ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 81-98

 ตอนที่ 81 ฟังจือหัน ฉลาดหลักแหลมเหมือนปีศาจ

ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานแดงแปร๊ด ราวกับว่าเลือดสามารถหยดทะลุออกมาได้


 


 


เมื่อได้สติ เธอขมวดคิ้วด้วยความสับสนและประหลาดใจ รีบยกมือขึ้นผลักฟังจือหันทันที จากนั้นวิ่งออกไปเหมือนกับกำลังหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่ปาน


 


 


กลับมาถึงห้องนอน ปิดประตู อวี๋กานกานเอาหลังยืนพิงประตู หัวใจยังเต้นโครมคราม


 


 


เมื่อกี้นี้เหมือนว่าเธอจะจูบโดนปากของฟังจือหันอย่างไม่ได้ตั้งใจ…


 


 


นี่คือจูบแรกของเธอเลยนะ เธอปรารถนาจะเก็บมันไว้ให้คนที่ตัวเองรัก ทำไมถึง…ต้องโทษรูปบ้านั้นรูปเดียว


 


 


อวี๋กานกานขยำรูปในมือจนเป็นก้อนกลม ชนิดที่ว่าหาไม่เจอ จากนั้นถึงโยนทิ้งลงถังขยะ


 


 


จำได้ว่าตอนที่เจอฟังจือหันครั้งแรก เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนกับปีศาจที่นักพรตลืมกำจัด ตอนนี้ย้อนคิดดูแล้วก็เป็นดั่งที่เธอว่าจริงๆ


 


 


ฉลาดหลักแหลมเหมือนปีศาจ…


 


 


อวี๋กานกานเบ้ปาก นอนแผ่ลงบนเตียง ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนที่ปากชนกับปากของฟังจือหัน กลับฉายซ้ำวนไปมาในหัวไม่ยอมหยุด


 


 


เธอยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง พลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบกว่าจะเข้าสู่หวงนิทรา


 


 


วันต่อมาเมื่อเห็นฟังจือหัน อวี๋กานกานพลันนึกถึงจูบแรกของเธออีกครั้ง หัวใจเต้นระรัว ตึกตัก ตึกตัก ก้มหน้าก้มตาด้วยความแสนจะอึดอัดใจ เธอก้มศีรษะลงต่ำมาก ต่ำจนแทบจะถึงโจ๊กที่อยู่ในถ้วย


 


 


เธอใช้หางตาลอบมองฟังจือหันที่อยู่ตรงหน้า


 


 


ฟังจือหันไม่เป็นเหมือนเธอ เขาเหมือนกับคนปกติ นั่งอยู่ตรงข้ามรับประทานอาหารเช้าอย่างช้าๆ สบายๆ


 


 


ยังคงหนักแน่นและเย็นชา สง่างามและสูงส่ง


 


 


ฟังจือหันสังเกตเห็นว่าสายตาของอวี๋กานกานจ้องอยู่ที่ตนตลอด เขาเหลือบตาขึ้นมองเธอ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


น้ำเสียงนุ่มละมุนราวกับเหล้า ราวกับกระแสไฟฟ้าทรงพลัง ปลุกปั่นอวี๋กานกานจนสั่นสะท้าน


 


 


เธอหลุบตาลงต่ำ ส่ายศีรษะ


 


 


ภายในห้องเงียบเชียบ ทั้งสองต่างไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงดังจากตะเกียบที่เคาะโดนถ้วยโจ๊กเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น


 


 


อวี๋กานกานใช้ความเร็วสูงสุด จัดการกับโจ๊กในถ้วยตนเอง จากนั้นสะพายกระเป๋าออกจากห้องไป


 


 


เป็นวันที่งานยุ่งมาก ทำให้อวี๋กานกานไม่มีเวลานึกถึงเรื่องของเธอกับฟังจือหัน


 


 


พักเที่ยง ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่มาหาเธอที่คลินิกอีกครั้งด้วยเรื่องหยางเทียนโย่ว


 


 


“กานกาน ไม่ว่ายังไง เทียนโย่วก็เป็นคนที่เธอเคยรัก เธอทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงอันแสนโกรธเคืองของป้าสะใภ้ใหญ่ภายในนั้นเต็มไปด้วยคำตำหนิติเตียน


 


 


อวี๋กานกานไม่เข้าใจ “หนูทำเกินไปยังไงคะ”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่แค่นหัวเราะ “นี่ยังไม่เกินไปเหรอ พวกเราไปหาเขาตั้งหลายครั้งแล้ว ทางตำรวจไม่ยอมปล่อยตัวเขาสักที จะขังเทียนโย่วให้ได้ กานกาน คนเราจะไม่เห็นแก่ความผูกพันเลยไม่ได้นะ”


 


 


หยางเทียนโย่วยังถูกขังไว้ในโรงพัก? อวี๋กานกานประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


 


เธอนึกมาโดยตลอดว่าหยางเทียนโย่วถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว อย่างไรเสียเรื่องในวันนั้นมันก็แค่เรื่องทะเลาะวิวาททั่วไป คดีทะเลาะวิวาทพวกนี้ ไม่ใช่ว่าแค่ถูกปรับนิดหน่อย ก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเหรอ


 


 


เพราะเหตุนี้ เธอถึงได้เก็บฟังจือหันไว้ต่อกรกับหยางเทียนโย่วที่ตามตอแยไม่เลิกรา


 


 


อวี๋กานกานตอบ “หนูก็ไม่รู้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้น วันนั้นที่เขามาก่อความวุ่นวายที่อวี้หมิงถาง หลังจากที่เขาถูกตำรวจจับตัวไป หนูก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย เรื่องนี้พวกคุณลุงไม่ควรมาพูดกับหนู ควรจะไปถามตำรวจมากกว่า”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ตำหนิ “เธอไปโรงพักกับป้า บอกกับตำรวจว่าเทียนโย่วเป็นคู่หมั้นของเธอ พวกเขาจะยังดึงดันไม่ยอมปล่อยได้อีกเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มเหยียด “แต่เขาไม่ใช่คู่หมั้นหนูนี่คะ ป้าสะใภ้ใหญ่ หนูไปตรวจมาแล้ว หนูไม่ได้ความจำเสื่อม ตอนนี้หนูอยากถามป้ามาก ทำไมป้าต้องโกหกว่าหนูความจำเสื่อมด้วย”  

 

 

 


ตอนที่ 82 ข้อแลกเปลี่ยน ห้ามปรากฏตัวออกมาอีก

 

ป้าสะใภ้ใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาล่อกแล่ก พูดเสียงดังเพื่อปกปิดความผิด ตวาดลั่น “ป้าหลอกเธอตรงไหน เธอความจำเสื่อมจริงๆ เธอนี่มันไร้ความเมตตา ไม่รู้จะพูดยังไงกับเธอดี”


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะโกหกเธอว่าความจำเสื่อม พวกเขาต้องถามแพทย์มาก่อนอยู่แล้ว ความจำเสื่อมหรือไม่ ไม่ได้มีผลตรวจที่ชัดเจนออกมา ดังนั้นการโกหกว่าเธอความจำเสื่อมก็เหมือนกับถามว่ามีผีไหม ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเชื่อหรือไม่แค่นั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าสีหน้าอวี๋กานกานถมึงทึง มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่ปิดบังความไม่พอใจแม้แต่น้อย ลุงใหญ่ส่งสายตาให้ป้าสะใภ้ใหญ่อย่างแนบเนียน


 


 


เขายิ้มอย่างอบอุ่นให้กับอวี๋กานกาน ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน


 


 


“กานกาน เรื่องความจำเสื่อมตอนอยู่ที่โรงพยาบาลคุณหมอเป็นคนยืนยันเอง พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูกันแน่ ถ้าหนูรู้สึกว่าเทียนโย่วไม่ใช่คู่หมั้นของหนู ไม่ได้นะแบบนั้น ต่อให้เขาไม่ใช่คู่หมั้นของหนูจริงๆ แต่เขาก็เป็นคนรู้จักคนคุ้นเคยของหนู เห็นแก่หน้าลุงได้ไหม ไปช่วยอธิบายกับทางตำรวจหน่อย ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นแค่การเข้าใจผิด ดีไหม”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะเยาะอยู่ในใจ


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาหาว่าเธอลืมคู่หมั้นอะไรนั้น แพทย์คงไม่พูดออกมาหรอกว่าเธออาจความจำเสื่อม


 


 


ช่างเถอะ จี้ถามต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา


 


 


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจใช้แผนตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ


 


 


อยากให้เธอไปโรงพักช่วยปล่อยตัวหยางเทียนโย่ว ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ


 


 


แต่ว่า…ไม่ว่าช้าหรือเร็วยังไงหยางเทียนโย่วก็ต้องถูกปล่อยตัว อย่างไรเสียก็แค่ก่อความวุ่นวายในอวี้หมิงถาง ความผิดนี้ไม่สามารถขังเขาไปตลอดชีวิตได้


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับลุงใหญ่


 


 


อวี๋กานกานเกาศีรษะบริเวณข้างหน้าผาก กล่าว “ลุงใหญ่ ในเมื่อลุงพูดขนาดนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงหนูก็คงต้องเห็นแก่หน้าลุง เพียงแต่ว่าหนูในตอนนี้ไม่รู้จักหยางเทียนโย่วจริงๆ เพราะฉะนั้นหนูหวังว่าหลังจากที่หยางเทียนโย่วถูกปล่อยตัวออกมา เขาจะไม่ปรากฏตัวให้หนูเห็นต่อหน้าอีก!”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่รีบพูดด้วยเสียงแหลมเปี๊ยว “เขาเป็นถึงคู่หมั้นของเธอนะ จะให้เขาไม่มาหาเธอได้ยังไง”


 


 


ครั้งนี้ลุงใหญ่ถลึงตาใส่ป้าสะใภ้อย่างโจ่งแจ้ง


 


 


ป้าสะใภ้เงียบปากทันที เชิ่ดคางขึ้น ปลายจมูกชี้ขึ้นฟ้าส่งเสียงฟึดฟัด


 


 


ความเงียบเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง ลุงใหญ่ยิ้มให้กับอวี๋กานกาน กล่าว “ได้สิ ลุงตกลง”


 


 


อวี๋กานกานก็ยิ้มให้เช่นกัน


 


 


วันนี้เลิกงานก่อนเวลาไปสถานีตำรวจพร้อมกันกับลุงใหญ่ แต่เธอไม่ได้เจอหยางเทียนโย่ว หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดก็ออกจากสถานีตำรวจทันที


 


 


เธอหวังว่าจากนี้ลุงใหญ่และหยางเทียนโย่วจะไม่มาก่อความรำคาญให้เธออีก!


 


 


มองแผ่นหลังของอวี๋กานกานที่ค่อยๆ จากไป ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวโทษลุงใหญ่ “ไปตอบตกลงเธอได้ยังไง เพื่อหยางเทียนโย่วคนเดียว พวกเราไม่เอาคลินิกแล้วหรือไง”


 


 


ลุงใหญ่ชี้ป้าสะใภ้ใหญ่ ขบกรามกรอด “หยางเทียนโย่วพูดแล้ว ถ้าเขายังออกจากคุกไม่ได้อีกเขาจะขอเจออวี๋กานกาน เมื่อนั้นเขาจะบอกเรื่องทุกอย่างกับอวี๋กานกาน ถ้าถึงตอนนั้นคุณคิดว่าพวกเรายังมีโอกาสอยู่อีกไหมฮะ”


 


 


“ไอเด็กเวรหยางเทียนโย่วไร้ประโยชน์จริงๆ!” ป้าสะใภ้ใหญ่โมโหจนอกกระเพื่อม แขนเท้าเอวที่ทั้งใหญ่และหนา


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ด่าต่ออีก “พ่อของคุณก็ไม่ยอมตายสักที วิชาแพทย์ชั้นสูงก็ถ่ายทอดให้กับอวี๋กานกานนังเด็กชั่วนั้นจนหมด ไม่ได้สนใจไยดีหว่านซินของพวกเราแม้แต่น้อย หว่านซินต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขา! ตายแล้วก็ยังกลัวว่าอวี๋กานกานจะลำบาก เขียนพินัยกรรมถ้าหากอวี๋กานกานยังไม่แต่งงาน สิทธิ์ครอบครองคลินิกให้ถือเป็นของเธอ หากอวี๋กานกานแต่งงานแล้ว คลินิกถึงจะให้น้องชายคุณเหอสื่อกุย! ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ไม่มีส่วนของคุณ ไอแก่ไม่ยอมตายนั้นมันเป็นพ่อของคุณจริงๆ หรือเปล่า ฉันสงสัยจริงจริ๊งว่าคุณน่ะถูกเก็บมา!” 

 

 

 


ตอนที่ 83 มีเงินจะทำอะไรก็ได้

 

“ฉันสงสัยจริงจริ๊งว่าคุณน่ะถูกเก็บมา โชคยังดีที่สวรรค์เข้าข้างเรา เหอสือกุยหายสาบสูญ หาไม่เจอ! ขอเพียงแค่อวี๋กานกานแต่งงาน คลินิกนั้นก็จะเป็นของเรา แต่ตอนนี้เธอไม่ยอมเจอหน้าหยางเทียนโย่ว งั้นงานแต่งนี้จะแต่ง”


 


 


ลุงใหญ่ยังคงใจเย็น “ตอนนี้อวี๋กานกานไม่ใช่ว่ามีสามีแล้วเหรอ เกี่ยวอะไรกับมีไม่มีหยางเทียนโย่ว” จากนั้นถลึงตาอย่างดุดันใส่ป้าสะใภ้ “ปากคุณน่ะช่วยพูดอะไรที่มันเข้าหูผมหน่อย แก่ไม่ยอมตายอะไร นั้นพ่อของเรานะ!”


 


 


“มันไปเอาสามีมาจากไหน” ป้าสะใภ้กลัวลุงใหญ่มาก เบ้ปากอย่างน้อยอกน้อยใจ ทั้งยังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “คุณจะบอกว่าผู้ชายที่ชื่อฟังจือหันนั้น เป็นสามีตัวจริงไม่ใช่ละครตบตาที่อวี๋กานกานจงใจสร้างขึ้นงั้นเหรอ”


 


 


ลุงใหญ่แค่นหัวเราะ


 


 


จริงหรือปลอมสำคัญตรงไหน


 


 


ถ้าฟังจือหันเป็นสามีตัวจริงได้ งั้นสามีตัวปลอมก็กลายเป็นสามีตัวจริงได้เหมือนกัน!


 


 


อวี๋กานกานกลับจากโรงพักมาถึงห้อง พบว่าใต้ตึกมีคนกำลังขนเฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดล้วนเป็นแบรนด์ที่นำเข้ามาจากประเทศอิตาลี สั่งมาชุดเซ็ทหนึ่งหากไม่มีเงินสักสองสามล้านหยวนทำไม่ได้นะเนี่ย


 


 


ใครกันที่ย้ายเข้ามา


 


 


รวยขนาดนี้ทำไมถึงมาอยู่ในเขตเล็กๆ ธรรมดาๆ เขตนี้


 


 


อวี๋กานกานขึ้นลิฟต์พบว่าผู้ที่ย้ายมาใหม่ ที่แท้ก็อยู่ชั้นเดียวกันกับเธอ


 


 


สิ่งที่ยิ่งทำให้เธอคาดไม่ถึงไปอีกขั้นก็คือเป็นห้องที่อยู่ติดกันกับห้องของเธอ


 


 


แต่ว่าห้องที่อยู่ติดกันนี้มีคนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงย้ายออกไปกะทันหัน


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานเดินผ่านห้องนั้น เธอชำเลืองตามองผ่านประตูที่เปิดค้างไว้อยู่ อยากจะดูสักหน่อยว่าคนที่ย้ายมาใหม่เป็นใคร เธอกลับเห็นท่านประธานหลิน หลินกั๋วเฟิง


 


 


เธอตกตะลึงจนตาเบิกโตอ้าปากค้าง


 


 


หลินกั๋วเฟิงกำลังสั่งให้จัดแจงย้ายของ ในตอนที่หันหน้ามาก็เห็นอวี๋กานกานพอดี สีหน้าดีอกดีใจ เดินออกมาอย่างร่าเริง “คุณหมออวี๋กลับมาแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานถามอย่างงุนงง “ประธานหลิน นี่คุณกำลัง…”


 


 


“จยาอวี่ยอมรับการรักษาแล้ว แต่เธอขออย่างหนึ่งคือขออยู่ข้างๆ ห้องคุณ ฉันก็เลยติดต่อเจ้าของห้องนี้แล้วซื้อห้องจากพวกเขา” ประธานหลินในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนเจอกันที่หลินซื่อคอร์ปอเรชั่น ตอนนี้สีหน้าของเขาสดใส จิตใจเบิกบานมีความสุข


 


 


อวี๋กานกานซุบซิบกับตัวเองในใจ


 


 


มีเงินจะทำอะไรก็ได้!


 


 


แต่ว่า หลินจยาอวี่ยอมให้รักษาแล้ว?


 


 


วันนั้นตอนที่เธอออกจากห้องไปเหมือนว่าจะยังไม่ได้ตอบตกลง เธอโกหกหลินกั๋วเฟิงหรือเปล่า บอกว่าจะรักษา แท้ที่จริงแล้วแค่อยากจะออกอยากบ้าน หนีเรื่องทั้งหมดนี้


 


 


“คุณหมออวี๋ ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณเสนอไอเดียให้ฉันกับภรรยาจงใจเล่นละครตบตาโดยที่ให้จยาอวี่มาเห็นโดยบังเอิญ ไม่งั้นเธอคงไม่ยอมรับการรักษาไวขนาดนี้”


 


 


วันนั้นอวี๋กานกานบอกวิธีแก่หลินกั๋วเฟิง ให้เขากับหลินฮูหยินแกล้งป่วยพร้อมกัน เบื้องหลังสาเหตุการป่วยมาจากเศร้าและเป็นทุกข์เพราะเรื่องของหลินจยาอวี่ และต้องให้หลินจยาอวี่มาเห็นเข้าพอดี


 


 


แบบนี้จะได้ทำให้หลินจยาอวี่รู้ว่า ความทุกข์ของเธอไม่ได้มีเธอที่แบกรับอยู่เพียงคนเดียว แต่คนที่รักเธอก็แบกรับมันไปพร้อมๆ กันกับเธอด้วย ขนาดที่ว่าความทุกข์ที่ได้รับมากกว่าและหนักกว่าเธอด้วยซ้ำ


 


 


หากหลินจยาอวี่ยังไม่แยแส เมินได้แม้กระทั่งความทุกข์ทั้งหมดของคนที่รักเธอมากที่สุดอย่างพ่อแม่ อวี๋กานกานก็รู้สึกว่าคนแบบนี้รู้ทั้งรู้ว่าด้านหน้าเป็นเหวแต่ก็ยังเลือกเดินลงไป งั้นก็คงต้องแล้วแต่ตัวเธอกำหนดเอง


 


 


แต่หากเธอรักพ่อแม่ของตัวเองจริง ย่อมไม่จมปลักอยู่ในความทุกข์ของตัวเองอีก เธอต้องมาขอให้อวี๋กานกานให้รักษาอย่างแน่นอน


 


 


ดีจริงๆ ที่หลินจยาอวี๋เป็นคนประเภทหลัง!


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเธอยอมรักษาแล้วจริงๆ หรือทำไปเพียงเพราะอยากให้พ่อแม่สบายใจ


 


 


สีหน้าของหลินกั๋วเฟิงเปี่ยมได้ด้วยความซาบซึ้งใจ ใช้ทั้งสองมือกุมมืออวี๋กานกาน เขย่าขึ้นลงไม่หยุดแสดงความขอบคุณ “ลูกสาวผมมอบให้เป็นหน้าที่ของคุณหมออวี๋ คุณต้องรักษาเธอให้หายดีให้ได้นะ”

 

 

 


ตอนที่ 84 มีเงินก็คือใจกว้าง

 

อวี๋กานกานมองหลินกั๋วเฟิงเงียบๆ ริมฝีปากค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “ประธานหลิน โปรดวางใจค่ะ ถ้าเธอยอมให้ฉันรักษา ฉันจะรักษาเธอให้หายดีอย่างสุดความสามารถแน่นอนค่ะ”


 


 


แต่ถ้าหากหลินจยาอวี่ไม่ยินยอม เธอเองก็จนปัญญา


 


 


“นี่เป็นนามบัตรของฉัน ถ้าคุณหมออวี๋ติดอะไรตรงไหนสามารถโทรมาหาผมได้ทุกเมื่อ…”


 


 


หลินกั๋วเฟิงยิ้มกว้าง สองมือประคองนามบัตรสีทองส่งให้อวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานรับมาดู แต่ต้องประหลาดเมื่อพบว่านามบัตรนี้เป็นทองคำ แต่ไม่รู้ว่ากี่กะรัต เธอเผลอใส่ปากกัดไปทีหนึ่ง อยากจะเช็กในแน่ใจว่ามีกี่กะรัต


 


 


หลินกั๋วเฟิงเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ มองอวี๋กานกานด้วยแววตาประหลาดใจ


 


 


อวี๋กานกานเห็นหลินกั๋วเฟิงมีสีหน้าท่าทางเหลือเชื่อ ตระหนักได้ว่าตัวเองเสียมารยาท ยิ้มแหะๆ “เอ่อคือ หนูแค่อยากทดสอบค่ะว่าใช่ทองหรือเปล่า”


 


 


หลินกั๋วเฟิงรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้น่าสนใจดี


 


 


“ถ้าคุณหมออวี๋ชอบละก็ พรุ่งนี้ฉันจะสั่งคนงานทำให้คุณหมอกล่องหนึ่งเอาเหมือนกับของฉัน” หลินกั๋วเฟิงพูดอย่างใจป้ำ


 


 


อวี๋กานกานรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร”


 


 


“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณหมออวี๋อย่าเกรงใจไปเลย”


 


 


……


 


 


ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ประตูลิฟต์ของชั้นนี้เปิดออก ฟังจือหันก้าวเท้าออกมา จังหวะการก้าวย่างสุขุมและโออ่าสง่างาม สายตาจับจ้องไปที่อวี๋กานกาน จากนั้นชำเลืองไปทางหลินกั๋วเฟิงแวบหนึ่ง


 


 


พออวี๋กานกานเห็นหน้าเขาก็พลันให้นึกถึงเรื่องจูบเมื่อคืน รู้สึกขวยเขินนิดหน่อยขึ้นมาทันที เธอยกแขนขึ้น เกาคอของตัวเอง


 


 


ฟังจือหันและหลินกั๋วเฟิงสบตากัน พยักหน้าให้กันเล็กน้อย ถือว่าทักทายกันแล้ว จากนั้นเดินตรงเข้าห้องไป


 


 


 หลินกั๋วเฟิงมองฟังจือหัน รู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตา แต่ว่านี้ไม่ใช่ผู้ช่วยของหมออวี๋หรอกหรือ


 


 


ทำไมถึงพักอยู่ด้วยกันกับหมออวี๋


 


 


หรือว่าจะเป็นแฟนของหมออวี๋?


 


 


แต่ว่าอากัปกิริยาของชายคนนี้ มีออร่าของคนมีชาติตระกูล ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน ดูเหมาะสมกับคุณหมออวี๋ดี


 


 


อวี๋กานกานและหลินกั๋วเฟิงคุยกันอีกสองสามประโยคจากนั้นก็กลับห้อง


 


 


เธอผลักประตูเข้ามาก็เห็นฟังจือนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าดูไม่ค่อยดี สายตาเย็นเยียบจ้องมาที่เธอ แสงไฟสาดส่องร่างกายที่สูงใหญ่กำยำทอดเป็นเงาดำ บรรยากาศภายในห้องดูอึมครึมและเย็นเยือก


 


 


นี่ทำให้ไออุ่นสุดท้ายที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของอวี๋กานกานสลายไป


 


 


เสียงของฟังจือหันดังขึ้น “คุณไปสถานีตำรวจทำไม”


 


 


อวี๋กานกานหันหน้ามามองเขา คิ้วทั้งสองข้างที่ดำเหมือนน้ำหมึกเลิกขึ้นเล็กน้อย มองฟังจือหันแล้วถาม “สถานีตำรวจ? นายรู้ได้ไงว่าฉันไปสถานีตำรวจ? ที่หยางเทียนโย่วถูกขังไว้นานขนาดนั้น เป็นเพราะนายใช่ไหม”


 


 


ก่อนหน้านี้เธอคิดไว้ว่าเรื่องของหยางเทียนโย่ว ยัดเงินนิดหน่อยต้องถูกปล่อยออกมาแน่


 


 


ถ้าไม่ถูกปล่อยออกมา แสดงว่าต้องมีคนทำอะไรบางอย่าง และคนคนนั้นมีแค่ฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันจ้องเธอโดยไม่ละสายตา เงียบไปครู่หนึ่งถึงจะพูด “คุณอยากเจอเขามาก?”


 


 


“จะไปอยากเจอหมอนั้นได้ไง ฉันไม่อยากเขาต่างหาก ถึงยอมไปสถานีตำรวจกับลุงใหญ่” อวี๋กานกานพูด พร้อมกับเดินไปนั่งตรงข้ามฟังจือหัน “ไม่ว่าช้าหรือเร็วยังไงหยางเทียนโย่วก็ต้องได้รับการปล่อยตัว เรื่องทะเลาะวิวาทเรื่องเดียวไม่มีทางขังเขาไปตลอดชีวิตได้ ฉะนั้นตอนที่ลุงใหญ่มาหาฉัน ฉันทำข้อแลกเปลี่ยนกับเขา ฉันไปสถานีตำรวจช่วยปล่อยฟังจือหันให้ได้ แต่หลังจากนี้หยางเทียนโย่วห้ามปรากฏตัวมาให้ฉันเห็นต่อหน้าอีก”


 


 


ฟังจือหันมองใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานที่จริงจังและกลัดกลุ้ม ใบหน้าที่เย็นเหมือนหิมะก็ค่อยๆ มลายหายไป


 


 


ฟังจือหันลุกขึ้นยืนทันที ในตอนที่กำลังเดินผ่านอวี๋กานกาน ฝ่ามือของเขาวางบนศีรษะเธอ ขยี้อย่างเอ็นดู “ผมเข้าใจแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 85 กินข้าวกับผมราคาสูงมากนะ

 

ฝ่ามืออบอุ่นที่อยู่บนศีรษะเหมือนกับมีเวทมนตร์ อวี๋กานกานรู้สึกว่าในใจเธอก็อบอุ่นเช่นกัน


 


 


เธอจ้องมองแผ่นหลังของฟังจือหัน นัยน์ตาเจือไว้ด้วยความสับสน อารมณ์สลับซับซ้อน เธอแอบอยากถามฟังจือหัน เธอไปหาหยางเทียนโย่ว ทำไมเข้าต้องไม่พอใจด้วย


 


 


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น


 


 


อวี๋กานกานหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า มองดูเบอร์โทรเข้าบนหน้าจอ สีหน้าค่อยๆ ดำทะมึน กดรับสาย “ค่ะลุงใหญ่”


 


 


ฟังจือหันเข้าครัวรินน้ำมาหนึ่งแก้ว เมื่อออกมาก็เห็นอวี๋กานกานหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าเนียนใสเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด เขาเดินมานั่งลงตรงที่เดิม สบตาเธอกลับเป็นเชิงว่ามีอะไรก็พูดเถอะ


 


 


“ลุงใหญ่โทรศัพท์มาให้ฉันบอกว่า ในเมื่อฉันกับนายแต่งงานกันแล้ว ต้องมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักมือ ฉันไม่ได้ปฏิเสธไป” อวี๋กานกานไม่ได้อยากปฏิเสธอยู่แล้ว


 


 


ไม่เข้าทำเสือ มีหรือจะได้ลูกเสือ


 


 


การหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดของอาจารย์คนสวย หนทางเดียวที่เธอจะสืบหาได้มีเพียงบ้านลุงใหญ่


 


 


ฟังจือหันจิบน้ำ ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่เป็นยิ้มที่เย็นยะเยือก “กินข้าวกับผมราคาสูงมากนะ”


 


 


อวี๋กานกานกะพริบตาปริบๆ “…”


 


 


ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นหน่อยๆ ขึ้นมา


 


 


ลุงใหญ่เรียกพวกเขาให้ไปกินข้าว น่าจะมีเจตนาร้าย


 


 


แต่ฟังจือหันก็ไม่ใช่พวกกินมังสวิรัติ[1] ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไรเขาเปรียบเสมือนนายพรานที่วางกับดักไว้เรียบร้อยหมดแล้ว


 


 


เฒ่าสารพัดพิษอย่างลุงใหญ่และคนอ่านเกมขาดอย่างฟังจือหัน


 


 


อดทนรอไม่ไหวแล้ว!


 


 


วันที่นัดกินข้าวคือสองวันจากนี้ อวี๋กานกานเป็นคนเลือกวันเอง เพราะว่าเธอได้รับสายจากหลินจยาอวี่ว่าเธอยอมรับการรักษาแล้ว แต่ทว่าเธอหวังว่าอวี๋กานกานจะมารักษาให้เธอที่บ้าน


 


 


แม้ว่าจะยังไม่ยอมออกจากบ้าน แต่ยอมรับการรักษาแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี อีกทั้งบ้านใหม่ของหลินจยาอวี่ก็อยู่แค่ข้างห้องของอวี๋กานกาน ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่ออวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานดีใจแทนประธานหลินและหลินฮูหยิน


 


 


หลินจยาอวี่เป็นเด็กผู้หญิงที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ก็เป็นเด็กที่มีจิตใจงดงามกตัญญูกตเวที


 


 


หลินจยาอวี่ถอดหน้ากากออก หลับตาปี๋ ท่าทางเหมือนกับผู้กล้าที่พลีชีพเพื่อความยุติธรรม อวี๋กานกานรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง “ดีกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย วางใจเถอะ ฉันจะทำให้คุณกลับมาสวยดังเดิม”


 


 


“จะ จริงเหรอ” หลินจยาอวี่ลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


 


 


“อือ”


 


 


เมื่อเห็นอวี๋กานกานหยิบเข็มเล็กเรียวและยาวออกมาจากกล่องอุปกรณ์ หลินจยาอวี่กลืนน้ำลายตามสัญชาตญาณ “คุณจะใช้สิ่งนี้ทิ่มลงบนหน้าฉันเหรอ”


 


 


เข็มที่อวี๋กานกานจะใช้กับหลินจยาอวี๋ไม่ใช่เข็มเงิน แต่เป็นเข็มทอง ความยาวสามชุ่น ด้านหนึ่งเรียวเล็กอีกด้านหนึ่งใหญ่ ด้านเรียวค่อนข้างยาวมีไว้ใช้ฝังลงบนร่างกาย


 


 


เธอหมุนเข็มจากก็ดีด เสียงเข็มสั่นดังหวึ่งๆ “เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จะใช้เข็มเงิน หนึ่งเข็มต่อหนึ่งจุด เข็มทิ่มลงจุดฝังเพียงตื้นๆ เท่านั้น แต่…”


 


 


หลินจยาอวี๋พูดขัดขึ้นมา “ฉันเชื่อใจคุณ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม “ดีค่ะ งั้นฉันจะเริ่มแล้วนะ คุณมีสมาธิอยู่กับการหลับตาก็พอ ไม่ต้องกลัว ริมฝีปากของคุณจะต้องกลับมาสมมาตรแน่ อีกทั้งการฝังเข็มจะไม่ทิ้งรูเข็มหรือรอยช้ำไว้บนหน้าสวยๆ ของคุณอย่างแน่นอน…”


 


 


น้ำเสียงอบอุ่นราวกับสายลมของหญิงสาว สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ทำให้หลินจยาอวี่รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมากในทันที


 


 


เธอค่อยๆ หลับตา แต่ก็ยังมีความกลัวอยู่บ้าง สองมือกำแน่น


 


 


อวี๋กานกานพูด “ผ่อนคลาย” มือจับใบหน้าหลินจยาอวี่กดลงไปเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้นฝังเข็มลงไปที่จุดจย๋าเชอ[2] “รู้สึกยังไงบ้าง”


 


 


“เหมือนว่าจะเจ็บนิดหน่อย”


 


 


“เจ็บก็ดีแล้ว”


 


 


ตอนที่ฝังเข็มหากไม่มีความรู้สึกเจ็บ นั้นเท่ากับว่าอาการหนัก


 


 


มีความรู้สึกเจ็บตั้งแต่ฝังเข็มครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าอาการไม่หนัก หรืออาจเป็นเพราะใบหน้าของหลินจยาอวี่อาจจะหายไวกว่าที่เธอคาดการไว้


 


 


 


 


——


 


 


[1] กินมังสวิรัติ หมายถึง คนที่ไม่ยอมให้ถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ คนที่เคี้ยวไม่ง่าย เปรียบประมาณว่า ฉันเป็นสัตว์กินเนื้อ ไม่ได้อ่อนแอเหมือนสัตว์กินพืช  


 


 


[2] จย๋าเชอ เป็นจุดฝังเข็มบนใบหน้า จากมุมขากรรไกรเฉียงขึ้นไป 45 องศา ประมาณ 1 นิ้ว ใช้รักษาอาการปากเบี้ยว แก้มบวม ปวดฟัน ขากรรไกรค้าง

 

 

 


ตอนที่ 86 อิจฉา ตั้งแต่เด็กจนโต

 

นัดรับประทานอาหารกับลุงใหญ่ วันเวลาอวี๋กานกานเป็นคนกำหนด แต่ลุงใหญ่เป็นคนเลือกสถานที่


 


 


สถานที่คือภัตตาคารอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองนี้ หรูหราโออ่า ยิ่งใหญ่ตระการตา


 


 


เหอหว่านซินกล่าวอย่างไม่พอใจ “พ่อ กินข้าวกับอวี๋กานกาน ทำไมต้องเลือกสถานที่ดีขนาดนี้ด้วย มื้อหนึ่งต้องจ่ายหลายพันหยวนเลยนะ”


 


 


 ไม่ต้องรอใหญ่ลุงใหญ่ตอบ ป้าสะใภ้ใหญ่ใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากเหอหว่านซิน “แกจะบ้าเหรอ อาหารมื้อนี้จะไม่ใช่พวกเราที่เป็นคนต้องจ่ายเงินอย่างแน่นอน เดี๋ยวแกอยากจะกินอะไรก็สั่งได้เลยตามใจชอบ”


 


 


หลังจากที่เหอหว่านซินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว พลันหัวเราะออกมาพร้อมกับป้าสะใภ้ใหญ่อย่างสะใจ “งั้นก็ต้องสั่งอันที่แพงที่สุด”


 


 


ดีที่สุดคือให้อวี๋กานกานไม่มีเงินจ่าย จากนั้นต้องมาขอร้องอ้อนวอนพวกเขา แล้วให้มันเอาอวี้หมิงถางมาแลก


 


 


ลุงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ถลึงตาใส่พวกเขา พูดอย่างขอไปที “พอได้รึยัง”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ยิ้มเอาอกเอาใจลุงใหญ่ทันที “เข้าใจแล้วค่ะ”


 


 


ลุงใหญ่ยังคงไม่พึงพอใจ ด่าอีกหนึ่งประโยค “ไม่ได้เรื่องทั้งยังชอบทำให้เสียแผน!”


 


 


หลากหลายอารมณ์ปะทุขึ้นภายในใจเหอหว่านซิน “พ่อ หนูกับแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”


 


 


ลุงใหญ่พูดสั่งสอน “ยังไม่ได้พูดอะไร แกยังอยากจะพูดอะไรอีกฮะ ฉันบอกพวกแกตั้งหลายครั้งแล้วใช่ไหม ปากน่ะให้มันมีหูรูดซะบ้าง แต่ดูพวกแกสิ คงกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่?”


 


 


ในใจของเหอหว่านซินเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่ด้วยสายตาขอร้องจากป้าสะใภ้ เธอจึงไม่ได้ทะเลาะกับลุงใหญ่ ทำเพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก


 


 


“ฉันผิดอีกแล้ว อะไรๆ ก็ฉันผิด พ่อเสียใจสินะที่ทำไมอวี๋กานกานถึงไม่เกิดมาเป็นลูกสาวของเธอ ส่วนลูกสาวตัวจริงของเขาทำไมถึงเป็นฉันที่ไม่ได้เรื่อง อวี๋กานกานแกมันคนชั่วที่ไร้ยางอาย…”


 


 


เหอหว่านซินกัดฟันกรอด ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


 


 


เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษอวี๋กานกาน


 


 


 ถ้าอวี๋กานกานไม่ปรากฏตัวที่บ้านตระกูลเหอ เธอจะเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในตระกูล คงไม่ต้องใช้ชีวิตลำบากลำบนอย่างทุกวันนี้


 


 


เหอหว่านซินจงใจเดินออกมาดักอวี๋กานกานที่ด้านนอก อยากจะเอาความโกรธแค้นในใจทั้งหมด ระบายใส่อวี๋กานกาน แต่กลับพบว่าอวี๋กานกานมาถึงตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้มาพร้อมกับฟังจือหัน ทั้งสองตกลงกันว่าจะเจอกันที่ทางเข้าภัตตาคาร เนื่องจากด้านนอกค่อนข้างหนาวเธอจึงเข้ามารอที่ด้านใน


 


 


“ทำไมแกมาคนเดียวละ สามีไปไหนซะแล้ว ไม่ใช่ว่าถูกทิ้งแล้วหรอกนะ!” เหอหว่านซินเดินมา ปรายตามองอวี๋กานกานอย่างเย้ยหยัน


 


 


อวี๋กานกานค่อยๆ เหลือบสายตาขึ้น ดวงตาสีดำขลับมองเหอหว่านซินนิ่งๆ “เธอเกี่ยวอะไรด้วย”


 


 


“แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันก็แค่รู้สึกไม่คุ้มค่าแทนเทียนโย่ว ฟื้นปุ๊บก็คั่วกับผู้ชายอื่นปั๊บ เสียดายที่เทียนโย่วให้เธอทั้งตัวและหัวใจ นึกไม่ถึงว่าแกจะเป็นผู้หญิงเลือดเย็นไร้ความรู้สึกแบบนี้” น้ำเสียงของเหอหว่านซินทั้งแหลมและเหน็บเหนม


 


 


“เทียนโย่ว?” อวี๋กานกานพินิจพิจารณาจากน้ำเสียงเมื่อครู่ของเหอหว่านซินอย่างละเอียด เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าว “ดูๆ แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับหยางเทียนโย่วจะดีกว่าของฉันกับเขาเยอะเลยนะ”


 


 


เหอหว่านซินชะงักไปเล็กน้อย รีบตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “อวี๋กานกาน แกพูดเรื่องบ้าอะไร แกก็รู้ว่าฉันมีแฟนอยู่แล้ว แกคิดว่าคนอื่นจะสำส่อนเหมือนแกเหรอ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแกชอบไอผู้ชายที่ชื่อฟังจือหันอะไรนั้นเข้าไปได้ยังไง นอกจากหน้าตาของเขาที่ดีกว่าเทียนโย่วหน่อยเดียว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรสู้เทียนโย่วได้ เธอรักเขาที่หน้าตา หรือว่ารักเขาเพราะลีลาบนเตียงของเขาเด็ดกว่าเทียนโย่ว?”


 


 


อวี๋กานกานจ้องเหอหว่านซินอย่างเย็นชา ชั่วครู่หนึ่งเธอรู้สึกอยากจะฉีกปากของหล่อนจริงๆ


 


 


สร้างข่าวลือว่าหยางเทียนโย่วเป็นคู่หมั้นของเธอก็มากพอแล้ว ตอนนี้ยังจะ…


 

 

 


ตอนที่ 87 คนเดียวชั่วชีวิต

 

อวี๋กานกานหัวเราะอย่างยียวนกวนประสาท “เหอหว่านซิน บางทีฉันก็สงสัยจริงๆ นะว่าสมองของเธอกับรูทวารเกิดสลับที่กันหรือเปล่า ถึงได้เลือกเดินบนทางที่โง่งมแบบนี้ หนึ่งก้าวทิ้งหนึ่งรอยเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเดินได้ครบรอบ เธอนี่มันเก่งเกินไปแล้ว!” พูดพร้อมยกนิ้วโป้งให้เหอหว่านซิน


 


 


ประโยคนี้ทำให้เหอหว่านซินโกรธจนแทบกระอักเลือด สีหน้าดูไม่ได้ “อวี๋กานกาน แกอย่ามาดีแต่เล่นลิ้นเล่นคำด่าคนอื่น”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะเยาะ “ด่าคนอย่างเธอไปแล้วฉันได้อะไร แต่ไหนแต่ไรสามทัศนคติ[1]ของพวกเราสองคนมันต่างกันคนละโลก ก็เหมือนกับนอนกับผู้ชาย ชั่วชีวิตนี้ฉันนอนกับผู้ชายเพียงคนเดียว แต่ชั่วชีวิตนี้ของเธอนอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ดูว่าคนไหนลีลาเด็ดบนเตียงก็เลือกคนนั้น? ถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่อยากเสวนากับเธอด้วยซ้ำ”


 


 


เหอหว่านซินกำหมัดแน่น มีความรู้สึกบ้าคลั่งอยากจะพุงไปตบ “ใครอยากนอนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า เลือกคนที่ลีลาเด็ด? แก…”


 


 


“เธอไง!” อวี๋กานกานพูดแทรกขึ้นมา มองเหอหว่านซินอย่างเหยียดหยาม “เมื่อกี้เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าคนไหนลีลาเด็ดก็คบกับคนนั้น? นี่ไม่ใช่บรรทัดฐานของเธอเหรอ มนุษย์เราจะเอาบรรทัดฐานของตัวเองมาใช้กับผู้อื่น! เข้าใจไหม”


 


 


เดิมทีเหอหว่านซินต้องการจะระบายอารมณ์ใส่อวี๋กานกาน ผลปรากฏว่านอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังโมโหจนลมแทบจับ


 


 


เธอกุมหน้าอก ตวาดลั่นด้วยความโกรธ “อวี๋กานกาน แกอย่าเพิ่งได้ใจไป ฉันจะบอกอะไรให้ ผู้หญิงปากตะไกร มีพิษร้ายซะยิ่งกว่างูอย่างแก รอไปเถอะแกต้องถูกผู้ชายทิ้งสักวันแน่!”


 


 


อวี๋กานกานแบมือทั้งสองออกไปด้านข้าง ท่าทีอวดดีอย่างยิ่ง “ขอโทษนะ ไม่มีผู้ชายคนไหนทิ้งฉันได้ พอดีว่าฉันเพิ่งทิ้งผู้ชายไปคนหนึ่ง ชื่ออะไรน้า อ้อ หยางเทียนโย่ว”


 


 


เหอหว่านซินโกรธจนพูดอะไรโดยไม่กลั่นกรองออกจากสมองแล้ว “แกทิ้งเทียนโย่ว เทียนโย่วต่างหากที่ไม่ปรายตามองผู้หญิงอย่างแก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแม้ตาหางตาเขาก็ไม่มีทางชายมามองแก”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะ “ดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับเทียนโย่วจะไม่ธรรมดาจริงๆ ซะด้วย”


 


 


“แน่นอน…” เดิมทีอารมณ์ของเหอหว่านซินก็ไม่ดีอยู่แล้ว ถูกอวี๋กานกานยั่วหน่อยก็โมโห คำพูดที่เมื่อครู่เกือบหลุดปากออกไป ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก เธอลนลานเล็กน้อย รีบตะโกนดังลั่น “อวี๋กานกาน แกอย่ายั่วโมโหแล้วใส่ร้ายฉัน แกมันผู้หญิงเจ้าเล่ห์ร้อยเล่มเกวียน” พูดพร้อมกับส่งเสียงขึ้นจมูกดังหึ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าตอนที่พูดถึงหยางเทียนโย่ว เหอหวานซินจะมีอาการแปลกๆ ตั้งแต่เด็กจนโตเหอหว่านซินมาหาเรื่องและใส่ร้ายเธอก็ไม่น้อย แต่เห็นแก่หน้าของคุณปู่ เธอไม่เคยคิดผูกแค้นกับเหอหว่านซินสักครั้ง อย่างไรเสียเหอหว่านซินก็เป็นหลานแท้ๆ ของคุณปู่ และหากไม่มีคุณปู่ก็ไม่มีอวี๋กานกานอย่างทุกวันนี้


 


 


เหอหว่านซินเป็นคนที่ร้ายอยู่บ้าง ชอบแข่งกับเธอ ชอบหาเรื่องเธอ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีแผนการอะไรในใจ เป็นคนมุทะลุ มีอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ที่บอกคนอื่นไม่ได้กับหยางเทียนโย่ว เป็นไปไม่ได้ที่ทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงหยางเทียนโย่วเธอจะมีอาการโมโหฟึดฟัดแบบนี้ เหมือนกับถูกแย่งของรักของหวงยังไงอย่างงั้น


 


 


อวี๋กานกานเคลื่อนสายตา เหลือบไปเห็นคนสวมชุดสูทสีดำอย่างไม่ตั้งใจ ฟังจือหันยืนกอดอกพิงมุมกำแพงอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร


 


 


“นายมานานแค่ไหนแล้ว” มาถึงแล้วก็ไม่ยอมส่งเสียง


 


 


ฟังจือหันมองหน้าเธอ ริมฝีหยักโค้งขึ้นเล็กน้อย “ตอนที่คุณพูดว่าชั่วชีวิตนี้จะนอนกับผู้ชายเพียงคนเดียว”


 


 


อวี๋กานกานอับอายจนเหงื่อตก จู่ๆ หน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ


 


 


 


 


——


 


 


[1] สามทัศนคติ ประกอบด้วย ทัศนคติต่อโลก ทัศนติต่อชีวิตและทัศนติต่อคุณค่า 

 

 

 


ตอนที่ 88 อวี๋กานกาน แมงดาที่เธอเลี้ยง?

 

“จำไว้ด้วยล่ะ ชั่วชีวิตนี้ของคุณนอนกับผู้ชายได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” ฟังจือหันเดินมาข้างๆ ยื่นมือมาโอบเอวของเธอ


 


 


สัมผัสแนบชิดที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้อวี๋กานกานตระหนกตกใจ รีบถาม “นายทำอะไรของนาย”


 


 


เธอต่อต้าน ยื่นมือออกไปหวังจะแกะมือของฟังจือหันออก ฟังจือหันแรงเยอะมาก ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อวี๋กานกานทำได้เพียงถลึงตาใส่เขา ขู่เป็นลูกแมว “ปล่อยสิ”


 


 


ฟังจือหันโน้มตัวลงมาประชิดเธอ “เป็นสามีภรรยากัน ก็ต้องมาดที่สามีภรรยาควรมี”


 


 


ในตอนนี้ทั้งคู่หน้าหันเข้าหากัน ระยะห่างของริมฝีปากใกล้กันมาก ลมหายใจรดผสานกัน


 


 


บรรยากาศกรุ้มกริ่มแบบนี้ ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจของอวี๋กานกานเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน


 


 


ริมฝีปากสีแดงเชอรี่งามหยดย้อย ดวงตาของฟังจือหันหรี่ลงเล็กน้อย เขาโน้มศีรษะลงมาอีกนิด อวี๋กานกานตกใจจนร่างกายหงายไปด้านหลัง


 


 


มือที่อยู่ตรงเอวกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย ฟังจือหันโอบเธอให้ยืนดีๆ จากนั้นย่างเท้าเดินไปยังที่นั่งวีไอพี


 


 


ถึงห้องวีไอพีอวี๋กานกานเพิ่งรู้สึกว่าจังวะการเต้นของหัวใจฟื้นคืนสู่สภาพปกติแล้ว แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงร้อนผ่าวอยู่เล็กน้อย


 


 


เมื่อลุงใหญ่เห็นพวกเขาก็รีบลุกขึ้นทักทายอย่างอบอุ่นทันที “กานกานมาแล้ว”


 


 


เหอหว่านซินเห็นใบหน้านั้นของฟังจือหัน ยิ่งมองก็ยิ่งอิจฉาริษยา อวี๋กานกานไปหาผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้มาจากไหนกันแน่


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่พูดจาแฝงความนัย “กานกาน ในเมื่อพวกเธอข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก[1]แล้ว งั้นก็ช่วยแนะนำสามีคนนี้ของเธอให้พวกเราได้รู้จักเขาสักหน่อย”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนอยู่โรงพยาบาล ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ใช่รู้จักเขาแล้วหรือคะ”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่แค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ “นั้นจะเรียกรู้จักได้ยังไง บุกเข้ามาในห้องจู่ๆ ก็อ้างว่าเป็นสามีของเธอ ทั้งยังไล่พวกเราออกมา ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไร้มารยาทขนาดนี้มาก่อน”


 


 


“เอาเถอะ จากนี้ไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ส่วนปากคุณน่ะก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อย” ลุงใหญ่ถลึงตาใส่ป้าสะใภ้ใหญ่ จากนั้นหันไปมองฟังจือหัน ยิ้มให้อย่างมีเมตตา “เธออย่าไปใส่ใจ ป้าสะใภ้ของเธอเป็นพวกปากเสีย แต่ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจเลวทรามอะไร”


 


 


ฟังจือหันมองลุงใหญ่แวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร “…”


 


 


ลุงใหญ่พูดกับฟังจือหันอีก “ดื่มเหล้าไหม”


 


 


อวี๋กานกานตอบแทนฟังจือหัน “เขาไม่ดื่มค่ะ”


 


 


“ผู้ชายอกสามศอกไม่ดื่มเหล้าได้ยังไง มาๆ วันนี้วันฉลอง ต้องดื่มสักอึกสองอึก” ลุงใหญ่เรียกพนักงงานบริการให้เอาเหล้ามาทันที ไม่สนใจว่าฟังจือหันต้องการจะดื่มหรือไม่


 


 


นอกจากเหล้าแล้ว อาหารก็ทยอยเสิร์ฟออกมา


 


 


อวี๋กานกานมองอาหารทั้งโต๊ะ ปลาแซลมอน ปลาตะลุมพุก ปลาปักเป้า หอยกูอีดั๊ก รังนก หอยเป๋าฮื้อ อาหารเลิศรสทั้งโต๊ะนี้ อย่างต่ำก็น่าจะเกินหมื่นหยวนแล้ว อีกทั้งนี้ยังไม่รวมเหล้า


 


 


เหล้าขวดนั้นที่ลุงใหญ่เพิ่งสั่งไปเป็นเหล้าตระกูลต่ง[2] น่าจะสองถึงสามหมื่นหยวน


 


 


แม้ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่ามื้อนี้ใครเป็นคนเชิญ แต่อวี๋กานกานไม่รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้พวกลุงใหญ่จะเป็นฝ่ายจ่าย


 


 


เข้าใจแล้ว นี่ต้องการขุดหลุมพรางดักเธอ


 


 


ช่วงนี้แม้ว่าเธอจะไม่ได้ขัดสนจนเหลือไม่กี่ร้อยหยวนเหมือนกับที่พูดกับฟังจือหัน แต่ก็เหลือไม่มากเท่าไรแล้วจริงๆ มื้อนี้หากให้เธอเป็นคนจ่ายจริงๆ เธอจ่ายไม่ไหวแน่


 


 


เธอจำได้ว่าฟังจือหันเคยพูดไว้ กินข้าวกับเขาราคาแพงมากนะ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะทำอย่างไร


 


 


อวี๋กานกานหันไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ฟังจือหันยังมีท่าทีเหมือนเดิมกับตอนที่มาถึง


 


 


ลุงใหญ่ถามเขาทำงานที่ไหน เขาตอบว่าไม่ได้ทำงาน


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ได้ยินเช่นนั้น แสยะยิ้มทันที “งั้นก็เป็นพวกว่างงานเร่ร่อนไปทั่วนะสิ”


 


 


เหอหว่านซินที่หน้าบึ้งตึง ก็อารมณ์ดีขึ้นโดยพลัน “อวี๋กานกาน เธอเลี้ยงเขาเหรอ”


 


 


ที่แท้ก็เป็นพวกไม่มีงาน เป็นแมงดาที่เกาะผู้หญิงกิน ยังมีหน้ามากล้าดูถูกเธออีก?!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก หมายถึง แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วต้องปล่อยเลยตามเลย


 


 


[2] เหล้าตระกูลต่ง เป็นเหล้าที่มีชื่อเสียงของเมืองกุ้ยโจว มีราคาสูง

 

 

 


ตอนที่ 89 ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีดีที่หน้าตา

 

นัยน์ตาเย็นชาของฟังจือหันปรายมามอง


 


 


หัวใจของเหอหว่านซินสั่นไหวเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้


 


 


ออร่าของผู้ชายคนนี้รุนแรงมากจริงๆ เขาเป็นแค่แมงดาคนหนึ่งจริงๆ หรือ


 


 


ลุงใหญ่อาศัยฐานะที่ตนเองเป็นผู้อาวุโสกล่าวสั่งสอน “ผู้ชายเนี่ยต้องมีงานมีกิจการเป็นของตัวเอง ต้องรับผิดชอบเลี้ยงคนทั้งครอบครัวให้ได้ อ้อใช่ คุณฟังเป็นคนที่ไหนหรือ พ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร เรื่องของเธอกับกานกาน พวกเขารับรู้หรือเปล่า”


 


 


อวี๋กานกานเม้นปาก มองไปทางฟังจือหัน


 


 


คำถามนี้เธอเองก็อยากรู้เหมือนกัน เธอเฝ้ารอคำตอบของฟังจือหันเป็นอย่างมาก


 


 


ฟังจือหันเหลือบไปมองลุงใหญ่ สบตากับอวี๋กานกาน ตอบอย่างราบเรียบ “เป็นคนเมืองจิง ทั้งพ่อและแม่เสียแล้วครับ”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว? เขาก็เป็นเหมือนเธอไม่มีพ่อแม่?


 


 


นี่เรื่องจริงหรือว่าเขากำลังหลอกลุงใหญ่?


 


 


เหอหว่านซินยิ้มออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อครู่จางหายไปในทันที


 


 


ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าฟังจือหันจะใช่ลูกเศรษฐีหรือเปล่า ผลปรากฏว่าพ่อแม่ล้วนตายไปแล้ว งั้นก็เป็นไม่ได้ที่จะมีภูมิหลังครอบครัวอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร


 


 


ออร่าอะไรนั้นช่างไร้สาระสิ้นดี ทั้งหมดเป็นการเล่นละครทั้งเพ


 


 


ถ้ามีเงินจริง ทำไมถึงขับรถจี๊ปพังๆ


 


 


สำหรับยี่ห้อรถยนต์ที่ทหารใช้ ก่อนหน้านี้เธอไปสอบถามมาแล้ว คนที่เคยเป็นทหารมาก่อนหลายคนใช้เส้นสายแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถมีใช้กันทั้งนั้น


 


 


เหอหว่านซินถามด้วยความโมโห “อวี๋กานกาน เงินที่ได้จากการเปิดคลินิกทุกวันนี้ ใช่ไม่ใช่ถูกเธอเอาไปเลี้ยงหนุ่มหน้าอ่อนนี่หมดแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานเหล่ตามองเหอหว่านซิน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”


 


 


ฝ่ามือข้างหนึ่งของเหอหว่านซินตบลงบนโต๊ะ “แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับฉัน คลินิกเป็นของปู่ฉัน เธอใช้คลินิกของปู่ฉันหาเงินมาเลี้ยงผู้ชาย เธอไม่ละอายใจต่อปู่ฉันบ้างหรือไง เธอยังมีมโนสำนึกอยู่หรือเปล่า หรือว่ามโนสำนึกของเธอมันถูกสุนัขคาบไปกินแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกน่าขันเป็นอย่างยิ่ง “เธอไม่ต้องมาเสวนากับฉันหรอก เพราะฉันไม่อยากให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะที่ฉันต้องมาทะเลาะกับหมูโง่เง่าตัวหนึ่ง”


 


 


เหอหว่านซินปรี๊ดแตกทันที “อวี๋กานกาน แกเลี้ยงผู้ชาย แล้วยังทำหน้าภูมิอกภูมิใจนี่มันหมายความว่ายังไง ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญพวกแมงดามันหลอกกิน หลอกเอาเงิน หลอกให้รักทั้งนั้น อาชีพของพวกมันคือมิจฉาชีพ ตอนที่มีเงินมันก็จะเล่นด้วยกับแก ตอนที่ไม่มีเงินมันก็จะทิ้งแกไปทันที เปลี่ยนไปซุกหน้าอกผู้หญิงอื่น”


 


 


เหอหว่านซินพูดเหน็บแนมเสียดสี สายตาที่มองอวี๋กานกานเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย


 


 


อวี๋กานกานแสยะยิ้ม “เลี้ยงผู้ชายหล่อเหล่าหน้าตาดีเป็นกิจกรรมที่มีความสุขมากกิจกรรมหนึ่ง มีเขาฉันมีความสุขมาก พี่เองก็เคยมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่เหรอคะ”


 


 


เดิมทีเหอหว่านซินนึกว่าอวี๋กานกานโดนเธอพูดไปแบบนั้นน่าจะโกรธจนปรี๊ดแตก ผลปรากฏว่านอกจากไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว ประโยคหลังยังดูเหมือนเจาะจงมาที่เธอ


 


 


ร่างกายแข็งทื่อ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


 


 


เหอหว่านซินพูดอย่างโมโหลนลานเล็กน้อย “อวี๋กานกาน แกหมายถึงอะไร พูดจาพิลึก ตีวัวกระทบคราด[1] อยากพูดอะไรกันแน่”


 


 


“ฉันอยากจะบอกว่าไม่มีเงินไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีดีที่หน้าตา พวกเราสามารถร่วมกันวางแผน ใช้ประโยชน์จากใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ไปหลอกเอาเงินจากผู้หญิงอื่นได้” อวี๋กานกานจงใจกดเสียงให้ต่ำ พูดด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์


 


 


แม้ว่าหน้าตาของฟังจือหันจะนำโด่งหยางเทียนโย่วไปหลายช่วงถนน แต่หยางเทียนโย่วเหมือนแมงดากว่าฟังจือหันเยอะ


 


 


ท่าทีเป็นห่วงเป็นใยที่เหอหว่านซินมีต่อหยางเทียนโย่ว ต่อให้เหอหว่านซินมีแฟนแล้ว เธอก็ยังสงสัยว่าหยางเทียนโย่วและเหอหว่านซินมีความสัมพันธ์กัน อีกทั้งยังร่วมมือกันวางแผนหลอกเธอ ทั้งหมดก็เพื่อคลินิกที่คุณปู่เหลือไว้


 


 


พอเหอหว่านซินได้ยินประโยคแฝงนัยนี้ ไอเย็นที่หลังแล่นขึ้นเสียววาบๆ เธออ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี…


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตีวัวกระทบคราด หมายถึง การเสแสร้งแกล้งพูดหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้ไปกระทบกระเทือนอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากโกรธเขาแต่ไปทำอะไรเขาโดยตรงไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 90 เอ็นดู กลัวผมแย่งคุณเหรอ

 

ลุงใหญ่มองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ คลี่ยิ้มพูดกับอวี๋กานกาน “กานกาน หนูอย่าโกรธไปเลย นิสัยของพี่สาวหนูก็เป็นซะแบบนี้ ปากไม่มีหูรูด แต่ไหนแต่ไรก็พูดจาแบบนี้ แต่เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรหรอกนะ”


 


 


จากนั้นด่าเหอหว่านซินอีกหนึ่งประโยค “ดูสารรูปตัวเองซะบ้างว่าเหมือนกับตัวอะไร ทั้งวี่ทั้งวันเอาแต่พูดจาบ้าๆ บอๆ”


 


 


เหอหว่านซินตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “พ่อ!”


 


 


ลุงใหญ่ถลึงตาเตือนสติใส่เหอหว่านซินอย่างดุดันทันที


 


 


เหอหว่านซินทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ ถลึงตาใส่อวี๋กานกานจากนั้นเชิดหน้าไปทางอื่น


 


 


ลุงใหญ่มองอวี๋กานกานยิ้มแล้วกล่าวอีกครั้ง “พี่สาวหนูแม้ว่าจะพูดจาไม่ค่อยน่าฟัง แต่นั้นก็เป็นเพราะเขาเป็นห่วงหนู ลุงว่าจือหันก็แค่ไม่มีงานชั่วคราวเท่านั้น ผู้ชายยังไงก็ต้องมีกิจการมีงานเป็นของตัวเองนะ ถึงจะสามารถดูแลหนูและครอบครัวเป็นอย่างดีได้ ลุงเชื่อมั่นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจือหันเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ส่วนหนูกานกาน ในฐานะที่ลุงเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องของพูดกับหนูสักหน่อย ผู้หญิงแต่งงานแล้วก็ต้องมีลูก ต้องดูแลครอบครัว งานการเป็นเรื่องรองลงมา สามีและลูกต่างหากที่สำคัญที่สุด”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเสริมขึ้นมา “ถูกต้อง ผู้หญิงคนเดียวอย่างเธอมาเปิดคลินิกรักษารงรักษาโรคอะไรกัน ผู้หญิงแต่งงานแล้วครอบครัวต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาทำให้หย่าร้างกันได้ง่ายนะ”


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงนั่งฟังพวกเขา คุณพูดเดี๋ยวฉันเสริมอย่างนิ่งๆ


 


 


ลุงใหญ่เองก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนอะไรต่ออีก สะบัดมือพร้อมกับสั่ง “อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย กินอาหารเถอะ วันนี้ลุงสั่งมาแต่อาหารทะเลที่หนูชอบทั้งนั้นเลยนะ…”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ แต่ยิ้มไปไม่ถึงนัยน์ตา “ลุงใหญ่คะ หนูออกจากโรงพยาบาลยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย ไม่ควรจะกินอาหารทะเล”


 


 


ลุงใหญ่ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นร้อง “ไอหยา” แล้วตบศีรษะตนเอง สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มใจ “ลุงลืมไปได้ยังไงเนี่ย เรียกพนักงานมาสั่งอาหารอย่างอื่นเพิ่มเถอะ” มือหมุนจานหมุนบนโต๊ะหมุนซุปรังนกมาตรงหน้าอวี๋กานกาน “หนูกินอันนี้ได้เหมาะกับหนู มาๆ กินซุปรังนกอบอุ่นกระเพาะก่อน”


 


 


อวี๋กานกานไม่ขยับ อาหารบนโต๊ะแพงขนาดนี้ เธอจะไม่เป็นคนจ่ายอย่างแน่นอน ฉะนั้นจะต้องไม่ขยับตะเกียบ ไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้ลุงใหญ่เล่นงานได้


 


 


ปรากฏว่าฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกไม่ถึงว่าเขาจะหยิบถ้วยของเธอไปตักซุปรังนกมาให้


 


 


ดวงตาของอวี๋กานกานเบิกโต ตอนที่ฟังจือหันรับมือกับเธอ เขาฉลาดเป็นกรดราวกับปีศาจ ทำไมครั้งนี้ถึงมองแผนการของลุงใหญ่ไม่ออกล่ะ


 


 


เมื่อเธอเห็นว่าฟังจือหันตักซุปรังนกให้เธอแล้ว จากนั้นยังจะตักให้ตัวเองอีก เธอยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ พูดเสียงเบา “ไม่ต้องกินแล้ว”


 


 


“หืม” ฟังจือหันสบตาเธอ สีหน้างุนงงไม่เข้าใจ


 


 


อวี๋กานกานลอบส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้ บอกให้เขาอย่าขยับซี้ซั้ว


 


 


ผลที่ได้คือฟังจือหันเหมือนว่าจะไม่เข้าแม้แต่น้อย แกะมือของเธอออกตักซุปรังนกต่อ


 


 


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อวี๋กานกานจะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่ได้ เธอยิ้มแห้งๆ จากนั้นพูดเสียงลอดไรฟัน “คุณล่ะก็ รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนอย่างคุณกินรังนกอะไรกัน เดี๋ยวรังนกก็เปลี่ยนกล้ามเนื้อของคุณให้กลายเป็นไขมันหรอก”


 


 


ฟังจือหันมองหน้าเธอ มุมปากโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้ เป็นรอยยิ้มที่น้อยครั้งจะได้เห็น


 


 


“กลัวผมแย่งคุณเหรอ” เขายกรังนกถ้วยนั้นของตนวางไว้ตรงหน้าอวี๋กานกานด้วยเช่นกัน “ถ้วยนี้ก็เป็นของคุณ”


 


 


ตอนที่เขาดึงมือกลับ ยังหยิกหน้าเธอเบาๆ อีกด้วย อ่อนนุ่มละมุนเต็มไปด้วยรักใคร่เอ็นดู


 


 


อวี๋กานกานแข็งค้างไปในทันที หมดสิ้นถ้อยคำจะพูด


 


 


เธอกลัวว่าจะถูกฟังจือหันแย่งซะที่ไหน หมอนั้นแสดงละครรักหวานซึ้งอะไรของเขา


 


 


เธอแค่กลัวว่าจะต้องจ่ายเงินเท่านั้นโว้ยยย…

 

 

 


ตอนที่ 91 แพงเกินไปแล้ว เขากลัวว่าจะจ่ายไม่ไหว

 

ลุงใหญ่มองฟังจือหันอย่างพินิจพิจารณา มักพูดกันว่าคนไอคิวต่ำจะค่อนข้างหน้าตาดี และคนหน้าตาดียากที่จะมีไอคิวสูง ดูท่าแล้วคำพูดนี้ไม่ได้หลอกลวง


 


 


ลุงใหญ่ยิ้มให้ฟังจือหันอย่างสนิทสนมเป็นกันเองยิ่งกว่าเดิม “มาๆ อย่ามัวแต่เขิน กินอาหาร ดื่มเหล้า” เขารินเหล้าสองแก้ว แก้วหนึ่งวางไว้หน้าฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันยกแก้วเหล้าขึ้น มองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นวางกลับไปบนจานหมุนดังเดิม


 


 


เขายื่นแขนข้างหนึ่งไปพาดบนพนักเก้าอี้ของอวี๋กานกาน ปล่อยออร่าอันโออ่าสง่างาม “กินอาหารทะเล ผมดื่มแค่ไวน์แดงเท่านั้น”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่และเหอหว่านซินหันมาสบตากัน กลอกตาแล้วแสยะยิ้มอย่างเหยียดยาม


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้าลุงใหญ่เตือนเอาไว้ พวกเธอต้องหัวเราะก๊ากออกมาแน่ อวดเบ่งดื่มไวน์แดงอะไรกัน


 


 


อวี๋กานกานยกมือขึ้นกุมขมับ ฟังจือหันน่าจะมองออกว่าอาหารบนโต๊ะนี้คือกับระเบิด เขาจงใจให้เป็นแบบนี้ แต่อวี๋กานกานไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ รับมือกับเขา เหมือนว่าไอคิวของเธอจะไม่ค่อยพอใช้สักเท่าไร ค่อยๆ ดูไปก็แล้วกัน


 


 


พนักงานบริการเดินเข้ามายื่นเมนูเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ฟังจือหัน


 


 


อวี๋กานกานเบือนหน้าไปมองฟังจือหัน นัยน์ทั้งเตือน ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งมีคำถาม


 


 


ฟังจือหันไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่ถามเธอ “อยากกินอะไร ภัตตาคารนี้มีเห็ดทรัฟเฟิลสดใหม่ที่ขนส่งมาทางอากาศจากประเทศฝรั่งเศสด้วย สักจานไหม?”


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มละมุมทั้งยังมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของอวี๋กานกานเบิกโต ยังคงไม่พูดอะไร


 


 


เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี อย่างไรเสียลุงใหญ่ก็เป็นจิ้งจอกเฒ่ามากประสบการณ์ เธอกลัวว่าฟังจือหันจะไม่ระวังจนตกหลุมพรางทำให้เธอจำเป็นต้องจ่ายอาหารทั้งโต๊ะนี้


 


 


แค่คิดเธอก็ปวดตับแล้ว


 


 


ฟังจือหันยังคงไม่สังเกตเห็นถึงความกังวลและความลุกลี้ลุกลนของเธอ สั่งพนักงานบริการเอาเห็ดทรัฟเฟิลมาจานหนึ่ง


 


 


เหอหว่านซินที่อยู่ข้างๆ พลันพูดออกมาหนึ่งประโยค “ฉันก็เอาด้วยจานหนึ่ง”


 


 


นั้นเป็นถึงเห็ดทรัฟเฟิลฝรั่งเศสเลยนะ แพงบรรลัย ถึงอย่างไรอวี๋กานกานก็เป็นคนจ่ายเงิน ไม่กินก็เสียดายแย่


 


 


พนักงานบริการอมยิ้ม จดออเดอร์ทันที จากนั้นถามฟังจือหันต้องการไวน์แดงชนิดไหน


 


 


ฟังจือหันเหลือบมองเพียงปาดเดียวจากนั้นปิดเมนูแล้วบอกกับพนักงานบริการ “อู่ตังหวาง[1]”


 


 


พนักงานบริการตะลึงงัน ค่อนข้างประหลาดใจ เดิมทีอยากจะพูดอะไร แต่เห็นฟังจือหันหรี่ตา ออร่าเกรงขามน่ากลัว ทั้งเย็นเยียบและแข็งกร้าว เธอรีบพยักหน้าทันที จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป


 


 


หลังจากพนักงานบริการออกมาจากห้องวีไอพีแล้ว เธอใช้ความเร็วสูงสุดตามหาผู้จัดการ หน้าแดงเปล่งปลั่ง พูดอย่างตื่นเต้น “ผู้จัดการคะ ผู้จัดการ…มีแขกคนหนึ่งสั่งอู่ตังหวาง พวกเราจะเปิดไหม”


 


 


นัยน์ตาของผู้จัดการสว่างวาบ ประหนึ่งเก็บของล้ำค่าได้ “เปิดสิ ต้องเปิดแน่นอนอยู่แล้ว เร็วเข้า ต้องดูแลแขกวีไอพีห้องนั้นเป็นอย่างดี ต้องบริการให้ดีเหมือนว่าเขาอยู่ในบ้านของตัวเอง นี่เป็นถึงแขกซูเปอร์วีไอพีของพวกเราเชียวนะ”


 


 


“ได้ค่ะๆ” พนักงานบริการรับปากอย่างมีความสุข ยิ้มแก้มปริจนแทบจะฉีกไปถึงหู


 


 


เธอใช้ความเร็วสูงสุดนำไวน์ไปยังห้องวีไอพี ก่อนเปิดยังถามฟังจือหัน “สวัสดีค่ะคุณลูกค้า นี้คืออู่ตังหวางที่คุณสั่ง ให้ดิฉันเปิดตอนนี้เลยไหมคะ”


 


 


ฟังจือหันผงกศีรษะ


 


 


สายตาของลุงใหญ่ก็จดจ้องไปที่ขวดไวน์ เขานึกย้อนกลับไปตอนที่ดูเมนูแอลกอฮอล์เมื่อครู่ ชนิดของไวน์แดงมีครบครัน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงภัตตาคารอาหารทะเลที่หรูหราโออ่าที่สุดในเมืองนี้ มีราคาตั้งแต่ไม่กี่ร้อยหยวนจนไปถึงหลายหมื่นหยวน


 


 


ไวน์ราคาแพงล้วนนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น แต่ไม่เห็นจะมีอู่ตังหวางอะไรนั้น ฉลากไวน์อู่ตังหวังนั้นมีสีสันฉูดฉาดไร้ซึ่งความหรูหรา ชื่อเชยเฉิ่มอย่างอู่ตังหวางนี่อีก คาดว่าน่าจะเป็นไวน์ไม่มียี่ห้อในประเทศ ราคาอย่างมากน่าจะไม่กี่ร้อยหยวน


 


 


ฟังจือหันไม่ดื่มเหล้าต่ง เกรงว่าไม่ใช่ไม่ดื่ม แต่เป็นเพราะเหล้าต่งแพงเกินไป เขากลัวว่าหากดื่มไปเยอะจะจ่ายไม่ไหว


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อู่ตังหวาง มีชื่อว่า ชาโตร์ มูตอง-รอธส์ชิลด์ เป็นหนึ่งในห้าสุดยอดไวน์ของประเทศฝรั่งเศส

 

 

 


ตอนที่ 92 ลุงใหญ่พวกเราจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว

 

“กานกาน ตอนนี้อาจารย์ของหนูไม่อยู่ เรื่องงานแต่งลุงจะเป็นคนจัดการให้หนูเอง ในเมื่อหนูเลือกจือหันแล้วและลุงเห็นว่าจือหันก็เป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ พวกหนูหาวันไปจดทะเบียนสมรสกันได้เลย” ลุงใหญ่จิบเหล้าขาวไปหนึ่งอึก ถามพร้อมกับหัวเราะชอบใจ


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ดูเหมือนว่าอยากจะให้เธอแต่งงานมาก? !


 


 


นี่ลุงใหญ่อวยพรให้เธอกับฟังจือหันจริงเหรอ หยางเทียนโย่วจะไม่มาก่อความวุ่นวายให้เธออีกแล้ว?


 


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นตอนแรกที่ลุงใหญ่ให้หยางเทียนโย่วปลอมเป็นคู่หมั้นของเธอเพื่ออะไรกัน


 


 


อวี๋กานกานครุ่นคิด กล่าวตอบ “ลุงใหญ่ พวกเราจดทะเบียนสมรสเรียบร้อยแล้วค่ะ”


 


 


“อะไรนะ พวกเธอจดทะเบียนสมรสกันแล้วเหรอ!” ป้าสะใภ้พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ สายตาฉายแววความดีใจ


 


 


สีหน้าของลุงใหญ่และเหอหว่านซินก็ดีใจอย่างปิดไม่มิดเช่นกัน


 


 


อวี๋กานกานผงกศีรษะ “ใช่ค่ะ”


 


 


เธอและฟังจือหันจดทะเบียนสมรสถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา?


 


 


เหอหว่านซินพูดอย่างกระดี๊กระด๊า “อวี๋กานกาน ในพินัยกรรมบอกคุณปู่เขียนไว้ว่า หากว่าเธอเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วคลินิกจะมอบให้กับอาเล็ก ในเมื่อตอนนี้เธอจดทะเบียนแล้ว งั้นก็เลิกทำตัวเป็นตังเมติดหนึบอยู่ในคลินิกตระกูลเหอของพวกเราได้แล้ว!”


 


 


อวี๋กานกานตกตะลึง “…”


 


 


เธอจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อก่อนคุณปู่เคยพูดแบบนี้หรือเขียนพินัยกรรมแบบนี้ไว้? เธอจำได้แค่ว่าคุณปู่สั่งให้อาจารย์คนสวยดูแลเธอจนกระทั่งเธอแต่งงานมีลูก


 


 


ทว่าครานี้เธอถึงบางอ้อในทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อเธอฟื้นขึ้นมา ถึงได้มีคู่หมั้นเพิ่มมาหนึ่งคน เมื่อเห็นว่าอาจารย์คนสวยหายสาบสูญ พวกลุงใหญ่พลันรู้สึกว่าขอแค่เพียงเธอแต่งงานก็จะสูญเสียสิทธิ์ในการถือครองคลินิก ดังนั้นหลังจากที่เธอฟื้นได้สติ จึงพยายามยัดเยียดคู่หมั้นคนหนึ่งให้เธอ อยากให้เธอแต่งงานโดยเร็วที่สุด ทีนี้พวกเขาก็จะเอาพินัยกรรมที่คุณปู่เก็บไว้ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีสิทธิ์สืบทอดคลินิกต่อ คลินิกเป็นของอาจารย์คนสวยเหอสือกุย ทว่าอาจารย์คนสวยหายสาบสูญ และในฐานะที่ลุงใหญ่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของอาจารย์คนสวย ย่อมต้องได้รับทรัพย์สมบัติของอาจารย์ นั้นก็คือคลินิก


 


 


เป็นแผนการที่ร้ายกาจมาก!


 


 


ในสายตาที่ลุงใหญ่มองอวี๋กานกาน มีแสงแห่งการเผด็จศึกสว่างวาบ


 


 


นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของลุงใหญ่ถูไปมาสองสามครั้ง จากนั้นยิ้มให้อวี๋กานกานแล้วพูด “ยินดีกับหนูด้วยนะ กานกาน จดทะเบียนสมรสถือเป็นเรื่องมงคล ส่วนงานแต่งจะจัดเมื่อไรล่ะ”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ ไว้ว่ากันอีกที ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาหมาดๆ อีกทั้งที่คลินิกก็ยุ่งมากด้วยค่ะ”


 


 


ลุงใหญ่กล่าวเตือนด้วยความหวังดี “ลุงก็ยังขอพูดคำเดิมนะ ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วต้องให้ครอบครัวมาเป็นอันดับแรก”


 


 


อวี๋กานกานแสร้งหัวเราะ ถอยออกมาตั้งหลักเพื่อหาโอกาสใหม่ “ขอบคุณลุงใหญ่ หนูทราบแล้วค่ะ รออาจารย์กลับมา หนูจะยกคลินิกให้อาจารย์เป็นคนเปิด จากนั้นหนูจะไม่ทำงาน อยู่บ้านคอยดูแลลูกๆ และสามีค่ะ”


 


 


“อาจารย์ของหนูก็ไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย ไปไหนก็ไม่บอกไม่กล่าวคนในครอบครัว อีกอย่างเขาเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่เหมาะที่จะเปิดคลินิกแพทย์แผนจีน กานกาน เพื่อหนูลุงขอแนะนำว่าหนูยกคลินิกให้คนอื่นมาเปิดแทนดีไหม”


 


 


“ยกให้ใครมาเปิดแทน ลุงใหญ่กับพี่น่ะเหรอคะ” อวี๋กานกานหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ


 


 


“พี่สาวหนูเป็นคนแบบไหนไม่ใช่ว่าหนูไม่รู้ จากเรื่องเมื่อครั้งก่อนลุงตระหนักได้แล้วว่าเขาไม่เหมาะจะเปิดคลินิก” ลุงใหญ่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก่อนจะกล่าวต่อ “ที่จริงลุงรู้สึกว่าขายคลินิกเป็นหนทางดีที่สุดแล้ว อย่างไรเสียลุงก็เห็นหนูตั้งแต่เด็กจนโต พวกเรายังคงเป็นคนครอบครัวเดียวกันตลอดไป!”


 


 


เมื่อลุงใหญ่กล่าวถึงประโยคหลัง น้ำเสียงพลันแข็งกร้าวขึ้นมาทันที


 

 

 


ตอนที่ 93 คุณชายฟังแสดงได้ปลอมมาก

 

อวี๋กานกานเข้าใจเป้าหมายสุดท้ายของลุงใหญ่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว


 


 


ขายคลินิก!


 


 


หากเธอยินยอมขายคลินิกร่วมกันกับพวกเขา บางทีเธออาจได้เงินส่วนแบ่งก้อนหนึ่ง


 


 


หากเธอปฏิเสธ อาหารมื้อนี้ก็คืองานเลี้ยงที่หงเหมินเยี่ยน[1] และหลังจากออกไปจากที่นี้ พวกเขาต้องเอาพินัยกรรมมาบีบบังคับเธอให้ยอมมอบคลินิก ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย


 


 


อวี๋กานกานจดทะเบียนสมรสแล้ว เรื่องดำเนินมาถึงจุดตัดสิน ลุงใหญ่เผยไผ่ใบสุดท้ายในมือไม่ประนีประนอมอีกต่อไป เริ่มใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนต้อนเธอให้จนมุม


 


 


ลุงใหญ่มองหน้าฟังจือหันแล้วกล่าว “จือหัน ตอนนี้เธอยังไม่มีงาน ที่จริงจะทำธุรกิจเล็กๆ กับกานกานก็ได้นะ แค่ขายคลินิกไปเสีย พวกเธอก็มีต้นทุนแล้ว จากนี้ไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องทนทุกข์ลำบากลำบน”


 


 


ใบหน้าเยือกเย็นหล่อเหลาของฟังจือหันลังเลเล็กน้อย


 


 


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ดีมาก” จากหันไปมองอวี๋กานกาน “งั้นขายคลินิกไหม”


 


 


ลุงใหญ่ยิ้ม


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่และเหอหว่านซินก็มีสีหน้าเบิกบานใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเธอรู้สึกว่าไม่แน่อาจจะสามารถร่วมมือกับฟังจือหันได้


 


 


ร่วมมือกันได้จริงๆ เสียด้วย ก็นะคลินิกที่ใหญ่ขนาดนั้น ทั้งยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองไป๋หยาง หากขายไปนั้นคือเงินก้อนโตเชียวล่ะ จะไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร


 


 


แต่อวี๋กานกานนิ่งอึ้งไปแล้ว


 


 


เธอถลึงตาใส่ฟังจือหันไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ “…” เธอไม่ได้โกรธฟังจือหันที่ต้องการขายคลินิก ลุงใหญ่ไม่เข้าใจ เธอกับฟังจือหันรู้ดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถตัดสินใจแทนอีกฝ่ายได้ ฟังจือหันไม่สามารถชี้นำให้เธอขายหรือไม่ขายคลินิกได้ แต่เขาก็ยังดันทุรังจะพูดกับเธอแบบนี้ ทั้งยังแสดงได้ปลอมมาก


 


 


อวี๋กานกานไม่เข้าใจฟังจือหันจริงๆ ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่


 


 


“ผมอยากให้คุณอยู่ที่บ้านกับผม ไม่อยากให้คุณมีชีวิตที่ลำบาก” นิ้วมือเรียวยาวของฟังจือหันลูบผมบริเวณหน้าผากของอวี๋กานกาน มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่มัวเมาให้ลุ่มหลง


 


 


อวี๋กานกานดันมือฟังจือหันออก “หนูจะไม่ขายคลินิกค่ะ”


 


 


สีหน้าของลุงใหญ่ดำทะมึนทันที กล่าวสั่งสอนด้วยเสียงเย็น “กานกาน ทำไมหนูถึงไม่รู้ความเอาซะเลย ตอนนี้อาจารย์ของหนูหายตัวไป พวกลุงก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน พวกลุงอยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะตามหาอาจารย์หนู อีกอย่างวันๆ หนูก็เอาแต่อยู่ในคลินิกไม่มีเวลาด้วยซ้ำ หรือว่าหนูไม่อยากตามหาอาจารย์แล้ว?”


 


 


อวี๋กานกานชื่นชมลุงใหญ่มากจริงๆ จะพลิกลิ้นก็พลิกลิ้น ทั้งยังกล่าวสั่งสอนอย่างมีหลักการและเหตุผล ถ้าเธอไม่ได้รู้จักนิสัยของลุงใหญ่ดี เกรงว่าจะถูกข่มขวัญเข้าให้แล้วจริงๆ เชื่อว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยอาจารย์คนสวย


 


 


รู้ถึงแผนการชั่วร้ายของพวกเขาแล้ว ในตอนที่อวี๋กานกานไม่อยากจะเสวนากับพวกเขาอีก ทันใดนั้นประตูห้องวีไอพีก็ถูกเปิดออก


 


 


อวี๋กานกานหันหน้าไปมอง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหยางเทียนโย่ว ก่อนหน้านี้ลุงใหญ่ไม่ใช่รับปากกับเธอแล้วเหรอว่าจะไม่ให้หยางเทียนโย่วมาปรากฏตัวต่อหน้าเธออีก แล้วทำไมถึงเรียกหมอนี้มา…ไม่ถูกต้อง บ้านลุงใหญ่สามคนนั้นดูเหมือนจะประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเธออีก พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีมองหยางเทียนโย่ว “นายมาได้ยังไง”


 


 


หยางเทียนโย่วขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหน้าเหอหว่านซิน “อาซิน ไม่ใช่คุณเป็นคนเรียกผมมาหรอกเหรอ”


 


 


เหอหว่านซินมึนงง “ฉันไม่ได้เรียก ฉันไม่รู้?!”


 


 


ในใจของอวี๋กานกานร้องดัง “เอ๋”


 


 


ในขณะนั้นเองฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ หยิบซ้อนซุปตักรังนกยื่นมาตรงริมฝีปากอวี๋กานกาน “…”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ฟังจือหันจ้องหน้าเธอ หางตาและหางคิ้วเต็มไปด้วยความอบอุ่นรักใคร่ “อึ้งอะไร อ้าปากสิ”


 


 


อวี๋กานกานข่มความสงสัยนับหมื่นในใจ เธออ้าปากงับช้อน


 


 


ที่เข้าไปในปากนั้นใช่รังนกเหรอ


 


 


เหมือนอยู่ใต้ต้นงงกินผลงงมากกว่า[2]…


 


 


หยางเทียนโย่ว คงไม่ใช่ฟังจือหันเป็นคนเรียกมาหรอกนะ? 


 


 


 


 


——


 


 


[1] งานเลี้ยงที่หงเหมินเยี่ยน เป็นสำนวนที่มาจากสมัยยุคฉินตอนปลาย อำนาจแบ่งออกเป็นสองฝั่งระหว่างเซี่ยงอวี่และหลิวปัง เซี่ยงอวี่ได้เชิญหลิวปังให้มาร่วมงานเลี้ยงกระชับที่หงเหมินเยี่ยน เพื่อหวังฉวยโอกาสนี้กำจัดหลิวปังแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ สำนวนนี้จึงมีความหมายว่างานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่


 


 


[2] อยู่ใต้ต้นงงกินผลงง ดัดแปลงมาจากเพลงต้มไม้แห่งปัญญา เนื้อมีอยู่ว่า บนต้นงงมีผลงง ใต้ต้นงงมีเธอกับฉัน นั่งเรียงแถวอยู่หน้าต้นงง หนึ่งคนหนึ่งผลงง ที่แท้คนที่งงไม่ได้มีเพียงฉัน เอาผลงงมาเพิ่มอีกลูก! ความหมายคือสับสนงุนงง

 

 

 


ตอนที่ 94 อวี๋กานกานแกคิดจะไม่ไว้หน้ากันเลยใช่ไหม

 

ตอนที่หยางเทียนโย่วได้รับข้อความยังนึกว่าเหอหว่านซินนัดเขาออกมาเดท เห็นว่าสถานที่เป็นภัตตาคารอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองนี้ เขาจึงสวมสูทผูกเนกไทเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


 


 


ตอนนี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบจากลุงใหญ่และเหอหว่านซิน ตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนเรียกตนมา ในเมื่อไม่ใช่พวกลุงใหญ่เรียก งั้นก็ต้องเป็นอวี๋กานกาน


 


 


หยางเทียนโย่วหันไปพูดกับอวี๋กานกานทันที “กานกาน คุณเป็นคนเรียกผมมาใช่ไหม ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณรักผม คุณแค่โดนผู้ชายคนนี้หลอกเท่านั้นเอง”


 


 


รังนกที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่เกือบจะพุ่งออกมา อวี๋กานกานเบือนหน้าไปมองฟังจือหัน ถาม “สุนัขที่ไหนมาเห่าอยู่แถวนี้ เห่าจนอาหารทะเลรสเลิศทั้งโต๊ะนี้เสียรสชาติหมดแล้ว”


 


 


ถ้อยคำเหน็บแนมของอวี๋กานกานทำให้หยางเทียนโย่วหน้าเสียไปครู่หนึ่ง


 


 


ผู้หญิงคนนี้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลเกินไปหน่อยแล้ว มันคิดว่ามันเป็นใคร หากไม่ใช่เพราะคลินิกผุพังนั้น เขาไม่มีทางชายตามองอวี๋กานกานเด็ดขาด แม้ว่าจะหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่หยางเทียนโย่วก็ไม่หลุดแสดงอารมณ์ไม่พึงพอใจใดๆ ออกมา ยังคงแสดงละครต่อ มองอวี๋กานกานด้วยสายตาลึกซึ้งและเจ็บปวดรวดร้าว


 


 


แต่เหอหว่านซินกลับทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธเกรี้ยว ถลึงตามองอวี๋กานกานอย่างน่ากลัว แววตาอำมหิตราวกับจะจับอวี๋กานกานกิน “อวี๋กานกาน แกอย่าเหยียบจมูกขึ้นหน้า[1]!”


 


 


อวี๋กานกานเท้าคาง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มถามเหอหว่านซิน “เธอไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหรือไง หรือว่านั้นเป็นสุนัขที่เธอเลี้ยง?”


 


 


เหอหว่านซินลุกพรวด ด่าดังลั่น “แกว่าใครเป็นหมา อวี๋กานกานแกนั่นแหละที่เป็นหมา เลือดหมาอาบหัว[2] หมาตดไม่ออก[3]!”


 


 


อย่างไรเสียอวี๋กานกานก็จดทะเบียนสมรสแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังไม่ถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาด แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไร ระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องแสดงละครต่อไปอีกแล้ว


 


 


อวี๋กานกานยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ฉันพูดถึงคู่หมั้นปลอมๆ คนนี้ พี่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ด้วยเหรอคะ หรือว่าเขาจะเป็นสุนัขที่พี่เลี้ยงไว้จริงๆ ?”


 


 


ถูกด่าว่าเป็นสุนัขอยู่นั่น หยางเทียนโย่วก็มีน้ำโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เดิมทีบทคู่หมั้นนี่ก็ฝืนปลอมต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว บวกกับเหอหว่านซินด่าอวี๋กานกานโต้งๆ แบบนี้แต่ลุงใหญ่และป้าสะใภ้กลับไม่ห้าม เห็นได้ชัดว่าเผยไผ่ใบสุดท้ายที่อยู่ในมือแล้ว


 


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอวี๋กานกานอีก “นังผู้หญิงน่ารังเกียจ แกว่าใครเป็นหมา” หยางเทียนโย่วถลึงตามองอวี๋กานกานด้วยความโกรธจัด “แกคิดว่าฉันชอบแกจริงๆ เหรอ หัดชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง”


 


 


เหอหว่านซินที่ยืนอยู่ข้างๆ เสริมขึ้นมาทันที พูดเหน็บแนม “ใช่ สารรูปอย่างแกยังหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะชอบแกอยู่อีก ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อฟังจือหัน เขาอยากได้เมียรวยๆ แบบไหนได้หมด ตอนนี้ที่เขาอยู่กับแก เพราะแค่เห็นว่าแกมีคลินิกอยู่ที่หนึ่ง ถ้าแกไม่มีคลินิก มีเหรอที่เขาจะสนใจแก”


 


 


ฟังจือหันลุกขึ้นยืนทันที ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ออร่าเย็นเยือก เหอหว่านซินสะดุ้งตกใจ


 


 


หยางเทียนโย่วเหยียดยิ้ม พูดถากถางฟังจือหัน “แกมองอะไรวะ แกกับฉันมีอะไรที่ต่างกัน แกกับฉันก็เหมือนๆ กัน แถมแกยังเก็บรองเท้าเก่าๆ ที่ฉันไม่เอาแล้ว ยังจะมาอวดเก่งกับฉันอยู่อีก ฉันจะบอกอะไรให้ นังผู้หญิงนี่ไม่มีเสน่ห์สักนิด ต่อให้มันแก้ผ้านอนอยู่บนเตียงฉัน ฉันก็ไม่ชายตามอง…”


 


 


นัยน์ตาเย็นชาของฟังจือหัน เกิดประกายความเดือดดาลขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาหยิบแก้วไวน์ ฟาดลงไปทีศีรษะของหยางเทียนโย่ว


 


 


แก้วไวน์ฟาดลงไปที่ศีรษะของหยางเทียนโย่วอย่างแม่นยำ เสียง “เพล้ง” ดังสนั่น ของเหลวสีแดงในแก้วไหลนองลงมาจากศีรษะของหยางเทียนโย่ว


 


 


สภาพน่าอเนจอนาถสุดๆ


 


 


 


 


——


 


 


[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า หมายถึง การที่ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติอีกฝ่าย แต่อีกไม่ให้เกียรติกลับ มีแต่จะวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น


 


 


[2] เลือดหมาอาบหัว หมายถึง ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย


 


 


[3] หมาตดไม่ออก หมายถึง คำพูดหรือบทความที่ไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุผลรองรับ 

 

 

 


ตอนที่ 95 รถไฟชนกัน แฟนตัวจริง

 

นัยน์ตาของทุกคนปรากฏความตกใจ


 


 


เหอหว่านซินหยิบกระดาษทิชชูพุ่งเข้าไปด้านหน้าทันที เธอเช็ดคราบไวน์บนหน้าหยางเทียนโย่วพร้อมทั้งคร่ำครวญอย่างเป็นกังวล “เทียนโย่ว คุณเป็นยังไงบ้าง”


 


 


เธอจ้องฟังจือหันเขม็งด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกทำเกินไปแล้วนะ แกทำร้ายร่างกายคนอื่นได้ยังไง” อาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงและฟังจือหันไม่น่าจะทำร้ายผู้หญิง เธอกำหมัดพุ่งมาทางฟังจือหัน


 


 


อวี๋กานกานเดินมาด้านหน้าฟังจือหันทันที หยิบขวดไวน์บนโต๊ะชี้ไปที่เหอหว่านซิน “เหอหว่านซิน!”


 


 


เหอหว่านซินตกใจหยุดฝีเท้าในทันที “อวี๋กานกาน แกกล้าเหรอ!”


 


 


อวี๋กานกานกลั้วหัวเราะ “เธอกับหยางเทียนโย่วนี่มันชายโฉดหญิงชั่วชัดๆ คู่สวรรค์สร้างโดยแท้ ถ้าพวกเธอไม่ได้คบกันคงเป็นเรื่องที่โคตรน่าเสียดายในรอบศตวรรษ แต่ดูจากท่าทางรักใคร่กลมเกลียวของพวกเธอทั้งคู่แล้ว ฉันว่าน่าจะคบกันแล้ว ขออวยพรให้พวกเธอรักกันตราบชั่วนิรันดร อย่าได้มีวันต้องแยกจากกัน จะได้ไม่ไปเป็นภัยต่อผู้อื่น”


 


 


พูดยังไม่จบดี ประตูห้องวีไอพีถูกเปิดออกอีกครั้ง


 


 


ผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน ตะเบงเสียงถามอวี๋กานกานดังลั่น “น้องกานกาน เธอว่าอะไรนะ เธอบอกว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน? พวกเขาจะเป็นคู่รักกันได้ไง”


 


 


ผู้ชายคนนี้โครงหน้าได้สัดส่วน ทั้งดำทั้งสูงใหญ่และบึกบึน สวมชุดหนังกับกางเกงยีน นี่มันไม่ใช่…แฟนตัวจริงของเหอหว่านซินเถียนรุ่ยซานหรอกเหรอ


 


 


ทำไมเขาถึงมาที่นี่ด้วย?


 


 



 


 


เถียนรุ่ยซานเคยเจอหยางเทียนโย่ว นั้นคือเมื่อวันก่อน หลังจากที่หยางเทียนโย่วถูกปล่อยตัวจากสถานีตำรวจ เหอหว่านซินเป็นกังวลเมื่อวานจึงนัดออกกัน บังเอิญตอนที่หยางเทียนโย่วจับมือเธออยู่ถูกเถียนรุ่ยซานเห็นเข้า


 


 


ในตอนนั้นอยู่ในที่สาธารณะ เพื่อคลี่คลายเรื่องนี้ให้จบๆ ไป เหอหว่านซินทำได้เพียงปลอบเถียนรุ่ยซานไปก่อนว่าหยางเทียนโย่วเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ตามตอแยจีบเธอ


 


 


เถียนรุ่ยซานเชื่อเธอ ไม่เคลือบแคลงใจใดๆ แม้แต่น้อย


 


 


ครั้งนี้เถียนรุ่ยซานเข้ามาปุ๊บก็จ้องเขม็งไปที่หยางเทียนโย่วทันที เปลวเพลิงแห่งความโกรธปะทุขึ้น ราวกับลูกไฟระเบิดกระเด็นกระดอน “แก แกมาตามตอแยอาซินของฉันอีกแล้ว”


 


 


น้ำเสียงเด็ดขาดของเถียนรุ่ยซานดังลั่น ออร่าโหดเ**้ยมอำมหิต เขาพุ่งตรงไปหาหยางเทียนโย่ว ต่อกรกับเถียนรุ่ยซานที่กำยำล่ำสัน หยางเทียนโย่วก็เหมือนกับกุ้งขาอ่อน[1] ตกใจกลัวก้าวถอยหลังทันที แต่เขาก็ยังถูกเถียนรุ่ยซานคว้าคอเสื้อเอาไว้ได้อยู่ดี เถียนรุ่ยซานทุบตู้ที่อยู่ด้านหลังหยางเทียนโย่วอย่างแรง หยางเทียนโย่วกรีดร้องอย่างน่าเวทนาพร้อมกับเสียงขวดไวน์หล่นพื้นแตก


 


 


เนื่องจากแรงฉุดกระชากของพวกเขา ทำให้ขวดไวน์อู่ตังหวางที่ฟังจือหันสั่งหล่นพื้นแตกกระจาย


 


 


เหอหว่านซินตกใจจนหน้าซีดเผือด กรีดร้องเสียงดัง “รุ่ยซาน คุณทำอะไรของคุณ”


 


 


ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่เองก็ค่อนข้างลนลานเช่นกัน “รุ่ยซาน อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา”


 


 


“อาซิน คุณไม่ต้องกลัวนะ ครั้งก่อนผมบอกคุณแล้วถ้ามันยังกล้าตามตอแยคุณอีก ผมจะตีมันให้พิการ” สามสี่คำหลังประโยค เถียนรุ่ยซานพูดโดยแค่นเสียงลอดไรฟัน สายตาโกรธเกรี้ยวจ้องหยางเทียนโย่ว จากนั้นต่อยเข้าไปที่หน้าหยางเทียนโย่วแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย


 


 


เหอหว่านซินเห็นภาพนี้ใจแทบขาด ตวาดใส่เถียนรุ่ยซาน “เถียนรุ่ยซาน คุณทำเกินไปแล้ว คุณทำร้ายคนส่งเดชแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


เหอหว่านซินรีบก้าวไปด้านหน้า เนื่องจากเป็นห่วงหยางเทียนโย่วมากเกินไป หลังจากที่ดึงเถียนรุ่ยซานออกยังผลักเขาอย่างแรงอีกหนึ่งที


 


 


เถียนรุ่ยซานชนเข้ากับโต๊ะ มองเหอหว่านซินด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คุณช่วยมัน นึกไม่ถึงว่าคุณจะช่วยมัน? เมื่อวานคุณบอกกับผมว่ายังไง คุณบอกว่าคุณไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับมัน มันแค่ตามตอแยคุณ คุณไม่ชอบมัน”


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสของหยางเทียนโย่ว เกิดรอยกำปั้นเพิ่มมาหนึ่งรอยทันที คราบเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก 


 


 


 


 


——


 


 


[1] กุ้งขาอ่อน เปรียบเปรยถึงคนที่ขี้ขลาดตาขาว

 

 

 


ตอนที่ 96 ขีดฆ่าแล้ว คนไหนที่รักจริง

 

ลุงใหญ่เล็งเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอยู่เหนือการควบคุมแล้ว เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี รีบเดินเข้าไปพูดกับเถียนรุ่ยซานทันที “รุ่ยซาน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ”


 


 


เหอหว่านซินเองกระเง้ากระงอดใส่เถียนรุ่ยซาน ส่งเสียงฮึดฮัด พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เถียนรุ่ยซาน นาย…นายใส่ร้ายฉันแบบนี้ได้ยังไง นายทำให้ฉันโกรธมาก ฉัน…ฉันขอเลิกกับนาย”


 


 


เหอหว่านซินต้องการถอยออกมาตั้งหลักใหม่ก่อน คิดจะใช้คำว่าขอเลิกให้เถียนรุ่ยซานหยุดก่อความวุ่นวาย


 


 


เถียนรุ่ยซานชอบเหอหว่านซินมากจริงๆ เมื่อเห็นเหอหว่านซินโกรธเขาก็โอนอ่อนทันที พูดอ้อนวอน “อาซิน ผม…”


 


 


คำพูดยังไม่ทันได้ออกจากปากของเถียนรุ่ยซาน ทันใดนั้นลูกโป่งที่อยู่บนเพดานห้องวีไอพีก็ระเบิดออก รูปภาพแต่ละใบล่องลอยลงมาจากด้านบนราวกับเกล็ดหิมะ


 


 


รูปภาพทั้งหมดเป็นรูปของหยางเทียนโย่วและเหอหว่านซิน ทั้งสองสนิทชิดเชื้อกันมาก มีจับมือ มีกอด มีจูบอย่างดูดดื่ม…


 


 


เถียนรุ่ยซานตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู ดวงตาทั้งสองข้างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง เขาโกรธจนหน้าเขียว ขบกรามกรอด “เหอหว่านซิน! นึกไม่ถึงว่าคุณจะหักหลังผม เสียเปล่าที่ผมทำดีต่อคุณขนาดนั้น คุณอยากได้อะไรผมก็ซื้อให้หมด ปรากฏว่าลับหลังผมมารดามันกลับไปหาแมงดาตัวหนึ่ง!”


 


 


ความโกรธของผู้ชายที่ถูกสวมหมวกเขียว[1] ทำให้เถียนรุ่ยซานเกือบขาดสติ ชูหมัดขึ้นจะต่อยเหอหว่านซินแต่เขายังข่มความโกรธเอาไว้ได้ ทั้งรักและทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน เถียนรุ่ยซานรักเหอหว่านซินมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหอหว่านซินดี จะด่าก็ด่าออกไม่ออกจะตีก็ตีไม่ลง ดังนั้นจึงเอาความโกรธที่มีทั้งหมดระบายใส่ร่างกายของหยางเทียนโย่ว เขากำหมัดพุ่งเข้าไปพร้อมทั้งตะโกนด่า “ใครให้แกแย่งแฟนฉัน ใครให้แกแย่งแฟนฉัน ฉันจะอัดแกให้ตายเลย ไอ้เวรเอ้ย!”


 


 


หยางเทียนโย่วถูกต่อยจนกำเดาไหล ต่อให้เขาอ่อนแอแค่ไหนแต่ก็ยังเป็นผู้ชาย ไม่มีทางยอมรับมือรับเท้าอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งคู่จึงแกหมัดหนึ่งฉันหมัดหนึ่ง ภายในห้องวีไอพีเริ่มเกิดการฉุดกระชากต่อยตีกันไปมาอย่างดุเดือด ขวดไวน์แหลกละเอียด อาหารทั้งหมดหกเรี่ยราด ห้องวีไอพีเละตุ้มเป๊ะเป็นโจ๊กภายในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


ลุงใหญ่สีหน้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด โมโหจนหน้าเขียวหน้าเทา ตะโกนอยู่ด้านข้าง “หยุด หยุดได้แล้ว…”


 


 


เหอหว่านซินดวงตาเบิกโต น้ำตานองหน้า ตะโกนอยู่ด้านข้าง “พอแล้ว อย่าทะเลาะกันอีกเลย…”


 


 


ทั้งคู่ไม่ได้ฟังพวกเขาแม้แต่น้อย มีแต่ยิ่งต่อยยิ่งดุเดือด


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ตกใจกลัวกรีดร้องโหยหวนอยู่ข้างๆ


 


 


อวี๋กานกานเองก็สะดุ้งตกใจ ฟังจือหันดึงอวี๋กานกานให้มายืนข้างๆ ปกป้องเธอไว้ด้านหลังอย่างมิดชิด ใบหน้าเย็นชาหล่อเหลาปล่อยรังสีเย็นเยียบ มองดูฉากเด็ดอยู่ห่างๆ


 


 


ข่าวทะเลาะวิวาทรับรู้ไปถึงผู้จัดการภัตตาคาร พวกเขาเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาแยกเถียนรุ่ยซานและหยางเทียนโย่วออกจากกัน


 


 


เถียนรุ่ยซานยังดีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพียงแค่โกรธจนตัวสั่น แต่หยางเทียนโย่วถูกต่อยจนค่อนข้างน่าเวทนา บนหน้าถูกต่อยจนมีรอยเขียวหนึ่งรอย รอยม่วงหนึ่งรอย มุมปากแตกมีเลือดสดๆ ไหลออกมาซิบๆ


 


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างร้ายแรง ผู้จัดการร้านต้องการจะแจ้งความ แต่ถูกลุงใหญ่ห้ามเอาไว้ ลุงใหญ่โมโหจนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ เรื่องขายขี้หน้าขนาดนี้ เขาไม่อยากให้เรื่องใหญ่ไปกว่านี้


 


 


สีหน้าลุงใหญ่ดำทะมึนราวกับเมฆฝน มองหน้าเถียนรุ่ยซานและเหอหว่านซินกล่าวสั่งสอน “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ สภาพนี่มันเหมือนกับอะไร”


 


 


เถียนรุ่ยซานหอบหายใจฮึดฮัด มองเหอหว่านซินด้วยแววตาเจ็บปวดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับลุงใหญ่ด้วยความโมโห “คุณลุง เรื่องในวันนี้ลุงก็เห็นแล้ว ไม่ใช่เพราะผมไม่ดีต่อเหอหว่านซิน อีกอย่างพวกคุณรู้เรื่องทั้งหมดนี้ตั้งนานแล้วใช่ไหม แต่ก็ไม่มีใครบอกผมสักคน”


 


 


ลุงใหญ่รีบอธิบาย “ลุงพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน ทำไมเธอถึงไม่ถามให้ชัดเจนก่อน แต่ไหนแต่ไรเธอเป็นคนอารมณ์ร้อนแบบนี้เสมอ”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1]สวมหมวกเขียว หมายถึง ถูกสวนเขา ใช้ในกรณีที่ผู้หญิงสวมเขาให้ผู้ชายเท่านั้น 

 

 

 


ตอนที่ 97 ยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสายตาหยาดเยิ้ม

 

“พวกคุณยังคิดจะหลอกผมอยู่อีก พวกคุณทั้งบ้านคิดว่าผมเป็นไอ้งั่งหรือไง” เถียนรุ่ยซานตะโกนใส่เหอหว่านซินด้วยความผิดหวัง “ผมคิดมาโดยตลอดว่าคุณเป็นผู้หญิงจิตใจดีบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่นึกไม่ฝัน ที่แท้คุณมันก็เป็นผู้หญิงสำส่อนใจง่าย”


 


 


เถียนรุ่ยซานออกแรงสะบัดพนักงานรักษาความปลอดภัยที่จับตัวเขาไว้อย่างแรง จากนั้นเดินออกไป สำหรับผู้ชายแล้วการถูกสวมหมวกเขียวเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติ เขาไม่อยากจะอยู่เสวนาต่ออีก


 


 


ผู้จัดการภัตตาคารเห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นคนสนิทสนมกัน ทะเลาะวิวาทกันเนื่องจากปัญหาความรัก จึงไม่ได้ขวางเถียนรุ่ยซาน การทำเรื่องให้วุ่นวายมากไปกว่าเดิม ไม่เป็นเรื่องที่ดีต่อภัตตาคารของพวกเขาเช่นกัน


 


 


เหอหว่านซินมองแผ่นหลังของเถียนรุ่ยซาน สับสนและร้อนใจเล็กน้อย ตะโกนด้วยความโกรธและความหยิ่งผยอง “เถียนรุ่ยซาน นายกล้าทำกับฉันแบบนี้ ฉันไม่ให้อภัยนายแน่ อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”


 


 


อวี๋กานกานมองเหอหว่านซินรู้สึกว่าเธอช่างพิลึกคน สวมหมวกเขียวให้คนอื่นแท้ๆ ยังกล้าพูดจาแบบนี้ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ เถียนรุ่ยซานไม่ได้ติดค้างอะไรเหอหว่านซินด้วยซ้ำ


 


 


ที่จริงแล้วเถียนรุ่ยซานเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ได้หมายถึงนิสัยของเขาเพราะเธอเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับเขามากมาย แต่ความรักระหว่างเขากับเหอหว่านซินสองสามปีมานี้ เขาตามใจเหอหว่านซินมากจริงๆ ปฏิบัติกับเธอเหมือนกับเธอเป็นนางฟ้าที่ประคองไว้ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง


 


 


เลิกรากันไปหากพูดว่าใครต้องเสียใจภายหลัง นั้นก็ต้องเป็นเหอหว่านซิน หยางเทียนโย่วเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นพวกที่พึ่งพาไม่ได้…


 


 


“กานกาน ตอนนี้สมใจหนูแล้วสินะ?” ลุงใหญ่ขึงตาใส่อวี๋กานกาน พูดอย่างเย็นชา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นเยือก


 


 


อวี๋กานกานที่ถูกขานชื่อ งงเป็นไก่ตาแตก “เกี่ยวอะไรกับหนูเหรอคะ”


 


 


เหอหว่านซินกัดฟันพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เรื่องทั้งหมดในวันนี้ล้วนเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเธอทั้งสิ้น!”


 


 


อวี๋กานกานแบมือทั้งสองออกไปด้านข้าง เชิงว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ “ฉันเปล่า ฉันไม่รู้เรื่อง เมื่อกี้ฉันได้แต่ยืนงง”


 


 


ฟังจือหันที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา “อาหารหก เหล้าสาดกระจาย อาหารมื้อนี้กินไม่ได้แล้ว ไปเถอะ กลับบ้าน”


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำมอมเมาผู้คน ราวเสียงบรรเลงฉินอันไพเราะเพราะพริ้ง


 


 


ผู้จัดการภัตตาคารเห็นว่าพวกเขาจะออกจากร้านรีบเอาใบเสร็จมา เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม้ว่าจะเป็นแขกซูเปอร์วีไอพี พวกเขาก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ โชคดีที่ไม่ทุบตีโดนของมีค่าจนชำรุดเสียหาย แค่จานแตกไม่กี่ใบเท่านั้น ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่ว่าอยากให้แขกเหล่านี้รีบจ่ายเงินและออกจากร้านไปเสียที


 


 


เมื่อเห็นใบเสร็จ อวี๋กานกานเดินไปยืนข้างฟังจือหันอัตโนมัติ ฟังจือหันเห็นเช่นนี้ มุมปากหยักโค้งขึ้น นิ้วมือเรียวยาวลูบจมูกของอวี๋กานกาน


 


 


ทั้งสองคนยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสายตาหยาดเยิ้ม ผู้จัดการย่อมไม่เข้าไปขัดจังหวะ เขาทำงานในภัตตาคารหรูหราระดับสูง ต้อนรับและส่งแขกที่เป็นบุคคลระดับสูงไม่รู้ตั้งกี่คนต่อกี่คน สายตาของเขาถูกฝึกฝนและลับจนคมกริบตั้งนานแล้ว เห็นชายคนนี้แค่แวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนธรรมดา ผู้จัดการถือใบเสร็จเดินตรงไปยังลุงใหญ่


 


 


ลุงใหญ่ไม่คิดที่จะเป็นคนจ่ายเงินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สีหน้าดูไม่ได้ถลึงตาใส่ผู้จัดการ


 


 


ผู้จัดการคิดเพียงแค่ว่าเพราะเรื่องทะเลาะวิวาททำให้แขกอารมณ์ไม่ดี ยิ้มและพูดอย่างมีมารยาทนอบน้อม “สวัสดีครับ ทั้งหมดสามหมื่นแปดพันหยวน”


 


 


เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ สีหน้าของลุงใหญ่เปลี่ยนอย่างฉับพลัน ลืมไปแล้วว่าจะพูดว่าฉันไม่ใช่คนจ่ายเงิน ถามออกไปด้วยความตกใจ “ทำไมถึงแพงขนาดนี้”


 


 


ผู้จัดการยิ้ม “พวกคุณสั่งอู่ตังหวางหนึ่งที่ครับ”


 


 


“ทำไมแพงขนาดนี้ล่ะ” นั้นไม่ใช่แค่ไวน์ไร้ยี่ห้อขวดหนึ่งหรอกหรือ


 


 


“นั้นเป็นอู่ตังหวางรุ่นบรรจุภัณฑ์ดั้งเดิมที่นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ราคาเต็มสามหมื่นเก้าพันหยวน ทางร้านลดราคาให้เหลือสามหมื่นห้าพันหยวนครับ” คนกลุ่มนี้แม้แต่อู่ตังหวางก็ยังไม่รู้จัก ทำไมถึงกล้าสั่งไวน์ที่มีราคาสูงขนาดนี้


 


 


เมื่อได้ยินราคาไวน์ ลุงใหญ่หันขวับมองไปทางฟังจือหันด้วยความด้วยโกรธแค้นทันที


 


 


ไอฟังจือหันมันจงใจ! ไวน์แดงเป็นแผนการที่มันจงใจสั่ง หยางเทียนโย่วและเถียนรุ่ยซานต้องเป็นมันที่เป็นคนเรียกมาแน่!

 

 

 


ตอนที่ 98 ขุดหลุมฝังตัวเอง

 

เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่ได้ยินราคาไวน์ ดวงตาพลันเบิกโพลง สีหน้าถมึงทึง ตะโกนเสียงดังทันที “นี่มันไวน์อะไร ลดราคาแล้วทำไมถึงยังแพงขนาดนี้”


 


 


ผู้จัดการเริ่มเอือม แม้แต่รอยยิ้มก็ปลอมไปแล้ว “คุณผู้หญิงท่านนี้ คุณสามารถค้นหาดูในไป๋ตู้[1]ได้แล้วคุณก็จะทราบเองว่าอู่ตังหวางคือไวน์อะไร ทำไมถึงได้มีราคาที่สูงขนาดนี้”


 


 


รู้จักสะพายกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ทำไมถึงไม่รู้จักหนึ่งในไฮเอนด์ไวน์


 


 


“ฉันไม่สนว่าเป็นไวน์อะไร ยังไงไวน์นี้ก็ไม่ใช่พวกฉันที่เป็นคนสั่ง ไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่หน้าที่ที่พวกฉันต้องจ่าย” ป้าสะใภ้ใหญ่ชี้ไปที่อวี๋กานกาน “โน่น ไปเช็กบิลกับคนนั้น อาหารมื้อนี้คนนั้นเป็นคนเชิญพวกเรา”


 


 


ลุงใหญ่กระแอมเบาๆ ใส่ผู้จัดการ ยืดลำตัวขึ้นตรง ทึกทักเอาเองว่าท่าทางของตนดูน่าเกรงขาม


 


 


เหอหว่านซินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความโกรธ มือข้างหนึ่งพยุงหยางเทียนโย่ว อีกมือหนึ่งชี้ไปที่อวี๋กานกานตวาดเสียงดัง “ใช่ มันเป็นคนจ่าย”


 


 


ผู้จัดการมึนงงเล็กน้อย จากนั้นหันไปทางอวี๋กานกานและฟังจือหัน เขากำลังคิดจะเดินไปทางนั้น พอก้าวเท้าปุ๊บก็ได้ยินเสียงอวี๋กานกานพูดขึ้นมา “เป็นฉันจ่ายเงินได้ไง ฉันพูดตอนไหนเหรอว่าจะเชิญพวกลุงใหญ่มารับประทานอาหาร ลุงใหญ่เรียกให้ฉันมาฉันก็นึกว่าลุงใหญ่จะเป็นเจ้าภาพ?”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่พูดเสียงเย็น “ยังไงพวกเธอก็ควรเป็นคนจ่ายอยู่ดี ไวน์แพงขนาดนั้นพวกเธอเป็นคนสั่งเองนะ”


 


 


อวี๋กานกานดวงตาเบิกโต “ไวน์พวกเราเป็นคนสั่งก็จริง แต่ปัญหาก็คือพวกเรายังไม่ทันได้ดื่มก็ถูกผู้ชายสองคนของลูกสาวป้าสะใภ้ทำแตกหมด”


 


 


เหอหว่านซินหน้าขึ้นสี ตวาดลั่น “อวี๋กานกาน แกต้องการจะใส่ร้ายฉันอีกแล้ว วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแก พวกเขาก็คงไม่มีเรื่องกัน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะแก รีบๆ จ่ายเงินซะ ไม่อย่างงั้น…ฉันจะแจ้งตำรวจ”


 


 


อวี๋กานกานสนับสนุน “ดีเลย แจ้งความ ให้ตำรวจเป็นคนจัดการว่าอาหารมื้อนี้ใครกันแน่ที่ควรเป็นฝ่ายจ่าย”


 


 


ผู้จัดการหน้าเสียไปที่เรียบร้อย ทีแรกยังนึกว่าได้เจอแขกซูเปอร์วีไอพี ปรากฏว่าได้เจอพวกกินแล้วชักดาบ ไม่ต้องสนว่าใครเป็นคนเชิญใคร ใครที่เป็นคนก่อเหตุทะเลาะวิวาทพังอาหารทั้งโต๊ะนี้ คนนั้นย่อมต้องเป็นคนจ่าย ผู้จัดการหันไปเผชิญหน้ากับลุงใหญ่อีกครั้ง “คุณลูกค้าท่านนี้ ทั้งหมดสามแสนแปดหมื่นหยวนครับ”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ตะโกนอย่างลนลานทันที “วัดจากอะไร ทำไมพวกฉันต้องเป็นคนจ่าย คุณไปหาอวี๋กานกาน ให้อวี๋กานกานจ่าย”


 


 


อวี๋กานกานยืนยันอีกครั้ง “อะไรก็ยังไม่ทันได้กินให้หนูจ่ายอะไร ใครที่ทำอาหารมื้อนี้พังก็ให้คนนั้นจ่าย?”


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่ชี้ไปที่หยางเทียนโย่ว ”งั้นคุณก็เช็กบิลกับเขา เป็นเขาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทุกอย่างถึงได้พัง เช็กบิลกับเขาเลย”


 


 


“ไม่ใช่ผมนะ ผมเป็นผู้ถูกกระทำ เป็นเถียนรุ่ยซานหาเรื่องผม ไปเช็กบิลกับเถียนรุ่ยซานสิ” หยางเทียนโย่วพูดพร้อมกับมองหน้าเหอหว่านซิน สีหน้าท่าทางเจ็บปวดทรมาน “ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม ผมมีเงินซะที่ไหน แถมตอนนี้ผมยังถูกต่อยจนเจ็บไปหมด เจ็บมากจริงๆ”


 


 


เหอหว่านซินมองเขาอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เทียนโย่ว”


 


 


เถียนรุ่ยซานออกจากภัตตาคารไปแล้ว ผู้จัดการจะไปตามหาได้จากที่ไหน เขาทำหน้าเคร่งขึมจริงจังทันที “ถ้าพวกคุณยังไม่ยอมจ่ายอีก พวกผมจะแจ้งตำรวจจริงๆ แล้ว”


 


 


อวี๋กำลังมองดูพวกเขาขุดหลุมฝังตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสัมผัสรัดแน่นที่บริเวณเอว ฟังจือหันที่อยู่ข้างๆ โอบเอวของเธอไว้แล้วพาเธอเดินออกไป ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกัน อวี๋กานกานแข็งทื่อไปทั้งตัว เธอจะผลักฟังจือหันออก แต่ฟังจือหันกลับเข้ามาใกล้ใบหูของเธอ กระซิบอย่างแผ่วเบา “อย่าขยับมั่วซั่ว”


 


 


จอมเผด็จการแสนเย็นชา นิสัยเสียชอบเอาแต่ใจตนเอง


 


 


ทั้งสองใกล้กันมาก ลมหายใจร้อนรดลงบนใบหูและต้นคอ จนรู้สึกว่าบริเวณนั้นร้อนผ่าวเล็กน้อย อวี๋กานกานตัวแข็งเกร็งก้าวไปตามจังหวะการเดินของฟังจือหัน


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไป๋ตู้ คือ กูเกิลของประเทศจีน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม