หญิงพบเข้า หลังจากถูกอาวุธลับของข้าน้อยทำร้ายจนบาดเจ็บก็รีบหนีไปทันที เจ้านี่บาดเจ็บหนักที่สุด ถูกข้าน้อยจับไว้ได้ขอรับ” 


 


           เยี่ยหลียอบตัวลงมองร่างที่อยู่บนพื้น รูปร่างท่าทางเหมือนคนหนานเจียงทั่วไป ถึงแม้อยู่ในชุดดำที่ไว้ออกทำภารกิจยามค่ำคืน แต่กลับมิได้ปกปิดลักษณะพิเศษของตนไว้ “น่าจะมิใช่คนขององค์หญิงอันซี ฉู่หลิวอวิ๋นก็ไม่น่าจะมีศัตรูอยู่ในหนานเจียง ผู้กันที่กล้าตามมาเล่นงานถึงที่ตำหนักองค์หญิงนี้ได้”  


 


องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนรู้ถึงฐานะของพวกเราแล้วขอรับ” 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ถูก หากมีคนรู้ฐานะของพวกเรา ก็คงไม่ส่งผู้บุกรุกที่ฝีมือไม่ได้เรื่องสามสี่คนนี้มาหรอก เรื่องในคืนนี้ดูเหมือนเป็นการข่มขู่หรือไม่ก็…เพื่อยั่วยุองค์หญิงอันซี” 


 


           “ข่มขู่…ยั่วยุองค์หญิงอันซีหรือขอรับ เช่นนั้นจะด้วยเพราะคุณชายชิงเฉินหรือขอรับ” องครักษ์ลับสองเอ่ยคาดเดาขึ้น  


 


เยี่ยหลีพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ในหนานเจียงนี้ฐานะของฉู่หลิวอวิ๋นมีความเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น เพียงแต่ การยั่วยุเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เดือดร้อน จะมีประโยชน์อันใด เทียบกันแล้วมาจับตัวข้าเพื่อข่มขู่พี่ใหญ่น่าจะมีประโยชน์เสียกว่ากระมัง หากพี่ใหญ่อยู่ในมือของอีกฝ่ายล่ะก็” 


 


           “ด้วยความสามารถของผู้บุกรุกสามสี่คนนี้ ต่อให้ไม่มีข้าน้อย พวกมันก็ไม่มีทางพาใครออกไปจากตำหนักองค์หญิงได้อยู่ดี” ยังไม่ทันเข้าถึงเรือนแขกก็ทำให้องครักษ์ขององค์หญิงรู้ตัวเสียแล้ว ผู้บุกรุกเช่นนี้ฆ่าคนยังไม่ได้ เรื่องลักพาตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง “คุณหนูพอเดาได้ว่าผู้ใดเป็นคนทำหรือขอรับ” 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้พอมีคนในใจแล้ว พรุ่งนี้ลองทดสอบความสามารถในการทรมานของเจ้าดู ถือโอกาสพิสูจน์ความคิดของข้าด้วย”  

 

 


ตอนที่ 84-1 ธิดาเทพแห่งหนานเจียง

 

          องครักษ์ลับสองรู้จักยอดฝีมือด้านการสอบสวนอยู่หลายคน อย่างคุณชายเจ้าเสน่ห์ที่แสนสง่างามอย่างคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งจือเหยา หรือหัวหน้าองครักษ์ลับที่รับหน้าที่ฝึกปรือพวกเขา หรือคนที่เข้มงวดและเคร่งขรึมแต่จิตใจดีอย่างท่านอาม่อ หัวหน้าพ่อบ้านประจำตำหนักติ้งอ๋อง แต่องครักษ์ลับสองมิเคยรู้มาก่อนเลยว่า พระชายาติ้งอ๋อง นายของตนที่ดูอ่อนหวานนั้นก็เป็นยอดฝีมือในด้านนี้ด้วยเช่นกัน หลายครั้งที่พวกเขาทั้งสี่คนอดนึกคาดเดาในใจมิได้ว่า บ้านตระกูลเยี่ยนั้นรังแกพระชายามากน้อยเพียงใด ถึงได้ทำให้คุณหนูที่เกิดในชนชั้นสูงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้


 


 


           การจะพาผู้บุกรุกที่โชคร้ายออกจากตำหนักองค์หญิงนั้นจำเป็นต้องใช้ความพยายามพอสมควร การจะพาตัวคนคนหนึ่งออกไปจากตำหนักองค์หญิงที่มีการวางกำลังเวรยามอย่างแน่หนานั้น สิ่งที่พวกเขาต้องเสียไปอาจไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับตอบกลับมา ดังนั้นองครักษ์ลับสองจึงไม่อยากรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เขาเตรียมที่จะง้างปากผู้บุกรุกที่โชคร้ายนั้นทันที พื้นที่ของเรือนแขกนั้นไม่เล็กนัก และห้องด้านในที่เยี่ยหลีพักอยู่ก็เป็นห้องที่อยู่ด้านในสุด ดังนั้นหากพวกเขาไม่ส่งเสียงดัง ต่อให้ด้านนอกบริเวณเรือนมีคนคอยจับตาดูอยู่ก็ไม่มีทางได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ อย่างแน่นอน และแน่นอนว่าองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักองค์หญิงก็ไม่มีทางให้ผู้ใดที่ไม่ควรเข้าใกล้เรือนแขกได้อย่างแน่นอน ผู้บุกรุกที่โชคร้ายผู้นั้นถูกกรอกชาสมุนไพรที่ผสมยาสลายกล้ามเนื้อลงไป ต่อให้อยากร้องก็คงร้องไม่ออกอยู่ดี


 


 


           ดังนั้นในห้องที่ตกแต่งอย่างค่อนข้างวิจิตรงดงามนั้นจึงมีภาพที่ค่อนข้างแปลกประหลาดเกิดขึ้น บนฟูกด้านหนึ่งมีสาวใช้หนานเจียงที่สลบไสลไม่ได้สตินอนอยู่ ข้างโต๊ะมีหญิงสาวรูปงามคนหนึ่งนั่งวาดๆ เขียนๆ อยู่ใต้โคมไฟ ห่างไปไม่กี่ก้าวกลับมีคนกำลังทำการทรมานเพื่อเค้นความจริงอยู่อย่างโหดเ**้ยม


 


 


องครักษ์ลับสองเคาะกระดูกขาของผู้บุกรุกจนหักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผู้บุกรุกคนนั้นสีหน้าขาวซีดเหงื่อไหลไคลย้อยแต่กลับไม่ยอมเปิดปาก ด้วยเพราะสถานที่ไม่อำนวยนัก ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการยุ่งยากและเสียเลือดมากนักได้ ซึ่งนี่ทำให้สีหน้าขององครักษ์ลับสองยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก จนเมื่อเยี่ยหลีจัดการเรื่องของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา องครักษ์ลับสองก็ยังคงไม่สามารถทำให้ผู้บุกรุกคนนั้นเปิดปากพูดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเกือบทำให้ผู้บุกรุกฉวยโอกาสกัดลิ้นฆ่าตนเองตายได้อีกด้วย


 


 


           “ไม่สำเร็จหรือ ต้องให้ช่วยหรือไม่” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถาม


 


 


มุมปากองครักษ์ลับสองกระตุกเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า “เรื่องเช่นนี้ไม่รบกวนคุณหนูจะดีกว่าขอรับ”


 


 


           “ไม่เป็นไร ทำเช่นนั้นต่อให้หักขาเขาอีกข้างก็คงไม่ยอมพูดอยู่ดี”


 


 


           “เช่นนั้นข้าน้อยจะหักกระดูกเขาให้ทั่วร่าง” องครักษ์ลับสองจ้องหน้าผู้บุกรุกด้วยสายตาเย็นเยียบ


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “เขาคงตายตั้งแต่เจ้าหักกระดูกเขาได้ครึ่งร่างแล้ว”


 


 


           “คุณหนูมีความคิดเช่นไรหรือไม่ขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีเดินเข้าไปด้วยท่าทีสบายๆ คุกเข่าลงยิ้มให้ผู้บุกรุกที่อยู่ที่พื้น พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคงฟังภาษาจงหยวนออกกระมัง เจ้าวางใจเถิดข้าจะไม่รุนแรงเช่นเขาหรอก” ผู้บุกรุกจ้องมองหญิงสาวบอบบางที่ยิ้มให้ตนอย่างใจดีด้วยความระมัดระวัง สัญชาตญาณของผู้บุกรุกบอกเขาว่า หญิงสาวที่ดูน่ารักบอบบางตรงหน้านี้ต่างหากที่เป็นคนที่อันตรายจริงๆ


 


 


           เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มใบหน้า มองผู้บุกรุกที่จ้องมองตนด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่หักกระดูกเจ้าอย่างที่เขาทำหรอก ข้าคิดว่า…ข้าจะเอากระดูกของเจ้าออกมาให้หมด เริ่มจาก…นิ้วมือก่อนก็แล้วกัน” นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ยกมือซ้ายของผู้บุกรุกขึ้น เกิดเสียงดังเป๊าะ ข้อนิ้วข้อหนึ่งของมือซ้ายก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที เยี่ยหลีเลื่อนต่อลงไปยังด้านล่าง เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ อีกทีหนึ่ง แล้วนิ้วชี้ทั้งนิ้วก็บิดเบี้ยวเสียรูปไปทันที ผู้บุกรุกถูกหักกระดูกกรามทิ้งไปแล้วจึงทำไม่ได้แม้แต่จะร้องออกมา ทำได้เพียงส่งเสียงอา อา ออกมาเท่านั้น


 


 


เยี่ยหลีมองเขา “เจ้าอยากพูดเมื่อไรก็พยักหน้าแล้วกัน แต่ว่า…เจ้าอย่าได้รอจนข้าบิดกระดูกเจ้าทั้งตัวแล้วค่อยพยักหน้าล่ะ หากถึงตอนนั้นคงสายเกินไปแล้ว”


 


 


           ป๊อก…


 


 


           เยี่ยหลีสีหน้าราบเรียบ แต่มือกลับขยับไปเรื่อยๆ และด้วยสีหน้าที่ราบเรียบนี่เองกลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสีหน้าข่มขู่และเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองเสียอีก


 


 


จนเมื่อเยี่ยหลีกำลังจะย้ายไปจัดการกับมือข้างขวาของผู้บุกรุกนั้นเอง ในที่สุดผู้บุกรุกที่ใบหน้าเขียวคล้ำและหายใจรวยรินเต็มทีก็ยอมพยักหน้าอย่างยากลำบาก เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ปรายตามององครักษ์ลับสองทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ยังคิดว่าเป็นพวกกระดูกแข็งเสียอีก เท่านี้เองหรือ”


 


 


องครักษ์ลับสองปากเหงื่อบนหน้าผากเงียบๆ เขาเองก็รู้สึกว่าผู้บุกรุกนี้ก็ไม่ได้เรื่องไปเสียหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าความน่ากลัวของนายตนนั้นมิใช่ฝีมือในการทรมานคน แต่เป็นความนิ่งสงบต่างหากที่ทำให้คนนึกกลัว หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาเองก็คงนึกกลัวเช่นเดียวกัน


 


 


           “ดีมาก แต่เจ้าอย่าได้คิดหลอกข้าเล่นเชียวนะ มิเช่นนั้น…ผลที่ตามมาจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนเขาด้วยความจริงใจ


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก เช่นนั้นบอกข้ามาว่านายของเจ้าคือผู้ใด” พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้จับกระดูกกรามเขากลับเข้าที่เดิม แล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


ดวงตาของผู้บุกรุกฉายแววเกรงกลัว มองหน้าเยี่ยหลีพร้อมขยับปาก แต่ยังไม่พูดสิ่งใดออกมา


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียวคิดเล็กน้อย “หากเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตของเจ้า ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้ และเมื่อข้าเสร็จเรื่องที่หนานเจียงแล้ว ยังจะให้เงินเจ้าก้อนหนึ่งเพื่อให้เจ้าเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเพื่อใช้ชีวิตใหม่ได้”


 


 


ผู้บุกรุกดวงตาเป็นประกาย สีหน้าดูมีความลังเล เยี่ยหลีเห็นสีหน้าเขาอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงยิ่งดูจริงใจขึ้น “ข้อมูลของเจ้ามีความสำคัญกับข้ามาก ดังนั้น…ขอเพียงข้อมูลที่เจ้าให้ข้าเป็นความจริง ข้ารับประกันว่าจะทำตามที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ข้าว่าเจ้าคงรู้ดี คนที่รู้ข้อมูลมิได้มีแต่เจ้าเพียงคนเดียว เจ้าไม่พูดก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่พูด ถึงตอนนั้น…ขอโทษด้วย ข้อคงทำได้เพียง…” เมื่อเห็นสีหน้าตื่นกลัวของผู้บุกรุก เยี่ยหลีจึงยิ้ม “ไม่หรอก ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ตอนที่ข้าเดินทางมาหนานเจียงนี้ได้ผ่านหุบเขาหุบเขาหนึ่ง ด้านล่างมีบอกไม้สีแดงบานอยู่เต็มไปหมด ใต้ดอกไม้ทุกดอกยังมีงูอยู่อย่างละดอกด้วย ตอนนั้นข้าคิดว่า งูจำนวนมากเช่นนั้นพวกมันต้องกินอันใดถึงจะโตได้นะ เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร…”


 


 


           “หุบ…หุบเขาอสรพิษ…ไม่…” มิได้มีเพียงคนจงหยวนที่เกรงกลัวสถานที่อย่างหุบเขาอสรพิษ คนหนานเจียงไม่กลัวงูก็จริง แต่นอกจากคนที่สามารถควบคุมงูได้แล้ว ไม่มีใครไม่กลัวงูจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวที่มิได้อยู่ในการควบคุม


 


 


           “เช่นนั้น…คำตอบของเจ้าคือ”


 


 


           “ข้าพูด…พวกเจ้าอยากถามสิ่งใด”


 


 


           เยี่ยหลีหันหน้าไปยักคิ้วให้องครักษ์ลับสองด้วยความพอใจ


 


 


           อันที่จริงข้อมูลที่ได้จากผู้บุกรุกนั้นมีไม่มากเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรคนที่ถูกส่งมาให้ทำหน้าที่เป็นผู้ก่อกวนก็ไม่มีทางเป็นคนที่มีความสำคัญอันใดอยู่แล้ว เพียงแต่อย่างน้อย การคาดเดาของเยี่ยหลีก็ได้รับการยืนยันไปแล้วส่วนหนึ่ง ทั้งยังได้รู้ถึงเป้าหมายของการที่สวีชิงเฉินหายตัวไปอย่างแน่ชัด เพียงแต่ยังคงไม่ทราบถึงตำแหน่งที่สวีชิงเฉินอยู่ในยามนี้เท่านั้น แต่ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าตอนนี้สวีชิงเฉินยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ความเป็นกังวลของเยี่ยหลีก็ปล่อยวางลงได้ในที่สุด


 


 


 


 


           “จวินเหวย…จวินเหวย…”


 


 


           บนถนนที่เต็มไปด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ มีเสียงตะโกนด้วยความดีใจดังขึ้น คนที่เดินไปเดินมาต่างหันมองตามเสียง ก็เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวอย่างชาวจงหยวนกำลังกวักมือเรียกชายหนุ่มที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยสีหน้ายินดี


 


 


เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวที่กำลังรีบวิ่งมายังตนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนระบายยิ้มบนใบหน้าพร้อมพูดว่า “พี่หาน ไม่ได้เจอท่านหลายวันเลยสบายดีหรือไม่”


 


 


ดวงตามหาเสน่ห์ของหานหมิงซีเลิกขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “จวินเหวย คนเขาติดตามเดินทางมาหนานจ้าวกับเจ้าเป็นพันพันลี้ เจ้ากลับทิ้งเขาไม่สนใจใยดี เจ้าใจร้ายยิ่งนัก…”


 


 


           คนเขา…เยี่ยหลีถึงกับย่นคอโดยไม่รู้ตัว คนที่เดินผ่านไปมา ถึงแม้จะฟังไม่ออกว่าพวกเขากำลังพูดสิ่งใดกัน แต่เมื่อมองจากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว จึงมองพวกเขาด้วยสายตาประหลาดๆ โดยไม่รู้ตัว


 


 


           “พี่หาน!” เยี่ยหลีอดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หานนอนพอแล้วหรือ ช่างหาได้ยากนัก”


 


 


           หานหมิงซีไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ระบายยิ้มกับคนตรงหน้าแล้วพูดว่า “ที่ไหนกัน คนเขาตื่นตั้งนานแล้ว แล้วยังออกไปเดินเที่ยวทั้งนอกเมืองและในเมืองเสียรอบหนึ่งแล้วด้วย แต่ไม่ยักเจอจวินเหวยเลย จวินเหวยมีธุระอันใดก็ไม่บอกข้าสักหน่อย ข้าไปทำธุระกับเจ้าด้วยจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ”


 


 


เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “ข้าเพียงออกไปเดินดูให้ทั่วๆ เท่านั้น มิได้ออกไปบุกป่าฝ่าดงอันใด”


 


 


หานหมิงซียักไหล่ พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจว่า “ต่อให้จวินเหวยไปบุกป่าฝ่าดงไปจริง ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย” พูดจบยังได้กะพริบตาปริบๆ ใส่เยี่ยหลี นัยน์ตาสื่อความหมายว่า ดูสิว่าข้าดีกับเจ้าเพียงใด ออกมาอย่างชัดเจน


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นางไม่คิดเลยว่าจะพบเข้ากับหานหมิงซี แต่ตอนนี้หากพาหานหมิงซีไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่สะดวกเอามากๆ แต่หากไม่พาเขาไปด้วย ด้วยนิสัยของหานหมิงซีแล้ว นางไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะให้เทียนอี้เก๋อทำให้หนานจ้าวต้องวุ่นวายเพียงใด เยี่ยหลีก้มหน้าลงคิดพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “พี่หาน พวกเราเปลี่ยนที่คุยกันเถิด”


 


 


           เมื่อหาโรงน้ำชาจนเข้ามานั่งในห้องส่วนตัวแล้ว เยี่ยหลีถึงได้พูดขึ้นว่า “พี่หาน ข้ามีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย หากท่านติดตามไปด้วยเกรงว่าจะไม่สะดวกนัก”


 


 


           หานหมิงซีโน้มตัวลงบนโต๊ะแล้วจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ “เจ้า…ยามที่เจ้าต้องการข่าวสารจากเทียนอี้เก๋อของข้า เหตุใดจึงไม่เคยบอกว่าไม่สะดวก ยามนี้เจ้าคิดที่จะทิ้งข้า เจ้าได้ข้าแล้วก็ทิ้ง!” 

