ชายาเคียงหทัย 81.1-83.1

ตอนที่ 81-1 ปลอดภัยจากอันตราย ช่วยคน

 

           เวลาผ่านไปไม่เท่าไร เสียงฝีเท้าของเล่อเจียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เล่อเจียงเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาโยนกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งให้กับนายท่านเหลียง “ข้าสั่งคนให้ไปจัดการทั้งสี่คนนั้นแล้ว ของท่านก็ได้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนพาท่านไปส่งที่เมืองหลวงของหนานจ้าว”


 


 


นายท่านเหลียงเปิดกล่องไม้ออกดูแล้วจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย พ่อบ้านกับองครักษ์ของข้าเล่า”


 


 


เล่อเจียงส่งเสียงเหอะด้วยความดูแคลน “พ่อบ้านของท่าน ยามนี้ยังขาแข้งอ่อนเดินไม่ไหวอยู่เลย ยิ่งองครักษ์นั่นยิ่งไร้ประโยชน์ใหญ่ ตอนลงมาตกหน้าผาลงก้นเหวไปแล้ว คนจงหยวนนี่ไม่ได้เรื่อง!”


 


 


           “เจ้า!” นายท่านเหลียงข่มอารมณ์โกรธไว้ “ข้ารู้แล้ว รีบส่งข้าไปหนานจ้าวโดยเร็ว”


 


 


           “ดีมาก” เล่อเจียงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ท่านพักผ่อนไปก่อน อีกเดี๋ยวค่อยออกเดินทาง”


 


 


           ด้านนอกห้อง เยี่ยหลีหันมองหานหมิงซี หานหมิงซีส่ายเงียบๆ ที่ก้นเหวมีศพอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่ล้วนเป็นโครงกระดูที่โดนลมโดนฝนมาหลายวันแล้ว มิได้มีศพของเจิ้งขุยอยู่ในนั้น เกรงว่าเจิ้งขุยคงมิได้พลาดท่าตกลงเหว แต่คงถูกคนหนานเจียงพวกนี้กำจัดทิ้งเสียแล้ว


 


 


           บัณฑิตขี้โรคมิได้รีบร้อนลงมือจัดการนายท่านเหลียง ด้วยเพราะคนหนานเจียงสองคนที่ถูกยาพิษตายนั้นถูกคนพบเข้าเสียแล้ว วังใต้ดินที่เคยเงียบสงบจึงเปลี่ยนเป็นอึกทึกวุ่นวายขึ้นทันที


 


 


นายท่านเหลียงออกเดินทางไปพร้อมผู้คุ้มกันอย่างแน่นหนา คณะเยี่ยหลีทั้งสี่คนจึงได้แต่กระจายตัวกันไปหลบการค้นหาขององครักษ์ทั้งหลายเพื่อเตรียมตัวหนีออกไป แน่นอนว่าองครักษ์ลับสามไปทางเดียวกับเยี่ยหลี หานหมิงซีจึงได้แต่ไปกับบัณฑิตขี้โรคด้วยความไม่เต็มใจนัก


 


 


           “คุณชาย พวกเรา…”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “พวกเราอย่าเพิ่งไป ลองเข้าไปดูก่อน” เมื่อไม่มีบัณฑิตขี้โรคและหานหมิงซีที่คอยขัดแข้งขัดขา ทั้งสองย่อมทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น พวกเขาเข้าไปข้างในวังใต้ดินด้วยความระมัดระวัง วังใต้ดินแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แบ่งออกเป็นเพียงเจ็ดแปดห้องเท่านั้น ทั้งสองค้นห้องไปได้สามสี่ห้อง ก็ยังไม่พบสิ่งของที่เป็นประโยชน์ ท้ายสุดจึงหันไปมองห้องที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด ห้องนั้นไม่เหมือนกับห้องอื่น ประตูใหญ่ของห้องนั้นปิดอยู่อย่างแน่นหนา ทั้งยังมีคนหนานเจียงติดอาวุธสองคนยืนอารักขาอยู่ด้านหน้าด้วย เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ส่งสัญญาณมือให้เขาอย่างรวดเร็ว เจ้าไปซ้าย ข้าไปขวา


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า ทั้งสองใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนตัวไปใกล้หน้าประตู จากนั้นจึงได้เข้าไปจับตัวองครักษ์ทั้งซ้ายและขวาพร้อมๆ กัน องครักษ์ลับสามหักคออีกฝ่ายอย่างไร้สุ้มเสียง เยี่ยหลีมององครักษ์ที่ค่อยๆ ล้มลงในมือ แล้วจึงขมวดคิ้วนำร่างไปหลบซ่อนไว้ยังที่ลับตาคน


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองประตูหน้าที่ลงกลอนอยู่ นางขมวดคิ้วแล้วจึงยื่นมือไปดึงปิ่นทองที่ประดับอยู่บนศีรษะมาบิดออกเบาๆ ก่อนดึงเข็มทองแหลมเล็กออกมางัดแงะอยู่สามสี่ทีก็มีเสียงคลิกดังขึ้นจากแม่กุญแจอันใหญ่นั้น เยี่ยหลีพยักหน้าให้องครักษ์ลับสามที่ยืนหลบมุมอยู่ แล้วจึงผลักประตูเปิดออกเล็กน้อยแล้วแทรกตัวเข้าไป องครักษ์ลับสามคุกเข่าลงมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบที่ดูเงียบสงบด้วยความระมัดระวัง ผ่านไปครู่ใหญ่เยี่ยหลีจึงได้แทรกตัวกลับออกมา แล้วจัดการลงกลอนประตูอีกครั้ง


 


 


           คงด้วยเพราะก่อนหน้านี้ฟากของหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคเรียกความสนใจของกำลังทหารได้มากพอควร เยี่ยหลีกับองครักษ์ลับสามจึงรู้สึกว่ากำลังคนที่ออกค้นหานั้นน้อยลงไปมาก พวกเขาเดินตามรอยสัญลักษณ์ที่หานหมิงซีทิ้งไว้ ไม่ทันครึ่งเค่อดี ทั้งสองคนก็เห็นแสงสว่างของปากถ้ำที่ส่องมาทางด้านหน้า ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้กลิ่นดอกไม้อันตรายหอมลอยมาตั้งแต่อยู่ห่างจากปากถ้ำอีกพอสมควร ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับที่พวกเขาได้กลิ่นเมื่อตอนอยู่บนเขา


 


 


องครักษ์ลับสามหยิบยาเม็ดออกจากกระเป๋าที่หน้าอกออกมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีบี้ยาเม็ดนั้นแล้วยกขึ้นดม แล้ว ก่อนหัวเราะขึ้นเบาๆ “เอามาจากบัณฑิตขี้โรคหรือ”


 


 


เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย สีหน้าองครักษ์ลับสามดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขายิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจ “ถูกแล้วขอรับ บนตัวเขามาพิษอยู่มากเกินไป ข้ากลัวจะหยิบมาผิดจึงมิกล้าหยิบติดมามากนัก นี่เป็นยาที่ก่อนหน้านี้เขาเอาให้พวกเรา น่าจะออกฤทธิ์ได้ประมาณหนึ่งชั่วยามครึ่งขอรับ”


 


 


           “ยอดเยี่ยม” ทั้งสองกินยาเข้าไปคนละเม็ด แล้วองครักษ์ลับสามจึงได้เดินไปสำรวจที่ปากถ้ำก่อน หันกลับมาโบกมือให้เยี่ยหลี ทั้งสองแทรกตัวออกจากปากถ้ำไปด้วยความระมัดระวัง แต่กลับต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผืนดินข้างหน้าถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีแดงสด ปากถ้ำนั้นอยู่ห่างจากหุบเขาไม่ถึงสองเมตรดี ที่หุบเขาด้านล่างเต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงสด และดูเหมือนด้านล่างดอกไม้เกือบทุกดอกจะมีงูสีแดงคาดคำอยู่ดอกละตัวอีกด้วย บางตัวถึงขั้นขึ้นมาเลื้อยเล่นอยู่ตามก้านดอกไม้และตัวดอกไม้อีกด้วย


 


 


เยี่ยหลีนึกเข้าใจความรู้สึกของหานหมิงซีที่หลังจากลงมาที่นี่แล้วเหตุใดถึงได้หลุดปากก่นด่าออกมาเสียยกใหญ่ สถานที่ประหลาดเช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหนาวเข้ากระดูกขึ้นมาได้จริงๆ แต่การที่คนหนานเจียงไม่คิดวางกำลังอารักขาตรงทางออกเปิดออกมายังสถานที่อันตรายเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าพวกเขาประมาทจนเกินไปนัก


 


 


           “ข้ามไปได้หรือไม่” เยี่ยหลีชี้ไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม


 


 


           องครักษ์ลับสามเหลือบมองแล้วจึงพยักหน้า “น่าจะไม่มีปัญหาขอรับ”


 


 


           “ระวังหน่อย หากตกลงไปใครก็คงช่วยไม่ได้”


 


 


หากตกลงไปในทะเลดอกไม้นั้น คงถูกดอกไม้กับงูพวกนั้นกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากศพโดยทันที


 


 


องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “คุณชายจะข้ามไปอย่างไรขอรับ” เขาสามารถใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามไปได้ แต่หากพาอีกคนไปได้เกรงว่าคงจะข้ามไปไม่ไหว ด้วยวิชาตัวเบาของคุณชายเองก็คงไม่แข็งแกร่งพอที่จะพาตนเองข้ามไปเช่นกัน ที่ตรงนี้เตี้ยเกินไปจนเชือกใช้การได้ไม่ดีนัก หากพลาดพลั้งเพียงนิดก็สามารถถูกงูที่พร้อมจะล้อมเข้ามาพวกนั้นฉกเข้าได้ทันที


 


 


เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ที่บ้าๆ นี่มันน่าปวดหัวเสียจริง แต่หากสามารถออกไปได้ ก็ถือว่าที่เสี่ยงมาคราวนี้คุ้มค่ายิ่งนัก เจ้าข้ามไปก่อน ข้าจะไปทางอื่น”


 


 


           องครักษ์ลับสามไม่ยอมขยับตัว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าพระชายาเก่งกาจนัก แต่เขายังดูไม่ออกจริงๆ ว่ามีทางอื่นสามารถไปได้อีก จะรออยู่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย ถึงแม้ที่นี่ตอนนี้จะไม่มีคน แต่มิได้หมายความว่าจะไม่มีคนผ่านมาเลย


 


 


           เยี่ยหลีเห็นท่าทางแข็งขืนขององครักษ์ลับสามแล้ว จึงได้แต่โบกมือให้เขา “เอาเถิด ข้าจะข้ามไปก่อน เจ้ารออยู่ที่นี่ไว้ข้าข้ามไปได้แล้วเจ้าค่อยข้ามตามไป พวกเจ้านี่จะดื้อกันไปทำไมนักนะ”


 


 


องครักษ์ลับสามเอ่ยเสียงขรึมว่า “พวกเราเป็นองครักษ์ลับของคุณชายก็ย่อมถือเอาการอารักขาคุณชายมาเป็นอันดับแรก”


 


 


เยี่ยหลีได้แต่กลอกตามองฟ้า “ขอบใจ แต่หากเจ้าเชื่อในตัวข้ามากกว่านี้ก็จะดีหรอก”


 


 


           จนเมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เยี่ยหลีจึงอาศัยกริชในมือเป็นตัวช่วยปีนขึ้นหน้าผาไป ขึ้นไปได้ไม่เท่าไร ก็หันกลับลงมามององครักษ์ลับสามที่ปีนตามขึ้นมา “เจ้าทำอะไรน่ะ”


 


 


องครักษ์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “ข้าติดตามคุณชายขอรับ”


 


 


           “เจ้าคิดว่าข้าอยากทำเช่นนี้หรือ หากข้ามีวิชาตัวเบาเช่นเจ้าข้าก็คงกระโดดข้ามไปแล้ว” นางปรายตามององครักษ์ลับสามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเงยหน้าขึ้นปีนต่อไป


 


 


องครักษ์ลับสามปีนตามขึ้นมาจนทันเยี่ยหลี “หน้าผานี้มีความสูงอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งร้อยกว่าจั้ง หากคุณชายคิดจะปีนขึ้นไปคงลำบากน่าดูนะขอรับ”


 


 


เยี่ยลีหัวเราะเบาๆ “ใครว่าข้าจะปีนขึ้นไปจนสุดเล่า ขึ้นไปอีกหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ตรงนั้นมีหินก้อนหนึ่งที่ยื่นออกมา ตรงนั้นไง”


 


 


องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ห่างไปไม่ไกลมีก้อนหินก้อนหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักยื่นออกมา จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว คุณชาย เช่นนั้นข้าข้ามไปก่อน”


 


 


           “ระวังด้วย” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งขึ้น


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า แล้วจึงแตะเท้าซ้ายลงบนหน้าผา ก่อนพุ่งตัวทะยานออกไป แต่อาจด้วยเพราะท่าทางการปีนหน้าผาเมื่อครู่ ทำให้บินข้ามไปได้ครึ่งทางก็ดูกำลังส่งหมดลง ถึงแม้จะสามารถลงไปใช้แรงส่งจากดอกไม้ด้านล่างได้ แต่หากเกิดงูกัดขึ้นมา พวกเขาในตอนนี้คงไม่สามารถหายามาถอนพิษได้


 


 


เยี่ยหลีอุทานขึ้นทีหนึ่ง ก่อนขว้างกริชในมือไปใต้เท้าขององครักษ์ลับสาม องครักษ์ลับสามแตะเท้าลงบนกริชก่อนทะยานตัวขึ้นอีกครั้ง ตัวเขาลอยขึ้นลงอยู่สองสามทีก็ขึ้นไปถึงเขาอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


เมื่อเสียกริชเล่มหนึ่งไป เยี่ยหลีจึงต้องใช้เวลามากขึ้นในการปีนขึ้นไปยังหินที่ยื่นออกมาก้อนนั้น หินก้อนนั้นไม่ใหญ่มากนัก ถึงแม้เยี่ยหลีจะพยายามยืนให้ชิดติดกับขอบหน้าผาแล้ว แต่ก็ยังยืนได้อย่างหมิ่นเหม่เต็มที หินก้อนนี้น่าจะเป็นหินก้อนใหญ่ที่งอกยื่นออกมาจากหน้าผา พอเยี่ยหลีขึ้นมายืนบนหินได้อย่างมั่นคงแล้ว นางสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ก่อนหยิบเชือกออกมาจากห่อผ้า แล้วจึงนำปลายเชือกด้านหนึ่งผูกเข้ากับปลอกปลายธนูแล้วยิงออกไปอีกฝั่ง


 


 


           องครักษ์ลับสามที่อยู่อีกฟากรับปลายเชือกไว้ แล้วนำไปหาจุดที่สามารถยึดไว้ได้อย่างแน่หนา ก่อนกระตุกเชือกเป็นสัญญาณให้เยี่ยหลีว่าพร้อมแล้ว เยี่ยหลีหาที่ทางฝั่งตนยึดเชือกเอาไว้ ออกแรงดึงอยู่สองสามทีแล้วจึงไถลตัวลงไปตามเชือกเส้นนั้น 

 

 


ตอนที่ 81-2 ปลอดภัยจากอันตราย ช่วยคน

 

“คุณชาย!” เมื่อเห็นเยี่ยหลีลงยืนบนพื้นได้อย่างปลอดภัย องครักษ์ลับสามถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


 


เยี่ยหลีปัดเสื้อผ้าเล็กน้อย “ไปกันเถิด ตรงนี้น่าจะเป็นภูเขาที่อยู่ด้านหลังค่ายที่พวกเราพักอยู่ก่อนหน้านี้ เราน่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้”


 


 


องครักษ์ลับสามพยักหน้า เขาเดินตามหลังเยี่ยหลีแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชาย ข้านึกออกแล้วว่าที่นี่คือที่ใด ที่นี่คือหุบเขาอสรพิษ”


 


 


           “หุบเขาอสรพิษหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “ในหมู่องครักษ์ลับ มีองครักษ์รุ่นพี่บางคนที่เคยติดตามท่านอ๋องมายังหนานเจียง ว่ากันว่าที่หนานเจียงมีหุบเขาอสรพิษที่มีดอกไม้งูพิษสีแดงอยู่เต็มไปหมด แต่ได้ยินว่าตอนนั้นท่านอ๋องได้จุดไฟเผาหุบเขาอสรพิษจนราบเรียบหมดแล้ว ไม่คิดว่าไม่ทันถึงสิบปีดีก็สามารถฟื้นกลับคืนสภาพได้แล้ว เพียงแต่…ตำแหน่งดูจะไม่ถูกต้องนัก หุบเขาอสรพิษน่าจะอยู่ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของหนานเจียงเสียมากกว่า เหตุใดจึงอยู่ใกล้ด่านซุ่ยเสวี่ยเช่นนี้”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ที่แห่งนี้น่าจะมีคนตั้งใจสร้างขึ้นเสียมากกว่า เจ้ามิได้สังเกตหรือว่าดอกไม้งูพิษพวกนั้นปลูกเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ แม้แต่ความห่างของแต่ละดอกยังใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ดอกไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างแน่นอน แล้วยังงูพวกนั้นอีก ต่อให้ดอกไม้งูพิษงอกกลับขึ้นมาจริง ก็ไม่มีทางมีงูที่เชื่องอยู่มากเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรืองูล้วนน่าจะมาจากการที่คนปลูกและเลี้ยงไว้ทั้งสิ้น”


 


 


           องครักษ์ลับสามนึกย้อนไปถึงความเงียบสงบของทะเลดอกไม้เมื่อครู่ แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดก่นด่าขึ้นมาว่า “คนหนานเจียงเป็นโรคจิตหรือไร ของอันตรายเช่นนี้…”


 


 


           “คนหนานเจียงมิได้กลัวงู” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ “ที่คนหนานเจียงสร้างหุบเขาอสรพิษที่ใครๆ เห็นเป็นต้องถอยหนีเช่นนี้ เชื่อว่าน่าจะเพื่อปิดบังของที่ซ่อนอยู่ในใจกลางภูเขาลูกนี้อย่างแน่นอน”


 


 


           “โรงผลิตอาวุธหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามพูดขึ้นด้วยความสงสัย


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ใช่ มีของที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นอีก พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อน เจ้าเห็นสัญลักษณ์ของหานหมิงซีบ้างหรือไม่”


 


 


           องครักษ์ลับสามที่ยอบเข่าลงนั่งอยู่นั้นมองสิ่งของที่อยู่ที่พื้น “น่าจะเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้นกับพวกเขา สัญลักษณ์นี้…ทำไว้อย่างรีบร้อนมาก” ตอนนี้ก็ตกกลางคืนแล้ว จึงมองไม่เป็นรอยเท้าหรือสัญลักษณ์ใดๆ ได้ องครักษ์ลับสามใช้เวลามองหาอยู่เป็นนานถึงจะเห็นสัญลักษณ์ที่หานหมิงซีทิ้งเอาไว้


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ยอบตัวลงมองพร้อมครุ่นคิด “ตั้งแต่พวกเราแยกกันมาจนถึงตอนนี้ก็สองชั่วยามแล้ว เดินเท้าหนึ่งชั่วยามน่าจะไปได้ประมาณยี่สิบลี้ พวกเขาทั้งคู่ต่างมีวิชาตัวเบา…เพียงแต่วิชาตัวเบามิได้ใช้เพื่อให้เดินทางได้เร็วขึ้น ถือเสียว่าประมาณสามสิบลี้ก็แล้วกัน หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ห่างไปหกสิบลี้ เช่นนั้น…หานหมิงซีจะถูกลอบเล่นงาน หรือว่าพวกเขาจะถูกจับตัวไปได้กัน”


 


 


           “บัณฑิตขี้โรคไม่น่าลอบเล่นงานหานหมิงซีได้ สายของเทียนอี้เก๋อมีอยู่มากเหลือเกิน ในเมืองหย่งหลินต้องมีคนเห็นบัณฑิตขี้โรคอยู่กับหานหมิงซีเป็นแน่ หากเกิดเรื่องอันใดกับหานหมิงซี บัณฑิตขี้โรคคงไม่มีรู้จะพูดกับเทียนอี้เก๋ออย่างไร” องครักษ์ลับสามพูด


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เช่นนั้น…ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกจับตัวไปอย่างนั้นหรือ องครักษ์ลับสาม พวกเราแยกกันไปหา ลองดูว่าหานหมิงซีได้ทำสัญลักษณ์อันใดอย่างอื่นไว้อีกหรือไม่” หากเกิดเรื่องกับหานหมิงซีจริง ไม่เพียงบัณฑิตขี้โรคเท่านั้น แม้แต่พวกเขาเองก็คงไม่รู้จะพูดกับหานหมิงเย่ว์ว่าอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพราะพวกเขาที่ไปหาหานหมิงซีก่อน หานหมิงซีถึงได้ตามมายังหนานเจียงกับพวกเขาด้วย หากพวกเขาถูกจับตัวไปจริง ก็คงได้แต่อธิษฐานให้หานหมิงซียังไม่ถูกคนพวกนั้นฆ่าตายเท่านั้น


 


 


           ในค่ายลึกลับแห่งหนึ่งในหนานเจียง หานหมิงซีนอนลงบนพื้นด้วยความนุ่มนวล ตัวเขาถูกเชือกมัดไว้อย่างแน่หนาจนขยับไม่ได้ บัณฑิตขี้โรคที่อยู่ห่างไปไม่ไกลสภาพย่ำแย่กว่าเขาเสียอีก เขามีโซ่จับแขวนไว้อยู่ยังไม่เท่าไร แต่ยังมีร่องรอยถูกทำร้ายอีกด้วย ยามนี้กำลังกระแอมไอไม่หยุด ดูประหนึ่งคนที่มีอาการร่อแร่เต็มที หานหมิงซีมิได้สนใจสภาพที่ไม่น่าดูของตนเอง ณ ขณะนี้ เข้ายิ้มตาหยีให้บัณฑิตขี้โรคแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังทนไหวหรือไม่”


 


 


           “เจ้าแน่ใจเพียงนั้นเชียวหรือว่าพวกเขาจะมาช่วยเรา” บัณฑิตไอหนักๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม


 


 


           หานหมิงซีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเชื่อว่าจวินเหวยจะไม่ทิ้งขว้าง ไม่สนใจข้า”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคกระแอมไอเบา “ข้าเชื่อว่าเขาจะมาช่วยเจ้าเพราะเห็นแก่เทียนอี้เก๋อเสียมากกว่า”


 


 


           หานหมิงซีมิได้โกรธ สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเขาคงไม่เห็นแก่ที่ท่านมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยสามของสำนักเยี่ยนอ๋องแล้วจะตั้งใจมาช่วยท่านหรอกกระมัง ตอนนี้พวกเราคงได้แต่รอให้จวินเหวยมาช่วยพวกเรามิใช่หรือ มิเช่นนั้นคุณชายสามอย่างท่าน ลองหาคนมาช่วยพวกเราดูสิ” เขาเหลือบตาขึ้นมองบัณฑิตขี้โรคที่ถูกจับแขวนอยู่ แล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที หากมิใช่เพราะเจ้านี่ข่มขู่ให้พวกเขาต้องมาหาดอกปี้ลั่วอะไรนั่น พวกเขาจะโชคร้ายจนมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ไม่ได้เห็นดอกปี้ลั่วยังไม่พอ แต่พวกเขายังมีโอกาสตกนรกในเวลาอันใกล้อีกด้วย เช่นนั้นคงต้องเห็นด้วยกับประโยคของจวินเหวยที่ว่า มีขึ้นสวรรค์ก็ต้องมีตกนรกเสียแล้ว


 


 


           บัณฑิตขี้โรคไอหนักๆ อีกสามสี่ที “ในเมื่อเจ้าเชื่อใจในจวินเหวยถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงได้บ่นไม่หยุดเล่า”


 


 


หานหมิงซีนิ่งไป ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านไม่เห็นที่พวกเราออกมาเจอเมื่อครู่หรือ จวินเหวยกับท่านไม่เหมือนกัน บนตัวก็มิได้ยาที่สามารถควบคุมงูได้ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะออกมาได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าแค่ออกมาจากปากถ้ำนั้นก็คงถูกกลิ่นดอกไม้พวกนั้นทำให้มึนงงไปหมดแล้ว แล้วยัง…งูพิษพวกนั้น…”


 


 


บัณฑิตขี้โรคนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตอนลงมาจากหน้าผาจั๋วจิ้งหยิบยาจากตัวข้าไปไม่น้อย” เมื่อเห็นหานหมิงซีจ้องหน้าเขาจึงเบ้ปากน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องมามองข้าเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งรู้ตอนที่แยกตัวกันออกมาแล้วเหมือนกัน เขาหยิบยาเม็ดกันสลบและยากันกล้ามเนื้ออ่อนแรงไป ก็คือยาที่ข้าให้เจ้าเมื่อตอนอยู่บนเขานั่นแหละ”


 


 


           หานหมิงซีกลอกตาใส่เขา “ดังนั้นท่านถึงต้องเอายาอีกชนิดให้ข้า เหม็นจะตาย!”


 


 


           “เจ้าวางใจได้ พวกเขาไม่เป็นอันใดหรอก” บัณฑิตขี้โรคกลั้นอาการไว้ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น


 


 


           หานหมิงซีปรายตามองเขา “ท่านรู้ได้อย่างไร”


 


 


           “เจ้าแซ่เหลียงคนนั้นแค้นใจจนคิดอยากฆ่าพวกเราโดยทันที แต่เล่อเจียงกลับยังไม่ยอมลงมือคงเป็นเพราะรอให้พวกเขามาพร้อมกันก่อน”


 


 


           “พวกเขาคิดจะจัดการพร้อมกันทีเดียวหรือ” หานหมิงซีขมวดคิ้ว บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “เจ้าอย่าลืมว่าฉู่จวินเหวยตามหลังพวกเรามาโดยตลอด อีกอย่างตอนที่พวกเราออกมาจากในถ้ำพวกเขาก็มิได้ตามออกมาด้วย หลังจากที่พวกเราออกมาแล้วพวกเขาคงต้องอยู่ทำอันใดอีกเป็นแน่ ดังนั้นคนพวกนี้จึงจะต้องจับพวกเขาให้ได้ เจ้าคิดว่าสัญลักษณ์ที่เจ้าทิ้งไว้นั้นพวกมันไม่เห็นหรือ”


 


 


หานหมิงซีพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านรู้ว่าพวกมันตั้งใจใช้พวกเราล่อให้จวินเหวยมาติดกับ แล้วเหตุใดจึงไม่เตือนข้า”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้มเยาะด้วยความดูแคลน “เหตุใดข้าถึงต้องเตือนเจ้าด้วย อย่างน้อยๆ ตอนนี้จวินเหวยก็ยังมีโอกาสมาช่วยพวกเราออกไป หากเขาไม่มาเจ้ากับข้าก็คงต้องตายแน่แล้ว”


 


 


           “หากเขามาก็อาจต้องตายไปพร้อมกับเรานะ!”


 


 


           “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”


 


 


           ก๊อกๆ…


 


 


           มีเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง ทั้งสองหยุดพูดพร้อมหันไปมองทางหน้าต่างโดยทันที ร่างๆ หนึ่งม้วนตัวเข้ามาทางหน้าต่างด้วยความรวดเร็ว ก่อนหันมายิ้มให้พวกเขา “พี่หาน ท่านวางใจเถิด ข้าไม่มีทางตายเป็นเพื่อนพวกท่านแน่”


 


 


           “จวินเหวย!” หานหมิงซีร้องเรียกด้วยความดีใจ


 


 


           “ชู่…” เยี่ยหลียกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากพร้อมกะพริบตาปริบๆ


 


 


หานหมิงซีจึงรีบลดเสียงลง “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ที่ค่ายนี้มีคนซุ่มโจมตีอยู่เต็มไปหมด”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “บนโลกนี้ไม่มีการคุ้มกันใดที่ทำได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่เจ้าจะหารูรั่วนั้นเจอได้หรือไม่ นั่น…พี่หาน กับหัวหน้าหน่วยสาม พวกท่านติดหนี้ชีวิตข้าคนละครั้งแล้วนะ”


 


 


บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ “เรื่องนั้นต้องให้พวกเราออกไปได้อย่างปลอดภัยก่อนถึงจะนับ” สิ่งที่เมื่อครู่เขากับหานหมิงซีคุยกัน จวินเหวยคงจะได้ยินทั้งหมดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของหนุ่มน้อยที่ยังคงยิ้มอย่างชื่นมื่นแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดแค้นหรือไม่


 


 


           “เอาเถิด ท่านพูดถูก” เยี่ยหลีพูดขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอันใดดี แล้วจึงหยิบกริชออกมาตัดเชือกบนตัวหานหมิงซีออกอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโยนกระบี่ให้เขาเล่มหนึ่ง “ที่หนานเจียงนี้หาอาวุธที่ใช้ถนัดมือไม่ค่อยได้ ทนใช้อันนี้ไปก่อนแล้วกัน”


 


 


หานหมิงซียิ้มพร้อมรับกระบี่มา “ขอบใจมากจวินเหวย” เชือกบนตัวหานหมิงซีจัดการได้ไม่ยาก แต่โซ่เหล็กที่อยู่บนตัวบัณฑิตขี้โรคจัดการไม่ง่ายเช่นนั้น เยี่ยหลีใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าปลดโซ่นั้นออกไปได้


 


 


บัณฑิตขี้โรคขยับกระดูกกระเดี้ยวอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “องครักษ์ของเจ้าคนนั้นเล่า”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “เขากำลังเตรียมส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้ชนเผ่าหลัวอีปู่น่ะ” เยี่ยหลีเดินไปข้างหน้าต่าง แล้วทำเสียงสั้นๆ ยาวๆ เลียนแบบเสียงนก สักพักก็เกิดเสียงดังอุตลุดขึ้นที่ที่ใดที่หนึ่งของค่าย ก่อนกระจายไปยังพื้นที่ส่วนอื่น พักเดียวก็ดูจะเกิดเสียงวุ่นวายขึ้นไปทั่วค่าย


 


 


เยี่ยหลียิ้มด้วยความพอใจ “เอาล่ะ พวกเราไปกันได้!” 

 

 


ตอนที่ 81-3 ปลอดภัยจากอันตราย ช่วยคน

 

บัณฑิตขี้โรคผลักประตูออกก็มีลูกธนูหลายดอกพุ่งตรงเข้ามาทันที หานหมิงซีที่อยู่ด้านหลังรีบดึงเขากลับเข้ามา


 


 


เยี่ยหลียกขาขึ้นถีบประตู ธนูเหล่านั้นจึงปักเข้าที่ประตูไม้ บัณฑิตขี้โรคจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความโกรธ เยี่ยหลียิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขา “นี่เป็นของขวัญขอบคุณที่ท่านหัวหน้าหน่วยสามเชิญให้เข้ามาตายเป็นเพื่อนท่าน”


 


 


           บัณฑิตขี้โรครู้ว่าตนไม่ถูกนัก จึงได้แต่ส่งเสียงเหอะๆ เบาโดยมิได้พูดอันใด


 


 


           พลธนูที่อยู่ด้านนอกจ้องมองมาที่ประตูด้วยความระมัดระวัง มีเสียงดังโครมดังขึ้นก่อนที่ประตูไม้นั้นจะถูกเปิดออกพร้อมกับเงาดำเงาหนึ่งที่พุ่งตัวออกมา สวบๆ…ลูกธนูดอกหนึ่งถูกยิงออกมา


 


 


           ปัง ปัง! หน้าต่างสองบานที่อยู่ข้างตึกหลังเล็กมีคนพุ่งตัวออกมาด้านละคน มีเสียงสวบๆ ดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ก่อนที่พลธนูสามสี่คนนั้นจะรู้สึกเจ็บก่อนค่อยๆ ล้มลง 


 


 


เยี่ยหลีเดินออกมาจากประตู เหลือบมองห่อผ้าที่ถูกลูกธนูยิงเสียจนพรุนไปหมด กับศพที่นอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสายตาที่นิ่งขรึมลง “พวกเรารีบไปกันเถิด หากช้าอีกหน่อยจั๋วจิ้งคงจะเอาไม่อยู่”


 


 


ณ ตอนนั้นในค่ายต่างวุ่นวายโกลาหลไปหมด หลายจุดมีไฟลุกโหมขึ้น ดูท่าจั๋วจิ้งคงจุดไฟเผาไปไม่น้อย และคงจุดไฟในจุดที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ห่างไปไม่ไกลมีเสียงนกแปลกๆ ดังลอยมา เยี่ยหลีจึงพาพวกหานหมิงซีมุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างไม่ลังเล


 


 


           ระหว่างทางเมื่อผ่านตาน้ำ บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็นพร้อมหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกแล้วโยนลงไป หานหมิงซีมองด้วยตาเป็นประกายแต่มิได้พูดอันใดให้มากความ รีบเร่งฝีเท้าตามเยี่ยหลีที่อยู่ด้านหน้าไป จนเมื่อพวกเขาใกล้ถึงก็เห็นองครักษ์ลับสามถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เห็นได้ชัดว่าดูตึงมือไม่น้อย


 


 


เยี่ยหลีกวาดสายตามองไปทางนั้น บุคคลสำคัญในค่ายต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มิน่าพวกเขาทางด้านนู้นจึงมีคนคอยจับตาดูอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น เยี่ยหลีนึกถึงของที่ตนหยิบออกมาจากวังใต้ดิน ดูท่าในสายตาของเล่อเจียงแล้ว ของสิ่งนั้นคงมีความสำคัญยิ่งกว่าหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคอยู่มากโข


 


 


           “ช่วยออกมาได้สองคน แต่ต้องเสียไปหนึ่งคน ช่างไม่คุ้มกันเอาเสียเลย” เยี่ยหลีได้แต่ขมวดคิ้ว “พี่หาน ท่านไปจับตาเฒ่านั่นไว้ ทำได้หรือไม่” เยี่ยหลีชี้นิ้วไปยังนายท่านเหลียงที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา พร้อมถามขึ้นเสียงเบา


 


 


หานหมิงซีขมวดคิ้ว “เขามีคนล้อมอยู่มากเกินไป อีกอย่าง…ตาเฒ่านั้นก็อ้วนเกินไปด้วย”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยื่นมือส่งของสองอย่างมาให้ “โปรยสิ่งนี้ไปในอากาศ ส่วนนี่ยัดเข้าปากตาแซ่เหลียงนั่นเสีย”


 


 


           “อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย” หานหมิงซีรับมาพร้อมพยักหน้า


 


 


           องครักษ์ลับสามมองคนที่แต่งกายด้วยชุดทางหนานเจียงตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนโบกสะบัดอาวุธในมืออย่างไม่ไว้หน้า          


 


 


           “จั๋วจิ้ง กลั้นหายใจ!” จู่ๆ ก็มีเสียงหานหมิงซีดังขึ้น พร้อมกับเงาดำที่ทะยานขึ้นพุ่งเข้าหากลุ่มคนเหล่านั้น องครักษ์ลับสามกลั้นหายใจไว้ทันที ที่หนานเจียงไม่เหมือนกับแคว้นซีหลิง คนที่เข้าใจภาษาจงหยวนนั้นมีอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อหานหมิงซีลงมายืนอยู่ที่พื้นจึงมีคนล้มแล้วเป็นจำนวนมาก


 


 


องครักษ์ลับสามถือโอกาสหลบหนีออกจากวงล้อม กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคาฟากหนึ่งอย่างรวดเร็ว หานหมิงซีเข้าถึงตัวนายท่านเหลียงอย่างปลอดภัย เขานอนครวญครางเป็นอัมพาตอยู่กับพื้น หานหมิงซีง้างปากเขาออกแล้วยัดยาเม็ดนั้นเข้าปากไปทันที เขายิ้มเต็มใบหน้า แล้วเอามือตีเข้าที่หน้าเขา “ตาเฒ่าเอ๋ย เจ้าเสร็จล่ะ”


 


 


           เล่อเจียงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยและเป็นคนหนานเจียงเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ล้มลงไป เขากวาดตามองคนที่ลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก สีหน้าที่เหลือบมองนายท่านเหลียงที่มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนอย่างขอความช่วยเหลือ ประหนึ่งสายตาที่ใช้มองคู่แค้นและหายนะ “เจ้าคนจงหยวนที่น่ารังเกียจ! เจ้าทำอันใดลงไป!”


 


 


หานหมิงซีในยามนี้อารมณ์ดีขึ้นมาก ความหงุดหงิดใจที่สั่งสมมาทั้งวันสลายหายไปกว่าครึ่ง เขายกนายท่านเหลียงขึ้นโยนทิ้งไปทางที่บัณฑิตขี้โรค แล้วจึงหันไปยิ้ม “ท่านหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ ท่านยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าพวกเราทำอันใดลงไป หรือว่าท่านไม่เคยคิดเลยว่าตนเองได้ทำอันใดลงไปบ้าง”


 


 


เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ พูดด้วยความดูแคลนว่า “เจ้าคิดว่าแค่พิษกระจอกพวกนี้จะจัดการของหลัวอีปู้ได้หรือ”


 


 


           หานหมิงซีผานมือออกพร้อมยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “พิษนี้มิใช่ของข้าเสียหน่อย จะจัดการได้หรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย เจ้าให้คนของเจ้าลุกขึ้นมาสิ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคลากนายท่านเหลียงที่ตัวอวบอ้วนออกมา ตอนนี้สีหน้าของนายท่านเหลียงเปลี่ยนเป็นสีดำประหนึ่งก้อนหมึก หายใจพะงาบๆ เต็มที เพียงดูก็รู้ว่าจะต้องถูกพิษที่ร้ายแรงเข้าอย่างแน่นอน เล่อเจียงชะงักไปทันที ถึงแม้เขาจะเชี่ยวชาญการใช้ยาพิษและควบคุมงู แต่ยามนี้เขากลับดูไม่ออกว่านายท่านเหลียงโดนยาพิษอันใดเข้าไป แต่อีตาพ่อค้าวาณิชที่น่ารังเกียจคนนี้ยังจะตายไม่ได้ “พวกเจ้าต้องการอันใด”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ปล่อยพวกเราไป แล้วอย่าให้ใครตามมา มิเช่นนั้น…ข้าจะฆ่าเขาทิ้ง!”


 


 


           เล่อเจียงนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ได้ เพียงแต่…พวกเจ้าต้องเอาของที่หยิบไปจากวังใต้ดินมาคืนข้าเดียวนี้!” เขาชี้นิ้วไปทางเยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามพร้อมส่งสายตาอำมหิตไปให้


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ พร้อมยิ้มอย่างใสซื่อ “มิใช่ของดีอันใดเสียหน่อย คุ้มกันหรือ คืนให้เจ้าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าที่เส้นที่เขียนไว้บิดๆ เบี้ยวๆ นั้น เขียนไว้เล่นสนุกอันใด”


 


 


เล่อเจียงจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความสงสัย “อ่านไม่ออกแล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องขโมยมันไป”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “หากเป็นของที่สำคัญเช่นนั้นข้าแนะนำว่าอีกหน่อยท่านอย่าได้ตกแต่งให้มันหรูหราถึงเพียงนั้นเลย นั่นมิได้ทำเพื่อให้คนขโมยไปหรอกหรือ ของที่ข้าชื่นชอบเป็นที่สุดก็คือของเล่นที่หรูหราพวกนั้นนี่แหละ เอ้า ของเล่นที่ไร้ประโยชน์อันนี้ข้าคืนให้เจ้า” พูดจบ เยี่ยหลีก็หยิบของสิ่งหนึ่งมาโยนออกไป


 


 


เล่อเจียงรับมาไว้กับมือ เป็นกล่องไม้สีเข้มกล่องหนึ่ง บนฝากล่องสลักเป็นลวดลายบิดเบี้ยวไม่รู้ว่าเป็นตัวหนังสือหรือเป็นรูปภาพ มองออกว่าเดิมทีกล่องนี้น่าจะเคยประดับตกแต่งด้วยบางสิ่งบางอย่างมาก่อน แต่ตอนนี้ด้านบนดูเป็นหลุมเป็นบ่อไม่เรียบ ของที่เคยประดับตกแต่งอยู่ด้านบนดูจะถูกคนดึงออกไปแล้ว


 


 


           เล่อเจียงตรวจดูฟันเฟืองของกลอนบนกล่อง เมื่อไม่เห็นว่ามีร่องรอยของการถูกเปิดออก จึงนึกโล่งอกขึ้นมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นไม่น้อย เขาหันมองเยี่ยหลีที่พลิกของเล่นที่มีประกายสีทองอยู่ในมือด้วยสีหน้าอวดดีพร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “แล้วยังมีของอย่างอื่นอีกที่ข้าหยิบมาจากบนโต๊ะ ข้าเชื่อว่าท่านหัวหน้าเผ่าเล่อเจียงคงไม่ใจแคบขนาดจะไม่ให้ข้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยสักอันกระมัง”


 


 


           เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ “พวกเจ้าไปได้แล้ว” ยังมีของอันใดจากวังใต้ดินที่หายไปอีกบ้างเขาย่อมรู้ดี แต่ทั้งหมดล้วนมิใช่ของที่มีความสำคัญอันใด ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมานั่งสืบหาเอาความกับพวกเขาแล้ว


 


 


บัณฑิตขี้โรคที่แบกนายท่านเหลียงเดินรั้งท้ายมา หันไปเอ่ยเตือนเขาว่า “อย่าได้เล่นลูกไม้เชียว ข้ารับประกันว่าจะทำให้เขาตายจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกเลยทีเดียว”


 


 


           เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามเตรียมม้าไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อออกจากค่ายมาได้พวกเขาก็รีบขึ้นม้าบังคับให้ออกวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยทันที


 


 


จนฟ้าเกือบสว่างพวกเขาจึงได้เห็นถนนสายหลัก แล้วทั้งหมดก็ต่างถอนหายใจออกมา


 


 


หานหมิงซีหัวเราะ “วานนี้ช่างเป็นวันที่มีสีสันยิ่งนัก โชคดีจริงๆ ที่มีจวินเหวย พวกเราพักกันที่นี่เสียหน่อยเถิด เมืองถัดไปอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสิบลี้เท่านั้น พวกเราพักกันที่นั่นสักวันก็ยังได้ หากสามารถเดินทางได้อย่างราบรื่น อย่างมากไม่เกินเจ็ดแปดวัน พวกเราก็จะถึงเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าวแล้ว”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคเอ่ยคัดค้านขึ้นว่า “พวกเราจะเดินทางอ้อมเมืองตรงเข้าเมืองหลวงของหนานจ้าว”


 


 


           “ท่านไม่เหนื่อยแต่พวกข้าเหนื่อยแล้วนี่” หานหมิงซีพูดด้วยความไม่พอใจ


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพูดด้วยสายตาเย็นเยียบ “พวกเราพาเขาไปด้วยเจ้าคิดว่าเราจะเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้หรือ อีกอย่าง เจ้าคิดว่าเล่อเจียงจะไม่ส่งคนมาตามพวกเราจริงๆ หรือ”


 


 


           หานหมิงซีย่นจมูก “ใครเป็นพวกเรากับเจ้ากัน คนที่เจ้าต้องการหาตัวก็พบแล้ว เจ้าไปถามเขาเองแล้วกันว่าของอยู่ที่ใด พวกเราแยกทางกันเดินทางใครทางมันก็แล้วกัน เมื่อวานพวกเรายังถูกเจ้าทำร้ายไม่พอหรือ จวินเหวย จริงหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เล่นเครื่องประดับฝังอัญมณีอย่างประณีตงดงามในมือ “ก็ไม่เท่าไร เพียงแต่…หากพวกเราแยกกันเดินทางแล้ว ท่านหัวหน้าหน่วยสามจะให้ค่าตอบแทนที่รับปากกับข้าไว้หรือไม่” บัณฑิตขี้โรคตาเป็นประกายขึ้นทันที “ดังนั้นดีที่สุดก็คือไปทางเดียวกันมิใช่หรือ เช่นนั้นคุณชายฉู่จะได้วางใจ”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ถึงอย่างไรก็ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันตั้งมากมายเช่นนี้แล้ว จะมีอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ห่างยอมทิ้งเสียกลางทางไม่เท่ากับว่าที่ค่าทำไปเมื่อวานเป็นการเสียแรงเปล่าหรือ”


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ หานหมิงซีจึงได้แต่พยักหน้า “หวังว่าข้าคงไม่ถูกเจ้าเล่นงานจนตายไปเสียก่อน”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงพี่หานจะกลับเข้าจงหยวนก่อนก็ย่อมได้ เพราะถึงอย่างไรพี่หานก็มิได้สนใจของที่ท่านหัวหน้าหน่วยสามต้องการหาอยู่แล้วมิใช่หรือ”


 


 


หานหมิงซีหันหน้ามาเอ่ยปฏิเสธทันที “ข้ารู้สึกว่าตามจวินเหวยมาด้วยนั้นสนุกนัก จวินเหวยไปที่ใดข้าก็จะไปด้วย ไปด้วยกันก็ไปด้วยกัน! ข้าเคยกลัวผู้ใดเสียที่ไหน”


 


 


           ทั้งสี่ตัดสินใจที่จะพักเรื่องทะเลาะกันไว้ชั่วคราวแล้วหยุดพัก บัณฑิตขี้โรคนำตัวนายท่านเหลียงไปทรมานเค้นความลับอีกด้านด้วยท่าทางเหมือนอดใจรอไม่ไหวอีกแล้ว หานหมิงซีเองก็มีความเจ็บแค้นอยู่กับนายท่านเหลียงจึงตามไปยืนดูด้วยอีกคน เยี่ยหลีแสดงท่าทีไม่สนใจ องครักษ์ลับสามถึงจะดูสนใจอยู่บ้างแต่เขาไม่มีทางแสดงท่าทีเช่นนั้นให้คนนอกได้เห็นเป็นอันขาด เขารั้งอยู่ข้างกายเยี่ยหลีคอยสอดส่องรักษาความปลอดภัย


 


 


เยี่ยหลีเดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ เหลือบมองหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วจึงได้หยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาจากแขนเสื้อ ในนั้นมีกระดาษอยู่สองแผ่น เยี่ยหลีหยิบดินสอถ่านปลายแหลมแท่งหนึ่งจากห่อผ้า ขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ


 


 


           องครักษ์ลับสามยืนอารักขาอยู่ด้านข้าง มองลายเส้นบิดๆ เบี้ยวๆ บนกระดาษด้วยสีหน้าสงสัย “คุณชายมิได้บอกว่าท่านไม่เข้าใจตัวหนังสือพวกนี้หรือขอรับ คุณชายหลอกพวกมันหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ แต่มีคนอื่นเข้าใจนี่ เพียงแต่ของที่ไม่เข้าใจนั้นจะจดออกมาก็ลำบากหน่อย อันที่จริงควรจะจดมาตั้งแต่เมื่อวาน เพียงแต่กลัวว่าหากถูกจับได้จะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ นี่…น่าจะจดมาไม่ผิดนะ” พูดจบ เยี่ยหลีก็ก้มหน้าลงเขียนเส้นโค้งไปมาลงบนกระดาษต่อ พร้อมพูดกับองครักษ์ลับสามว่า “อันที่จริงข้าก็มิค่อยรู้ว่าพวกนี้มันเป็นของเล่นอันใดบ้าง เพียงแต่กล่องนั้นข้ารู้จัก ของเล่นประดับตกแต่งที่ข้างัดออกมาจากล่องนั้นดูเหมือนจะเป็นตราประทับของธิดาเทพแห่งหนานเจียง ดังนั้นของเล่นชิ้นนี้น่าจะมีความสำคัญมาก” อันที่จริงนางเห็นบางอย่างที่น่าสนใจเสียยิ่งกว่า เพียงแต่ของสิ่งนั้นนางอ่านเข้าใจจึงง่ายแก่การจดจำให้ขึ้นใจมากกว่า นางอ่านไปเพียงหนึ่งรอบแล้วจึงโยนกลับไปเก็บไว้ที่เดิม ยามนี้ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเขียนมันออกมา


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า ในใจรู้สึกเสียใจแทนหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ผู้นั้นที่คิดว่าสมบัติล้ำค่าของตนไม่ได้รับความเสียหาย เขาไม่มีทางรู้ว่า ตอนที่คุณชายรอให้ฟ้ามืดอยู่ที่ปากถ้ำของหุบเขาอสรพิษนั้น คุณชายได้นำของข้างในออกมาศึกษาอยู่กว่าครึ่งชั่วยามแล้วจึงได้วางกลับลงกล่องไป ส่วนตัวเขานั้นรู้สึกเลื่อมใสในความสามารถด้านการสะเดาะกลอนของนายตนอย่างมาก ในใจนึกวางแผนว่าตนจะขอให้คุณชายช่วยสอนเรื่องนี้แก่ตนเมื่อไรดี


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยหลีก็เขียนอะไรออกมาเต็มกระดาษ ทบทวนความทรงจำของตนเองด้วยความพอใจอยู่สองรอบจึงได้ยื่นส่งให้องครักษ์ลับสาม “รีบให้คนส่งของชิ้นนี้กลับบ้าน ให้เขาช่วยดูว่าของเล่นชิ้นนี้คืออันใด”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้


 


 


“มีอันใดก็พูดออกมาตรงๆ เถิด”


 


 


องครักษ์ลับสามมองแผ่นกระดาษในมือแล้วจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “พวกเราเดินทางกันมาก็นานพอสมควรแล้ว ในเมื่อคุณชายอยากส่งจดหมายกลับบ้าน ท่านจะเขียนจดหมายถึงคนที่บ้านบ้างหรือไม่ จะได้ให้คนที่บ้านรู้ด้วยว่าคุณชายสบายดี”


 


 


           จดหมายถึงคนที่บ้านหรือ เยี่ยหลีอึ้งไป ตั้งแต่ออกเดินทางมา ด้วยเพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงเส้นทางการเดินทางของตนจึงมิได้ส่งข่าวอันใดกลับไปให้ม่อซิวเหยาเลย แม้แต่องครักษ์ลับที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ก็มิได้ติดต่อไปหาพวกเขาด้วย นึกถึงคำพูดที่ม่อซิวเหยาพูดทิ้งท้ายกับตนไว้แล้ว เยี่ยหลีก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ นางมองกระดาษที่ยังเหลืออยู่ในมือ ในเมื่อยังมีกระดาษเหลืออยู่ ก็เขียนจดหมายอีกสักฉบับแล้วกัน 

 

 


ตอนที่ 82-1 คุณชายชิงเฉินหายตัวไป

 

       เยี่ยหลีมิได้เข้าไปยุ่มย่ามว่าบัณฑิตขี้โรคจะทรมานนายท่านเหลียงจนมีสภาพเป็นเช่นไร ยามที่นางเห็นบัณฑิตขี้โรคทรมานนายท่านเหลียงจนเกือบสิ้นลมหายใจตายอยู่ด้านหลังนั่น นางเอ่ยขัดขึ้นเพียงประโยคเดียวว่า ‘ระวังอย่าให้ถึงตายล่ะ’


 


 


บัณฑิตขี้โรคพื้นเพมิใช่คนมีจิตใจดีอะไร นายท่านเหลียงผู้นี้ก็มิใช่คนดีเช่นกัน เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูด บัณฑิตขี้โรคจึงส่งเสียงเหอะด้วยความดูแคลนทีหนึ่ง แต่มิได้พูดอันใด หากเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดตาย คนผู้นั้นต่อให้อยากตายก็จะไม่ได้ตายเป็นอันขาด เพียงแต่เมื่อเยี่ยหลีเห็นสีหน้าบึ้งตึงของบัณฑิตขี้โรคแล้ว ในใจนางรู้ดีว่าเขาคงยังมิได้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการจากปากของนายท่านเหลียงเป็นแน่ เพราะอันที่จริงหากปากของตาเฒ่านั่นเปิดได้ง่ายเพียงนั้นเขาคงมิต้องเดินทางมาถึงหนานเจียงด้วยเช่นนี้


 


 


แต่บัณฑิตขี้โรคก็ไม่ถึงกับมิได้อันใดเลย อย่างน้อยๆ เขาก็รอจนได้ของชิ้นนั้นที่สมบูรณ์ เยี่ยหลีมองจากไกลๆ เห็นเป็นหยกก้อนหนึ่งที่สลักเป็นลวดลายดอกไม้หน้าตาประหลาด ด้วยเพราะบัณฑิตขี้โรคไม่คิดที่จะแบ่งปันเรื่องนี้กับนาง เยี่ยหลีจึงมิได้ไปถามให้มากเรื่อง


 


 


คณะของพวกเขาหลบซ่อนจาดคนของหลัวอีปู้ที่ส่งมาสะกดรอยตามไปได้ ทั้งหมดขี่ม้าห้อไปยังเมืองหลวงของหนานจ้าวทันทีโดยไม่หยุดพัก


 


 


 


 


           ตำหนักติ้งอ๋อง เมืองหลวงแห่งต้าฉู่


 


 


           “ท่านอ๋อง พระชายาส่งจดหมายมาแล้วขอรับ” นี่ก็เข้าปลายเดือนสี่แล้ว แสงพระอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องลงมาในสวนดอกไม้ เมื่อเปิดหน้าต่างออกไป จะเห็นดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างงดงามอยู่ ม่อซิวเหยามองออกไปยังสวนดอกไม้นอกหน้าต่าง ดูเหมือนเขาจะได้รู้จักกับเยี่ยหลีในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วพอดี ในตอนนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่า การพระราชทานงานสมรสของม่อจิ่งฉีที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายและหมายที่จะสร้างความอับอายให้เขา จะทำให้เขาได้ภรรยาที่ไม่เหมือนใครผู้นี้มา


 


 


ยามนี้ในเมืองหลวง คนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้กับคนที่จงรักภักดีต่อหลีอ๋องนั้นกลายเป็นประหนึ่งน้ำกับไฟ ส่วนตำหนักติ้งอ๋องยังคงปิดประตูแน่นหนาไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ด้วยเพราะพระชายาหายตัวไป และใช้ความนิ่งเฉยในการแสดงความไม่พอใจที่มีต่อองค์ฮ่องเต้ ตำหนักหลีอ๋องไม่สนใจการต่อสู้ทั้งในที่ลับและในที่แจ้งระหว่างฮ่องเต้และหลีอ๋องอีก ไม่เหมือนเช่นในอดีตที่มักให้ความช่วยเหลือฮ่องเต้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมตลอดมา


 


 


           “เอาเข้ามา” ม่อซิวเหยาเลื่อนสายตากลับเข้ามา แล้วกันไปพูดกับหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ยืนอยู่หน้าประตู


 


 


           เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือม้วนกระดาษหนาๆ ที่ปิดผนึกอยู่ม้วนหนึ่ง เขาหัวเราะหึหึมองม่อซิวเหยา “จะว่าไปนะอาเหยา พระชายา พี่สะใภ้ของเรานี่ช่างใจแข็งเสียจริง ออกเดินทางไปได้เกือบสองเดือนแล้วถึงได้คิดเขียนจดหมายกลับมา”


 


 


ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น ก่อนม้วนกระดาษในมือม่อซิวเหยาจะถูกแรงลมจากกำลังภายในดูดออกไป “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด”


 


 


เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “หากร่องรอยของพระชายาหาได้ง่ายเพียงนั้น ตอนนี้คงไม่ยังไม่พบแม้แต่เงาหรอก คนที่ได้รับจดหมายคือองครักษ์ลับที่อยู่บริเวณชายขอบของชนเผ่าหลัวอีปู้ที่อยู่ทางหนานเจียง แต่องครักษ์ลับพวกนั้นต่างไม่เห็นตัวคนที่มาส่งจดหมาย ตลอดทางมานี้ไม่ว่าจะเป็นคนของเราหรือคนอื่นๆ ต่างมิมีผู้ใดพบร่องรอยของพระชายาเลย จะว่าไป…พวกเขาเดินทางกันห้าคนน่าจะหาไม่ยากถึงจะถูก องครักษ์ลับที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ก็ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นหน้าพวกเขา จะดูออกคงยาก” อีกอย่างพวกเขารู้จุดที่ส่วนใหญ่ที่จะส่งองครักษ์ลับไปดี คิดที่จะหลบซ่อนคงเป็นเรื่องง่ายพอดู


 


 


           ม่อซิวเหยาคลี่ม้วนกระดาษออกก็มีของที่แวววาวเป็นประกายกลิ้งออกมา กับจดหมายที่ปิดผนึกอยู่อีกฉบับหนึ่ง ม่อซิวเหยาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาถือในมือ เป็นเครื่องประดับทองประดับอัญมณีฉลุลายดอกขุย[i]ที่ปราณีตงดงามมาก


 


 


เฟิ่งจือเหยาตะลึงไป “พระชายาถึงขั้นส่งเครื่องประดับให้ท่านเชียวหรือ” เพียงแต่…มีอะไรเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ม่อซิวเหยามองสำรวจเครื่องประดับทองในมือ ก่อนวางลงที่โต๊ะด้านข้าง จากนั้นจึงได้คลี่จดหมายออกก้มหน้าลงอ่าน คิ้วคมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน พักใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “ตามใครที่เชี่ยวชาญตัวอักษรของหนานเจียงมาที”


 


 


เฟิ่งจือเหยามองเขาด้วยสายตาประหลาด “ท่านมิได้อ่านตัวอักษรของหนานเจียงออกหรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “สิ่งนี้ไม่เหมือนกัน น่าจะเป็นตัวอักษรโบราณของหนานเจียง


 


 


เฟิ่งจือเหยารับมาอ่านดู ตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ หน้าตาประหลาดที่เขียนอยู่บนกระดาษทำให้เขาปวดหัวขึ้นทันที “มีส่วนคล้ายภาษาหนานเจียง แต่ดูเหมือน…จะอ่านไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดพระชายาถึงเข้าใจตัวอักษรหน้าตาประหลาดเช่นนี้ได้”


 


 


           ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงก่อนจดหมายอีกฉบับที่ดูกระชับสั้นได้ใจความ “นางมิได้อ่านออก นางจดจำลักษณะของตัวอักษรพวกนี้แล้วคัดลอกออกมาจากความจำต่างหาก”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาไม่เชื่อ “ตัวอักษรหน้าตาบิดๆ เบี้ยวๆ พวกนี้ อ่านก็ไม่ออกอาศัยแค่การใช้ความจำจดออกมาอย่างนั้นหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาเรียบๆ เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นลูบจมูก “เอาเถิด คนของเราที่รู้จักตัวอักษรปัจจุบันของหนานเจียงนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่หากเป็นตัวอักษรโบราณแล้ว…นั่นน่าจะเป็นตัวอักษรที่คนหนานเจียงไม่ได้ใช้กันมากว่าสองร้อยปีได้แล้วกระมัง”


 


 


ถึงแม้สมัยนั้นหนานเจียงจะขึ้นกับราชสำนักของจงหยวน แต่มีชนเผ่าของตนเองอยู่มาก ตัวอักษรและภาษาก็ต่างใช้ไม่เหมือนกัน จนเมื่อหนานจ้าวสถาปนาแคว้นขึ้นจึงได้รวมการใช้อักษรให้เหลือเพียงอักษรหนานเจียงเพียงภาษาเดียว ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษนี้ผู้ใดเลยจะรู้ว่าเป็นตัวอักษรของชนเผ่าใดของหนานเจียง


 


 


“หากในเมืองหลวง เกรงว่าอาจต้องลองถามใต้เท้าอาวุโสซูดู ไม่แน่ว่าอาจดูออกว่าเป็นของเล่นอันใดกันแน่ เพียงแต่…” ถึงแม้ใต้เท้าอาวุโสซูจะเป็นคนที่มีศีลธรรมสูงส่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางของราชสำนัก หากเกิดเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา เกรงว่าอย่างไรเขาคงต้องรายงานต่อฝ่าบาทเป็นแน่


 


 


           ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้า “ใต้เท้าซูมีอคติต่อหนานเจียงมาโดตลอด และไม่เชี่ยวชาญเรื่องอักษรของหนานเจียงด้วย”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาแววตาเปลี่ยนไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไป…อาเหยา ท่านลืมคนที่สำคัญมากๆ คนหนึ่งไปหรือเปล่า”


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองจ้องเขานิ่งๆ เป็นการเตือนว่าอย่าได้คิดสร้างเรื่อง


 


 


เฟิ่งจือเหยาหัวเราะหึหึ “อย่าลืมนะ…พระชายาของพวกเรามีเชื้อสายตระกูลใด ทั่วทั้งต้าฉู่นี้ยังมีตระกูลใดที่มีความรู้กว้างขวางกว่าตระกูลสวีอีกหรือ หากคนตระกูลสวียังไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด เช่นนั้นพวกเราก็คงไม่มีหวังแล้ว”


 


 


ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วก้มหน้าลงมองจดหมายถึงคนทางบ้านสั้นๆ ที่เขียนอย่างกระชับได้ใจความ แล้วจึงหยิบเครื่องประดับทองที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมองมองโดยละเอียด “เจ้าคิดว่าของสิ่งนี้เหมือนเครื่องประดับหรือไม่”


 


 


เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจ “หรือว่ามิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอามือลูบด้านหลังเครื่องประดับที่มีรอยขูดขีดอยู่อย่างชัดเจน “น่าจะเป็นของที่ประดับของบางอย่างที่โดนงัดแงะออกมาเสียมากกว่า อีกอย่าง…เจ้าจำได้หรือไม่ว่าชนเผ่าใดทางหนานเจียงที่ใช้ดอกขุยเป็นสัญลักษณ์ประจำชนเผ่า”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดหนัก “ดอกขุยมีอีกชื่อหนึ่งว่า ดอกบัวมองอาทิตย์ ชอบความอบอุ่นและทนต่อความแห้งแล้ง ซึ่งพื้นที่ทางหนานเจียงไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของมัน ดังนั้นจึงดูเหมือนไม่มีชนเผ่าใดใช้มันเป็นสัญลักษณ์ชนเผ่า เพียงแต่…ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีองค์หญิงพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ก่อนที่แต่งงานไปกับผู้นำชนเผ่าชนเผ่าหนึ่งทางหนานเจียง”


 


 


ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง พวกเขาต่างเป็นคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาอย่างลึกซึ้ง เรื่องเหล่านี้ต่อให้ไม่เคยสนใจแต่ช่วงเวลาระหว่างราชวงศ์ก่อนกับต้าฉู่นั้นห่างกันไม่มาก ย่อมพอคุ้นๆ อยู่บ้าง “องค์หญิงเฉาหยางแห่งฮ่องเต้เกาจงของราชวงศ์ก่อนน่ะหรือ”


 


 


เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ถูกต้อง ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าชื่อเดิมขององค์หญิงพระองค์นี้มีตัวขุยอยู่”


 


 


           “เช่นนั้น…ที่อาหลีนำของชิ้นนี้ออกมาย่อมหมายความว่ามันมิใช่ของธรรมดาทั่วไป หรือว่าของสิ่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงแห่งราชวงศ์ก่อน ทายาทขององค์หญิงแห่งราชวงศ์ก่อน…เมื่อตอนที่ราชวงศ์ก่อนล่มสลายลง องหญิงพระองค์นี้แต่งงานออกไปได้สองร้อยกว่าปีแล้วมิใช่หรือ”


 


 


           “ผู้ใดจะรู้เล่า” เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า


 


 


           ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “คัดลอกอันนี้ออกมาอีกชุดแล้วให้คนลอบส่งไปยังอวิ๋นโจว อีกอย่าง…องครักษ์ลับที่อยู่ที่หนานเจียง หากมีใครพบอาหลีให้รีบบอกนางทันทีว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีก”


 


 


เฟิ่งจือเหยารับจดหมายมาด้วยความคาดไม่ถึง “พระชายาทำได้ดีมากเชียวนะ หากมีโอกาสให้สืบหาต่อไปน่าจะได้รู้ความลับของหนานเจียงอีกมากโข เหตุใดจึงไม่ให้ยุ่งเล่า พวกเราส่งคนไปคอยช่วยพระชายาก็ได้นี่”


 


 


ม่อซิวเหยาจ้องมองเครื่องประดับทองในมือ แล้วจึงพูดเสียงขรึมขึ้น “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าถึงรู้สึกว่าบนกระดาษใบนั้นมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ เพียงแต่ยามนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่านั้น อาหลีไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใดๆ เลย หากหลับหูหลับตาสืบต่อไปจะมีอันตรายมาก”


 


 


           เฟิ่งจือเหยายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถิด ข้าจัดการตามที่ท่านอ๋องบัญชาทุกอย่าง”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเอาของเดินออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงม่อซิวเหยาเพียงคนเดียว ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง นอกจากข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเดินทางเข้าหนานเจียงแล้ว ก็มีเพียงประโยคสั้นๆ ที่เขียนว่า ‘ปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วง’ เท่านั้น ม่อซิวเหยาลูบกระดาษในมือเบาๆ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ อย่างขมขื่น


 


 


 


 


 


 


[i] ดอกขุย หรือ ดอกทานตะวัน 

 

 


ตอนที่ 82-2 คุณชายชิงเฉินหายตัวไป

 

คณะของเยี่ยหลีทั้งสี่คนรีบเร่งเดินทาง ไม่ถึงเจ็ดวันก็เดินทางถึงเมืองหลวงของหนานจ้าว พอเดินทางมาถึงเมืองหลวง บัณฑิตขี้โรคก็พาตัวนายท่านเหลียงแยกออกไปอย่างไม่ลังเล ทำให้หานหมิงซีโกรธจนอดที่จะก่นด่าออกมาไม่ได้ “เขาหมายความว่าอย่างไร พอข้ามแม่น้ำได้ก็รื้อสะพานทิ้งอย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยหลียิ้มปรายตามองเขา “ต่อให้เขาข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้งจริง แล้วท่านจะทำเช่นไรได้” ในหนานจ้าวมีคนของเทียนอี้เก๋อ สำนักเยี่ยนอ๋องเองก็มีคนอยู่ที่นี่เช่นกัน เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักข่าว ส่วนสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสำนักแห่งนักฆ่า ต่อให้พวกเขาไม่พอใจแล้วอย่างไร ใครก็ทำอันใดบัณฑิตขี้โรคไม่ได้


 


 


หานหมิงซีกอดอกมองนาง “เจ้ามิได้อยากได้ยาอายุวัฒนะหรือยาที่ชุบชีวิตคนตายอะไรนั่นหรือ ปล่อยเขาไปเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะยอมเอาของมาส่งให้เจ้าแต่โดยดีอย่างนั้นหรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านดื้อดึงจะไปกับเขา ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาให้ท่านแต่โดยดีเช่นกันนี่ เขาไม่ให้ข้าแล้วข้าไปหาเขาเองมิได้หรือ” ที่นางมาที่หนานเจียงมิได้มาเพื่อบัณฑิตขี้โรคกับดอกปี้ลั่วของเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะติดตามเขาไปเรื่อยๆ ได้ เพียงแต่…เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำด้วยตนเองเสียหน่อย


 


 


           เมื่อเข้ามายังเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าว หานหมิงซีก็ลากเยี่ยหลีไปยังภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมือง เพื่อปลอบโยนตนเองที่ต้องลำบากตรากตรำมาอยู่หลายวันก่อนหน้านี้ เมื่อสั่งอาหารชั้นเลิศของหนานเจียงมื้อใหญ่มากินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็กลับห้องไปพักผ่อน ทั้งยังสั่งไว้ว่าภายในสองวันนี้ นอกเสียจากว่าโรงเตี๊ยมจะไฟไหม้แล้ว ใครก็อย่าได้ไปรบกวนเขา แล้วจึงเดินอย่างสบายอารมณ์ขึ้นห้องพักไปทิ้งให้เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามไว้สองคน


 


 


“คุณชายหานกับคุณชายหมิงเย่ว์ช่างไม่เหมือนกันเอาเสียเลย” องครักษ์ลับสามถอนหายใจอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น


 


 


เยี่ยหลีมองเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าเขาจะขึ้นไปนอนจริงๆ หรือ ข้าพนันว่าอย่างมากเขาก็หลับได้ถึงเที่ยงคืนคืนนี้เท่านั้น” แต่ตอนนี้ก็เริ่มตกดึกแล้ว องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว มิได้พูดอันใด


 


 


 เยี่ยหลีโบกพัดในมือไปมาอย่างอารมณ์ดี “ไปกันเถิด ออกไปเดินเล่นดูบรรยากาศยามค่ำคืนของหนานจ้าวกัน”


 


 


           เมื่อเทียบกับเมืองหลวงต้าฉู่ที่กว้างขวางแล้ว เมืองหลวงของหนานจ้าวนั้นเล็กกว่ามาก และเจริญรุ่งเรืองไม่เท่าเมืองหลวงต้าฉู่ ผู้คนตามท้องถนนแต่งกายอย่างคนหนานเจียง ส่วนพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนแต่งกายอย่างคนจงหยวนทั้งยังมีท่าทางไม่เหมือนคนทั่วไป ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนได้มาก แต่เยี่ยหลีไม่มีความสนใจในเสื้อผ้าและเครื่องประดับอย่างทางหนานเจียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตนเอง


 


 


           “คุณชาย” มีน้ำเสียงยินดีดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านหลัง เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามหันไปมองพร้อมกันก็เห็นองครักษ์ลับสองที่ไม่ได้พบหน้ามานาน


 


 


เยี่ยหลีประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยเพราะนางมิได้คิดจะไปพบพี่ใหญ่ทันทีที่เดินทางถึงหนานจ้าว “เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นี่หรือ”


 


 


องครักษ์ลับสองสีหน้าอิดโรย พูดแทบไม่มีเสียงว่า ”ข้าน้อยทำหน้าที่ที่คุณชายมอบหมายบกพร่อง คุณชายใหญ่สวี…คุณชายใหญ่สวีหายตัวไปแล้วขอรับ”


 


 


           “อะไรนะ” เยี่ยหลีอึ้งไป “เกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”


 


 


           องครักษ์ลับสองตอบเสียงเบาว่า “กว่าครึ่งเดือนแล้วขอรับ คุณาชายสวีหายตัวไปก่อนที่ข้าน้อยจะเดินทางมาถึงหนานจ้าวได้สองวันขอรับ”


 


 


           “นานเพียงนั้นเชียวหรือ! มีผู้ใดรู้เรื่องนี้บ้าง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม


 


 


องครักษ์ลับสองตอบเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าก่อนหายตัวไปคุณชายชิงเฉินสั่งไว้ว่าเขาจะกลับมาภายในห้าวันขอรับ ช่วงแรกทุกคนจึงมิได้สงสัยอันใด จนเช้าของวันที่หกแล้วยังไม่เห็นคุณชายชิงเฉินกลับมา ถึงได้เริ่มคิดว่าเรื่องชักไม่ชอบมาพากล ข้าน้อยกับองครักษ์ลับที่อยู่หนานเจียงได้พยายามลอบค้นหากันแล้ว เพียงแต่มิได้ข่าวคราวใดๆ เลย หลายวันก่อนหน้านี้ได้ให้คนส่งข่าวไปยังเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่คุณชายปกปิดร่องรอยการเดินทางมาโดยตลอดจึงมิได้รับข่าวนี้ขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีสีหน้านิ่งขรึมไป ความปลอดภัยของสวีชิงเฉินทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก “ก่อนที่พี่ใหญ่จะหายตัวไป เขาอยู่กับผู้ใดบ้าง”


 


 


           “องค์หญิงอันซี รัชทายาทหญิงแห่งนานจ้าว ที่เป็นพี่สาวขององค์หญิงซีสยา และจะเป็นหนานจ้าวอ๋องคนต่อไปขอรับ องค์หญิงเป็นสหายกับคุณชายชิงเฉิน ตั้งแต่ที่คุณชายชิงเฉินมาถึงหนานเจียง ก็อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิงมาโดยตลอดขอรับ” องครักษ์ลับสองตอบ


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยสั่งการว่า “ให้คนนำข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหลวงของหนานจ้าวส่งมาโดยเร็ว อีกอย่าง ข้าอยากพบองค์หญิงอันซี”


 


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ เพียงแต่…คุณชายจะไปเข้าพบองค์หญิงรัชทายาทด้วยฐานะใดขอรับ” ถึงแม้หนานจ้าวจะเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ แต่ฐานะองค์หญิงและรัชทายาทหญิงก็มิใช่คนที่คนทั่วไปอยากจะพบก็พบได้


 


 


แววตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไป นางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสามตระกูลฉู่แห่งอวิ๋นโจว นามฉู่หลิวอวิ๋น คู่หมั้นคู่หมายของคุณชายชิงเฉิน!”


 


 


           องครักษ์ลับสองและสามสีหน้านิ่งแข็ง รู้สึกปวดหัวไม่น้อย ที่พระชายาทำเช่นนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของตนเองหรือทำลายชื่อเสียงของคุณชายชิงเฉินกันนะ


 


 


           เยี่ยหลีสีหน้ายังคงเป็นปกติ ส่งยิ้มอย่างแจ่มใสให้กับองครักษ์ที่สีหน้านิ่งแข็งไป “มิเช่นนั้นจะทำอย่างไร จะให้ใช้ฐานะพระชายติ้งอ๋องเดินดุ่มๆ เข้าไปขอพบพี่ใหญ่หรือ เอาล่ะ องครักษ์ลับสอง ช่วงนี้เจ้ามาติดตามข้าก่อนก็แล้วกัน องครักษ์ลับสาม เจ้าลองลอบสืบหาดูว่าในหนานจ้าวนี้มีข่าวเกี่ยวกับพี่ใหญ่อยู่อีกหรือไม่ อีกอย่าง หากหานหมิงซีต้องการพบข้า….”


 


 


องครักษ์ลับสามพูดต่อ “ข้าน้อยเข้าใจขอรับ จะมิให้คุณชายหานนึกสงสัยแน่นอนขอรับ”


 


 


           “ดีแล้ว แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจเขามากนัก เพียงแค่พยายามอย่าให้เขามาเข้าใกล้ข้ามากเกินไปก็พอ พวกเราจะกลับกันไปก่อน องครักษ์ลับสองเจ้าเตรียมตัวด้วย พรุ่งนี้เราจะไปเข้าพบองค์หญิงอันซีกันแต่เช้า”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยหลีอ่านข่าวสารที่ได้รับมาตลอดทั้งคืน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรีบไปเปิดประตูด้วยความตื่นเต้นยินดี เมื่อองครักษ์ลับสามเห็นหญิงสาวที่ยืนแย้มยิ้มอยู่หน้าประตูแล้วก็อดรู้สึกมึนงงไม่ได้ ตลอดทางมานี้เขาเคยชินกับการที่พระชายาแต่งกายเป็นชาย จนเขาเกือบลืมไปแล้วว่าพระชายายังเป็นเพียงเด็กสาวที่อยู่สิบกว่าปีเท่านั้น จะว่าไปตั้งแต่จากเมืองหลวง ความเคยชินในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนมานี้ลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีก่อนหน้านี้เสียอีก มายามนี้เมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้า อยู่ในชุดที่เหลืองนวลปักลายดอกเหมยสีเขียวอ่อนที่พริ้วไหว ผมยาวสลวยรวบขึ้นเป็นมวยเล็กๆ บนผมมีปิ่นระย้ารูปผีเสื้อสีเงินสี่ตัวที่ปราณีตงดงามเสียบแซมอยู่ หน้าม้าบางๆ ที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากยิ่งทำให้ดูงดงามและน่าเอ็นดูมากขึ้น ผีเสื้อสีเงินตัวเล็กๆ ขยับเคลื่อนไหวน้อยๆ ทำให้สาวน้อยผู้นี้ดูฉลาดและสดใสขึ้นหลายส่วน ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับพระชายาที่สงบเงียบสง่างามอย่างเวลาที่อยู่ตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงสักเท่าไร องครักษ์ลับสามต้องยอมรับว่าศิลปะการตกแต่งของพระชายานั้นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้


 


 


           “จั๋วจิ้ง” เยี่ยหลีเลิกคิ้วมององครักษ์ลับตรงหน้า ที่ไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่


 


 


           องครักษ์ลับสามเรียกสติกลับมาได้ แล้วจึงเปิดปากพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “คุณ…คุณหนูคาดเดาไว้ไม่ผิด เมื่อคืนกลางดึก คุณชายหานออกไปจากโรงเตี๊ยมจนตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ คุณหนูยามนี้…”


 


 


เยี่ยหลีโบกมือยิ้ม “ลำบากเจ้าแล้ว กลับห้องไปพักก่อนเถิด ข้าลงไปเองได้”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีลงมาด้านล่างด้วยความอารมณ์ดี องครักษ์ลับสองรอนางอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่าง เมื่อคืนวานนางกับองครักษ์ลับสองเข้ามาเปิดห้องเพิ่มอีกสองห้อง ซึ่งห้องทั้งสองห้องของนางอยู่ระหว่างห้องขององครักษ์ลับสองและสามพอดี ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดรู้ว่าเจ้าของห้องสองห้องนั้นเป็นคนคนเดียวกัน


 


 


ตอนนี้พวกเขาเพียงคืนห้องแล้วออกไปก็เป็นอันเรียบร้อย หากต่อไปองหญิงอันซีเกิดนึกอยากสืบเรื่องพวกเขาขึ้นมา ก็จะรู้เพียงว่าพวกเขาเข้าเมืองมาเมื่อวานตอนใกล้ค่ำ แล้วพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หนึ่งคืนเท่านั้น


 


 


           เยี่ยหลีพาองครักษ์ลับสองออกไปจากโรงเตี๊ยม แล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักองค์หญิงอันซีที่อยู่ห่างจากตำหนักหนานจ้าวอ๋องไม่ไกลทันที


 


 


           พวกเขารออยู่หน้าตำหนักองค์หญิงพักหนึ่ง คนที่เข้าไปรายงานจึงได้ออกมาเชิญทั้งสองให้เข้าไปด้านใน ลักษณะสิ่งปลูกสร้างของหนานจ้าวกับทางจงหยวนนั้นไม่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่น้อย แต่เมืองหลวงกลับแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ตำหนักองค์หญิงแห่งนี้เมื่อเทียบกับตำหนักติ้งอ๋องที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตแล้ว ตำหนักนี้เล็กกว่ามาก อาณาบริเวณของที่นี่น่าจะประมาณจวนเจ้ากรมของตระกูลเยี่ยเท่านั้น


 


 


สิ่งปลูกสร้างของหนานจ้าวผสมผสานจุดเด่นของหนานเจียงไว้มาก จึงให้ความรู้สึกพิเศษอย่างประหลาด ทั้งสองได้รับเชิญไปยังห้องโถงใหญ่ เมื่อผ่านเข้าประตูไป ก็เห็นว่าในห้องโถงมีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้าปักลายดอกไม้นั่งอยู่ ชุดของหญิงสาวมิใช่ชุดแขนกระบอกเล็กตามปกติ แต่เป็นชุดแขนเสื้อรัดตรงข้อมือที่ดูสะอาดเรียบร้อย แขนเสื้อนั้นปักเป็นลวดลายประจำราชวงศ์หนานจ้าว สายคาดเอวสีเงินยิ่งทำให้รูปร่างของนางดูสูงโปร่งขึ้นไปอีก และยิ่งทำให้นางดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมงมากอีกด้วย ถึงแม้เมื่อเทียบกับน้องสาวร่วมอุทรของนางที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งอย่างองค์หญิงซีสยาแล้ว นางดูมิได้งดงามสักเท่าไร แต่ดวงตาคู่งามที่เป็นประกายงดงามนั้นกลับทำให้นางยิ่งดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา องค์หญิงอันซีก็มองนางด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบ เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียว พร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย “เหตุใดท่านจึงไม่เชิญให้พวกเรานั่งลง”


 


 


           องค์หญิงอันซีขมวดคิ้วมองหน้าเยี่ยหลี “เชิญนั่ง ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านนี้มีชื่อว่าอันใดหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีตอบว่า “ข้าชื่อฉู่หลิวอวิ๋น ข้ามาหาพี่ชิงเฉิน”


 


 


           “พี่ชิงเฉินหรือ” สายตาขององค์หญิงดูขรึมไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้จักพี่ชิงเฉินอันใดนั่น”


 


 


           “ท่านหลอกข้า!” เยี่ยหลีจ้องหน้านางด้วยความไม่พอใจพร้อมเอ่ยต่อว่า “พี่ชิงเฉินบอกไว้ว่าจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่หนานเจียง แล้วจะถือโอกาสมาเยี่ยมสหายท่านหนึ่งด้วย พี่ชิงเฉินเคยบอกไว้ว่าท่านเป็นสหายของเขา เขาจะไม่เคยมาที่นี่ได้อย่างไร ท่านเอาตัวพี่ชิงเฉินไปซ่อนไว้ใช่หรือไม่”


 


 


องค์หญิงอันซีมองหญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้าที่มีน้ำตาคลอหน่วย คิ้วเข้มของนางขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอันใดกับชิงเฉิน”


 


 


           “ข้า…ข้าเป็นคู่หมั้นของเขา ฮือๆ…พี่ชิงเฉินบอกว่าขอเวลาเพียงสามเดือน เมื่อกลับไปแล้วจะไปแต่งงานกับข้า แต่ตอนนี้…ฮือๆ เขาจากมานานเช่นนี้แต่ไม่เคยมีจดหมายส่งกลับไปเลย ท่านป้าสวีเองก็เป็นห่วงมาก ฮือๆ…เขาต้องไม่อยากแต่งงานกับหลิวอวิ๋นแล้วเป็นแน่…หากข้าหาพี่ชิงเฉินไม่พบ ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”


 


 


แววตาขององค์หญิงอันซีขรึมลง จ้องหญิงสาวที่ร้องไห้คร่ำควญด้วยความเสียใจตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงใจ “เจ้าเป็นคู่หมั้นของชิงเฉินอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้เลย”


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น มองนางด้วยสายตาตัดพ้อ “หญิงสาวจงหยวนอย่างพวกเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงก่อนการแต่งงานเป็นอย่างมาก พี่ชิงเฉินจะพูดถึงข้าต่อหน้าสหายได้อย่างไร อ้อ นี่เป็นของที่พี่ชิงเฉินให้ข้าไว้เมื่อปีที่แล้ว หากท่านเป็นสหายกับเขาจริงน่าจะเคยเห็นของสิ่งนี้ เขาบอกว่าเขาพกติดตัวมาตลอดหลายปี โชคดีที่มีหยกชิ้นนี้คอยคุ้มครองทำให้หลายปีนี้เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย”


 


 


           องค์หญิงอันซีมองเยี่ยหลีด้วยความสับสน สีหน้าดูวูบไหวเล็กน้อย หยกชิ้นนั้นเป็นของชิงเฉินหรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่ลวดลายของเชือกเส้นเก่าที่มีหยกห้อยอยู่นั้นเป็นแบบและสีที่สวีชิงเฉินมักใช้เป็นประจำจริงๆ แม้แต่เชือกประดับก็ยังเหมือนกับที่สวีชิงเฉินใช้เป็นประจำอีกด้วย


 


 


“ขอโทษด้วย คุณหนูฉู่ เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทแล้ว เพียงแต่เส้นทางจากทางจงหยวนมาที่หนานเจียงนั้นลำบากนัก คุณหนูฉู่มาที่เมืองหลวงของหนานจ้าวได้อย่างไร” องค์หญิงอันซีนำเครื่องประดับหยกส่งคืนให้นางพร้อมเอ่ยถามเสียงอ่อน


 


 


เยี่ยหลีกัดริมฝีปากเบาๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความดื้อรั้น “พี่ชิงเฉินมิได้กลับไปนานแล้ว พี่รองบอกว่าพี่ชิงเฉินไม่ต้องการข้าแล้ว ข้า…ข้าอยากพบเขาเพื่อถามให้รู้แน่ ฮือๆ หากเขาไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ…ข้าจะไปตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”


 


 


           องครักษ์ลับสองที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นนายของตนสวมบทบาทสาวน้อยที่หนีออกจากบ้านเพื่อความรักได้อย่างแนบเนียนแล้ว ก็อดนึกชื่นชมไม่ได้


 


 


           องค์หญิงอันซีดูจะปวดหัวกับแม่นางน้อยที่หัวดื้อและเอาแต่ใจผู้นี้ไม่น้อย นางลังเลเล็กน้อยแล้วได้แต่พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายชิงเฉินได้เคยพักเป็นแขกอยู่ที่บ้านของข้าจริง เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะให้คนไปส่งคุณหนูฉู่กลับดินแดนจงหยวนก่อน หากข้าพบคุณชายชิงเฉิน ข้าจะให้เขารีบเขียนจดหมายส่งให้คุณหนูฉู่โดยเร็ว ท่านว่าอย่างไร”


 


 


เยี่ยหลีมององค์หญิงอันซีอย่างอึ้งๆ พักหนึ่งจึงได้ร้องไห้ออกมาเสียงดัง พูดพลางเช็ดน้ำตาไปพรางว่า “ข้าแอบพาองครักษ์หนีออกมา หากมิได้พบพี่ชิงเฉินแล้วพาเขากลับไปด้วย ท่านพ่อจะต้องโบยข้าจนขาขาดเป็นแน่ ฮือๆ…ข้าไม่กลับ ข้าจะไปหาพี่ชิงเฉิน”


 


 


           องค์หญิงอันซีถึงกับก่ายหน้าผาก “เอาล่ะเอาล่ะ…คุณหนูฉู่ เช่นนี้แล้วกัน ท่านพักอยู่ที่ตำหนักของข้าก่อน รอจนคุณชายชิงเฉินกลับมาแล้วพวกท่านค่อยกลับไปพร้อมกันดีหรือไม่”


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็หยุดร้องแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที “ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก ท่านใจดีจริงๆ…”


 


 


           องค์หญิงอันซีเรียกนางกำนัลให้มาพาเยี่ยหลีไปพักผ่อนยังห้องพักแขก 

 

 


ตอนที่ 82-3 คุณชายชิงเฉินหายตัวไป

 

จนเมื่อนางกำนัลถอยออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้เงยหน้าขึ้นถามองครักษ์ลับสองด้วยความรู้สึกผิดว่า “เจ้าว่า…องค์หญิงอันซีมีโอกาสที่จะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าหรือไม่” หากเกิดนางเป็นตัวต้นเหตุทำลายพรหมลิขิตของพี่ใหญ่เข้า คงวุ่นวายน่าดู นางไม่อยากกลายเป็นมือที่สามอย่างนางร้ายในละครน้ำเน่าเสียด้วย


 


 


องค์รักษ์ลับสองส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่มีทางขอรับ ถึงแม้ตระกูลสวีจะมิได้รังเกียจคนต่างเผ่า แต่หลายร้อยปีมานี้ ตระกูลสวีไม่เคยแต่งงานกับคนต่างเผ่ามาก่อน อีกอย่างองค์หญิงอันซีมีฐานะสูงส่งเป็นถึงรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว อย่างไรตระกูลสวีก็ไม่มีทางให้ประมุขตระกูลสวีคนถัดไปแต่งงานเข้ามาอยู่ที่แคว้นหนานจ้าวอย่างแน่นอนขอรับ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ด้วยนิสัยของคุณชายชิงเฉินแล้ว หากท่านมีใจให้องค์หญิงอันซีจริง ก็ไม่มีทางที่จะเรียกนางว่าเป็นสหายอย่างแน่นอนขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีหันหน้าไปนั่งคิด ที่เขาพูดมาก็จริงอยู่ แต่หากเกิดนางเป็นคนทำลายพรหมลิขิตของพี่ใหญ่แล้ว คงบาปหนักไม่น้อย แต่จะว่าไปนางก็รู้สึกดีต่อองค์หญิงอันซีองค์นี้ไม่น้อย องค์หญิงหลายพระองค์ที่นางได้พบมา คนที่อายุยังน้อยนอกจากองค์หญิงที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอย่างองค์หญิงฉางเล่อแล้ว องค์หญิงอันซีพระองค์นี้ดูใช้ได้ที่สุดแล้ว หากเปลี่ยนเป็นองค์หญิงท่านอื่นๆ หากได้ยินว่านางเป็นคู่หมั้นของคนที่ตนมีใจให้แล้ว ไม่รู้ว่าพวกนางจะรับมือกับนางอย่างไร แต่ก็มิเสียแรงที่เป็นคนที่พี่ใหญ่นับเป็นสหาย


 


 


           “คุณหนูวางแผนไว้อย่างไรขอรับ” องค์รักษ์ลับสองเอ่ยถาม


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ได้พักอยู่ในตำหนักขององค์หญิงก็ง่ายต่อการสืบความของพี่ใหญ่มิใช่หรือ”


 


 


           องค์รักษ์ลับสองพูดว่า “แต่การจะเข้าออกตำหนักองค์หญิงนั้นไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก หากจะออกไปไหนมาไหนคงถูกจำกัดไม่น้อย”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้ายิ้มๆ “องค์หญิงอันซีคงไม่ถึงกับกักบริเวณคู่หมั้นของสหายหรอกกระมัง ตอนนี้เรื่องที่พี่ใหญ่หายไปอยู่ที่ใดนั้นสำคัญกว่า ถึงอย่างไรหลายวันมานี้องครักษ์ลับทั้งหลายต่างก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ใหญ่เดินทางไปที่ใด”


 


 


องค์รักษ์ลับสองก้มหน้าลงพูดด้วยความรู้สึกผิด “เป็นเพราะข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่”


 


 


เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกมือ “เรื่องนี้จะโทษพวกเจ้าได้อย่างไร หากสามารถรู้ทุกเรื่องได้อย่างกระจ่างแล้ว คงไม่มีคำว่าความลับอยู่ในโลกใบนี้ หวังก็แต่เพียง…ขอให้พี่ใหญ่ปลอดภัยไม่เป็นอันใดเท่านั้น” เมื่อคิดถึงสวีชิงเฉินที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว เยี่ยหลีก็อดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้


 


 


           ตำหนักองค์หญิงอันซีไม่ใหญ่นัก อาจด้วยเพราะหนานเจียงนั้นไม่มีการกันระหว่างชายหญิงอย่างเข้มงวดนัก ห้องของสวีชิงเฉินเองจึงอยู่ในเรือนเดียวกับเยี่ยหลี เยี่ยหลีมิได้คิดจะปกปิด นางถามอย่างเปิดเผยว่าห้องของสวีชิงเฉินอยู่ที่ใดแล้วออกเดินไปทันที เมื่อผลักประตูออก ภายในห้องได้รับการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ดูออกว่าถึงแม้สวีชิงเฉินจะมิได้อยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่ก็ยังมีคนเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน ภายในห้องมีของของสวีชิงเฉินอยู่พอสมควร เยี่ยหลีลองค้นดูโดยละเอียด พบว่ามีเสื้อผ้า เครื่องประดับหยก พัดพับของสวีชิงเฉิน ทั้งยังมีของที่พกติดตัวอยู่ในห้องพัก เป็นบันทึกการเดินทางที่เอาไว้แก้เบื่อระหว่างเดินทางวางอยู่บนตู้อีกด้วย


 


 


           บนโต๊ะที่วางอยู่ด้านหนึ่ง มีชุดน้ำชาเครื่องเคลือบสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินที่สวีชิงเฉินชอบว่างอยู่ บนโต๊ะมีหนังสือ พู่กัน หมึก กระดาษและแท่งหมึกวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่าสวีชิงเฉินพักอยู่ที่นี่นานพอสมควร เยี่ยหลีเดินไปนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ แล้วจึงยื่นมือไปหยิบหนังสือออกมาก้มลงเปิดอ่าน


 


 


           “คุณหนูฉู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เสียงองค์หญิงอันซีดังขึ้นที่หน้าประตู


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่านางกำลังขมวดคิ้วมองมาจากที่หน้าประตู เยี่ยหลีรีบลุกยืนขึ้น มองนางด้วยความไม่สบายใจ “ขอโทษด้วย ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้พี่ชิงเฉินเคยพักอยู่ที่นี่ เลยคิดที่จะมาดูเสียหน่อย แล้วเลย…หยิบหนังสือมาอ่านด้วย”


 


 


องค์หญิงอันซีเดินเข้ามา มองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าก็ชอบอ่านหนังสือหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลง พยักหน้าด้วยความเขินอายเล็กน้อย “พี่ชิงเฉินมีความสามารถเลิศล้ำ ข้าจึงอยากอ่านหนังสือให้มากอีกหน่อย…”


 


 


           องค์หญิงอันซีพยักหน้า “คุณชายชิงเฉินเองก็ชอบอ่านหนังสือมาก ปกติหากมิมีเรื่องอันใดหนังสือก็ไม่เคยห่างมือ ตัวอักษรของทางจงหยวนข้าก็รู้เพียงเล็กน้อย ที่หนังสือพวกนี้เขียนว่าอย่างไรบ้างนั้นข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”


 


 


เยี่ยหลีวางหนังสือในมือลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเคยได้ยินพี่ชิงเฉินพูดถึงท่าน องค์หญิงเป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว ย่อมต้องสนใจแต่เรื่องใหญ่ๆ จะไม่สนใจพวกบทความ โคลงกลอนพวกนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


องค์หญิงอันซียิ้มอย่างใจกว้าง “ข้าเริ่มเรียนตัวหนังสือของจงหยวนช้า อ่านออกแค่พอคร่าวๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้สนใจแต่ก็อ่านไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อคุณหนูฉู่ชอบอ่านหนังสือ หนังสือในห้องหนังสือท่านสามารถหยิบไปอ่านได้ หนังสือพวกนี้เป็นของที่คุณชายชิงเฉินซื้อหามา วางไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณองค์หญิงมาก องค์หญิง…” เยี่ยหลีมองหน้าองค์หญิงอันซี คิดอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้


 


 


องค์หญิงอันซีเลิกคิ้วมองนางเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อ เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าอยากพบพี่ชิงเฉินโดยเร็ว เขามิได้เขียนจดหมายส่งกลับบ้านนานแล้ว ท่านได้โปรดบอกข้าได้หรือไม่ว่าก่อนที่เขาจะไปเขาได้บอกว่าจะไปที่ใด ข้าจะได้พาองครักษ์ออกตามหา”


 


 


           องค์หญิงอันซีมองหน้านางอยู่พักใหญ่ แล้วจึงขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมบอกเจ้าว่าเขาไปที่ใด เพียงแต่…ตอนนี้ข้าเองก็กำลังหาเขาอยู่เช่นกัน”


 


 


          เยี่ยหลีเอ่ยคาดเดาอย่างยินดีว่า “เช่นนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะออกจากหนานเจียงแล้วเดินทางกลับจงหยวนแล้ว”


 


 


องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “ยังมีอีกหลายเรื่องในหนานเจียงที่เขายังจัดการไม่เรียบร้อย เขาไม่มีทางจากไปง่ายๆ อีกอย่าง หากเขาจะไปจากหนานเจียงจริง ก็น่าจะบอกข้าหรืออย่างน้อยทิ้งจดหมายส่งข่าวไว้ถึงจะถูก”


 


 


           “เช่นนั้น…เช่นนั้นเขาอยู่ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่!”


 


 


           องค์หญิงอันซีมองหน้านางด้วยความลำบากใจ พักใหญ่จึงได้ส่ายหน้า “น่าจะ…ไม่นะ คุณชายชิงเฉินเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเขาน่าจะรับมือได้”


 


 


           “แต่ว่า แต่ว่าพี่ชิงเฉินไม่มีวิทยายุทธติดตัว เขาเอาชนะหลินหานที่เป็นผู้ติดตามข้ามิได้ด้วยซ้ำ” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ


 


 


องค์หญิงอันซีจับมือนางพร้อมเอ่ยปลอบใจว่า “เชื่อข้าสิ เขาไม่เป็นอันใดหรอก ข้ารับประกันได้”


 


 


เยี่ยหลีตาเป็นประกายเล็กน้อย เงยหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมองนาง “จริงหรือ ท่านรับประกัน…”


 


 


           องค์หญิงอันซีพยักหน้า “ข้าเอาฐานะขององค์หญิงแห่งหนานจ้าวเป็นประกัน เขาไม่มีทางเป็นอันใดเด็ดขาด เจ้าเพียงใจเย็นๆ รออยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็จะได้พบคุณชายชิงเฉินแล้ว”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ตกลง ข้าเชื่อพี่องค์หญิง เพียงแต่ ข้าก็อยากไปหาพี่ชิงเฉินด้วย!”


 


 


องค์หญิงอันซีได้แต่มองนางแล้วพูดว่า “แต่ต้องอยู่แต่ในเมืองหลวงนะ อย่าได้ออกไปที่ใดซี้ซั้ว หากคุณชายชิงเฉินกลับมาแล้วไม่พบเจ้า…”


 


 


           “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก”


 


 


           เมื่อเดินออกจากประตูเรือน รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงอันซีก็ค่อยๆ หายไป ระหว่างที่เดินกลับเรือนของตน ก็หันไปถามคนที่เดินตามหลังมาว่า “เรื่องของคุณหนูฉู่ ไปสืบมาแล้วหรือยัง”


 


 


           ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาเอ่ยตอบเสียงต่ำว่า “เรียนองค์หญิง สืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูฉู่เข้าเมืองมาเมื่อวานตอนฟ้าใกล้มืด พอเข้าเมืองมาก็ได้เข้าพักยังโรงเตี๊ยมที่มีชื่อที่สุดของเมืองหลวง เช้าตรู่วันนี้ถึงได้คืนห้องพักแล้วออกถามหาที่ตั้งของตำหนักองค์หญิงไปทั่ว จากนั้นก็ตรงมาที่นี่ทันที เพียงแต่…นางมิได้เข้าพักด้วยชื่อฉู่หลิวอวิ๋น แต่ใช้ชื่อสวีอวิ๋นและหลินหานพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           องค์หญิงอันซีพยักหน้า “เวลาอยู่ข้างนอกจะใช้ชื่อปลอมก็มิแปลก มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”


 


 


           ชายหนุ่มส่ายหน้า “เรื่องอื่นไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการสืบให้รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของคุณหนูฉู่แล้ว เกรงว่าพวกเราจะต้องส่งคนออกเดินทางไปต้าฉู่ กว่าจะเดินทางไปกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”


 


 


           องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “เกรงว่าพวกเราคงไม่มีเวลามากเช่นนั้น นางรู้จักชิงเฉินแน่ๆ ทั้งยังเป็นคนที่สนิทสนมกันมากอีกด้วย อีกอย่างรีบตามหาชิงเฉินให้พบนั้นสำคัญกว่า ใช่หรือไม่ใช่หาตัวเขาให้เจอก็คงรู้ชัดเอง ช่วงนี้เจ้าส่งคนไปคอยจับตาดูพวกนางไว้หน่อยก็แล้วกัน”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “มีเรื่องอันใดอีกหรือ”


 


 


           ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย “ตอนที่พวกเราไปสืบข่าวเรื่องคุณหนูฉู่พบว่าเมื่อวานที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นมีคนจากจงหยวนสามคนมาเข้าพักด้วยพ่ะย่ะค่ะ ชื่อของพวกเขาไม่ได้มีอันใดพิเศษ เพียงแต่ไม่แน่ว่าจะเป็นชื่อจริง”


 


 


           “มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูฉู่หรือไม่”


 


 


           “ตอนนี้ดูยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ พวกเขามาถึงก่อนคุณหนูฉู่ได้สองชั่วยามกว่า หนึ่งในนั้นพอกินข้าวเสร็จก็กลับขึ้นห้องพักไป ส่วนอีกสองคนออกไปด้านนอกจนเมื่อคุณหนูฉู่เข้าพักแล้วถึงได้กลับเข้ามา มิได้พบหน้ากันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ในเมืองหลวงมีคนภาคเข้าออกอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ นี่เป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพองครักษ์ควรจะสนใจ หากพวกเราเข้าไปยุ่งมากไปจะยิ่งวุ่นวาย”


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “องค์หญิง ท่านอ๋องเรียกให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “รู้แล้ว ข้าจะเข้าวังทันที” 

 

 


ตอนนี้ 83-1 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน

 

       เยี่ยหลีหยิบหนังสือรวมกลอนเล่มหนึ่งกลับห้องของตน แล้วนั่งลงอ่านหนังสืออย่างใจเย็น องค์หญิงอันซีได้เป็นรัชทายาทหญิงแห่งแคว้นหนานจ้าว นางย่อมมิใช่องค์หญิงเบาปัญญาไร้สมอง อย่างน้อยๆ คนที่นางส่งมาให้คอยจับตาดูนางนั้นก็ล้วนเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควiจึงไม่ทำให้แขกรู้สึกว่าถูกคุกคาม


 


 


เยี่ยหลีเองก็ขี้เกียจจะไปพูดมากอันใดในเรื่องนี้ หากองค์หญิงอันซีเชื่อทั้งหมดที่นางพูดสิ นางคงนึกสงสัยในสมองของรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว


 


 


           ”คุณหนู องค์หญิงอันซีออกจากตำหนักไปแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสองเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงต่ำ


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “องค์หญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา อย่าเข้าใกล้นางมากนักเดี๋ยวจะทำให้นางเข้าใจผิด”


 


 


องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว หันมองไปที่นอกประตูแล้วพูดว่า “นางมิได้เชื่อเราตั้งแต่แรก หากเป็นเช่นนี้แล้วพวกเรายังอยู่ที่นี่ จะไม่เปล่าประโยชน์และยิ่งทำให้ปลีกตัวออกไปได้ลำบากหรือขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงอันซีน่าจะรู้แน่ว่าพี่ใหญ่ไปที่ใด ถึงแม้ตอนนี้นางเองก็ยังหาพี่ใหญ่ไม่พบ แต่นางกลับดูไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพี่ใหญ่เลย พี่ใหญ่มาถึงหนานจ้าวแล้วเขาทำสิ่งใดบ้าง พอสืบได้หรือไม่”


 


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ข้าน้อยจะกลับมารายงานก่อนพรุ่งนี้เช้าขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า ขมวดคิ้วมองจ้องหนังสือในมือ แต่ความคิดในหัวนั้นกลับล่องลอยไปไกลเสียแล้ว พี่ใหญ่ดูจะมิได้ถูกคนจับตัวไป น่าจะคิดไปที่ใดที่หนึ่งด้วยตนเอง แต่หลังจากไปแล้วกลับมิได้กลับมาตามเวลาที่ได้บอกกับองค์หญิงอันซีไว้ ในหนานจ้าวนี้พี่ใหญ่มิได้มีคนที่เอื้อประโยชน์หรือศัตรูที่ใด เช่นนั้นก็น่าจะไปเพื่อองค์หญิงอันซี หากเป็นเช่นนั้น…ด้วยนิสัยคิดการณ์ทุกอย่างอย่างรอบคอบของพี่ใหญ่ที่ได้มาจากท่านลุงใหญ่แล้ว ก็ไม่น่าจะไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้เลย เบาะแสนั้น…อยู่ที่ใดกันนะ


 


 


           เยี่ยหลีหยิบกระดาษออกมาปูวางลงบนโต๊ะ พร้อมหยิบดินสอถ่านที่ใช้จนคุ้นมือออกมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ ในหัวนึกถึงเรื่องที่เมื่อคืนนางได้อดหลับอดนอนอ่านข้อมูลด้านต่างๆ ที่แสนจะซับซ้อนของหนานเจียงที่องครักษ์ลับนำมาให้ มือนางขยับเขียนตารางโครงสร้างการแบ่งอำนาจของหนานเจียงลงบนกระดาษ รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่มีอำนาจต่างๆ ภายในเมืองหลวงของหนานจ้าว ไม่นาน บนกระดาษที่ไม่เล็กนักแผ่นนั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายต่างๆ พร้อมตัวอักษรหน้าตาประหลาดเขียนอยู่เต็มไปหมด


 


 


องครักษ์ลับสองมองสิ่งที่นางวาดอยู่บนกระดาษซึ่งตนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่มิได้เอ่ยปากถาม เยี่ยหลีวางดินสอในมือลง ตัวเยี่ยหลีเองมองกระดาษแผ่นหนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง นางมิได้ตั้งใจที่จะกันมิให้ผู้ใดเห็นกระดาษแผ่นนี้ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่เขียนอยู่นี่ก็มิใช่ความลับอันใด ตนเพียงแค่นำข้อมูลที่ได้อ่านเมื่อคืนมาจัดเรียงใหม่อีกรอบหนึ่งเท่านั้น


 


 


นางมองกระดาษที่มีตัวอัษรของอย่างน้อยสี่แคว้นเขียนอยู่อย่างกระจัดกระจาย ในใจก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริงนางคิดถึงชีวิตอย่างเมื่อชาติที่แล้วของตนมาตลอด นางสามารถใช้ชีวิตอย่างพระชายาที่สงบเงียบเรียบร้อยได้แต่นางกลับไม่ชอบวิถีชีวิตเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อนางออกจากเมืองหลวงมานางจึงตั้งใจที่จะหลบหลีกความคุ้มครองของม่อซิวเหยา และเลือกที่จะทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงมากเช่นนี้


 


 


           เยี่ยหลีผลักความคิดที่ว้าวุ่นในหัวออกไป จ้องมองกระดาษบนโต๊ะอยู่เป็นนาน แล้วจึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงมิมีข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงเลย” ตารางที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกนางยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงที่เป็นบุคคลสำคัญของหนานเจียงอยู่อีกมากนัก ถึงแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงข้อมูลที่เอ่ยถึงผ่านๆ เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานและมิได้ต่างกับข้อมูลที่นางรับรู้เมื่อตอนอยู่ที่เมืองหลวงสักเท่าไร มีเพียงอายุและชื่อแซ่เท่านั้น แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากธิดาเพทแห่งหนานเจียงกำลังแก่งแย่งชิงอำนาจกับรัชทายาทหญิงแล้วล่ะก็ ก็ไม่น่าที่จะมีข้อมูลเพียงน้อยนิดเช่นนี้


 


 


           องครักษ์ลับสองกล่าวว่า “ธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพที่คอยปกปักรักษาหนานเจียง ซึ่งมีการเคารพบูชากันที่ตำหนักธิดาแทพซึ่งอยู่นอกเมืองหนานจ้าวไปห้าลี้ นอกจากช่วงที่มีงานใหญ่หรือเทศกาลสำคัญจริงๆ แล้ว ธิดาเทพจะไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใด และตามปกติคนที่จะได้ใกล้ชิดกับธิดาเทพก็มีเพียงสาวใช้ตำหนักเทพสามสิบหกคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปดูแลธิดาเทพเท่านั้น ธิดาเทพคนปัจจุบันชื่อซูม่านหลิน เข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุสิบห้าปี แปดปีมานี้เคยออกจากตำหนักเทพสิบครั้ง และล้วนสวมหน้ากากไปด้วยทุกครั้ง ว่ากันว่าทั้งหนานจ้าวนี้นอกจากธิดาเทพคนก่อนที่เข้าไปอยู่ยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรอีก”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีทางเป็นไปได้ ธิดาเทพที่อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่มีสิทธิ์อบรมสั่งสอนธิดาเทพองค์ถัดไป เช่นนั้นแล้วผู้ใดเป็นคนอบรมสั่งสอนธิดาเทพกัน ตอนเด็กๆ ผู้ใดเป็นคนเลี้ยงดูนาง พ่อแม่ของนางเป็นใคร อีกอย่าง…หากไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของธิดาเทพแล้ว เช่นนั้น…ใครจะกล้ารับรองว่าคนที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นคือธิดาเทพตัวจริง”


 


 


           “เรื่องนี้…” องครักษ์ลับสองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


 


 


เยี่ยหลียกดินสอขึ้นเขียนตัวหนังสือสามสี่ตัวลงบนกระดาษ “ไปสืบข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์หนานจ้าวและธิดาเทพแห่งหนานเจียงให้ละเอียดอีกที อย่าให้พลาดรายละเอียดของเบาะแสใดๆ ไปได้”


 


 


           องครักษ์ลับสองเอ่ยรับคำ “ขอรับ ข้าน้อยจะรีบให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูสงสัยว่า…ธิดาเทพแห่งหนานเจียง…”


 


 


           เยี่ยหลีจับดินสอถ่านในมือเล่นพร้อมยิ้มน้อยๆ “หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงแทบไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใดเลยจริง จะไปคบค้าสมาคมกับหลีอ๋องได้อย่างไร หลายปีก่อนที่หลีอ๋องมาเป็นทูตที่หนานเจียง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เช่นนั้น…”


 


 


องครักษ์ลับสองตาเป็นประกาย “พวกเขาลอบพบกันอย่างลับๆ การจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหนานเจียงนั้นถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลีอ๋องไม่มีทางส่งผู้อื่นมาเจรจาแทนเป็นแน่ อีกอย่าง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็มิใช่คนที่จะพบหน้าได้ง่ายๆ เช่นนั้น”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมใช้ความคิด “ธิดาเพท…ฐานะเช่นนี้ช่างน่าประหลาดนัก อยู่ดีๆ ก็จับเอาเด็กสาวที่ไม่รู้ฐานะ ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ความสามารถมาดันให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่คนหนานเจียงให้ความเคารพบูชา คนหนานเจียงนี่เชื่อคนง่ายเกินไปหรือเปล่า”


 


 


องครักษ์ลับสองส่ายหน้า แล้วยักไหล่พูดว่า “หากเป็นที่ต้าฉู่ของพวกเรา การหาผู้ใดสักคนมาแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ต่อให้เป็นพระดำรัสของฮ่องเต้เกรงว่าก็คงมิมีผู้ใดเคารพ”


 


 


           “ตำแหน่งธิดาเทพแห่งหนานเจียงนี้ มีมานานพอๆ กับประวัติศาสตร์แคว้นหนานจ้าวหรือเปล่า”


 


 


           “ไม่ถือว่ายาวนานนักขอรับ ก่อนที่หนานจ้าวจะสถาปนาแคว้นขึ้นนั้น แต่ละชนเผ่าต่างมีการปกครองเป็นของตนเอง ซึ่งต่างไม่เคยมีตำแหน่งที่เรียกว่าธิดาเทพมาก่อน แต่ที่แน่นอนคือ หลังจากที่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นแล้ว ได้มีการให้บูรพาจารย์แห่งแคว้นในยามนั้น ที่ทำพิธีบูชาของราชวงศ์หนานจ้าว ให้เลือกธิดาเทพคนแรกขึ้นมา” องครักษ์ลับสองก้มหน้านึกย้อนไป


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ฟังดูแล้วหน้าที่ของธิดาเทพกับบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นดูไม่ต่างกันเท่าไรนัก ดังนั้นตั้งแต่มีตำแหน่งธิดาเทพปรากฏขึ้น หนานจ้าวถึงไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นอีกเลย”


 


 


องครักษ์ลับสองพยักหน้า นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “การเป็นบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นมิได้เข้มงวดเหมือนของธิดาเทพ แต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั้นต่างกันไม่มากนัก เพียงแต่ สำหรับคนหนานเจียงแล้ว ธิดาเทพดูจะน่านับถือบูชากว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นมากนัก”


 


 


           “เมื่อเทียบกับตาเฒ่าที่ชอบไปไหนมาไหนไปทั่วแล้ว คนทั่วไปมักชื่นชมเด็กสาวที่สวยงามและลึกลับยากจะคาดเดาเสียมากกว่า” เยี่ยหลีพูดอย่างเห็นด้วย


 


 


           เช้าวันต่อมา เมื่อเยี่ยหลีกินอาหารที่สาวใช้ยกมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพาองครักษ์ลับสองออกไปด้านนอก แต่กลับพบเข้ากับองค์หญิงอันซีที่ดูเตรียมจะออกไปด้านนอกเช่นเดียวกัน


 


 


“คุณหนูฉู่ นี่เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ” เยี่ยหลีเดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้มอย่างคาดหวังและดูมีความกังวลใจ


 


 


“พี่องค์หญิง มีข่าวคราวของพี่ชิงเฉินแล้วหรือไม่”


 


 


องค์หญิงอันซีส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ขอโทษด้วย คุณหนูฉู่ ยามนี้ยังมิมีข่าวคราวของคุณชายชิงเฉินเลย”


 


 


เยี่ยหลีก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร พี่ชิงเฉินจะต้องไม่เป็นไร ข้ากับหลินหานจะออกไปหาพี่ชิงเฉิน จะต้องหาเขาพบในเร็ววันแน่นอน”


 


 


           “คุณหนูฉู่อยู่ที่หนานจ้าว ไม่คุ้นทั้งสถานที่และผู้คน คิดจะไปหาที่ใดหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีบิดนิ้วมือไปมาอย่างทำอันใดไม่ถูก แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าจะลองหาไปทั่วๆ ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอาจหาพบก็ได้”


 


 


องค์หญิงอันซีอดยิ้มออกมาไม่ได้ “หากคุณหนูฉู่รู้สึกเบื่อ จะเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองก็ยังได้ หรือหากมีที่ใดที่อยากไป ก็บอกให้คนในตำหนักมาช่วยนำทางให้ก็ได้เช่นกัน แต่ในหนานเจียงนี้มีสถานที่ที่มีอันตรายอยู่หลายแห่ง คุณหนูฉู่อย่าได้ไปเสี่ยงอันตรายเลย จะทำให้คุณชายชิงเฉินเป็นกังวลเปล่าๆ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก ท่านจะหาพี่ชิงเฉินพบโดยเร็วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นข้าเขียนจดหมายไปหาท่านลุงสวีจะดีกว่า พี่ชิงเฉินบอกว่าท่านลุงสวีเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้านี้ ท่านลุงจะต้องมีทางหาพี่ชิงเฉินพบแน่ๆ”


 


 


           “ท่านหงอวี่หรือ” องค์หญิงอันซีอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบาขึ้น


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าหนักๆ “พี่องค์หญิงก็รู้จักท่านลุงสวีหรือ พี่ชิงเฉินบอกท่านใช่หรือไม่”


 


 


           องค์หญิงอันซียิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าเรียบๆ “คุณหนูฉู่วางใจเถิด ข้ารับประกันว่าจะต้องหาตัวคุณชายชิงเฉินเจอในเร็ววันนี้แน่นอน หนทางในหนานเจียงนั้นยากลำบากนัก อย่าทำให้ท่านหงอวี่เป็นกังวลเลย มิเช่นนั้นคุณชายชิงเฉินหากคุณชายชิงเฉินรู้เข้าคงไม่สะบายใจเช่นกัน จริงหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความสับสนอยู่พักใหญ่แล้วจึงพยักหน้า “พี่องค์หญิงพูดถูก”


 


 


           เมื่อมององค์หญิงอันซีเดินจากไปแล้ว เยี่ยหลีก็เดินออกจากประตูใหญ่ตามมาด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มอ่อนๆ “ให้ใครสะกดรอยตามองค์หญิงอันซีที”


 


 


           “ขอรับ”


 


 


           ภายในโรงเตี๊ยม หานหมิงซีเดินลงมายังห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบอย่างคนเพิ่งนอนตื่นใหม่ๆ ท่าทางเกียจคร้านแต่สง่างาม ทั้งยังมากด้วยเสน่ห์แตกต่างจากคนหนานเจียงทั่วไป จึงดึงดูดสายตาของทุกคนภายในโรงเตี๊ยมได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าหานหมิงซีมิได้สนใจสายตาผู้อื่นที่มองมา เขาเดินลงมาอย่างเกียจคร้าน พร้อมเรียกเสี่ยวเอ้อที่เดินคอยรับใช้อยู่ในห้องโถงมาถามความว่า “เห็นคุณชายสองคนที่มาพร้อมกับข้าหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อดูมีท่าทีงงงวย ก่อนรีบตอบว่า “เรียนคุณชาย คุณชายสองท่านนั้นออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ ใช่สิ มีจดหมายฉบับหนึ่งถึงคุณชายด้วยขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบวิ้งไปยังโต๊ะด้านหน้า หยิบจดหมายจากหลงจู๊มาส่งให้หานหมิงซี


 


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น รับจดหมายมากวาดตาอ่าน แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “จวินเหวยนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย มาทิ้งข้าหนีไปอย่างนี้ได้อย่างไร เหอะ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ข้าหาไม่พบ” เขาพูดพร้อมกับม้วนจดหมายในมือแล้วยกขึ้น ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บจดหมายกลับเข้าแขนเสื้อไป เขาเดินออกไปด้วยความโกรธ เหลือเพียงแขกที่ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้อยู่ภายในโรงเตี๊ยม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม