จารใจรัก 82-87

ตอนที่ 82-1 ค้นหาให้ทั่ว

 

           พลบค่ำ ฉินเจิงกับชุยอี้จือมาถึงเขตพื้นที่สามสิบลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากเมืองผิงหยางภายใต้การนำทางของนกน้อย


 


 


           สถานที่ตรงนี้เป็นหน้าผาแหว่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ


 


 


           นกน้อยตัวนั้นบินนำมาถึงตรงนี้ มันบินวนเหนือหน้าผารอบหนึ่ง จากนั้นก็บินดิ่งลงไปยังก้นผาเบื้องล่าง


 


 


           ฉินเจิงกับชุยอี้จือดึงเชือกบังเ**ยนพร้อมกันแล้วมองหน้าผาแหว่งเบื้องหน้าซึ่งมีความสูงหมื่นจั้ง รอบข้างไร้ต้นไม้ใบหญ้าหนาแน่น เป็นเพียงหน้าผาแหว่งโกร๋น มีศิลายักษ์สลักอักษรไว้ว่า ‘ผาไน่เหอ’ มุมขวาล่างยังมีบทกลอนสลักไว้สองวรรคด้วยว่า ‘ตกจากตรงนี้ก็ไม่อาจทำอันใดได้แล้ว วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า’


 


 


           “ท่านพี่ ทำเช่นไรดี ผาแห่งนี้ดูลึกจนมองไม่เห็นก้นเหว” ชุยอี้จือมองพักหนึ่งก็หันมาถามฉินเจิง


 


 


           ฉินเจิงมองหน้าผาแหว่งเบื้องหน้า เวลานี้ตะวันลาลับแล้ว เหนือหน้าผาปกคลุมด้วยไอหมอกหนาจัด แววตาของเขามืดทึบเหมือนกับหมอกเช่นกัน “ลงไป”


 


 


           “ลงไปอย่างไร” ชุยอี้จือมองซ้ายแลขวา “ตรงนี้ไม่มีเส้นทางอื่นแล้ว ถ้าเราจะลงไปมีแต่ต้องหาทางเข้าจากก้นเหวเท่านั้น ทว่าหน้าผาแหว่งยาวถึงเพียงนี้ ทางเข้าอยู่ตรงไหนกัน”


 


 


           “ผาไน่เหอไม่มีทางเข้าบันทึกบอกไว้” ฉินเจิงบอก “กระโดดลงไป”


 


 


           “อะไรนะ” ชุยอี้จือตระหนก “กระโดด…ลงไป”


 


 


           “เจ้าฟังไม่ผิด กระโดดลงไป” ฉินเจิงพยักหน้ายืนยัน


 


 


           “เราต้องร่างแหลกกระดูกป่นแน่” ชุยอี้จือมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก มองเขาคล้ายเห็นปีศาจก็มิปาน “ท่านพี่ ท่านมิได้ป่วยใช่ไหม นกน้อยมีปีกจึงบินดิ่งลงไปได้ แต่พวกเรามีอะไร ผาแห่งนี้สูงหมื่นจั้ง เราจะกระโดดลงไปหาความตายรึ ท่านไม่เห็นข้อความที่สลักไว้ว่าหากตกลงไปจากตรงนี้ วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้าหรือ”


 


 


           “ข้าจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ แต่ไม่เชื่อว่าวิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ


 


 


           ชุยอี้จือพูดไม่ออกชั่วขณะ


 


 


           ฉินเจิงพลิกกายลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนทิ้ง แล้วเดินตรงไปข้างหน้า


 


 


           “นี่ ท่านจะกระโดดจริงหรือ” ชุยอี้จือรีบลงจากม้า สาวเท้าเข้ามาขวาแขนฉินเจิงไว้


 


 


           “เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นรึ” ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนสะบัดแขนเขาออก


 


 


           “จะกระโดดก็กระโดดไปคนเดียว ข้าไม่กระโดดด้วยหรอก” ชุยอี้จือส่ายหน้า


 


 


           “เจ้าต้องกระโดดด้วย” ฉินเจิงพลิกมือกลับมากำแขนเขา


 


 


           “นี่” ชุยอี้จือหัวเสีย “ท่านอยากรนหาที่ตายก็อย่าลากข้าไปด้วยสิ ข้ายังใช้ชีวิตไม่หนำใจเลย”


 


 


           “แล้วจ้าคิดว่าข้าใช้ชีวิตพอแล้วหรือ” ฉินเจิงหยิบโซ่คล้องสองเส้นออกมาจากเอว ยื่นเส้นหนึ่งให้


 


 


ชุยอี้จือ “วางใจได้ ขอเพียงเจ้าทำตามวิธีที่ข้าบอก เราช่วยเหลือกันไต่ลงไป ไม่ตายอย่างแน่นอน”


 


 


           ชุยอี้จือรับโซ่คล้องมามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นโซ่ที่ทำขึ้นจากเหล็กกล้า ที่ปลายโซ่สองด้านห้อยด้วยตะขอทองซึ่งแหลมคมยิ่ง เขามองฉินเจิงด้วยความสงสัย “จริงหรือ”


 


 


           “จริง” ฉินเจิงผงกศีรษะยืนยัน


 


 


           ชุยอี้จือเห็นว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถึงแม้ตนไม่อยากกระโดดคงทำมิได้ ได้แต่พยักหน้ารับ


 


 


           ฉินเจิงเดินมาที่ริมผา มองลงไปข้างล่างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยบอกเขา “ข้าจะลงไปก่อน เจ้าทำตามข้า คล้องเกี่ยวต่อเนื่องไปด้วยกัน จำให้ดีว่าอย่าพลาดโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นข้าก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ตายเปล่า”


 


 


           “ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจทันหรือไม่” ชุยอี้จือมองก้นเหวที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบที่ตอนนี้มองไม่เห็นเงานกน้อยของเขาแล้ว


 


 


           “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ฉินเจิงชำเลืองมอง “ความร่ำรวยมีเกียรติได้มาอย่างยากลำบาก”


 


 


           ชุยอี้จือถลึงตามองค้อนเขา ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก


 


 


           ฉินเจิงใช้โซ่คล้องเอวตนเองให้มั่นคง ปลายโซ่ทั้งสองด้านยังเหลือตัวโซ่อีกยาวมาก เมื่อเขามัดตัวเองดีแล้วก็หันไปมองชุยอี้จือ


 


 


           ชุยอี้จืออับจนหนทาง ได้แต่ทำตามเขา คล้องโซ่ผูกกับเอวตนเองเช่นกัน


 


 


           ฉินเจิงถือปลายโซ่ทั้งสองด้านในสองมือ โน้มกายลงจากริมผา หลังกระโดดลงไปได้สามจั้งก็สะบัดปลายโซ่ด้านหนึ่งออกไปอย่างแรง ตะขอแหลมปักเข้ากับผนังหิน ห้อยตัวเขาไว้อย่างมั่นคง


 


 


           ชุยอี้จือเห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีจึงทำตามวิธีของฉินเจิง พวกเขาคล้องเชื่อมต่อกันลงไปเรื่อยๆ แม้ต้องใช้เวลามากหน่อย มิทราบว่ายามใดจะถึงก้นผาหมื่นจั้ง แต่ขอเพียงไม่ผิดพลาดก็ต้องลงไปได้เป็นแน่


 


 


           “ลงมา!” ฉินเจิงตะโกน


 


 


           ชุยอี้จือรับคำ ทำตามเขาด้วยการกระโดดลงไป ถึงระยะสามจั้งแล้วก็ห้อยตัวเองเข้ากับผนังหิน


 


 


           ฉินเจิงเห็นเขาลงมาแล้วก็ใช้ปลายโซ่อีกด้านตอกบนผนังหิน ขณะเดียวกันก็ดึงตะขอก่อนหน้านี้ออกมา


 


 


           ชุยอี้จือทำตาม


 


 


           ทั้งสองเกื้อกูลกันเช่นนี้ ไต่ผาสูงหมื่นจั้งลงไปทีละก้าว


 


 


           ฉินเจิงมีวิทยายุทธ์สูง วิทยายุทธ์ของชุยอี้จือเองก็มิได้ต่ำต้อย ทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความเร็วในการไต่ลงไปมิอาจเรียกได้ว่าเร็วนัก แต่ก็มิได้ช้าเช่นกัน


 


 


           เนื่องจากฟ้ามืดแล้ว ก้นผาแหว่งจึงปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ ดังนั้นครึ่งชั่วยามถัดมาทั้งสองจำต้องขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นถึงจะมองเห็นระยะห่างของอีกฝ่าย ความเร็วลดลงถนัดตา เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น


 


 


           ยิ่งไต่ลงลึกก็ยิ่งมืดมิด กระทั่งยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า


 


 


           ฉินเจิงหยิบไข่มุกราตรีออกมาจากอกเสื้อ หมอกสีดำรอบกายพลันเกิดแสงสว่างขึ้น


 


 


           หนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมา หน้าผากของชุยอี้จือมีเหงื่อผุดพราย เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเจือความหอบเล็กน้อย “ท่านพี่ ท่านคิดว่ายังอีกไกลหรือไม่”


 


 


           ฉินเจิงแงะก้อนหินจากหน้าผาออกมาโยนลงไป


 


 


           ก้อนหินมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ร่วงลงไปในม่านหมอกและเสียงลม เนิ่นนานก็ไม่ได้ยินเสียงกระทบพื้น


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งฉินเจิงก็เอ่ยขึ้น “อย่างน้อยยังอีกครึ่งทาง”


 


 


           “ข้าเกรงว่าจะฝืนร่างกายไม่ไหว” ชุยอี้จือท้อใจ


 


 


           ฉินเจิงมองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง “ประเดี๋ยวเจอตำแหน่งเหมาะสม เราค่อยพักกันสักครู่”


 


 


           ชุยอี้จือพยักหน้า


 


 


           เวลาผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม มีหินนูนขนาดใหญ่ยื่นขวางกลางผา พอจะให้คนสองคนได้หยุดพักครู่หนึ่ง ฉินเจิงบอกให้ชุยอี้จือพักตรงนี้ได้


 


 


           ทั้งสองนั่งเคียงข้างกันบนหินนูน รอบกายนอกจากหมอกทะมึนมืดมิดก็มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังเกิดเป็นความเงียบสงัดอันน่าประหลาด


 


 


           ชุยอี้จือนั่งพักครู่หนึ่งรอให้เหงื่อกาฬบนตัวแห้งสนิท ไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วก็เอ่ยด้วยความคาใจ “นกที่ข้าเลี้ยงมาไม่เหมือนนกทั่วไป มันมองเห็นตอนกลางคืน โดยทั่วไปหากมันบินดิ่งลงมาในผาสูงหมื่นจั้ง แม้มีหมอกหนาปกคลุม แต่ไม่น่าเป็นปัญหากับมัน มันควรบินย้อนขึ้นมาถึงจะถูก ไฉนจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่เห็นเงา”


 


 


           “เท่าที่เจ้ารู้ มันบินดิ่งลงผาสูงหมื่นจั้ง ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะบินย้อนขึ้นมา” ฉินเจิงเลิกคิ้ว


 


 


           “มากสุดครึ่งชั่วยาม” ชุยอี้จือเป็นกังวล “เมื่อครู่เราไต่ลงข้างล่างโดยไม่หยุดพัก จึงไม่ทันได้คำนวณเรื่องเวลา ตอนนี้มาคิดดูแล้วผิดปกติ หรือว่าเกิดเรื่องกับมัน”


 


 


           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจเดาถูก” ฉินเจิงมองไปเบื้องล่างแวบหนึ่ง


 


 


           “มันเป็นนกที่ติดตามข้ามาตั้งแต่เด็กนะ” ชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าเยือกเย็น


 


 


           “ในเมื่อเป็นนกที่ติดตามเจ้ามาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังฉลาดเช่นนี้ บางทีหากถูกคนจับไปก็ไม่น่าจะถึงกับเอาชีวิตมัน เว้นเสียแต่มันจะบินชนผาหรือเกิดอุบัติเหตุกับตัวมันเอง” ฉินเจิงบอก “ผู้ที่จับมันได้คงมองเห็นถึงความล้ำค่าของมัน คงไม่ฆ่าทิ้งง่ายๆ”


 


 


           ชุยอี้จือโล่งอก เมื่อเกี่ยวข้องกับนกที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ไม่อยากพักต่อแล้ว รีบเอ่ยขึ้น “ไปต่อเถอะ”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า


 


 


           ทั้งสองไต่ลงไปตามหน้าผาต่อ


 


 


           สองชั่วยามถัดมา ทั้งสองก็มาถึงก้นผา


 


 


           ภายใต้แสงสว่างจากไข่มุกราตรี สะท้อนให้เห็นแสงมันวาวระยับข้างล่างผา


 


 


           “ท่านพี่ ก้นผาเป็นน้ำ” ชุยอี้จือเห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           “เห็นแล้ว” ฉินเจิงเม้มปาก “เราว่ายน้ำข้ามไปแล้วกัน”


 


 


           “ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ชุยอี้จือบอกทันที


 


 


           ฉินเจิงผินหน้ามองเขา พบว่าสีหน้าเขาไม่ใช่แค่ขาวธรรมดาหากแต่ขาวซีด จึงเอื้อมมือไปจับแขนเขาไว้ “ข้าพาเจ้าไปเอง”


 


 


           “ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราไม่รู้ว่าน้ำลึกตื้นเพียงใด และไม่รู้ด้วยว่าผืนน้ำกว้างแค่ไหน เราหาที่พักรอจนฟ้าสว่างก่อนดีกว่า มิฉะนั้นมีข้าคอยถ่วงท่าน หากในน้ำมีอันตราย ท่านคนเดียวเกรงว่าจะรับมือไม่ไหว กว่าจะลงมาจากยอดผาไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ในน้ำ” ชุยอี้จือส่ายหน้า


 


 


           ฉินเจิงพิจารณาชั่วครู่ก็คิดว่ามีเหตุผล พวกเขาใช้เวลาสี่ชั่วยามกว่าจะลงมาถึงก้นผา อย่าว่าแต่ชุยอี้จือเลย แม้แต่เขาเองก็เริ่มเหนื่อยบ้างแล้วเช่นกันจึงพยักหน้ารับ “เช่นนี้แล้วกัน เราไต่เลียบผนังผาไปก่อน หากจุดที่พอจะพักเท้าได้ แล้วก็ทำอย่างที่เจ้าว่า รอให้ฟ้าสว่างก่อน”


 


 


           ชุยอี้จือถอนใจโล่งอก


 


 


           ทั้งสองไต่เลียบผนังผาหาที่พักเป็นเวลาสองถ้วยชาเต็มกว่าจะเจอต้นไม้ใหญ่ที่เจริญเติบโตแทรกขึ้นมาจากก้นผนังผา ต้นไม้ใหญ่น่าจะมีอายุหลายพันปีแล้วจึงมีขนาดลำต้นใหญ่อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่จุได้สองคนเลย สี่คนก็ไม่มีปัญหา


 


 


           ชุยอี้จือปีนขึ้นไปบนกิ่ง เหยียดแข้งขานอนลง เหนื่อยจนไม่อยากเอ่ยคำใดออกมาอีกแล้ว


 


 


           ฉินเจิงถือไข่มุกราตรีส่องมองรอบกาย เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็เอนตัวนอนบนกิ่งไม้เช่นกัน


 


 


           เมื่อฟ้าสว่าง ก้นเหวก็ค่อยๆ สะท้อนประกายระยิบระยับขึ้น


 


 


           ฉินเจิงลืมตาตื่น หยัดกายลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า หมอกบริเวณก้นเหวยังคงหนาจัด ทว่าคลับคล้ายคลับคลาว่ามองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายแล้วเช่นกัน พบว่าตรงนี้เป็นหุบเขาปิดตายซึ่งมีขุนเขาโอบล้อม ก้นหุบเขาเป็นทะเลสาบ คล้ายกับกระปุกขนาดใหญ่ นอกจากด้านบน บริเวณอื่นรอบกายก็ถูกปิดผนึก


 


 


           มิน่าถึงเรียกว่าผาไน่เหอหรือผาจนปัญญา


 


 


           หากคนธรรมดาร่วงตกมาจากข้างบน หล่นลงในผืนน้ำ แม้กระดูกไม่แตกละเอียด แต่ก็จะจมน้ำตาย แต่ถึงไม่จมน้ำตายก็จะอดตายแทน


 


 


           ตกจากตรงนี้ก็ทำอันใดมิได้ วิญญาณดับสู่สรวงสวรรค์ชั้นเก้า


 


 


           ตวัดตามองขึ้นไปด้านบน รอบด้านเป็นผาหิน หมอกหนาจัดลอยเหนือศีรษะ ช่างเหมือนกับเมฆาบนสวรรค์ชั้นเก้าเสียจริง 

 

 


ตอนที่ 82-2 ค้นหาให้ทั่ว

 

เวลานี้ชุยอี้จือก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายชัดเจน สีหน้าที่กว่าจะดีขึ้นเพราะได้รับการพักผ่อนก็ซีดขาวในฉับพลัน มองไปยังฉินเจิง “นี่เป็นหุบเขาปิดตาย เราจะทำเช่นไรดี”


 


 


           “หรือว่านกของเจ้าแยกแยะกลิ่นผิด” ฉินเจิงเม้มปากเป็นเส้นตรง


 


 


           “เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าฝึกฝนมันมากี่ครั้งแล้ว มันไม่เคยผิดพลาด” ชุยอี้จือรีบส่ายหน้า


 


 


           “เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว ตรงนี้ดูคล้ายหุบเขาปิดตาย แต่ต้องมีมากกว่าที่เห็นแน่” ฉินเจิงบอก


 


 


           ชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็สงบลง สังเกตสภาพแวดล้อมรอบกายถี่ถ้วน เนื้อหินเกลี้ยงเกลา น้ำใสสะอาด นอกจากต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นผิดปกติ เขาเอ่ยขึ้น “ผนังหินตรงนี้เกลี้ยงเกลาจนไม่มีแม้แต่ถ้ำสักแห่ง ในน้ำก็ใสสะอาดแต่มองไม่เห็นปลา มองไม่ออกเลยว่ามีทางออกตรงไหน”


 


 


           “เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะดำน้ำลงไปดู” ฉินเจิงบอก


 


 


           “ท่านพี่ ทักษะว่ายน้ำท่านเป็นเช่นไรบ้าง ในน้ำเกรงว่าคงไม่ตื้นเป็นแน่ แค่ว่ายน้ำเป็นคงใช้ไม่ได้”


 


 


ชุยอี้จือรีบยกมือขวาง


 


 


           “วางใจได้” ฉินเจิงปัดมือเขาออกแล้วกระโดดลงไปในน้ำ


 


 


           ชุยอี้จือลอบเสียใจที่ตนไม่เรียนว่ายน้ำมา ทำได้เพียงนั่งรอเฉยๆ ข้างบน


 


 


           หลังฉินเจิงลงน้ำก็ว่ายดำดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบตามแสงสว่างที่ไข่มุกราตรีเปล่งออกมาในน้ำ ในทะเลสาบไม่มีแม้แต่หญ้าน้ำ เห็นเพียงกองกระดูก เขาว่ายไปตามก้นทะเลสาบรอบหนึ่ง ก่อนว่ายกลับขึ้นมา


 


 


           ชุยอี้จือรอมาหนึ่งชั่วยามแล้ว กระทั่งเริ่มรอไม่ไหว เมื่อเห็นเขากลับมาก็ดีใจ “เป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


           “ก้นทะเลสาบมีแต่กระดูกคนตาย เป็นดังที่เจ้าบอก ไม่พบสิ่งมีชีวิตเลย แม้แต่หางปลาสักตัวยังไม่เห็น” ฉินเจิงส่ายหน้าตอบ


 


 


           “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี” ชุยอี้จือท้อแท้


 


 


           “ต้องมีวิธีอื่น” ฉินเจิงถ่ายพลังทำให้เส้นผม ใบหน้า และหยดน้ำบนกายแห้งสนิท “ในเมื่อเจ้าฝึกนกตัวนั้นมา คงมีวิชาเรียกมันกลับมาเช่นกัน”


 


 


           “มี” ชุยอี้จือพยักหน้า


 


 


           “เจ้าลองเรียกมันกลับมา ข้าจะเดินเลียบผนังหินรอบหนึ่ง ดูว่ามีทางออกอื่นหรือไม่” ฉินเจิงบอก


 


 


           “เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วย” ชุยอี้จือผงกศีรษะรับคำ


 


 


           ฉินเจิงหยิบตะคอที่เอวออกมา ไต่เลียบจากจุดที่พวกเขาพักผ่อนไปรอบๆ ผาหิน


 


 


           ชุยอี้จือใช้วิชาเรียกกลับ


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ฉินเจิงกลับมาก็เห็นว่าชุยอี้จือนอนอยู่ตรงที่เดิมด้วยสภาพเหงื่อโชก ลมปราณดูอ่อนแรง เขาถามขึ้น “เป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


           “หาร่องรอยไม่เจอ” ชุยอี้จือส่ายหน้า


 


 


           “หาร่องรอยไม่เจอ มีกี่ความเป็นไปได้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว


 


 


           “ดังที่ท่านเคยบอกไว้ หนึ่งคือตายเพราะอุบัติเหตุ สองคือถูกจับไปแล้วผนึกประสาทการรับรู้ของมัน”


 


 


ชุยอี้จือกล่าวอย่างหมดกำลังใจ “จากที่ข้าเดา เกรงว่ามันจะเจออุบัติเหตุแล้วตายไป มิฉะนั้น ขนหางในมือข้าต้องรับรู้ถึงมันได้ แต่ตอนนี้ขนหางกลับไม่ตอบสนองเลย คนทั่วไปผนึกประสาทการรับรู้ของมันไม่ได้”


 


 


           “ประสาทการรับรู้?” ฉินเจิงเลิกคิ้ว


 


 


           “ท่านคงมิทราบ แม้ท่านป้าเกิดมาในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ แต่ด้วยกฎประจำตระกูลที่ว่าถ่ายทอดให้บุรุษมิถ่ายทอดให้สตรี ถ่ายทอดให้ทายาทมิถ่ายทอดให้อนุ ดังนั้นท่านป้าจึงรู้วิชาเสาะร่องรอยของตระกูลชุยแห่งชิงเหอแค่เบื้องต้น แท้จริงแล้ววิชาเสาะร่องรอยพันลี้ไม่ใช่ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอทั้งหมด แต่ถ่ายทอดมาจากเผ่าภูตผี” ชุยอี้จือตอบด้วยความซึมเซา


 


 


           ฉินเจิงหรี่ตาลง


 


 


           “นกตัวนี้ชื่อว่าเฟิงหลิง เนื่องจากในบรรดาอนุชนรุ่นนี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอ พี่ใหญ่แม้เฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่ถูกท่านป้ารับไปอยู่จวนอิงชินอ๋อง ถูกท่านเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ดังนั้นผู้อาวุโสในตระกูลจึงเลือกผู้สืบทอดที่มีแววจะพัฒนาตระกูลได้ นั่นก็คือข้า เฟิงหลิงตัวนี้ถูกมอบให้ข้าเมื่อตอนอายุห้าขวบ แม้ข้าชื่นชอบที่ได้เป็นคนสำคัญในตระกูล แต่กลับถูกคนในตระกูลถ่วงความก้าวหน้า ดังนั้นจึงอยากยืมความสามารถของท่าน แย่งชิงอำนาจในตระกูลมา เพื่อหลุดพ้นจากผู้อาวุโสในตระกูลที่คอยบีบบังคับข้าแล้วควบคุมตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เรื่องพวกนี้ท่านคงทราบอยู่แล้ว ถึงได้ใช้ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหมมาหลอกล่อข้า ทำให้ข้าทนการหว่านล้อมของท่านไม่ได้” ชุยอี้จือเล่าด้วยหน้าขาวซีด


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า


 


 


           “แต่หากครั้งนี้ข้าช่วยท่านแล้วต้องสูญเสียเฟิงหลิงไป แม้ข้าได้ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหม รากฐานก็ยังไม่มั่นคงอยู่ดี ยิ่งถ้าผู้อาวุโสในตระกูลรู้เข้าต้องทำโทษข้าแน่ หากยอมรับกฎประจำตระกูลก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตการเป็นขุนนาง ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว” ชุยอี้จือเปลี่ยนน้ำเสียง


 


 


           “ถ้าเฟิงหลิงยังไม่ตาย คนแบบใดถึงจะผนึกประสาทการรับรู้ของมันได้ ทำให้เจ้าหาร่องรอยมันไม่เจอ” ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถาม


 


 


           “มันเกิดจากเผ่าภูตผีก็ย่อมต้องเป็นชาวภูตผี แต่ฟังว่าจำต้องเป็นชาวภูตผีที่เรียนวิชาต้านวิญญาณมา” ชุยอี้จือตอบ “วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีฟังว่าต้านสรรพวิญญาณในใต้หล้าได้ เป็นวิชาลับของราชวงศ์ แต่ถึงแม้เป็นคนในราชนิกุลเผ่าภูตผี ฝึกฝนจนเป็นผู้บรรลุ ต้านสรรพวิญญาณในใต้หล้าได้ แต่ละรุ่นก็มีเพียงแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น”


 


 


           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไตร่ตรอง


 


 


           “เผ่าภูตผีล่มสลายลงตั้งนานแล้ว เพราะฐานะเป็นเหตุ คนที่ยังทัศนาจรบนโลกก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนเพื่อมิให้ถูกชาวโลกจับตัวได้ มิฉะนั้นถ้าไม่ใช่ทำทุกวิถีทางเพื่อชิงวิชาภูตผีมาศึกษา ก็นำมาเป็นวัตถุดิบทำยาอายุวัฒนะรักษาโรค” ชุยอี้จือกล่าว “ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เกรงว่าเฟิงหลิงจะตายเพราะอุบัติเหตุไปแล้ว”


 


 


           “มันยังไม่ตายแน่นอน” ฉินเจิงพลันกล่าวด้วยความมั่นใจ


 


 


           “ท่านรู้ได้อย่างไร” ชุยอี้จือผุดลุกขึ้นนั่ง


 


 


           “ข้ารู้ก็แล้วกัน” ฉินเจิงผินหน้ามองเขา “ให้เวลาเจ้าพักอีกครึ่งชั่วยาม ประเดี๋ยวค่อยเดินทางต่อ”


 


 


           “ไปไหน” ชุยอี้จือถาม


 


 


           “ย้อนกลับขึ้นไป”


 


 


           “ย้อน…กลับขึ้นไป” ชุยอี้จือเงยหน้ามองข้างบน ใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง “ตอนลงมาเมื่อคืนต้องใช้เวลาสี่ชั่วยาม ตอนนี้จะย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้งหรือ”


 


 


           “ไม่กลับขึ้นไป หรือเจ้าจะอดตายอยู่ตรงนี้” ฉินเจิงย้อนถาม


 


 


           ชุยอี้จือแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา ขยับเข้าใกล้เขา “แน่นอนว่าไม่ แต่ท่านบอกข้ามาก่อน เหตุใดถึงมั่นใจนักว่าเฟิงหลิงยังไม่ตาย” หยุดชั่วครู่แล้วถามด้วยความสงสัย “หรือว่า…มีคนรู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีผนึกประสาทการรับรู้ของมันจริงๆ”


 


 


           ฉินเจิงไม่ตอบ


 


 


           ชุยอี้จือมองเขา เห็นว่าใบหน้าเขานิ่งขรึม มองอันใดไม่ออกทั้งนั้น เดิมทีตนเป็นคนฉลาด ไตร่ตรองพักหนึ่งก็โพล่งขึ้น “ข้าคิดออกแล้ว ท่านลากข้าออกจากเมืองก็เพื่อตามหาร่องรอยเซี่ยฟางหวา ข้าใช้งานเฟิงหลิงเพื่อให้มันหาร่องรอยของนาง ตอนนี้เฟิงหลิงหายไป กล่าวเช่นนี้แสดงว่าต้องหานางพบแล้ว แต่หากอิงตามความมั่นใจที่ท่านบอกว่าเฟิงหลิงยังไม่ตาย เช่นนั้นข้างกายนางจะต้องมีผู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีจับเฟิงหลิงไปแน่นอน”


 


 


           “เหตุใดถึงไม่ใช่นางจับเฟิงหลิงไปเอง” ฉินเจิงเลิกคิ้ว


 


 


           ชุยอี้จือชะงัก นิ่งมองฉินเจิงด้วยความโง่เขลา ผ่านไปครู่หนึ่งก็เรียกสติกลับมาได้ “ท่านบอกว่า…เซี่ยฟางหวารู้วิชาต้านวิญญาณของเผ่าภูตผีหรือ นาง…นางไม่ใช่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ยรึ ไฉนถึงใช้วิชาต้านวิญญาณของราชนิกุลเผ่าภูตผีได้”


 


 


           “นางเป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว แล้วใช้วิชาต้านวิญญาณของราชนิกุลเผ่าภูตผีไม่ได้รึ” ฉินเจิงย้อนถาม


 


 


           ชุยอี้จือพูดไม่ออก


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ฉินเจิงก็ลุกขึ้นยืน “ไปกันได้แล้ว”


 


 


           “เมื่อกลับขึ้นไปได้แล้ว ไม่มีเฟิงหลิงก็เหมือนกับข้าสูญเสียประสาทรับกลิ่นไป เราจะตามหาจากตรงไหน” ชุยอี้จือถามอีก


 


 


           “เฟิงหลิงบินจากยอดผาดิ่งลงมา ตรงนี้เป็นผาปิดตายโดยธรรมชาติ นกบินยังยาก ในเมื่อมันบินลงมา เช่นนั้นคนที่ต้องการตามหาต้องอยู่ที่นี่แน่ แต่ไม่พบร่องรอยที่ก้นผา แสดงว่าคงอยู่ไม่ไกลจากผาไน่เหอแห่งนี้ ดังนั้นเราย้อนกลับขึ้นไปก่อน ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว บางทีระหว่างทางอาจได้เบาะแสบ้าง” ฉินเจิงวิเคราะห์


 


 


           “หากย้อนขึ้นไปแล้วก็ไม่เจอเล่า” ชุยอี้จือกุมหน้าผาก


 


 


           “เช่นนั้นข้าจะทุบผาไน่เหอทิ้งแล้วค้นหาให้ทั่ว” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ” 

 

 


ตอนที่ 83 ประณีตละเอียดอ่อน

 

          ชุยอี้จือตวัดตามองขึ้นไปด้านบน ผาสูงชันดั่งสวรรค์ชั้นเก้า ท่ามกลางความมืดเมื่อคืนต้องใช้เวลาถึงสี่ชั่วยาม แต่ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ด้วยวิทยายุทธ์ของพวกเขา สุภาษิตกล่าวว่าขึ้นเขาง่ายกว่าลงเขานัก มากสุดคงใช้เวลาสามชั่วยามถึงจะปีนขึ้นไปถึงยอดผา ด้วยการวิเคราะห์ของฉินเจิง หากเซี่ยฟางหวาอยู่ระหว่าง 


 


 


ผาไน่เหอแห่งนี้จริง บางทีพวกเขาอาจหาเจอได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


           “ได้ วันนี้ข้าจะสละชีพกับวีรชน” เขาพยักหน้ารับ  


 


 


           “เมื่อวานเราไต่ลงมาจากข้างซ้าย วันนี้ปีนขึ้นไปจากข้างขวาแล้วกัน” ฉินเจิงหยิบโซ่ตะขอจากบริเวณเอวออกมา  


 


 


           “แล้วแต่ท่าน ท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น” ชุยอี้จือผงกศีรษะ 


 


 


           ฉินเจิงยึดโซ่ตะขอเข้ากับผนังผา ดีดร่างกายกระโดดขึ้นไปหลายจั้งในคราเดียว ห้อยตัวอยู่ข้างผนังผา 


 


 


           ชุยอี้จือเลียนแบบเขา หยิบโซ่ตะขอออกมา ห้อยตัวอยู่ข้างผนังผาเช่นเดียวกับเขา 


 


 


           ทั้งสองปีนเลียบหน้าผาขึ้นไป ประคองเกื้อกูลกัน ปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชัน 


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งสองก็พบขอบมุมที่นูนออกมาจากหินยักษ์ แม้จุคนได้แค่คนเดียว แต่ก็พอให้พักผ่อนได้ชั่วคราว 


 


 


           “ปีนขึ้นมาได้หนึ่งในสามแล้ว แต่ยังไม่พบจุดใดพิเศษเลย” ชุยอี้จือมองไอหมอกรอบกายแล้วกล่าวกับฉินเจิง  


 


 


           “ใต้หล้าไม่มีเชือกที่แก้ปมมิได้และปริศนาที่ไขไม่ออก” ฉินเจิงกล่าว “ต้องมีแน่” 


 


 


           ชุยอี้จือพยักหน้า 


 


 


           หลังทั้งสองแวะพักผ่อนได้พักใหญ่ก็ปีนขึ้นไปข้างบนต่อ 


 


 


           เวลาผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม ฉินเจิงก็พลันหยุดลง สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง 


 


 


           “ท่านพี่ ท่านเห็นสิ่งใดแล้วหรือ” ชุยอี้จือมองตามสายตาเขา ทว่าไม่พบสิ่งใดจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น  


 


 


           “ตรงนั้น เราไปดูกัน” ฉินเจิงขมวดคิ้วพลางยกมือชี้ออกไป  


 


 


           “ไม่เห็นมีอะไรเลย” ชุยอี้จือมองอีกครั้งก็สงสัย 


 


 


           “ไม่ใช่ มีรูปภาพ” ฉินเจิงพูดพลางก็ปีนข้ามสิ่งกีดขวางไป 


 


 


           ชุยอี้จือได้แต่ตามเขาไปด้วย 


 


 


           จุดที่ทั้งสองพักอยู่ห่างจากตำแหน่งรูปภาพที่ฉินเจิงบอกประมาณสองจั้ง 


 


 


           ไม่นานทั้งสองก็มาถึงจุดที่ว่า ฉินเจิงหยุดลง ขยับหน้าเข้าใกล้ผนังเพื่อมองรูปภาพที่สลักไว้บนนั้น 


 


 


           เวลานี้ชุยอี้จือเห็นชัดเจนแล้ว บนผนังผามีรูปภาพอยู่จริง แต่ภาพนั้นคล้ายกับถูกลมฝนกัดเซาะเป็นเวลานานจนทิ้งร่องรอยเอาไว้บนแผ่นหิน เขาเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ภาพนี้ดูไร้ระเบียบ ไม่คล้ายเป็นกลไกใด” 


 


 


           ฉินเจิงไม่พูดจา เอาแต่จ้องภาพนั้น 


 


 


           ชุยอี้จือก็มองมันเช่นกัน พิจารณาเป็นนานก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย 


 


 


           “นี่เป็นยันต์แปดเหลี่ยมที่วาดด้วยอักษรสันสฤตผีของเผ่าภูตผี” เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ฉินเจิงก็โพล่งออกมา 


 


 


           “อะไรนะ” ชุยอี้จือตกใจใหญ่ 


 


 


           “หนึ่งขีดแทนหยาง สองขีดแทนหยิน รวมกันกลายเป็นยันต์แปดเหลี่ยม ประกอบด้วยเฉียนแทนฟ้า คุนแทนดิน เจิ้นแทนฟ้าผ่า ซวิ่นแทนลม ข่านแทนน้ำ เกิ้นแทนภูเขา หลีแทนไฟ ตุ้ยแทนบึงน้ำ และใช้สัญลักษณ์บอกสภาพการณ์ของสรรพสิ่ง สามเส้นเต็มคือเฉียน (☰) ขาดหกท่อนคือคุน (☷) ภาชนะหงายรับน้ำคือเจิ้น (☳) ถ้วยคว่ำลงคือเกิ้น (☶) ขีดตรงกลางแหว่งคือหลี (☲) ขีดตรงกลางเต็มคือข่าน (☵) ขาดเส้นบนคือตุ้ย (☱) หักเส้นล่างคือซวิ่น (☴) ถ้านี่มิใช่ยันต์แปดเหลี่ยมแล้วเป็นสิ่งใด” ฉินเจิงอธิบายเชื่องช้า  


 


 


           “นี่คือยันต์แปดเหลี่ยมจริงหรือ ข้าเองก็รู้จักมัน ถึงวาดด้วยอักษรสันสฤตผีข้าก็ควรมองออกสิ แต่ไฉนถึงดูไม่คล้ายเลย” ชุยอี้จือคล้ายยังข้องใจอยู่บ้าง  


 


 


           “ยันต์แปดเหลี่ยมที่เรารู้จักเป็นแบบมาตรฐานสมบูรณ์ มีทั้ง ‘เฉียนและคุน’ แต่อันนี้ไม่มี ‘ตำแหน่งเฉียนและตำแหน่งคุน’ ดังนั้นเจ้าจึงมองไม่ออก หากข้าวาดเพิ่มตรงนี้ และตรงนี้เล่า” ฉินเจิงยื่นมือขีดเพิ่ม 


 


 


           “พอท่านขีดแบบนี้แล้วเป็นยันต์แปดเหลี่ยมจริงๆ ด้วย” ชุยอี้จือกระจ่างแจ้งทันที  


 


 


           “ยันต์แปดเหลี่ยมขาดเฉียนกับคุน มิใช่กำลังบอกเราว่าข้างในมีอีกพื้นที่หนึ่งหรือ” ฉินเจิงกระตุกริมฝีปากยกยิ้ม 


 


 


           “จริงด้วย!” ชุยอี้จือลิงโลด “หมายความว่า ตำแหน่งเฉียนกับตำแหน่งคุนคือกลไก” 


 


 


           “เฉียนคุนแทนฟ้าดินและหยินหยาง เฉียนแทนฟ้า คุนแทนดิน หยางคือการเกิด หยินคือการตาย ดังนั้นตำแหน่งเฉียนจึงเป็นประตูแห่งการเกิด ตำแหน่งคุนคือประตูแห่งความตาย” ฉินเจิงส่ายศีรษะ  


 


 


           “ท่านพี่ ตลอดมาข้าแค่คิดว่าท่านเกิดมาในจวนอิงชินอ๋องจึงมีแต่วาสนาดีเข้ามาในชีวิต แต่ตอนนี้ข้าต้องนับถือจากใจ จริงดังที่ผู้อาวุโสในตระกูลบอก หากท่านไร้ความสามารถ มีหรือจะเดินกร่างในเมืองหลวงได้” ชุยอี้จือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วกล่าวกับฉินเจิง  


 


 


            “เจ้ารู้ก็ดี” ฉินเจิงแค่นเสียงแผ่วเบา 


 


 


           ชุยอี้จือเงียบลงทันที 


 


 


           ฉินเจิงเอามือปิดตำแหน่งเฉียนแล้วกดลงไปแผ่วเบา ทันใดนั้นผนังหินก็เกิดการขยับ เขาบอกกับ 


 


 


ชุยอี้จือทันที “ถอยไปก้าวหนึ่ง” 


 


 


           ชุยอี้จือรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง ยึดโซ่ตะขอให้มั่น 


 


 


           เมื่อผนังหินคลายออก ฉินเจิงก็รีบถอยออกมาก้าวหนึ่งเช่นกัน 


 


 


           ไม่นาน ผนังหินบริเวณตำแหน่งยันต์แปดเหลี่ยมก็ยุบเข้าไปข้างในเชื่องช้า ชั่วพริบตาประตูบานหนึ่งก็เปิดออกในตำแหน่งยันต์แปดเหลี่ยม 


 


 


           “ท่านพี่ เป็นกลไกลจริงด้วย! กลไกนี้สร้างได้กลมกลืนกับธรรมชาติมาก ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง” ชุยอี้จือ 


 


 


ดีใจยกใหญ่ 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า “ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นกลไกบริเวณกึ่งกลางหน้าผาที่สร้างได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ครั้งแรกเหมือนกัน” พูดจบก็กล่าวต่อ “ไป เข้าไปข้างในกันเถอะ” 


 


 


           ชุยอี้จือรับคำ ก่อนตามเขาเข้าไป 


 


 


           ทั้งสองเดินเข้าไปหลังบานประตู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเป็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งห้อง ผนังหินโดยรอบว่างเปล่า สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูถ้ำเป็นภาพสามภาพ 


 


 


           “เอ๋ ไม่มีใครอยู่” ชุยอี้จือมองรอบห้อง ก่อนหยุดลงบนภาพสามภาพนั้น เอ่ยถามฉินเจิงด้วยความสงสัย “ท่านพี่ หรือว่านี่ก็เป็นกลไกด้วย” 


 


 


           ฉินเจิงก้าวขึ้นมามองมันพักหนึ่งก่อนผงกศีรษะ “ข้างซ้ายเป็นค่ายกลเบญจธาตุ ข้างขวาเป็นค่ายกลเก้าช่อง ตรงกลางเป็นค่ายกลไตรภูมิ ค่ายกลเบญจธาตุประกอบด้วยทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ทองอยู่ทิศตะวันตก ไม้อยู่ทิศตะวันออก น้ำอยู่ทิศเหนือ ไฟอยู่ทิศใต้ ดินอยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลเก้าช่อง ช่องแรกคือข่าน (ทิศเหนือ) ช่องที่สองคือคุน (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ช่องที่สามคือเจิ้น (ทิศตะวันออก) ช่องที่สี่คือซวิ่น (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ช่องที่ห้าคือตรงกลาง (นับเป็นคุน) ช่องที่หกคือเฉียน (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ช่องที่เจ็ดคือตุ้ย (ทิศตะวันตก) ช่องที่แปดคือเกิ้น (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) และช่องที่เก้าคือหลี (ทิศใต้) แม้จะใช้ยันต์แปดเหลี่ยมเป็นตัวกำหนดช่องทั้งแปดรวมถึงช่องตรงกลาง แต่ช่องตรงกลางก็คือช่องที่ห้า ส่วนค่ายกลไตรภูมิประกอบด้วยสวรรค์ บาดาล และมนุษย์” 


 


 


           “สามภาพนี้ก็มิคล้ายว่าเป็นสามค่ายกลนั้น หรือว่าเหมือนกับยันต์แปดเหลี่ยมข้างนอกนั่น ขาดตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไป” ชุยอี้จือสงสัย  


 


 


           “เบญจธาตุขาดดิน เก้าช่องขาดตรงกลาง ไตรภูมิขาดมนุษย์ ดินคือตรงกลาง ตรงกลางคือคุน สามภาพนี้รวมกันเป็นค่ายกลทั้งสาม และบอกเราว่าหากอยากเข้าไปต้องเดินตรงกลาง หากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็จะตาย” ฉินเจิงผงกศีรษะ  


 


 


           ชุยอี้จือกระจ่างแจ้ง ยิ่งนับถือฉินเจิงมากขึ้น 


 


 


           ฉินเจิงเอื้อมมือไปกดตำแหน่งดินกับตำแหน่งตรงกลาง ก่อนหันมาบอกชุยอี้จือ “ยืมมือเจ้ามาใช้หน่อย” 


 


 


           ชุยอี้จือรีบยื่นมือข้างหนึ่งไปกดตำแหน่งมนุษย์ เสียง ‘กึก’ ดังขึ้น ตามมาด้วยผนังหินเกิดการสั่นสะเทือน ประตูบานหนึ่งค่อยๆ เปิดออกตรงหน้าพวกเขา 


 


 


           หลังประตูเปิดออกจนสุดก็ปรากฏทางเดินทอดตัวยาว บนผนังหินทุกระยะห่างหนึ่งหมี่*จะมีไข่มุกขนาดนิ้วโป้งฝังประดับเอาไว้ เพื่อเพิ่มแสงสว่างให้ทางเดินเส้นนี้ 


 


 


           บนผนังนอกจากไข่มุกส่องประกายก็เกลี้ยงเกลาดุจเนื้อกระจก 


 


 


           ชุยอี้จือมองไปยังฉินเจิง ฉินเจิงเดินไปข้างหน้า เขาจึงรีบยกเท้าเดินตามไป 


 


 


           เดินไปเป็นเวลาราวสองถ้วยชาก็มาถึงสุดทางเดินอันแสนยาวนี้ เป็นประตูใหญ่บานหนึ่งเหมือนกับตอนเข้ามา บนประตูมีภาพหนึ่งถูกวาดเอาไว้เช่นกัน สลักด้วยอักษรสันสกฤตผี 


 


 


           ชุยอี้จือทอดถอนใจ “ตรงหน้าผาปิดตายโดยธรรมชาติแห่งนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าหลังเข้ามาแล้วยังมีกลไกรออยู่ทุกย่างก้าว ผู้สร้างกลไกช่างประณีตละเอียดอ่อนยิ่งนัก” พูดจบ เขาเห็นฉินเจิงขมวดคิ้วไตร่ตรองไม่เอ่ยคำใด อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ท่านพี่ นี่เป็นภาพค่ายกลด้วยหรือไม่” 


 


 


           “ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า 


 


 


           “แล้วคือสิ่งใด มองออกหรือไม่” ชุยอี้จือมองเขา 


 


 


           “เป็นคำนำกล่าวของบรรพบุรุษที่ประกาศต่อบ้านเมืองโดยใช้อักษรสันสกฤตผี จำต้องรู้จักอักษรสันสกฤตผีที่สลักไว้ ตัวอักษรที่เขียนไว้ขาดอักษรถู่ (土) ในคำว่าเฉียนคุน (乾坤) ขาดอักษรชวน (川) ในคำว่าจิ่วโจว (九州) และขาดตัวซาน (三) ในตัวอักษรเหยียน (闫) หมายถึงยามเซิน*[1]สามเค่อ**[2]ค่อยผ่านประตูบานนี้เข้าไป” ฉินเจิงถามเสียงเบา “ตอนนี้กี่ยามกี่เค่อแล้ว” 


 


 


           “ตอนนี้ยามอู่***[3]สองเค่อ” ชุยอี้จือตอบ 


 


 


           “เช่นนั้นเราก็รอตรงนี้ก่อน” ฉินเจิงหันหลังกลับมานั่งพิงประตูหิน 


 


 


           “ถึงยามเซินสามเค่อประตูจะเปิดออกเองหรือ” ชุยอี้จือมองเขา 


 


 


           ฉินเจิงตอบ “อืม” 


 


 


           ชุยอี้จือนั่งลงด้วยเช่นกัน กล่าวด้วยความไม่เข้าใจยิ่ง “ท่านพี่ ท่านรู้จักอักษรสันสกฤตผีได้อย่างไร มิเคยได้ยินว่าท่านเคยเรียนมาก่อน” 


 


 


           “ตอนเรียนศิลปะแขนงต่างๆ อยู่ข้างกายอาจารย์ย่อมเห็นชินตาจนซึมซับโดยไม่รู้ตัวจึงเผลอจำได้เข้า” ฉินเจิงหลับตาลงพลางตอบเสียงเรียบ  


 


 


           “ทุกพื้นที่ตรงนี้สร้างด้วยอักษรสันสกฤตผีทั้งหมด หรือว่านี่จะเป็นที่พำนักของชาวภูตผี” ชุยอี้จือแปลกใจ “ดินแดนภูตผีอยู่ห่างจากที่นี่หมื่นลี้มิใช่หรือ ฟังว่าล่มสลายไปแล้วด้วย แต่ตรงนี้กลับคล้ายกระจกสะท้อนก็มิปาน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาทำความสะอาดเป็นประจำ ไม่เห็นฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย” 


 


 


           “เผ่าภูตผีล่มสลายไปแล้ว ดินแดนมีขีดจำกัด แต่มนุษย์ไร้ขีดจำกัด ชาวภูตผีหลงเหลืออยู่ที่ใดในใต้หล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ฉินเจิงบอก 


 


 


           “ก็จริง” ชุยอี้จือคิดว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนและสรรพสิ่งของเผ่าภูตผีล้วนมีแต่ความน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง จึงพยักหน้าคล้อยตาม “ท่านพี่ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่า คำนำกล่าวด้วยอักษรสันสกฤตผีนั้นเขียนว่าอย่างไร ข้าอ่านไม่เข้าใจ” 


 


 


           “ไม่เข้าใจก็ดีแล้ว” ฉินเจิงปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าดูเวลาไว้ ถึงยามเซินสามเค่อแล้วปลุกข้าด้วย” 


 


 


           ชุยอี้จือเห็นว่าเขาหลับไปทั้งแบบนี้โดยที่ตั้งใจว่าจะไม่บอกก็ค่อนข้างไม่พอใจ แต่นึกได้ว่าเขาไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ตลอดมา ทั้งต้องลงน้ำแล้วปีนขึ้นหน้าผา วันนี้ยังต้องใช้สมองไขกลไก จึงได้แต่ระงับความไม่พอใจเอาไว้แล้วพยักหน้า “ได้ ไว้ข้าปลุกท่าน” 


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก ปิดตาผล็อยหลับไป 


 


 


           ชุยอี้จือมองฉินเจิง ระหว่างที่ตนเงียบไม่เอ่ยคำใดพักใหญ่ก็ผล็อยหลับไปดังคาด เขาเบ้ปากแล้วหันไปพินิจอักษรสันสกฤตผีอย่างถี่ถ้วน 


 


 


           พินิจมองพักหนึ่งก็พลันรู้สึกปวดตาขึ้นมา คล้ายกับมีเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มดวงตาเขา 


 


 


           เขาพลันตกใจยกใหญ่ รีบเอามือกุมดวงตาทันที 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งความเจ็บปวดก็ทุเลาลงจนหายไปเอง บนกายเขามีเหงื่อพุดพรายขึ้นชั้นหนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยมือออกเชื่องช้าแล้วหันไปมองฉินเจิง ฉินเจิงยังคงหลับอยู่ เขาซับเหงื่อบริเวณขมับ ไม่กล้ามองอักษรสันสกฤตผีพวกนั้นอีกแล้ว 


 


 


           เมื่อถึงยามเซินสองเค่อ ชุยอี้จือก็เอื้อมมือไปผลักฉินเจิง “ท่านพี่ ตื่นได้แล้ว” 


 


 


           “ถึงเวลาแล้วหรือ” ฉินเจิงตื่นขึ้นมา ผินหน้าถาม 


 


 


           “ตอนนี้ยามเซินสองเค่อ เหลือเวลาอีกนิดหน่อย” ชุยอี้จือทำหน้าเครียด “ท่านว่าพอเราเข้าไปแล้วจะเจอเซี่ยฟางหวาหรือไม่” 


 


 


           ฉินเจิงไม่ตอบ 


 


 


           ชุยอี้จือพินิจสีหน้าเขา เขาหลังตื่นนอนดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงถ้อยคำที่คนหมู่มากวิจารณ์ฉินเจิง ท่านอ๋องน้อยเจิงอายุน้อยแต่ไม่เอาจริงเอาจัง มิคำนึงถึงประเพณี โอ้อวดกระทำตามอำเภอใจ ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไร้ความกริ่งเกรง มีนิสัยไร้เหตุผล มักแสดงอารมณ์สุดโต่งชัดเจน ทว่ายามนี้เมื่อได้คบหาสมาคมด้วยมากขึ้นถึงได้รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแต่เปลือกนอกเท่านั้น 


 


 


           แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ยากจะเข้าใจคนหนึ่ง 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งก็ถึงยามเซินสามเค่อพอดี ประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างตรงเวลาดังที่ฉินเจิงคาดการณ์ไว้ 


 


 


            


 


 


[1] *ยามเซิน คือ ช่วงเวลา 15:00 น. – 17:00 น. 


 


 


[2] **เค่อ คือ หน่วยเวลา (1 เค่อ = 15 นาที) 


 


 


[3] ***ยามอู่ คือ ช่วงเวลาประมาณ 11:00 น. – 13:00 น.  

 

 


ตอนที่ 84 ความรักกลายเป็นขี้เถ้า

 

    ประตูบานนี้หนาและแข็งแรงยิ่ง ทว่ายามเปิดออกกลับไร้สุ้มเสียง พอที่จะให้สามสี่คนเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปได้ 


 


 


           “ท่านพี่ จริงดังที่ท่านคาด ประตูเปิดแล้ว” ชุยอี้จือดีอกดีใจ หันไปมองฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงผงกศีรษะ มองไปยังอีกฝั่งของบานประตู เบื้องหน้ามีหมอกควันจางๆ เห็นเพียงระยะห่างไกลออกไปหลายจั้ง เขาส่งสัญญาณให้ชุยอี้จือเดินตามมา 


 


 


           ชุยอี้จือรีบเดินตามหลังเขา ทั้งสองผ่านประตูเข้าไปด้วยกัน 


 


 


           ประตูค่อยๆ ปิดลงอย่างเงียบเชียบคล้อยหลังทั้งสองเดินเข้าไป 


 


 


           หลังชุยอี้จือผ่านประตูเข้ามาก็เดินขึ้นนำฉินเจิงด้วยความสงสัยใคร่รู้ 


 


 


           “ข้างหน้าเป็นหน้าผา ไม่อยากตกลงไปก็หยุดเดินเสีย” ฉินเจิงคว้าแขนเขาไว้ 


 


 


           “นะ…หน้าผา?” ชุยอี้จือสะดุ้งโหยง หันกลับมามองเขา 


 


 


           “เมฆหมอกควันปกคลุม ต่างกับตอนที่เรามองลงมาจากยอดผาไน่เหอตรงไหน” ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนปล่อยแขนเขา “ถ้าไม่เชื่อก็ลองกระโดดลงไปดูได้” 


 


 


           ชุยอี้จือส่ายศีรษะพัลวัน “ในเมื่อเป็นหน้าผา จะทำเช่นไรต่อ” 


 


 


           ฉินเจิงโน้มกายลงหยุดมองที่ริมหน้าผาพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบผามีเชือก เราโรยตัวลงไปแล้วกัน” 


 


 


           “ข้าไม่อยากปีนหน้าผาอีกแล้ว มีเชือกก็ดีนัก” ชุยอี้จือโล่งอก 


 


 


           ฉินเจิงคว้าเชือก ตัวเชือกมีขนาดเท่ากำปั้นเนื้อหยาบ เขาจับเชือกให้มั่นแล้วกระโดดลงไป 


 


 


           ชุยอี้จือรีบคว้าเชือกไว้เช่นกัน ไถลตามเชือกลงไปพร้อมเขา 


 


 


           เมฆหมอกลอยละล่องรอบทิศ นอกจากผนังหินด้านนี้กับเชือกที่จับอยู่ก็แยกแยะทัศนียภาพรอบกายมิได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


           ไถลลงมาราวครึ่งชั่วยาม ขณะที่ยังเหลือระยะห่างจากพื้นครึ่งจั้ง พลันมองเห็นผืนน้ำกระเพื่อมบนทะเลสาบได้อย่างชัดเจน 


 


 


           “ไม่จริงน่า เป็นทะเลสาบปิดตายอีกแล้วหรือ” ใบหน้าของชุยอี้จือฉายแววสิ้นหวังทันที  


 


 


           “ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า 


 


 


           “ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ชุยอี้จือกำเชือกแน่นไม่เคลื่อนไหวต่อ ยกเท้าถีบขอบผาเกลี้ยงเกลาจนหมุนไปรอบๆ  


 


 


           “ข้างล่างมีแพไม้ไผ่” ฉินเจิงพูดพลางก็หยิบโซ่ตะขอบริเวณเอวออกมา สะบัดโยนออกไป ได้ยินเพียงเสียง ‘กึก’ ดังขึ้น โซ่ตะขอเกี่ยวโดนบางสิ่ง ตามมาด้วยเขาออกแรงกระชากเข้ามา แพไม้ไผ่ลำหนึ่งถูกเขาลากออกมาจากดงพืชน้ำไม่ไกลดังที่บอกจริง 


 


 


           “มีแพไม้ไผ่ก็ดี” ชุยอี้จือโล่งใจ 


 


 


           ฉินเจิงปล่อยเชือกแล้วกระโดดขึ้นแพไม่ไผ่ ชุยอี้จือกระโดดตามขึ้นมาเช่นกัน 


 


 


           ฉินเจิงหยิบกระบอกไม้ไผ่มาพาย แพไม้ไผ่นำทั้งสองล่องทะเลสาบไปเบื้องหน้า 


 


 


           ผืนทะเลสายปกคลุมด้วยไอหมอก ทัศนียภาพรอบกายนอกจากทะเลสาบก็มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น 


 


 


           ชุยอี้จือกางมือออก นิ่งค้างกลางอากาศเป็นนาน หลังจากนั้นก็เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ท่านพี่ หมอกนี้น่าประหลาดนัก ไม่คล้ายกับเป็นหมอกทั่วไป ข้ากางมือกลางอากาศนานแล้ว สิ่งที่สัมผัสได้มิใช่ความเย็นเปียกชื้นอย่างที่ควรเป็น หากแต่อบอุ่นชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มสบายกายมาก ในทะเลสาบก็ปราศจากไอน้ำ ไม่มีความหนาวเย็นเช่นกัน” 


 


 


           “นี่ไม่ใช่หมอก” ฉินเจิงบอก 


 


 


           “ไม่ใช่หมอก แล้วคือสิ่งใด” ชุยอี้จือแปลกใจ 


 


 


           “น่าจะเป็นวิชาหมอกของเผ่าภูตผี ดึงจิตวิญญาณขุนเขา แผ่นหิน ต้นไม้ใบหญ้าออกมาแล้วสร้างวิชาหมอก เป็นหมอกที่ไม่ใช่หมอก” ฉินเจิงมองไปเบื้องหน้า “มิฉะนั้นตอนนี้ยามใดแล้ว ยามนี้จะมีหมอกลงได้อย่างไร” 


 


 


           “จริงด้วย เราเปิดประตูยามเซินสามเค่อ ใช้เวลาลงมาอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ตอนนี้ยามโหย่ว*[1]หนึ่งเค่อแล้ว” ชุยอี้จือกระจ่างแจ้ง 


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด  


 


 


           “สายน้ำก็คล้ายกับมีทิศทางของมันเองเช่นกัน” ชุยอี้จือมองผืนน้ำแล้วกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           ฉินเจิงก้มศีรษะมองแวบหนึ่งแล้ววางกระบอกไม้ไผ่ลง แม้วางระบอกไม้ไผ่ลงแล้ว แต่แพไม้ไผ่ยังคงบรรทุกทั้งสองเคลื่อนตามสายน้ำไปเบื้องหน้า 


 


 


           “ไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชุยอี้จือทอดถอนใจ “มากับท่านพี่ครั้งนี้ช่างได้เปิดประสบการณ์นัก กะแล้วว่าใต้หล้ามีเรื่องประหลาดอยู่เต็มไปหมด ทั้งชีวิตข้าเพิ่งจะได้เห็นพื้นที่แนวป้องกันโดยธรรมชาติเช่นนี้ ไหนจะการสร้างกลไกและเส้นทางลับอันประณีตยอดเยี่ยมนี้อีก ช่างคาดไม่ถึงเหลือเกิน” 


 


 


           ฉินเจิงไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหม่อมองไปเบื้องหน้า ไม่ตอบอันใดกลับมา 


 


 


           ชุยอี้จือผินหน้ามองฉินเจิงแวบหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าเฟิงหลิงนำพวกเขามาหาเซี่ยฟางหวา ไล่ตามมาตลอดทางจนถึงมาตรงนี้ ยิ่งเป็นสถานที่น่าดึงดูดใจอันเป็นแนวป้องกันโดยธรรมชาติเพียงใด ก็ยิ่งอธิบายได้ว่าคนที่กำลังตามหานั้นไม่ธรรมดา เขารู้สึกได้ว่าถึงแม้ท่านพี่จะหาตัวพบแล้ว แต่เกรงว่าไม่น่าจะมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน 


 


 


           ทะเลสาบผืนนี้ใหญ่มาก น่านน้ำกว้างขวาง แพไม้ไผ่เคลื่อนตามสายน้ำเชื่องช้า ครึ่งชั่วยามถัดมาก็คลับคล้ายคลับคลาว่ามองเห็นศาลาเรือนไม้บนฝั่ง 


 


 


           “ท่านพี่ รีบดูเร็ว” ชุยอี้จือกระทุ้งศอกใส่ฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงย่อมมองเห็นก่อนแล้ว พยักหน้ารับเล็กน้อย 


 


 


           ผ่านไปพักใหญ่ แพไม้ไผ่ก็หยุดลงที่ริมท่าน้ำ หมอกหนาคลายลง ถึงเพิ่งมองเห็นภาพบนฝั่งชัดเจน 


 


 


           นี่พอจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง เพียงแต่มิได้ชำรุดทรุดโทรมแบบหมู่บ้านทั่วไป ตรงนี้เป็นหอตำหนักอันสง่างามหลายชั้น ทั้งหมดประมาณหลายสิบหลัง หนึ่งในนั้นมีตำหนักหลังหนึ่งที่ใหญ่และสูงที่สุด บนบันไดปรากฏร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่เลือนราง 


 


 


           คนผู้นั้นเป็นสตรี สวมชุดกระโปรงหรูหราสวยงาม เกล้ามวยผมปักปิ่นมุก ยืนอยู่บนหอตำหนักดุจเทพธิดาเป็นสรวงสวรรค์ชั้นเก้า 


 


 


           “เป็นเซี่ยฟางหวาหรือ” ชุยอี้จือกล่าวเสียงต่ำ 


 


 


           “สายตาไม่ดีรึ นางไม่ใช่เซี่ยฟางหวา” ฉินเจิงแค่นเสียงขึ้น 


 


 


           ชุยอี้จือชะงัก พินิจมองให้ละเอียด พบว่านางไม่ใช่เซี่ยฟางหวาจริงๆ แต่เป็นสตรีที่อายุมากกว่าเซี่ยฟางหวา เพียงแต่เมื่อสวมชุดกระโปรงหรูหราสวยงาม ยามมองคราแรกมีบางส่วนคล้ายกับเซี่ยฟางหวาซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงจริงๆ เขาสะกิดฉินเจิง “ท่านพี่ ท่านสายตาดียิ่งนัก สตรีผู้นี้คือใคร ท่านรู้จักหรือไม่” 


 


 


           “เยว่เหนียง แม่เล้าหอเยียนจือที่เมืองผิงหยาง” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “นางเป็นแม่เล้าหอเยียนจือที่เมืองผิงหยางนั่นเอง” ชุยอี้จือพินิจมองอีกครั้ง ก่อนโพล่งขึ้น “ไฉนนางถึงดูคล้ายคนผู้หนึ่ง คล้ายกับ…” 


 


 


           “เยว่ลั่วเป็นน้องชายของนาง” ฉินเจิงบอก 


 


 


           ชุยอี้จือกระจ่างทันที “ข้ากำลังจะพูดว่าไฉนนางถึงหน้าตาคล้ายเยว่ลั่วซึ่งเป็นสายลับประจำกายรัชทายาท ที่แท้เยว่ลั่วเป็นน้องชายนาง” พูดจบ เขาก็แปลกใจ “ไฉนนางถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่า…นางเป็นชาวภูตผี” 


 


 


           “ไม่ใช่” ฉินเจิงส่ายหน้า “นางเป็นคนตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี มีนามว่าอวี้เยว่เหนียง บิดามารดาของพวกเขาตายไปตั้งนานแล้ว นางกับเยว่ลั่วพลัดพรากจากกันตั้งแต่เด็ก คนหนึ่งได้เซี่ยฟางหวารับไปเลี้ยงข้างกาย อีกคนได้ฉินอวี้รับไปเลี้ยงดู” 


 


 


           “หมายความว่าเซี่ยฟางหวาอยู่ที่นี่จริงๆ” ชุยอี้จือถึงบางอ้อ 


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก ใบหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดทั้งนั้น 


 


 


           ชุยอี้จือก็ไม่เอ่ยคำใดอีกเช่นกัน 


 


 


           ทั้งสองขึ้นท่าเรือ เลียบบันไดหินข้างท่าเรือเดินไปยังตำหนักหลังใหญ่ที่สุดตรงนั้น 


 


 


           บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบสงัดอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่าเยว่เหนียงยืนอยู่บนนั้น ยังคิดว่าไม่มีใครอยู่สักคน 


 


 


           แต่ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึง เยว่เหนียงพลันเหินตัวลงมาจากตัวตำหนัก ยืนขวางทางทั้งสอง ก่อนกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ตอนเจ้านายกลับไป บอกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะมาที่นี่ ให้ข้ารออยู่ตรงนี้ก่อน และท่านก็มาจริงดังคาด บ่าวนับถือแล้ว” พูดจบ นางก็มองไปยังชุยอี้จือ “ท่านนี้คงจะเป็นคุณชายรองจากตระกูลชุยแห่งชิงเหอสินะ รูปงามดังที่ร่ำลือกัน” 


 


 


           ชุยอี้จือพบว่าแม้นางดั่งคุณหนูตระกูลใหญ่ในคราแรก ทว่าเมื่อเห็นใกล้ๆ และได้อ้าปากพูดก็มีแผ่กลิ่นอายนางโลมอย่างที่แม่เล้าควรมี อดไม่ได้ที่จะเหยียดมุมปาก คิดในใจว่าจวนจงหย่งโหวยึดถือในหกคัมภีร์ขงจื๊อที่ตกทอดมา ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่เลี่ยงสถานที่มีราคีเป็นที่สุด ทว่าคุณหนูฟางหวากลับรับนางโลมมาเป็นผู้ช่วย ช่าง… 


 


 


           “นางกลับไปแล้วรึ” ใบหน้าฉินเจิงพลันเคร่งขรึมลง เลิกคิ้วกล่าวเสียงเข้ม  


 


 


           “เจ้านายกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สั่งข้าว่าให้รออยู่ที่นี่ คิดว่านางคงทราบว่าท่านอ๋องน้อยมาตามหานาง เดิมตั้งใจว่าจะออกเดินทางวันนี้ แต่ก็เปลี่ยนแผนเดินทางไปก่อน” เยว่เหนียงยิ้มพลางพยักหน้า  


 


 


           “นางไปไหน” ฉินเจิงเม้มปาก 


 


 


           “เจ้านายมิได้บอก” เยว่เหนียงส่ายหน้า 


 


 


           ฉินเจิงพลันลงมือ ตวัดกระบี่จ่อลำคอเยว่เหนียงทันที ใบหน้าฉายความเยือกเย็น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสังหารเจ้าเสียตอนนี้เลยก็ได้” 


 


 


           “ไอ้หยา ท่านอ๋องน้อย ถึงแม้ท่านสังหารข้าตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้ามิกล้าพูดปดต่อหน้าท่านอยู่แล้ว เจ้านายกลับไปเมื่อคืนจริงๆ และสั่งให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่ด้วย เจ้านายทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในท่าน หากท่านไม่เชื่อ บ่าวนำจดหมายให้ท่านอ่านตอนนี้ พอท่านอ่านจบก็เข้าใจเอง” เยว่เหนียงรีบกล่าว 


 


 


           “นำจดหมายมา” ฉินเจิงแค่นหัวเราะแล้วยื่นมือขอ 


 


 


           เยว่เหนียงยื่นจดหมายในมือให้ฉินเจิง 


 


 


           พบว่าจดหมายเป็นกระดาษดอกท้อชั้นดี ด้านบนเขียนอักษรสองตัวว่า ‘ฉินเจิง’ เส้นลายมืองดงาม เป็นลายมือของเซี่ยฟางหวาจริง 


 


 


           ฉินเจิงชักกระบี่กลับมา ยื่นมือเปิดจดหมายออก ทว่าทันทีที่เขาเปิดออกกระดาษจดหมายก็พลันแปรสภาพเป็นสีดำ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นขี้เถ้า 


 


 


           ยามนี้สายลมพัดมา เศษขี้เถ้าลอยกระจัดกระจายไปตามสายลมทันที 


 


 


           ฉินเจิงเอื้อมมือคว้าทว่าไม่เป็นผล กลางฝ่ามือเหลือเศษขี้เถ้าติดอยู่เพียงเล็กน้อย เขาเงยหน้ามอง 


 


 


เยว่เหนียงทันที 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยเจิง ท่านยังมิได้อ่านจดหมาย เหตุใดถึงต้องทำลายมันด้วย” เยว่เหนียงเองก็ตกใจเช่นกัน ถามด้วยความแปลกใจ  


 


 


           “ข้าทำลายมันรึ” ฉินเจิงหรี่ตาลง 


 


 


           “หรือว่ามิใช่” เยว่เหนียงมองเขาด้วยความสงสัย “แล้วจดหมาย…สลายไปได้อย่างไร” 


 


 


           ฉินเจิงมองนางด้วยแววตาเยือกเย็น 


 


 


           เยว่เหนียงถูกสายตาเขาจับจ้อง อดไม่ได้ที่จะถอยหลังสองก้าว 


 


 


           “ตอนนางออกไปได้พูดอะไรหรือไม่” ฉินเจิงจ้องนางแล้วถามเสียงเย็น 


 


 


           “เจ้านายสั่งให้ข้ารออยู่ที่นี่เพื่อมอบจดหมายฉบับนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิง มิได้บอกอันใดอีกแล้ว”  


 


 


เยว่เหนียงครุ่นคิดก่อนตอบ  


 


 


           “ไม่มีเลยสักคำรึ” ฉินเจิงถามย้ำ 


 


 


           “ไม่มี” เยว่เหนียงส่ายหน้า 


 


 


           ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยโทสะ “นางเห็นข้าเป็นอะไร ทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้เพื่ออยากบอกอะไรกับข้า ความรักกลายเป็นขี้เถ้ารึ ฝันไปเถอะ” 


 


 


           เยว่เหนียงมองเขา ทั้งมองขี้เถ้าในมือเขา แย้งไม่ออกชั่วขณะ 


 


 


           “นางคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงหรือ” ฉินเจิงพลันลงมืออีกครั้ง ครั้งนี้เปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า หมายเอาชีวิตเยว่เหนียงโดยตรง 


 


 


           เยว่เหนียงตกใจจนหน้าถอดสี ทว่ากระบวนท่าดุดันเช่นนี้ของฉินเจิง นางเดิมทีก็หลบไม่พ้น 


 


 


           “ท่านพี่” ชุยอี้จือเองก็ตกใจเช่นกัน รีบตะโกนขึ้น  


 


 


           ภายใต้โทสะที่ปะทุขึ้น ฉินเจิงตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารเยว่เหนียง เพราะหมายเอาชีวิตนาง ดังนั้นจึงไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้แม้แต่นิดเดียว ชั่วพริบตากระบี่ก็พุ่งตรงไปเฉือนลำคอของเยว่เหนียง 


 


 


           ท่ามกลางสถานการณ์ล่อแหลม ทันใดนั้นก็มีควันสีอ่อนลอยมาจากด้านข้าง แม้อ่อนนุ่มทว่าขัดขวางกระบี่ของฉินเจิงได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


           เกิดเสียงแผ่วเบาดัง ‘ติ้ง’ ตัวกระบี่ราวกับกระแทกกับโลหะและหิน ฉินเจิงเองก็ถูกความอ่อนนุ่มนั้นทว่าเหมือนแรงดีดของโลหะกระแทกใส่จนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 


 


 


           เยว่เหนียงที่รอดชีวิตมาได้ทรุดตัวนั่งกับพื้นก่อนยกมือลูบต้นคอ กระบี่ของฉินเจิงเร็วอย่างยิ่ง เฉือนชั้นผิวหนังบนลำคอนางจนฉีกขาด ทว่ากลับมิได้มีเลือดไหลออกมาทันที กระทั่งนางใช้มือสัมผัส เลือดสดถึงเพิ่งไหลออกมา 


 


 


           เยว่เหนียงเห็นเลือดเปรอะเต็มฝ่ามือก็กรีดร้องเสียงดัง ก่อนเป็นลมหมดสติไป 


 


 


           ชุยอี้จือมองควันสีอ่อนเบาบางทว่าดีดกระบี่ของฉินเจิงออกได้ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาเห็นกระบี่ของฉินเจิงเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่หมายจะฆ่าคนอย่างแรงกล้าได้ชัดเจน เมื่อเห็นเยว่เหนียงหมดสติไป ควันสีอ่อนถูกดึงกลับ เขารีบหันไปมองตามทิศที่ควันถูกดึงกลับทันที 


 


 


           ฉินเจิงเองก็หันกายกลับมาเชื่องช้า มองไปยังทิศทางที่ควันสีอ่อนถูกดึงกลับไปเช่นกัน 


 


 


        


 


 


*ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17:00 น. – 19:00 น.             

 

 


ตอนที่ 85 ที่ที่สบายใจ

 

           ร่างคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูหอตำหนักที่ใหญ่ที่สุดตรงนั้น 


 


 


           คนผู้นี้ฉินเจิงรู้จัก ชุยอี้จือเองก็รู้จักเช่นกัน 


 


 


           เป็นเซี่ยอวิ๋นหลานที่กระโดดจากหน้าผาระหว่างเกิดเหตุดินโคลนถล่มที่อารามลี่อวิ๋นแล้วหายตัวไป 


 


 


           ชุยอี้จือมองตามควันสีอ่อนจนพบเซี่ยอวิ๋นหลาน เมื่อควันสีอ่อนเข้าประชิดแขนเสื้ออีกฝ่ายก็อันตรธานหายวับไป เขาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เซี่ยอวิ๋นหลาน ไฉนเป็นเจ้า” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานสวมอาภรณ์ผ้าทอสีแดงเข้ม คลุมด้วยชุดคลุมผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีดำบนร่าง ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียว ดูแล้วอ่อนแรงอย่างยิ่ง สภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก ยากจะนึกภาพได้ว่าเมื่อครู่เขาแค่ใช้หมอกสีอ่อนกลุ่มหนึ่งก็ดีดกระบี่ที่อัดแน่นด้วยจิตสังหารของฉินเจิงกระเด็นออกไป 


 


 


           “รองราชเลขาชุย” เซี่ยอวิ๋นหลานมองชุยอี้จือพลางพยักหน้าให้ ก่อนหันไปมองฉินเจิง พร้อมทักทายเสียงเรียบ “ท่านอ๋องน้อยเจิง” 


 


 


           “เจ้า…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เมื่อครู่เป็นฝีมือเจ้ารึ” ชุยอี้จือพินิจมองเขาถี่ถ้วน สภาพร่างกายเขาในยามนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังป่วยอยู่ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ “เป็นข้า ส่วนข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรนั้น…” หยุดชั่วครู่แล้วยิ้มกล่าว “ที่นี่เป็นบ้านของข้า” 


 


 


           ชุยอี้จือตกใจยกใหญ่ หันไปมองฉินเจิง 


 


 


           “นางเล่า” ฉินเจิงเม้มปากเป็นเส้นตรง มองเซี่ยอวิ๋นหลานโดยไม่หลบตา  


 


 


           “เจ้าหมายถึงฟางหวา” เซี่ยอวิ๋นหลานตอบเสียงเรียบ “นางกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” 


 


 


           “ไปไหน” ฉินเจิงถาม 


 


 


           “นางนำสมุนไพรดำม่วงไปด้วยจำนวนมาก ตอนนี้ใต้หล้านอกจากเมืองหลินอันที่ต้องใช้สมุนไพรดำม่วง ยังมีที่ใดต้องการมันอีก” เซี่ยอวิ๋นหลานเลิกคิ้ว “นางย่อมต้องไปเมืองหลินอัน พี่จื่อกุยอยู่ที่นั่น นางไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันใดแน่” 


 


 


           ฉินเจิงหรี่ตามองเซี่ยอวิ๋นหลาน 


 


 


           “ข้าไม่จำเป็นต้องโกหกเจ้า” เซี่ยอวิ๋นหลานเผยสีหน้าเย็นชา 


 


 


           ฉินเจิงละสายตากลับมา มองสำรวจโดยรอบ “ที่นี่คือที่ไหน” 


 


 


           “ลำน้ำสวินสุ่ย” เซี่ยอวิ๋นหลานตอบ 


 


 


           “ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฉินเจิงบอก 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานหัวเราะครู่หนึ่ง “ที่นี่เหนือน้ำยังมีน้ำ เหนือภูเขายังมีภูเขา คนทั่วไปยากจะหาที่นี่พบ แม้อยู่ในหนานฉิน แต่ก็ไม่เคยมีใครค้นพบแล้วบันทึกมันในแผนที่ เจ้าย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน” 


 


 


           “เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้า” ชุยอี้จืออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ไฉนที่นี่ถึงเป็นบ้านเจ้า บ้านเจ้าไม่ใช่จวนแหล่งธัญพืชหรอกหรือ” 


 


 


           “ข้าแค่เกิดมาในจวนแหล่งธัญพืชเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นหลานมองชุยอี้จือแวบหนึ่ง “หนแห่งใดในใต้หล้าล้วนยึดถือเป็นบ้านได้ แล้วเหตุใดที่นี่ถึงเป็นบ้านข้าไม่ได้ ในเมื่อรองราชเลขาชุยมีเฟิงหลิงที่ถ่ายทอดมาจากตระกูล แสดงว่าบรรพบุรุษของเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ควรรู้ไว้ว่าที่นี่เป็นดินแดนลับของเผ่าภูตผี และข้าเป็นชาวภูตผี” 


 


 


           ชุยอี้จือพูดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงเฟิงหลิงซึ่งเป็นเรื่องที่เขากังวลใจอยู่ตอนนี้ก็รีบถามขึ้นทันที “เฟิงหลิงเล่า อยู่กับเจ้าหรือ” 


 


 


           “ฟางหวานำเฟิงหลิงไปแล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานส่ายหน้า 


 


 


           “จริงหรือ” ชุยอี้จือถามซ้ำ 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า “นกตัวนั้นหานางพบ นางจึงเก็บมันไว้ก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอย่างแฝงนัยยะ “คงไม่อยากเปิดเผยร่องรอย หากเป็นข้า ถูกคนดมกลิ่นแล้วตามหา ก็ไม่ค่อยยินดีนัก” 


 


 


           ฉินเจิงเผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย 


 


 


           ชุยอี้จือผ่อนลมหายใจโล่งอก สำหรับเขาตอนนี้เมื่อรู้ว่าเฟิงหลิงยังไม่ตายก็พอใจแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคำอธิบายกับตระกูล เขาหันไปถามฉินเจิง “ท่านพี่ เราจะไปเมืองหลินอันเลย หรือว่า…” 


 


 


           “ข้ากับพี่อวิ๋นหลานถือว่าเป็นสหายเก่ากัน ในเมื่อมาถึงบ้านของเขาแล้วจะไม่แวะได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว พี่อวิ๋นหลานคงไม่ไล่กลับ ไม่ให้ค้างสักคืนหรอกกระมัง” ฉินเจิงเลิกคิ้ว ไม่มีความคิดจะตามร่องรอยต่อ 


 


 


           “แน่นอน” เซี่ยอวิ๋นหลานมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเบี่ยงตัวเปิดทางให้ 


 


 


           ฉินเจิงยกเท้าก้าวเข้าไปข้างใน 


 


 


           “นาง…ไม่เป็นไรใช่ไหม” ชุยอี้จือมองเยว่เหนียงที่หมดสติอยู่บนพื้น  


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานส่ายหน้า ยกมือขึ้นแผ่วเบา มีคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง เขาออกคำสั่ง “นำเยว่เหนียงไปหาอาจารย์จ้าว นางหวงแหนใบหน้ายิ่ง บอกอาจารย์จ้าวทำแผลให้นาง อย่าทิ้งรอยแผลเป็นไว้” 


 


 


           “ขอรับ” คนผู้นั้นก้าวขึ้นมา หามเยว่เหนียงไปหาจ้าวเคอ 


 


 


           ข้างในตัวหอตกแต่งได้อย่างงดงามวิจิตรตระการตา 


 


 


           ขาข้างหนึ่งของฉินเจิงอยู่หลังประตู อีกข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก เขาหยุดเท้านิ่งชะงัก กวาดสำรวจมองภายในรอบหนึ่ง แววตาพลันฉายความมืดครึ้ม “เครื่องเรือนทั้งหมดข้างในล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางชอบ พี่อวิ๋น 


 


 


หลานปรารถนาดีนัก” 


 


 


           ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นหลานก็ยิ้มออกมา “ทุกสิ่งที่นางชอบ ข้าย่อมทุ่มสุดกำลัง ถึงอย่างไร…” 


 


 


           “ถึงอย่างไร” ฉินเจิงหันกลับไปมองเซี่ยอวิ๋นหลานทันที 


 


 


           “หากนางอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็เป็นบ้านของนาง” เซี่ยอวิ๋นหลานสบแววตาเขา ตอบเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “บ้านรึ” แววตาฉินเจิงดุดันขึ้นทันที 


 


 


           “ชาติก่อนชาตินี้ อ้อมไปวนมา ที่นี่ต่างหากที่เป็นที่ที่สบายใจ” เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า  


 


 


           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มทันที “ที่ที่สบายใจของข้าก็คือบ้านของข้า ที่นี่ไม่แน่ว่าเป็นที่ที่สบายใจของนาง” พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน ม่านมุกกระเพื่อมตามการเคลื่อนไหวของเขา 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานมองม่านมุกสั่นไหวเบื้องหน้า ยืนเม้มปากนิ่งพักหนึ่ง ก่อนหันมามองชุยอี้จือ 


 


 


           ชุยอี้จือแปลกใจกับการที่เซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งไม่เข้าใจบทสนทนาระหว่างฉินเจิงกับเขา แต่สัมผัสได้ว่าระหว่างทั้งสองคุยกันเสมือนเกิดสายฟ้าสถิตขึ้น เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นหลานมองมาก็ส่งยิ้มให้ “พี่อวิ๋นหลาน รบกวนแล้ว” 


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานไม่ใส่ใจนัก เชิญเขาเข้าไปข้างใน 


 


 


           จ้าวเคอได้ยินว่าฉินเจิงกับชุยอี้จือมา ขณะจะออกมาดูก็เห็นเยว่เหนียงถูกหามมาส่งเสียก่อน จึงรีบถามขึ้นทันที “คุณชายเล่า อาการทรุดหรือไม่” 


 


 


           “เรียนท่านอาจารย์ คุณชายปลอดภัยดี เพียงแต่เยว่เหนียงถูกกระบี่ของท่านอ๋องน้อยเจิงทำร้ายเข้า คุณชายสั่งให้ข้านำนางมาส่งที่นี่ บอกว่าเยว่เหนียงหวงแหนใบหน้ามาก ขอให้ท่านช่วยรักษาแผลที่ลำคอนางไม่ให้ทิ้งรอยแผลเป็น” คนผู้นั้นส่ายหน้า  


 


 


           “ช่างเป็นกระบี่ที่คมนัก” จ้าวเคอมองลำคอเยว่เหนียงแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้ากล่าว “บอกคุณชายว่าวางใจเถิด กระบี่ของท่านอ๋องน้อยเจิงแม้เร็วมาก แต่ดูแล้วไม่ได้หมายลงมือสังหารจริงๆ เพียงแค่เฉือนผิวหนังเท่านั้น หากเขาจะสังหารคนจริงๆ วิชาของคุณชายแม้ขวางเขาได้ทันกาล แต่เกรงว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดแผลตื้นเช่นนี้ วิทยายุทธ์ของท่านอ๋องน้อยเจิงยอดเยี่ยมที่สุดในหนานฉิน แต่ด้วยคุณชายมีคำสาปเผาใจกำเริบ ป่วยหนักยังไม่หายดี แรงต้านทานมีขีดจำกัด ตอนนี้บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอะไร ข้าใช้ยาดีทำแผลให้นาง น่าจะไม่เหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้” 


 


 


           คนผู้นั้นพยักหน้า วางเยว่เหนียงลงบนเตียง 


 


 


           จ้าวเคอลงมือทำแผลให้เยว่เหนียง ไม่นานก็ทำแผลเสร็จ เขายกมือแผ่วเบาเพื่อปลุกเยว่เหนียงขึ้นมา 


 


 


           หลังเยว่เหนียงฟื้นแล้ว พลันคว้าแขนจ้าวเคอด้วยใบหน้าซีดขาว “ข้าเสียโฉมแล้วใช่หรือไม่ หา” 


 


 


           “ยัง วางใจเถอะ แค่ทำร้ายผิวชั้นนอก” จ้าวเคอส่ายหน้า 


 


 


           “จริงหรือ” เยว่เหนียงรีบถาม 


 


 


           “จริงสิ” 


 


 


           เยว่เหนียงเห็นว่าเขาไม่คล้ายกับพูดเล่นจึงเบาใจลง เพียงพริบตาเมื่อนึกถึงฉินเจิงได้ก็ถามขึ้น “ท่านอ๋องน้อยเจิงเล่า” 


 


 


           “อยู่ที่เรือนคุณชาย” จ้าวเคอหันกลับมา “คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะผ่านกลไกแต่ละด่านจนหาที่นี่เจอได้ ร้ายกาจจริงสมคำร่ำลือ มิน่านายหญิงน้อยถึงยินยอมมอบทั้งกายและใจเพื่อออกเรือนด้วย” 


 


 


           “ยังพูดเรื่องออกเรือนอันใดอีก ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว พระราชโองการหย่าร้างประกาศออกไปทั่วใต้หล้า ยามนี้ไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกันอีก บุกมาถึงที่นี่ มิหนำซ้ำยังอวดตนสังหารข้าเช่นนี้ ข้าแค่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้อยู่ที่นี่ เกินไปแล้วจริงๆ มิน่าเจ้านายถึงอยากตัดเยื่อใยกับเขา” เยว่เหนียงรีบกล่าวด้วยความไม่พอใจทันที  


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ได้ตั้งใจสังหารเจ้า แต่อยากบีบให้คุณชายปรากฏตัว” จ้าวเคอมองเยว่เหนียง 


 


 


           “เจ้านายข้ากลับไปแล้ว เขาทราบดีว่าข้าไม่ได้โกหก หรือเดาออกว่าคุณชายของเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย แค่ตะโกนเรียกคุณชายเจ้าออกมาพบก็พอแล้ว ถึงกับต้องลงมือบังคับด้วยหรือ ใช่ว่าไม่รู้จักกันเสียหน่อย”  


 


 


เยว่เหนียงชะงัก  


 


 


           “หากเขาไม่ทำเช่นนี้ เดิมคุณชายมิได้อยากพบเขา” จ้าวเคอบอก “ที่นี่เป็นแนวป้องกันโดยธรรมชาติอันน่าพิศวงมาตั้งแต่โบราณ ในเมื่อเขาทำลายกลไกเข้ามาได้ แสดงว่าคงรู้จักเผ่าภูผีแปดเก้าส่วน อีกอย่างเขาก็ทราบเป็นทุนเดิมแล้วว่าคุณชายคือผู้สืบทอดราชวงศ์เผ่าภูตผี เสาะร่องรอยตามหานายหญิงน้อย ย่อมนึกได้แน่ว่าคุณชายก็อยู่ที่นี่ด้วย” 


 


 


           เยว่เหนียงได้ยินเช่นนั้นแม้เข้าใจแล้วว่าฉินเจิงมิได้มีเจตนาสังหารนาง แต่ยังคงไม่คลายความโกรธลง “ตอนนี้เขาอยู่ที่เรือนของคุณชายเจ้า กล่าวเช่นนี้ คืนนี้ก็ค้างที่นี่ไม่เดินทางต่อ ไม่ไปตามเจ้านายแล้วหรือ” 


 


 


           “ข้ายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นเช่นไร ประเดี๋ยวเจ้าไปดูกับข้าก็ได้” จ้าวเคอบอก 


 


 


           เยว่เหนียงส่ายหน้าทันที “ข้าไม่อยากไปแล้ว ต่อไปอยู่ให้ห่างจากเขาหน่อยก็ดี หากไม่ใช่ว่าข้างกายเจ้านายไม่มีใคร คงไม่ทิ้งข้าอยู่รับกระบี่เขาที่นี่เช่นกัน” ระหว่างพูดก็สะเทือนไปถึงบาดแผลที่ต้นคอ นางพลันสูดปากด้วยความเจ็บ “แผลนี่จะหายดีเมื่อไร” 


 


 


           “นายหญิงน้อยกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้หนึ่งวันครึ่งคืนแล้ว หากใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดน่าจะใกล้ถึงเมืองหลินอันแล้ว หวังว่าจะช่วยท่านโหวเซี่ยได้ทัน” จ้าวเคอกล่าว “ข้าใช้ยาชั้นเยี่ยม หากเจ้าไม่แตะต้องมัน สิบวันก็หายดี” 


 


 


           เยว่เหนียงพยักหน้า กังวลใจเล็กน้อย “เมืองหลินอันตกอยู่ในอันตราย การเดินทางครั้งนี้อย่าได้เกิดเรื่องกับเจ้านายเป็นดี” 


 


 


           “วางใจเถอะ คุณชายส่งคนคอยคุ้มครองในที่ลับแล้ว สมุนไพรดำม่วงต้องไปถึงเมืองหลินอันได้อย่างปลอดภัยแน่นอน เขาไม่ปล่อยให้นายหญิงน้อยเป็นอะไรไปหรอก” จ้าวเคอโบกมือ  


 


 


           “ยังเป็นคุณชายอวิ๋นหลานที่แสนดี” เยว่เหนียงลดมือลงจากลำคอ ทอดถอนใจกล่าว “คนที่เจ้านายรักไฉนถึงไม่เป็นคุณชายอวิ๋นหลานเล่า ดันชอบท่านอ๋องน้อยเจิง ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นคุณชายอวิ๋นหลาน เราที่เป็นลูกน้องคอยติดตามเจ้านายคงลดความกังวลได้บ้าง” 


 


 


           “นายหญิงน้อยหาที่นี่จนพบ ทิ้งเจ้าไว้ ก็เห็นที่นี่เป็นบ้านแล้ว วันข้างหน้าเรื่องระหว่างนางกับคุณชาย ไหนเลยจะบอกได้แน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็มิใช่พระชายาน้อยแล้ว” จ้าวเคอได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้น 


 


 


           “ก็จริง” เยว่เหนียงพลันเริงร่า “พูดตามตรง ข้าคิดว่าคุณชายเจ้าน่าชื่นชอบยิ่งกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงนัก” 


 


 


           จ้าวเคอยกมือไล่ “ในเมื่อเจ้าไม่กล้าออกไปพบก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ระหว่างนี้งดของเผ็ดร้อน ข้าจะไปดูคุณชายสักหน่อย” พูดจบก็เดินออกไป 


 


 


           เยว่เหนียงเห็นเขาเดินออกไปแล้วก็ลูบบาดแผลพลางขมวดคิ้ว พึมพำว่า “นั่นหมายความว่าหลายวันนี้ข้าแตะต้องสุราไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหรือ ลงแดงตายแน่…” พูดจบก็ลงจากตั่ง เดินออกไปด้วยใจคอแห้งเ**่ยว 


 


 


           เมื่อกลับมาถึงที่พักของตนเอง เยว่เหนียงขดตัวนอนบนตั่งบุนวมพลางไตร่ตรองเป็นนาน ก่อนจะลงจากตั่ง ยกมือเรียกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาหา หยิบพู่กันเขียนจดหมายลวกๆ ฉบับหนึ่ง รอจนน้ำหมึกแห้งสนิทก็ม้วนมันอย่างดี แล้วนำไปผูกเข้ากับขาเหยี่ยว 


 


 


           ไม่นานเหยี่ยวก็บินออกจากห้อง บินออกจากหอตำหนักสูงใหญ่ บินขึ้นไปเหนือผืนน้ำและเมฆลอยสูง ก่อนบินไปจากลำน้ำสวินสุ่ย   

 

 


ตอนที่ 86 อันตรายกันทุกคน

 

           รัชทายาทฉินอวี้ติดโรคห่าจนมิอาจจัดการงานบริหารบ้านเมืองได้อีก ท่านหญิงฉินเหลียนช่วย 


 


 


เซี่ยม่อหานดูแลควบคุมเมืองหลินอันอย่างเข้มงวด 


 


 


           วันแรกผ่านไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 


 


 


           วันที่สอง ขณะเซี่ยม่อหานกำลังหารือกับขุนนางทุกคนในเมืองหลินอันที่โถงประชุมก็พลันล้มหมดสติไปกับพื้น ขุนนางทุกคนพากันตกใจยกใหญ่ ทิงเหยียนรีบตะโกนเรียกเหยียนเฉิน หลังเหยียนเฉินตรวจดูอาการก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กล่าวว่า ‘เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน’ 


 


 


           สิ้นเสียง ขุนนางทุกคนก็พากันหวาดกลัว 


 


 


           ในระหว่างที่รัชทายาทติดโรคห่า เมืองหลินอันยังมีท่านโหวเซี่ยที่ทำให้จิตใจของประชาชนสงบมั่นคง ทว่ายามนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรท่านหญิงเหลียนก็เป็นสตรี เมืองหลินอันเรียกได้ว่าตกอยู่ในวิกฤตอย่างเต็มรูปแบบ 


 


 


           ทุกคนสลับกันมองหน้ากัน ทำอันใดไม่ถูกชั่วขณะ 


 


 


           “ข้าสังเกตเห็นว่าบนหน้าผากของทุกท่านส่วนใหญ่เริ่มขึ้นสีดำแล้ว มีแนวโน้มว่าจะติดโรคห่าแล้วเช่นกัน” ขณะที่ทุกคนกำลังแสดงสีหน้าวิตกกังวล เหยียนเฉินกวาดตามองแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก ล้วนเผชิญอันตรายกันทุกคน 


 


 


           โถงประชุมตกอยู่ในความโกลาหลทันที 


 


 


           “เซี่ยม่อหานติดโรคห่าด้วยจริงหรือ” ฉินเหลียนทราบข่าวก็รีบวิ่งมา คว้าแขนเหยียนเฉินแล้วรีบถาม 


 


 


           เหยียนเฉินยกมือขึ้นแผ่วเบา ปัดมือนางที่เพิ่งจับชายแขนเสื้อตน ก่อนพยักหน้ายืนยัน 


 


 


           “จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังหาสมุนไพรดำม่วงไม่เจอ ประชาชนมากกว่าครึ่งในเมืองล้วนติดโรคห่ากันหมด นี่จะทำเช่นไรดี” ฉินเหลียนเดิมทีไม่รู้สึกหวาดกลัว ทว่าเมื่อได้เห็นคนในเมืองตายไปตลอดสองวันติด เหล่าทหารยกศพไปเผาทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นางโตมาจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก เห็นอุบายแผนการทั้งในที่เปิดเผยและที่ลับ สังหารคนเพียงแค่ดีดนิ้วมาจนชินชา ทว่าก็ไม่เคยเห็นคนตายเป็นผักปลากับตาแบบนี้มาก่อน จุดไฟเผาศพกองแล้วกองเล่า ภายในระยะเวลาแค่สองวัน แต่มีคนตายไปแล้วหลายพันคน 


 


 


           หากมีแนวโน้มว่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกคนในเมืองจะติดโรคห่าและตายกันหมด เช่นนั้นก็หมายถึงแสนกว่าชีวิตที่เสียไป หลายครั้งที่นางเกือบทนไม่ไหวอยากเปิดประตูเมืองให้คนที่มิได้ติดโรคห่าออกไป แต่ก็กลัวว่าหนึ่งในนั้นจะมีคนติดโรคห่าแฝงตัวออกไปด้วย หากหลุดออกไปจะก่อหายนะไปทั่วทั้งหนานฉิน 


 


 


           แม้นางโตมาจากในวังหลวงตั้งแต่เด็ก แต่ก้นบึ้งหัวใจและเนื้อแท้ก็ได้รับการถ่ายทอดความอ่อนโยนมีเมตตากรุณาจากพระชายาอิงชินอ๋องผู้เป็นมารดาแท้ๆ มาด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงยับยั้งตัวเองสุดชีวิตมิให้บุ่มบ่ามเปิดประตูวังปล่อยคนพวกนั้นออกไป 


 


 


           สองวันมานี้ ขีดความอดทนใกล้จะพังทลายลงทุกที 


 


 


           ยามนี้เห็นเซี่ยม่อหานติดโรคห่าไปด้วยอีกคน ขุนนางในเมืองหลินอันเองก็ติดโรคห่ากันไปแล้วมากกว่าครึ่ง นางสุดจะทนไหวแล้ว 


 


 


           “ยิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ท่านหญิงยิ่งควรสุขุมไว้ อย่าได้ทำให้สถานการณ์แย่ลง” เหยียนเฉินบอก “ท่านหญิงคงทราบดีว่าตนเองควรทำสิ่งใดในเวลานี้” 


 


 


           “ข้าควรทำสิ่งใด ตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันที่สาม หากยังไม่มีสมุนไพรดำม่วงอีก พี่ฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานก็จะตายกันหมด” ฉินเหลียนหน้าซีด พึมพำขึ้น “ทำเช่นไรดี ข้าจะออกไปหาสมุนไพรดำม่วง” 


 


 


           “รัศมีห้าร้อยลี้ล้วนไม่มีสมุนไพรดำม่วง รัชทายาทส่งคนไปมากน้อยเท่าไร จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวคราวกลับมา ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน ท่านออกไปแล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน” เหยียนเฉินกล่าวเสียงเย็น “ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านหญิงออกจากเมืองในยามนี้ ผู้ใดจะดูแลเมืองหลินอัน หากในเมืองเกิดการจลาจล นึกออกหรือไม่ว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร ท่านหญิงมิใช่คนไม่รู้ความ น่าจะเข้าใจดี” 


 


 


           ฉินเหลียนถอยหลังสองก้าว เอ่ยคำใดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           เหยียนเฉินมองนางแวบหนึ่ง ตวัดมือเรียกคนมาสองคน ยกเซี่ยม่อหานออกจากโถงประชุม 


 


 


           หลังเหยียนเฉินนำเซี่ยม่อหานออกไป ทุกคนในโถงประชุมมองหน้ากัน เมื่อเห็นคนที่บริเวณหน้าผากขึ้นสีดำก็ต่างตกใจจนตีตัวออกห่าง มีคนถลันออกจากโถงประชุม เมื่อมีคนหนึ่งวิ่งออกไป คนอื่นๆ ก็พากันวิ่งตามออกไปด้วย 


 


 


           “หยุดประเดี๋ยวนี้!” ฉินเหลียนตะโกนเสียงดัง เหยียดแผ่นหลังตรงสง่า ขวางทางเข้าออกโถงประชุมเอาไว้ มองทุกคนภายในห้องโถงแวบหนึ่งแล้วตะโกนขึ้น “ใครก็ได้ เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว!” 


 


 


           ขุนนางทุกคนตกใจ 


 


 


           “ท่านหญิงเหลียน ท่านจะทำสิ่งใด” มีคนรีบเอ่ยถามขึ้น 


 


 


           “ในเมื่อเหยียนเฉินบอกว่าพวกท่านที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนติดโรคห่าเหมือนกับเซี่ยม่อหาน เช่นนั้นก็จำต้องกักตัวไว้ ห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด” ฉินเหลียนโบกมือด้วยความร้อนใจ เอ่ยทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินออกไปจากโถงประชุม 


 


 


           ขุนนางทุกคนมองหน้ากัน ล้วนแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย หมายจะฝ่าออกไปข้างนอก 


 


 


           มีผู้คุ้มกันชักกระบี่บริเวณเอวออกมา ขวางหน้าประตูแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึม “ท่านหญิงมีคำสั่ง ผู้ใดก็ตามที่ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียวต้องตาย” 


 


 


           ทุกคนพากันถอยหลังก้าวหนึ่ง 


 


 


           “เราเป็นขุนนางซื่อสัตย์ในเมืองหลินอัน ในเวลาแบบนี้ ท่านหญิงมีสิทธิ์ใดขังพวกเราทุกคนไว้ที่นี่ ในบรรดาพวกเรายังมีคนไม่ได้ติดโรคห่าด้วย” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห 


 


 


           “สิทธิ์ที่พี่ฉินอวี้มอบป้ายคำสั่งให้ข้า” ฉินเหลียนออกไปแล้วย้อนกลับมา หยิบป้ายคำสั่งออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน “ผู้ที่ได้ติดต่อสัมผัสกับคนติดโรคห่า ถึงตอนนี้ยังไม่แสดงอาการ ไม่แน่ว่าจะแสดงอาการในอีกไม่ช้า ดังนั้นพวกท่านจึงออกไปไหนไม่ได้” 


 


 


           ทุกคนเห็นป้ายคำสั่งของรัชทายาทจึงเงียบเสียงโดยพลัน 


 


 


           “หากไม่ใช่ว่าพวกท่านเป็นขุนนางในเมืองหลินอันหากแต่ไร้ความสามารถ กอบกู้อุทกภัยไม่ได้ ป้องกันโรคห่าระบาดก็ไม่ได้ มีหรือทำให้เมืองหลินอันเผชิญกับโรคห่าระบาดจนเข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ ยังส่งผลกระทบไปถึงพี่ฉินอวี้กับท่านโหวเซี่ยด้วย ทางที่ดีพวกท่านควรภาวนาให้มีคนนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยเมืองหลินอันก่อนตะวันตกดินวันพรุ่งนี้เถอะ มิฉะนั้นไม่ต้องรอจนกว่าพวกท่านแสดงอาการ ขอเพียงพี่ฉินอวี้กับท่านโหวเซี่ยเป็นอะไรไป ข้าจะสังหารพวกท่านที่ไร้ประโยชน์เสียก่อน” ฉินเหลียนแค่นเสียงในลำคอ 


 


 


           ทุกคนตกใจจนพากันถอยหลังไปหลายก้าว มีคนขาแข้งอ่อน ล้มตึงลงไปกองบนพื้น 


 


 


           ฉินเหลียนลั่นวาจาโหดเ**้ยมทิ้งท้าย เมื่อเห็นทุกคนสงบลงแล้วถึงหันหลังออกมา เดินไปยังเรือนพำนักของฉินอวี้ 


 


 


           เรือนพำนักของฉินอวี้สงบมาก ไม่มีผู้ใดก่อความวุ่นวายเลยสักคน 


 


 


           “พี่ฉินอวี้เล่า เป็นเช่นไรบ้าง” ฉินเหลียนสาวเท้ามาถึงหน้าประตู รีบถามคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง 


 


 


           “รัชทายาทอยู่ในห้อง ไอตลอดเวลา เพิ่งหยุดไปเมื่อครู่นี้ขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ 


 


 


           ฉินเหลียนพยักหน้า ก้าวเท้าเข้าไปข้างในด้วยความรีบร้อน 


 


 


           “ท่านหญิง รัชทายาทติดโรคห่า สั่งไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด” คนผู้นั้นรีบยกมือห้ามนาง 


 


 


           “เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ขุนนางเกินครึ่งในเมืองหลินอันก็ติดโรคห่าด้วย และประชาชนเกินครึ่งในเมืองหลินอันก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ยามใดแล้ว ยังห้ามข้าไปทำไมอีก หลังทุกคนติดโรคห่ากันหมด ข้าเองก็หนีไม่พ้น” ฉินเหลียนปัดมือเขาออก “ให้ข้าเข้าไป” 


 


 


           “ไม่มีคำสั่งของรัชทายาท ข้าน้อยมิกล้าให้ท่านเข้าไป” คนผู้นั้นส่ายหน้า ขวางทางอย่างเอาเป็นเอาตาย 


 


 


           ฉินเหลียนโมโห ยกมือผลักอีกครั้ง ทว่าคนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์จึงหลบได้อย่างคล่องแคล่ว 


 


 


           “พี่ฉินอวี้ พี่ฉินอวี้ ให้ข้าเข้าไป” ฉินเหลียนทำอันใดเขาไม่ได้ ทำได้เพียงตะโกนขึ้น 


 


 


           นางตะโกนหลายครั้ง ทว่ายังไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน 


 


 


           “เจ้าบอกข้ามา พี่ฉินอวี้ไม่อยู่ใช่หรือไม่” ฉินเหลียนสงสัย คว้าตัวคนผู้นั้นมาถาม 


 


 


           “ข้าอยู่” นางเพิ่งพูดจบ น้ำเสียงแหบแห้งของฉินอวี้ก็ดังขึ้นจากข้างใน 


 


 


           “พี่ฉินอวี้ ให้ข้าเข้าไป” ฉินเหลียนได้ยินเสียงเขาก็รีบกล่าว 


 


 


           ฉินอวี้ไอขึ้นสองครั้ง ก่อนเอ่ยปากถาม “เจ้าจะเข้ามาทำไม มีเรื่องด่วนรึ” 


 


 


           “เซี่ยม่อหานก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน ตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว หากยังไม่มีสมุนไพรดำม่วงจะทำเช่นไรต่อ พี่ฉินอวี้ คนที่ท่านส่งไปตามหาสมุนไพรดำม่วงส่งข่าวกลับมาบ้างหรือไม่” ฉินเหลียนรีบถาม 


 


 


           “ตอนนี้ยัง รอต่อไปอีกหน่อย” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “รอมาสองวันแล้ว ถ้าต้องรอไปอีกหนึ่งวันคงรักษาชีวิตท่านไว้ไม่ได้แล้ว” ฉินเหลียนลนลานจนใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ “เซี่ยม่อหานล้มลง ตอนนี้ข้ากักตัวขุนนางทุกคนในเมืองหลินอันไว้ที่โถงประชุม ลำดับต่อไปควรทำเช่นไร ถ้าท่านไม่ให้ข้าไปข้างใน อย่างน้อยก็บอกข้าหน่อยว่าควรทำเช่นไรต่อ” 


 


 


           “รักษาเมืองให้มั่นเหมือนเมื่อสองวันก่อน ห้ามให้ผู้ใดออกไปทั้งนั้น” ฉินอวี้บอก 


 


 


           ฉินเหลียนกำลังจะพูดต่อ หากแต่มีคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความรีบร้อน “ท่านหญิง ท่านรีบไปที่ประตูเมืองเถิด มีคนจะออกจากเมือง ตอนนี้กำลังก่อความวุ่นวายที่หน้าประตู ประชาชนหลายคนได้ยินว่าท่านโหวเซี่ยก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน จึงวิ่งไปออกันอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว” 


 


 


           “เซี่ยม่อหานเพิ่งติดโรคห่าแล้วหมดสติไปเมื่อครู่ ไฉนข่าวถึงแพร่ออกไปเร็วนัก” ฉินเหลียนตกใจจนหน้าถอดสี 


 


 


           “มิทราบขอรับ” คนผู้นั้นส่ายหน้า 


 


 


           “ต้องมีคนคอยก่อกวนลับๆ แน่” ฉินเหลียนไม่ดึงดันที่จะเข้าไปหาฉินอวี้อีกแล้ว นางรีบร้อนออกจากเรือน นำคนไปยังประตูเมืองทันที 


 


 


           หลังฉินเหลียนกลับไป ซื่อฮว่ากับผิ่นจู๋ก็เดินออกมาจากห้องของฉินอวี้ 


 


 


           คนเฝ้าประตูห้องเห็นทั้งสองก็รีบกล่าวกับผิ่นจู๋ “เจ้าเลียนเสียงขององค์รัชทายาทได้คล้ายยิ่งนัก แม้แต่ข้ายังนึกว่ารัชทายาทอยู่ข้างในจริงๆ” 


 


 


           “หากไม่ใช่คำสั่งของท่านโหวเซี่ย ข้าคงไม่ยอมเลียนเสียงรัชทายาทของเจ้าโดยเด็ดขาด เขาติดโรคห่าอยู่แท้ๆ กลับออกไปข้างนอกได้ ส่วนคนอื่นที่ติดโรคห่ากลับไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมือง ช่างไม่ยุติธรรมเลย” ผิ่นจู๋ถลึงตาใส่คนผู้นั้น 


 


 


           คนผู้นั้นชะงักงัน รีบสวนกลับทันที “รัชทายาทเองก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน ทุกคนข้างกายเขาล้วนถูกส่งไปหาสมุไพรดำม่วง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเขาจะไม่ออกไปด้วยตัวเองได้อย่างไร ข้าเองก็อยากออกไปด้วย แต่รัชทายาทบอกว่าข้าทำไม่ได้หรอก เขาจำต้องไปเอง” พูดพลางก็กลุ้มใจขึ้นมา “เดิมรัชทายาทติดโรคห่า ยังออกจากเมืองไปเพียงลำพัง หายไปตั้งครึ่งวันแล้ว อย่าได้เกิดเรื่องใดขึ้นเลย” 


 


 


           ผิ่นจู๋ได้ยินแล้วก็ตระหนักได้ว่าเป็นฉินอวี้ไม่ง่าย แต่ยังคงแค่นเสียงเย็น “รัชทายาทของเจ้าไร้ความสามารถ มาถึงเมืองหลินอันตั้งนานแล้ว กลับทำให้เมืองตกอยู่ในวิกฤตเช่นนี้ได้ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหลายปีมานี้ที่เขากับท่านอ๋องน้อยเจิงต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังนั้นเสมอกันได้อย่างไร ข้าว่าความสามารถเขาเทียบท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ได้” 


 


 


           คนผู้นั้นฟังแล้วก็เกิดโทสะทันที “รัชทายาทเดินทางขุดลอกคูคลอง ช่วยชีวิตราษฎรไปมากน้อยเท่าไรแล้ว เมืองหลินอันถูกคนมีอำนาจเบื้องหลังวางแผนลับมิใช่หรือ เดิมทีรัชทายาทนำคนมาด้วยน้อยอยู่แล้ว เรียกได้ว่าหนึ่งคนยากจะรับศัตรูจำนวนมากไหนเลยจะบอกว่าเขาไร้ความสามารถ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นอีก “อย่าลืมว่าคุณหนูของเจ้ากับท่านอ๋องน้อยเจิงแยกทางกันแล้วด้วยพระราชโองการหย่าร้าง เจ้ายังเอาแต่เอ่ยถึงความดีงามของท่านอ๋องน้อยอีกทำไม แม้เจ้าพูดถึงแต่ข้อดีเขาก็ไม่ได้ยินหรอก ตอนนี้ไม่แน่ว่าเสพสุขอยู่ที่ใดแล้ว” 


 


 


           ผิ่นจู๋ได้ยินแบบนั้นก็เลือดขึ้นหน้า “มิน่ารัชทายาทถึงออกไปทั้งยังติดโรคห่า ทิ้งเจ้าซึ่งเป็นผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ กับเด็กรับใช้เอาไว้เพียงลำพัง ที่แท้เจ้าก็ไร้ประโยชน์นั่นเอง ดีแต่พูด สมควรแล้วที่ทำได้แค่เฝ้าประตู” 


 


 


           “เจ้า…” คนผู้นั้นโมโหจนตาถลน 


 


 


           “พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ยามใดแล้วยังเถียงกันขนาดนี้อีก” ซื่อฮว่ารีบห้ามทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามองครักษ์คนนั้น “ข้าถามเจ้าหน่อย ท่านโหวเซี่ยติดโรคห่าจริงหรือ ตอนเที่ยงมิใช่ว่ายังดีอยู่เลยหรือ” 


 


 


           คนผู้นั้นหยุดทะเลาะก่อนส่ายหน้าตอบ “ท่านหญิงเหลียนบอกว่าติดโรคห่า ข้าเฝ้าตรงนี้ตลอดเวลาไหนเลยจะรู้ได้ พวกเจ้ารีบไปถามคุณชายเหยียนเฉินเถอะ ท่านโหวเซี่ยติดโรคห่าหรือไม่ เขาเป็นหมอเทวดา ทราบดีที่สุด” 


 


 


           ซื่อฮว่าพยักหน้า ยื่นมือดึงผิ่นจู๋ไปด้วย ทั้งสองรีบเดินไปยังเรือนของเซี่ยม่อหานด้วยกัน  

 

 


ตอนที่ 87 ฟางหวาเป็นตัวล่อ

 

           เหยียนเฉินนำเซี่ยม่อหานกลับมาส่งที่ห้องของเขา กำชิบทิงเหยียนว่าเฝ้าประตูให้ดี 


 


 


           ทิงเหยียนรีบรับคำ ยืนเฝ้าประตูด้วยใบหน้าเศร้า 


 


 


           เหยียนเฉินเดินมาหน้าเตียง หยิบเข็มทองเล่มหนึ่งมาปักลงตรงจุดเหรินจง*[1]บนใบหน้าเซี่ยม่อหาน หลังดึงเข็มทองออก เซี่ยม่อหานก็ฟื้นขึ้นมา พบว่าในห้องมีเพียงเหยียนเฉินก็รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง “เป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “หลังเจ้าหมดสติล้มลง ท่านหญิงเหลียนก็ออกคำสั่งปิดโถงประชุม ให้คนเฝ้าอย่างเข้มงวด ห้ามผู้ใดก้าวออกมาแม้แต่ก้าวเดียว” เหยียนเฉินกล่าว “แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเรื่องเจ้าติดโรคห่าแพร่ออกไปแล้ว ประชาชนกลุ่มใหญ่แห่กันไปที่ประตูเมืองหมายจะออกไป ท่านหญิงเหลียนไปที่ประตูเมืองแล้ว” 


 


 


           “เดาไว้ไม่ผิด หนึ่งในขุนนางมีสายสอดแนมของผู้อยู่เบื้องหลัง” เซี่ยม่อหานมีสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


           เหยียนเฉินผงกศีรษะ “ระหว่างท่านหญิงเหลียนปิดโถงประชุมยังกระจายข่าวออกไปได้ มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกเลี้ยงพิราบส่งสารไว้ข้างกาย ให้มันบินออกไปส่งข่าวผ่านหน้าต่างบนหลังคา อย่างที่สองอาจเป็นคนมีวิทยายุทธ์กำลังภายใน ส่งเสียงผ่านกำแพงได้” 


 


 


           “วันที่รัชทายาทเข้ามาพำนักที่เรือนหลังนี้ได้สั่งคนลอบวางเครื่องหอมไว้นอกกำแพงเรือน นกส่งสารทุกชนิดจะสูดกลิ่นหอมประหลาดนี้เข้าไปจนร่วงตกลงโดยไม่ละเว้น” เซี่ยม่อหานบอก 


 


 


           “เรื่องนี้ข้าทราบ ประเดี๋ยวจะลองไปตรวจสอบดู” เหยียนเฉินบอก 


 


 


           “ไปเสียตอนนี้” เซี่ยม่อหานกล่าว “หากมีคนแอบเลี้ยงพิราบส่งสารจริง เช่นนั้นก็วางแผนซ้อนแผนได้” 


 


 


           เหยียนเฉินผงกศีรษะ ก่อนหันหลังออกไปจากห้อง 


 


 


           “คุณชายเหยียนเฉิน ท่านโหวเป็นเช่นไรบ้าง ร้ายแรงหรือไม่” ทิงเหยียนเห็นเหยียนเฉินเดินออกมาก็รั้งเขาไว้ก่อน 


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่ร้ายแรง เจ้าเฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี” เหยียนเฉินเอ่ยทิ้งท้ายแล้วออกไปจากเรือน 


 


 


           ทิงเหยียนเห็นเหยียนเฉินรีบร้อนออกไป ทราบดีว่าต้องมีเรื่องด่วน เขาไม่วางใจนักจึงหันมองเข้าไปในห้อง พบว่าเซี่ยม่อหานตื่นแล้วและกำลังนั่งอยู่บนเตียง มิทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขารีบวิ่งเข้าไปหาทันที “ท่านโหว ท่านเป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “ไม่เป็นไร” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า 


 


 


           “คุณชายเหยียนเฉินบอกว่าท่านติดโรคห่า เป็น…เป็นความจริงหรือ” ทิงเหยียนถามอย่างระวัง 


 


 


           เซี่ยม่อหานพยักหน้าก่อนยกมือไล่ “ดังนั้น เจ้าควรอยู่ห่างจากข้าหน่อย” 


 


 


           ทิงเหยียนหน้าซีดขาว ทว่ามิได้ถอยหลังรักษาระยะห่างแต่อย่างใด ส่ายหน้ารัวด้วยใบหน้าเศร้า “จนป่านนี้ยังหาสมุนไพรดำม่วงไม่เจอ นี่จะทำเช่นไรดีเล่า หรือเราต้องนั่งรอความตายจริงๆ” 


 


 


           “อาจไม่ถึงตาย” เซี่ยม่อหานบอก “ยามอู่**[2]วันนี้ เหยียนเฉินพบว่าข้าติดโรคห่าตั้งแต่เมื่อไรมิทราบ เนื่องจากสองสามวันนี้ล้วนจัดการปัญหาร่วมกับขุนนางในเมืองหลินอัน เข้าออกร่วมกับพวกเขาทั้งหมด ข้าเตรียมป้องกันการติดโรคห่าตลอดมา และกินยาตามที่เหยียนเฉินสั่งเสมอ ระมัดระวังเพิ่มขึ้น แม้แต่รัชทายาทยังไม่ติดต่อด้วย ไม่ควรติดโรคห่าถึงจะถูกต้อง ทว่าข้าก็ติดโรคเข้าจนได้ พวกข้าสองคนไตร่ตรองดูแล้วคิดว่าต้องมีหนึ่งในขุนนางเป็นสาย เหมือนกับรัชทายาทที่ถูกลอบทำร้าย ทำให้ข้าติดโรคห่าไปด้วยอีกคน” 


 


 


           “เป็นขุนนางคนใดกันแน่ สมควรตายยิ่งนัก ลากตัวไปสังหารก่อนเถอะ” ทิงเหยียนฟังแล้วก็เดือดดาล “ทำร้ายรัชทายาทยังไม่พอ ยังจะทำร้ายท่านอีก” 


 


 


           “รัชทายาทติดโรคห่า หากข้าติดโรคห่าด้วยอีกคน ก็เหลือแค่ฉินเหลียนแล้ว หากมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อเหตุเพิ่มเติม หากควบคุมมิได้ ไม่ต้องรอให้โรคห่าระบาดทั่วเมืองหลินอัน เมืองแห่งนี้ก็จะตกอยู่ในความโกลาหลเสียก่อน” เซี่ยม่อหานบอก “ผู้อยู่เบื้องหลังมีจิตใจโหดเ**้ยมนัก” 


 


 


           “ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ ท่านกับรัชทายาทร่วมมือกัน นึกไม่ถึงว่ายังหาตัวไม่เจอ” ทิงเหยียนแค้นเคือง “ผู้อยู่เบื้องหลังก่อเหตุมากถึงเพียงนี้ ทำให้ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยหย่าร้างกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องน้อยกำลังทำสิ่งใดอยู่ แล้วพระชายาน้อยอยู่ที่ไหน น่าโกรธแค้นยิ่งนัก” 


 


 


           “เมืองหลวงทราบเรื่องวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันแล้ว หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ฉินเจิงน่าจะกำลังเดินทางมาเมืองหลินอัน ไม่ว่าฝ่าบาทหรืออิงชินอ๋อง หรือเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งหมด ล้วนไม่อยากให้รัชทายาทกับแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันเป็นอะไรไป” เซี่ยม่อหานพิจารณา “ส่วนน้องสาวข้า น่าจะกำลังตามหาสมุนไพรดำม่วงอยู่” 


 


 


           “ท่านบอกว่าพระชายาน้อยไปตามหาสมุนไพรดำม่วงหรือ เช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเรารอพระชายาน้อยมาถึงก็พอแล้ว นางหาสมุนไพรดำม่วงได้จริงหรือ” ทิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ 


 


 


           “ได้” เซี่ยม่อหานพยักหน้า 


 


 


           ความสิ้นหวังบนใบหน้าทิงเหยียนอันตรธานหายไป คลายความเศร้าลง ยกมือสองข้างประกบกัน “พระพุทธเจ้าคุ้มครอง พระโพธิสัตว์คุ้มครอง ขอให้พระชายาน้อยหาสมุนไพรดำม่วงได้ แล้วรีบมาที่เมืองหลินอันด้วยเถิด” 


 


 


           เซี่ยม่อหานมองทิงเหยียน ไม่แย้มยิ้มตอบแต่กล่าวขึ้น “เจ้าอย่ารีบดีใจ อย่าแสดงออกบนใบหน้า ตอนนี้ข้าเพิ่งหมดสติล้มลง ในเมืองหลินอันเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง ประเดี๋ยวเหยียนเฉินกลับมา ข้าจะหารือกับเขาอีกหน ดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสินใจอีกที” 


 


 


           ยามนี้ทิงเหยียนเบาใจลง เขารับคำแล้วถอยกลับไปหน้าประตูด้วยความดีใจ ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านธรณีประตูก็สำรวมความดีใจบนใบหน้า เปลี่ยนไปตีหน้าเศร้าเช่นเดิม ตั้งแต่เซี่ยม่อหานนำเขาออกจากเมืองหลวง เขาโตขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย และได้สั่งสมประสบการณ์จนรู้ความบ้างแล้ว 


 


 


           ไม่นานเหยียนเฉินก็กลับมาจากข้างนอก ทิงเหยียนรีบหลีกทางให้ เขาเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           “เป็นเช่นไร” เซี่ยม่อหานรีบถาม 


 


 


           “รอบนอกไร้ร่องรอย น่าจะส่งเสียงผ่านกำแพง” เหยียนเฉินส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยม่อหานย่นหัวคิ้ว “ไม่ทิ้งร่อยรอยเช่นนี้ มิน่าถึงก่อเหตุได้มากถึงเพียงนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังช่างร้ายกาจแท้” พูดจบก็กล่าวต่อ “ยังเหลืออีกหนึ่งวันจะถึงเส้นตาย ประชาชนที่ติดโรคห่าไปครึ่งหนึ่งของเมืองล้วนยื้อไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้หากยังไม่มีสมุนไพรดำม่วง ผ่านไปพรุ่งนี้ไป คนพวกนั้นแม้แต่ต้าหลัวจินเซียนก็ช่วยมิได้แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว สถานการณ์เลวร้ายยิ่ง อย่ารอต่อไปอีกเลย ส่งจดหมายหาน้องเถอะ” 


 


 


           “จดหมายน่ะส่งได้ แต่ต้องดูว่าจะส่งอย่างไร” เหยียนเฉินผงกศีรษะ 


 


 


           “หืม” เซี่ยม่อหานมองเขา “เจ้ายังมีวิธีอื่นหรือ” 


 


 


           “ผู้ใดเป็นสายในโถงประชุมกันแน่ ควรสาวตัวออกมาให้ได้ก่อน เวลานี้ผู้อยู่เบื้องหลังน่าจะยังไม่ทราบว่ารัชทายาทลอบออกจากเมืองไปแล้ว ทราบเพียงแค่เขาติดโรคห่า ไม่อาจลุกจากเตียงได้ ส่วนเจ้าก็ติดโรคห่าแล้วเช่นกัน เดิมทีร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังหมดสติไปจนทำงานไม่ได้อีก เมืองหลินอันดั่งเมืองปิดตาย ถึงอย่างไรฉินเหลียนก็เป็นสตรี แม้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ แต่ยังอ่อนประสบการณ์ ความสามารถมีกำจัด เวลานี้ผู้อยู่เบื้องหลังน่าจะบงการคนให้ก่อความวุ่นวายที่ประตูเมืองลับๆ ส่งผลให้ทั้งเมืองยังไม่ปกคลุมด้วยโรคห่าระบาดจนวุ่นวายยิ่งกว่าเก่า” เหยียนเฉินกล่าว “หากในยามนี้ คนในโถงประชุมทราบข่าวว่าฟางหวากำลังนำสมุนไพรดำม่วงมา เจ้าว่าจะเป็นเช่นไร” 


 


 


           “ต้องรีบตามไปสกัดสมุนไพรดำม่วงที่ฟางหวานำมา” เซี่ยม่อหานตอบ 


 


 


           “ถูกต้อง” เหยียนเฉินบอก “หลายวันนี้ฟางหวาหายไป เราไม่รู้ที่อยู่ของนาง ผู้อยู่เบื้องหลังย่อมไม่ทราบเช่นกันว่านางอยู่ที่ใด แต่ตอนนี้หากจู่ๆ ก็มีร่องรอยของนางขึ้นมาเล่า ย่อมไม่ปล่อยไปแน่นอน” 


 


 


           “ความหมายเจ้าคือจะล่อผู้อยู่เบื้องหลังไปสกัดฟางหวา” เซี่ยม่อหานถาม 


 


 


           เหยียนเฉินผงกศีรษะ 


 


 


           “ตั้งแต่ทั้งในและนอกเมืองหลวงจนถึงเมืองหลินอัน ผู้อยู่เบื้องหลังก่อเหตุชั่วร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เขามีจิตใจโหดเ**้ยม มีแผนการลึกล้ำ น่าจะมีความคิดความอ่านยอดเยี่ยมเช่นกัน หากเราแกล้งใช้อุบายลวง เขาต้องมองออกแน่นอน” เซี่ยม่อหานกล่าว 


 


 


           “ไม่ใช่อุบายลวง แต่ใช้ของจริง” เหยียนเฉินบอก 


 


 


           “ความหมายเจ้าคือ ล่อเขาไปสกัดฟางหวาจริงๆ หรือ” เซี่ยม่อหานมีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “ไม่ได้” เซี่ยม่อหานปฏิเสธทันที “น้องนำสมุนไพรดำม่วงมาด้วย ตอนนี้เมืองหลินอันกำลังรอสมุนไพรดำม่วงมาช่วยชีวิต หากล่อผู้อยู่เบื้องหลังกับอำนาจไปหานาง ไปสกัดนาง หรือทราบที่อยู่ของนาง เช่นนั้นนางตัวคนเดียวจะสู้ศัตรูจำนวนมากได้อย่างไร มีหรือจะไม่เป็นอันตราย อย่าว่าแต่แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันขึ้นอยู่กับนางเลย แต่นางเป็นน้องสาวข้า ข้าไม่อาจชักนำอันตรายไปหานางได้ หากนางเป็นอะไรจนถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่ที่ปรโลกได้อย่างไร ยิ่งไม่มีหน้าไปพบท่านปู่กับท่านลุงแล้ว” 


 


 


           “ตอนนี้รัชทายาทไม่อยู่ในเมือง เจ้าก็ติดโรคห่าไปด้วยอีกคน เวลานี้ที่ประตูเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย ฉินเหลียนเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แม้เติบโตในวังหลวง แต่ก็ยากจะประคองสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ล่ออำนาจเบื้องหลังพวกนั้นออกจากเมืองหลินอัน เช่นนั้นไม่ต้องรอสมุนไพรดำม่วงมาถึง เมืองหลินอันคงพังทลายลงแล้ว แสนกว่าชีวิตยากจะปกป้อง ถึงแม้ฟางหวานำสมุนไพรดำม่วงมาถึง รัชทายาทกลับมา ถึงตอนนั้นคงไม่มีประโยชน์แล้วเช่นกัน” เหยียนเฉินมองเขาแล้วกล่าวขึ้น 


 


 


           “ข้าเพิ่งติดโรคห่า ยังไม่รุนแรงนัก แค่วันเดียวยังทนไหว ข้าจะรีบไปที่ประตูเมือง ต้องควบคุมสถานการณ์ในเมืองได้แน่นอน” เซี่ยม่อหานพูดพลางก็ลุกลงจากเตียง 


 


 


           เหยียนเฉินยกมือห้าม “ฟางหวาแม้มีจิตใจดีงาม มีเมตตาเห็นใจผู้อื่น แต่เพราะอยู่เขาไร้นามมาแปดปีจึงเห็นกองกระดูกและคนตายมากน้อยจนชิน ดังนั้นสำหรับนางแล้ว แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันรวมเข้าด้วยกันยังเทียบเจ้าคนเดียวไม่ได้ เจ้าเป็นพี่ชายคนโตในครอบครัวของนาง นางยินดีที่จะเผชิญเหตุร้ายแต่ไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไป ดังนั้นถึงฝากฝังให้ข้าดูแลเจ้า ติดตามข้างกายเจ้า ป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังจะเริ่มสังหารคนแล้ว หากเจ้าออกไป ตอนนี้ที่ประตูเมืองวุ่นวายมาก ถ้าลุกลามมาถึงในเมือง ข้าไม่แน่ว่าจะคุ้มครองเจ้าได้ ดังนั้นไฉนเจ้าถึงไม่ฟังที่ข้าพูด” 


 


 


           “เหมือนที่เจ้าพูดมาทั้งหมด นางเป็นน้องสาวข้า ข้ายินดีที่จะเผชิญเหตุร้ายแต่ไม่ยอมให้นางเป็นอะไรไป ดังนั้น เจตนาที่นางมีต่อข้าและเจตนาที่ข้ามีต่อนางเหมือนกัน เจ้าจะให้ข้ากลั้นใจทำให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายเพื่อปกป้องตัวอย่างได้อย่างไร ผู้อยู่เบื้องหลังร้ายกาจเช่นนี้ หากทำร้ายนางเข้า ข้าควรทำอย่างไรต่อ ข้าผู้เป็นพี่ชายคนโตไร้ความสามารถ ไม่อาจเอาแต่พึ่งพาน้องสาวได้ตลอด เรื่องอื่นข้าฟังเจ้าได้ ยกเว้นเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ได้” เซี่ยม่อหานบอกอย่างเด็ดขาด 


 


 


           เหยียนเฉินเห็นเซี่ยม่อหานตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าเขาพูดเช่นไรอีกฝ่ายก็คล้ายกับไม่ฟังแล้ว เมื่อไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ด้วยความจำใจเขาจึงได้แต่ต้องสกัดจุดบนตัวอีกฝ่าย 


 


 


           ถึงอย่างไรเซี่ยม่อหานก็ยังไม่หายดีจากอาการป่วย ยามนี้ติดโรคห่าซ้ำอีก ยามปกติยังไม่มีแววว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเหยียนเฉินได้ ยามนี้ไม่ทันตั้งตัวก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เซี่ยม่อหานนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแปรเปลี่ยนไป มองเหยียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้า…จะทำสิ่งใด” 


 


 


           เหยียนเฉินมองเขาพลางกล่าวขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน ข้าก็คำนึงถึงชีวิตฟางหวาเช่นกัน เป็นห่วงนางไม่น้อยไปกว่าเจ้าผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ข้าไม่ให้นางเป็นอะไรไปแน่นอน ความคิดข้าคือ ล่อคนพวกนี้ออกไปจากเมืองหลินอันก่อน ข้าจะติดตามไปอย่างลับๆ ด้วย ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของเมืองหลินอันในตอนนี้ แต่ยังลอบใช้เบาะแสนี้เป็นตัวนำพา ล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกมา เมื่อทราบฐานะและที่อยู่ของผู้อยู่เบื้องหลังแล้วก็ดึงกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าวางใจเถอะ ฟางหวากับข้ารู้จักกันมาหลายปี เรามีสัญญาณลับที่รู้กันสองฝ่าย หลังข้าส่งจดหมายให้นาง นางย่อมทราบความหมายของข้าแล้ว พวกเราร่วมมือกันหน้าหลัง อย่าว่าแต่กำจัดผู้อยู่เบื้องหลังและอำนาจของเขาเลย ต้องทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังบาดเจ็บเสียหายได้แน่นอนเช่นกัน ไม่กล้าบุ่มบ่ามในเวลาสั้นๆ อีก” 


 


 


   


 


 


*จุดเหรินจง คือจุดบริเวณกึ่งกลางเหนือริมฝีปากขึ้นไป ใช้กดเพื่อช่วยให้คนป่วยฟื้นคืนสติ 


 


 


**ยามอู่ คือ เวลาประมาณ 11:00-13:00 น. 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม