ลิขิตกลกาล 83-89

ตอนที่ 83 พรหมลิขิต

 

“ตรงนี้แดดแรงยิ่งนัก” หรงซู่เอามือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง “เข้ามาคุยกันในห้องก่อนเถิด ข้าจะช่วยรับฟัง”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ใส่ใจเขา เพราะเรื่องนี้ของเขา…


 


 


หรงซู่รินชาสองแก้วแล้ววางไว้ตรงหน้าต้วนเฉินเซวียน “นั่งลงก่อนศิษย์น้อง ครั้งนี้มาหาศิษย์พี่ด้วยเรื่องใด?”


 


 


“หากไม่มีเรื่องจะมาหาท่านไม่ได้หรือ?” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เนื่องจากเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหรงซู่ ต้วนเฉินเซวียนจึงอดไม่ได้ที่จะตอกเขากลับไปบ้าง


 


 


“ไม่มีเรื่อง?” สายตาของหรงซู่ปรากฏแววขบขัน “ศิษย์น้อง เช่นนั้นเจ้าคงทำไม่ถูกเท่าไหร่นัก แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนว่างไม่มีธุระอะไรให้ทำ แต่ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ได้ว่าง ตอนนี้ศิษย์พี่มีงานกองหนึ่งที่ยังสะสางไม่เสร็จ ไหนๆ ศิษย์น้องก็ไม่มีธุระอะไรแถมมาถึงที่นี่แล้วเช่นนั้นก็มาช่วยศิษย์พี่ทำงานสักหน่อยดีกว่า ถือว่าเป็นสิ่งทดแทนค่าชาที่เจ้าดื่มไปเมื่อครู่ก็แล้วกัน ชาปี๋หลัวชุนชั้นดี ราคาพันชั่งเชียวนะ”


 


 


“ฝันไปเถอะ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยพลางวางแก้วชาลงอย่างใจเย็น “ข้าได้รับบาดเจ็บ”


 


 


“อ้อ เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อขอรับการตรวจรักษา?” หรงซู่พยักหน้า “แต่เจ้าก็ต้องยอมให้ข้าดูว่าตรงไหนบาดเจ็บ มิเช่นนั้นศิษย์พี่จะคิดค่าตรวจและเก็บเงินค่ารักษาได้อย่างไรเล่า”


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์เพทุบายของหรงซู่เช่นนี้แล้วก็แอบด่าในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เจอกันมานาน นับวันศิษย์พี่ก็ยิ่งเหลี่ยมจัดมากขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


แต่ไม่ว่าในใจของเขาจะด่าอย่างหยาบคายและใช้ถ้อยคำฟังไม่ได้มากแค่ไหน ต่อหน้าต้วนเฉินเซวียนยังคงวางท่าสงบนิ่งแล้วเอ่ยว่า ” เมื่อคืนวานที่มือของข้าโดนพิษ ท่านช่วยตรวจดูหน่อยว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หรงซู่มองไปยังมือด้านขวาที่ต้วนเฉินเซวียนยื่นออกมาให้ เขาเพียงเหลือบมองแวบเดียวก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เจ้านำพิษออกไปหมดแล้วนี่ กลับไปรักษาแค่รอยมีดก็พอแล้ว”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว “จริงหรือ?” เนื่องจากท่าทางของหรงซู่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเพียงแค่การกวาดตามองคร่าวๆ แล้วพูดส่งๆ ไปเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกวางใจไม่ได้จริงๆ


 


 


“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หรงซู่บีบดูที่แขนของต้วนเฉินเซวียน “ให้ศิษย์พี่ตัดแขนข้างนี้ของเจ้าออกไปหรือ? จะได้รักษาที่ต้นเหตุไปเลย?”


 


 


เมื่อหรงซู่เอ่ยจบก็เงยหน้าขึ้นพลางยิ้มเย้าแหย่ แต่เมื่อเห็นสายตาลึกล้ำของต้วนเฉินเซวียนเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ฮ่าๆ ศิษย์น้อง ผ้าพันแผลขอเจ้าเก่าแล้วล่ะ ศิษย์พี่พันแผลให้เจ้าใหม่ดีกว่า เดี๋ยวข้าไปเอายาก่อน”


 


 


หรงซู่เดินไปพลางสังเกตการณ์ นี่คงมีคนไม่กลัวตายมากวนอารมณ์คุณชายผู้นี้อีกกระมัง? เขาหวังว่าต้วนเฉินเซวียนคงจะไม่เอาความคับแค้นมาระบายใส่ที่นี่จนพังพินาศไปก็พอแล้ว


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน หรงซู่จึงเดินช้าๆ ออกมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยื่นมือออกมาตรงๆ ข้าจะจัดการให้เอง”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมิได้เอ่ยสิ่งใด เนื่องจากความสนใจทั้งหมดของเขาตอนนี้ตกไปอยู่บนขวดยาที่หรงซู่ถือออกมา


 


 


“ศิษย์พี่ ยานี้ของท่าน…”


 


 


“ฮะ?” มือของหรงซู่ที่กำลังใส่ยาอยู่สั่นไหว “ทำไมหรือศิษย์น้อง?”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนจะต้องหาเรื่องอะไรเขาอีกแน่! หรงซู่ตะโกนอยู่ในใจอย่างขุ่นเคือง เพียงต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเรียกเขาว่าศิษย์พี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนแล้ว!


 


 


“ศิษย์พี่ ท่านเคยให้ยานี้กับผู้ใดมาก่อนหรือไม่?” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจ ทว่าหรงซู่ไม่ตกหลุมพรางนี้ เพราะต่างก็เป็นคนที่รู้นิสัยกันและกันเป็นอย่างดี ยิ่งต้วนเฉินเซวียนพยายามยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจมากเพียงใด หรงซู่ก็ยิ่งไม่เชื่อเขามากขึ้นเท่านั้น


 


 


“ไม่เคยให้”


 


 


“เอ๊ะ?”


 


 


“ข้าเคยแต่ขายเท่านั้น” หรงซู่ก้มหน้าไม่ยอมมองเห็นสีหน้าของต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยต่อว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นคนจนจะให้ของคนอื่นโดยไม่คิดเงินได้อย่างไรกัน เจ้าว่าไหมล่ะ ข้ามีแต่จะขายเท่านั้น”


 


 


ต้วนเฉินเซวียน “…”


 


 


ความเคร่งขรึมใจกว้าง…รวมกันได้เป็นคนเช่นนี้! หรงซู่เจ้าไม่ช่างหน้าไม่อายเสียเลย!


 


 


“ทำไมหรือ? เจ้าสนใจตัวยาของศิษย์พี่หรือ? เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่น้องของพวกเราสองคน ศิษย์พี่จะลดให้เจ้าร้อยละยี่สิบ”


 


 


“ไม่สนใจ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้าเงียบๆ “แต่ข้ากลับสนใจผู้ที่มาซื้อยาของท่านไป”


 


 


“แต่คนที่ขายให้ไปมีตั้งมากมาย ข้าจะไปจำได้อย่างไรเล่า” หรงซู่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ว่าแต่เจ้าถามถึงเรื่องนี้ไปทำไมกัน?”


 


 


“ไม่มีอะไร”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเงียบขรึมและจ้องเขม็งไปยังหรงซู่ที่กำลังพันแผลให้ตนอยู่


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาที่ซูเหลียนอวิ้นใส่ให้เขานั้นมาจากหรงซู่แน่นอน แต่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนอย่างซูเหลียนอวิ้น เหตุใดถึงสุรุ่ยสุร่ายมาซื้อยาของหรงซู่ได้?


 


 


แม้ว่ายาของหรงซู่จะเป็นยาเทวดาอย่างแท้จริง แต่ผู้หญิงอ่อนแอบอบบางอย่างนางจะได้รับบาดเจ็บสองวันทีสามวันครั้งได้อย่างไร อีกทั้งวันนั้นซูเหลียนอวิ้นยังใช้ไปหลายห่อ แต่เขากลับไม่เห็นว่านางจะมีทีท่าเสียดายแต่อย่างใด เพราะจากนิสัยการคิดราคายาของหรงซู่แล้ว…เกรงว่ายาเพียงเล็กน้อยนั่นมูลค่าคงไม่ต่ำกว่าหมื่นตำลึง


 


 


ที่ผ่านมาจวนแม่ทัพขึ้นชื่อว่าตระกูลที่มีเที่ยงตรง ไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย ดังนั้นแม้ว่านางจะได้เงินเดือนแต่ก็คงได้ไม่มากนัก


 


 


เช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นได้ยาไปจากที่นี่ได้อย่างไร…


 


 


แน่นอนว่าอีกสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของต้วนเฉินเซวียนที่สุดคือ รูปแบบการพันแผลที่มือขวาของเขา


 


 


แม้ว่าวันนั้นซูเหลียนอวิ้นจะพันแผลให้เขาอย่างลวกๆ แต่เมื่อนำวิธีการพันแผลของนางมาเทียบกับวิธีของหรงซู่ที่พันให้เขาแล้วมีความคล้ายคลึงกันถึงแปดส่วน


 


 


“ศิษย์น้องกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” ผ่านไปเนิ่นนานกว่าหรงซู่จะเอ่ยปากถาม


 


 


“กำลังคิดเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่” ต้วนเฉินเซวียนเอานิ้วเคาะไปที่โต๊ะ “ศิษย์พี่ ท่านรู้จักซูเหลียนอวิ้นแห่งจวนแม่ทัพหรือไม่?”


 


 


“ฮะ?” ดวงตาของหรงซู่ปรากฏแววแห่งการครุ่นคิด จากนั้นจึงยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “เคย…มีโอกาสได้พบกันครั้งสองครั้ง” หากนับเพียงแต่ในชาตินี้ หรงซู่กับซูเหลียนอวิ้นเคยพบหน้ากันเพียงสองครั้งเท่านั้น


 


 


“ศิษย์พี่ไปข้องเกี่ยวกับนางได้อย่างไร?” ต้วนเฉินเซวียนเหล่ตามอง คิ้วเลิกสูงขึ้นราวกับกำลังคลางแคลงใจ


 


 


“พรหมลิขิตกระมัง” หรงซู่ลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าไกลโพ้น “เมื่อมีพรหมลิขิตต่อกัน ย่อมมีโอกาสได้พบกันอย่างแน่นอน”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนพยายามข่มความรู้สึกไม่พอใจนั้นเอาไว้ เขาไม่อยากจะสนทนากับหรงซู่อีกต่อไปจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าขอตัวก่อน”


 


 


“ศิษย์น้องเดินระวังด้วย หากมีเวลาค่อยแวะมาใหม่”


 


 


ทว่าในตอนนั้นหากต้วนเฉินเซวียนหันหน้ากลับมาอีกก็จะได้เห็นสีหน้าสะใจและขบขันของหรงซู่ที่ไม่ว่าจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่


 


 


สุดท้ายขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะเดินออกจากป่าไผ่ไป เสียงของหรงซู่ก็ดังสะท้อนตามหลังมาว่า “จริงสิศิษย์น้อง เมื่อครู่ศิษย์พี่ยังมีคำถามที่ยังมิได้ถามเจ้าอยู่”


 


 


“อะไรเล่า?” ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้หันหน้ากลับมา น้ำเสียงของเขารำคาญสุดทน


 


 


“คือว่าศิษย์น้องรู้จักร้านขายอาวุธใดที่ตีกระบี่เก่งๆ หรือไม่? ศิษย์พี่อยากจะซื้อกระบี่สักเล่ม เพราะได้ยินมาว่าใกล้จะถึงพิธีปักปิ่นของคุณหนูซูแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันสองครั้ง แต่ศิษย์พี่คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ควรจะมอบอะไรให้สักหน่อยถึงจะคุยกันได้”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนนิ่งคิดเป็นเวลานานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดท่านถึงอยากมอบกระบี่ให้สตรี?”


 


 


หรงซู่กล่าวว่า “เพราะว่าคุณหนูซูเคยพูดเองว่ามีความสนใจของประเภทนี้ แต่ว่านานๆ ทีศิษย์พี่จะลงเขาสักครั้ง เช่นนั้นวานศิษย์น้องซื้อกระบี่สักเล่มแล้วส่งไปให้นางแทนจะดีกว่า ถือซะว่าเป็นค่ารักษาที่ข้าพันแผลและใส่ยาให้เจ้าเมื่อครู่ก็แล้วกัน” 

 

 


ตอนที่ 84 เพื่อนช่วยดำเนินพิธี

 

ต้วนเฉินเซวียนมิได้ตอบอะไรกลับไป เพียงทิ้งเงาด้านหลังที่วิ่งอย่างรวดเร็วจากไปจนไม่เห็นฝุ่นไว้ให้หรงซู่


 


 


หรงซู่หัวเราะและพึมพำกับตัวเองว่า “โอ้โห วันนี้อากาศดีจริงเชียว”


 


 


เมื่อนึกถึงหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำของต้วนเฉินเซวียนเมื่อครู่ ริมฝีปากของหรงซู่ก็ฉีกยิ้มขึ้นไปจนแทบจะถึงหลังใบหู เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว เขาอยู่เพียงลำพังอยากจะยิ้มอย่างไรก็ยิ้มได้


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้ว่าบางครั้งจะดื้อรั้นซุกซน แต่เมื่อเทียบกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว…ใจของหรงซู่ย่อมเข้าข้างซูเหลียนอวิ้นมากกว่าอย่างไม่ต้องลังเล! เพราะอีกฝั่งหนึ่งเพียงสร้างความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเปรียบเสมือนเจ้าแห่งมารบนโลกมนุษย์ ทุกๆ ครั้งที่มารบกวน หากไม่สร้างเรื่องโกลาหลวุ่นวายย่อมมิใช่เขาอย่างแน่นอน!


 


 


ใครใช้ให้เจ้ามารังแกลูกศิษย์ของข้าเองเล่า หรงซู่เยาะเย้ยในใจ แม้ว่าตัวข้ามิอาจเอามือสอดเข้าไปยุ่งได้มากนัก ทว่ายังสามารถสร้างความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าได้!


 


 


อีกทั้งเมื่อย้อนคิดถึงในอดีตที่ต้วนเฉินเซวียนเคยทับถมเขาเอาไว้ หรงซู่ก็รู้สึกว่าที่ตนสร้างความวุ่นวายให้เขาเมื่อครู่นั้นยังน้อยไป


 


 


เฮ้อ เมื่อคิดถึงตรงนี้หรงซู่จึงเงยหน้าขึ้นชมฟ้าพลางทอดถอนใจ “ชีวิตคนมีขึ้นมีลงน่ะ”


 


 


เมื่อวานตอนที่ซูเหลียนอวิ้นมาหาเขาที่นี่ ตอนที่เขากล่าวถึงต้วนเฉินเซวียน เขามองสายตาของนางออกอย่างชัดเจนว่าสำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว…แม้ว่าจะยังมีความรู้สึกที่ดีให้อยู่ ทว่าได้มีบางสิ่งที่สำคัญกว่ามาทดแทนอยู่ในใจของนาง ไม่เหมือนอย่างแต่ก่อนที่นางยอมทำทุกอย่างเพื่อต้วนเฉินเซวียนอย่างหัวชนฝา เป็นแม่นางโง่เขลาผู้หนึ่งที่ยอมแข็งใจทำได้ทุกอย่าง


 


 


ส่วนต้วนเฉินเซวียนนั้น…หรงซู่หัวเราะออกมา


 


 


“ชีวิตคนมีขึ้นมีลง ชะตาฟ้ากำหนดยากล่วงรู้”


 


 


……


 


 


“น้องหญิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่สบายหรือ?”


 


 


น้ำแข็งไสที่อยู่ในปากซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันจะกลืนลงไปหมด นางก็เหลือบไปเห็นซูมั่วเยี่ยกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน


 


 


“เปล่าเจ้าค่ะ…ท่านแม่ชอบพูดจาเกินจริง ท่านพี่ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย” ไม่มีสตรีนางไหนที่เมื่อป่วยแล้วจะนอนหน้าแดงกินน้ำแข็งอยู่เช่นนี้ได้ และในความเป็นจริงตัวนางเองก็ไม่ได้ป่วยอะไร…


 


 


“แต่ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าน้องหญิงเป็นไข้” ซูมั่วเยี่ยขมวดคิ้ว “น้องหญิง เมื่อคืนวานตอนเจ้าอยู่ที่วัดฝ่าฝัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ครั้งหน้าห้ามเจ้าตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้อีก เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนท่านแม่เป็นห่วงเจ้ามากขนาดไหน”


 


 


“อืม…ครั้งหน้าจะไม่ทำเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นวางชามกระเบื้องสีขาวในมือลงเงียบๆ แล้วทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัวรับฟังคำว่ากล่าวนี้


 


 


ทว่าในใจของนางยังคงแอบบ่นพึมพำ หรือว่าวันนี้นางคงเลี่ยงฟังคำว่ากล่าวไม่พ้นจริงๆ? ขนาดท่านพี่ยังบ่นนาง ดูแล้วนี่คงจะเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง


 


 


“น้องหญิงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินท่านแม่เคยบอกว่า ผู้หญิงไม่ควรกินของเย็นเป็นประจำ มิเช่นนั้นต่อไปจะส่งผลเสียหลายอย่างต่อร่างกาย ต่อไปเจ้ากินน้ำแข็งไสสัปดาห์ละครั้งแค่ให้พอหายอยากก็พอแล้ว อย่ากินมากไปกว่านี้เลย” ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยไม่ได้มองเห็นซูเหลียนอวิ้นเป็นคนอื่นคนไกล ดังนั้นพอได้พูดขึ้นมาก็จะพูดอย่างไม่จบไม่สิ้น ราวกับว่าเขากำลังพูดเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาไม่ได้พูดในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา


 


 


“ท่านพี่ๆ น้องรู้แล้วเจ้าค่ะ!” แก้มทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นแดงระเรื่อ “ต่อไปข้าจะกินให้น้อยลง! แต่ว่าตอนนี้น้องรู้สึกเหนื่อยแล้ว ท่านพี่น้องอยากจะนอนสักประเดี๋ยว”


 


 


พระเจ้า! ท่านแม่ไปพูดอะไรกับท่านพี่! แม้แต่ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังต้องบอกด้วยหรือ? ห้ามนางกินของเย็นมากเกินไป? คงไม่ได้กลัวว่าต่อไปนางจะ…?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเคอะเขิน แม้ว่าซูมั่วเยี่ยจะเป็นพี่ชายของนาง แต่นางก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง…จึงรู้สึกแปลกประหลาดพิกล


 


 


ทว่าเมื่อมองเห็นสีหน้าไร้เจตนาของซูมั่วเยี่ย ซูเหลียนอวิ้นจึงหลับตา หรือว่าอันที่จริงท่านแม่จะพูดเพียงประโยคเดียว? คิดๆ ดูแล้วก็คงใช่ เพราะเรื่องเช่นนี้ คงไม่มีใครกล่าวลงรายละเอียดมากนัก


 


 


“นอนอีกแล้วหรือ? แต่ท่านแม่บอกว่าเจ้านอนไปแล้วมิใช่หรือ? และเมื่อกี้เจ้าเพิ่งจะกินเสร็จ กินแล้วนอนแบบนี้…”


 


 


“โธ่ ท่านพี่!” ซูเหลียนอวิ้นหงุดหงิด “น้องอยากนอนแล้ว!”


 


 


จู่ๆ นางพลันคิดถึงพี่ชายคนเดิมที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็หน้าแดงขึ้นมาเสียแล้ว แม้ว่าจะพูดน้อยยากจะเข้าถึง แต่อย่างน้อยๆ นางก็รู้สึกว่าดีกว่าพี่ชายที่พูดไม่หยุดปากเช่นนี้อยู่นิดหน่อย…


 


 


เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นท่าทางทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ เขาพลันพูดไม่ออก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว สาเหตุอาจจะเกิดจากเขาที่พูดมากเกินไป? ทั้งยังบ่นและสอนน้องหญิงอยู่เป็นนานเช่นนั้น ผู้ใดถูกว่ากล่าวนานขนาดนั้นก็คงจะอารมณ์เสียไปบ้าง


 


 


แต่เรื่องนี้จะไม่เอ่ยชมซูมั่วเยี่ยไม่ได้ เขาเป็นพี่ชายที่ดีตามแบบอย่างยี่สิบสี่ยอดกตัญญู แม้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจะโมโหเขาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่เขากลับมองเห็นความผิดของตัวเอง…


 


 


“พี่ผิดเอง พี่ไม่ควรพูดกับเจ้าแบบนั้น น้องหญิงอย่าโกรธพี่เลย” ซูมั่วเยี่ยก้มหน้าลงและเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาสายตาของเขาก็มีแต่ความรู้สึกผิด “พี่ใจร้อนไปชั่วครู่ ครั้งหน้าพี่จะไม่พูดกับเจ้าแบบนั้นแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา


 


 


แต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ตอนนี้นางจะทำอย่างไรดีเพราะนางรู้สึกผิดต่อซูมั่วเยี่ยเสียแล้ว? อันที่จริงแล้วเรื่องนี้คนที่เป็นฝ่ายผิดก็คือนาง แถมเมื่อครู่นางยังระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไร้เหตุผล แต่ซูมั่วเยี่ยกลับเป็นฝ่ายต้องขอโทษนาง…


 


 


“ท่านพี่…ข้า คราวหน้าหากข้าจะทำอะไรข้าจะบอกท่านเอาไว้ก่อน และจะไม่ตัดสินใจเองโดยพลการอีกแล้ว ข้าสาบาน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นชูนิ้วสามนิ้ว เป็นการรับประกันว่านางสาบานด้วยใจจริง ขออย่างเดียวแค่อย่าให้ซูมั่วเยี่ยใช้สายตาเช่นนั้นมองนางอีกเลย! นางทำอะไรผิดก็ไม่ได้


 


 


“ดีมาก” ซูมั่วเยี่ยหัวเราะ เนื่องจากเขาเชื่อในคำพูดของซูเหลียนอวิ้นโดยที่ไม่สงสัยเลยแม้แต่คำเดียว “ในเมื่อน้องหญิงเหนื่อยแล้วก็นอนต่อหน่อยเถิด คืนนี้ท่านพ่อจะกลับมากินข้าวด้วย ไม่รู้ว่าท่านจะรั้งเจ้าไว้นานเพียงใด ดังนั้นตอนนี้น้องหญิงพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน”


 


 


“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่มาก”


 


 


“จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง” ซูมั่วเยี่ยคล้ายคิดบางสิ่งออกกะทันหันจึงนั่งลงอีกรอบหนึ่ง “น้องหญิง เจ้าคิดไว้หรือยังว่าเจ้าจะเชิญใครมาเป็นผู้ช่วยถือถาดรองและเพื่อนช่วยดำเนินพิธีในงานปักปิ่นของเจ้า? ท่านแม่บอกว่าหากเจ้าไม่รู้ว่าจะเชิญใครมา ท่านจะช่วยออกหน้าเชิญมาให้สักสองคน เจ้ามิต้องกังวล”


 


 


ซูมั่วเยี่ยเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก ให้อันเพ่ยอิงเชิญคนมาร่วมงานพิธีปักปิ่น? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป…คงจะน่าขายหน้ามากทีเดียว!


 


 


เนื่องจากคนสองคนนี้ที่จะมาร่วมในงานพิธีปักปิ่นของสตรี โดยปกติแล้วจะต้องเป็นเพื่อนสนิทร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ทว่าสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว…นางมีเพื่อนสนิทเสียที่ไหน?


 


 


เนื่องจากฐานะสูงต่ำและคุณสมบัติดีหรือไม่ดีของผู้ที่มาร่วมในงานพิธีปักปิ่น จะถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงมาตรฐานของพิธีปักปิ่นนี้ว่าดีหรือไม่ ใครเป็นเพื่อนกับใคร หากแม้แต่ในพิธีปักปิ่นยังไม่มีเพื่อนสนิทคนใดยอมมาร่วมงาน นั่นก็เพียงพอที่จะบ่งบอกว่าคนผู้นั้นล้มเหลวแค่ไหนที่ไม่มีแม้แต่เพื่อน…


 


 


ในชาติที่แล้วผู้ที่มาช่วยถือถาดรองและเพื่อนช่วยดำเนินพิธีของซูเหลียนอวิ้นก็เป็นคนที่อันเพ่ยอิงเชิญมา ซึ่งก็เป็นบรรดาลูกสาวของเพื่อนสนิทอันเพ่ยอิงนั่นเอง


 


 


ทว่าในตอนนั้นชื่อเสียงของซูเหลียนอวิ้นได้เสื่อมเสียไปเรียบร้อยแล้ว จะยังมีเด็กสาวบ้านใดที่ยังกล้าไปมาหาสู่กับนางอีก? หลบหน้านางยังแทบจะหลบไม่ทัน ดังนั้นเมื่ออันเพ่ยอิงออกหน้าเชิญ ผู้ใดที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง สุดท้ายจึงเหลือเพียงคุณหนูเรือนเล็กสองคนที่ไม่ได้รับการโปรดปรานมาร่วมงาน 

 

 


ตอนที่ 85 เขียนจดหมาย

 

เนื่องจากบรรดาคุณหนูเรือนเล็กจะไม่เป็นที่โปรดปรานของคนในตระกูล ดังนั้นสู้ยอมทิ้งหน้าตาตัวเองแล้วมาร่วมพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรแล้วก็ขึ้นชื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ทัพใหญ่มิใช่หรือ?


 


 


แม้ว่าจะมีคุณหนูเรือนเล็กบางคนที่หยิ่งผยองไม่ยอมมาเข้าร่วม ทว่าบนโลกใบนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันขาดแคลนผู้ที่ชอบขายลูกสาวแลกชื่อเสียงเงินทอง แม้ว่าจะดูถูกทางการกระทำ? ดูถูกทางความคิด? แต่นั่นจะเป็นอะไรไป? ในเมื่อผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เรื่องราวพวกนั้นจะมีผลอะไรได้


 


 


“น้องหญิง?” ซูมั่วเยี่ยตะโกนเรียก “เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรหรือไม่?” ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าน้องสาวของเขาชอบเหม่อลอยบ่อยขึ้นทุกวัน?


 


 


“เจ้าคะ?” สติสัมปชัญญะของซูเหลียนอวิ้นถูกดึงกลับมา นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าอาจจะไม่ต้องรบกวนท่านแม่ ข้าขอลองคิดดูเองก่อนว่าจะมีผู้ใดเต็มใจมาเข้าร่วมบ้างหรือไม่”


 


 


เนื่องจากตอนนี้ชื่อเสียงของนางถือว่ายังใช้ได้อยู่? อย่างน้อยๆ หากเทียบกับชาติที่แล้วแล้วถือว่าดีกว่ามากนัก สำหรับพวกที่กระตือรือร้นอยากจะมาหรือไม่อยากมาน่ะหรือ? พวกเจ้าไม่ต้องมาจึงจะดีที่สุด ในเมื่อตัวเองยังไม่เต็มใจ เหตุใดจะต้องฝืนใจมาเข้าร่วมกันทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า


 


 


ซูมั่วเยี่ยแปลกใจเล็กน้อยแต่มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อจึงได้แต่พยักหน้า “ถึงอย่างไรเวลาตอนนี้ก็ยังเนิ่นอยู่ ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น น้องหญิงลองกลับไปพิจารณาดูให้ดี เพราะนี่คือพิธีปักปิ่นของเจ้า งานทั้งหมดนี้เจ้าสำคัญที่สุด”


 


 


“เจ้าค่ะ หากไม่ได้ข้าจะบอกท่านแม่เอง”


 


 


“ดี เช่นนั้นพี่ขอตัวก่อนแล้ว น้องหญิงพักผ่อนให้มากๆ”


 


 


“ท่านพี่เดินระวังด้วย”


 


 


เมื่อซูมั่วเยี่ยไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงกลับไปนอนอยู่บนฟูกอีกครั้งหนึ่ง สายตาของนางเหม่อมองไปยังเพดาน


 


 


รับปากรับคำออกไปแล้ว แต่จะจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร?


 


 


สำหรับเพื่อนช่วยงานพิธีในใจของนางได้เลือกไว้คนหนึ่งแล้ว คนผู้นั้นก็คือหลินเหวินเสี่ยว ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าหากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย คนผู้นี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย นางคงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับแล้วคิดหาคนใหม่


 


 


ทว่าสำหรับเพื่อนช่วยถือถาดรองนั้น…


 


 


“คุณหนู จดหมายของคุณหนูเจ้าค่ะ” เมื่อหลีมู่เห็นนางคุยกับซูมั่วเยี่ยจบแล้วก็เพิ่งจะเดินเข้ามา แล้วยื่นจดหมายให้ซูเหลียนอวิ้น “คล้ายว่าส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่พวกเราเพิ่งเห็นกันวันนี้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนหรือไม่…”


 


 


“มีจดหมาย? แถมยังเป็นของข้าด้วยหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ทว่านางมิได้มีเพื่อนและมิได้มีเพื่อนสนิทที่ไหน แล้วใครกันเป็นผู้เขียนจดหมายมา? ซูเหลียนอวิ้นคิดไปต่างๆ นานา อย่าได้เป็นของที่น่าสยดสยองเลย!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตามอง นางยื่นมือทั้งสองข้างออกไปสุดแขนแล้วฉีกจดหมายอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าด้านมีเพียงกระดาษแผ่นเดียวจึงรู้สึกเบาใจลง


 


 


ยังดีๆ ทว่าทำไมช่วงนี้นางถึงได้มีอาการคิดฟุ้งซ่านไปเองเช่นนี้ได้?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นคลี่จดหมายออกมาแล้วกวาดตาอ่านข้อความในนั้น จนกระทั่งถึงตอนที่นางอ่านจบ นางตกใจจนตัวแข็งทื่อมิอาจขยับได้


 


 


“คุณหนู ข้างในเขียนว่าอย่างไรเจ้าคะ?” เดิมทีหลีมู่ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ แต่พอมองเห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นที่ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเริ่มเหม่อลอยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายนางจึงเริ่มร้อนใจ “คุณหนูเจ้าคะ! คุณ…บ่าวจะรีบไปตามคุณชายใหญ่กลับมา!” เอ่ยจบก็ยกเท้าเตรียมที่จะวิ่งออกจากห้องไป


 


 


“กลับมาก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นร้องเรียก “จดหมายนี้ไม่มีปัญหาอะไร เจ้าอย่าคิดเหลวไหล”


 


 


เมื่อหลุดจากภวังค์ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้ว่าอาการคิดฟุ้งซ่านของนางเช่นนี้คงจะติดต่อมาจากหลีมู่


 


 


“เช่นนั้นเมื่อครู่ทำไม…” หลีมู่วิ่งไปจนถึงปากประตูแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดออกก็ถูกซูเหลียนอวิ้นเรียกกลับมาเสียแล้ว ตอนนี้จึงรีบวิ่งซอยเท้าถี่กลับมาแล้วอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ จดหมายฉบับนั้นว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”


 


 


เขียนว่าอย่างไร? ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าอ่านจดหมายฉบับนั้นซ้ำอีกสามรอบจนแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือว่าฝันไป จากนั้นจึงถอนใจยาวแล้วเอ่ยว่า “หลีมู่ ข้าอยากกินน้ำแข็งไส”


 


 


เนื่องจากซูมั่วเยี่ยโผล่มากะทันหัน จึงทำให้นางกินน้ำแข็งไสที่เหลืออยู่ครึ่งถ้วยเมื่อครู่ไม่หมด ซึ่งตอนนี้คงจะละลายกลายเป็นน้ำทะเลไปแล้ว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเอาช้อนตักเข้าไปในถ้วยแล้วพยายามคนหาจนถึงก้นถ้วย ไม่เหลือน้ำแข็งเลยแม้แต่ก้อนเดียว!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ!” สรุปแล้วจดหมายฉบับนี้เขียนว่าอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่คุณหนูยังตกใจจนหน้าถอดสีอยู่ชัดๆ ตอนนี้ยังมีกะจิตกะใจกินน้ำแข็งไสอีกหรือ?


 


 


“หลีมู่เจ้าไปเติมน้ำแข็งไสให้ข้าสักถ้วยหนึ่งก่อน ตอนกลับมาข้าค่อยบอกเจ้าว่าในจดหมายนี้เขียนไว้ว่าอย่างไร รีบไปๆ!” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับนำจดหมายฉบับนั้นไปเก็บเอาไว้อย่างใส่ใจ โดยนางเอาใส่ไว้ในกล่องเครื่องสำอางของตน เห็นได้ชัดเจนว่านางให้ความสำคัญกับจดหมายฉบับนี้มากขนาดไหน


 


 


หลีมู่ไม่รู้ว่าจะกล่าวว่าอย่างไรดีจึงได้แต่แอบวิจารณ์ในใจ เมื่อครู่คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าจะเชื่อฟังคุณชายใหญ่และจะไม่กินอาหารเย็นๆ มากเกินไปนัก! ตอนนี้คุณชายใหญ่เพิ่งจะก้าวออกไปไม่กี่ก้าว คุณหนูก็จะกินให้ได้อีกแล้ว!


 


 


ทว่าด้วยความที่หลีมู่อยากรู้เป็นอย่างมากว่าในจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร สุดท้ายแม้ว่าจะเหลืออดอย่างไร แต่กลับยกน้ำแข็งไสมาให้ซูเหลียนอวิ้นจนได้


 


 


“นี่เจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่นำน้ำแข็งไสวางไว้บนโต๊ะชา “ตอนนี้คุณหนูคงบอกได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะว่าจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง?”


 


 


นับวันคุณหนูก็ยิ่งร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! ทั้งๆ ที่รู้ว่านางอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกนางสักที!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกถ้วยขึ้นมาแล้วกินเข้าไปคำหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เป็นจดหมายที่หนานกงจวิ้นจู่[1]เขียนมาถึงข้า”


 


 


“หนาน หนานกงจวิ้นจู่?” หลีมู่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หมายถึงธิดาของเหิงชินอ๋อง หนานกงจวิ้นจู่น่ะหรือเจ้าคะ?”


 


 


“แล้วจะเป็นใครอีกเล่า” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “ในเมืองนี้มีหนานกงจวิ้นจู่คนที่สองด้วยหรือ?”


 


 


“แต่ แต่นางจะเขียนจดหมายมาถึงคุณหนูทำไมกัน…” เสียงของหลีมู่เบาลงเรื่อยๆ


 


 


เพราะความจริงคือ ซูเหลียนอวิ้นกับหนานกงมู่เสวี่ยเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แล้วเหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงได้เขียนจดหมายมาหาคุณหนูของนางได้?


 


 


“เขียนจดหมายมาแล้วอย่างไร? หนานกงมู่เสวี่ยไม่ใช่บุรุษ หลีมู่เจ้าต้องตกใจขนาดนี้เลยหรือ” ซูเหลียนอวิ้นกลอกตาเมื่อเห็นหลีมู่ทำท่าแปลกประหลาดใจเช่นนั้น “ยิ่งไปกว่านั้นคือการเขียนจดหมายติดต่อกันในวงสตรีเป็นเรื่องที่ปกติมาก”


 


 


แต่สำหรับคุณหนูแล้ว…กลับเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง


 


 


แต่ประโยคนี้หลีมู่กล้าเอ่ยขึ้นเพียงในใจเท่านั้น เพราะหากมีบุรุษเขียนจดหมายมาหาซูเหลียนอวิ้น หลีมู่ก็คงจะไม่ประหลาดใจขนาดนี้หากเทียบกับหนานกงมู่เสวี่ย เพราะแม้ว่าคุณหนูของนางอาจจะทำอะไรไม่เป็น แต่ในด้านรูปโฉมก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือสองของเมืองหลวง ดังนั้นหากมีบุรุษเขียนจดหมายมานางก็พอเข้าใจได้


 


 


แต่นี่เป็นหนานกงมู่เสวี่ย! สตรีสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นฝ่ายเริ่มเขียนจดหมายมาหาคุณหนูของนางก่อน


 


 


เป็นฝ่ายเริ่มก่อน!


 


 


คุณหนูของนางคือคมในฝักอย่างแท้จริง…หลีมู่รู้สึกเลื่อมใสยิ่ง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง โดยไม่ยอมหันไปมองสีหน้าของหลีมู่ เพราะอันที่จริงตอนที่นางเพิ่งจะรู้เรื่อง นางก็ตกใจมากไม่แพ้หลีมู่เช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นหลีมู่แสดงท่าทีมากเกินจริงเช่นนั้น…ซูเหลียนอวิ้นจึงเป็นฝ่ายสงบลง


 


 


มนุษย์ ไม่สามารถนำมาเปรียบกันได้ เพราะหากเทียบกันเช่นนี้ ความสงบนิ่งหนักแน่นของนางถือว่าสูงเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


 


 


——


 


 


[1] หนานกงจวิ้นจู่ ในที่นี้คือหนานกงมู่เสวี่ย คำว่าจวิ้นจู่หมายถึงธิดาขององค์รัชทายาท 

 

 


ตอนที่ 86 ตอบจดหมาย

 

“เช่นนั้นในจดหมายของหนานกงจวิ้นจู่เขียนไว้ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่ได้สติกลับมาจึงนึกถึงปัญหาที่สำคัญมากกว่านั้นขึ้นมาได้


 


 


“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้สามารถบอกเจ้าได้นะหลีมู่ แต่ว่าเจ้าต้องยืนให้มั่นนะ”


 


 


 เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่นางรู้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยเขียนจดหมายมาให้นาง หลีมู่ก็ตกอกตกใจปานนั้นแล้ว หากบอกหลีมู่ให้รู้อีกว่าเนื้อความในจดหมายคืออะไร…ซูเหลียนอวิ้นจึงคิดว่าควรบอกให้นางทำใจแต่เนิ่นจะดีกว่า


 


 


“เจ้าค่ะ! คุณหนูว่ามาเถิด” หลีมู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น น้ำเสียงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้น่ะหรือ…หนานกงมู่เสวี่ยบอกว่าหากในพิธีปักปิ่นของข้ายังไม่ได้กำหนดคนมาช่วยงาน นางยินดีช่วยเหลือ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นจึงกินน้ำแข็งไสเข้าไปอีกคำหนึ่ง


 


 


“อะไรนะ?!”


 


 


แม้ว่าเมื่อครู่หลีมู่จะคิดไว้คร่าวๆ เอาไว้ในใจแล้วว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะเขียนอะไรมาให้คุณหนูของนางบ้าง ทว่านางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า เนื้อหาในจดหมายจะเป็นหนานกงมู่เสวี่ยที่เป็นฝ่ายเสนอตัวรับหน้าที่ในงานพิธีปักปิ่นนี้!


 


 


นางนึกว่าหนานกงจวิ้นจู่จะเชิญคุณหนูของนางไปเที่ยวเล่นชมดอกไม้อะไรเช่นนี้!


 


 


นี่ ข่าวนี้มัน น่าตกใจมากเกินไปแล้ว


 


 


หลีมู่ถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วไปพิงตัวอยู่บนชั้นวางดอกไม้สำหรับการมาเยี่ยมที่อยู่ด้านหลัง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหนู คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ?”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยเมื่อดูแล้วอาจจะมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูทุกระดับในเมืองหลวง ราวกับว่าไม่ว่าผู้ใดก็สามารถคบหากับนางได้และไม่มีผู้ใดเกลียดชังนาง ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้กลับไม่มีผู้ใดเลยที่กล้าเผยตัวออกมาว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ดีที่สุดหรือเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


ผู้คนจำนวนมากย่อมเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาหนานกงมู่เสวี่ยก่อน ผู้คนคงเอาอกเอาใจนางกันแทบไม่ทัน แล้วทำไมนางจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาตนด้วยเล่า?


 


 


อีกทั้งผู้คนจำนวนมากมายในเมืองนี้ดูเผินๆ แล้วล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับหนานกงมู่เสวี่ยทั้งสิ้น แต่คงมีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางก็เป็นเพียงแค่เพื่อนที่พอคบหาได้อย่างทั่วไปเท่านั้น


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของหลีมู่ผ่อนคลายลงในที่สุดจึงเอ่ยต่อว่า “ในจดหมายของหนานกงจวิ้นจู่บอกว่า นางไปสืบมาจนรู้แล้วว่ากลอนบทนั้นในงานฉลองวสันตฤดูเป็นของผู้ใด ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกประทับใจในตัวข้าขึ้นมา? อีกทั้งยังบอกอีกว่าการกระทำของข้าในงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น…ให้ความรู้สึกราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิง?”


 


 


จอมยุทธ์หญิง? ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะเขียนเช่นนั้นจริงๆ ?


 


 


ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นคิดว่าบางทีหนานกงมู่เสวี่ยอาจจะมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพผิดไป ถึงได้คิดว่านางเป็นจอมยุทธ์หญิง…เฮ้อ ว่ากันตามจริงแล้ว วันนั้นนางเพียงเข้าตาจนก็เท่านั้น หลายๆ คำพูดที่นางพูดไปไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดก่อนด้วยซ้ำไป


 


 


พอลองกลับมาคิดทบทวนดู ในตอนนั้นนางกล้าชนกับหยางอวี้หลิง! ความกล้านั่นมาจากที่ใดกัน! ถึงได้กล้าลงมือกับสนมคนโปรด แถมลี่หยวนตี้ยังนั่งอยู่ด้านข้างพระสนมคนโปรดอีกด้วย นางเองก็ไม่รู้ว่าในตอนนั้นนางทนแบกรับกับความกดดันเช่นนั้นได้อย่างไร แม้แต่การพูดตะกุกตะกักเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีปรากฏ


 


 


เพราะบางครั้งเวลาที่นางโดนซูมั่วเยี่ยกับซูปั๋วชวนบ่น ตอนเถียงนางยังพูดตะกุกตะกักอยู่ด้วยซ้ำไป


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่คงเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่ามีได้ก็ต้องมีเสียกระมัง? ทำให้พระสนมองค์โปรดไม่พอใจ แต่กลับได้ความโปรดปรานจากจวิ้นจู่มาแทน?


 


 


โอ้โห การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


ถึงอย่างไรคนตระกูลหยางก็ไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว แบบนี้กระมังที่เรียกว่าดวงชงกัน


 


 


“หลีมู่ ไปนำกระดาษกับหมึกมา” นางต้องการจะตอบจดหมายกลับ


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยเป็นฝ่ายเสนอตัวเป็นผู้ช่วยให้นางในงานครั้งนี้? นางแทบจะอดใจรอวันที่นางจะได้เห็นภาพที่คนอื่นประหลาดจนอ้าปากค้างในวันงานพิธีปักปิ่นของตัวเองไม่ได้แล้ว


 


 


หลีมู่ตอบรับคำหนึ่งจากนั้นรีบไปนำกระดาษและอุปกรณ์ต่างๆ มาครบชุด แล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชาของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง เพราะนางกลัวว่าจะทำบางอย่างพลาดไป


 


 


เพราะนี่เป็นการตอบจดหมายของจวิ้นจู่ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปจนเป็นอุปสรรคต่อการเขียนจะทำอย่างไร?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกจนชุ่ม ครุ่นคิดอยู่สักพักแต่กลับจรดปลายพู่กันลงไปไม่ได้ จึงยกกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง การกระทำเช่นนี้ของนางเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมากว่าสิบรอบ


 


 


“คุณหนู?” หลีมู่ค่อนข้างจะประหม่า ตนทำอะไรผิดไปหรือไม่? เอาพู่กันมาผิด? หรือว่าหมึกจางไป? คุณหนูชะงักไปกี่รอบแล้ว ทำไมถึงไม่ลงมือเขียนเสียที?


 


 


“ไม่มีอะไร…” ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันออกอีกครั้งหนึ่งแล้วนำปลายด้ามพู่กันมาจิ้มไว้ที่คางของตน


 


 


เมื่อครู่นางอ่านจดหมายที่หนานกงมู่เสวี่ยเขียนถึงนางหลายรอบต่อหลายรอบแล้ว ตัวอักษรบนจดหมายเรียบร้อยประณีต ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็นถ้อยคำที่สละสลวยงดงามอย่างยิ่ง


 


 


ดังนั้นพอถึงคราวที่นางต้องเป็นฝ่ายเขียนเองบ้าง นางจึงอดไม่ได้ที่จะทำการเปรียบเทียบขึ้นมา


 


 


เนื่องจากการตอบกลับจดหมายในครั้งนี้ หากนางเห็นลายมืออัปลักษณ์เช่นนี้ แล้วคิดว่าตนตาฝาดไปในงานเลี้ยงวสันตฤดู ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเจ้าของลายมือนี้ไม่คู่ควรให้จวิ้นจู่ต้องลดตัวลงมาร่วมงานพิธีปักปิ่นแล้วเล่า? จากนั้นจึงเปลี่ยนใจไม่มาร่วมในงานพิธีปักปิ่นของนางแล้วจะทำอย่างไรเล่า? ถึงเวลานั้นนางคงร้องไห้อับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนดี


 


 


ด้วยเหตุนี้คำพูดมากมายที่ซูเหลียนอวิ้นสะสมเอาไว้เต็มท้อง ตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บสะสมเอาไว้ตรงนั้นก่อน…เพราะนางเขียนไม่ออก…


 


 


“คุณหนูเจ้าคะเอาเช่นนี้ดีกว่า…” หลีมู่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นกลุ้มอกกลุ้มใจเช่นนั้นตนก็พอเดาใจนางออก “คุณหนูเขียนจดหมายให้คุณหนูหลินก่อนดีหรือไม่?  จากนั้นคุณหนูค่อยเขียนจดหมายให้จวิ้นจู่โดยเทียบเอาจากจดหมายของคุณหนูหลิน”


 


 


“เป็นความคิดที่ดี” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ดังนั้นในคราวนี้จึงลงมือเขียนอย่างไม่ลังเลและคล่องแคล่วราวกับก้อนเมฆและสายน้ำไหลที่ลงมือเขียนเพียงรวดเดียวจบ


 


 


ซูเหลียนอวิ้นนำจดหมายฉบับนั้นไปตากแดดไว้ที่หน้าต่าง โดยนางหวังว่าหมึกด้านบนจะแห้งเร็วขึ้นหน่อย นางมองกระดาษพลางถามหลีมู่ขึ้นว่า “หลีมู่ เจ้าคิดว่าตัวอักษรนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ขี้เหร่กระมัง? คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก?”


 


 


หากพิจารณาอย่างเป็นกลาง ตัวอักษรของซูเหลียนอวิ้นไม่ขี้เหร่แน่นอน แต่แน่นอนว่าต้องดูด้วยว่าเอาไปเปรียบเทียบกับของใคร หากบอกว่าเปรียบเทียบกับของหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว แน่นอนว่าตัวอักษรของนางยังถือว่าห่างชั้นกว่าเยอะ


 


 


นั่นเป็นเพราะว่าการเขียนตัวอักษรของซูเหลียนอวิ้นฝึกเลียนแบบตามตัวอักษรตามที่สืบทอดกันมาอย่างอักษรไข่ซู[1] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวอักษรดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีเอกลักษณ์ถึงขนาดที่ทำให้จำได้ว่าผู้ใดเป็นคนเขียน


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเขียนดีมากแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้าให้เบาๆ เทียบกับอักษรที่คุณหนูเขียนเมื่อก่อนกับตอนนี้ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรว่าดีกว่ากี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว


 


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” แน่นอนว่าของของตัวเองจะมองอย่างไรก็ดูดีที่สุด!


 


 


ในที่สุดเมื่อนำกระดาษแผ่นนั้นไปส่องกับแสงอาทิตย์ดูก็พบว่าหมึกได้แห้งไปเรียบร้อยแล้ว ซูเหลียนอวิ้นเป่าไปที่จดหมายซ้ำๆ แล้วเอ่ยว่า “หลีมู่ ชวนข้าเอาใส่ซองที อีกประเดี๋ยวให้เอาไปให้ที่คนเฝ้าประตู จดหมายฉบับนี้เป็นของคุณหนูสามตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ ห้ามหายอย่างเด็ดขาด”


 


 


หลีมู่รู้ถึงความสำคัญของจดหมายฉบับนี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่านางไม่สะเพร่า จากนั้นจึงห่ออย่างระมัดระวังจนเสร็จจึงพยักหน้า “บ่าวไปเองดีกว่าเจ้าค่ะคุณหนู ให้พวกคนรับใช้พวกนั้นไป ข้ารู้สึกไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่นัก”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตัวอักษรไข่ซู คืออักษรจีนโบราณแบบตัวบรรจง 

 

 


ตอนที่ 87 เลือกกระบี่

 

“ไปเถิด”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอนุญาต นางจะได้นั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักพักหนึ่งด้วยและหค่อยๆ คิดว่าจะตอบจดหมายของหนานกงมู่เสวี่ยอย่างไรดี


 


 


เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอย่างมีสมาธิเช่นนี้ หลีมู่ก็ไม่พูดอะไรมากอยู่อีก นางก้าวเท้าเบาๆ เดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง เพราะหากทำเสียงดังรบกวนความคิดของคุณหนูเข้าคงไม่ดีแน่


 


 


ซูเหลียนอวิ้นใช้ปลายด้ามพู่กันจิ้มไว้ที่คางตัวเองมานานกว่าครึ่งก้านธูปแล้ว ในตอนที่นางรู้สึกว่าตนกำลังจะจิ้มคางตัวเองจนทะลุเป็นรูอยู่นั้น นางก็ได้เริ่มลงมือเขียนตอบจดหมายกลับไป


 


 


……


 


 


ต้วนเฉินเซวียนใช้วิชาตัวเบาลงจากภูเขามา เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะมุ่งหน้ากลับจวนทันที แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะรู้สึกอยากเดินเล่นขึ้นมา ทว่าระหว่างที่เขาเดินเล่นไปเรื่อยๆ นั้น เขาก็เดินไปจนถึงตลาดแห่งหนึ่ง แถมยังเป็นตลาดที่ขายเฉพาะของจำพวกเครื่องเหล็กเสียด้วย


 


 


“เครื่องเหล็กจ้า! เครื่องเหล็กคุณภาพดี!”


 


 


“ร้านตีกระบี่อันดับหนึ่ง ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายเชิญทางนี้!”


 


 


“อาวุธจะแบบถนัดมือหรือแบบไม่ถนัดมือ ก็ลองแวะมาชมด้านในร้านของเราว่ามีหรือไม่!”


 


 


เสียงร้องเรียกตามมาด้วยเสียงดังตึงตังของเสียงค้อนตีเหล็ก เสียงที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเอานิ้วอุดหู เขารู้สึกว่าหูของเขาตอนนี้ใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัวได้? ตอนนี้คือฤดูร้อนจัดแถมที่นี่ยังมีทั้งเตาหลอมกระบี่และเสียงเรียกขายของเอะอะ


 


 


ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต่อให้แผลของเขาใกล้จะหายแล้วแต่ก็ไม่สมควรที่จะมาลำบากอยู่ที่นี่อยู่ดี


 


 


“คุณชายท่านนี้!” คนผู้หนึ่งเข้ามาจับแขนซ้ายของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “คุณชายกำลังหาอาวุธอยู่ใช่หรือไม่? อาวุธของร้านเรามีครบครัน! ต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีของ แต่ขอเพียงท่านบอกมาเราก็จะจัดการให้ท่านได้ทันที”


 


 


เนื่องจากการแต่งกายของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือว่าป้ายหยก ของทุกอย่างบนตัวเขาเพียงมองก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยหรือเป็นหมูที่วิ่งมาชนบังตอ ลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้ จะไม่ให้รีบคว้าไว้ได้อย่างไร?


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมองมือคู่นั้นที่กวัดเกี่ยวอยู่ที่ชายแขนเสื้อของตนอย่างรังเกียจ คงเป็นเพราะมือคู่นั้นตีเหล็กมาอย่างยาวนาน จึงดำคล้ำอย่างเหลือจะบรรยาย แม้ว่าวันนี้เขาจะสวมชุดดำแต่ว่า…


 


 


เมื่อคนผู้นั้นเห็นสายตาเช่นนั้นของต้วนเฉินเซวียนก็เข้าใจความหมายแล้วรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วพลางยิ้มหวานให้


 


 


“ข้าน้อยเห็นท่านจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก คุณชายอย่าได้อารมณ์เสีย ข้าน้อยจะเช็ดออกให้ท่าน” ระหว่างที่พูดก็หยิบผ้าขี้ริ้วที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาผืนหนึ่งแล้วตั้งท่าจะเช็ดเสื้อให้ต้วนเฉินเซวียน


 


 


“ไม่ต้อง” ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยขึ้นโดยพยายามข่มอารมณ์ไว้


 


 


แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะเป็นผ้าขาว แต่กลับมีคราบเหลืองปรากฏอยู่บนนั้น เดาจากรูปการณ์แล้วคงเป็นผ้าที่ใช้เช็ดเหงื่อตอนหลอมกระบี่ของช่างหลอมกระมัง?


 


 


เอาของเยี่ยงนี้มา ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเป็นการดูถูกสายตาเขา ดังนั้นไม่ต้องหวังเลยว่าจะเอามาเช็ดเสื้อผ้าให้เขา


 


 


“ได้ๆๆ เช่นนั้นคุณชายค่อยๆ ดูเองไปพลางก่อน ข้าน้อยจะไม่รบกวนท่าน” เมื่อเอ่ยจบ ผู้ที่ปฏิบัติต่อต้วนเฉินเซวียนอย่างกระตือรืนร้นเมื่อครู่ก็หลบเข้าไปในร้านตัวเองอย่างรวดเร็วไม่เห็นแม้แต่เงา


 


 


ด้วยเหตุที่ต้วนเฉินเซวียนสวมชุดดำทั้งชุด เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ก็ดูราวกับเป็นปีศาจหน้าดำมากกว่า คนอย่างเขามาซื้ออาวุธที่ร้านของพวกเขา? พอซื้ออาวุธได้แล้วคงไม่ได้จะหาเรื่องบูชายัญอาวุธต่อกระมัง? แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


 


 


เมื่อเห็นคนผู้นั้นแอบย่องหนีไป ต้วนเฉินเซวียนจึงรู้สึกว่าไม่รู้จะไประบายโทสะใส่ใครได้ จึงทำได้เพียงอดทนไว้ นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะไปดูของที่ร้านใด ทุกร้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีอาวุธที่เหมาะกับเขา


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเดินครบหนึ่งรอบ แต่กลับหาอาวุธที่เหมาะมือไม่ได้สักชิ้น หากไม่เป็นเพราะทุกร้านต่างปฏิเสธเขาก็อาจจะเป็นเพราะรสนิยมของเขาคงสูงเกินไป ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ยังไม่มีชิ้นได้เลยที่เข้าตาของเขา


 


 


……


 


 


“คุณลุง กระบี่ที่ด้านหลังของท่านเล่มนั้น ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” ตอนที่ต้วนเฉินเซวียนตัดสินใจว่ากำลังจะกลับนั้น ร้านที่ตั้งอยู่ตรงมุมที่อยู่นอกเส้นทางร้านหนึ่งกลับมีของเตะตาเขา


 


 


“เล่มไหน?” ชายชราผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบห้าว ณ ถนนที่มีเสียงดังอึกทึกเช่นนี้ หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ คงจะไม่ได้ยินเสียงของชายผู้นี้อย่างแน่นอน


 


 


ต้วนเฉินเซวียนชี้ไปยังด้านหลังของชายชราผู้นั้น “คือเล่มนั้น เล่มที่อยู่ตรงด้านขวามือล่างของท่าน”


 


 


“อ้อ อันนี้เองหรือ” ชายชราผู้นั้นเอ่ยขึ้นหลังจากเหลือบไปมองกระบี่เล่มนั้น “กระบี่เล่มนั้นไม่เหมาะกับท่าน หากคุณชายต้องการหากระบี่สักเล่ม ลองไปดูเล่มอื่นก่อนเถิด”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนหัวร่อ “บังเอิญจริง ข้ามิได้มาเลือกกระบี่ให้ตัวเอง ตัวข้ามีกระบี่คู่กายอยู่แล้ว”


 


 


เขาเพียงรู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นดูมีชีวิตก็เท่านั้น บนโลกนี้มีกระบี่มากมาย ทว่ากระบี่ที่ดูมีพลังชีวิตนั้นหายากเสียยิ่งกว่าอะไร ในเมื่อเขาได้พบมันอยู่ตรงนี้แล้ว จะมีเหตุผลอะไรอีกเล่าที่เขาจะไม่ซื้อ? แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอื่นใด


 


 


เมื่อชายชราผู้นั้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรอีก เขาเพียงนำกระบี่ลงมาวางบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชายชอบมัน ก็ลองดูก่อน แต่อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนท่านนะ เพราะกระบี่เล่มนี้ไม่เหมาะกับท่านอย่างยิ่ง”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเอามือลูบไล้บริเวณฝักกระบี่ ฝักกระบี่นี้มีลวดลายงามวิจิตร ทว่าไม่ได้น่ารำคาญตาจนเกินไป เมื่อดูกระบี่ออกมา ลักษณะด้านในก็เป็นเช่นเดียวกัน ด้ามจับงดงามหรูหรา คมกระบี่มีลวดลายสลักไว้


 


 


งดงามเหนือธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันคือความคมของกระบี่ หากมีผู้ใดสนใจแต่ความสวยงามของกระบี่จนลืมมองข้ามความร้ายกาจของตัวกระบี่แล้ว เกรงว่าหากถูกมันปลิดชีวิตเข้า คนผู้นั้นคงยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ


 


 


“ท่านพูดถูก” ต้วนเฉินเซวียนปิดฝักกระบี่ “สีสันสดใส ไม่เหมาะกับข้าจริงๆ” ไม่ว่าจะมองอย่างไรกระบี่เล่มนี้ก็ต้องเป็นของสตรีถึงได้ตีออกมางดงามเพียงนี้


 


 


หากยอมให้กระบี่เล่มนี้ตกไปเป็นของผู้อื่น คงจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


“ฮ่าๆ” ชายชราทำท่าราวกับได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้า ทว่าด้วยร่างกายของเขาจึงทำได้เพียงหัวเราะออกมาสองคำ แล้วตามด้วยเสียงไอดังขึ้นมาอีกระลอก เขาหอบอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายรู้ที่มาของกระบี่เล่มนี้หรือไม่?”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้สนใจอะไร ที่มาของอาวุธเช่นนี้น่ะหรือ? สิบเล่มคงมีถึงเก้าเล่ม นี่เป็นอาวุธสังหาร! ด้วยเหตุนี้เจ้าของคนก่อนของมันจึง…ดังนั้นจึงทำให้กระบี่เล่มนี้มาอยู่ที่นี่


 


 


ถึงอย่างไรสิ่งของพวกนี้ ต่อให้ไม่มีที่มาแต่ก็สามารถแต่งเรื่องหลอกๆ ขึ้นมาได้สักเรื่องอยู่ดี บางทีอาจมีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้อาวุธขายออกได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ยังสามารถเอาไปพูดโม้ต่อได้?


 


 


ชายชราผู้นั้นมิทันรอให้ต้วนเฉินเซวียนเปิดปากก็เอ่ยต่อไปว่า “กระบี่เล่มนี้เป็นขององค์หญิงในราชวงศ์ก่อน กระบี่คู่กายขององค์หญิงจิ้งหว่านในตอนนั้น”


 


 


องค์หญิงจิ้งหว่าน? สมองของต้วนเฉินเซวียนค้นหาคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากตัวเขาเองมีความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้น้อยอย่างยิ่ง เขารู้เพียงว่าบนโลกนี้มีคนชื่อนี้ก็เท่านั้น


 


 


นั่นยังเป็นเพราะว่าราชวงศ์ก่อนหน้าห่างจากตอนนี้มากว่าร้อยปีแล้ว แค่องค์หญิงของแผ่นดินที่ล่มสลายไปแล้วเท่านั้น จะมีผู้ใดจำได้เล่า


 


 


สายตาของชายชราผู้นี้ยิ่งลึกซึ้งห่างไกลออกไป แววตาของเขาราวกับย้อนกลับเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำบางอย่างไปเสียแล้ว 

 

 


ตอนที่ 88 ตำนาน

 

“พอเอ่ยถึงองค์หญิงจิ้งหว่านแล้ว” ชายชรากระแอมขึ้น แววตาลึกซึ้งห่างไกล “องค์หญิงจิ้งหว่านในตอนนั้นเป็นโฉมงามสะท้านแผ่นดินผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของราชวงศ์ นางได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ในตอนนั้นเป็นอย่างมาก”


 


 


“อยู่มาวันหนึ่ง องค์หญิงจิ้งหว่านเสด็จประพาสนอกวังหลวง แล้วพบเซียนกระบี่ผู้หนึ่งเข้า เซียนกระบี่ผู้นั้นห้าวหาญอาจอง ในช่วงเวลาเพียงเท่านั้น ท่าทางเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปเข้าตาองค์หญิงจิ้งหว่านได้อย่างไร องค์หญิงองค์น้อยผู้นี้หลังจากกลับวังหลวงแล้วก็ไปขอร้องฮ่องเต้ในสมัยนั้น ด้วยหวังว่านางจะมีกระบี่เป็นของตัวเองสักเล่ม เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วนางคงมีโอกาสใกล้ชิดกับเซียนกระบี่ผู้นั้นมากขึ้น”


 


 


“ความปรารถนาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงปฏิเสธ จึงรับสั่งให้ช่างหลอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้นตีกระบี่เล่มนี้ให้องค์หญิง องค์หญิงองค์น้อยตื่นเต้นยินดีเมื่อได้รับกระบี่ด้ามนี้ จากนั้นจึงออกจากวังหลวงไปอีกรอบหนึ่งเพื่อไปยังสถานที่ที่ไปมาในวันนั้นและนางก็ได้พบคนผู้นั้นอย่างที่หวังไว้ คนผู้นั้นกลับหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า แม้ว่ากระบี่ขององค์หญิงจิ้งหว่านจะดีเพียงใด แต่นางก็ยังใช้กระบี่ไม่เป็น ประทานกระบี่เล่มนี้ให้กับนางก็เป็นการสิ้นเปลืองเปล่า”


 


 


“องค์หญิงจิ้งหว่านไม่ยอมแพ้ แล้วบอกว่าจะตามติดเขาจนเขายอมสอนวิชากระบี่ให้นาง เพราะว่าในครั้งแรกที่นางพบเขา ทำให้นางอยากจะได้กระบี่สักเล่ม เมื่อองค์หญิงเอ่ยปากใครกันจะกล้าปฏิเสธ? ทว่าเพียงการไปมาหาสู่ไม่กี่ครั้งนี้ ใจขององค์หญิงก็ค่อยๆ กลายเป็นของคนผู้นั้นไปเสียแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงไม่ยอมให้ลูกสาวที่ตนโปรดปรานไปแต่งงานกับชายตัวเปล่าเล่าเปลือยผู้นั้น แต่ก็มิอาจขวางจิตใจที่แข็งเหมือนหินขององค์หญิงจิ้งหว่านที่อยากแต่งงานกับชายผู้นั้นได้ ท้ายที่สุดองค์หญิงจิ้งหว่านก็สมความปรารถนา ทว่า…แม้ว่านางจะได้แต่งงานกับชายผู้นั้นตามความปรารถนา แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้นางต้องจ่ายค่าเล่าเรียนที่แสนสลดใจ”


 


 


“เรื่องที่องค์หญิงจิ้งหว่านไม่รู้ในตอนนั้นคือ การพบกันในคราแรกและคำพูดต่างๆ ที่เกิดตามมา ได้ผ่านการไตร่ตรองและความพยายามอย่างมากมาย เพื่อให้องค์หญิงจิ้งหว่านตกหลุมพราง ชายผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นบุตรอนุภรรยาของอัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยนั้น เขาทำทุกอย่างเพื่อแสวงหาช่องทางให้ตนได้เป็นส่วนหนึ่งของพระบรมราชวงศ์และง่ายต่อการล้างแค้นบิดาของตน แต่ด้วยนานวันเริ่มลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ท้ายที่สุดแล้ว ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของเขาได้ เขาจึงวางแผนโค่นล้มราชบัลลังก์ในเวลาต่อมา”


 


 


“องค์หญิงจิ้งหว่านผิดหวังและโกรธแค้นตัวเองที่มองคนผิดพลาดจนดึงเอาคนในครอบครัวของตัวเองต้องมาเดือดร้อนด้วยเช่นนี้” แววตาของชายชราผู้นั้นกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พอถึงตรงนี้ กระบี่เล่มนี้ก็ถึงคราวที่ต้องกลับคืนสู่บ้านเก่าแล้ว องค์หญิงจิ้งหว่านพยายามกลั้นใจเฮือกสุดท้ายของตนเอง และรวบรวมพลังทั้งหมดของตนที่มี นำกระบี่เล่มนั้นไปปลิดชีวิตคนอกตัญญูผู้นั้น แต่ด้วยมิอาจทนต่อความน่าสังเวชใจในตอนนั้นได้ สุดท้ายจึงใช้กระบี่เล่มนี้ปาดคอตัวเองตายตามไปด้วย”


 


 


เนื่องจากชายชราเล่าเรื่องราวนี้รวดเดียวจบ ลมหายใจของเขาจึงเริ่มติดๆ ขัดๆ และไออยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ต่อมาจึงมีเรื่องเล่าขานต่อจากนั้นว่า กระบี่เล่มนั้นมีวิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านสถิตอยู่”


 


 


“วิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านจะคอยปกป้องผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่มือต่อไปทุกๆ คน หากมีผู้ใดคิดทรยศต่อเจ้าของกระบี่ กระบี่เล่มนี้จะเป็นฝ่ายชิงลงมือตัดคอคนคิดคดผู้นั้น โดยที่เจ้าของกระบี่ยังมิทันจะได้ลงมือทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ”


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายจะยังต้องการกระบี่เล่มนี้อยู่หรือไม่?” ชายชราผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเยาะเย้ยดูถูก


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนมองชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเล่าเรื่องราวจบแล้วจึงยกมือขึ้นโบกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงข้องใจ “ทำไมจะไม่เล่า? เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีใหญ่มิใช่หรือ? ปกป้องผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่ทุกคน? กระบี่ที่ปกป้องเจ้าของกระบี่ได้เช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”


 


 


แววตาของชายชราฉายแววประหลาดใจ “คุณชายคงมิได้จะซื้อกระบี่เล่มนี้ให้กับคนในดวงใจกระมัง?”


 


 


คนในดวงใจ? ต้วนเฉินเซวียนฟังจบก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าผาก ผู้ใดจะมอบของขวัญเป็นกระบี่ให้กับคนในดวงใจกัน?  แถมยังเป็นกระบี่สังหารที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้…


 


 


“ท่านลุงคิดมากเกินไปแล้ว” สีหน้าของต้วนเฉินเซวียนไร้อารมณ์ใด “แค่มีคนไหว้วานข้ามา เป็นคนที่มีบุญคุณต่อกันก็เท่านั้น ดาบเล่มนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้า ดังนั้นท่านอย่าได้เข้าใจผิดเลย ดาบเล่มนี้ราคาเท่าไหร่ท่านเสนอราคามาเถิด ข้าเสียเวลาอยู่กับท่านตรงนี้มานานพอสมควรแล้ว”


 


 


“ในเมื่อองค์ชายยืนกรานเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรให้มากความอีก” ชายชราหันตัวกลับไปแล้วหยิบกระบี่เล่มนั้นส่งให้ต้วนเฉินเซวียน “เดิมทีกระบี่เล่มนี้ก็ไม่มีราคาอะไร ในเมื่อคุณชายถูกชะตากับมัน เรื่องราวของพรหมลิขิตมิอาจตีราคาเป็นเงินตราได้ กระบี่เล่มนี้มอบให้ท่านก็แล้วกัน ข้าหวังเพียงว่าในวันหน้าท่านจะไม่รู้สึกผิดกับการเลือกของท่านในครั้งนี้ แค่กๆ แค่กๆ”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้ว เนื่องจากตอนที่เขาอยู่กับหรงซู่ในตอนที่เขากำลังจะจากมานั้น หรงซู่ก็เอาแต่พูดถึงพรหมลิขิตอะไรนี่ พอมาถึงที่นี่ ณ ร้านขายอาวุธเล็กๆ ร้านหนึ่งยังมีคนพูดถึงเรื่องโชคชะตากับเขาอีก?”


 


 


หรือว่าเขาจะออกบวชด้วยเลยดีหรือไม่? ในเมื่อมีโชคชะตาเช่นนี้


 


 


แต่ในเมื่อได้ของมาฟรีๆ เช่นนี้ใครจะไม่อยากได้เล่า? ได้กระบี่ล้ำค่ามาโดยไม่ต้องเสียเงิน การมาที่นี่ในครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า ตอนนั้นเองที่ต้วนเฉินเซวียนเริ่มรู้สึกว่าเสียงตีดาบและเสียงดังเอะอะที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายนั้นน่าฟังขึ้นเยอะ


 


 


“คุณชายเก็บไว้ให้ดี เดินระวังด้วย แค่กๆ…” ชายชราผู้นั้นเอ่ยเบาๆ ในสายตาของเขาปรากฏแววตาบางอย่าง ทว่าเขารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดสายตานั้นทันที


 


 


ต้วนเฉินเซวียนก้าวเท้าอาดๆ จากไปโดยไม่หันมาสนใจเสียงด้านหลังอีก มือของเขาทั้งซ้ายขวากำลังชั่งน้ำหนักของกระบี่เล่มนั้น น้ำหนักเบาคล่องมืออย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเอาไปมอบให้ผู้ใดก็ไม่ขายหน้าอย่างแน่นอน


 


 


ทว่าหากจะนำไปมอบให้ผู้อื่นจริงจะมอบให้ในนามของผู้ใด?


 


 


ต้วนเฉินเซวียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ในเมื่อเขาเป็นผู้ซื้อกระบี่เล่มนี้ โดยที่เขาต้องเหนื่อยและทนฟังเสียงดังเอะอะเป็นเวลานานขนาดนั้นโดยที่ตัวเขายังบาดเจ็บอยู่เพื่อออกตามหาซื้อกระบี่เล่มหนึ่ง แต่คำแนะนำให้ซื้อของสิ่งนี้เป็นความคิดของหรงซู่? หากไม่มีการแนะนำของหรงซู่ เขาจะไม่มีทางมีกระบี่เล่มนี้


 


 


ทว่าเมื่อเขาจินตนาการถึงสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนที่ได้รับกระบี่เล่มนี้ ริมฝีปากของต้วนเฉินเซวียนก็หยักยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


 


มิถูกสิ! ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้าอย่างรุนแรง เขาคงไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม? ซูเหลียนอวิ้นจะดีใจหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเสียที่ไหน หากนางเดือดร้อนเมื่อไหร่ เขาถึงค่อยดีใจจึงจะถูก!


 


 


เขาเกือบลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่วัดฝ่าฝัวในวันนั้นไปเสียแล้ว! ค่ำคืนที่น่าอับอายนั้น!


 


 


มือของต้วนเฉินเซวียนที่กำกระบี่อยู่นั้นยิ่งบีบแน่นมากขึ้น เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและทำตัวไร้พิษสง ต้วนเฉินเซวียนยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นตัวเองยังโง่ติดกับดักของนางอีก!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนนึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ในเมืองหลวงที่มีต่อซูเหลียนอวิ้นขณะนี้


 


 


ล่อลวงจิตใจมนุษย์ โฉมสะคราญที่ชวนหลงใหล บางที…นี่อาจจะไม่ได้เป็นเพียงข่าวโคมลอย?


 


 


เมื่อนึกถึงซูเหลียนอวิ้นที่ถูกแสงจันทร์ส่องต้องในค่ำคืนนั้น ในใจของเขาพลันบังเกิดความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยยากจะอธิบาย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนพยายามข่มความคิดแปลกประหลาดนั้นของตนลง จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองกระบี่ที่อยู่ในมือ กระบี่ชั้นยอดเช่นนี้ หากเขานำมันมอบให้กับซูเหลียนอวิ้นไปเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับตัวเองเป็นอย่างมาก


 


 


เนื่องจากเขามิได้ใจกว้างถึงขนาดจะมอบของให้กับผู้ที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อนได้ จิตใจของเขานั้นคับแคบยิ่ง ดังนั้นเขาจึงโยนคำพูดเหล่านั้นของหรงซู่ทิ้งไปและไม่คิดถึงมันอีก 

 

 


ตอนที่ 89 ผู้ร่วมงาน

 

 


 


หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นขยำกระดาษไปแล้วไม่รู้กี่แผ่นต่อกี่แผ่น สุดท้ายก็มีแผ่นหนึ่งที่นางดูแล้วรู้สึกเข้าตาที่สุด


 


 


“หลีมู่ เอาแผ่นนี้แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างพอใจ นางรู้สึกว่าแผ่นนี้คงไม่ทำให้นางต้องขายหน้าผู้อื่น อย่างน้อยก็สวยกว่าสองสามแผ่นก่อนหน้าเยอะมากทีเดียว คงพอที่จะไม่ทำผู้อื่นรู้สึกรังเกียจได้แล้วกระมัง?


 


 


“เอ๊ะ? ได้เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะรีบปิดซองให้คุณหนู” หลีมู่ลุกขึ้นยืนแล้วขยี้ตา จากนั้นจึงรับกระดาษแผ่นนั้นไว้


 


 


ตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นมาจนถึงตอนบ่ายซูเหลียนอวิ้นไม่ได้หยุดพักเลย นางเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่หลายรอบต่อหลายรอบ กองกระดาษเสียที่นางโยนทิ้งเอาไว้บนพื้น ตอนนี้เพียงก้มหน้าลงมองก็เห็นได้โดยง่ายแล้ว


 


 


หลีมู่แอบนึกขำในใจ หากนางไม่รู้แต่แรกว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของหนานกงจวิ้นจู่ นางคงเข้าใจว่าคุณหนูของนางกำลังเขียนจดหมายรักให้ผู้ใดอยู่! เพราะสายตาและท่าทางที่จริงจังและมีสมาธิเช่นนี้ สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากทีเดียว


 


 


ทว่าสำหรับกองกระดาษที่กองอยู่บนพื้น ตอนแรกหลีมู่วางแผนเอาไว้ว่า เมื่อซูเหลียนอวิ้นโยนทิ้งหนึ่งแผ่น นางก็จะเข้าไปเก็บทันทีและรวบรวมออกไปทิ้งทีเดียว ทว่าความเร็วในการโยนทิ้งของซูเหลียนอวิ้นนั้นเร็วกว่าหลีมู่ก้มตัวเก็บของเสียอีก! เพราะบางแผ่นซูเหลียนอวิ้นเขียนเพียงตัวเดียวก็รู้สึกไม่พอใจแล้ว นางจึงโยนทิ้งทันที


 


 


สุดท้ายหลีมู่เริ่มรู้สึกว่าเอวของตนใกล้จะหักเต็มทีแล้ว เพียงแค่นางก้มตัวก็รู้สึกเหมือนกระดูกหลังทั้งหลังของนางกำลังจะแยกออกเป็นส่วนๆ นางจึงไม่กล้าก้มตัวลงไปเก็บกระดาษถี่ๆ แบบนั้นอีก อีกทั้งเมื่อวานนางเพิ่งจะไปขึ้นเขาลงเขามา ตอนนี้นางจึงทั้งเหนื่อยทั้งง่วงเพราะว่ายังนอนหลับไม่เต็มอิ่ม


 


 


ดังนั้นแม้ว่าสติสัมปชัญญะสุดท้ายของนางจะบอกตัวเองว่าให้อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูจนกว่าคุณหนูจะเขียนจดหมายเสร็จ ทว่าร่างกายของนางกลับฝืนต่อไปไม่ไหว ท้ายที่สุดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางนั่งพิงขอบประตูแล้วหลับไป


 


 


“โอ๊ย!” ซูเหลียนอวิ้นบิดขี้เกียจ “หลีมู่เจ้าต้องเร่งคนเฝ้าประตูหน่อยฝั่งโน้นหน่อยว่าให้พวกเขารีบส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือหนานกงจวิ้นจู่โดยเร็ว พวกเราตอบจดหมายกลับช้าไปวันหนึ่งแล้ว ห้ามเสียเวลากับอะไรอีกเด็ดขาด”


 


 


“เจ้าค่ะ…” หลีมู่พึมพำขึ้นเบาๆ จากนั้นก็รับคำ ทว่าตอนนี้นางอยากจะถามคำถามสักข้อ ว่าความสัมพันธ์ของคุณหนูกับหนานกงจวิ้นจู่คุ้นเคยกันถึงขั้นนั้นเลยหรือ ?”


 


 


เพราะโดยปกติแล้วคนทั่วไปจะเรียกนามว่าหนานกงจวิ้นจู่ แล้วทำไมคุณหนูของนางถึงได้เรียกชื่อจริงออกไปตรงๆ เช่นนั้น? แน่นอนว่าการเรียกชื่อออกไปตรงๆ ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่การเรียกแบบนั้นต้องเป็นการเรียกระหว่างคนที่สนิทชิดเชื้อกันมากๆ ถึงจะเรียกได้มิใช่หรือ…เพราะหากคนอื่นได้ยินเข้า ไม่รู้ว่าเขาจะนินทาลับหลังคุณหนูว่าอย่างไรอีก


 


 


หากไม่ว่าว่าคุณหนูไร้มารยาท ก็ต้องคิดว่าคุณหนูกำลังหาทางตีสนิทอยู่อีก


 


 


แต่พอนึกได้ว่าหนานกงจวิ้นจู่เป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาหาคุณหนูก่อนเอง หลีมู่ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องเล็กน้อยอย่างคำเรียกชื่อไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจอีก


 


 


เพราะถึงอย่างไรคุณหนูของตนรู้จักแม้กระทั่งเหล่ายอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวห่างไกลจากความวุ่นวายบนโลกได้ ดังนั้นแค่จวิ้นจู่ธรรมดาคนหนึ่งจะมีอะไรให้น่าแปลกใจนักหนา เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างโลกทัศน์ของนางกับของคุณหนูแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มากนัก


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้เลยว่าหลีมู่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนี้แล้ว เพราะตอนนี้ในหัวของนางเพียงครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากกับอันเพ่ยอิงและคนอื่นๆ อย่างไรดีเกี่ยวกับเรื่องที่นางเชิญหนานกงมู่เสวี่ยมาร่วมงาน


 


 


เอ่ยตามตรง? ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ หากนางบอกไปตามตรงนางคงจะโดนท่านแม่และท่านย่าของตนไล่ต้อนถามจนจนมุม หรือจะโกหก? ก็เป็นสิ่งที่นางทำไม่เป็น…พอคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจได้ว่าพูดออกไปตามตรงจะดีกว่า หากถึงตอนนั้นทนไม่ไหวจริงๆ ค่อยอ้างว่าป่วยไปก็แล้วกัน


 


 


เพราะหูของนางมิอาจทานทนกับการไล่ต้อนถามอันน่าทรมานใจเช่นนั้นได้


 


 


……


 


 


บนโต๊ะอาหาร ยังไม่ทันจะได้เริ่มกินข้าวสักคำ อันเพ่ยอิงก็เริ่มเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวังถึงเรื่องวันงานพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นแล้ว


 


 


อันเพ่ยอิงเอ่ยหยั่งเชิงซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นลูกสาวของตนอารมณ์แจ่มใสไม่เลวก็สบายใจขึ้นมา


 


 


นางรู้ดีว่าลูกสาวของตนเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตลอดมา หากรู้ว่าตนเชิญมาได้เพียงลูกสาวเรือนเล็กทั้งสองคน อันเพ่ยอิงกลัวอย่างยิ่งว่าซูเหลียนอวิ้นขว้างตะเกียบทิ้งและชักสีหน้าขึ้นมา


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “แม่ไปเจอคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสองคนที่ยินดีจะมาเป็นผู้ดำเนินพิธีและผู้ถือถาดรองในงานของลูก…คือ แม้ว่าสองคนนั้นจะเป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา แต่ก็ถือว่าเป็นลูกสาวของตระกูลขุนนางที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์…”


 


 


“บุตรีของอนุภรรยา?” ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซูปั๋วชวนก็เป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วยแล้ว “เพ่ยอิง เจ้าเชิญคนอย่างไรกันถึงได้ไปเชิญลูกอนุภรรยามาได้? คนพวกนั้นมีความหมายว่ากระไร? นี่ถือเป็นการดูถูกตระกูลซูของเราหรือไม่? บุตรีของอนุภรรยาทั่วๆ ไปจะเหมาะสมมาเป็นผู้ร่วมงานของอวิ้นเอ๋อร์ได้อย่างไร?”


 


 


“ท่านพี่…” อันเพ่ยอิงลนลาน เดิมทีนางตั้งใจว่าจะเอ่ยเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ใดจะคิดว่าจะโดนสามีของตัวเองยกเอาประเด็นที่พวกนางเป็นแค่บุตรีของอนุภรรยากล่าวออกมาตรงๆ เช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางที่มีเกียรติ แต่ก็เป็นเพียงลูกอนุภรรยาเท่านั้น


 


 


“มิผิด” หวังฉือหวนได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นพลางวางตะเกียบลงเสียงดัง “ปัง” ด้วยสีหน้านิ่งขรึมเช่นเดียวกัน “ครั้งนี้ลูกข้าเอ่ยได้ถูกต้อง แค่บุตรีของอนุภรรยาธรรมดา ตระกูลซูของพวกเรามิใช่ตระกูลธรรมดา ฮูหยิน ครั้งนี้เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!”


 


 


 หวังฉือหวนเหลือบมองอันเพ่ยอิงคราหนึ่งด้วยสายตาที่ไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจถึงความหมาย


 


 


อันเพ่ยอิงตั้งท่าจะเอ่ยปากโต้ตอบแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากตอบโต้ไปว่าอย่างไรดี เพราะนางเองก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้อง…แต่ครั้งนี้นางก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ตอนนั้นเองสายตาของนางจึงปรากฏแววตาจากการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดเป็นประกายวิบไหว ราวกับน้ำตากำลังจะไหลลงมา


 


 


ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ กินอาหารคำสุดท้ายที่อยู่ในถ้วยแล้วเช็ดปาก เมื่อเห็นบรรยากาศอึกอักบนโต๊ะอาหารจะกระแอมเบาๆ พยายามที่จะคิดหาเหตุผลออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจแทนลูกหรอกเจ้าค่ะ ลูกกำหนดคนที่จะมาร่วมงานไว้เรียบร้อยแล้ว”


 


 


“กำหนดไว้แล้ว?” อันเพ่ยอิงเบิกตาโพลงจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น “เป็นคุณหนูจากตระกูลใดกัน?”


 


 


 ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์มีเพื่อนสนิทร่วมเรียงเคียงหมอนด้วยหรือ? ทำไมคนเป็นแม่เช่นนางกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย?


 


 


ดังนั้นสุดท้ายแล้วเป็นนางเองที่ไม่รู้จักลูกสาวตัวเองดีเพียงพอ…แม้แต่เพื่อนสนิทของลูกสาวตัวเองก็ยังไม่รู้? พออันเพ่ยอิงคิดถึงตรงนี้ ในใจของนางพลันบังเกิดความรู้สึกที่หลากหลายผสมผสานหลอมรวมกัน


 


 


“เพื่อนช่วยดำเนินพิธีลูกตั้งใจว่าจะเชิญคุณหนูสามของตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ ส่วนผู้ถือถาดรองลูกตั้งใจว่าจะเชิญหนานกงจวิ้นจู่เจ้าค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงบรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัด


 


 


“น้องหญิง” ซูมั่วเยี่ยที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ขึ้น “ที่น้องหญิงบอกว่าคุณหนูสามของตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ…ใช่คุณหนูที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าในงานฉลองวสันตฤดูหรือไม่? นี่ถือว่าเป็นการเลือกที่ไม่เลวเลย แต่…สำหรับหนานกงจวิ้นจู่” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดลง จากนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรไปอีกพักใหญ่


 


 


“จริงด้วยอวิ้นเอ๋อร์ หากเป็นหนานกงจวิ้นจู่…” แม้ว่าซูปั๋วชวนจะเป็นคนห่ามๆ ไม่สนใจอะไร แต่เรื่องนี้เขากลับเข้าใจดี แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยได้ยินว่าหนานกงจวิ้นจู่กับลูกสาวของตนมีสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่นางจะมาเข้าร่วมในงานพิธีสำคัญอย่างพิธีปักปิ่นเลย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม