ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 82.1-83.3
ตอนที่ 82-1 พลิกสถานการณ์
เจี่ยไทเฮาเพิ่งพูดเรื่องพระราชทานสมรสได้เพียงครึ่งเดียว ซย่าโหวซื่อถิงก็ไอเบาๆ ออกมาสองที
ทว่าองค์ชายแปดเยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับเบิ่งตาชั้นเดียวจนโต พลางชี้ไปที่ถ้วยหยกในมือเสด็จพี่“เสด็จพี่สาม…”
เหล่าองค์ชายและสตรีชั้นสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามล้วนหันมามองตามเสียง
เจี่ยไทเฮาแสดงสีหน้าไม่สู้ดีนักออกมา จูซุ่นจึงกระแอมไอไปสองที คิดในใจ เยี่ยนอ๋องอายุยังน้อย ที่ผ่านมาก็ร่าเริงสดใสรู้กาลเทศะเสมอ แต่ครั้งนี้ใยจึงขัดคอไทเฮาไปได้
แต่เยี่ยนอ๋องเหมือนยังไม่รู้ตัว หลังจากหลุดเรียกเสด็จพี่สามออกมา ก็ลุกพรวดขึ้น ใบหน้าน้อยๆ อันหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “มีใครอยู่บ้าง เรียกหมอหลวงมาเร็ว!…”
สิ้นเสียง เจี่ยไทเฮาก็ตกใจ สนมเอกเฮ่อเหลียนรีบโน้มตัวเพ่งมอง พลางใจเต้นแรง หรือพิษในตัวของโอรสกำเริบขึ้นอีก จึงถามเสียงแหบแห้ง “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก…”
จูซุ่นรีบวิ่งลงบันไดไปหา พอก้มลงดู ก็พบว่าน้ำในถ้วยหยกที่ฉินอ๋องเพิ่งจิบเมื่อครู่ มีโลหิตสีแดงปนเปื้อนอยู่ ฉินอ๋องกระอักโลหิต! จึงยืนตะลึงชั่วขณะ ก่อนตะโกนเรียกขันทีน้อยสองคน
“เร็ว ไปสำนักหมอหลวง รีบเชิญหมอหลวงมา…”
ยังไม่ทันพูดจบ ข้อมือของจูซุ่นก็ถูกคนตรงหน้าจับไว้ หรือกำลังถูกชายหนุ่มตรงโต๊ะอาหารยับยั้งไว้
จูซุ่นอึ้ง เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาแต่ซีดเซียวของฉินอ๋องเงยขึ้น แล้วใช้ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะเช็ดเบาๆ ที่มุมปาก ก่อนพูดเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
พูดจบ ฉินอ๋องก็ลุกขึ้นยืน หันมองเจี่ยไทเฮา ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ แม้ดูอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่ดูไปแล้วก็ไม่เป็นไรจริงๆ
“หลานทำให้เสด็จย่าตกพระทัยแล้ว แต่อาการเช่นนี้เป็นปกติของหลาน ตั้งแต่ไม่สบายมาสิบกว่าปี จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ หลานขัดพระเกษมสำราญ พระอาญาไม่พ้นเกล้า!”
ว่าแล้วก็ยกแขนเสื้อ หยิบถ้วยหยกที่บ่าวรับใช้เปลี่ยนมาให้ใหม่และรินน้ำใส่จนเต็ม ขึ้นดื่มจนหมดถ้วย!
เจี่ยไทเฮาค่อยโล่งอก พลางเปลี่ยนความคิด ขนาดกระอักโลหิตยังเป็นเรื่องปกติ แสดงว่าหลานคนนี้ต้องได้รับความเจ็บปวดมาไม่น้อย ก็รู้สึกสงสารจับใจ จึงถอนใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ดี เช่นนั้นฉินอ๋องก็นั่งลงพักผ่อนก่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้น ก็อย่าฝืน ต้องรีบเรียกหมอหลวงทันที”
การขัดจังหวะเช่นนี้ ทำให้คำพูดพระราชทานสมรสของเจี่ยไทเฮาถูกตีกลับฉับพลัน อาการไม่สบายของหลานเพิ่งกำเริบ นางไหนเลยจะมีกะใจจับคู่ให้ฉินอ๋องกับอวี้โหรวจวงอีก เอาเถิดๆ รอดูไปก่อนก็แล้วกัน สายหน่อยค่อยพูดก็ได้
แต่อวี้โหรวจวงกลับขมวดคิ้ว ไทเฮายังตรัสพระราชทานสมรสไม่จบ ก็เกิดเรื่องขึ้น นี่เป็นความบังเอิญหรือจงใจกันแน่
ด้านสนมเอกเฮ่อเหลียน แม้เห็นโอรสนั่งลง ก็ยังไม่ไว้วางใจ ร้อนใจดุจมดบนหม้อน้ำร้อนอย่างไรอย่างนั้น นั่งอย่างกระสับกระส่าย พลางจับมืออวิ๋นหว่านชิ่นไว้
วันนี้อวิ๋นหว่านชิ่นมาเป็นเพื่อนสนมเอก ต้องดูแลพระองค์ให้ดี จึงหันบอกเมี่ยวเอ๋อร์ให้ไปถามไถ่อาการจากฉินอ๋องหน่อย เมื่อครู่จู่ๆ ที่เขาทำเช่นนั้น นางก็ตกใจเหมือนกัน คิดๆ ดู จึงฝากคำพูดไปกับเมี่ยวเอ๋อร์อีกหลายประโยค
เมี่ยวเอ๋อร์เดินอ้อมโต๊ะไปทักทายซือเหยาอันกับขันทีที่คอยรับใช้ฉินอ๋องก่อน และพอเดินเข้ามาข้างกายฉินอ๋อง ก็โค้งคารวะ
“ถวายบังคมท่านอ๋อง พระสนมเอกบอกให้บ่าวมาถามดูว่าตอนนี้อาการของท่านอ๋องดีขึ้นแล้วหรือยัง”
พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่าเป็นสาวใช้ข้างกายของอวิ๋นหว่านชิ่น ก็กระพริบตาปริบๆ หน้ากลับแดงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย “บอกพระสนมเอกว่า ทรงวางพระทัยได้ ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
เมี่ยวเอ๋อร์ลังเลสักพัก ก่อนก้าวเข้าใกล้อีกหน่อย พลางมีท่าทีผ่อนคลายลง อมยิ้มแล้วพูดเสียงเบา
“คุณหนูของบ่าว ก็มีเรื่องอยากจะถาม”
“ว่ามา” พูดเสียงเรียบ แต่ใจเต้นไม่เป็นระส่ำ
เสียงเล็กๆ ของเมี่ยวเอ๋อร์ ฟังดูเจ้าเลห์ชอบกล “คุณหนูว่า…ท่านอ๋องแกล้งทำหรือเปล่า”
ซย่าโหวซื่อถิงหน้าแดงระเรื่อ “นางเป็นหนอนในท้องของข้าหรือไง เที่ยวเดามั่วซั่ว”
เมี่ยวเอ๋อร์พูดยิ้มๆ กดเสียงให้เล็กลงไปอีก
“…คุณหนูว่า ถ้าท่านอ๋องเจ็บริมฝีปากมาก ก็ให้ดื่มน้ำเย็นมากหน่อย ช่วยบรรเทาความเจ็บได้ อ้อ จริงสิ ยังเตือนว่า ท่านอ๋องอย่าลืมเช็ดริมฝีปากที่ทรงกัดแตกให้เรียบร้อยด้วย เพราะถ้าใครเห็นเข้า อาจทูลฟ้องว่าท่านอ๋องหลอกลวงไทเฮา” ว่าแล้วก็ปิดปากหัวเราะ ก่อนรีบหันกาย เดินตัวปลิวจากไป
นางมารน้อย ซย่าโหวซื่อถิงตีหน้าขรึม จ้องมองเยื้องๆ ไปยังฝั่งตรงข้าม แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดรอยโลหิตที่มุมปากหน้าตาเฉย
พอเมี่ยวเอ๋อร์กลับไป ก็ถ่ายทอดคำพูดและเล่าปฏิกิริยาของซย่าโหวซื่อถิงให้อวิ๋นหว่านชิ่นฟัง
ที่แท้ ก็เป็นอุบายของเขาในการปฏิเสธคำสั่งให้สมรสกับอวี้โหรวจวงอย่างละมุนละม่อมจริงๆ แต่จู่ๆ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เอะใจขึ้นมา…ถึงปฏิเสธครั้งนี้ ก็ยังมีครั้งหน้า อวี้โหรวจวงถูกกำหนดให้เป็นชายาเอกของฉินอ๋องแล้ว ถึงเขาจะกระอักโลหิตแกล้งป่วย ก็เป็นเพียงการแสดงคั่นรายการ ในชาติก่อน ยกนิ้วนับดูแล้ว เกรงว่าคงจะอยู่ในช่วงปีนี้ล่ะ ที่หนิงซีฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้องค์ชายสามท่านนี้
แล้วสนมเอกเฮ่อเหลียนก็หันมาถามอาการของโอรส ทลายภวังค์ของอวิ๋นหว่านชิ่นลง ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็รีบยิ้ม ก่อนตอบ
“เมื่อครู่หม่อมฉันให้คนไปถามมาแล้วเพคะ ท่านสามบอกว่าไม่เป็นไร ให้พระสนมเอกวางพระทัยได้”
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงวางใจได้ในระดับหนึ่ง หรือโอรสแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อหนีงานวิวาห์?
คำว่า ‘ท่านสาม’ ของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า คล้ายเผยให้เห็นความลับอะไรบางอย่าง เพราะนอกจากคน
ข้างกายโอรสแล้ว ยังจะมีสาวใดอีกที่สามารถเรียกเขาได้สนิทชิดเชื้อเช่นนี้…เดิมทีคิดว่าโอรสเพียงสนใจนังหนูเท่านั้น ตอนนี้ดูไปแล้ว ขนาดปฏิเสธสมรสพระราชทานอย่างละมุนละม่อม ยังทำไปได้ ก็ไม่ใช่แค่สนใจแล้วล่ะ
พอคิดได้เช่นนี้ สนมเอกเฮ่อเหลียนก็รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ชายาเอกของโอรสถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นคุณหนูบ้านสกุลอวี้ หรือต่อให้ไม่ใช่ ในราชสำนักก็ยังมีคุณหนูบ้านท่านโหว กง ป๋อ ต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีทางตกถึงมือคุณหนูบ้านขุนนางรุ่นใหม่ชั้นสามแน่
แต่ถ้าโอรสชอบ นางก็ต้องหาวิธีทูลขอให้หนิงซีฮ่องเต้พระราชทานให้คุณหนูอวิ๋นเป็นชายารอง ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะวันนี้เจี่ยไทเฮาชื่นชอบคุณหนูอวิ๋นแล้ว แต่ชายาเอก…เกรงว่าคงเป็นไปได้ยาก
ดูท่าโอรสต้องมีใจกับคุณหนูอวิ๋นพอควร ในเมื่อวันนี้กล้าปฏิเสธไทเฮา แล้ววันหน้าล่ะ ถ้าขัดพระบัญชาฝ่าบาทขึ้นมาจะทำอย่างไรดี
แม้สนมเอกเฮ่อเหลียนอยากให้โอรสรีบมีคนผู้รู้ใจข้างกายไวๆ แต่ก็ไม่อยากได้สาวสวยที่อาจเป็นต้นเหตุของปัญหาในอนาคต ไม่อยากเห็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ทำให้โอรสกับฝ่าบาทเกิดช่องว่างระหว่างกัน
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น ที่เรียกเขาว่าท่านสามนั้น เป็นเพราะเรียกจนติดปากในทุกครั้งที่เจอ ตอนนี้พอเห็นพระสนมเอกมีสีหน้าครุ่นคิดแฝงความกังวลเล็กๆ ก็รู้แล้วว่าไม่ควรเรียกเช่นนี้ จึงรีบหุบปาก ไม่พูดมากอีก
และพอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าพระสนมเอกที่มีอัธยาศัยดีกับคุณหนูมาตลอด พูดคุยยิ้มหัวด้วยไม่หยุดหย่อนนั้น ตอนนี้ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็เงียบเชียบไป จึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างอดไม่ได้
ขณะเดียวกัน ที่นั่งด้านบนก็มีเสียงสตรีที่แจ่มชัดและเคร่งขรึมดังมา
ตามกฎระเบียบแล้ว ก่อนรับประทานอาหาร เจี่ยงฮองเฮาต้องเป็นผู้นำ ให้กลุ่มคนแต่ละกลุ่มทยอยกันยกจอกสุราออกไปคารวะเจี่ยไทเฮา แล้วค่อยดื่มจนหมดจอก
“หม่อมฉันในฐานะผู้แทนองค์ฮ่องเต้และผู้แทนเหล่าสนมนางในของวังหลัง ขอคารวะเสด็จแม่ ขอเสด็จแม่อายุมั่นขวัญยืนและมีความสุขตลอดไป!”
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงไม่มีเวลาคิดมากอีก ทิ้งความกังวลและความกลัดกลุ้มไปชั่วคราว ลุกขึ้นยืนพร้อมจอกสุราในมือร่วมกับอวิ๋นหว่านชิ่นและคนอื่นๆ ในโต๊ะ ก่อนเดินออกจากโต๊ะ ไปยืนอยู่ด้านหน้า ถวายพระพรเจี่ยไทเฮาขอให้ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี
นี่เป็นประเพณีการคารวะสุราที่ยิ่งใหญ่สุดของงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้
ตอนที่ 82-2 พลิกสถานการณ์
อวิ๋นหว่านชิ่นเคยได้ยินเฉินจื่อหลิงเล่าว่า ตามกฎระเบียบของวังหลวง พอเหล่าสนมนางในคารวะสุรากันเสร็จสรรพ ก็ถึงคราวของเหล่าองค์ชายเจริญวัย ถือป้านสุรา เดินเข้าไปในศาลา รินสุราให้เสด็จย่าด้วยตนเอง เรียกว่า สุราลูกหลานบ่ม
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นคารวะสุราร่วมกับสนมเอกเฮ่อเหลียนเรียบร้อย ก็ถอยไปยืนข้างพรมแดง จากนั้นก็รู้สึกว่าสัมผัสโดนชายเสื้อชุดผ้าไหมสีม่วงปักดิ้นทองลายมังกรสี่เล็บที่ปลิวเบาๆ ขึ้นมาครึ่งตัว พอมองไป ก็เห็นฉินอ๋อง เขาเหมือนองค์ชายท่านอื่นๆ ที่ลุกขึ้นจากที่นั่งมายืนรอต่อแถวคารวะสุรา โดยข้างกายองค์ชายทุกพระองค์จะมีขันทีน้อยคนหนึ่งคอยถือป้านสุราให้
ซึ่งขันทีน้อยที่ตามฉินอ๋องอยู่ข้างกายนั้น ถือถาดไม้แดงไว้ในมือ ในถาดวางป้านสุราที่มีสุราอยู่เต็มป้าน เช่นเดียงกันกับขององค์ชายท่านอื่นๆ เป็นป้านสุราสีทองสลักลายมังกรและหงส์ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็น ถ้าสุราที่รินให้ผู้สูงวัยอย่างไทเฮาดื่มเย็นลง เกรงว่าไทเฮาอาจไม่สบายได้ สุราในป้านจึงเป็นสุราอุ่นๆ ที่เพิ่งผ่านการต้ม โดยอาศัยช่วงรอต่อแถว วางไว้ในถาดให้ร้อนน้อยลง
ฉินอ๋องเดินตรงเข้ามา ห่างจากนางราวสามสี่ก้าว กลิ่นที่คุ้นเคยของชายหนุ่มโชยเข้าจมูกอวิ๋นหว่านชิ่น ขณะก้าวยาวๆ เข้ามา นอแรดที่ห้อยสายรัดเอวกระเด้งกระดอนพร้อมกับกลิ่นอำพันทะเล นางแทบอยากกลั้นหายใจ โดยไม่คิดว่า ตอนสูดหายใจเข้าไปก่อนที่จะกลั้นหายใจ กลับทำให้นางสะดุ้งตกใจ จนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
เป็นเกสรดอกไม้ กลิ่นเกสรดอกไม้ ผู้ที่เคยสัมผัสกับเกสรดอกไม้จะรู้ว่า ดอกไม้สดแม้หอม แต่ถ้าดมเฉพาะเกสรดอกไม้เพียงอย่างเดียว จะได้กลิ่นคาวจางๆ และกลิ่นเหม็นเขียวร่วมด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่น่าดมสักเท่าไหร่ แต่มีเอกลักษณ์มาก ดังนั้นแม้เกสรดอกไม้สามารถใช้ทำอาหารเสริมเพื่อความงาม แต่สตรีมากมายก็ไม่ชอบกิน เพราะกลิ่นของมันทำให้กินไม่ลง
พอเงยหน้าขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็จ้องฉินอ๋องเขม็ง
กลิ่นนี้โชยมาจากตัวเขา
เจี่ยไทเฮาเป็นภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ แล้วเหตุใดในงานเลี้ยงถึงได้มีกลิ่นเกสรดอกไม้ได้ล่ะ!
อีกทั้ง กลิ่นแรงมากด้วย!
ถูก กลิ่นนี้ คล้ายกับกลิ่นสุราดอกไม้สามชนิดที่หลายวันก่อนตนหมักทิ้งไว้แล้วนำออกมาดื่มกับเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า! เป็นกลิ่นของกรดแอลกอฮอล์ผสมกับเกสรดอกไม้
และนี่ก็เป็นเวลาคารวะสุราพอดี…
สุรา…หรือมีคนนำเกสรดอกไม้ใส่ลงไปในสุรา?
แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ชักช้าแม้เพียงเสี้ยวเวลาไม่ได้เป็นอันขาด อวิ๋นหว่านชิ่นรีบก้าวเข้าหา
ขันทีน้อยที่ยืนถือถาดป้านสุราอยู่ข้างๆ ฉินอ๋อง ดวงตามืดหม่นลง ก่อนเงยหน้าขึ้น
“คุณหนูอวิ๋น…”
พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่า จู่ๆ นางก็เดินเข้ามา พลางใช้ดวงตาอันใสเย็นจ้องมองเขาเขม็ง คล้ายมีอะไร
อยากพูดด้วย ก็วางท่าขรึมและหยุดเดิน
ในสถานการณ์แบบนี้ ไหนเลยจะมีโอกาสอธิบาย อวิ๋นหว่านชิ่นคิดใหม่ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน
การรินสุราลูกหลานบ่ม เพื่อความเป็นศิริมงคลในการคารวะสุรา มีกฎเกณฑ์และลักษณะร่วมที่ไม่เหมือนกับของแขกเหรื่อท่านอื่นๆ คือ ไม่สามารถอ้างเหตุผลใดๆ เพื่อเปลี่ยนป้านสุรา ยิ่งไม่สามารถบอกความจริง เพราะถ้าพูดออกไป เจี่ยไทเฮาก็รู้แต่เพียงว่า ฉินอ๋องเป็นคนนำสุราเกสรดอกไม้มาคารวะ ต่อให้เขามีสิบปาก ก็โต้เถียงยาก
มีแต่ต้องกำจัดทิ้ง!
เว่ยอ๋องยืนอยู่ถัดจากองค์ชายสาม พอเห็นคุณหนูอวิ๋นเดินเข้ามาและยืนขวางขันทีน้อยผู้ถือถาดสุราของฉินอ๋องอยู่ ก็ตกใจ เพราะกำลังกินปูนร้อนท้อง เกรงว่านางจะทำให้เสียแผน จึงขมวดคิ้วพลางตะคอกใส่
“นี่ๆๆ! มาจากไหนน่ะ รู้จักกฎระเบียบไหม…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกวาดตามองรอบด้าน และเห็นว่าห่างไปไม่กี่ก้าว หลังโต๊ะยาวมีชายหนุ่มชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นคือมู่หรงไท่
ถือว่าเจ้าโชคร้ายก็แล้วกัน!
ไม่มีวิธีอื่นใดอีกที่จะไม่ทำให้ใครเสียหาย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง เปลี่ยนสีหน้า เลิกคิ้วสวย ก่อนยกป้านสุราซึ่งมีสุราที่สามารถทำให้คนรินตกเป็นผู้กระทำความผิดร้ายแรง สาดใส่มู่หรงไท่จนหมดป้าน
สุราหนึ่งป้านประหนึ่งสายฝนรสหวานที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า ทำชุดยาวเปียกไปครึ่งตัว มู่หรงไท่ตกตะลึงพรึงเพริศ ลุกพรวดขึ้น แม้โมโห แต่พอเห็นสุราในป้านที่สับเปลี่ยนมาถูกสาดจนไม่มีเหลือ ก็รู้สึกเครียดจนพูดไม่ออก ความโกรธจึงลดลงครึ่งหนึ่ง กัดฟันแล้วว่า
“คุณหนูอวิ๋น นี่ หมายความว่าอะไร!”
การสาดสุรา ทำให้ผู้คนพากันตกใจ จึงพุ่งเป้าสายตามา แล้วหันไปซุบซิบกัน ทำนองว่า คุณหนูอวิ๋นนี่วางตัวดีมาตลอด ทำไมจู่ๆ ถึงทำเรื่องไร้มารยาทขนาดนี้ได้!
เจี่ยไทเฮาที่นั่งอยู่ในศาลาเห็นเหตุการณ์ชัดเจน จึงขมวดคิ้วตาม
“ไปดูซิว่า คุณหนูอวิ๋นทำอะไรกันแน่!”
จูซุ่นจึงรีบวิ่งลงบันไดไป ขณะตกใจไม่หาย
สนมเอกเฮ่อเหลียนก็คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะทำเช่นนี้ จึงสะดุ้งโหยงก่อนเอ็ด
“ยังไม่ไปพากลับมาอีก!”
เมี่ยวเอ๋อร์จึงก้าวเข้าไป จับมือคุณหนูของตนแล้วพาออกมา แม้มองตาก็รู้ใจว่า นางไม่มีทางสาดสุราอย่างไม่มีเหตุผลแน่ แต่ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงไม่แอบทำล่ะ กระโตกกระตากแบบนี้ แถมเป็นงานเลี้ยงในวังด้วย อย่างไรตนก็รู้สึกเครียดยิ่ง เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นมา ก็ทำทีเป็นไม่เห็น จับมือเมี่ยวเอ๋อร์ไว้แน่น ร่างสั่นเล็กน้อย เดิมก้มหน้า แต่ก็
ยังเหล่ตามองมู่หรงไท่ด้วยสายตาที่ทั้งเย็นชาและมีน้ำตารื้นๆ ก่อนหยุดเดิน พลางส่งเสียงอันเยียบเย็นออกมา
“คุณชายรองมู่หรงยังมีหน้ามาถามอีกว่า หมายความว่าอะไร น้องรองข้ารักท่านอย่างสุดหัวใจ…วันนี้ข้า
ก็แค่ทนดูพฤติกรรมของคุณชายรองมู่หรงไม่ได้ แค่นั้น”
คำพูดนี้พอหลุดจากปาก คนในงานเลี้ยงล้วนเข้าใจแล้ว เรื่องคุณหนูรองสกุลอวิ๋นแต่งเข้าจวนโหวในฐานะอนุคนโปรด แล้วได้รับการดูแลอย่างทิ้งขว้างให้อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ นอกจวนโหว เป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองหลวง จนป่านนี้ แม้แต่ประตูจวนก็ยังเข้าไม่ได้ และมีคนไม่น้อยก็รู้อีกว่า คุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นรู้สึกว่าถูกดูหมิ่น เรื่องเมื่อครู่จึงน่าจะเป็นเพราะได้พบเจอมู่หรงไท่ตัวเป็นๆ จึงอารมณ์ขึ้น อดไม่ไหวที่จะแก้แค้นแทนน้องสาว
ทว่ามู่หรงไท่ไม่เชื่อหรอกว่า อวิ๋นหว่านชิ่นจะออกหน้าแทนอวิ๋นหว่านเฟย แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน อึดอัดใจจนหน้าแดงก่ำ พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นก้าวเข้าหา จึงผละออกจากเมี่ยวเอ๋อร์ หันหน้าไปทางศาลา แล้วคุกเข่าลง
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า! เป็นเพราะหม่อมฉันเห็นคุณชายรองมู่หรงแล้ว ก็อดนึกถึงน้องรองที่น่าสงสารไม่ได้ อีกทั้งยังนึกถึงบิดาที่มักถอนหายใจขณะอยู่กับบ้าน จึงหัวร้อนขึ้นมา ละเมิดกฎในวังไป”
เจี่ยไทเฮาอยู่วังหลัง ไม่กระจ่างเรื่องภายในครอบครัวลูกหลานขุนนางสักเท่าไหร่ ฟังไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง นางในซึ่งอยู่ข้างๆ จึงอธิบายให้ฟังเสียงเบา
“…เหมือนหลายวันก่อน คุณชายรองของจวนกุยเต๋อโหวรับคุณหนูรองสกุลอวิ๋นเข้าเป็นอนุคนโปรด แต่กลับมิได้ปฏิบัติกับนางดีๆ…คุณหนูอวิ๋นคล้ายเห็นคุณชายรองมู่หรงแล้วหมั่นไส้ รู้สึกว่าคนที่บ้านกับน้องสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงทนไม่ไหว โมโหใส่ไป…”
ถ้าคิดเช่นนี้ ก็พอจะอภัยให้อวิ๋นหว่านชิ่นได้ อย่างไรเจี่ยไทเฮาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมรู้สึกแบบเดียวกับผู้หญิงในใต้หล้า รังเกียจผู้ชายที่ทอดทิ้งผู้หญิง แต่เมื่อกระทำการบุ่มบ่ามในวัง โดยการสาดสุราใส่แขกที่มางานเลี้ยงเช่นนี้ ก็อุกอาจไปจริงๆ แม้อยากช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ จึงโบกมือ
“เรียกคุณหนูอวิ๋นมา”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปมองเมี่ยวเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พลางยิ้มที่มุมปาก บอกใบ้ให้นางสงบไว้ ไม่ต้องกังวลใจ ก่อนถกกระโปรง เดินไปหน้าศาลา แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็มีร่างๆ หนึ่งมาขวางทางไว้ เป็นฉินอ๋อง แววตาเขาดูร้อนรนและหมองหม่น กล้ามเนื้อที่แก้มกระตุกน้อยๆ
ตอนที่นางแย่งป้านสุรามาสาดใส่คนนั้น ตนดูออกว่านางมีสติ
แม้ไม่รู้สาเหตุ แต่จิตใต้สำนึกบอกว่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับตน
ป้านสุรา…สุรา? ซย่าโหวซื่อถิงละสายตาไปดูพรมแดงหนังแกะที่เปียกแฉะ อีกป้านสุราสลักลายมังกรและหงส์ที่กลิ้งอยู่กับพื้น
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นพฤติกรรมของโอรส ก็รู้ว่าเขาคิดปกป้องอวิ่นหว่านชิ่น จึงรีบหันไปกระซิบ
“ซือเหยาอัน ยังไม่ไปเชิญนายเจ้าให้ออกมาอีก!”
ซือเหยาอันกระซิบตอบ “ท่านสาม…”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดรีรอ จึงเงยหน้าขึ้น มองไปข้างหน้า แล้วเดินอ้อมซย่าโหวซื่อถิง มุ่งตรงไปที่หน้าศาลา
ตอนที่ 82-3 พลิกสถานการณ์
พอเจี่ยไทเฮาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็คิดว่าเมื่อครู่นางเพิ่งแก้ต่างให้น้องสาวคนเล็ก ตอนนี้ยังช่วยน้องสาวคนรองออกหน้าอีก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จึงยิ่งไม่อยากตำหนินาง ทว่าเมื่อมีสายตานับสิบจ้องมองอยู่ ไม่ต่อว่าสักคำสองคำย่อมไม่ได้ จึงกระแอมไอออกมาสองที
“ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาดเสียอีก ทำไมถึงได้อดรนทนไม่ไหว หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ล่ะ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ครั้งนี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ร้องไห้และไม่ร้องขอแล้ว ค่อยๆ คุกเข่าลง
“หม่อมฉันเสียใจที่ทำให้ไทเฮาผิดหวัง และยอมรับผิด แต่…”
ว่าแล้วก็หันไปมองตรงที่นั่งของมู่หรงไท่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง
“ไม่เสียใจที่ได้แก้แค้นแทนน้องสาว”
จากนั้นก็ยืดร่างที่บอบบางให้ตรง “…น้องสาวหม่อมฉันรักคุณชายรองมู่หรงหมดใจ ซึ่งคนในเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ แต่คุณชายรองมู่หรงกลับหักหาญน้ำใจนาง ให้นางเป็นอนุก็มากพอแล้ว แต่นี่ขนาดบ้านก็ยังไม่ให้เข้า ทุกครั้งที่ท่านพ่อนึกถึง ก็หลั่งน้ำตา ทุกครั้งที่หม่อมฉันนึกถึง ก็เจ็บใจสุดจะเปรียบ เพียงเสียดายที่ปกติอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีทางได้พบกับคุณชายรองมู่หรง วันนี้พอได้พบ จึงอยากหาทางเอาคืนให้กับน้องรองที่น่าสงสารให้สะใจ! เรื่องน้ำใจ หม่อมฉันแน่ใจว่าไม่ผิด แต่เรื่องกฎของวัง หม่อมฉันยอมรับผิดแต่โดยดี!”
ประโยคสุดท้ายพอออกจากปากนาง ซย่าโหวซื่อถิงก็ขยับ สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงก้าวเข้าไป ใช้สายตายับยั้งโอรสไว้ ก่อนพูดเสียงต่ำ
“เจ้าดูสิ นังหนูสงบนิ่งแค่ไหน เมื่อกล้าทำ ก็น่าจะมีทางหนีทีไล่ไว้แล้ว เจ้ายังจะห่วงอะไรอีก ถ้าเจ้าทะเล่อทะล่าเข้าไป ไม่แน่ว่านางต้องแบ่งสมาธิมาช่วยเจ้าอีก”
ซย่าโหวซื่อถิงเคร่งขรึมลง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ “เหยาอัน เก็บป้านสุรานั่นขึ้นมา ตรวจดูให้หน่อย”
ในศาลา พอเจี่ยไทเฮาฟังวาจาของอวิ๋นหว่านชิ่นจบ ก็ได้แต่รู้สึกเห็นใจ อึ้งไปสักพัก ค่อยว่า
“คุณชายรองทำอย่างไรกับน้องสาวเจ้า”
“ก่อนออกเรือน น้องรักคุณชายรองมู่หรงมากและต้องการแต่งงานจริงจังด้วย ซึ่งทั้งสองก็เคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ เรื่องนี้คนในเมืองหลวงก็รู้ดี แต่แล้ว…คุณชายรองมู่หรงก็แต่งน้องสาวหม่อมฉันไปเป็นอนุ เท่านั้นยังไม่พอ ยังไม่ให้นางเข้าจวนโหวอีก นี่…”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเจี่ยไทเฮาคล้ายสนใจอยู่บ้าง ก็ดีใจ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“นี่ ทำราวกับนางเป็นเมียเก็บอย่างไรอย่างนั้น เลี้ยงดูอยู่นอกบ้าน”
“เฮ้อ” เจี่ยไทเฮาส่ายหน้า “ชายโลเลกับหญิงโง่แท้ๆ คนที่เสียเปรียบก็คือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ คนที่เสียใจมากกว่า ก็คือผู้หญิงอยู่ดี ไม่ได้เป็นเมียหลวงก็แล้วกันไป ยังต้องมีชีวิตที่ตกต่ำแบบนี้อีก”
แววตาอวิ๋นหว่านชิ่นหมองมัว ขณะพยายามกลั้นน้ำตา พลางพยักหน้า
“เพคะ น้องรองน่าสงสารจริงๆ” แล้วจึงมองเฉียงไปทางผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่างของเจี่ยไทเฮา พลางพูดเน้นทีละคำ “ท่านว่าจริงไหม หัวหน้าไป๋”
ไป๋ซิ่วฮุ่ยคิดไม่ถึงว่าเด็กนี่จะโยนเรื่องมาที่ตน จึงตกใจ ด้วยใครๆ ในที่นี้ต่างก็รู้ว่าอวิ๋นหว่านเฟยเป็นหลานแท้ๆ ของตน ตอนนี้ตนจึงไม่สามารถแกล้งโง่ ตะลึงงัน หรือทำเป็นไม่ได้ยินได้อีก
ที่เฟยเอ๋อร์ต้องมีชีวิตเช่นนี้ จริงๆ แล้วไป๋ซิ่วฮุ่ยโกรธแค้นจวนโหวมากที่พูดอย่างทำอย่าง แต่เสียดาย หลานออกเรือนแล้ว นางจึงยื่นมือเข้าไปแทรกต่อไม่ได้อีก ตอนนี้พออวิ๋นหว่านชิ่นพูดถึง ไป๋ซิ่วฮุ่ยจึงเข้าใจในจุดประสงค์แอบแฝง และได้แต่ยืนอยู่ข้างอวิ๋นหว่านชิ่น โดยการก้าวออกมา
“ไทเฮาเพคะ บ่าว…ก็คล้ายได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หลานของบ่าวใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ มิ…มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่ถึงต้องสู้เพื่อนาง”
สายตาของเจี่ยงฮองเฮาจ้องมองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น พลางรู้สึกทึ่งอยู่บ้าง การให้คนสนิทคนหนึ่งช่วยตนพูดนั้น ไม่ยาก แต่การให้คนที่ไม่ถูกกับตนช่วยตนพูดนี่สิ ถือว่าไม่ธรรมดา
ซึ่งเด็กนี่ ก็ได้ดึงไป๋ซิ่วฮุ่ยออกมาช่วยพูดให้นางพ้นโทษ
และเมื่อข้องเกี่ยวกับหัวหน้าไป๋ เจี่ยงฮองเฮาจะไม่ส่งเสียงก็ไม่ได้
หรือพูดได้ว่า เรื่องยิ่งถูกขยายให้ใหญ่ ไป๋ซิ่วฮุ่ยก็อาจพูดจนกระทบถึงชื่อเสียงของนาง ซึ่งอาจพูดถึงการบีบให้จวนโหวรับอวิ๋นหว่านเฟยเข้าบ้านด้วยซ้ำ น้อยเรื่องย่อมดีกว่ามากเรื่อง อีกอย่าง นางเองก็ดูออกว่าเจี่ยไทเฮาไม่คิดลงโทษเด็กนี่จริงๆ หรอก แล้วจะไม่ให้ฉวยโอกาสนี้พูดเอาใจได้อย่างไร จึงอมยิ้มพลางพูดขึ้นเรียบๆ
“อารมณ์ชั่ววูบของเด็กผู้หญิงถือเป็นเรื่องปกติ คุณหนูอวิ๋นอายุยังน้อย เพราะไร้เดียงสา ถึงได้วู่วามไปหน่อย และยังเข้าวังเป็นครั้งแรกด้วย ไม่รู้ย่อมไม่ผิด อีกอย่าง นี่ก็เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เป็นการส่วนตัว มิใช่งานใหญ่โตเป็นทางการ ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดจริงจัง ขอเสด็จแม่ทรงเมตตา หายโกรธแล้วก็แล้วกันไป จะได้ไม่เสียบรรยากาศ”
คำพูดของเจี่ยงฮองเฮา เสมือนหนึ่งบันไดให้เจี่ยไทเฮาก้าวลงจากเวทีได้ง่ายขึ้น จึงวางท่าเคร่งขรึม ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ยังคงเป็นฮองเฮาที่พูดมีเหตุผล เช่นนั้น คุณหนูอวิ๋นต้องจำให้ขึ้นใจว่า ครั้งหน้าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก”
พูดถึงตรงนี้ ก็ขึ้นเสียงสูง “ต่อให้ผู้อื่นผิดจริง เจ้าก็ไม่ควรลงมือ ใจคิดดีเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะตนเองจะเสียเองแต่แรก เข้าใจไหม”
อวิ๋นหว่านชิ่นย่อมไม่ทำตัวฉลาด ตั้งใจฟังคำสั่งสอนของเจี่ยไทเฮา
สถานการณ์จึงพลิกผัน ในช่วงเวลาอันสั้น
กลุ่มคนล้วนมิใช่คนโง่ ฟังแล้วก็กระจ่างชัดว่า คำสั่งสอนนี้ จะบอกว่าเป็นการสั่งสอนอวิ๋นหว่านชิ่น มิสู้บอกว่าเป็นการลอบด่ามู่หรงไท่เสียมากกว่า
หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นขอบพระทัยไทเฮาและฮองเฮา ก็ถกกระโปรงเดินกลับ แล้วไปยืนข้างกายสนมเอก
เฮ่อเหลียนใหม่ เรื่องเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย นางค่อยเป่าปากออกมา
สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ว่านางเจ้าเลห์เพทุบาย แต่เมื่อผ่านอันตรายมาได้ ก็ไม่ถามมากความอีก
การเสียมารยาทในวัง แม้ไม่นับเป็นความผิดร้ายแรงอะไร แต่การถูกไทเฮาสั่งสอนไม่กี่คำแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยกลับมาได้ ชนิดเมฆหมอกจางหาย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น…กลับมีน้อยคนที่ทำได้ ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงองค์หญิงคนโปรดเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
กลุ่มคนพากันชื่นชมในใจขณะมองมาทางคุณหนูอวิ๋น คล้ายเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น ต่างคนต่างพูดไม่ออก แต่ผ่านไปสักพัก ประเพณีในงานเลี้ยงก็กลับคืนดังเดิม
หลังจากเหล่าองค์ชายและคนอื่นๆ คารวะสุราไทเฮาเสร็จเรียบร้อย เหล่านางในประจำโรงครัวก็เริ่มทยอยกันเดินเข้ามา พร้อมยกกับข้าวแต่ละอย่างวางลงบนโต๊ะ
พอกับข้าวมา ทุกคนก็คึกคักขึ้น กลิ่นอาหารตลบอบอวล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารเลิศรสที่ยากพบเห็นทั่วไป บรรยากาศจึงค่อยๆ กลับคืนดังเดิม
เมื่อเว่ยอ๋องเห็นว่า อีกนิดเดียวแผนการก็จะสำเร็จ แต่กลับถูกคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเข้ามาพลิกสถานการณ์ ไหนเลยจะกินลง แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนมองไปที่มู่หรงไท่ซึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกล
พอมู่หรงไท่ตากเสื้อจนแห้ง ก็เอาแต่นึกสงสัยในใจ แต่คิดไปคิดมา เริ่มจาก เว่ยอ๋องวางคนไว้เสร็จสรรพ ให้ไปนำสุราดอกท้อที่โต๊ะของซุนจวิ้นอ๋องมา จากนั้นก็อาศัยที่ป้านสุราของเหล่าองค์ชายเหมือนกันทั้งหมด สับเปลี่ยนเสีย แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นรู้ได้อย่างไรเล่า
สีหน้าของเว่ยอ๋องถูกซย่าโหวซื่อถิงเก็บไว้ในสายตา ส่วนป้านสุราก็ถูกซือเหยาอันนำไปตรวจสอบดู แล้วริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นที่เพิ่งเสียพลังงานไป กำลังนั่งรับประทานอาหารชาววังอย่างมีความสุข รัชทายาทก็ส่งขันทีน้อยคนหนึ่งมา ยิ้มให้สนมเอกเฮ่อเหลียนพลางโค้งกาย
“ถวายบังคมพระสนมเอก รบกวนเวลาอาหารแล้ว รัชทายาทอยากขอยืมคนของพระองค์คนหนึ่ง”
“รัชทายาทต้องการยืมใคร” สนมเอกเฮ่อเหลียนวางตะเกียบงาช้างลง
ขันทีน้อยมองไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น พลางยิ้ม
“คุณหนูอวิ๋นพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทกำลังเตรียมละครเฉลิมพระชนมพรรษาให้ไทเฮาอยู่ในสวนตรงนั้น อยากให้คุณหนูอวิ๋นไปช่วยเตรียมพ่ะย่ะค่ะ”
“คุณหนูอวิ๋นรู้เรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน ไม่กลัวว่าจะยิ่งทำให้ชักช้าหรอกหรือ” สนมเอกหัวเราะ
แต่เมื่อรัชทายาทอุตส่าห์ขอมา จะปฏิเสธก็ไม่สู้ดี รัชทายาทเป็นคนกระตือรือร้น งานเลี้ยงในวันนี้นังหนูโดดเด่นทั้งขึ้นทั้งล่อง น่าจะดึงดูดความสนใจของรัชทายาทอยู่ จึงพยักหน้า แล้วหันไปกำชับอวิ๋นหว่านชิ่น
“เช่นนั้น เจ้าก็ไปช่วยรัชทายาทเถิด เป็นลูกมือต้องตื่นตัวหน่อย อย่าอยู่เฉยๆ ล่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้แต่วางตะเกียบลง ทั้งๆ ที่กำลังจะใช้ตะเกียบคีบขนมถั่วเหลืองเหนียวหนึบสีเหลืองทองอร่ามที่หากินได้ยากอยู่ แล้วจึงเดินตามขันทีน้อยไป
ตอนที่ 82-4 พลิกสถานการณ์
สนามหญ้าด้านทิศตะวันตกของสวนหลวง
ศาลาอเนกประสงค์ที่ใหญ่และลึกหลังหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ด้านนอกยังมีกระโจมชั่วคราวขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่
นักแสดงไม่น้อยสวมชุดแสดงเรียบร้อย มีทั้งสตรีวัยกลางคน จอมยุทธ์ ผู้อาวุโส สาวรุ่น ถ้าไม่กำลังแต่งหน้า ก็กำลังยกแขนร้องเต้นเล่นละคร ซ้อมกันเป็นครั้งสุดท้าย
หนึ่งในนั้นมีสาวรุ่นคนหนึ่ง สวมชุดแสดงสีเขียวอ่อน ถือดอกบัวบานไว้ตรงหน้าอกหนึ่งดอก พลางซ้อมใหญ่ด้วยการร่ายรำอย่างสง่างาม
พอเดินเข้าไปใกล้ หลังต้นไม้ใหญ่ข้างศาลา ยังผูกลาไว้ตัวหนึ่ง กำลังยืนก้นโด่งกินหญ้า โดยมีองครักษ์คอยดูแลอยู่
ขันทีน้อยพาอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าไปในศาลาอเนกประสงค์ เห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำขึ้นชั่วคราววางอยู่ บนโต๊ะมีลูกท้อแบนๆ ลูกใหญ่หลายลูก พู่นักพรตอันหนึ่ง กระบี่ยาวทำจากไม้ท้อ
และร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเขียนคิ้วให้ตัวเองอยู่หน้าคันฉ่อง ถ้าด้านข้างไม่มีองครักษ์กับขันทียืนอยู่ ไหนเลยจะรู้ว่าคนผู้นี้คือรัชทายาทแห่งยุค
พอได้ยินเสียงรายงาน รัชทายาทก็หันหลังมาทักทาย “มาแล้ว” ก่อนหันกลับไปแต่งหน้าต่อ
โครงหน้าที่ชัดเจนถูกแต่งแต้มด้วยสีสันที่จัดจ้าน คิ้วเข้มตาคม หล่อลากดิน เวลายิ้มแลดูเจ้าเลห์แสนกล สวมชุดแสดงเพียงชั้นหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นถวายบังคม “ไม่ทราบว่ารัชทายาทเรียกหม่อมฉันมา มีอะไรต้องการให้ช่วยเพคะ”
รัชทายาทตวัดข้อมือ แต่งขนตา ทำให้ดูหล่อขึ้น ก่อนยิ้มกับคันฉ่อง
“ได้ยินว่าเจ้าสาดสุราใส่มู่หรงไท่ จนเกือบถูกลงโทษ เราถึงได้เรียกเจ้าออกมาเพื่อช่วยเจ้าหรอก ถ้ายังไม่พอ อีกสักครู่เราจะเตรียมออกโรงเอง”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย”
ชอบพูดอำอยู่เรื่อย เชื่อไม่ได้ซักคำ ถ้ามัวแต่พึ่งเขา มีหวังตายไปนานแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม พลางว่า
“หม่อมฉันแก้ปัญหาได้แล้วเพคะ”
รัชทายาท “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง สีหน้าแสดงความเสียดายที่พลาดโอกาสช่วยสาวงาม
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองรอบด้าน “เรื่องแปดเซียนอวยพรวันเกิด ไทเฮาต้องถูกพระทัยแน่”
พอรัชทายาทเห็นว่านางสายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็เดาถูก จึงยิ้มตาหยี
“แล้วชิ่นเอ๋อร์ดูออกไหมล่ะ ว่าเราแต่งเป็นใคร”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองของบนโต๊ะ แล้วยิ้ม
“รัชทายาทแต่งชุดนักพรตสีขาว มีพู่นักพรต กระบี่ไม้ จะเป็นใครไปได้ นอกจากหลี่ต้งปิน”
รัชทายาทหัวเราะเสียงดัง “เราว่าแล้ว ชิ่นเอ๋อร์นี่ล่ะที่เข้ากับเราได้มากสุด! หญิงสาวในตำหนักบูรพาเหล่านั้น อย่าว่าแต่ซ้อมละครเป็นเพื่อนเราเลย ขนาดละครซึ่งเป็นที่นิยมกันมานมนานก็ยังไม่รู้จัก! เรากับพวกนางจึงพูดกันคนละภาษา มาๆๆ นั่งลง!”
ขันทีน้อยยกเก้าอี้ไม้แดงทรงกลมมาให้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนั่งลงข้างๆ
รัชทายาทค่อยหันไปใช้ถ่านแท่ง เขียนคิ้วหน้าคันฉ่องต่อ
พอมือเขาขยับ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่าถ่านแท่งวาดเลยขอบคิ้วออกมา เพราะไม่ค่อยได้วาด จึงหนีบข้อศอกไว้กับตัว กันไม่ให้สั่น การแต่งหน้าด้วยตัวเองมีจุดอ่อนตรงที่ ควบคุมส่วนโค้งงอของร่างกายได้ค่อนข้างยาก
รัชทายาทเกร็งจนเมื่อยแขน จึงหันมา ยัดถ่านแท่งใส่มืออวิ๋นหว่านชิ่น แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้
“เขียนคิ้วให้เราหน่อย”
อวิ๋นหว่านชิ่นคันมืออยู่พอดี พอรับถ่านแท่งมา ก็ฝนไปตามคิ้วเดิมของเขา จนเกือบเสร็จ ค่อยรู้สึกว่าใบหน้าของเขากับตนอยู่ใกล้กันมาก ชายหนุ่มจึงขำก่อนว่า
“ละครยังขาดคนแสดงเป็นไป๋หมู่ตาน ชิ่นเอ๋อร์อยากลองเล่นดูไหม”
ทั้งสองพลันชิดใกล้ อีกนิดเดียวก็จะโดนตัวกันแล้ว ดีที่อวิ๋นหว่านชิ่นความรู้สึกไว จึงรีบลดมือลง ไม่ให้รัชทายาทเข้าใกล้
ฉากหลี่ต้งปินกับไป๋หมู่ตาน เป็นฉากเกี้ยวพาราสีอมตะนิรันกาลสุด ขันทีน้อยกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงรู้ทันทีว่า รัชทายาทนึกสนุกอีกแล้ว เพียงแต่คุณหนูลูกสาวขุนนางที่ถูกหยอก แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วถอยออก
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจเบาๆ กระชับถ่านแทงให้แน่น แล้วเขียนคิ้วเป็นเส้นตรงยาวๆ ให้เขา
รัชทายาทรู้ตัวจึงค่อยๆ ปลีกตัวออก แล้วหยิบคันฉ่องขึ้นดู พลางพึมพำ
“ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ ทำไมต้องทำให้เราเสียโฉมด้วย…”
อุปนิสัยขี้เล่นขี้แกล้งเช่นนี้ ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองรัชทายาท พลางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง แม้รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาโตกว่าตน แต่อายุที่แท้จริงของจิตวิญญาณภายในร่างกายตน โตกว่าเขาหลายปี ตอนนี้พอนึกว่าเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง ก็โกรธไม่ลง
และในตอนนี้เอง นอกศาลาก็มีคนก้าวสวบๆ เข้ามารายงาน
“เรียนรัชทายาท” เหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น “พระสนมเอกมีธุระ ต้องการให้คุณหนูอวิ๋นไปรับใช้พ่ะย่ะค่ะ”
แม้รัชทายาทไม่อยาก ก็ต้องปล่อยคน จึงทำหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปปรนนิบัติพระสนมเอกก่อนเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงลุกขึ้นยืน ประสานมือไว้ที่เอวข้างหนึ่ง ย่อตัวลง แล้วหันกายเดินออกจากศาลาไป
ขันทีหนุ่มที่มาเรียกนาง สวมเครื่องแบบขันทีชุดยาวสีเขียวขี้ม้า
ขันทีในงานเลี้ยงสังสรรค์มีมากมาย สวมชุดก็คล้ายๆ กัน อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะจำได้ พอเดินไปครึ่ง
ทาง ค่อยรู้สึกว่าไม่ใช่ทางขามาเมื่อครู่ อีกทั้งยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกจากงานเลี้ยง จึงเอะใจ พอจ้องมองให้ถ้วนถี่ ก็พบว่าไม่คุ้นหน้าขันทีหนุ่ม ไม่เหมือนคนที่เพิ่งรับใช้อยู่ข้างกายสนมเอกเฮ่อเหลียน จึงหยุดเดิน
“กงกงจะพาข้าไปไหน”
พอขันทีหนุ่มเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มระแวง ก็หัวเราะหึๆ และไม่คิดปิดบังอะไร
“คุณหนูอวิ๋นวางใจ บ่าวไม่ทำร้ายท่านหรอก เชิญตามบ่าวมา” ว่าแล้วก็ผายมือไปยังซุ้มประตูโค้งด้านหน้า ทำท่าเหมือนคนนำทาง
ที่นี่อยู่ห่างออกมาพอควร จึงเงียบสงบยิ่ง กระทั่งไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับคนในวังเดินผ่านสักคน
ตกลงเป็นสถานที่ในวังส่วนไหนกันแน่ อวิ๋นหว่านชิ่นย่อมไม่รู้ ขวามือเป็นระเบียงยาว ซ้ายมือเป็นรั้วกำแพง ไม่มีทางไปอื่นใดอีก
ความจริง สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้ส่งคนมาเรียกตน ผู้ที่ล่อตนให้ตามมาเป็นอีกคนหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นถามอย่างสงบ “รบกวนกงกงพูดให้ชัดเจนหน่อยว่า ผู้สูงศักดิ์ท่านใดเชิญข้ามา มีธุระอะไร ข้าขอกลับไปบอกพระสนมเอกก่อน ค่อยมาคารวะทีหลัง พระสนมเอกจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอขันทีหนุ่มเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นถกกระโปรงเตรียมจะหันหลังกลับ ก็ร้อนรน ยื่นมือออกปราม
“เดี๋ยวๆ คุณหนูอวิ๋นอย่าเพิ่งไป ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นอยู่ในห้องหลานซิน อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว…”
การรั้งตัวไว้เช่นนี้ ยิ่งทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัยเข้าไปอีก ถ้าเจ้านายคนใดในวังต้องการพบตนจริงๆ เรียกตนไปอย่างเปิดเผยก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ แกล้งบอกว่าพระสนมเอกให้มาเรียกหรอก
นางจึงรีบผละออกจากขันทีหนุ่ม แล้วหันหลังวิ่งกลับทางเดิม
ขันทีหนุ่มจะเรียกก็ไม่ได้ ไม่เรียกก็ไม่ได้ ขณะกำลังร้อนใจเกาศีรษะอยู่นั้น ผู้ที่อยู่ในห้องหลานซิน หลังซุ้มประตูโค้งคล้ายได้ยินความเคลื่อนไหว จึงสาวเท้าก้าวออกมา ยืนหัวเราะอยู่นอกซุ้มประตูโค้ง
“มีความระมัดระวังสูง ดีมาก”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดฝีเท้า หันกลับไปดู
ตอนที่ 83-1 มาติดตามข้า ดีไหม
ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างซุ้มประตูโค้ง เขาสวมชุดยาวสีม่วงทองปักลายมังกรสี่เล็บ กับเสื้อคลุมสีเงินเทาตัวใหญ่ แม้พูดเสียงยิ้ม แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉย กระทั่งดวงตาอันล้ำลึกยังมีความเย็นชาที่พูดไม่ออกอยู่
น่าจะเดาออกแต่แรกแล้วว่า นอกจากเขา ยังจะมีใครกล้ายืมชื่อของสนมเอกเฮ่อเหลียนแอบเรียกตนออกมาอีก อวิ๋นหว่านชิ่นขยำชายเสื้อ อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น แต่ชุดของเขาในวันนี้คือชุดตามขนบขององค์ชายแห่งราชสำนักต้าเซวียน ซึ่งต่างกับที่ตนเคยพบเจอเมื่อครั้งก่อนๆ จึงต้องถอนสายบัว
“ถวายบังคมฉินอ๋อง” แล้วค่อยพูดอย่างอดไม่ได้ “…ท่านอ๋องควรเชิญหม่อมฉันมาอย่างเปิดเผย เหตุใดต้องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันตกใจหมด”
ตอนนี้อยู่ในวัง ด้านข้างยังมีขันที ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกให้เหมาะสมหน่อย จะทำตัวตามสบายไม่ได้
ใบหน้าอันหล่อเหลาของซย่าโหวซื่อถิงปรากฏรอยยิ้มบางๆ ก่อนว่า
“ที่แท้เจ้าก็ตกใจเป็นด้วย? ทีในงานเลี้ยงนำสุราของข้าไปเล่นงานผู้อื่น ข้าก็ยังไม่เห็นเจ้าตกใจเลย ตอนถูกไทเฮาเรียกไปด้านหน้าเพื่อรับโทษ ข้าก็ยังคงไม่เห็นเจ้าตกใจเช่นกัน แล้วตอนนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็นคนขี้ขลาดไปได้ล่ะ”
ชายหนุ่มพูดพลางเดินเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ แต่สายตายังคงนิ่งเฉย นิ่งจนคล้ายเวิ้งน้ำลึก น้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อครู่มลายหาย กลับบวกความเข้มและเฉียบคมเข้าไป คล้ายสัตว์ป่าก่อนถูกล้อมล่า ที่ใช้สายตาตรวจสอบและระมัดระวังเพื่อเตรียมจู่โจม
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว …เขาไม่เพียงรู้ว่าสุราป้านนั้นมีปัญหา ยังสงสัยอีกด้วยว่าตนรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า
“หรือท่านอ๋องรู้สึกว่า หม่อมฉันสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นมาทำร้ายพระองค์”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับถามอย่างสงบนิ่ง ไม่โกรธที่เขาสงสัย ถ้าเป็นตนเอง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเดาเช่นกัน
เขากับนางแม้พบเจอกันหลายครั้ง แต่บอกตามตรง ก็ยังเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่ดี แล้วจะเรียกร้องให้ทั้งสองผสานผลึกใสกับอวัยวะภายในรวมกัน คบหากันอย่างจริงใจ เชื่อใจซึ่งกันและกันได้อย่างไร โอรสสวรรค์มักหวาดระแวงมาแต่อดีต ผู้ที่จะเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ถ้าใสซื่อบริสุทธิ์ เชื่อคนได้ง่ายๆ นางก็อาจดูหมิ่นด้วยซ้ำ
แม้ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้ว่า เหตุใดนางถึงรู้ว่าสุรามีปัญหา แต่กลับเชื่อว่านางไม่มีทางสมคบคิดกับผู้อื่นเพื่อทำร้ายตนเองแน่ เพราะถ้านางทำเช่นนั้น เหตุใดต้องช่วยตนเอง โดยไม่ห่วงว่าจะถูกลงโทษด้วยเล่า แววตาจึงลึกล้ำลง
“ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่า คุณหนูอวิ๋นจะสังเกตเห็นและช่วยข้าแก้ไขสถานการณ์”
สุราป้านนั้น ถ้ายกไปรินให้ไทเฮา ผลลัพธ์ย่อมแย่เกินจินตนาการ ต่อให้ไม่ได้คิดทำร้าย อย่างไรเขาก็เป็นผู้คารวะสุรา ย่อมต้องยอมรับผิด โทษฐานประมาทเลินเล่อ
ชายผู้นี้กลับไม่ถามมากความ และเหมือนไม่คิดถามอะไรมาก กลับคิดคำอ้างให้ตน…อย่างคำว่าสังเกตเห็น อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโล่งใจ ดวงตาทอประกาย
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เชื่อใจ” ชะงักเล็กน้อย “แล้วท่านอ๋องตรวจพบหรือยังว่า สุรานั่นใครเป็นคน…”
ซย่าโหวซื่อถิงคล้ายมองเจตนานางออก จึงจ้องนางนิ่ง “เจ้าห้า”
เขาตรงไปตรงมาดี พูดออกมาตรงๆ! อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าระหว่างเขากับเว่ยอ๋องมีความแค้นสะสมกันยาวนาน คนนอกล้วนดูออก เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขา “เสียดาย ไม่มีหลักฐาน จึงเปิดโปงไม่ได้ว่า องค์ชายห้าเจตนาประทุษร้าย และเมื่อองค์ชายห้าสามารถสับเปลี่ยนป้านสุราของท่านอ๋องได้ คิดว่ามือไม้ที่ใช้ก็ต้องจัดการให้สะอาดสะอ้าน”
พอเห็นเขาครุ่นคิดไม่พูด จึงปลอบโยน “ทว่าฟ้ามีตา ถ้าองค์ชายห้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่แก้ไข ช้าเร็วก็ต้องมีเบาะแสรั่วไหลออกมาจนได้”
ซย่าโหวซื่อถิงเอะใจ พลันก้าวเข้ามา โน้มตัวลงข้างใบหูของหญิงสาว
“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องฟ้ามีตามาแต่ไหนแต่ไร พึ่งพาตัวเองนี่ล่ะ ทำได้จริง”
น้ำเสียงต่ำลงไปอีกสองขั้น คล้ายยับยั้งความคิดบางอย่างไว้
“วางใจ ข้าไม่ให้เจ้าต้องเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์หรอก”
ปฏิกิริยาของอวิ๋นหว่านชิ่นคือ ถอยออกสองก้าว ดูท่าฉินอ๋องน่าจะได้หลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะเอาผิดกับเว่ยอ๋องในข้อหาประทุษร้ายแล้ว พอคิดได้เช่นนี้ ก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง จึงทำปากยื่นปากยาว พลางว่า
“มีเรื่องๆ หนึ่ง ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่มีโอกาสถาม ตอนนี้ได้โอกาสเหมาะพอดี น้องสาวหม่อมฉันถูกท่านอ๋องเรียกให้ไปพบนอกตึกไจซิง แล้วทำไมถึงอยู่กับเว่ยอ๋องได้ หรือท่านอ๋องเป็นผู้บงการ ส่งลูกสาวบ้านอวิ๋นให้พี่น้องบ้านท่าน ท่านอ๋องรู้จักยืมดอกไม้ถวายพระนี่”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางหลบออก จมูกจึงแดงเล็กน้อย และซึมไปบ้าง
“ข้าไม่ใช่พ่อสื่อ จะบงการเรื่องนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นวาสนาของน้องสาวเจ้ากับเว่ยอ๋องเอง น้องสาวเจ้าคนนี้มักใหญ่ไฝ่สูงกว่าเจ้ามาก ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะจับผู้ชายชั้นสูงให้ได้ เจ้าเป็นลูกเมียหลวง นางเป็นลูกเมียน้อย โดยสถานะแล้วเจ้าคือผู้ชนะ แต่ตอนนี้สามีนางเป็นถึงอ๋องเชื้อพระวงศ์ ต่อไปเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะชนะนาง”
หมายความว่า ตนต้องหาอ๋องสักคน จะได้ไม่แพ้อวิ๋นหว่านถงหรือ และตรงหน้านี่ก็คนหนึ่ง ที่มาประเคนให้ถึงที่ ถ้าไม่เอาก็เสียเปล่า
คำพูดนี้ เป็นการบอกใบ้ซึ่งกำกวมสุดในสองชาติที่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยพบเจอมา แต่ไม่รู้ทำไม เกรงว่าเขาจะเหมือนตอนจากลากันบนเขาหลงติ่ง ที่พูดจาเหลวไหลไร้สาระอีก จึงรีบกระพริบตา แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“เชื้อพระวงศ์ทำให้ชีวิตรุ่งโรจน์เพียงช่วงระยะหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะมั่นคงตลอดไป”
เมื่อชาติที่แล้ว จุดจบของเว่ยอ๋องคือ โด่งดังไปทั่ว …แต่ ‘โด่งดัง’ ในเชิงลบ นางรู้อยู่แก่ใจดี
หรือต่อให้นางไม่รู้ จากนิสัยของเว่ยอ๋องที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตลอด ก็ไม่ต่างจากอวิ๋นจิ่นจ้งเมื่อชาติที่แล้วสักเท่าไหร่ จะได้ดีสักแค่ไหนเชียว ก็แค่รอเวลาเท่านั้น
ซย่าโหวซื่อถิงเก็บสายตาคืนกลับ ครั้งก่อนนางก็เป็นคนเตือนให้ตนเปลี่ยนสาวใช้ข้างกายเสด็จแม่
ตอนนี้นางยังรู้อนาคตของเว่ยอ๋องอีก เด็กคนนี้ ในหัวมีอะไรกันแน่ จิตวิญญาณเป็นอย่างไรกัน หรือเป็นนางมาร
น้อยจริงๆ…คิดพลางใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้ จึงตะเบ็งเสียงเข้ม
“ถอยออกไป”
พอขันทีได้ยินคำสั่ง ก็ก้มหน้าถอยออกไปไกลถึงระเบียงยาว
ชายหนุ่มจึงค่อยๆ พูดทีละคำ “เจ้ารู้สึกว่าเว่ยอ๋องจะรุ่งโรจน์ได้ไม่นาน”
ดวงตาของอวิ๋นหว่านชิ่นใสราวกระจก แจ่มชัดและสงบนิ่งขณะถามกลับ
“โลกนี้มีเรื่องที่อยู่ยั้งยืนยงด้วยหรือ อย่างมากก็เพราะมานะอุตสาหะ จึงยืดระยะเวลารุ่งโรจน์ออกไปได้ทว่า ถ้าแม้แต่เวลาที่ให้กับความมานะก็ยังไม่มีแล้วล่ะก็ ความเสื่อมของเกียรติยศก็รออยู่ไม่ไกล”
ซย่าโหวซื่อถิงพูดไม่ออก ได้แต่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
“พระมารดาของเจ้าห้าเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท บ้านสกุลเหวยจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณไปด้วย โดยทางบ้านมีแม่ทัพทางเหนืออยู่สองคน ผู้ว่าราชการเมืองในลุ่มแม่น้ำทั้งสามที่ทำงานในเมืองหลวงหนึ่งคน ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นคนใกล้ชิดของฝ่าบาททั้งสิ้น พวกเขาครอบงำกรมกองต่างๆ ตระกูลสูงศักดิ์และนักศึกษา มีเครือข่ายอยู่ทั่วไป ในราชสำนัก สกุลเหวยกลายเป็นก๊กๆ หนึ่ง ซึ่งมากอำนาจและบารมี โดยแม้แต่พระญาติของเจี่ยงไทเฮา ก็ยังไล่ตามไม่ทัน ขนาดคนสกุลอวี้ที่หยิ่งยโส เพราะเป็นสกุลผู้บุกเบิกแห่งแคว้น ก็ยังต้องเคารพนบนอบผู้ชายสกุลเหวย คนเช่นนี้…คุณหนูอวิ๋นกลับบอกว่ารุ่งโรจน์ได้ไม่นาน?”
“จันทร์เต็มดวง ถูกบดบังได้ฉันใด น้ำเต็มแก้ว ย่อมล้นออกได้ฉันนั้น” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาของคำว่า ‘เต็ม’ แล้ว”
ดวงตาซย่าโหวซื่อถิงยิ่งลึกล้ำ “อ้อ?”
ดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่นใสกระจ่าง “ที่ไทเฮาตัดสินพระทัยยกน้องสาวหม่อมฉันให้เว่ยอ๋องนั้น ก็พอจะเห็นเค้าลางบ้างแล้ว ใช่ว่าหม่อมฉันจะเหยียดบ้านตัวเอง หรือดูหมิ่นตัวเอง น้องสาวเป็นลูกเมียน้อย บิดาเป็นขุนนางชั้นสาม ไม่มีบรรดาศักดิ์ การได้เป็นชายารองขององค์ชายถือว่าสูงไปบ้างจริงๆ ได้ยินมาว่าชายารองคนก่อนของเว่ยอ๋อง เป็นลูกสาวคนที่สองของขุนนางชั้นหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำตัวของรัชทายาท ซึ่งการนี้หม่อมฉันไม่รู้สึกว่าไทเฮาหลับหูหลับตาจับคู่ให้แต่อย่างใด…”
ซย่าโหวซื่อถิงเข้าใจความหมายของนางแล้ว จึงตั้งใจฟังนางพูดต่อ
“…สกุลเหวยขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ย่อมค่อยๆ ตกต่ำลง ขืนปล่อยให้แข็งแกร่งต่อ ก็รังแต่จะทำให้ราชวงศ์สูญเสียผลประโยชน์” พอใจความสำคัญถูกเผยออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็เงยหน้าขึ้นมองชายที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้ายกชายาสูงศักดิ์ให้ ก็เท่ากับเพิ่มอำนาจให้เว่ยอ๋องอีก ระบบครอบครัวขององค์ชายต้าเซวียน ประกอบด้วยหนึ่งชายาเอก สองชายายรอง และสี่ชายาบ่าว น้องสาวหม่อมฉันมีชาติกำเนิดธรรมดา ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากในสายตาของไทเฮา และวันนี้ก็ทรงคว้าโอกาสนี้ไว้ได้พอดี ใยไทเฮาจะไม่ผลักเรือไปตามน้ำ พระราชทานให้เว่ยอ๋องเล่า น้องสาวหม่อมฉันพอเข้าจวนอ๋อง ก็จะได้ชื่อว่าชายารอง เป็นการลดทอนอำนาจสกุลเหวยได้อย่างแนบเนียน”
“นั่นเป็นเพียงความคิดลิดรอนอำนาจสกุลเหวยเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าก๊กสกุลเหวยจะสิ้นสุดตาม”
เสียงชายหนุ่มแผ่วเบา
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยิ้มน้อยๆ เช่นกัน รอยยิ้มที่มุมปากทั้งสองข้างดุจดอกแพร์สองดอกอย่างไรอย่างนั้น สะอาดบริสุทธิ์โดนใจคน
“ท่านอ๋องจงใจทดสอบหม่อมฉันหรือ ถ้าฝ่าบาทไม่มีเจตนาเช่นนี้ เจี่ยไทเฮาจะตัดสินพระทัยพระราชทานสมรสเองอย่างเด็ดเดี่ยวได้อย่างไรกัน”
ตอนที่ 83-2 มาติดตามข้า ดีไหม
เกรงว่า หนิงซีฮ่องเต้ทรงอยากฮุบอำนาจของสกุลเหวยมานานแล้ว
เพียงติดที่ตำแหน่งโอรสสวรรค์ แม้สูงส่ง แต่ใช่ว่าจะสะดวกออกหน้าด้วยองค์เองทุกเรื่องไป โดยเฉพาะสกุลเหวยในตอนนี้ก็มิได้ทำผิดอะไร ย่อมไม่สามารถเล่นงานกันซึ่งๆ หน้า
จึงให้ไทเฮาออกหน้าโดยใช้การสมรส ลดทอนอำนาจสกุลเหวย ขวางไม่ให้สกุลเหวยเป็นใหญ่ต่อ ซึ่งคนสกุลเหวยก็ไม่โง่ พอเห็นว่าทรงพระราชทานลูกสาวขุนนางที่มีสถานะไม่สูงนักให้เป็นชายารองของเว่ยอ๋อง ก็ย่อมเข้าใจความหมายของราชสำนัก
และถ้าสกุลเหวยฉลาด ก็ต้องสรรหาวิธี ที่จะทำให้ฝ่าบาททรงวางพระทัย เช่น ลดบทบาทพรรคพวกที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ลง เป็นต้น
แต่ถ้าไม่ยอม แล้วทำอะไรบางอย่างที่แสดงความไม่พอใจออกมา เช่นนั้น ฝ่าบาทก็อาจไม่เกรงใจอีก สรุปแล้ว ล้วนเป็นฝ่าบาทที่ได้ประโยชน์
ดูเหมือนว่า การจับคู่ที่คล้ายผิดฝาผิดตัวนี้ แท้จริงแล้ว ซ่อนอุบายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ไว้หลายชั้น
ใครว่าเป็นฮ่องเต้ ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงอีก ก็ยังคงต้องชิงอำนาจเหมือนเดิม
เพียงแต่วิธีการแนบเนียนกว่าหน่อยเท่านั้น
ยิ้มของหญิงสาวปรากฏที่ดวงตา ซย่าโหวซื่อถิงเพียงรู้สึกว่ามีลูกไฟวาบผ่าน ผิวหนังร้อนผะผ่าว ใบหน้าของนาง เหมือนใบหน้านางมารที่นั่งอยู่ปลายเตียงในคืนนั้นไม่มีผิด ยิ้มเจ้าเลห์และ…หยิ่งทะนง
ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงต่ำๆ พลันดังขึ้น
“เจ้ากลับรู้ไม่น้อย…”
“ท่านอ๋องพูดเหมือนหม่อมฉันกำลังสอดแนมอยู่” อวิ๋นหว่านชิ่นโน้มตัวเข้าหา “เรื่องราวล้วนแบอยู่ตรงหน้า แค่ยอมหรือไม่ยอมคิดให้มากหน่อยเท่านั้น”
นางรู้สึกว่าทรวงอกของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากระเพื่อมขึ้นลง ลำคอจึงขยับ รีบว่า “นี่ก็สายมากแล้ว หม่อมฉันขอกลับไปรับใช้พระสนมเอกก่อน…”
แล้วก็ได้ยินเสียงลมจากด้านหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นยืนนิ่ง ด้วยมีคนก้มศีรษะลงมาที่ข้างหู เมื่อครู่ตนยังไม่ทันพูดจบ ตอนนี้กลับได้ยินเสียง
“…เรื่องตัวเองไม่ยุ่ง มัวแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทำไมไม่ห่วงตัวเองให้มากกว่านี้”
อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันไม่ห่วงตัวเอง หรือการห่วงตัวเองต้องเอาแต่คิดหาวิธีจับผู้ชายชั้นสูง แล้วแต่งงาน? เดิมทีรู้สึกว่าท่านอ๋องไม่เหมือนคนอื่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ก็เหมือนๆ กับคนทั่วไป”
เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ไม่คิดวางแผนชีวิตว่าจะหาสามีดีๆ สักคนแต่งงานด้วย ยังนับเป็นอะไรได้
คำพูดเช่นนี้ กลับคล้ายคนที่เคยออกเรือนแล้วก็ไม่ปาน เคยเห็นทะเลมาแล้ว จึงไม่คิดมองแม่น้ำอีก…
ซย่าโหวซื่อถิงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ดวงตาเฉยชา
“จะบอกว่า ข้อเสนอของข้าในครั้งก่อน เจ้ายังคงปฏิเสธ?”
อุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วยังวกกลับมาจนได้
อวิ๋นหว่านชิ่นโค้งตัวลง
“ท่านอ๋องให้เกียรติฟังความเห็นจากหม่อมฉัน หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ ในงานเลี้ยง ไทเฮามีเจตนาพระราชทานสมรสให้ท่านอ๋องกับคุณหนูอวี้ ทรงกำหนดให้คุณหนูอวี้เป็นชายาเอกของฉินอ๋องแล้ว ส่วนหม่อมฉันรู้ตัวดีว่า นิสัยไม่ดี ไม่ใช่คนอ่อนโยนที่จะยอมเป็นเมียน้อยและเชื่อฟังใครง่ายๆ ถ้าฝืนใจไป ก็รังแต่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข และพลอยทำให้สามีไม่มีความสุขไปด้วย หม่อมฉันจึงเหมาะกับการเป็นเมียหลวงมากกว่า แม้สามีไม่ใช่ชนชั้นสูง อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่อึดอัดใจ…”
ชาติก่อน ตนใช้ชีวิตอยู่อย่างอเนจอนาถ ไม่เหมือนเมียด้วยซ้ำ ชาตินี้จึงต้องมีความสุขอย่างเต็มที่ ไหนเลยจะอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก
เมื่อคิดกันคนละอย่าง ก็ต้องแยกทางกันเดิน พูดชัดเจนขนาดนี้ ฉินอ๋องท่าน ยังจะทำอย่างไรได้อีก
ก็แค่สมรสพระราชทาน ให้ได้ก็เก็บกลับคืนได้ จะกลุ้มว่าไม่มีทางแก้ไปทำไม
ซย่าโหวซื่อถิงยอมแพ้เป็นครั้งที่สอง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ที่นางโพล่งออกมาว่า ‘ไม่ได้’ ก็นับว่าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็ให้เหตุผลมาว่า ตนสวมหมวกเป็นอ๋อง…ไม่อ้อมค้อม ตรงดี
ต้นหอมหมื่นลี้ยืนอยู่อย่างสงบข้างตำหนักหลังหนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงคลืบคลานเข้าภาคกลางแล้ว กลิ่นหอมของดอกหมื่นลี้จึงจางหายไปแต่แรก เหลือเพียงดอกสีเหลืองอ่อนเ**่ยวๆ ไม่กี่ดอก ฝังอยู่ตามกิ่งใหญ่ พอลมเย็นพัดมา กิ่งไม้บนศีรษะของคนทั้งสองก็ไหวขึ้นไหวลงเบาๆ
รอสักพัก เสียงที่เคร่งขรึมของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“หรือว่า วันนี้ การกัดริมฝีปากของข้าจะเสียเปล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจฝ่อขึ้นมา
ฉินอ๋องมีโลกส่วนตัวสูง เหมือนบ่อน้ำที่ลึกเกินหยั่ง พฤติกรรมตามปกติ ถ้าไม่แสดงออกมาตรงๆ ก็จะเก็บไว้ในใจ คำพูดเมื่อครู่ น่าจะถือว่าทำลายขีดจำกัดของตัวเอง
เขาสะบัดชุดยาว สายตาสงบนิ่ง หันไปที่ระเบียง เอ็ดขันที “หลับตา!”
ขันทีตรงระเบียงจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบหันหลังให้ ก่อนยกมือปิดตาทั้งสองข้าง
ชายหนุ่มหันหน้าเข้าหาหญิงสาวร่างเล็ก แล้วโค้งตัวลง เห็นชัดว่ากินแรงอยู่บ้าง ท้ายที่สุด ก็กุมมือนางไว้ ยังไม่วายพูดประชดอย่างจริงใจไปคำหนึ่ง “…โตแต่ใจ แต่ตัวไม่โต”
อวิ๋นหว่านชิ่นหน้าแดง เคืองอยู่บ้าง ก็อายุสิบสี่สิบห้าเอง จะสูงได้แค่ไหนเชียว ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษท่านที่สูงเกิน ยังมีหน้ามาหาว่าข้าเตี้ยอีก…
ไม่รอให้นางโกรธ ชายหนุ่มจับมือเล็กๆ มาแนบกับริมฝีปากตน ตรงที่ถูกกัดจนเป็นแผลแตก
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ
เล็บของนางมนและใสวาว สะอาดจนจับมาใกล้ได้ หรืออยากจะกลืนเข้าไปด้วยซ้ำ เล็บไม่ยาวและทาสารสกัดจากดอกเทียนบ้านแดง เล็บจึงเป็นสีเดียวกับผิว ชุ่มชื่นและแวววาวอย่างเป็นธรรมชาติ
ซย่าโหวซื่อถิงไม่รู้ว่านางกำลังหลีกหนีอะไร ทั้งๆ ที่แอบช่วยเขาไว้ แต่กลับไม่ต้องการตกเขา ไม่เพียงไม่คิดตก ยังเหมือนพยายามรักษาระยะห่างกับเขา และเคารพนบนอบเขามาตลอดด้วย
แปลกมาก คล้ายกำลังปฏิบัติกับ…เจ้านายอย่างไรอย่างนั้น
ให้ตายเถอะ…แต่เขาไม่ต้องการให้นางเคารพเขาแบบนี้!
จึงจับนิ้วเล็กๆ มาสัมผัสเบาๆ ตรงปากแผลที่เพิ่งสมานเข้าหากัน พลางพูดเสียงนุ่ม
“ดูสิ เป็นแผลขนาดนี้แล้ว”
พูดไม่กี่คำ รัดกุมมาก แต่ทุกคำคล้ายเข้าไปรบกวนจิตใจนาง
น้ำเสียงเช่นนี้…งอนหรือ
ถ้านี่เป็นการแสดงความเจ้าชู้ตามแบบฉบับของเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็คงยอมแพ้แล้วจริงๆ
ไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเลย
ทว่าถ้ามองดูริมฝีปากของเขาให้ดีๆ ก็รู้สึกสงสารจับใจอยู่เหมือนกัน
ขนาดกัดเนื้อตัวเองลงมาได้นี่ ใจต้องถึงพอควร
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงตอนที่ตนอยู่บ้าน ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กผู้หญิง แล้วไม่ทันระวัง เข็มทิ่มโดนนิ้ว ก็ยังเจ็บอยู่ครึ่งค่อนวัน หรือขณะเพิ่มอุณหภูมิหม้อดินเผาเพื่อต้มขี้ผึ้งหอม ไม่ทันระวัง จับโดนหม้อเข้า ยังต้องรีบจับติ่งหูตัวเอง แล้วกระโดดไปมา อย่าว่าแต่ฟันของคนเราเวลาประกบกัน เพื่อกัดริมฝีปากตัวเองให้แตก จะเจ็บขนาดไหน
ทันใด นางก็งุนงงไปสักพัก ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่ฮ่องเต้ในอนาคตที่มีสนมนางในห้อมล้อมเป็นร้อยเป็นพัน เขาในตอนนี้ เป็นแค่เขาเท่านั้น
อาจเปรียบเทียบไม่ค่อยเหมาะสม…แต่เขาในตอนนี้เหมือน…สุนัขตัวใหญ่กำลังนั่งบาดเจ็บอยู่บนพื้น สายตาเว้าวอน อยากได้ความรักความสงสาร
ไม่จำเป็นต้องให้เขาจับมือ นางเขย่งปลายเท้า ใช้นิ้วที่นุ่มนิ่มขาวเนียน สัมผัสริมฝีปากของเขา รอบรอยแดงช้ำตรงปากแผล และบริเวณผิวปากที่เรียบเนียน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน อมยิ้มพลางว่า
“แบบนี้เจ็บไหม…แบบนี้ล่ะยังเจ็บอยู่อีกไหม…แล้ว…แบบนี้ล่ะ หือ? ท่านอ๋อง?”
ที่ๆ นิ้วหยกสัมผัสโดน นอกริมฝีปากบาง คล้ายมีลูกไฟติดมาด้วย ค่อยๆ วูบไปวาบมา พร้อมกับเสียงที่จงใจบีบให้เล็กของหญิงสาว ยั่วยวนเหลือทน
ซย่าโหวซื่อถิงตระหนักแล้วว่า ตนกำลังเล่นกับไฟ เด็กสาวผู้นี้ ไร้ยางอายจริงๆ ไม่เคยกลัวผู้ชายมาแต่
ไหนแต่ไร ตนน่าจะคิดได้แต่แรกแล้วว่า นางจะเหมือนเด็กสาวบอบบางที่ม้วนอาย หดตัวไปหลบอยู่อีกด้านได้
อย่างไรกัน เข้าทางนาง กลับมายั่วหยอกตนตอบ!
เขาพลันตัดสินใจ กระชับมือเล็กๆ ไว้ แล้วใช้นัยน์ตาสีดำเข้มจ้องมองนาง
“มาติดตามข้า ดีไหม”
นี่เป็นคำพูดที่เกินเลยขีดจำกัดมากสุดในชีวิตของเขาที่ใช้พูดกับหญิงสาว
หกคำเท่านั้น แต่กินแรงเขาไปครึ่งหนึ่ง
และ ขณะเปล่งออกแต่ละคำ แผ่นหลังจนถึงต้นคอที่แข็งแกร่ง ยังมีเม็ดเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด ความรู้สึกเช่นนี้ มิได้กินแรงน้อยกว่าตอนที่พิษกำเริบในทุกๆ เดือนเลย…
ตอนที่ 83-3 มาติดตามข้า ดีไหม
หญิงสาวขยับมือแล้วหมุนไปมาเพื่อให้ออกจากมือของเขา
อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นจากห้วงภวังค์ที่ปล่อยใจไป ชาติก่อน คำบอกรักของมู่หรงไท่หวานและกินใจกว่าของเขาเป็นไหนๆ แล้วสุดท้ายล่ะ…
นางรู้ว่าไม่ควรบริโภคของหวานจนสำลัก เกรงว่าพอเขารู้ความจริงเข้า จะรับไม่ได้แล้วย้อนกลับมาทำร้ายนาง อีกอย่างชายผู้นี้ นางตอแยไหวหรือ
อาการต่อต้านและลังเลใจของหญิงสาว ทำให้แววตาเขายิ่งลึกล้ำ ดวงตาที่ลึกอยู่แต่เดิม ตอนนี้จึงยิ่งลึกจนยากแท้หยั่งถึง
และในตอนนี้เอง ขันทีหนุ่มที่ยืนยามอยู่ตรงระเบียงก็วิ่งเข้ามา
“ท่านสาม! พระสนมเอกส่งคนให้มาตามคุณหนูอวิ๋นแล้ว…”
ตอนนี้จึงจะเป็นสนมเอกเฮ่อเหลียนจริงๆ ที่ส่งคนมาตาม ด้วยทรงเห็นว่ารัชทายาทไปที่ศาลาปทุมหอมแล้ว และละครเฉลิมพระชนม์ก็เริ่มขึ้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่น จึงไม่ไว้วางใจ
ขันทีหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ ก็อึ้ง เพราะเห็นองค์ชายสามจับข้อมือของคุณหนูอวิ๋นไว้ จึงรีบยกมือขึ้นปิดตาอีกครั้ง ในวังมีเรื่องบางอย่าง ไม่ควรเห็นเป็นดีที่สุด ถ้าไม่อยากเดือดร้อน
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฉวยโอกาสดึงมือกลับ แล้วถอยหลังสองก้าว
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอกลับไปงานเลี้ยงก่อน เพื่อไม่ให้พระสนมเอกต้องเป็นห่วง”
ครั้งนี้ ซย่าโหวซื่อถิงไม่ขวางนางอีก สีหน้ากลับเป็นปกติดังเดิม ปล่อยแขนเสื้อกว้างให้พลิ้วตามแรงลมของฤดูใบไม้ร่วง ก่อนว่า
“ต่อไป อย่าคบหากับรัชทายาทอีก”
เป็นคำสั่ง ไม่ใช่หารือ
อวิ๋นหว่านชิ่นทำปากเบี้ยว ต่อไปถ้าขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้ ก็ออกคำสั่งกับขุนนางไป อย่ามายุ่งกับข้าอีก
เขาเห็นนางเงียบไปไม่พูดจา ก็เลิกคิ้วเข้มขึ้น พูดย้ำ “ข้าไม่ได้หึง” ชะงักเล็กน้อย “รัชทายาทไม่น่าไว้ใจ เขามิได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่เจ้าเห็น”
คนที่ไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งกลับบอกว่าอีกคนหนึ่งไม่น่าไว้ใจ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง อวิ๋นหว่านชิ่นอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไร” ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้น ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง “ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยถอนสายบัวอย่างนิ่มนวล “เพคะ หม่อมฉันไม่หัวเราะแล้ว”
รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นกับขันทีหนุ่มจากไป ซือเหยาอันก็ก้าวออกมาจากหลังซุ้มประตูโค้งตรงห้องหลานซิน ก่อนพูดเสียงเบา
“ท่านสามมิได้หึง เพราะเห็นรัชทายาทกับคุณหนูอวิ๋นใกล้ชิดกันจริงหรือ”
เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเจ้าไม่ควรยุ่งเกี่ยว เขานึกในใจพลางมองค้อนด้วยสายตาที่เย็นชาดุจคมมีด
ซือเหยาอันจึงได้แต่ขมวคิ้ว แล้วเงียบเสียงลง
รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นไปถึงศาลาปทุมหอม งานเลี้ยงก็ดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว ละครเรื่องแปดเซียนถวายพระพรของรัชทายาทก็แสดงมาถึงฉากสุดท้ายพอดี
นางรู้สึกว่าถูกหลอกไปพูดคุยไม่กี่คำเอง ทำไมถึงนานขนาดนี้ได้
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นนางวิ่งหอบแฮ่กๆ มา ใบหน้าแดงระเรื่อ ก็ไม่ได้ถามมากความ เพียงบอกให้นั่งลง แล้วห้ามไม่ให้ไปไหนอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ นางยังไม่ทันกินอิ่มก็ถูกรัชทายาทเรียกตัวไป ตอนนี้ท้องจึงร้องขึ้นมา สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นนางขมวดคิ้วพลางจับท้อง ก็สงสารพลางยิ้ม วัยรุ่นมักทนความหิวไม่ได้ จึงบอกคนในวังว่าให้ไปนำกับข้าวชาววังที่ตนเก็บเผื่อไว้ให้นางออกมา
เมื่อละครปิดฉากลง ผู้คนก็ปรบมือเกรียวกราว
และพอนางเงยหน้าขึ้น ชายผู้นั้นก็เดินกลับเข้ามาพอดี ช่างกะเกณฑ์เวลาได้เหมาะเจาะยิ่ง ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกินไป เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวย่างพลิ้วไหว คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะนั่งลง ก็ดึงดูดสายตาของเหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ให้หันมามอง
ในศาลาปทุมหอมริมทะเลสาบ เจี่ยไทเฮาเห็นฉินอ๋องกลับมาแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยเสียงสูง
“เจ้าสามไร้วาสนา ดันออกไปก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้ดูละครเฉลิมพระชนม์ที่ซื่อจุนซ้อมมาอวยพรย่า ซื่อจุนแสดงเป็นหลี่ต้งปิน เข้าถึงบทบาทเซียนมาก หล่อไม่บรรยะบรรยังเลย!”
แล้วจึงหันหาหลานๆ พระบรมวงศานุวงศ์ “…วันเกิดของข้าในปีนี้ นอกจากสุราลูกหลานบ่มของพวกเจ้าแล้ว ก็มีละครของรัชทายาทนี่ล่ะ ที่โดนใจข้ามากที่สุด!”
พระบรมวงศานุวงศ์ของต้าเซวียนชอบชมละครกันอยู่แล้ว ในวังก็มักจัดแสดงละครให้ชนชั้นสูงชม จนกลายเป็นความบันเทิงที่ขาดไม่ได้ การเล่นละครของรัชทายาท ขอเพียงไม่กระทบงานหลัก ทุกคนก็อนุโลมให้ได้
พอได้ยินคำพูดของไทเฮา ซย่าโหวซื่อถิงก็ลุกขึ้น ก้าวเข้าไปยืนด้านล่างของบันไดหยกในศาลา ยกชุดยาวขึ้น คุกเข่าลงบนพรมแดง
“สุราลูกหลานบ่มเกือบทำร้ายไทเฮา! เพราะความประมาทของหลานพ่ะย่ะค่ะ!”
พอคำพูดนี้หลุดออกจากปาก ผู้คนก็ส่งเสียงฮือฮา
เจี่ยไทเฮาหน้าเปลี่ยนสี จูซุ่นจึงรีบก้าวเข้าไปหาฉินอ๋อง “ทรงหมายความว่าอะไร”
“สุราในป้านของหลาน หลังจากถูกสาดออก แล้วเปลี่ยนป้านมาใหม่ ก็มีคนในวังรายงานให้ฟังว่า จาก
การตรวจสอบ พบว่าสุราก่อนหน้านี้ คือสุราดอกท้อ ตอนนั้นหลานเหงื่อเย็นหลั่งไหล รู้สึกโชคดีที่พระพุทธองค์
ทรงคุ้มครอง ไม่ให้ไทเฮาดื่มสุราป้านนั้นเข้าไป เรื่องนี้จึงไม่รายงาน ไม่ได้!”
พอฉินอ๋องพูดจบ ก็หันไปกำชับให้คนในวังไปหยิบป้านสุราที่ตกพื้นนั้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังคีบแผ่นเนื้อได้หนึ่งแผ่น แต่พอได้ยินฉินอ๋องพูด แผ่นเนื้อก็ตกลง
สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าเปลี่ยนสี
เว่ยอ๋องลนลาน ก่อนทำขรึม ตรวจพบแล้วไง ต่อให้รู้ว่าตนเป็นคนสับเปลี่ยน แล้วมีหลักฐานหรือเปล่า
เจี่ยไทเฮารับป้านสุรามาดู แล้วหน้าก็เปลี่ยนสีทันที
สุราดอกท้อถูกสาดออกไปจนหมด ในป้านจึงแห้ง เหลือร่องรอยอยู่เพียงเล็กน้อย เป็นเกสรดอกไม้ชิ้นเล็กๆ ติดอยู่ พอเอาเข้ามาดมใกล้ๆ ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว ขืนดื่มลงไปจริงๆ ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้ ขนาดปีก่อนแค่สัมผัสถูกเกสรดอกไม้ ก็ทำให้มือเท้าชาไปหมด หายใจไม่ออก ถ้าวันนี้ดื่มเข้าไป ยังจะเหลือหรือ!
พอจูซุ่นเห็นไทเฮาหน้าซีด ร่างโงนเงนไปมา ก็รีบนำป้านสุราเจ้าปัญหาออกไป
เจี่ยงฮองเฮากับมเหสีรองเหวยรีบกุลีกุจอเข้าไป แยกกันบีบนวดไทเฮาซ้ายขวา พลางปลอบประโลม จากนั้น เจี่ยงฮองเฮาก็หันมาต่อว่ามองฉินอ๋อง
“เจ้า ทำไมถึงทำเช่นนี้”
เจี่ยไทเฮาแม้ตกใจ แต่สมองยังแจ่มใส รีบยกมือปราม ไม่ให้ฮองเฮาตำหนิฉินอ๋อง เนื่องจากฉินอ๋องกล้าเปิดโปงเรื่องราวต่อหน้าสาธารณะชน ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ว่าป้านสุราของตน มีสุราดอกท้ออยู่ เขาจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฉินอ๋องมีเรื่องอะไร ก็ว่ามาตามตรง” เจี่ยไทเฮาพูดอย่างสงบนิ่ง
ซย่าโหวซื่อถิงจึงค่อยๆ พูด “ป้านใส่สุราดอกท้อเมื่อครู่ ไม่ใช่ของหลาน ของหลานจริงๆ ถูกสับเปลี่ยนกับของคนในงานเลี้ยง”
ป้านสุราของฉินอ๋องก็คือป้านสุราสีทองสลักลายมังกรหงส์ที่เหล่าองค์ชายใช้ใส่สุราโดยเฉพาะ ถ้าถูกสับเปลี่ยน ก็ได้แต่ต้องสับเปลี่ยนกับองค์ชายทั้งหลายแล้ว เจี่ยไทเฮาจึงขมวดคิ้ว
“ป้านสุราทุกป้านก็เหมือนๆ กันหมด ทำไมฉินอ๋องถึงได้แน่ใจว่าถูกสับเปลี่ยน และถ้าถูกสับเปลี่ยนจริง แล้วฉินอ๋องรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนสับเปลี่ยน”
เดิมทีเว่ยอ๋องกำลังกลั้นหายใจ แต่พอฟังถึงตรงนี้ ค่อยระบายลมหายใจออกมายาวๆ
ป้านสุราบนโต๊ะของเหล่าองค์ชายเหมือนกันหมดจริงๆ ด้วยทำจากช่างฝีมือในสำนักพระราชวังคนเดียวกัน เป็นป้านสุราชุบทอง แกะสลักลายมังกรและหงส์ ถ้านำมาวางไว้ด้วยกัน ก็แยกไม่ออกแล้วว่า ของใครต่อของใคร
กลุ่มคนจึงกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบจากฉินอ๋อง
สนมเอกเฮ่อเหลียนหน้าซีด ร่างโอนเอนคล้ายจะเป็นลม แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่กังวลใจ จึงแอบกระซิบข้างหูพระสนมเอกว่า ทรงวางพระทัย เมื่อฉินอ๋องกล้าบีบตัวเองให้ไปถึงสุดขอบหน้าผา ก็ต้องมีเชือกเตรียมพร้อมไว้ที่จะพาตนเองลงจากหน้าผาอย่างปลอดภัย
ซย่าโหวซื่อถิงยืดเอวบางๆ ขึ้น ลำตัวตั้งตรงดุจหน่อไม้ไผ่ตง ร่างสูงยาว หน้าตาหล่อเหลา เปล่งรัศมีราศีจับ และพูดได้อย่างทรงพลังดุจโยนก้อนหินลงไปในน้ำแล้วก่อให้เกิดคลื่น
“เรียนไทเฮา ดูจากภายนอก ป้านสุราของหลานกับของพี่น้องทุกคนเหมือนกันหมดก็จริง แต่ภายในกลับไม่เหมือนกัน หลานทนทุกข์จากพิษในร่างมานานหลายปี คนทั้งเมืองหลวงล้วนรู้ดี แต่เล็กจนโต หลานจึงไม่แตะต้องสุรา เรื่องนี้คนในจวนอ๋องเป็นพยานได้ แต่ในงานเลี้ยง ย่อมต้องดื่มสุราตามประเพณี หลานเกรงว่าจะทำให้ไทเฮาและเสด็จพ่อเสียความรู้สึก จึงใช้ให้คนไปบอกช่างฝีมือที่สำนักพระราชวังว่า ช่วยแก้ไขป้านสุราให้หลานหน่อย ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง หลานจะได้ใช้แต่ป้านสุรานี้…”
“โอ้? แก้เป็นแบบไหน” เจี่ยไทเฮายืดคอขึ้นอย่างสนพระทัย
“แก้เป็นป้านสุราสองชั้น คือในป้านจะกั้นเป็นสองวง วงนอกบรรจุน้ำเปล่า วงในบรรจุสุรา ในงานเลี้ยง ถ้าหลานต้องดื่ม ก็กดลงทีหนึ่ง ที่รินออกมาก็คือน้ำเปล่า” ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ อธิบาย
อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาปริบๆ อ้อ มีกลไกเช่นนี้จริง ในต้าเซวียนไม่ถือว่าแปลก โดยเฉพาะคนในตระกูลใหญ่ๆ จะใช้กันมากในหน้าร้อน เรียกว่า ‘แก้วน้ำแข็ง’ โดยวงนอกจะเป็น** ซึ่ง**นี้ไม่สามารถนำออกมา โดยมีสภาพใกล้เคียงกับสูญญากาศ พอใส่เครื่องดื่มลงไป แล้วนำไปแช่ในถังน้ำแข็งให้เย็น ตอนนำออกมา **ที่อยู่วงนอกจะแข็งดุจน้ำแข็ง สามารถรักษาอุณหภูมิของเครื่องดื่มที่อยู่ด้านในให้ต่ำได้นาน เวลาดื่มจึงเย็นสดชื่นเสมอ
ทว่า…เขาไม่แตะต้องสุรา? แล้วผู้ที่เมาจนขาดสติในหมู่บ้านสกุลเกาคือใคร เฮอะ
ตอนอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว อย่างว่าจริงๆ เขาแสร้งทำเป็นพ่อหนุ่มคนดี ว่านอนสอนง่าย ใสซื่อบริสุทธิ์สุดยิ่ง!
อวิ๋นหว่านชิ่นเบะปาก กลับผ่อนคลายลงได้ทั้งหมด ที่แท้เขาก็มีเบื้องหลังเช่นนี้นี่เอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น