 

 


ตอนที่ 84-2 ธิดาเทพแห่งหนานเจียง

 

เยี่ยหลีพูดไม่ออก ข่าวสารจากเทียนอี้เก๋อนั้นนางได้ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกันไปแล้ว มิได้ให้เขาทำงานให้เปล่าๆ เสียหน่อย เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายที่จะสนใจตนของเยี่ยหลีแล้ว หานหมิงซีก็กัดนิ้วพร้อมหัวเราะจนตาหยี “เมืองเล็กๆ อย่างหนานจ้าวจะมีธุระอันใดได้ จวินเหวยมิได้มาหาดอกโหยวหลัวหมิงหรือ ข่าวเกี่ยวกับธิดาเทพนั้นตอนนี้อยู่ที่ข้านะ หรือว่าบัณฑิตขี้โรค ร่องรอยการเดินทางของบัณฑิตขี้โรคข้าก็รู้นะ เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งจับตาอยู่ จวินเหวยอย่าได้ไปทำให้พวกเขาโกรธจะดีกว่า หรือไม่ก็…คุณชายชิงเฉินหายตัวไปใช่หรือไม่” นางหันไปมอง ก็เห็นหานหมิงซีกำลังยิ้มตาใสอยู่ 


 


 


           “ข่าวของเทียนอี้เก๋อช่างสมชื่อจริงๆ” เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ 


 


 


           หานหมิงซีหัวเราะ “เทียนอี้เก๋อทำอาชีพขายข่าวนี่ ช่วงนี้ในเมืองหลวงของหนานจ้าวมีเรื่องใหญ่ๆ อยู่เพียงเท่านี้ หากไม่รู้เรื่องอันใดเลย พวกเราจะทำงานไปทำไม เช่นนั้น…จวินเหวยอยากจัดการเรื่องใดก่อนหรือ”  


 


 


เยี่ยหลีมองหน้าเขานิ่ง พักใหญ่จึงได้หัวเราะขึ้นเบาๆ “ท่านรู้หรือไม่ว่าคุณชายชิงเฉินอยู่ที่ใด”  


 


 


หานหมิงซีตาเป็นประกาย พูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าจะหาเขาก่อนจริงๆ น่ะหรือ จวินเหวย ข้ายังคิดว่าดอกปี้ลั่วกับดอกโหยวหลัวหมิงสำคัญกับเจ้ามากกว่าเสียอีก”  


 


 


เยี่ยหลีพูดว่า “ของนั่นจะไปเอาเมื่อใดก็ได้ แต่คนนั้นหากไม่รีบหาก็ไม่แน่ว่าจะยังครบสามสิบสอง”  


 


 


หานหมิงซีเท้าคางมองนาง “เจ้าอยากรู้ข่าวคราวของคุณชายชิงเฉินก็ย่อมได้ แต่บอกข้ามาว่าเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันเช่นไร” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “ท่านเองก็ไม่รู้ข่าวของคุณชายชิงเฉิน มิเช่นนั้นท่านคงไม่มาพูดเงื่อนไขกับข้าเอาตอนนี้หรอกใช่หรือไม่” 


 


 


           หานหมิงซีส่งเสียงเหอะๆ จ้องหน้านางด้วยความขัดใจ “เช่นนั้นข่าวของธิดาเทพแห่งหนานเจียงเจ้าต้องการหรือไม่ หากไม่ข้าจะเผาทิ้งเสีย” 


 


 


           “เขาเป็นพี่ชายของข้า” เยี่ยหลีตอบ  


 


 


หานหมิงซีขมวดคิ้ว กวาดสายตามองประเมินนาง “พี่น้องหรือ เจ้าคือสวีชิงป๋อหรือว่าสวีชิงเหยียนกัน หากดูตามอายุแล้ว…น่าจะเป็นสวีชิงเหยียนมากกว่า แต่หากดูเรื่องนิสัยกลับเหมือนสวีชิงป๋อ แต่ว่า…มิมีผู้ใดเคยบอกว่าคุณชายตระกูลสวีมีวิทยายุทธ์กันด้วยเลยนี่”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ดูท่าข่าวของเทียนอี้เก๋อก็มิได้น่าเชื่อถือถึงเพียงนั้น ตอนนี้คุณชายสามตระกูลสวี สวีชิงเฟิงกำลังฝึกทหารอยู่ในกองทัพ พี่หานมิรู้เรื่องนี้หรือ”  


 


 


หานหมิงซีจ้องมองนางด้วยความสงสัย “หรือว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลสวีจริงๆ”  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ 


 


 


           หานหมิงซีเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างอยู่ไม่สุข พร้อมหันมาแสดงท่าทีไม่พอใจกับเยี่ยหลีเป็นพักๆ “เจ้าหลอกข้า…เจ้ามิได้มาหาดอกโยวหลัวหมิงตั้งแต่แรกแล้ว เจ้ามาหาสวีชิงเฉิน! จวินเหวย เจ้าหลอกข้า…” 


 


 


           “คุณชาย” เสียงองครักษ์ลับสองดังขึ้นที่นอกประตู ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิดจากทางด้านนอก องครักษ์ลับสามเหลือบมองหานหมิงซี ก่อนพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชาย มีข่าวแล้วขอรับ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “เข้ามาสิ” 


 


 


           ภายในห้อง เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามมองหน้าหานหมิงซีพร้อมๆ กัน คนที่เข้าใจอันใดได้ง่ายมาโดยตลอดอย่างคุณชายเฟิงเย่ว์กลับไม่เข้าใจความหมายที่สื่อมา เขาทำเหมือนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาหลบออกไปก่อน เพียงนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้กินขนมไปเสียเฉยๆ เยี่ยหลีจึงได้แต่โบกมือให้องครักษ์ลับสาม “ช่างเถิด พูดมาเลยก็แล้วกัน” 


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า พูดเสียงขรึมว่า “วันนี้องค์หญิงอันซีได้ติดต่อกับคุณชายชิงเฉิน หรือไม่ก็…คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณชายชิงเฉินขอรับ” 


 


 


           เยี่ยหลีย่นคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบว่า “วันนี้เมื่อตอนที่องค์หญิงอันซีกลับมายังตำหนัก ในตัวมีกลิ่นหอมแปลกปลอมติดมาด้วยขอรับ คนหนานเจียงมิใช่คนที่ชอบใช้เครื่องหอม ดังนั้นจึงมิได้มีการศึกษาเรื่องเครื่องหอมกันมากนัก แต่เขากลับไม่รู้ว่าที่จงหยวนถึงแม้จะเป็นเครื่องหอมประเภทเดียวกันแต่ก็มีส่วนที่ต่างกันอยู่เล็กน้อย อย่างเช่นคุณชายแต่ละคนของตระกูลสวี นอกจากคุณชายสามกับคุณชายห้าที่มิได้ใช่เครื่องหอมแล้ว คุณชายสองชอบใช้กลิ่นดอกเหมย คุณชายสี่ชอบกลิ่นดอกหลัน ส่วนคุณชายชิงเฉิน ด้วยเพราะมักมิได้อยู่ติดบ้าน เครื่องหอมที่ใช้จึงเป็นเครื่องหอมที่สวีฮูหยินเป็นคนปรุงให้ ซึ่งผสมตัวยาที่มีประโยชน์กับร่างกายลงไป ดังนั้นจึงมีกลิ่นยาอ่อนๆ ผสมอยู่ คนทั่วไปจะแยกกลิ่นนี้ออกคงไม่ง่ายนัก และหากต้องการจะทำลอกเลียนแบบคงยิ่งยากขึ้นไปอีก” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “องค์หญิงอันซีไปที่ใดมาบ้าง” 


 


 


           “วังหลวงขอรับ เมื่อตอนเช้าท่านอ๋องหนานจ้าวเรียกให้องค์หญิงอันซีไปเข้าเฝ้า หลังจากที่องค์หญิงอันซีกลับออกมาจากวังหลวงแล้วก็ตรงกลับตำหนักทันทีขอรับ” องครักษ์ลับสามตอบด้วยความมั่นใจ 


 


 


           หานหมิงซียิ้มด้วยความประหลาดใจ “คุณชายชิงเฉินคงมิได้อยู่ในวังหลวงหรอกกระมัง” 


 


 


           องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วตอบว่า “โอกาสที่องค์หญิงอันซีจะได้พบกับคุณชายชิงเฉินด้วยตนเองมีไม่มากนัก ช่วงที่องค์หญิงอันซีเข้าวังจนออกจากวัง นอกจากตอนที่เข้าเฝ้าท่านอ๋องหนานจ้าวแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ก็อยู่ในสายตาคนของพวกเราเกือบตลอด ไม่มีทางมีโอกาสได้พบคุณชายชิงเฉิน นอกเสียจากในช่วงที่นางเข้าเฝ้าท่านอ๋องหนานจ้าวขอรับ อีกอย่าง…หลักจากกลับจวนแล้ว องค์หญิงอันซีได้ส่งกำลังออกตามหาคุณชายชิงเฉินเพิ่มเติมอีกด้วยขอรับ”  


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ท่านอ๋องหนานจ้าวไม่มีทางไม่รู้ถึงฐานะของพี่ใหญ่ หากเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่ตอนที่เขาอยู่ในหนานจ้าว จะไม่มีผลดีอันใดกับเขา ดังนั้น…โอกาสที่พี่ใหญ่จะอยู่ในวังหลวงจึงมีไม่มากนัก กลิ่นนั้น…เขาน่าจะคิดอยากส่งข่าวบอกพวกเราว่าตอนนี้เขายังสบายดี” 


 


 


           องครักษ์ลับสามไม่เข้าใจ “ในเมื่อคุณชายชิงเฉินไม่ได้อยู่ในวังหลวง เหตุใดข่าวจึงถูกส่งออกมาจากวังหลวงเล่าขอรับ เครื่องหอมที่คุณชายชิงเฉินพกติดตัวเหตุใดจึงไปอยู่ในวังหลวงได้” 


 


 


           “นั่นย่อมหมายความว่า อีกฝ่ายอาจเป็นคนของวังหลวง ต่อให้มิใช่ ก็ต้องเป็นคนที่สามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ” 


 


 


           หานหมิงซีส่ายหน้าอย่างเกียจคร้าน “ไม่ถูกสิ…จวินเหวย ในหนานจ้าว นอกจากรัชทายาทหญิงแล้ว มิมีผู้ใดที่สามารถเข้านอกออกในวังหลวงได้อย่างอิสระอีก รวมถึงองค์หญิงคนอื่นๆ ด้วย แน่นอนว่า แม้แต่องค์หญิงท่านนี้ ในยามนี้ก็มิสามารถทำได้เช่นกัน”  


 


 


เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ที่เข้านอกออกในอย่างเปิดเผยได้ไม่มี แล้วอย่างลับๆ ก็ไม่มีอย่างนั้นหรือ” 


 


 


           “อย่างลับๆ หรือ” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “ร่องรอยการเดินทางของผู้บุกรุกพวกนั้นหาพบหรือไม่” 


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “พบแล้วขอรับ แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง พวกมันถูกฆ่าปิดปากอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณสองลี้ ส่วนศพของพวกมันถูกทิ้งไว้ในถ้ำขอรับ” 


 


 


           “พูดให้ละเอียด” 


 


 


           “จุดที่พวกเราพบศพคนพวกนั้น อยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณสิบลี้ แต่จุดที่พบศพไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ อีกทั้งถึงแม้สถานที่นั้นจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มาก แต่เส้นทางค่อนข้างลำบาก บริเวณโดยรอบมิได้มีอันใดพิเศษ ต่อให้ผู้บุกรุกพวกนั้นต้องการหนีเอาตัวรอดก็ไม่น่าหนีไปทางนั้น แต่โชคดีที่อาวุธลับที่ทำให้พวกมันบาดเจ็บได้อาบกลิ่นยาติดตามตัวไว้ก่อนแล้ว เราใช้เวลาอยู่หนึ่งคืนเต็มจึงพบว่าพวกมันน่าจะออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่เท่าไรก็โดนฆ่าปิดปากเสียแล้ว จากนั้นจึงได้นำศพไปทิ้งไว้ที่ถ้ำแห่งนั้นขอรับ” 


 


 


           เยี่ยหลีนวดคลึงบริเวณหน้าผากอย่างใช้ความคิดพร้อมถามว่า “พวกมันถูกฆ่าปิดปากที่ทิศใด” 


 


 


           “ไปทางทิศตะวันออกขอรับ” 


 


 


           “เช่นนั้นก็คือ เดิมทีพวกมันคิดที่จะไปทางทิศตะวันออก แต่ถูกคนดักฆ่าเสียก่อน จากนั้นมือสังหารที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ได้เอาศพพวกมันไปทางทิศตะวันตก เช่นนั้นใช่หรือไม่ ทางทิศตะวันออกมีอันใดหรือ” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น “นำแผนที่ของเมืองหลวงหนานจ้าวมาให้ข้าที” 


 


 


           องครักษ์ลับสามก้มหน้าลงหยิบกระดาษแผ่นบางๆ ออกมาจากหน้าอก พร้อมกางลงบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง  


 


 


หานหมิงซียื่นหน้ามามอง ก่อนเบ้ปากพูดว่า “แผนที่ทั้งหมดของเมืองหลวงหนานจ้าว แม้แต่ของเช่นนี้เจ้ายังมีเลยหรือ จวินเหวย เจ้ามิได้จำเป็นต้องไปสอบถามข่าวจากเทียนอี้เก๋อแต่แรกแล้วกระมัง”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีแหล่งข่าวเพิ่มขึ้นอีกแหล่ง ก็ปลอดภัยขึ้นอีกหนึ่งส่วน ข้าเป็นคนที่เสียดายชีวิต อีกอย่าง…ข้าไม่เชื่อว่าเทียนอี้เก๋อจะทำแผนที่เช่นนี้ออกมาไม่ได้” นี่มิใช่แผนที่ทางการทหาร เป็นเพียงแผนที่ของสถานที่ทั่วไปในเมืองเท่านั้น  


 


 


เยี่ยหลีหยิบดินสอถ่านขึ้นมาวงที่บริเวณวังหลวง แล้วลากไปยังตำหนักองค์หญิงอันซี จุดที่สวีชิงเฉินหายตัวไป จุดที่พบศพ รวมถึงจุดที่ฆ่าปิดปาก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “สังเกตเห็นอันใดหรือไม่” 


 


 


           หานหมิงซีชี้นิ้วมายังแผนที่ “หากตัดจุดที่ทิ้งศพและตำหนักองค์หญิงออกไปแล้ว สถานที่พวกนี้ดูจะอยู่ใกล้ตำหนักธิดาเทพอยู่มาก จะว่าไป…หากไม่เห็นแผนที่นี่ คงไม่คิดว่าตำหนักธิดาเทพจะอยู่ใกล้วังหลวงมากเช่นนี้”  


 


 


ตำหนักธิดาเทพตั้งอยู่บนเขาห่างจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกห้าลี้ แต่หากออกเดินทางจากวังหลวงแล้วรวมกับระยะทางที่ต้องขึ้นเขาแล้ว กว่าจะไปถึงตำหนักธิดาเทพอย่างน้อยๆ ต้องเดินทางประมาณสิบลี้  


 


 


เยี่ยหลีก้มหน้าลงชี้นิ้ว “คนทั่วไปมักคิดเพียงว่าจากวังหลวงไปตำหนักธิดาเทพนั้นต้องเดินทางไกลพอสมควร อีกทั้งวังหลวงยังสร้างอยู่ติดกับภูเขา ภูเขาที่อยู่ด้านหลังวังหลวงทั้งสูงและชัน หากคิดอยากจะไปทางภูเขานั้น เรื่องความยากลำบากยังไม่เท่าไร แต่เวลาที่ใช้ในการเดินทางย่อมมากกว่าการเดินทางออกจากเมืองหลวงไปเลยอยู่มาก ดังนั้นโดยปกติจึงไม่เคยมีผู้ใดคิดถึงเส้นทางนี้ อันที่จริงระยะทางโดยตรงจากวังหลวงไปตำหนักธิดาเทพจริงๆ ห่างกันไม่ถึงสองลี้ด้วยซ้ำ” 


 


 


           “ทางเดินใต้ดินหรือ” องครักษ์ลับสามพูดขึ้น 


 


 


           “ที่พวกเราเดินทางมานี้ยังมิได้เรียนรู้ความสามารถในการขุดทางเดินใต้ดินของคนหนานเจียงอีกหรือ” เยี่ยหลีหัวเราะพร้อมถามขึ้น  


 


 


ทั้งสองคนต่างนึกภาพภูเขาลูกที่ถูกขุดเสียจนพรุนไปหมดขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างก็นิ่งเงียบไป  

 

 


ตอนที่ 84-3 ธิดาเทพแห่งหนานเจียง

 

“หนานจ้าวอ๋องคนที่สถาปนาแคว้นนี้ขึ้นคิดอันใดอยู่กัน ถึงได้สร้างวังหลวงติดกับภูเขาเช่นนี้” หานหมิงซีถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ในประวัติศาสตร์ของชนชาวจงหยวน วังที่จะสร้างขึ้นติดกับภูเขาได้มีเพียงวังชั่วคราวหรือวังอื่นๆ ที่มิใช่วังหลวงเท่านั้น แต่วังหลวงที่แท้จริงนั้นไม่เคยมีวังใดที่มิได้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของเมืองหลวง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของราชบัลลังค์และความยิ่งใหญ่เหนือทั้งมวลในใต้หล้า


 


 


เยี่ยหลีตอบอย่างไม่จริงจังนักว่า “ขนบธรรมเนียมต่างกันกระมัง”


 


 


           หานหมิงซีมองท่าทีของนางออก จึงจ้องหน้านางด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่พักใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเมินเฉยต่อท่าทีของตน และยังจมอยู่กับความคิดของตนเอง หานหมิงซีจึงหน้าบึ้งลงทันที แล้วจึงแกล้งกระแอมไอขึ้นสองทีเพื่อดึงดูดความสนใจของคนในห้อง


 


 


จากนั้นหานหมิงซีจึงเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสงสัยว่าคุณชายชิงเฉินจะอยู่ในตำหนักธิดาเทพหรือ เท่าที่ทุกคนรับรู้กันคือธิดาเทพแห่งหนานเจียงนั้นสะอาดและบริสุทธิ์ดุจน้ำแข็ง และตำหนักธิดาเทพไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มเข้าออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกักตัวชายหนุ่มไว้ในนั้นเลย หากให้ใครรู้เข้าว่าเจ้าคิดเช่นนี้ เชื่อข้าสิว่า…เจ้าจะต้องถูกความโกรธเกลียดของประชาชนชาวหนานจ้าวฝังจนจมดินเป็นแน่”


 


 


เยี่ยหลีตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ยิ่งเพราะทุกคนต่างรับรู้กันเช่นนั้น จึงยิ่งมีความเป็นไปได้มิใช่หรือ”


 


 


           หานหมิงซีกลอกตาบนใส่นาง “เช่นนั้นขอถามคุณชายจวินเหวยว่า เราจะเข้าไปในตำหนักธิดาเทพที่มีการคุ้มกันแน่นหนาเสียยิ่งกว่าวังหลวงและหาคุณชายชิงเฉินที่มิรู้ว่าถูกซ่อนไว้ที่ใดพบได้อย่างไร หากเจ้าหาตัวคุณชายชิงเฉินไม่พบ แล้วถูกคนจับได้ พวกเราคงถูกคนหนานจ้าวตีตายเข้าจริงๆ”


 


 


           “ข้ามิได้คิดที่เข้าไปทางตำหนักธิดาเทพ” เยี่ยหลีพูด


 


 


           หานหมิงซีมีสีหน้าตกใจระคนนับถือ “ที่แท้คุณชายจวินเหวยก็คิดที่จะบุกเข้าวังหลวงของหนานจ้าวหรอกหรือ น้องจวินเหวยเอ๋ย ถึงแม้วังหลวงของหนานจ้าวจะมีขนาดไม่ถึงหนึ่งในสามของต้าฉู่ แต่เจ้าก็อย่าดูถูกพวกเขาได้หรือไม่ อย่าลืมสิ…วังหลวงของพวกเราต้าฉู่ไม่มีทางมีงูพิษ แต่หนานจ้าวนั้นไม่เหมือนกัน”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พูดอย่างกับว่าคุณชายเฟิ่งเย่ว์มิเคยเข้าไปในวังหลวงอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อหลายวันก่อน ใครกันที่คุยโวโอ้อวดว่าตนเข้านอกออกในวังหลังของวังหลวงทุกแคว้นจนปรุโปร่งมาหมดแล้ว”


 


 


 หานหมิงซีถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้เหตุใดเขาจึงได้เริ่มรู้สึกเสียใจที่หลายวันก่อน ช่วงเวลาว่างๆ ระหว่างเดินทาง ได้คุยโวเรื่องความเจ้าเสน่ห์ของตนให้กับจวินเหวยฟัง


 


 


           “ต่อให้เจ้าเข้าไปและหาคุณชายชิงเฉินพบแล้ว เจ้าจะเอาตัวเขาออกมาได้อย่างไร” หานหมิงซีเอ่ยถาม “เท่าที่ข้ารู้ คุณชายชิงเฉินไม่ได้มีวิทยายุทธ์เอาเสียเลยนะ”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ จะต้องคิดวางแผนให้ดีๆ” จะบุกเข้าไปเฉยๆ เลยคงมิได้ ถึงแม้องครักษ์ลับจะเก่งกาจถึงขั้นสามารถขโมยตัวคนออกจากวังหลวงของหนานจ้าวได้ แต่ผลที่ตามมาคงวุ่นวายน่าดู หากให้ผู้อื่นรู้ว่าคนที่ลงมือเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง นั่นคงยิ่งวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก


 


 


เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วทำท่าคิดหนักแล้ว หานหมิงซีก็หัวเราะด้วยความรื่นเริงใจ “เป็นอย่างไรบ้างเล่า ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีมองหานหมิงซีพร้อมส่ายหน้า นางกับหานหมิงซีมีความเกี่ยวข้องกันเพียงเรื่องงานเท่านั้น คราวก่อนที่หานหมิงซีติดตามนางมานั้นก็ร่วมเสี่ยงภัยกันมาแล้วไม่น้อย ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดึงเขาให้เข้ามาเสี่ยงด้วยได้อีก


 


 


           หานหมิงซีอมยิ้มมองนาง “อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธเช่นนี้สิ ถึงอย่างไรเทียนอี้เก๋อก็เปิดรับสำหรับการทำการค้า ขอเพียงจวินเหวยจ่ายไหว พวกเราก็มิได้ทำได้เพียงหาข่าวเท่านั้นนะ”


 


 


เยี่ยหลีใจกระตุกขึ้นทันที มองหน้าหานหมิงซีแล้วถามว่า “พี่หานอยากได้สิ่งใดหรือ”


 


 


หานหมิงซีหัวเราะอย่างได้ใจ “ซวินหย่าเก๋อ ข้าอยากได้เพิ่มอีกสองส่วน”


 


 


เยี่ยหลีพูดว่า “ข้าคิดว่าเทียนอี้เก๋อชอบเงินตำลึงเงินและตำลึงทองมากกว่าเสียอีก ท่านน่าจะรู้ว่าไม่ว่าเท่าไร ตระกูลสวีหรือตัวข้าก็ยอมจ่ายทั้งนั้น”


 


 


หานหมิงซีมองหน้านางด้วยความน้อยใจ “ข้ากับจวินเหวยเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนกันจะทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่ในอันตรายได้อย่างไร”


 


 


           เพื่อนหรือ เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “เทียนอี้เก๋อไม่ชำนาญในเรื่องนี้ ไม่รบกวนพี่หานจะดีกว่า”


 


 


           “จวินเหวยเห็นเราเป็นคนอื่นเกินไปเสียแล้ว” หานหมิงซียิ้ม “ถึงแม้เทียนอี้เก๋อจะไม่ถือว่าชำนาญในเรื่องนี้ แต่พวกเราคุ้นเคยกับเมืองหลวงของหนานจ้าวเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว จวินเหวยไม่คิดว่าเทียนอี้เก๋อจะน่าเชื่อถือกว่าหรือ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นิ่งคิดไปพักใหญ่จึงได้กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพี่หานแล้ว เมื่อจบเรื่องแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเทียนอี้เก๋อทั้งหมดข้าจะรับผิดชอบเอง แน่นอน รวมถึงส่วนแบ่งอีกสองส่วนจากซวินหย่าเก๋อด้วย”


 


 


           “ข้าถึงได้บอกว่า จวินเหวยเห็นเราเป็นคนอื่นเกินไปอย่างไร” หานหมิงซีได้แต่ถอนหายใจ


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ มิได้พูดสิ่งใด ในใจคิดว่านางจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงอันซีอีกคนหรือไม่


 


 


 


 


           ภายใต้ประกายสว่างจากไข่มุกราตรี ประตูไม้ที่หนักอึ้งถูกผลักเปิดออก หญิงสาวในชุดสีทองหรูหรากลับไม่มีท่าทีสบายๆ ดังเช่นวันก่อน ฝีเท้าที่เร่งรีบเต็มไปด้วยความโกรธถึงขีดสุด “สวีชิงเฉิน!”


 


 


           สวีชิงเฉินที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ค่อยๆ หันกลับไปอย่างเรื่อยๆ และนิ่งสงบ แล้วจึงขมวดคิ้วมองหญิงสาวที่เข้ามาด้วยความรีบร้อน “มีเรื่องอันใดหรือ”


 


 


หญิงสาวท่าทางโกรธจัด นางสะบัดแขนเสื้อกวาดถ้วยชาเครื่องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงพื้นไปทั้งหมด เสียงถ้วยชามแตกดังแหลมเสียดหู “พูดมา! พวกมันรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่ที่นี่!”


 


 


สวีชิงเฉินส่ายหน้า พูดเรียบๆ ว่า “ข้าอยู่ที่นี่ออกไปที่ใดก็ไม่ได้ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทำไมหรือ มีคนมาหาเรื่องเจ้าหรือ”


 


 


           “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร! เจ้าต้องเป็นคนส่งข่าวออกไปเป็นแน่ พูดมาเถิด เจ้าใช้วิธีใดกันแน่” หญิงสาวพยายามข่มความโกรธของตนลงอย่างเต็มที่


 


 


           สวีชิงเฉินถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นประหนึ่งเทพหรือย่างไร ข้าก็เป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอทำสิ่งใดไม่ได้คนหนึ่งเท่านั้น มิใช่ยอดฝีมือที่แอบซ่อนฝีมือเอาไว้ที่ไหน หากท่านมีเวลาคิดเรื่องพวกนี้ สู้เอาเวลาไปคิดว่าช่วงนี้ท่านไปล่วงเกินใครไว้บ้างจะดีกว่า”


 


 


หญิงสาวส่งเสียงเหอะเบาๆ “ข้าจะไปล่วงเกินใครได้อย่างไร นอกจากนังอันซีนั่นแล้ว คนเดียวที่ข้าเคยล่วงเกิน…หึหึ ก็ดูเหมือนจะมีแต่คู่หมั้นที่แสนน่ารักของเจ้าคนนั้น”


 


 


           “ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าอย่าได้ทำอันใดนาง” สวีชิงเฉินพูดเสียงขรึม


 


 


           หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าวางใจได้ คู่หมั้นแสนรักของเจ้ามิได้เป็นอันใดแม้แต่น้อย เพียงแต่…ยามนี้ไม่มีก็ไม่ได้หมายความว่าอีกหน่อยจะไม่มีด้วย คราวก่อนเพียงอยากขู่ให้นางตกใจเล่นเท่านั้น จะว่าไป…ดูเหมือนองครักษ์ที่คอยคุ้มครองดอกไม้ข้างกายนางนั้นจะมีวิชาไม่เบาเลยทีเดียว”


 


 


สวีชิงเฉินไม่สนใจ “ท่านพูดถึงองครักษ์ที่ติดตามนางมาหรือ คุณหนูตระกูลใหญ่ๆ ของจงหยวนเมื่อออกเดินทางจากบ้านมาก็มักมีองครักษ์ติดตัวมาด้วยกันทุกคน มิใช่เรื่องใหญ่อันใด”


 


 


           “ดูเจ้าจะไว้ใจนางมากนะ เช่นนั้นพวกเรามาดูกันดีกว่าว่าองครักษ์ของนางจะคุ้มครองนางได้จริงหรือไม่ ไม่แน่ว่าคุ้มครองกันไปคุ้มครองกันมาจะเกิดมีใจให้กันเข้าก็ได้นะ หญิงสาวพวกนี้มิได้ชื่นชอบวีรบุรุษช่วยสาวงามกันหรอกหรือ”


 


 


           สวีชิงเฉินกวาดตามองนาง “หากเจ้าว่างมากเช่นนี้ สู้บอกมาดีกว่าว่ามีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าโกรธถึงเพียงนี้”


 


 


           เพียงพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหญิงสาวที่ปกปิดอยู่ภายใต้หน้ากากก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “มีคนเอาศพนักฆ่าพวกนั้นมาทิ้งไว้นอกตำหนักธิดาเทพ!”


 


 


           สวีชิงเฉินแปลกใจเล็กน้อย แล้วจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออกอย่างรวดเร็ว “ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใดนี่ ส่งเรื่องให้ราชวงศ์หนานจ้าวหรือคนของราชสำนักจัดการก็ได้มิใช่หรือ”


 


 


           “จะได้ได้อย่างไร!” หญิงสาวร้องตะโกนขึ้น “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หากมีคนรู้ว่ามีคนนำศพมาทิ้งไว้ที่ตำหนักธิดาเทพ อันซีจะต้องใช้โอกาสนี้บุกค้นตำหนักธิดาเทพเป็นแน่ เหอะ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ นางคิดอยากจะยื่นมือเข้ามาในตำหนักธิดาเทพนานแล้ว น่าเสียดายที่นางยังขาดข้ออ้างนั้น!”


 


 


สวีชิงเฉินยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดออก แล้วพูดว่า “เจ้ายังมิได้พูดถึงเลยว่า หากมีคนรู้ว่ามีศพอยู่ที่ตำหนักธิดาเทพ ในใจประชาชนชาวหนานจ้าวคงได้นึกสงสัยในความศักดิ์สิทธิ์ของธิดาเทพแห่งหนานเจียง ที่สำคัญที่สุดคือ หากให้เวลาเจ้าอีกสองปี เจ้ายังสามารถผลักเรื่องนี้ให้เป็นความรับผิดชอบของต้าฉู่หรือซีหลิงได้อีกด้วย แต่ยามนี้…แม้แต่การเตรียมตัวเปิดศึกกับต้าฉู่เจ้ายังไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ”


 


 


           แววตาหญิงสาวดูครึ้มไป จ้องหน้าเขาพร้อมพูดเสียงขรึมว่า “เจ้ารู้เรื่องมากเกินไปเสียแล้ว ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ”


 


 


           สวีชิงเฉินส่ายหน้าน้อยๆ “เพราะท่านยังอยากรู้เรื่องจากข้ามากกว่านี้มิใช่หรือ”


 


 


           “ถูกต้อง!” หญิงสาวเอ่ยยอมรับทันที “หากมิใช่เพราะเจ้าลอบให้ความช่วยเหลืออันซี นางไม่มีทางเอาชนะข้าได้ ในเมื่อเจ้าสามารถช่วยนางได้ ก็ย่อมช่วยข้าได้มิใช่หรือ”


 


 


           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางช่วยเจ้า”


 


 


           “ข้าจะทำให้เจ้ายอมให้ได้!” หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็น


 


 


สวีชิงเฉินวางหนังสือลงอีกครั้ง มองนางด้วยแววตาเห็นใจ “เจ้าไม่เหมาะที่จะทำเช่นนี้แต่แรกแล้ว ธิดาเทพทุกคนในประวัติศาสตร์ต่างก็ไม่เหมาะเช่นกัน ถึงแม้เจ้าจะฉลาดกว่าพวกนาง แต่เรื่องการปกครองแคว้นเจ้ายังสู้องค์หญิงอันซีไมได้”


 


 


ดวงตาของหญิงสาวมีแววโกรธแค้น พูดเสียงเย็นว่า “ใครบอกว่าข้าไม่เหมาะสมกัน เจ้าเองก็ยอมรับว่าข้าฉลาดกว่าอันซีมิใช่หรือ”


 


 


           “เจ้าเพียงแค่เก่งด้านการวางเล่ห์กลมากกว่านางเท่านั้น แต่การปกครองแคว้นมิใช่อาศัยเพียงการวางเล่ห์กลก็สามารถปกครองได้ อีกอย่าง…เรื่องการวางเล่ห์กลของเจ้าก็ยังไม่ถือว่าได้เรื่องสักเท่าไรด้วย”


 


 


           “เช่นนั้นแล้วอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็อยู่ในมือข้ามิใช่หรือ” หญิงสาวพูดด้วยความอวดดี


 


 


สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ มิได้พูดอันใด


 


 


เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเงียบของสวีชิงเฉินแล้ว จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นอย่างมาก พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าดูถูกข้า!”


 


 


สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว “ข้ามิได้ดูถูกเจ้า ข้าเพียงไม่เห็นด้วยกับวิธีที่เจ้าทำในตอนนี้เท่านั้น”


 


 


           “ข้ารู้! เจ้าดูถูกข้า!” หญิงสาวกรีดร้องขึ้น “เจ้าจะไปรู้อันใด เจ้ารู้หรือว่านางโตมาโดยใช้ชีวิตอย่างไร ข้าโตมาโดยใช้ชีวิตอย่างไร แล้วเหตุใด แล้วเหตุใดนางเพียงเกิดมาก็ได้เป็นรัชทายาทหญิง ได้เป็นองค์หญิง เพราะเหตุใด อันใดๆ ก็เป็นของนางหมด”


 


 


           “เจ้าเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง ก็ได้รับความเคารพจากคนนับหมื่นเช่นเดียวกัน” สวีชิงเฉินพูด


 


 


           “หึหึ…ความเคารพจากคนนับหมื่นหรือ ข้ามิได้พบหน้าแม่ข้าตั้งแต่อายุสามขวบ ห้าขวบข้าก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว ห้ามมิให้พูดคุยกับสาวใช้ ห้ามมิให้ออกไปวิ่งเล่น ห้ามมิให้ร้องไห้ ห้ามมิให้พบคนนอก แม้แต่จะมีใจรักผู้ใดก็มิได้ พอข้าอายุยี่สิบแปดปียังต้องไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าบอนั่นอีก ผู้ใดอยากไปอยู่ในสถานที่บ้าๆ นั่นกัน หนานจ้าวเป็นของข้า ทุกอย่างเป็นของข้า!” หญิงสาวพูดพร้อมกรีดร้องประหนึ่งคลุ้มคลั่ง


 


 


           สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ชีวิตของธิดาเทพแห่งหนานเจียงช่างหน้าสงสารก็จริง แต่ข้าคิดว่านั่นมิได้หมายรวมถึงตัวท่าน ไม่เคยมีใครจำกัดความประพฤติของท่านมาก่อนมิใช่หรือ มิเช่นนั้นท่านจะมีโอกาสได้รู้จักกับหลีอ๋องได้อย่างไร จะเกิดเป็นศัตรูกับองค์หญิงอันซีได้อย่างไร แม้แต่…เรื่องที่สองปีก่อนหน้านี้ ธิดาเทพคนใหม่ได้ถือกับเนิดขึ้น แต่ก็ถูกเจ้าฆ่าทิ้งเสีย ธิดาเทพแห่งหนานเจียงสามารถเป็นได้ถึงอายุยี่สิบแปดปี แต่อันที่จริงแล้วโดยมากธิดาเทพมักลงจากตำแหน่งตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบห้าปีมิใช่หรือ”


 


 


           “แม้แต่เรื่องนี้อันซีก็บอกเจ้าหรือ!” หญิงสาวจ้องหน้าเขา “ดูท่านางจะไว้ใจเจ้ามากจริงๆ”


 


 


           “ข้ากับองค์หญิงอันซี เราเป็นสหายกัน”


 


 


           “เหอะ!” อาการคลุ้มคลั่งเมื่อครู่ดูเหมือนเป็นการแกล้งทำ หรือจะเรียกว่าเป็นการเล่นละครก็ยังได้ หญิงสาวกลับมารักษาท่าทีสง่างามอย่างรวดเร็ว “ช่างเป็นสหายที่แสนดีเสียจริง ข้าจะเอาหัวสหายของเจ้า และคู่หมั้นของเจ้ามาส่งไว้ให้ตรงหน้าเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ หญิงสาวก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที 

 

 


ตอนที่ 85-1 พี่น้องได้พบหน้า

 

   เมื่อเห็นประตูหินบานนั้นปิดลง สวีชิงเฉินก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก สติปัญญาของธิดาเทพแห่งหนานเจียงค่อยๆ หายไปแล้ว ขอเพียงทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาและองค์หญิงอันซีช่วยกันวางเอาไว้ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขามั่นใจว่าจะต้องจัดการธิดาเทพแห่งหนานเจียงและอิทธิพลที่หลีอ๋องสร้างไว้ในหนานเจียงได้โดยไม่ต้องใช้กำลังและไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ควรเริ่มคิดว่าจะออกไปจากที่นี่อย่างไรได้แล้ว ในเมื่อเขาทำสำเร็จตามเป้าหมายก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ และยิ่งใกล้เวลาเข้าไปเท่าไร ที่นี่ก็จะยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น


 


 


           ประตูหินนั้นถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง สวีชิงเฉินจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “แม่นางมีเรื่องอันใดอีกหรือ”


 


 


           “แม่นางนั้นไม่มี พี่ชิงเฉินเป็นข้าต่างหางที่มี…” เสียงกังวานใสกลั้วหัวเราะดังขึ้นที่หน้าประตู


 


 


สวีชิงเฉินอึ้งไปแล้วจึงรีบหันไปมองทางประตูอย่างรวดเร็ว ประตูหินที่เปิดอยู่ครึ่งบาน มีร่างบอบบางของหญิงสาวในชุดที่เหลืองไข่นกกระทากำลังยืนยิ้มส่งมาให้เขาอยู่ “หลีเอ๋อร์…”


 


 


เยี่ยหลีเดินเข้าไปหาเขา พร้อมกวาดสายตามองบรรยากาศภายในห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่ใหญ่ ดูแล้วท่านก็อยู่ที่นี่ได้ไม่เลวนักทีเดียวนะ”


 


 


สวีชิงเฉินอมยิ้มมองนาง “หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์มาที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา แล้วชี้ไปยังประตูหินที่เปิดอยู่ครึ่งบาน “ก็มารับคุณชายชิงเฉินน่ะสิเจ้าคะ”


 


 


           สวีชิงเฉินมองประตูบานนั้นอย่างใช้ความคิด “ยังมีผู้ใดอยู่ข้างนอกอีกหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีจับแขนสวีชิงเฉินพร้อมยิ้มให้เขา “อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย พวกเรารีบไปกันเถิด หากอยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามาอีกคงไม่ค่อยดีนัก”


 


 


สวีชิงเฉินพยักหน้า “หลีเอ๋อร์พูดถูก มีเรื่องอันใดไว้พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากัน อย่างเช่นเรื่องที่จู่ๆ ข้าก็มีคู่หมั้นเพิ่มมาอย่างไร”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีนิ่งแข็งไปทันที พักใหญ่จึงได้หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “พี่ชิงเฉิน เมื่อออกไปแล้วจำไว้ว่าข้าชื่อฉู่หลิวอวิ๋นนะเจ้าคะ หากแม้แต่ชื่อคู่หมั้นของตนเองก็ยังไม่รู้ คงดูน่าสงสัยไม่น้อย”


 


 


สวีชิงเฉินหันไปเก็บของสามสี่อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วจึงได้เดินตามเยี่ยหลีออกนอกประตูหินบานนั้นไป ที่ด้านนอกประตูองครักษ์ลับสองยืนอยู่กับองครักษ์ลับที่หน้าตาไม่คุ้นอีกสองคน เมื่อเห็นเยี่ยหลีและสวีชิงเฉินเดินออกมา ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ “คุณชายชิงเฉินอยู่ทีนี่จริงๆ ด้วย คุณหนู พวกเราออกไปทางวังหลวงกันเถิด”


 


 


           “ผู้หญิงอีกคนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


           องครักษ์ลับสองตอบว่า “องค์หญิงอันซีทำตามข่าวที่พวกเราส่งไปให้ นางนำคนมายังตำหนักธิดาเทพแล้วขอรับ บวกกับเรื่องศพสามสี่ศพนั่น หญิงผู้นั้นคงถูกองค์หญิงอันซีจับตาไว้แล้วขอรับ ยามนี้น่าจะกำลังรอรับศัตรูตัวฉกาจอยู่ที่ตำหนักธิดาเทพขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ทางวังหลวงเล่า”


 


 


องครักษ์ลับสองตอบว่า “ถึงเวลาคุณชายหานจะสร้างความวุ่นวายขึ้นภายในวังหลวง พวกเราก็จะอาศัยจังหวะนั้นหลบหนีออกไปขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังว่าครานี้จะวางใจให้หานหมิงซีจัดการได้เหมือนเช่นทุกครั้ง”


 


 


องครักษ์ลับสองก้มหน้าลงลอบยิ้ม “คุณชายหานให้องครักษ์ลับสามมาส่งข่าวว่า รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังขอรับ”


 


 


           “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”


 


 


           องครักษ์ลับทั้งสองคอยคุ้มกันสวีชิงเฉิน โดยมีองครักษ์ลับสองและเยี่ยหลีประกบอยู่หน้าคนหลังคน เดินไปตามทางเดินใต้ดินเส้นยาวเชื่อมต่อระหว่างวังหลวงกับตำหนักธิดาเทพ ภูเขาลูกที่อยู่ด้านหลังวังหลวงนั้น ถึงแม้จะมิได้ถูกขุดจนกลวงโบ๋ไปทั้งลูกอย่างของหลัวอีปู้ แต่ก็มีห้องที่เป็นหินที่เชื่อมระหว่างทางอยู่ถึงสามสี่ห้องด้วยกัน ห้องที่สวีชิงเฉินถูกกักตัวไว้ก็เป็นหนึ่งในห้องนั้น เมื่อมีคณะเยี่ยหลีคอยนำทาง จึงเดินไปถึงทางออกไปยังวังหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


สวีชิงเฉินขมวดคิ้วถามว่า “ทางออกอยู่ที่ใด”


 


 


องครักษ์ลับสองตอบด้วยความเสียใจว่า “ห้องบรรทมของหนานจ้าวอ๋องขอรับ ธิดาเทพแห่งหนานเจียงดูสติไม่ดีเช่นนั้น หนานจ้าวอ๋องยังกล้าสร้างทางเดินลับไว้ในห้องบรรทมตนเองอีก เขาไม่กลัวว่าวันดีคืนดีธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะมาฆ่าเขาตายหรือ”


 


 


สวีชิงเฉินมิได้สนใจ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตามปกติแล้ว ธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะจงรักภักดีต่อหนานจ้าวอ๋อง”


 


 


องคักษ์ลับสองไม่เข้าใจ “เช่นนั้นตอนนี้มันเกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้นว่า “จะเกิดอันใดขึ้นไว้ออกไปก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


           องครักษ์ลับสองรีบตอบรับ แล้วจึงเดินเข้าไปปลดประตูลับที่เป็นค่ายกลด้วยความระมัดระวัง ประตูหินที่ทั้งหนาและหนักค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ห้องที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนเป็นห้องภายในวังที่กว้างขวางโอ่อ่า


 


 


จนเมื่อทั้งห้าคนเดินออกมาแล้ว องครักษ์ลับสองก็ปิดประตูลับกลับไปเข้าไปอย่างเดิม องครักษ์ลับสองคนแทรกตัวออกไปก่อน พอดีกับที่มีองครักษ์ในวังสองคนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยจะเข้ามาตรวจสอบจึงลากตัวกลับเข้ามาด้านใน องครักษ์ในวังทั้งสองไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียง ร่างพวกเขาอ่อนลงไปกองกับพื้นอย่างไร้สุ้มเสียงทันที


 


 


สวีชิงเฉินมองสีหน้าเยี่ยหลีที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แววตาเป็นประกายวูบไหว เขายื่นมือออกไปดึงเยี่ยหลีให้มาอยู่ข้างกาย


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ให้เขา “พี่ใหญ่ พวกเรารีบออกไปกันเถิด”


 


 


สวีชิงเฉินพยักหน้า เมื่อออกมาจากห้องบรรถมที่แสนหรูหราของหนานจ้าวอ๋องแล้ว ตลอดทางพวกเขาพบองครักษ์อยู่เพียงไม่กี่คน องครักษ์ที่คอยอารักขาอยู่จำนวนน้อยนิดนั้นถูกองครักษ์ลับและองครักษ์ลับสองจัดการไปจนหมด ด้วยเพราะพวกเขาวางแผนเส้นทางไว้ก่อนแล้ว คณะของพวกเขาจึงใช้เวลาไม่มากนัก ก็ออกมาอยู่นอกวังหลวงในจุดลับที่หานหมิงซีได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาก่อนหน้านี้


 


 


           “จวินเหวย…ข้ากลับมาแล้วยังไม่รีบออกมาต้อนรับอีกหรือ” ทุกคนยังไม่ทันได้นั่งลงดื่มน้ำพักหายใจ ก็ได้ยินเสียงที่แสนจะยั่วยวนของหานหมิงซีดังขึ้นที่หน้าเรือน หันไปมองก็เห็นเงาดำเงาหนึ่งกระโดดม้วนตัวลงมาจากหลังคาแล้วพุ่งตัวไปยังจุดที่เยี่ยหลียืนอยู่ทันที


 


 


           “คุณชายหาน!” องครักษ์ลับสามที่ตามหลังเขามาถึงกับปาดเหงื่อ แล้วรีบส่งเสียงเรียกเขา


 


 


สวีชิงเฉินและองครักษ์ลับสองที่อยู่ข้างเยี่ยหลีรีบเข้ามาขวางหานหมิงซีเข้าพร้อมๆ กัน รอยยิ้มของสวีชิงเฉินดูราบเรียบและเยือกเย็น “คุณชายหาน ท่านจะทำอันใดหรือ”


 


 


หานหมิงซีจึงได้มองถนัดๆ ว่า คนที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉินมิใช่น้องจวินเหวยที่เขาเฝ้าคิดถึง แต่เป็นเด็กสาวรูปร่างบอบบางในชุดหลัวอีสีเหลืองไข่นกกระทา “เอ่อ…นี่…”


 


 


เยี่ยหลีรีบไปยืนหลบหลังสวีชิงเฉิน โผล่หน้าออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น “พี่ชิงเฉิน…”


 


 


           หานหมิงซีเมื่อเป็นว่าแม่นางน้อยถูกตนทำให้ตกใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ คุณชายเฟิงเย่ว์คร่ำหวอดอยู่ในหมู่มวลดอกไม้มาสิบกว่าปี เคยเสียเมื่อไรที่จะเสียมารยาทต่อหน้าแม่นางน้อยที่งดงามเช่นนี้ เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมา หานหมิงซีจึงรีบยกยิ้มรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณชายเฟิงเย่ว์ขึ้นมาทันที เลิกคิ้วแล้วยิ้มให้กับหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังสวีชิงเฉิน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นาง ขอโทษด้วยจริงๆ ข้าน้อยชื่อหานหมิงซี เมื่อครู่ทำให้ท่านตกใจหรือไม่ ข้าน้อยต้องขอโทษด้วย”


 


 


เยี่ยหลียืนหลบอยู่หลังสวีชิงเฉิน พูดตอบเสียงเล็กว่า “มิเป็นไร เพียงแต่อีกหน่อยคุณชายอย่าได้…ทำเช่นนี้อีกเลย ถึงอย่างไรชายหญิงก็แตกต่างกัน”


 


 


มุมปากหานหมิงซีถึงกับกระตุก เขามิใช่คนบ้ากามเสียหน่อย เขาเพียงเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉินเป็นจวินเหวยเท่านั้นเอง เพียงแต่จะว่าไปแล้ว น้องจวินเหวยของเขาไปอยู่ที่ใดเสียเล่า


 


 


           “จั๋วจิ้ง! น้องจวินเหวยของข้าไปอยู่ที่ใดเสีย พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันทุกคน เหตุใดจึงขาดเขาไปได้”


 


 


           เยี่ยหลีอดเงยหน้ามองฟ้าไม่ได้ นางไปเป็นน้องเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน


 


 


องครักษ์ลับสามหน้าบึ้งตึง มองหน้าหานหมิงซีที่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป แล้วพูดว่า “คุณชายมิได้บอกว่าจะมาที่นี่ขอรับ”


 


 


หานหมิงซีไม่พอใจ “เหตุใดจวินเหวยจึงไม่มาที่นี่”


 


 


องครักษ์ลับสามตอบว่า “ที่นี่เป็นที่ที่คุณชายขอให้คุณชายหานช่วยจัดเตรียมให้คุณชายสวีขอรับ”


 


 


หานหมิงซีปรายตาอันมีเสน่ห์ไปยังคุณชายชิงเฉินด้วยความไม่พอใจทีหนึ่ง ไม่รู้เหตุใดถึงได้รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เอ่ยตัดพ้อว่า “แต่คนเขาเตรียมไว้ให้จวินเหวยนี่”


 


 


           องครักษ์ลับสามอดกลอกตาไม่ได้ “คุณชายของพวกเรามีที่พักแล้วขอรับ”


 


 


หานหมิงซีเบ้ปาก “ที่ที่พวกเจ้าพักอยู่จะสะดวกสบายกว่าที่ที่ข้าเตรียมให้ได้อย่างไร หากรู้แต่แรกว่าจวินเหวยมิได้จะมาพักที่นี่ คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเช่นนี้” พูดจบยังได้หันมาถลึงตาอย่างโกรธๆ ใส่สวีชิงเฉินเสียทีหนึ่ง


 


 


สวีชิงเฉินเห็นท่าทีของเขา แล้วจึงยิ้มออกมาบางๆ “ลำบากคุณชายหานแล้ว”


 


 


หานหมิงซีส่งเสียงเหอะให้เขาทีหนึ่งแล้วจึงโบกพัดในมือ “เห็นแกว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ของจวินเหวยหรอกนะ ข้าจะไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว จวินเหวยเล่าในเมื่อเขามิได้อยู่กับพวกข้า และมิได้อยู่กับพวกเจ้า แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ใด”


 


 


องครักษ์ลับสองรีบเหลือบตามองเยี่ยหลี แล้วพูดว่า “เรื่องนี้…เมื่อมาถึงได้ไม่เท่าไร คุณชายฉู่ได้รับข่าวสารบางอย่างจึงรีบออกไป บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ แล้วอีกเดี๋ยวจะกลับมารวมกับพวกเราขอรับ”


 


 


           “เป็นเช่นนี้เองหรือ” หานหมิงซีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อาจด้วยเพราะสีหน้าเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองจึงทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาก สุดท้ายหานหมิงซีจึงได้ส่งเสียงเหอะก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป 

 

 


ตอนที่ 85-2 พี่น้องได้พบหน้า

 

เมื่อเห็นหานหมิงซีหมุนตัวไปจากบริเวณเรือนแล้ว สวีชิงเฉินจึงหันมามองเยี่ยหลีพร้อมยิ้มให้นางบางๆ “น้องสาว ดูท่าตลอดเส้นทางที่มาหนานเจียงนี่คงเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยสินะ”


 


 


เยี่ยหลียิ้มให้สวีชิงเฉินอย่างเอาใจ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของสวีชิงเฉิน ย่อมเดาออกไม่ยากว่าฉู่จวินเหวยกับฉู่หลิวอวิ๋นเป็นคนคนเดียวกัน


 


 


สวีชิงเฉินยิ้ม มองท่าทางไม่สบายใจของเยี่ยหลี แล้วพยักหน้า “ข้ากับเจ้ามิได้พบหน้ากันมาเกือบปีพอดีเลย พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วเลื่อนตัวเปิดทางให้เขาพร้อมพูดเสียงเบาว่า “เชิญพี่ใหญ่”


 


 


           ในห้องหนังสือ สวีชิงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ มองสีหน้ารู้สึกผิดของเยี่ยหลีด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


เยี่ยหลียืนก้มหน้า ดวกตาหลุบไปมาอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นลอบมองสีหน้าสวีชิงเฉินเป็นพักๆ เช่นเดียวกับคนในตระกูลสวีรุ่นก่อนที่น่ากลัวที่สุดคือสวีหงอวี่ คนในตระกูลสวีรุ่นนี้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือสวีชิงเฉินนี่เอง ซึ่งรวมถึงเยี่ยหลีที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลสวีเมื่อตอนเด็กด้วย


 


 


           “พี่ใหญ่…” เมื่อเห็นสวีชิงเฉินเอาแต่จ้องหน้านางด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยมิได้พูดอันใดแล้ว เยี่ยหลีจึงได้แต่พูดเสียงเล็กเสียงน้อยด้วยความรู้สึกผิด


 


 


สวีชิงเฉินเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้วจึงได้ถอนหายใจออกมา “ไม่ได้พบกันนาน หลีเอ๋อร์เก่งขึ้นอีกนะ ถึงขั้นแกล้งทำหน้าน่าสงสารต่อหน้าพี่ได้แล้วหรือ”


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เบ้ปากแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่…หลีเอ๋อร์มิได้แกล้งทำหน้าน่าสงสารนะเจ้าคะ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องโกรธด้วย…”


 


 


           สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “หลีเอ๋อร์ไม่รู้หรือว่าเหตุใดพี่จึงโกรธ”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า สวีชิงเฉินจึงถามว่า “ฉู่จวินเหวยคือผู้ใด แล้วฉู่หลิวอวิ๋นนี่ใครกัน”


 


 


           การพูดจาอ้อมค้อมกับพี่ใหญ่นั้นถือเป็นเรื่องเสียแรงเปล่า เยี่ยหลีก้มหน้าลงอย่างยอมแพ้ “พี่ใหญ่…”


 


 


สวีชิงเฉินชี้มือไปยังเก้าอี้ข้างหน้า “นั่งลง นั่งลงแล้วค่อยๆ พูดเถิด”


 


 


เยี่ยหลีนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย แล้วจึงได้บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่เรื่องที่ตนถูกเยี่ยเย่ว์เล่นงานเมื่อตอนอยู่เมืองหลวงจนมาถึงหนานเจียงและหาสวีชิงเฉินจนพบให้ฟังโดยละเอียดไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย


 


 


จนเมื่อนางดื่มน้ำให้หายคอแห้งแล้ว สวีชิงเฉินจึงได้พูดกับนางเรียบๆ ว่า “พี่จะยังมิพูดเรื่องที่เจ้าถูกเยี่ยเย่ว์เล่นงาน แต่เหตุใดเจ้าถึงต้องเดินทางไปกว่างหลินเพื่อหาตัวหานหมิงซีด้วยเล่า แล้วยังพาเขามาหนานเจียงด้วยนี่อีก”


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยตอบเสียงต่ำว่า “ข้าไม่อยากทำให้คนในเมืองหลวงแตกตื่น จึงไม่อยากใช้องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนหานหมิงซีนั้นเขาขอติดตามมาเอง ข้ามิได้พามาเจ้าค่ะ”


 


 


           สวีชิงเฉินมองหน้านางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ไม่อยากให้คนในเมืองหลวงแตกตื่น ถือว่าคิดได้รอบคอบไม่เลว แต่ว่า หานหมิงเย่ว์กับติ้งอ๋องมีความเกี่ยวข้องกันเช่นไร เจ้าเคยถามเรื่องนี้หรือไม่ เจ้ามีฐานะใหญ่โตเป็นถึงพระชายาแห่งติ้งอ๋อง หากเรื่องที่เจ้าไปเทียนอี้เก๋อถูกคนนอกรู้เข้าเจ้าจะทำเช่นไร ที่สำคัญที่สุดคือ หากหานหมิงเย่ว์คิดอยากจะสืบเรื่องนี้เข้าจริงๆ เขาจะสืบหาฐานะที่แท้จริงของเจ้าไม่พบหรือ หากเขาใช้เรื่องนี้หาเรื่องเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของสวีชิงเฉินที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่ “ข้าทิ้งองครักษ์ลับสี่ไว้ให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ หากหานหมิงเย่ว์กลับมาแล้วเขาจะรีบรายงานให้ข้ารู้ทันที อีกอย่าง เรื่องที่สำคัญจริงๆ ของข้า ข้าก็มิได้ให้เทียนอี้เก๋อจัดการให้นะเจ้าคะ เพียงแค่อยากให้เทียนอี้เก๋อช่วยองครักษ์ลับดึงความสนใจไปส่วนหนึ่งเท่านั้น”


 


 


สวีชิงเฉินพยักหน้า “เรื่องนี้ถือว่าเจ้าจัดการได้สำเร็จแล้ว เช่นนั้น…ผู้ใดใช้ให้เจ้าเข้าไปยุ่งกับบัณฑิตขี้โรคหรือ”


 


 


           “พี่ใหญ่รู้จักบัณฑิตขี้โรคด้วยหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม บัณฑิตขี้โรคถึงแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็อยู่ในเฉพาะคนเจียงหูเท่านั้น การที่สวีชิงเฉินรู้เรื่องนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


 


           สวีชิงเฉินมองหน้านางเรียบๆ “หลิงเถี่ยหาน นายใหญ่แห่งสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสหายข้า”


 


 


           เยี่ยหลีถึงกับพูดไม่ออก ในใจได้แต่ลอบมองฟ้า เมื่อครู่นางจะคิดวางแผนเล่นงานบัณฑิตขี้โรคอยู่ในใจ เพียงแต่ ถึงอย่างไรบัณฑิตขี้โรคก็ถือเป็นบุคคลที่อันตราย “พี่ใหญ่ หากจัดการอันใดกับบัณฑิตขี้โรค คงไม่มีผลกับความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับหัวหน้าสำนักหลิงหรอกกระมัง”


 


 


สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าคิดจะทำอันใดเขาหรือ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียว แล้วจึงเล่าเรื่องดอกปี้ลั่วให้เขาฟัง พอเล่าจบ สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ดังนั้น เจ้าจึงกังวลว่าหากเขาได้ดอกปี้ลั่วมาแล้วจะไปเล่นงานติ้งอ๋อง จึงคิดที่จะลงมือกำจัดตัวอันตรายที่แฝงอยู่นี้เสียก่อน ขณะเดียวกันก็คิดว่าดอกปี้ลั่วอาจสามารถช่วยรักษาโรคที่ติ้งอ๋องเป็นอยู่ได้ ดังนั้นจึงอยากได้ดอกปี้ลั่วอย่างนั้นหรือ เจ้ามีใจคิดถึงม่อซิวเหยา แสดงว่าเจ้าเป็นพระชายาติ้งอ๋องเต็มตัวแล้ว ท่านพ่อกับท่านอายังเป็นกังวลว่านิสัยของเจ้าจะนิ่งเฉยเกินไปเสียอีก เพียงแต่พวกเขาก็ไม่คาดหวังให้เจ้าให้ความสำคัญกับติ้งอ๋องเกินไปเช่นกัน”


 


 


           เมื่อได้ยินสวีชิงเฉินพูดเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเขินอายขึ้นทันที “พี่ใหญ่ท่านพูดอันใดเช่นนี้ ม่อซิวเหยาดีกับข้ามาตลอด ในเมื่อข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ก็ย่อมคาดหวังให้เขามีชีวิตที่ดี หรือว่าพี่ใหญ่หวังให้เขารีบทิ้งน้องสาวผู้น่าสงสารของท่านให้อยู่เป็นแม่หม้ายหรือ”


 


 


           เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของเยี่ยหลี สวีชิงเฉินจึงยิ้มขึ้น เขากระแอมไอขึ้นทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเถิด เรื่องของบัณฑิตขี้โรคเจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน ส่วนฟากหลิงเถี่ยหานข้าจะคุยกับเขาเอง จะไม่ให้สำนักเยี่ยนอ๋องมาหาเรื่องเจ้าได้”


 


 


           “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ


 


 


           สวีชิงเฉินมองนางแล้วพูดด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก น้องหลีเอ๋อร์ ยามนี้พวกเรามาพูดเรื่องเกี่ยวกับคู่หมั้นของข้ากันจะดีกว่า ใช่สิ เรื่องนี้ข้าได้ให้คนส่งนกพิราบไปส่งข่าวกลับไปยังเมืองหลวงให้คนที่ควรรู้ได้รู้เรียบร้อยแล้วนะ”


 


 


           “อา…พี่ใหญ่…เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ไม่สิ เหตุใดท่านถึงรวดเร็วเช่นนี้!” แค่เยี่ยหลีคิดในใจว่านางจะได้รับจดหมายหลายฉบับด้วยเรื่องเรื่องนี้ แล้วต่อไปจะถูกท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองต่อว่าอีกมากมายเพียงใด เพียงคิดนางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว


 


 


           สวีชิงเฉินหัวเราะ “อันที่จริงตั้งแต่วันแรกที่ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคู่หมั้นของข้ามาที่หนานจ้าว ข้าก็ให้คนส่งจดหมายกลับไปทันที หรือเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่เจ้าถูกกักตัวไว้จึงไม่มีทางที่จะส่งข่าวออกไปด้านนอกได้กัน อย่างมากอีกไม่เกินห้าวันก็คงมีจดหมายตอบกลับมาแล้วล่ะ น้องหลิวอวิ๋น…”


 


 


           เยี่ยหลีคิดอยากกุมขมับร้องโอดครวญยิ่งนัก พี่ใหญ่ท่านนี่ช่าง…ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม