เพราะรักสลักใจ 819-848

ตอนที่ 819

 

เรื่องไร้สาระมากเสียจริง

จ้าวเซิงพยักหน้า เข้าไปจับชายชราที่ยังคงกระโดดโลดเต้นพูดเจื้อยแจ้วลากออกไปข้างนอก


 


 


ชายชรากลับบิดตัวได้อย่างน่าประหลาดราวกับเคยฝึกวิชาหดกระดูก หลุดรอดออกไปจากมือของจ้าวเซิง ร้องโอ๊ยๆแล้วกระโดดไปด้านหลังซูเซียงอีกครั้ง ในปากกลับร้องโอดครวญ “เดรัจฉาน้อยช่วยด้วย เดรัจฉานน้อยช่วยด้วย พ่อเจ้าจะฆ่าคนแล้ว…”


 


 


เส้นสีดำขีดเต็มหน้าผากจ้าวเซิง แต่พอได้ยินคำว่า “พ่อเจ้า”สองคำนี้ สีหน้าเขาจึงดีขึ้นเล็กน้อย โชคดีที่ชายชราคนนี้ยังรู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกใคร ถ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆล่ะก็ ตนจะต่อยเขาให้ตาย!


 


 


ทว่านึกถึงท่าร่างพิสดารของเขาเมื่อครู่นั้น รูม่านตาหดเข้าเล็กน้อย ตามมาด้วยเงยหน้าสีหน้าประหลาดใจ “ท่าน ท่าน!”


 


 


 “เด็กน้อย ฮิฮิ ไม่เจอกันนานเจ้ายังจำข้าได้รึ” ครานี้นักพรตเสียงอวิ๋นนับว่าดีใจแล้ว เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น


 


 


 “จำได้กับผีสิ ท่านไสหัวไปให้ข้า!” จ้าวเซิงพูดแล้วก็ยกมือชี้ไปทางประตูใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ ให้นักพรตเสียงอวิ๋นรีบออกไป


 


 


 “นี่ๆ เจ้าเด็กคนนี้ ข้าจะบอกให้ ตอนเจ้าเล็กๆข้านี่แหละเช็ดอึเช็ดฉี่ให้เจ้ากินจนโต อะไรกัน พอโตแล้วก็จำคนไม่ได้เสียแล้วกระนั้นหรือ?” นักพรตเสียงอวิ๋นไม่พอใจอย่างยิ่ง ใช้แข้งขาผอมบางนั้นกระโดดโลดเต้นร้องโวยวายเหมือนลิง


 


 


 “ข้าองค์ชายจะพูดอีกรอบ เช็ดอึเช็ดฉี่ เลี้ยงดูป้อนข้าวจนโตต่างหากเล่า! ถ้าพูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด!” จ้าวเซิงโมโหจนหน้าแดงจัด


 


 


หกปีก่อนชายชราผู้นี้มิได้เป็นเช่นนี้ ดวงตาเขายังเป็นปกติ และมิได้ไว้หนวดเครายาว ดูไปแล้วยังค่อนข้างอวบอ้วนด้วยซ้ำ บัดนี้ราวกับเปลี่ยนร่างไปแล้วอย่างแท้จริง ถ้ามิใช่ด้วยสายตาที่คุ้นเคย วรยุทธ์ที่คุ้นเคยเขาก็คงจำไม่ได้แน่!


 


 


 “อยู่ดีๆ ไยท่านทำตัวเองจนกลายสภาพโง่เง่าเช่นนี้ คงมิใช่ทำเรื่องเลวสะเทือนฟ้าสะท้านดินอะไรบางอย่างจนกรรมตามสนองหรอกนะ?” จ้าวเซิงพูดด้วยสีหน้าไม่ได้ดีอะไร


 


 


ถ้ามิใช่เพราะเขาเคยสัมผัสคนแปลก เรื่องประหลาดมามากตั้งแต่เด็ก รวมกับตัวภรรยาสาวแตกต่างออกไป กลัวว่าคิดให้ตายเขาก็ไม่อยากรู้จักนักพรตโง่เง่าคนนี้


 


 


นักพรตเสียงอวิ๋นกลับไม่พอใจอย่างยิ่ง “นี่มันไม่ใกล้เคียงเลย เจ้าเลอะเทอะอะไรหา?!”


 


 


“พอแล้วๆ รีบไสหัวไป!” จ้าวเซิงไม่อยากคุยกับเขา ใช้มือชี้ไปตรงประตูใหญ่อีกครั้ง บ่งบอกว่าไล่เขาไป


 


 


นักพรตเสียงอวิ๋นไม่ยินดีอย่างยิ่ง หลบหลังร่างของซูเซียงแล้วไม่ยอมไปไหน ในปากกลับฮึดฮัดดื้อรั้น “ผินเต้าไม่ไปก็คือไม่ไป ผินเต้าจะอยู่ปกป้องเดรัจฉานน้อยของข้าอยู่ที่นี่!”


 


 


เวลาก็ผ่านไปอย่างโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้กว่าครึ่งเดือน รัชทายาทส่งจดหมายมาสอบถามสถานการณ์ของนักพรตเสียงอวิ๋นสองสามครั้ง ทุกครั้งนักพรตเสียงอวิ๋นล้วนตอบไปเพียงสองคำ “มากเรื่อง”


 


 


รัชทายาทผู้ไม่กระจ่างยังคิดว่านักพรตเสียงอวิ๋นบอกว่าทางนี้งานยุ่งมากมีหลายเรื่อง จัดการได้ยาก ไหนเลยจะรู้ว่าความหมายจริงๆของนักพรตเสียงอวิ๋นคือ : เจ้าเป็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์งานการไม่ทำ ทั้งวันเอาแต่ยึดติดสตรีนางหนึ่ง เรื่องไร้สาระมาก!


 


 


สายตาเห็นอากาศร้อนขึ้นทุกวัน ซูเซียงทำอาหารพวกวุ้นเย็นเสฉวน[1] ก๋วยเตี๋ยวเส้นใสเย็น[2] พุดดิ้งนมสด[3] และนำสูตรอาหารส่งให้เหลาสุราในเมืองหลวงด้วย


 


 


เดิมทีเพราะอากาศร้อนขึ้น คนกินหม้อไฟก็น้อยลงเรื่อยๆ กำไรลดลงบ้าง ในตอนที่พวกเขากำลังกลุ้มใจซูเซียงส่งของพวกนี้ไปก็เรียกได้ว่าฝนตกทันเวลา คลายปัญหาเร่งด่วนไฟลนคิ้ว


 


 


ร้านในเมืองหลวงและร้านสาขาตามหัวเมืองใหญ่ต่างเก็บเมนูปลาหม้อไฟและหม่าล่าทังลงแล้วเปลี่ยนเป็นเหล้าผลไม้เย็น ขนมหวานเย็น ยังมีพวกหอยโข่งผัดเผ็ด กุ้งมังกรผัดเผ็ดที่สามารถกินเย็นได้ จากนั้นซูเซียงยังส่งอาหารต้มพะโล้ รสเลิศไปให้พวกเขาอีกด้วย


 


 


ของอื่นๆขายดีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว พอของต้มพะโล้ออกมาก็เป็นที่นิยมไปทั่วทั้งเมืองหลวงทันที ไม่ว่าราคาสูงมากเพียงใด ผู้คนมากินก็ขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดนำเรื่องที่พวกเขาร่วมค้าขายกับซูเซียงแว่วไปถึงพระกรรณขององค์จักพรรดิ


 


 


ช่วงนี้ฮ่องเต้กำลังกลัดกลุ้มหาข้ออ้างให้ซูเซียงเข้าเมืองหลวงเพื่อจัดการนางให้เรียบร้อยไม่ได้อยู่พอดี บัดนี้น่ะหรือ เฮอะๆ!


 


 


ท้องของซูเซียงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว นางเดินเหินกลับยังคงรวดเร็วเบาแผ่วดุจนกนางแอ่น เดิมทีทั้งครอบครัวสุขสันต์ชีวิตคึกคักแจ่มใส ผลกลับได้รับพระราชโองการฉบับนี้ลงมากะทันหัน


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] วุ้นเย็นเสฉวน หรือปิงเฟิ่น (冰粉) เป็นขนมวุ้นหวานเย็น ตัววุ้นสีใสกินกับน้ำเชื่อมน้ำตาลแดง อาจใส่เครื่องเคียงพวกถั่วธัญพืชเพิ่มเติม นิยมทานในฤดูร้อน มีต้นกำเนิดในมณฑลเสฉวน


 


 


[2] ก๋วยเตี๋ยวเส้นใสเย็น หรือเหลียงเฟิ่น (凉粉)เส้นก๋วยเตี๋ยวยืดหยุ่นสีขาวทำจากแป้งถั่วเขียว นำมาคลุกเคล้ากับซอสรสเผ็ด


 


 


[3] พุดดิ้งนมสด หรือซวงผีหน่าย (双皮奶) เกิดจากกรรมวิธีเทนมสดซ้ำสองรอบ รอบแรกให้เกิดชั้นหุ้มก่อนหนึ่งชั้นแล้วค่อยใส่นมอีกชั้นลงไป ลักษณะคล้ายเต้าฮวยแต่ทำจากนมสด มักโรยหน้าด้วยถั่วหรือผลไม้ต่างๆ

 

 

 


ตอนที่ 820

 

สตรีตั้งครรภ์เหนื่อยล้า เจตนาไม่ดี

ในพระราชโองการกล่าวว่า ทรงทราบว่าวิธีทำของต้มพะโล้และพุดดิ้งนมนั้นเป็นซูเซียงริเริ่มบุกเบิก องค์จักรพรรดิเองทรงโปรดเครื่องเสวยแปลกใหม่ กระนั้นจึงเรียกซูเซียงเข้าเฝ้าทำขึ้นถวายด้วยตัวเอง


 


 


องค์จักรพรรดิมีราชโองการเพียงเพื่อเครื่องเสวยสำรับเดียว นี่เป็นเรื่องพิเศษหาใดเปรียบ สำหรับผู้อื่น นี่คงเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทว่าหลังได้รับราชโองการใบหน้าของซูเซียงกับจ้าวเซิงต่างดำทะมึนลง พวกเขาล้วนชัดเจนอยู่แก่ใจ คนเหล่านี้ร่ำสุรามิได้มุ่งเสพรสสุรา เข้าเมืองหลวงครานี้ เกรงว่าอันตรายยิ่งนัก


 


 


ซูเซียงคิดอยู่เสมอว่าสามารถหลบได้หนึ่งวันก็รอดพ้นได้อีกหนึ่งวัน อย่างน้อยที่สุดให้ลูกในท้องนี้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยก่อนแล้วค่อยเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านั้น


 


 


อีกทั้งหลายวันนี้นางไม่เพียงแต่เป็นสตรีตั้งครรภ์ เรื่องที่ควรจัดการนางก็กำลังจัดการ รวมถึงส่งจดหมายให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ย ให้พระนางจัดเตรียมกำลังคนจำนวนหนึ่งไว้ในวังหลวงก่อน ยังมีคนในวังคนใดบ้างที่สามารถช่วยเหลือนางได้ยามเกิดเหตุสุดวิสัย เรื่องเหล่านี้พระนางล้วนเข้าใจทะลุปรุโปร่งและเขียนจดหมายมาให้พวกเขาด้วยตนเอง


 


 


แม้นางเตรียมพร้อมเพียงพอแล้ว และรู้ว่าทางจ้าวเซิงก็แอบเตรียมการไม่น้อยเช่นเดียวกัน ทว่าในใจนางยังคงหวาดหวั่น


 


 


หลังรับราชโองการ ทุกคนในบ้านล้วนไม่มีความสุขนัก แม้ไม่รู้ว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้แต่ก็รู้ว่าจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงตั้งครรภ์เจ็ดเดือนกว่าแล้ว เป็นช่วงเวลาสำคัญพอดี องค์จักรพรรดิกลับเรียกนางเข้าเมืองหลวงเวลานี้ แท้จริงแล้วหมายความว่าอะไรกันแน่? ไม่กลัวว่าการเดินทางจะทำให้เหนื่อยล้าบาดเจ็บกระทบถึงแม่ลูก เห็นชัดว่ามิได้มีเจตนาดี!


 


 


แต่ผู้สั่งราชโองการฉบับนี้ลงมาเป็นองค์จักรพรรดิ เป็นประมุขของใต้หล้า ใครจะกล้าพูดอะไร?!


 


 


ซูเซียงกับจ้าวเซิงต่างเงียบงัน มีเพียงเสียงอวิ๋น นักพรตชราผู้นั้นที่เจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ เห็นแต่ริมฝีปากอ้าๆหุบๆของเขา เอาแต่ประณามฮ่องเต้ด้วยคำพูดจำพวกไม่เมตตาสรรพสัตว์ ไม่เอาความรักเป็นที่ตั้ง ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์


 


 


ซูเซียงฟังเขาเขาบ่นเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆก็รำคาญเหลือเกิน “พอแล้ว ท่านพูดน้อยลงสักสองประโยคได้หรือไม่? ท่านมีเวลาว่างทำแบบนี้มิสู้ช่วยคิดหาหนทางดีกว่า”


 


 


นักพรตชราฮึดฮัดหนึ่งเสียง ดูเหมือนไม่พอใจท่าทางความคิดของซูเซียงอย่างมาก “รู้แล้วๆ แม้จะเพื่อเดรัจฉานน้อยของข้าก็เถอะ แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเกิดเรื่องหรอก!”


 


 


ในวังหลวง จักรพรรดิกับรัชทายาทประทับด้วยกันอีกหน พระพักตร์สองพ่อลูกล้วนลึกเข้มดุจวารี


 


 


เป็นรัชทายาทปริปากก่อน “เสด็จพ่อ ได้ยินมาว่าท่านมีราชโองการให้สตรีผู้นั้นเข้าวังหลวงแล้ว ท่านวางแผนไว้เยี่ยงไร?”


 


 


จักรพรรดิยิ้มเยาะเสียงเย็น “แม้นเจิ้นมิอาจสังหารนาง แต่มีวิธีทรมานนาง ในท้องนางมิใช่อุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจ้าวหรอกหรือ? เจิ้นไม่แตะต้องเด็กคนนั้น รอเด็กคลอดออกมาแล้วส่งเข้าบ้านสกุลจ้าวทันทีก็เป็นอันได้ สำหรับสตรีคนนั้น หึหึ ทั้งชีวิตนี้ก็แก่ตายอยู่ในวังหลวงเถอะ!”


 


 


 “เสด็จพ่อ ความหมายของท่านคือ?” รัชทายาททูลถามอย่างไม่เข้าใจนัก


 


 


 “หึ นางทำอาหารเป็นมิใช่หรือ? เช่นนั้นเจิ้นจะพระราชทานพระมาหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นสักครั้ง แต่งตั้งให้นางเป็นนางข้าหลวงห้องเครื่อง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?” องค์จักรพรรดิหมุนแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือ พระโอษฐ์แย้มสรวลบิดเบี้ยว


 


 


หญิงสมควรตายนางนี้ บังอาจแย่งความดีความชอบกับจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์เยี่ยงเขา ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่างานสูงกลบนายรึ? ทำให้เขาเสียหน้ายังคิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีทางเสียหรอก! ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือว่าใต้หล้านี้ผู้ใดเป็นเจ้าของ!


 


 


หลายวันมานี้เขาเข้าใจแล้ว เสด็จแม่พูดถูก เขาอิจฉาผู้หญิงคนนี้ เขาอยากฆ่านาง เช่นนั้นแล้วอย่างไร ตนเป็นถึงประมุขผู้ครองแคว้น จะจัดการสตรีคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ? ตลกแล้ว!


 


 


รัชทายาทเองก็กลัดกลุ้มไม่เปล่งวาจา ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทำอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงแค่เด็กในท้องของสตรีคนนั้นไม่เกิดเรื่องนั่นคงไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรเสียเด็กคนนี้ก็ต้องสืบสกุลให้แม่ทัพจ้าว มิได้มีผลกระทบอะไรต่อเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขา จะเกิดก็เกิดไป แต่สตรีคนนั้นคิดจะยึดนั่งบนตำแหน่งจ้านหวังเฟย ไม่มีทางเสียหรอก!


 


 


พระหัตถ์ของรัชทายาทกุมแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อคลุมตัวโคร่ง หลังออกจากห้องทรงพระอักษรเขาจึงสั่งการกับขันที “ไปส่งข่าว ให้รับซูย่วนเข้ามาในวันที่ซูเซียงกับจ้าวเซิงเข้าวัง บางแผนการดูท่าว่าไม่ดำเนินการไม่ได้แล้ว”


 


 


เขาเชื่อมั่นว่าสุดท้ายจ้าวเซิงจะต้องเข้าใจความปรารถนาดีทั้งหมดนี้ของเขา ซูย่วนเป็นดรุณีดีงามถึงเพียงนั้น เพื่อแต่งให้เขาแล้วแม้กระทั่งชื่อเสียงแปดเปื้อนเสียบริสุทธิ์ก่อนแต่งนางก็ยังยินดีแบกรับไว้ น้องชายของตนยังจะไม่พึงพอใจอะไรอีก?!

 

 

 


ตอนที่ 821

 

ลอบสังหารระหว่างทางเข้าเมืองหลวง

 “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ขันทีพยักหน้ารับคำ เดินถึงหน้าประตูแล้วหันกายกลับมาอีกครั้ง “นักพรตเสียงอวิ๋นไม่ส่งจดหมายมาหลายวันแล้ว พระองค์ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกปีศาจจิ้งจอกนั่นล่อลวงเสียแล้ว?”


 


 


หัวคิ้วองค์รัชทายาทบิดเป็นตัวอักษรชวน(川) โบกมือให้ขันทีผู้นั้น “เจ้าไปจัดการงานก่อน เรื่องอื่นรอกลับมาค่อยว่ากัน!”


 


 


เขาไม่นับถือไสยศาสตร์ ครานี้ต้องจับตาดูให้ดีว่าแท้จริงแล้วซูเซียงเป็นปีศาจอะไรกันแน่! เขาเป็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ มีพลังมังกรปกป้อง จะกลัวอะไรกับอีแค่ปีศาจจิ้งจอกกระจ้อยร่อยตัวหนึ่ง!


 


 


ทางพระพันปีได้ยินว่าจักรพรรดิมีราชโองการเรียกซูเซียงเข้าวังก็ทรงกริ้วจนคว่ำถ้วยยา นอนไอบนเตียงเป็นครึ่งวันจนแทบหายใจไม่ออก “ เจ้าเดรัจฉานชั่วนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?! ”


 


 


แม่นมผู้ติดตามข้างกายเร่งมือเร่งเท้าทำความสะอาดเศษสกปรกบนเตียงให้พระพันปี ในปากเกลี้ยกล่อม “ถ้าพระพันปีทรงกริ้ว พระวรกายย่ำแย่จะไม่คุ้มกันนะเพคะ จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงจิตใจดีมีคุณธรรม สวรรค์ย่อมคุ้มครอง เราจัดคนแอบคุ้มกันอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเพคะ ”


 


 


แม่นมหยุดชะงักแล้วพูดต่อ “พูดอย่างมีฐานทรยศเนรคุณล่ะก็ จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบัดนี้ในท้องอุ้มทายาทจวนแม่ทัพจ้าว ฝ่าบาทแบกรับข้อกล่าวหาปฎิบัติมิชอบต่อขุนนางผู้มีความดีความชอบไม่ไหวหรอกเพคะ พระองค์วางใจเถิดเพคะ ”


 


 


วาจานี้ของแม่นมแท้จริงแล้วก็ค่อนข้างมีความผิดฐานเนรคุณ ทว่าในห้องบรรทมของพระพันปี มีเพียงพวกนางสองคน พูดไปก็ไม่เห็นเป็นไร


 


 


เดิมทีพระพันปีทรงกริ้วยิ่งนัก ครั้นได้ยินคำพูดของแม่นมจึงผ่อนลมหายใจลง “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าจัดเตรียมคนคุ้มกันให้ดี อย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด แล้วก็ส่งพวกเทียนฉาน(ไหมฟ้า) ออกไปให้คอยคุ้มกันระหว่างทาง อายเจียกลัวมีคนทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก”


 


 


แม่นมไม่เคยคำนึงถึงจุดนี้มาก่อน หลังได้วาจาของพระพันปีแล้วรู้สึกเย็นวาบ ตามด้วยพยักหน้ากล่าว “เกรงว่าไม่นานองค์ชายและหวังเฟยคงเข้าเมืองหลวงแล้ว เวลาบีบคั้นเข้ามา คืนนี้หม่อมฉันไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ได้ ประเดี๋ยวจะให้ฝูจื่อต้มยาให้ท่าน พระองค์ต้องรับปากกระหม่อมว่าจะดื่มอย่างดี อย่าได้ทรงโกรธกริ้วกลุ้มพระทัย”


 


 


พระพันปีกุมหน้าผากพยักหน้าอย่างจนใจ “ได้ เจ้าไปเถิด”


 


 


เป็นดังที่พระพันปีคาดคะเน มีคนทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก!


 


 


ในคืนแรกที่พวกซูเซียงมาถึงทางเข้าประตูเมือง พำนักในโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น


 


 


เนื่องด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางซูเซียงจึงไม่อยากอาหาร ดื่มเพียงน้ำแกงที่ชุ่ยหลิ่วต้มด้วยตัวเองชามหนึ่ง ไม่ได้แตะอาหารอย่างอื่น ทว่าคนอื่นๆต่างออกไป มากน้อยก็ล้วนกินกันจำนวนหนึ่ง แต่ละคนต่างสะลึมสะลือ ในขณะที่เกิดเพลิงขึ้นก็เป็นซูเซียงที่ได้สติขึ้นมาก่อน


 


 


 “ท่านพี่ตื่น ตื่น นี่ๆ! ผู้แซ่จ้าวเจ้าตื่นเดี๋ยวนี้! มารดามันเถอะ!” ซูเซียงร้องเรียกหลายเสียงก็ไม่เห็นจ้าวเซิงลืมตาตื่น รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว


 


 


แสงสว่างวาบในสมอง เดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


คว้าจ้าวเซิงทะยานลงมาจากหน้าต่างด้านหลังทันที ขณะที่นางกำลังจะโคจรพลังขึ้นไปช่วยพวกชุ่ยหลิ่วอีกครั้ง กลับเห็นคนสีขาวสีดำสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอยู่


 


 


ต่อมาเห็นสตรีปกปิดใบหน้า สวมอาภรณ์ขาว ยกผมสูง กำลังลากชุ่ยหลิ่วและพวกองครักษ์มังกรโยนออกมาข้างนางทีละคน ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้เปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว บนใบหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับตอไม้ แม้กระทั่งลมหายใจยังแผ่วเบา หากมิใช่เพราะซูเซียงร่ำเรียนมาบ้างเล็กน้อย เกรงว่านางคงไม่รู้สึกถึงเสียงลมหายใจอันน้อยนิดนี้กระมัง


 


 


สตรีอาภรณ์ขาวพาคนออกมาโดยรวดเร็วกวาดล้างกลุ่มคนชุดดำจนหมดสิ้น จากนั้นก็จากไปเร็วปานไฟอัคคี ราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน ไฟลุกโชนเผาไหม้ตลอดทั้งคืน นอกจากซากปรักหักผังและศพเกลื่อนเต็มพื้นแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย


 


 


ทว่าโชคดีที่โรงเตี๊ยมที่พวกซูเซียงกับจ้าวเซิงพักอยู่เวลานี้เดิมทีถูกคนวางกับดัก ไม่มีชาวบ้านสามัญเข้ามา ดังนั้นจึงไม่มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินจริงๆ!


 


 


ซูเซียงอยากไล่ตามไปถามสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นจริงๆว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าสตรีคนนั้นไม่แม้แต่มองนางเต็มตาด้วยซ้ำ ทะยานร่างบินไป ระดับความเร็วนั้นเฉกเช่นพิราบขาวบนนภา บินโฉบผ่านไป


 


 


ซูเซียงมุมปากกระตุก รู้ตัวว่าวรยุทธ์ของตนกับนางห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว คิดจะไล่ตามก็คงตามไม่ทัน


 


 


ชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างกายฟื้นขึ้นมอย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นสับสนเต็มหน้า ต่อมาก็ลุกกระโดดขึ้นอย่างตื่นตระหนกเต็มหน้า ดึงซูเซียงเข้ามาตรวจดูขึ้นๆลงๆ “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? องค์ชายล่ะ…”

 

 

 


ตอนที่ 822

 

หนีไม่พ้นจวนฮู่กั๋วกงดังคาด

เวลานี้จ้าวเซิงเองก็ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เย็นนี้เขากินอาหารเข้าไปค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงโดนพิษเข้มมากทีเดียว หากมิใช่เพราะกำลังภายในและปัจจัยแต่ละด้านค่อนข้างดีล่ะก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้


 


 


ชุ่ยหลิวเห็นซูเซียงกับจ้าวเซิงต่างไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจึงค่อยระบายลมหายใจโล่งอกยาวๆ จากนั้นไปปลุกพวกองครักษ์มังกรทีละคน


 


 


เช้ามืด ณ พระตำหนักโซ่วอัน พระพันปีถูกปลุกให้ตื่นจากบรรทมด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบ แม่นมยังไม่ทันเปิดปากพระนางก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


 


แม่นมเร่งฝีเท้าเข้ามาสองก้าว เอ่ยเสียงเบา “เทียนฉานเพิ่งกลับมารายงาน องค์ชายกับหวังเฟยถูกโจมตีตรงนอกเมือง แต่ดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บเพคะ ”


 


 


 “เรื่องเป็นมาอย่างไร? ฝ่ายตรงข้ามเป็นใครสืบรู้หรือไม่?!” พระพันปีทรงกริ้วแล้วอย่างแท้จริง แม้แต่หลานชายหลานสะใภ้ของนางยังกล้าลอบสังหาร นี่มิใช่ไม่เห็นหัวนางเลยหรอกหรือ!


 


 


แม่นมส่ายหน้า “ตามที่เทียนฉานรายงาน น่าจะมิใช่คนของฝ่าบาทกับรัชทายาท วรยุทธ์ของพวกเขาไม่ได้ดีมาก ทั้งยังล้วนเป็นพวกลิ่วล้อ ไม่มีหน้ามีตา”


 


 


 “หา? เจ้าบอกว่าพวกเขาวางยาในของกินรึ?!” พระพักตร์พระพันปีเย็นเยียบถึงขีดสุด “เช่นนั้นเซียงเอ๋อร์เล่า ได้กินหรือไม่ แล้วบาดเจ็บถึงเด็กในท้องหรือไม่? ”


 


 


 “รายละเอียดหม่อมฉันไม่รู้ชัด แต่ตามที่เทียนฉานกลับมาแจ้ง ดูเหมือนเป็นเพราะหวังเฟยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ไม่อยากอาหาร น่าจะไม่ได้กินของพวกนั้น ตอนนางไปหวังเฟยเป็นคนมีสติที่สุด ดูแล้วเป็นปกติดี”


 


 


พระพันปีจึงค่อยโล่งอก กล่าวเสียงต่ำ “สืบ! ไปสืบ อายเจียอยากจะเห็นนัก มันผู้ใดคิดทำร้ายหลานชายหลานสะใภ้ของอายเจีย?!”


 


 


ในตอนที่พวกซูเซียงกับจ้าวเซิงกำลังจะพักผ่อนกันอีกครั้ง กลับเห็นนักพรตเสียงอวิ๋นไสตัวเข้ามาในสภาพโงนเงนโชกเลือด “เด เดรัจฉาน้อยของข้าบาดเจ็บหรือไม่?”


 


 


ทีแรกซูเซียงเห็นสภาพนี้ของเขาก็เป็นห่วงเหลือประมาณ ทว่าตาแก่คนนี้เปิดปากปุ๊บก็เรียกแต่เดรัจฉานน้อย ไม่ถามไถ่ว่าคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง!


 


 


ซูเซียงลุกขึ้นตรวจดูอาการบาดเจ็บให้เขาทันที ยิ่งมองสายตาก็ยิ่งเคร่งเครียด ทว่าปากกลับพูดไม่รักษาน้ำใจคน “ท่านก็เห็นอยู่ว่าข้ายังอยู่ดี ท้องก็ยังอยู่ เดรัจฉานน้อยนั่นของท่านจะเป็นอะไรไปได้?”


 


 


 “ฮิๆ ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี! พวกชาติชั่วนั่น ข้าไม่ยอมปล่อยพวกมันไปแน่!” นักพรตเสียงอวิ๋นพูดแล้วตาขาวก็พลิกสลบลงไป


 


 


ซูเซียงโกรธจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดต้องการชีวิตของพวกเขา? ยังมีนักพรตชราผู้นี้ ปกติยามอยู่ในบ้านเนื้อไม่กิน มดสักตัวยังไม่กล้าเหยียบ นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ถึงทำให้เขาถือดาบไปฆ่าคน?!


 


 


เห็นร่างโชกเลือดนี้ของเขา หากมิใช่ต่อสู้เอาชีวิตกับคนแล้วจะกลายเป็นสภาพนี้ได้อย่างไร?! ทั้งยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บถึงขั้นนี้ บอกได้ชัดว่าฝีมือของฝ่ายตรงข้ามไม่ด้อยเลย


 


 


คู่สามีภรรยาซูเซียงกลัวว่านักพรตชราจะเกิดเรื่อง แม้หมอบอกแล้วว่าบาดเจ็บเพียงผิวหนังชั้นนอก ทว่าพวกซูเซียงยังอยู่เฝ้าข้างๆตลอดทั้งคืน จนกระทั่งใกล้เที่ยงวันแล้วนักพรตชราจึงค่อยตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า


 


 


ดื่มโจ๊กอึกๆไปพลาง ปากก็พร่ำด่าไปพลาง “พวกชาติชั่วฝูงนั้น ข้าจะฆ่าพวกเขาให้หมด ช่วยสรรพสัตว์ไม่ให้ถูกทำร้าย! ”


 


 


 “พอแล้วๆ ท่านพูดให้น้อยลงหน่อย รีบดื่มโจ๊กแล้วนอนพักผ่อน ดูแผลทั้งตัวท่านสิเนี่ย” ซูเซียงเห็นสภาพของเขาแล้วก็ทั้งร้อนใจทั้งรู้สึกผิด


 


 


ตนไม่เคยพูดจาดีๆทำสีหน้าดีๆกับนักพรตชราเลย แต่ผู้อื่นกลับจิตใจแน่วแน่สู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องลูกของตน ซูเซียงไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินไปเหยียบโชคขี้หมา[1]อะไรมา ถึงได้พบเจอผู้อาวุโสดีๆเช่นนี้ ทว่าว่าแต่ไรมานางพูดจาอ่อนหวานไม่เป็น แม้เป็นคำห่วงใยแต่พอออกมาจากปากนางแล้วดูเหมือนไม่น่าฟังเท่าไหร่


 


 


แต่นักพรตอาวุโสไม่ถือสา กรอกโจ๊กเนื้อลงไปอึกๆทั้งชามแล้วเริ่มบ่นโวยวาย “เห็นคนทำลับๆล่อๆอยู่ข้าก็ไล่ตามไป คิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นญาติสายแยกคนหนึ่งของตระกูลจ้าวกับฮู่กั๋วกงร่วมมือกันทำร้ายพวกเจ้า ข้าทำลายรังของพวกมันหมดแล้ว หึหึ ดูสิพวกมันยังกล้าเหิมเกริม!”


 


 


สีหน้าของจ้าวเซิงเย็นเยียบ แม้ยามปกตินักพรตชราผู้นี้ทำเรื่องไม่เข้าท่าอยู่บ้าง ทว่าแต่ไรมาเขาไม่พูดโกหก


 


 


 


 


——


 


 


[1] โชคขี้หมา (狗屎运) หมายถึงโชคดี ใช้ในความหมายเชิงประชดเล็กน้อย

 

 

 


ตอนที่ 823

 

สิ่งใดเรียกว่าหวงวาจาดุจทอง

เห็นทีน้ำที่นี่คงลึกมากทีเดียว เขาคิดว่าตัวเองเตรียมพร้อมครบถ้วนแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังถูกคนปองร้ายได้อีก ระหว่างเข้าเมืองหลวงครานี้เรียกได้ว่าอันตรายทุกฝีก้าว ยังไม่ทันเข้าเมืองหลวงก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว


 


 


ดูเหมือนนักพรตชราจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ล้วงกระดาษหนังวัว[1]แผ่นหนึ่งออกมาจากในอก “เอ้อ ข้ายังเจอนี่ในคดีของพวกเขาด้วย เจ้าดูนี่ ไยข้าเห็นว่าเหมือนแผนที่ลับทางการทหารยิ่งนักเล่า”


 


 


จ้าวเซิงรับกระดาษหนังวัวแผ่นนั้นมาอย่างรวดเร็ว ต่อมาอุณหภูมิทั้งร่างกายของเขาลดลงทีละคืบ แม้กระทั่งซูเซียงยังรับรู้ได้ นางดึงมือเขาไว้ “ใจเย็นไว้ มีเรื่องอะไรคุยกันดีๆ”


 


 


จ้าวเซิงนำกระดาษหนังวัวแผ่นนั้นวางตรงหน้าซูเซียง “เจ้าดูนี่สิ”


 


 


ซูเซียงรับแผนที่มาอ่านดูอย่างละเอียด หัวคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “นี่มัน นี่มันแผนที่ภูมิประเทศและแนวป้องกันชายแดน?”


 


 


จ้าวเซิงตอบเสียงอืมเรียบๆ ดูท่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮู่กั๋วกงอย่างที่คิด เพียงแต่น่าเสียดาย เสด็จพ่อกับเสด็จพี่รัชทายาทในตอนนี้เกรงว่าคงไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเขาแล้วกระมัง


 


 


ซูเซียงเองก็รู้ว่ามีผิดถูกจริงเท็จในเรื่องนี้ ทอดถอนใจหนึ่งเสียง “ไม่เป็นไร เรายังมีเสด็จย่าอยู่ แม้นเสด็จย่ามิได้ทำเพื่อเรา แต่คงไม่อาจเห็นใต้หล้าโกลาหลอยู่กับตาแล้วไม่ช่วยเหลือ”


 


 


 “อะไร?” เด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งเดินเข้ามา น้ำเสียงเนือยๆ


 


 


           ใครล่ะนี่? เข้ามาได้อย่างไร?


 


 


ซูเซียงมองจ้าวเซิงด้วยความสงสัย ประสบเรื่องเมื่อคืนแล้วเหล่าองครักษ์มังกรควรเพิ่มการป้องกันระวังตัว ไฉนปล่อยใครก็ไม่รู้เข้ามาตามใจชอบ?


 


 


 “เตี๋ยกู่” เด็กน้อยมองซูเซียงแล้วเอ่ยปากอย่างตระหนี่วาจา ราวกับว่าพูดมากกว่านี้อีกหนึ่งคำแล้วชีวิตนางจะหาไม่


 


 


มันบ้าบออะไรกันล่ะนั่น?!


 


 


ซูเซียงมึนงงเต็มหน้าอย่างแท้จริง แรกเริ่มยังคิดว่าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง พิศมองอย่างละเอียด เกรงว่าวิชาเซียนนางไม่ตื้นเขินเลย! คนผู้นี้คือใคร? มาทำอะไร?


 


 


           จ้าวเซิงหันกลับไปมองซูเซียงอย่างปลอบโยน แล้วจึงค่อยกล่าวกับเด็กน้อยคนนั้น “อาจารย์เจ้าจะออกจากถ้ำเมื่อไหร่?”


 


 


 “ไม่รู้” เด็กน้อยหวงวาจาดุจทอง


 


 


จ้าวเซิงอยากต่อยคน มารดาเจ้าเถอะ ช่วยพูดมากกว่านี้สักสองสามคำไม่ได้หรือ? มีเรื่องอะไรเจ้าก็รีบพูดสิ หรือว่ามาเดินเล่น?


 


 


 “ให้เจ้า” เด็กน้อยยังคงพูดอยู่สองคำ ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้นักพรตชรา


 


 


และไม่รอให้คนรับไปเต็มมือนางก็ชักมือกลับแล้ว ตาเห็นว่าแผ่นกระดาษลอยล่องร่วงตกบนพื้นนางก็ยังไม่แยแส หมุนกายไปก็ไร้เงาร่างแล้ว ราวกับเป็นวิญญาณ


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะกระดาษแผ่นนั้นยังกระพืออยู่บนพื้น ซูเซียงต้องคิดว่าทั้งหมดที่ตัวเองเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงจินตนาการไม่มีเด็กน้อยอะไรเข้ามาตั้งแต่แรก


 


 


นักพรตกลับไม่ได้โกรธเคือง ซ้ำยังหัวเราะมีความสุขพยายามลุกไปเก็บกระดาษข้างเตียงแผ่นนั้น มองออกว่าในสายตาของเขาเต็มไปด้วยชื่นชมยินดี ถึงขั้นยังมีความรู้สึกประเภทหนึ่ง…


 


 


อืม? จะพูดอย่างไรดีนะ เหมือนกับสายตาของจ้าวเซิงตอนมองตน


 


 


ตอนนี้เองชุ่ยหลิ่วหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาวางลงในมือของนักพรตชราแล้ว นักพรตชราตื่นเต้นกังวลจนนิ้วมือสั่น เปิดจดหมายออก ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นดีใจอย่างบ้าคลั่ง “นางส่งจดหมายให้ข้าแล้ว ฮ่าๆ นางยกโทษให้ข้าแล้ว ฮ่าๆ…”


 


 


นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย?!


 


 


ซูเซียงรู้สึกเหมือนสมองของตัวเองใช้การไม่ได้ หรือไฟไหม้เมื่อวานเผาสติสตังนางไปแล้ว?


 


 


จ้าวเซิงเห็นท่าทางงงๆเอ๋อๆของนาง มุมปากก็ยกเส้นโค้งน่ามองเส้นหนึ่ง ลากซูเซียงมาอยู่ข้างกายเขา กระซิบข้างหูนาง “ผู้ที่ส่งจดหมายมาให้เป็นคนในดวงใจของเขา”


 


 


อ๋อ ซูเซียงเข้าใจแล้ว แต่มุมปากกระตุก แนบข้างหูจ้าวเซิง เอ่ยเสียงเบา “อายุปูนนี้แล้ว ไยยัง…”


 


 


 “ไม่รู้จักอาย” สามคำนี้ สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดออกมา อย่างไรก็เห็นแก่ที่เขาช่วยเหลือตน จะไว้หน้าเขาหน่อยก็แล้วกัน


 


 


 “อายุปูนนี้? ฮ่าๆ…” จ้าวเซิงหัวเราะแล้วบีบมือเล็กนุ่มนิ่มของซูเซียง “เรื่องนี้พูดแล้วยาว ไว้ข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง อีกอย่างเขาไปทำอีท่าไหน ตอนนี้ถึงได้กลายสภาพแปลกประหลาดเช่นนี้ข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก”


 


 


ซูเซียงฟังแล้วก็รู้สึกว่าคงมีนิทานเรื่องยาวอยู่ภายใน ถึงขั้นอาจมีเรื่องพิสดาร อะไรคือเรียกว่า “ตอนนี้กลายสภาพแปลกประหลาด”? หรือว่าเมื่อก่อนนักพรตชราคนนี้ไม่ได้รูปร่างหน้าตาแบบนี้?


 


 


 


 


——


 


 


[1] กระดาษหนังวัว (牛皮纸) หมายถึงกระดาษคราฟท์ คือ กระดาษที่ผลิตได้จากกระบวนการคราฟท์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีในการแปลงสภาพจาก เนื้อไม้เป็นเยื่อกระดาษไม้ โดยใช้สารเคมีและความร้อนในการแยกเยื่อ และขจัดลิกนิน เยื่อกระดาษที่ได้จากกระบวนการคราฟท์นี้ จะได้กระดาษที่มีความแข็งแรงหรือเหนียวกว่ากระดาษชนิดอื่น โดยปกติกระดาษคราฟท์จะมีสีน้ำตาล ตามสีของเนื้อไม้ที่นำมาผลิต ในอดีตอาจหมายถึงหนังวัวแผ่นบางที่นำมาใช้แทนกระดาษจริง หรือหมายถึงกระดาษสีน้ำตาลทำจากเยื่อไม้ที่มีความเหนียวทนทาน

 

 

 


ตอนที่ 824

 

เข้าวังประสบความลำบากใจ

“ต่อไปนี้เจ้าต้องระวังให้มาก ปกป้องเดรัจฉานน้อยของข้าให้ดี เตี๋ยเอ๋อร์บอกแล้วว่า รอให้นางออกจากถ้ำเห็นเดรัจฉานน้อยแล้วนางจะยอมยกโทษให้ข้า ฮ่าๆ!”


 


 


ขณะที่ซูเซียงกำลังตำหนิอยู่ในใจ นักพรตชราก็เอ่ยตามมาอีกหนึ่งประโยค “บอกตั้งแต่แรกแล้ว เตี๋ยเอ๋อร์กับข้าเป็นคู่ฟ้าประทาน ฮ่าๆ ใจตรงกันล่ะ ต้องตาเดรัจฉานคนเดียวกัน! ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”


 


 


เอ๊ะ? ประโยคนี้หมายความว่า ก่อนหน้านี้สองคนไม่เคยติดต่อกัน?


 


 


ณตำหนักพระพันปี ดรุณีอาภรณ์ขาวยกผมทรงสูงคนนั้นกำลังคุกเข่าข้างหนึ่ง รายงานภารกิจต่อพระพันปี “หน่วยลับของฮู่กั๋วกงถูกกำจัดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของเฟิงอวิ๋น ใช่แล้ว ข้าน้อยยังบังเอิญเจอเด็กรับใช้ของท่านหมอเตี๋ย แต่ไรมานางไม่ชอบสุงสิงไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ออกมาโดยไม่มีเหตุผล ข้าน้อยเดาว่า…”


 


 


พระพันปีตื่นตะลึง “เจ้าดูดีแล้วหรือ แน่ใจว่าเป็นเด็กรับใช้ของท่านหมอเตี๋ย?”


 


 


พอพูดถึงเด็กคนนี้ สตรีอาภรณ์ขาวที่หน้านิ่งไร้อารมณ์มาตลอดมุมปากเกิดกระตุกอย่างน่าสงสัย พวกนางสองคน พูดให้น่าฟังหน่อยก็ “ความสัมพันธ์ลึกล้ำ” พูดให้ไม่น่าฟังล่ะก็ เฮอะ…


 


 


 “เพคะ ข้าน้อยไม่มีทางมองผิดแน่!”


 


 


เด็กหญิงตัวน้อยมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงทั้งยังหวงวาจาดุจทองคำคนนั้น พระพันปีเองก็รู้จัก คนผู้นั้นน่ะหรือ ขอเพียงแค่เคยสื่อสารกับนาง นั่นย่อมเป็นฝันร้ายทั้งชีวิต กลายเป็นเถ้าธุลีแล้วก็ยังจำได้!


 


 


 “ในเมื่อเป็นเด็กรับใช้ของหมอเตี๋ย เช่นนั้นผู้ที่ลงมือแปดส่วนก็เป็นเฟิงอวิ๋นแล้ว” พระพันปีเอ่ยอย่างครุ่นคิด บุญคุณความแค้นระหว่างคนทั้งสองนางก็พอรู้อยู่บ้าง คู่รักคู่กัดกันมิใช่หรือ เพียงแต่ สองคนนี้ไม่ปรากฏโฉมทางโลกนานมากแล้ว เหตุใดครานี้?


 


 


สามวันต่อมา ซูเซียงกับจ้าวเซิงเข้าวังรับราชโองการอย่างเป็นทางการ


 


 


 “กงกงเอ่ยเช่นนี้หมายความอย่างไร?” จ้าวเซิงมองกงกงผู้รับใช้ข้างกายพระบิดาด้วยหน้านิ่งเย็นชา


 


 


 “นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท กระหม่อมเพียงประกาศราชโองการ ขอท่านอ๋องอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย ฝ่าพระบาททรงตรัสแล้วว่า จวิ้นจู่เข้าวังควรปฎิบัติตามระเบียบของจวิ้นจู่ ไร้แม่สื่อสู่ขอหมั้นหมาย เดินด้วยกันกับท่านอ๋องมิสอดคล้องตามกฎ” กงกงผู้นั้นแม้ก้มหน้าพูด ทว่าสารที่เผยออกมานั้นทำให้คนไม่ใคร่ปลื้มใจนัก


 


 


 “อะไรคือไร้แม่สื่อสู่ขอหมั้นหมาย นางเป็นภรรยาของข้าองค์ชาย มีสินสอดมีทะเบียนสมรส ไยไม่อาจเข้าวังพร้อมกับข้าได้?!” จ้าวเซิงรู้แต่แรกว่าเรื่องวันนี้คงไม่ราบรื่นนัก แต่คาดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะสำแดงอำนาจข่มเหงถึงเพียงนี้ อารมณ์เรียกได้ว่าจมดิ่งถึงก้นบึ้ง


 


 


 “กระหม่อมเพียงประกาศราชโองการ ขอท่านอ๋องโปรดอภัย!” กงกงยังคงก้มหน้า ไม่อ่อนน้อมไม่อวดดี


 


 


ซูเซียงกลัวจะเกิดเหตุทะเลาะอะไรขึ้น ดึงแขนเสื้อของจ้าวเซิงไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นเรียนถามกงกง ข้าจวิ้นจู่ต้องไปเข้าเฝ้าถวายบังคมไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงก่อนหรือไม่?”


 


 


มุมปากของกงกงผู้นั้นปรากฏรอยเย้ยหยัน พูดในใจ : เป็นแค่หญิงชนบทบ้านป่า  ยังคิดไปเข้าเฝ้าพระพันปี คิดว่าพึ่งใบบุญต้นไม้ใหญ่อย่างพระพันปีแล้วฝ่าบาทจะทำอะไรเจ้าไม่ได้สิท่า?


 


 


 “ฝ่าบาทมีราชโองการ เชิญจวิ้นจู่ไปห้องเครื่องจัดเตรียมพระกระยาหารเที่ยงให้ฝ่าบาทและเชื้อพระวงศ์ เรื่องอื่นค่อยว่ากันภายหลังเถิด” กงกงตอบไม่ยินดียินร้าย


 


 


นี่หมายความว่าอะไร?! เห็นนางเป็นแม่ครัวหรือ?!


 


 


ขณะที่จ้าวเพลิงกำลังจะระเบิดโทสะ แม่นมสนองโอษฐ์ของพระพันปีก็มุ่งเข้ามา “ถวายบังคมเซียงหรงจวิ้นจู่ ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงรอจวิ้นจู่อย่างใจจดใจจ่อ เชิญจวิ้นจู่รีบตามหม่อมฉันมาเพคะ”


 


 


ซูเซียงเห็นแม่นมหน้าตาใจดีคนนี้ก็ใจชื่นขึ้นสองส่วน ทว่าก็รู้ดี ในวังหลวงแห่งนี้แต่ไรมาผู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ จึงหันหน้ามองจ้าวเซิงถามความคิดเห็นของเขา


 


 


ตอนแม่นมมาถึงสายตาของจ้าวเซิงก็อ่อนลงมาแล้ว กุมมือซูเซียงแล้วตบๆ “นางเป็นแม่นมติดตามข้างกายเสด็จย่า เจ้าวางใจตามนางไปเถิด”


 


 


ซูเซียงจึงค่อยยิ้มออก วางใจลงได้ไม่น้อย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงแค่มีพระพันปีปกป้อง อย่างมากที่สุดก็ถูกกดดันให้ลำบากใจ ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับนาง


 


 


 “ขอบพระคุณหมัวมัวนำทาง” ซูเซียงกล่าวกับแม่นมคนนั้นอย่างเกรงใจ


 


 


แม่นมอดมิได้ที่จะเหลือบมองซูเซียง เคยได้ยินท่านผู้นั้นเอ่ยถึงมานานแล้วว่าเป็นสตรีรู้ความรู้มารยาททั้งยังเปิดกว้างร่าเริง วันนี้ได้พบเจอ ใจกว้างเป็นธรรมชาติ ไม่ใจร้อนบุ่มบ่ามอย่างที่คิด อีกทั้งดูแล้วกับท่านอ๋องยังรักใคร่เชื่อใจกันอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดพระพันปีคงวางพระทัยได้แล้ว


ตอนที่ 825 ในที่สุดพระพันปีก็ได้พบหลานสะใภ้ของตน


 


 


ซูเซียงไปเข้าเฝ้าพระพันปีก่อน ระหว่างทางแม่นมชราปฏิบัติต่อนางอย่างรักใคร่เป็นมิตร พูดพลางยิ้มพลาง สิ่งนี้ทำให้ความรู้สึกกังวลเรื่องเล็กน้อยของซูเซียงคลายลงไปได้มาก


 


 


พระพันปีเองก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด พอนางรู้ว่าซูเซียงกำลังจะมาเข้าเฝ้านางก็ถึงกับตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เดี๋ยวก็ถามบ่าวรับใช้ข้างกายว่าหวีพระเกศาเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง เดี๋ยวก็ถามว่าฉลองพระองค์บนตัวเหมาะสมหรือไม่ ราวกับคนที่นางจะพบเจอมิใช่อนุชนคนหนึ่ง แต่เป็นคนสำคัญมากในชีวิต


 


 


หลังผ่านการรับรองสามรอบแล้ว พระพันปีจึงเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง


 


 


เวลานี้ได้ยินเสียงร้องของขันที “เซียงหรงจวิ้นจู่เข้าเฝ้า…”


 


 


พระพันปีไม่สนใจฐานะอะไรแล้ว ตะลีตะลานออกไปต้อนรับ ซูเซียงเพิ่งเข้าประตูก็เห็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังสาวเท้าเร่งมาทางนาง ไม่รู้เพราะเหตุใด เพียงเห็นก็รู้สึกสนิทสนมกับผู้อาวุโสท่านนี้ขึ้นเป็นเท่าตัว


 


 


ตอนพระพันปีจับมือนางไว้ ซูเซียงรีบยอบกายคุกเข่าลงไป “เซียงหรงถวายบังคมพระพันปี ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”


 


 


เดิมทีซูเซียงทนดูกฎพิธีรีตองในวังแห่งนี้ไม่ได้ คิดเสมอว่าคนเราเท่าเทียมกัน คุกเข่าให้ฟ้า คุกเข่าให้ดิน คุกเข่าให้บิดามารดา ทำไมต้องคุกเข้าให้คนอื่น ทว่าวันนี้กลับนางคุกเข่าจากใจริง ไม่มีความคิดฝืนใจแม้แต่น้อย และนางเรียกตัวเองว่าเซียงหรงแทนที่จะเป็นซูเซียง เพราะบรรดาศักดิ์นี้เป็นชื่อที่พระพันปีพระราชทานให้แก่นาง นับเป็นการให้เกียรติอย่างหนึ่ง


 


 


พระพันปีรีบให้คนประคองซูเซียงขึ้นมา จูงมือนางนั่งบนตั่งนุ่ม คิ้วตาอมยิ้ม ตบมือของนางไม่หยุด “ดี ดี ดี เป็นเด็กดี เป็นเด็กดี… ”


 


 


จากนั้นก็วางสายตาลงบนท้องของซูเซียง “ครรภ์นี้ดูท่าเจ็ดเดือนกว่าแล้วกระมัง ทารกในครรภ์คงที่แล้ว ปกติกินอยู่หลับนอนยังสะดวกสบายหรือไม่?”


 


 


ซูเซียงไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นกังวลแล้ว ยิ้มน้อยๆ ลูบท้องของตัวเองทูลตอบพระพันปี “เป็นพระกรุณาธิคุณไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงห่วงใย ลูกในท้องแข็งแรงดี ใกล้เข้าแปดเดือนแล้ว ยามปกติยังกินดีนอนหลับดีเพคะ จ้าวเซิงผู้นั้นแม้ไม่ละเอียดอ่อนแม้แต่น้อย ทว่ากับข้าและลูกล้วนเอาใจใส่มากทีเดียว ”


 


 


วาจานี้ของซูเซียงมากน้อยก็ยังจาบจ้วงอยู่บ้าง อย่างไรต่อให้เป็นชายาเอกนั่นก็มิอาจเอ่ยนามขององค์ชายโดยตรงต่อหน้าลับหลังคนได้ ทว่าซูเซียงกลับพูดออกมาเป็นปกติ สิ่งนี้ทำให้พระพันปีพอพระทัยยิ่งนัก อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาว่าดีมากอย่างแท้จริง


 


 


 “ดีๆ เขาดีกับเจ้าก็ดีแล้ว ถ้าเขากล้ารังแกเจ้า เจ้าบอกอายเจีย อายเจียจะต่อยเขาให้กลิ้งเลยคอยดู เด็กคนนี้ หนังเหนียวตั้งแต่เด็ก เจ้าไม่ชกเขาสักหมัดก็ไม้รู้จักเจ็บหรอก!”


 


 


พระพันปีพูดติดตลกพลางรับน้ำชาและของว่างที่แม่นมยกมาส่งให้ซูเซียง “คาดว่าเข้าวังมาแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลยกระมัง ตอนนี้เจ้าหนึ่งคนกินสองคนอิ่ม อย่าได้ว่างเว้น อีกอย่าง นี่เป็นของกินในวังหลวงต้องระมัดระวัง นอกจากของที่อายเจียส่งให้เจ้ากับมือแล้วอย่างอื่นห้ามรับส่งเดช เข้าใจหรือไม่?”


 


 


ในใจซูเซียงตะลึงงันอยู่เล็กน้อย แต่นางเองก็เข้าใจ ทุกคนในวังแห่งนี้ล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโอ่อ่าหรูหรา ทว่าแท้จริงแล้วในใจนั้นสกปรกมากเพียงใดใครเล่าจะบอกได้!


 


 


เพื่อลูกในท้อง นางจำเป็นต้องระวังแล้วระวังอีก โชคดีที่ยังมีตำหนักพระพันปีเป็นสถานที่ปลอดภัยไว้แห่งหนึ่ง ได้กินอะไรบ้างเล็กน้อย


 


 


ซูเซียงรีบรับของที่พระพันปีส่งมา ยิ้มตาหยีกล่าว “ขอบพระคุณพระพันปี พูดแล้วท้องก็หิวขึ้นมานิดหน่อยแล้วเพคะ”


 


 


 “เจ้าเด็กคนนี้ หิวแล้วก็ไม่รีบบอก ถ้าอายเจียไม่ถามเจ้ามิพักต้องอดรึ ใช่แล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของเซิงเอ๋อร์ ต่อไปก็เปลี่ยนมาเรียกข้าว่าเสด็จย่าได้แล้ว” พระพันปีตรัสอย่างจริงจัง ทว่านัยน์ตากลับเจือแววหยอกล้อ


 


 


ซูเซียงกำลังยัดขนมชิ้นใหญ่เข้าปาก พอฟังคำของพระพันปีก็พลันก้มหน้างุด ใบหน้าแดงแจ๋ นางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตนซึ่งเป็นคนหนังหน้าหนาไม่เกรงฟ้ากลัวดิน บัดนี้มันเรื่องอะไรกัน ถึงกับรู้สึกหน้าร้อนลวก ใบหน้าคงแดงมากแน่ๆ นางไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 826 วาจานี้นางจะตอบตกลงได้อย่างไร


 


 


ในเวลานี้เอง นอกประตูมีขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “กราบทูลพระพันปี ฝ่าบาทเชิญเซียงหรงจวิ้นจู่ไปเตรียมพระกระยาหารที่ห้องเครื่องทันที”


 


 


พระพันปีถลึงตาโมโห ปาถ้วยชาในมือไปทางขันทีคนนั้น “ไม่เห็นหรือไร หลานสะใภ้ข้ากำลังตั้งครรภ์ กิน กิน กิน รู้จักแต่กิน! ห้องเครื่องมีอาหารที่พ่อครัวทำตั้งมากมายยังไม่พออีก หรือทำเสียมากขนาดนั้นไว้เลี้ยงให้หมูกิน?!”


 


 


เอ่อ…


 


 


ขนมชิ้นหนึ่งติดอยู่ตรงคอคอยซูเซียง กลืนไม่ลง คายไม่ออก นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพระพันปีของแคว้นพูดขึ้นมาแล้วถึงกับ อืม ให้ตาย ถูกจริตนางเหลือเกิน


 


 


ขันทีผู้นั้นคุกเข่าโขกหัวตึงตังทันที ไม่สนใจว่าบนพื้นที่คุกเข่าอยู่นั้นมีเศษถ้วยแตกอยู่หรือไม่ เอาแต่โขกศีรษะจนเลือดไหล “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงโปรดประทานอภัย ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงโปรดประทานอภัย กระหม่อมเพียงมาตามพระบัญชา พระพันปีโปรดไว้ชีวิต พระพันปีโปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พระพันปีรับไม่ได้กับวิธีการนี้ของฝ่าบาทเป็นที่สุด มักใช้ชีวิตของผู้อื่นมาข่มขู่นาง หรือเห็นแค่ชีวิตของตนเป็นชีวิต พอเป็นชีวิตของผู้อื่นก็ไม่ใช่เสียแล้วหรือ?! ถ้ามิใช่ลูกที่ตนให้กำเนิด ปีนออกมาจากท้องของนาง ป่านนี้คงเฉดหัวไปแล้ว!


 


 


พระพันปีพลันบันดาลโทสะ ฉวยหมอนอิงข้างตัวได้ใบหนึ่งก็โยนออกไป “ไป กลับไปรายงานเจ้าลูกอกตัญญูนั่น คิดจะให้หลานสะใภ้และหลานชายของอายเจียทำให้พวกเขากิน ไม่กลัวจะติดคอตาย!”


 


 


ซูเซียงกลัวพระพันปีจะโมโหแล้วขว้างถ้วยชาที่อยู่ข้างนางด้วย จึงรีบยกขึ้นมากรอกเข้าปากอึกๆ สองคำ แล้วค่อยกลืนขนมลงไปได้อย่างยากลำบาก


 


 


ดังคาด ตอนที่นางยกถ้วยชาขึ้นพระหัตถ์ของพระพันปีก็ยื่นออกมาแล้ว ทว่ากลับคว้าได้ความว่างเปล่า บนหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่หันหน้าไปตำหนิขันทีทันควัน “ยังไม่ไสหัวไป!”


 


 


ขันทีไม่พูดอย่างอื่น เพียงแค่คุกเข่าโขกศีรษะบนพื้นไม่หยุด “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงโปรดไว้ชีวิต ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงโปรดไว้ชีวิต…”


 


 


ซูเซียงเองก็มองออกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ก็แค่อยากให้นางไปทำอาหารมื้อเดียว ไยต้องเอาชีวิตคนมาข่มขู่ด้วย พอดีนางกับพระพันปีเป็นแนวเดียวกัน ทนดูไม่ได้เป็นที่สุดก็คือเรื่องประเภทนี้


 


 


ซูเซียงเห็นขันทีคนนี้แล้วก็นึกสงสาร ถ้าตนไม่ไปห้องเครื่องจริงๆ ล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงชีวิตของขันทีผู้นี้คงรักษาไว้ไม่ได้ ระหว่างพระพันปีกับฝ่าบาทบางทีอาจเกิดการทะเลาะขึ้นรุนแรง รู้กันอยู่ นี่ล้วนเป็นชนชั้นสูงสุดของประเทศ หากมีลมพัดใบหญ้าสั่นไหว สำหรับคนที่อยู่เบื้องล่างแล้วนั่นคือพายุฝนคาวโลหิตห่าหนึ่ง


 


 


ซูเซียงทอดถอนใจ แม้เวลาสถานที่ต่างกัน ทว่าล้วนเป็นดั่งที่เห็นในหนังสือประวัติศาสตร์ ภายนอก วังหลวงดูเหมือนโอ่อ่าหรูหรา ในความเป็นจริงนั้นเป็นสถานที่ดำมืดกลืนกินคนไม่คายกระดูก!


 


 


ซูเซียงคิดๆ แล้ว เลือกใช้ภาษาครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยปาก “พระกระยาหารเพียงมื้อเดียว เซียงหรงสามารถทำให้ได้ ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงเห็นส่วนรวมเป็นสำคัญ”


 


 


ซูเซียงพูดแล้วยังส่งสายสายให้พระพันปี พระพันปีเดิมทีโกรธจนขึ้นสมอง ทว่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูเซียงก็เข้าใจโดยพลัน เด็กคนนี้! เฮ้อ นี่มันช่าง….จิตใจดีเช่นนี้ ใจกว้างเช่นนี้จะเสียเปรียบเอาได้!


 


 


พระพันปีเป็นใคร? ล้มลุกคลุกคลานในวังหลวงกินคนไม่คายกระดูกแห่งนี้มานานเกินครึ่งชีวิตแล้ว สายตาที่ซูเซียงส่งมาให้นางมีหรือจะไม่เข้าใจ ชิงชังก็แต่บุตรโง่เง่าไม่ได้เรื่องที่ตนให้กำเนิดออกมา ซ้ำยังมองพลาด แต่งตั้งรัชทายาทผู้ไม่คู่ควรกับตำหนักบูรพา!


 


 


เห็นพระพันปีผ่อนคลายลง ซูเซียงจึงพูดต่อ “ไท่โฮ่วเหนียงเนียงโปรดวางใจรออยู่ในตำหนักเถิดเพคะ ประเดี๋ยวเซียงหรงจะกลับมาถวายบังคมพระองค์”


 


 


วาจานี้ของซูเซียงอันที่จริงก็ค่อนข้างจาบจ้วง อย่างไรพระพันปีหาได้ทรงอนุญาตให้นางไป นางเป็นคนบอกเองว่าจะไป หากพระพันปีไม่พอพระทัยขึ้นมา ต่อให้ประหารแล้วก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตเหตุผล แต่พระพันปีกลับประทับใจต่อสิ่งนี้เหลือประมาณ ถอนพระทัยหนึ่งเสียง “เอาเถิด เอาเถิด เช่นนั้นเจ้ารีบไปรีบกลับ เตรียมของง่ายๆ สองสามอย่างให้หมูพวกนั้นกินก็พอแล้ว อย่าเปลืองแรงกระทบร่างกายตัวเอง!”


 


 


มุมปากซูเซียงกระตุก วาจานี้นางจะตอบตกลงได้อย่างไร? อาหารที่ทำเหล่านี้ต้องทำให้โอรส หลานชายและเหล่าลูกสะใภ้ของพระนางเชียวนะ…


 


 


พระพันปีตอบตกลงซูเซียงแล้วก็เรียกแม่นมคนสนิทของตนเข้ามา กระซิบข้างหูหลายประโยค จากนั้นยังมอบเข็มเงินเล่มหนึ่งให้แม่นมนางนั้น




ตอนที่ 827 ถึงกับซ่อนยาพิษไว้ในผักของห้องเครื่อง


 


 


ตอนซูเซียงออกประตูพระพันปียังกำชับเป็นพิเศษอีกหนึ่งประโยค “วาจาที่อายเจียพูดกับเจ้าเมื่อครู่ คงจำได้?”


 


 


ซูเซียงทบทวนความคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนเมื่อครู่พระพันปีจะพูดกับนางหลายคำทีเดียว? แต่หางตาของนางเหลือบเห็นเข็มเงินที่พระพันปีส่งให้แม่นม พริบตานั้นก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว ขานตอบอย่างว่าง่ายทันที “เซียงหรงล้วนจดจำได้ ขอพระพันปีทรงวางพระทัย เซียงหรงจะดูแลตัวเองและลูกในท้องเป็นอย่างดีแน่นอน”


 


 


โดยรวดเร็ว ซูเซียงกับแม่นมคนสนิทของพระพันปีก็ถูกนำทางมาถึงห้องเครื่อง เวลานี้คนในห้องเครื่องส่วนใหญ่ถูกไล่ให้ออกไปหมดแล้ว ภายในห้องกว้างเหลือเพียงหญิงสาวรับใช้ช่วยงานจิปาถะสองคน และตอนพวกนางเข้ามาเด็กรับใช้สองคนนี้ก็อธิบายชัดเจนแล้วว่าเป็นคนของพระพันปี ดังนั้นจึงขอให้พวกนางใช้งานได้อย่างสบายใจ


 


 


ซูเซียงจึงค่อยวางใจ มองวัตถุดิบรอบห้องเครื่อง ยังมีพวกเครื่องปรุงรสล้วนค่อนข้างครบครัน ทว่าในใจนางยังไม่วางใจ อย่างไรนี่ก็ทำอาหารถวายจักรพรรดิเหล่าชนชั้นสูง หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่อาจรักษาตัวนางกับลูกในท้องได้ แม้แต่จ้าวเซิงและคนในครอบครัวนางเองก็ไม่มีทางรอดพ้น


 


 


นางสั่งการกับแม่นมข้างกายเสียงเบา แม่นมพยักหน้าแล้วตรวจดูบานประตูหน้าต่างอย่างละเอียดหนึ่งรอบ มั่นใจแล้วว่าด้านนอกไม่มีคนแอบดูจึงค่อยวกกลับเข้ามา และมิได้ละเว้นหญิงรับใช้สองคนนั้น นำวัตถุดิบและเครื่องปรุงทั้งหมดตรวจสอบดูอีกรอบ อย่างที่คิด ตรวจพบของใส่ยาพิษไม่น้อยในนั้น


 


 


แม้ทั้งหมดมิใช่ยาพิษพวกหงอนกระเรียนแดง[1] เห็นเลือดผนึกคอ[2] เป็นแค่ยาพิษอ่อนๆ ทว่านี่เป็นอาหารที่ทำขึ้นถวายจักรพรรดิและพระพันปี หากถูกค้นพบเข้าจะเกิดอะไรขึ้น?!


 


 


แม่นมชราโกรธจนตัวสั่น อยากโยนข้าวของพวกนั้นทิ้งเสีย แต่ถูกเสียห้ามปรามไว้


 


 


 “อย่าเพิ่งโมโห บัดนี้โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ เราเลี่ยงของมีพิษพวกนั้นก็เป็นอันได้แล้ว”


 


 


ซูเซียงกับแม่นมตั้งใจละเอียดรอบคอบ ตอนซูเซียงใช้วัตถุดิบใด แม่นมก็จะตรวจสอบดูอย่างละเอียดซ้ำอีกรอบ ตรวจถึงก้านผักทุกก้าน ใบผักทุกใบ ก็ยังแยกส่วนที่มียาพิษออกมาได้ไม่น้อย


 


 


แม่นมชราโกรธจนขั้วหัวใจปวดแปลบ แต่กลับเห็นซูเซียงจับตะหลิวทำกับข้าวอยู่ตรงนั้นอย่างสุขุมเยือกเย็น ใครว่าเป็นหญิงโง่เขลามาจากบ้านนอก? สติอารมณ์เช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ฮองเฮาในวังก็ยังสู้ไม่ได้!


 


 


ซูเซียงระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทุกครั้งที่หันตัวไปหยิบของล้วนตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีสิ่งใดอันตรายถึงตนและลูกในท้องบ้าง ยามเข้าใกล้เตาไฟก็ยิ่งระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวส่วนที่นูนออกมาจะกระแทกท้องของตน


 


 


แม่นมชราตื่นตะลึงอยู่ในใจ สตรีมีสติไม่ตื่นตูม ทั้งรู้ควรรู้ไม่ควร รู้จักปกป้องตัวเองเช่นนี้ ถ้ามิใช่…เกรงว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟยหรือฮองเฮาในอนาคตนางก็สามารถเป็นได้


 


 


เวลานี้ในใจของแม่นมชรามีความตั้งใจอื่นแล้ว หากฝ่าบาทและองค์รัชทายาทสำนึกผิด นางก็จะปล่อยความคิดนั้นให้เน่าอยู่ในท้อง แต่หาก…ต่อให้นางถึงตายก็ต้องกราบทูลขอร้องพระพันปีให้เปลี่ยนมารดาของแผ่นดิน! ในเมื่อมารดาของใต้หล้าเปลี่ยน เช่นนั้นก็…


 


 


จ้าวเซิงไปเข้าเฝ้าถวายบังคมองค์จักพรรดิก่อน จักรพรรดิเพียงพยักหน้ารับอย่างไม่ยินดียินร้ายแล้วโบกมือให้เขาออกไป


 


 


อย่างไรเสียจ้าวเซิงก็ไม่อยากรั้งอยู่ในตำหนักของพระบิดานานอยู่แล้ว จึงมิได้จิตตกพิรี้พิไรอะไร ร้อนใจรีบเร่งไปพระตำหนักของพระพันปี ทว่าเดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกรัชทายาทขวางทางไว้ ต้องการลากคนไปนั่งในตำหนักให้ได้ พูดไปพูดมาจ้าวเซิงไร้ทางปฏิเสธ คิดว่าซูเซียงอยู่ในตำหนักพระพันปีคงไม่เกิดเรื่องอะไร จึงเดินตามองค์รัชทายาทไป


 


 


ไปนั่งในตำหนักของรัชทายาทได้ไม่ถึงสองนาที องค์รัชทายาทก็ทอดถอนพระทัยหนึ่งเสียง เปิดปากตรัส “ข้าผู้เป็นพี่ชายปรารถนาดีต่อเจ้าจากใจจริง หญิงอำมหิตเช่นนั้นเลิกราเสียเถิด เจ้าเป็นอ๋องสงครามผู้องอาจ สตรีใดเล่าหาไม่ได้ พี่ชายเสาะแสวงหาหญิงที่ดีกว่าให้เจ้าไม่ดีหรือ?”


 


 


จ้าวเซิงอารมณ์ไม่ดีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว พอฟังวาจาเช่นนี้ของรัชทายาทก็ยิ่งอารมณ์เสีย  แต่เขายังข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างไรที่แห่งนี้ก็เป็นวังหลวง พวกเสือสิงห์ผีสางล้วนมี หากเขากับรัชทายาทเกิดบาดหมาง ข่าวสองพี่น้องไม่ปรองดองเล่าลือออกไปผลลัพธ์ที่ตามมานั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิด!


 


 


 


 


——


 


 


[1] หงอนกระเรียนแดง (鹤顶红) คืออาร์เซนิกไตรออกไซด์ (Arsenic trioxide) สารตั้งต้นของสารประกอบสารหนู เป็นผลพลอยได้จากการถลุงแร่ทองแดงและ ตะกั่วโดยที่สารหนูจากแร่ทั้งสองจะอยู่ในรูปควัน และถูกจับด้วยความเย็นได้เป็น arsenic trioxide มีลักษณะเป็นผงสีขาว


 


 


[2] เห็นเลือดผนึกคอ (见血封喉) คือต้นน่องยางขาว มีชื่อเรียกภาษาจีนอีกชื่อหนึ่ง คือ ลูกศรพิษ ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ออกผลสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อผลสุกเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำเข้ม ผลมีรสขม และมีพิษ ยางไม้ก็มีพิษด้วยเช่นกัน ซึ่งพิษของพืชชนิดนี้มีผลต่อการเต้นของหัวใจ จัดเป็นพืชอนุรักษ์ระดับสามของจีน  


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 828 ข้าไม่มีทางหย่ากับนางเด็ดขาด


 


 


แต่เขายังปฏิเสธเสียงแข็ง “ซูเซียงเป็นภรรยาที่ข้าแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ข้าไม่มีทางหย่ากับนาง ลำบากพี่ชายใส่ใจแล้ว”


 


 


รัชทายาทสดับวาจานี้แล้วในใจไม่รู้รส ยามปกติ หากเขาพูดสิ่งใดที่ทำให้จ้าวเซิงไม่เห็นด้วย เจ้าหนูนี่ต้องเถียงเขาจนรู้แพ้รู้ชนะแล้ว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาสองพี่น้องหยิกข่วนกันไม่น้อย กลิ้งบนพื้นจนหมวกหลุด เสื้อผ้ายับยู่ยี่ก็ไม่น้อยครั้ง


 


 


ทว่าบัดนี้กิริยาท่าทางของจ้าวเซิงกลับเด็ดเดี่ยวและเย็นชา ทำให้องค์รัชทายาทไม่สบายใจอย่างยิ่ง ทั้งหมดเป็นเพราะคนสารเลวคนนั้น! ถ้าไม่มีหญิงชั่วคนนั้นล่ะก็ ไยน้องชายของตนจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ปีศาจจิ้งจอกสมควรตาย คนสารเลวต้องไม่ได้ตายดี!


 


 


เป็นดั่งที่องครักษ์ลับเขาพูด กาลกิณีทำลายบ้านเมือง! หารู้ไม่ว่าถ้าระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเกิดบาดหมางผิดใจกัน จะอันตรายต่อชาติบ้านเมืองมากเพียงใด?!


 


 


ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของคนสารเลวนั่น!


 


 


รัชทายาทสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็ประนีประนอมอย่างอดมิได้


 


 


 “ในเมื่อตอนนี้นางอุ้มท้องลูกของเจ้า ข้าเองเป็นพี่ชายก็พูดอะไรไม่ได้ แต่งก็แต่งแล้ว เช่นนั้นก็ลดขั้นนางเป็นซู่เฟย เช่นนี้คงได้กระมัง? ดีเลวก็ยังนับว่าไว้พระพักตร์เสด็จย่าแล้ว ชาติกำเนิดเช่นนาง เป็นซู่เฟยก็ถือว่ายกย่องอย่างใหญ่หลวงแล้ว แต่ลูกของนางคลอดออกมา หากเป็นเด็กหญิงก็แล้วไป อย่างไรก็เป็นลูกเจ้า เลี้ยงดูภายใต้ชื่อของชายาเอกก็แล้วกัน หากเป็นเด็กชายต้องส่งไปจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยทันที ต่อไปเจ้าก็ห้ามพบเจอเขาอีก…”


 


 


จ้าวเซิงไม่เปล่งเสียง ยกชาดื่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่ามืออีกข้างกำหมัดแน่น


 


 


รัชทายาทนึกว่าจ้าวเซิงคล้อยตามเขาแล้ว จึงอ้าปากตรัสต่อ “ข้ารู้ว่านางมีบุญคุณต่อเสด็จย่า แต่บุญคุณนี้เป็นมาอย่างไร หากบอกว่าไม่ใช่แผนการของนางอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ! เจ้าเองไม่เห็นหรือตอนอยู่ชายแดนนางขู่ขวัญคนทรยศผู้นั้นเช่นไร ทั้งตัดมือ ทั้งเฉือนใบหู ควักลูกตา ซ้ำยังโยนแช่ในน้ำหมักโสมมจนกลายสภาพเป็นมนุษย์สุกร…ข้า ข้าไม่กลัวเสียหน้าต่อหน้าเจ้า คืนนั้นข้าฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นถึงสองครา! เจ้าคิดดู นี่เป็นสิ่งที่สตรีคนหนึ่งควรคิดได้หรือ? นี่ต้องนางชั่วร้ายอำมหิตมากแค่ไหน?! ข้าไม่อาจให้สตรีเช่นนี้อยู่ข้างกายเจ้า ไม่มีทางเด็ดขาด! เจ้าเชื่อฟังเถิด พี่ชายไม่มีทางทำร้ายเจ้า…”


 


 


 “อีกอย่าง นางเป็นสตรีคนหนึ่ง รู้จักช่วยเหลือสามี สั่งสอนบุตรก็พอแล้ว หญิงชนบทบ้านป่าคนหนึ่งไยถึงเข้าใจงานราชกิจมองทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้? ซ้ำยังรู้ว่าข้างกายข้าต้องมีไส้ศึกเป็นแน่ จึงให้คนส่งจดหมายมา? สตรีจิตใจลึกล้ำอำมหิตแบบนี้จะพูดอย่างไรเราก็เก็บไว้ไม่ได้! ถ้ามิใช่เห็นแก่พระพักตร์เสด็จย่า ข้าคงส่งคนไปลอบสังหารนางตั้งนานแล้ว น้องชายเอ๋ยเจ้าต้องตื่นได้แล้ว หญิงอำมหิตเช่นนี้ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด กาลกิณีบ้านเมือง จะทำลายทั่วทั้งแว่นแคว้นเชียวล่ะ…”


 


 


 “น้องชายเจ้าต้องเชื่อฟัง ข้าเห็นแล้วว่าซูย่วนเสี้ยนจู่ไม่เลวทีเดียว นางเองก็จริงใจต่อเจ้า วันนี้ข้าก็จัดการให้นางเข้าวังมาแล้ว หรือไม่แล้วเจ้าสองคนลองพบหน้ากัน? นางเป็นธิดาของฮู่กั๋วกงกับต้าจ่างกงจู่ เป็นชายาเอกของเจ้าก็เหมาะสมคู่ควร เจ้าเชื่อฟังคำเกลี้ยกล่อมของพี่ชายได้หรือไม่…”


 


 


รัชทายาทจ้ำจี้จำไช พร่ำสอนด้วยวาจาเปี่ยมความถูกต้อง สีหน้าของจ้าวเซิงเย็นลงถึงขีดสุด ทรวงอกกระเพื่อม สุดท้ายเขากลับขยับถ้วยชาเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพี่รัชทายาท ท่านคิดดีแล้วหรือ ต้องทำร้ายความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเพียงเพราะสตรีคนเดียวจริงหรือ?”


 


 


ประโยคนี้ของจ้าวเซิงพูดถึงซูย่วนเสี้ยนจู่ แต่รัชทายาทกลับเข้าใจผิดว่าจ้าวเซิงจะตัดขาดเขาเพราะซูเซียง จึงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง


 


 


เพลิงโทสะและจิตสังหารขุมใหญ่ลุกโหมในใจของรัชทายาท อยากสับคนชั่วซูเซียงผู้นั้นเป็นชิ้นๆเสียเดี๋ยวนี้! ถ้ามิใช่เพราะหญิงแพศยาคนนี้ พวกเขาสองคนพี่น้องตลอดยี่สิบกว่าปีปรองดองกันอยู่ดีๆ ไหนเลยจะเดินมาถึงขั้นนี้!


 


 


จ้าวเซิงไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว ด้วยกลัวว่าวินาทีถัดไปตนจะทนไม่ไหวแตกหักกับรัชทายาท เขารู้ตัวดีว่าตนมีฐานะอะไร และรู้ดีว่าหลังการแตกหักครั้งนี้จะนำพาให้บ้านเมืองเผชิญพายุฝนคาวโลหิตเช่นไร




ตอนที่ 829 ไยไม่เข้าใจความตั้งใจดีของเขา


 


 


เขาตบๆ ชุดคลุมยาวบนร่างของตน ยืนขึ้นอย่างเฉยชา “ในเมื่อเสด็จพี่รัชทายาทมีธุระข้าก็ไม่รบกวนแล้ว ข้ากลับมาครานี้ยังมิได้ไปเข้าเฝ้าถวายบังคมเสด็จย่าน่ะ”


 


 


รัชทายาทเลือดเก่าคั่งติดอยู่ตรงคอหอย เขาอยากพุ่งเข้าไปตบหน้าปลุกสติน้องชายไม่ได้เรื่องคนนี้เสียบัดเดี๋ยวนี้! หญิงอำมหิตเป็นกาลกิณีบ้านเมืองแบบนั้นมีอะไรดีนักหนา?! แท้จริงแล้วซูย่วนไม่ดีตรงไหน ทั้งอ่อนโยนทั้งงดงาม ยังรู้หนังสือรู้หลักคุณธรรม สำคัญเลยคือฐานะสูงส่ง ถึงเวลาเป็นหวังเฟยมิใช่เหมือนเสือติดปีกหรอกหรือ?!


 


 


ทั้งหมดนี่เขาทำเพื่อใครกัน?! ก็เพื่อน้องชายโง่เขลาคนนี้ของเขา เพื่ออาณาจักรต้าหรงของพวกเขา น้องชายโง่งมคนนี้ไยไม่เข้าใจความตั้งใจดีของเขาบ้าง!


 


 


แต่รัชทายาทโกรธก็ส่วนโกรธ ยังกลืนไฟโทสะนั้นลงไป เขารู้ดีโกรธไปก็ไร้ประโยชน์ น้องชายของเขาคนนี้นิสัยดื้อรั้นเหมือนโคกระบือ เขาพูดไปก็รังแต่จะได้ผลตรงกันข้าม


 


 


หลังจากสูดหายใจแรงๆ สองหน บนหน้าก็ยกยิ้มอ่อนโยน “ก็ได้ๆ เราไม่พูดเรื่องนี้กันแล้วก็ได้ เจ้าเพิ่งกลับมา ไม่คิดจะเล่าเรื่องสนุกตอนอยู่ข้างนอกกับพี่ชายหน่อยรึ? เซียงหรงจวิ้นจู่ทางนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ก็อยู่ในตำหนักเสด็จย่ามิใช่หรือ จะเกิดเรื่องอะไรได้ ดูเจ้าร้อนรุ่มเข้าสิ”


 


 


ประโยคนี้ของรัชทายาทแม้พูดเสียงอ่อนโยนแต้มด้วยรอยยิ้ม ทว่าพูดไปพูดมาความหมายก็คือไม่ยอมรับซูเซียงเป็นจ้านหวังเฟย มิเช่นนั้นจะเรียกภรรยาของน้องชายว่าเซียงหรงจวิ้นจู่ต่อหน้าเขาหรือ?


 


 


จ้าวเซิงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เห็นพี่ชายรัชทายาทยอมอ่อนให้ตนแล้ว หากเขายังยืนกรานจะไปนั่นก็ไม่รู้รักษาน้ำใจแล้ว ไม่เคารพรัชทายาทก็ยังแล้วไป ผู้เป็นพี่ชายคงไม่ถือสาเขา แต่อย่างน้อยรัชทายาทก็เป็นพระเชษฐาของเขา มารยาทย่อมต้องมีกระมัง?


 


 


จ้าวเซิงรวบแขนเสื้อชุดคลุม นั่งลงใหม่อีกครั้ง รัชทายาทส่งสายตาให้นางกำนัลรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง นางกำนัลคนนั้นรีบยกกาน้ำชาเข้ามาเติมชาให้จ้าวเซิงและรัชทายาท


 


 


เวลานี้รัชทายาทจึงเอ่ยขึ้น “พอแล้วๆ ดูเจ้าสินั่นหน้าดำเหมือนก้นหม้อแล้ว นี่ก็แค่ให้คำแนะนำเจ้าก็เท่านั้น ไม่เห็นด้วยก็แล้วไป ไหนเล่าหน่อย เจ้าอยู่ข้างนอกพบเจอเรื่องสนุกอะไรมาบ้าง? ได้ข่าวว่าราชครูก็ออกไปเช่นกัน พวกเจ้าเจอกันแล้ว?”


 


 


จ้าวเซิงพยักหน้า “เจอแล้ว ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมของพวกข้ากินดื่มเสียเต็มคราบอยู่หลายวัน”


 


 


จ้าวเซิงจะตอบอย่างไรก็นับว่าไว้หน้ายอมอ่อนข้อให้รัชทายาท ไม่อยากให้มิตรภาพของพี่ชายน้องชายเกิดกำแพง สองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย บรรยากาศค่อยๆ กลมเกลียวขึ้นมา


 


 


รัชทายาทยกชาขึ้นดื่มหลายคำใหญ่ จ้าวเซิงเองก็ไม่เคยคิดว่าการดื่มชาในตำหนักของรัชทายาทมีอันใดไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็พูดจนกระหายน้ำจึงยกชาขึ้นดื่ม คิดไม่ถึงว่ากลับเกิดเรื่องขึ้น


 


 


หลังดื่มชาแล้ว โดยรวดเร็วจ้าวเซิงก็รู้สึกเวียนหัว เห็นคนตรงหน้าจากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองเปลี่ยนเป็นสี่ ส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงนั้น ต่อมาก็ฟุบลงไปบนโต๊ะดังปัง


 


 


นางกำนัลด้านข้างรีบส่งยาเม็ดหนึ่งมาให้รัชทายาท “องค์รัชทายาทรีบเสวยเถิดเพคะ ยานี้ฤทธิ์แรง ยาถอนพิษที่พระองค์เสวยไปก่อนหน้าเกรงว่าไม่เพียงพอ อย่าให้บาดเจ็บพระวรกาย”


 


 


รัชทายาทรับมาก็ใส่เข้าปากกลืนลงพร้อมน้ำลาย และไม่สัมผัสถ้วยชาบนโต๊ะใบนั้นอีก


 


 


รัชทายาทกินยาเสร็จแล้วก็ยื่นมือออกตบ “แปะๆ” สองครั้ง ทันใดนั้นก็มีขันทีผู้สนองโอษฐ์เข้ามาในห้องบรรทมของรัชทายาทเปิดทางลับช่องหนึ่งออก รับสตรีแต่งกายผัดหน้างามแฉล้มนางหนึ่งออกมา


 


 


หญิงสาวสวมกระโปรงสีฟ้าอ่อน ศีรษะประดับด้วยดอกไม้น้อยสีเข้ากัน เครื่องผมมิได้หรูหรารุ่มร่าม บนใบหน้าก็มิได้แต่งแต้มเติมหนา ดูแล้วเบาบางสบายๆ ประทับใจคนอย่างยิ่ง เพียงแต่ ถ้าสามารถมองข้ามสีหน้าแปลกประหลาดบนใบหน้านางไปได้นั่นก็จะสมบูรณ์แบบมาก


 


 


เห็นนงคราญค่อยๆ ออกมา รัชทายาททอดพระเนตรดวงหน้างามงดของนางอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายถอนใจลึกๆ ช่างเถิดๆ ความสุขของซูย่วนสำคัญยิ่งกว่า


 


 


ซูย่วนคารวะอย่างนิ่มนวลแช่มช้อย “ซูย่วนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณองค์รัชทายาท ภายภาคหน้าจักดูแลอ๋องสงครามเป็นอย่างดี ใช้ชีวิตอย่างสุขสมหวัง”


 


 


รัชทายาทหวังให้ซูย่วนมีความสุขสมปรารถนา ซูย่วนกล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งทิ่มแทงขั้วหัวใจของเขา ขอบตาแดงร้อน สุดท้ายทำได้เพียงโบกมือกล่าว “ที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้ ต่อไปต้องใช้ชีวิตให้ดีๆ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 830 คิดอยากหุงข้าวสารเป็นข้าวสุก[1]


 


 


รัชทายาทถอนหายใจหนึ่งเสียง ไล่คนทั้งหมดออกไป ตัวเขาเองกลับยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ช่วยเฝ้ายาม ในหัวใจคันยิบร้อยตลบ แต่เพื่อให้สตรีที่ชอบมีความสุขเขาจำยอมอดทน ทนจนดวงตาแดงผ่าว กำปั้นบีบเข้าหากันแน่นหนัก


 


 


เพื่อน้องชายของเขาแล้วซูย่วนถึงกับยอมละทิ้งชื่อเสียง ทำถึงขั้นนี้ ถ้าในอนาคตจ้าวเซิงกล้าทำไม่ดีต่อซูย่วน เขาจะต่อยคนให้ฟันร่วงเต็มพื้น


 


 


ก่อนกลุ่มคนออกไปได้ประคองจ้าวเซิงมานอนบนตั่งเตี้ยในห้องโถงข้างแล้ว เวลานี้ ซูย่วนเห็นทั้งตำหนักไร้คน มุมปากก็ยกยิ้มสมประสงค์ ยื่นมือลูบสัมผัสบนแก้มของจ้าวเซิงเบาๆ “ท่านอ๋องเจ้าขา สตรีผู้น้อยรักท่านจากใจจริง แต่ไยท่านถึงใจร้ายกับสตรีผู้น้อยถึงเพียงนี้…”


 


 


 “เคยให้ท่านรับข้าเป็นเช่อเฟยแล้วท่านก็ไม่ยินยอม ถึงได้ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นชายาเอกของท่านสมใจแล้ว แปลกใจหรือไม่? ตกใจหรือเปล่า? ฮิๆ …”


 


 


พูดถึงตรงนี้ บนหน้าซูย่วนก็ปรากฏแววโหดเ**้ยมขึ้นฉับพลัน ริมฝีปากบิดเบี้ยวไปอีกด้าน “ท่านว่า หลังข้าขึ้นเป็นชายาเอกแล้วจะจัดการนางแพศยานั่นอย่างไรดี? ขายเข้าซ่องโสเภณีหรือสับนางเป็นเนื้อบดเอาไปป้อนสุนัขดี? ไม่ นางได้เปรียบเกินไป ก่อนอื่นข้าต้องกรีดใบหน้า แล้วค่อยเฉือนเนื้อนางทีละนิด ให้นางเบิกตามองเนื้อของตัวเองถูกสุนัขกินทีละคำ ทีละคำ ฮ่าๆ ท่านว่าแบบนี้น่าสนุกดีไหม…”


 


 


ซูย่วนพูดพลางปลดชุดแพรพรรณบางเบาของตนลงมา เหลือเพียงเอี๊ยมและกางเกงชั้นในสีฟ้าอ่อนด้านใน เอื้อมมือไปถอดเสื้อผ้าของจ้าวเซิง ดึงแหวกพลางกล่าว “ข้าคิดอยู่แล้วเชียว ร่างกายของอ๋องสงครามคงมีรอยดาบมากมาย ความดีความชอบทางทหารอันสูงส่งองอาจย่อมได้มาจากการทุ่มเทสุดชีวิต พูดตามจริงแล้ว ข้าเองก็คิดหวังให้ร่างกายของสามีในอนาคตสะอาดหมดจด แต่ใครใช้ให้ท่านเป็นอ๋องสงครามเล่า ใครใช้ให้ท่านมีรูปโฉมปานเทพเซียนเช่นนี้เล่า? เรื่องอื่นน่ะหรือ สตรีผู้น้อยก็ไม่ถือสาหรอก แต่ว่า ท่านดูสิ สตรีผู้น้อยไม่ได้ความเป็นธรรมเช่นนี้ ต่อไปท่านต้องดีกับสตรีผู้น้อยนะเจ้าคะ…”


 


 


แท้จริงแล้วในตอนที่กลุ่มคนพยุงเขาไปนอนตรงห้องข้างจ้าวเซิงก็มีสติรับรู้เล็กน้อยแล้ว แต่ทั้งร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงลืมตาไม่ขึ้น คำพูดของซูย่วน แน่นอนว่าฟังเข้าไปในหูของเขาไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว


 


 


ก่อนเข้าวังเขาเองก็คาดการณ์ได้ว่าอาจเกิดสถานการณ์บางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ อย่างไรเสียในวังหลวงนี้เสน่ห์ยาแฝด กลอุบายต่ำทรามสารพัดแบบล้วนมีมาไม่ขาดสาย ก่อนมาสองสามีภรรยาก็กินยาลูกกลอนถอนพิษ ถอนยาเสน่ห์ไว้แล้ว ซึ่งก็เป็นยาที่เด็กหญิงมอบให้พวกเขาเมื่อคราแรก มิเช่นนั้นเขาเองก็คงไม่กล้าบุ่มบ่ามนำยาให้ซูเซียงกิน


 


 


ทว่ายานั้นกินเป็นเวลานานแล้ว ต่อมากอรปกับรักษาไม่ตรงจุดสมบูรณ์ หลังดื่มยาเสน่ห์ลงไปจ้าวเซิงจึงวิงเวียนอยู่พักหนึ่ง บัดนี้ พละกำลังค่อยๆ ฟื้นกลับมา สายความคิดก็ค่อยๆ แจ่มชัด


 


 


และในเวลานี้เอง เขารับรู้ถึงความหนาวเย็นบนร่างกาย ดูเหมือนมีบางอย่างกำลังไต่เลื้อยไปมาบนร่างกายเขา จ้าวเซิงรวบรวมพลังเปิดคู่ดวงตาขึ้นทันที พลันเห็นใบหน้าที่เขาไม่เห็นเป็นที่สุด


 


 


ที่สำคัญเลยคือผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไรอยู่?!


 


 


กำลังถอดเสื้อผ้าของเขา! ซ้ำมือของคนสารเลวผู้นี้ยังลากไล้ไปมาบนร่างกายเขา ทำทุกอย่างตามใจชอบ!


 


 


วินาทีนี้ จ้าวเซิงขยะแขยงจนแทบอาเจียนลำไส้ของตนออกมา ก็เพราะตอนนี้ทั้งกายทั้งใจของผู้หญิงคนนี้ล้วนอยู่บนตัวเขา ด้านหนึ่งสัมผัสเรือนร่างแข็งแรงของเขา ด้านหนึ่งพึมพำพูดกับตัวเอง “ร่างกายนี้แข็งแรงบึกบึนจริงดังคาด ท่านอ๋องผู้สูงส่งผิดกับพวกผู้คุ้มกันไม่มีหน้ามีตาพวกนั้น ดูสิ จุ๊ๆ เพียงแต่น่าเสียดาย รอยดาบเต็มร่างไปหมด…ไม่รู้เหมือนกันว่าความสามารถด้านนั้นจะแข็งแกร่งหรือไม่ จะสู้เจ้าโง่สองตัวข้างกายข้าได้ไหม ฮิฮิ…”


 


 


ในใจจ้าวเซิงมีไฟโทสะขุมหนึ่งโหมกระหน่ำ เขาไม่ได้โง่ ย่อมฟังเจตนาในวาจาของผู้หญิงคนนี้ออก มาตรว่าหญิงสารเลวนางนี้ไม่เพียงแต่คิดสกปรกกับเขา แต่ยังมั่วโลกีย์กับผู้คุ้มกันข้างกายนางด้วย!


 


 


 


 


——


 


 


[1] หุงข้าวสารเป็นข้าวสุก (生米煮成熟饭) หมายถึง เรื่องราวเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้อีก ความหมายใกล้เคียงกับสำนวนไทยว่า ‘สายเกินแก้’




ตอนที่ 831 ซูเซียงหกล้ม


 


 


โทสะจ้าวเซิงพลุ่งพล่านออกจากในใจ รวบรวมกำลังทั้งร่าง ฟาดมือ ‘เพี๊ยะ’ ตบซูย่วนลอยออกไป


 


 


ซูย่วนชนกำแพงดังตึง แล้วกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น พ่นเลือดสดออกมาหนึ่งคำ


 


 


จ้าวเซิงยิ่งคิดยิ่งไม่ถูกต้อง เสด็จพี่รัชทายาทจงใจกักขังเขาไว้ให้เขาสัมฤทธิ์ผลกับซูย่วน เช่นนั้นทางซูเซียงอาจเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่?


 


 


จ้าวเซิงรีบเร่งจัดการเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ปลายหูกลับได้ยินคำรายงานขององครักษ์กับรัชทายาทด้านนอกประตู บอกว่าซูเซียงรับพระบัญชาไปยังห้องเครื่องแล้ว พระกระยาหารเตรียมไว้เพรียบพร้อม ทูลถามรัชทายาทว่าจะเสวยที่ใด?


 


 


จ้าวเซิงเวลานี้สั่นสะท้านทั้งหัวใจ คนที่เติบโตมาในวังหลวง ไยจะไม่รู้ว่านั่นเป็นอุบายปรักปรำอย่างหน้าไม่อาย ไหนเลยยังสนใจจัดเสื้อผ้าตัวเอง หันร่างก็เดินตรงไปด้านนอก คิดไม่ถึงว่าซูย่วนที่อยู่บนพื้นกลับกอดขาอ่อนของเขาไว้ ร่ำร้อง “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ท่านจะทำเช่นนี้กับบ่าวมิได้ บ่าวเป็นคนของท่านแล้ว…”


 


 


นางหญิงสมควรตาย นี่มันเวลาไหนแล้วยังไม่ล้มเลิกเป้าหมายของตัวเอง!


 


 


บัดนี้จ้าวเซิงไหนเลยยังสนใจนาง ขาเตะออกไปหนึ่งที ซูย่วนชนกระแทกกำแพงดัง ‘ปัง’ คราวนี้สลบไปอย่างสมบูรณ์


 


 


ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านในห้อง รัชทายาทรู้สึกไม่ดี รุดหน้าพุ่งเข้ามา กลับเห็นจ้าวเซิงจัดการเสื้อผ้าพลางสาวเท้าก้าวออกมาข้างนอกด้วยใบหน้าดำทะมึน ตอนถึงหน้าประตูก็โคจรพลังวิชาตัวเบาทะยานตัวออกไปทันที


 


 


รัชทายาทและองครักษ์ในตำหนักทุกผู้ทุกคนต่างตะลึงอึ้งค้างอยู่กับที่ พวกเขาล้วนทราบดีว่าจ้าวเซิงวรยุทธ์สูงส่งแต่คิดไม่ถึงว่าวิชาตัวเบาจะบรรลุสมบูรณ์ถึงขั้นนี้


 


 


รัชทายาทโมโหเดือดดาล เพียงเพื่อสตรีคนหนึ่ง แม้กระทั่งพลังขั้นไม้ตายไว้รักษาชีวิตก็ยังเปิดเผยอย่างไม่หวงแหน ปีศาจจิ้งจอกตนนั้น หญิงแพศยาสมควรตาย!


 


 


บัดนี้ คนทั้งหลายล่วงรู้แล้วว่าจ้าวเซิงมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้ หากมีผู้ใดวางกับดักทำร้ายน้องชายของตน รัชทายาทรับรองเลยว่าเขาจะต้องฆ่าล้างตระกูลซูเซียงให้ตายไร้หลุมฝังศพอย่างแน่นอน!


 


 


ต่อมารัชทายาทก็ตื่นตกใจ ไม่ถูก เมื่อครู่ได้ยินเสียงซูย่วน?


 


 


กลับเข้าในห้องทันที แต่เห็นซูย่วนสลบอยู่ตรงมุมกำแพง น้ำโลหิตบนศีรษะไหลออกมาเป็นสาย


 


 


รัชทายาทรีบทอดเสื้อคลุมลายพญางูห่มร่างให้นาง “ใครก็ได้ เร็วเข้า ใครก็ได้! รีบไปตามหมอหลวง!”


 


 


รัชทายาทร้อนรนสุดประมาณ โกรธกริ้วแทบกระทืบเท้า อุ้มซูย่วนวางลงบนเตียงในห้องบรรทมของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นตะโกนเสียงดังออกไปทางคนด้านนอก “ทำอะไรกันอยู่เล่า ไยหมอหลวงยังมาไม่ถึง!”


 


 


บัดนี้รัชทายาทเสียสติไปแล้วจริงๆ เพียงเพื่อหญิงโง่เง่าคนนั้น เพียงเพื่อหญิงอำมหิตคนนั้น น้องชายของตนไม่นึกเสียดายที่จะแตกหักกับเขา ซ้ำยังใจดำทำร้ายซูย่วนเสี้ยนจู่ผู้จิตใจดี ทั้งยังรักเขาขนาดนี้ มโนธรรมของเขาถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ หรือว่าถูกนางจิ้งจอกนั่นทำลายเสียแล้ว!


 


 


ซูเซียงจัดสำรับอย่างสุดท้ายเสร็จแล้ว ระบายลมหายใจยืดยาว แม้นางมีพื้นฐานวรยุทธ์อยู่บ้าง และเป็นคนที่ทำงานออกแรงอยู่เป็นประจำ แต่อย่างไรก็เป็นคนท้องเจ็ดแปดเดือน หากบอกว่าไม่เหนื่อยเลยสักนิดนั่นคงโกหกแล้ว


 


 


แม่นมย่อมมองออก ยื่นมือมาประคองนาง “เรื่องทางนี้จัดการพอสมควรแล้ว เชิญจวิ้นจู่ตามหม่อมฉันกลับไปพระตำหนักโซ่วอันก่อนเถิดเพคะ”


 


 


ซูเซียงพยักหน้า จริงด้วย เวลานี้มีเพียงตำหนักโซ่วอันของพระพันปีที่ปลอดภัยที่สุด และขอเพียงแค่อยู่ข้างกายพระพันปีนางถึงจะพักผ่อน กินอาหารได้อย่างสงบใจ


 


 


คิดไม่ถึง แม่นมเพิ่งประคองซูเซียงเดินออกมา ขันทีคนหนึ่งก็กระโจนออกมาจากมุมกำแพง มุ่งตรงเข้ามาคิดจะชนหน้าท้องของซูเซียง


 


 


ซูเซียงกำลังเหนื่อยล้า ข้างกายก็มีแม่นมคอยประคอง ผ่อนคลายการระวังตัวไปเพียงชั่วอึดใจ แต่ในตอนที่ขันทีพุ่งเข้ามาชน ร่างกายของนางก็ตอบสนองไวกว่าสมอง ไหวตัวเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็วทันที


 


 


แต่ไหนจะล่วงรู้ นางเพิ่งถอยหลังได้สองก้าว ขันทีคนนั้นก็โปรยสาดถั่วเหลืองกำหนึ่งในมือ


 


 


แม้ซูเซียงร่างกายปราดเปรียวแต่ก็เป็นหญิงตั้งครรภ์ท้องโย้คนหนึ่ง สายตาเห็นว่าบริเวณที่จะตกลงไปเป็นธรณีประตูสูง จิตใต้สำนึกของซูเซียงใช้มือปกป้องท้อง แต่ศีรษะกลับฟาดลงบนธรณีประตูเข้าอย่างจัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 832 ซูเซียงขอร้องให้ผ่าท้องเอาลูกออก


 


 


ฉับพลันทันใด บนศีรษะและร่างกายของซูเซียงล้วนเห็นเป็นสีแดง


 


 


เรื่องทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว แท้ที่จริงแล้วเป็นความเคลื่อนไหวเพียงชั่วสองสามอึดใจ แม่นมตื่นตกใจจนหน้าถอดสี รีบเข้าไปพยุงซูเซียง


 


 


ดวงตาของซูเซียงถูกเลือดฉาบบังไว้ข้างหนึ่ง แต่อีกข้างกลับเบิกกว้าง ฉุดมือของแม่นมชรา เอ่ยทีละคำ ทีละประโยค “ปกป้องลูกของข้า รักษาลูกไว้! ไปบอกจ้าวเซิง ผ่าท้องเอาลูกออกไม่ต้องห่วงข้า ต้องรักษาลูกไว้…”


 


 


ซูเซียงพูดประโยคนี้จบก็สลบลงไป


 


 


ฉากนี้ตกลงสู่สายตาของจ้าวเซิงที่พุ่งทะยานเข้ามาพอดี เขาที่อยู่กลางครึ่งอากาศร่วงตกลงมา กระดูกข้อมือเคลื่อนหลุดก็ไร้ความรู้สึก พุ่งขึ้นหน้ามากอดซูเซียง “เซียงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์…”


 


 


แม่นมรีบตบจ้าวเซิงเล็กน้อย “อย่าเขย่ามั่วซั่ว รีบเรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวง!’


 


 


สติสัมปชัญญะของจ้าวเซิงจึงดึงกลับมาได้เล็กน้อย “ใช่ๆ เรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวง!”


 


 


 “ใครก็ได้ รีบไปกราบทูลพระพันปี!”


 


 


 “ท่านอ๋อง รบกวนท่านรีบอุ้มหวังเฟยตามหม่อมฉันมา เร็ว!” แม่นมโกรธจนตัวสั่น แต่ยังคงจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างสุขุมเยือกเย็น ช่วยจ้าวเซิงประคองซูเซียงเร่งวิ่งรุดหน้าไปทางตำหนักพระพันปี


 


 


เวลานี้ซูเซียงสลบไปอย่างสมบูรณ์ หลังหมอหลวงตรวจดูแล้วบอกว่าอาจรักษาเด็กไว้ไม่ได้ อีกทั้งซูเซียงล้มกระแทกเจ็บสาหัส เกรงว่าอาจไม่ฟื้นขึ้นมาอีก


 


 


จ้าวเซิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง คู่ดวงตามองคนที่อยู่บนเตียงไม่ละสายตา


 


 


พระพันปีไม่สนใจว่าเห็นเลือดไม่เห็นเลือด บัดนี้อยู่ดูแลข้างกายซูเซียงไม่ห่าง คอยหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากให้ซูเซียง “นี่จะทำเช่นไร นี่จะทำเช่นไรดี…”


 


 


พระพันปีผู้สูงศักดิ์แห่งราชอาณาจักร ครานั้นองค์จักรพรรดิสวรรคต นางจัดงานไว้ทุกข์ประคับประคองโอรสของตนขึ้นครองราชย์ท่ามกลางความวุ่นวาย เวลานั้นนางยังไม่ร้อนรุ่มใจถึงเพียงนี้ บัดนี้ทั้งสรรพางค์กายกลับสั่นเทา เบ้าตาแดงก็ยังไม่รู้ตัว


 


 


แม่นมเองก็รู้สึกหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตบหน้าตัวเองแรงๆสองที ถึงค่อยฝืนปลุกสติให้ตื่นได้แล้วร้องตะโกนเสียงดัง “ก่อนสลบไปหวังเฟยขอให้ท่านอ๋องผ่าท้องเอาลูกออก ขอร้องให้ท่านอ๋องต้องรักษาลูกไว้ให้จงได้ รักษานางไว้!”


 


 


แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายเป็นแม่นมเติมเข้าไปเอง ตอนนั้นซูเซียงเพียงขอให้รักษาลูกไว้ แต่แม่นมรู้ดี หากนางเอ่ยคำพูดแท้จริงของซูเซียงออกมา ย่อมทำให้พระพันปีและจั้นอ๋องใจสลาย


 


 


พระพันปีราวกับถูกมารครอบงำ เอาแต่พร่ำรำพันว่าทำอย่างไรดี กลับเป็นจ้าวเซิงเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เวลานี้เขาห้ามตื่นตระหนก ห้ามลนลาน เขาต้องรักษาลูกกับภรรยาของตนไว้ให้ได้!


 


 


จ้าวเซิงพยายามตั้งสติ ตบหน้าตัวเองแรงๆเลียนแบบแม่นม สติจึงค่อยแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย สั่งการทันที “ใครก็ได้ เตรียมเครื่องมือผ่าท้อง ข้าองค์ชายจะช่วยลูกกับหวังเฟย!”


 


 


 “องค์ชายมิต้องพ่ะย่ะค่ะ มิต้องพ่ะย่ะค่ะ…” เวลานี้หมอหลวงคุกเข่าลงเบื้องหน้าจ้าวเซิง โขกศีรษะไม่หยุด “องค์ชาย พระองค์ปล่อยให้หวังเฟยและซื่อจื่อน้อยจากไปอย่างสงบเถิด องค์ชาย ขอร้องท่านแล้ว ไม่เห็นแก่ภิกษุก็เห็นแก่พระพุทธรูป เห็นแก่หวังเฟยที่เคยช่วยเหลือราษฎรมากมายเมื่อครานั้น ท่านโปรดให้นางจากไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บริสุทธิ์หมดจดเถิด ขอร้องท่านแล้ว ขอร้องท่านแล้ว…”


 


 


พอดีหมอหลวงเป็นคนที่ป้าของเขาเลี้ยงดูมา และพอดีท่านป้าของเขายังอาศัยอยู่ในมณฑลอำเภอที่ซูเซียงอยู่ ครานั้นได้ยินว่าป้าของเขาติดโรคร้าย หากมิได้พวกซูเซียงจัดการดูแลได้ทันเวลา เกรงว่าเขาคงไม่ได้พบหน้าท่านป้าของตนอีก พวกเขาทั้งตระกูลเรียกได้ว่าซาบซึ้งในบุญคุณซูเซียงอย่างแท้จริง


 


 


คำพูดเหล่านี้ขอเขามิใช่ต้องการให้ซูเซียงตาย แต่ที่พวกเขาใส่ใจคือคนตายแล้วต้องเหลือร่างครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องสะอาดหมดจด รู้ชัดว่าตายแล้ว ไยจำต้องทิ้งรูโหว่ใหญ่โตบนร่างผู้ตายด้วยเล่า นี่มิใช่กำลังลบหลู่ผู้มีพระคุณหรือ…


 


 


แต่จ้าวเซิงกลับไม่เข้าใจ ถีบเขาหนึ่งที “อย่าพูดไร้สาระ รีบไปหยิบของมา มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้!”


 


 


หมอหลวงกลับไม่ขยับเขยื้อน ตายก็ตายสิ เช่นนั้นก็ไม่อาจเห็นร่างศพของซูเซียงถูกรบกวน!


ตอนที่ 833 ขอเพียงเทพสวรรค์เบิกเนตร


 


 


เขากอดขาจ้าวเซิงร่ำร้อง “จั้นอ๋อง ขอร้องท่านแล้ว ท่านโปรดละเว้นหวังเฟยเหนี่ยงเนี่ยงกับซื่อจื่อน้อยเถิด หวังเฟยเหนี่ยงเนี่ยงเหนื่อยยากตรากตรำเพื่อช่วยเหลือราษฎร บุญคุณใหญ่หลวง ท่านปล่อยให้หวังเฟยเหนี่ยงเนี่ยงไปสบายเถิด ขอร้องท่านแล้ว… ”


 


 


จ้าวเซิงมิได้สนใจ ยกเท้าถีบเขาออก คว้ากล่องยาที่ติดมือเขาแล้วเปิดออก เห็นใบมีดเล็กและเส้นด้ายเย็บแผลจำนวนมาก ของเหล่านี้ล้วนใช้สำหรับแผลภายนอก


 


 


จ้าวเซิงรับสั่งคนต้มน้ำร้อน ส่งน้ำแกงโสม ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องคนอื่นให้ออกไปทั้งหมด


 


 


 “เสด็จย่า เชิญท่านหลบเท้าด้วยเช่นกัน”


 


 


ตอนหมอหลวงอาวุโสร่ำไห้ขอร้องพระพันปีก็ได้สติกลับมาแล้ว มองหลานชายบ้านตนอย่างตะลึงงัน ทว่าเวลานี้แม่นมกลับเข้ามาประคองพระนางอย่างแน่วแน่ “พระพันปี นี่เป็นประสงค์ของหวังเฟยเหนียงเนี่ยง ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องลองสู้ดูก่อน แม้ว่าสุดท้าย สุดท้าย…”


 


 


แม่นมพูดไม่ทันจบ แต่พระพันปีกลับเข้าใจดี ในเมื่อเป็นประสงค์ของซูเซียง แม้สุดท้ายไม่มีผลดีอะไร แต่พวกเขาก็ทำความปรารถนาของนางสำเร็จมิใช่หรือ ส่วนเรื่องธรรมเนียมบ้าบอนั่น อยากไปไหนก็ไป


 


 


ตอนนี้แม้แต่แรงร้องไห้เขาก็ยังไม่มี ไม่รู้ว่าวันนี้ทุกคนต้องมนตร์ชั่วร้ายอันใด เหตุใดต้องผ่าท้องเอาเด็กออกด้วย หวังเฟยสิ้นแล้ว เด็กเองก็ย่อมสิ้นแล้วเช่นกัน ไยไม่ยอมให้พวกนางจากไปด้วยร่างอันสมบูรณ์ แท้จริงแล้วนี่ยังเป็นภรรยากับลูกของตนอยู่หรือไม่?


 


 


พระพันปีก็เตะหมอหลวงคนนั้นเข้าหนึ่งที “ห้ามก่อกวน ร่วมมือช่วยเหลือจั้นอ๋องเต็มกำลัง มิเช่นนั้นอายเจียจะเอาชีวิตของเจ้าทั้งตระกูล”


 


 


 “หมอหลวงหลิว ท่านก็พูดเอง หวังเฟยเหนี่ยงเนี่ยงเป็นคนดี เรามีโอกาสกลับไม่ช่วยรักษาลูกนางไว้ เช่นนี้เป็นการตอบแทนคุณหรือ? ” แม่นมเองก็เกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ


 


 


แต่หลังได้คำของแม่นมอาวุโสเขาก็ตื่นรู้ในทันใด จริงด้วย พวกเขามีโอกาสอาจช่วยชีวิตบุตรของผู้มีพระคุณได้ เหตุใดต้องมองเขาตายไปต่อหน้าต่อตา? นี่เป็นการตอบแทนบุญคุณจริงหรือ?


 


 


เขาพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ”


 


 


ขอเพียงเทพสวรรค์เบิกเนตร ให้โอกาสเด็กในท้องมีชีวิตรอด


 


 


แม้ แม้รู้ดีว่าเด็กที่คลอดเช่นนี้อาจถูกคนทั้งใต้หล้าประณามหวาดกลัว เขาเองก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว นี่เป็นลูกของหวังเฟย เป็นลูกของผู้มีพระคุณของเขา


 


 


ขอเพียงแค่เด็กสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ต่อให้ภายภาคหน้าต้องทำทุกวิถีทาง เขาก็จะปกป้องเด็กคนนี้ให้เติบโตอย่างสงบสุข ใครก็อย่าคิดทำร้ายเขา


 


 


จ้าวเซิงรู้ชัดแก่ใจว่าซูเซียงช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว แต่การเคลื่อนไหวของเขายังคงระวังทุกกระเบียดนิ้ว หัวใจกำลังสั่นสะท้าน ทว่ามีดในมือกลับนิ่งมั่นคง เลือดเนื้อไม่ฉีกขาดแม้แต่น้อย


 


 


อย่างรวดเร็ว ทารกตัวเปื้อนคราบเลือดเขียวม่วงคนหนึ่งก็ถูกอุ้มออกมา แม่นมของจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยมารับไป เห็นเป็นเด็กผู้ชาย แต่ไม่ว่าจะตีอย่างไรเด็กก็ยังไม่ร้องไห้ ลมหายใจสักนิดยังไม่มี


 


 


แม่นมของจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยกอดเด็กน้อยร้องไห้โฮขึ้นมา คุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะให้แผ่นฟ้าทางหน้าต่าง “เทพสวรรค์โปรดเมตตา ท่านเทพโปรดเมตตาด้วยเถิด ฮือฮือฮือ นายน้อย… ”


 


 


เวลานี้ เหล่าหมอหญิงผู้รับใช้ด้านข้างต่างอดมิได้ที่จะปิดหน้าหลั่งน้ำตา คุกเข่าลงโขกศีรษะไม่หยุด ปรารถนาเพียงให้เทพสวรรค์มีเมตตา เห็นแก่ความดีคุ้มครองราษฎรนับหมื่นของหวังเฟย โปรดเมตตาลูกของนางด้วย


 


 


จ้าวเซิงได้ยินเสียงร่ำไห้ หัวใจหยุดชะงัก ทว่าความเคลื่อนไหวบนมือกลับมิได้ช้าลงแม้แต่น้อย ป้อนยาห้ามเลือดลงไปให้ซูเซียงหลายเม็ดแล้วเย็บประสานแผลให้นางอย่างรวดเร็ว


 


 


เขาไม่โง่ รู้ว่าซูเซียงในตอนนี้ลมหายใจรวยริน เลือดในตัวหลั่งไหลออกมาด้านนอก เขาทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์…


 


 


แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ มือเท้าคล่องแคล่ว กรอกน้ำแกงโสมให้ซูเซียงอีกสองหน สายตาเห็นลมหายใจซูเซียงมีแต่ออกไม่มีเข้า ในที่สุดเขาก็แข้งขาอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น


 


 


คนทั้งหลายล้วนร้องไห้อ้อนวอน มีเพียงจ้าวเซิงกับซูเซียงบนเตียงที่เงียบงันราวกับตายไปแล้ว


 


 


คนหนึ่งใกล้ตาย คนหนึ่งอยู่ไม่สู้ตาย…


 


 


“สวรรค์โปรดเมตตา…เอาชีวิตข้าไปแลกอีกหนึ่งชีวิตก็ได้…” หมอหลวงชรากล่าวพลางลุกยืน พุ่งเข้าไปชนเสาตรงประตู


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 834 ไม่กลับชาติมาเกิดในราชวงศ์อีกเด็ดขาด


 


 


พระพันปีอยู่ข้างนอกได้ยินความเคลื่อนไหวก็นั่งไม่ติดตั้งแต่แรก พอได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างใน ไม่ทันหายใจก็เป็นลมลงไป บัดนี้เพิ่งถูกแม่นมคนสนิทหยิกให้ตื่น


 


 


จู่ๆ ก็เห็นหมอหลวงชราผลักประตูออกมาตรงดิ่งไปทางเสากลม ก็ตะลึงงันอยู่กับที่


 


 


 “เร็ว ขวางเขาไว้” พระพันปีไม่ทันพูดจบ อากาศพลันผันผวน เห็นเพียงแพรพรรณสีเขียวครามชุดหนึ่งโฉบผ่าน หมอหลวงชราก็ค่อยๆ ร่วงลงไปห่างจากเสาเพียงครึ่งก้าว


 


 


มือของแม่นมจวนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยว่างเปล่า ศีรษะของจ้าวเซิงถูกขวดกระแทก


 


 


เงาร่างสองสายลอยล่อง เสียงใสกระจ่างของสตรีเลือนรางและน่าพิศวง “หนึ่งเม็ดทุกหนึ่งชั่วยาม”


 


 


นอกจากนี้ยังมีเสียงหนึ่งตามมา สุขุมไกลโพ้น “เด็กพวกข้าจะพยายามสุดกำลัง แต่โอกาสคงมีไม่มาก ขอให้เตรียมใจ”


 


 


 “……”


 


 


ทั้งลานพลันตกสู่ความเงียบงันได้ยินเสียงเข็มตก เป็นพระพันปีเรียกสติกลับมาได้ก่อน “เรื่องวันนี้หากแม้นมีใครบังอาจแพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำ เอียจายจะประหารห้าม้าแยกร่างมันผู้นั้นทั้งตระกูล จดจำได้หรือยัง?”


 


 


 “เพคะ พระพันปี (นายท่าน)” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง


 


 


ข้าราชบริพาร องครักษ์ที่สามารถเข้าลานพระตำหนักในวันนี้ได้ล้วนเป็นคนสนิทจงรักภักดีต่อพระพันปี แม้ไม่มีกระแสรับสั่งของพระพันปี พวกเขาเองก็ตัดสินใจไม่เปิดเผยออกไปข้างนอกแม้แต่คำเดียว กอรปกับเรื่องของซูเซียง แม้พวกเขาอยู่ในวังลึกแต่ก็ได้ยินมาไม่น้อย จะแพร่งพรายเรื่องที่ทำให้นางเสียเปรียบได้อย่างไร มิใช่น้ำเข้าสมองแล้วเสียหน่อย!


 


 


หลังสั่งการเสร็จแล้ว แม่นมก็รีบประคองพระพันปีเข้ามาในตำหนัก จ้าวเซิงในตอนนี้กำลังย่อตัวลงเบื้องหน้าซูเซียง ป้อนน้ำแกงโสมให้นางทีละคำเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


เมื่อครู่เขาเกือบจะยอมแพ้แล้ว คิดว่าเลวร้ายถึงที่สุดแล้ว หลังดูแลจัดการลูกทั้งสองคนและคนในครอบครัวซูเซียงเรียบร้อยแล้วเขาก็จะตามนางไป ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนสถานที่เป็นสามีภรรยากัน เพียงแต่ชาติหน้า ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เกิดในราชวงศ์อีก


 


 


           ผ่านพ้นงานยุ่งพัลวันตลอดทั้งบ่าย และการดูแลสุดหัวใจของจ้าวเซิง ในที่สุดอาการของซูเซียงจึงนับว่าคงที่เลือดหยุดไหลอย่างสมบูรณ์แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีความกังวลถึงแก่ชีวิตแล้ว


 


 


เพียงแต่ร่างกายบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ต่อไปจะหลงเหลืออาการแทรกซ้อนหรือไม่ก็พูดยาก คิดอยากจะมีลูกอีกก็เกรงว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว


 


 


 “เซิงเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนเถิด ย่าเฝ้าให้เจ้าแล้วเจ้ายังไม่วางใจหรือ?” พระพันปีเห็นหลานชายของตนที่แก่ลงไปหลายปีเพียงชั่วครึ่งวันก็ปวดใจเหลือประมาณ ตบๆ ไหล่ของเขา เอ่ยปลอบเสียงอ่อน


 


 


จ้าวเซิงกลับส่ายหน้า พูดเบาๆ “ถ้าตื่นแล้วไม่เห็นข้านางจะกังวล”


 


 


พระพันปีผ่อนลมอ่อนใจ “เอาเถิด เอาเถิด…”


 


 


ในเมื่อหลานชายต้องการอยู่เฝ้าที่นี่ เช่นนั้นนางก็ไม่ยินดีจากไปเช่นกัน เอ่ยกับแม่นมที่อยู่ด้านข้างทันที “เจ้าไปย้ายตั่งนุ่มเข้ามาให้อายเจีย อายเจียเองก็จะเฝ้าอยู่ที่นี่”


 


 


ทางซูเซียงเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้กับรัชทายาทไม่มีทางไม่รู้ เพียงแต่นานแล้วก็ยังไม่เข้ามาเยี่ยมดูสักสายตา สุดท้ายได้ยินว่าพระพันปีให้คนช่วยย้ายตั่งนุ่มให้พระนาง ประสงค์อยู่เฝ้าด้านในด้วยพระองค์เอง พวกเขาจึงค่อยรู้สึกถึงความร้ายแรงของปัญหา


 


 


ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ พวกเขาสองพ่อลูกถูกพระพันปีขับไล่ออกจากตำหนักโซ่วอัน นานมากทีเดียวกว่าคำวิจารณ์ในราชสำนักจะซาลง บัดนี้พระพันปียังอยู่เฝ้าข้างกายคนชั่วผู้นั้น ต่อให้พวกเขาไม่ชอบแต่ก็ไม่อาจไม่ไปเยี่ยม


 


 


ทว่า หลังฮ่องเต้และรัชทายาทเข้ามาในตำหนักแล้วกลับเห็นผ้าใบสีขาวแขวนอยู่ในลาน คนทั้งสองใจเต้นตึกตัก


 


 


เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับข่าวอะไรเลย มิใช่บอกว่าสตรีคนนั้นเพียงชนกระแทกจนท้องเลือดออกหรอกรึ ไหนเลยจะรู้ว่าร้ายแรงถึงขั้นนี้ นี่มิถูก ในเมื่อแขวนผ้าขาว สตรีคนนั้นคงตายแล้วไม่ใช่หรือ? พระพันปียังอยู่เฝ้าข้างในทำอะไร?!


 


 


สองคนเดินเข้าข้างในด้วยความสงสัย ทว่าไม่ทันเข้าถึงประตูชั้นรองก็ถูกองครักษ์พกดาบ ตรงเข้ามาดึงดาบสกัดไว้ “ขอฝ่าพระบาทและองค์รัชทายาททรงยั้งพระบาท”


 


 


ในพระเนตรของจักรพรรดิปลดปล่อยจิตสังหารสายหนึ่ง รัชทายาทเองก็ทรงกริ้วเดือดดาล “พวกเจ้ามันเป็นตัวอะไร บังอาจยกดาบขวางเสด็จพ่อกับรัชทายาทเยี่ยงข้า ชีวิตของคนเก้าชั่วโคตรไม่คิดจะเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?!”



ตอนที่ 835 ทำให้ขุนนางผู้มีความดีความชอบขาดทายาทสืบสกุล


 


 


สายตาและมุมปากขององครักษ์พกดาบทั้งสองนายปรากฏแววเย้ยหยันขึ้นแวบหนึ่ง ทว่าน้ำเสียงยังคงเรียบเฉย “ข้าน้อยเป็นลูกทาสในรัชกาลของจักพรรดิองค์ก่อน หลังจักรพรรดิองค์ก่อนจากไป พระราชทานข้าน้อยให้แด่พระพันปี ข้าน้อยยอมรับพระพันปีเป็นนายเพียงผู้เดียว ขอฝ่าพระบาทกับรัชทายาทโปรดพระราชทานอภัย! ”


 


 


วาจานี้มันช่าง…


 


 


แม้นจักรพรรดิกับรัชทายามโกรธกริ้วยิ่งกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ หากเป็นองครักษ์ทั่วไปอยากประหารก็ประหารได้ ทว่าคนเหล่านี้ไม่ถึงสถานการณ์สุดวิสัยจำใจอย่างยิ่งแล้วก็ไม่อาจหาเรื่องด้วยได้เด็ดขาด


 


 


เหมือนเมื่อปีกลาย จักพรรดิคิดชิมลางโบยไม้พลองลงทัณฑ์พวกเขาสองสามครั้ง กระทบถึงครอบครัวองครักษ์นายหนึ่ง ผลคือ พวกเขาถึงกับลุกฮือต่อต้าน เป็นครั้งแรกที่ทำให้เสด็จแม่ไม่พอพระทัยเขา นี่ยังไม่นับ ครานั้นเกือบได้ลงจากบัลลังก์!


 


 


ฮ่องเต้อดทนแล้วอดทนอีก จึงค่อยขบฟันกรามรับสั่ง “ยังไม่รีบไปกราบทูลเสด็จแม่”


 


 


องครักษ์พกดาบสองนายจึงค่อยแค่นเสียงฮึ คนหนึ่งในนั้นเก็บดาบแล้วเข้าไปแจ้งรายงาน


 


 


ผ่านไปไม่นาน หนึ่งในองครักษ์พกดาบนายนั้นก็กลับออกมา สีหน้าเข้มขรึมอย่างยิ่ง ทำความเคารพฮ่องเต้กับรัชทายาท น้ำเสียงเย็นชาเฉยเมย “ทายาทจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วเจียงจวิน[1]สิ้นแล้ว จ้านหวังเฟยประชวรหนัก พระพันปีมีพระบัญชา เชิญองค์จักรพรรดิกับรัชทายาทไสหัวออกไปทันที ”


 


 


 “……”


 


 


ทันใดนั้นฮ่องเต้ราวกับมีเลือดเก่าคั่งอุดตันหัวใจ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เสด็จแม่เขาช่างรู้จักเลียนแบบคำพูดคำจาหญิงชาวร้านตลาดเหล่านั้นของท่านยายเขา อ้าปากหุบปากก็มีคำจำพวกสุนัขผายลมเอย ไสหัวไปเอย ดูสิ นี่เป็นวาจาที่พระพันปีแห่งแผ่นดินควรพูดหรือ?


 


 


ทว่าสองคนโกรธก็ส่วนโกรธ ยังถูกความสั่นสะเทือนใจกดลงไป พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงอย่างแท้จริงว่าเรื่องราวร้ายแรงถึงขั้นนี้


 


 


คนชั่วนั่นจะป่วยหนักไม่ป่วยหนักก็แล้วแต่ ในพระทัยของจักรพรรดิถึงกับอยากให้สตรีผู้แย่งความดีความชอบของเขาคนนี้ตายเสียได้ก็ดี เพียงแต่ทายาทของเจิ้นกั๋วเจียงจวินสิ้นแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าคงอธิบายไม่ง่ายนักกระมัง


 


 


สองพ่อลูกมองประสานตา หันกายจากไปอย่างรู้กัน เบื้องหลังเหลือไว้เพียงคำกระซิบกระซาบขององครักษ์ทั้งสองนาย พูดไปพูดมาก็ยกความผิดมาเป็นข้อๆ จักรพรรดิไร้มนุษยธรรม ทำให้ตระกูลแม่ทัพผู้มีความดีความชอบขาดทายาทสืบสกุล


 


 


ที่เรียกว่าแอบกระซิบกระซาบ ก็คือเหลือเพียงแต่ยังมิได้หยิบแตรป่าวประกาศไปทั่ววังหลวงเท่านั้น


 


 


สองพระองค์ได้ยินแล้วก็โทสะพวยพุ่งในหัวใจ พระขนงกระตุกเต้น ทว่ามิกล้าเอื้อนเอ่ยอันใด เร่งสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


คำพูดเช่นนี้พูดกันเพียงในรั้วเขตวังเล็กๆก็ยังแล้วไป หากไม่พึงประสงค์แพร่งพรายออกไปถึงราชสำนัก เล่าลือถึงหูนายทหารชายแดน นั่นคงไม่ได้การ!


 


 


จักพรรดิอยู่ในตำหนักบรรทมทรงกริ้วเหลือแสน นางหญิงแพศยากาลกิณีทำลายบ้านเมือง หากมิใช่นางก่อเหตุจนเกิดเรื่องเช่นนี้ ไหนเลยจะมีปัญหาดังเช่นทุกวันนี้! “สวมควรตาย เจิ้นน่าจะส่งคนไปสังหารนางตั้งแต่แรก!”


 


 


แต่เขาไม่คิดบ้าง เหตุการณ์นี้เป็นซูเซียงคิดก่อกวนขึ้นมาหรือ? หากมิใช่เขาบอกเป็นนัยทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คนพวกนั้นหรือจะกำเริบเสิบสานกล้าลงมือ เรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนทำ แท้ที่จริงในใจเขาชัดกระจ่างเฉกเช่นกระจกใส!


 


 


แต่รัชทายาทกลับไม่รู้เรื่องอย่างแท้จริง บัดนี้เขาเองก็กำลังทุกข์ร้อนขมขื่นใจอย่างยิ่ง!


 


 


 “เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะ บัดนี้มิใช่เวลาโกรธกริ้ว ใคร่ครวญดูว่าเรื่องหลังจากนี้เราควรทำเช่นไรกันดี?” ในพระทัยรัชทายาทกำลังเต้นเร่าเช่นกัน เขากับจ้าวเซิงมีสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด คนเป็นพี่ชายแท้ๆมีหรือจะไม่รู้ว่าน้องชายเป็นคนอย่างไร?


 


 


หากเขาไม่ชัดแจ้งอยู่แก่ใจว่าซูเซียงสำคัญเพียงใดในสายตาจ้าวเซิง เกรงว่าไม่ต้องรอเสด็จพ่อเอ่ยปาก เขาก็คงจัดการหญิงแพศยาคนนี้ไปนานแล้ว ไยจะรอให้เกิดเรื่องบานปลายสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นตอนนี้!


 


 


จักพรรดิทรงกริ้วก็ส่วนกริ้ว บัดนี้เข้าใจถึงจุดสำคัญแล้ว สตรีคนนั้นกับลูกนางจะตายหรือไม่ตายก็ไม่สำคัญ อย่างไรเสียราชวงศ์ล้วนขึ้นมาจากการเหยียบย่ำกองศพน้ำเลือด ไม่กลัวผีคนตายเพียงไม่กี่คน เพียงแต่จะบอกกับเต๋อฮุ่ยอย่างไร? จะอธิบายกับทหารทางชายแดนอย่างไร?


 


 


จักรพรรดิไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดก็นึกวิธีการที่หมดหนทางแล้วอย่างหนึ่งออก นั้นคือให้คนปรับแต่งข้อมูลที่ส่งออกไปให้พวกเขา แจ้งว่าซูเซียงอยู่ในวังหลวงเกิดหกล้มด้วยตัวเองจนเสียลูกไป ทั้งยังให้คนจัดการลบล้างเรื่องราวเบื้องหลังเหล่านั้นให้สะอาดหมดจด


 


 


จากนั้นยังหารือกับรัชทายาทว่าควรปลอบขวัญทุกคนอย่างไร ล้วนเป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น เขาเชื่อว่าขอแค่ให้ “ความบริสุทธิ์ใจ”ก็เพียงพอแล้ว องค์หญิงเต๋อฮุ่ยกับทหารทางชายแดนทุกผู้ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่เขลา ผลักลาภยศสรรเสริญในกำมือไปข้างนอก


 


 


เวลาเที่ยงคืน แม่นมสนองโอษฐ์ของพระพันปีกระซิบเสียงเบาข้างหูพระนางสองสามประโยค ดวงเนตรของพระพันปีเบิกกว้างทันใด รู้สึกเหมือนมีก้อนฝ้ายอุดตันอยู่ในหัวใจ ปราณโลหิตไหลเวียนไม่คล่อง


 


 


 “พระองค์ท่านโปรดวางใจ สิ่งใดควรจัดการ สิ่งใดควรปกป้อง ทางหม่อมฉันล้วนดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ที่พวกเขาจับได้เป็นเพียงพวกกุ้งฝอยเท่านั้นเพคะ มิต้องกังวลพระทัย เพียงแต่ เฮ้อ… ” เดิมทีแม่นมชราอยากปลอบพระพันปี ทว่าปลอบไปปลอบมาตัวเองกลับสะทกสะท้อนใจเบ้าตาแดงเอง


 


 


นางเป็นคนเก่าแก่ติดตามพระพันปีผ่านลมฝนคาวโลหิตมาตลอดทาง ทราบดีว่าครานั้นพระพันปีทรงทุ่มเทพระทัยมากเพียงใดถึงสามารถผลักดันจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นสู่บัลลังก์มังกรได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจิ้นกั๋วเจียงจวิน(镇国将军)หรือแม่ทัพเจิ้นกั๋ว ในสมัยราชวงศ์หมิง คือยศของเชื้อพระวงศ์ชาย ขั้นหนึ่ง ชั้นรอง ตำแหน่งสำหรับพระปนัดดาในจักรพรรดิ ซึ่งเป็นพระโอรสในชินหวังซื่อจื่อหรือจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้เป็นผู้สืบทอด ในสมัยราชวงศ์ชิง เจิ้นกั๋วเจียงจวิน หมายถึงเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 9 เรียกย่อว่า เจียงจวิน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายที่มีมารดาเป็นเก๋อเก๋อ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 836 กลางวันดีแต่เป็นหมูกินจนพุงกาง


 


 


แรงกายแรงใจและความคาดหวังหลายปี กลับแลกมาด้วยจักรพรรดิและรัชทายาทไร้เมตตาไร้คุณธรรม อย่าว่าแต่ในพระหฤทัยของพระพันปีคับแค้น ขั้วหัวใจนางเองก็เจ็บปวดทนไม่ไหว


 


 


จ้าวเซิงเองก็ได้ยินบทสนทนาทางนี้ ทว่าบัดนี้เขาไม่อยากสนใจคนอื่นใด พอใจแค่ดูแลสตรีตรงหน้า รอจนนางลืมตาจะได้เห็นภาพเขาเป็นคนแรก


 


 


ทางซูเซียงเงียบสงบเป็นพิเศษ ฮ่องเต้กับรัชทายาทก็พอพระทัย พวกเขาสนใจเพียงซูเซียงคนชั่วผู้นี้จนไม่มีเวลาจัดการคิดเรื่องอย่างอื่น ด้วยเหตุนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงเกินเลยไปกันใหญ่


 


 


ไม่เพียงแต่จับคนที่รู้เรื่องทั้งหมดฆ่าปิดปาก ถึงขั้นยังส่งคนลักลอบแฝงตัวเข้ามาในคนของพระพันปี จัดการลอบสังหารขันทีคนนั้นทิ้ง เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ คนของพระพันปีสลับตัวขันทีผู้ลงมือตัวจริงก่อนแล้ว ที่พวกเขาสังหารเป็นแค่ร่างตัวแทนเท่านั้น


 


 


หลังจัดการทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพ่อลูกจึงพอหายใจ่โลงได้บ้าง


 


 


“เสด็จพ่อ เราไปเยี่ยมดูกันอีกครั้งเถิด” ในใจรัชทายาทมากน้อยก็ยังอึดอัดบอกไม่ถูกอยู่บ้าง เขาไม่ห่วงใยหญิงชั่วและเด็กในท้องของหญิงชั่วคนนั้น แต่เขาเป็นห่วงน้องชายของเขาจากใจจริง


 


 


อีกทั้งขอเพียงแค่พวกเขาหมั่นวิ่งไปทางนั้นไม่ขาด แสดงความห่วงใยของตน นี่ถึงจะทำให้พวกจ้าวเซิงลดความวิตกกังวลลงได้ อย่างน้อยพวกเขาแสดงความห่วงใยไม่ขาด แม้พระพันปีกับจ้าวเซิงยังเคืองโกรธอยู่แต่มากน้อยก็มีความประทับใจระคนพะวง


 


 


กลางดึก พระพันปีเพิ่งหรี่ตาลงก็ได้ยินเสียงรายงาน ทูลว่าฝ่าบาทกับรัชทายาทเสด็จมาอีกแล้ว พลันให้พระนางบันดาลโทสะ คลุมแพรพรรณตัวหนึ่งลวกๆแล้วเดินออกมาตรงประตูรอง เดินพลางพร่ำด่าตลอดทาง “พวกลูกหลานไม่ได้เรื่อง มารผจญ! กลางดึกกลางดื่นมาเสียงดังโหวกเหวกอะไร กลางวันดีแต่เป็นหมูกินจนพุงกาง ให้พวกเขาไสหัวไปให้ข้า ไสหัวไปให้พ้น!”


 


 


หลังรัชทายาทตรงนอกประตูได้ยินพระอัยยิกาของเขาโมโหเดือดดาลหัวคิ้วก็มุ่นขมวด พลันเอ่ยเสียงอ่อน “เสด็จย่า หลานสำนึกผิดแล้ว หลานไม่ควรรั้งน้องชายไว้ในตำหนักของตนนาน ขอเสด็จย่าอย่าทรงพิโรธ…เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลาน หลานเองก็ไม่ปรารถนาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เดิมทีพระพันก็อัดแน่นด้วยปราณและไฟโทสะเต็มท้อง ไหนจะรู้ลูกหลานไม่ได้เรื่องคู่นี้กลับไม่รู้สำนึก คิดแต่จะล้างมลทินให้ตัวเอง เป็นแผลที่หัว รีดหนองที่เท้า ยังคิดว่าจะล้างให้สะอาดได้หรือ?!


 


 


เขาเป็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ มีหรือไม่รู้ถึงความยากลำบากและอันตรายในวังหลวง ไม่รู้หรือว่าสำหรับสตรีไม่เคยเข้าวังทั้งยังไม่ได้รับการต้อนรับคนหนึ่งนั้นลำบากทุกฝีก้าวขนาดไหน? ไม่รู้หรือว่าน้องชายแท้ๆของตนรักภรรยาของตัวเองมากเพียงใด? อยากจะไปปกป้องนางหรือไม่? เหตุใดกลับยังฝืนใจคนให้รั้งอยู่ต่อ ซ้ำยังใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนั้น เห็นนางกินเจสวดมนต์แล้วคิดว่าหูหนวกตาบอดไม่รับรู้เรื่องอะไรเลยเช่นนั้นหรือ?!


 


 


จักพรรดิที่อยู่ข้างๆกลับไม่เอื้อนเอ่ยอันใด เขาจัดคนไปทำธุระ โดยรวดเร็วก็ได้ข่าวกลับมา อย่างไรเสียเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนทำ อย่างน้อยเบื้องหน้าก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงแค่สามารถถอนตัวเขากับบุตรชายออกมาได้ ในศาลจะเพิ่มข้อหาใส่ร้ายอีกข้อสองข้อนั่นก็ไม่เห็นเป็นไร


 


 


ดังคาดเวลานี้มีข่าวสะเทือนฟ้าส่งมา ผู้ว่าการศาลต้าหลี่รุดหน้าเข้ามา รายงานความคืบหน้าของการตรวจสอบคดี


 


 


พระพันปีเห็นผู้มาถึงพระพักตร์ก็เย็นชาลง ทว่าต่อมามุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเหยียดทันที สมแล้วที่เป็นลูกชายแสนดี หลานชายแสนดีของนาง! เฉียบขาดฉับไว!


 


 


นางคิดปกปิดเรื่องนี้ไว้ มากน้อยยังไว้หน้าพวกเขาบ้าง แต่ก็ทนเห็นพ่อลูกทึมทื่อคู่นี้ดันทุรังไปตายไม่ได้!


 


 


เวลานี้ฮ่องเต้เพิ่งอ้าปาก สุรเสียงเข้มงวด พกพาท่วงท่าของผู้เหนือกว่า “พูด! แท้จริงเป็นผู้ใดคิดทำร้ายสังหารเซียงหรงจวิ้นจู่?!”


 


 


หลังประโยคนี้ของฮ่องเต้รับสั่งออกมา อย่าว่าแต่พระพันปี แม้กระทั่งแม่นมข้างกายนางยังเยาะเย้ยออกเสียง พูดดีว่าเป็นเซียงหรงจวิ้นจู่ นี่ไม่ยอมรับฐานะจ้านหวังเฟยของนางสิท่า? ! ดูสิ ประโยคนี้อวดเบ่งวางอำนาจมากเพียงใด เหอะ…


 


 


ผู้ว่าการศาลต้าหลี่โขกศีรษะคำนับให้พระพันปี ตามด้วยโขกศีรษะให้จักรพรรดิและรัชทายาท “กราบทูลพระพันปี ฝ่าบาท องค์รัชทายาท คดีสืบกระจ่างแล้ว เพียงแต่ เพียงแต่…”


 


 


จักรพรรดิแสร้งขมวดพระขนง ตวาดเสียงกริ้ว “เพียงแต่อะไร? รีบพูด!’


 


 


พระพันปีไม่เปล่งวาจา ยืนมองโอรสแสนดีของตนเล่นวางท่าจอมราชันย์อย่างเย็นชาอยู่ตรงนั้น ดูสิเขาจะมาไม้ไหน


 


 


ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอกจ้าวเซิงก็ตามออกมา เพียงแต่หลบอยู่ในมุมมืด ไม่ได้ปรากฏตัว เขาแค่อยากมองดู คนในครอบครัวของเขาเหล่านี้ คิดอยากทำร้ายสังหารภรรยาและลูกของเขา ยังจะมาร้องงิ้วเล่นละครต่อหน้าเขาอีกหรือ?!


 


 


ผู้ว่าการศาลต้าหลี่ประหวั่นพรั่นพรึงจนทั้งร่างกายกำลังสั่นสะท้าน แต่ยังเปิดปากพูด “ผู้อยู่เบื้องหลังคือ เต๋อเฟยเหนียงเนี่ยง…เต๋อเฟยเหนียงเนี่ยงนาง นางหลงรักจั้นอ๋อง ดังนั้น ดังนั้น…”




ตอนที่ 837 นี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา


 


 


พระพันปียิ้มเยาะอยู่ในใจ เพื่อเช็ดก้นตัวเองให้สะอาดถึงกับตัดใจทิ้งเส้นเลือดหลักลง!


 


 


อ้อ นางเกือบลืมไป เต๋อเฟยคนนี้ดูเหมือนไม่ได้รับความโปรดปราดจากฮ่องเต้นัก ก่อนหน้านี้ยังกระทบกระทั่งกัน เหอะๆ หินก้อนเดียวได้นกสองตัวสินะ ช่างสมเป็น “ลูกชายแสนดี”ที่ปีนออกมาจากท้องนาง!


 


 


พระพันปีกำลังคิดจะตรัสอะไรบางอย่าง จ้าวเซิงกลับเดินออกมาจากมุมมืด สีหน้าเขาทรุดโทรมและทึบทึมน่าสะพรึง รอบตัวแผ่ไอหนาวยะเยือกเป็นระลอก แสงตาหรุบรู่ ไม่ยินดียินร้าย มองจักรพรรดิและรัชทายาทตรงๆ อยู่อย่างนั้น กลับไม่เอ่ยวาจาแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


เขาในตอนนี้ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอย่างแท้จริง พระบิดาแท้ๆ ของเขา พี่ชายแท้ๆ ของเขา ถึงกับรวมหัวกันมาทำร้ายสังหารภรรยาและลูกของเขา นี่ยังเป็นญาติพี่น้องกันอยู่หรือ?!


 


 


หากบอกว่าในเรื่องนี้ไม่มีพวกเขาสองคนอยู่ด้วย แม้จ้าวเซิงเห็นผีก็ยังไม่เชื่อ! อย่างน้อยเสด็จพ่อของเขาก็ไม่พ้นร่างแหนี้แน่นอน!


 


 


รัชทายาทรู้ตัวว่าวิธีการของตนไม่มีเกียรติ น่าละอายใจ แต่เขาทำเพราะหวังดีกับจ้าวเซิงจริงๆ มิเช่นนั้นจะยอมให้สตรีที่ตนรักออกมาได้อย่างไร เขาจริงใจควักหัวใจให้ขนาดนี้แล้ว จะให้เขาซึ่งเป็นพี่ชายทำอย่างไรอีก?!


 


 


แต่เหตุใดน้องชายกลับใช้สายตาเย็นชาเช่นนั้นจ้องมองตน ไม่มีเล่นหยอกเล่นชกต่อยเช่นยามปกติ เหลือไว้เพียงความเย็นชาและห่างเหิน


 


 


นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ…


 


 


เขาคิดแค่ว่าต้องบีบให้สตรีคนนั้นแยกจากไป ไม่ยอมให้นางปีศาจจิ้งจอกชั่วช้าแบบนั้นทำร้ายน้องชาย ทำลายบ้านเมือง เขาคิดเช่นนี้จริงๆ เรื่องของซูเซียงในวันนี้ก็มิใช่เขาให้คนมาทำ เขาเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่…


 


 


รัชทายาทน้อยใจอยู่ข้างใน แต่รู้ดีว่าน้องชายของตนเพิ่งสูญเสียลูก หญิงชั่วคนนั้นก็ไม่รู้เป็นรู้ตาย แท้จริงเป็นตัวเองผิดก่อน ดังนั้นจึงฝืนทนความน้อยใจ เข้าไปพูดประจบเอาใจเล็กน้อย “ข้า ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าก็แค่คิดว่า เจ้าเป็น จั้นอ๋องสูงศักดิ์ คู่ควรกับกุลสตรีอ่อนโยนน่ารักเช่นซูย่วน ข้า ข้าไม่ชอบหญิงชั่ว เอ่อ สตรีคนนั้น แต่ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของนางกับลูกในท้อง! หรือในใจของเจ้า ข้าเป็นพี่ชายที่เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา แม้แต่ทารกยังไม่ยอมให้คลอดกำเนิดเช่นนั้นหรือ?!”


 


 


จักรพรรดิเหลือบมองรัชทายาทอย่างไม่ทิ้งร่องรอยหนึ่งสายตา อัดอั้นไม่เปล่งวาจา


 


 


จ้าวเซิงกวาดสายตามองเขาอย่างเฉยชา เค้นออกมาหนึ่งคำอย่างเยือกเย็น “ออกไป”


 


 


หากมิใช่บัดนี้จ้าวเซิงยังมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่เส้นหนึ่ง หากมิใช่เขาเห็นความจริงใจและห่วงใยในสายตาของรัชทายาท รู้ว่าพี่ชายของตนแม้ชอบเล่นอุบาย แต่ไม่มีทางลงมือกับเด็กบริสุทธิ์เด็ดขาด มิเช่นนั้นล่ะก็ ตอนนี้เขาคงพุ่งเข้าไปบีบคอคนให้ตาย


 


 


รัชทายาทน้อยใจไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่ากลับไม่อาจไม่หยุดถ้อยคำ ขอบตาแดงผ่าวมองน้องชายของตัวเอง แท้จริงแล้วเขาทำผิดอันใดกันแน่….


 


 


แต่จักรพรรดิต่างออกไป นัยน์ตามีแสงซ่อนเร้นสายหนึ่งวูบผ่าน คิดว่าความคิดของตนไม่มีคนล่วงรู้ แต่ผิดคาด ทั้งหมดนี้ล้วนถูกพระพันปีและจ้าวเซิงมองทะลุตั้งแต่แรก


 


 


สุดแท้จักรพรรดิไร้เมตตา พวกเขาเชื่อว่าเรื่องนี้มิใช่จักรพรรดิเอ่ยปากรับสั่งคนโดยตรง ทว่าผู้อยู่ยอดบนสุดของอาณาจักร เขาเพียงขมวดคิ้วก็ชักนำความสนใจให้คนไม่น้อยแล้ว


 


 


ขอเพียงเขาไม่โปรดปราน เขาชิงชัง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก คนมากมากมายก็พร้อมประจบเอาใจ


 


 


แต่เมื่อกล้าทำร้ายภรรยาและลูกของเขา ไม่ว่าพูดให้ดูดีมีเกียรติอย่างไรเขาก็ต้องสืบความจริงให้ปรากฎจงได้


 


 


พระพันปียิ่งยิ้มเย็นชา “ช่างเป็นลูกชายแสนดี หลานชายแสนดีของอายเจีย! หึ! เรื่องนี้อายเจียไม่มีทางยอมลดละรามือเป็นอันขาด พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดีเถิด และไม่กลัวจะบอกพวกเจ้าให้รู้ไว้ ในมืออายเจียยังถือตรามังกรของจักรพรรดิองค์ก่อนเอาไว้!”


 


 


ประโยคนี้ของพระพันปีเท่ากับฉีกหน้ากันแล้ว ในมือพระนางถือลัญจกรและพระราชโองการลับของจักรพรรดิองค์ก่อน ในสถานการณ์สุดวิสัย นางไม่เพียงแต่สามารถถอดตำแหน่งรัชทายาท ถึงขั้นสามารถปลดจักรพรรดิลงมาได้


 


 


จักรพรรดิสะท้านตกใจ เขาว่าแล้ว พระมารดาของเขาคนนี้ไม่มีทางรับมือได้ง่ายดาย


 


 


ครานั้นเสด็จพ่อมอบองครักษ์ลับที่ตนไว้ใจที่สุดให้แก่เสด็จแม่แต่กลับไม่ให้เขา เขายังเสียใจเพราะเรื่องนี้อยู่นาน ที่แท้ ที่แท้คนที่เสด็จพ่อทรงรักมากที่สุดมิใช่สนมเหมยผู้ที่แสนเอ็นดูโปรดปรานอยู่ข้างกายตลอดอะไรนั่น แต่เป็นพระมารดาของเขา! ทิ้งของแบบนี้ไว้ให้ ช่างไม่กลัวเลยว่าสตรีอย่างมารดาเขาจะแทรกแซงราชสำนัก แม่ไก่ขันตอนเช้ารึ? นี่ต้องเชื่อใจโปรดปรานเพียงไหนจึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้?!


 


 


อีกอย่าง ครานั้นตอนเขาขึ้นครองราชย์อันตรายถึงเพียงนั้น เสด็จแม่ไม่เคยขยับตรามังกร บัดนี้เพียงเพื่อหญิงชั่วคนหนึ่งถึงกับเป็นศัตรูกับโอรสของตน!


 


 


ตรามังกร ครานั้นตอนฝังร่วม[1]ตามหาของสิ่งนี้ไม่เจอ พวกเขายังคิดว่าเสด็จพ่อแอบซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง คิดไม่ถึงว่ากลับมอบให้กับเสด็จแม่!


 


 


ความรู้สึกแปลกประหลาดสายหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจจักรพรรดิ เสด็จแม่ของเขาคงไม่…


 


 


หากมีเมล็ดพันธุ์ตกพื้น มันก็จะงอกราก แตกหน่อ จากนั้นก็เติบโตขึ้นทุกวันจนทำให้คนคนนี้จุกตาย


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฝังร่วม (陪葬) หมายถึงประเพณีนำสิ่งของฝังกลบร่วมกับผู้วายชนม์ เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตายของผู้ตาย


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 838 อาสาถอนตำแหน่ง ส่งมอบอำนาจทหารด้วยตัวเอง


 


 


จักรพรรดิเวลานี้ในพระทัยตื่นตระหนกเหลือคณา ยังเจือด้วยความหวาดหวั่น คิดดูแล้ว ยังรู้สึกว่าไม่ควรแตกหักกับมารดาของตนด้วยเรื่องเล็กน้อย “ขนไก่เปลือกกระเทียม” เช่นนี้ ไม่คุ้มเลย


 


 


กระนั้นจึงทำท่าขึงขังรับสั่งกับผู้ว่าการศาลต้าหลี่ “สืบ! สืบให้เจิ้นให้รู้เรื่อง! ถ้าไม่สามารถสืบความจริงให้ปรากฏ ต้องมีคำอธิบาย ผลที่ตามมาเจ้าคงรู้ดี!”


 


 


ข่มขู่! เฮอะๆ  นี่มันข่มขู่กันชัดเจนขึ้นตัวแดงเลย!


 


 


อะไรคือเรียกว่าสืบให้ความจริงปรากฏ อะไรคือต้องมีคำอธิบาย กระแสรับสั่งของจักรพรรดิใครบ้างจะกล้าไม่ทำตาม? ก็แค่ทำวางท่าให้พระพันปีกับจ้าวเซิงดูก็เท่านั้น


 


 


ทว่าเรื่องทำนองนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ และด้วยเหตุนี้ พระพันปีจึงยิ่งผิดหวัง


 


 


 “ไสหัวไป! ไสหัวออกไปให้หมด!” ในที่สุดพระพันปีก็บันดาลโทสะแล้ว ตรงเข้าคว้ากระบี่ขององครักษ์ที่อยู่ด้านข้างนายหนึ่ง พุ่งสะบัดไปทางคนทั้งสอง “รีบไสหัวไปให้ข้า! ข้าไม่มีลูกหลานแบบพวกเจ้า ไป!”


 


 


จักรพรรดิตื่นตกใจ เขารู้ดีว่าท่านยายบ้านเขาก็มีอุปนิสัยแบบนี้ แต่เสด็จแม่ของเขานั้นอยู่ในวังหลวงนานปีขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่ายามปกติอบอุ่นอ่อนโยน ภายในนั้นห้าวหาญดุดันเหมือนกัน


 


 


เห็นพระมารดาของตนทรงกริ้วจริงจังแล้ว จักรพรรดิไหนยังจะกล้ารั้งอยู่นาน เวลานี้ก็ยังไม่ลืมลูกชายของตน ฉวยคว้ารัชทายาทได้ก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว


 


 


คืนนี้เขาขายหน้าไปมากแล้ว แต่โชคดีที่คนเหล่านี้ล้วนเป็นสนิทเชื่อใจได้ของเสด็จแม่ ทั้งล้วนปากหนัก มาตรว่าคงไม่ออกไปพูดส่งเดช


 


 


เฮอะๆ แท้จริงแล้วทำไมคนพวกนี้จะไม่รู้ ก็แค่คร้านจะเปิดปากก็เท่านั้น


 


 


รุ่งเช้าวันต่อมา เนื่องด้วยเรื่องเมื่อคืนจักรพรรดิจงใจปรับแต่งสารที่เผยแพร่ออกไป โกลาหลทั่วทั้งราชสำนัก


 


 


คิดไม่ถึงเวลานี้จ้าวเซิงยกถาดใบหนึ่งเข้ามาในโถงพระที่นั่ง ขณะที่ผู้คนยังไม่ทันตอบสนองกลับมาก็ยกสิ่งของตรงไปคุกเข่าลงบนพื้นทันที “กราบบังคมทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่อาจดูแลชายแดนให้สงบมั่นคง ทั้งไม่สามารถดูแลปกป้องภรรยาและบุตร ขอเสด็จพ่อทรงถอดถอนตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชินอ๋องของกระหม่อม กระหม่อมยินดีส่งมอบอำนาจทางการทหารของตน ขอเพียงเสด็จพ่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมพาภรรยากลับบ้านเกิด”


 


 


เดิมทุกคนรับฟังข่าวลือเหล่านั้นมาบ้างแล้ว เป็นทั้งฉบับก่อนและหลังปรับแต่งหลายกระแส ทว่าบัดนี้เห็นท่าทีเช่นนี้ของจ้าวเซิงก็ต่างพากันแอบวิจารณ์กระซิบกระซาบ ดูจากท่าทีสถานการณ์นี้ ทำไมถึงรู้สึกว่าข่าวที่เล่าลือออกมาเหล่านั้นมีบ้างอย่างไม่สอดคล้องกันนะ?


 


 


แรกสุดมิใช่กล่าวว่าเซียงหรงจวิ้นจู่หกล้มในวังหลวงเองจนเป็นเหตุให้เสียบุตร จากนั้นจั้นอ๋องยังไม่ยินยอมลดละมิใช่หรือ?


 


 


ทว่า ท่าทางของ จั้นอ๋องในวันนี้ไหนจะเหมือนคนไม่รู้หนักเบา เห็นชัดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงกับแม้แต่อำนาจทางการทหารก็ยังไม่ต้องการแล้ว


 


 


ทว่ายังมีคนลอบวิจารณ์อยู่ภายใน บอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่กลอุบายของจ้าวเซิงเท่านั้น บางทีเขาอาจมีใจไม่ซื่ออยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก็เท่านั้น


 


 


จักรพรรดิที่ประทับอยู่ทรงพระพิโรธ คู่พระหัตถ์สั่นไหวชี้จ้าวเซิง “ดี ดี ดี!”


 


 


ตรัสคำว่าดีติดต่อกันสามเสียงแล้วตบโต๊ะมังกรอย่างเคืองขุ่น “บิดาพี่น้อง เลือดเนื้อเชื้อไข ถึงที่สุดแล้วยังเทียบมิได้กับหญิงแพศยาคนหนึ่ง! ช่างเป็นลูกประเสริฐ ลูกประเสริฐ จริงๆ !”


 


 


 “ลูกที่เสียไปเมื่อวาน นั่นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกระหม่อมเช่นกัน” จ้าวเซิงยืนกรานไม่ถอยไม่เข้า เอ่ยอย่างเฉยชา


 


 


 “เจ้า!”


 


 


จักรพรรดิทรงกริ้วก็ส่วนกริ้ว แต่เขาไม่อาจตอบตกลงให้จ้าวเซิงส่งมอบอำนาจทางการทหาร เขาเกรงกลัวโอรสคนนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ บัดนี้ชายแดนไม่มั่นคง เขายังต้องพึ่งบุตรชายคนนี้อยู่


 


 


นี่น่าหัวร่อแล้ว อยากให้วัวทำงาน แต่ไม่อยากให้วัวกินหญ้า วัวก็ยังช่วยทำงานให้เขาอยู่ แม้นผู้อื่นกำลังจ้องวางแผนว่าทำอย่างไรถึงจะกินเนื้อบนร่างชิ้นนั้นให้อร่อย มันช่าง…


 


 


คนในราชสำนัก ผู้ใดเล่ามิใช่คนปราดเปรื่อง และมีคนไม่น้อยมองออกว่ามีความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วถ้อยคำที่ออกมาจากรั้วประตูสูงกำแพงแดงนั้นมีกี่ประโยคเป็นความจริง?


 


 


ทว่าผู้ที่นั่งบนตำแหน่งนั้นเป็นเจ้าแผ่นดิน พวกเขาจะทำอย่างไรได้ คงมิอาจป่าวประกาศกระด้างกระเดื่องจักรพรรดิได้หรอกกระมัง? นั่นเป็นเรื่องหลังปิดประตูบ้านของผู้อื่นเขา หากพวกเขาเข้าไปประสมโรงนั่นจะกลายเป็นเช่นไร? หันหน้ากลับผู้อื่นเป็นพ่อลูกพี่น้องกัน ยิ้มเดียวบุญคุณความแค้นสลาย คนที่ลำบากจะเป็นพวกเขา


 


 


จึงมีทูตไกล่เกลี่ยสองสามคนลุกออกมา พากันเกลี้ยกล่อมจ้าวเซิง บอกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเข้าใจผิด ตนปิดประตูบ้านคุยกันในครอบครัวก็เป็นอันได้แล้ว ล้วนเป็นญาติกันทั้งนั้น อย่าได้ทำร้ายสายสัมพันธ์ของพ่อลูกพี่น้อง


 


 


จ้าวเซิงรู้ว่าคนเหล่านี้มีแผนในใจตัวเอง แต่จุดประสงค์ที่มากกว่าก็คำนึงถึงบ้านเมือง เขาเองไม่อยากติดใจถือสากับพวกเขา เพียงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณไปทางพวกเขา ทว่ายังคงยืนกรานคุกเข่าอยู่บนพื้น ถวายความเคารพก้มกราบเต็มพิธีให้จักรพรรดิที่ประทับนั่ง “ขอเสด็จพ่อทรงเห็นแก่หยาดเหงื่อหยดเลือดเพื่อต้าหรงตลอดหลายปีของกระหม่อม ถอดยศชินอ๋องของกระหม่อม ปล่อยภรรยาของกระหม่อมกลับบ้านเกิด ขอเสด็จพ่อทรงพระกรุณา!”


 


 


บนท้องพระโรง จ้าวเซิงไม่อยากโพนทะนาเรื่องนี้ให้คนรู้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ประทับอยู่บนตำแหน่งนั้นก็เป็นพระราชบิดาของเขา ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เป็นพระเชษฐาของเขา ล้วนเป็นสายเลือดของตน มากน้อยเขาก็ยังอยากไว้หน้าให้พวกเขา



ตอนที่ 839 กลุ่มคนมุงผู้ยืนอยู่จุดสูงส่งของศีลธรรม


 


 


อีกทั้ง เรื่องบางเรื่องหากปะทุออกมาจะกลับกลายเป็นข่าวฉาวของราชวงศ์ รวมถึงทารกในท้องซูเซียงเดิมทีก็เป็นทายาทของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน หากมีประโยคไหนเอ่ยออกมาไม่เหมาะสม ผลที่ตามก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด


 


 


แต่คนเหล่านี้ดูเหมือนมิได้เข้าใจความตั้งใจดีของเขา จักรพรรดิบนบัลลังก์พักตร์มังกรโกรธกริ้ว ตำหนิเสียงลั่นว่าซูเซียงเป็นเภทภัยทำลายบ้านเมืองและราษฎร ทำให้โอรสตนเอาใจออกห่างพวกเขา เขาจักต้องฆ่าตัวกาลกิณีตนนี้ให้จงได้


 


 


แต่รัชทายาทที่อยู่ข้างๆกลับทุกข์โศกเต็มหน้า ขอโทษจ้าวเซิงไม่ขาดปาก “เป็นข้าผู้เป็นพี่ชายไม่ดีเอง คืนนั้นไม่ควรรั้งเจ้าอยู่ในตำหนักนาน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่ข้าคิดอยากให้เป็น ไยเจ้าไม่เห็นใจ เข้าใจความตั้งใจดีของข้าพี่ชายบ้าง เจ้าจะตัดขาดความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องยี่สิบกว่าปีของเราเพียงเพราะหญิงอำมหิตจิตใจชั่วร้ายเช่นนั้นน่ะหรือ?”


 


 


 “หึๆ…” จ้าวเซิงฟังถึงตรงนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวยิ้มเยาะออกเสียง ทว่าหลังเขาหัวเราะแล้วก็ยังคงไม่พูดอะไร เพียงโขกคำนับให้จักรพรรดิบนบัลลังก์กับรัชทายาทที่อยู่ด้านข้างแยกกัน น้ำเสียงเย็นชาเยือกเย็น “เรื่องเมื่อวานทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ กระหม่อมไม่ยินดีกระทำให้ไม่น่ามอง ยังขอให้เสด็จพ่อทรงกรุณาเห็นแก่ผลงานความเหนื่อยยากของกระหม่อม ทั้งความเจ็บปวดสูญเสียบุตรอันเป็นที่รัก ซ้ำภรรยาบาดเจ็บหนัก ถอดถอนตำแหน่งชินอ๋องของกระหม่อม ลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋องหรือสามัญชน กระหม่อมยินดีส่งมอบอำนาจทหารให้ด้วยตนเอง ขอเพียงกับเสด็จพ่อกับรัชทายาทอย่าบังคับกระหม่อมสามีภรรยา ”


 


 


จ้าวเซิงแม้มิได้เปิดโปงเรื่องเมื่อวานออกมา แต่คำพูดคราวนี้เห็นชัดว่าไม่เหมือนก่อนหน้า บนราชสำนักล้วนเป็นคนปราดเปรื่อง อย่าว่าแต่คำพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้คนหนึ่งย่นหัวคิ้ว ตอนทักทายเปลี่ยนคำพูดคำเดียว ในใจพวกเขาก็กระจ่างชัดดุจกระจกแล้ว


 


 


เหล่าอำมาตย์ในราชสำนักเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ทว่าเขตพระราชฐานลึกลับเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ปรารถนาจะเข้าร่วมวงด้วย


 


 


อีกทั้งผู้คนคิดมาตลอดว่าความสัมพันธ์ของรัชทายาทกับจ้าวเซิงมิได้กลมเกลียวกันมากนัก ข่าวคราวที่แว่วมาบ่อยครั้งมักเป็นสองพี่น้องทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงเพียงเพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่บัดนี้รัชทายาทถึงกับแทนตัวเองว่า “ข้า”กับจ้าวเซิงกลางท้องพระโรง ซ้ำยังเอ่ยขอโทษวิงวอนจากใจจริงถึงเพียงนี้ แค่คิดก็รู้ได้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขาแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร


 


 


ในจำนวนนั้นมีหลายคนมุ่งมาดเพื่อความมั่นคงของราชสำนักอย่างแท้จริง และมองออกถึงความลำบากทุ่มเทและความจนใจเต็มที่ของรัชทายาท พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้มีคนจงใจลอบทำร้ายเช่นนั้นแล้วอย่างไร? สตรีคนหนึ่งไหนเลยเทียบได้กับความสัมพันธ์ของพ่อลูกพี่น้อง มีอะไรสำคัญไปกว่าความมั่นคงของราชสำนัก คนเหล่านี้ต่างคิดว่าจ้าวเซิงไม่ค่อยรู้ความ ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว


 


 


 


 


ในนั้นมีผู้อาวุโสเคราเทาแกมขาวคนหนึ่งลุกออกมา ก่อนอื่นแสดงความเขาเคารพอย่างนบน้อมต่อจ้าวเซิง จากนั้นกล่าวด้วยวาทะเต็มเปี่ยมความถูกต้องชอบธรรม “ผู้ชราเคารพนับถือท่านอ๋องสงครามเสมอมา รู้ซึ้งคุณงามความดีเหนื่อยยาก นอนกลางดินกินกลางทรายของท่านอ๋องยามอยู่ชายแดน ทว่าวันนี้ผู้ชรายังอยากทูลว่า วันนี้ท่านอ๋องกระทำเกินไปอย่างแท้จริง เพียงแค่สตรีคนเดียวเท่านั้น ท่านกระทำถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้ววางความรักทางสายเลือดไว้ที่ใด วางราษฎรทั้งใต้หล้าไว้ที่ใด?!  ”


 


 


อีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นตามกัน “ใช่แล้ว ท่านอ๋องสงครามหยุดได้แล้ว สตรีคนเดียวเท่านั้น ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างแย่ที่สุดประทานอาหารเลี้ยงดูในตำหนักหลังก็ได้แล้ว ท่านเป็นอ๋องสงครามผู้สูงศักดิ์ แม้เป็นองค์หญิงของต่างแคว้นก็ยังอภิเษกสมรสได้ แต่จะเป็นหญิงบ้านป่าอำมหิตคนหนึ่งมิได้ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดี ท่านเองก็อย่าโวยวายให้มันเกินเลยนัก”


 


 


 “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านอ๋องสงคราม พูดถึงที่สุดแล้วล้วนเป็นเรื่องภายในครอบครัวตน โวยวายออกมาเช่นนี้ หน้าตาของราชวงศ์ก็ได้รับความเสียหาย น่าพูดไม่น่าฟังนะขอรับ”


 


 


 “ท่านอ๋องสงคราม คุณงามความดีหลายปีนี้ของท่าน ข้าขุนนางและราษฎรล้วนซาบซึ้งในบุญคุณท่าน แต่ก็มิอาจทำตัวเหลิงลืมตัวปานนี้”


 


 


 “……”


 


 


ขณะคนเหล่านี้กำลังพูดอยู่นั้นทางหนึ่งก็หันมองสีหน้าของรัชทายาทกับจักพรรดิไปพลาง เห็นรัชทายาทพยักหน้าพอใจให้พวกเขา และสีหน้าของจักพรรดิก็ผ่อนอ่อนลงมา ก็ค่อยๆลอบเช็ดเหงื่อเย็นในใจ ดูท่าตัวเองเดิมพันถูกแล้ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 840 ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนใต้หล้า


 


 


รัชทายาทเห็นจ้าวเซิงเอาแต่คุกเข่าบนพื้นไม่พูดจา ก็คิดว่าเขารับฟังแล้ว รีบโบกมือให้คนเหล่านั้นทันที “พอแล้ว พอแล้ว ล้วนเป็นเรื่องในครอบครัว น้องเล็กเจ้าก็หยุดได้โวยวายแล้ว รีบถอยออกไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยมาใหม่ ดูเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่นี่สิ อย่างกับชาวนาโง่เง่าตามบ้านนอก เสียจริยวัตร…”


 


 


จักรพรรดิเห็นสถานการณ์ตรงหน้าควบคุมได้แล้ว ก็แอบโล่งพระทัยเล็กน้อย บุตรคนนี้ของเขาจำเป็นต้องเก็บไว้ มิเช่นนั้นทางชายแดนคงได้วุ่นวายพัลวัน


 


 


เวลานี้ทรงโบกพระหัตถ์แสร้งวางท่าใหญ่โต “พอแล้วๆ เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งสูญเสียบุตร เจิ้นจะไม่ถือสาเอาเรื่องกับเจ้า พูดอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆของเจิ้น มีหรือจะไม่ปวดใจ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนเขากลับชาติมาไม่ดี เลือกมารดาไร้เกียรติเช่นนั้น ไม่คู่ควรเป็นลูกหลานราชวงศ์ของข้า บนฟ้าจึงรับเขากลับไป กลับแล้วเจิ้นจะประทานยศชินอ๋องให้เขา จัดพิธีศพให้อย่างยิ่งใหญ่ รีบลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ งานยังมีอีกมาก โถงราชสำนักมิใช่สถานที่ให้เจ้าก่อกวน สวมชุดโกโรโกโสเหมือนกับอะไร?!”


 


 


ความหนาวเย็นค่อยๆคืบคลานลงไปในหัวใจของจ้าวเซิง ตอนนี้เขาถึงค่อยเงยหน้าขึ้นไล่มองจากจักพรรดิบนบัลลังก์ลงไปเบื้องล่างทีละคน จ้องมองจนหัวใจทุกคนรู้สึกชาวาบ


 


 


สมแล้วที่เป็นอสูรผู้ลงมาจากสมรภูมิสงคราม ดูสายตาของเขานั่นสิ ความอบอุ่นเพียงนิดยังไม่มี ไม่ยิ้มไม่โกรธ ทว่ากลับเย็นเยือกจนน่ากลัว


 


 


เวลานี้ ชายชราศีลธรรมสูงส่งผู้ที่ลุกออกมาประณามจ้าวเซิงก่อนหน้านี้ในใจเกิดพรั่นพรึง แต่ยังคงพูดโน้มน้าว “แท้ที่จริงความหมายของผู้ชราคือ ผู้ที่เรียกได้ว่าหญิงอำมหิตเช่นนั้นเพียงสังหารทิ้งเสีย ไม่มีเหตุผลให้ราชสำนักต้องวุ่นวายเพียงเพราะกาลกิณีเช่นนาง อ๋องสงครามท่านเป็นคนมีเหตุผล คงไม่ตัดรอนทางรอดชีวิตของคนทั้งใต้หล้าเพียงเพราะสตรีคนเดียวกระมัง?”


 


 


ในใจจ้าวเซิงเย้ยหยันสุดประมาณ เขาคิดอยากไว้หน้าให้ทุกคนสักหน่อย ทว่าจนปัญญาผู้อื่นไม่ต้องการ!


 


 


หากในเวลานี้แค่พระราชบิดาของเขา พี่ชายของเขา ลุกขึ้นมาแสร้งตวาดตำหนิสักหนึ่งประโยค ในใจเขาอาจรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้


 


 


ทว่า นอกจากเห็นชอบกับคำพูดเหล่านั้นแล้ว คำแก้ต่างให้เขาสักประโยคก็ยังไม่มี


 


 


จ้าวเซิงถอนหายใจหนึ่งเสียง หลับตาลง ถาดในมือยังคงวางไว้บนพื้น ทว่าทั้งตัวคนกลับลุกขึ้นมา กล่าวกับชายชราผู้นั้น “เจ้ากรมเฉา วาจานี้ข้าองค์ชายฟังไม่เข้าใจแล้ว ประมุขแห่งใต้หล้าคือเสด็จพ่อ ผู้ทรงธรรมในวันหน้าคือองค์รัชทายาท นอกจากนี้ ข้าองค์ชายตัดมือเท้าของคนในใต้หล้าหรือเผาบ้านเรือนเสบียงอาหารของพวกเขารึ ไยถึงเป็นการตัดทางรอดชีวิตของคนในใต้หล้า? หรือถ้าไม่มีข้าองค์ชาย ราษฎรทั้งใต้หล้านี้ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว?!”


 


 


คลื่นลมโหมกระหน่ำในใจเจ้ากรมเฉา พลันหวาดหวั่นจนหน้าซีดขาว คุกเข่าลงบนพื้นดังปัง “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต กระหม่อม กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น…”


 


 


เขามิได้หมายความเช่นนี้จริงๆ แต่เหตุใดสายตาที่ฝ่าบาทมองเขาถึงได้แปลกประหลาดถึงเพียงนั้น มุมปากรัชทยาทยังยกยิ้มถากถาง ฮือๆ จบกันๆ ต่อไปต้องตายแน่ๆ!


 


 


คำพูดนี้ของจ้าวเซิง ฮ่องเต้กับรัชทายาททำอะไรไม่ได้ เพียงปิดปากสนิท ขุนนางอีกคนที่ประณามจ้าวเซิงก่อนหน้านี้ว่าไม่คำนึงถึงส่วนรวมก็ลุกออกมา กุมมือคารวะ “วันนี้แม้นกระหม่อมทัดทานถึงตาย ท่านอ๋องสงครามก็อย่าได้ก่อความวุ่นวายอีกเลย!”


 


 


จ้าวเซิงหัวเราะเย็นชาสองเสียง ทว่าเสียงหัวเราะนั้นมิได้หัวเราะไปถึงนัยน์ตา ไอเย็นเยือกทั่วร่างกายแผ่ขยายไปในท้องพระโรงทีละคืบ “ก่อความวุ่นวาย…”


 


 


พึมพำประโยคนี้กับตัวเองเสร็จก็หันหน้ามองทุกผู้ทุกคนท้องพระโรง “ทุกท่านก็คิดว่าข้าองค์ชายกำลังก่อความวุ่นวายหรือ?”


 


 


มีหลายคนอยากลุกออกมาช่วยพูดให้จ้าวเซิง แต่ล้วนถูกสายตาเย็นเฉียบของจักรพรรดิทำให้กลัวหดกลับไป คนอื่นๆแม้มิได้พูดอะไร ทว่าสีหน้ากลับชัดเจน รู้สึกว่าจ้าวเซิงทำเกินกว่าเหตุ เพียงเพื่อบุตรที่มิได้ลืมตาดูโลกกับหญิงอำมหิตจากชนบทคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ตัดการสัมพันธ์พี่น้องซ้ำยังก่อกวนราชสำนัก ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงเชียว!


 


 


ในที่สุดหัวใจของจ้าวเซิงก็เย็นชาโดยสมบูรณ์ เรื่องมาถึงวันนี้ ชีวิตของลูกชายเขาก็ไม่มีแล้ว ยังต้องห่วงหน้าตาอะไรอีก?!


 


 


เขายิ้มเยาะเย็นชา น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา “ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? องค์รัชทายาทใส่ยาเสน่ห์ในน้ำของข้า และซูย่วนเสี้ยนจู่ก็อยู่ในตำหนักบรรทมของรัชทายาทพอดี เรื่องราวแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรคงมิต้องให้ข้าองค์ชายเล่ารายละเอียดหรอกกระมัง?”  


 


 


หลังเอ่ยจบ จ้าวเซิงยังใช้ดวงตาเย็นปานน้ำแข็งจ้องมองรัชทายาท พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ท่านพี่รัชทายาท น้องชายปรักปรำท่านหรือไม่?”


ตอนที่ 841 ลูกผู้ชายไม่เสียน้ำตาง่ายๆ 


 


 


ราชสำนักฮือฮาขึ้นอีกระลอก พระเจ้า พวกเขาได้ยินความลับสุดยอดของราชวงศ์อะไรกันนี่? รัชทายาทถึงกับวางยาเสน่ห์ในน้ำของอ๋องสงครามเพื่อให้เขากับซูย่วนเสี้ยนจู่สำเร็จผลใน “เรื่องดี” แบบนั้น นี่มัน… 


 


 


ขุนนางซึ่งก่อนหน้านี้มากน้อยก็ยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างและคิดว่าจ้าวเซิงก่อความวุ่นวายเกินไปเพราะสตรีคนเดียว บัดนี้ในใจค่อยๆเอียนเอียงยืนฝั่งจ้าวเซิงแล้ว 


 


 


แม้นรัชทายาททำเพราะหวังดีกับจ้าวเซิงจริง  แต่ยุพราชผู้สูงศักดิ์กระทำเรื่องเช่นนี้ อย่างไรก็น่าอับอาย 


 


 


รัชทายาทเวลานี้บนพระพักตร์ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดงปานจานสี กำปั้นบีบแน่น กล้าทำต้องกล้ารับ เรื่องทั้งหมดเป็นเขากระทำจริง เขาจะพูดอะไรได้?! แต่ แต่… 


 


 


เขาทำเพื่อจ้าวเซิงจริงๆ! 


 


 


ซูย่วนเป็นกุลสตรีแสนดีขนานนั้น แม้แต่ชื่อเสียงของตนก็ยังยอมละทิ้งเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับเขา ผู้อื่นเป็นธิดาของฮู่กั๋วกงกับต้าจ่างกงจู่ผู้สูงศักดิ์ สตรีที่แม้แต่ตัวเองยังตัดใจหลั่งน้ำตาครึ่งหยดไม่ลง แท้จริงแล้วมีตรงไหนไม่คู่ควรกับเขา! 


 


 


เวลานี้จ้าวเซิงกลับยอบกายลงมา หยิบตราพยัคฆ์ถือไว้ในมือตน เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเฉยชา “ทุกท่านล้วนโทษข้าองค์ชายทำเรื่องเล็กใหญ่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป แต่ข้าองค์ชายอยากถามดู ไม่ว่าเรื่องเมื่อวานจะถูกดัดแปลงจนเป็นเช่นไร ขันทีน้อยที่ชนภรรยาของข้าผู้นั้นคงไม่อาจพูดปดกระมัง? วังหลังเข้มงวดเสมอมา พระพันปีมีราชโองการด้วยพระองค์เองห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ห้องเครื่อง ขอเรียนถาม ขันทีน้อยผู้นั้นปรากฏตัวได้อย่างไร?!” 


 


 


 “เกรงว่าเด็กที่ครั้นเกิดออกมาก็ไร้ลมหายใจแล้วคนนั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพวกท่าน?! เกรงว่าคนที่ผ่าท้องยังไม่พ้นขีดอันตราย นอนหน้าซีดเผือดอยู่ตรงนั้นมิใช่ภรรยาของทุกท่าน…” 


 


 


 “ข้าจ้าวเซิงลำบากตรากตรำอยู่ชายแดนสิบปี มั่นใจว่าไม่เคยผิดต่อราชวงศ์ ไม่เคยผิดต่อราษฎรทั้งใต้หล้า! แต่ยามข้าหลั่งเลือดอยู่ชายแดน คนบางพวกกำลังกระทำอันใดอยู่? พวกเขากำลังจับตามอง กำลังลอบสังหารภรรยาของข้า! ! บัดนี้กลับมา ราชวงศ์ไม่เพียงแต่ไม่ซาบซึ้งพระราชทานแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ตอบแทนความเหนื่อยยากของภรรยาข้า แต่ยังให้นางแบกท้องแปดเดือนไปเป็นแม่ครัว…เหอะๆ ภรรยาข้าบอกว่าล้วนเป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ควรเห็นใจให้อภัยกัน แต่คนบางคนเหตุใดไม่ยอมปล่อยผ่าน แม้กระทั่งหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งกับเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกยังลอบทำร้าย…” 


 


 


 “ข้าเป็นองค์ชาย เป็นแม่ทัพ แต่ข้าเองก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง! แม้แต่ชีวิตของภรรยากับลูกตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับปกป้องใต้หล้า…” 


 


 


ประโยคสุดท้ายมี่เอ่ยเสียงแหบแห้งโรยแรง เกือบจะใช้พลังทั้งชีวิตของเขาจนหมด สายที่ตรึงยึดหัวใจเส้นนั้นขาดผึง ขอบตาแดงก่ำ จู่ๆก็กุมศีรษะทรุดลงไป ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป ร่ำร้องโหยไห้ต่อหน้าผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดและขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย 


 


 


เพิ่งเมื่อวานนี้เอง เขาเสียลูกไป ซ้ำยังเกือบสูญเสียภรรยา เขาถึงขั้นเคยคิดว่าขอเพียงรอให้เขาจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วก็จะตามภรรยากับลูกไป วินาทีนั้นเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ ไม่มีภรรยาที่รัก ไม่มีความรักของครอบครัว เหลือเพียงความมืดมน หวาดกลัวและคิดร้าย เหอะ…เขายังจะมีศรัทธาอะไรให้มีชีวิตอยู่ต่อไป 


 


 


ชายชาตรีผู้องอาจห้าวหาญหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา ฆ่าฟันศัตรูนับพันในสนามรบ ถึงกับร้องไห้ไม่เป็นภาษากลางท้องพระโรงราวกับเด็กถูกทิ้ง 


 


 


ได้ยินคำถามเหล่านี้ ซ้ำเห็นจ้าวเซิงร่ำไห้จนกลายเป็นคนเจ้าน้ำตา คนที่ลุกออกมาทำตัวถือศีลมากคุณธรรมประณามจ้าวเซิงก่อนหน้าหลายคนนั้น และคนที่ยังสงสัยไม่แน่ใจเหล่านั้นต่างพลันเป็นใบ้ไร้วาจา  


 


 


ใช่แล้ว ชีวิตของใครบ้างมิใช่ชีวิต! 


 


 


วังหลวงนั้น กลับเป็นสถานที่ดำมืดชื้นแฉะกลืนกินคนไม่คายกระดูก คำพูดที่ส่งออกมาจากในกระเบื้องแดงกำแพงสูงนั้นมีประโยคใดเป็นจริง? ประโยคใดเป็นเท็จ… 


 


 


ตอนพวกเขาได้ยินนิทานดัดแปลงเหล่านั้นล้วนละเลยจุดสำคัญ เซียงหรงจวิ้นจู่นางมีครรภ์เกือบแปดเดือนเชียวนะ จะเหนื่อยยากจัดเตรียมอาหารให้คนจำนวนมากเช่นนั้นได้อย่างไร? อีกอย่าง ก่อนเข้าห้องเครื่อง พระพันปียังมีพระบัญชาให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องถอยห่างออกไปทั้งหมด ขันทีน้อยที่เป็นคนชนคนนั้นมาได้อย่างไรกันแน่? 


 


 


ยังมีจุดน่าสงสัยอีกจุดหนึ่ง เหตุใดตอนแรกเริ่มข่าวที่ส่งออกมาจากวังหลวงถึงบอกว่าเซียงหรงจวิ้นจู่นางหกล้มเองเล่า? 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 842 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยยืนกรานสวมชุดไว้ทุกข์เข้าวัง 


 


 


ปะติดปะต่อทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนมิได้โง่ ไฉนจะเดาต้นสายปลายเหตุไม่ออก?  


 


 


ต่างพากันเจ็บปวดห่วงใยต่อจ้าวเซิง อ๋องสงครามผู้องอาจ คุณุปการด้านการศึกสงครามโดดเด่น เพื่อปกป้องบ้านเมืองแล้วต้องหลั่งเลือดมากเพียงใด กินความลำบากมากเท่าไหน? แต่ถึงสุดท้ายแล้วยังถูกญาติของตัวเองวางแผนเอาาชีวิตภรรยากับบุตร ผู้อื่นมาวันนี้มิได้ตะโกนโวยวาย เพียงร้องขอต้องการพาภรรยากลับบ้านเกิด ก็แค่เท่านี้ เหตุไฉนจักรพรรดิกับรัชทายาทยังบีบคั้นกดดันถึงเพียงนี้? 


 


 


ครู่เดียวทิศทางในราชสำนักแปรเปลี่ยนแล้ว มีผู้ตรวจการแผ่นดินอาวุโสหลายคนลุกออกมา คุกเข่าบนพื้นดังปึง กราบทูลต่อจักพรรดิ “กระหม่อมไร้สามารถ มิอาจติดตามท่านอ๋องสงครามปกป้องบ้านเมืองที่ชายแดน แต่กระหม่อมสามารถทัดทานถึงตาย ขอฝ่าบาททรงให้คำอธิบายแก่ท่านอ๋อง ให้คำอธิบายแก่จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน!” 


 


 


คนอื่นๆก็พากันเรียกร้อง “ขอฝ่าบาทตรงให้คำอธิบายแก่อ๋องสงคราม คำอธิบายแก่จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน…!” 


 


 


สถานการณ์ราชสำนักโกลาหล จักรพรรดิทรงกริ้วจนพระขนงเต้นกระตุก รัชทายาทที่อยู่ข้างๆก็ไม่รู้ควรทำเช่นไร 


 


 


โดยเฉพาะรัชทายาท ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเหลือคณา ขันทีผู้นั้นมิใช่คนที่ตนจัดเตรียมเสียหน่อย เขาก็บอกแล้วว่าเห็นแก่พระพัตร์ของเสด็จย่า ยินยอมให้ซูเซียงมีชื่อฐานะเป็นซู่เฟยของอ๋องสงคราม แล้วยังต้องการอะไรอีก?! 


 


 


บนท้องพระโรงราชสำนักอึกทึกครึกโครม แต่ในตอนนี้เอง มีขันทีรุดหน้าเข้ามารายงาน  


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยสวมชุดไว้ทุกข์เสด็จเข้าวัง คุกเข่าท่าเทพธิดาตรงประตูอู่เหมินทิศประจิม ขอองค์จักรพรรดิโปรดให้คำอธิบายแก่ตระกูลขุนนางผู้มีความความดีความชอบ! 


 


 


ท้องพระโรงเงียบกริบก่อน ต่อมาก็แตกตื่นถึงที่สุด! 


 


 


ใช่แล้ว ไม่ว่าสตรีคนนั้นเป็นเช่นไร ทว่าเด็กคนนั้นเป็นทายาทของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินที่พระพันปีทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง บัดนี้ไม่มีเสียแล้ว ซ้ำยังถูกคนในวังคิดร้าย นี่จะอธิบายอย่างไร?! 


 


 


นอกจากนี้ วังหลวงไม่สวมชุดสีขาว นี่เป็นข้อห้าม แต่ไรมาผู้ฝ่าฝืนต้องความผิดประหารสามชั่วโคตรไปจนถึงเก้าชั่วโคตร ทว่าองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไม่เพียงแต่สวมชุดขาว ซ้ำยังสวมชุดไว้ทุกข์อย่างเปิดเผย นี่เป็นการไว้ทุกข์เพื่อเด็กคนนั้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขา!  


 


 


ยิ่งกว่านั้น แต่ไรมามีเพียงอนุชนไว้ทุกข์ให้ผู้อาวุโส บัดนี้ นี่มัน… 


 


 


เดิมทีคิดว่าแค่หญิงแพศยาคนหนึ่งกับเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกคนหนึ่งตายไปก็เท่านั้น ต่อให้เด็กคนนี้เป็นทายาทสืบสกุลของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินที่พระพันปีแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง แต่ถึงที่สุดแล้วก็มิใช่สายเลือดแท้ๆ สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อมิใช่หรือ  


 


 


ทว่าบัดนี้สองพ่อลูกกลับมิกล้าคิดเช่นนี้อีกแล้ว ในใจมากน้อยเกิดความร้อนใจเพิ่มขึ้นอีกสาย โดยเฉพาะองค์รัชทายาท ถ้าเมื่อวานมิใช่เขายืนกรานทำให้จ้าวเซิงง่วงงุนอยู่ในตำหนักของเขาล่ะก็ ทางซูเซียงคงไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้น หญิงแพศยาคนนั้นเกิดเรื่องยังไม่เท่าไหร่ ยังเกี่ยวพันไปถึงเด็กในท้องด้วย’ 


 


 


 “ดีเสียนี่กระไรองค์หญิง มิใช่สายเลือดของนางเสียหน่อย ถึงเวลาเจิ้นพระราชทานเป้ยจื่อ[1]ให้นางคนหนึ่งก็จบแล้วมิใช่รึ?!” จักรพรรดิยังไม่รู้สำนึก ตรัสตำหนิเสียงต่ำ  


 


 


แต่โชคดีที่เวลานี้ท้องพระโรงอึกทึก เสียงของจักรพรรดิก็แผ่วเบา คนที่ได้ยินมีไม่กี่คน ทว่าจ้าวเซิงที่กำลังร่ำไห้กลับได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในใจเศร้าโศกมากอนันต์ สุดท้ายแม้แต่น้ำตายังไม่ไหลหยดลงมาแล้ว นี่เป็นบิดาของเขา บิดาผู้ให้กำเนิดของเขา… 


 


 


แม้นเขาไม่ยอมรับซูเซียง คิดว่าฐานะซูเซียงต้อยต่ำ หรือด้วยเหตุผลอื่นใด แต่ดีเลวอย่างไรเด็กในท้องก็เป็นหลานแท้ๆของเขา ยังทำได้ลงคอ… 


 


 


รัชทายาทในตอนนี้มากน้อยก็นึกเสียใจอย่างแท้จริง ดึงฉลองพระองค์ของจักรพรรดิ ส่งสายตาเป็นเชิงไปทางประตูด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา “เสด็จพ่อ…” 


 


 


พระพักตร์องค์จักรพรรดิกราดเกรี้ยว อารมณ์โกรธในพระทัยท่วมฟ้า ทว่าตอนสดับเสียงวิจารณ์ของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊และเห็นสีหน้าสายตาที่สะท้อนออกมาของพวกเขาในใจก็อดมิได้ที่จะสั่นระทึก สุดท้ายพยักหน้า สองพ่อลูกจึงไปออกทางด้านหลัง 


 


 


หมู่ขุนนางบุ๋นบู๊เห็นสองพ่อลูกจากไป ต่างพากันส่ายหน้า ผู้ครองราชย์เช่นนี้ เฮ้อ…. 


 


 


ยังมีขุนนางอาวุโสทนดูไม่ได้ ส่ายหน้าอุทานทอดถอนใจ “นี่ดีเลวอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆของตัวเอง…” 


 


 


เวลานี้ถึงกับไม่มีคนออกวาจาตำหนิขุนนางอาวุโสท่านนี้พูดจาจาบจ้วง มีแต่ขุนนางอาวุโสหนวดเคราขาวแกมเทาเหมือนกันคนหนึ่งตบๆไหล่ของเขา “เหล่าหลิวเอ๋ย ในเชื้อพระวงศ์นี้หนอไหนเลยจะมีความรักความเชื่อใจเฉกเช่นคนในครอบครัว เจ้าคงมิได้เลอะเลือนไปแล้ว? เจ้าดูสิ วังหลังนั่นมิใช่ไก่บนสุนัขกระโดดรึ เพื่ออำนาจผลประโยชน์ของคนแล้ว ความรักของคนในครอบครัวอะไรนั่นล้วนเป็นแค่สุนัขผายลม!” 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป้ยจื่อ (贝子) หรือยศเต็มว่า กู้ซานเป้ยจื่อ (固山贝子)เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 4 ตำแหน่งเริ่มต้นต่ำสุดที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะแต่งตั้งให้กับพระโอรสทุกพระองค์เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่


ตอนที่ 843 มิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักมาจากที่ไหน


 


 


 “นี่ ข้าจะบอกให้ ในบ้านแต่งภรรยาแค่คนเดียวน่ะดีแล้ว คนมาก ลูกก็มาก นั่นจะวุ่นวายแล้ว ”


 


 


มีคนพูดไปพูดมาแล้วก็มองไปทางขุนนางที่เพิ่งเข้าขั้นสี่ตรงหน้าประตูคนหนึ่ง “พวกเจ้าดูอย่างผู้อื่นเขา ในบ้านราชบัณฑิตหวัง มีแค่ภรรยาเดียวลูกสองคน แต่สงบสุขยิ่งนัก”


 


 


วาจานี้พูดอย่างมีชั้นเชิงลึกซึ้ง เบื้องหน้ากำลังชื่นชมราชบัณฑิตหวัง ในความเป็นจริงกำลังกล่าวว่าจ้าวเซิงกับรัชทายาทแท้จริงแล้วมิใช่พี่น้องท้องเดียวกัน จะมีความรักฉันท์ครอบครัวที่แท้จริงมาจากไหน?


 


 


จ้าวเซิงที่ระบายความอัดอั้นตันใจแล้วรอบหนึ่งบัดนี้ในใจวังเวงหาใดเปรียบ ไม่ ควรจะบอกว่าสงบนิ่งไร้คลื่นแล้ว เขายังเพ้อฝันอะไรอยู่? ยังมีอะไรให้น่าคาดหวัง?


 


 


ไม่นานนักจักรพรรดิก็หน้าถมึงทึงกลับมาพร้อมกันกับองค์รัชทายาท เวลาเดียวกันนั้นในมือของขันทีผู้ติดตามหลังยังหอบราชโองการไว้สองฉบับ


 


 


พระราชโองการองค์จักรพรรดิ: สายสกุลเจิ้นกั๋วเจียงจวินปกปักษ์รักษาชายแดน คุณูปการงานศึกสงครามใหญ่หลวง พระราชทานป้ายสดุดีทรงพระอักษร เปี่ยมล้นเกียรติภูมิ


 


 


พระราชโองการองค์จักรพรรดิ: ด้วยพระราชโองการข้างต้นจึงพระราชทานให้บุตรคนรองของจวนฉุนชินอ๋องรับต่อเป็นทายาทสืบสกุลของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน


 


 


หลังประกาศพระราชโองการจบ หมู่ขุนนางราชสำนักพากันส่ายศีรษะ แม้นรู้ว่าองค์จักพรรดิกับรัชทายาททรงทำเช่นนี้มิถูกต้องสมควรอย่างแท้จริง ทว่าครั้นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็จำต้องเป็นเช่นนี้แล้ว


 


 


บุตรคนรองของฉุนชินอ๋องเป็นบุตรของภรรยาเอก นอกจากนี้บรรพบุรุษทั้งตระกูลยังมีฐานะ พระราชทานเขาเป็นซื่อจื่อสืบสกุลก็มินับว่าไม่เป็นธรรม เพียงแต่น่าสงสารอ๋องสงครามแล้ว นอนกลางดินกินกลางทรายตรากตรำอยู่ชายแดน ถึงสุดท้ายแล้วแม้กระทั่งภรรยากับลูกของตนยังถูกคนปองร้าย!


 


 


เป็นโอรสของจักรพรรดิยังได้รับการปฏิบัติตอบแทนเช่นนี้ นับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นเพียงขุนนางคนนอก


 


 


กระต่ายตายหมายต้มสุนัข[1] ผู้อื่นทำงานเป็นลาลากโม่ยังถูกคนจ้องกินเนื้อ จะมิให้คนหวาดหวั่น มิให้คนหดหู่ใจได้อย่างไร


 


 


นี่เป็นอำนาจของกษัตริย์….


 


 


มุมปากจ้าวเซิงยกยิ้มสลด เยื้องย่างไปทางนอกพระตำหนักทีละก้าวอย่างมั่นคง ในมือเขายังบีบตราทหารคู่นั้นไว้ เพราะบีบจนแน่นเกินไปจึงถูกส่วนมุมคมของตราทหารบาดมือเข้า เลือดสดแต่ละหยดนั้นไหลหยดไปตามรายทางท้องพระโรง เป็นที่น่าสยดสยองของผู้พบเห็น


 


 


เขาในตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว เขาแค่อยากกลับไปอยู่เป็นเพื่อนซูเซียง


 


 


รอนางฟื้นขึ้นมา ถ้านางบอกว่าจะกลับไป เขาก็จะกลับไปเป็นเพื่อนนาง ถ้านางยืนหยัดถึงตายก็ต้องแก้แค้นให้ลูก แม้เขาต้องก่อกวนจนราชสำนักและใต้หล้าฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ก็ไม่มีทางปล่อยให้ภรรยารับความไม่ยุติธรรมเด็ดขาด


 


 


จักพรรดิกับรัชทายาทบนท้องพระโรงเห็นท่าทางของจ้าวเซิงในตอนนี้ใจก็พลันสั่นระทึกราวกับมีใครหยิบค้อนมาทุบหัวใจของพวกเขา เจ็บจนทั้งกายปวดชา มีความรู้สึกมายาชนิดหนึ่งขึ้นฉับพลัน เหมือนพวกเขาสูญเสียของล้ำค่าสำคัญบางอย่างไปแล้ว


 


 


ในพระทัยรัชทายาทลนลานคิดอยากเข้าไปขวาง แต่ถูกขุนนางตรวจการอาวุโสหลายคนคว้าจับกอดขาไว้ “องค์รัชทายาท ขอความเมตตาพระองค์แล้ว ปล่อยท่านอ๋องไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


 “ขอความเมตตาพระองค์แล้ว อย่าได้สร้างความลำบากใจให้ท่านอ๋องอีกเลย อย่างไรพวกท่านก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต…”


 


 


ฟังถึงประโยคนี้ รัชทายาทชะงัก ไหวเอนล้มมิล้มแหล่


 


 


ความไม่พอใจบนหน้าและในใจสายเดียวนั้น ในวินาทีนี้มันถูกโจมตีแตกละเอียด ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ลูกของน้องชายเขาไม่มีแล้ว ตั้งแต่ต้นเขาไม่เคยเอ่ยคำปลอบใจสักประโยคเดียวซ้ำยังตำหนิเขาว่าทำเกินกว่าเหตุ…


 


 


องค์จักรพรรดิบนบัลลังก์พระพักตร์ซีดขาวยิ่งกว่า วินาทีนี้ เขารู้ซึ้งแล้วว่าตนได้สูญเสียลูกชายคนนี้ไปแล้ว แต่ใครใช้ให้เจ้าลูกชายคนนี้ไม่เชื่อฟังเล่า ใต้หล้ามีสตรีตั้งมากมายไม่เอา ซูย่วนเสี้ยนจู่ผู้นั้นก็ดีมากทีเดียว แต่หญิงชั้นต่ำนั่นดันทำให้ระหว่างพวกเขาพ่อลูกห่างเหินกัน


 


 


“ลูกอกตัญญู ลูกอกตัญญูจริงๆ!” จักรพรรดิตบโต๊ะอย่างเดือดดาล


 


 


น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจเขา


 


 


นอกประตูตวนอู่ ขันทีอ่านพระราชโองการสามรอบแล้ว องค์หญิงเต๋อฮุ่ยยังคงยืนกรานคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่หือไม่อือ ลมหนาวสะท้านพัดเป่าร่างโดดเดี่ยวของนาง ชายผ้าโบกสะบัดพึ่บพั่บ เกศาสามพันหมึกปลิวสยาย รูปร่างที่พอเห็นได้ว่าตัวเล็กอ้วนป้อมนั้น บัดนี้ยึดแน่นอยู่ตรงนั้นเหมือนกับหมุดตัวหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ทรหดและแน่วแน่


 


 


ทีแรกขันทีผู้ประกาศราชโองการยังรู้สึกว่าองค์จักรพรรดทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานลงมาให้อย่างมีเกียรติถึงเพียงนี้ ทว่าบัดนี้เห็นอากัปกิริยาขององค์หญิงเต๋อฮุ่ย ในใจถึงกับก่อเกิดความเศร้าสลดไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไม่มีที่มาที่ไป


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กระต่ายตายหมายต้มสุนัข (狡兔死,走狗烹) หมายถึงเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง เหมือนกินกระต่ายตายหมด หมาล่าเนื้อก็ต้องถูกจับต้มกิน ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า‘เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล’


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 844 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยชักดาบเชือดคอ


 


 


ราชโองการสองฉบับนั้น บัดนี้ของอยู่ในมือเขาเหมือนเผือกร้อนลวกมือ


 


 


ขันทีทนมิได้อย่างแท้จริง พยายามยัดมอบราชโองการให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ย “องค์หญิง พระองค์รับราชโองการเถิดพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็น(เกียรติ)…”


 


 


ขันทีพูดไม่ทันจบ องค์หญิงเต๋อฮุ่ยกลับลุกขึ้นกะทันหัน ปัดราชโองการสองฉบับนั้นร่วงลงพื้นเสียงดังผัวะ


 


 


ในขณะที่ขันทียังไม่ได้สติกลับมา องค์หญิงเต๋อฮุ่ยพุ่งไปทางด้านข้างขององครักษ์อย่างรวดเร็ว คว้าดาบขึ้นได้ ไม่พูดพร่ำก็พาดบนคอของตน ปาดลงไปอย่างรุนแรง


 


 


องครักษ์ที่สามารถคุ้มกันเขตพระราชฐานได้ย่อมมิใช่พวกไก่อ่อน กอรปกับองครักษ์นายนี้เคยร่วมอาบเลือดติดตามจ้าวเซิงออกรบ แต่เนื่องด้วยได้รับบาดเจ็บจึงกลับมา ระดับการตอบสนองของเขาฉับไวกว่าคนอื่นมาก


 


 


ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้เขาไม่สนใจเรื่องชายหญิงแตกต่างอะไรแล้ว คว้าแขนจับองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไว้ ยึดดาบกระชากลงมา


 


 


ทว่าองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไม่คิดมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก ดาบนั้นจึงกรีดลงบนคอทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรง แม้นถูกองครักษ์ขวางปัดลงมา บนพระศอก็ยังถูกบาดเป็นรอยหนึ่ง เลือดสดไหลออกมาทันตา


 


 


ขันทีผู้เชิญราชโองการทั้งหลายพากันตกใจกลัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น


 


 


หลังองครักษ์นายนั้นช่วยชีวิตองค์หญิงเต๋อฮุ่ยได้แล้วก็รีบกดจุดเลือดลมบนร่างพระนางทันที พยายามควบคุมการไหลเวียนโลหิต ตะคอกเสียงดัง “ยังยืนบื้อทำอะไร? เรียกหมอหลวงสิ! !”


 


 


ขันทีผู้เชิญราชโองการถึงค่อยได้สติกลับมาจากความตะลึงงัน คุกเข่าหมอบคลานไปทางองค์หญิงเต๋อฮุ่ย ในปากร้องตะโกน “รีบเรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวง! เรียกหมอหลวงสิ…”


 


 


ความเคลื่อนไหวด้านนอกแว่วถึงในวังอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้เลวร้ายถึงที่สุด ทั้งราชสำนักเหมือนหม้อทอดกับน้ำต้มเดือด


 


 


รัชทายาทเองไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มือทั้งคู่ที่กุมไว้ในแขนเสื้อสั่นไหวไม่หยุด ถามตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!”


 


 


กลับกันจักรพรรดิทรงเดือดดาล ตบโต๊ะกล่าว “บังอาจ! นางสวมชุดไว้ทุกข์เข้าวัง เจิ้นยังไม่ลงโทษนางซ้ำยังพระราชทานเกียรติยศถึงเพียงนี้ นี่จะใช้ความดีความชอบทางการทหารของตระกูลสวามีนางมาข่มขู่เจิ้น บังอาจ! บังอาจนัก! อย่าลืมว่าใครเป็นประมุขของใต้หล้าแห่งนี้!”


 


 


เหล่าอำมาตย์เห็นจักรพรรดทรงพิโรธแล้ว ต่างพากันคุกเข่าลงขอร้อง “ฝ่าบาททรงระงับโทสะ ฝ่าบาททรงระงับโทสะ”


 


 


หลายคนแม้เบื้องหน้าขอร้องเช่นนี้ ทว่าข้างในกลับไม่พอใจมากทีเดียว ท่านเป็นเจ้าของใต้หล้าแล้วเก่งกาจนักรึ จวนแม่ทัพเจิ้นกั๋วเจียงจวินเขาสืบสายสกุลหลั่งเลือดสังหารศัตรูปกป้องชายแดนมานานปี เจ็บตายนับไม่ถ้วน ทายาทอนุชนเยาว์วัยตายสิ้นแล้ว กระทั่งบุตรีเพียงคนเดียวขององค์หญิงยังสละชีวิตเพื่อลอบสังหารขุนพลฝ่ายศัตรู ยังต้องการอะไรจากผู้อื่นอีก!


 


 


หากไม่มีนักรบเหล่านี้คอยต่อสู้เลือดอาบ เอาศีรษะเข้าเสี่ยง โลหิตร้อนสาดกระเซ็นอยู่ตรงชายแดน ไหนเลยจะมีพระองค์ท่านจักรพรรดินั่งบนบัลลังก์มังกรอันสูงส่ง เสวยสุขความสงบรุ่งโรจน์!


 


 


มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าไว้ กษัตริย์ให้ขุนนางตาย ขุนนางมิตายมิได้ ที่ประทับสูงบนบัลลังก์มังกรนั้นเป็นผู้สูงสุดของใต้หล้า เป็นจักรพรรดิของพวกเขา แม้นเขาทำไม่ถูก ก็จำต้องถูก


 


 


เหอะๆ …


 


 


จักรพรรดิทรงกริ้วขว้างปาสิ่งของ ทว่ากลับมิกล้ากระทำอันใดกับองค์หญิงเต๋อฮุ่ยและจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินจริงๆ ผู้อื่นกดดันอยู่ซึ่งหน้า เขาจะทำอะไรได้? ถ้าไม่มีสายสกุลของจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินคุ้มกันชายแดน เขาต้องใช้พลังกายพลังใจมากเพียงใดมาควบคุมสถานการณ์ความสงบ?


 


 


รัชทายาทเลอะเลือนไปก่อนนานแล้ว ในใจมีเพียงเสียงเดียว ฆ่าผู้หญิงคนนั้น! ต้องฆ่าหญิงแพศยาคนนั้น! ถ้ามิใช่หญิงชั่วคนนั้น มิใช่กาลกณีเภทภัยบ้านเมืองคนนั้น ไฉนจะตกต่ำมาถึงขั้นอย่างทุกวันนี้?!


 


 


ต้องสังหารนาง…


 


 


พระพันปีอยู่เฝ้าข้างกายซูเซียงตลอดทั้งคืนไม่หลับตาบรรทม บัดนี้ได้ยินเรื่องขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยซ้ำอีก โกรธกริ้วจนหน้าถอดสีซีดขาว ทั้งพระวรกายกำลังสั่นไหว


 


 


แม่นมข้างกายรีบเกลี้ยกล่อม “ พระพันปี พระองค์ถนอมพระวรกาย ถนอมพระวรกายเพคะ! หม่อมฉันหยิบเสื้อคลุมให้พระองค์ เรารีบไปเยี่ยมดูองค์หญิง”


 


 


พระพันปีเดิมทีทรงกริ้วสุดจะทน ครั้นได้วาจาของแม่นมก็พยักหน้าตามจิตใต้สำนึก พระพักตร์กังวลร้อนใจ “ถูกๆ อายเจียห้ามโกรธ อายเจียต้องไปดูฮุ่ยเอ๋อร์ อายเจียโกรธไม่ได้ เวลาแบบนี้ถ้าอายเจียป่วยไป ไม่ระวังตัว ลูกอกตัญญูคนนั้นต้องทำให้ราชสำนักใต้หล้าปั่นป่วนโกลาหลแน่! อายเจียห้ามโกรธ…”


ตอนที่ 845 เลือดแดงสดสะท้อนตาสะเทือนใจ


 


 


เห็นว่าในที่สุดก็ปลอบพระพันปีลงได้แล้ว แม่นมระบายลมหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ รีบหยิบเสื้อผ้าสวมคลุมให้สมเด็จพระพันปี ประคองพระนางเดินโงนเงนเร่งไปทางตำหนักชิงหลินนอกประตูอู่เหมินทิศประจิม


 


 


ตำหนักชิงหลิน นอกประตูอู่เหมินทิศประจิมยามปกติใช้เป็นตำหนักสำหรับสตรีสูงศักดิ์ชั้นเก้ามิ่ง[1] โดยเฉพาะ


 


 


เวลานี้ หมอหลวงปาดเหงื่อเย็นที่เต็มศีรษะ เปลี่ยนผ้าพันแผลให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยรอบแล้วรอบเล่า แต่ผ้าขาวนั้นยังไม่ทันพันยึดดีก็ถูกเลือดซึมทะลุ เลือดแดงฉาน สะท้อนตาสะเทือนใจ


 


 


ด้านในกำลังยื้อช่วยชีวิต แม้เป็นพระพันปีก็เข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงเดินวนไปมาอย่างร้อนใจอยู่ด้านนอก แม่นมที่อยู่ข้างๆ เห็นเจ้านายดูราวกับแก่ลงไปสิบกว่าปีในเวลาเพียงวันเดียว ในใจก็เจ็บปวดคันยิบ


 


 


 “พี่อวี่ ท่านมาคุกเข่าทำอะไรตรงนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว” พระพันปีเห็นแม่นมที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งไปดูแลซูเซียงคนนั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเหม่อลอย ก็เข้าไปดึงนาง


 


 


แม่นมที่เรียกว่าพี่อวี่ท่านนี้ เป็นพี่น้องแท้ๆ กับแม่นมที่ติดตามข้างกายพระพันปี ครานั้นก็เป็นพระพันปีพระราชทานนางเข้าจวนดูแลองค์หญิงเต๋อฮุ่ยด้วยพระองค์เอง บัดนี้เห็นสภาพท้อแท้หมดอาลัยเช่นนี้ของนาง ใจคิดสังหารคนของพระพันปีอาวุโสก็มีขึ้นแล้ว


 


 


 “……” คนที่คุกเข่าบนพื้นยังไม่ปริปากพูดสักประโยค มองเห็นพระพันปี กระทั่งถวายบังคมทักทายก็ยังไม่รู้จักเสียแล้ว


 


 


พระพันปีทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ปลอบอยู่พักใหญ่ ในตอนที่พระพันปีกำลังจะยื่นมือไปประคองนางอีกหน คนบนพื้นก็ร้องไห้โฮ ผุดลุกขึ้นแล้วมุ่งไปชนขอบประตู


 


 


สาวใช้คนหนึ่งเข้าขวางอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับถูกชนจนตาลายเห็นดาว ส่ายไปส่ายมาสองครั้งแล้วล้มลงไป


 


 


พระพันปีตกใจสะดุ้งโหยง ยังไม่ทันได้เอ่ย แม่นมคนนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมา “นายหญิงเพคะ หม่อมฉันผิดต่อพระองค์แล้ว มิได้ดูแลองค์หญิงให้ดี มิได้ดูแลซื่อจื่อให้ดี ฮือ ฮือ ฮือ…นายหญิงเพคะ…”


 


 


เสียงร่ำไห้แหบแห้งโรยแรง สะทกสะท้อนให้พระพันปีชรารู้สึกชาทั้งสรรพางค์กาย ซวนเซจะล้มมิล้มแหล่เช่นกัน


 


 


 “น้องเล็ก! พูดจาเหลวไหลอันใด พระองค์หญิงกับซื่อจื่อล้วนยังอยู่ดี! รีบลุกขึ้น อย่าทำให้นายหญิงตกใจกลัวสิ!” แม่นมของพระพันปีรีบเอ็ด


 


 


 “แอ๊ด” ในที่สุดประตูก็เปิดออก เด็กช่วยงานเตรียมยาสองคนหิ้วปีกหมอหลวงชราท่านหนึ่งเดินโงนเงนออกมา ทั้งใบหน้าซีดเผือด บนหน้าผากล้วนเป็นเหงื่อเย็น


 


 


หมอหลวงชราเห็นพระพันปีก็คุกเข่าลงดังตึงตังทันที ขณะที่พระพันปีหนาวจับใจใกล้สลบลงบัดเดี๋ยวนั้น กลับได้ยินเสียงเหนื่อยล้าของหมอหลวงชราดังขึ้น “เทพเจ้าคุ้มครองจริงแท้ เทพเจ้าคุ้มครองจริงแท้ ช่วยกลับมาได้แล้ว ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง…”


 


 


หมอหลวงพูดไม่ทันจบสองตาก็ปิดสนิทสลบไปด้วยเหนื่อยล้าเต็มที


 


 


 “เร็วๆ รีบพาไปพักผ่อน” แม่นมข้างกายพระพันปีรับสั่งการทันที


 


 


แม่นมบนพื้นท่านนั้นพึมพำเป็นพรวนแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งมุ่งเข้าไปในห้อง พอดีหมอหญิงท่านหนึ่งออกมา ถูกชนเข้าจนคนล้มหงายหลัง สองคนต่างล้มลงบนพื้น


 


 


หมอหญิงไม่พอใจมาก นี่อยู่ในวังหลวง ทะเล่อทะล่าเข้ามาได้อย่างไร ขณะะที่กำลังจะเอ่ยปากตำหนิ ก็เห็นพระพันปีเสด็จเข้ามา ข่มความไม่พอใจไว้ข้างใน ลุกขึ้นกราบทูลทันที “ ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง ช่วยชีวิตองค์หญิงกลับมาได้แล้วเพคะ เพียงแต่เสียเลือดมาก จำเป็นต้องดูแลอย่างดี ”


 


 


พระพันปีพยักหน้า ตรัสเพียงหนึ่งประโยค “ขอบใจมาก ปูนบำเหน็จ ” จากนั้นก็วิ่งไปข้างเตียงอย่างรวดเร็ว ขาชราภาพย่างก้าวรวดเร็วมาก นางคิดว่าจะไม่ได้เห็นคนเป็นๆ เสียแล้ว


 


 


หมอหญิงคนนั้น ไม่ประจบไม่อวดดี ถวายความเคารพให้แผ่นหลังของพระพันปี “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา” พูดจบก็ยื่นมือรับของกำนัลที่แม่นมส่งมาแล้วออกไป


 


 


ในแคว้นต้าหรง ฐานะของหมอหญิงค่อนข้างสูง ในยุคสมัยที่ยึดหลักประโยคที่ว่าสตรีไร้ความสามารถคือสตรีมีจรรยา สตรีเหล่านี้ไม่เพียงแต่รู้หนังสือเป็นอักษร ทั้งยังมีความสามารถส่วนตัวรักษาโรคช่วยชีวิตคนได้


 


 


กอรปกับหมอหญิงท่านนี้ยังเป็นหมอหลวงขั้นสามชั้นเอก แม้เดินออกไปแล้ว เหล่ามหาเสนาบดีล้วนต้องมีมารยาทต่อนางสามส่วน อย่างไรเสียมีสตรีบ้านใดบ้างไม่เจ็บไม่ไข้? ทั้งคำนึงถึงชายหญิงแตกต่าง หมอหลวงก็มิค่อยสะดวกนัก


 


 


เห็นสตรีบนเตียงสีหน้าซีดขาว บนคอพันผ้าพันแผลหนาตึบ นอนอยู่ตรงนั้นไม่เปล่งเสียง ด้านนอกผ้าพันแผลขาวบริสุทธิ์ปรากฎคราบเลือดแดงคล้ำดวงใหญ่ น่าสะเทือนใจยิ่งนัก เหมือนกันกับซูเซียงเมื่อคืน


 


 


 


 


——


 


 


[1] สตรีสูงศักดิ์ชั้นเก้ามิ่ง (外诰命妇) เป็นไว่มิ่งฝู (外命妇)แปลว่าสตรีบรรดาศักดิ์ข้างนอก หมายถึงภรรยาของขุนนางขั้น 1 ถึง5 เรียกว่าชั้นเก้ามิ่ง (诰命)ส่วนในขั้น 6 ถึง9 เรียกว่าชื่อมิ่ง (敕命)


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 846 คนดีๆ ไยคุกเข่าไปคุกเข่ามา


 


 


พระพันปีประทับตรงข้างเตียงไม่เปล่งวาจา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้ในพระทัยนางกำลังคิดอะไรอยู่ กลับเป็นแม่นมขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยฟุบตรงข้างเตียงร่ำไห้ร้องไม่เป็นภาษา ร้องเรียกทีละประโยค “องค์หญิง พระองค์ตื่นเถิดเพคะ องค์หญิง…”


 


 


เดิมทีหมอหญิงคนนั้นออกไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงร้องร่ำทางนี้ก็พลิกร่างวกกลับมา ผลักประตูเข้ามา เห็นหญิงชราที่ชนตัวเองเมื่อครู่กำลังร้องไห้มืดฟ้ามัวดินอยู่ตรงนั้นก็พลันไม่พอใจ “หมัวมัวท่านนี้ รบกวนท่านเงียบเสียงหน่อยได้หรือไม่? คนป่วยจำเป็นต้องพักผ่อน ”


 


 


แม่นมหยุดเสียงร้องไห้โดยพลัน หันศีรษะมองผู้ผลักประตูเข้ามาด้วยความแปลกใจ ริมฝีปากพลันปิดแนบสนิทไม่กล้าส่งเสียงอีก


 


 


ดรุณีท่านนี้นางหาเรื่องด้วยไม่ได้ นี่เป็นแพทย์หลวงขั้นสามอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหรง ยังมีอีกหนึ่งสถานะ คนอื่นไม่รู้ ทว่านางเป็นคนสนิทของพระพันปี ย่อมรู้ดี


 


 


ถ้าเป็นผู้อื่นย่อมไม่กล้าไร้มารยาทต่อหน้าพระพันปีเช่นนี้ ทว่านางเป็นใคร นางสืบทอดวิชาของเตี๋ยอีเซียนกู่ (หมอผีเสื้อแห่งหุบเขาเซียน)นางเติบโตในสภาพแวดล้อมเปิดกว้างมีอิสระ เชื่อว่าคนทุกคนควรเท่าเทียมกัน ในสายตานางแบ่งแยกเพียงคนสุขภาพดีกับคนป่วย สำหรับเรื่องก้มหัวคำนับให้คนในราชวงศ์เหล่านี้ ก็แค่ไว้หน้าให้ก็เท่านั้น อันที่จริงในใจนางก็มิได้แยแส คนดีๆ ทำไมคุกเข่าเข่าไปคุกเข่ามา ยังไม่ตายเสียหน่อย


 


 


หมอหญิงเห็นแม่นมหยุดร้องแล้ว ยังอารมณ์ไม่ดี “พอแล้ว พอแล้ว คนไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด” “ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง คนป่วยต้องพักฟื้น ขอพระองค์ทรงกรุณาเสด็จเช่นกันเพคะ ”


 


 


เหล่านางข้าหลวงในพระตำหนักชิงหลินเห็นกิริยาวาจาเช่นนี้ของนาง พลันตกใจกลัวจนหน้ามืด ตายแล้ว แม่เจ้า เคยเห็นคนหาที่ตายแต่ไม่เคยเห็นใครรนหาที่ตายถึงเพียงนี้ สร้างมาตรฐานใหม่แล้วจริงๆ


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าพระพันปีทรงกริ้วจนขึ้นสมองหาทางจัดการลงโทษหมอหญิงอย่างไรดี คาดไม่ถึง พระพันปีกลับยืนขึ้น พับมุมผ้าห่มให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยบนเตียง จากนั้นพยักหน้ากล่าวกับหมอหญิงคนนั้น “ได้ เช่นนั้นอายเจียจะออกไปก่อน ทางนี้รบกวนเจ้าช่วยดูแลมากหน่อยแล้ว”


 


 


 “อืม” หมอหญิงพยักหน้าอย่างเฉยชา ขานรับอืมหนึ่งเสียงเบาๆ แล้วก็ “เชิญ” คนทั้งกลุ่มออกไป


 


 


นางข้าหลวงและขันทีในพระตำหนักชิงหลินงุนงงเต็มหน้า มีเส้นสีดำเต็มหัว สายตาที่มองหมอหญิงคนนี้อดมิได้ที่จะแปลกประหลาดขึ้นมา คนผู้นี้แท้จริงแล้วฐานะเช่นไร แม้แต่พระพันปียังต้องไว้หน้านาง


 


 


หลังผ่านไปสองวัน องค์หญิงเต๋อฮุ่ยฟื้นขึ้นก่อน เห็นพระพันปีเฝ้าไข้อยู่ข้างกาย เพียงเรียกว่าท่านป้าคำเดียว น้ำตาก็ไหลริน และพูดอะไรไม่ออกอีก


 


 


พระพันปีเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ตบมือของนางพลางกล่าว “เดี๋ยวก็ดีขึ้น เดี๋ยวก็ดีขึ้น…”


 


 


พูดไปพูดมาน้ำตาของตนก็กลิ้งไหลร่วง เด็กคนนั้นแม้ถูกผู้วิเศษลึกลับอุ้มไปแล้ว ฟังจากเสียงนั้นน่าจะเป็นท่านหมอเตี๋ย ทว่าเด็กคนนั้นเกิดมาก็ไม่มีลมหายใจแล้ว หมอเตี๋ยแม้เป็นหมอวิเศษอัศจรรย์ แต่นั่นคงมิอาจปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีชีพ วัตถุประสงค์ที่พูดประโยคนี้ก็เพียงเพื่อปลอบใจองค์หญิงเต๋อฮุ่ยเท่านั้น


 


 


ขณะที่สองคนกำลังก้มหน้าสะอึกสะอื้น แม่นมของพระพันปีก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา “นายหญิง นายหญิงเพคะ จ้านหวังเฟยฟื้นแล้วเพคะ เร็วเข้า…”


 


 


พระพันปีครั้นสดับตาพลันสว่าง ในที่สุดแม่หนูคนนั้นก็ฟื้นแล้ว หากซูเซียงไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะก็ นางไม่กล้าคิดว่าจะวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นไร


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยได้ยินว่าซูเซียงฟื้นแล้ว บนหน้าพยายามแย้มยิ้มออกมา “ท่านป้า รีบไปดูแม่หนูคนนั้นเถิด โถ แม่หนูผู้น่าสงสาร…” พูดไปพูดมาตัวเองซุกในผ้าห่มร้องไห้งอแงขึ้นมา


 


 


พระพันปีห่วงกังวลทั้งสองฝั่งดั่งมดบนหม้อร้อน ทั้งดวงใจหมุนพันยุ่งเหยิง ทว่าพยายามควบคุมกดเอาไว้ ตบๆ คนที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม “เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นป้าไปดูแม่หนูก่อน เจ้ารับปากกับป้า ดูแลตัวเองดีๆ ห้ามทำเรื่องโง่งมอีก”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเลิกมุมผ้าห่ม มองพระพันปีนิ่งเหม่ออยู่หลายวินาทีแล้วค่อยปริปากกล่าว “ท่านป้า เรื่องนี้ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่อาจยอมยุติเลิกรา”


ตอนที่ 847 หย่ากับข้าเถอะ


 


 


พระพันปีชะงัก ตามด้วยสีหน้าอ่อนลงมาทันที นางกังวลมาตลอดว่าหลังองค์หญิงเต๋อฮุ่ยฟื้นแล้วจะกระทำเรื่องโง่เขลา บัดนี้ดูท่าว่าคงไม่เกิดขึ้นแล้ว ลูบๆเส้นผมยุ่งเหยิงของนางพลางกล่าว “ฮุ่ยเอ๋อร์วางใจ ป้าเองก็ไม่ยอมปล่อยวางรามือ เด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของป้าเหมือนกัน”


 


 


สองคนมองตากัน พระพันปีลุกขึ้นโดยไม่ลังเล รุดหน้าเร่งไปทางซูเซียง


 


 


จ้าวเซิงในตอนนี้นั่งทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงหน้าเตียง ไม่ว่าเขาถามอะไร ซูเซียงก็เอาแต่เหม่อมองเพดาน สักคำก็ไม่พูด สีหน้าสักนิดก็ไม่มี ราวกับคนตายทั้งเป็น


 


 


 “เซียงเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์ เจ้าพูดสิ เจ้าอยากจัดการอย่างไร? ขอเพียงเจ้าบอก ข้าสามีล้วนตกลงรับปากเจ้าทั้งหมด ตกลงหรือไม่ เซียงเอ๋อร์…”


 


 


แต่ซูเซียงไม่พูดจา ในดวงตาไม่มีจุดสนใจใดๆ ผู้คนล้วนคิดว่าตอนนั้นนางสลบไปไม่รู้สึกตัวโดยสมบูรณ์ แต่หลังลูกออกมาแล้วตาย นางกลับรับรู้อย่างชัดเจน


 


 


เมื่อครู่ในฝันของนางทั้งหมดล้วนเป็นเด็กคนนั้น เสียงยิ้มหัวเราะร้องเรียกนางว่าแม่ เด็กคนนี้ยังเล่นซุกซน ทำให้ทั้งตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนเพราะจับจิ้งหรีด กลับมาทำออดอ้อนน่ารัก นางถือแส้แต่ใจอ่อน ตีลงไปอย่างนิ่มนวลเบามือ


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ซูเซียงจึงปริปากพูดด้วยเสียงแหบแห้ง เพียงโพล่งออกมาอย่างเฉยชาหนึ่งประโยค “เจ้าหย่าข้าเถอะ ปล่อยข้าไป”


 


 


ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แม้รัฐบาลก็มิได้ใสสะอาดเต็มร้อย อาจมีคนกลุ่มน้อยทุจริตติดสินบน อาจมีปกป้องคนชั่วรู้เห็นเป็นใจคนเลว ทว่าสุดท้ายแล้วยังมีศาลยุติธรรม ยังมีสำนักงานอัยการ ไม่ไหวแล้วก็ยังเขียนจดหมายถึงผู้นำประเทศได้ ไม่เชื่อว่าไม่มีสถานที่ที่พูดคุยกันด้วยเหตุผล


 


 


แต่ที่นี่น่ะหรือ เป็นยุคโบราณที่อำนาจจักรพรรดิเป็นที่ตั้งสูงสุด อย่าว่าแต่ยั่วโทสะจักรพรรดิ แม้กระทั่งกับขุนนางชั้นสูงทั่วไปคนหนึ่ง นางซึ่งเป็นแค่ชาวบ้านตาดำๆก็ยังหาเรื่องด้วยไม่ได้ ราษฎรคนอื่นยิ่งไม่อาจต่อต้านจักรพรรดิได้อย่างเปิดเผย นี่มิใช่แค่รนหาที่ตาย ถึงขั้นนำพาคนเก้าชั่วอายุไปตายด้วย


 


 


นางแค่อยากมีชีวิตมั่นคงปลอดภัย มีรายได้เล็กๆน้อยๆ ใช้ชีวิตกับคนในบ้านอย่างมีความสุข ต่อมานางพบเจอจ้าวเซิง ชมชอบเขา คิดว่าระหว่างสามีภรรยาควรร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่ถึงปลายทางแล้วนางเพิ่งค้นพบว่าตัวเองผิดไป สามีที่นางอยากร่วมทุกข์ด้วยมิใช่คนธรรมดาสามัญ แต่เป็นลูกชายของจักรพรรดิ เป็นองค์ชายมีตำแหน่งอำนาจสูงส่ง เป็นท่านอ๋องสงครามผู้สูงศักดิ์ของแคว้นต้าหรง


 


 


ส่วนนางหรือ ก็แค่วิญญาณทะลุมิติมาในโลกแปลกประหลาด จะหน้าตางดงามก็ไม่งดงาม จะรูปร่างดีก็ไม่ดี อีกทั้งก่อนนางแต่งให้จ้าวเซิง เรือนร่างของเจ้าของเดิมเปื้อนมลทินแล้ว ทั้งยังเคยคลอดลูก ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเองก็นับว่าเป็นผู้หญิงแต่งงานซ้ำสองแล้ว


 


 


หญิงชาวนาแต่งงานใหม่ ในยุคปัจจุบันแม้คิดจะแต่งให้ลูกชายนายอำเภอนั่นก็ยังเป็นความคิดเพ้อฝัน นับประสาอะไรกับผู้ชายตรงหน้านี้เป็นถึงลูกชายของผู้ปกครองสูงสุดของแคว้น นางชมชอบ แต่ครอบครองไม่ได้


 


 


จ้าวเซิงเคยคิดว่าซูเซียงคงร้องไห้โวยวาย คิดว่านางคงร้องตะโกนต้องการแก้แค้นให้ลูก คิดว่านางคงเรียกร้องให้ตนตัดขาดสัมพันธ์กับราชวงศ์แล้วพานางจากไป…เคยคิดไปมากมาย แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายซูเซียงจะละทิ้งเขา


 


 


อีกทั้งแม้แต่จากกันด้วยดีนางก็ยังไม่ต้องการ พอเอ่ยปากก็บอกว่าต้องการหนังสือหย่าทันที ในใจของนาง ต้องสิ้นหวังมากเพียงใด…


 


 


หัวใจทั้งดวงของจ้าวเซิงพังทลายลงในชั่วพริบตานั้น แต่เดิมนั่งบนเตียงเพียงครึ่งก้น บัดนี้เพราะทั้งกายไร้เรี่ยวแรง ร่วงตกพื้นดังปัง ล้มลงกระดูกสะบ้าและข้อมือเสียงดังกร๊อบ


 


 


พระพันปีรีบเร่งเข้ามา เพิ่งก้าวข้ามประตูใหญ่ก็ได้ยินประโยคนี้ของซูเซียง พลันชะงักค้างอยู่กับที่


 


 


ทันใดนั้น มวลความโกรธมหาศาลโหมพุ่งขึ้นกบาล


 


 


หลานชายดีๆของนาง หลานสะใภ้ดีๆของนาง ยังมีเด็กที่ไม่ได้เกิดมาคนนั้น ทั้งหมดล้วนถูกลูกชายโง่เขลาเนรคุณนั่นทำลาย! ยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้เด็ดขาด!


 


 


พระพันปีหมุนกายคิดจะเดินไป แม่นมคิดว่านางเคืองคำพูดซูเซียง รีบร้อนมาเกลี้ยกล่อม “นายหญิง จ้านหวังเฟยเองก็จนใจ จ้านหวังเฟยเองก็เดือดดาล พระองค์อย่าทรงกริ้ว…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 848 ไม่อยากให้ครอบครัวติดร่างแห


 


 


พระพันปีถลึงตาใส่แม่นมข้างกาย “เจ้าคิดว่าอายเจียเลอะเลือนถึงเพียงนี้หรือ! อายเจียย่อมมิใช่โมโหเซียงเอ๋อร์ แต่เป็นลูกอตัญญูนั่น! กับครอบครัวตัวเองยังถึงเพียงนี้ นับประสาอะไรกับราษฎร! ครานี้อายเจียต้องเฉดหัวเขาไปให้ได้!”


 


 


 “…” คนข้างกายเหงื่อตกอยู่ในใจ นายหญิง พระองค์ห้าวหาญเช่นนี้จักพรรดิองค์ก่อนรู้หรือไม่เพคะ…


 


 


 “พระองค์ท่าน ระงับโทสะ ระงับโทสะ” แม่นมโล่งใจ ขอเพียงพระพันปีไม่เอาความจ้านหวังเฟยก็ดีแล้ว แม้เมื่อวานอยู่ร่วมกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แม่นมก็ชื่นชอบจ้านหวังเฟยคนนี้แล้ว อ่อนโยนจิตใจดีทั้งไม่วางมาด ทำให้คนอยากใกล้ชิดสนิทสนม


 


 


พระพันปีสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายเฮือก เดินเข้าข้างหน้า เตะจ้าวเซิงหลีกออกไป “ไสหัวไปทางโน้นเลย ภรรยาตัวเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ สิ่งของไร้ประโยชน์!”


 


 


แม่นมโอดครวญอยู่ในใจ โธ่เอ๋ยไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงของข้า เรื่องนี้มันเกี่ยวอันใดกับท่านอ๋องเล่า…


 


 


วิจารณ์ในใจก็ส่วนวิจารณ์ในใจยังเร่งข้าไปประคองจ้าวเซิงที่ถูกเตะนอนราบกับพื้น “ท่านอ๋องรีบลุกขึ้นเถิดเพคะ ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงมิได้โมโหพระองค์…มีพระพันปีอยู่ จะไม่เป็นไรเพคะ จะไม่เป็นไร…”


 


 


ซูเซียงเห็นพระพันปีมาแล้ว สายตาวูบไหวเล็กน้อย มากน้อยก็ยังเห็นได้ในระยะสายตา


 


 


พระพันปีดึงมือของซูเซียง ไม่ทันพูดก็สะอื้นก่อน “เด็กน้อยน่าสงสาร…”


 


 


ซูเซียงเงียบงันไม่เปล่งเสียง พระพันปีเห็นสีหน้าท่าทางของนางหัวใจก็เต้นตึกตัก เปลี่ยนใจเล็กน้อยแล้วรีบกล่าว “เจ้าดูสิ เมื่อกี้ข้าจัดการสั่งสอนตัวไม่ได้เรื่องผู้นี้แล้ว เจ้าอย่าโกรธเคือง ระหว่างสามีภรรยามีเรื่องอันใดแก้ไขไม่ได้ พูดอีกอย่าง เรื่องนี้มิใช่ความผิดของเซิงเอ๋อร์ทั้งหมด เจ้าวางใจ อายเจียจักจัดการให้คำตอบแก่เจ้า!”


 


 


เปลือกตาซูเซียงปิดลง แล้วยกขึ้นอีกครั้ง สายตาเย็นเยือกและเด็ดเดี่ยว “ขอบพระทัยไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงปรารถนาดี หม่อมฉันตัดสินใจแล้ว เสียบุตรนับว่าหม่อมฉันอาภัพ ข้าซูเซียงชีวิตนี้ถือศีลกินเจเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ลูก แต่ไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง หม่อมฉันไม่อยากทำร้ายให้ครอบครัวติดร่างแห ขอพระองค์ทรงช่วยเกลี้ยกล่อมท่านอ๋อง รีบเขียนหนังสือหย่าร้าง ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ”


 


 


ไม่อยากให้ครอบครัวติดร่างแห…ประโยคนี้ไยพระพันปีจะไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจ จึงเจ็บปวดผิดหวังในตัวจักรพรรดิรัชทายาท


 


 


หัวใจพระพันปีดิ่งจมลงทีละนิด ราวกับตกสู่ห้วงเหวน้ำแข็งพันปีลึกหมื่นจั้ง เป็นเมื่อวานนี้เอง สาวน้อยคนนี้ยังจับมือของตนอย่างดีอกดีใจ เรียกเสียงอ่อนนุ่มนวลว่า”เสด็จย่า” บัดนี้กลับแก้คำเรียกเป็นไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงเสียแล้ว


 


 


เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าคำเรียกขานว่าไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงนี้คือการเคารพนับถือ ทว่าบัดนี้ครั้นฟังแล้วกลับถากถางและเย็นชา ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย


 


 


 


 


จ้าวเซิงที่ได้แม่นามพยุงขึ้นกำลังจะนั่งบนม้านั่ง พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของซูเซียงก็ทนไม่ไหว มือบีบเก้าอี้ เสียงไม้ปริแตกดังแคร๊ก ทั้งตัวเขาหล่นลงบนพื้นอีกหน


 


 


มองดูหลานสะใภ้บนที่เตียงใบหน้าเย็นชา เด็ดเดี่ยว ซีดขาว และหลานชายท้อแท้หมดอาลัยบนพื้น แม้แต่หายใจก็ยังแทบทำไม่ได้ พระพันปีเดือดดาลจนคนทั้งคนใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว


 


 


พระพันปีบีบกำปั้นเกร็งแน่นอยู่ในแขนเสื้อ จิกจนเลือดสดเต็มมือ บนพระพักตร์กลับเค้นยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนสายหนึ่ง “เซียงเอ๋อร์ เด็กดี ร่างกายเจ้าตอนนี้ยังไม่เหมาะขยับตัวตามใจชอบ รอให้หายดีก่อนเราค่อยว่ากัน ตกลงไหม?”


 


 


ซูเซียงปิดเปลือกตา เบือนศีรษะไปอีกด้าน ไม่พูดอะไรอีก นางรู้ว่าพระพันปีปรารถนาดี ทว่าวังหลวงแห่งนี้แค่เพียงวันเดียวนางก็ไม่อยากรั้งอยู่ต่อ


 


 


พระพันปีไม่รู้ว่าซูเซียงไร้คำตอบจึงพลิกตัวไม่พูดจา ยังคิดว่านางยอมรับโดยปริยายแล้ว ในใจมีความหวังสายหนึ่งแวบผ่าน กล่าวกับแม่นมของตน “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลจ้านหวังเฟยมิให้ห่างย่างก้าว เรื่องที่เหลือข้าจะจัดการให้เรียบร้อย!”


 


 


พระตำหนักบรรทมของจักรพรรดิ


 


 


ฮ่องเต้เองก็ทราบข่าวว่าซูเซียงฟื้นแล้ว โกรธกริ้วจนโผล่งปากผรุสวาจา “คนสารเลว! นางหญิงชั่วช้า! คนดีอายุสั้น คนชั่วอยู่ยงคงกระพัน! ทำไมไม่ตายตามผลผลิตนอกคอกนั่นไปเสีย! ไยถึงไม่ตายไป…”


 


 


พระพันปีผู้ซึ่งโทสะพลุ่งพล่านอยู่ก่อนแล้วเร่งรุดหน้าเข้ามาคิดบัญชีกับองค์จักรพรรดิ บังเอิญอยู่หน้าประตูก็ได้ยินวาจาอำมหิตเลวรามเช่นนี้เข้าพอดี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม