ยอดสตรีฉางอิ๋ง 82-88

 ตอนที่ 82 เมื่อผู้เชี่ยวชาญออกโรง

โดย

Xiaobei

                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ท่าทีที่ข้าปฏิบัติต่อลูกผู้น้องทั้งสองก็ไม่กล้ากล่าวได้ว่าอ่อนโยนใส่ใจ แต่ก็ยืนยันได้ว่าไม่เคยทำผิดต่อความรับผิดชอบที่พี่สาวควรจักมี ยิ่งไม่เคยจงใจทำให้พวกนางลำบาก ทว่าเมื่อข้าถูกคนให้ร้ายและครหานินทา เมื่อพวกนางได้ยินแล้ว ไม่เพียงไม่มาสอบถามเรื่องจริงเอากับข้าโดยตรง กลับหลงเชื่อคำผู้อื่นโดยง่าย คอยหลบเลี่ยงข้าดังข้าเป็นเสือ… ข้าย่อมไม่พอใจแน่นอน”


                นางหวงฟังคำนางกล่าวอย่างเปิดเผย รอยยิ้มที่ริมฝีปากยิ่งลึกขึ้นกว่าเดิม ตระหนักดีว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งกำลังหยั่งเชิงตน แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็มิได้กังขาในความสามารถของตน สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดว่าการที่แม่เฒ่าซ่งสอนสั่งมาด้วยตนเองนั้นได้ผลจริงแท้ มองออกว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้มั่นใจในตัวแม่เฒ่าซ่งยิ่งนัก เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ายกย่องนางหวง แม้แต่เรื่องที่คุณหนูใหญ่คิดจะทดสอบด้วยตนเองก็ยังไม่ทำแล้ว


                …ก็มิน่าเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้เป็นห่วงหลานสาวผู้นี้ยิ่งนัก เลือดเนื้อเชื้อไขของตน ให้ความเชื่อมั่นกับตนเองถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้ใหญ่คนอื่น เมื่อนางมีท่าทีหวังจะพึ่งพาอาศัยเช่นนี้ แล้วจักมีผู้ใดใจแข็งทำให้นางผิดหวังได้เล่า?


                ในขณะที่นางหวงกำลังขบคิดอยู่นั้น นางเฮ่อซึ่งเป็นคนใจร้อนเป็นทุนเดิม ทั้งครานี้ยังไม่มีคนนอก นางอยากพูดสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น พลางเท้าสะเอวแล้วว่า “พวกนาง…”


                “น้องเฮ่อสงบหน่อยอย่างเพิ่งเอะอะ” นางหวงกล่าวทัดทานนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูจัดการเรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องว่าตามคุณหนูใหญ่ เมื่อคุณหนูใหญ่สั่งความ พวกเราก็จะปฏิบัติตามไม่ชักช้าเจ้าค่ะ”


                นับว่าเว่ยฉางอิ๋งดูออกแล้ว ‘ยังมิต้องเอ่ยว่า ไม่ว่าอย่างไรนางเฮ่อก็มิใช่คู่แข่งของนางหวง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเชื่อมั่นที่นางเฮ่อมีให้แก่พี่หวงของนางผู้นี้ แทบไม่ต่างกับความเชื่อมั่นที่นางมีต่อแม่เฒ่าซ่งผู้เป็นย่าของตนสักเท่าใด… ยามนี้เห็นนางหวงมา นางเฮ่อก็มิได้มีท่าทีแก่งแย่งชิงดี กลับกลายเป็นว่าวิธีแก้ปัญหาใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดไปหาอีกแล้ว คำนึงถึงแต่เรื่องที่ตนจะรุกเข้าไปจัดการฟาดฟันด้วยตนเองเท่านั้นเป็นพอ…’


                ว่าแล้วเว่ยฉางอิ๋งก็ต้องลอบส่ายหัวหนแล้วหนเล่าอยู่ในใจ นางจนใจและจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะช่วยนางเฮ่อยื้อตำแหน่งมือหนึ่งของนางเอาไว้ ดีชั่วอย่างไรยามนี้ตัวนางเฮ่อเองก็สละตำแหน่งนี้ให้ด้วยความยินดีแล้ว หากยังขืนยกแม่นมผู้นี้ให้สูงว่านางหวง เกรงว่าผลที่ออกมาจะเป็นนางเฮ่อต้องปวดเศียรเวียนเกล้า ส่วนนางหวงก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย


                นางยกนิ้วขึ้นมาไล้ที่ปอยผมข้างหู กล่าวต่อไปว่า “แต่จะว่าไปแล้ว แม้เรื่องที่พวกนางทำครานี้จะทำให้ข้าผิดหวังและท้อแท้ยิ่ง แต่อย่างไรก็ยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ท่านอาสะใภ้สามเองปกติแล้วก็ปฏิบัติต่อข้าไม่เลวเลย หากจะต้องจัดการพวกนางจริงๆ ข้าก็รู้สึก…อื่ม ก็ไม่อยากจะทำให้พวกนางต้องลำบากเกินไป”


                ไม่อยากให้ต้องลำบากเกินไป ความหมายของคำกล่าวนี้ก็คือบอกว่าหากไม่ทำสิ่งใดเลย เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกไม่ยอมใจ เพียงแต่นางไม่ต้องการจะปล่อยลูกผู้น้องทั้งสองไปเปล่าๆ แต่ก็ไม่ใจแข็งพอจะลงโทษให้หนักหนาเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ต้องลงมือโดยให้อยู่ในระดับกึ่งกลางระหว่างนี้ก็จักต้องชั่งน้ำหนักให้ดี


                นางหวงอมยิ้ม แล้วกล่าวชมนางไปก่อนประโยคหนึ่ง “คุณหนูใหญ่มีจิตใจงดงาม วันหน้าจะต้องได้รับผลดีตอบกลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ” แต่คำพูดต่อมานาง กลับเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง และบอกถึงเหตุผลที่ต้องลงโทษซึ่งมีความสมเหตุสมผลเสียเหลือเกินว่า “แต่ข้าน้อยก็ต้องกล่าวเตือนคุณหนูใหญ่ประโยคหนึ่ง แคว้นนี้มีกฎหมายแคว้น บ้านมีกฎบ้าน แม้คุณหนูใหญ่จะสงสารคุณหนูสี่และคุณหนูห้า แต่หากมีการละเมิดกฎเกณฑ์ในตระกูลใหญ่แล้ว กลับถือเป็นเรื่องใหญ่! ตามหลักการพื้นฐานของสกุลเว่ย แม้คุณหนูใหญ่จะไม่อยากตำหนิคุณหนูสี่คุณหนูห้าอย่างรุนแรง แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตา คิดในใจว่า สมเป็นคนที่ท่านย่าไว้ใจนักหนา ไม่ต้องว่าถึงเรื่องอื่น ฝีไม้ลายมือของนางผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ… ยามนี้ทุกคนต่างรู้กันอยู่ในทีว่าเป็นการหารือเรื่องจะสำเร็จโทษเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนอย่างไร เพื่อให้ตนได้ระบายความแค้น… ซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องมีทั้งเรื่องส่วนร่วมและส่วนตัวปะปนกันอยู่


                แต่ปรากฏว่าเมื่อมาอยู่ที่ปากของนางหวง การไม่ลงโทษคุณหนูทั้งสองกลับเป็นการสั่นคลอนหลักการพื้นฐานของสกุลเว่ยไปเสียแล้ว! เมื่อให้นางกล่าวออกมาก็ดูมีหลักมีเกณฑ์จนหาความไม่ถูกไม่ต้องออกมาไม่ได้


                เห็นเพียงนางหวงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลักการลึกซึ้ง “หลักการใหญ่โตนั้นข้าน้อยจักไม่ร่ำไรอีก คุณหนูใหญ่มีคุณธรรมสูงส่ง ย่อมเข้าใจดีอยู่แล้ว เพียงแต่เอ็นดูน้องสาวจึงไม่อยากจะพูดออกมา หากจะพูดให้ง่ายขึ้น พี่น้องในบ้านเดิมทีก็ควรจักร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านคนนอก! นี่เป็นหลักการที่แม้จักเป็นบุตรของอนุที่ไม่รู้หนังสือมากนักก็ล้วนสามารถเข้าใจได้ จะว่าไปแล้วคุณหนูสี่และคุณหนูห้าก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ร่ำเรียนหนังสือมาแต่เล็ก เรื่องราวของวีระสตรีมีชื่อในยุคก่อนๆ ก็ล้วนเคยฟังมามากแล้ว เมื่อเทียบกับพวกชาวบ้านที่อยู่กลางดงกลางป่าก็มิรู้ว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมามากกว่าเท่าใด! แต่กลับไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ถูกคนนอกปั่นหัว ทั้งที่รู้ว่าคุณหนูใหญ่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่คิดจะช่วยประคับประคองลูกผู้พี่ของตน ช่วยหักล้างข่าวลือ แต่กลับช่วยคนชั่วก่อกรรม ถึงขั้นกระทำการซ้ำเติมคุณหนูใหญ่!”


                “ดังนั้นไม่ว่าคุณหนูใหญ่จักช่วยแก้ต่างให้คุณหนูสี่และคุณหนูห้าอย่างไร คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าก็มีความผิดอยู่ดี! ถึงแม้ว่าความผิดนี้ครึ่งหนึ่งเป็นความเลอะเลือน ครึ่งหนึ่งมิได้มีเจตนา แต่เมื่อคนทำผิดไปแล้ว ก็ควรจักว่ากันตามกฎเกณฑ์เจ้าค่ะ!” นางหวงกล่าวอย่างมีนัยยะว่า “เรื่องต่างๆ เมื่อทำตามกฎเกณฑ์แล้ว อย่างไรก็ไม่มีวันผิดไปได้เจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ลึกๆ ว่าในคำพูดของนางแฝงความหมายอื่นเอาไว้ ‘ครานี้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนมีความผิดจริงดังว่า มิใช่คุณธรรมที่ผู้เป็นน้องสาวพึงมี นางหวงเอานางไปเปรียบกับชาวบ้านในป่าลึกที่ไม่รู้หนังสือ ก็เพื่อเน้นความผิดที่พวกนางได้ทำลงไป ดังนั้นประเด็นสำคัญควรจะอยู่ที่ ทางหนึ่งนั้นนางหวงบอกว่าพวกนางทำผิด อีกทางหนึ่งก็โยงทุกสิ่งเข้ากับคำว่า กฎเกณฑ์ หนึ่งคำนี้ ท้ายสุดยังชี้ชัดออกไปว่า…เรื่องต่างๆ เมื่อทำตามกฎเกณฑ์แล้ว อย่างไรก็ไม่มีวันผิดไปได้!.’


                นางหวงออกปากเองว่าไม่อยากจะร่ำไรอีก แต่ก็ยังเน้นแล้วเน้นอีกถึงเรื่องความผิดของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน และบอกว่าพวกนางละเมิดกฎเกณฑ์ หากจะลงโทษเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้ ซึ่งแน่นอนว่าบ้านตระกูลเว่ยย่อมมีกฎของบ้าน แต่ยามนี้อยู่ที่เรือนหลังของรุ่ยอวี่ถัง คำของแม่เฒ่าซ่งก็คือกฎเกณฑ์


                ดังนั้นในคำที่ดูคล้ายร่ำรี้ร่ำไรของนางนี้จักต้องมีเจตนาใดแฝงอยู่


                นึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้แม่เฒ่าซ่งกล่าวเตือนตนว่า  ‘ฟังท่านอาหวงของเจ้าผู้นี้สอนสั่งเรื่องที่เมืองหลวงไว้ให้มาก’ เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาว่าในคำพูดของนางหวงจักต้องมีเจตนาที่แอบแฝงอยู่ภายใน… นี่เป็นการอาศัยโอกาสนี้ชี้แนะตนว่ามีที่ใดบ้างที่ต้องระมัดระวัง ยามไปเป็นสะใภ้ที่บ้านเสิ่นอย่างนั้นหรือ? ทุกเรื่องล้วนต้องทำตามกฎเกณฑ์ ดีชั่วอย่างไรความรับผิดชอบก็จักไม่มาถึงตนเอง?


                หลังจากนิ่งเงียบเพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งได้ขบคิดสักพัก เห็นชัดว่านางหวงมิได้ต้องการจะไขข้อสงสัยใดๆ ในทันที แต่จากนั้นกลับเสนอแนะวิธีการลงโทษของตนออกมา “ตามกฎของตระกูลเว่ย การกระทำของคุณหนูสี่และคุณหนูห้าครานี้ไม่อาจไม่ลงโทษได้ หากไม่ลงโทษไม่เพียงละเมิดกฎของตระกูล แต่ยังเท่ากับเป็นการปล่อยประละเลยกับการกระทำที่เลวร้าย กลับกลายเป็นการทำร้ายคุณหนูสี่และคุณหนูห้าเสียอีก ดั่งคำที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี คุณหนูใหญ่จักต้องเข้าใจในหลักการนี้นะเจ้าคะ! แต่คุณหนูใหญ่ได้เอ่ยถึงน้ำจิตน้ำใจของฮูหยินสาม ทั้งยังให้ความสำคัญกับความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน แม้ไม่อาจทำให้เสียการเพราะความรักใคร่ แต่หากเป็นการลงโทษสถานเบาเพื่อเห็นแก่ใจเขาใจเรา กลับสามารถทำได้… ตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว มิสู้ลงโทษพวกคนข้างกายนาง เพื่อมิให้คุณหนูสี่คุณหนูห้าหวาดกลัวเกินไป เมื่อลงโทษพวกบ่าวแล้ว คุณหนูใหญ่จึงค่อยปลอบโยนคุณหนูสี่และคุณหนูห้าสักครา เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”


                นางพูดไปพลางยิ้มอ่อนๆ มองมาทางเว่ยฉางอิ๋ง แล้วรอยยิ้มยิ่งกว้างไปกว่าเดิม


                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิงดูว่า “ความหมายของท่านอาหวงคือน้องสี่และน้องห้ายังเด็ก และเพราะว่าอยู่แต่ในจวน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ยังคงไร้เดียงสาอยู่บ้าง ถูกคนหลอกได้ง่าย เรื่องก่อนนี้… ที่แท้เพราะคนรอบกายนางไม่ดี คอยยุยงส่งเสริม จึงทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างพวกเราพี่น้อง เมื่อครานี้จักต้องลงโทษ จึงควรลงโทษคนเหล่านั้น?”


                ความจริงแล้วคำแนะนำแสนสวยหรูที่นางหวงกล่าวออกไปนี้ ประเด็นสำคัญมีเพียงสามประโยค…


                ประโยคแรกคือ ‘กฎเกณฑ์’


                ประโยคที่สองคือ ‘ครึ่งหนึ่งเลอะเลือนครึ่งหนึ่งไม่มีเจตนา’


                ประโยคที่สามก็คือ ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’


                เน้นย้ำความสำคัญของกฎเกณฑ์ ตัดสินว่าใครคือต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งสงสารพวกน้องๆ… ทำให้ทั้งสามประเด็นนี้ชัดเจน เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานของทั้งสามประเด็นนี้แล้ว เมื่อต้องทำสิ่งใดก็จะชัดเจนขึ้นมากแล้ว


                เดิมทีสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกลำบากใจอยู่ตรงที่ หากไม่ทำโทษลูกผู้น้องในใจก็รู้สึกไม่สงบ หากทำโทษแรงไปนางก็ใจไม่แข็งพอ


                ปัญหาคือ ด้วยความเอาอกเอาที่นางได้รับเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าซ่งนั้น แม้ไม่แน่ใจว่าจะลงโทษลูกผู้น้องทั้งสองนี้อย่างไร ขอเพียงได้แสดงความไม่พอใจที่มีต่อลูกผู้น้องออกมาบ้างเท่านั้นเป็นพอ เพราะความจริงแล้ว ตั้งแต่พวกบ่าวไพร่พ่อแม่บ้านที่รุมล้อมเข้ามา ทั้งในทางแจ้งทางลับทุกคนล้วนเหยียบย้ำบ้านสามขึ้นมาประจบตน


                อย่างไรเสียเว่ยเซิ่งอี๋แห่งบ้านสามนั้นอ่อนแอไร้สามารถ นางเผยก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ในบ้านนี้จึงไม่มีแม้สักเรื่องที่จะสามารถเทียบกับบ้านอื่นๆ ได้ เดิมทีก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมามีเรื่องล่วงเกินบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ที่เป็นที่รักยิ่งของแม่เฒ่าซ่ง แล้วจะมีวันอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างไร?


                สองวันมานี้เว่ยฉางอิ๋งยังแอบได้ยินมาว่า ในวันงานที่จวนจิ้งผิงกงครานั้น ในยามที่ตนมิทันสังเกต จูสือถึงขั้นขากเสมหะใส่กระโปรงของเว่ยเกาฉาน… ในเรือนเสียซวงของตนนี้จูสือก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น แม้จะเป็นหลานสาวโดยตรงของนางเฮ่อ แต่ก็ไม่นับว่านางเฮ่อจะให้ท้ายนาง ยามปกติแล้วทำการใดยังต้องคอยมองสีหน้าของพวกสาวใช้ที่โตแล้ว แต่กลับกำเริบเสิบสานกับเว่ยเกาฉานที่ถึงแม้จะเป็นบุตรสาวของอนุ ทว่าก็เป็นคุณหนูตระกูลเว่ยโดยแท้ได้ถึงเพียงนี้…


                เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีว่าที่จูสือทำเช่นนี้ โดยนามแล้วเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับตนเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น หากตนมิได้มีท่านย่ารักใคร่เอ็นดู จูสือจะกล้าเช่นนี้หรือไม่? เว่ยเกาฉานคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งถูกสาวใช้ตัวน้อยขากเสมหะใส่กระโปรง แต่กลับเดินไปโดยไม่กล้าจะตำหนินางแม้สักประโยค… แล้วมีหรือที่ข้างกายนางจะไม่มีแม่นมไม่มีสาวใช้อยู่ด้วย? อย่าว่าแต่ตำหนิจูสือเลย เหตุใดแม้แต่คำสักคำก็ยังไม่กล้าเอ่ย? หรือในบรรดาผู้คนมากมายนั้นไม่มีสักคนที่ใจกล้าพอ?


                ว่ากันตามจริง เพราะเกรงว่าเมื่อตำหนิจูสือแล้ว กลับยิ่งจะทำให้เว่ยเกาฉานถูกรังแกเหยียดหยามสาหัสเสียยิ่งกว่าเดิม…


                แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น แต่เมื่อคิดถึงว่าลูกผู้น้องที่มีสายเลือดและเป็นคุณหนูของตระกูลเช่นเดียวกับตน แม้แต่สาวใช้เล็กๆ นางก็ยังไม่กล้าจะต่อว่าต่อขาน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังเกิดความรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างหนึ่งที่ยากจะบรรยายออกมาได้


                นั่นเพราะแม้ต้องการจะลงโทษลูกผู้น้อง แต่ก็ไม่ต้องการให้การลงโทษนี้ ทำให้บ้านสามต้องพลอยรับเคราะห์และตกต่ำลงอย่างฮวบฮาบ


                แต่เรื่องราวในโลกนี้ล้วนเป็นการเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยคารวะผู้สูงกว่า ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งพูดเรื่องในใจตนออกไปอย่างชัดแจ้งว่า ‘ข้าอยากลงโทษลูกผู้น้อง แต่ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปลามปามไปถึงบ้านสาม’ ผู้คนก็จักมองผ่านประโยคหลังไปแล้วพากันว่า ‘คุณหนูใหญ่ก็เอ่ยปากแล้วว่าต้องการจะลงโทษลูกผู้น้อง ส่วนประโยคหลังนั้น… ก็ถือว่าพูดด้วยความเกรงใจเท่านั้น! ก็เพราะนางเป็นคุณหนูใหญ่นี่ แล้วจะให้นางพูดออกมาตรงๆ ว่านางชังลูกผู้น้องที่แล้งน้ำใจทั้งสองคนแทบตายได้อย่างนั้นรึ?’


                เรื่องที่คุณหนูใหญ่รู้สึกกระดากใจที่พูดหรือทำออกมา ก็คือสิ่งที่พวกเราสามารถสรรหาวิธีต่างๆ มาทำแทนคุณหนูนั่นเอง!


                ยามนี้นางหวงเสนอความคิดให้ข้ามตัวเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไป และเบนเข็มไปที่บ่าวข้างกายพวกนางแทน นอกจากทำให้พวกนางเสียหน้าและให้เว่ยฉางอิ๋งได้ระบายความโกรธแล้ว ยังมิได้ลงโทษคุณหนูทั้งสองนางโดยตรง เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งต้องรู้สึกทำใจไม่ได้


                เรื่องที่นางหวงเก่งกาจนั้นไม่เพียงแค่เรื่องเลือกคนมารับโทษ หากแต่เป็นเรื่องที่นางรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว นางมองเห็นความพะว้าพะวงและลำบากใจของเว่ยฉางอิ๋งได้อย่างชัดเจน แต่คำแนะนำที่สามารถพูดออกมาให้ชัดเจนในเพียงไม่กี่ประโยค นางกลับเอาแต่พูดอ้อมค้อม และยอมเผยใจความออกมาเพียงสองสามส่วนเท่านั้น


นอกจากใช้คำพูดที่มีความหมายแฝงอยู่ภายใน เพื่ออาศัยโอกาสนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งตระหนักรู้เองถึงเรื่องที่ควรระมัดระวังยามไปเป็นสะใภ้ในภายภาคหน้า และตัวนางเองก็กลับเคารพในหน้าที่ของผู้เป็นบ่าวอย่างเคร่งครัด


                ไม่ว่าเจ้าจะเป็นท่านอาที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้แนะนำมาด้วยตนเอง อีกทั้งทุกคนต่างรู้กันอยู่ในทีว่าเป็นผู้ที่มาสอนสั่งและคอยให้คำแนะนำคุณหนูใหญ่ในเรื่องหลักการภายในเรือนหลัง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังบอกว่าให้คุณหนูใหญ่ฟังเจ้าไว้ให้มาก… แต่อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นบ่าว! หากเรื่องใดๆ เจ้าก็พูดออกไปจนหมด แล้วเว่ยฉางอิ๋งที่เป็นนายจะพูดสิ่งใด?


       แล้วเมื่อเจ้าพูดออกมาหมดในคราวเดียว แล้วข้าจักต้องคล้อยตามเจ้าหรือ?


                เช่นนั้นแล้ว หน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ยังจะมีเหลืออยู่อีกหรือ?


                โดยเฉพาะนางเฮ่อที่เดิมทีเป็นคนสนิทของเว่ยฉางอิ๋งก็ยังถูกนางหวงแย่งเอาความโดดเด่นไปเรียบร้อยแล้ว หากนางหวงยังคงสร้างผลงานที่แม้แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังทำได้ห่างไกลจากท่านอาของตนผู้นี้ยิ่งนัก ต่อให้เว่ยฉางอิ๋งฝืนใจใช้นางต่อไปตามคำท่านย่าเพราะเห็นแก่ความสามารถของนางหวง ภายในใจของเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่เป็นสุข! ไม่เพียงไม่เป็นสุข ไม่แน่ว่ายังต้องระแวงว่านางหวงจะวางแผนมาควบคุมตนและชักไยตนจนกลายเป็นหุ่นเชิด!


                แต่ยามนี้นางหวงกลับทำเพียงชี้แนะ กลับไม่ยอมพูดออกมาจนหมด เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งมีโอกาสได้แสดงความสามารถ และเพราะไม่เคยแสดงท่าทีแย่งชิงอำนาจจากผู้เป็นนาย จึงมิได้กระตุ้นให้เว่ยฉางอิ๋งเกิดความระแวดระวังตัวและรู้สึกต่อต้าน แต่กลับมีเพียงความประทับใจแสนลึกซึ้งในความเก่งกาจฉลาดเฉลียวและความคิดอ่านที่รอบคอบของนาง


                กลยุทธ์ในการวางตัวเป็นบ่าวประการนี้นั้น แน่นอนว่านางหวงย่อมไม่บอกกล่าวแก่เว่ยฉางอิ๋ง และแม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะมองออกก็จักไม่ไปชี้ให้ชัดออกมาด้วยเช่นกัน


                ทั้งนายทั้งบ่าวต่างรู้กันอยู่ในใจ แล้วพูดเรื่องสำคัญอื่นต่อไป


                …นางหวงยังคงชมเชยเว่ยฉางอิ๋งเช่นเดิมว่ามีเชาว์ปัญญา ยิ้มบางๆ แล้วอธิบายต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่โปรดคิดดูเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเคยได้ยินน้องเฮ่อเล่าให้ฟังเรื่องคำพูดส่งเดชต่างๆ นานาข้างนอกก่อนหน้านี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ทว่าก่อนคุณหนูใหญ่จะไปจวนจิ้งผิงกงกลับมิเคยรู้เรื่องมาก่อน! แล้วเหตุใดคุณหนูสี่และคุณหนูห้ากลับรู้เล่า? คุณหนูสี่และคุณหนูห้าล้วนรักษากฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด แต่ไรมาไม่ออกประตูใหญ่ไม่กล้ำกรายประตูรอง นอกเสียจากมีพวกบ่าวที่จงใจนำเอาคำพูดเหล่านี้เข้ามาภายในตระกูล หาไม่แล้วจักมีผู้ใดไปพูดได้อีก? อย่าว่าแต่ข่าวลือเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยเลย ต่อให้เป็นเรื่องของบ้านผู้อื่น หญิงสาวดีๆ ทั่วไปล้วนไม่ควรไปฟังเรื่องเช่นนี้! และหากเป็นเรือนของคุณหนูใหญ่แห่งนี้ หากผู้ใดกล้านำความเช่นนี้เข้ามา ข้าน้อยคิดว่าน้องเฮ่อก็จักต้องจัดการเป็นแน่เจ้าค่ะ”


                นางเฮ่อพยักหน้า พร้อมกับท่าทีรุกรานร้อนแรง “หากในเรือเสียซวงมีพวกบ่าวปากเปราะเช่นนี้ หากข้าน้อยไม่ตบปากพวกนางจนยับก็แปลกแล้ว! ไม่มีทางให้ไประคายหูคุณหนูใหญ่ได้หรอกเจ้าค่ะ! และนั่นก็เพราะบ้านสามเลอะเลือนไร้แก่นสาร เรื่องใดก็ล้วนให้คุณหนูบ้านตนฟังไปเสียหมด ไม่รู้จักมียางอายเสียบ้าง!”


                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มพลางว่า “เมื่อว่ามาเช่นนี้ ก็ไม่ควรแค่ลงโทษบ่าวไพร่เหล่านี้เพียงง่ายดายเช่นนี้เท่านั้น เพราะครานี้พวกนางสามารถเอาคำพูดเลอะเลือนเข้ามาในจวน จนทำให้น้องสี่และน้องห้าเหินห่างกับข้า คราต่อไป…ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าจะทำการเช่นใดอีก? เพื่อมิให้เป็นเหตุให้น้องสี่และน้องห้าต้องเสียผู้เสียคน! คนพวกนี้เห็นทีว่าอย่าเก็บเอาไว้เสียเลยดีกว่า”


                นางสรุปคำแนะนำของนางหวงได้อย่างรวดเร็วว่า หลังจากออกเรือนไปแล้ว ไม่ว่าจะทำการใด เรื่องสำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็คือต้องเป็นไปตามกฎ หากไม่เป็นตามกฎ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็จะนับว่าผิดไว้ก่อนแล้ว แม้ผลลัพธ์ท้ายสุดจะออกมาดี แต่ก็ยังมิอาจหลบเลี่ยงจากการตกเป็นผู้ที่ทำลายกฎเกณฑ์ไปได้


                ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงทำลายกฎเกณฑ์ ก็จะเหลือเป้าให้คนไล่เรียงเอาความได้ ยามอยู่ที่บ้านตนเอง ด้วยมีพวกผู้ใหญ่รักใคร่ บางคราพวกผู้ใหญ่จึงทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่บ้านสามีกลับมิได้มีเรื่องดีเช่นนี้ แม้จะไม่ไล่เรียงเอาความเป็นการชั่วคราว ทว่านั่นก็เป็นเพียงการจดบันทึกไว้ในบัญชีที่สามารถพลิกเปิดดูได้ทุกเมื่อ


                ทว่าเรื่องที่ต้องเป็นไปตามกฎก็มิใช่บอกว่าจะต้องถูกกฎนี้ควบคุมเสียจนขยับตัวไม่ได้…ผู้ที่ไม่เห็นแก่หน้าใคร รู้จักแต่ทำตามกฎไม่ยืดหยุ่น ไม่มีผู้ใดชื่นชอบ…


                ความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่าเรื่องต่างๆ ต้องว่ากันตามกฎ หมายถึงบังคับใช้กฎเกณฑ์อย่างไรให้บรรลุถึงเป้าหมายของตนจึงจะถูก อย่างเช่นครานี้เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่อยากจะต่อว่าน้องสาวทั้งสองรุนแรงเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านตนนางเพียงแสดงให้เห็นความต้องการดังว่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทว่าที่บ้านสามี การทำเช่นนี้จะถูกจับผิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะน้องสาวทั้งสองละเมิดกฎบ้าน หากว่ากันตามกฎแล้วก็ต้องถูกทำโทษ หากเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่ต้องลงโทษ เช่นนั้นก็เป็นการทำลายกฎ คนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ระแวงสงสัยว่านางมีเจตนาให้ท้ายน้องสาวก็ดี หรือคิดว่านางจงใจจะหาพวกพ้องก็ดี… ดีชั่วอย่างไรก็จักมีเป้าให้ผู้คนกล่าวโทษได้


                เหตุที่นางหวงใช้คำว่า ‘ครึ่งหนึ่งเลอะเลือนครั้งหนึ่งไม่มีเจตนา’ เพื่อเตือนเว่ยฉางอิ๋งถึงเรื่องที่จะทำให้เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพ้นผิดได้อย่างไร ซึ่งก็คือ เลอะเลือนเป็นการบอกเป็นนัยว่าเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนอาจถูกคนหลอกเอา ส่วนที่ว่าไม่มีเจตนานั้น บอกเป็นนัยว่าน้องสาวทั้งสองนางนี้อาจคิดไม่ถึงว่าการกระทำของพวกนางจะมีความหมายและส่งผลอย่างไร สรุปแล้ว ถ้อยคำหนึ่งประโยคของนางหวงก็เพื่อปัดความรับผิดชอบของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนไปเสีย


                บนหลักการพื้นฐานเช่นนี้ นางหวงยังย้ำอีกว่า ‘รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี’ เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งยืนอยู่เหนือหลักคุณธรรมต่างๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสงสารและต้องการปกป้องลูกผู้น้องทั้งสองคน!


                …แม้ทุกคนล้วนรู้ดีกว่าลูกผู้น้องทั้งสองนางนี้ทำไม่ดีต่อข้า แต่ข้าก็หาได้โทษพวกนางสักน้อยไม่! ไม่เพียงไม่กล่าวโทษ ยังอดทนต่อความเจ็บปวดเป็นทุกข์ มองข้ามพฤติกรรมที่ไม่ถูกไม่ควรเหล่านั้นของพวกนางไป จึงเห็นความจริงว่า พวกนางล้วนถูกบ่าวไพร่จงใจหลอกลวงและยุยงปลุกปั่น!


                บ่าวที่เป็นเช่นนี้หากยังเก็บเอาไว้ข้างกายลูกผู้น้อง ช้าเร็วจักต้องมีสักวันทำร้ายลูกผู้น้องทั้งสอง และโดยทางอ้อมก็เพื่อเป็นการแก้แค้นให้ข้าด้วย ทว่าในฐานะพี่สาวที่รักน้องสาวและใช้คุณธรรมโต้ตอบความแค้น ข้าจึงไม่ทำเช่นนั้น! ดังนั้นยามนี้ข้าจักขับไล่บ่าวไพร่พวกนี้ไปเสีย แต่หาได้เป็นเพราะต้องการจะตบหน้าลูกผู้น้องทั้งสอง หรือหาใช่เพื่อเป็นการล้างแค้นไม่! หากแต่เพราะหวังดีต่อพวกนาง รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ข้าล้วนทำลงไปเพราะหวังดีต่อพวกนาง หวังดีต่อพวกนางจริงๆ!!!


                นางหวงยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ ให้กับการตัดสินใจของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วว่า “ข้าน้อยน้อมรับบัญชาคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”


______________________________


ตอนที่ 83 ให้อภัย

โดย

Xiaobei

                “พี่สาม พะ…พวกเราขออภัยท่าน!” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนดวงตาแดงก่ำ ยกน้ำชาขอขมาพลางคำนับพร้อมกัน


                เว่ยฉางอิ๋งรับมาดื่มหนึ่งอึก ถือเป็นการให้อภัย พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนว่า “เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษพวกเจ้าได้ทั้งหมด ล้วนเป็นเพราะพวกบ่าวใจสกปรก สร้างข่าวลือเลอะเลือน พวกเจ้าอายุยังน้อย หากได้ยินแล้วไม่ตกใจก็คงจักเป็นไปได้ยาก”


                และสอนสั่งพวกนางไปอีกว่า “ทุกเรื่องเราต้องเป็นผู้คิดเห็นเอง มิใช่ว่าใครว่าอย่างไรก็ว่าตาม เรื่องครานี้ก็นับว่าเป็นการลั่นระฆังเตือนพวกเจ้า เมื่อระแวงคนในครอบครัว ก็จักทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉายได้โดยง่าย ระหว่างพวกเราพี่น้องมีเรื่องใดที่ไม่อาจพูดไม่อาจไถ่ถามกัน ในเมื่อเกิดความสงสัยในใจ ไยมิมาไถ่ถามเอากับข้าโดยตรง? แต่กลับเชื่อคำของคนนอกทั้งยังเป็นพวกบ่าวไพร่เล่า?”


                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนรู้สึกผิดและเสียใจจนเงยหน้าไม่ขึ้น แล้วว่า “เป็นน้องเลอะเลือนเองเจ้าค่ะ”


                “คนเราผู้ใดไม่เคยผิดพลาด? เมื่อผิดพลาดแล้วต้องแก้ไข!” เว่ยฉางอิ๋งแย้มยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เอาล่ะ เราต่างก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไม่มีเรื่องที่ปรับความเข้าใจกันไม่ได้ ให้เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ ห้ามเอ่ยถึงอีก”


                นางวางถ้วยชาลง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ทางจวนจิ้งผิงกงนั้น ได้ยินว่าท่านป้าปลงตกได้มากแล้ว และตัดสินใจจะดูแลเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง วันนี้ท่านแม่ของพวกเราก็จักกลับมาแล้ว เช่นนั้น เราออกไปตอนรับพร้อมกันดีหรือไม่?”


                “เจ้าค่ะ” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยี่ยนย่อมไม่ปฏิเสธ พลางลอบโล่งอกอยู่ภายในใจ… ที่อย่างไรก็สามารถสะสางเรื่องบาดหมางนี้ได้ก่อนท่านป้าใหญ่และมารดาของตนจะกลับมา


                หาไม่แล้วจักเป็นการทำให้นางเผยผู้มารดาต้องเป็นกังวลในเรื่องเล็กน้อย ท่านป้าใหญ่ฮูหยินซ่งเองก็เป็นผู้ที่เห็นบุตรสาวสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิต หากรู้ว่าตนทั้งสองพี่น้องหลงเชื่อคำร่ำลือและหันมารังเกียจบุตรสาวของนาง แล้วไล่เรียงเอาความไปจนถึงบ้านสามก็เป็นเรื่องที่รับรองว่านางทำได้แน่…


                ยามนี้แม้ว่าบ่าวที่สนิทใกล้ชิดได้ถูกสับเปลี่ยนไปจนหมดแล้ว และตนยังต้องยกน้ำชาขอขมาเว่ยฉางอิ๋ง แต่ที่สุดลูกผู้พี่ก็ให้อภัยพวกตนแล้ว


                เช่นนี้ แม้ท่านแม่จะตำหนิ ท่านป้าใหญ่ไม่พอใจ ก็คงไม่ไล่เรียงเอาความอันใดนักแล้วกระมัง?


                พวกนางไปยังหน้าประตูรองพร้อมกับเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยจิตใจกระสับกระส่ายทว่ามีความยินดี เพื่อรอรับฮูหยินซ่งและนางเผยที่หลายวันมานี้อยู่ช่วยงานที่จวนจิ้งผิงกงมาโดยตลอด


                หลังจากที่มารดาและบุตรสาวทั้งสองบ้านพบหน้ากัน แล้วสอบถามทักทายกันและกันตามปกติสองสามประโยค จึงได้ไปคาราวะฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน และแยกย้ายกันกลับเรือนของตน


                เมื่อนางเผยย่างกรายเข้าไปในบ้านสามสีหน้าก็พลันหม่นลงทันใด เข้าไปนั่งภายในห้องและสั่งให้พวกบ่าวออกไป เมื่อเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นสีหน้าของนางก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมาภายในใจ ด้วยชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำ นางเผยจึงจำต้องเอาคำว่า ประเสริฐ ดีงาม เรียบร้อย มีคุณธรรม[1]สี่คำแปะติดเอาไว้กับตัว ไม่ว่าจะกับบุตรสาวแท้ๆ หรือว่าบุตรธิดาของอนุ นางล้วนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเมตตาและเป็นมิตร แม้บุตรธิดาจักทำผิด นางก็จะสอนสั่งอย่างอ่อนโยนและมีความอดทน ไม่ยอมชักสีหน้าให้เห็นง่ายๆ


                ด้วยท่าที่เช่นในยามนี้ เห็นชัดว่าจักต้องรู้เรื่องที่พวกนางล่วงเกินเว่ยฉางอิ๋งแล้ว!


                เพราะเว่ยเกาฉานเป็นบุตรสาวคนโตของอนุ เพื่อมิให้คนพูดกันไปว่านางเผยเป็นคนช่างอิจฉาริษยา นางจึงให้เกียรติบุตรสาวอนุผู้นี้เสียยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ ดังนั้นเมื่อยามนี้เว่ยฉางเยียนไม่กล้าเอ่ยปาก เว่ยเกาฉานกลับแสร้งทำเป็นกล้าหาญสอบถามไปว่า “หลายวันมานี้ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก วันนี้เพิ่งจักกลับมา ควร… ควรต้องพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? อีกสักพักพวกลูกๆ ค่อยมาคารวะท่านแม่?”


                “มีลูกเวรเช่นเจ้าสองคนแล้วจะให้ข้าสงบใจได้อย่างไร?” นางเผยกวาดสายตาเยือกเย็นไปยังพวกนางคราหนึ่ง และมิได้อ้อมค้อมใดๆ ถามไปตรงๆ ว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าไปฟังคำเล่าลือของพวกบ่าวปากเปราะ เมื่อครั้งไปไว้อาลัยที่จวนจิ้งผิงกงคราแรกถึงกับไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกับพี่สามของพวกเจ้ารึ?”


                “…เมื่อครู่นี้พวกเราขอขมาพี่สามแล้วเจ้าค่ะ พี่สามยังบอกว่าให้อภัยพวกเราแล้ว” เว่ยเกาฉานอธิบายอย่างขลาดกลัว “ยิ่งไปกว่านั้นพวกบ่าวเหล่านั้นก็ถูกไล่ไปหมดแล้ว เมื่อครู่นี้พี่สามก็ยังเป็นฝ่ายชวนพวกเราไปรับท่านป้าใหญ่และท่านแม่ด้วยกันที่ประตูรองอีกด้วยเจ้าค่ะ!”


                สองสามวันมานี้นางเผยล้วนอยู่คอยช่วยเหลือที่จวนจิ้งผิงกง นับแต่สามีถูกลอบสังหารนางเสี่ยวหลิวฮูหยินบุตรท่านจิงผิงกงก็ไม่ดื่มไม่กินเอาแต่นอนซมอยู่บนตั่งลุกไม่ขึ้น จนถึงเมื่อวานจึงค่อยๆ มีสติกลับมา ส่วนฮูหยินท่านจิ้งผิงกงนั้นได้เสียไปนานแล้ว สะใภ้ก็ต้องคอยเฝ้าโลงศพอยู่ในโถง จึงต้องฝากเรื่องใหญ่ทั้งหมดในเรือนหลังไว้แก่ฮูหยินซ่งและนางเผยดูแลแทน


                ดังนั้นหลายวันมานี้ฮูหยินทั้งสองจึงมีเรื่องยุ่งวุ่นวายเสียจนอ่อนล้าหมดกำลัง ทั้งยังมิได้กลับมาที่รุ่ยอวี่ถังด้วยตนเอง มีเพียงบ่าวคนสนิทที่ส่งความไม่กี่ถ้อยคำไปให้ จึงพอจะรู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรุ่ยอวี่ถังในหลายวันมานี้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น เมื่อได้ยินคำของเว่ยเกาฉานในยามนี้ นางเผยกลับตะลึงงัน “ขอขมาแล้วรึ?”


                เว่ยฉางเยียนรีบตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่ ลูกและท่านพี่ยกน้ำชาขอมาแกพี่สามด้วยกัน พอพี่สามดื่มชาแล้ว ก็สอนสั่งพวกเรา และบอกเองว่าเรื่องนี้หยุดเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ”


                นางเผยโล่งอก นางรู้ว่าหลานสาวผู้นี้แม้จะได้รับความรักใคร่ตามใจเป็นที่สุด แต่จิตใจก็ไม่ได้ร้าย ในเมื่อบอกเองว่าไม่ไล่เรียงเอาความแล้ว ต่อให้ฮูหยินซ่งคิดจะหาเรื่องตน หากไปขอร้องกับเว่ยฉางอิ๋งเป็นการส่วนตัว เว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องช่วยพูดแทนบ้านสามเป็นแน่ ยามนี้สามารถยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว แต่นางเผยยังคงไม่พอใจบุตรสาวทั้งสองคนเป็นอย่างยิ่ง จึงตำหนิไปว่า “พวกเจ้าทำเรื่องใดลงไป?! หากมิใช่เพราะพี่สามของพวกเจ้า เกาชวนหรือจะกลับมาได้ปลอดภัย! เดิมที่พี่ชายและน้องชายร่วมบิดาของเจ้าก็มีน้อยอยู่แล้ว หากเกาชวนเกิดเรื่องขึ้นมา เกาหยาก็อายุยังน้อย วันหน้าเมื่อพวกเจ้าออกเรือน ผู้สืบสกุลบ้านสามไม่แข็งแกร่ง พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะยังเสวยสุขอยู่ได้หรือ?”


                เว่ยเกาฉานอดจะแก้ต่างไม่ได้ว่า “ลูกได้ยินแต่เพียงว่าวันนั้นบนถนนหลวง พี่สามเพียงแค่ช่วยน้องห้าอย่างสุดชีวิต ภายหลังเข้าไปในป่าก็พาแต่น้องห้าหนีไป ส่วนน้องสี่นั้นถูกยิงจนตกม้าแล้วภายหลังซ่อนตัวอยู่ใต้ตัวม้า และโชคดีหนีรอดมาได้ด้วยตนเองต่างหาก”


                นางเผยจุกแน่นในลำคอ แล้วพูดต่อไปด้วยโทสะว่า “เจ้าจะไปรู้สิ่งใด? หากมิใช่พี่สามของพวกเจ้าพาคนทั้งกลุ่มหนีไป ทำให้พวกลอบทำร้ายไล่ตามไป พวกมันจึงมิได้ตรวจสอบศพบนถนนหลวงให้ละเอียด หาไม่แล้วเกาชวนยังจะมีชีวิตอยู่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเกาชวนต้องธนู เดินเหินไม่สะดวก หากพาเขาไปด้วยจะเป็นตัวถ่วงของทุกคน และจะไม่มีใครหนีรอดได้เลย! ไม่พาเขาไป แต่สร้างความสนใจให้พวกลอบทำร้ายจากไปจึงจะถูกต้อง! พวกเจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด!”


                “…เจ้าค่ะ!” เว่ยเกาฉานหน้าบวมแดง กล่าวว่า “ลูกก็ไม่ได้ไม่ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่สาม หากไม่เอ่ยถึงเรื่องบนถนนลวง แต่ก่อนมาพี่สามก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี”


                “เช่นนั้นครานี้ไยจึงเลอะเลือนเช่นนี้?”


                “แต่ครานี้ ชื่อเสียงของพี่สาม… ถูกคนพูดเสียย่อยยับไปหมดแล้ว!” เว่ยเกาฉานรู้สึกน้อยใจนัก กำชายเสื้อแน่นพลางว่า “วันนั้นเมื่อเห็นว่าพี่สามยังจะไปจวนจิ้งผิงกง ลูกและน้องก็หวังดีต่อพี่สาม เกรงว่าหากพี่สามไปแล้วได้ยินคำครหาต่างๆ ก็ไม่สบายใจ จึงคิดเตือนให้พี่สามอย่าได้ไปเลย”


                เว่ยฉางเยียนพยักหน้า


                นางเผยยิ้มเยาะ “คำพูดนี้ของเจ้าแม้แต่ข้าก็ยังหลอกไม่ได้! ­ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยไม่บอกกับนางไปตรงๆ? ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดภายหลังยังต้องเอ่ยเรื่องไม่ต้องการนั่งรถคันเดียวกับนาง? พวกเจ้ารู้หรือไม่ ต่อให้พี่สามของเจ้ามิใช่ดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ที่เจ้าทำเช่นนี้ ก็ถือเป็นการละเมิดกฎตระกูลอย่างร้ายแรง!?”


เว่ยเกาฉานขบริมฝีปาก เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแม่โปรดให้ลูกอธิบาย ครานั้นพี่สามถูกวิจารณ์เสียจน…หนักหนาเหลือทนแล้ว คำพูดเหล่านั้นลูกยังไม่กล้าจะฟังต่อไปได้ จึงคิดว่าหากออกไปข้างนอกกับพี่สาม ผู้อื่นก็จะต้องว่ากล่าวมาถึงลูกและน้อง ดังนั้นจึง… เป็นลูกที่ขลาดกลัวเอง แต่ครานั้นลูกไม่มีหน้าจะไปพร้อมกับพี่สามจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านแม่มิรู้ว่าพวกคนในเรืองหลังของจวนจิ้งผิงกงนั้นพูดถึงพี่สามเช่นไร ครานั้นทั้งลูกและน้อง… หากพี่สามมิได้ไม่ให้ลูกส่งเสียง พวกเราก็ไม่อาจจะนั่งอยู่ในศาลานั่นได้ต่อไปแล้วเจ้าค่ะ!”


                เมื่อเห็นว่าบุตรสาวคนโตของอนุยังกลับอ้างเหตุผลออกมาได้ ทั้งบุตรสาวแท้ๆ ก็คอยพยักหน้าตาม นางเผยจึงเกือบจะกระอักเลือดออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ไม่ว่าจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์หรือไม่ ชื่อเสียงของลูกผู้หญิงล้วนเป็นเรื่องใหญ่! ก่อนนี้แม้ข่าวลือจะพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าความบริสุทธิ์ของพี่สามของพวกเจ้ามีมลทิน แต่ในตระกูลก็มิได้ยอมรับ! พวกเจ้ากลับเป็นกระต่ายตื่นตูม หันมารังเกียจนางขึ้นมาเสียก่อน หากเรื่องนี้ไปถึงหูคนนอกแล้วพวกเขาจะคิดเห็นเช่นไร?!”


                “ก็จักต้องนึกคิดกันไปว่าพี่สามของพวกเจ้าไม่บริสุทธิ์แล้วจริงๆ! ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสองซึ่งเป็นน้องสาวของนางจึงได้รังเกียจนาง!” นางเผยอดรนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาพลันร่วงดังสายฝน “ไยเจ้าจึงไม่ลองคิดดู หากพี่สามของพวกเจ้าถูกผู้คนคิดว่าเป็นหญิงที่ไม่บริสุทธิ์จริงๆ แล้วจักมีประโยชน์ใดกับเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเป็นลูกผู้น้องของนางเชียวนะ! คนนอกยังหาหลักฐานใดไม่ได้ แต่ญาติพี่น้องของตนกลับพากันหนีหน้า เท่ากับเป็นการแทงข้างหลังพี่สาวในบ้านตนเอง! จนยามนี้แม้ภายในตระกูลจะยังไม่มีการพูดสิ่งใด แต่ในความจริงแล้วล้วนจดจำเรื่องนี้เอาไว้แล้ว! พวกเจ้าคิดว่าครานั้นที่พวกเจ้าไม่ยอมนั่งรถคันเดียวกันพี่สามของพวกเจ้า แล้วจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเจ้าบริสุทธิ์ไร้มลทินรึ? ผิดแล้ว! คนในตระกูลมีแต่จะเห็นตื้นเขินและความโง่เง่าของพวกเจ้าเท่านั้น! แทบจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของทั้งวงศ์ตระกูลเชียว!”


                สีหน้าของเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันเปลี่ยนไปพร้อมกัน “แต่ในจวนจิงผิงกงวันนั้นก็ได้ยินคนในตระกูลนินทาพี่สาม…พูดเสียฟังไม่ได้เป็นที่สุดนี่เจ้าคะ!”


                “โง่เง่า!” นางเผยโมโหเสียจนตบโต๊ะไปหนหนึ่ง แผดเสียงออกไปว่า “พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าการสนทนาของหญิงในตระกูลสองนางนั้น มิได้จงใจให้พวกเจ้าบังเอิญไปได้ยิน?”


                เว่ยฉางเยียนร้องอุทานอย่างตกใจออกมาคราหนึ่ง แล้วว่า “หรือว่าเป็น…?”


                “เป็นฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนจัดฉาก!” นางเผยกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “สองวันก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ายังส่งคนไปที่จวนจิ้งผิงกง ให้ข้าจัดการส่งของบางอย่างมาที่บ้านเราในนามของจวนจิ้งผิงกง… ภายใน…ยังมีผ้ายาวสีขาวผืนหนึ่ง!”


                “ไย..ไยเป็นเช่นนั้น?!” เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านย่านาง…”


                นางเผยยิ้มหยันว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ามีพี่สามของเจ้าเป็นหลานแท้ๆ เพียงผู้เดียว ฐานะของนางพวกเจ้าหรือจะเทียบได้? พวกเจ้าทำรื่องเบาปัญญาเช่นนั้นลงไป สองสามวันมานี้กลับมิได้ถูกลงโทษ ไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ? ว่ากันตามจริง ก็คงเพียงเพราะว่าพวกเจ้าก็เหมือนกับนางสองคนที่พูดจาไม่เข้าหูในเรือนหลังของจวนจิ้งผิงกง และผ้าขาวผืนนั้น ล้วนเป็น…ของที่ฮูหยินผู้เฒ่าใช้เป็นเครื่องขัดเกลาพี่สามของพวกเจ้าเท่านั้น!”


                เสียงของนางต่ำลง “คำครหานินทาภายนอกอื้ออึงไปหมด ไม่อาจปิดบังพี่สามของเจ้าไปได้ชั่วชีวิตหรอก! แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องการจะเห็นพี่สามของพวกเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยใจเพราะคำเล่าลือ จึงใช้ยาแรงไปเสียเลย… แรกเริ่มนั้นปิดบังพี่สามของเจ้าเรื่องข่าวคราวต่างๆ  จากนั้นก็ให้คนมาเผยให้นางฟังในทันใด แล้วใช้เรื่องผ้าขาวมากดดันนาง…เพื่อบีบเอาความเคืองแค้นในอกของพี่สามของพวกเจ้าออกมา และต้องผ่านด่านนี้ไปให้จงได้! หาไม่แล้ว พวกเจ้าลองดูพี่ชายสามของพวกเจ้าเอาเถิด! นั้นเป็นบุตรชายคนรองแท้ๆ ของท่านอารองของพวกเจ้า ตัวเขาเองยังมิเคยล่วงเกินคนในบ้านใหญ่ของท่านลุงใหญ่ของพวกเจ้าเลยแม้แต่ผู้เดียว! เพียงเพราะครานั้นท่านอารองของพวกเจ้าเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่าจะยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านลุงใหญ่ แล้วทุกวันนี้ดูท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเขายามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสิ!”


                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนพลันลืมตัว หน้าถอดสีพลางว่า “ท่านแม่ แล้วยามนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ?”


                “เคราะห์ดีที่พี่สามของพวกเจ้าผู้นี้มีจิตใจดี” นางเผยถอนหายใจ กล่าวว่า “และเพราะพวกเจ้าโชคดี เพื่อให้พี่สามของพวกเจ้าผ่านพ้นเรื่องเสียงเล่าลือนี้ไปให้ได้ด้วยตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงจงใจไม่อนุญาตให้ท่านป้าใหญ่ของเจ้ากลับมา กระทั่งยามตระเตรียมผ้าขาวผืนนั้นก็ให้ข้าเป็นคนทำ พี่สามของพวกเจ้าผลักความรับผิดชอบของพวกเจ้าไปให้แก่พวกบ่าวแล้ว หาไม่ครานี้หากท่านป้าใหญ่ของพวกเจ้าอยู่ในจวน… นางก็สามารถกินพวกเจ้าลงท้องไปเลย! อย่าไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่… ข้าก็สอนเจ้าเช่นนี้มาแต่เล็ก ไยพวกเจ้าจึงไม่ฟัง?”


                เมื่อเห็นว่าบุตรสาวทั้งสองทั้งหวาดกลัวทั้งลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก และอดจะร้องไห้ออกมาไม่ได้ ตัวนางเผยเองก็รู้สึกอ่อนใจและไม่มีแก่ใจจะตำหนิต่อไป แล้วส่ายหน้าหนแล้วหนเล่า “เอาเถิด ดีชั่วครานี้ก็เป็นพวกบ่าวไม่ดี วันหน้าพวกเจ้าก็จักต้องรู้จักฟังหูไว้หูบ้าง อย่าได้เอาแต่ฟังคำของคนรอบกาย!”


                เมื่อมองออกไปข้างนอก ดูคล้ายล้วนมีแต่คนใหม่ นางเผยขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “ครานี้พวกเจ้าจัดการกับพวกบ่าวปากเปราะเช่นไร? อย่าได้ลงโทษอย่างไม่จริงใจเพียงพอเล่า จักทำให้พี่สามของพวกเจ้ายังคงรู้สึกขัดเคืองอยู่ในใจเอาได้! ยังมีอีก พวกเจ้าไล่ผู้ใดออกไปบ้าง แล้วคนที่อยู่ใกล้ชิดมาจากที่ใด?”


                เว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียนเห็นนางเผยคล้ายจักยุติเรื่องนี้ลงแล้วจึงพากันโล่งอก เว่ยฉางเยียนรีบบอกว่า “ท่านแม่โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวพวกนั้นล้วนเป็นพี่สามบอกเองว่าจะลงโทษผู้ใด พี่สามจักต้องพอใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


                เว่ยเกาฉานก็บอกว่า “พวกที่ดูแลใกล้ตัวพวกเราส่วนใหญ่เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แม้จักมีไม่กี่คนที่มิได้เอาข่าวลือเข้ามา แต่ลูกคิดว่าให้พี่สามหายโกรธนั้นสำคัญที่สุด คนที่ใช้สอยในยามนี้จึงได้…โยกย้ายมาจากนอกเรือนเจ้าค่ะ”


                พี่น้องสองนางนึกเอาเองว่าเรื่องนี้จะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งว่า ‘อย่าไปมีเรื่องกับบ้านใหญ่’ ทุกประการ แล้วนางเผยจักได้พอใจ ผู้ใดจักคิดเล่าว่าเมื่อนางเผยได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของนางก็พลัดซีดจนเขียวขึ้นมาในบัดดล พักใหญ่จึงได้พูดออกมาทีละคำว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนนี่มัน…โง่นัก! เกาฉานอายุสิบเจ็ดแล้ว ฉางเยียนเองก็สิบห้า ในสามปีนี้พวกเจ้าทั้งสองคนก็จะต้องแต่งออกไป… ยามนี้เปลี่ยนคนที่ปรนนิบัติเจ้ามาแต่เล็กไปจนหมด เช่นนี้มิใช่ว่าหลังจากออกเรือนไปแล้วก็จักไม่มีบ่าวคนสนิทที่เชื่อใจได้เอาไว้ใช้สอยอย่างเพียงพอหรอกรึ?!”


                และกล่าวออกไปด้วยเสียงสั่นว่า “เรื่องนี้ยังไม่พอ! พวกเจ้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าในบรรดาบ่าวที่คอยรับใช้ใกล้ชิดเป็นผู้ใดที่ปากเปราะก็ควรจะไล่ออกไป แต่กลับพลอยทำให้พวกที่มิได้พูดจาเรื่อยเปื่อยต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย… แต่กลับไม่รู้จักร้องขอความเห็นใจให้แก่พวกที่ไร้ความผิด? หากพวกเจ้าเอ่ยปาก จะเก็บพวกบ่าวเหล่านั้นเอาไว้หรือไม่นั่นเป็นเรื่องว่าพี่สามของพวกเจ้าจะใจอ่อนหรือไม่ แต่หากพวกเจ้าไม่เอ่ยปาก นั่นก็เป็นพวกเจ้าทั้งสองตื้นเขินแล้งน้ำใจ บ่าวที่ปรนนิบัติมานานปีต้องมารับผิดแทนพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับไม่แม้จะพูดสักคำ!”


                “ผู้เป็นนายที่ใจร้ายเช่นนี้ วันหน้าไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้ใดมาปรนนิบัติเจ้า แล้วจักยังหวังให้ผู้ใดจงรักภักดีต่อเจ้าได้อีก?!”


                “เรื่องนี้เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นสิ่งที่พี่สามของพวกเจ้าวางแผนมาแล้ว พวกเจ้ายังมองไม่ออก… แล้วพวกเจ้ายังกลับกล้าไปรังเกียจนางอีกรึ?!”


___________________________


[1] ประเสริฐ ดีงาม เรียบร้อย มีคุณธรรม เป็นคำที่ใช้ให้คำจำกัดความถึงหญิงสาวที่เป็นกุลสตรี


ตอนที่ 84 เกียรติยศและอัปยศ

โดย

Xiaobei

                ความจริงแล้ว นางเผยเองก็กลับร้องทุกข์เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งทำเช่นกัน


                ในเวลาใกล้เคียงกัน ภายในบ้านใหญ่ ฮูหยินซ่งก็กำลังอบรมบุตรสาวโดยไม่ได้คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน “…เป็นเช่นไร? ที่ท่านอาหวงของเจ้าสอนเจ้าจัดการสองคนนั้นในบ้านสามเช่นนี้ แท้จริงแล้วยังมีความตั้งใจดังนี้ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งออกจะอดรนทนไม่ไหว “ทำเช่นนี้จะอำมหิตเกินไปหรือไม่เจ้าคะ?”


                “นี่นับว่าอำมหิตที่ใด?” ฮูหยินซ่งแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง คิดในใจว่าหากมิใช่เจ้าบอกว่าพอเพียงเท่านี้ หากข้าเป็นคนจัดการนังสองคนนั้น ก็จะมีแต่อำมหิตเสียยิ่งกว่านี้! เมื่อหวนคิดกลับมาก็คิดถึงว่าบุตรสาวได้ทุกสิ่งตามใจเสมอ ในหลายวันมานี้แม้จะต้องพบเจอกับความลำบากยากเข็ญติดต่อกันมาหลายครา ทว่าอย่างไรก็ยังมีผู้ใหญ่คอยปกป้อง ไม่เคยได้สัมผัสว่าความรู้สึกไร้ญาติขาดมิตรไร้หนทางเดินที่จริงแท้นั้นเป็นเช่นไร ก็ไม่แปลกที่จักทำใจร้ายไม่ลง วันหน้าจงอย่าได้เป็นทุกข์เพราะเรื่องเหล่านี้อีก


                จึงกล่าวว่า “เจ้าก็อย่าได้รู้สึกว่านางหวงอำมหิตเล่า! นี่ล้วนเป็นเพราะพวกนางโง่เอง ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ยอมขึ้นรถกับเจ้าก่อนหน้านี้ ครานี้นางหวงจูงใจให้เจ้าเปลี่ยนบ่าวข้างกายพวกนางทั้งหมดออกไป ถ้าเพียงแต่พวกนางมีสมองสักนิด แล้วขอร้องกับเจ้าแทนพวกบ่าวที่ไร้ความผิดไม่กี่คนในจำนวนนั้น ต่อให้เจ้าไม่อนุญาต แต่ก็นับว่าได้แสดงน้ำใจอย่างที่สุดแล้ว และบ่าวพวกนั้นก็จะแค้นเคืองแต่เพียงเจ้า! ที่นางหวงลงมือครานี้ก็เพียงลองทดสอบพวกนางดูเท่านั้น หากพวกนางขอร้อง ด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว กว่าครึ่งก็จักต้องรับปากแน่มิใช่หรือ?”


                ฮูหยินซ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าจงจำเอาไว้ ที่ว่ากันว่าใต้หล้าไม่สิ้นทางเดิน หากวันใดเดินจนไม่เหลือทางให้เดินแล้ว ไม่มีทางเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งหมด! ก่อนอื่นใดครึ่งหนึ่งนั้นเป็นตนที่ทำไม่ถูก! พวกคนที่บอกว่าน่าสงสารนั้นก็จักต้องมีส่วนที่น่าชังด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นเพราะทำตนเองทั้งสิ้น!”


                เมื่อฮูหยินซ่งกล่าวเช่นนี้กับตน เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางถอนใจแล้วว่า “ก่อนนี้ท่านพี่ไจ้สุ่ยไม่ให้ข้าไปสนใจพวกนางนัก ข้าคิดเสมอมาว่าท่านพี่ไจ้สุ่ยคิดมากเกินไป เพราะอย่างไรทุกคนก็เป็นพี่น้องกัน ต่างคนต่างช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ยามนี้ ดูท่าว่าท่านพี่ไจ้สุ่ยมองได้ลึกซึ้งกว่าข้าจริงๆ”


                นางรู้สึกผิดหวังยิ่ง “ข้าและน้องสี่ น้องห้าก็นับว่าเติบโตมาด้วยกัน ในอดีตนั้น ข้าไม่เคยรู้สึกว่าพวกนางเป็นคนตื้นเขินมาก่อนเลย”


                ฮูหยินซ่งกล่าวว่า “นี่ก็คือใจคนยากแท้หยั่งถึง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางพลันมีรอยยิ้มเผยออกมา แล้วสอบถามด้วยน้ำเสียงเปรมปรีดิ์ว่า “ตอนกลับมาระหว่างทางได้ยินมาเรื่องหนึ่ง วันนั้นเสิ่นจั้งเฟิงบุกเข้ามาถึงเรือนหลัง คล้ายว่าเจ้าเองก็บังเอิญอยู่บนระเบียบทางเดินด้วย? เห็นเขาแล้วใช่หรือไม่? เด็กผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร? หล่อเหลาหรือไม่? สูงพอๆ กับเติ้งจงฉีที่เคยช่วยเจ้าไว้เมื่อคราวก่อนหรือไม่?”


                “…ท่านแม่!” เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นใบหน้าของนางแดงขึ้นมาจนแทบจะมีเลือดไหลออกมา กระทืบเท้าเดินหนี แล้วกล่าวอย่างมีโทสะว่า “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว!”


                “อ้าว!” ฮูหยินซ่งตาเร็วมือไว้คว้าแขนเสื้อนางเอาไว้ แล้วขืนดึงนางกลับมา กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ที่นี่ก็มิได้มีผู้อื่นอยู่ แม้แต่แม่นมซือของเจ้าก็ให้ออกไปแล้ว เจ้าจักต้องมาเขินอายต่อหน้าแม่ด้วยเหตุใด?”


                เว่ยฉางอิ๋งขืนตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ดึงไม่ออก พลางขมวดปากเข้าพลางนั่งลง มองมารดาด้วยสายตาไม่ไหวติงแล้วว่า “เขาบุกตรงเข้ามาที่เรือนหลัง แม้จะแจ้งฐานะของตนยามอยู่ที่หน้าประตู แม้พวกบ่าวไม่กล้าขวางเขาสักเท่าใด แต่ก็เดินตามเขามาอย่างกระวนกระวายใจ… เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนั้น ข้าย่อมต้องรีบอำลาท่านย่า แล้วเดินไปทางประตูครึ่งวงพระจันทร์!”


                ฮูหยินซ่งไม่หลงกล ซักไซ้ไปว่า “แม้จักเป็นเช่นนี้ แต่ทางเดินที่ไปถึงประตูครึ่งวงพระจันทร์นั้นยาวนัก ในเวลาเพียงน้อยนิดนั้น ไยเจ้าจึงเดินไปถึงหลังประตูแล้ว? หรือต่อให้เดินไปถึงแล้ว จะยืนเกาะข้างประตูอาศัยใบกล้วยอำพรางตัวมองดูก็ได้นี่!”


                “พูดสิ่งใด ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวออกไปด้วยความโกรธและร้อนรนจนเสียกริยาว่า “ข้าจะไปเกาะที่ข้างประตูแอบดูได้อย่างไรกัน!”


                “ใช่แล้ว เจ้ามีหรือจะเรียบร้อยจนเพียงแค่ไปเกาะประตูดูเล่า?” เมื่อเห็นนางร้อนตัวจนหน้าซีด ฮูหยินซ่งหรือจะยังไม่รู้ว่านางจักต้องได้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว จึงอดจะหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ แล้วว่า “ข้ากลัวเสียเหลือเกินว่าเจ้าจะตีลังกาขึ้นไปดูอยู่บนกำแพง… เจ้าว่าเรื่องเช่นนี้แต่เล็กมาเจ้าทำมาน้อยนักหรือ? แม้แต่เรือนของท่านปู่ท่านย่าเจ้าก็ยังกล้าตีลังกาขึ้นไป!”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างโมโหว่า “ยามนั้นข้ายังไม่ทันเดินไปถึงประตูครึ่งวงพระจันทร์ แล้วจะตีลังกาขึ้นไปบนกำแพงได้หรือเจ้าคะ?!” เมื่อกล่าวคำพูดนี้ออกไปก็พลันรู้สึกว่าตกหลุมพรางของมารดาเสียแล้ว จึงกลัดกลุ้มใจจนทนไม่ไหวขึ้นมาทันใด… ฮูหยินซ่งนั้นหัวร่องอหายไปแล้ว พักใหญ่ๆ จึงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา เห็นบุตรสาวทำปากจู๋ออกมาเสียจนสามารถแขวนขวดน้ำมันได้สองขวดแล้ว จึงได้กลั้นหัวเราะแล้วว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เห็นแล้วก็เห็นแล้ว เพียงแต่เล่าให้แม่ฟังสักหน่อย เจ้ากลัวสิ่งใด?”


                จึงถามต่อไปว่า “เด็กคนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร?”


                “ก็เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งมองขึ้นไปบนเพดาน พยายามใช้น้ำเสียงไม่ใส่ใจให้มากที่สุด


                ก่อนนี้ฮูหยินซ่งตั้งใจแหย่บุตรสาวเล่นมาโดยตลอด แต่ครานี้กลับร้อนรนขึ้นมา และเร่งนางไปว่า “สิ่งใดคือเป็นเช่นนั้น? เด็กผู้นั้นสูงหรือไม่? หล่อเหล่าหรือไม่? ก็บอกมาสักคำสองคำสิเล่า!”


                “ไม่สูงไม่หล่อเหลาแล้วจะเป็นเช่นใดเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งทำท่าคล้ายปล่อยตามชะตาฟ้า แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจใดๆ ว่า “หรือเพราะเขาไม่สูงพอไม่หล่อเหลาพอแล้วจักจะถอนหมั้นไม่ได้?”


                “เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร” ฮูหยินซ่งถลึงตากใส่นางคราหนึ่ง “ข้าจักให้ฉางเฟิงไปดู!”


                เว่ยฉางอิ๋งเต้นโหยงขึ้นมา แล้วว่า “ไม่ได้!”


                “ฉางเฟิงเป็นชาย ว่าที่พี่เขยมาถึงเรือน เข้าไปคารวะสอบถามสักไม่กี่คำแล้วจักเป็นไร?” ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างสงสัยว่า “มิได้ให้เจ้าไปสักหน่อย”


                “หากว่า…” เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่นเข้า อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานจึงว่า “หากว่าเขาคิดว่าเป็นข้าให้ฉางเฟิงไปเล่า?”


                ฮูหยินซ่งไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “เหตุใดเขาต้องคิดว่าเป็นเจ้าให้ไปเล่า?”


                แล้วสงสัยขึ้นอีกมาว่า “อย่าได้เป็นเจ้าส่งสัญญาณใดให้เขายามอยู่บนทางเดินเชียว?”


                “จักเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” เว่ยฉางอิ๋งร้อนรนและร้องเสียงต่ำขึ้นมา “ข้าเพียงมองแวบหนึ่ง แล้วเห็นว่าท่านย่าให้เขาเข้าไปพบท่านปู่ ข้าก็รีบไปแล้ว… อย่าได้บอกว่ายามที่มีท่านย่าอยู่แล้วข้าจะส่งสัญญาณใด ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ?”


                ฮูหยินซ่งยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าผากของนาง กล่าวด้วยความขบขันว่า “เช่นนี้ไม่ใช่แล้วกระมัง? เจ้าหลบเลี่ยงไม่ทันจึงได้มองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงได้จากไปตามธรรมเนียม แล้วเขาจะถือดีสิ่งใดนึกคิดไปว่าเจ้าเป็นคนให้ฉางเฟิงไปเล่า? จักไม่คิดว่าฉางเฟิงไปหาเขาเองไม่ได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้เขาอยู่ที่บ้านเรา แต่บ้านเรากลับไม่มีแม้สักคนไปดูเขา นี่ยิ่งกลับเป็นการเมินเฉยต่อเขาเสียอีก!”


                เว่ยฉางอิ๋งถูกคำพูดจุกอกไปเกือบเค่อ ขมวดปากเข้ามาแล้วว่า “เสียงร่ำลือมากมายภายนอกนั่น… แม้จะบอกว่าเขายืนยันจะทำตามสัญญาต่อไป แต่ผู้ใดเล่าจักรู้ว่า…”


                คำกล่าวนี้ของนางเอ่ยออกมาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ แต่กลับแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของฮูหยินซ่งพลันเปลี่ยนไปทันใด “เจ้ากลัวว่าเขาจะดูแคลนเจ้าเพราะคำเล่าลือนั่น?” กระทั่งแม้แต่แม่จะส่งฉางเฟิงไปสำรวจดูเขาสักหน่อย เจ้าก็กลัวว่าเขาจักหลงเชื่อจนมีอคติ และหันมาสงสัยเจ้า?”


                เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้าลง นิ่งงันอยู่เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข่าวลือแพร่ออกไปไม่น่าฟังถึงเพียงนั้น ได้ยินแล้ว… อย่างไรก็ต้องรู้สึกขัดข้องใจบ้างกระมังเจ้าคะ?”


                “เจ้าเลอะเลือนเกินไปแล้ว!” จิตใจของฮูหยินซ่งในยามนี้แทบไม่ต่างอะไรกับนางเผยในบ้านสาม นางสูดหายใจลึกแล้วว่า “นี่เจ้า… คิดจะเดินตามท่านอาสะใภ้สามของเจ้ารึ? เจ้ายินยอมรึ?”


                เมื่อเห็นบุตรสาวนิ่งเหม่อ ฮูหยินซ่งจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อาสะใภ้สามของเจ้ารู้สึกน้อยน้ำต่ำใจในชาติกำเนิดตน ข้อเสียของนางข้อนี้ตั้งหลายปีแล้วก็ยังแก้ไม่ได้เสียที! ก็ด้วยสาเหตุนี้ เจ้าดูนางสิ ทั้งที่ก็เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านดี แต่กลับเอาแต่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในคำครหาของผู้อื่น กลัวถูกคนดูแคลนกลัวถูกคนวิจารณ์… แต่กลับไม่รู้ว่าที่นางยิ่งเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นจักยิ่งดูแคลนนางยิ่งวิจารณ์นาง!”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเสียงเบา “ที่ท่านแม่กล่าวนั้นลูกก็เข้าใจ ก่อนนี้ หลังจากตัดผ้าขาวผืนนั้นไป ข้าก็คิดได้แล้วว่าอย่าให้คนที่สร้างข่าวลือให้ร้ายเราพวกนั้นได้ใจ เพียงแต่… ภายในใจก็ยัง… รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ดีเจ้าค่ะ คำพูดนี้ข้าจะบอกแก่ท่านแม่และท่านย่าเท่านั้น ต่อหน้าผู้อื่นข้าจะไม่มีทางยอมรับเด็กขาด”


                “เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจรึ?” ฮูหยินซ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “มีสิ่งใดต้องกระวนกระวายใจกัน? ก็มิใช่เพียงแค่บีบคอเว่ยซินหย่งเท่านั้น… คนผู้นี้แม้จักไม่ใช่ของดีอะไร แต่หากจะนับกันจริงๆ ก็ยังเป็นท่านอาในตระกูลของเจ้า! เป็นญาติผู้ใหญ่! แล้วจักว่าไปแค่บีบคอสักหนแล้วจักเป็นอย่างไร? เรื่องราวโสมมภายในเรือนหลังของบ้านตระกูลใหญ่นั้นมีมากมายนัก ต้องเอาซ่อนไว้ปิดไว้จึงสามารถวางท่าสูงส่งมีสง่าก็เท่านั้น หากเปิดเผยออกมาจริงๆ แม้แต่คิดเจ้าก็ยังคิดไม่ถึงเชียว! แม้แต่นางในภายในวังก็ยังไปหาพวกขันทีมาเป็นคู่ทานอาหาร[1] ก็มีเพียงเด็กน้อยที่ยังคงไร้เดียงสาเช่นเจ้า ที่จักคิดว่าการแตะเนื้อต้องตัวสักหนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต!”


                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “หลักการนั้นข้าล้วนเข้าใจ เพียงแต่…ข้าไม่สบายใจเจ้าค่ะ!”


                ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แล้วว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าน่ะ…รักเสิ่นจั้งเฟิงแต่แรกพบเข้าแล้ว?”


                “ไม่มีเรื่องเช่นนี้!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ โพล่งออกไปทันที


                “จะปฏิเสธไปไย? นั่นเป็นคู่หมั้นเจ้า หากเจ้าไม่ชอบเขาจึงจะเป็นเรื่อง” ฮูหยินซ่งลูบขมับนาง ถอนหายใจแล้วว่า “เด็กผู้นี้แม้ข้าจะยังไม่เคยเห็นกับตา แต่ดูเอาจากการกระทำครานี้ที่เขาไม่ยอมถับถมเจ้าและก้าวออกมาบังลมบังฝนให้เจ้า ต่อให้หน้าตาจะย่ำแย่จนทนดูไม่ได้ คาดว่าเจ้าก็คงจักรู้สึกดีกับเขาบ้างแล้ว หากไม่ใช่เพราะเกิดความรู้สึกใดบ้าง แล้วเกิดหวาดกลัวว่าเขาจักดูแคลนเจ้า แล้วเจ้าจักต้องมาใส่ใจเรื่องที่เจ้าไปพบเว่ยซินหย่งทำสิ่งใด? ก่อนนี้เมื่อครั้งเจ้าเตรียมการจะตีเขาจนลงไปคลานอยู่บนพื้น…เจ้ากลับมิเคยสนใจว่าเขาจะมองเจ้าเช่นไร?”


                ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง พูดสิ่งใดไม่ออก


                เมื่อฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจว่าตนกล่าวถูกแล้ว? นางคิดใคร่ครวญอยู่ในใจรอบหนึ่ง แล้วพูดช้าๆ ออกมาว่า “จะว่าไปเรื่องที่อาสะใภ้สามของเจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องชาติกำเนิดของตนนั้นน่าขันนัก… แต่แรกนั้นก็ใช่ว่าเป็นนางวิ่งโร่เข้ามาว่าจะต้องแต่งเข้าตระกูลเว่ยเสียให้ได้ หากแต่เป็นตระกูลเว่ยส่งคนไปสู่ขอที่บ้านเผยและแต่งนางเข้าบ้านอย่างออกหน้าออกตา! แล้วนางมีสิ่งใดต้องน้อยเนื้อต่ำใจเล่า? หากให้ข้าคิด ตระกูลเว่ยละทิ้งโอกาสไม่สู่ขอสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ที่คู่ควรกันทุกอย่าง แต่กลับมาสู่ขอนางให้แก่ท่านอาสามของเจ้า นี่ก็มิใช่เป็นการพิสูจน์แล้วหรือว่าแม้นางจะเกิดในตระกูลใหญ่ทั่วไป แต่กลับดีกว่าสตรีตระกูลสูงศักดิ์เสียอีก แล้วนี่มันเป็นเรื่องใดกัน?”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง ฮูหยินซ่งพูดต่อไปว่า “ต่อให้ข่าวลือระคายหูยิ่งกว่านี้ ยามนี้ก็มิใช่ว่าตระกูลเว่ยหน้าด้านยัดเหยียดเจ้าให้ตระกูลเสิ่น แต่เป็นตระกูลเสิ่นยืนกรานจะแต่งเจ้าเป็นสะใภ้… แม้จะถูกคนให้ร้ายทำลายชื่อเสียง แต่ยังสามารถทำให้บ้านเสิ่นแต่งเจ้าเข้าบ้านได้ตามประเพณี นับเป็นความสามารถของเจ้าทั้งยังเป็นเรื่องที่เจ้าควรภูมิใจ! แล้วเหตุใดเจ้าจักต้องเอาเยี่ยงอย่างอาสะใภ้สามของเจ้า เห็นเกียรติยศเป็นความอัปยศเล่า?!”


                นางดึงมือของบุตรสาวมากุมไว้ แล้วตบที่หลังมือเบาๆ จ้องไปในดวงตาของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วกล่าวไปทีละคำ “จำไว้! มิใช่ตระกูลเว่ยรีบเร่งยกเจ้าให้กับเสิ่นจั้งเฟิง! หากแต่เป็น… ตระกูลเสิ่นส่งเสิ่นจั้งเฟิงเร่งเดินทางฝ่าฝนติดต่อกันหลายคืนเพื่อมาส่งกระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนั้นให้เจ้า บ้านเราจึงได้ยอมรับโดยปริยายว่าสัญญาแต่งงานยังคงเป็นดังเดิม!”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ จึงว่า “ข้า…อื่ม ท่านแม่ว่าเหตุใดเขาจึงยังจะแต่งงานกับลูกต่อไป?”


                “เจ้านี่ยิ่งคิดยิ่งเลอะเลือนเสียจริง!” ฮูหยินซ่งพูดออกไปอย่างเย็นเยือกว่า “เจ้าจะเอาแต่พะวงในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทำสิ่งใด? ลำพังเพียงเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงนำกระบี่เล่มนั้นมาส่งด้วยตนเองเพียงลำพัง มาถึงหน้าประตูก็รอให้คนเข้ามารายงานไม่ไหว และบุกตรงเข้ามาในเรือนหลัง… ก็เห็นแล้วว่าตัวเขาเองยินยอมจะแต่งกับเจ้า นี่ก็เพียงพอแล้ว! วันหน้าผู้ใดกล้ามาพูดจาเรื่องเจ้าต่างๆ นานา เจ้าก็เพียงตอบโต้ไปเช่นนี้ว่า ‘ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นบ้านเสิ่นและเป็นเสิ่นจั้งเฟิงที่เป็นฝ่ายสู่ขอและแต่งเจ้าเข้าบ้านเอง มิใช่ว่าสตรีที่ถูกทำลายชื่อเสียงทุกคนจะสามารถได้แต่งกับสามีที่ดี’  ลำพังเพียงประเด็นนี้ ไอ้พวกปากเปราะทั้งหลายจักมีผู้ใดเทียบกับเจ้าได้?! บางคนปฏิบัติตนอยู่ในกฎธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดสิบกว่าปี คอยสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่เลื่องลือไปไกล แต่กลับโชคไม่ดีได้สามีไม่ได้ความ!”


“เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเว่ยของข้า เป็นไข่มุกบนฝ่ามือในบ้านเรา ไปถึงบ้านสามีก็เป็นสะใภ้ในบุตรชายแท้ๆ ของเขา!” ฮูหยินซ่งอบรมเสียหนักว่า “เจ้าจักต้องกตัญญูต่อพ่อแม่สามี เป็นมิตรต่อท่านลุงท่านป้าท่านอา ต้องโอนอ่อนผ่อนตามสามี แต่ก็ต้องไม่ใช่เป็นเพราะเหตุนี้จึงรู้สึกว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้อื่น… ยิ่งไม่ต้องคิดว่าตนต่ำต้อยกว่าผู้อื่นจึงต้องคอยประจบบ้านสามีไปเสียทุกเรื่อง! ตระกูลเว่ยของเราก็มิได้ติค้างตระกูลเสิ่นสิ่งใด หรือต่อให้ติดค้างก็ไม่ต้องเดือดร้อนให้เจ้าไปชดใช้ให้… สรุปแล้วเจ้าจงจำคำข้าให้ดี เป็นตระกูลเสิ่นมาหมั้นหมายเจ้า ยามนี้ก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงแสดงความจริงใจออกมาชัดแจ้งจึงได้แต่งกับเจ้า ตัวเจ้าเองบริสุทธิ์ผุดผ่องถามใจตนก็ไร้เรื่องให้ต้องละอาย หากแต่งเข้าบ้านเขาไปแล้วพวกบ้านเสิ่นขัดเคืองเจ้า เจ้าก็มีหน้าที่เพียงเขียนจดหมายหรือส่งคนกลับมา ข้าและท่านย่าของเจ้าจะเดินทางไปสอบถามเอาความกับเสิ่นเซวียนและซูซิ่วม่านที่เมืองหลวงด้วยตนเอง!”


นางตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรงคราหนึ่ง แผดเสียงดุดันออกมาว่า “เจ้าลูกเลอะเลือนคนนี้ เข้าใจชัดเจนแล้วหรือไม่!”


เว่ยฉางอิ๋งฟังคำสอนแสนจริงใจถึงเพียงนี้ของนาง บนใบหน้ากลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกและน้อยอกน้อยใจ พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า แล้วคร่ำครวญออกมาว่า “ข้าก็เพียงรู้สึกกังวลเรื่องนี้เท่านั้น แต่ท่านแม่ก็ถามต่อมาเรื่อยๆ…จริงๆ เชียว ข้าหรือจะเป็นคนยอมคนและถูกคนอื่นรังแกเอาได้ง่ายๆ!”


ฮูหยินซ่งมองดูนางอย่างละเอียดด้วยความสงสัยอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นว่านางดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้าง ยามนั้นเองจึงได้สบายใจ และคิดในใจว่า ‘อืม ดูท่าว่าข้าจะคิดมากเกินไป คงเพราะเมื่อเด็กคนนี้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงก็เกิดต้องใจเสียแล้ว… อิสตรีก็เป็นเช่นนี้ เมื่อภายในใจมีผู้ใดขึ้นมาก็มักจะรู้สึกวิตกเรื่องได้เรื่องเสียไปต่างๆ นานา เป็นเหตุให้ตีโพยตีพายขึ้นมาในยามนี้ และเป็นเรื่องยากที่จะไม่คิดเป็นตุเป็นตะในเรื่องแผลงๆ ที่เกินความจริง ว่าแท้จริงแล้ว กลับหาได้เลอะเลือนจริงๆ ไม่’


___________________________


[1] คู่ทานอาหาร หมายถึง คู่เดท เพื่อพบปะเจอะเจอ สนทนา ร่วมทานอาหารด้วยกัน เพื่อคลายความเหงาในวัง ที่นางในอาจไม่เคยได้พบกับฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้ชายแท้ๆ คนเดียวภายในวังเลยตลอดชีวิต


ตอนที่ 85 หอหลิวเขียว

โดย

Xiaobei

                คำรายงานของเว่ยฉางเฟิงหลังจากเข้าพบปะเสิ่นจั้งเฟิงนั้นทำให้ฮูหยินซ่งพึงพอใจยิ่ง ‘เสิ่นจั้งเฟิงให้ความใกล้ชิดกับว่าที่น้องภรรยาอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่าหลังจากที่เว่ยฉางเฟิงถูกลอบทำร้าย เขาตระหนักว่าการที่ไม่มีวรยุทธ์เพียงพอนั้นเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง จึงตัดสินใจจะหาเวลาว่างมาเรียนเพลงกระบี่ เสิ่นจั้งเฟิงจึงให้สัญญาว่าปีหน้าเมื่อมารับตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน เขาจะเลือกกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งในคลังของตระกูลเสิ่นมามอบให้’


                กระบี่จะดีหรือไม่ดีนั้นฮูหยินซ่งหาได้ใส่ใจไม่ แม้จะพูดว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าดี ก็จักต้องเป็นกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งแน่นอน ซึ่งโดยทั่วไปนั้นในตระกูลเลื่องชื่อต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็จักต้องมีกระบี่เลื่องชื่อที่เหล่าวีรบุรุษเคยใช้เก็บเอาไว้สักเล่มสองเล่มอยู่แล้ว เพียงแต่กระบี่บู๊ที่ตระกูลเว่ยเก็บรักษาเอาไว้นั้นมีไม่มาก ทว่ากระบี่บุ๋น[1]กลับมีไม่น้อย


                เว่ยฉางเฟิงอยากเรียนเพลงกระบี่เพราะถูกกระตุ้นหลังจากที่ตนกลายเป็นตัวถ่วงของพี่สาวยามถูกลอบทำร้ายหนก่อนนี้ เดิมทีด้วยฐานะเช่นเขา ก็จะมิได้ถูกคนเข้ามาสังหารต่อหน้าได้บ่อยครั้ง ทั้งยามนี้ ‘ปี้อู๋’ ก็ได้มาอยู่ในมือของเว่ยฮ่วนแล้ว จึงมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อีกประการหนึ่ง เขาก็เป็นบุตรชายสายเลือดตรงผู้หนึ่งของตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นกระบี่ที่พกพาติดตัวไปได้สะดวกที่สุดก็ยังคงเป็นกระบี่บุ๋น


                แต่อย่างไรก็ดี ฮูหยินซ่งก็ยังให้ความสำคัญต่อท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิงที่มีต่อเว่ยฉางเฟิงเป็นอย่างมาก


อีกทั้งเว่ยฉางเฟิงยังพรรณนาเสิ่นจั้งเฟิงว่า ‘รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลาดังเทพบุตร พูดจาสุภาพเยือกเย็น บุคลิกงดงาม’ ส่วนปัญหาที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลนั้น จากผลการลองเลียบเคียงสอบถามของเว่ยฉางเฟิงพบว่าเสิ่นจั้งเฟิงยกย่องในน้ำใจของเว่ยฉางอิ๋งที่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องน้องชายและสรรเสริญวีรกรรมเกรียงไกรที่สังหารหัวหน้าของศัตรูลงได้… เมื่อได้ยินคำของบุตรชายคนรอง ฮูหยินซ่งจึงเรียกได้ว่าจิตใจเบิกบานหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง!


                ภายในความยินดีนั้น ฮูหยินซ่งก็เป็นห่วงว่าบุตรเขยที่แสนดีถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้บุตรสาวต้องใจแล้ว วันหน้าขออย่าได้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดขึ้นมา จึงเรียกนางหวงมาสั่งความต่อหน้าเป็นการพิเศษ “ข้าก็มีฉางอิ๋งเป็นบุตรสาวผู้เดียว รักและทะนุถนอมนางปานใดเจ้าเองก็รู้ดี เด็กผู้นี้ถูกตามใจมาแต่ไร เรื่องถูกลอบทำร้ายกลับทำให้นางต้องเป็นทุกข์สาหัส และเพราะว่ายังเยาว์นัก ยังมีความไร้เดียงสาอยู่ จึงยากจะคิดอ่านได้รอบคอบ ยามนี้ปลื้มปิติในความโดดเด่นของเด็กบ้านเสิ่นผู้นั้น เจ้าจักต้องช่วยฉางอิ๋งดูเขาเอาไว้ให้จงดี อย่าให้ฉางอิ๋งต้องถูกรังแก”


                นางหวงยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ที่ครานั้นข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงด้วยเหตุใด ฮูหยินใหญ่ยังมิรู้หรือเจ้าคะ? ครานั้นฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากสั่งความกับข้าน้อยตัวตนเองว่าให้ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงคอยจับตาดูตระกูลเสิ่นเอาไว้ให้ดี เรื่องที่ให้ไปคอยดูฮูหยินรองนั้นล้วนเป็นเรื่องรอง… เดิมทีเพราะฮูหยินผู้เฒ่าเกรงว่าคุณหนูใหญ่เติบโตมาในเฟิ่งโจว เมื่อแต่งเข้าตระกูลเสิ่นแล้ว หากข้างกายไม่มีผู้ที่คุ้นเคยกับธรรมเนียมและนิสัยพื้นเพของคนในเมืองหลวงคอยอยู่ด้วยก็จักไม่รู้สึกวางใจ ข้าน้อยจึงได้รับคำสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง เพื่อคอยเตรียมการไว้ให้คุณหนูใหญ่ ยามนี้นับได้ว่าถึงเวลาที่จะได้พบกับคุณหนูใหญ่อีกคราแล้ว แล้วจักไม่อาจทำอย่างสุดหัวใจสุดกำลังหรือเจ้าคะ? วันหน้านั้น คุณหนูใหญ่ก็คือชีวิตของข้าน้อยเจ้าค่ะ!”


                คำกล่าวนี้ทำให้ฮูหยินซ่งฟังได้เข้าหูยิ่งนัก นางจึงพูดจากใจจริงว่า “จะว่าไปนี่เรียกว่าบ้านมีคนชราเท่ากับมีของล้ำค่าจริงๆ ปีนั้นท่านพ่อป่วยหนัก คนทั้งบ้านเร่งร้อนกลับเฟิ่งโจวกันอย่างลนลาน ครานั้นฉางอิ๋งยังไม่ครบเดือน ข้าก็เอาแต่เป็นกังวลว่านางจะทนแรงสะเทือนระหว่างทางได้หรือไม่ กลับไม่คิดว่าเวลานั้นท่านแม่ได้คิดคำนวณไปจนถึงเรื่องหลังนางออกเรือนแล้ว จึงได้จงใจให้เจ้าอยู่ต่อ หาไม่แล้ว ครานี้เมื่อคิดถึงว่านางแต่งไปอยู่เมืองหลวงและไม่คุ้นกับสิ่งใดๆ เลย อยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นก็ไม่มีคนที่พึ่งพาและคุ้นเคยกับเมืองหลวงคอยช่วยเหลือ ข้าก็จักต้องเป็นกังวลเสียจนไม่รู้จะพูดเช่นไรเชียว!”


                ว่าแล้วสายตาของนางที่มองนางหวงก็อ่อนโยนลงไปมาก พลางกล่าวว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ น้องรองทั้งชายหญิงดูไปก็เรียบร้อยดี แต่ก็คบหาไม่ได้สนิทใจนัก ได้ยินว่าตลอดมาเจ้าล้วนสามารถเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่องในจวนได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายเลย… ทั้งยังต้องคอยดูบ้านเสิ่นอีก”


                นางหวงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “ไม่ปิดบังฮูหยินใหญ่ แรกเริ่มนั้น ความจริงแล้วฮูหยินรองไม่ชอบข้าน้อยเลย แต่ภายหลังเมื่อเห็นข้าน้อยคอยไถ่ถามถึงเรื่องของตระกูลเสิ่น จึงได้มองออก ภายหลังนางก็กลับมาเป็นมีอัธยาศัยไมตรีด้วย บางครั้งยังช่วยข้าน้อยเลียบๆ เคียงๆ สอบถามนิสัยใจคอของคุณชายสามตระกูลเสิ่นจากบรรดาฮูหยินด้วยกันด้วยเจ้าค่ะ”


                ฮูหยินซ่งรีบทิ้งเรื่องบ้านรองไป แล้วถามว่า “เด็กผู้นี้เป็นเช่นไร?”


                “ได้ยินว่าคุณชายสามตระกูลเสิ่นเอาการเอางานเป็นอย่างมาก ไม่ชื่นชอบเรื่องมัวเมาอิสตรี ทว่ามีคนคอยปรนนิบัติอยู่ภายในจวนหรือไม่นั้นกลับไม่รู้เจ้าค่ะ” นางหวงเอามือปิดปาก แล้วว่า “ฮูหยินใหญ่ก็ทราบ คุณหนูใหญ่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน ข้างกายคุณชายสามตระกูลเสิ่นก็ไม่อาจมีผู้ใดออกหน้าออกตาได้ เรื่องที่เป็นการส่วนตัวนั้น…จึงสอบถามไม่ใคร่ได้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ”


                ฮูหยินซ่งพูดเสียงหนักว่า “เอาการเอางานแต่ไม่ชื่นชอบมัวเมาอิสตรี ในเมื่อเด็กผู้นี้มีนิสัยใจคอเช่นนี้ ต่อให้ในเรือนเขารับคนไว้คอยปรนนิบัติแล้ว คาดว่าก็คงไม่ถึงกับหลงหัวปักหัวปำ อย่างมากก็คงเห็นเป็นเพียงของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้นหากมีสิ่งใดขวางหูขวางตา อย่างไรก็ยังมีเจ้าอยู่”


                นางหวงก้มตัวลงคำนับพลางยิ้ม “ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้าน้อยมิได้มีความสามารถอื่นใด ชั่วชีวิตนี้ก็ล้วนขัดเกลาตนให้ช่วยแบ่งเบาความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินใหญ่ และต่อไปก็คือคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรเจ้าค่ะ”


                หลังจากเว่ยฉางเฟิงเข้าพบเสิ่นจั้งเฟิงสองวัน ก็เป็นวันพิธีแห่ศพของเว่ยเจิ้งหย่า


                อาหลานตระกูลเสิ่นเข้าร่วมงานในฐานะแขก ต่อมาหลังวันพิธีแห่ศพหนึ่งวัน เสิ่นโจ้วก็พาหลานชายกล่าวคำอำลา ตระกูลเว่ยไม่สะดวกใจที่จะรั้งตัวเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งวันลาจวนเจียนจะหมดลง จึงพยายามรั้งตัวเสิ่นโจ้วอยู่ต่ออีกวันสองวันด้วยความเกรงใจ


                เดิมทีนั้นเสิ่นโจ้วรับคำสั่งของพี่ชายและพี่สะใภ้ให้มาถอนหมั้น ปรากฏว่ายังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เอาหยกประดับใบไม้ล้อมบุปผากลับมาไม่ได้ ยังถูกหลานชายที่ตามมาภายหลังนำกระบี่ ‘ลู่หู’ ที่ตนหมายปองมาแสนนานมามอบให้แก่เว่ยฉางอิ๋งอีก… เดิมทีในวันที่สองเขาก็อยากจะขออำลาเสียทันใด แล้วเร่งปรี่กลับเมืองหลวงไปอธิบายกับพี่ชายและพี่สะใภ้เสียให้ได้


                แต่จนใจเหลือเกินที่เวลานี้ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยแก่เว่ยเจิ้งหย่า และเพราะว่าในยามนี้เรื่องการแต่งงานสานสัมพันธ์ยังคงดำเนินต่อไป จะอย่างไรก็ยังต้องทำตนประหนึ่งเป็นญาติ ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยเจิ้งหย่ายังเป็นบุรุษเรืองนามแห่งดินแดนแถบทะเล และตัวของเสิ่นโจ้วอาหลานเองยามนี้ก็อยู่ที่เฟิ่งโจว ไม่อาจไม่แสดงน้ำใจได้ จึงได้รอจนถึงวันพิธีเคลื่อนศพแล้วค่อยจากไป


                ดังนั้นเมื่อถูกเว่ยฮ่วนรั้งตัวให้อยู่ต่อ เสิ่นโจ้วจึงได้รีบปฏิเสธไปทันควัน “พี่ใช่โปรดปรานกระบี่ ‘ลู่หู’ ยิ่งนัก แต่ข้าก็กลับหลงลืมมันไปเสียได้ พี่ใหญ่ไม่วางใจให้ผู้อื่นนำมาส่ง จึงต้องให้หลานจั้งเฟิงมาด้วยตนเอง ก่อนนี้เด็กผู้นี้เร่งออกเดินทางมา มิได้พาคนมาด้วยมากนัก ยามนี้หากให้เขากลับไปเพียงลำพังก็ยากจะวางใจได้จริงๆ ขอรับ…”


                เว่ยฮ่วนเองก็ไม่ได้ต้องการจะรั้งตัวเขาเอาไว้จริงๆ ยามนี้เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วให้เหตุผลออกมาดังนี้แล้ว จึงได้ยินยอมตามเหตุผลให้พวกเขาอำลาจากไป และสั่งให้ตระเตรียมงานเลี้ยงภายในจวน เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งพวกเขา


                ข่าวนี้แพร่ไปถึงเรือนเสียซวง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ตลอดทั้งวันกลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


                นางหวงและนางเฮ่อล้วนมองออก นางเฮ่อจึงได้แอบๆ ถามว่า “คุณหนูใหญ่อยากจะเห็นท่านเขยอีกคราหรือเจ้าคะ?”


                “พูดส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดง และถลึงตาใส่นาง กล่าวว่า “ข้าจะไปดูเขาทำสิ่งใด?”


                นางเฮ่อไม่ได้สนใจ หัวเราะพลางว่า “ดีชั่วยามนี้ก็ปลายปีแล้ว ปีหน้าท่านเขยก็จะมาอีก คุณหนูใหญ่อย่าได้เป็นทุกข์ไปเลยเจ้าค่ะ”


                “ท่านอาเฮ่อพูดจาส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาอีก ปล่อยของในมือออก ลุกขึ้นยืนแล้วหอบหายใจฟึดฟัดเดินไปข้างๆ เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “ข้าต้องเป็นทุกข์เรื่องใด? ก็เพียงแค่ฝนตกติดต่อกันสองสามวัน ไปยืดเส้นยืดสายในสวนไม่ได้ จึงรู้สึกอุดอู้เท่านั้น!”


                นางหวงยิ้มตาหยีมองนาง แล้วว่า “ในเมื่อคุณหนูใหญ่รู้สึกอุดอู้ หรือว่าเช้าพรุ่งนี้จะลองไปดูทิวทัศน์ที่หอหลิวเขียว คลายความเบื่อหน่ายดีเจ้าคะ”


                “หอหลิวเขียว?” เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมา คลับคล้ายว่านั่นเป็นอาคารที่อยู่ห่างไกลจากเรือนเสียซวงของตนอย่างยิ่ง สถานที่คับแคบน่าอึดอัด มิได้มีผู้คนอาศัยอยู่มานานแล้ว ทิวทัศน์รอบๆ ก็มิได้น่าดูแต่อย่างใด จึงมิได้เกิดความสนใจ จึงบอกไปว่า “ที่นั่นมิได้มีสิ่งใดน่าดูสักหน่อย”


                นางหวงและนางเฮ่อสบตากันคราหนึ่งแล้วหัวเราะพร้อมกัน “คุณหนูใหญ่ไม่อยากไปจริงๆ หรือเจ้าคะ? หอหลิวเขียวนั้นสามารถมองเห็นไปถึงลานหน้าจวนเชียวนะเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึงขึ้นมา นางหวงอมยิ้มแล้วย้ำเตือนไปว่า “หากมีคนกำลังกล่าวคำอำลา แล้วคนในบ้านเราออกไปส่ง ก็จะต้องเดินไปสักระยะหนึ่ง บนหอหลิวเขียวนั้น…ก็พอดีว่าสามารถมองเห็น… ต้นหลิวย้อยอายุร้อยปีข้างหน้าหอซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของหอแห่งนี้ เพราะอากาศที่เฟิ่งโจวของพวกเราอบอุ่น จนยามนี้ใบหลิวก็ยังร่วงไปไม่หมด เช่นนั้นเมื่อมองจากทางเรือนหน้ามายังเรือนหลัง ก็จะมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด…”


                เมื่อสิ้นเสียงก็พลันเห็นดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งลุกวาวขึ้นมา นางออกแรงกำหมัดแน่น จึงสามารถกดความปรีดิ์เปรมบนสีหน้าเอาไว้ได้ แล้วกล่าวออกไปด้วยสีหน้าเป็นปกติ “อ๋า…ท่านอาว่ามาข้าพอจะนึกออกแล้ว ต้นหลิวย้อยนั้นงดงามมาก ขึ้นหอไปชมต้นหลิวในฤดูนี้เหมาะสมยิ่งนัก!” เมื่อหาเหตุผลออกไปส่งเดชดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับกลัดกลุ้มขึ้นมา “เพียงแต่ข้าจะสวมเสื้อผ้าใดไปเล่า? ท่านพ่อเคยชมว่าข้าสวมสีแดงทับทิมแล้วงดงาม แต่นี่เพิ่งจะฝังท่านลุงไป… สีม่วงอมชมพูท่านพ่อก็บอกว่าดี เพียงแต่ในฤดูที่ใบไม้ร่วงไปจนหมดเช่นนี้ สีจะจืดชืดเกินไปหรือไม่? แล้วก็…”


                นางเฮ่อหัวเราะออกเสียงในทันใด “คุณหนูใหญ่ พี่หวงก็บอกแล้วว่าหอหลิวเขียวแห่งนั้นถูกต้นหลิวย้อยปกคลุมจนหมด หากมิได้ยืนอยู่ที่ข้างใต้หอ ก็จะมองไม่เห็นคนบนหอนะเจ้าคะ!”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งใบ้กินไร้คำพูดไปพักใหญ่ แล้วพลันหันหน้าหนี บ่นอุบว่า “ท่านอากล่าวสิ่งใดกัน! พวกเราไปชมต้นหลิว ข้าก็เพียงเลือกเสื้อผ้ายามไปชมต้นหลิวก็เท่านั้น… จะถูกคนพบเห็นเข้าหรือไม่สิ่งใดกัน ต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นข้าทำสิ่งใด?”


                นางหวงแอบดึงนางเฮ่อคราหนึ่ง แล้วกล่าวพลางแย้มยิ้มว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่สวมเสื้อเจี๋ยหรูสีเขียวต้นสนและกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีหยกก็ไม่เลวนะเจ้าคะ”


                “เช่นนี้ก็มิใช่ว่าแทบจะเป็นสีเดียวกับต้นหลิวหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำจึงหันหน้าหนีไปทันใดพลางโพล่งถามออกมาโดยไม่ทันคิด


                นางหวงหัวเราะขันบอกว่า “คุณหนูก็บอกเองว่า เรื่องในจวนจิ้งผิงกงเพิ่งจะผ่านไป ยามนี้ไม่เหมาะจนสวมสีแดงนี่เจ้าคะ!”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สูดหายใจลึก แล้วกล่าวอย่างไม่ไร้อารมณ์ว่า “ก็ได้!”


                ครานี้นางไร้อารมณ์ ทว่าวันต่อมากลับไม่ต้องให้ฉินเกอปลุกก็ตื่นนอนเอง แล้วคอยจับตาดูนางเฮ่อมวยผมทรงหอยโข่งคู่ให้ตนอย่างละเอียดถี่ยิบ จากนั้นก็สวมกำไลที่นางเพิ่งจะเลือกออกมาได้ตอนดึกดื่นเมื่อคืนนี้ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าที่นางหวงเสนอแนะให้ด้วยสีหน้าอมทุกข์…


                เมื่อถึงหอหลิวเขียว สายตาของเว่ยฉางอิ๋งลอดผ่านกิ่งก้านต้นหลิวและคอยจับจ้องไปยังเรือนหน้า แต่ปากกลับบอกว่า “จนเพลานี้แล้ว ใบของต้นหลิวย้อยนี้ก็ยังร่วงไม่หมด แต่กลับถูกฝนชะล้างจนดูชุ่มช่ำขึ้นมา อืม…ดูไปก็สวยดี พวกเราดูอีกสักพักเถิด”


                ทุกคนกลั้นหัวเราะและต่างพากันพยักหน้า “คุณหนูกล่าวถูกแล้ว ต้นไม้นี้ทั้งขาวทั้งอ่อน งดงามเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งเองก็กลับพยักหน้า “สุดยอด สุดยอดจริงๆ” และทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดังออกมา


                เสิ่นโจ้วปรารถนาจักกลับบ้านยิ่งนัก ตั้งแต่เช้าก็เร่งให้หลานชายตื่นนอนอาบน้ำเกล้าผม รีบสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ เมื่อสอบถามบ่าวไพร่ว่าเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำหลานชายไปยังห้องโถงด้านหลัง เพื่อมากล่าวอำลากับเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งอีกครั้ง


                หลังจากแสดงท่าทีรั้งตัวพวกเขาไปตามธรรมเนียมอีกหน เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งก็เดินไปส่งพวกเขาด้วยกันสองสามก้าว และสั่งให้คนเรียกเว่ยเซิ่งเหนียนมา เพื่อไปส่งพวกเขาที่หน้าประตูแทนตน… ตามหลักการแล้วพวกเขาต้องการจะไปส่งจนถึงศาลายาวที่อยู่ห่างจากนอกเมืองไปสิบลี้ ดังเช่นที่เว่ยฉางอิ๋งไปส่งซ่งไจ้สุ่ยเดินทางเช่นนั้น แต่หากไปถึงศาลายาวก็ไม่อาจไม่จัดสุรามาเลี้ยงส่งอีก เสิ่นโจ้วเร่งร้อนจะเดินทาง จึงได้บอกปัดการอำลาทั้งหมดเสีย และบอกว่าเพียงคอยส่งพวกเขาขึ้นม้าที่หน้าประตูก็เพียงพอแล้ว


                แม้เว่ยเซิ่งเหนียนจะมีความสามารถไม่เพียงพอ แต่เพราะมีเว่ยฮ่วนคอยสอนสั่งอยู่ข้างกายมาโดยตลอด การออกหน้าพบปะผู้คนก็ถือว่ามีความชำนิชำนาญ เขาเดินไปพร้อมเสิ่นโจ้วอาหลาน สนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศไปพลาง เดินไปภายนอกไปพลาง เมื่อผ่านประตูรอง เสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่รั้งท้ายก้าวหนึ่งพลันหันหน้ากลับมาและมองเอียงไปข้างหลังคราหนึ่ง


                เว่ยเซิ่งเหนียนเหลือบมองแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย  พลางมองไปตามสายตาของเขาแล้วหัวเราะและกล่าวว่า “จั้งเฟิงคงจะประหลาดใจว่าต้นหลิวนี้ยังคงดูสดอยู่?”


                ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเสิ่นจั้งเฟิงเฉียบคมกว่าคนธรรมดา เหตุที่เขาหันหลังมองกลับไปนั้นก็ด้วยสัมผัสได้ว่ามีคนแอบมองตนอยู่ แต่กลับมองเห็นว่าที่ที่สายตาส่งมานั้นกลับอยู่ภายในเขตเรือนหลัง จึงพอจะเดาออกอยู่ในใจแล้ว เมื่อได้ยินคำจึงได้ว่าไปตามน้ำว่า “ท่านอาสามกล่าวถูกต้องแล้วขอรับ ยามนี้เป็นกลางฤดูใบไม้ผลิแล้ว ตามธรรมดาของต้นหลิวในเมืองหลวงต่างร่วงโรยไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าที่นี่ยังสามารถมองเห็นใบหลิวย้อยที่แน่นขนัดเช่นนี้ขอรับ”


                “อากาศที่เฟิ่งโจวอบอุ่น ความชอุ่มของต้นไม้ใบหญ้าก็จักมีเวลาที่ยาวนานกว่าสักหน่อย” เว่ยเซิ่งเหนียนอธิบายไปพร้อมรอยยิ้ม “ต้นหลิวย้อยที่มองเห็นนั้นอายุนับร้อยปีแล้ว อาคารที่อยู่ข้างๆ จึงได้ถูกตั้งชื่อว่าหอหลิวเขียว”


                 “นามนี้เหมาะกับทิวทัศน์ยิ่งนัก…” เขาคุยสรรเพเหระไปพลาง เร่งเดินต่อไปยังประตูหน้าไปพลาง บนหอหลิวเขียว เว่ยฉางอิ๋งปล่อยแขนเสื้อลงด้วยความกระวนกระวายใจ เอ่ยว่า “เฮ่อ เข้าหันหน้ากลับมาทำสิ่งใด?”


                นางหวงกล่าวด้วยความขบขันว่า “อาจเพราะบังเอิญเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพยักหน้า นางเฮ่อกลับพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็วว่า “นี่มิใช่ว่าใจสื่อถึงกันหรอกหรือเจ้าคะ?”


                “ท่านอาเฮ่อชอบพูดจาส่งเดช!” เว่ยฉางอิ๋งตาขวางมองนางคราหนึ่ง พลางกระทืบเท้า “ข้าไม่สนใจท่านอาแล้ว!” และอาศัยโอกาสนี้วิ่งลงหอไป


                นางหวงหัวเราะเสียงหลง “น้องเฮ่อ ดูเจ้าสิ อยู่ดีๆ ก็พูดให้คุณหนูใหญ่อารมณ์เสียแล้ว”


                นางเฮ่อทำสัญญาณมือเรียกให้พวกเขาฉินเกอซึ่งเป็นสาวใช้ที่มีแข้งขาว่องไวรีบเดินตามไป เพราะหอหลิวเขียวคับแคบ บันใดทั้งชันทั้งสูง นางและนางหวงเป็นท่านอารับใช้จึงพอจะมีอายุแล้ว อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วเมื่อมาเป็นท่านอารับใช้ก็ควรต้องวางท่าสำรวม เวลาลงหอก็จักต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยเกรงว่าหากไม่ระวังจะหกล้มและขายหน้าเอาได้


                ได้ยินเสียงพวกสาวใช้วิ่งตามเว่ยฉางอิ๋งไปไกล นางเฮ่อจึงได้หัวเราะเหอะๆ ออกมา “คนก็ไปไกลแล้ว คุณหนูใหญ่หรือจะมีแก่ใจมาชมต้นหลิวอะไรนี่? ประจวบเหมาะให้คุณหนูใหญ่มีเหตุผลกลับไปพอดี!”


                นางหวงนิ่งงัน เกือบจะหัวเราะออกมา “ที่แท้เจ้าก็เตรียมการมาอย่างยากเย็น… เพียงแต่ มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าสิ่งใดเจ้า เจ้าก็เอาใจคุณหนูใหญ่เกินไป เจ้าก็ยังพูดเองว่าปีหน้าคุณชายสามตระกูลเสิ่นผู้นี้ก็จะมารับตัวเจ้าสาวแล้ว ครานี้ก็เพียงมองจากบนหอไกลๆ สักคราเท่านั้น อย่าได้พูดสิ่งใดไป ที่คุณชายสามตระกูลเสิ่นผู้นั้นหันหน้ากลับมาก็หาได้มองเห็นคนไม่ แล้วไยต้องรบเร้าให้ข้าต้องคิดแผนการนี้? หนนี้เคราะห์ดีที่มีหอคอยเช่นนี้อยู่ ทั้งยังมีต้นหลิวย้อยที่มีใบหน้าบังเอาไว้ หาไม่แล้วหากคุณชายสามตระกูลเสิ่นเห็นคุณหนูใหญ่เข้า ก็ยากจะไม่ทำให้มองว่าคุณหนูใหญ่ไม่สำรวมกิริยาพอ”


                นางเฮ่อถอนหายใจ แล้วว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตใด เพียงท่านพี่ท่านขยับสมองเล็กน้อยก็ทำได้แล้ว ให้คุณหนูใหญ่ดีใจสักหนแล้วจักเป็นไรเล่า? ข้ารู้ว่าตัวข้ามิได้มีฝีมือดูแลจัดการบ้านเรือน แม้จะคอยดูแลเรือนเสียซวงให้คุณหนูใหญ่ แต่สิบกว่าปีมานี้ คุณหนูใหญ่มีฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินคอยดูแลใส่ใจอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงตบตีพวกสาวใช้ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานปีสองปีแรกเท่านั้น เมื่อมีฮูหยินผู้เฒ่าละฮูหยินอยู่แล้ว ในจวนแห่งนี้ผู้ใดจักกล้าเพิกเฉยต่อเรือนเสียซวงเล่า?”


                “นานวันเข้า พวกสาวใช้ก็ล้วนรู้จักกฎเกณฑ์กันหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าคอยจับตาดูอีก สิ่งที่ข้าคอยคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นมีอยู่เพียงสองเรื่อง เรื่องแรกคือการคอยกล่าวเตือนไม่ให้คุณหนูใหญ่เรียนวรยุทธ์… แต่คราก่อนหากคุณหนูไม่เป็นวรยุทธ์ แม้แต่คุณชายห้าก็คงเกือบจะเกิดเรื่องไปด้วย ยิ่งมิต้องบอกว่าตระกูลเสิ่นยังได้ส่งกระบี่มาให้เล่มหนึ่ง ซึ่งในยามนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก เรื่องที่สองก็คือคิดหาวิธีทำให้คุณหนูใหญ่มีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าทำมาโดยตลอดตั้งแต่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ในผ้าอ้อม ดีชั่วคุณหนูใหญ่ต้องการสิ่งใด อยากทำสิ่งใด… เกรงว่าแม้จะเพียงพูดลอยๆ ออกมา หากไม่ทำตามคำนางข้าก็…ก็จักไม่สบายใจ!”


                นางหวงเงียบไปพูดไม่ออก เกือบเค่อจากนั้นก็กลับส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่วางใจเจ้า เจ้าเอาใจคุณหนูใหญ่มากเกินไป ทั้งคุณหนูใหญ่ก็ยังเยาว์วัยไม่ประสีประสา ยังไม่ถึงเวลาที่สามารถทำทุกสิ่งตามที่นางต้องการได้…เรื่องเช่นนี้จะต้องไม่มีอีก ครานี้เพราะมีสถานที่ที่เหมาะสมข้าจึงได้รับปาก หนหน้าหากมีเรื่องที่ไม่ถูกกฎเกณฑ์และไม่สลักสำคัญเช่นนี้อีก ข้าก็จะไม่ยอมรับปากโดยเด็ดขาด จักต้องรู้ด้วยว่าการละเมิดกฎนั้นมิได้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือละเมิดกฎแล้วแต่กลับมิได้มีประโยชน์ที่เพียงพอต่างหาก!”


                และต่อว่านางว่า “เช่นเรื่องครานี้ ก็เพื่อให้คุณหนูใหญ่ดีใจสักหน่อย แต่ความจริงแล้วมีประโยชน์อันใด? หากเรื่องถูกเล่าลือออกไปก็ไม่น่าฟัง หากถูกจับได้ขึ้นมาก็ยิ่งทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก! ไม่สู้…”


                หารู้ไม่ว่านางเฮ่อเอานิ้วมาปิดปาก แล้วกล่าวขัดว่า “พี่หวงท่านก็กลับมาแล้ว ดีชั่วอย่างไรภายหน้าจะทำการใดท่านว่าอย่างไรว่าตามนั้น ข้าจะไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยใดๆ ดังนั้นท่านพี่ไม่จำเป็นต้องลำบากมาสอนสั่งข้า อย่างไรหากท่านพี่ไม่รับปากข้า ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้…จำเพียงประโยคนี้เอาไว้ก็มิใช่ว่าสิ้นเรื่องแล้วหรือ?”


                นางหวง “…”


_________________________


[1] กระบี่บุ๋น เป็นกระบี่ที่คนฝ่ายบุ๋นใช้พกติดตัว มักใช้เหมือนเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง ต่างกับกระบี่บู๊ที่เหมาะกับการสังหารมากกว่า


ตอนที่ 86 บ้านตระกูลเสิ่น

โดย

Xiaobei

                เสิ่นจั้งหนิงที่บนหัวมวยผมทรงหอยโข่งคู่ยกชายกระโปรงวิ่งวนอ้อมต้นเสาอยู่ในห้องโถงทั้งน้ำตา แถบดิ้นผ้าห้าสีที่ผูกกับม้วยผมของนางปลิวไหวไปตามจังหวะวิ่งของนางดูงดงามยิ่งนัก


                แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศในโถงยามนี้วุ่นวายเสียจนไม่มีผู้ใดมีแก่ใจมาชื่นชม…


                ฮูหยินซูมีโทสะอยู่เต็มอกถือไม้เรียวอยู่ในมือ สวมร้องเท้าไม้เปิดส้น ไล่ตีไปพลางด่าทอไปพลาง “เจ้ากล้าดีนักนะ! ท่านพ่อรักใคร่เจ้า ให้เจ้าเข้าไปในห้องหนังสือ แต่เจ้ากลับบังอาจช่วยเฟิงเอ๋อร์ไอ้เจ้าลูกไม่รักดีนั่นขโมย ‘ลู่หู’! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นเหล็กดาวตก[1]จากท้องฟ้าที่บิดาของเจ้าบังเอิญได้มาและตีมันออกมาด้วยมือของตนเอง? เป็นของที่แม้แต่ท่านอารองของพวกเจ้ายังอยากจะครอบครอบมาหลายสิบปีแล้ว! เจ้า! เจ้าบังอาจขโมยมันออกไป แล้วให้เฟิงเอ๋อร์เอามันไปมอบให้บุตรสาวสกุลเว่ยที่เฟิ่งโจว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้แล้วเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลเว่ยครานี้ก็ถอดถอนไม่ได้แล้ว?!”


                เสิ่นจั้งหนิงหลบซ้ายหลีกขวา วิ่งอ้อมไปที่หลังเสาเพื่อหลบเลี่ยงไม่ต้องเจ็บปวดกับการถูกมารดาจับกดลงโบยตี แม้จะกำลังว้าวุ่นแต่ก็ไม่ลืมที่จะร้องทุกข์ว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า! พี่ชายสามเป็นคนขโมยไปเองต่างหาก!”


                “ยังกล้าพูดส่งเดช! ข้างนอกห้องหนังสือมีคนเฝ้า สองสามวันนั้นเฟิงเอ๋อร์ไม่ได้เข้าไปภายในเลยแม้แต่น้อย!” ฮูหยินซูโมโหเสียจนเกือบจะโยนไม้เรียวเข้าใส่ “หากมิใช่เจ้าแกล้งเอาของปลอมนั่นซ่อนไว้ในฉินแล้วเอาไปสับเปลี่ยน ท่ามกลางสายตาคนมากมายเช่นนั้น แล้วผู้ใดจักขโมยกระบี่เล่มนั้นไปได้อีก?”


                “บางทีอาจเป็นพี่ชายสามปีนหน้าต่างเข้ามา!” เสิ่นจั้งหนิงร้องเสียงดังออกมาว่า “พี่ชายสามเจ้าเล่ห์ที่สุด! จักต้องเป็นเขาให้ร้ายข้า ท่านแม่ท่านต้องจัดการให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ!”


                ฮูหยินซูกระทืบเท้า “แล้วนอกหน้าต่างไม่มีคนเฝ้าอยู่หรือไร?! ซูเหยียนก็ยังยอมรับแล้ว เจ้ายังกล้าโยนความผิดให้พี่ชายสามของเจ้ารึ? อาศัยว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ ไม่อาจโต้แย้งต่อหน้าเจ้าได้เช่นนั้นรึ?! นิสัยปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ไปเอาเยี่ยงอย่างผู้ใดมา? ทำข้าเสียหน้าไปจนแทบหมดแล้ว! เจ้าออกไปข้างนอกอย่าได้บอกว่าเป็นลูกสาวข้าเชียว!”


                “อะไรนะ? ซูเหยียนยอมรับเสียแล้วหรือ?” เสิ่นจั้งหนิงตื่นตระหนกยกใหญ่จนหน้าถอดสี พักหนึ่งก็กล่าวว่า “นางนี่ช่าง…” ในเวลาแค่ชั่วขณะเช่นนี้ ตัวนางก็หยุดลงไปด้วย แม้ฮูหยินซูจะมิได้ขยับตัว แต่กลับส่งสายตาไปยังสาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ สองคน สาวใช้อาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งหนิงกำลังเสียสมาธิและโอดครวญว่าหลานสาวไม่มีน้ำใจพออยู่นั้น พุ่งตัวเข้าใส่นางทันใด!


                เสิ่นจั้งหนิงรู้สึกตัวว่าตนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว จึงร้องครวญออกมาคราหนึ่ง พลางกระโดดโหย่งและกำลังจะวิ่งหนีต่อ แต่ก็ยังสายไปก้าวหนึ่ง นางจึงถูกสาวใช้จับแขนทั้งสองไว้คนละข้าง แล้วถูกบังคับคุมตัวมาอยู่ต่อหน้าฮูหยินซู เมื่อเห็นท่าไม่ดี เสิ่นจั้งหนิงก็พลันน้ำตาร่วงอย่างหนัก “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าสำนึกผิดแล้ว! ท่านโปรดฟังข้า ความจริงแล้วล้วนเป็นซูเหยียนยุยง…”


                ฮูหยินซูเห็นว่ามาจนถึงขั้นนี้แล้วนางยังไม่ลืมจะปัดความรับผิดชอบ จึงโมโหหนักและสั่งสาวใช้ว่า “หม่านถัง หม่านถิง จับมือนางยกขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้!”


                “อย่าเจ้าค่ะท่านแม่! ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ” เสิ่นจั้งหนิงร้องไห้ขี้มูกโป่ง แก้ตัวไปต่างๆ นานา แต่กลับยังถูกฮูหยินซูเอาไม้เรียวตีไปที่ผ่ามือสีห้าครั้ง จึงได้ถามไปอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ยังจะกล้าพูดคำเท็จอีกหรือไม่?!”


                เสิ่นจั้งเหนิงน้ำตาคลอพลางหดมือกลับ ทางหนึ่งร้องว่าเจ็บ ทางหนึ่งก็กล่าวอย่างเสียอกเสียใจว่า “ข้าไม่ได้หลอกท่านแม่ เป็นซูเหยียนยุยงจริงๆ นะเจ้าคะ!”


                “เจ้ายังกล้าพูดอีก!” ฮูหยินซูโกรธเสียจนพูดไม่ออก กำไม้เรียวขึ้นมา และไม่ต้องให้หม่านถังและหม่านถิงช่วยเจ้าบุตรสาวแล้ว หากแต่ตรงเข้าไปนับมือซ้ายของเสิ่นจั้งหนิงที่เพิ่งจะถูกตีก่อนหน้านี้ขึ้นมา และตีลงไปอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เหตุใดข้าจึงได้มีลูกเวรที่ไม่รักดีเช่นเจ้านี่! ไปลากเอาซูเหยียนที่ยังไม่รู้ความมาช่วยพี่ชายสามของเจ้าขโมยกระบี่ยังไม่พอ เมื่อถูกจับได้แล้ว ยังมีหน้าโยนความผิดไปให้หลานสาวอายุสามขวบอีก!”


                เสิ่นจั้งหนิงน้อยใจเสียจนกระทืบเท้า ทั้งร่ำไห้ทั้งเอะอะโวยวายว่า “ข้าพูดจริงๆ! ซูเหยียนไม่รู้ความที่ใดกัน? ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้ว่าบ้านเรามีเทพธิดาน้อย อายุยังมิทันสี่ขวบก็สามารถอ่านกลอนแต่งกวี… ข้าโตกว่านางสิบปี แต่งกลอนยังไม่ดีได้เท่านางเสียด้วยซ้ำ! นางอยากจะช่วยว่าที่พี่สะใภ้สาม ดังนั้นจึงได้ยุยงให้ข้าไปรบเร้าพี่ชายสามว่าต้องการมีส่วนร่วมด้วย! เดิมทีก็เป็นความคิดของนาง เหตุใดเพียงเพราะข้าโตกว่านาง ท่านแม่จึงมาโทษข้าไปเสียหมดเล่าเจ้าคะ?”


                ฮูหยินซ่งเบิกตากว้างปากคอสั่น แล้วหยุดตีนาง  คิดสักพักจึงว่า “แม้ซูเหยียนจะมีพรสวรรค์ในด้านโคลงกลอน แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก…ทั้งนางยังไม่เคยได้เห็นบุตรสาวสกุลเว่ย แล้วเหตุใดจึงคิดจะช่วยนางเช่นนี้?”


                เสิ่นจั้งหนิงอ้ำๆ อึ้งๆ เอาแขนเสื้อเช็ดหน้าไปเรื่อยเปื่อย จึงได้กล่าวออกมาอย่างน้อยใจว่า “ก็เพราะว่าว่าที่พี่สะใภ้สามแซ่เว่ยเช่นไรเจ้าคะ!”


                “นางชื่นชอบตระกูลเว่ย?” ฮูหยินซูเกิดความงุนงง หลานสาวตัวน้อยแม้จักมีพรสวรรค์ด้านโคลงกลอนจนได้ฉายาว่ามีความสามารถเป็นเลิศ แต่หากว่ากันถึงด้านอื่นๆ ก็เหมือนๆ กับเด็กเล็กๆ อายุสามขวบทั่วไป แล้วจู่ๆ จักมาเกิดความสนใจในตระกูลเว่ยได้อย่างไร?


                ปากน้อยๆ ของเสิ่นจั้งหนิงหดห่อเข้ามาและเชิดขึ้นสูง กล่าวอย่างโมโหว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิงโจวเลื่องชื่อด้านการอักษร ตำรามีชื่อที่สะสมไว้ในตระกูลไม่รู้ว่าล้ำค่าเท่าใดต่อเท่าใด… ได้ยินมาว่าว่าที่พี่สะใภ้สามเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งในบ้านตระกูลเว่ย…” พูดถึงตรงนี้ นางสะอื้นไห้และมองมารดาคราหนึ่ง แล้วแค่นเสียงกล่าวว่า “ข้าและว่าที่พี่สะใภ้สามเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่เช่นกัน แต่ข้ากลับน่าสงสาร ฐานะในบ้านตนเองมีหรือจะเทียบพี่สะใภ้สามได้!”


                ฮูหยินซูยิ้มเยาะแล้วยกไม้เรียวขึ้นมา กล่าวว่า “นี่เพราะเจ้าทำตนเอง! บุตรสาวสกุลเว่ยผู้นั้นเคยขโมยของรักของห่วงของทั้งบิดาและท่านอาแล้วเอาไปให้ผู้อื่นหรือไม่? หากไม่ตีลูกสาวเนรคุณเช่นเจ้านี้ แล้วยังจะมีความกฎสวรรค์อยู่หรือไม่!”


                เมื่อเห็นไม้เรียว เสิ่นจั้งหนิงพลันหดคอลง ไม่กล้าอาศัยเรื่องที่เล่ามาโอดครวญใดๆ อีกแล้ว พลางพึมพำว่า “สรุปก็คือ เมื่อว่าที่พี่สะใภ้สามแต่งเข้ามาอย่างน้อยก็จักต้องนำตำราเลื่องชื่อมาเก็บไว้ในหีบสักเล่มสองเล่ม เมื่อถึงเวลานั้น ซูเหยียนก็คิดอยากจะไปขอเล่มจริงสักเล่มมาเก็บไว้เสียเหลือเกิน เมื่อพบว่าพี่ชายสามคิดการจะ…อืม คิดการจะขโมยกระบี่ไปเฟิ่งโจว จึงได้รบเร้าให้ข้าช่วย ด้วยคิดว่าจักสามารถใช้น้ำใจที่เคยช่วยเหลือในครานี้ไปแลกกับตำราเล่มจริงกับว่าที่พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ!”


                ฮูหยินซูโมโหเสียจนอดจะดุด่านางอีกคราไม่ได้ “เจ้า! เจ้าก็อายุสิบสามปีแล้ว หากนับจากอายุเจ้าก็โตกว่าซูเหยียนสิบปี! หากว่ากันตามศักดิ์เจ้าก็เป็นอาของนาง! เหตุใดกลับมิใช่เจ้าที่เป็นผู้กล่าวตักเตือนนางว่าอย่าได้ทำเรื่องเลอะเลือน แต่กลับเป็นเจ้าที่ถูกนางหวานล้อมให้ไปทำเรื่องเลอะเลือนกับนาง?! เจ้า…เจ้ามีสมองหรือไม่กันแน่!”


                เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ข้าจะไม่มีสมองได้อย่างไร? เดิมทีซูเหยียนก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลเว่ยมีตำราโบราณล้ำค่ามากมาย แล้วบุตรสาวบ้านใหญ่ที่เป็นที่รักออกเรือนทั้งทีก็จักต้องนำของเช่นนี้ติดตัวมาตอนแต่งงานด้วย… หากแต่เป็นข้าที่บอกนาง นางจึงได้รู้!”


                ฮูหยินซูแทบจะกระอักเลือด แล้วเข้าไปดึงหูนางขึ้นมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “แล้วเจ้ายังจักมาบอกว่าเป็นซูเหยียนยุยงเจ้าอีก?”


                “เจ็บๆๆ!” เสิ่นจั้งหนิงกุมหูเอาไว้พลางร้องเสียงหลง จากนั้นก็กล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เดิมทีก็เป็นนางยุยงข้า! ข้าเพียงบอกนางไปเช่นนี้ เรื่องอื่นล้วนไม่ได้พูด! เป็นซูเหยียนที่เมื่อได้ยินแล้วก็มารบเร้าให้ข้าช่วยขโมยกระบี่! เรื่องนี้หาใช่ข้าเป็นคนต้นคิดไม่!”


                “…!” ฮูหยินซูสูดหายใจลึกหนหนึ่ง แล้วสั่งบ่าวทั้งซ้ายขวาว่า “ลากเจ้าลูกเวรคนนี้กลับเข้าไปให้ห้อง! ทำโทษให้นางคัด ‘กฎสตรี’ หนึ่งร้อย ไม่ สามร้อยรอบ! คัดไม่ดี ห้ามออกจากห้อง และห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปทั้งนั้น”


                “ฮือๆๆ…” เมื่อได้ยินคำเสิ่นจั้งหนิงก็ร้องไห้ยกใหญ่ออกมาทันที “ท่านแม่ใส่ความข้า! ทั้งที่คนต้นคิดเป็นพี่ชายสามและซูเหยียนชัดๆ แล้วถือสิทธิ์ใดมาลงโทษแต่เพียงข้าผู้เดียวเล่า?”


                ฮูหยินซูกัดฟันคำรามออกมาว่า “ซูเหยียนเพิ่งอายุสามขวบ เด็กเล็กเช่นนั้นเจ้าคิดจักลงโทษนางเช่นไร? ส่วนพี่ชายสามของเจ้านั้น เจ้าวางใจได้ รอจนเขากลับมา ก็จักต้องมีกฎบ้านไว้เล่นงานเขาอยู่แล้ว!”


                นางพูดไปพลางตบโต๊ะ “รีบลากนางลงไป! ในระหว่างที่คัดหนังสือ ห้ามให้ในอาหารมีเนื้อสัตว์… อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้กลับเหิมเกริมนัก หากไม่สั่งสอนเจ้าสักหน่อย วันหน้าจะยิ่งเป็นเช่นใด?!”


                เสิ่นจั้งหนิงร้องห่มร้องไห้ขณะถูกเอาตัวออกไปนอกประตู ฮูหยินซูพลันนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคำถามที่ยังไม่ได้สอบถาม จึงรีบเรียกให้คนเอาตัวนางกลับมาแล้วว่า “เจ้าประเหลาะให้ซูเหยียนร่วมมือทำเรื่องนี้เพื่อสิ่งใด? หรือว่ามีผู้ใดบอกเจ้าเรื่องเกี่ยวกับบุตรสาวสกุลเว่ย?”


                “ข้า…” เสิ่นจั้งหนิงเบ้ปาก มองมารดาทั้งน้ำตานองหน้าอยู่เป็นนาน แล้วพลันกระทืบเท้า กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เรื่องที่คนสามคนทำ แต่กลับมีข้าถูกลงโทษเพียงผู้เดียว! ยิ่งไปกว่านั้นเห็นชัดๆ อยู่ว่าความผิดของข้าเบาที่สุด! ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ข้าจะไม่บอกท่านแม่หรอก!”


                ฮูหยินซูโมโหเสียจนหงายหลัง แล้วกำไม้เรียวแน่นเข้าอีกครา “เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?!”


                “ไม่ พูด!” เสิ่นจั้งหนิงเชิดหน้าขึ้น แล้วกล่าวอย่างเต็มแรงว่า “ตีจนตายก็ไม่พูด!”


                “ตีให้เจ้าเกือบตาย ดูซิว่าเจ้าจะพูดหรือไม่พูด!” ฮูหยินซูถลกแขนเสื้อขึ้น ขบฟันและกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด!


                …เสียงดังเอ็ดตะโล กันอยู่เช่นนี้เกือบครึ่งชั่วยาม เสิ่นจั้งหนิงจึงได้ร้องห่มร้องไห้และวิ่งเตลิดออกไป


                เมื่อเห็นสิ่งของที่เกลื่อนกลาดเละเทะภายในห้องโถง ฮูหยินซูทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งเหน็ดเหนื่อย จึงได้สะบัดมือสั่งให้พวกของหม่านถังจัดเก็บเสีย ส่วนตนเองกลับไม่ได้มาพักผ่อน หากแต่เร่งไปยังห้องหนังสือเพื่อไปรายงานเสิ่นเซวียนผู้สามี ที่เช้าวันนี้ต้องการฝึกกระบี่ แต่กลับไม่ต้องการใช้เพียงฝักกระบี่เปล่าๆ และกำลังโกธรเกรี้ยวอย่างหนักเช่นกัน “หนิงเอ๋อร์เลอะเลือนนัก เพื่อเล่นสนุกจึงได้ไปช่วยเฟิงเอ๋อร์ขโมยกระบี่! แต่กลับมิได้มีเรื่องราวเบื้องลึกอื่นใด”


                สีหน้าของเสิ่นเซวียนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก “โตจนใกล้จะปักปิ่นแล้ว เหตุใดจึงยังมิรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรเช่นนี้!”


                “ก็มิใช่ล้วนเพราะท่านตามใจรึ” ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูไล่ตีเสิ่นจั้งหนิงเสียจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วห้อง แต่ครานี้กลับออกปากแทนบุตรสาวขึ้นมา “ข้าก็เคยบอกท่านตั้งนานแล้วว่า ห้องหนังสือนี้ อย่าได้ให้พวกเด็กผู้หญิงเข้ามา แต่ท่านก็ยังปล่อยปละละเลย พวกนางถูกท่านเอาใจจนเคยตัวแล้ว ที่ไหนเล่าจักรู้ว่าผลจากการขโมยกระบี่เล่มนั้นให้แก่เฟิงเอ๋อร์จักเป็นเช่นไร?”


                เสิ่นเซวียนกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ก่อนนี้เพียงคิดว่านางซุกซกนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเลยเถิด… นับแต่วันนี้ไป ข้าจักไม่อนุญาตให้พวกนางเข้าไปอีกแล้ว!”


                ฮูหยินซูถอนหายใจอีกครา กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็ยังมิเท่าใด แต่เรื่องที่เฟิ่งโจวนั้น…เหตุใดเฟิงเอ๋อร์จึงได้ปักใจเช่นนี้? จะอย่างไรบุตรสาวสกุลเว่ยผู้นั้นก็เป็นถึงหลานสาวบ้านใหญ่เพียงผู้เดียวของเว่ยฮ่วน มารดาสกุลซ่งของนางแต่งเข้ามาเกือบสิบปีจึงเพิ่งจะมีบุตรสาวผู้นี้ จึงรักนางเสียยิ่งกว่าชีวิตตน แม้บ้านเราจะถอนหมั้น นางก็เพียงแค่แต่งกับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่าสักหน่อยเท่านั้น ด้วยความมั่งคั่งของตระกูลเว่ย หากจะประกันทั้งแพรพรรณอาภรณ์อาหารชั้นเลิศให้นางไปชั่วชีวิตก็มิได้เป็นเรื่องยาก… แต่เรื่องที่เฟิงเอ๋อร์ยังยืนยันจะเสียสละเช่นนี้ ก็หาได้ทำให้นางยอมรับในตัวเขาไม่! เขาไม่ยอมให้บุตรสาวสกุลเว่ยต้องรับเคราะห์ แต่กลับมิได้คิดบ้างเลยว่าเมื่อบุตรสาวสกุลเว่ยแต่งเข้ามาแล้ว คนที่ต้องรับเคราะห์ก็คือตัวเขาเอง!”


                เมื่อเห็นเสิ่นเซวียนมีสีหน้าหนักอึ้งไม่พูดจา จึงได้ถามว่า “ท่านพี่ เรื่องแต่งงานกับตระกูลเว่ยครานี้… ดีชั่วอย่าไร น้องรองก็ลงมือไปก่อนก้าวหนึ่ง จักต้องสามารถชิงถอนหมั้นได้ก่อนที่เฟิงเอ๋อร์จะไปถึงกระมังเจ้าคะ?”


                เสิ่นเซวียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “กระบี่ ‘ลู่หู’ ก็ถูกเขาเอาไปแล้ว และจักต้องนำไปมอบแก่บุตรสาวสกุลเว่ยในนามของข้า บุตรชายของเจ้าเจ้ายังมิเข้าใจเขาหรือ? แม้ยามเขาไปถึงเฟิ่งโจว แล้วตานเซียวจะบอกถอนหมั้นกับตระกูลเว่ยไปแล้ว เขาก็สามารถใช้ ‘ลู่หู’ เป็นธนูเบิกทาง และบอกค้านต่อหน้าว่าพวกเราเปลี่ยนใจแล้ว หรือไม่ก็บอกว่าตานเซียวฟังผิดไปแล้ว!”


                ฮูหยินซูไม่มีคำจะพูดไปพักหนึ่ง สักครู่จึงได้กล่าวด้วยความน้อยใจว่า “เป็นลูกข้า แล้วมิใช่บุตรชายท่านหรือ? จะว่าไปแล้วเป็นท่านที่สอนสั่งเฟิงเอ๋อร์มาด้วยตนเองจนโต”


                “…เจ้าเตรียมการแต่งสะใภ้ใหม่เข้าบ้านตามวันเวลาเดิมที่เคยกำหนดเอาไว้เถิด” เสิ่นเซวียนไม่มีแก่ใจจะโต้เถียงกับนางเรื่องนี้ ถอนหายใจคราหนึ่ง สั่งความพลางกุมขยับด้วยความอ่อนใจ


                ฮูหยินซูไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยนั้นก็… เฟิงเอ๋อร์เลอะเลือนนัก ท่านก็ยังจะยอมรับที่เขาทำเช่นนี้จริงๆ อีกรึ?”


                “เจ้าลูกหัวรั้นก็ขโมยกระบี่ ‘ลู่หู’ ไปแล้ว เจ้าจะคอยกระแนะกระแหนข้าอีกเพียงใด…เจ้าคิดหรือว่าในยามนี้ยังสามารถกลับลำได้อีก? หากถอนหมั้นคราหนึ่งอย่างมากก็แค่ไม่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเว่ย ตระกูลเว่ยก็คงพอจะเข้าใจ แต่ถอนหมั้นแล้วหมั้นใหม่ หมั้นแล้วก็ถอนหมั้นอีกเช่นนี้ คิดว่าตระกูลเว่ยเป็นสิ่งใด?! หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเสิ่นก็จักกลายเป็นตัวตลกในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์เอาได้!” เสิ่นเซวียนแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าลูกหัวรั้นคนนี้จัดการปิดตายหนทางถอยร่นของบ้านเราไปจนหมดแล้ว ไม่รับบุตรสาวสกุลเว่ยเข้าบ้านแล้วจักยังทำสิ่งใดได้อีก?”


                ฮูหยินซูกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ลูกชายของข้าอยู่ดีๆ แท้ๆ…”


                “วาจาเช่นนี้มิต้องพูดอีกแล้ว!” เสิ่ยเซวียนขมวดคิ้วแล้วว่า “ดีชั่วอย่างไร เรื่องแต่งงานนั้นก็ยกเลิกไม่ได้แล้ว หากจะมัวมาร่ำไรว่าเฟิงเอ๋อร์เป็นคนรับเคราะห์หรือไม่อยู่เช่นนั้น กลับมิสู้คิดถึงข้อดีของการที่ยังมีการแต่งงานหนนี้อยู่ต่อไปดีกว่า!”


                ฮูหยินซูบันดาลโทสะเสียจนลุกขึ้นมา “เรื่องใหญ่ชั่วชีวิตของเฟิงเอ๋อร์! ท่านไม่ช่วยจัดการดูแลให้เขา แต่กลับเอาแต่คิดว่าเมื่อบุตรชายของท่านแต่งกับหญิงที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียแล้วจะสามารถแลกผลประโยชน์ใดบ้างหรือ? ท่านเป็นบิดาประสาอะไรกัน!”


                เสิ่นเซวียนแค่นเสียงกล่าวว่า “ข้ามิได้ถอนหมั้นให้เขาหรอกหรือ? แต่เจ้าลูกหัวรั้นไม่ยอมเอง ทั้งยังขโมยกระบี่ของข้าวิ่งโร่ไปสร้างความมั่นอกมั่นใจให้ตระกูลเว่ยถึงเฟิ่งโจวด้วยตนเอง! ยามนี้ความจริงก็กระจ่างชัดแล้ว จะเอาแต่ร่ำไรถึงเรื่องนี้จักมีประโยชน์อันใด? เจ้าก็รู้สึกว่าบุตรชายของเจ้าเป็นผู้รับเคราะห์ หรือว่าข้าจะอาศัยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้เฟิงเอ๋อร์สักครา แล้วมันไม่ถูกต้องหรืออย่างไร?”


                แล้วว่า “อีกสักพักข้าจะเรียกเสนาธิการทหารเข้ามา ให้พวกเขาตั้งใจเขียนบทสรรเสริญที่มีถ้อยคำล้ำเลิศสักสองสามบท ใจความว่าในสถานการณ์ที่ชื่อเสียงของบุตรสาวสกุลเว่ยย่อยยับ…อื่ม ไม่ถูกสิ ควรจะเป็นนางถูกคนให้ร้าย บ้านเรามิได้ละทิ้งนาง แต่ยังสืบสวนดูอย่างละเอียด และยังคงรักษาคำมั่น… โดยเฉพาะเฟิงเอ๋อร์ที่นำกระบี่ไปเฟิ่งโจว เพื่อเป็นการพิสูจน์น้ำใจของเรา ดังส่งถ่านไฟไปให้ท่ามกลางหิมะ…อาศัยโอกาสนี้ให้ผู้คนใต้หล้าได้รู้ว่าตระกูลเสิ่นของเราให้ความสำคัญกับคุณธรรมและน้ำใจ! และรู้ว่าเฟิงเอ๋อร์มีน้ำใจกว้างขวางยิ่งนัก!”


                ฮูหยินซูกล่าวอย่างงวยงงว่า “บุตรสาวสกุลเว่ยถูกให้ร้ายจริงหรือ? นางมิได้เสียความบริสุทธิ์หรอกหรือเจ้าคะ?”


                “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?!” เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วพลางว่า “แต่ตระกูลเว่ยมิได้ยอมรับ บ้านเราเองก็ไม่ยอมรับ… เช่นนั้นก็ต้องถูกให้ร้ายอย่างไรเล่า! หรือเจ้าชอบใจให้นางแบกเอาชื่อเสียงว่าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วมาแต่งเข้าบ้านเรา? ในเมื่อไม่ชอบใจ เช่นนั้นก็คิดเสียว่านางยังบริสุทธิ์อยู่เสียสิ!”


                ฮูหยินซู “…”


                เสิ่นเซวียนกล่าวอีกว่า “ยามเจ้าออกไปสมาคมกับสตรีบ้านอื่นก็จักต้องว่าเช่นนี้! ใช่แล้ว ก่อนนี้ไม่นาน คล้ายได้ยินว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลหลิวผู้หนึ่งสนใจจั้งเฟิงเป็นอย่างมาก? เจ้าจงบอกเป็นนัยแก่ผู้คนว่า เจ้าลูกหัวรั้นของเราคนนี้เป็นเลิศทั้งความสามารถและหน้าตา เป็นที่ต้องใจของสตรีตระกูลใหญ่ต่างๆ นับไม่ถ้วน ส่วนเรื่องที่ว่ากันว่าบุตรสาวสกุลเว่ยไม่บริสุทธิ์แล้วนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าด้วยสาเหตุบางประการ ทำให้สตรีที่ริษยาบุตรสาวสกุลเว่ยเหล่านั้นจงใจสร้างข่าวลือออกมา! หากวันหน้ามีฮูหยินบ้านใดว่าร้ายบุตรสาวสกุลเว่ย เจ้าก็จงบอกไปว่าสงสัยว่านางต้องการจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านเรา! คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ว่าร้ายบุตรสาวสกุลเว่ย ก็สงสัยว่าจักต้องใจในเฟิงเอ๋อร์… ในเมื่อต้องการให้บ้านเราเสียหน้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องห่วงหน้าตามันเสียเลย!”


                เสิ่นเซวียนพูดไปก็ขยำหนังสือราชการในมืออย่างไม่สบอารมณ์ กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าลูกหัวรั้นคนนี้…สร้างความเดือดร้อนถึงเพียงนี้ ทำให้ยามนี้คนทั้งบ้านต้องมาช่วยมันเก็บกวาด! ที่หนักหนาที่สุดคือ ของใดในห้องหนังสือนี้ไม่เอาไป? แต่กลับต้องมาเอา ‘ลู่หู’ ไป! ตานเซียวขอข้ามาหลายสิบปีข้ายังทำใจยกให้ไม่ได้เลย เจ้าลูกเนรคุณนี่กลับบังอาจนัก!!! รอมันกลับมาก่อน ข้าไม่ตีมันจนขาหักก็คงไม่ได้แล้ว!”


                ครานี้ถึงคราวฮูหยินซูแค่นเสียงบ้าง “เขาไปขอลากับองค์ฮ่องเต้จึงออกไปนอกเมืองหลวงได้ เมื่อกลับมาก็จักต้องไปเข้าเวรต่อหน้าพระพักตร์ต่อ เจ้าตีเขาขาหัก แล้วจักทูลฮ่องเต้ว่าอย่างไร?!”


                “เจ้ากลับเรือนหลังไปสอนสั่งหนิงเอ๋อให้ดีๆ เถิดไป!” เสิ่นเซวียนจุกในลำคอ จึงไล่นางไปอย่างอดรนทนไม่ไหว…


_________________________


[1] เหล็กดาวตก หรือเรียกกันทั่วไปว่าแร่เหล็กอุกาบาตร (meteoric iron) เป็นอุกาบาตรที่ตกลงมาบนโลกและมีส่วนผสมของแร่เหล็ก


ตอนที่ 87 หินดี จริงๆ!

โดย

Xiaobei

                เมื่อฝั่งศพเว่ยจิ้งหย่าเรียบร้อยแล้ว และเสิ่นโจ้วอาหลานอำลาไปแล้ว แต่ในเมืองเฟิ่งโจวกลับยังมิได้กลับมาสงบดังเดิม


                เพราะเสนาบดีฝ่ายปกครอง เว่ยฉีได้ลาพักและกลับมาบ้านเกิดแล้ว


                แม้ทางสายของจือเปิ่นถังจะมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว อย่างไรก็มิอาจได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเว่ยแห่งเมืองหลวงไปได้ ภูมิลำเนาของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวก็คือเฟิ่งโจว ไม่ว่าบุตรหลานจะอยู่แห่งหนตำบลใด จะมีความก้าวหน้ามากมายเพียงใด บ้านเดิมก็ยังมีเพียงเฟิ่งโจวเท่านั้น แม้จะมีศาลบรรพชนใหม่อยู่ที่เมืองหลวงเช่นกัน แต่เมื่อศาลบรรพชนในคฤหาสน์หลักได้รับความเสียหาย แล้วจือเปินถังจะไม่ไยดีได้อย่างไร?


                โดยเฉพาะเมื่อสาเหตุที่ศาลบรรพชนได้รับความเสียหายครานี้ยังเป็นเพราะถูกพวกหรงวางเพลิง


                หากเป็นเพราะเกิดเพลิงไหม้ธรรมดาๆ เว่ยฉีก็เพียงแค่ส่งลูกหลานสักคนกลับมาดูแลบูรณะเสียหน่อย แล้วจุดธูปเทียนคารวะสักคราก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ครานี้กลับเกี่ยวพันถึงเรื่องที่พวกหรงลอบเข้ามาในเฟิ่งโจว เพื่อแก้แค้นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวอย่างอุกอาจ… ยามนี้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้กันว่าในฎีกาของเว่ยฮ่วนที่แต่ละตัวอักษรพรรณนาถึงความชั่วช้าของพวกหรงออกมาด้วยเลือดและน้ำตานั้น ได้เขียนเรื่องศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลายเอาไว้เป็น…อื่ม อันดับแรก


                เมื่อประมุขของตระกูลให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ หากเว่ยฉียังไม่กลับมาดูแลการบูรณะด้วยตนเอง แล้วจะยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?


                ดังนั้นไม่ว่าเว่ยฉีจะยินยอมหรือไม่ในเวลาเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงไปเข้าเฝ้าขอลาพักจากฮ่องเต้ทั้งน้ำตานองหน้า พาภรรยาและบุตรกลับมาบ้านเกิดเพื่อซ่อมแซมศาลบรรพชน และขอขมาต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่ต้องตื่นตระหนกจากการถูกรบกวน


เมื่อมีตัวอย่างของซ่งหาน ซ่งตวน และเว่ยเจิ้งหย่าที่ถูก ‘เผ่าหรง’ ลอบสังหารอยู่ก่อนหน้า เว่ยฉีจึงกลับมาอย่างระมัดระวังเป็นที่ยิ่ง เขาอาศัยอำนาจที่ตนเป็นผู้ดูแลป้อมปราการที่เยี่ยนโจว และอ้างเหตุผลที่เมืองเหลียวถูกก่อสร้างให้เป็นหอศพ[1] มาทูลขอพระบรมราชโองการฉบับหนึ่งจากฮ่องเต้ เพื่ออนุญาตให้เขานำกองทหารส่วนหนึ่งจากเยี่ยนโจวมา ประการแรกเพื่อคุ้มกันตนกลับมายังเฟิ่งโจว ประการต่อมาคือเมื่อเว่ยฉีมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว กองทหารนี้จะตั้งค่ายอยู่ทางเหนือของเฟิ่งโจว เพื่อตรวจตราและต่อต้านพวกหรง


ดังนี้เมื่อเว่ยเฉีกลับมาจึงได้ล้าช้ากว่าอาหลานสกุลเสิ่นอยู่มาก


กระทั้งวันที่สองหลังจากที่อาหลานสกุลเสิ่นเดินทางออกจากเฟิ่งโจว พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าถึงเฟิ่งโจวทั้งฝุ่นที่ตลบอบอวลไปหมด


เรื่องแรกหลังจากที่ต้องทำเมื่อมาถึงในตัวเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องกลับไปขอขมาต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับที่หอบรรพชนโดยทันที


เมื่อเว่ยฮ่วนได้ข่าวจึงพาคนไปรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์จือเปิ่นถังก่อนหน้านั้นตั้งนานแล้ว


เว่ยฉีลงมาจากเกี้ยวเพื่อมาคารวะประมุของตระกูลเสียก่อน พร้อมพาบุตรของตนเข้าพบด้วยพร้อมกัน… อย่างไรก็ดี เว่ยฮ่วนไม่เพียงเป็นประมุขตระกูล ทั้งยังมีศักดิ์เท่าเทียมกับเว่ยฉี การที่เขามารออยู่นอกจือเปิ่นถังตัวตนเอง เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องที่ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถึงได้รับความเสียหาย ไม่ว่าด้วยน้ำจิตน้ำใจหรือด้วยหลักการแล้ว สายของจือเฟิ่นถังก็ควรต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างยิ่ง


เมื่อพบปะและทักทายกันตามธรรมเนียมเรื่อยมา ก็พ้นเวลาเที่ยงมาแล้ว


และเมื่อคราวะกันเรียบร้อยแล้วก็ย่อมไม่อาจจะส่งให้เว่ยฮ่วนจากไปทันที เว่ยฉีจึงทำได้เพียงเชิญให้เว่ยฮ่วนเข้าไปพักในจวนต่อสักครู่


การพักสักครู่นี้ เว่ยฉีถึงกับแทบจะต้องกระอักเลือด…เพราะเมื่อเว่ยฮ่วนนั่งลงก็แจกแจงออกมาว่า ตามที่เขาสำรวจและสอบสวนด้วยตนเอง สาเหตุที่คฤหาสน์หลักของจือเปิ่นถังถูกพวกหรอลอบเข้ามาวางเพลิงทำลายนั้น ประการแรกคือเวรยามเพิกเฉยต่อหน้าที่ ประการที่สองก็คือรั้วรอบศาลบรรพชนนั้นล้วนสร้างจากไม้ จึงถูกเพลิงเผาทำลายได้ง่ายดายนัก


ดังนั้นเขาจึงได้เสนอแนะให้เว่ยฉีอย่าได้ไปซ่อมแซมบูรณะเสียเลย อาศัยจังหวะที่กลับมาครานี้สร้างศาลบรรพชนใหม่ทั้งหมด และที่ถูกต้องคือไม่ใช้ไม้สร้างแต่ใช้หินสร้าง! ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเป็นหินคราม[2]ยาวที่เพิ่งงอกออกมาจากในกลางเขาลึก


เว่ยฮ่วนถึงกับให้คนยกหินสองก้อนมาว่าไว้ที่หน้าศาลบรรพชนเพื่อให้เว่ยฉีไปดูได้ตามใจ


“ท่านชิงเหยี่ยโปรดวางใจเถิด หินชนิดนี้ข้าไปดูมาด้วยตนเองแล้ว เมื่อลองให้คนตัดดู ทั้งดาบและกระบี่จากเหล็กเนื้อดียังไม่อาจทำให้เกิดร่องรอยได้ ลองให้คนเผา มันก็ไม่เปลี่ยนสี” สีหน้าของเว่ยฮ่วนเต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ ประหนึ่งว่าสามารถจัดการกับภาระอันหนักอึ้งไปได้ แม้ว่าการแก้ปัญหาใหญ่หลวงคับฟ้านี้จะต้องผ่านเรื่องที่ลำบากแสนสาหัสมาก็ตามที แล้วกล่าวอย่างจริงใจเป็นที่สุดว่า “หินครามท่อนหนึ่งนั้น ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์ หากมิได้สี่ห้าคนก็จักยกไม่ขึ้น! นับว่าเป็นหินที่มีคุณภาพดีเป็นที่สุด! หากใช้หินชนิดนี้สร้างศาลบรรพชน ก็จะไม่มีวันเกิดข้อผิดพลาดใดอีก!”


…ทั่วเมืองเฟิ่งโจวนั้นมิได้มีภูเขาใหญ่ใดที่ใช้การได้ หินครามยาวที่เว่ยฮ่วนเอ่ยถึงชนิดนี้จักต้องไปเอามาจากเมืองอื่น โอ้..ที่ที่ใกล้ที่สุดที่จะไปเอามาได้ ก็จักต้องใช้ม้าเร็วควบไปหลายวันจึงจะเร่งไปถึงภูเขาที่อยู่ในชิงโจว ชิงโจวเป็นถิ่นฐานของตระกูลซู จึงไม่อาจไม่ไปทักทายปราศรัยกับตระกูลซูอีกด้วย


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการเดินไปทางไปกลับ รวมทั้งเข้าไปพบปะกับตระกูลซูจักต้องใช้เวลามาก หินชนิดนี้ทั้งดาบและกระบี่เหล็กเนื้อดียังทำให้เกิดร่องรอยไม่ได้แม้แต่น้อย! ใช้ไฟเผาก็ยังไม่เปลี่ยนสี… การไปเก็บมานั้นเพียงคิดก็รู้แล้วว่าจักต้องลำบากยากเย็นเพียงใด!


แล้วมาดูเรื่องการขนส่ง หินก้อนหนึ่งก็หนักเสียจนต้องใช้ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยก…


นะ….นี่จักต้องใช้ม้ากี่ตัว?!


แม้จักสามารถขนส่งกลับมาถึงเฟิ่งโจวได้อย่างราบรื่น เรื่องการก่อสร้างนั้นยังต้องใช้กำลังคนอีกกี่มากน้อย?


เรื่องงบประมาณนั้นก็ช่างเถิด เพราะไม่ว่าจะเป็นฐานะของรุ่ยอวี่ถังหรือจือเปิ่นถัง ล้วนไม่ใช่ว่าไม่สามารถสร้างศาลบรรพชนได้ แต่ปัญหาคือ ยามนี้เว่ยฉียังคงดำรงอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครอง และครานี้เพราะจักมาซ่อมแซมศาลบรรพชน ตัวเว่ยฉีเองก็ยังกลับมาแล้ว แล้วคนอื่นๆ ในจือเปิ่นถังจะไม่ลางานและติดตามมาด้วยหรือ?


                ผู้คนเหล่านี้มีจำนวนไม่มากก็น้อยที่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเรื่องภายในวังไม่อาจหยุดและรออยู่เช่นนั้นเพียงเพราะคนจวนหนึ่งจากมา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าหากคนทั้งจวนจือเปิ่นถังอยู่ที่เฟิ่งโจวอีกหนึ่งวัน ตำแหน่งงานที่เมืองหลวงก็อาจจะถูกชิงเอาไปหรือถูกผู้อื่นควบคุม รวมทั้งตำแหน่งของเว่ยฉีด้วยเช่นกัน


                เดิมทีศาลบรรพชนเสียหายมิได้หนักหนา เสียหายแค่เพียงมุมมุมหนึ่ง ในคฤหาสน์ของจือเปิ่นถังก็มีไม้ที่แปรรูปเอาไว้แล้ว เพียงหาช่างมาซ่อมแซมสักหน่อย อย่างมากก็ใช้เวลาเพียงสามวันห้าวัน แม้แต้ป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่อยู่ภายในก็ยังไม่ต้องอัญเชิญออกมาเสียด้วยซ้ำ


                ปรากฏว่าเมื่อเว่ยฮ่วนออกปากมาดังนี้ เมื่อต้องสร้างใหม่ ลำพังเพียงแค่ย้ายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษไปที่แห่งอื่น แล้วรื้อถอนศาลบรรพชนเดิมออกก็ไม่อาจทำได้เรียบร้อยภายในสามวันห้าวันแล้ว!


                หลังจากรื้อถอน ก็ยังต้องใช้หินครามน่ากลัวนั่นสร้างใหม่อีก…


                เว่ยฉีลอบกลืนเลือดลงลำคอไปหลายอึก แล้วจึงฝืนยิ้มออกมาพลางว่า “ท่านประมุขกล่าวถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง แต่จนใจที่…”


เขายังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะ เว่ยฮ่วนกล่าวด้วยสีหน้าที่เข้าใจชัดแจ้งว่า “ท่านชิงเหยี่ยโปรดวางใจ ที่พวกหรงลอบเข้ามาในเฟิ่งโจวครานี้ ล้วนเป็นความผิดของเซิ่งเหนียนซึ่งเป็นผู้ตรวจการ! ข้าได้สั่งให้เขาเข้าไปขอพระราชทานอภัยจากฮ่องเต้แล้ว คาดว่าท่านเองก็คงได้เห็นฎีกาแล้ว… สรุปว่า เหตุที่คฤหาสน์และศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลาย เป็นความผิดของเซิ่งเหนียนที่ยากจะปัดป้องได้ ค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลบรรพชนขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการตัดแต่งและขนย้ายหินครามนั้น รุ่ยอวี่ถังจะเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด!”


                การซ่อมแซมศาลบรรพชนครานี่ยังต้องให้ตระกูลสายหลักช่วยออกเงินให้ แล้วตระกูลสายรองจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? เช่นนี้แล้วอย่าว่าแต่ช่วงชิงตำแหน่งเสาหลักของแคว้นเลย วันหน้ายังจะมีหน้าวางแผนให้จือเปิ่นถังกลายมาเป็นตระกูลเว่ยแห่งเมืองหลวงได้อีกหรือ!”


                ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉีก็มิได้มองผ่านเรื่องที่เว่ยฮ่วนบอกว่าจะให้รุ่ยอวี่ถัง ‘รับผิดชอบ’ นั้น หาใช่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายไม่! นั่นก็เพราะว่ารุ่ยอวี่ถังจะไปตัดและขนส่งมาเอง เช่นนั้นแล้วศาลบรรพชนนี้จะต้องซ่อมแซมอีกนานเท่าใด ก็ย่อมเป็นรุ่ยอวี่ถังว่าเช่นไรก็ต้องเป็นตามนั้น… ดีชั่วอย่างไรเว่ยฮ่วนก็ได้ประกาศออกมาชัดเจนเอาไว้แล้วว่า หินครามนี้จะต้องไปเอามาจากที่ห่างไกล ทั้งยังเอาไปมายาก ยาก ยากมากๆ…


                เว่ยฉีรีบเอ่ยปากปฏิเสธไปในทันใด “จือเปิ่นถังก็พอจักมีแรงงานและเครื่องมือศาลบรรพชนนั้นจักให้ท่านประมุขต้องลำบากได้อย่างไร?”


                “โธ่! ก็เพราะข้าเป็นประมุขอย่างไรเล่า!” เมื่อเว่ยฮ่วนได้ยินคำ เขาก็มีท่าทีเศร้าเสียใจอย่างที่สุดขึ้นมาในทันใด แล้วเริ่มระบายความเจ็บปวดและเศร้าโศกที่ศาลบรรพชนของจือเปิ่นถังถูกทำลาย… สรุปแล้ว ดูท่าว่าหากเว่ยฉีไม่รับปากว่าจะสร้างใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นจักต้องใช้หินครามมาสร้างศาลบรรพชนเสียใหม่ เขาก็จักไม่ยอมไป…


                สุดท้าย เว่ยฉีจึงทำได้เพียงงัดไม้ตายออกมา ตนเองพลันหงายหลังล้มลง บุตรชายพากันกระโจนเข้ามาแล้วร้องลั่นไปทั่ว บอกว่าตลอดทางที่เดินทางมาเขาเศร้าเสียใจเรื่องศาลบรรพชนมาเกินไป กอปรกับตรากตรำกับการเดินทาง ยามนี้ทั้งโมโหและเหนื่อยอ่อนจึงได้หมดสติไปเสียแล้ว… นั่นเองจึงสามารถทำให้เว่ยฮ่วนจากไปได้


                ครานี้เว่ยฉีใช้การเป็นลมหมดสติไล่เว่ยฮ่วนไปได้ ทว่าวันต่อมาเว่ยฮ่วนก็ยังกลับมาอีก


                เรื่องนี้ขัดขากันไปมาอยู่สี่ห้าวัน เมื่อมองเห็นว่าจือเปิ่นถังไม่ยอมรับคำแนะนำของประมุข…ข่าวคราวเรื่องสร้างศาลบรรพชนที่ไม่กลัวไฟ ไม่ถูกทำลายโดยง่ายก็แพร่สะพัดออกไป ด้วยความจนใจ เว่ยฉีจึงทำได้เพียงขอร้องเว่ยฮ่วนให้มาเจรจากันเป็นการส่วนตัวสักหน


                หลังจากการสนทนานี้ แม้เว่ยฮ่วนจะไม่ได้คะยั้นคะยออย่างเอาเป็นเอาตายให้จือเปิ่นถังใช้หินครามยาวที่มาจากภูเขาแดนไกลเช่นคราวก่อนๆ แต่เว่ยฉีกลับล้มป่วยติดต่อกันไปหลายคืน…อาการเจ็บป่วยนี้ก็มีสาเหตุที่สมเหตุสมผลเสียด้วย นั่นเพราะศาลบรรพชนเกิดเรื่องก็ต้องเศร้าเสียใจอย่างไรเล่า! เดินทางรอนแรมลำบาก จึงเหนื่อยอ่อนอย่างไรเล่า… ตอนที่คุยกันเมื่อกลับมาหนแรกก็ไม่ใช่ว่าเป็นลมล้มพับไปคราหนึ่งแล้วหรือ?


                …ด้วยวัยของเว่ยฉี หากอาการเจ็บป่วยนี้หนักหนาสักหน่อย ก็ควรจักต้องขอเกษียณตัวกลับมาบ้านเดิมแล้ว


                “หากเจ้าแก่เว่ยฉีเกษียณตัวเอง จากนั้นต่อไปก็จะต้องมาอยู่ที่เฟิ่งโจว แล้วลูกหลานของเขาเล่า?” ฮูหยินซ่งเอ่ยถามพลางละเลียดจิบน้ำชา


                เว่ยฮ่วนกล่าวว่า “หากเขายอมเกษียณตัวเอง ก็ย่อมต้องให้บุตรหลานกลับมาด้วยเป็นธรรมดา”


                “ช่างประไร” แม้ฮูหยินซ่งจะไม่พอใจนัก แต่จือเปิ่นถังสามารถไปเปิดจวนอีกแห่งนอกจากจวนของตระกูลสายหลัก ร้อยปีไม่ล้ม ก็จักต้องมีวิธีการของพวกเขาเอง หากคิดจักอาศัยการสร้างศาลบรรพชนขึ้นมาใหม่มาทำลายจือเปิ่นถังให้ไม่เหลือซากนั้นจึงไม่อาจเป็นไปได้ ครานี้สามารถบีบให้เว่ยฉีเกษียณตัวก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว จึงได้ถามว่า “แล้วตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองเล่า?”


                “ข้าคิดว่าจะให้ เสนาธิการทหารผู้ดูแลป้อมปราการหลักเว่ยอวี้รับตำแหน่งนี้ต่อ” เว่ยฮ่วนกล่าวเสียงหนักว่า “คนผู้นี้แม้จักเถรตรงไปสักหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนของรุ่ยอวี่ถังของเรา ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งเสนาธิการทหารผู้ดูแลป้อมปราการหลักก็ต่ำกว่าตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองอยู่หนึ่งขั้น เมื่อเว่ยฉีเกษียณตัว เขาได้เลื่อนขั้น ก็นับว่าสมควรแล้ว”


                แม่เฒ่าซ่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน แล้วว่า “ผู้สืบสกุลของเขา…”


                “แม้ผู้สืบสกุลของเขาจะมีมาก แต่ก็ล้วนจงรักภักดี” ความหมายของจงรักภักดีก็สามารถเข้าใจได้ว่าซื่อตรง คนที่ซื่อตรงนั้น ประการแรกจะไม่มีจิตใจที่ไม่ควรมี ประการที่สองก็คือไม่มีความสามารถที่จะมีจิตใจที่ไม่ควรมี


                แม่เฒ่าซ่งพยักหน้ารับ “ฉางเฟิงอายุยังน้อยนัก จือเปิ่นถังเหมือนเสือคอยจ้องตะครุบ ทางสายรุ่ยอวี่ถังของเราก็บอบบาง ก็คงจักประคับประคองได้เพียงตำแหน่งสายรองเท่านั้น”


                “วันก่อนฉางเฟิงขอให้เว่ยชิงไปทางเหนือ เดิมทีข้าคิดจะรับคำ แต่ยามนี้เว่ยฉีพาทหารของเยี่ยนโจวมาและจะไปทางเหนือเช่นกัน….จึงกลับรู้สึกกังวลขึ้นมา” เว่ยฮ่วนขมวดคิ้ว “อย่างไรเสียโม่ปิ่นอวี่ก็ถูกเว่ยซินหย่งยุยงและเอาตัวไปแล้ว ผู้ที่ชำนาญการศึกในตระกูลของเราก็มีน้อยเกินไป ในบรรดาคนหนุ่มแน่นในตระกูลก็มีเว่ยชิงที่เป็นเลิศที่สุด หากถูกทหารของเยี่ยนโจวทำร้ายเอาก็จะไม่ใช่เรื่องดี แม้บ้านเราจะเน้นในเรื่องบุ๋น แต่ใต้หล้านี้ไร้ความยุติธรรม อย่างไรก็ยังต้องการผู้มีความสามารถที่เข้าใจเรื่องกลยุทธฝ่ายบู๊อยู่ดี”


                แม่เฒ่าซ่งเอ่ยถามว่า “ไม่อาจทำให้เว่ยฉีนำกองทหารเยี่ยนโจวย้ายกลับไปที่เยี่ยนโจวหรือเจ้าคะ?”


                เว่ยฮ่วนกล่าวว่า “เขาก็บอกชัดเจนแล้วว่าเขาไม่วางใจพวกเรา”


                “ในเมื่อเขาจักต้องเอากองทหารเยี่ยนโจวนี้มาปักหลักที่เฟิ่งโจวเสียให้ได้ เช่นนั้นก็ควรจักบอกเรื่องของเว่ยซินหย่งให้จือเปิ่นถังได้รู้เสีย” แม่เฒ่าซ่งกล่าวออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด “เว่ยซินหย่งอาศัยการมารับตำแหน่งเลขาธิการในฉาวอวิ๋นจวิ้น เป็นเหตุผลในการเดินทางจากเมืองหลวงมา แต่ฉาวอวิ๋นจวิ้นนั้นเป็นดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าในซีหนาน เกรงว่าเว่ยฉีจะมิทันได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ การเสียชีวิตของบิดาของเว่ยซินหย่งนั้นมีความเกี่ยวพันกับเว่ยซินหมิงบุตรชายคนโตของเว่ยฉีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว่ยฉีย่อมต้องปกป้องบุตรชายคนโตของตน… หากไม่ใช่เพราะครานั้นเว่ยซินหย่งยังเด็กนัก ก็คงจักถูกฆ่าปิดปากไปเสียตั้งนานแล้ว!”


                “หากเว่ยฉีรู้ถึงสาเหตุที่เว่ยซินหย่งจากเมืองหลวงมาเพื่อซ่องสุ่มกำลังพลเตรียมการล้างแค้นพวกเขาพ่อลูก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ผู้ที่มีคุณงามความดีที่แท้จริงจากศึกครั้งใหญ่ทางเหนือไปเป็นพวก… ดูซิว่าเขายังจักมีแก่ใจเอากำลังทหารของเยี่ยนโจวไปอยู่เป็นตอขวางหูขวางตาทางเหนือแคว้นอีกหรือไม่!”


                เว่ยฮ่วนกล่าวเสียงหนัก “หากเป็นเช่นนั้น เว่ยฉีก็อาจมาหารือให้ข้าไปตอบโต้เว่ยซินหย่งด้วยกัน…”


                “หากเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่เพียงพอ ก็หาเป็นไปมิได้ไม่” แม่เฒ่าซ่งเยาะหยัน “คราก่อนทั้งที่เว่ยซินหย่งรู้เรื่องแผนการลอบสังหารมาก่อน แต่กลับไม่ได้แจ้งต่อพวกเราล่วงหน้า ก็มิใช่เป็นเพราะเขาต้องการแก้แค้น แต่แท้จริงแล้วตนกลับมีกำลังไม่พอ จึงได้จงใจเล่นบทนั่งดูเสือกัดกันอยู่บนเขา รอจนฉางเฟิงและฉางอิ๋งไร้หนทางไปแล้วจึงได้พาคนเข้ามาช่วยพวกเขา ประการแรกก็เพื่อให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งติดหนี้บุญคุณเขา ประการที่สองก็เพื่อให้ความแค้นระหว่างบ้านเราและจือเปิ่นถังยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก!”


                “หากมิใช่ว่าฉางเฟิงเป็นหลานชายบ้านใหญ่เพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ล้วนฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่ตัวเขา หากไม่มีฉางเฟิงแล้ว ชื่อเสียงของรุ่ยอวี่ถังของเราก็จะล่มสลาย เว่ยซินหย่งยังถึงขั้นรั้งรอออกโรงช้าก้าวหนึ่ง ให้ระหว่างพวกเราและจือเปิ่นถังได้มีความแค้นใหญ่หลวงเรื่องที่ต้องการจักสังหารหลานชายของเรา! ส่วนฉางอิ๋งนั้น ฮึๆ! เขาก็เกรงว่าหลายปีมานี้อำนาจของบ้านเราถดถอยลงแล้วจักต่อสู้กับจือเปิ่นถังไม่ได้ หากมีการแต่งงานกับตระกูลเสิ่นครานี้ก็พอจักดีขึ้นมาบ้าง จึงได้อาศัยโอกาสเดียวกันช่วยเหลือเอาไว้เท่านั้น! หาไม่แล้ว เขาก็จักนั่งคอยดูให้หลานบ้านใหญ่ทั้งคู่ของเรามีคนหนึ่งต้องตายไป เพื่อให้พวกเราอดรนทนไม่ได้และรู้สึกยินดีปรีดาหลังได้ทำลายจือเปิ่นถังให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับที่เขาเป็น!”


                แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ที่น่าแค้นที่สุดก็คือ ทั้งที่เขารู้ว่าบ้านเราได้ทาบทามโม่ปินอวี่เอาไว้แล้ว แต่ก็ยังกล้ายื่นมือเข้ามาแทรกกลางคัน! หลังจากช่วยฉางเฟิงและฉางอิ๋งแล้ว เขาก็ปิดบังฐานะตนจงใจทำให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งเข้าใจผิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นมิได้มีเจตนาดีอันใด แล้วบีบบังคับให้ฉางเฟิงเขาไปเจรจาด้วยในหุบเขาที่ปิดมิดชิดเช่นนั้น…เขามองประมุขรุ่นต่อไปของรุ่นอวี่ถังเป็นเช่นไร! ช่างเลอะเลือนไร้แก่นสารสิ้นดี! เดิมทีทั้งเราและเขาต่างก็แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตนต้องการ หากมีความจำเป็นขึ้นมาก็สามารถหักหลังอีกฝ่ายหนึ่งได้ตลอดเวลา แล้วยังต้องการจะดำรงความสัมพันธ์เช่นนี้ไปอีกกี่ปีกัน?”


                “หลานทั้งสองคน เขาเก็บไว้คนหนึ่งปล่อยมาคนหนึ่ง เมื่อคนที่ถูกปล่อยกลับมาบอกเล่าข่าวคราว แล้วพวกเราจักไม่ส่งคนไปตรวจตราในป่าแห่งนั้นให้ถ้วนถี่ได้หรือ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่คอยดูโม่ปินอวี่อยู่ก็ย่อมต้องน้อยลงเป็นธรรมดา เขาอาศัยโอกาสนี้และใช้ฐานะโจรโฉดแห่งเขาเฟิ่งฉี สร้างข่าวลือเท็จว่าบ้านเราตัดสินใจแล้วว่าหากโม่ปิ่นอวี่ไม่ยอมเป็นข้าของฉางเฟิงก็จะจัดการเขาเสีย ทั้งยังล่อหลอกเสียจนโม่ปินอวี่สังหารองครักษ์เฝ้าประตูเพื่อเป็นเครื่องแสดงความภักดี แล้วจากไปพร้อมกับเขา!”


                “หากมิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราววางแผนจัดการโม่ปิ่นอวี่ ฉางอิ๋งจักเข้าใจผิดและคิดว่าหากฉางเฟิงไปแล้วจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ จึงปลอมตัวเป็นฉางเฟิงและไปพบเขา จนเป็นเหตุให้ถูกคนทำลายชื่อเสียงจนย่อยยับหรอกรึ!” แม่เฒ่าซ่งพูดพลางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “หากจือเปิ่นถังให้ราคาดีพอ ขายเขาไปเสียก็สมควรแล้ว”


                เว่ยฮ่วนกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เดิมทีเขาก็มิใช่คนของรุ่ยอวี่ถังของเรา ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่อาจหวังให้เขาคิดถึงรุ่ยอวี่ถังไปเสียทุกเรื่อง ประสาอะไรกับโม่ปิ่นอวี่ที่ถูกเขาหลอกไปก็มิได้มีสิ่งใดไม่ดี หากไม่มีโม่ปินอวี่แล้ว เว่ยซินหย่งในยามนี้จะสามารถทำให้เว่ยฉีหวาดกลัวได้หรือ? เมื่อเว่ยฉีไม่หวาดกลัวเขา กำลังทหารของเยี่ยนโจวกองนี้ทั้งหมดก็จักต้องหันมาจัดการพวกเราแล้ว!”


___________________________ท


[1] หอศพ คือการรวบรวมศพของข้าศึก แล้วนำมาผสมกับดินเหนียวและก่อขึ้นมาเป็นแท่นสูง เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะ


[2] หินคราม แปลตรงตัวตามภาษาจีนว่า 青石 คือหินแกรนิตที่มีสีออกฟ้าน้ำเงิน


ตอนที่ 88 ซ่งเหมียนเหอ

โดย

Xiaobei

                แม้ไม่ต้องใช้หินครามมาสร้างศาลบรรพชนขึ้นใหม่ แต่การบูรณะก็ต้องใช้เวลาหลายวัน หลังจากบูรณะซ่อมแซมเสร็จแล้วก็จำเป็นต้องมีพิธีเซ่นไหว้…จือเปิ่นถังมิได้กลับมาที่เฟิ่งโจวหลายปี ยามนี้ทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาวล้วนกลับมาพร้อมกัน แน่นอนว่ามิใช่ทุกคนที่ต้องไปคอยเฝ้าดูความคืบหน้าอยู่ที่หอบรรพชน จึงขาดเสียมิได้ที่คนนอกนั้นต้องไปมาหาสู่กับคนอื่นๆ ในตระกูล


                เมื่อต้องการจะไปมาหาสู่กันในตระกูล การเข้ามาคาราวะที่รุ่ยอวี่ถังจึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้


                เช้าวันนี้ เว่ยฉางอิ๋งเน้นย้ำกับนางหวงและนางเฮ่ออย่างเป็นจริงจังว่า “สีสดเท่าใดก็จัดหามาให้หมด ปิ่นกำไลต่างหูหากไม่ล้ำค่าพอ ก็ให้ส่งคนไปยืมจากท่านแม่และท่านย่ามาอีก”


                “บุตรชายท่านจิ้งผิงกงก็เพิ่งจะเสียไปในปีนี้ ใส่สีสดเกิดไปในนี้ยามจักไม่ค่อยงามนะเจ้าคะ” นางหวงยิ้ม “อีกประการหนึ่งเว่ยลิ่งเยวี่ยผู้นั้น ฮูหยินซูก็มองนางเป็นเช่นป้ายที่ตั้งเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น จะควรค่าให้คุณหนูใหญ่ไปใส่ใจถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ?”


                นางเฮ่อก็ว่า “ก็เพียงเพราะยามนั้นฮูหยินซูกำลังอารมณ์ดี จึงได้กำนัลสร้อยข้อมือลูกประคำไม้หอมเส้นหนึ่งแก่นางเท่านั้น… สร้อยข้อมือลูกประคำเช่นนั้นข้าน้อยก็ยังมีเส้นหนึ่งเลยนะเจ้าคะ! จะเทียบกับปิ่นหยกคู่สีเลือดของคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าท่านเขยเป็นผู้นำกระบี่ ‘ลู่หู’ มามอบให้ด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ต่างหากที่เป็นสะใภ้ที่ถูกต้องของตระกูลเสิ่น เว่ยลิ่งเยวี่ยนั่นจะนับว่าเป็นสิ่งใดได้เล่าเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งทำปากจู๋ “ก็ด้วยสร้อยข้อมือประคำไม้หอมเส้นนั้น ทำเสียจนท่านย่าพลอยโมโหโกรธาไปด้วย! เมื่อคิดว่าวันนี้นางมาด้วย ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ!” ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ถูกลอบทำร้ายคราก่อน ในทางแจ้งนั้นไม่สะดวกจะเอ่ย ส่วนในทางลับจักไม่ทำให้รู้สึกผู้ใจเจ็บได้หรือ?


                “คุณหนูใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถังมาพบฮูหยินผู้เฒ่าของเรา ตามหลักการแล้วไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่เพียงทางนั้นที่จักไม่สบายใจ” นางหวงและนางเฮ่อสบตากันคราหนึ่ง ยามแม่เฒ่าซ่งอยู่ที่เมืองหลวงก็เก่งกาจเพียงนั้น สามารถเปิดศึกกับน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ได้ตลอดเวลา บ่าวไพร่ทั่วไปที่เคยปรนนิบัติดูแลอยู่ที่เมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้เรื่องนี้


                ซึ่งก็หมายความว่าคนรุ่นหลานที่เติบโตมาในเฟิ่งโจวเช่นเว่ยฉางอิ๋งนี้ เมื่อไม่มีคนบอกจึงได้ไม่รู้เรื่อง


                ยามนั้นเองนางหวงจึงได้เล่าเรื่องความแค้นระหว่างพี่น้องซ่งซินโหร่วและซ่งเหมียนเหอให้ฟังโดยคร่าวรอบหนึ่ง นางปิดปากหัวเราะแล้วว่า “ซ่งเหมียนเหอและฮูหยินผู้เฒ่าของเราขัดแย้งกันมาหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่นางจะเป็นสุขเมื่อตกอยู่ในมือของฮูหยินผู้เฒ่าของเรา ครานี้ในเมื่อพวกเขามาถึงเฟิ่งโจวแล้ว หากมิได้มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าไม่ว่าอย่างไรก็จักฟังไม่ขึ้น… เช่นนั้นแล้ว ยามนี้สตรีในฝั่งของจือเปิ่นถังต่างหากที่ต้องกำลังปวดเศียรเวียนเกล้า ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเข้าประตูมาก็จักต้องถูกจัดการ แต่ก็ไม่อาจไม่มาได้”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วเกิดความสนใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ที่แท้วันนี้ท่านย่าก็จักลงมือจัดการพวกนางหรือ? ช่างดีจริง ท่านอารีบช่วยข้าแปรงผมแต่งตัวเถิด ในเมื่อคนที่ท่านย่าต้องการจัดการเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขา เช่นนั้นเว่ยลิ่งเยวี่ยก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดแล้ว ทำตามที่พอใจเป็นพอ ดีชั่วอย่างไรคนเหล่านี้ก็ไม่ควรค่าให้ข้าต้องแต่งเนื้อแต่งตัวไปต้อนรับ ”


                นางหวงพยักหน้าอย่างพอใจ “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ แต่งเนื้อแต่งตัวออกไปต้อนรับ…หาใช่ว่าทุกคนจะควรค่าให้คุณหนูใหญ่ต้องให้ความสำคัญถึงเพียงนั้น”


                ที่สุดนางจึงสวมชุดฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นชุดกระโปรงกับเสื้อตัวยาวฉวี่จวี[1] ปักภาพกิ่งก้านใบและดอกมู่ตานสีแดงเขียวบนผ้าพื้นสีเขียวซึ่งเพิ่งตัดมาใหม่ ซึ่งเสื้อชุดฉวี่จวีนี้มีความสุภาพเรียบร้อยอยู่ในตัว จึงไม่เหมาะจะแต่งหน้าสีฉูดฉาด ดังนั้นมวยผมทรงก้นหอยเดี่ยว ไม่ใช้อัญมณีประดับผมรูปดอกไม้และปิ่นที่มีพู่ห้อย รวมทั้งทาสีชาดที่แก้มเพียงบางๆ ยามนี้มาถึงที่ห้องโถงแล้ว แต่กลับเห็นแม่เฒ่าซ่งสวมเพียงเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้างสีเขียวไพลที่กลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่ง กระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีน้ำทะเล และเครื่องประดับที่ไม่แตกต่างกับที่เคยสวมใส่อยู่เป็นประจำ


                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าที่แท้แล้วท่านย่าไม่ชอบฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถังจริงดังว่า ถึงขั้นที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใหม่สักหน่อยก็ยังไม่ยอม ด้วยเกรงว่าจะไม่แสดงออกถึงความเฉยชาที่มีต่ออีกฝ่าย


กลายเป็นว่าคนรุ่นหลังอย่างฮูหยินซ่งและนางเผยที่เป็นคนออกไปต้อนรับคนของจือเปิ่นถัง กลับเป็นฝ่ายที่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ออกมาต้อนรับแขกแทน


ฮูหยินผู้เฒ่าของจือเปิ่นถัง ซ่งเหมียนเหอนั้นมีอายุมากแล้ว แต่จากเค้าโครงหน้าของนางกลับยังสามารถดูออกว่ายามเยาว์วัยนั้นนางงดงามเพียงใด นางสวมชุดฉวี่จวีที่ตัดเย็บจากผ้าปักดิ้นทองลายกวางคู่ไล่สีครามเข้มลงมาเป็นแดง ผมสีขาวม้วนขึ้นเป็นมวยธรรมดา มีนางตวนมู่ซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ประคองเข้าประตูมา


แม่เฒ่าซ่งกำลังจิบน้ำชาและสนทนาหัวร่อต่อกระซิกกับหลานชายและหลานสาว เมื่อเห็นว่านางนำเหล่าสตรีในฝั่งของนางเข้ามาก็มิได้มีท่าทีจะลุกขึ้นแต่อย่างใด หากแต่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เหมียนเหอเจ้านี่นับวันจะยิ่งใช้การไม่ได้ นี่แค่ไม่มิได้เจอกันสิบกว่าปี ก็ถึงขั้นต้องให้คนประคองจึงจะเดินเหินได้เชียวหรือ?”


เห็นได้ว่าซ่งเหมียนเหอไม่ใคร่จักมีเรี่ยวแรงนัก ก็มิน่าเล่า เพิ่งจะเร่งเดินทางพันลี้กลับมาจากเมืองหลวง คนในวัยนี้ต้องเร่งเดินทางทั้งยังมิได้พักผ่อนให้ดี หากยังดูมีเรี่ยวแรงดีก็แปลกแล้ว


นางได้ยินคำของพี่สาวบ้านใหญ่ก็มิได้โกรธเคืองใดๆ แล้วกล่าวไปอย่างราบเรียบเช่นกันว่า “ไม่เจอกันสิบกว่าปีทั้งที ก็ต้องให้ท่านพี่ดีอกดีใจสักหน่อย หรือท่านพี่ไม่ชื่นชอบที่ได้เห็นข้าในสภาพที่ใช้การไม่ได้เช่นนี้? หากข้ายังคล่องแคล่วมีเรี่ยวแรง ก็มิใช่เป็นการทำให้ท่านพี่ผิดหวังหรอกหรือ?”


ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองเพียงได้พบหน้ากันก็จงใจข่มขวัญอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบังใดๆ ทำให้ทั้งห้องโถงล้วนเงียบสงัดลงทันที


แล้วได้ยินแม่เฒ่าซ่งกล่าวออกมาอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าก็ยังเป็นเช่นเดิม นึกคิดเอาเองว่าตนสำคัญ มองตนเองว่าสูงส่งนัก ลำพังตัวเจ้าหรือจะทำให้ข้าสนใจขึ้นมาได้?”


ครานี้ซ่งเหมียนเหออยู่ในฐานะรองจึงได้เลือกที่นั่งนั่งลง พลางสะบัดมือเพื่อให้สะใภ้ไปยืนรออยู่ข้างๆ แล้วตอบคำว่า “หากท่านพี่คิดว่าข้าทำให้ท่านพี่เกิดความสนใจขึ้นมาไม่ได้ ไยจึงไม่มาแนะนำพวกเด็กๆ เล่า?”


“ข้าจักทำการใดต้องให้เจ้ามาสอนสั่งหรือ?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวเยาะไปคราหนึ่ง มองไปยังทุกคนแล้วว่า “ในเมื่อเป็นลูกหลานของเจ้า แต่กลับไม่รู้จักธรรมเนียมเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จักเข้ามาคราวะหรือ?”


ซ่งเหมียนเหอกล่าวราบเรียบว่า “ต่อหน้าผู้อื่นบางทีอาจเป็นเช่นนี้ แต่ท่านพี่ท่านน่าเกรงขามจนเกินไป ทำเอาพวกเขาตกใจก็หาใช่เรื่องแปลกใดไม่”


แม่เฒ่าซ่งจึงว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าในบ้านมีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง ก็คงยากจักให้ลูกหลานรู้จักมีจิตใจกว้างขวาง”


“หากพูดถึงเรื่องจิตใจกว้างขวางแล้ว ผู้ใดเล่าจะเทียบกับบุตรหลานบ้านใหญ่ของท่านพี่ได้?” ซ่งเหมียนเหอหรี่ตา พลันมองมายังเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ใกล้กับแม่เฒ่าซ่งที่สุด แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เท่าที่ข้าดูก็คงจักเป็นผู้นี้สินะ? ยังนึกว่าครานี้กลับมาแล้วจะไม่ได้พบนางเสียแล้ว ไม่คิดว่ากลับเปิดเผยใจกว้างออกมาพบแขกได้”


แววตาของแม่เฒ่าซ่งฉายประกายโทสะขึ้นมา กำลังจะพูดจา ไม่คิดว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับเอ่ยปากออกมาเองเสียก่อน นางกล่าวอย่างแจ่มชัดว่า “ไม่กล้ารับคำชมจากฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”


นางยังคงมีท่าทีสำรวมสีหน้าเป็นปกติ ประหนึ่งว่าเอาคำของซ่งเหมียนเหอเป็นคำชมเช่นนั้นจริงๆ จึงได้กล่าวคำถ่อมตัวออกมาในทันใด


แม้แต่ซ่งเหมียนเหอเองก็ยังลอบตกใจอยู่น้อยๆ จากนั้นจึงกล่าวเยาะว่า “ด้วยคำพูดเจ้าประโยคนี้ ก็เป็นดังข้าว่าแล้ว!”


เว่ยฉางอิ๋งยิ้มกว้าง เข้าใจตรรกะนี้ได้เป็นอย่างดี “ท่านย่าของข้าเป็นถึงบุตรของภรรยาเอก ลูกหลานได้ยินได้ฟังเสียจนชินมาแต่เล็ก หากจักใจกว้างเปิดเผยกว่าเหล่าบุตรหลานที่เกิดจากบุตรสาวของอนุเช่นฮูหยินผู้เฒ่าก็มิใช่เรื่องแปลกเจ้าค่ะ”


ฮูหยินซ่งได้ยินพลันหัวเราะออกเสียงออกมา!


แม้ฮูหยินซ่งจักมิได้มีทางทีเพิกเฉยต่อซ่งเหมียนเหออย่างเปิดเผยเช่นฮูหยินผู้เฒ่า แต่นั่นก็เป็นเพียงการทำไปตามธรรมเนียมเท่านั้น ความจริงแล้วนางก็หาได้เกรงกลัวซ่งเหมียนเหอไม่ แม้จักบอกว่าซ่งเหมียนเหอนั้นเป็นถึงบุตรสาวอันเป็นที่รักของซ่งตานประมุขคนก่อนของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน แต่ซ่งตานเสียไปตั้งนานแล้ว ยามนี้ประมุขตระกูลซ่งคนปัจจุบันคือซ่งซินผิง ผู้บิดาของฮูหยินซ่ง และประมุขคนต่อไปก็คือซ่งอวี่วั่ง พี่ชายแท้ๆ ของฮูหยินซ่ง… เมื่อเห็นว่าครานี้ซ่งเหมียนเหอหยิบยกเรื่องบุตรสาวของตนขึ้นมาพูด นางก็เคียดแค้นเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมาตั้งนานแล้ว ยามนี้จึงได้หัวเราะออกเสียงขึ้นมาโดยมิได้เห็นแก่หน้าของซ่งเหมียนเหอเลยแม้แต่น้อย “ท่านน้าโปรดอย่าได้ถือสา เด็กคนนี้เป็นมุกในมือของบ้านเรา ถูกตามใจเสียจนมีสิ่งใดก็กล่าวออกไปเช่นนั้น”


เว่ยฉางอิ๋งพูดไปทันใดว่า “ข้าไม่เคยกล่าวคำเท็จนะเจ้าคะ”


ทั้งสะใภ้ใหญ่และหลานสาวในสายของรุ่ยอวี่ถังล้วนช่วยกันออกปากแล้ว สตรีทางฝั่งจือเปิ่นถังก็ไม่อาจจักนั่งดูดาย ทันใดนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งออกมากล่าวว่า “เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวงก็เคยได้ยินชื่อเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งรุ่ยอวี่ถัง ครานั้นนึกเพียงว่าเป็นคำเล่าลือ ยามนี้เพิ่งจักรู้ว่าคำเล่าลือนั้นมีมูลจริงๆ วันนี้พวกข้าติดตามท่านย่ามา เพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้และบุตรสาวบ้านท่านกลับไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะเสียธรรมเนียมของตระกูลสูงศักดิ์ หาใช่สิ่งที่ตระกูลเว่ยของเราจักรับได้ไหว”


กลับเห็นว่าเด็กสาวที่ลุกขึ้นมาผู้หนึ่งนั้น สวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างสีม่วงอมชมพู กระโปรงจีบรอบสีขาวนวลจันทร์ มวยผมทรงเซียนเหินที่ม้วนเป็นเส้นโค้งสองเส้นบนศีรษะ หน้าตาสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง นางเชิดหน้าขึ้นสูงยามกล่าวคำ และมองมายังเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตาเหยียดหยาม


เว่ยฉางอิ๋งอยากจะหาเรื่องจือเปิ่นถังมานานแล้ว ยามนี้จึงได้ถามไปว่า “เจ้ามีนามใด?”


เด็กสาวผู้นี้ได้ยินนางพูดอย่างไม่เกรงใจ พลันขมวดคิ้ว แต่ก็ยังวางท่าและกล่าวไปว่า “ข้ามีนามว่าลิ่งจือ”


เมื่อได้ยินว่าไม่ใช่เว่ยลิ่งเยวี่ย ทันใดนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงมองไปยังหญิงสาวชุดเหลืองนางหนึ่งข้างๆ นางที่มีท่าทีสงบเสงี่ยมและนิ่งเงียบไม่พูดจา คิดในใจว่าในบรรดาสตรีที่มากับซ่งเหมียนเหอในวันนี้ ผู้ที่อาจจักเป็นเว่ยลิ่งเยวี่ยก็คือสองคนนี้ ยามนี้ผู้ที่ออกมาพูดเป็นซ่งลิ่งจือ เช่นนั้นแล้วหญิงสาวชุดเหลืองก็จักต้องเป็นเว่ยลิ่งเยวี่ยแล้ว


จึงกล่าวว่า “อืม ดูเจ้าก็เป็นคนรุ่นหลานเช่นกัน ทั้งท่านแม่และท่านอาสะใภ้ของเจ้าก็ยังมิได้กล่าวสิ่งใด แล้วการที่เจ้าพูดแทรกขึ้นมาส่งเดชเช่นนี้ หรือคือสิ่งที่เรียกขานว่าธรรมเนียมของตระกูลสูงศักดิ์และเป็นสิ่งที่ตระกูลเว่ยรับได้ไหว?”


เว่ยลิ่งจือกล่าวอย่างมีโทสะว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่ง…”


“เมื่อครู่นี้ท่านย่าของเจ้าเป็นผู้เอ่ยปากชมเชยข้าก่อน แล้วข้าจักไม่กล่าวคำถ่อมตนได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งโต้เถียงไปอย่างฉะฉาน “ดังนั้นข้าจึงได้กล่าวตอบ ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองและท่านแม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าบ้าง? ในเมื่อไม่มี จู่ๆ เจ้าก็โพล่งออกมาทำสิ่งใด?”


เว่ยลิ่งจือโมโหเสียจนหน้าแดงไปหมด “ท่านย่าชมเชยเจ้าจริงๆ เสียที่ใด? ที่แท้แล้วท่านย่านั้น…”


เว่ยฉางอิ๋งขัดคำนางขึ้นมาทันใด แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “โธ่เอ๊ย พูดมาเช่นนี้หรือว่าข้าเข้าใจผิดแล้ว? เมื่อครู่นี้ท่านย่าของเจ้ามิได้ชมเชยข้าหรอกรึ? อย่างนั้นแล้วก็เหน็บแนมข้า? เช่นนั้นก็ยิ่งมิน่าเล่าที่ท่านย่าของข้าดูแคลนท่านย่าของเจ้า ไม่ว่าข้าจักมีความผิดใด ในห้องโถงนี้ทั้งท่านย่าของข้าและท่านแม่ก็อยู่ด้วย ย่อมต้องสอนสั่งคนในบ้านกันเอง ยามใดต้องให้ท่านย่าของเจ้ามาวิจารณ์ส่งเดช? ท่านย่าของเจ้าเหน็บแนมข้าต่อหน้าท่านย่าของข้า ประหนึ่งเป็นการก้าวก่ายเรื่องภายในบ้านข้าต่อหน้าท่านย่าของข้า หากท่านย่าของข้าไม่ชักสีหน้าใส่ท่านย่าของเจ้าเสียหน่อย เช่นนี้ต่างหากจึงถือเป็นเรื่องน่าขัน!”


“…”


ซ่งเหมียนเหอสะบัดมือสั่งให้เว่ยลิ่งจือที่เกือบจะร้องไห้ออกมาถอยกลับเข้าไป จากนั้นก็มองไปยังเว่ยฉางอิ๋งอย่างเฉยชาคราหนึ่ง แล้วกล่าวกับแม่เฒ่าซ่งว่า “น่าอิจฉาท่านพี่เสียจริง หลานสาวบ้านใหญ่มีฝีปากเช่นนี้ แม้ยามนี้ชื่อเสียงของนางจะย่อยยับ ลำพังแค่ปากคอเราะร้ายเช่นนี้ วันหน้าแต่งเข้าบ้านเสิ่นไปก็คงจักไม่ต้องเสียเปรียบแก่ผู้ใดแล้ว”


แม่เฒ่าซ่งยังมิทันได้กล่าวสิ่งใด เมื่อบุตรสาวถูกโจมตีอีกครา ฮูหยินซ่งกลับอดรนทนไม่ไหวเสียแล้ว พลันลุกโหยงขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ซ่งเหมียนเหอเจ้าว่าผู้ใดชื่อเสียงย่อยยับ?! ปีนั้นเดิมทีนางหลานมารดาของเจ้าเป็นนางบำเรอในบ้านของพ่อค้ามั่งคั่งผู้หนึ่ง เพราะโชคดีที่มีหน้าตาละม้ายท่านป้าที่เสียไป ท่านลุงจึงใช้เป็นเครื่องรำลึกถึงท่านป้า และได้ขอมาอยู่ในตระกูลซ่ง! ว่ากันตามจริงแล้วก็เป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น! เจ้าก็เป็นเพียงของที่เกิดมาจากของเล่นชิ้นหนึ่ง อาศัยโอกาสที่ท่านอาหญิงของข้าล้มป่วยจนเสียชีวิตจึงได้แต่งกับเว่ยฉี เวลาผ่านไปหลายสิบปี ยามนี้กลายเป็นคางคงขึ้นวอไปเสียแล้วรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าบ้านซ่งของพวกเราไม่มีผู้ใดจำกำพืดของเจ้าได้!”


ว่าไปแล้วซ่งเหมียนเหอก็เป็นผู้ที่ความสามารถในการปกครองบ้านเรือนและมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อฮูหยินซ่งพูดจาประหนึ่งว่ามีความแค้นใหญ่หลวงจนถึงชีวิต… ไม่เพียงแค่ขานชื่อซ่งเหมียนเหอไปตรงๆ ยังถึงขั้นเล่าชาติกำเนิดและประวัติความเป็นมาของนางหลานมารดาของนางออกมาจนหมด เมื่อได้ยินคำว่า ‘นางบำเรอในบ้าน’ คำนี้ สีหน้าของซ่งเหมียนเหอก็ซีดเผือดไปในทันใด! เมื่อฟังคำนี้จนจบ ทั้งตัวนางก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง!


เกือบเค่อจากนั้น มือของซ่งเหมียนเหอกุมอยู่ที่ตั่ง ลำตัวโอนไปเอนมา แล้วล้มพับลงไปข้างๆ หมดสติไปทันใด!


…สตรีฝั่งของจือเปิ่นถังต่างพากันกลุ้มรุมเข้ามาหาซ่งเหมียนเหอ ทั้งเบียดเสียดกันทั้งตะโกนร้องกันเอะอะ แม่เฒ่าซ่งค่อยๆ บรรจงจิบน้ำชา แล้วหันมาวิเคราะห์กับหลานสาวว่า “เว่ยฉีกับนางเป็นสามีภรรยากันจริงๆ พอพูดสู้ไม่ได้ก็ใช้ไม้นี้!”


เว่ยฉางอิ๋งปิดปากหัวเราะ แล้วว่า “ดีชั่วอย่างไรพวกเขาก็มีดีเพียงเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ”


พักใหญ่ๆ หลังจากนั้น ในขณะที่ฮูหยินซ่งขอขมาและรั้งพวกจือเปิ่นถังเอาไว้ด้วยท่าทีเสแสร้งยิ่งอยู่นั้น ทุกคนของจือเปิ่นถึงก็ยืนยันว่าจะพาซ่งเหมียนเหอกลับไป ฮูหยินซ่งตามไปส่งสองสามก้าว แล้วพลันส่งสายตาให้แก่นางเฮ่อหนหนึ่ง นางเฮ่อเข้าใจความหมาย รอจนพวกจือเปิ่นถังออกไปพ้นช่องประตูวงพระจันทร์แล้ว จึงได้ไปยืนอยู่ภายในลาน สองมือเท้าสะเอว สูดหายใจลึกแล้วเริ่มตะโกนด่าเสียงดังใส่ประตูเขาสามช่อง[2] “รนหาที่ตายหรือไร! จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยให้คนประคองถึงจะเดินได้ แล้วยังจะวิ่งแร่ออกมาข้างนอกอีก! วิ่งโร่มาชนชาวบ้านรนหาที่เป็นที่ตายแต่เช้า! เคราะห์ดีที่ตอนออกไปยังมีลมหายใจ ไม่อย่างนั้นเรือนดีๆ จะถูกของแก่ๆ ทำเอาสกปรกได้!”


“ตนเองไม่มีปัญญาสั่งสอนลูกหลานให้ดี ให้มีความสามารถ แล้วก็กลับไปอิจฉาตาร้อนบ้านชาวบ้าน! กลับไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่พอหรือไม่! แล้วจริงๆ ก็ไม่ ลำพังแค่มาบ้านผู้อื่นเพียงหนก็แทบจะทนไม่ไหว! แล้วยังจะมีหน้ามาหาเรื่องอีก!”


ภายในห้องโถง เว่ยฉางอิ๋งถามท่านยาด้วยความกังวลว่า “ท่านอาเฮ่อด่าทอไปเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกจักทำเช่นไรเจ้าคะ? เพราะก็ล้วนเป็นคนในตระกูลเว่ย มิใช่ว่าจะทำให้คนนอกเห็นเป็นเรื่องน่าขันหรือเจ้าคะ?”


แม่เฒ่าซ่งมิได้มีท่าทีร้อนรนอันใด แล้วว่า “ข้ากับนังผู้หญิงที่เกิดจากหญิงชั้นต่ำนั่นไม่ถูกกันมาก็ไม่ใช่เพียงแค่วันสองวันแล้ว ก่อนนี้ในงานเลี้ยงก็ยังเคยลงไม้ลงมือกัน…ไม่ว่านางจะนอนออกไปก็ดี เดินออกไปก็ช่าง ดีชั่วขอเพียงแค่นางมา เจ้าว่าคนนอกจะคิดว่าพวกเราจะพูดจาดีๆ กับนางรึ? เรื่องทำนองนี้ หากมีโอกาสรังแกได้ก็ต้องรีบลงมือ!


เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องที่นางได้ไปพบเห็นตอนตีลังกาขึ้นกำแพง จึงได้ลองสอบถามว่า “ยามที่ลงไม้ลงมือ เป็นท่านย่าชนะ?”


“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นสิ!” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม่เฒ่าซ่งถึงกับเผยสีหน้าคึกคักขึ้นมา พลางลูบที่หลังมวยผมไปมาด้วยท่าทีได้อกได้ใจยิ่ง “ครานั้นตบนังชั้นต่ำไปยกหนึ่ง ในใจรู้สึกสบายเสียเหลือเกิน ดังนั้นท่านปู่ของเจ้าจึงชังนังชั้นต่ำนี้ยิ่งนักเช่นกัน…เอ่อ!”


เมื่อถูกเฉินหรูผิงดึงแขนเสื้อคราหนึ่ง แม่เฒ่าซ่งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเข้าแล้ว จึงรีบพูดเรื่องอื่นกลบเลื่อน “ใช่แล้ว ดอกไม้ลูกปัดบนหัวเจ้าดอกนี้งามดีจริงๆ…”


เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก เพื่อบังคับไม่ให้หัวเราะออกเสียงออกมา ‘ที่แท้หลังจากท่านย่าตบซ่งเหมียนเหอแล้วก็รู้สึกสบายใจ จากนั้น…เมื่อมีเรื่องวิวาทกันจึงเริ่มทุบตีท่านปู่เช่นนั้นหรือ? มิน่าเล่า ท่านปู่จึงได้ชังซ่งเหมียนเหอ!’


______________________


[1] เสื้อตัวยาวฉวี่จวี เป็นเสื้อยาวตัวนอก ที่จะมีชายยาวออกมาเพื่อป้ายอ้อมตัวและเหน็บไว้ที่เอว มองดูเป็นผ้าป้ายที่ยาวถึงครึ่งของกระโปรงข้างในเสื้อ


[2] ประตูเขาสามช่อง เป็นซุ้มประตูที่มีสามช่อง โดยช่องกลางสูงที่สุด สองช่องข้างๆ เล็กลงมา มองจากด้านหน้าคล้ายภูเขา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม