รักเล่ห์เร้นใจ 81-100

 ตอนที่ 81

เยาะเย้ย

หลินหว่านอดประหลาดใจไม่ได้ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมผู้กำกับนิกจึงไม่แจ้งเธอก่อนล่วงหน้า แต่รอจนเธอมาถึงที่นี่แล้วจึงบอกว่าบทของเธอมีคนแสดงแล้ว หลินหว่านอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยตอบอย่างไรได้แต่มองดูเขานิ่งอยู่


 


 


นิกก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง เขาอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ผมหาบทให้คุณไว้ คุณแสดงฉากของวันนี้ไปก่อนก็แล้วกันนะ ต่อไปคุณก็เล่นบทนี้แล้วกัน พรุ่งนี้คุณมีฉากแสดงร่วมกับพระเอกเบอร์หนึ่งด้วย คุณเตรียมตัวด้วยล่ะ” นิก


 


 


ยื่นบทให้กับหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านรับบทมาพลางถอนหายใจโล่งอก ในเมื่อมาถึงนี่แล้วมีบทให้แสดงก็นับว่าดีมากแล้ว


 


 


ไม่นานนักหลินหว่านก็แสดงบทในส่วนของตัวเองเสร็จแล้วกลับเข้าห้องพัก เนื่องจากวันนี้ตอนมาถึง


 


 


เร่งรีบเกินไป ตอนนี้เธอจึงรู้สึกเหนื่อยมาก คิดว่าอาบน้ำเสร็จจะขึ้นเตียงไปอ่านบทแล้วจึงพักผ่อน


 


 


“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


 


หลินหว่านมีสีหน้าประหลาดใจ ขณะที่ในใจรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเธอคิดว่าคงเป็นอวิ๋นซีที่ลืมอะไรสักอย่างจึงกลับมา


 


 


หลินหว่านเปิดประตูอย่างรำคาญอยู่บ้างแต่พอเงยหน้าขึ้นก็สะดุ้งเฮือก เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ อึ้งไปชั่วครู่จึงพูดขึ้น “คุณคือ…คุณคือพระเอกของหนังเรื่องนี้สินะคะ เอ้อ สวัสดีค่ะ นี่ก็ดึกแล้วคุณมีธุระอะไรเหรอคะ”


 


 


พระเอกยิ้มกรุ้มกริ่มมองดูหลินหว่าน ไม่รอให้หลินหว่านเอ่ยปากก็เดินเข้าห้องมา กลายเป็นว่าหลินหว่านเดินตามหลังเขามา


 


 


หลินหว่านมัวคิดว่าดึกขนาดนี้แล้วเขายังมาที่ห้องเธอ อีกทั้งเข้ามาอย่างไม่เกรงใจเลย เหมือนกับที่นี่เป็นบ้านของเขาอย่างนั้น หลินหว่านรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา แต่เนื่องจากเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก หลินหว่านจึงยังรักษามารยาทกับเขาอยู่


 


 


“วันนี้ผมเห็นคุณแต่ไกลตั้งแต่คุณมาถึงแล้ว ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้แล้วว่าพรุ่งนี้คุณกับผมต้องเข้าฉากร่วมกัน ผมมันคนรักในอาชีพอย่างมาก ผมหวังว่าจะไม่ต้องเสียเวลาในวันพรุ่งนี้ก็เลยจะใช้เวลาคืนนี้ซ้อมบทก็แล้วกัน” พระเอกพูดพลางนั่งบนโซฟาแล้วยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง


 


 


หลินหว่านกลับมารู้สึกดีต่อเขาอีกครั้ง ที่แท้เขาก็เป็นศิลปินที่รักในงานอาชีพ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังคิดถึงการแสดงในวันพรุ่งนี้อีก หลินหว่านจึงตัดสินใจว่าจะรับปากเขา สำหรับเธอแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักแสดงก็คือความรักในอาชีพนี่นะ


 


 


“เอาล่ะ งั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะ วันนี้ฉันเหนื่อยมาก หวังว่าพวกเราจะซ้อมเสร็จกันเร็วหน่อย ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ปลีกตัวมาซ้อมบทกับฉันถึงนี่ หวังว่าพวกเราพยายามกันในคืนนี้ เข้าฉากวันพรุ่งนี้จะทำให้


 


 


ผู้กำกับพอใจในคราวเดียว” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้มเต็มไปด้วยความยินดี


 


 


แต่ระหว่างการซ้อมบทกับพระเอกนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่หลินหว่านคิดไว้ พระเอกเบอร์หนึ่งคอยจะแตะเนื้อต้องตัวเธอ แบบตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างอยู่บ่อยๆ ตอนเริ่มแรกเหมือนเป็นแค่เข้ามาประชิดอย่างเกรงใจ แต่ตอนหลังกลายเป็นการสัมผัสอย่างตั้งใจ อีกทั้งมักจะใช้สายตาโลมเลียเธอตลอดเวลา


 


 


“คุณหลินหว่าน คุณเซ็กซี่ขนาดนี้ เต้นท่าลีลาเร่าร้อนคงต้องน่าดูมากแน่ๆ ” พระเอกยิ้มแฝงเลศนัยขณะเลื่อนมือลงด้านล่าง


 


 


หลินหว่านรู้สึกอึดอัดมาก เธอรู้สึกได้ว่ามือของพระเอกไม่เรียบร้อยนัก ความโกรธพุ่งขึ้นมา เธอผลักพระเอกให้ออกห่างแล้วตวัดมือขึ้นฟาดฉาดใหญ่ไปที่ใบหน้าพระเอกเบอร์หนึ่งเต็มแรง


 


 


แน่นอนว่าทั้งสองจากกันอย่างไม่ดีนัก แม้ว่าหลินหว่านไม่ได้ถูกเขาเอาเปรียบ แต่คำพูดเยาะเย้ย


 


 


ถากถางของพระเอกนั่นทำให้เธอยิ่งโกรธขึ้นไปอีก หลินหว่านกลัวว่าเซียวจิ่งสือจะเป็นห่วงเธอ จึงไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้


 


 


วันรุ่งขึ้นตอนหลินหว่านเข้าฉากกับพระเอกนั่น เธอไม่ได้พูดกับเขาสักคำ สำหรับหลินหว่านแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะเป็นเพื่อนได้อีก แต่เนื่องจากต้องทำงานร่วมกัน หลินหว่านจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรกับพระเอกให้มากความ


 


 


การเงียบและอ่อนข้อให้ของหลินหว่านไม่ได้ทำให้พระเอกนั่นเก็บอาการลง หลังฉากระหว่างการถ่ายทำเขามักจะคอยเยาะเย้ยหลินหว่านอยู่เสมอ ทำให้หลินหว่านรู้สึกกลุ้มใจมาก แต่นอกจากผู้จัดการแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับใครได้อีก ระหว่างนี้จึงได้แต่อดทนกับพระเอกนั่น แต่เขายิ่งย่ามใจหนักข้อมากขึ้น


 


 


หลินหว่านรู้สึกรังเกียจเขามาก ระหว่างการถ่ายทำก็มักเกิดเรื่องมากมายซึ่งกระทบต่อการทำงานของหลินหว่านอย่างมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจาก NG มาหลายครั้งจนเกินไป ผู้กำกับเรียกหลินหว่านมาที่ด้านหนึ่ง


 


 


“คุณหลินหว่าน นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมเชื่อในความสามารถของคุณมาตลอด แต่นี่เมื่อครู่แค่ฉากสั้นๆ ไม่กี่นาที คุณกับพระเอก NG กันไปกี่ครั้งแล้ว คุณรู้ไหมว่ามันกระทบตารางงานของเราแค่ไหน แล้วผมยังเห็นว่าระหว่างพวกคุณดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ ทำไมพวกคุณไม่พูดคุยกันเลย หรือว่าหลายวันนี้สภาพร่างกายคุณไม่ดี หรือเป็นอะไรแน่” ผู้กำกับนิกขมวดคิ้วมองหลินหว่านอย่างไม่เข้าใจ


 


 


หลินหว่านลังเลว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้กำกับดีหรือไม่ พระเอกนี้มีชื่อเสียงในระดับโลกทีเดียว บอกผู้กำกับไปแล้วจะส่งผลเสียต่อเธอหรือเปล่า หลินหว่านเฝ้าคิดกังวลถึงแต่เรื่องพวกนี้อยู่ในหัว แต่ว่าเมื่อหลินหว่านแอบชำเลืองมองเห็นท่าทีร้อนใจของผู้กำกับ เธอคิดว่าไหนๆ ก็ร่วมงานกันมาสองครั้งแล้วจึงบอกเรื่องนี้กับผู้กำกับ


 


 


“มีอยู่คืนหนึ่งพระเอกนั่นมาหาฉันเพื่อขอซ้อมบทแต่ระหว่างนั้นเขาลวนลามฉัน ต่อมาพอถึงเวลาเข้าฉากก็มักจะทำเหมือนไม่ตั้งใจคอยยุ่มย่ามกับฉันอยู่เรื่อย ตอนนี้ฉันรังเกียจเขามากเลยค่ะ ก็เลยส่งผลกับการแสดง เรื่องนี้กระทบถึงการทำงานของพวกคุณ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ” หลินหว่านก้มหน้าพูดออกมา


 


 


ผู้กำกับเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ตำหนิหลินหว่านอีก เขาไม่รู้ว่าจะปลอบใจหลินหว่านอย่างไรดี เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะถือสาเรื่องแบบนี้ถึงขนาดนี้ เรื่องแบบนี้ในวงการบันเทิงพบเห็นได้เป็นปกติมาก แต่เรื่องนี้กลับยิ่งทำให้เขาชื่นชมหลินหว่านมากขึ้น


 


 


นิกพูดเสียงเรียบว่า “หลินหว่าน การที่พระเอกทำกับคุณแบบนั้นพวกเราต้องขอโทษคุณอย่างมาก ผมเองก็ต้องขอโทษที่ตำหนิคุณไปเมื่อครู่นี้ด้วย อันที่จริงคุณไม่ต้องไปรังเกียจเขาขนาดนี้ เจ้านี่ก็เป็นคนแบบนี้ เจอใครก็ฝากรักไปทั่ว ตัวเขาโดยปกติแล้วเป็นคนดีมากนะ ถ้าคุณเข้าใจเขาแล้วคุณจะพบว่าเขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง”


 


 


หลินหว่านเหยียดยิ้มบางๆ ทีหนึ่ง สำหรับหลินหว่านแล้วเธอไม่เห็นว่านั่นเป็นแค่เรื่องรักสนุก เธอยังรู้สึกรังเกียจพระเอกนั่นอยู่ดี


 


 


ตกบ่ายกว่าจะได้เวลาพัก หลินหว่านดูมือถือไปพลางทานข้าวไปพลาง จู่ๆ พระเอกเบอร์หนึ่งก็มานั่งลงที่ตรงหน้าเธอ


 


 


“หลินหว่าน ผมขอโทษด้วยเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ผมทำให้คุณต้องลำบากผมเสียใจจริงๆ ครับ ผมหวังว่าคุณจะยกโทษให้ผม ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจเลย ผมแค่อยากจะให้พวกเราใกล้ชิดเป็นมิตรกันมากขึ้นน่ะ” พระเอกพูดจบก็มองดูหลินหว่านที่ยังก้มหน้าดูมือถืออยู่ เขาพูดต่อว่า “หลินหว่าน คุณอย่าคิดมากแบบนี้ได้ไหม แค่ไม่ตั้งใจโดนตัวคุณไปไม่กี่ครั้งเองไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ผมก็ขอโทษแล้ว ขอโทษจริงๆ นะ คุณก็อย่าโมโหอีกเลยนะ ในเมื่อพวกเราได้มาอยู่กองถ่ายเดียวกันแล้ว คุณก็ยกโทษให้ผมเถอะนะ”


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นมองพระเอกเบอร์หนึ่งอย่างไม่อยากจะเสียสายตา พูดเสียงเรียบ “ฉันขอปฏิเสธคำขอโทษของคุณ นอกจากเวลางานแล้วกรุณาอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีกค่ะ” หลินหว่านพูดจบก็เดินจากไป

 

 

 


ตอนที่ 82

 

คำเชิญ

 


 


 


 


นับตั้งแต่พระเอกเบอร์หนึ่งมาขอโทษหลินหว่านแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยปากเยาะเย้ยถากถางหลินหว่านอีก 


 


 


หลังจากนั้นการเข้าฉากของหลินหว่านก็ราบรื่นเป็นอย่างดี หนึ่งสัปดาห์ต่อมา บทของหลินหว่านในหนังเรื่องนี้ก็ถ่ายทำเสร็จสิ้น 


 


 


หลังถ่ายเสร็จ หลินหว่านจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อการนี้วันที่เธอถ่ายฉากสุดท้าย ผู้กำกับนิกและทีมงานในกองถ่ายได้เตรียมจัดงานเลี้ยงส่งให้หลินหว่านเป็นพิเศษ 


 


 


หลินหว่านรู้สึกคาดไม่ถึงเอามากๆ และก็ดีใจมากๆ ด้วย ในงานเลี้ยงส่งหลินหว่านกับผู้กำกับและทีมงานได้ถ่ายภาพร่วมกันไว้จำนวนมาก เธอได้เลือกเอาหลายภาพในจำนวนนี้มาลงเวยปั๋ว พร้อมกับข้อความว่า ‘ขอบคุณผู้กำกับนิกและทีมงานกองถ่ายที่ช่วยดูแลฉันในช่วงเวลานี้ วันนี้บทของฉันถ่ายเสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้วล่ะ ดีใจจัง’ 


 


 


ไม่นานนักโพสต์นี้ของหลินหว่านได้รับการส่งต่อเป็นจำนวนมาก แฮชแท็กคำว่า ‘หลินหว่านปิดกล้อง’ ก็กลายเป็นคำค้นยอดนิยม 


 


 


วันต่อมา หลินหว่านขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ พอลงจากเครื่องก็พบว่ามีแฟนคลับจำนวนมากมารอรับเธอที่สนามบิน 


 


 


หลังแจกลายเซ็นแฟนคลับกับถ่ายรูปร่วมกับพวกเขาเป็นที่ระลึกแล้ว หลินหว่านก็ขึ้นรถที่อวิ๋นซีส่งมารับเธอกลับบริษัท  


 


 


บนรถ หลินหว่านรู้สึกเบื่อขึ้นมาจึงหยิบมือถือมาเปิดดูเวยปั๋ว เหล่าแฟนคลับพากันลงรูปที่สนามบินกับ 


 


 


ที่ถ่ายร่วมกับหลินหว่านลงเวยปั๋ว ข่าวที่เธอกลับมาแล้วจึงเป็นคำค้นยอดนิยมไปในขณะนั้น 


 


 


บนเวยปั๋วมีจดหมายส่วนตัวกับข้อความ @ ถึงเธอจำนวนมาก แต่ในจำนวนนี้หลินหว่านกลับให้ความสนใจเพียงจดหมายส่วนตัวฉบับหนึ่งเท่านั้น 


 


 


‘สวัสดี หลินหว่าน อยากเจอกับฉันหน่อยไหม’ 


 


 


สิ่งที่สะกิดความสนใจของหลินหว่านไม่ใช่แค่เพียงเนื้อหาของจดหมาย แต่เป็นเพราะคนที่ส่งจดหมายฉบับนี้ให้เธอคือ เสวี่ยลี่ 


 


 


เสวี่ยลี่เป็นนักเขียนบทที่มีชื่อเสียงในประเทศ บทภาพยนตร์ของเธอได้รับการยอมรับอย่างสูง ว่ามีคุณภาพ พล็อตเรื่องเข้มข้นชวนติดตาม มีสไตล์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้เธอยังร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอยู่เสมออีกด้วย หนังที่สร้างจากบทภาพยนตร์ของเธอก็มักจะเป็นที่นิยมและชื่นชอบจากผู้ชมเป็นอย่างมากจนไม่มีภาพยนต์ไหนทำเงินเทียบได้ 


 


 


เพียงแต่ไม่ทราบว่าเสวี่ยลี่ส่งจดหมายส่วนตัวฉบับนี้ให้เธอเพื่ออะไรกันแน่ หรือว่าอยากจะร่วมงานกัน 


 


 


นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ พอคิดถึงตรงนี้หลินหว่านตื่นเต้นขึ้นมา แต่พอมานึกดูแล้ว หลินหว่านก็ตกลงใจว่าจะกลับบริษัทก่อนแล้วจึงบอกเรื่องนี้กับอวิ๋นซี ปรึกษากับเธอแล้วค่อยตัดสินใจ 


 


 


พอกลับถึงบริษัท อวิ๋นซีชงกาแฟให้หลินหว่านแก้วหนึ่งเพื่อให้เธอคลายเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินลงบ้าง 


 


 


ส่งกาแฟให้หลินหว่านแล้วอวิ๋นซีก็มองหลินหว่าน “หว่านหว่าน เธอกลับมาแล้ว ตอนอยู่ต่างประเทศคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า” 


 


 


“อวิ๋นซี ฉันคิดถึงเธอจังเลย!” หลินหว่านรับถ้วยกาแฟมาแล้วพูดขึ้น นานแล้วที่ไม่ได้เจออวิ๋นซี หลินหว่านพอเห็นเธอก็ดีใจมากๆ เลย 


 


 


อวิ๋นซีพูดกับหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน บอกข่าวดีเธอเรื่องหนึ่งนะ เสวี่ยลี่อยากจะร่วมงานกับเธอล่ะ เสวี่ยลี่นัดว่าบ่ายวันนี้จะมาพบเธอที่บริษัท ฉันตอบรับแทนเธอไปแล้วนะ” 


 


 


หลินหว่านที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างคาดไม่ถึง “จริงเหรอ อวิ๋นซี” 


 


 


“ใช่แล้ว หว่านหว่าน รักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดีๆ ล่ะ เธอต้องรู้นะว่ามีคนตั้งเท่าไหร่อยากจะร่วมงานกับเสวี่ยลี่แต่ไม่มีโอกาสน่ะ ครั้งนี้เสวี่ยลี่ระบุมาเลยว่าจะพบเธอ เธอต้องทำตัวดีๆ ล่ะ” 


 


 


พอเห็นว่าอวิ๋นซีไม่ได้ล้อเล่น หลินหว่านก็พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว” จากนั้นบอกเรื่องที่เสวี่ยลี่ส่งจดหมายส่วนตัวถึงเธอในเวยปั๋วให้อวิ๋นซีฟัง 


 


 


อวิ๋นซีฟังแล้วยิ่งดีใจไปอีก เธอรู้สึกว่าโอกาสที่หลินหว่านกับเสวี่ยลี่จะได้ร่วมงานกันมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้น เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเสวี่ยลี่มุ่งเจาะจงมาที่หลินหว่าน 


 


 


ตอนบ่าย เสวี่ยลี่มาพบหลินหว่านที่บริษัทตรงตามเวลานัดหมาย 


 


 


“หลินหว่าน สวัสดีค่ะ” เสวี่ยลี่มีผมสั้นหยักศกสีน้ำตาล สวมแว่นตาทรงกลม เธอขยับแว่นขึ้นมองหลินหว่านอย่างสำรวจ จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีพออกพอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


เสวี่ยลี่ยกถ้วยกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “หลินหว่าน คุณอยากจะแสดงบทนางเอกเบอร์หนึ่งในหนังเรื่องใหม่ของฉันไหมคะ” 


 


 


นางเอก? หลินหว่านคิดไม่ถึงว่าเสวี่ยลี่จะตรงไปตรงมาขนาดนี้ เธอได้ยินแล้วยังตกใจจนสะดุ้งเฮือก 


 


 


ตอนนั้นเองเสวี่ยลี่พูดขึ้นอีกว่า “หนังเรื่องต่อไปของฉันเป็นแนวแฟนตาซีผจญภัย ฉันเห็นว่าคุณเหมาะกับภาพลักษณ์ของนางเอกในหนังเรื่องนี้มาก ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะลองดูไหมคะ” 


 


 


เสวี่ยลี่พูดขณะหยิบสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบทหนังออกมาจากกระเป๋าของเธอ ในนั้นมีเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ 


 


 


หลินหว่านพลิกอ่านดูเนื้อหาในนั้น ขณะที่ในใจตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เพียงแค่อ่านเรื่องย่อของหนังหลินหว่านก็ถูกโลกแห่งเวทมนต์ในหนังดึงดูดใจไว้แล้ว นอกจากนี้เนื้อเรื่องยังโลดโผนชวนติดตามอย่างมาก ตัวละครแต่ละตัวมีอุปนิสัยชัดเจน กล้ารักกล้าชัง 


 


 


พออ่านจบหลินหว่านมองเสวี่ยลี่แล้วพูดว่า “อาจารย์เสวี่ยลี่คะ ขอบคุณนะคะที่ชื่นชมและเชื่อมั่นในตัวฉัน ฉันชอบผลงานชิ้นนี้ของอาจารย์มากๆ เลย ฉันยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ค่ะ” 


 


 


เสวี่ยลี่ได้ฟังก็ยิ้มแล้วผงกศีรษะ กล่าวว่า “งั้นก็ดีแล้ว ฉันยังกลัวว่าเธอจะไม่รับปากซะอีกแน่ะ” 


 


 


“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกันคะ” หลินหว่านรีบพูดขึ้น การได้ร่วมงานกับเสวี่ยลี่เป็นเรื่องที่นักแสดงไม่รู้เท่าไหร่ต่างพากันแย่งชิงกันแทบตาย จะมีคนที่ไม่ตอบตกลงด้วยหรือไงกัน 


 


 


เสวี่ยลี่พูดอีกว่า “เนื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีผจญภัย เธอต้องรู้นะว่าในประเทศเราเทคนิคด้านนี้ยังไม่นับว่าดีเลิศนัก ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงจะถ่ายทำกันที่ต่างประเทศตลอดเรื่อง นอกจากนี้ยังต้องไปถ่ายทำนอกสถานที่อีกหลายประเทศทีเดียว การจะถ่ายทำเรื่องนี้ให้ดีได้นั้นพวกนักแสดงจะต้องเสียสละอย่างมาก” 


 


 


หลินหว่านฟังแล้วกลับแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์เสวี่ยลี่คะ คุณวางใจได้ค่ะ ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหนฉันก็จะตั้งใจแสดงบทบาทของฉันให้ดีที่สุดค่ะ” 


 


 


เสวี่ยลี่ได้ฟังก็พอใจอย่างมาก ดูท่าว่าเธอไม่ได้มองคนผิดไป หลินหว่านไม่เพียงจะมีภาพลักษณ์ที่เหมาะกับนางเอกในใจเธออย่างมาก นิสัยยังมุ่งมั่นอดทนตรงไปตรงมาและอ่อนน้อมถ่อมตนอีกด้วย ถูกใจเธอมากทีเดียว 


 


 


เสวี่ยลี่ให้ที่อยู่กับหลินหว่าน ให้เธอไปทดสอบหน้ากล้องที่ต่างประเทศ หลังการทดสอบหน้ากล้องเสร็จสิ้นลง จะมีการประกาศตัวทีมนักแสดงทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ทางอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นทางการ 


 


 


หลังจากเสวี่ยลี่กลับไปแล้ว หลินหว่านดีใจแทบเสียสติไปเลย เธอมาที่ห้องทำงานของอวิ๋นซีแบ่งปันข่าวดีนี้ให้อวิ๋นซีอย่างไม่รีรอ 


 


 


“นางเอกเบอร์หนึ่ง จริงเหรอ หว่านหว่าน ดีใจด้วยจริงๆ นะ” อวิ๋นซีได้ฟังแล้ว หลังจากความประหลาดใจผ่านไปแล้วก็อดรู้สึกดีใจไปกับหลินหว่านด้วยไม่ได้ 


 


 


“ใช่แล้ว แต่ว่าอวิ๋นซี ถ้าหากแสดงหนังเรื่องนี้ ฉันอาจจะไม่ได้เจอเธออีกนานเลยล่ะ” หลินหว่านพูดอีก 


 


 


“ทำไมล่ะ” อวิ๋นซีมองหลินหว่านอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


“เพราะว่าหนังเรื่องนี้ต้องถ่ายทำในต่างประเทศทั้งเรื่อง แต่จะต้องไปถ่ายทำนอกสถานที่ในอีกหลายประเทศนะสิ” หลินหว่านตอบ 


 


 


อวิ๋นซีฟังแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าในช่วงหลายเดือนที่หลินหว่านแสดงหนังเรื่องนี้อยู่ เธอจะไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลให้การแสดงตัว แฟนคลับและหัวข้อในการพูดคุยถึงหลินหว่านก็จะลดลง

 

 

 


ตอนที่ 83

 

ความเห็นขัดแย้ง

 


 


 


 


แต่ว่าเรื่องนี้เมื่อเทียบกับความนิยมหนังของเสวี่ยลี่แล้วก็ไม่เป็นอะไรเลย 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นบทนางเอกเบอร์หนึ่งของหนังแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ที่เสวี่ยลี่เป็นคนเขียนบทอีกด้วย ถ้าหากหลินหว่านเล่นเรื่องนี้ให้ดีๆ ย่อมจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเธอได้อย่างมากแน่นอน ถึงตอนนั้น 


 


 


หลินหว่านก็จะพูดได้เต็มปากว่าโด่งดังเป็นซุปตาร์ในวงการบันเทิงตัวจริง  


 


 


เมื่อนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็สนับสนุนเต็มที่ให้หลินหว่านแสดงหนังเรื่องนี้ และให้เธอเตรียมตัวให้พร้อม “ไม่เป็นไรหรอก หว่านหว่าน สู้ๆ นะ!” 


 


 


“พวกคุณกำลังคุยกันเรื่องอะไรน่ะ” ตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงของเซียวจิ่งสือก็ดังขึ้นที่ข้างหลังอวิ๋นซีกับ 


 


 


หลินหว่าน 


 


 


เซียวจิ่งสือเดินมาตรงหน้าหลินหว่าน พอเห็นว่าหลินหว่านมีสีหน้าดีใจ เขาก็ถามด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี “หว่านหว่าน มีอะไรถึงดีใจขนาดนี้ บอกให้ผมดีใจด้วยคนสิ” 


 


 


หลินหว่านเห็นท่าทางยิ้มแย้มของเซียวจิ่งสือแล้วก็รีบเล่าเรื่องที่เสวี่ยลี่เชิญเธอไปเล่นบทนางเอก 


 


 


เบอร์หนึ่งในหนังเรื่องใหม่ของเธอให้เขาฟัง 


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้ว ตอนแรกก็ดีใจแทนหลินหว่านเต็มที่ แต่พอได้ยินว่าหลินหว่านต้องไปถ่ายทำหนังเรื่องนี้ที่ต่างประเทศตลอดเรื่องสีหน้าก็เปลี่ยนไป “คุณจะบอกว่า คุณเล่นหนังเรื่องนี้ต้องอยู่ที่ต่างประเทศกี่เดือนนะ” 


 


 


“ใช่ค่ะ นี่เป็นหนังแฟนตาซีนี่ เทคโนโลยีของต่างประเทศสุดยอดกว่าในประเทศ ก็เลย…” หลินหว่านฟังแล้วอธิบายกับเซียวจิ่งสือ 


 


 


“ไม่ได้ หว่านหว่าน ปฏิเสธหนังเรื่องนี้ไป” ไม่รอให้หลินหว่านพูดจบ เซียวจิ่งสือก็พูดตัดบทขึ้น 


 


 


“ทำไมล่ะคะ” หลินหว่านฟังแล้ว ถามอย่างประหลาดใจ 


 


 


“ถ้าคุณไปถ่ายหนังที่ต่างประเทศผมจะเจอคุณได้ยังไงล่ะ ผมไม่อยากให้คุณห่างจากผม” เซียวจิ่งสือ 


 


 


ตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผล 


 


 


“เซียวจิ่งสือ คุณ…” หลินหว่านได้ฟังเหตุผลของเซียวจิ่งสือแล้วรู้สึกแปลกใจสุดๆ “คุณเป็นอย่างนี้ได้ยังไงคะ” 


 


 


“เพราะไม่อยากให้ฉันห่างจากคุณก็เลยให้ฉันปฏิเสธหนังเรื่องนี้ คุณถามความรู้สึกฉันแล้วหรือยังคะ” 


 


 


พอหายประหลาดใจ หลินหว่านก็รู้สึกเดือดขึ้นมาจึงย้อนถามเอากับเซียวจิ่งสือ 


 


 


“ประธานเซียวคะ หว่านหว่านได้รับความชื่นชมจากเสวี่ยลี่ นี่เป็นโอกาสของเธอ คุณจะห้ามหว่านหว่านได้ยังไงคะ” อวิ๋นซีที่ด้านข้างเห็นแล้วเข้ามาชี้แจงกับเซียวจิ่งสือ 


 


 


เซียวจิ่งสือนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นโอกาสของหลินหว่านจริงๆ แต่เขากลับทนไม่ได้ที่จะให้หลินหว่านอยู่ห่างเขาตั้งหลายเดือน 


 


 


“ประธานเซียว คุณต้องนึกถึงหว่านหว่านด้วยนะคะ การได้แสดงหนังของเสวี่ยลี่เป็นโอกาสที่ไม่ได้มาง่ายๆ หนังเรื่องนี้สำหรับหลินหว่านแล้วถือเป็นโอกาสดีมากๆ อย่างแน่นอน คุณจะให้หว่านหว่านทิ้งไปง่ายๆ ได้ยังไงกันคะ” อวิ๋นซีเห็นว่าเซียวจิ่งสือยังลังเลไม่ตัดสินใจก็เอ่ยปากโน้มน้าวอีก 


 


 


“แต่ว่า…” เซียวจิ่งสือยังไม่ยอมอีก 


 


 


นี่เป็นโอกาสที่ดีมากของหลินหว่าน แม้ว่าเซียวจิ่งสือไม่อยากให้เธอไปจากเขา แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลให้หลินหว่านปฏิเสธหนังเรื่องนี้ ละทิ้งโอกาสอันดีขนาดนี้ไป 


 


 


สุดท้ายเซียวจิ่งสือยอมโอ่นอ่อนให้ “งั้นก็ได้” 


 


 


“หว่านหว่าน ขอโทษนะ ผมแค่ไม่อยากให้คุณห่างจากผมนานเกินไป” พอคิดได้เซียวจิ่งสือก็พูดกับหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านเดิมทีหน้าบูดบึ้งอยู่ด้วยความโมโหที่เซียวจิ่งสือจะให้เธอปฏิเสธหนังเรื่องนี้ แต่ว่าพอได้ยิน 


 


 


คำขอโทษของเซียวจิ่งสือ เธอก็ใจอ่อนพูดว่า “เซียวจิ่งสือ ต่อไปคุณอย่าเป็นอย่างนี้อีกนะคะ” 


 


 


อวิ๋นซีเห็นแบบนี้ก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือฟังคำของเธอ ถอนใจอย่างโล่งออกแล้วจากไปเงียบๆ  


 


 


“ครับ เมื่อกี้ผมหุนหันพลันแล่นไปหน่อย หว่านหว่าน ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีก” เซียวจิ่งสือรีบพูดขึ้น 


 


 


สุดท้าย เซียวจิ่งสือออดซ้ายอ้อนขวา บวกคำขอโทษ หลินหว่านจึงค่อยหายโกรธ 


 


 


หลังจากนั้นสองวัน หลินหว่านขึ้นเครื่องไปต่างประเทศเพื่อทดสอบหน้ากล้อง โดยมีเซียวจิ่งสือไปกับเธอด้วย เนื่องจากต่อไปอาจไม่ได้เจอกับหลินหว่านเป็นเวลานาน ดังนั้นหลายวันนี้เซียวจิ่งสือจึงคอยวนเวียนอยู่ข้างกายเธอตลอด รวมทั้งการไปทดสอบหน้ากล้องคราวนี้ก็จะไปกับหลินหว่านด้วยเช่นกัน 


 


 


ก่อนหน้านี้หลินหว่านได้ทำความเข้าใจว่าบทหนังเรื่องนี้ของเสวี่ยลี่เป็นบทหนังที่ดัดแปลงมาจาก 


 


 


นวนิยายแฟนตาซีขายดีมากเรื่องหนึ่ง นวนิยายเรื่องนี้มีแฟนนิยายกลุ่มใหญ่จำนวนหนึ่ง หลินหว่านตั้งอกตั้งใจอ่านนวนิยายเรื่องนี้จนจบ เพื่อเตรียมพร้อมเต็มที่สำหรับการทดสอบหน้ากล้องครั้งนี้ 


 


 


เมื่อมาถึงสถานที่ทดสอบหน้ากล้อง หลินหว่านได้พบกับผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดง ผู้กำกับส่งบทให้เธอเล่มหนึ่ง ให้เธอลองแสดงฉากหนึ่งในนั้น 


 


 


ไม่มีฉากหลัง ไม่มีปูพื้นเรื่องให้ ไม่มีคนร่วมแสดงด้วย และไม่มีเอฟเฟคพิเศษอะไรเลย แต่หลินหว่านก็ยังแสดงฉากนี้อย่างตั้งใจตามความเข้าใจของเธอที่มีต่อบทบาทนี้ 


 


 


การแสดงของหลินหว่านทำให้ผู้กำกับพอใจมาก บุคลิกลักษณะของเธอกับนางเอกเบอร์หนึ่งเข้ากันได้ดีมาก พอคิดว่าหลินหว่านเป็นนักแสดงที่คนเขียนบทแนะนำให้เขาแบบเน้นๆ ดังนั้นเขาจึงตกลงให้ 


 


 


หลินหว่านได้บทนี้ไปทันที 


 


 


หลังกำหนดตัวแสดงของหลินหว่านแล้ว ผู้กำกับก็พูดกับเธอว่า “ดีมากเลย หลินหว่าน ไม่เสียทีที่เสวี่ยลี่แนะนำให้ผมด้วยตัวเอง คุณแสดงได้ดีมาก” 


 


 


“คุณชมเกินไปแล้วค่ะ อย่างไรก็ขอขอบคุณคุณที่ให้โอกาสนี้กับฉันนะคะ” หลินหว่านพูด 


 


 


ผู้กำกับฟังคำหลินหว่านแล้วยิ่งชอบใจกับท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตัวของเธอเข้าไปอีก เขาหัวเราะแล้วพูดกับเธอว่า “ฮ่าๆ คุณนี่ถ่อมตัวเกินไปจริงๆ อ้อ กำหนดเปิดกล้องหนังอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ตารางการถ่ายทำจะมีคนแจ้งคุณเอง คุณกลับไปก่อนนะ แล้วเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” 


 


 


หลังจากหลินหว่านทดสอบหน้ากล้องแล้วก็กลับประเทศพร้อมกับเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือรู้สึกดีใจมากกับเรื่องนี้ เขาหาเหตุมาหาหลินหว่านเสมอ ใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้ของพวกเขาให้มีค่าทุกเวลานาทีด้วยกัน 


 


 


สามวันต่อมา หนังเรื่องนี้ก็ประกาศรายชื่อนักแสดงนำทั้งหมดอย่างเป็นทางการทางอินเทอร์เน็ต เพียงชั่วขณะเวยปั๋วก็ปั่นป่วนเป็นมรสุมเข้า 


 


 


เนื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงบทจากนวนิยาย บรรดาแฟนนิยายทั้งหลายกำลังตั้งท่าเตรียมแขวะ ‘เอฟเฟกต์ราคาถูก’ ของในประเทศ แต่พอเห็นผู้อำนวยการสร้างแล้วต่างพากันเลือกที่จะสงบปากคำ 


 


 


เนื่องจากหนังเรื่องนี้มีทุนสร้างสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งถ่ายทำในต่างประเทศตลอดเรื่อง ทำให้แฟนนิยายทั้งหลายพากันวางใจ 


 


 


แต่พอประกาศตัวทีมนักแสดง เหล่าแฟนนิยายก็เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ทุกตัวละครที่นักแสดงแต่ละคนรับบท 


 


 


หลินหว่านในฐานะนางเอกเบอร์หนึ่งยิ่งเป็นที่ถกเถียงกันมาก 


 


 


นักอ่านหนึ่งพันคนย่อมมีแฮมเล็ตหนึ่งพันแบบฉันใด เช่นเดียวกันแฟนนิยายสิบล้านคนย่อมต้องมีนางเอกสิบล้านแบบฉันนั้น 


 


 


ในใจของแฟนนิยายแต่ละคนล้วนมีรูปลักษณ์ของนางเอกที่ตัวเขาเองเข้าใจและเห็นว่าเหมาะสม 


 


 


บ้างก็บอกว่าหลินหว่านมีรูปลักษณ์คล้ายกับที่ตัวเองคิดไว้ บ้างก็ถึงกับเห็นว่าหลินหว่านเป็นนางเอกในใจเขาเลยทีเดียว พวกเขารู้สึกว่าหลินหว่านเป็นนางเอกที่ไม่มีใครจะมาเทียบได้ ต่างก็คาดหวังและรอคอยอย่างยิ่งที่จะได้ชมการแสดงของหลินหว่าน 


 


 


แต่ก็มีบางคนที่เห็นว่าหลินหว่านแตกต่างจากรูปลักษณ์ของนางเอกในใจตัวเองมาก ไม่เหมาะสม 


 


 


เอาเสียเลย 


 


 


พวกเขาพากันไปด่ากราดที่เวยปั๋วของหลินหว่าน บอกให้เธอลาออกจากบทนางเอกแล้วถอนตัวจากหนังเรื่องนี้ซะ

 

 

 


ตอนที่ 84

 

ผู้กำกับมือปีศาจ

 


 


 


 


หลังประกาศตัวทีมนักแสดงนำแล้วไม่เพียงแต่หลินหว่านเท่านั้น แม้แต่นักแสดงบทบาทอื่นๆ ของหนังเรื่องนี้ต่างก็ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากบรรดาแฟนหนังสือมากบ้างน้อยบ้าง 


 


 


ขณะที่แฟนหนังสือกับชาวเน็ตส่วนใหญ่ไม่คาดหวังกับหนังเรื่องนี้ ฝ่ายผู้สร้างหนังก็ประกาศตัวผู้กำกับหนังเรื่องนี้ทางอินเทอร์เน็ต นั่นคือ ซวี่กวง 


 


 


เรียกว่าซวี่กวงเป็นผู้กำกับที่กำลังเป็นที่สนใจมาแรงในช่วงปีสองปีนี้เลยทีเดียว 


 


 


เขาอายุยังน้อยแต่มีความสามารถโดดเด่น ตั้งแต่เข้าวงการมามักจะมีผลงานออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นระยะ และผลงานทุกชิ้นล้วนแต่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเสียงชื่นชมมากมาย 


 


 


ซวี่กวงได้รับฉายาจากผู้คนภายนอกว่า ‘ผู้กำกับปีศาจ’ เนื่องจากเขาเป็นอัจฉริยะ ผลงานทุกชิ้นจึงมีสไตล์เฉพาะตัว หลายปีมานี้ด้วยผลงานแต่ละชิ้นของเขาไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับบรรดาผู้ชม ทั้งยังได้รับรางวัลจากวงการภาพยนตร์อีกหลายรางวัลด้วย 


 


 


แต่ว่าในวงการภาพยนตร์ เรื่องที่คุ้นหูเป็นที่รู้กันดียิ่งกว่าความเป็นอัจฉริยะของเขาก็คือ อุปนิสัยของเขา 


 


 


ข่าวลือว่าซวี่กวงไม่ได้เจ้าอารมณ์เหมือนผู้กำกับคนอื่นๆ แต่เขาจู้จี้จุกจิกเอาเรื่องมากๆ  


 


 


พูดให้ถูกก็คือเขาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ[1] พูดแบบไม่น่าฟังก็คือพวกเรื่องมากคอยจับผิดในเรื่องเล็กๆ น้อย 


 


 


เคยมีนักแสดงนำหนังเรื่องหนึ่งของซวี่กวงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ครั้งหนึ่งตอนเขาถ่ายหนังซวี่กวงไม่พอใจฉากฉากหนึ่งของหนังจึงถ่ายซ้ำไปยี่สิบเอ็ดครั้ง วันนั้นเขาแทบจะเป็นบ้าเพราะซวี่กวง 


 


 


แต่ว่านักแสดงคนนี้เองที่ภายหลังได้รับรางวัลในระดับดารานำยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องนี้เอง ‘กิตติศัพท์’ความจับผิดเล็กจับผิดน้อยของซวี่กวงนี้จึงกลายเป็นที่รู้กันไปทั่วโลก 


 


 


ข่าวที่ว่าซวี่กวงเป็นผู้กำกับพอประกาศออกไป อินเทอร์เน็ตก็เหมือนระเบิดลง 


 


 


[จริงเหรอ สไตล์ของผู้กำกับซวี่ไม่เหมือนใคร ไม่รู้ว่าเขาจะถ่ายหนังแฟนตาซีออกมาเป็นไงน่ะสิ ชักอยากรอดูหนังเรื่องนี้แล้ว] 


 


 


[ไม่ปลื้มทีมนักแสดงนำของหนังเรื่องนี้ แต่หวังว่ามีผู้กำกับปีศาจเข้ามาจะช่วยชีวิตหนังเรื่องนี้ได้บ้างนะ] 


 


 


[น่าสงสารนักแสดงทั้งก๊กเลย…] 


 


 


การเข้าร่วมทีมของซวี่กวงช่วยเพิ่มความสนใจของชาวเน็ตที่มีต่อหนังเรื่องนี้ จากนั้นตามมาด้วยการประกาศตัวผู้เขียนบทและทีมงานถ่ายทำของหนังเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ  


 


 


ผู้เขียนบทเป็นนักเขียนบทหญิงมือหนึ่ง…เสวี่ยลี่ ส่วนทีมงานถ่ายทำเป็นทีมงานเอฟเฟ็กต์จากฮอลลีวูด บวกกับผู้กำกับปีศาจอย่างซวี่กวง ทีมงานถ่ายทำของหนังเรื่องนี้เรียกว่าได้สมบูรณ์แบบมากทีเดียว 


 


 


เสียงวิจารณ์จากชาวเน็ตบางส่วนที่รับไม่ได้กับทีมนักแสดงนำและทีมงานถ่ายทำลดน้อยลงไปมาก แต่ก็ยังมีแฟนหนังสือบางส่วนยังไม่ปลื้มกับตัวนักแสดงนำ…ไม่ปลื้มหลินหว่าน 


 


 


[ไม่เห็นด้วยอย่างแรงที่ให้หลินหว่านเป็นนางเอก หลินหว่านช่วยไสหัวไปจากหนังเรื่องนี้ด้วย ขอบคุณ] 


 


 


แฟนหนังสือคนหนึ่งโพสต์ข้อความต่อต้านหลินหว่านลงเวยปั๋ว กลายเป็นคำค้นหายอดนิยมขึ้นมาเพราะมีอันซิงกดถูกใจ 


 


 


นับตั้งแต่ที่โรงแรม อันซิงได้รู้ว่าเฉิงเฉิงมีใจให้กับหลินหว่านแล้ว อันซิงก็เก็บกักความโมโหที่มีต่อหลินหว่านเอาไว้แน่นอกไม่มีทางระบายออก 


 


 


พอเห็นข่าวที่หลินหว่านจะได้เล่นเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งในหนังของซวี่กวง เธอก็ยิ่งริษยาจนแทบคลั่ง 


 


 


อันซิงสู้หลินหว่านไม่ได้ตรงไหนกัน ทำไมไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิงหรือว่าในใจของเฉิงเฉิง เธอจึงสู้หลินหว่านไม่ได้  


 


 


โดยเฉพาะบทนางเอกของหนังเรื่องนี้ยังไม่ทันไรหลินหว่านก็ได้มันมาแล้ว 


 


 


อันซิงเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตแล้วความริษยาก็พุ่งปรี๊ดขึ้นจุกอก 


 


 


ในวงการมักมีข่าวอันซิงกับหลินหว่านกินเกาเหลากันหลุดออกมาเป็นครั้งคราว แต่อย่างน้อยเปลือกหน้าทั้งสองคนยังรักษาท่าทีเป็นเพื่อนกันไว้ ตอนนี้อันซิงกดถูกใจโพสต์ต่อต้านหลินหว่านในเวยปั๋วจึงทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจ 


 


 


แฟนคลับของหลินหว่านและชาวเน็ตพากันมาที่เวยปั๋วของอันซิงด่าเธอว่าหน้าเนื้อใจเสือ แทงหลินหว่านข้างหลัง แฟนคลับของอันซิงเห็นแล้วก็ด่ากลับทันที 


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องจิกกัดกันไม่เลิกบนสังคมออนไลน์ 


 


 


ตอนเกิดเรื่องพวกนี้ หลินหว่านกำลังอ่านบทอยู่ที่บ้าน 


 


 


ต้นฉบับนิยายของหนังเรื่องนี้เป็นนวนิยายแฟนตาซีระดับคลาสสิกเรื่องหนึ่ง มีแฟนหนังสือในประเทศมากมาย ดังนั้นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงบทจากนวนิยายเรื่องนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นลิขสิทธิ์หนังระดับประเทศเลยทีเดียว 


 


 


สำหรับประเด็นนี้นั้นดูจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนังเรื่องนี้บนอินเทอร์เน็ตก็พอจะเห็นได้ชัด 


 


 


ดังนั้นหลินหว่านจึงให้ความสำคัญกับหนังเรื่องนี้อย่างมาก ตอนเช้าหลังจากหลินหว่านถ่ายโฆษณาเสร็จไปหนึ่งชิ้น ตอนบ่ายเธอก็อยู่ที่บ้านอ่านบทอยู่เงียบๆ คนเดียว 


 


 


“ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง” ทันใดนั้น หลินหว่านได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น 


 


 


หลินหว่านวิ่งไปเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นอวิ๋นซีก็อุทานอย่างแปลกใจ “อวิ๋นซี ทำไมเธอมานี่ได้” 


 


 


“หว่านหว่าน บทเธออ่านไปถึงไหนแล้ว” 


 


 


พออวิ๋นซีเข้ามาแล้ว เห็นบทหนังของหลินหว่านวางทิ้งอยู่บนโซฟาก็ถาม 


 


 


“ฉันอ่านไปพอสมควรแล้วล่ะ” หลินหว่านตอบ 


 


 


“ดีมากเลย หว่านหว่าน” อวิ๋นซีเอ่ยปากชม 


 


 


แต่ว่า คำพูดต่อมาของเธอกลายเป็นว่า “หว่านหว่าน เธอก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้สำคัญกับเธอมากขนาดไหน ดังนั้นนะ เพื่อให้เธอได้ตั้งจิตสมาธิอ่านบทจะได้แสดงบทนางเอกนี่ให้เลิศ ฉันตัดสินใจว่า…” 


 


 


ตัดสินใจอะไร หลินหว่านมองอวิ๋นซีอย่างสงสัย 


 


 


อวิ๋นซีหยิบมือถือของหลินหว่านบนโซฟาขึ้นมา แล้วไปที่ห้องของหลินหว่านกวาด iPad คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดออกมา 


 


 


“อวิ๋นซี นี่เธอจะทำอะไรน่ะ” หลินหว่านเห็นอาการอวิ๋นซีแล้วดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เธอถามขึ้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี 


 


 


“อะแฮ่ม ที่ฉันทำนี่ก็เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องถูกรบกวนจากคำวิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตยังไงล่ะ” อวิ๋นซีอธิบาย แล้วหอบเครื่องมือสื่อสารที่เธอกวาดเก็บมาไว้กับอก “เพื่อไม่ให้กวนใจเธอ ของพวกนี้ระหว่างนี้ก็เอาไว้กับฉันก่อน ส่วนเธอก็อ่านบทให้ดีๆ ล่ะ จะได้พร้อมสำหรับหนังเรื่องนี้ เข้าใจหรือยังล่ะ” 


 


 


“อวิ๋นซี…” หลินหว่านฟังแล้วมองอวิ๋นซีด้วยสายตาจิกปนโศก 


 


 


“หว่านหว่าน นี่ฉันหวังดีกับเธอหรอกนะ บนอินเทอร์เน็ตตอนนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เธอมากเกินไป ฉันกลัวว่าเธออ่านแล้วจะส่งผลกับจิตใจเธอน่ะ” อวิ๋นซีแจกแจง 


 


 


คำพูดบนอินเทอร์เน็ตขนาดเธอเห็นยังอดโมโหฮึดฮัดแทนไม่ได้เลย อย่าว่าแต่เจ้าตัวเองเลย เธอกลัวว่าหลินหว่านพอเห็นเข้าจะคิดมากทำให้ส่งผลต่อการเตรียมบทของเธอ 


 


 


หนังเรื่องนี้สำคัญสำหรับหลินหว่านมาก เธอไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด 


 


 


“อวิ๋นซี…เธอเห็นว่าฉันเหมือนคนที่จะอ่อนไหวไปกับเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ” หลินหว่านพูดอย่างระอาใจ 


 


 


หลังจากถูกทำให้เสียโฉมด้วยฮอร์โมน บนโลกใบนี้ก็ไม่มีอะไรจะทำลายเธอได้อีก 


 


 


คำพูดบนอินเทอร์เน็ตนั้นก่อนอวิ๋นซีจะมาถึง หลินหว่านได้เห็นแล้วเธอไม่ใส่ใจกับมันนัก 


 


 


จิตใจของเธอไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ตอนนี้เธอเข้มแข็งถึงขนาดที่เสียงข่าวลือจากภายนอกไม่อาจทำร้ายเธอได้อีก 


 


 


อันซิงก็ดี ชาวเน็ตก็เถอะ หลินหว่านจะไม่เศร้าเสียใจหรือโมโหหุนหันเพราะพวกเขาอีกแล้ว 


 


 


หลินหว่านอ้อนวอนอวิ๋นซี อวิ๋นซีมองหลินหว่านแล้วพูดออกมาในที่สุด “เอาเถอะ หลินหว่าน อีกสิบวันข้างหน้าหนังเรื่องนี้จะถ่ายฟิตติ้งกัน กว่าจะถึงตอนนั้นฉันจะดูแลอุปกรณ์พวกนี้ให้เธอเอง เธอต้องตั้งใจอ่านบทให้ดี ตั้งใจเข้าให้ถึงบทบาทเข้าใจไหม” 


 


 


หลินหว่านได้แต่ยอมแพ้ 


 


 


สุดท้าย อวิ๋นซีเก็บกวาดอุปกรณ์สื่อสารของหลินหว่านไปทั้งหมด แล้วออกจากบ้านเธอไป 

 

 

 


ตอนที่ 85

 

ถ่ายฟิตติ้ง

 


 


 


 


หลังจากอวิ๋นซียึดอุปกรณ์สื่อสารของหลินหว่านไปหมด หลินหว่านมักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง 


 


 


แต่พอนึกถึงการถ่ายฟิตติ้งในอีกสิบวันข้างหน้าแล้ว หลินหว่านก็สงบใจลงได้หันมาศึกษาบทอย่างตั้งใจ 


 


 


ขณะที่บนอินเทอร์เน็ต หลังอันซิงกดถูกใจโพสต์นั้นแล้วก็ถูกก่นด่าจากชาวเน็ตและบรรดาแฟนคลับ ทำให้ทางทีมงานสตูดิโอของอันซิงรีบส่งคำแถลงออกมาชี้แจงว่า เรื่องที่อันซิงกดถูกใจนั้นที่จริงแล้วเกิดจากความผิดพลาดของทีมงานคนหนึ่งที่พลั้งมือกดไปไม่ใช่อันซิงเป็นคนทำ นอกจากนี้คำแถลงยังบอกว่าเหตุการณ์นี้เป็นความเข้าใจผิดล้วนๆ อันซิงกับหลินหว่านเป็นเพื่อนกันไม่ได้มีข่าวเกาเหลาแต่อย่างใด 


 


 


ส่วนอันซิงที่กำลังโมโหของขึ้นอยู่แต่ก็ต้องจำยอมต่อเหตุการณ์นี้ อีกทั้งถูกบังคับให้ส่งต่อแถลงการณ์ฉบับนี้และยังต้องขอโทษหลินหว่านด้วย ถึงแม้จะเป็นการทำไปแบบลวกๆ ก็จำเป็นต้องทำ 


 


 


วันรุ่งขึ้น ขณะที่หลินหว่านอ่านบทอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังมา เธอเปิดประตูออกก็พบว่าเป็น 


 


 


เซียวจิ่งสือ 


 


 


“เซียวจิ่งสือ ทำไมคุณ…” หลินหว่านอุทานอย่างประหลาดใจ 


 


 


ไม่รอให้หลินหว่านพูดจบ เซียวจิ่งสือก็พูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “หว่านหว่าน บ่ายนี้เราออกไปเที่ยวกันเถอะ คุณยังจำร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมพูดถึงคราวที่แล้วได้ไหม อีกเดี๋ยวผมพาคุณไปกินข้าวที่นั่นกันดีไหม…” 


 


 


เมื่อครู่เซียวจิ่งสือโทรหาหลินหว่าน คิดจะนัดเธอทานข้าวด้วยกันแต่กลายเป็นอวิ๋นซีรับโทรศัพท์เสียนี่ 


 


 


เธอบอกเขาว่า เพื่อให้หลินหว่านได้เข้าถึงบทบาทให้ดียิ่งขึ้น และไม่ถูกรบกวนจากคำวิจารณ์บนอินเทอร์เน็ต เธอจึงยึดอุปกรณ์สื่อสารของหลินหว่านมาทั้งหมดจนกว่าจะถึงวันถ่ายฟิตติ้ง 


 


 


ดังนั้นเองเซียวจิ่งสือจึงต้องมาที่บ้านหลินหว่านเพื่อรับเธอไปทานข้าวด้วยกัน 


 


 


หลินหว่านพอฟังเหตุผลที่เซียวจิ่งสือมาหาเธอแล้วก็ส่ายศีรษะ “ไม่ได้ค่ะเซียวจิ่งสือ ฉันยังต้องอ่านบทอยู่ที่บ้านนะ คุณจะทานข้าวก็ไปเองเถอะค่ะ” 


 


 


“หว่านหว่าน บทน่ะไว้อ่านทีหลังก็ได้ พวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะนะ” เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านไม่ยอมไปก็เข้ามาออดอ้อนพร้อมรอยยิ้มประจำตัว 


 


 


“ไม่ได้ค่ะเซียวจิ่งสือ อีกไม่กี่วันก็จะถ่ายฟิตติ้งแล้วฉันยังต้องอ่านบทนะ” หลินหว่านเห็นเซียวจิ่งสือมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายเว้าวอนก็ได้แต่พูดอย่างอ่อนใจ 


 


 


ตอนถ่ายฟิตติ้ง นักแสดงต้องเข้าถึงบทบาทที่ตัวเองแสดง หลายวันมานี้หลินหว่านจึงต้องตัดขาดสิ่งรบกวนจากภายนอกทั้งหมด ทำความเข้าใจกับสภาพจิตใจความนึกคิดของตัวละคร เพื่อให้เข้าถึงบทบาทมากยิ่งขึ้น 


 


 


“อืม…นั่นสินะ แต่หว่านหว่าน ไหนๆ ผมมาถึงนี่แล้วคุณก็ทานข้าวกับผมสักมื้อนะ” 


 


 


เซียวจิ่งสือก็เข้าใจถึงความสำคัญของหนังเรื่องนี้เช่นกัน เขาคิดดูแล้วก็ยอมอ่อนข้อให้หลินหว่าน 


 


 


“ไม่ได้…” หลินหว่านปฏิเสธ 


 


 


สุดท้ายหลินหว่านทนลูกตื้อของเซียวจิ่งสือไม่ไหวจึงยอมตกลงออกไปกินข้าวกับเขา 


 


 


“…งั้น ก็ได้ แค่มื้อเดียวนะคะเซียวจิ่งสือ” 


 


 


กินข้าวเสร็จ เซียวจิ่งสือก็ส่งหลินหว่านกลับบ้าน 


 


 


พอคิดว่าหลังจากหนังเริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการแล้ว เขาคงไม่ได้พบหน้าหลินหว่านง่ายๆ แบบนี้อีก เซียวจิ่งสือก็มองดูหลินหว่านนานอีกนิดอย่างไม่อาจละสายตาได้ 


 


 


แต่เซียวจิ่งสือรู้ดีว่าหนังเรื่องนี้สำคัญต่อหลินหว่านแค่ไหน หลังจากนี้เขาจึงไม่ได้มารบกวนหลินหว่านอีก เขาต้องฝึกที่จะอยู่โดยไม่มีหลินหว่านให้ได้ 


 


 


เวลาผ่านไป ชาวเน็ตที่ตะลุมบอนหมู่กันบนอินเทอร์เน็ตเพราะหนังเรื่องนี้ต่างก็เงียบเสียงกันไปแล้ว ส่วนหลินหว่านก็เตรียมตัวก่อนการถ่ายฟิตติ้งอยู่ที่บ้านอย่างสงบ 


 


 


สิบวันผ่านไป วันถ่ายฟิตติ้งมาถึง 


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีมาถึงสถานที่ถ่ายฟิตติ้งด้วยกัน การถ่ายทำทั้งหมดจะอยู่ที่ต่างประเทศ แต่การถ่ายฟิตติ้งจะถ่ายทำในประเทศ 


 


 


ที่กองถ่ายหลินหว่านได้เห็นนักแสดงนำหลายคนมาถ่ายฟิตติ้ง เธอเข้าไปทักทายพวกเขาทีละคน 


 


 


ดารานำชายมีท่าทีเป็นมิตรมาก พอเห็นหลินหว่านก็เข้ามาทักทายเธออย่างอบอุ่น “หลินหว่าน สวัสดีครับ ผมชื่อเผยอี้” 


 


 


“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินหว่าน” หลินหว่านทักตอบ 


 


 


“คุณดูสวยกว่าในรูปถ่ายอีกนะครับ” เผยอี้สำรวจดูหลินหว่านรอบหนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ขอบคุณค่ะ…” 


 


 


หลินหว่านพูดคุยถามไถ่กับเขาตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวร่ำลากันเตรียมตัวไปแต่งหน้าเปลี่ยนชุด 


 


 


ตอนนั้นเองด้านหน้ามีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำธรรมดามากๆ รูปร่างสูงเพรียว มีเสน่ห์ชวนมอง ดูๆ แล้วยังเป็นเด็กหนุ่ม 


 


 


หลินหว่านกำลังนึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครในหนังแสดงบทอะไร ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากที่ก้มศีรษะอยู่เล็กน้อย เขามองมาทางหลินหว่านเธอจึงเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจน 


 


 


เป็นครั้งแรกที่หลินหว่านได้เห็นซวี่กวงตัวเป็นๆ เธอรู้สึกตื่นเต้นและดีใจอยู่บ้าง จากนั้นก้าวเข้าไปทักทายเขา “ผู้กำกับซวี่คะ สวัสดีค่ะ” 


 


 


ซวี่กวงเห็นหลินหว่านแล้ว เขามองเธอแวบหนึ่งแล้วส่งเสียง “อื้อ” ง่ายๆ จากนั้นเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หยุดแวะที่ไหนอีก คิดไม่ถึงว่าซวี่กวงตัวจริงจะเย็นชาขนาดนี้ หลินหว่านมองดูเงาหลังซวี่กวงพลางคิดอย่างอึ้งๆ อยู่บ้าง 


 


 


จากนั้นหลินหว่านก็นึกขึ้นได้ ซวี่กวงนั้นนอกจากจะได้สมญาว่าเป็น ‘ผู้กำกับปีศาจ’ กับกิตติศัพท์ความขี้จุกจิกของเขาแล้ว เรื่องอื่นล้วนแต่เป็นความลับทั้งหมด 


 


 


รวมไปถึงเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขาด้วย บนอินเทอร์เน็ตก็หาไม่เจอข้อมูลอะไรเลย 


 


 


พอนึกถึงเอกลักษณ์พิเศษของเขาเรื่องความขี้จับผิดกับท่าทีเย็นชาเมื่อครู่แล้ว หลินหว่าน 


 


 


อดคิดไม่ได้ว่า ต่อไปเธออยู่ในกองถ่ายกลัวว่าคงต้องระวังจนตัวลีบกับเขาเป็นแน่ 


 


 


ขณะที่หลินหว่านมองเหม่ออยู่นั้นไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังเธอมีสายตาของคนหนึ่งจ้องมองเธออยู่ตลอด 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยมองสำรวจหลินหว่านจากด้านหลังอยู่เงียบๆ ในใจคิดว่า นี่คือผู้หญิงที่เซียวจิ่งสือชอบนักหนางั้นเหรอ รูปร่างหน้าตาธรรมดา บุคลิกท่าทางก็งั้นๆ อวี๋เสวี่ยเวยไม่เห็นว่าเธอจะมีอะไรพิเศษที่ดึงดูดใจคนตรงไหนที่ทำให้เซียวจิ่งสือสนใจเธอได้ขนาดนั้น 


 


 


ก่อนหน้านั้นเธอคิดไม่ตกว่าตัวเองมีทั้งฐานะทางบ้านกับรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ทำไมเซียวจิ่งสือจึงไม่ยอมเหลียวมองเธอบ้างเลย 


 


 


บางครั้งเธอถึงกับใช้ความรู้สึกเอ็นดูของพ่อเขาที่มีต่อเธอจัดฉากให้เขากับเธอได้พบกันตามลำพัง 


 


 


เซียวจิ่งสือก็ยังเย็นชากับเธออยู่ดี ไม่ยินดีแม้แต่จะเอ่ยปากพูดกับเธอ 


 


 


ตอนนี้พอได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่ไม่โดดเด่นอะไรของหลินหว่าน อวี๋เสวี่ยเวยก็ยิ่งไม่เข้าใจหนักขึ้น 


 


 


หลินหว่านผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีกันแน่นะ 


 


 


พอได้สติหลินหว่านก็ไปที่ห้องแต่งตัว เตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้า เพื่อถ่ายฟิตติ้งต่อไป 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยเห็นเงาหลังหลินหว่านที่รีบร้อนจากไปก็ลังเลเล็กน้อยแล้วตามไปด้วย 


 


 


เป็นครั้งแรกที่หลินหว่านได้แสดงหนังแนวแฟนตาซีผจญภัย เธอรู้สึกแปลกใหม่มากๆ  


 


 


ตอนเข้าฉากมีอุปกรณ์มากมายที่เป็นเอฟเฟกต์เฉพาะทำให้หลินหว่านได้เปิดหูเปิดตาอย่างมาก วัสดุอุปกรณ์และน้ำยาชนิดต่างๆ ที่นักแสดงใช้ในการแต่งตัวแต่งหน้าล้วนแต่จัดทำขึ้นพิเศษเป็นการเฉพาะ 


 


 


หลินหว่านสำรวจดูนั่นนี่รอบๆ สถานที่ถ่ายทำจนตาลายไปหมด เธอรู้สึกสนใจกับสิ่งของเหล่านี้เป็นพิเศษ

 

 

 


ตอนที่ 86

 

บทบาท

 


 


 


 


“หลินหว่าน ครั้งนี้เธอโชคดีได้รับบทนางเอกเบอร์หนึ่ง เธอต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดีล่ะ อีกอย่างผู้กำกับคือซวี่กวงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับปีศาจเชียวนะ เขาทำงานเข้มงวดและละเอียดมากๆ บางครั้งแค่ถ่ายฉากเดียวก็เอาจริงจนเป็นบ้าขึ้นมาได้ แต่ถึงแม้เขาจะอารมณ์ขึ้นง่ายแต่เป็นคนมีฝีมือ น่าเรียนรู้ด้วยมากๆ ครั้งนี้ได้ทำงานกับเขาเจอกับเรื่องอะไรเธอก็อย่าหุนหันไปล่ะ ฉันว่านะคราวนี้ถ้าไม่เกินความคาดหมายละก็เธอได้ดังแน่นอน” อวิ๋นซีช่วยหลินหว่านเก็บของไปพลางพูดไปพลาง เธอให้ความสำคัญกับโอกาสครั้งนี้มาก 


 


 


หลินหว่านได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับซวี่กวงตั้งแต่แรก เธอคิดว่าประสบการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหนังเรื่องนี้จะส่งผลต่อหลินหว่านอย่างมาก ทำให้สถานะของเธอในวงการบันเทิงมั่นคงยิ่งขึ้น ดังนั้นในเมื่อหลินหว่านมาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องอดทนศึกษาเรียนรู้ให้มาก ต้องทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จให้ได้ 


 


 


“ฉันทราบค่ะ ความเข้มงวดของผู้กำกับซวี่กวงฉันก็ได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่ฉันดีใจมากที่ได้โอกาสครั้งนี้ และจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้จากผู้กำกับซวี่กวงด้วย ดังนั้นเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันรู้จักนิสัยเขา ถึงเขาจะด่าว่ายังไงฉันก็จะรับฟังเอาไว้ก็แล้วกัน” หลินหว่านพลิกหนังสือในมือพลางพูดเสียงเรียบ 


 


 


“ฉันแค่เป็นห่วงว่าเธอจะทนกับนิสัยเจ้าระเบียบแบบนั้นของเขาไม่ไหว ในการทำงานบางครั้งต้องเจอกับอุปสรรคบ้าง แต่ครั้งนี้โชคดีที่เธอได้เป็นนางเอก ฉันว่านะอันที่จริงได้ผู้กำกับอย่างซวี่กวงก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง เขาจะสอนเธอว่าต้องแสดงอย่างไรล่ะ” อวิ๋นซีพูดโดยไม่เงยหน้า 


 


 


ท่าทีของหลินหว่านต่อการแสดงทำให้อวิ๋นซีสบายใจมาก ขอแค่คนอื่นไม่สร้างเรื่องราวมากความ หลินหว่านก็จะปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาท ตั้งใจศึกษาเรียนรู้ นี่เป็นสิ่งที่อวิ๋นซีชื่นชมหลินหว่านมาก 


 


 


อวิ๋นซีกับหลินหว่านไปกินข้าวด้วยกัน หลังจากถ่ายฟิตติ้ง ต้องรีบเตรียมตัวสำหรับการถ่ายจริงแล้ว 


 


 


“หลินหว่าน ทางกองถ่ายส่งข่าวมาว่าเดี๋ยวจะถ่ายฟิตติ้งแล้ว พวกเรารีบกินกันเถอะ” อวิ๋นซีอ่านข้อความจากมือถือแล้วรีบเร่งมือกินให้เร็วขึ้น 


 


 


“ฉันอิ่มแล้ว เธอก็เร็วหน่อยเถอะ กินเสร็จจะได้รีบไปแล้วเดี๋ยวก็สายหรอก” หลินหว่านพูดขณะวางตะเกียบในมือลง 


 


 


ชามข้าวตรงหน้าหลินหว่านยังเหลืออีกตั้งเยอะ เธอกินไปแค่ไม่กี่คำเอง หลายวันนี้หลินหว่านต้องรักษารูปร่างจึงกินน้อยลงมาก 


 


 


ทั้งสองทานข้าวเสร็จก็ตรงไปยังสถานที่ถ่ายฟิตติ้ง แล้วพบว่ามีคนมาเตรียมตัวอยู่เต็มไปหมด หลินหว่านรีบเดินเข้ามา 


 


 


“ขอโทษค่ะ เมื่อครู่พวกเรากำลังทานข้าว จึงมาช้าไป ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ” หลินหว่านยกมือขึ้นไหว้พลางก้มศีรษะขอโทษขอโพยไม่หยุด 


 


 


หลินหว่านมักเข้มงวดกับตัวเองในการทำงานเสมอ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเข้างานสาย ถ้าหากเธอล่าช้าก็มักจะรู้สึกผิดอย่างมาก 


 


 


“หลินหว่าน ไม่เป็นไรครับ แต่คราวหน้าอย่าสายก็แล้วกัน หนังเรื่องนี้คุณเป็นนางเอกเบอร์หนึ่งคุณเป็นคนสำคัญสุด แล้วคุณก็รู้นิสัยผู้กำกับดีนี่ ถ้าถูกเขาด่าเอาผมว่าคุณคงรู้สึกไม่ดีนัก เอาล่ะไปเตรียมตัวถ่ายกันเถอะ” ผู้ช่วยผู้กำกับพูดกับหลินหว่านแล้วยกมือตบไหล่เธอเบาๆ  


 


 


หลินหว่านรู้ว่าเธอเป็นนางเอกของหนังเรื่องนี้ ทีมงานจึงให้ความสำคัญกับเธอที่สุด อีกทั้งตัวละครนี้ยังมีนิสัยสูงสง่าเย็นชาอย่างมาก ถ้าเธอแสดงได้ดีแล้วละก็ต้องดึงดูดแฟนหนังได้แน่นอน 


 


 


“ค่ะ ขอบคุณนะคะ ฉันขอไปเตรียมตัวก่อน” หลินหว่านพูดจบก็ไปแต่งหน้ากับอวิ๋นซี 


 


 


หลินหว่านสวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นจนกลัวว่าตัวเองจะล้ม อวิ๋นซีคอยประคองอยู่ด้านข้าง เพียงครู่เดียวหลินหว่านก็จัดการกับชุดที่สวมใส่ได้อย่างสบาย 


 


 


หลินหว่านเดินมาตรงหน้าทีมทำงาน แม้ด้านข้างจะยังมีนักแสดงเหมือนกับเธออีก แต่หลินหว่านโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ เธอสวมชุดยาวแล้วสวยราวกับนางเซียน เหมือนผีเสื้อที่โบยบินอยู่กลางทุ่งหญ้า 


 


 


“หลินหว่านสวยจริงๆ เลย ผู้กำกับนี่ตาแหลมจริงๆ ตอนนี้แค่ยังไม่รู้ว่าการแสดงเธอเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น ถ้าครั้งนี้เธอเล่นบทที่ทุกคนตั้งตารอนี่ให้ดีละก็ดังเป็นพลุแตกได้เลยนะ” ทีมงานคนหนึ่งที่ด้านข้างพูดอย่างดีใจ สีหน้าอิจฉาปนปลื้ม 


 


 


“งั้นสิ หน้าตาแบบนี้ไม่เป็นดาราก็น่าเสียดายไปหน่อย พอแต่งหน้าแล้วยิ่งสวยไปอีก ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังรู้สึกว่าเธอสวยมากเลย” อีกคนหนึ่งจ้องมองหลินหว่านไม่วางตา 


 


 


หลินหว่านแม้จะยืนอยู่รอบนอกของกลุ่มคน แต่กลับดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมากไว้ได้ 


 


 


“มาสิ หลินหว่าน ถึงคิวเธอถ่ายฟิตติ้งแล้ว” ผู้ช่วยผู้กำกับร้องเรียกหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านยกกระโปรงยาวขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ ท่ามกลางสายตาผู้คน ใต้แสงไฟสาดส่องเธอดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก 


 


 


หลินหว่านที่คุ้นเคยกับงานเป็นอย่างดีถ่ายภาพฟิตติ้งเสร็จอย่างรวดเร็ว เธอพลิกดูภาพถ่ายที่ได้แล้วยิ้มอย่างพอใจ 


 


 


ซวี่กวงเดินเข้ามาดูภาพถ่ายฟิตติ้งของหลินหว่าน ใบหน้าภูเขาน้ำแข็งนั่นค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขามองดูหลินหว่านด้วยสายตาชื่นชมแล้วเดินผละจากไป นี่เป็นสีหน้าท่าทีของผู้กำกับซวี่กวง 


 


 


ที่ปรากฏไม่บ่อยนัก 


 


 


หลินหว่านตั้งท่าว่าจะพูดคุยกับผู้กำกับซวี่กวงสักหน่อย แต่พอเห็นผู้กำกับหมุนตัวเดินจากไปจึงไม่มีโอกาส หลินหว่านเคยชินเสียแล้ว ในสายตาเธอซวี่กวงเป็นคนเย็นชาเอามากๆ เลย 


 


 


ตอนนั้นเองอวิ๋นซีไม่รู้ว่าเดินมาจากที่ไหน มาถึงตรงหน้าเธอด้วยท่าทางดีอกดีใจ 


 


 


“หลินหว่าน เมื่อกี้ฉันเจอกับผู้กำกับซวี่กวงตรงมุมโน้นรู้ไหมเขาพูดกับฉันว่าอย่างไร เขาบอกว่าภาพถ่าย 


 


 


ฟิตติ้งของเธอวันนี้ดูดีมากเลย ผู้กำกับซวี่กวงน่ะน้อยนักที่จะพูดชมใคร ดูท่าว่าเขาชื่นชมเธออยู่นะต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ให้ดีล่ะ” อวิ๋นซีพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ สีหน้าปลื้มปลิ่มเอามาก 


 


 


เมื่อครู่หลินหว่านยังเห็นได้ว่าสายตาผู้กำกับซวี่กวงที่มองเธอมีความชื่นชมอยู่บ้าง เพียงแต่เขาเป็นคนที่ไม่ชอบพูดออกมา เธอรู้ว่าผู้กำกับซวี่กวงมองใครก็มักจะมีท่าทางไม่สนใจใยดีนัก ครั้งนี้เขาชื่นชมเธอทำให้หลินหว่านรู้สึกดีใจเสียจริงๆ  


 


 


“ผู้กำกับซวี่กวงพูดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ เธอรู้ไหมเมื่อกี้ฉันเห็นเขามองภาพถ่ายฟิตติ้งของฉันแล้วยิ้มด้วย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ฉันกำลังจะไปคุยกับเขาสักหน่อย เขาก็หันหน้าเดินหนีไปเลยฉันยังผิดหวังอยู่เลยเนี่ย พอได้ฟังที่เธอบอกว่าเขาชื่นชมฉัน ตอนนี้ฉันดีใจมากเลยล่ะ” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้มเบิกบาน 


 


 


อวิ๋นซีค้อนหลินหว่านแล้วพูดเสียงเรียบ “อย่างเพิ่งดีใจเร็วไปนัก เธอต้องตั้งใจทำงานให้ดี ให้เขาทึ่งในตัวเธอ เธอดูสิตอนแรกที่เขาเห็นเธอยังกับมองสิ่งของข้างทางอย่างนั้น ถึงเขาจะมองแบบนั้นกับทุกคนก็เถอะ ตอนนี้เขาชอบเธออยู่บ้างแล้ว เธอต้องทำให้เขายอมรับในตัวเธอให้ได้นะ” 


 


 


หลินหว่านรู้ดีว่าเส้นสายคนรู้จักในวงการมีความสำคัญขนาดไหน แต่ทั้งหมดนี้ต้องมีความสามารถ 


 


 


ที่แท้จริงด้วย การได้พบกับผู้กำกับที่ดูความสามารถที่แท้จริงนับเป็นโชคดีของหลินหว่าน ผู้กำกับซวี่กวงถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีความยุติธรรมคนหนึ่งเลยทีเดียว 


 


 


ในวงการบันเทิงมีมุมที่ดำมืดอยู่มากมาย บางครั้งคนที่มีเส้นสายสามารถทำให้อีกคนสูญเสียโอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบาก ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดามากของวงการนี้ และเป็นเรื่องที่บางคนเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียด้วย

 

 

 


ตอนที่ 87

 

ยอมรับ

 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยถือเป็นศิษย์รุ่นน้องของซวี่กวง ดังนั้นเธอจึงติดตามมากองถ่ายครั้งนี้ด้วย


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีมาถึงสถานที่ถ่ายทำ เห็นด้านข้างผู้กำกับซวี่กวงมีอวี๋เสวี่ยเวยยืนอยู่ด้วย หลินหว่านรู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมเธอจึงมาอยู่นี่ได้


 


 


“อวิ๋นซี ดูสินั่นอวี๋เสวี่ยเวยล่ะ เธอรู้ไหมว่าทำไมเขามาที่นี่ได้ แถมยืนชิดผู้กำกับซวี่กวงซะขนาดนั้น สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ” หลินหว่านแอบกระซิบที่ข้างหูอวิ๋นซี


 


 


หลินหว่านยืนมองอวี๋เสวี่ยเวยอยู่ห่างจากผู้กำกับพอสมควร ในใจคิดสงสัยอย่างหนัก


 


 


“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อวานฉันได้ยินว่าอวี๋เสวี่ยเวยเป็นศิษย์รุ่นน้องของผู้กำกับซวี่กวง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าซวี่กวงให้เธอแสดงบทอะไรสิ อันที่จริงฉันหวังว่าผู้กำกับในใจฉันจะไม่เหมือนกับคนที่ชอบใช้เส้นสายแบบนั้น เขาคาดหวังกับผลงานตัวเองขนาดนั้นคงไม่ยอมให้คนที่แสดงไม่เป็นปะปนเข้ามาได้แน่” อวิ๋นซี


 


 


มองสำรวจอวิ๋นเสวี่ยเวยแล้วพูดเสียงเบา


 


 


หลินหว่านนึกขึ้นได้ว่าฐานะทางบ้านของอวี๋เสวี่ยเวยค่อนข้างดีมาก ดังนั้นเธอคงใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับผู้กำกับซวี่กวง


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยเห็นหลินหว่านที่ยืนมองเธอจากที่ห่างออกไป เธอรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก เธอรู้ว่าตัวเองอาศัยเส้นสายทางบ้านจึงได้รู้จักกับซวี่กวง แม้คนอื่นๆ จะรู้ว่าเธอเป็นศิษย์รุ่นน้องของผู้กำกับซวี่กวง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ท่าทีของซวี่กวงที่ไม่ได้สนใจใยดีเธอ คำว่าศิษย์น้องจึงเป็นเหมือนแค่คำเรียกหาอย่างหนึ่งเท่านั้น ยิ่งวันนั้นเธอบังเอิญเห็นว่าผู้กำกับซวี่กวงยิ้มตอนที่ได้เห็นภาพถ่ายฟิตติ้งของหลินหว่าน เธอก็ยิ่งอิจฉามากขึ้น เธอไม่เข้าใจว่าหลินหว่านมีเสน่ห์ความงามอะไรถึงกับได้รับความชื่นชมจากผู้กำกับซวี่กวง


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีเดินมาที่ตรงหน้าซวี่กวงกับอวี๋เสวี่ยเวย


 


 


“ผู้กำกับ สวัสดีค่ะ” หลินหว่านแวะทักทายด้วยรอยยิ้ม


 


 


ซวี่กวงเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบรับตามมารยาทหน่อยหนึ่ง


 


 


ส่วนอวี๋เสวี่ยเวย นึกโมโหอยู่ในใจด้วยเธอเห็นหลินหว่านเดินเข้ามาแล้วไม่มองเธอเลยสักนิด เธอจ้องหลินหว่านอย่างโกรธแค้น


 


 


“รุ่นพี่คะ ฉันมีเรื่องอยากจะพูดด้วยค่ะ พี่ให้สองคนนั้นหลบไปก่อนสักครู่ได้ไหมคะ” อวี๋เสวี่ยเวยพูดยิ้มๆ กับซวี่กวง


 


 


ซวี่กวงไม่ยิ้มตอบกลับแต่พูดเสียงเย็นว่า “ตอนนี้ฉันกำลังยุ่ง มีเรื่องอะไรเดี๋ยวค่อยพูด แล้วงานของฉันก็ยุ่งมากๆ แล้วเธอก็อย่ายืนเกะกะกีดขวางเสียเวลาทำงานของฉัน”


 


 


คำพูดของซวี่กวงทำเอาอวี๋เสวี่ยเวยหน้าแตกยับ ทีแรกเธอคิดจะให้หลินหว่านได้เห็นว่าตัวเองเป็นถึงรุ่นน้องของซวี่กวง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเสียหน้าต่อหน้าหลินหว่าน


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยหน้าแดงฉานเดินหนีไปอย่างโมโห รู้สึกว่าตัวเองแทบจะระเบิดเป็นไฟด้วยความโมโห เธอยิ่งเกลียดชังหลินหว่านเข้าไปอีก


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยใช้เส้นสายที่บ้านได้รู้จักกับซวี่กวง แต่ดูเหมือนซวี่กวงไม่สนใจจะพูดคุยกับเธอ แม้แต่ตอนทำงานยังไม่เห็นแก่หน้าเธอเลย เรื่องนี้ทำให้อวิ๋นซีรู้สึกว่าเธอคิดถูก ผู้กำกับซวี่กวงเข้มงวดเอาจริงกับผลงาน อีกทั้งยังเป็นคนตรงและยุติธรรมกว่าคนอื่นในวงการบันเทิง


 


 


“ผู้กำกับคะ งั้นคุณทำธุระก่อน พวกเราจะกลับไปพักผ่อนก่อนค่ะ อีกเดี๋ยวฟ้าก็จะมืดแล้วคุณก็กลับไปพักเร็วๆ นะคะ” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


“อื้ม ครับ” ผู้กำกับซวี่กวงผงกศีรษะ


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีทำงานมาทั้งวัน พอกลับถึงห้องพักก็เข้านอนอย่างรวดเร็ว


 


 


วันรุ่งขึ้นทีมงานกองถ่ายสร้างบัญชีเวยปั๋วอย่างเป็นทางการ แล้วโพสต์ภาพถ่ายของหลินหว่านขึ้นอินเทอร์เน็ต


 


 


“หลินหว่าน ฉันมีข่าวดีมาบอกล่ะ วันนี้เวยปั๋วของทางกองถ่ายเอาภาพลงอินเทอร์เน็ตแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อย่างไรแล้วความสวยก็สำคัญมากอยู่ดี ภาพฟิตติ้งของเธอพอลงอินเทอร์เน็ตนะ พวกที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับเธอตอนนี้กลายเป็นตั้งหน้าตั้งตารอดูเธอเล่นเป็นนางเอก ตอนนี้เธอก็ไม่ต้องรำคาญใจกับเรื่องก่อนหน้าอีกแล้ว ต่อไปก็ตั้งอกตั้งใจแสดงให้ดีๆ ตอนหนังเข้าฉายต้องได้รับคำชมแน่นอน” อวิ๋นซียืนอยู่หน้าประตูพูดด้วยความตื่นเต้น


 


 


อวิ๋นซีรีบวิ่งมาแจ้งข่าวดีนี้ที่ห้องหลินหว่านตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


เมื่อก่อนหลินหว่านกลุ้มใจกับการที่ชาวเน็ตไม่ยอมรับบทบาทของเธอ บทนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากบนอินเทอร์เน็ตเรื่องที่ให้หลินหว่านแสดง เนื่องจากพวกเขาตั้งความหวังกับบทบาทของตัวละครนี้ไว้มาก ถ้าหากหลินหว่านแสดงได้ไม่ดี ย่อมต้องถูกคนจำนวนมากถล่มด่าว่ายับแน่นอน อวิ๋นซีกลัวว่าถ้าเป็นเช่นนี้จะกระทบถึงการทำงานของหลินหว่าน ตอนที่เธอยึดเครื่องมือสื่อสารของหลินหว่านก็เพื่อไม่ให้เธอได้เห็นคำถกเถียงบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ตอนนี้กลายเป็นว่าตั้งแต่ปล่อยภาพถ่ายฟิตติ้งขึ้นอินเทอร์เน็ตแล้ว ผู้คนจำนวนมากต่างก็หันมาตั้งตารอดูการแสดงของหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านที่ตื่นแต่เช้ายังไม่ทราบข่าวนี้ เธอมองดูอวิ๋นซีที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจมาก “จริงเหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีน่ะสิ ฉันต้องพยายามเล่นบทนี้ให้ดีได้แน่ ไม่ให้พวกเขาต้องผิดหวังหรอก พวกที่รอดูฉันอยู่ ฉันจะทำให้พวกเขาเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่เลยเชียว”


 


 


หลินหว่านรีบคว้ามือถือในมือของอวิ๋นซีมาเปิดอ่าน สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้มหวาน ความรู้สึกกดดันก่อนหน้านี้หายวับไปจนหมด ตอนนี้เธอยิ่งมั่นใจว่าจะเล่นบทนี้ให้ดีได้แน่นอน


 


 


หลินหว่านเดินเข้าสถานที่ถ่ายทำอย่างมาดมั่น เธอพูดคุยยิ้มแย้มกับอวิ๋นซีมาตลอดทาง หลินหว่านไม่ได้สบายใจขนาดนี้มานานมากแล้ว เธอชอบความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่นแบบนี้มากๆ เลย ทุกครั้งที่ได้เห็นว่ามีชาวเน็ตยอมรับเธอ หลินหว่านจะดีใจมาก


 


 


“แม้ว่าภาพถ่ายที่ปล่อยออกไปจะได้รับคำชมมากมาย แต่ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าเด็กสาวที่ยังอายุน้อยปานนี้จะสามารถเอาบทนี้ได้อยู่ รอให้ถ่ายเสร็จก่อนเถอะ ฝีมือการแสดงของเธอต้องถูกคนหัวเราะกันฟันหักแน่” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นหลินหว่านเข้าก็พูดขึ้น


 


 


แม้หลินหว่านจะอยู่ไม่ใกล้นัก แต่ตอนที่เดินผ่านผู้หญิงคนนี้ก็ยังได้ยินคำพูดนี้ของเธอเข้า สีหน้ายิ้มแย้มของหลินหว่านหุบฉับลงทันควัน


 


 


อวิ๋นซีก็ได้ยินด้วย เธอรู้สึกว่าจู่ๆ หลินหว่านก็เงียบไป จึงนึกรังเกียจผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา แต่เนื่องจากหลินหว่านเป็นนักแสดง ไม่สามารถจะหุนหันไปต่อปากต่อคำกับเธอแบบนั้นได้


 


 


“หลินหว่าน หลังภาพถ่ายฟิตติ้งเธอออกมาแล้วก็ได้รับคำชมมากมาย ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็พากันรอคอยจะดูการแสดงของเธอ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือยังมีคนส่วนน้อยส่วนหนึ่งที่ยังไม่ยอมรับในตัวเธอ ตอนนี้เธอต้องใช้ความสามารถของเธอมาทำให้พวกเขายอมรับให้ได้ ไม่ใช่มานั่งเสียใจอยู่นี่” อวิ๋นซีพูดปลอบหลินหว่าน


 


 


อันที่จริงหลินหว่านก็รู้อยู่ว่าภาพถ่ายฟิตติ้งไม่อาจทำให้ทุกคนยอมรับว่าเธอจะรับบทนี้ได้ แต่เมื่อครู่พอได้ยินคำพูดพวกนั้นทำให้หลินหว่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก พอได้ฟังคำพูดของอวิ๋นซีแล้วก็ไม่คิดมากอีก


 


 


“เธอพูดถูกมากเลย ฉันจะให้คนที่รอดูฉันอยู่ได้เห็นความพยายามของฉัน ให้คนที่ไม่ยอมรับฉันได้มองฉันใหม่ ฉันจะตั้งใจแสดงบทนี้ให้ดีที่สุด และจะตั้งใจแสดงให้ดีทุกบทด้วย” หลินหว่านพูดอย่างมุ่งมั่น เธอเผยรอยยิ้มกว้างแล้วเดินตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ

 

 

 


ตอนที่ 88

 

ริษยา

 


 


 


“ตอนนี้นังหลินหว่านเลยกลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างรอดูผลงานของมัน ก็แค่ภาพถ่ายฟิตติ้งเองไม่ใช่หรือไง ต้องขนาดนี้เชียว? นังคางคกขึ้นวอ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะแสดงบทนี้ให้ดีได้ ฉันต้องขัดขวางไม่ให้มันดังขึ้นมาให้ได้ ฉันต้องวางแผนใหม่ทั้งหมดเสียแล้ว จะไม่ให้มันโงหัวขึ้นมาได้เด็ดขาด” อวี๋เสวี่ยเวยพูดกับผู้ช่วยของเธอด้วยสีโหดเ**้ยม


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยแอบตามดูหลินหว่านตลอด พอเธอเห็นว่าหลินหว่านได้รับความนิยมขึ้นมา จากภาพถ่ายฟิตติ้งในใจก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เธอจะยอมให้หลินหว่านเงยหน้าอ้าปากในวงการบันเทิงได้อย่างไรกัน ความริษยาทำให้เธอสติมืดบอดไป จิตใจร้อนรุ่มคิดแต่จะทำให้หลินหว่านย่อยยับ


 


 


“รื้อแผนใหม่หมด? วางใจเถอะ ฉันว่าหลินหว่านดังไปได้ไม่นานหรอก พอหนังออกฉาย มันทำให้ผู้ชมพอใจไม่ได้แน่ สิ่งที่ตามมาก็ต้องเจอกับเสียงก่นด่าจากชาวเน็ตแน่ รอดูไปเถอะ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่เชื่อน้ำหน้ามันหรอก คุณก็อย่าร้อนใจไปเลยค่ะ ฉันเชื่อว่ามันดังได้ไม่นานหรอก” ผู้ช่วยคอยพูดเสริมที่ด้านข้าง


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น จะยอมให้หลินหว่านมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ที่ไหน พอเธอเห็นว่าหลินหว่านได้รับความสนใจเนื่องจากภาพถ่ายฟิตติ้ง ใจเธอก็ทุรนทุรายอยู่ทุกวินาที คิดแต่จะให้ร้ายหลินหว่านอย่างไร อวี๋เสวี่ยเวยนึกถึงอันซิงอีกครั้ง นี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สู้กับหลินหว่านได้ และอันซิงก็เกลียดหลินหว่านมากๆ เสียด้วย ก่อนหน้านี้อวี๋เสวี่ยเวยเตรียมจะปั้นอันซิงอยู่แล้ว แต่พอเกิดเรื่องข่าวฉาวของเฉิงเฉิง เธอจึงให้อันซิงเก็บตัวรอให้เรื่องเงียบเสียก่อนค่อยเผยตัวสู่สาธารณชน


 


 


“อันซิงเกลียดหลินหว่านขนาดนั้น เธอเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของฉัน ให้อันซิงกลับมาอีกครั้งก่อนเถอะ ด้วยความอยากเอาชนะจนไม่สนใครหน้าไหน เธอต้องอิจฉาหลินหว่านมากแน่ อันซิงจึงเหมาะที่จะให้ร้ายหลินหว่านมากกว่าฉัน” อวิ๋นซีเหยียดยิ้มกับผู้ช่วย


 


 


ผู้ช่วยได้แต่ทำท่าอ่อนใจ เธอเข้าใจดีว่าอวี๋เสวี่ยเวยทำทุกอย่างนี้เพราะริษยาความสำเร็จของหลินหว่านจึงคลุ้มคลั่งได้ขนาดนี้


 


 


“ก่อนหน้านี้คุณให้อันซิงเก็บตัวสักระยะไม่ใช่เหรอ รอให้ข่าวฉาวของเธอผ่านไปก่อนจึงออกมารับงาน หรือว่านี่คือเรื่องที่คุณบอกว่าเปลี่ยนแผนงั้นเหรอ คุณไม่สนว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเหรอคะ” ผู้ช่วยมองอวี๋เสวี่ยเวยอย่างสงสัย


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยถูกความริษยาบดบังสายตาจนไม่สนอะไรอีก เธอตัดสินใจว่าจะดันอันซิงขึ้นมาโดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร ตีหลินหว่านให้แตกไม่ให้หลินหว่านได้มานั่งชูคอในวงการบันเทิงเด็ดขาด เทียบกับอันซิงแล้ว หลินหว่านเป็นคนที่เธอเกลียดชังมากกกยิ่งกว่า


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยแอบนัดพบกับอันซิง ทั้งสองวางแผนร่วมกันด้วยความที่พวกเธอต่างก็เกลียดชังหลินหว่านมาก จึงมาร่วมมือกันได้แต่ทั้งสองก็ยังไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี


 


 


“อันซิง ฉันช่วยให้เธอได้บทนางเอกละครทีวีเรื่องหนึ่ง คราวนี้เธอต้องใช้ละครเรื่องนี้พลิกตัวขึ้นมาให้ได้ อย่าให้หลินหว่านดังขึ้นมาได้เด็ดขาด ฉันช่วยเธอขนาดนี้ก็เพื่อให้เธอเหยียบนังหลินหว่านเอาไว้ ฉันหวังว่าเธอจะใช้โอกาสนี้ให้ดีล่ะ ถ้าเธอดังขึ้นมาได้จากละครเรื่องนี้ก็จะดีมาก ฉันเชื่อว่าเธอทำได้นะ พยายามเข้าล่ะ หรือเธออยากจะให้เกียรติยศชื่อเสียงพวกนี้ตกอยู่กับคนที่เธอเกลียดล่ะ” อวี๋เสวี่ยเวยพูดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า เธอเหยียดมองอันซิง คนที่เธอเกลียดที่พูดถึงก็คือ ‘หลินหว่าน’


 


 


อันซิงไม่ชอบใจนักกับท่าทีแบบนี้ของอวี๋เสวี่ยเวย ทุกครั้งที่เห็นท่าทีเริ่ดเชิดหยิ่งของอวี๋เสวี่ยเวย อันซิงมักรู้สึกรังเกียจขึ้นมาเสมอแต่เธอไม่เคยพูดออกมา เพียงแค่บ่นด่าอยู่ในใจเงียบๆ


 


 


“เอาเถอะ ในเมื่อเธอช่วยหาบทให้ฉัน งั้นฉันจะไปแน่ แต่ข่าวฉันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยังมีคนสนใจตามจิกอยู่มาก ไม่รู้ว่าจะใช้ละครเรื่องนี้เพิ่มแฟนคลับได้ไหม ลองดูก่อนแล้วกัน” อันซิงพูดหยั่งเชิง


 


 


อันที่จริงอันซิงกังวลใจอยู่บ้าง เธอไม่อยากจะถูกด่าจากชาวเน็ตอีกแล้ว แม้ว่าบุคคลสาธารณะต้องรับเสียงวิจารณ์เหล่านี้ให้ได้ แต่อันซิงแค่คิดถึงคำพูดพวกนั้นแล้วยังสยองไม่หาย


 


 


เห็นได้ชัดว่าอวี๋เสวี่ยเวยเบื่อคำพูดนี้ของอันซิงเต็มที เธอขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเรียบ “เธอวางใจได้ ถ้าเธอแสดงได้ดี หลินหว่านก็แค่ได้หน้าชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น คนที่จะขึ้นแท่นต่อไปก็คือเธอ อย่ามัวกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องหน่อยเลย ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นคนของสาธารณะ ก็ต้องยอมรับเสียงวิจารณ์ให้ได้”


 


 


อันซิงรู้สึกไม่ขัดใจ หมายความว่าเธอต้องยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ด้วยงั้นเหรอ อันซิงรู้ว่าลึกๆ แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับอวี๋เสวี่ยเวยเป็นแค่ความร่วมมือเท่านั้น เป้าหมายร่วมกันคือทำลายหลินหว่านให้ได้ จึงทำให้พวกเธอร่วมมือกันได้ เปลือกนอกแล้วดูเหมือนจะพูดคุยกันด้วยดี แต่ที่จริงแล้วพวกเธอต่างรังเกียจอีกฝ่าย บางทีเมื่อเป้าหมายบรรลุแล้ว อวี๋เสวี่ยเวยก็จะเขี่ยอันซิงทิ้งไป


 


 


อันซิงได้รับบทดารานำฝ่ายหญิงของละครฟอร์มใหญ่ เธอรีบไปโผล่หน้าที่กองถ่ายอย่างดีอกดีใจ คาดหวังกับบทบาทครั้งนี้ของตัวเอง เธอแอบดีใจอยู่ว่า ไม่ว่าเมื่อครู่จะไม่ชอบใจแค่ไหนแต่เรื่องนี้ก็ยังคุ้มค่าการรอคอยอยู่ดี


 


 


“สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออันซิง ดีใจที่ได้ร่วมงานกับคุณค่ะ ฉันจะแสดงบทบาทของฉันให้ดีที่สุด ให้ประทับใจผู้ชม ขอให้ท่านผู้อำนวยการเชื่อใจฉัน ฉันจะตั้งใจทำงานเต็มร้อยเลย จะไม่ให้พวกคุณต้องผิดหวังค่ะ”


 


 


อันซิงยิ้มขณะกล่าวให้คำมั่นกับผู้อำนวยการสร้างละครเรื่องนี้ เธออยากให้พวกเขายอมรับเธอ


 


 


อันซิงเพิ่งเข้ามาก็ได้พบกับผู้อำนวยการสร้างที่นี่ ครั้งนี้พวกเขามาร่วมสังสรรค์กันก่อนเปิดกล้อง เพื่อกระชับความสัมพันธ์จะได้ทำงานสะดวกตอนถ่ายทำ อันซิงให้ผู้จัดการกับผู้ช่วยเก็บข้าวของก่อน ส่วนตัวเองก็พูดคุยกับผู้อำนวยการสร้าง


 


 


“อันซิง นางเอกนี่ ผมต้องเชื่อใจคุณอยู่แล้ว คุณสวยขนาดนี้แล้วดูรูปร่างนี่สิ สาวงามชั้นเลิศจริงๆ สวยกว่ารูปถ่ายเยอะเลย” ผู้อำนวยการสร้างมองอันซิงด้วยสายตาโลมเลีย ท่าทีหยาบคายไร้มารยาทชวนให้ผู้คนรู้สึกคลื่นเ**ยนด้วยความรังเกียจ


 


 


อันซิงรู้สึกกระดากจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร สายตาของผู้ชายตรงหน้านี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง ด้วยประสบการณ์มานานในวงการบันเทิงทำให้เธอเข้าใจได้ แต่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก อันซิงยิ้มฝืดๆ แล้วเตรียมขอตัวกลับห้อง


 


 


“จะไปไหนเล่า ไม่อยู่คุยกับผมก่อนเหรอ ผมเป็นผู้อำนวยการสร้างของคุณนะ คุณสวยขนาดนี้ ไม่ให้ผมดูสักหน่อยได้อย่างไรกัน” ผู้อำนวยการสร้างดึงตัวอันซิงที่กำลังจะหลบไปเอาไว้ มองเธอพร้อมรอยยิ้มหื่น


 


 


อันซิงนิ่งอึ้งไป เธอเข้าใจว่าอวี๋เสวี่ยเวยคงจัดการเรื่องนี้ไว้เรียบร้อย ไม่มีข้อผิดพลาดแน่ แต่ตอนนี้ผู้อำนวยการสร้างนี่กลับพูดจาแทะเล็มล่วงเกินเธอ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้


 


 


อันซิงได้สติกลับคืนมา ขมึงตาเข้าใส่ผู้อำนวยการสร้าง พร้อมกับสะบัดแขนจากการเกาะกุมอย่างแรงแล้วจากไป เธอไม่เคยต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เมื่อก่อนเอาแต่ใจจนเคยตัว คิดไม่ถึงว่าต้องมาเจอกับเรื่องลักษณะนี้ ถูกเอาเปรียบแบบนี้ทำเอาอันซิงน้ำโหพุ่งปรี๊ด แต่เธอไม่ได้โวยวายอะไรเธอตัดสินใจว่าจะทนไปก่อน

 

 

 


ตอนที่ 89

 

ปรี๊ดแตก

 


 


 


 


ตอนนั้นอันซิงไม่ได้เปิดฉากลุยกับผู้อำนวยการสร้าง เธอยังคำนึงถึงแผนการใหญ่อยู่แต่ในใจก็เดือดพล่านด้วยความโกรธที่ไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ อันซิงยิ่งคิดก็ทั้งน้อยใจทั้งโมโห แล้วก็ยิ่งเกลียดอวี๋เสวี่ยเวยกับทั้งโกรธแค้นหลินหว่านมากขึ้น ได้แต่อัดแน่นอยู่ในอกไม่มีที่ระบายออก 


 


 


อันซิงกลับห้องไปด้วยความโมโห เธอนั่งอยู่ริมเตียงมองดูผู้จัดการที่กำลังจัดเก็บข้าวของ ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เธอพ่นลมหายใจอย่างแรงเหมือนกับว่าทำอย่างนี้แล้วจะระบายความโมโหในใจตัวเองได้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอลุกขึ้นแล้วเตะกระถางต้นไม้กลิ้งกระเด็นไป 


 


 


ผู้จัดการสะดุ้งเฮือก เงยขึ้นมองอันซิงแล้วพูดเสียงเรื่อยๆ “คุณอันซิง ทำไมคุณไม่ไปทานข้าวกับพวกผู้อำนวยการสร้างล่ะคะ ได้ยินว่าวันนี้มีคนมาเยอะเลยไม่ใช่เหรอ คุณเป็นถึงนางเอกนะ ตอนนี้มาอยู่นี่คงไม่เหมาะมั้งคะ” 


 


 


อันซิงพอได้ยินคำว่าผู้อำนวยการสร้างเท่านั้นความโมโหทั้งหมดก็พุ่งปรี๊ด ดวงตาลุกเป็นไฟอย่างเดือดดาล ขณะที่ในใจกลับอับอายที่ต้องข่มกลั้นมันเอาไว้ พลางคิดว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้เลย ตอนนี้กลับถูกคนอื่นรังแกซะได้ 


 


 


ผู้ช่วยเดินเข้ามาจัดกระถางต้นไม้กลับคืนแล้วพูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “อันซิงคะ คุณก็อย่าโมโหไปเลย ร่าเริงหน่อยสิคะ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรแต่โกรธจนเสียสุขภาพก็ไม่ดีนะคะ คุณไม่อยากทานข้าวกับพวกเขาก็ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อของชอบของคุณมาให้ทานนะคะ คุณก็อย่าโกรธเลยนะ พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ” 


 


 


ผู้ช่วยอยากจะปลอบอันซิง ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่เธอควรทำ แต่เห็นอันซิงโมโหขนาดนี้ จึงอยากปลอบใจเธอบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่ากลับนำความยุ่งยากมาให้ตัวเอง 


 


 


อันซิงหันมาตวาดใส่ผู้ช่วย “แกมันช่างรู้ดีนัก ฉันโมโหแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก คิดจะหัวเราะเยาะฉันงั้นสิ ดัดจริตแกล้งทำเป็นคนดี แกน่ะมือไม้เร็วหน่อยไม่ได้หรือไง แค่เก็บของแค่นี้เอง ต้องทำซะนานเชียว ไม่เอาไหนเลย ฉันจ้างให้แกมาช่วยฉันไม่ใช่ให้แกมาเที่ยว จะไปไหนก็รีบไสหัวไปซะที” 


 


 


ผู้ช่วยฟังคำพูดอันซิงแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร จึงทำให้อันซิงโมโหได้ขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเดือดพล่านของอันซิง ผู้ช่วยก็ไม่กล้าเอ่ยปากอีกได้แต่อดทนเงียบไว้ แม้ว่าจะน้อยใจสุดๆ แต่เธอไม่เคยคิดจะอู้งานมาก่อนเลย ตอนนี้กลับถูกด่าว่าโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ในใจอดนึกไม่ได้ว่ารู้อย่างนี้ไม่ปลอบเธอเสียก็ดี ถูกด่าจิกเสียไม่มีดี ผู้ช่วยก้มหน้าลงอย่างน้อยใจ 


 


 


“มองอะไร ยังไม่รีบเก็บของอีก ต้องให้ฉันเก็บเองหรือไง ไร้น้ำยาจริงๆ เลย มิน่าชาตินี้จึงได้แต่เป็นผู้ช่วยฉันเท่านั้นล่ะ จริงๆ เลย ยิ่งดูก็ยิ่งรำคาญ” อันซิงตวัดสายตาไปทางผู้จัดการกับผู้ช่วย 


 


 


อันซิงยิ่งนึกเกลียดอวี๋เสวี่ยเวยขึ้นอีก ได้แต่นึกก่นด่าเธออยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพราะด่าอวี๋เสวี่ยเวยต่อหน้าไม่ได้นั่นเอง 


 


 


ความโกรธของอันซิงไม่มีที่ระบายออก จึงได้แต่โวยวายตะบึงตะบอนอยู่ในห้อง ผู้ช่วยกับผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดหืออืออะไร ได้แต่รับฟังอยู่เงียบๆ  


 


 


“มันเรื่องอะไรกัน ตัวเองบอกว่าหาบทนางเอกนี่ให้ฉัน ฉันก็เชื่อหล่อนขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เพิ่งพบกันก็เจอเรื่องแบบนี้เข้า ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยต้องมาเจอกับเรื่องบ้าบอแบบนี้เลย หนอย มาพูดจาหยามหน้ากันแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ต่อไปยังจะติดต่อสานสัมพันธ์อะไรกันอีกล่ะ” อันซิงคำรามฮึ่มฮั่มอยู่ในห้อง 


 


 


ผู้จัดการของอันซิงตั้งหูน้อมรับฟังมาทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าอันซิงกำลังตีวัวกระทบคราดด่ากราดกระทบชิ่ง นึกว่าอันซิงพูดกับเธอ แต่ที่จริงแล้วด่าอวี๋เสวี่ยเวยต่างหาก 


 


 


“ปัดโธ่เอ๊ย ทำไมฉันต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย เธอแน่นักไม่ใช่เหรอ ถึงกับหาบทนางเอกให้ฉันได้ ทำไมดูแลความปลอดภัยให้ฉันไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ คราวหน้าฉันก็ไม่ขอให้เธอมาช่วยยังจะดีกว่าอีก แล้วยังไง เธอจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว” 


 


 


อันซิงรู้ว่าผู้จัดการคนนี้เป็นคนของอวี๋เสวี่ยเวยที่ส่งมาอยู่กับเธอ จึงใช้คำพูดที่จะพ่นใส่อวี๋เสวี่ยเวยมาพ่นใส่ผู้จัดการคนนี้แทน พูดจบก็รู้สึกสงบใจลงได้บ้างและไม่รู้สึกเดือดแบบเมื่อครู่อีก เธอถึงกับรู้สึกว่าตัวเองพูดแรงเกินไป แต่พอนึกถึงเจ้าผู้อำนวยการสร้างนั่นก็กลับโมโหอัดหัวอกขึ้นมาอีก 


 


 


ผู้จัดการของอันซิงเป็นคนของอวี๋เสวี่ยเวย แน่นอนว่าผู้จัดการคนนี้มีเรื่องอะไรก็ต้องรีบบอกอวี๋เสวี่ยเวย เรื่องนี้ก็ไม่เว้น 


 


 


ผู้จัดการของอันซิงถ่ายทอดคำพูดของอันซิงให้อวี๋เสวี่ยเวยแบบไม่ตกหล่นสักคำ 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยฟังแล้วก็โมโหอยู่บ้าง แต่เพื่อแผนการใหญ่ เพื่อเอาชนะหลินหว่าน จึงโทรหาอันซิงอย่างเสียไม่ได้ 


 


 


“อันซิง ฉันรู้เรื่องแล้วนะ เรื่องเธอกับผู้อำนวยการสร้างนั่น ฉันว่าที่จริงเธอก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ฉันหวังว่าเธอจะอดทนไว้อย่าก่อเรื่องล่ะ เธอก็รู้ว่าในวงการบันเทิงเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เธอไม่ตอบรับเขาฉันก็เข้าใจ แต่อันซิงเธอลองคิดดูนะ โอกาสครั้งนี้พลาดไม่ได้ หรือเธอจะให้หลินหว่านดังขึ้นมาในช่วงที่เธอกำลังตกอับล่ะ คิดดูสิเธอยอมเสียสละแค่เล็กน้อยก็จะได้รับโอกาสชั้นดีมากๆ ที่จะเหยียบหลินหว่านให้จมไปเลย หรือว่าเธอไม่อยากล่ะ” อวี๋เสวี่ยเวยพูดพรวดเดียวจบแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก นึกหวังว่าอันซิงจะยอมรับฟังคำพูดเธอบ้าง 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เธอไม่ได้คิดเผื่ออันซิงหรอก เธอหวังให้อันซิงเชื่อคำพูดเธอไม่รังเกียจผู้อำนวยการสร้างอีก ถ้าหากเธอยอมโอนอ่อนกับผู้อำนวยการสร้างย่อมจะเป็นการดีต่ออวี๋เสวี่ยเวยที่สุด เป้าหมายของเธอแค่ต้องการเอาชนะหลินหว่าน ส่วนอันซิงเป็นแค่เครื่องมือของเธอเท่านั้น เธอเกลียดนิสัยแบบนี้ของอันซิงมาก แต่เธอก็ชื่นชมอันซิงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเธอมีศัตรูคนเดียวกัน แถมอันซิงยังเกลียดหลินหว่านยิ่งกว่าเธอเสียอีก 


 


 


อันซิงฟังคำพูดของอวี๋เสวี่ยเวยแล้วเกิดลังเลขึ้นมาบ้าง เธอคิดว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมให้หลินหว่านได้เชิดหน้าชูตาในวงการบันเทิงเด็ดขาด แต่ตัวเธอก็ไม่เคยต้องเจอกับเรื่องน่าอายแบบนั้นมาก่อน อันซิงยังทำใจไม่ได้อยู่นาน 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยที่ปลายสายอีกด้านรออยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงอันซิงตอบกลับเสียทีจึงพูดต่ออย่างหงุดหงิดรำคาญว่า “เธอก็อดทนให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนไม่ได้หรือไง เอาชนะหลินหว่านให้ได้ก่อน นี่เป็นเป้าหมายสำคัญสุดของพวกเรา จะให้มันมาเหยียบอยู่เหนือหัวเธอไม่ได้ เธอจึงต้องทนไปก่อนหรือเธอจะให้หลินหว่านแซงหน้าเธอไปได้ล่ะ” 


 


 


อวี๋เสวี่ยเวยพูดจบก็วางสาย เธอเข้าใจอันซิงดีต้องยกเอาหลินหว่านขึ้นมาพูด พอแรงริษยาท่วมใจ ร้อยทั้งร้อยอันซิงจะยอมทำเรื่องที่เธอไม่เต็มใจทำ เพียงเพื่อเอาชนะหลินหว่านให้ได้ 


 


 


อันซิงยังลังเลใจอยู่ เนื่องจากเมื่อก่อนเธอเคยเหวี่ยงตามใจจนเคยตัว ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมีวันที่ต้องยอมอ่อนข้อเอาใจคนอื่นเพราะเรื่องงาน เธอรู้สึกขัดใจเอามากๆ แต่คำพูดของอวี๋เสวี่ยเวยยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเธอไม่หยุด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “หรือเธอจะให้หลินหว่านแซงหน้าเธอไปได้ล่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 90

 

เพื่อนดื่ม

 


 


 


 


อันซิงหลังจากถูกอวี๋เสวี่ยเวยด่ากราดไปรอบหนึ่ง กลับถึงโรงแรมที่พักซึ่งทางกองถ่ายจัดไว้แล้วก็ยังโมโหไม่หาย 


 


 


เธออยู่บ้านตระกูลอันกินดีอยู่ดีมาจนโต เคยต้องยอมให้ใครที่ไหนกัน 


 


 


แต่ตอนนี้ถูกผู้อำนวยการสร้างหยามหน้าแล้วยังถูกอวี๋เสวี่ยเวยด่าซ้ำอีกรอบ เธอกลับได้แต่เก็บอัดอยู่ 


 


 


ในอกพูดไม่ออก 


 


 


พอคิดว่าตอนอวี๋เสวี่ยเวยด่าเธอนั้นยังมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง อันซิงคว้าแจกันดอกไม้มาได้ก็เขวี้ยงออกไปแต่ก็ยังไม่ช่วยคลายความขุ่นแค้นอวี๋เสวี่ยเวยลงได้ 


 


 


แต่ว่ารอให้เธอกับอวี๋เสวี่ยเวยร่วมกันกำจัดหลินหว่านไปได้ก่อนเถอะ เธอจะไม่ปล่อยอวี๋เสวี่ยเวยไว้แน่ ถึงตอนนั้นคอยดูก็แล้วกันว่าจะทำยังไงกับหล่อน อันซิงคิดอย่างขุ่นแค้น 


 


 


วันต่อมา ผู้อำนวยการสร้างที่มีเรื่องกับอันซิงโทรหาเธอ “คุณหนูอันซิง คืนนี้คุณว่างไหม คืนนี้พวกเรามาคุยเรื่องบทกัน แล้วกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นอย่างไร” 


 


 


เวลาอื่นเยอะแยะไม่คุยเรื่องบท ต้องเจาะจงคุยตอนค่ำด้วย คำพูดของผู้อำนวยการสร้างนี้กล่าวได้ว่าบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว 


 


 


แต่เพื่อบทละครเรื่องนี้ อันซิงไม่อาจปฏิเสธเสียด้วย เธอกำมือถือแน่นแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการจ้าวคะ แน่นอนค่ะ คืนนี้ฉันว่างอยู่แล้วค่ะ” 


 


 


“ฮ่าๆ งั้นก็ดี คืนนี้ผมจะรอคุณที่โรงแรมนะ ไม่เจอคุณผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย” ผู้อำนวยการจ้าวฟังคำของอันซิงแล้วรู้สึกพอใจอย่างมาก 


 


 


อันซิงฟังน้ำเสียงแทะโลมของผู้อำนวยการจ้าวแล้วต้องสะกดกลั้นความรู้สึกไว้ กัดฟันพูดว่า “ได้ค่ะ ผู้อำนวยการจ้าว พบกันคืนนี้ค่ะ” 


 


 


วางสายแล้ว นึกถึงผู้อำนวยการเจ้าที่หน้ากลมหูกางนั่นกับสาระรูปหื่นแบบเมื่อวานนั่น อันซิงก็รู้สึก 


 


 


ผะอืดผะอมขึ้นมา 


 


 


แต่จะทำอย่างไรได้เพื่อละครเรื่องนี้ เธอได้แต่จำทนกับสถานการณ์ตอนนี้ไปก่อน 


 


 


ตอนค่ำ อันซิงฝืนใจพาตัวเองมาถึงสถานที่นัดกับผู้อำนวยการจ้าวในที่สุด 


 


 


“คุณหนูอัน มาถึงจนได้นะ พวกเรายังนึกว่าวันนี้คุณไม่มาแล้วซะอีก” ผู้อำนวยการเจ้าพอเห็นอันซิง ตาก็เป็นประกายรีบเสนอหน้าออกมาต้อนรับอันซิง 


 


 


อันซิงสวมชุดกระโปรงดำเปิดไหล่ ผมดำเกล้าเป็นมวยเผยบ่าไหล่ขาวสะอาดไร้รอยตำหนิ ทำเอาเขามองตาค้างไปเลย 


 


 


อันซิงปัดมือของผู้อำนวยการเจ้าที่ยื่นมาดึงมือเธอไว้ออกเนียนๆ เธอมองดูหลายคนที่นั่งอยู่ ล้วนแต่เป็นพวกผู้บริหารในกองถ่าย อาทิ โปรดิวเซอร์ รองผู้กำกับฯลฯ พวกเขาต่างมองอันซิงด้วยสายตาโลมเลีย 


 


 


อันซิงสะกดความรู้สึกอยากจะอ้วกลงไป หันมายิ้มกับพวกเขา “ขอโทษด้วยค่ะที่ฉันมาสาย” 


 


 


“คุณหนูอัน คุณต้องถูกปรับสามแก้วนะ” หนึ่งในนั้น รองผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งมองอันซิงแล้วพูดขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์แอบแฝง 


 


 


เข้าพูดขณะเทเหล้าสามแก้ว ยื่นให้กับอันซิง 


 


 


ส่วนคนที่เหลือต่างก็มีสีหน้าเหมือนอยากจะรอดูกันถ้วนหน้า 


 


 


อันซิงเห็นแล้วแกล้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจพูดว่า “โปรดิวเซอร์จางคะ คุณรังแกกันนี่นา ให้ฉันดื่มตั้งมากขนาดนี้…” 


 


 


ตอนนี้ผู้อำนวยการจ้าวที่อยู่ข้างอันซิงเห็นแล้วรีบยิ้มเอาใจพลางพูดว่า “งั้นสิ คุณหนูอันเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งจะให้เธอดื่มเหล้ามากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน เอาอย่างนี้สิ ให้ผมดื่มแทนคุณหนูอันแก้วหนึ่ง…” 


 


 


พูดพลางผู้อำนวยการเจ้าก็ยกแก้วหนึ่งในนั้นขึ้นดื่มจนหมด 


 


 


“ขอบคุณผู้อำนวยการจ้าวค่ะ…” อันซิงเห็นดังนั้นก็หันมายิ้มหวานพลางกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นขมวดคิ้วดื่มเหล้าที่เหลือสองแก้วลงไป 


 


 


ทุกคนในโต๊ะเห็นดังนั้นต่างก็คิดวาดหวังกันไป อันซิงพอเข้าที่นั่ง แต่ละคนผลัดกันเข้ามาชวนเธอดื่ม “คุณหนูอันคอแข็งไม่ใช่ย่อยนะเนี่ย ไม่รู้ว่าจะยินดีร่วมดื่มกับผมสักแก้วไหมครับ” 


 


 


อันซิงปฏิเสธเท่าที่จะปฏิเสธได้ ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็ได้แต่กัดฟันดื่มลงไป 


 


 


แต่ยังมีคนเข้ามาชวนเธอดื่มไม่หยุด อันซิงคิดเย้ยหยันตัวเองอยู่ในใจ ตอนนี้เธอเป็นอย่างนี้จะต่างอะไรกับพวกผู้หญิงเชียร์แขกในบาร์เหล้าพวกนั้น 


 


 


ทั้งหมดนี้ต้องโทษอวี๋เสวี่ยเวยทีเดียว! อันซิงกรอกเหล้าลงคอไปพลางคิดอย่างแค้นใจไปพลาง เธอต้องเอาคืนให้ได้ 


 


 


สุดท้ายอันซิงยังไม่ถึงกับเมาพับ พวกผู้อำนวยการสร้างนั่นอาจยังเกรงกลัวความเป็นคุณหนูจากบ้านตระกูลอันของเธออยู่บ้างจึงไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับเธอ 


 


 


อันซิงโทรเรียกให้ผู้ช่วยมารับเธอกลับไป ผู้จัดการคนใหม่ของเธอเป็นคนของอวี๋เสวี่ยเวย เธอไม่ไว้ใจ 


 


 


“คุณหนูอัน ไม่ทราบว่าวันนี้คุณว่างหรือเปล่า คืนนี้ไปทานข้าวกันไหม” สามวันต่อมา อันซิงรับโทรศัพท์ เสียงผู้อำนวยการจ้าวดังมาจากมือถือ 


 


 


เดิมทีเรื่องที่อันซิงเป็นเพื่อนดื่มคงจะผ่านไปแล้ว แต่ที่ไหนได้สามวันมานี้ ผู้อำนวยการเจ้าโทรหาเธอทุกวัน ใช้ข้ออ้างว่าเคยออกรับดื่มแทนเธอ จึงอยากจะนัดเธอออกมาทานข้าวตามลำพังสักมื้อ 


 


 


ตอนแรกอันซิงหาเหตุสารพัดบอกปัดปฏิเสธไป แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะโทรหาเธอทุกวันไม่ยอมเลิกสักที 


 


 


“คุณหนูอันคงไม่ได้จะอ่านบทอยู่บ้านหรือว่าจะไปถ่ายโฆษณาล่ะมั้งครับ” เสียงผู้อำนวยการจ้าวดังมาจากในสาย 


 


 


“ที่ไหนกันคะ ผู้อำนวยการจ้าว คืนนี้ฉันว่างพอดีค่ะ” อันซิงกลั้นใจตอบรับกลับไป 


 


 


“ยอดเลย คุณหนูอัน งั้นเย็นนี้เราเจอกันนะครับ” ผู้อำนวยการจ้าวได้ฟังก็พูดอย่างพอใจ 


 


 


ตอนเย็นอันซิงแต่งตัวเสร็จก็สวมหน้ากากอนามัยและหมวกเตรียมออกไปตามนัด 


 


 


อันซิงออกจากโรงแรมก็มีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดตรงหน้าเธอ พอเธอเห็นคนที่ลงจากรถก็พูดอย่างประหลาดใจ “ผู้อำนวยการจ้าว ทำไมคุณมานี่ได้ล่ะคะ” 


 


 


ผู้อำนวยการเจ้ายิ้มจนตาหยีพูดว่า “คุณหนูอัน ผมมารับคุณนะครับ” พูดพลางดึงตัวอันซิงประคองให้ขึ้นรถตัวเอง 


 


 


ผู้อำนวยการจ้าวพาอันซิงมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอถึงที่เขาก็ปลดสายคาดจากที่นั่งรถ ลงมาทางประตูข้างคนขับแล้วเปิดประตูรถ คิดจะควงแขนอันซิงเข้าไปด้วยกัน 


 


 


อันซิงจัดหน้ากากอนามัยกับหมวกให้เรียบร้อย ขณะจะลงจากรถ ก็ได้ยินผู้อำนวยการจ้าวพูดว่า “คุณหนูอัน คุณไม่ต้องใส่ของพวกนี้หรอกครับ ผมว่าที่นี่ไม่มีใครจำคุณได้หรอก” 


 


 


ฟังคำผู้อำนวยการจ้าวแล้ว อันซิงก็ชะงักกึก สุดท้ายเธอปลดหน้ากากอนามัยกับหมวกออก คล้องแขนผู้อำนวยการจ้าวเข้าไปในร้าน 


 


 


พอเข้าไปในร้าน ผู้อำนวยการจ้าวกำลังจะพาอันซิงไปที่ห้องซึ่งเขาสั่งจองไว้แต่กลับชนเข้ากับคนคนหนึ่ง 


 


 


“ขอโทษค่ะ ขอโทษ” ผู้หญิงที่ชนนั้นกล่าวขอโทษกับเขาหลายคำ ผู้อำนวยการเจ้าเห็นแล้วก็พูดว่า “ไม่เป็นไร” 


 


 


ผู้หญิงคนนั้นขอโทษแล้วก็จากไป ผู้อำนวยการเจ้าดึงอันซิงให้เดินต่อไปข้างหน้า แต่กลับพบว่าเธอยืนนิ่งไม่ขยับ 


 


 


เขาหันไปก็เห็นอันซิงหน้าซีดขาว จึงถามว่า “คุณหนูอัน คุณเป็นอะไรน่ะ” 


 


 


“ม…ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไร เราไปกันเถอะ” อันซิงดึงสติกลับมา รีบพูดขึ้น 


 


 


ผู้หญิงที่เพิ่งเดินชนพวกเขา แม้ว่าผู้อำนวยการจ้าวจำเธอไม่ได้ แต่อันซิงมองแวบเดียวก็จำเธอได้ นั่นคือหลินหว่าน 


 


 


พอนึกว่าหลินหว่านรู้ว่าตัวเองกับผู้อำนวยการสร้างมาทานข้าวด้วยกัน อันซิงก็รู้สึกกระสับกระส่ายสงบใจไม่ลง ทั้งรู้สึกอับอายกลายเป็นความโมโห 


 


 


สุดท้ายเธอกับผู้อำนวยการจ้าวกินข้าวเย็นกันอย่างลวกๆ แล้วรีบออกไปจากที่นี่

 

 

 


ตอนที่ 91

 

ไอดอลอัน

 


 


 


 


หลินหว่านมาปรากฏตัวที่ร้านอาหารแห่งนี้เพราะเซียวจิ่งสือได้ข่าวว่า หนังของซวี่กวงพอหนังเปิดกล้องเข้ากองถ่ายแล้วจะออกมาอีกไม่ได้ เขาจึงมานัวเนียอยู่กับเธอทุกวัน 


 


 


“หว่านหว่าน ทำไมคุณช้านักล่ะ” เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านหายตัวไปห้องน้ำนานนักก็ถามอย่างขัดใจ 


 


 


“เอ้อ ไม่มีอะไรหรอก เราเริ่มทานกันเถอะค่ะ” หลินหว่านเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มพลางพูดปลอบเขา 


 


 


เมื่อครู่ตอนเธอออกจากห้องน้ำเดินชนเข้ากับคนสองคน เธอรีบเอ่ยขอโทษพวกเขาแล้วตรงดิ่งกลับมาเลย ด้วยความรีบร้อนจึงไม่ได้มองหน้าพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่หลินหว่านก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเซียวจิ่งสือ 


 


 


หลังอาหารเย็น เซียวจิ่งสือส่งหลินหว่านกลับบ้าน 


 


 


วันรุ่งขึ้นหลินหว่านก็ได้รับแจ้งว่าทางกองถ่ายมีแผนจะถ่ายตัวอย่างหนังเรื่องนี้ก่อน ดังนั้นจึงขอให้นักแสดงหลักทั้งหมดเข้ากองถ่ายก่อนกำหนด 


 


 


หลินหว่านได้รับแจ้งแล้วรู้สึกสงสัยทั้งอยากรู้ แต่เธอก็รีบจัดเก็บสัมภาระของตัวเองแล้วตรงเข้ากองถ่ายไปทันที 


 


 


สถานที่ถ่ายทำตัวอย่างหนังอยู่ที่เมืองจำลองแห่งหนึ่ง ทางกองถ่ายจัดให้นักแสดงทั้งหมดกับทีมงามแยกกันเข้าพักในโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง 


 


 


หลินหว่านมาถึงโรงแรมที่พัก เห็นข้างหน้าเป็นเงาร่างคุ้นตาเธอจึงตามไปดูก็พบว่าเป็นซวี่กวง 


 


 


หลินหว่านรีบทักทายเขา “ผู้กำกับซวี่ สวัสดีค่ะ บังเอิญจังนะคะ พวกเราได้พักที่โรงแรมเดียวกัน” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าซวี่กวงพอเห็นหลินหว่านกลับมองเธออย่างสำรวจครู่หนึ่งแล้วส่งเสียง “อืม” รับเบาๆ จากนั้นสาวเท้าจากไป 


 


 


หลินหว่านมองดูร่างของซวี่กวงที่ห่างออกไป เธอนิ่งไปพักหนึ่งพร้อมกับคิดในใจว่าผู้กำกับซวี่นี่ช่าง 


 


 


เย็นชาเสียจริงเลย จากนั้นเธอก็กลับเข้าโรงแรมเพียงลำพังเข้าห้องพักของตัวเอง 


 


 


เพิ่งกลับถึงห้องพัก เสียงมือถือของหลินหว่านก็ดังขึ้น เธอเห็นว่าเป็นสายจากอวิ๋นซีจึงกดรับสาย “อวิ๋นซี มีอะไรเหรอคะ” 


 


 


“หว่านหว่าน เธออยู่บ้านหรือเปล่า บ่ายวันนี้มีถ่ายงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง เธอเตรียมตัวนะฉันจะส่งคนไปรับ” อวิ๋นซีพูด 


 


 


“แต่…แต่อวิ๋นซี ฉันเข้ากองถ่ายแล้ว…” หลินหว่านได้ฟังก็พูดขึ้น 


 


 


“อะไรนะ หลินหว่าน เธอเข้ากองถ่ายไปแล้วเหรอ” อวิ๋นซีฟังแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ 


 


 


วันนี้เธอออกมาทำงานข้างนอกจึงไม่รู้เรื่องที่ทางกองถ่ายแจ้งกับหลินหว่าน 


 


 


“ใช่แล้วค่ะ…” จากนั้นหลินหว่านก็บอกเรื่องที่ทางกองถ่ายจะถ่ายโฆษณาหนังให้อวิ๋นซีทราบ 


 


 


อวิ๋นซีฟังแล้วก็พูดอย่างร้อนใจว่า “แล้วงานโฆษณาตอนบ่ายจะทำอย่างไรดี สัญญาก็เซ็นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยกเลิกไม่ได้เสียด้วยสิ…” 


 


 


อวิ๋นซีรู้ว่าหนังของซวี่กวงหลังเปิดกล้องแล้ว ไม่สามารถออกจากกองถ่ายได้อีก ดังนั้นเธอจึงร้อนใจอย่างมาก 


 


 


หลินหว่านเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ ฉันจะไปปรึกษากับคุณซวี่กวงดูก่อนแล้วกัน ตัวอย่างหนังดูเหมือนจะเริ่มถ่ายพรุ่งนี้ ฉันจะขอลาช่วงบ่าย เขาน่าจะยอมนะ” 


 


 


อวิ๋นซีกลับพูดอย่างกังวลใจว่า “แต่ว่า หว่านหว่าน ได้ยินว่าคุณซวี่กวงนี่พูดยากอยู่นะ ไม่งั้น…” 


 


 


ไม่งั้นก็แล้วกันไปเถอะ ผิดสัญญาก็ต้องผิดสัญญาแล้วล่ะ อวิ๋นซีคิดในใจ 


 


 


หลินหว่านกลับพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ อวิ๋นซี ฉันจะลองไปพูดดูนะ” 


 


 


“งั้น…งั้นก็เอาเถอะ หว่านหว่าน ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” อวิ๋นซีพูด 


 


 


พูดจบอวิ๋นซีก็วางสายไป 


 


 


หลังจากวางสายแล้ว หลินหว่านก็ออกจากห้องพักมาที่เคาน์เตอร์หน้าโรงแรม ถามเบอร์ห้องพักของ 


 


 


ซวี่กวง 


 


 


มาถึงหน้าห้องของซวี่กวง หลินหว่านเคาะประตูด้วยความตึงเครียด แต่ไม่ได้ยินเสียงขานรับ เธอจึงเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครขานรับอยู่ดี 


 


 


หรือว่าซวี่กวงไม่อยู่ที่ห้อง หลินหว่านคิด เธอลองบิดลูกบิดประตูหน้าห้อง คิดไม่ถึงว่าประตูห้องจะเปิดออกจริงๆ ซะด้วย 


 


 


หลินหว่านผลักประตูเปิดออก จากนั้นเดินเข้าห้องไปอย่างแผ่วเบา เธอกวาดตามองดูรอบหนึ่ง เห็นว่าที่ระเบียงมีเงาร่างหนึ่งดูเหมือนซวี่กวงจะยืนอยู่ที่นั่น 


 


 


หลินหว่านปิดประตูแล้วเดินไปที่ระเบียงพร้อมกับพูดว่า “ผู้กำกับซวี่คะ สวัสดีค่ะ ฉันหลินหว่าน…” 


 


 


แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักค้างทั้งที่ยังพูดไม่จบ เนื่องจากร่างที่ยืนอยู่บนระเบียงนั่น พอได้ยินเสียงเธอก็หันกลับมา แล้วหลินหว่านก็พบว่าเขาไม่ใช่ซวี่กวง! 


 


 


“สวัสดีครับ คุณคือหลิน…หว่าน?” ชายหนุ่มหันกลับมามองหลินหว่านอย่างสำรวจรอบหนึ่งแล้วถามขึ้น 


 


 


หลินหว่านพอเห็นใบหน้าของชายคนนั้นแล้วตกใจเหมือนมีระเบิดลงที่กลางใจเลยทีเดียว 


 


 


ข…เขาๆๆ…เขาคือนักร้องชื่อดังอันลั่วเฉิง! 


 


 


ไอดอลอันลั่วเฉิงที่ได้ชื่อว่าหล่อสุดๆ ร้องเพลงได้ไพเราะมากๆ แถมยังมีแฟนคลับผู้หญิงมากมายล้นหลามคนนั้น! 


 


 


เขาอยู่ในห้องของซวี่กวง แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ต่อหน้าเธอเลยด้วย! 


 


 


…… 


 


 


หลินหว่านพยายามสะกดความตื่นเต้นในใจลง เอ่ยปากว่า “ส…สวัสดี…สวัสดีค่ะ คุณไอดอลอัน…” 


 


 


แต่ด้วยความตื่นเต้น พอเอ่ยปากก็ยังเผยความรู้สึกตื่นตะลึงของตัวเองออกมาจนได้ 


 


 


อันลั่วเฉิงเห็นท่าทีของหลินหว่านแล้วอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ พูดว่า “คุณคือหลินหว่านสินะ เรียกผมว่าอันลั่วเฉิงก็ได้” 


 


 


“ด…ได้ค่ะ อันลั่วเฉิง” หลินหว่านเห็นเขายิ้มออกมาก็คิดว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ไอดอลอันนี่ช่างสมกับที่มีแฟนเพลงเยอะมากแล้วยังมีแฟนคลับหญิงอีกมากมาย 


 


 


“เอาล่ะ หลินหว่าน ทำไมคุณมานี่ได้ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า” อันลั่วเฉิงหันมาถามหลินหว่านด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


 


 


พอฟังคำถามของอันลั่วเฉิงแล้วหลินหว่านจึงนึกถึงเรื่องที่จะมาขอลากับซวี่กวงขึ้นมาได้ เธอรีบถามอันลั่วเฉิงว่า “ฉันมาถ่ายตัวอย่างหนังเรื่องหนึ่งกับผู้กำกับซวี่ที่นี่ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันมีธุระบางอย่างต้องพบผู้กำกับซวี่ เขาไม่อยู่ห้องเหรอคะ” 


 


 


อันลั่วเฉิงส่ายศีรษะ พูดว่า “เขาไม่อยู่ในห้องหรอก” 


 


 


หลินหว่านได้ยินก็ถามอย่างสงสัยว่า “งั้นคุณทราบว่าเขาไปไหนไหมคะ” 


 


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนผมเข้าห้องมาก็ยังไม่เจอกับเขาเลย” อันลั่วเฉิงตอบกลับเสียงเรียบ 


 


 


หลินหว่านอดรนทนไม่ได้หลุดปากถามคำถามที่สงสัยอยู่ในใจออกมา “อ…อันลั่วเฉิงคะ ทำไมคุณมาอยู่ห้องของผู้กำกับซวี่คะ” 


 


 


เธอจำได้ว่าไม่เคยเห็นข่าวเกี่ยวกับอันลั่วเฉิงกับซวี่กวงทั้งสองคนบนอินเทอร์เน็ตเลย หรือว่าพวกเขาสองคนรู้จักกันด้วย 


 


 


คนหนึ่งเป็นผู้กำกับปีศาจที่ทำตัวลึกลับ ส่วนอีกคนเป็นไอดอลสายดนตรีที่มีคะแนนนิยมสุดๆ พวกเขาสองคนดูเหมือนไม่น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกันได้เลยนี่นา แต่ว่า ก็ไม่แน่… 


 


 


ขณะที่ความคิดหลินหว่านกำลังลอยไปไกล อันลั่วเฉิงก็เฉลยข้อสงสัยของเธอ “ผมกับซวี่กวงรู้จักกันครับ ผมมีงานบางอย่างอยู่ที่นี่ พอดีพักอยู่โรงแรมเดียวกันกับเขาจึงมาหาเขาน่ะ” 


 


 


แต่ว่าอันลั่วเฉิงไม่ได้บอกกับหลินหว่านว่าเขากับซวี่กวงเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว 


 


 


“อ่า…งั้นเหรอคะ งั้นก็บังเอิญจริงๆ เลย” หลินหว่านถึงบางอ้อ 


 


 


อันลั่วเฉิงดึงเรื่องกลับมาที่หลินหว่านอีกครั้ง “ใช่แล้ว หลินหว่าน เมื่อก่อนผมเคยได้ยินเรื่องผลงานของคุณ คุณมีพรสวรรค์มากเลยนะ แล้วก็มีความสามารถมากด้วย…” 


 


 


“จริงเหรอคะ ขอบคุณค่ะ!” พอได้ยินคำชมของอันลั่วเฉิง หลินหว่านก็รู้สึกตื่นเต้นทั้งยินดีเอามากๆ จนโพล่งออกมาอย่างดีใจ

 

 

 


ตอนที่ 92

 

ขอลาหยุด

 


 


 


 


ขณะที่หลินหว่านกับอันลั่วเฉิงกำลังพูดคุยกันในห้องของซวี่กวงนั้นเอง ก็มีเสียงเปิดประตูห้องดังมาจากทางหน้าห้อง จากนั้นเสียงของซวี่กวงก็ดังขึ้น “พวกคุณสองคนทำไมมาอยู่นี่ได้” 


 


 


อันลั่วเฉิงพอเห็นซวี่กวงก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “นายกลับมาจนได้นะ! เมื่อสักครู่นี้ไปไหนมาล่ะ” 


 


 


“ฉันแค่ไปร้านสะดวกซื้อน่ะ” ซวี่กวงตอบ พูดพลางเขาก็ยกถุงข้าวของในมือขึ้นวางบนโต๊ะ 


 


 


หลินหว่านเห็นว่าของในถุงส่วนใหญ่เป็นของใช้ส่วนตัว เธอจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าซวี่กวงน่าจะเป็นคนที่รักสะอาดมากคนหนึ่ง 


 


 


ตอนนั้นเอง สายตาของซวี่กวงก็เบนมาที่หลินหว่าน เขาถามว่า “หลินหว่าน คุณมาทำอะไรที่นี่” 


 


 


“ฉ…ฉันมาขอลาหยุดค่ะ” หลินหว่านรีบตั้งสติตอบกลับไป 


 


 


“ขอลาหยุด?” ซวี่กวงฟังแล้ว ขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


หลินหว่านเกรงว่าซวี่กวงจะเข้าใจเธอผิด จึงรีบอธิบายต่อว่า “คืออย่างนี้ค่ะ ผู้กำกับซวี่ ตอนบ่ายฉันมีนัดถ่ายโฆษณาชิ้นหนึ่ง การถ่ายตัวอย่างหนังจะเริ่มพรุ่งนี้ ฉันก็เลยจะขอลาหยุดช่วงบ่าย…” 


 


 


เสียงของหลินหว่านค่อยๆ เบาลง พอพูดจบเธอก็มองซวี่กวงด้วยท่าทางกระสับกระส่าย 


 


 


อวิ๋นซีบอกว่าซวี่กวงเป็นคนพูดยาก จึงไม่รู้ว่าเขาจะยอมหรือเปล่า ถ้าหากเขาไม่อนุญาตจะด่าเธอตรงนี้เลยหรือเปล่านะ…หลินหว่านคิดไปไกลโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ซวี่กวงฟังแล้วก็มองหลินหว่าน ผงกศีรษะเบาๆ พูดว่า “ได้สิ ขอแค่พรุ่งนี้คุณอย่ามาสายก็แล้วกัน” 


 


 


“จ…จริงเหรอคะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านได้ยินแล้วมองซวี่กวงอย่างคาดไม่ถึง เขารับปากเธออย่างง่ายดายแบบนี้เลย 


 


 


ซวี่กวงผงกศีรษะให้หลินหว่านอีกครั้ง แต่ไม่พูดซ้ำคำพูดเมื่อครู่อีก 


 


 


“ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่” พอได้รับการยืนยันจากซวี่กวง หลินหว่านก็กล่าวขอบคุณอย่างดีใจ 


 


 


พอกลับถึงห้องพักตัวเอง หลินหว่านยังไม่อยากเชื่อว่าซวี่กวงจะอนุญาตให้เธอง่ายดายแบบนี้ อวิ๋นซีบอกว่าซวี่กวงพูดยากไม่ใช่หรือไง 


 


 


หลินหว่านโทรหาอวิ๋นซีแล้วบอกเธอว่าซวี่กวงอนุญาตให้เธอลาหยุดได้ 


 


 


“จริงเหรอ หว่านหว่าน ซวี่กวงเขาตอบรับง่ายๆ อย่างนั้นเลย” อวิ๋นซีย้อนถามอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


“ก็ใช่นะสิ ฉันรู้สึกว่าเขาก็ไม่ได้พูดยากอย่างที่ลือกันหรอกนะ” หลินหว่านนึกถึงท่าทีที่พอจะเรียกได้ว่าอบอุ่นอ่อนโยนของซวี่กวงแล้วพูดขึ้น 


 


 


“งั้นเหรอ ดูท่าข่าวลือนี่ไม่น่าเชื่อถือนะ เอาล่ะ หว่านหว่าน เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอเตรียมตัวก่อนนะ ฉันจะส่งคนไปรับ ตอนบ่ายไปถ่ายโฆษณาที่บริษัทโฆษณาด้วยกัน…” อวิ๋นซีเปลี่ยนเรื่องพูด 


 


 


“ได้ค่ะ อวิ๋นซี” หลินหว่านตอบรับ 


 


 


หลินหว่านออกจากห้องของซวี่กวงแล้ว ภายในห้องก็เหลือแค่อันลั่วเฉิงกับซวี่กวงเพียงสองคน 


 


 


“นายบอกเธอเรื่องของเราสองคน?” ซวี่กวงมองอันลั่วเฉิงแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็น 


 


 


อันลั่วเฉิงเห็นแล้วยิ้มเป็นเชิงยั่วเย้า แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเกินจริงว่า “จะได้ยังไง ผู้กำกับใหญ่ซวี่ คุณเก็บเนื้อเก็บตัวขนาดนี้ ผมจะบอกหลินหว่านว่าพวกเราเป็นเพื่อนรักกันมานานได้อย่างไรกัน” 


 


 


ซวี่กวงมองอันลั่วเฉิงด้วยสายตาเย็นชา ท่าทางบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดเขาเลยสักนิด 


 


 


อันลั่วเฉิงเห็นท่าทีของซวี่กวงแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้บอกหลินหว่านจริงๆ นะ ฉันแค่บอกเธอว่าพวกเรารู้จักกัน อย่างอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” 


 


 


ซวี่กวงฟังแล้วดูเหมือนจะเชื่อคำพูดของอันลั่วเฉิง เขาถามอีกว่า “งั้นนายมานี่ทำไม” 


 


 


อันลั่วเฉิงบอกกับซวี่กวงว่า “จะว่าไปก็บังเอิญนะ พักนี้ฉันมาทำงานที่นี่ พอดีนายก็มาพักที่โรงแรมเดียวกัน ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยียนหน่อยน่ะ” 


 


 


“อ้อ” ซวี่กวงฟังแล้วตอบรับเสียงเย็นคำหนึ่ง แล้วพูดว่า “งั้นนายกลับไปได้แล้ว” 


 


 


อันลั่วเฉิงได้ยินแล้วไม่โมโหเลยสักนิด เขากับซวี่กวงเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี รู้ดีว่าซวี่กวงเย็นชาแบบนี้กับทุกคนมาตลอดนั่นล่ะ เขาเคยเห็นว่านอกจากซวี่กวงจะอารมณ์ขึ้นเพราะหนังของเขาแล้วก็ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นเขามีอารมณ์กับอะไรอย่างอื่นอีก 


 


 


หลินหว่านหลังจากขอลาหยุดกับซวี่กวงแล้ว ตอนบ่ายเธอก็มาถ่ายโฆษณาที่บริษัทโฆษณากับอวิ๋นซี 


 


 


เนื่องจากเป็นสัญญาที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินหว่านจึงไม่นับว่าแปลกหน้ากับโฆษณาชุดนี้ เธอแค่เตรียมตัวง่ายๆ เท่านั้นก็ถ่ายสำเร็จได้อย่างสบาย 


 


 


หลังถ่ายโฆษณาเสร็จ หลินหว่านกำลังจะกลับเข้ากองถ่ายกับอวิ๋นซี ก็พบว่าเซียวจิ่งสือกำลังเดินมาหาเธอพอดี 


 


 


เซียวจิ่งสือพอเห็นหลินหว่านก็ตาเป็นประกาย ถามว่า “หว่านหว่าน คุณถ่ายโฆษณาเสร็จแล้วเหรอ” 


 


 


เขาเพิ่งโทรถามอวิ๋นซี จึงรู้ว่าหลินหว่านมาถ่ายโฆษณาที่นี่ แล้วก็เลยรู้เรื่องที่หลินหว่านเข้ากองถ่ายก่อนกำหนดเพื่อถ่ายตัวอย่างหนัง 


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ ตอบว่า “ถ่ายเสร็จแล้วค่ะ ฉันกำลังจะกลับกองถ่ายพอดี” 


 


 


เซียวจิ่งสือได้ฟังก็ถูกใจมาก เขาเอ่ยปากว่า “หว่านหว่าน ให้ผมส่งคุณกลับนะครับ” 


 


 


“งั้นก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลินหว่านคิดดูแล้วตอบรับยิ้มๆ  


 


 


“งั้นประธานเซียวคะ หว่านหว่าน ฉันกลับก่อนนะคะ” อวิ๋นซีเห็นแล้วรู้สึกว่าเธอกลับเองน่าจะดีกว่าจึงพูดขึ้น 


 


 


เซียวจิ่งสือผงกศีรษะรับ พออวิ๋นซีจากไปเขาก็ดึงตัวหลินหว่านไปด้วยกัน 


 


 


แต่ที่ไหนได้ เซียวจิ่งสือกลับพาหลินหว่านมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง 


 


 


หลินหว่านเห็นแล้วกำลังตั้งท่าไม่พอใจ เซียวจิ่งสือก็กะพริบดวงตาพราวระยับคู่นั้น พูดออดอ้อนกับเธอว่า “หว่านหว่าน ถึงอย่างไรแล้วพรุ่งนี้ถึงจะเริ่มถ่ายตัวอย่างหนัง วันนี้คุณไม่ต้องรีบร้อนกลับกองถ่ายหรอก คุณอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนผมสักมื้อนะครับ” 


 


 


หลินหว่านถอนใจเฮือก เซียวจิ่งสือรู้ดีแก่ใจว่าพอเขากะพริบตาพราวระยับกับอ้อนเธอเข้าหน่อยเธอก็ไม่อาจหักใจปฏิเสธเขาได้อยู่ดี เธอตอบอย่างอ่อนใจว่า “ได้ค่ะ แต่ว่า ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ…” 


 


 


หลินหว่านพูดไม่ทันจบคำ ก็ถูกเซียวจิ่งสือจูงมือเข้าร้านไป 


 


 


ระหว่างทานข้าว หลินหว่านเผลอพูดถึงเฉิงเฉิงโดยไม่ตั้งใจ ตั้งแต่เขากับอันซิงมีข่าวฉาวด้วยกัน เธอก็ไม่ได้ข่าวของเฉิงเฉิงบนอินเทอร์เน็ตอีกเลย ไม่รู้ว่าที่เธอขอให้เซียวจิ่งสือช่วยสืบเรื่องของเฉิงเฉิงนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว 


 


 


ที่ไหนได้เซียวจิ่งสือพอได้ยินชื่อเฉิงเฉิงก็เกิดพายุหึงอาละวาด “หว่านหว่าน ที่แท้ตอนคุณทานข้าวกับผม ในใจก็คิดถึงแต่คนอื่น” 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เซียวจิ่งสือ…” หลินหว่านฟังแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอรีบพูดปลอบเซียวจิ่งสือเป็นระวิง 


 


 


หลังอาหารเย็น เซียวจิ่งสือก็พาหลินหว่านส่งกลับโรงแรมที่พักของกองถ่าย 


 


 


หลินหว่านลงจากรถ เซียวจิ่งสือเรียกหลินหว่านเอาไว้แล้วพูดกับเธออย่างเว้าวอน “หว่านหว่าน คุณอยู่ที่กองถ่ายต้องคิดถึงผมนะ ผมว่างเมื่อไหร่จะมาเยี่ยมคุณนะ” 


 


 


เซียวจิ่งสือเพิ่งจะคิดได้ระหว่างทางขับรถมานี่เอง แม้ว่ากองถ่ายของซวี่กวงจะมีระเบียบว่าเปิดกล้องแล้วห้ามไม่ให้ออกนอกกองถ่าย แต่เขาเข้ามาได้นี่นา เขาสามารถอ้างว่าเข้ามาดูงานกองถ่ายเพื่อเยี่ยมหลินหว่านในกองถ่ายได้นี่ 


 


 


“เซียวจิ่งสือ คุณอย่าป่วนได้ไหมคะ” หลินหว่านฟังแล้วได้แต่มองดูเซียวจิ่งสืออย่างไม่รู้จะทำอย่างไรได้ 


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มยียวน “เอาล่ะ หว่านหว่าน คุณรีบกลับไปเถอะ บาย” จากนั้นปิดประตูรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลินหว่านยืนนิ่งมองดูเซียวจิ่งสือที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป แล้วเธอค่อยไปจากตรงนั้น พรุ่งนี้ต้องถ่ายตัวอย่างหนังอีก คืนนี้เธอต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน

 

 

 


ตอนที่ 93

 

หมางเมิน

 


 


 


 


วันรุ่งขึ้น การถ่ายทำหนังตัวอย่างก็เปิดกล้องอย่างเป็นทางการ 


 


 


หลินหว่านให้ความสำคัญกับหนังเรื่องนี้มาก เธอจึงมาถึงสถานที่ถ่ายทำแต่เช้า 


 


 


พอหลินหว่านมาถึงก็พบว่าซวี่กวงอยู่ที่นี่แล้ว เธอรีบเข้าไปทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “ผู้กำกับซวี่ สวัสดีค่ะ คุณก็มาแต่เช้าเลยนะคะ” 


 


 


“อื้ม” แต่ที่ไหนได้ ซวี่กวงมองเธอแล้วก็แค่ส่งเสียงรับทีหนึ่ง จากนั้นก็ยุ่งกับงานของเขาต่อไป 


 


 


หลินหว่านเริ่มคุ้นเคยกับท่าทีเย็นชาของซวี่กวงแล้ว เธอจึงพูดต่อว่า “ผู้กำกับซวี่คะ เมื่อวานขอบคุณ 


 


 


นะคะที่ยอมให้ฉันลาหยุดช่วงบ่าย เดี๋ยวฉันจะตั้งใจแสดงให้เต็มที่เลยค่ะ” 


 


 


ซวี่กวงได้ยินแล้วก็มองหลินหว่านแวบหนึ่ง พูดว่า “อืม คุณไปแต่งหน้าเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ” 


 


 


สีหน้าของซวี่กวงไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย หลินหว่านดูไม่ออกว่าเขารู้สึกรำคาญเธอหรือว่ารู้สึกอย่างอื่นกันแน่ จึงได้แต่ผละจากมาอย่างจ๋อยๆ  


 


 


หลินหว่านแต่งหน้าเสร็จ เปลี่ยนมาสวมชุดที่จะใช้ถ่ายทำ แล้วนักแสดงคนอื่นๆ ในกองถ่ายจึงค่อยๆ มาถึงสถานที่ถ่ายทำ 


 


 


หลินหว่านเข้าไปทักทายพวกเขาทุกคนอย่างอบอุ่น ยังพอมีเวลาก่อนเริ่มเปิดกล้องอีกนิดหน่อย 


 


 


เหล่านักแสดงที่แต่งหน้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วพากันว่างจึงจับกลุ่มพูดคุยกัน 


 


 


“พวกคุณรู้หรือเปล่า ได้ยินว่าไอดอลอันก็พักที่โรงแรมใกล้ๆ กับกองถ่ายของพวกเรานี่เอง เมื่อคืนฉันออกมากินมื้อดึกเหมือนจะเห็นเขาด้วยล่ะ ไม่รู้ว่าใช่เขาจริงหรือเปล่าสิ” 


 


 


นักแสดงบทหญิงสองในหนังเรื่องนี้พูดขึ้น เธอกับหลินหว่านพักที่โรงแรมเดียวกัน หลินหว่านกับเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีพอควร 


 


 


“ผมก็ได้ยินมาล่ะ เพื่อนผมคนหนึ่งบอกนะ น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จนี่สิ” นักแสดงบทชายสี่พูดขึ้นอีกคน 


 


 


“เป็นความจริงล่ะ เมื่อวานฉันกับผู้กำกับซวี่…” หลินหว่านที่รับฟังอยู่ด้านข้าง อยากจะเข้าร่วมวงมาคุยด้วย แต่เพิ่งเอ่ยปาก ก็ถูกซวี่กวงพูดขัดขึ้น 


 


 


“หลินหว่าน คุณมานี่หน่อย” 


 


 


น้ำเสียงของซวี่กวงเย็นชาเหมือนเคย แต่ในตอนนี้หลินหว่านกลับรู้สึกได้ว่าในคำพูดของเขาแฝงด้วยความโกรธอยู่หลายส่วน 


 


 


คำพูดของซวี่กวงทำให้สายตาทุกคู่ในที่นั้นต่างพุ่งมาที่ร่างของหลินหว่าน พวกเขารู้สึกว่าซวี่กวงพุ่งเป้าระบายอารมณ์มาที่หลินหว่าน ถึงอย่างไรข่าวก็บอกว่าซวี่กวงไม่ใช่คนอารมณ์ดีอยู่แล้ว 


 


 


หลินหว่านรีบมาที่ด้านข้างซวี่กวง ถามอย่างไม่สบายใจนักว่า “ผู้กำกับซวี่ มีอะไรเหรอคะ” 


 


 


“ไปช่วยผมเอาบทมา” ซวี่กวงเห็นหลินหว่านเข้ามาหาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ 


 


 


หลินหว่านอึ้งไปขณะหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างไปนักมีสิ่งของสีขาวกองหนึ่งดูเหมือนจะเป็นบทหนังนั่นเอง เธอรีบวิ่งเข้าไปหยิบมาแล้วยื่นส่งให้ซวี่กวงอย่างระมัดระวัง “ผู้กำกับซวี่ นี่ค่ะบทของคุณ…” 


 


 


ซวี่กวงรับเอามาแล้วกลับไม่พูดอะไรอีก จากนั้นประกาศกับทุกคนว่าให้เริ่มเปิดกล้องถ่ายหนังตัวอย่างกันได้ 


 


 


ตลอดเช้าที่ถ่ายทำมาจนตอนพักเที่ยง หลินหว่านก็ยังสงสัยกับพฤติกรรมของซวี่กวงไม่หาย 


 


 


ตอนทานข้าว ทุกคนคุยเรื่องไอดอลอันกันอีก จู่ๆ หลินหว่านก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่าซวี่กวงไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องของเขากับไอดอลอัน ดังนั้นเขาจึงจงใจพูดขัดขึ้นตอนที่เธอกำลังจะบอกกับทุกคน 


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเป็นไปได้ว่าซวี่กวงเก็บเนื้อเก็บตัวขนาดนั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาบนอินเทอร์เน็ตหาดูได้น้อยมากจนน่าสงสาร นี่อาจเป็นเพราะซวี่กวงไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงเรื่องส่วนตัวของเขาก็ได้ ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับอันลั่วเฉิง 


 


 


แน่ล่ะ ถ้าหากมีข่าวว่าอันลั่วเฉิงปรากฏตัวที่ห้องของซวี่กวงละก็ เป็นต้องเกิดข่าวลือที่ไม่ดีขึ้นแน่นอน 


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งแน่ใจ ขณะเดียวกันเธอก็รับรู้ด้วยความเศร้าใจว่าเธอเพิ่งจะทำให้ซวี่กวงโกรธโดยไม่ตั้งใจ 


 


 


ถ่ายตัวอย่างหนังวันแรกก็ล่วงเกินผู้กำกับเสียแล้ว หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นกังวล หลังกินข้าวเสร็จ เธอมาที่สตูดิโอถ่ายหนัง เห็นซวี่กวงกำลังอ่านบทอยู่ 


 


 


หลินหว่านเข้าไปหาเขาอย่างหวาดๆ แล้วรวบรวมความกล้าพูดขึ้นว่า “ผู้กำกับซวี่ ขอโทษค่ะ…” 


 


 


พูดจบ หลินหว่านก็แอบมองซวี่กวงแวบหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรกับคำพูดเธอเลย จึงพูดขึ้นอีกว่า “ผู้กำกับซวี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบอกทุกคนเรื่องของคุณกับไอดอลอัน…” 


 


 


แต่หลินหว่านยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นว่าซวี่กวงพับบทหนังเก็บแล้วลุกขึ้นเดินจากไป โดยไม่หันมาแลเธอเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


หลินหว่านมองตามเงาหลังที่ห่างออกไปของซวี่กวง เธอนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ก่อนนี้ซวี่กวงแม้จะเย็นชากับเธอยังไง แต่ก็ไม่ถึงกับเดินจากไปโดยไม่พูดด้วยสักคำ ไม่มองเธอสักนิดเลยนี่นา… 


 


 


หรือว่าเธอทำให้ซวี่กวงโกรธมากจนไม่ยอมให้อภัยเลยเหรอ หลินหว่านคิดอย่างกลัดกลุ้ม 


 


 


ไม่รู้ว่าต่อไปตอนถ่ายหนังซวี่กวงจะเล่นงานเธอหรือเปล่า หลินหว่านคิดหนักอย่างเป็นกังวล  


 


 


ดังนั้น ระหว่างการถ่ายทำในช่วงบ่าย หลินหว่านจึงตั้งใจแสดงบทบาทของเธออย่างเต็มที่สุดๆ  


 


 


แต่ยังดีที่ตอนถ่ายทำหลินหว่านสังเกตซวี่กวงแล้วพบว่า ถึงแม้เขาจะเฉยชากับเธอมากกว่าเมื่อก่อน แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเล่นงานเธอแต่อย่างใด 


 


 


หลินหว่านถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก 


 


 


แต่แล้วในตอนนั้นเองหลินหว่านก็ถูกคนกระแทกเข้ามาจากด้านหลัง เธอไม่ทันระวังตัวจึงล้มลงกับพื้นอย่างไม่สวยนัก 


 


 


“หลินหว่าน คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้คนรอบข้างที่พบเห็นพากันห้อมล้อมเข้ามาไต่ถาม 


 


 


“ขอโทษค่ะ ขอโทษ…” คนที่ชนหลินหว่านกล่าวขอโทษเธออย่างไม่สบายใจนัก เธอเป็นผู้ช่วยตัวเล็กๆ คนหนึ่งในทีมอุปกรณ์ประกอบฉาก กำลังอุ้มกล่องใบหนึ่งที่ขนาดสูงกว่าคนเสียอีก เมื่อครู่เธอไม่ทันเห็นว่ามีคนอยู่ข้างหน้าจึงชนเข้ากับหลินหว่านโดยไม่ตั้งใจ 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ…” หลินหว่านถูกพยุงขึ้นมานั่งที่ด้านข้าง เธอพูดกับผู้ช่วยนั้นพร้อมกับส่ายศีรษะ 


 


 


ตอนนั้นเองหลินหว่านรู้สึกว่าหัวเข่าเธอปวดแปลบขึ้น พอดึงชุดที่สวมอยู่ขึ้นก็เห็นว่าที่หัวเข่าเธอมีรอยเขียวช้ำจากการหกล้มเมื่อครู่ 


 


 


ผู้ช่วยของหลินหว่านเห็นแล้วก็รีบวิ่งไปหายานวดแก้ช้ำบวม ส่วนผู้ช่วยผู้กำกับเห็นแล้วก็อุทานอย่างตกใจว่า “ผู้กำกับซวี่ จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้” 


 


 


เนื่องจากฉากต่อไปของหลินหว่านต้องถ่ายฉากโหนตัวบนสลิงด้วย 


 


 


หลินหว่านหันมาทางซวี่กวง อยากรู้ว่าเขาจะให้เธอถ่ายต่อด้วยเหตุผลว่าบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือเปล่า 


 


 


ซวี่กวงมองรอยช้ำที่หัวเข่าหลินหว่านแค่แวบเดียว ไม่มองเธอด้วยซ้ำ จากนั้นทิ้งคำพูดเสียงเย็นไว้ว่า “พรุ่งนี้ค่อยถ่ายต่อ” แล้วเดินจากไป 


 


 


หลินหว่านค่อยวางใจลงได้จริงๆ ดูท่าว่าซวี่กวงคงไม่ ‘เอาคืนเป็นการส่วนตัว’ กับเธอที่กองถ่ายนี้แน่ 


 


 


วันต่อมา เซียวจิ่งสือก็มาเยี่ยมกองถ่าย พร้อมกันนั้นเขายังนำข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับหลินหว่านมาด้วย 


 


 


“คุณจะบอกว่า เฉิงเฉิงตอนนี้โดน ‘แช่แข็ง’ งั้นเหรอคะ แล้วยังเป็นคำสั่งจากพ่อเขาเองอีก?” หลินหว่านฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือแล้วประหลาดใจสุดขีด “คุณคงไม่หลอกฉันใช่ไหมคะ” 


 


 


เซียวจิ่งสือได้ยินแล้วไม่พอใจมาก “หว่านหว่าน คุณไม่เชื่อผมก็แล้วกันไปเถอะ” 


 


 


คราวก่อน หลินหว่านเอ่ยถึงเฉิงเฉิงขึ้นมา เซียวจิ่งสือจึงไปสืบเรื่องของเฉิงเฉิงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ดังนั้นพอได้เรื่องเขาจึงรีบมาบอกหลินหว่าน ถึงแม้เรื่องที่ติดตามมาได้ก็เหนือความคาดหมายเขาอยู่ไม่น้อย 


 


 


“เชื่อสิคะ ฉันเชื่อก็ได้ค่ะ” ถึงแม้ว่าหลินหว่านจะมึนงงกับข่าวที่ได้ทราบ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเชื่อเซียวจิ่งสือ

 

 

 


ตอนที่ 94

 

ขอโทษ

 


 


 


“หลินหว่าน ที่คุณให้ผมจัดการกับเรื่องของเฉิงเฉิง หลายวันมานี้ ผมยุ่งซะหัวหมุนไปหมด แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือความรู้สึกดีอะไรให้มันแล้ว มันต้องไม่ใช่คนดีเด่อะไร ไม่รู้ว่าแอบซุกเรื่องอะไรไว้ใต้พรมบ้าง แล้วเรื่องนี้ยังเกี่ยวกับเฉิงหมิงอีก เลยยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนเข้าไปกันใหญ่ ผมอยากให้คุณอยู่ห่างๆ จากมันไว้ อย่าเข้าไปหาเรื่องยุ่งใส่ตัวล่ะ” เซียวจิ่งสือนั่งหน้าเชิดอย่างถือดีอยู่บนโซฟา คอยปรายตามองดูหลินหว่านเป็นระยะ


 


 


หลินหว่านกวาดตามองเซียวจิ่งสือแวบหนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจนัก เธอให้เขาไปสืบเรื่องข่าวฉาวของเฉิงเฉิง ตอนนี้เขากลับมานั่งตีไข่ใส่สีเฉิงเฉิงอยู่นี่ซะอย่างนั้น


 


 


หลินหว่านถอนใจยาวอย่างผิดหวัง จากนั้นหันมาพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “คุณอย่าทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลแบบนี้ได้ไหมคะ ทำไมคุณถึงชอบว่าเฉิงเฉิงลับหลังเขาอยู่เรื่อย เขาก็ไม่ได้ทำอะไรคุณสักอย่าง แล้วฉันก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีทีเดียวเลยนี่นะ คุณนี่ช่างเอาแต่ใจเสียจริงเลย”


 


 


หลินหว่านรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเซียวจิ่งสือไม่ชอบที่เธอกับเฉิงเฉิงสนิทกัน จึงมักจะพูดถึงเฉิงเฉิงในแง่ร้าย แต่ตอนนี้เป็นช่วงฉุกเฉิน เซียวจิ่งสือยังทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้อีก ไม่เอาใจใส่กับเรื่องนี้แล้วยังจะพูดจาว่าร้ายเฉิงเฉิงเสียอีก ซึ่งมันทำให้หลินหว่านไม่พอใจอย่างมาก


 


 


“ผมพูดจาว่าร้ายเขา ผมใช้คำหยาบคายสักคำที่ไหน ผมแค่บอกให้คุณอยู่ห่างจากเขาไว้หน่อย ดูท่าว่าหมอนั่นจะไม่ใช่ใสซื่อบริสุทธิ์นักหรอก ผมก็แค่อยากให้คุณรักษาระยะห่างกับเขาไว้ ทำไมคุณต้องโมโหผมขนาดนี้ด้วยล่ะ” เซียวจิ่งสือเบิกตากว้างจ้องหน้าหลินหว่านพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


 


หลินหว่านยิ่งอึดอัดใจสุดๆ ทำไมคำพูดของเธอเซียวจิ่งสือจึงฟังไม่เข้าใจอยู่เรื่อยเลยนะ แล้วยังมักจะทำให้เธอขุ่นใจอยู่เรื่อย ตอนนี้เฉิงเฉิงต้องตกอยู่ในสภาพนี้แล้วเขายังมาพูดจาซ้ำเติมเฉิงเฉิงอยู่อีก


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ คุณอย่าดื้อนักเลยได้ไหมคะ แล้วก็อย่าเอาแต่ใจด้วย ฉันไม่มีอารมณ์จะโต้แย้งอะไรกับคุณหรอก ถ้าคุณไม่อยากช่วยเขาก็บอกมาตรงๆ เถอะค่ะ” หลินหว่านพูดอย่างโมโห


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านตาค้าง เขาไม่คิดเลยว่าหลินหว่านจะโมโหขนาดนี้ ยิ่งเพราะเฉิงเฉิงอีก มันทำให้เซียวจิ่งสือเดือดปุดๆ แต่ไม่กล้าปะทะกับหลินหว่านที่กำลังโกรธจึงได้แต่นั่งหน้าบูดอยู่ด้านข้าง คอยเหลียวมองหลินหว่านเป็นระยะ ขณะที่นึกบ่นน้อยใจอยู่บ้าง


 


 


หลินหว่านก็ไม่อยากจะคุยกับเซียวจิ่งสือให้มากเรื่องอีก จึงผละจากไป


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีไปที่กองถ่าย เธอยังกลัวที่จะพบหน้าซวี่กวงอยู่บ้าง หลินหว่านไม่อยากเจอใบหน้าที่เย็นชาหมางเมินนั่น ทั้งนึกถึงที่ตัวเองล่วงเกินซวี่กวงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ


 


 


“อวิ๋นซี ฉันว่าจะไปขอโทษผู้กำกับซวี่กวงนะ ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ในกองถ่ายอีกนานมากอยู่ คงให้เขามาตั้งป้อมกับฉันต่อไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงรู้สึกเหนื่อยใจมากเลย” หลินหว่านมองอวิ๋นซีด้วยสายตาคาดหวัง


 


 


ตอนนี้หลินหว่านรู้สึกลำบากใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของเธอกับซวี่กวงดีขึ้น ถ้าหากเธอรวบรวมความกล้าเข้าไปพูดขอโทษแล้ว ซวี่กวงยังเฉยชากับเธอจะทำอย่างไรดี แต่ถ้าไม่ขอโทษ ซวี่กวงก็อาจเกลียดขี้หน้าหลินหว่านไปเลยก็ได้


 


 


“ผู้กำกับซวี่กวง? เธอหมายถึงเรื่องที่เคยเล่าให้ฉันฟังนะเหรอ เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นหรอกน่า เธอก็แค่พูดโดยไม่ตั้งใจเท่านั้นเอง หรือเขายังจะเลือกปฏิบัติกับเธอเพราะเรื่องนี้หรือไง เขาเป็นถึงผู้กำกับชื่อดังของวงการบันเทิงเชียวนะ ไม่น่าจะทำกับนักแสดงแบบนี้เพราะเรื่องเล็กนิดเดียวแค่นี้หรอกน่า บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะ” อวิ๋นซีพูดปลอบหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านคอตกมองอวิ๋นซีอย่างท้อใจ รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างไวต่อความรู้สึก ปกติถ้ามีคนคิดกับเธอผิดแปลกไปหรือเกลียดเธอ หลินหว่านจะรู้สึกตัวได้ทันที ซึ่งหลินหว่านรู้สึกได้ว่าผู้กำกับซวี่กวงค่อนข้างถือสากับเรื่องนี้


 


 


“ฉันรู้สึกได้ ไม่ผิดหรอก ช่างเถอะ ฉันว่าจะไปขอโทษล่ะ ยังต้องอยู่ในกองถ่ายอีกตั้งนาน แล้วผู้กำกับซวี่กวงยังเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการบันเทิงอีก ฉันทำให้เขาโกรธไม่ได้หรอก” หลินหว่านพูดน้ำเสียงจริงจัง


 


 


“งั้นเธอก็ไปเถอะ ขอให้โชคดีนะ เธอก็อย่ากังวลใจไปเลย ฉันเชื่อนะว่าผู้กำกับซวี่กวงต้องยอมรับคำขอโทษของเธอ” อวิ๋นซีพูดด้วยรอยยิ้ม ตบบ่าหลินหว่านอย่างปลอบโยน


 


 


หลินหว่านรวบรวมความกล้ามายืนตรงหน้าผู้กำกับซวี่กวง เธอเห็นว่าผู้กำกับซวี่กำลังยุ่งจึงไม่เข้าไปรบกวน ยืนรอเขาที่ด้านข้างอยู่พักหนึ่ง


 


 


ซวี่กวงเหมือนจะเห็นหลินหว่านแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากกับเธอสักคำ


 


 


หลินหว่านเห็นว่าผู้กำกับซวี่กวงวางมือจากงานแล้วจึงเดินเข้าไปหาอย่างขัดเขินอยู่บ้าง


 


 


“ผู้กำกับคะ สวัสดีค่ะ” หลินหว่านยิ้มน้อยๆ พลางยื่นมือออกเพื่อจับมือทักทายกับซวี่กวง


 


 


ซวี่กวงยังคงมีสีหน้าเย็นเฉียบจนเป็นน้ำแข็ง แต่เขายังจับมือทักทายกับหลินหว่านตามมารยาท


 


 


“ผู้กำกับคะ ต้องขอโทษด้วยเรื่องเมื่อคราวก่อนนะคะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทราบว่าคุณจะถือที่พูดถึงคุณอันลั่วเฉิงขนาดนั้น ต่อไปฉันจะระวังค่ะ ขอให้คุณสบายใจได้เลย ครั้งนี้ต้องขอโทษอย่างมากจริงๆ ค่ะ หวังว่าผู้กำกับจะยกโทษให้ฉัน ได้ไหมคะ” หลินหว่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ


 


 


ซวี่กวงยิ้มบางๆ ออกมาในที่สุด เขามองหลินหว่าน ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ชี้มือไปที่เก้าอี้ที่ด้านหนึ่งเป็นทีให้หลินหว่านนั่งลง


 


 


หลินหว่านรู้สึกเหมือนจะลอยได้อยู่บ้าง แต่ก็ยังนั่งลงโดยดี ในใจผ่อนคลายอย่างโล่งอก


 


 


“คุณก็รู้จักชื่อเสียงของอันลั่วเฉิงในวงการบันเทิง คุณเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง คุณรู้สึกว่าเขามีความสามารถไหม” ซวี่กวงถามเสียงเบา ขณะที่ดวงตามองไปข้างหน้า


 


 


หลินหว่านรู้สึกเหลือเชื่อ ตอนแรกผู้กำกับซวี่กวงไม่อยากให้คนอื่นพูดถึงอันลั่วเฉิงไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ตัวเขากลับพูดเสียเอง ทั้งยังพูดเหมือนไม่มีอะไรอีก หลินหว่านรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าผู้กำกับซวี่กวงคิดอะไรอยู่กันแน่


 


 


หลินหว่านฟังคำถามของซวี่กวงแล้ว ไม่เข้าใจว่าเขาพูดประโยคนี้หมายความว่าอะไร ไม่รู้ว่าเขาชอบหรือเกลียดอันลั่วเฉิงกันแน่ ต้องตอบอย่างไรจึงจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งนี่พอใจได้นะ


 


 


หลินหว่านตอบอย่างรักษาท่าทีว่า “ในเมื่อเขาเป็นรุ่นพี่ในวงการบันเทิง ฉันก็ควรจะเรียนรู้จากรุ่นพี่ ฉันไม่กล้าวิจารณ์คนอื่นหรอกค่ะ”


 


 


ซวี่กวงดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของหลินหว่าน เขายิ้มบางๆ ออกมาในที่สุด เงยหน้าขึ้นมองหลินหว่านทีหนึ่ง


 


 


หลินหว่านถอนใจอย่างโล่งอก ในเมื่อเลือกแล้วที่จะเป็นบุคคลของสาธารณชน เธอต้องระวังทุกคำพูดและทุกการกระทำให้มาก เมื่อก่อนหลินหว่านถูกให้ร้ายบนอินเทอร์เน็ตอยู่นาน เธอจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคนเราสมัยนี้พูดผิดเพียงคำเดียวก็อาจต้องเจอกับปัญหาที่ตามมาอีกเป็นพรวน ดังนั้นเธอจึงจำต้องปรับเปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวอย่างมาก แม้แต่จะพูดก็ต้องคิดพิจารณาเสียก่อน


 


 


ซวี่กวงพูดด้วยเสียงนุ่มลึกว่า “ช่วงนี้อัลบั้มใหม่ของอันลั่วเฉิงมีเพลงอยู่เพลงหนึ่งกำลังหาตัวนักร้องหญิงมาร้องคู่ด้วย คุณอยากจะร่วมงานกับเขาไหม นี่เป็นโอกาสดีทีเดียว คนมากมายที่ได้แต่วาดหวังเท่านั้น ถ้าหากคุณตกลง ก็ลองไปทดสอบดูได้ อย่างไรเสียโอกาสนี้ก็ไม่ได้มาง่ายนัก”


 


 


หลินหว่านดีใจจนลืมตัวจ้องมองซวี่กวงด้วยสายตาที่บอกว่าเหลือเชื่อ พวกเขานึกถึงโอกาสที่ดีขนาดนี้ แล้วยังให้เธอไปด้วย นี่นับเป็นโอกาสดีที่หาได้ยากสุดๆ ของหลินหว่านเลยทีเดียว และเธอก็มีความสุขกับการร้องเพลงเสียด้วย

 

 

 


ตอนที่ 95

 

ร่วมมือ

 


 


 


หลินหว่านสะกดกลั้นความตื่นเต้นดีใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ เธอยิ้มออกมาราวกับดอกไม้บาน ยิ่งชวนกินใจผู้คนเข้าไปอีก


 


 


“แน่นอนว่าฉันเต็มใจอยู่แล้วค่ะ ได้ร่วมร้องเพลงกับอันลั่วเฉิงเป็นเรื่องที่ฉันไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลย ตอนนี้ได้มีโอกาสดีขนาดนี้ ฉันต้องไม่ยอมแพ้แน่ค่ะ ถ้าที่คุณพูดเป็นความจริงละก็ฉันจะร้องอย่างตั้งใจจริงแน่นอนค่ะ”


 


 


ซวี่กวงเห็นท่าทีดีใจของหลินหว่านแล้วก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “คุณก็อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก โอกาสนี้ยังไม่แน่ว่าจะเป็นของคุณ คุณยังต้องผ่านด่านของโปรดิวเซอร์อีกคน เขาเป็นคนตัดสินขั้นสุดท้าย ผมแค่แนะนำคุณให้ไปด้วยเท่านั้น”


 


 


หลินหว่านค่อยเข้าใจว่าที่แท้เป็นการเตรียมนักร้องนำของฝ่ายหญิงนั่นเอง ซึ่งยังต้องคัดเลือกจากผู้คนอีกเป็นกอง ดูว่าคนไหนเหมาะโอกาสนี้จึงจะเป็นของคนนั้น หลินหว่านคิดว่าในวงการบันเทิงมีนักร้องดังตั้งมากมายขนาดนั้น ตัวเธอเองก็ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นอะไรนักในวงการดนตรี ซึ่งทำให้หลินหว่านเป็นกังวลอยู่บ้าง


 


 


“คุณยังจะไปไหม อันที่จริงผมว่าคุณก็ถือซะว่าครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่ง บางทีคุณอาจทำให้เขาเลือกคุณก็ได้ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ อีกอย่างตอนนี้คุณยังอายุน้อย ทุกอย่างล้วนเป็นการเรียนรู้ทั้งนั้น ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกหลายปี คุณจะกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังของวงการบันเทิงก็ได้นะ” ซวี่กวงพูดเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เขาดูเหมือนจะรู้ความคิดของหลินหว่าน ทุกคำพูดจึงเหมือนจะชี้นำทางให้กับเธอ


 


 


หลินหว่านนึกตามคำพูดของซวี่กวงแล้ว สุดท้ายตัดสินใจลองไปดูกันสักตั้ง อีกทั้งเธอยังแอบมั่นใจว่าจะทำให้ได้อีกด้วย เธอจะคว้าเอาโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายเลยนี้ให้ได้


 


 


“ฉันจะไปแน่ค่ะ ในเมื่อคุณเป็นคนแนะนำฉัน ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่ค่ะ ฉันจะตั้งใจทำโอกาสครั้งนี้ให้ดีที่สุด ถึงแม้ฉันจะรู้ดีว่ามันออกจะลำบาก แต่ฉันยังจะเผชิญกับมันด้วยความเชื่อมั่นค่ะ” หลินหว่านพูดอย่างจริงจัง ทุกคำพูดล้วนบอกถึงความมุ่งมั่นในใจเธอ


 


 


“งั้นก็ดีแล้ว อัลบั้มชุดนี้ของเขากำลังจะบันทึกเสียงในเร็วๆ นี้ คุณรอข่าวจากผมนะ ผมจะเรียกให้คุณไปลองทดสอบเสียงที่นั่นเอง เอาล่ะ ตอนนี้คุณกลับไปพักผ่อนได้แล้ว นี่ก็บ่ายมากแล้ว” ซวี่กวงก้มศีรษะพูด ดวงตาคู่นั้นดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังห่างจากเวลาตะวันตกดินอีกนานนัก ซวี่กวงยังให้เธอจากมา เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ชอบใจที่เธออยู่รบกวนเวลาทำงานของเขา หลินหว่านขมวดคิ้ว ผู้กำกับคนนี้มักทำให้เธอคาดเดาใจไม่ถูกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ หลินหว่านได้แต่กลับไปพักผ่อนก่อน


 


 


“หลินหว่าน เมื่อครู่ฉันอยู่ด้านข้างได้ยินหมดแล้วนะ ตอนนี้เธอมีโอกาสดีมากขนาดนี้ ต้องรักษาไว้ให้ดีล่ะ เธอยังบอกว่าผู้กำกับซวี่กวงจะตั้งแง่กับเธอเพราะเรื่องนั้น ฉันว่าตรงกันข้าม เขาดีกับเธอมากทีเดียวเลยนะ อย่างน้อยถ้าเทียบกับข่าวลือที่ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่สีหน้าเย็นชาจนทำเอานักแสดงแทบเป็นบ้านั่นก็เรียกว่าดีกว่าตั้งเยอะเลยนะ เขายังออกปากแนะนำเธอให้ร่วมร้องเพลงคู่กับนักร้องดังอีกด้วย” อวิ๋นซีเผยรอยยิ้มบางอย่างพอใจ


 


 


แม้หลินหว่านจะรู้สึกว่าผู้กำกับซวี่กวงดีกว่าที่เธอคิดไว้ แต่กลับยิ่งทำให้เธอคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างบดบังเอาไว้ หลินหว่านรู้แค่ว่าเขาเป็นคนเข้าใกล้ได้ยากนิดหน่อย


 


 


“เขาช่วยฉัน ฉันก็น่าจะขอบคุณเขาให้มาก ตอนนี้โอกาสนี้ยังไม่เป็นของฉัน หลายวันนี้กลับไปแล้วต้องฝึกร้องเพลงให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว หวังว่าจะคว้าโอกาสนี้มาได้นะ จะได้ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ว่ามันดูยากชะมัดเลย” หลินหว่านก้มหน้าคิดอย่างท้อใจ เริ่มกังวลว่าตัวเองจะร้องเพลงไม่เข้าขั้น


 


 


ตอนค่ำ อาบน้ำเสร็จแล้วมานอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ได้รับข้อความหนึ่งจากซวี่กวง


 


 


“พรุ่งนี้ผมจะส่งคุณไปทดสอบเสียงที่นั่น คุณเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พยายามตื่นแต่เช้า” ข้อความบนหน้าจอมีอยู่ไม่กี่คำ ทำให้นึกถึงน้ำเสียงการพูดจาของซวี่กวง


 


 


หลินหว่านสะดุ้งเฮือกใหญ่ เธอคิดไม่ถึงว่าจะไปทดสอบเสียงเร็วขนาดนี้ สมองของเธอชาวาบ คิดอะไรไม่ออก แต่ยังจำได้ว่าเธอตอบกลับไปว่า “อื้อ ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว”


 


 


ชั่วเวลานั้นหลินหว่านทำอะไรไม่ถูก รู้สึกทั้งตื่นเต้นดีใจ ทั้งหวั่นกลัวอยู่ในใจ


 


 


“อวิ๋นซี ช่วยมาที่ห้องฉันหน่อยค่ะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ เร็วๆ นะ” หลินหว่านรีบโทรหาอวิ๋นซี


 


 


อวิ๋นซียังไม่ทันได้ตอบรับก็พบว่าสายตัดไปแล้ว จึงได้แต่สวมเสื้อผ้าออกจากห้องไป


 


 


“เธอทำอะไรกันแน่หือ นี่มันดึกแล้วนะ เมื่อกี้ฉันกำลังจะนอนอยู่แล้วเชียว เธอดันเรียกฉันมาซะได้ มีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงต้องให้ฉันมาหาตอนนี้ด้วย” อวิ๋นซีบ่นกระปอดกระแปดกับหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านพอเห็นอวิ๋นซีมาถึงก็เตรียมจะเอ่ยปากเล่าอยู่แล้ว เธอกับอวิ๋นซีนั่งลงที่โซฟาด้วยกัน


 


 


“อวิ๋นซี พรุ่งนี้ฉันต้องไปทดสอบเสียงที่นั่นล่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้ไหม แต่ตอนนี้ฉันยังเครียดอยู่บ้าง ฉันคิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้ เมื่อกี้ผู้กำกับส่งข้อความให้ฉันแล้ว พรุ่งนี้เช้าเธอก็ต้องตื่นแต่เช้านะ” หลินหว่านยิ้มกับอวิ๋นซี จากสีหน้าแล้วดูไม่ออกเลยว่าเธอเครียดมาก


 


 


อวิ๋นซีตาตื่นขึ้นมาทันที เธอมีสีหน้าว่าเหลือเชื่อ สายตาสงสัยจ้องมายังหลินหว่าน


 


 


“คงไม่มั้ง ผู้กำกับซวี่กวงเป็นคนเข้มงวดกับหนังของตัวเองขนาดนั้น ไม่น่าจะให้เธอไปที่อื่นทั้งที่กำลังถ่ายหนังอยู่ เธอไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม แล้วจะเป็นวันพรุ่งนี้ได้ยังไง เร็วขนาดนี้เชียว?” อวิ๋นซีหน้ายู่อย่างคิดไม่ตก


 


 


หลินหว่านเองถ้าไม่ได้เห็นข้อความที่ผู้กำกับซวี่กวงส่งมาให้กับตา เธอคงไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ มันเร็วเกินไป แล้วยิ่งกำลังถ่ายหนังอยู่ด้วย


 


 


หลินหว่านคุยกับอวิ๋นซีอีกครู่หนึ่งก็แยกย้ายกันกลับไปนอน หลินหว่านนอนบนเตียงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ เธอไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร เพียงแต่ด้วยความที่เธออยู่ในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้ รู้ว่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริง ต้องพยายามไต่เต้าขึ้นไปด้วยตัวเองจึงจะบรรลุเป้าหมาย


 


 


วันรุ่งขึ้นหลินหว่านตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้กำกับซวี่กวงส่งตัวเธอไปหาอันลั่วเฉิงเพื่อทดสอบเสียง ระหว่างทางเขาไม่ได้มีท่าทีเข้มงวดจริงจังเหมือนยามปกติ หลินหว่านก็พูดคุยกับผู้กำกับซวี่กวงเป็นครั้งคราว


 


 


ในที่สุดก็มาถึง ผู้กำกับซวี่กวงให้หลินหว่านกับอวิ๋นซีรออยู่ที่ห้องหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ไปคุยกับคนอื่น


 


 


“อวิ๋นซี ที่จริงลึกๆ แล้วเขาเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนมากคนหนึ่งเลยทีเดียว เดิมทีฉันหลงเข้าใจว่าเขาไม่ชอบให้นักแสดงที่กำลังถ่ายหนังของเขาอยู่แวบไปทำงานงานที่อื่น ตอนนี้ดูไปแล้วเขาไม่ใช่คนแบบนั้น นอกจากนั้นเขายังส่งพวกเราสองคนมานี่ด้วยตัวเองอีก จู่ๆ ก็รู้สึกดีมากเลย ถ้าไม่ได้ใกล้ชิดกับเขาแล้วบางทีฉันคงจะเชื่อว่าเขาเป็นอย่างในข่าวที่ลือกัน” หลินหว่านพูดยิ้มๆ


 


 


อวิ๋นซียิ้มอย่างจนใจ “เธอนี่น้า ถ้าคนเขาดีกับเธอ เธอก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนแสนดีมีเมตตา ก่อนหน้านี้แม่อันซิงนั่น เธอก็เจอมากับตัวแล้วไม่ใช่หรือไง”


 


 


หลินหว่านฟังคำพูดของอวิ๋นซีแล้วรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง ในสายตาของเธอคนหนึ่งต่างกับอีกคนห่างกันไกลลิบ เหตุเพราะคนหนึ่งเคยทำร้ายเธอแล้วมองทุกคนว่าไม่ดีไปหมดไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ในใจหลินหว่านเห็นว่าผู้กำกับซวี่กวงเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 96

 

สำเร็จ

 


 


 


 


“หลินหว่าน อีกเดี๋ยวคุณไปทดสอบเสียงที่ห้องอัดก่อนเลยนะ พวกเขาเอาจริงเอาจังเรื่องนี้มากเลย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วล่ะ พอคุณร้องเสร็จโปรดิวเซอร์จะเป็นคนตัดสินว่าเธอได้รับเลือกหรือเปล่า ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวคุณเอง ผมพูดได้เท่านี้ ต่อไปก็ต้องดูความสามารถของคุณแล้ว” ซวี่กวงพูดกับเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


หลินหว่านได้ฟังคำของซวี่กวงแล้วกลับสงบใจขึ้นมาก ไม่ว้าวุ่นเป็นกังวลเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เธอยังคิดตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองการแสดงออกดียิ่งขึ้น เธอคอยจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองบ่อยๆ แม้ว่าตัวเองจะสะอาดสะอ้านเรียบร้อยและดูดีมากแล้ว หลินหว่านอยากให้ตัวเธอในสายตาคนอื่นดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ นั่นคือเป้าหมายของเธอ 


 


 


คนที่เข้ามาทดสอบเสียงเช่นเดียวกับหลินหว่านยังมีศิลปินหญิงอีกสองคน บางทีอาจเป็นเพราะพวกเธอมีความรู้และประสบการณ์ทางดนตรีมากกว่าหลินหว่านมาก ทั้งสองจึงไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาทักทายกับหลินหว่านแต่อย่างใด 


 


 


หลินหว่านก็ได้แต่มองดูหญิงสาวทั้งสองที่มาทดสอบเสียงพร้อมกับเธอ เปรียบกับหลินหว่านแล้วพวกเธอทั้งสองยิ่งดูมั่นใจไม่หวั่นไหวจนเป็นเสน่ห์ของพวกเธอ อย่างไรก็ตามมีคนจำพวกหนึ่งที่ดูหยิ่งยโสถือดี ทำให้รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ แต่หลินหว่านก็ยังชื่นชมในความกล้าของเขา หลินหว่านคิดว่าคงต้องสู้กันที่ความสามารถกันจริงๆ แล้ว หลินหว่านค่อยๆ สงบใจลงได้ รอคอยการมาถึงของโปรดิวเซอร์ 


 


 


“หลินหว่าน ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ เมื่อครู่เธอมัวแต่ฝึกออกเสียง ตอนนี้น่าจะพักสักหน่อยนะ อีกเดี๋ยวตอนทดสอบเสียงจะได้ร้องรวดเดียวเลย ฉันเชื่อว่าเธอทำได้อยู่แล้ว เสียงเธอเพราะออก แล้วยังขยันฝึกซ้อมอีก โอ้โห เธอก็อย่าตื่นเต้นเกินไปล่ะ ต้องผ่อนคลายเข้าไว้ แม้จะพลาดโอกาสครั้งนี้ก็ถือซะว่าเป็นบทเรียน เป็นการเรียนรู้ อย่าคิดแต่ว่าต้องสำเร็จเท่านั้น อย่างนั้นจะยิ่งทำให้เธอกดดันตัวเองมากเกินไป” อวิ๋นซีมองหลินหว่านอย่างเห็นใจ เนื่องจากเมื่อคืนหลินหว่านนอนดึกเกินไป แถมยังตื่นเต้นตึงเครียดอีก สีหน้าเธอจึงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก 


 


 


หลินหว่านเองก็คิดเสมอว่าอยากให้ตัวเองมองเรื่องพวกนี้ด้วยใจที่เป็นปกติ เธอรู้สึกเหมือนกันว่าบางครั้งเธอกดดันตัวเองมากเกินไปหน่อย จนถึงกับทำให้ทั้งกายและใจเหนื่อยล้าเป็นบางครั้ง แต่ว่าโอกาสอยู่ตรงหน้า เธอจะทุ่มเทพลังทั้งหมดอย่างไม่สนอะไรอื่นอีกเสมอเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้เธอต้องแลกมาด้วยสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ต้องรับมันให้ได้ 


 


 


“ทราบแล้วค่ะ เดี๋ยวก็ถึงคราวฉันเข้าไปทดสอบเสียงแล้ว ฉันไม่ตื่นเต้นแล้วค่ะ นิ่งสงบดีมากเลย ตอนนี้ฉันจะร้องเพลงด้วยจิตใจที่เป็นปกติ ฉันได้พยายามแล้ว โชคชะตาจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ฟ้ากำหนดเถอะ” หลินหว่านถอนหายใจเฮือก พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ 


 


 


หลินหว่านกับอวิ๋นซีต่างนิ่งเงียบไม่พูดกันอีก หลินหว่านพร่ำบอกตัวเองในใจตลอดว่าอย่าคอยนึกแต่ว่าจะต้องได้โอกาสนี้มา ซึ่งนี่เป็นการปลอบใจตัวเองล่วงหน้าเพราะหลินหว่านเกรงว่าอีกเดี๋ยวจะแพ้ในการแข่งขัน แต่เมื่อหลินหว่านได้พูดคำพูดนั้นออกมานั่นแสดงว่าในใจของเธอยังคงใส่ใจอย่างมากกับโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายครั้งนี้อยู่ดี 


 


 


“หลินหว่าน เข้าไปเถอะ ถึงคราวเธอแล้ว” ครูเพลงเรียกหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านวางกระเป๋าในมือให้กับอวิ๋นซีแล้วเข้าห้องบันทึกเสียงไป ภายในห้องสะอาดมาก แม้แต่เนื้อเพลงที่หลินหว่านต้องใช้ ท่อนไหนที่ต้องร้องล้วนมีการระบุเอาไว้อย่างเป็นระเบียบชัดเจน หลินหว่านนั่งลงบนเก้าอี้ที่ค่อนข้างสูงเงยหน้ามองตรงไป แล้วพบว่าครูเพลงกับโปรดิวเซอร์คอยฟังเสียงเธออยู่ด้านนอกผนังกระจก 


 


 


หลินหว่านรู้สึกปลื้มปริ่มมาก ทั้งห้องบันทึกเสียงใช้ในการทดสอบเสียงของพวกเธอ ด้านในมีแค่เธอเพียงลำพังคนเดียว ทำให้สามารถแสดงศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น หลินหว่านชอบการร้องเพลงอย่างมากอยู่แล้ว ตั้งแต่ได้ร้องเพลงเอกของภาพยนตร์แล้ว เธอก็สนใจอยากจะเข้าสู่วงการเพลง 


 


 


หลินหว่านค่อยๆ เผยอปากกว้างขึ้น ร้องเพลงอย่างเข้าถึงอารมณ์ ดวงตาหรี่ปรือลง เผยรอยยิ้มน้อยๆ สายตาของผู้คนด้านนอกกระจกมองเธอราวกับเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แสงไฟสลัวในวันนี้ทำให้เธอมีเสน่ห์ตราตรึงใจ ท่าทีที่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงยิ่งเสริมให้ดูน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น 


 


 


หลินหว่านร้องเสร็จก็เดินออกมาจากห้องด้านใน เธอยังมั่นใจในตัวเองอย่างเปี่ยมล้น เนื่องจากหลินหว่านที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ และโอกาสในการร่วมงานกับอันลั่วเฉิงตกเป็นของหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านทำอะไรก็มักจะมีใจมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเสมอ แต่ตอนที่โปรดิวเซอร์แจ้งผลกับเธอนั้น หลินหว่านยังตื่นเต้นดีใจมากอยู่ดี เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่าโอกาสนี้ได้กลายเป็นของตัวเองแล้ว 


 


 


“อวิ๋นซี ฉันทำได้แล้ว ฉันจะได้ร่วมงานกับอันลั่วเฉิงแล้ว ฉันว่าแล้วความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็ต้องอยู่ที่นั่นสินะ! นี่เป็นเพราะสวรรค์ช่างเมตตาต่อฉัน และเพราะความพยายามของฉันทำให้ได้มา แต่คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า โปรดิวเซอร์คนนั้นจะยอมตกลงเลือกฉันทันทีแบบนี้ จนถึงตอนนี้ฉันยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เลย โอกาสที่ได้มาด้วยการแข่งขันนี้ตอนนี้มันเป็นของฉันแล้วล่ะ” 


 


 


อวิ๋นซีก็คิดไม่ถึงว่าผลการตัดสินจะออกมารวดเร็วขนาดนี้ เธอดีใจกับหลินหว่านมาก ตอนนี้อวิ๋นซีรู้สึกทึ่งในตัวหลินหว่านจากใจจริง เธอเป็นผู้หญิงที่ดูเหมือนต้องการได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างมาก แต่กลับมีพลังในตัวเองที่เข้มแข็งอย่างยิ่ง 


 


 


“ฉันว่าแล้วเธอต้องทำได้ ฉันดูคนไม่ผิดจริงๆ เธอต้องไม่ทำให้คนที่รักเธอต้องผิดหวังแน่ ครั้งนี้โอกาสอันดีนี้จึงเป็นของเธอ” 


 


 


หลังจากนั้นหลินหว่านต้องเจอกับเรื่องราวที่ตามติดมาอีกเพียบ ซึ่งมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องราวครั้งนี้เอง 


 


 


หลินหว่านพอได้รับคัดเลือกแล้วก็ฝึกเสียงตลอดทั้งวัน เธอระวังเรื่องอาหารการกินอย่างมาก จนผู้จัดการอย่างอวิ๋นซียังต้องบอกว่าเธอน่าจะเพิ่มน้ำหนักได้แล้ว 


 


 


หลินหว่านกลับเข้ากองถ่ายอีกครั้ง ชีวิตกลับคืนสู่ความสงบ หมกมุ่นอยู่กับงานตลอดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่หลินหว่านคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นในเวลาต่อมา 


 


 


อวิ๋นซีเดินขมวดคิ้วมุ่นเข้ามาหาหลินหว่านแล้วพูดอย่างลับๆ ว่า “บนอินเทอร์เน็ตมีคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เธอล่ะ มีบางส่วนก็สนับสนุนบางส่วนก็ต่อต้าน แต่ตอนนี้เรื่องกำลังอยู่ในความสนใจ พวกเราต้องระวังตัวให้มาก บางพวกก็ออกอาการแรงอยู่” 


 


 


หลายวันนี้หลินหว่านอยู่ระหว่างถ่ายหนัง ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาสนใจข่าวคราวในวงการบันเทิง และช่วงนี้เธอยังอยู่แต่ในกองถ่ายตลอด พอได้ฟังคำพูดของอวิ๋นซีก็ตกใจมาก เธอไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


“อวิ๋นซี เธออย่าหลอกให้ฉันตกใจนะ ระยะนี้ฉันอยู่ในกองถ่ายตลอดเลยไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นข่าวได้หรอก ยังจะมีเรื่องอะไรมาป้ายสีฉันอีกล่ะนี่” หลินหว่านพูดด้วยท่าทีตกใจ 


 


 


หลินหว่านหวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ นอกจากมีวันหนึ่งออกจากกองถ่ายไปเทสต์เสียงแล้ว นอกนั้นเธอก็อยู่ถ่ายหนังที่นี่ ถ้าจะบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็มีแค่เรื่องเกี่ยวกับความร่วมมือกับอันลั่วเฉิงเท่านั้นเอง หลินหว่านถึงบางอ้อ 


 


 


หลินหว่านแย่งมือถือจากมืออวิ๋นซี อ่านข้อความบนเน็ตเกี่ยวกับเธอ เป็นดังที่ว่ามีทั้งคนหนุนและก็มีบางคนเหยียบย่ำทำลายเช่นเคย หลินหว่านอ่านดูด้วยความมึนงง มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เธอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับถูกชาวเน็ตถล่มยับอีกแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 97

 

สู้ไม่ถอย

 


 


 


 


“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน ตอนแรกที่ฉันรู้มาโปรดิวเซอร์คนนั้นบอกว่าไม่ใช่ว่าแฟนคลับหญิงของอันลั่วเฉิงมีเยอะมากแถมยังคลั่งไคล้อันลั่วเฉิงมากมากๆ ดังนั้นฉันจึงบอกทีมงานว่าตอนปล่อยข่าวการร่วมงานของอันลั่วเฉิงกับฉันให้ปล่อยข่าวเท็จไปก่อน เพื่อให้เวลาแฟนคลับได้ทำใจยอมรับ พอพวกเขายอมรับได้มากขึ้นแล้วจึงค่อยบอกความจริงออกไป” หลินหว่านพูดอย่างร้อนใจ หน้าเหวออย่างคาดไม่ถึง 


 


 


ก่อนหน้านี้โปรดิวเซอร์ที่เดินผ่านหน้าอวิ๋นซีไปบอกเธอว่า จะปล่อยข่าวปลอมออกไปก่อน แต่ตอนนี้เรื่องที่หลินหว่านจะร่วมงานกับอันลั่วเฉิงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนรู้กันไปทั่ว 


 


 


“หลินหว่าน ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของอันลั่วเฉิงที่ส่งข้อความโจมตีเธอ ไม่ใช่มาจากทุกคน ดังนั้นเธอไม่ต้องร้อนใจไปนะ ตอนนี้ในเมื่อข่าวออกมาแล้ว เรามาคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์กันก่อนเถอะ อันที่จริงฉันว่าเรื่องนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องหลอกลวงกัน เรื่องทั้งหมดก็มาจากพวกแฟนคลับที่ชงเรื่องกันขึ้นมาแก้เซ็งเท่านั้น” อวิ๋นซีพูดขึ้น 


 


 


หลินหว่านรู้แต่แรกว่าอันลั่วเฉิงเป็นนักร้องดังที่พร้อมทั้งรูปลักษณ์และความสามารถ อีกทั้งบรรดาแฟนคลับสาวของเขายังคลั่งไคล้และน่ากลัวมาก ดังนั้นในตอนแรกทีมงานของหลินหว่านจึงวางแผนว่าจะค่อยๆ ปูพื้นอารมณ์ ปล่อยข่าวปลอมออกไปก่อน รอจนแฟนคลับยอมรับได้แล้วจึงเผยข่าวจริง การที่หลินหว่านทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากการถูกโจมตีจากแฟนคลับของอันลั่วเฉิง แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเธอคิดมากกันไปเองจริงๆ คืนนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีกครั้ง 


 


 


“เธอไปถ่ายหนังก่อนเถอะ เดี๋ยวพอเสร็จแล้วค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ แล้วเธอก็อย่าคิดมากล่ะ ไม่ต้องเป็นกังวลเกินไป ตั้งใจแสดงนะ” อวิ๋นซีไม่อยากให้หลินหว่านไม่สบายใจ จึงไล่ให้เธอไปเข้ากล้อง แบบนี้จะทำให้เธอค่อยดีขึ้นบ้าง 


 


 


หลินหว่านเข้ากล้องด้วยอาการหมดแรง ตลอดบ่ายสภาพเธอไม่ค่อยดีนัก 


 


 


“หลินหว่าน วันนี้เธอไม่สบายหรือเปล่า หรือมีอะไรไม่สบายใจ ทำไมดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย แถมยังท่าทางไม่แจ่มใสเอาเลย ถ้าเหนื่อยก็ไปพักได้นะ ถ้าไม่สบายก็ขอลาพักซะเถอะ อย่าฝืนเลยผู้กำกับเขาเข้าใจ” ทีมงานคนหนึ่งพูดกับหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านรู้สึกอบอุ่นใจ ยิ้มพลางตอบว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ฉันยังถ่ายต่อได้ค่ะ คงเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่พอล่ะมั้ง ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ” 


 


 


คืนนี้หลินหว่านกลับถึงห้องพักทั้งที่ไม่ได้ทานมื้อดึก เธอเปิดดูมือถือแล้วยิ่งจิตตก และที่ทำให้เธอยิ่งโมโหก็คือมีคนจำนวนมากบอกว่าเธอได้รับเลือกเพราะเข้าหาทางอันลั่วเฉิงไอดอลของพวกเขา 


 


 


หลินหว่านน้อยใจมาก มองดูข้อความประณามหยามเหยียดเธอบนอินเทอร์เน็ต ไม่รู้ว่าจะไประบายเอากับใครที่ไหนดี 


 


 


“ก๊อกๆๆ” 


 


 


ประตูเปิดออก อวิ๋นซีถือกล่องอาหารกับน้ำแกงเข้ามา สีหน้าท้อแท้พอกัน 


 


 


“หลินหว่าน ทำไมวันนี้ไม่กินข้าวอีกแล้ว เธอจะอมทุกข์แบบนี้ไปตลอดด้วยเรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่ได้นะ ก่อนหน้านี้เธอก็ผ่านอะไรมาตั้งเยอะ ตอนนี้จะกลายเป็นอ่อนแอขนาดนี้ได้ไง รีบกินข้าวเถอะ นี่น่ะของชอบเธอทั้งนั้นเลยนะ พรุ่งนี้ยังต้องเข้ากล้องอีก จะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันล่ะ” อวิ๋นซีวางอาหารลงบนโต๊ะ ทำสัญญาณมือให้หลินหว่านรีบกินให้หมด 


 


 


หลินหว่านไม่หิวเลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่อยากจะมองกับข้าวพวกนั้นแม้แต่สักนิดเดียว ในใจคอยคิดอยู่แต่เรื่องน่ารำคาญใจนั่น เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจมากไม่รู้ว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร 


 


 


อวิ๋นซีมองดูหลินหว่านแล้วก็กลุ้มไม่แพ้กัน เธอออกไปจากห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีก  


 


 


วันต่อมาช่วงเช้าถ่ายทำเสร็จ ตอนพักกลางวัน จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็มานั่งลงตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำเอาหลินหว่านสะดุ้งเฮือกใหญ่ 


 


 


“คุณมานี่ได้ยังไงคะ ทำไมไม่บอกฉันก่อนล่วงหน้าสักคำ จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าทำเอาฉันตกใจหมดเลย” หลินหว่านเบิกตากลมกว้างมองดูเซียวจิ่งสือที่จู่ๆ โผล่มาทำให้เธอประหลาดใจมาก 


 


 


หลินหว่านคิดว่าคราวนี้เธอคงได้ระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเองให้เซียวจิ่งสือฟังเสียที แต่ที่ตลกก็คือเขาเอาแต่ปั้นหน้าเย็นชาตลอดเวลา ทำให้หลินหว่านรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เธอรู้ได้เลยว่าต่อไปเรื่องที่จะได้รับฟังคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ 


 


 


แล้วเป็นจริงดังคาด เซียวจิ่งสือขึงตาใส่หลินหว่านอย่างโมโห พูดว่า “ผมไม่อยากให้คุณไปร่วมงานกับอันลั่วเฉิงแล้ว ผมอยากให้คุณฟังผม อย่าทำให้ความสัมพันธ์ของเราสองคนแย่ลงด้วยเรื่องนี้ นอกจากนี้ผมยังได้อ่านข้อความบนอินเทอร์เน็ตที่วิจารณ์คุณในทางเสียๆ หายๆ พวกนั้นแล้ว ผมไม่อยากให้คุณถูกทำร้ายอีกแล้ว ต่อให้คุณเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงก็เถอะ ผมจึงอยากบอกว่าคุณไม่ต้องร่วมงานกับเขาอีกแล้ว เพราะงานยุ่งคุณก็เลยไม่ได้บอกผมว่าโอกาสนี้มันได้มายังไง แต่ตอนนี้ผมหวังว่าคุณอย่าไปเลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งที่ในใจกลับร้อนรนอย่างยิ่ง 


 


 


เซียวจิ่งสือคิดทุกอย่างเพื่อหลินหว่าน แต่ข้อความวิพากษ์วิจารณ์หลินหว่านที่เขาเห็นบนอินเทอร์เน็ตนั้นทำให้เขาโมโหมากเลย แต่ที่เขากลัวยิ่งกว่าก็คือการที่หลินหว่านต้องเสียใจเพราะได้เห็นคำพูดเหยียดหยามพวกนั้น เพื่อไม่ให้เรื่องเลวร้ายลงไปกว่านี้อีก เซียวจิ่งสือรีบมาที่กองถ่าย เขารู้ว่าหลินหว่านค่อนข้างเป็นคนแข็งไม่ยอมใคร ถ้าพูดทางโทรศัพท์คงไม่ยอมรับปากแน่ เขาจึงต้องมาอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ 


 


 


“ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่อินเทอร์เน็ตบอกว่าฉันไปตามตื๊ออันลั่วเฉิงจนได้งาน งานนี้ผู้กำกับซวี่กวงเป็นคนแนะนำฉันเอง จากนั้นฉันก็ไปทดสอบเสียง แล้วก็ได้รับโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายนี่ไงเล่า” หลินหว่านจ้องเซียวจิ่งสือตาไม่กะพริบ เธอโมโหว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเธอเลย 


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อยากอธิบายให้เซียวจิ่งสือฟังอีก ขณะที่นึกอัดอั้นอยู่ในใจคนเดียว 


 


 


“งั้นตอนนี้ผมให้คุณยกเลิกการทำเพลงร่วมกับอันลั่วเฉิง ไม่ต้องร่วมงานกับเขาอีก แบบนี้มันไม่ดีกับคุณหรอก ผมอยากให้คุณทิ้งมันไปซะ” เซียวจิ่งสือพูดเสียงเครียด ดูท่าทีมุ่งมั่นทีเดียว 


 


 


หลินหว่านจ้องเซียวจิ่งสือจนตาแทบลุกเป็นไฟ เธอเสียใจที่ทำไมเซียวจิ่งสือไม่เข้าใจเธอ ในเวลาแบบนี้เขากลับไม่สนับสนุนเธอ กลับให้เธอละทิ้งโอกาสที่เธอพยายามเพื่อให้ได้มันมา 


 


 


“คุณไม่ต้องพูดแล้ว ฉันได้ตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่ยอมทิ้งโอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้หรอก ฉันยังจะร่วมงานกับอันลั่วเฉิงต่อ” หลินหว่านพูดเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงแน่วแน่มาก 


 


 


หลินหว่านไม่ยอมอ่อนข้อ ด้วยเธอคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เธอได้มาด้วยความพยายามของตัวเอง ทำไมจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะคำพูดวิจารณ์บางคำบนอินเทอร์เน็ตด้วย สำหรับหลินหว่านแล้ว ขอเพียงยืนหยัดสู้ไม่ถอย ต่อไปจะต้องได้รับการยอมรับในที่สุดแน่นอน 


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างอับจน เขารู้ว่าการคิดเห็นต่างกันนั้น อีกฝ่ายจะพูดอย่างไรก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เขาไม่อยากทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้อีก ครั้งนี้ทั้งสองจึงจากกันไม่ดีนัก 


 


 


หลินหว่านกินข้าวเสร็จ ก็ไปเข้ากล้องต่อขณะที่ผู้กำกับซวี่กวง กลับเข้ามาถามไถ่เรื่องของอันลั่วเฉิง 


 


 


“ผมรู้เรื่องที่คุณต้องเจอในระยะนี้ ยังจะร่วมงานกับเขาอยู่ไหม นี่เป็นการตัดสินใจของคุณ” ซวี่กวงพูดเสียงนิ่ง 


 


 


“แน่นอนว่าตัดสินใจแล้วต้องทำให้ตลอดค่ะ ในเมื่อได้รับโอกาสนี้ ทั้งยังรับปากคนอื่นไว้แล้ว ฉันไม่มีทางทิ้งไปกลางคันแน่ค่ะ” หลินหว่านพูดอย่างตัดสินใจแน่วแน่ 


 


 


การตัดสินใจของหลินหว่านทำให้ซวี่กวงพอใจมาก เขาเองก็ค่อยๆ ยอมรับหลินหว่าน

 

 

 


ตอนที่ 98

 

เปิดโปงความสัมพันธ์

 


 


 


ขณะที่เหล่าชาวเน็ตกับพวกแฟนคลับของอันลั่วเฉิงแห่กันออกมาตั้งข้อสงสัยในตัวหลินหว่าน บัญชีเวยปั๋วหนึ่งซึ่งมุ่งแฉเบื้องลึกเบื้องหลังวงการบันเทิง จู่ๆ ก็โพสต์บทความหนึ่งลงเวยปั๋ว โดยข้อความส่วนหนึ่งเผยว่า ‘หลินหว่านที่ได้ร่วมงานกับไอดอลอันลั่วเฉิง สาเหตุแท้จริงมาจากความสัมพันธ์ของซวี่กวง หลินหว่านกำลังถ่ายหนังของซวี่กวง ส่วนซวี่กวงก็เป็นเพื่อนสนิทกับอันลั่วเฉิงมาหลายปี ซวี่กวงแนะนำหลินหว่านให้กับอันลั่วเฉิง ดังนั้น หลินหว่านจึงได้ร่วมงานกับไอดอลอัน’


 


 


ชื่อบัญชีเวยปั๋วนี้คือ บันเทิงกอสซิบ มุ่งเปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลังในวงการบันเทิงมาดึงดูดความสนใจจากชาวเน็ต ก่อนหน้านี้ เรื่องที่บันเทิงกอสซิบเคยเปิดโปงออกมาก็มีมากบ้างน้อยบ้างที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง ดังนั้นบัญชีเวยปั๋วนี้จึงมีแฟนคลับไม่น้อยเลย


 


 


หลังจากมีการโพสต์ข้อความนี้ลงเวยปั๋ว ชาวเน็ตพากันออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่เชื่อ


 


 


[ซวี่กวง? อันลั่วเฉิง? พวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน? เป็นไปไม่ได้ป่ะ ก่อนนี้ไม่เคยได้ยินเลยว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน…]


 


 


[ล้อกันเล่นหรือไง ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี? ใครจะไปเชื่อลง!]


 


 


[นี่มันหลอกกันชัดๆ ป่ะ ซวี่กวงแนะนำหลินหว่านให้อันลั่วเฉิง? จะแต่งเรื่องก็แต่งให้มันได้เรื่องหน่อย อย่าพูดมั่วแค่จะเรียกความสนใจได้ไหม!]


 


 


ด้านล่างเวยปั๋วเต็มไปด้วยคอมเมนต์จากชาวเน็ตที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ แม้แต่แฟนคลับของทั้งซวี่กวงและอันลั่วเฉิงต่างก็ไม่เห็นโพสต์นี้อยู่ในสายตา พวกเขาเห็นว่าสื่อแค่ต้องการเรียกเรตติ้งคนดูจึงปั้นข่าวขึ้นเอง


 


 


แต่ที่ตามมาคือ เวยปั๋วนี้ลงภาพถ่ายใบหนึ่ง บนรูปถ่ายนั้นซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงกำลังเดินคุยกัน พวกเขาดูเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่ายรูปเอาไว้


 


 


ตอนที่บัญชีเวยปั๋วนี้ลงรูปใบนี้ ชาวเน็ตยังไม่เชื่อว่าซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี


 


 


แฟนคลับของอันลั่วเฉิงถึงกับออกมาแก้ข่าวว่า “นี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนไปทำงานไอดอลอันของพวกเราบังเอิญพักโรงแรมเดียวกับผู้กำกับซวี่กวงต่างหาก นักข่าวกระจิบ คุณหลงคิดไปเองว่านี่จะบอกกับชาวเน็ตได้ว่าผู้กำกับซวี่กับไอดอลอันของพวกเราเป็นเพื่อนกันมาหลายปีงั้นเหรอ”


 


 


ชาวเน็ตพากันออกมากดไลก์ที่ด้านล่าง ภาพถ่ายนี้อย่างมากก็แสดงว่าอันลั่วเฉิงกับซวี่กวงรู้จักกันเท่านั้น แต่ทั้งสองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะเหรอ เป็นเพราะครั้งนี้ได้พักโรงแรมเดียวกันโดยบังเอิญจึงรู้จักกัน หรือว่าก่อนหน้านี้รู้จักกันมาก่อน ภาพถ่ายใบนี้เอามาใช้ยืนยันอะไรไม่ได้หรอก


 


 


แต่ว่าต่อมา บัญชีเวยปั๋วนี้โพสต์ภาพถ่ายตามมาอีกสี่ใบ และทุกใบล้วนมีซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงอยู่ด้วยกัน


 


 


ภาพถ่ายใบแรกดูเหมือนน่าจะเป็นเมื่อหลายปีมาแล้ว ในภาพซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงยังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอยู่เลย ซวี่กวงยังไม่ดูเย็นชาสูงส่งแบบในตอนนี้ อันลั่วเฉิงก็ยังแต่งตัวเหมือนตอนที่เขาเพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นานนัก


 


 


ส่วนภาพใบที่สอง ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงกำลังพูดคุยหัวเราะกันขณะทานข้าวในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นภาพถ่ายเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน


 


 


ภาพถ่ายใบที่สามและสี่ดูเหมือนจะเป็นเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้เอง ในภาพดูคล้ายกับซวี่กวงและอันลั่วเฉิงกำลังทานข้าวหรือออกไปเที่ยวด้วยกัน แต่พวกเขาทั้งสองสวมหมวกและหน้ากาก ปิดบังใบหน้าจนมิดชิด เหมือนกับไม่ต้องการให้คนอื่นจำได้


 


 


ที่สำคัญคือ ภาพถ่ายทั้งสี่ใบนี้ดูเหมือนว่าล้วนเป็นภาพแอบถ่ายตอนที่ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงอยู่ด้วยกัน นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยว่าผ่านการแต่งภาพทำกราฟิกใดๆ เลยด้วย


 


 


ภาพถ่ายทั้งสี่ใบนี้พอเปิดเผยออกมาก็สร้างกระแสคลื่นลูกใหญ่ได้ทันที ชาวเน็ตต่างพากันตกตะลึงกันเลยทีเดียว


 


 


หรือว่าซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงพวกเขาสองคนรู้จักกันมานานแล้วจริงๆ หรือว่าจะเป็นจริงอย่างที่เวยปั๋วนั่นบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปีแล้ว


 


 


ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงต่างก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ภาพถ่ายทั้งสี่ใบนี้ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดูกลายเป็นซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นมา ชาวเน็ตเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง


 


 


[หรือว่าไอดอลอันกับผู้กำกับซวี่จะเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ  ทำไมเมื่อก่อนพวกเราไม่รู้เลย พวกเขาเก็บเนื้อเก็บตัวกันเกินไปล่ะมั้ง…]


 


 


[โห…ก่อนนี้ไม่เคยนึกเลยว่าผู้กำกับซวี่กับไอดอลอันจะรู้จักติดต่อกันได้ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะแอบรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาตั้งหลายปี…]


 


 


[ฉันยังหลงเข้าใจว่าก่อนหน้านี้บล็อกเกอร์หลอกพวกเราซะอีก คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีจริงๆ แต่ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีข่าวเลยสักนิดเลยล่ะ]


 


 


……


 


 


เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เวยปั๋วก็เต็มไปด้วยชาวเน็ตที่ตื่นตะลึงกับความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิง ก็แน่ล่ะ ถ้าหากความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นจริงนั่นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงได้เก็บซ่อนความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเขาไว้ดีเกินไป เพราะว่าต่อให้เป็นเวยปั๋วพวกเขาสองคนยังแทบจะไม่มีการติดต่อหรือความสัมพันธ์กันเลย


 


 


หลินหว่านได้อ่านข้อความเหล่านี้บนอินเทอร์เน็ตในช่วงพักระหว่างที่เธอกับอันลั่วเฉิงร่วมกันบันทึกเพลงชุดใหม่ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างซวี่กวงและอันลั่วเฉิงถูกเปิดเผย เสียงคัดค้านหลินหว่านทำเพลงใหม่ร่วมกับอันลั่วเฉิงบนอินเทอร์เน็ตจึงบางเบาลงไปไม่น้อย


 


 


แต่ว่าหลังจากหลินหว่านเห็นข่าวความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงถูกเปิดโปง เธอกลับสะดุ้งวาบในใจขึ้นมา


 


 


ซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงไม่เคยอยากให้คนนอกรู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปี ดังนั้น เท่าที่เธอรู้มาคนรอบข้างที่ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เธอเองยังเพิ่งจะได้รู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้เอง


 


 


อย่างนั้นหลังจากความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงถูกเผยออกมา พวกเขาจะสงสัยว่าเธอเป็นคนพูดออกไปหรือเปล่านะ


 


 


เนื่องจากความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงเปิดเผยออกมา ทำให้ชาวเน็ตรู้ว่าการที่หลินหว่านได้ร่วมงานกับอันลั่วเฉิงก็เพราะซวี่กวงเป็นคนแนะนำ ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกมา คนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดก็คือหลินหว่านไม่ใช่หรือไง


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ แล้วก็จริงดังคาด ตอนบ่าย หลินหว่านกลับเข้าห้องบันทึกเสียงไปพบอันลั่วเฉิงอีกครั้ง เธอสังเกตว่าสีหน้าของอันลั่วเฉิงไม่ดีนัก ท่าทีต่อเธอเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเฉยชาลงไปบ้าง


 


 


หลินหว่านถามอันลั่วเฉิงอย่างเกรงใจ “ไอดอลอันคะ คุณดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี…เป็นเพราะบนอินเทอร์เน็ตเปิดเผยความสัมพันธ์ของคุณกับผู้กำกับซวี่เหรอคะ”


 


 


อันลั่วเฉิงได้ฟังก็จ้องหลินหว่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาประหลาดที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก จากนั้นผงกศีรษะ


 


 


หลินหว่านถูกอันลั่วเฉิงจ้องจนตึงเครียดอยู่บ้าง เห็นอย่างนี้แล้วเธอรีบอธิบายกับอันลั่วเฉิงว่า “ไอดอลอันคะ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ฉันอยากจะพูดว่าความสัมพันธ์ของคุณกับผู้กำกับซวี่ไม่ใช่ฉันเป็นคนพูดค่ะ!”


 


 


อันลั่วเฉิงฟังคำพูดหลินหว่านแล้วอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมเชื่อว่าข่าวบนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่คุณเป็นคนเอาไปพูด แต่ว่า…”


 


 


“แต่ว่าทำไมคะ” หลินหว่านเห็นว่าอันลั่วเฉิงเชื่อเธอก็รู้สึกดีใจ จึงถามโพล่งออกไป


 


 


อันลั่วเฉิงมองดูหลินหว่านแล้วบอกกับเธอว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่ไม่มีข่าวเรื่องผมกับซวี่กวงเลยนั้น เป็นเพราะซวี่กวงเอง เขาให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวมาก ไม่ยอมให้สังคมภายนอกได้รับรู้ชีวิตส่วนตัวของเขามาตลอด ดังนั้นเรื่องนี้สำหรับผมแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมเป็นห่วงก็แต่ซวี่กวง ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า…”

 

 

 


ตอนที่ 99

 

บอกกล่าว

 


 


 


 


ตอนบ่าย พอได้ฟังคำพูดของอันลั่วเฉิงแล้ว หลินหว่านก็รู้ว่าทำไมเรื่องราวของซวี่กวงจึงปรากฏบนอินเทอร์เน็ตน้อยนัก 


 


 


แต่หลินหว่านก็เข้าใจได้ ถึงอย่างไรสมัยนี้เป็นยุคของสังคมออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวของทุกคนจะมากจะน้อยก็ต้องถูกเผยสู่สาธารณะ ยิ่งทุกความเคลื่อนไหวของดาราก็ย่อมจะมีสายตาคนมากมายคอยจับตาดูอยู่ทุกขณะ ดังนั้นการที่ซวี่กวงให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัวเธอจึงเข้าใจได้ดีทีเดียว 


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม หลินหว่านตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวเธอจะไปหาซวี่กวง บอกกับเขาเหมือนที่เธอพูดกับอันลั่วเฉิง อธิบายให้ซวี่กวงเข้าใจชัดเจนว่า ข่าวบนอินเทอร์เน็ตนั้นเธอไม่ได้เป็นคนเปิดเผยออกไป 


 


 


ตอนค่ำ หลินหว่านบันทึกเสียงของวันนี้เสร็จแล้วก็บอกลาอันลั่วเฉิงจากมา กลับถึงโรงแรม 


 


 


หลินหว่านรออยู่หน้าห้องพักของซวี่กวงเป็นนาน แต่ไม่เห็นซวี่กวงกลับเข้ามา ขณะที่เธอตั้งใจว่าจะกลับไปนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงมา 


 


 


หลินหว่านหันไปตามเสียงฝีเท้า แล้วก็เห็นซวี่กวงกำลังเดินเข้ามา 


 


 


“ผู้กำกับซวี่คะ คุณกลับมาแล้ว” พอซวี่กวงเดินมาถึงข้างหน้าเธอ หลินหว่านก็ทักทายเขาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ  


 


 


“คุณมาที่นี่ได้อย่างไร” ซวี่กวงเห็นว่าเป็นหลินหว่านก็ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย 


 


 


“ผู้กำกับซวี่ ฉันมีเรื่องอยากจะอธิบายกับคุณ…” หลินหว่านพูดอ้ำๆ อึ้งๆ ตั้งท่าว่าจะอธิบายเรื่องข่าวบนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เธอที่พูดออกไป 


 


 


แต่ยังไม่ทันที่หลินหว่านจะพูดออกไป ซวี่กวงก็ใช้การ์ดเปิดประตูห้องพักของเขาแล้วผลักประตูเปิดออก ก่อนจะพูดกับหลินหว่านว่า “มีอะไรก็เข้ามาก่อนค่อยพูดกัน” 


 


 


พูดจบซวี่กวงก็เข้าห้องไปก่อน หลินหว่านจึงได้แต่ตามซวี่กวงเข้าไปในห้องของเขา 


 


 


เข้าห้องมาแล้ว ซวี่กวงชงกาแฟสองแก้ว ส่งให้หลินหว่านแก้วหนึ่ง จากนั้นลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเธอ จากนั้นหันมาถามว่า “พูดสิ คุณมีธุระอะไร” 


 


 


“ผู้กำกับซวี่คะ ฉันอยากจะบอกคุณว่า เรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับอันลั่วเฉิงบนอินเทอร์เน็ตในวันนี้ ฉันไม่ได้เป็นคนพูดออกไปค่ะ” หลินหว่านรับแก้วกาแฟมา มองซวี่กวงอย่างหวั่นใจก่อนจะพูดขึ้น 


 


 


อันที่จริงหลินหว่านก็คิดอยู่เหมือนกันว่าการอธิบายครั้งนี้จะกลายเป็นว่าเธอร้อนตัวไปเองหรือเปล่า แต่มานึกดูแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงถูกเปิดเผยออกมานั้น เกิดขึ้นหลังจากเธอรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองได้ไม่นานนัก อีกทั้งรอบข้างพวกเขานอกจากหลินหว่านแล้วก็ดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย 


 


 


และที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากความสัมพันธ์ของพวกเขาเปิดเผยออกมา คนที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุดก็คือเธอ ดังนั้น ถ้าหากซวี่กวงจะสงสัยเธอก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล 


 


 


หลินหว่านจึงต้องมาบอกกล่าวให้ชัดเจน และเธอก็เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ถ้าเธอไม่มาพูดกับซวี่กวง ไม่แน่ว่าซวี่กวงจะเข้าใจว่าเธอเป็นพวกวัวสันหลังหวะไปเสียอีก 


 


 


แต่ที่คาดไม่ถึงคือพอซวี่กวงได้ยินคำพูดของหลินหว่านแล้ว เขาขมวดคิ้วถามเธอว่า “เรื่องที่คุณจะพูดกับผมคือเรื่องนี้เหรอ” 


 


 


“ค…ค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านตอบ หรือว่าซวี่กวงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหมือนอย่างที่เธอคิด 


 


 


ซวี่กวงพูดเสียงเนิบๆ สวนขึ้นมาทันทีว่า “หลินหว่าน ผมเชื่อว่าเรื่องนี้คุณไม่ได้เป็นคนพูด” 


 


 


“ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านได้ฟังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เธอยังถามอย่างสงสัย “ผู้กำกับซวี่คะ ทำไมคุณถึงยอมเชื่อฉันล่ะคะ” 


 


 


อันลั่วเฉิงบอกว่าซวี่กวงน่าจะรู้สึกโกรธจึงจะถูก แต่ทำไมซวี่กวงไม่เพียงไม่สงสัยเธอ แต่ยังเชื่อใจเธอขนาดนี้อีก 


 


 


ซวี่กวงวางถ้วยกาแฟในมือลง พูดว่า “โพสต์นั่น ตอนบ่ายผมเห็นแล้ว ภาพถ่ายหลายรูปนั่นดูแล้วเป็นภาพแอบถ่ายทั้งหมด มีหลายภาพในนั้นเป็นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อน ผมว่ารูปถ่ายพวกนั้นคงไม่ใช่คุณเป็นคนถ่ายไว้ล่ะมั้ง” 


 


 


“อ้า…” ตอนแรกหลินหว่านยังไม่เข้าใจนัก จากนั้นก็เข้าใจว่าซวี่กวงพูดล้อเธอเล่น 


 


 


“ไม่ว่ารูปถ่ายพวกนั้นจะมาได้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่า ความสัมพันธ์ของผมกับอันลั่วเฉิงไม่ใช่คุณเป็นคนพูดออกไปหรอก” จากนั้นซวี่กวงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลินหว่าน ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น” 


 


 


“ขอบคุณค่ะที่เชื่อฉัน ผู้กำกับซวี่…” หลินหว่านเอ่ยขึ้นอย่างตื้นตันใจ 


 


 


ซวี่กวงพูดต่อว่า “อันที่จริง ตอนแรกที่เห็นโพสต์บนเวยปั๋วนั่น ผมก็โมโหมากเหมือนกัน ผมไม่ชอบให้คนอื่นมาสอดส่องชีวิตส่วนตัวของผม ไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วบงการเรื่องการใช้ชีวิตของผม ซึ่งนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมผมไม่ต้องการให้คนภายนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับอันลั่วเฉิง” 


 


 


หลินหว่านฟังแล้วรู้สึกเข้าใจดีทีเดียว จำได้ว่าเมื่อตอนเธอเพิ่งเข้าสู่วงการบันเทิง ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ก็มักจะมีเสียงตินั่นตินี่คอยชี้นิ้วต่อว่าเธอมาจากบนอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่บางครั้งเธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย บนอินเทอร์เน็ตก็ยังมีเสียงด่าว่าเธออยู่ดี 


 


 


แต่ว่าก็ยังดีที่ข้างกายเธอมีอวิ๋นซีกับเซียวจิ่งสือ พวกเขาคอยอยู่เคียงข้างเธอตลอด ไม่ว่าเธอต้องเจอกับเสียงครหาอะไรก็ตาม พวกเขาจะคอยปลอบโยนและให้กำลังใจเธอเสมอ 


 


 


พอคิดถึงตอนนี้ หลินหว่านพูดปลอบซวี่กวงว่า “ผู้กำกับซวี่คะ อันที่จริง การที่ผู้คนรู้สึกสนใจชีวิตส่วนตัวของคุณ ก็เพราะพวกเขาชอบคุณนะคะ ลองคิดดูสิ คุณมีความสามารถขนาดนั้น แล้วยังมีแฟนคลับอีกตั้งมากมาย ทุกคนก็ย่อมจะอยากรู้ว่าปกติคุณใช้ชีวิตอย่างไรบ้างนี่นา…” 


 


 


ซวี่กวงฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นเบาๆ จากนั้นพูดกับหลินหว่าน “ขอบคุณนะที่ปลอบใจผม หลินหว่าน” 


 


 


หลินหว่านเห็นรอยยิ้มของซวี่กวง แทบจะมองตาค้างไปเลย คิดไม่ถึงว่าคนเย็นชาถือตัวอย่างซวี่กวง ตอนยิ้มออกมาจะดูอบอุ่นอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้ 


 


 


วันต่อมา อันลั่วเฉิงโพสต์ข้อความหนึ่งลงบนเวยปั๋ว ยอมรับว่าเขากับซวี่กวงเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี โดยบอกว่าการที่ความสัมพันธ์ของเขากับซวี่กวงไม่ได้เปิดเผยให้คนภายนอกรับรู้ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาสนใจกับชีวิตส่วนตัวของเขามากเกินไป 


 


 


ส่วนซวี่กวงก็แชร์โพสต์ข้อความนี้ลงเวยปั๋ว ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา 


 


 


ชาวเน็ตทั้งหลายเมื่อเห็นว่าซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงยอมรับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปีจริงๆ ต่างก็พากันคอมเมนต์ว่าพวกเขาคาดไม่ถึง 


 


 


[โห โลกนี้มันช่างอะเมซซิ่งจัง! ผู้กำกับปีศาจกับไอดอลอันแผ่นเสียงทองคำเป็นเพื่อนซี้เก๋ากึ๊กกัน รู้สึกเหมือนมิติพิศวงเลย…] 


 


 


[ว๊ายยยยยยย ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ฉันคงยังไม่ตื่นดีแน่เลย!] 


 


 


[ในฐานะแฟนคลับของผู้กำกับซวี่ ผมอยากบอกว่า ผู้กำกับซวี่กับไอดอลอันนี่ช่างโลกส่วนตัวสูงกันซะจริง! ผมเป็นแฟนคลับยังไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลย ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจว่า พวกสื่อนั่งเทียนเขียนข่าวเรียกเรตติ้งเสียอีก ที่ไหนได้เป็นจริงซะด้วย…] 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ทีมงานของอันลั่วเฉิงได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่ง โดยกล่าวตำหนิบล็อกเกอร์เจ้าของบัญชีเวยปั๋วที่เปิดเผยความสัมพันธ์ของอันลั่วเฉิงกับซวี่กวง โดยเน้นเป็นพิเศษว่าไม่ต้องการให้มีการติดตามสอดแนมชีวิตความเป็นส่วนตัวของอันลั่วเฉิงและเพื่อนของเขา หากผู้ใดก็ตามล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของพวกเขาจะดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมาย 


 


 


หลินหว่านแชร์โพสต์ซวี่กวงลงบนเวยปั๋ว นอกจากเธอจะสนับสนุนอันลั่วเฉิงกับซวี่กวงแล้ว ยังเสริมด้วยว่าเธอหวังว่าชาวเน็ตจะให้ความเคารพต่อความเป็นส่วนตัว โดยให้มุ่งความสนใจที่ผลงานของพวกเขา อย่าได้สอดส่องล้วงลึกชีวิตส่วนตัวของเหล่าดารามากเกินไป 


 


 


หลังจากนั้น ตอนที่หลินหว่านไปบันทึกเพลงกับอันลั่วเฉิงอีกครั้ง เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอันลั่วเฉิงมีท่าทีกับเธอดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 100

 

ซวี่กวงโมโห

 


 


 


 


นับแต่ความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงเปิดเผยสู่สาธารณชน อันลั่วเฉิงโพสต์ข้อความลงเวยปั๋ว ในโพสต์อันลั่วเฉิงชี้แจงว่าหลินหว่านได้ร่วมงานกับเขาโดยผ่านการแนะนำจากซวี่กวงจริง หวังว่าทุกคนจะไม่หลงเชื่อข่าวลือวุ่นวายอื่นๆ อีก 


 


 


หลังจากที่โพสต์นี้ได้ถูกเผยแพร่ออกมา บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากยอมรับคำชี้แจงนี้ 


 


 


บนอินเทอร์เน็ตจึงไม่มีเสียงต่อว่าต่อขานหลินหว่านอีก หลินหว่านก็ทุ่มเทให้กับการบันทึกเสียงอัลบั้มเพลงชุดใหม่กับอันลั่วเฉิงตลอด 


 


 


หลายวันผ่านไป การบันทึกเสียงอัลบั้มใหม่ที่หลินหว่านร่วมงานกับอันลั่วเฉิงเสร็จสิ้นลงในที่สุด 


 


 


“หลินหว่าน ช่วงนี้คุณเหนื่อยหน่อยนะ” หลังการบันทึกเสียงเสร็จ อันลั่วเฉิงก็พูดกับหลินหว่านด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ฉันต่างหากทำให้คุณลำบาก” หลินหว่านยิ้มพลางพูดอย่างถ่อมตัว 


 


 


“ที่ไหนล่ะ ระหว่างนี้คุณทำได้ดีมากเลย ทำให้ผมเกิดความคิดมากมาย ตอนที่ผมทำอัลบั้มนี้อยู่เกิดไอเดียใหม่ๆ เยอะเลย จะว่าไปแล้วผมยังต้องขอบคุณคุณด้วย” อันลั่วเฉิงมองหลินหว่านแล้วพูดขึ้น 


 


 


หลินหว่านรู้สึกขัดเขินกับคำพูดยกยอจากอันลั่วเฉิงอยู่บ้าง 


 


 


อันลั่วเฉิงเสนอตัวว่าจะเลี้ยงข้าวเธอ แต่หลินหว่านปฏิเสธ “ขอบคุณนะคะ แต่ฉันทำให้ทางกองถ่ายของผู้กำกับซวี่เสียเวลามาระยะหนึ่งแล้ว ฉันยังต้องรีบกลับกองถ่ายไปถ่ายหนังต่อ ไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่าค่ะ ” 


 


 


อันลั่วเฉิงพูดอย่างเสียดายว่า “งั้นเอาเถอะ คราวหลังถ้ามีโอกาสคุณต้องให้ผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ เพื่อแสดงความขอบคุณนะ” 


 


 


หลังจากกล่าวลาอันลั่วเฉิง ตอนบ่ายหลินหว่านก็กลับเข้ากองถ่าย 


 


 


เนื่องจากตอนที่ถ่ายภาพฟิตติ้งและตอนที่ถ่ายหนังตัวอย่างภาพยนต์ หลินหว่านสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้กับนักแสดงส่วนใหญ่ในกองถ่าย ทีมงานทุกคนในกองถ่ายต่างพากันต้อนรับอย่างอบอุ่นเมื่อหลินหว่านกลับมาที่กองอีกครั้ง 


 


 


ตามตารางการถ่ายทำเดิมของทางกองถ่าย หลายวันมานี้ยังไม่มีฉากที่หลินหว่านต้องแสดง หลินหว่านที่อยู่ในกองถ่ายจึงคอยสังเกตดูคนอื่นว่าแสดงกันอย่างไร แล้วนำมาศึกษาทบทวนบท 


 


 


แต่ถึงอย่างไรก็ตามหลินหว่านก็เป็นนางเอก ไม่ต้องพูดถึงบทที่ได้รับ ก่อนหน้านี้ที่ไปบันทึกเสียงให้อัลบั้มของอันลั่วเฉิงก็ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย พอหลินหว่านกลับมา ซวี่กวงก็ปรับแผนการถ่ายทำของวันถัดไปทันที เปลี่ยนมาถ่ายฉากที่มีบทของหลินหว่านทั้งวัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเสริมในส่วนที่เธอไม่อยู่ในกองถ่ายช่วงก่อนหน้านี้เพื่อไปอัดเสียงกับอันลั่วเฉิง 


 


 


เพื่อไม่ให้ซวี่กวงผิดหวัง ตอนเย็นหลินหว่านเตรียมตัวสำหรับเข้าฉากวันพรุ่งนี้ตั้งนานสองนาน วันรุ่งขึ้น เธอมาถึงสถานที่ถ่ายทำตั้งแต่เช้า 


 


 


ตอนพบกับซวี่กวงที่สถานถ่ายทำ หลินหว่านเข้าไปทักทายเขา ซวี่กวงก็ผงกศีรษะแล้วยิ้มรับกับเธอ 


 


 


ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของซวี่กวงกับอันลั่วเฉิงถูกเปิดเผย หลินหว่านไปหาซวี่กวงพูดคุยแบบเปิดอกแล้ว ท่าทีของซวี่กวงที่มีต่อหลินหว่านก็ไม่เย็นชาเหมือนก่อนอีก 


 


 


วันนี้หลินหว่านต้องเข้าฉาก แสดงสามฉากด้วยกัน ฉากหนึ่งแสดงร่วมกับพระเอก ส่วนอีกสองฉากมีเธอเข้ากล้องคนเดียว 


 


 


ในหนังเรื่องนี้ หลินหว่านรับบทเป็นนางเอกที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก ครั้งหนึ่งในระหว่างทางเธอพบเจอกับเหตุร้ายโดยไม่ตั้งใจ ได้รับความช่วยเหลือจากพระเอกที่ผ่านมาพอดี จึงทำให้เธอถูกนางรองที่ชอบพระเอกอยู่อิจฉา ต่อมาตอนที่นางเอกถูกนางรองวางแผนทำร้ายจนตกเขา ได้ค้นพบ ‘ความลับของชนเผ่ามาร’ นั่นคือพลังมืดมิดที่สุดของโลกใบนี้เข้าโดยบังเอิญ แต่ก็ทำให้เธอได้พบว่าชาติกำเนิดของเธอเกี่ยวข้องกับชนเผ่ามาร ตอนท้ายเรื่อง นางเอกคิดหาทางร่วมมือกับพระเอกเอาชนะชนเผ่ามาร ทำให้โลกใบนี้ปราศจากอำนาจมืด 


 


 


ฉากแรกถ่ายทำไปได้อย่างราบรื่น หลินหว่านกับเผยอี้ที่รับบทเป็นพระเอกแสดงเข้าขากันได้ดีมาก ทั้งสองถ่ายฉากนี้เสร็จอย่างรวดเร็ว 


 


 


ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ หลินหว่านจึงมีความมั่นใจอย่างมากในการถ่ายทำต่ออีกสองฉาก เพียงแต่หลังจบฉากนี้แล้ว เธอเห็นว่าซวี่กวงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ฉากที่สองเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลินหว่านทำให้ตัวเองสงบใจลง สวมบทบาทของตัวละครแล้วเข้าฉากไป 


 


 


ฉากนี้ไม่เหมือนกับฉากก่อนหน้า ฉากนี้เป็นการแสดงถึงสภาพความคิดจิตใจของนางเอก ซึ่งยากมากทีเดียว หลินหว่านต้องแสดงถึงความรู้สึกตื่นตะลึงที่ค้นพบความลับของชนเผ่ามาร ความรู้สึกหวั่นกลัว ไม่แน่ใจและโกรธที่แสดงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนท้ายความรู้สึกบ้าคลั่งและเคว้งคว้างที่ได้รับรู้ว่าชาติกำเนิดของตัวเองเกี่ยวข้องกับเผ่ามาร ทั้งหมดนี้หลินหว่านต้องเข้าถึงความคิดจิตใจของตัวละครให้ได้ แล้วนำเสนอมันออกมาผ่านเทคนิคการแสดงของเธอเอง 


 


 


หลังเสียง “แอคชั่น” ของซวี่กวง การถ่ายทำฉากนี้ก็เริ่มขึ้น แต่เมื่อหลินหว่านแสดงไปได้ยังไม่ถึงครึ่งก็ได้ยินเสียงร้อง “คัท” ของซวี่กวง 


 


 


หลินหว่านมองซวี่กวงอย่างไม่เข้าใจ เธอเห็นซวี่กวงขมวดคิ้วมุ่น พูดเสียงเย็นว่า “หลินหว่าน คุณแสดงอารมณ์ออกมายังไม่เต็มที่ เอาใหม่อีกครั้ง” 


 


 


“ค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านตอบรับ 


 


 


เริ่มถ่ายอีกครั้ง หลินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ให้ตัวเองผ่อนคลาย 


 


 


แต่คราวนี้หลินหว่านยังแสดงได้ไม่ถึงครึ่ง ซวี่กวงก็ร้อง “คัท” ออกมาอีก แล้วตะโกนเสียงดังใส่หลินหว่านว่า “หลินหว่าน คุณเป็นอะไรหา ตั้งใจแสดงจริงๆ แล้วหรือยัง คุณได้ศึกษาบทมาอย่างละเอียดหรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าคุณจะแสดงอะไร” 


 


 


หลินหว่านกับทีมงานกองถ่ายเห็นแล้วพากันตื่นตกใจกันไปหมด ตั้งแต่ถ่ายทำมาพวกเขาไม่เคยเห็นซวี่กวงอารมณ์ขึ้นขนาดนี้มาก่อน จนทำให้พวกเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าซวี่กวงเป๊ะเว่อร์ มีอารมณ์หงุดหงิดกราดเกรี้ยวเป็นคุณสมบัติพิเศษ 


 


 


คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ซวี่กวงอารมณ์ขึ้นจะพุ่งเข้าใส่หลินหว่าน ทีมงานทุกคนในกองถ่ายเห็นแล้วไม่รู้จะทำยังไงกันดี 


 


 


คราวนี้หลินหว่านเดินเข้าไปหาเขาอย่างหวั่นใจ พูดว่า “ผู้กำกับซวี่ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ดีเอง ขอโอกาสฉันอีกสักครั้งนะคะ คราวนี้ฉันตั้งใจจะแสดงให้ดีแน่ค่ะ” 


 


 


เผยอี้เข้ามาช่วยหลินหว่านพูด “ผู้กำกับซวี่ ผมว่าเมื่อครู่หลินหว่านคงยังไม่ค่อยพร้อมน่ะ คุณให้โอกาสเธออีกสักครั้งเถอะครับ” 


 


 


ซวี่กวงฟังแล้วกลับหันมาพูดกับหลินหว่านว่า “หลินหว่าน ถ้าต่อไปคุณยังเป็นแบบนี้อยู่ละก็ ผมว่าไม่ว่าจะให้โอกาสคุณสักกี่ครั้งคุณก็ยังแสดงได้ไม่ดีหรอก” 


 


 


หลินหว่านกำลังจะพูดแย้งก็ได้ยินซวี่กวงพูดขึ้นว่า “หลินหว่าน ผมไม่สนว่าเมื่อก่อนที่กองถ่ายอื่นคุณจะแสดงยังไง แต่ที่กองถ่ายของผม ต้องดึงเอาการแสดงที่สมบูรณ์ที่สุดออกมา แสดงออกมาตามที่ผมต้องการ ฉากนี้คุณยังไม่ต้องแสดง ไปหาอารมณ์ที่ใช่มาก่อน ศึกษาดูความนึกคิดจิตใจของตัวละคร นึกดูว่าควรจะแสดงออกมายังไงจึงจะแสดงฉากนี้ได้ดี” 


 


 


หลินหว่านฟังแล้วโต้แย้งไม่ออก อันที่จริงเมื่อครู่ตอนเธอแสดงนั้น เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยพร้อมนัก ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกภายในจิตใจแบบนั้นของเธอออกมาได้ หลินหว่านพูดอย่างรู้สึกผิดต่อซวี่กวง “ขอโทษค่ะ ผู้กำกับซวี่ ฉันทราบแล้วค่ะ เมื่อครู่ฉันยังไม่ค่อยพร้อม ต่อไปฉันจะปรับปรุงตัวเองให้พร้อมค่ะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม