ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 80.4-81.5
ตอนที่ 80-4 คล้ายคนคุ้นเคย
ในตึกไจซิง
พอเมี่ยวเอ๋อร์เห็นว่าอวิ๋นหว่านถงหายไป ก็เที่ยวตามหาอยู่รอบหนึ่ง แต่พอได้ยินนางในที่อยู่ชั้นล่างบอกว่า นางถูกซือเหยาอัน ผู้ติดตามของฉินอ๋องเรียกตัวไป ค่อยตกใจ รีบไปบอกคุณหนูใหญ่
การที่ฉินอ๋องเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่า…เขาเรียกอวิ๋นหว่านถงไปทำไมกัน
เขา มาที่ตึกไจซิงเมื่อครู่?
อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนได้เวลางานเลี้ยงแล้ว
จางเต๋อไห่มาที่ตึกไจซิง ใช้นางในให้ขึ้นไปชั้นบน บอกอวิ๋นหว่านชิ่นว่าต้องไปตำหนักชุ่ยหมิงก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีเวลาตามหาคนอีก จึงได้แต่บอกเฉินจื่อหลิงคำหนึ่ง แล้วค่อยลากเมี่ยวเอ๋อร์ลงชั้นล่าง
เมื่อจางเต๋อไห่เห็นว่าสาวใช้ข้างกายคุณหนูอวิ๋นน้อยไปหนึ่งคน จึงสงสัย
“เอ๋ คุณหนูอวิ๋นพาสาวใช้เข้าวังมาสองคนมิใช่หรือ แล้วอีกคนล่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดปิดบัง ก้มหน้าตอบเสียงเบา
“ได้ยินว่าเมื่อครู่เหมือนถูกฉินอ๋องเรียกตัวไป ไม่รู้ว่านางถูกกำชับให้ไปทำอะไรหรือเปล่า ถึงยังไม่กลับมา ซึ่งข้าก็ว่าจะถามใต้เท้าจางดูว่า จะคืนนางกลับให้ได้เมื่อไหร่”
พอจางเต๋อไห่ได้ยิน ก็เดาว่าฉินอ๋องมาที่ตึกไจซิง แต่ไม่สะดวกที่จะพบคุณหนูอวิ๋น จึงทำเช่นเดียวกับชายหนุ่มชั้นสูงคนอื่นๆ เรียกสาวใช้ข้างกายนางเข้าไปถามไถ่
หนุ่มสาวสมัยนี้ชอบเกี้ยวพาราสีกัน แม้เขาเป็นขันที ก็เข้าใจ
ความสัมพันธ์แบบคั่นด้วยกระดาษหนึ่งแผ่น กับช่วงเวลากำกวมที่ใช้ให้บ่าววิ่งไปวิ่งมา ถ่ายทอดคำพูดของตนให้อีกฝ่ายรู้นั้น เป็นช่วงที่ทำให้จิตใจกระปรี้กระเปร่าเป็นที่สุด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ท่านสามก็ชอบเล่นอะไรแบบนี้ด้วย…
เมื่อคิดเช่นนี้ จางเต๋อไห่ก็ไม่ถามมากความอีก ยิ้มหวาน แล้วว่า “ไม่เป็นไรๆ ถ้าข้าเจอท่านสามเมื่อไหร่ จะถามให้ก็แล้วกัน คุณหนูอวิ๋นไม่ต้องร้อนรนไป”
อวิ๋นหว่านชิ่นร้อนรนที่ไหนกัน ยิ้มน้อยๆ “ได้เจ้าค่ะ”
พอเดินผ่านกำแพงแดงกระเบื้องเขียว กลุ่มคนก็มาถึงตำหนักชุ่ยหมิง
หลานถิงรออยู่หน้าประตูอยู่แต่แรก และตอนนี้ก็เห็นจางเต๋อไห่พานายหนึ่งบ่าวหนึ่งเข้ามา
สาวน้อยที่อยู่ข้างหน้าอายุราวสิบห้า หน้าตาสดใสน่ารัก ผิวเนียนนุ่มนิ่ม รูปร่างงดงาม การแต่งตัวแม้ไม่ถือว่าดึงดูด แต่ก็เก๋ไก๋ประณีตไม่เบา ตนอาจเห็นสาวสวยแต่งตัวจัดจ้านหรูหราในวังหลังมามาก พอเห็นเช่นนี้ กลับรู้สึกเหมือนถูกสายลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้า รู้ได้ในทันทีว่าสาวน้อยผู้นี้ก็คือคุณหนูอวิ๋นที่พระสนมเอกเชื้อเชิญมา จึงรีบก้าวเข้าไปเชิญให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาในพระตำหนัก
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าวังหลังในเป็นครั้งแรก ระหว่างทางจึงอดไม่ได้ที่จะชมนกชมไม้
ตำหนักชุ่ยหมิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตพระราชฐานชั้นใน ไม่ถือว่าหรูหรามาก แต่ก็ตกแต่งได้อย่างประณีตและสง่างาม สิ่งที่ควรมีก็มีอย่างครบครัน…เช่นเดียวกับสถานะนายหญิงของพระตำหนัก เสาหลักของสันติภาพที่ทั้งสองแคว้นร่วมกันสร้างขึ้น ซึ่งไม่สามารถปล่อยปละละเลยไปได้ แต่ไม่ว่าจะรักมากเพียงใด ก็ไม่มีทางอยู่สูงเกิน เพราะเป็นคนต่างเชื้อชาติ
พอละสายตาออก สายตาก็ไปตกอยู่ที่สวนขนาดย่อม มีรั้วล้อมรอบ กิ่งก้านสาขาของต้นเหมย (ต้นบ๊วย)ยื่นออกนอกรั้ว พอนางยื่นคอไปดู ก็เห็นที่ปลายกิ่งมีดอกเหมยสีชมพูดอกเล็กๆ ที่เพิ่งผลิบาน บ้างก็เป็นดอกตูม
ไม่ต้องเพ่งมากก็รู้ว่าเป็นดงดอกเหมย
พอหลานถิงเห็นคุณหนูอวิ๋นสนใจดอกเหมย ก็เดินพลางยิ้มพลางอธิบาย “ฝ่าบาททรงโปรดดอกเหมย พระสนมเอกจึงปลูกต้นเหมยไว้ในพระตำหนัก”
อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว เป็นผู้หญิงของเชื้อพระวงศ์นั้นดีตรงไหน! พอเข้าวัง ก็ต้องทำตามที่ผู้ชายชอบ เขาชอบดอกเหมย เหล่าสนมก็ต้องรีบปลูก เพื่อเอาใจเขา
ขณะคิด ก็เดินเข้ามาในพระตำหนักพอดี
เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นหว่านชิ่นได้พบสนมเอกเฮ่อเหลียน หลังถอนสายบัว ก็สะท้อนใจ วังหลังเป็นสถานที่ๆ รวมคนสวยในใต้หล้าไว้จริงๆ ได้ยินมานานแล้วว่า สนมเอกเฮ่อเหลียนสวยมาก ตอนนี้พอได้เห็น ก็รู้สึกว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น นางสวมชุดกระโปรงผ้าไหมลายดอกเหมยยาวระพื้น เนื่องจากถือกำเนิดทางตอนเหนือ หน้าตาจึงต่างกับชาวฮั่นในภาคกลาง หน้าตาของนาง สวยลึกล้ำและงามเด่นสะดุดตา
ฉินอ๋องก็น่าจะได้เชื้อครึ่งหนึ่งจากแม่ ทุกส่วนของหน้าตาจึงดูดีแบบนั้น
ทว่าสาวงามที่หน้าตาสะสวยเกิน มักใช้อำนาจบีบบังคับคนโดยไม่รู้ตัว ทว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนมีชาติกำเนิดเป็นองค์หญิง ทั้งคำพูดและอิริยาบถจึงอบอุ่นอ่อนโยน หาได้ยากยิ่ง
แต่สาวงามเช่นนี้ กลับมีจุดจบที่ไม่สู้จะดีเช่นนั้นในชาติก่อน แล้วหนิงซีฮ่องเต้ทรงทำลงคอได้อย่างไรกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นทอดถอนใจ สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงยิ้มพลางบอกให้ชิงถานกับจื่อซวงไปยกชุดน้ำชาออกมา แล้วค่อยบอกให้อวิ๋นหว่านชิ่นนั่ง
“วันนี้พอได้ยลโฉมคุณหนูอวิ๋น ก็เป็นเช่นที่ข้าคิดไว้แปดถึงเก้าในสิบส่วน เช่นเดียวกับยาสระผมที่เจ้าทำด้วยมือตัวเอง สดใสและน่ารัก”
สาเหตุมาจากยาสระผมจริงๆ ด้วย
พอเห็นว่านางพูดกับตนอย่างเป็นกันเอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถอนสายบัวอีกครั้ง และพอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงตาที่แจ่มใสของสนมเอก จึงกะพริบตา แล้วว่า
“พระสนมเอกก็สวยกว่าที่หม่อมฉันจินตนาการไว้มาก สมองหม่อมฉันทึบตัน จึงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพระสนมเอกจะงดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์”
“ปากหวานนะเรา” สนมเอกเฮ่อเหลียนหัวเราะ แต่ในใจกลับทอดถอนใจอยู่บ้าง
หญิงสาวผู้นี้กับซื่อถิงนิสัยแทบจะแตกต่างกัน อย่างการชื่นชมตน ยากนักที่จะได้ยินจากปากของซื่อถิง และจากลักษณะตามปกติของโอรส เดิมทีนางยังนึกว่าเขาจะชอบหญิงสาวที่เหมือนตัวเอง คือมีลักษณะเรียบร้อย พูดน้อย บริสุทธิ์ อ่อนโยน แต่เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้ดูเหมือนเงียบขรึม แต่ความสดใสที่เปล่งออกมานั้น ปิดไม่มิด และเกรงว่ายิ่งอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งเจิดจรัส ไม่มีทางเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แน่
อีกอย่าง คนที่มีไหวพริบและพูดเก่งเช่นนี้ ซื่อถิงจะเอาอยู่หรือ
พอจางเต๋อไห่เห็นสีหน้าพระสนมเอก ก็รู้ทันทีว่านางกำลังพิจารณาลูกสะใภ้ในอนาคตอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงแอบขำ แต่พอเห็นว่าใกล้เวลางานเลี้ยงเต็มที จึงว่า
“เรียนพระสนมเอก งานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว ควรเสด็จไปที่ศาลาปทุมหอมได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนพยักหน้า ลุกขึ้นยืน แล้วพูดเบาๆ “จื่อซวง หลานถิง มาตรวจดูชุดผู้ติดตามเข้างานเลี้ยงของคุณหนูอวิ๋นหน่อย”
จางเต๋อไห่จึงถอยออก แล้วปลดม่านไข่มุกลง
ตรวจค้นร่างกาย? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย ตอนเข้าประตูวังมาก็ตรวจไปครั้งหนึ่งแล้วนี่ ทำไมถึงต้องตรวจอีก
พอจื่อซวงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมีคำถามบนใบหน้า ก็เดาความคิดนางออก จึงอธิบาย
“คุณหนูอวิ๋นเจ้าคะ เจี่ยไทเฮาเป็นภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ สัมผัสเกสรดอกไม้ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่มีการพบปะใกล้ชิด พระสนมเอกจึงต้องระวังเป็นพิเศษ งานเลี้ยงในครั้งนี้ การตรวจเสื้อผ้าก็ไม่ละเว้น แม้ตอนเข้าประตูวังถูกตรวจมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็อยู่ในวังนานพอควร เกรงว่าคุณหนูอวิ๋นอาจไม่ทันระวัง เสื้อผ้าเลอะเกสรดอกไม้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นตามกฎแล้ว ยังต้องตรวจให้แน่นอนอีกครั้ง”
เป็นเช่นนี้นี่เอง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงโล่งใจ ถอดเสื้อผ้าออกเองพร้อมเมี่ยวเอ๋อร์ แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ให้สองสาวตรวจดู
พอตรวจเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสวมเสื้อผ้ากลับเข้าไปใหม่ สนมเอกเฮ่อเหลียนที่อยู่ในม่านก็แย้มยิ้ม
“คุณหนูอวิ๋นอย่าได้ถือสา เจี่ยไทเฮาเคยป่วยหนักเพราะภูมิแพ้กำเริบเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งฝ่าบาทเครียดมาก จึงไม่ประสงค์ให้เกิดขึ้นอีก และถ้าเราประมาทเลินเล่อ ทำให้ไทเฮาป่วย ก็ถือเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว”
“จริงด้วยเพคะ” หลานถิงจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ได้ จึงพูดไปตามน้ำ
“หลายวันก่อน ตอนหัวหน้าไป๋ส่งเสื้อผ้าให้นางในฝ่ายซักรีดซักนั้น พวกนางตรวจพบดอกลำโพงเข้า โชคดีที่หัวหน้าไป๋เป็นคนโปรดของฮองเฮา ฮองเฮาจึงเป็นพยาน ยืนยันว่าหัวหน้าไป๋ไม่มีทางพกยาพิษแน่ หัวหน้าไป๋จึงพ้นจากการถูกลงโทษทางกาย แต่ถูกตัดเงินเดือนไปครึ่งปี และถูกกักบริเวณอยู่หลายวัน โดยเพิ่งออกมาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง! หัวหน้าไป๋บอกว่านางถูกกลั่นแกล้ง นางไม่เคยพกดอกลำโพงติดตัว แต่จะทำอย่างไรได้ วังหลวงเพียงตัดสินเท่าที่ตาเห็น ก็มีหลักฐานให้เห็นกันอยู่ชัดๆ! ดังนั้นพระสนมเอกของเราจึงต้องระมัดระวังเรื่อยมา ทำอย่างไรได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นยกมุมปากขึ้น มิได้พูดอะไร ขณะเดียวกัน จางเต๋อไห่ก็เร่งอยู่ด้านนอก
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงพาอวิ๋นหว่านชิ่น เมี่ยวเอ๋อร์ และสี่นางในข้างกาย ตรงไปยังศาลาปทุมหอม
ตอนที่ 80-5 คล้ายคนคุ้นเคย
ศาลาปทุมหอม ในสวนหลวง
ศาลาทรงสูงและกว้างใหญ่ข้างทะเลสาบเฉิงเทียน ตั้งอยู่บนผืนดินที่บรรจบกับผืนน้ำ รอบๆ บริเวณเป็นสนามหญ้าเปิดโล่งเขียวขจีขนาดใหญ่
นอกศาลา ด้านล่างของบันได ทั้งซ้ายและขวา มีโต๊ะจีนวางเรียงรายยาวดั่งงูเลื้อยอยู่สองแถว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุราเลิศรส อีกทั้งของว่างและผลไม้ ทุกอย่างล้วนเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย และมีแขกเข้ามานั่งบ้างแล้ว โดยแขกที่ยิ่งนั่งติดริมทะเลสาบ ก็ยิ่งเป็นแขกที่ใกล้ชิดกับเจี่ยไทเฮา และย่อมเป็นแขกที่มีสถานะสูงส่ง
ด้านหลังของแต่ละโต๊ะมีราชองครักษ์ ขันทีและนางใน ยืนกระจายกันไปในแต่ละจุด รอรับใช้แขกเหรื่อ
เจี่ยไทเฮายังมิได้เสด็จมาที่ศาลา
โต๊ะที่อยู่ด้านล่างศาลาและใกล้เจี่ยไทเฮามากสุด มีผู้สูงศักดิ์แต่งตัวหรูหรางามสง่านั่งอยู่หลายคน
สตรีนางหนึ่งอายุมากหน่อย สวมชุดสีแดงส้ม ท่าทางสงบนิ่ง
อีกนางหนึ่งสวมชุดสีแดงม่วง อายุน้อยหน่อย แม้หน้าตาสะสวย แต่ท่าทางไม่ค่อยน่าเข้าใกล้ สายตามีแววเย่อหยิ่งจองหอง
สนมเอกเฮ่อเหลียนพาอวิ๋นหว่านชิ่นและเหล่าผู้ติดตาม เข้าไปคารวะ
“ถวายพระพรฮองเฮา ถวายพระพรพระมเหสีรอง”
มเหสีรองเหวยกำลังถือถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่มีชาผูเอ่อร์สีเหลืองทองอยู่ จึงหันดวงตาหงส์ที่เชิดขึ้นเล็กน้อยมา ก่อนแค่นเสียงเย็นชาเบาๆ คล้ายเสียงยุงไปสองที
กลับเป็นเจี่ยงฮองเฮาที่ถือถ้วยชามรกตไว้ในมือ พลางพูดเสียงอ่อนโยน
“สนมเอกมาแล้ว ลุกขึ้นเถิดแล้วไปนั่งประจำที่”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จึงเห็นคนคุ้นเคยที่ยืนตรงอยู่ด้านหลังเจี่ยงฮองเฮา ไป๋ซิ่วฮุ่ย
ซึ่งนางก็กำลังมองมาเช่นกัน น่าจะได้ยินจากนายหญิงของนางมาก่อนแล้วว่าอวิ๋นหว่านชิ่นก็เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย จึงมิได้แปลกใจอะไรมาก เพียงใช้สายตาที่เย็นชา จ้องมองมาอย่างไม่วางตา
ถ้าสายตาสามารถทิ่มแทงคนได้ ร่างที่ถูกจ้อง น่าจะพรุนไปด้วยรูทั้งตัวตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องดอกลำโพง ไป๋ซิ่วฮุ่ยเคยนึกย้อนว่า วันนั้นตอนออกจากวัง แล้วรีบกลับเข้าวังนั้น ระหว่างทางนางมิได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ยกเว้นพี่สาว ส่วนคนนอกที่สัมผัสนางในระยะประชิด ก็มีเพียงนังเด็กอวิ๋นหว่านชิ่นนี่ล่ะ…นางในฝ่ายซักรีดเป็นผู้พบดอกลำโพงในแขนเสื้อนาง ซึ่งก่อนจากมา นางถูกเด็กนี่ดึงแขนเสื้อชัดๆ
ถ้าไม่ใช่เด็กนี่แล้ว จะเป็นใครไปได้?
เพียงแต่ไป๋ซิ่วฮุ่ยคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างตน จะถูกคนซุ่มพลิกเรือในรางน้ำ ถูกเด็กบ้านๆ คนหนึ่งเล่นงานเข้าให้
พอได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจี่ยงฮองเฮา อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันเดิมตามสนมเอกเฮ่อเหลียนเข้าไปนั่งที่โต๊ะ แต่เพิ่งหันไปได้ครึ่งร่าง ก็ได้ยินเสียงของเจี่ยงฮองเฮาดังมา
“แม่นางผู้ติดตามสนมเอกผู้นี้ คือคุณหนูอวิ๋นใช่หรือไม่”
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงรีบหันมาตอบ “เรียนฮองเฮา ใช่เพคะ นางเป็นบุตรสาวคนโตของท่านรองเจ้ากรมอวิ๋น” แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น “ยังไม่รีบเข้าไปกล่าวถวายพระพรฮองเฮาอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไป ก่อนพูดเสียงเบา “ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญเพคะ”
เมื่อครู่เจี่ยงฮองเฮาไม่ทันสังเกต รอจนเด็กสาวหันข้างกำลังจะเดินจากไป ค่อยเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นใบหน้าสวยๆ ด้านข้างเข้า ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนรีบเรียกนางตามสัญชาตญาณ
“ไหนเจ้าเงยหน้าขึ้นซิ” เจี่ยงฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง และผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็กวาดตามองนางจากหัวจรดเท้า
สีหน้าเจี่ยงฮองเฮาค่อยๆ นิ่ง แล้วรอยยิ้มอันอ่อนโยนและใจดีก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“กิริยามารยาทงดงามจริงๆ รับใช้สนมเอกให้ดีๆ ล่ะ ไปเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดว่า การที่เจี่ยงฮองเฮาเรียกตนไว้ เพื่อมองตนให้ถ้วนถี่และชมเชยตน แต่ความจริงคืออะไรนั้น ตนก็ไม่อาจจะรู้ได้ พอได้ยินเสียงเร่งให้เดินตามมาของพวกหลานถิง จึงได้แต่เดินตามสนมเอกเฮ่อเหลียนไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าก่อน
พอเด็กสาวจากไป เจี่ยงฮองเฮาก็ยังคงมองตามไปยังโต๊ะตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงอ้าและหุบริมฝีปาก พลางขมวดคิ้วแน่น
สายตาเมื่อครู่ เหมือนมากจริงๆ แต่ตอนนี้มองไป คล้ายไม่ค่อยเหมือนแล้ว…
ไป๋ซิ่วฮุ่ยรับใช้ข้างกายเจี่ยงฮองเฮามาหลายปี มีหรือจะดูปฏิกิริยาแปลกๆ ในตอนนี้ของนางไม่ออก ตอนที่เห็นนางโพล่งเรียกเฉพาะอวิ๋นหว่านชิ่น ดวงตาก็ร้อนผะผ่าว หัวสมองพลันมีภาพขณะอยู่ในจวนสกุลอวิ๋นวาบผ่าน โดยตอนนั้นตนรู้สึกเหมือนเคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แต่ก็คิดว่าอาจคิดมากเกินไป หรือ…ตนมิได้คิดมาก?
พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋ซิ่วฮุ่ยก็ถกกระโปรงขึ้นสองข้าง รีบก้าวเข้าไปยืนข้างๆ เจี่ยงฮองเฮา แล้วกระซิบข้างหู
“ฮองเฮาเพคะ รู้สึกใช่ไหมว่าคุณหนูอวิ๋นดูคุ้นหน้า เหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน”
ไหล่อันบอบบางของเจี่ยงไท่เฮาสะดุ้ง ที่แท้ หัวหน้าไป๋ก็ดูออกเหมือนกัน จึงกดเสียงให้ต่ำลง
“เจ้าก็รู้สึกเช่นนี้หรือ ไหนลองดูซิว่า เค้าหน้าของเด็กคนนี้ ทั้งตาจมูกปาก เหมือน…มากจริงๆ ใช่หรือไม่”
เจี่ยงฮองเฮากลืนน้ำลายลง มิได้พูดออกมา คล้ายเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่สะดวกที่จะพูดในสถานที่เช่นนี้ ทว่าไป๋ซิ่วฮุ่ยนึกทุกสิ่งทุกอย่างออกแล้ว และรู้ว่าเจี่ยงฮองเฮาพูดถึงอะไร
“ตอนที่บ่าวเห็นนางครั้งแรก ก็รู้สึกเช่นนี้ แต่ก็มิได้คิดมาก คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน…” ไป๋ซิ่วฮุ่ยพูดเสียงต่ำ
สายตาของเจี่ยงฮองเฮาเลื่อนลอยและสับสนไปชั่วขณะ
“ใต้หล้ามีคนหน้าเหมือนมากมาย อาจแค่คล้ายกันเท่านั้น” แล้วจึงโบกมือปราม ให้ไป๋ซิ่วฮุ่ยถอยกลับไปด้วยนางรู้สึกไม่ค่อยสบายอย่างเห็นได้ชัด
และแล้ว งานเลี้ยงสังสรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น
เจี่ยไทเฮาเสด็จมางานเลี้ยง ท่ามกลางผู้คนในวังห้อมล้อม
ผู้คนที่อยู่กันเต็มพื้นที่ต่างพากันยืนขึ้น แสดงความเคารพและถวายพระพร
เจี่ยไทเฮายังปลื้มปีติยินดีกับพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาไม่หาย จึงมีพลังมากมาย ตอนบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย น้ำเสียงจึงดังก้องกังวาน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่า แม้นางอายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ก็ยังรักษาสุขภาพร่างกายได้ดีจนดูสาวกว่าผู้สูงอายุในรุ่นราวคราวเดียวกัน ชนิดที่ว่า อายุหกสิบ แต่ดูๆ ไปอย่างมากก็ราวสี่สิบ หรือถ้าบอกว่าสามสิบกว่าก็มีคนเชื่อ
อย่างว่า หมอหลวงที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาอายุขัยให้ยืนยาวนั้นมีอยู่ไม่น้อย มิน่าเล่าหญิงสาวหลายคนถึงได้อยากเข้าวัง ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ใครบ้างไม่รักสวยรักงาม เฉพาะแค่บอกว่าสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ให้คงอยู่ตลอดกาล ก็ได้ใจผู้หญิงไม่รู้กี่มากน้อยแล้ว และเพียงได้เห็นจิตใจที่เข้มแข็งของเจี่ยไทเฮา ถ้าไม่บอกกันก่อนหน้า ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่านางเป็นภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ โรคที่ยากรักษาหายและต้องทรมานไปทั้งชีวิต
เจี่ยไทเฮาเพิ่งเสด็จมาถึงและประทับนั่งลง อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันมองไปรอบๆ ด้านขวาของศาลาที่อยู่ใกล้ไทเฮา ยังมีที่นั่งว่างอยู่หลายที่
ขณะเดียวกัน นอกศาลาก็มีเสียงขันทีรายงาน
“องค์รัชทายาท องค์ชายสามฉินอ๋อง องค์ชายแปดเยี่ยนอ๋อง องค์ชายสิบสองลี่อ๋อง องค์ชายสิบสามจิ่งอ๋อง และองค์ชายสิบห้าเฝินอ๋อง เสด็จ”
ตอนที่ 81-1 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้
เหล่าองค์ชายเดินเข้าไปในศาลา ถวายพระพรเจี่ยไทเฮาด้านล่างบันไดมรกต
พอเจี่ยไทเฮาเห็นหน้าหลานๆ ก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ ก่อนพูดเสียงดังกังวาน
“พาองค์ชายไปนั่งประจำที่”
ปกติแล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้ ก็คืองานเลี้ยงพบปะสังสรรค์เล็กๆ เป็นการส่วนตัวในแวดวงชนชั้นสูง จึงไม่มีพิธีรีตองมากมาย ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยง กับข้าวหลักยังไม่มา เจี่ยไทเฮาจึงโบกมือ ให้ทุกคนบริการตนเอง กินดื่มรองท้องไปพลางๆ ก่อน
โต๊ะของรัชทายาทกับเหล่าองค์ชายอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับโต๊ะของพวกอวิ๋นหว่านชิ่น ซึ่งแต่ละคนก็ได้ถกชุดยาวแล้วนั่งลงตามสถานะของตน ไม่นานนัก ก็มีองค์ชายองค์หญิงอีกหลายท่านทยอยกันเดินเข้างานมา
ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว กลุ่มองค์ชายที่เพิ่งมาถึง ได้รับความสนใจมากกว่ากลุ่มคุณชายชั้นสูงอย่างเห็นได้ชัด สายตาเจ้าชู้ของกลุ่มสาวๆ ชั้นสูงพุ่งไปยังร่างของลูกท่านหลานเธอ ก่อนหันมากระซิบกระซาบแล้วพากันเขินหน้าแดง
โดยสักพักก็พูดว่า องค์ชายสามเทห์และหล่อเกินห้ามใจมากสุด มีความห้าวหาญในแบบที่ผู้ชายภาคกลางไม่มี สมกับที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในเพลงยาวของแวดวงสาวชั้นสูง เพียงแต่ใบหน้าดูเย็นชาไปหน่อย เหมือนเข้าหาค่อนข้างยาก จึงถูกหักคะแนนไปบ้าง
สักพักก็พูดถึงบุคลิกของรัชทายาทว่า ดูงามสง่ากว่าครั้งก่อนที่ได้พบเจอ แต่ยังคงไม่มีราศีของผู้สืบราชบัลลังก์เสียเท่าไหร่ กลับเหมือนเซียนที่ละแล้วซึ่งกิเลศจากโลกภายนอกมากกว่า
สักพักก็พูดถึงองค์ชายแปดเยียนอ๋องว่า แม้อายุเพียงสิบสี่ แต่รูปร่างสูงโปร่ง มวยผมเรียบร้อย หน้าตาก็ดี ต้องโตเป็นหนุ่มหน้าสวยอีกคนแน่ อนาคตย่อมมิอาจดูเบา…
เหล่าคุณหนูต่างส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว งานเลี้ยงสังสรรค์จึงคึกคักไม่หยุด
จุดประสงค์สูงสุดของเจี่ยไทเฮาในการจัดงานเลี้ยงก็คือ อยากเปิดโอกาสให้ลูกหลานชายหญิงผู้สูงศักดิ์ได้มาพบเจอกัน สำหรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าคุณหนูนั้น แม้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังสงวนท่าที กระทั่งภาคภูมิใจพลางเห็นอกเห็นใจ เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็พูดถึงหนุ่มๆ สกุลซย่าโหวทั้งนั้น คนเป็นย่าก็ต้องปลื้มปิติเป็นธรรมดา
สักพัก เจี่ยไทเฮาก็หันมาคุยกับหลานๆ โดยยิ้มพลางมองหน้าแต่ละคนอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนถาม
“หมู่นี้รัชทายาทช่วยราชกิจฝ่าบาท ราบรื่นดีไหม”
“เรียนเสด็จย่า” รัชทายาทยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเคย “เสด็จพ่อบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีประสบการณ์มากมาย หลานคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างพระองค์ทุกวัน ได้เรียนรู้ไม่น้อย ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ถามจากขุนนางอาวุโสและสมุหนายกอวี้จนเข้าใจ”
“ดีๆ” เจี่ยไทเฮาพยักหน้าอย่างพอพระทัย ด้วยทรงหวังให้ผู้สืบบัลลังก์แห่งแคว้น พยายามเรียนรู้และ
ฝึกฝนเรื่องการเมืองการปกครองให้ดี จึงหันหาฉินอ๋อง
“ฉินอ๋องล่ะ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เพิ่งเปลี่ยนฤดู อากาศเย็นเร็ว โรคเก่ากำเริบหรือเปล่า ย่าดูสีหน้าเจ้าแล้ว เหมือนซีดไปหน่อยนะ”
หลานคนนี้ไม่สบายเพราะถูกพิษตอนอายุสามขวบ จึงถูกส่งตัวไปอยู่นอกวัง แม้เจี่ยไทเฮาผูกพันด้วยไม่มาก แต่ทุกครั้งที่นึกว่า องค์ชายที่รูปร่างสูงใหญ่และสง่างามคนหนึ่ง กลับไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในวัง แต่พอมีจวนฉินอ๋องเป็นของตัวเอง ก็ไปสร้างเสียไกลลิบ มิได้อยู่ใจกลางเมืองหลวงเสียนี่ ในใจจึงนึกเสียดายมาเสมอ
ซย่าโหวซื่อถิงตอบอย่างนอบน้อม
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย บ่าวในจวนอ๋องดูแลหลานเป็นอย่างดี ซึ่งหลานก็จำข้อห้ามต่างๆ จนขึ้นใจ และพยายามรักษาสุขภาพให้ดี เสด็จแม่จะได้ไม่กังวลพระทัย”
“อืม” เจี่ยไทเฮายิ้มอย่างมีเมตตา “ฉินอ๋องก็รู้ความไม่น้อย”
แล้วจึงหันไปถามเยี่ยนอ๋อง จิ่งอ๋อง เฝินอ๋อง และองค์หญิงอีกหลายคน ซึ่งทุกพระองค์ก็ตอบคำถามอย่างนอบน้อมและชัดถ้อยชัดคำ
ในงานเลี้ยง บรรยากาศเต็มไปด้วยความปรองดอง
สุดท้าย เจี่ยไทเฮาก็หันไปมองหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อีกด้าน
และแน่นอน ในสายตาของผู้สูงศักดิ์ในวัง สถานะของอวี้โหรวจวงย่อมไม่ต่ำต้อย เจี่ยไทเฮาจึงเรียกชื่อนางเป็นคนแรก
“ไม่เห็นหน้ากันหลายเดือน โหรวจวงสวยขึ้นอีกแล้ว”
อวี้โหรวจวงลุกขึ้นยืน โดยมีลวี่สุ่ยคอยจับปลายกระโปรงระพื้นให้ ก่อนเดินออกจากที่นั่งไปกับคุณหนู
พออวี้โหรวจวงเดินมาถึงกลางพรมแดง ก็ถอนสายบัวตามมาตรฐานอย่างอ่อนช้อย
“ขอบพระทัยที่ทรงชมเชยโหรวจวง ขอไทเฮาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ดุจเดือนดุจตะวัน ดุจต้นสนดุจเทพเซียน เป็นร่มโพธิร่มไทรตลอดไป”
“ดี ลุกขึ้นเถิด”
เจี่ยไทเฮาได้รับคำอวยพรจากเหล่าขุนนางในพิธีเฉลิมฉลองมาแล้ว และคำอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืนก็ฟังมามาก แต่เมื่อสาวงามชุดแดงด้านล่างเป็นผู้พูด ก็รู้สึกเจริญตาเจริญใจยิ่ง คำอวยพรนี้แม้ไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็มีน้ำหนักและไม่ผิดอะไร จึงผายมือ บอกให้ลุกขึ้นยืน
“มอบหยกสมปรารถนาให้คุณหนูอวี้”
“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา” จูซุ่น ขันทีข้างกายเจี่ยไทเฮาก้าวลงไปมอบของขวัญให้
อวี้โหรวจวงเดินกลับไปนั่งที่เดิม ท่ามกลางสายตาริษยาของสาวๆ งานเลี้ยงเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน นางก็ได้รับคำชมและของขวัญจากไทเฮาเสียแล้ว ในบรรดาหญิงสาวชั้นสูง ใครเล่าจะสนิทสนมกับพระบรมวงศานุวงศ์ถึงเพียงนี้อีก ดวงตาหงส์อันงดงามเปล่งประกายภาคภูมิใจเฉียงออกมาขณะหันมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาไว้ที่อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่า ตั้งแต่นั่งลงจนถึงตอนนี้ สายตาที่มองนาง มิได้มีเพียงคู่เดียว จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง โดยนอกจากอวี้โหรวจวงแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง…สายตาคู่นั้นร้อนแรงจนค่อยๆ ร้อนระอุ
เจี่ยไทเฮามองตามร่างที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบของอวี้โหรวจวง พลางนึกอะไรในใจ
ลูกสาวของอวี้เหวินผิงคนนี้ ช้าเร็วก็ต้องเป็นสะใภ้สกุลซย่าโหว ตอนนี้องค์ชายที่เจริญวัย นอกจากองค์ชายใหญ่ กับองค์ชายรองที่แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว ผู้ที่โตสุดก็คือฉินอ๋อง ส่วนรัชทายาทอ่อนกว่าฉินอ๋องสองปี แม้ยังไม่ตกแต่งชายา แต่จะร้ายจะดีตำหนักบูรพาก็ยังมีสนมอยู่หลายคน ทว่าฉินอ๋องนี่สิ แม้แต่นางกำนัลที่คอยรับใช้สักคนก็ยังไม่มี
หนิงซีฮ่องเต้เคยหารือกับเจี่ยไทเฮาแต่แรกแล้วว่า จะให้อวี้โหรวจวงแต่งกับฉินอ๋อง เพียงแต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา…เจี่ยไทเฮาจึงคิดว่า ตอนนี้มิสู้เกริ่นนำไปก่อน แล้วพองานเลี้ยงเลิก ค่อยให้ฝ่าบาทมอบสมรสพระราชทานให้? ด้วยงานเลี้ยงในทุกๆ ปี มักมีการจับคู่ให้ชายหญิงไม่คู่ ก็สองคู่
คิดได้เช่นนี้ ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า ปีนี้คู่ที่ออกก็คือฉินอ๋องกับคุณหนูอวี้!
เมื่อเจี่ยไทเฮามีแผนในใจ ใบหน้าก็ยิ่งแย้มยิ้ม ขณะเกริ่นนำ
“เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว โหรวจวงโตขนาดนี้ ควรออกเรือนได้แล้ว ทว่า ย่าดูจากหน้าตาและกิริยาที่เพียบพร้อมของเจ้าแล้ว ในงานเลี้ยงของทุกๆ ปี เจ้าโดดเด่นเป็นที่หนึ่งเสมอ เช่นนี้คุณชายบ้านขุนนาง ไหนเลยจะกล้าแต่งกับเจ้าเล่า”
คำพูดนี้กำลังบอกว่า มีเพียงเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่คู่ควร
“ถ้าไทเฮายังยอโหรวจวงเช่นนี้อีก โหรวจวงคงต้องหาทางมุดหนีลงดินแล้ว สาวงามในงานเลี้ยงมีอยู่มากมาย โหรวจวงไม่นับเป็นอะไรหรอกเพคะ” อวี้โหรวจวงยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง
“ถ่อมตนไปทำไม” เจี่ยไทเฮาหัวเราะ
“ที่หนึ่งนอนมาเห็นๆ ไม่นับเป็นอะไรได้อย่างไร ไหนเจ้าลองว่ามาซิ ว่านอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่มาปั๊บ ก็ทำให้คุณชายผู้สูงศักดิ์ทุกคนพากันเข้าแถวรอเกี้ยวพาราสีน่ะ”
อวี้โหรวจวงเขินจนหน้าแดง จะไม่ยอมแพ้อีก เรื่องไม่สบอารมณ์ที่ตึกไจซิง นับว่ามลายหายสิ้น
แม้คุณหนูบ้านขุนนางทุกคนยอมรับว่าอวี้โหรวจวงมีหน้าตาและกิริยาที่โดดเด่น แต่พอเห็นไทเฮาเยินยอนางดุจเทพธิดาบนฟ้า ด้านหนึ่งก็ทำให้หญิงสาวชั้นสูงคนอื่นๆ รู้สึกว่าไม่มีตัวตน คล้ายมาเพื่อขับให้อวี้โหรวจวงโดดเด่น แต่ละคนจึงรู้สึกอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าพูดอะไร
ตอนที่ 81-2 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้
ในศาลา สนมเฉินในตอนนี้อยากบอกเฉินจื่อหลิง น้องสาวของตนว่า ให้หาเจ้าบ่าวดีๆ สักคน แต่น้องสาวเข้าร่วมงานเลี้ยงมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ปีนี้พอได้ยินว่าเพื่อนสนิทที่สุดของนางอย่างคุณหนูบ้านรองเจ้ากรมอวิ๋นซึ่งมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีที่ตึกไจซิง ตอนนี้จึงกลอกตา หัวเราะ แล้วหันไปบอกไทเฮา
“ไทเฮาเพคะ อย่าพูดไป คุณหนูอวิ๋นที่มาเป็นเพื่อนสนมเอกเฮ่อเหลียนในวันนี้ ร้ายกาจมากเลยเพคะ พอจะเทียบรัศมีคุณหนูอวี้ได้อยู่ ได้ยินมาว่า พอก้าวเข้ามาในตึกไจซิง คุณชายชั้นสูงหลายคนก็พากันส่งเด็กรับใช้ไปถามไถ่ไม่รู้จักหยุดหย่อน”
พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยิน ก็เอียงร่างไปพูดเสียงต่ำกับเฉินจื่อหลิง
“พี่สาวเจ้ากำลังจับเราสองคนมัดรวมกันแล้วขายในทีเดียว?”
เฉินจื่อหลิงเข้าใจ ตอนนางได้ยินพี่สาวพูด ก็รู้แล้วว่าพี่สาวอยากให้รัศมีของอวิ๋นหว่านชิ่น ส่องมาถึงตนบ้าง เผื่อตนอาจมีโอกาสออกเรือนเพิ่มมากขึ้น! พี่สาวนี่ก็ จริงๆ เลย…
เจี่ยไทเฮาสงสัย “คุณหนูอวิ๋น? คุณหนูอวิ๋นบ้านไหน?”
เจี่ยงฮองเฮาชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนตอบ
“เรียนเสด็จแม่ ลูกสาวคนโตของรองเจ้ากรมกลาโหมกลาโหมฝ่ายซ้ายเพคะ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนแอบดึงกระโปรงอวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ทัน จึงรีบลุกขึ้นยืน ก้มหน้าเดินเบาๆ ออกไป คุกเข่าคารวะ
“หม่อมฉันแซ่อวิ๋น นามหว่านชิ่น บิดาอวิ๋นเสวียนฉั่ง เป็นรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ปีนี้หม่อมฉันโชคดี ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนม์ไทเฮา ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ”
คุณหนูลูกขุนนางชั้นสูงมีมากจนเกินไป พินิจเฉพาะที่รูปโฉมงดงามและฉลาดเฉลียวก็ตาลายแล้ว แต่เมื่อสนมเฉินพูดถึง เจี่ยไทเฮาก็ว่าจะถามไถ่พอเป็นพิธี แล้วบอกให้นางกลับไปนั่งตามเดิม
คิดไม่ถึงว่าคำอวยพรของเด็กสาวกลับไม่เหมือนผู้อื่น คำว่า ‘ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ’ ทำให้ตนอึ้ง
คำอวยพรของผู้อื่นล้วนแล้วแต่เป็นคำโบราณแบบเดิมๆ อย่างทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อายุยืนหมื่นๆ ปี เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อะไรทำนองนี้…ดีก็ดีล่ะ เพียงแต่คล้ายขาดสีสันและไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจ ทว่าคำอวยพรของเด็กสาวคนนี้ กลับโดนใจตน
จริงอยู่ แม้คำว่า ‘ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ’ จะเป็นคำที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่หรูหรา แต่กลับจริงใจ และใครๆ ก็อยากเป็นเช่นนี้จริงๆ
เจี่ยไทเฮาจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ลังเลใจ แก้มบนใบหน้าดุจหยกสลักแดงเล็กน้อย
ถ้าจะบอกว่า การพบกับผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพยิ่งในต้าเซวียนเป็นครั้งแรกนั้น นางไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นการพูดโกหก! แม้นางอยู่มามากกว่าผู้อื่นชาติหนึ่ง แต่ชาติก่อนนางก็ไม่เคยพบไทเฮา
นางจึงได้แต่ติ๊ต่างว่าเจี่ยไทเฮาก็คือท่านย่าถงที่บ้าน พอคิดเช่นนี้ ก็ผ่อนคลายคงไม่น้อย ร่องแก้มทั้งสองข้างจึงค่อยๆ บานออก
เจี่ยไทเฮาเห็นว่า แม้นางอายุยังน้อย หน้าตาก็มิได้สวยไปกว่าสาวๆ ที่ตนเคยพบเห็นมา แต่บุคลิกกลับประทับใจคน ยิ้มก็หวาน ดูไม่เกรงกลัวตนแต่อย่างใด โดยเฉพาะการแต่งหน้าแต่งตัวที่ทันสมัย จึงรู้สึกดีด้วย
“คำอวยพรของเจ้าถูกใจข้ายิ่ง”
อวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายตา พลางแย้มยิ้ม
“นอกจากคำอวยพรแล้ว หม่อมฉันยังเตรียมของขวัญมามอบให้พระองค์ด้วยเพคะ”
กลางดึกเมื่อวันก่อน ตอนจางเต๋อไห่มาเชิญให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังนั้น นางก็เริ่มคิดแล้วว่า จะมอบของขวัญอะไรให้ไทเฮาดี ซึ่งงานนี้แม้มิใช่พิธีเฉลิมพระชนมพรรษา แต่ก็เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวหลังเสร็จพิธี ซึ่งอยู่ในบรรยากาศการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของเจี่ยไทเฮา นางจึงใช้เวลาหนึ่งวัน ในการเตรียมของขวัญวันเกิดหลายอย่าง และวันนี้ก็นำมาด้วย โดยฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ๆ เฝ้าประตูวัง
เมื่อเจี่ยไทเฮาได้ยิน ก็รู้สึกทึ่ง หลายปีมานี้ นางได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากเหล่าขุนนางและชาวต่างถิ่นมากมายพอควร ไม่รู้ว่านังหนูที่ถูกชะตาเมื่อแรกพบนี้จะให้อะไรนางอีก จึงสนอกสนใจขึ้นมา
“ดีทีเดียว ข้าจะรอดูของขวัญของเจ้า” แล้วจึงหันบอกจูซุ่นให้ช่วยนำเข้ามา
อวี้โหรวจวงแค่นหัวเราะ หลายปีมานี้ ยังมีอะไรที่ไทเฮาไม่เคยเห็นบ้าง ของขวัญชิ้นใหญ่สุดที่ชาวต่างถิ่นจากดินแดนตะวันตกมอบให้ก็คือ เมืองๆ หนึ่ง นี่คิดจะใช้ของขวัญวันเกิดเอาใจไทเฮา ทั้งๆ ที่บิดาเจ้ามีเงินเดือนจำกัดเช่นนั้นหรือ ดูซิว่าเจ้าจะส่งของมีค่าอะไรให้!
จะว่าเอาใจก็ไม่ถูก อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าวังมาในฐานะแขกที่มาบ้านคนอื่น จึงรู้สึกว่าเมื่อเป็นแขกทั้งที ถ้ามามือเปล่า ก็ดูเสียมารยาท และตนก็เพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก จะเสียมารยาทไม่ได้เป็นอันขาด เตรียมของขวัญไว้ก่อนเป็นดี ตอนนี้เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับไทเฮา จะให้ของขวัญเสียเปล่าไปใย และคิดขึ้นได้ว่า ของขวัญที่เตรียมไว้เมื่อวาน มีชิ้นหนึ่ง เหมาะกับไทเฮาพอดี จึงบอกกับขันทีจูซุ่น
พอจูซุ่นฟังคุณหนูอวิ๋นพูดจบ ก็พาขันทีกับผู้คุ้มกันออกไปจำนวนหนึ่ง ผ่านไปสักพัก ขันทีสองคนก็ยกของชิ้นหนึ่งเข้ามาตั้งหน้าศาลา ดูคล้ายแผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง สูงราวครึ่งตัวคน กว้างราวห้าศอก ด้านล่างมีขาสองข้างโผล่ออกมา คลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ไม่รู้ว่าคืออะไร
“นี่คือ…” เจี่ยไทเฮาโน้มตัวเพ่งมอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ ก้าวเข้าไป ยื่นมือเรียวยาวออก เสียง ‘ฟึ่บ’ ผ้าไหมสีแดงถูกดึงลง ฉากกั้นห้องขนาดย่อมตั้งอยู่ตรงหน้า ทุกคนพากันตะลึงงัน
อวี้โหรวจวงที่นั่งลุ้นจนตัวโก่ง ตอนนี้ค่อยถอนหายใจออกมาได้ ก่อนนั่งกลับท่าเดิม มุมปากปรากฏ
รอยยิ้มเย้ยหยัน และแล้วก็เป็นคนที่ไม่เคยเข้าสังคมมาก่อนจริงๆ ถึงได้คิดว่าไทเฮาเป็นป้าบ้านนอกคนหนึ่ง? ให้ฉากกั้นห้องเป็นของขวัญเนี่ยนะ! อยากเด่นอยากดัง ก็ต้องดูว่ามีความสามารถหรือไม่ ถ้าไม่คิดแย่งความเด่น ก็อาจหลงเหลือภาพดีๆ ให้ประทับใจอยู่บ้าง
ลูกท่านหลานเธอที่นั่งกันอยู่ พอเห็นว่าของขวัญคือฉากกั้นห้องแผงหนึ่ง แม้ผ้าที่ขึงตึงเป็นผ้าเนื้อดีมีราคา แต่ก็มิใช่ของที่มีเพียงชิ้นเดียวในใต้หล้า ภาพปักบนผืนผ้าเป็นรูปอะไร จึงคร้านที่จะดูให้ถ้วนถี่ ด้วยไม่อยู่ในความสนใจอีก แต่กลับได้ยินน้ำเสียงแสดงความชอบใจดังมาจากด้านบน
“เอ๋ นี่คือ…”
เจี่ยไทเฮาลุกขึ้นยืน “…เร็ว นำฉากกั้นเข้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้าจะดูให้ถ้วนถี่”
จูซุ่นจึงรีบโบกมือ ขันทีสองคนค่อยยกฉากกั้นเข้าไปในศาลา แล้ววางลงตรงหน้าเจี่ยไทเฮา
ภาพปักบนฉากกั้นเป็นการปักแบบสู่ซิ่ว ซึ่งนอกจากมีสีสันสดใสสวยงามเฉพาะตัวแบบท้องถิ่นทางใต้แล้ว ฝีมือการปักยังประณีตละเอียดอ่อน ทุกฝีเข็มเป็นฝีเข็มขั้นเทพที่ไร้รอยต่อ และมีจุดบกพร่องน้อยมาก ยิ่งเมื่อนำมาประสานร่วมกันกับการปักแบบสองด้านซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในต้าเซวียน ก็ทำให้ภาพปักกลายเป็นภาพสามมิติขึ้นมา
บนฉากกั้น เป็นรูปดอกไม้สี่ฤดูนาๆ ชนิดเบ่งบาน ได้แก่ ดอกโบตั๋น ดอกชบา ดอกหอมหมื่นลี้ ดอกแปะเจียก ร่วมกับดอกไม้สุภาพบุรุษทั้งสี่ ได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ดอกไผ่ ดอกเบญจมาศ พร้อมใจกันบานสะพรั่งอย่างชอุ่มชุ่มชื้น สวยสดงดงาม ตัวดอกไม้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาสมจริง คล้ายดอกไม้ค่อยๆ บานออกจากฉากกั้น แทบแยกไม่ออกว่าเป็นดอกจริงหรือดอกปัก!
โรคประจำตัวของเจี่ยไทเฮาคือโรคภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ จนแทบสัมผัสดอกไม้ไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าสตรี ไหนเลยจะรังเกียจความงามของดอกไม้ จึงได้แต่เสียดาย
ตอนนี้พอเห็น ก็เท่ากับนำของที่นางอยากได้แต่ไม่ได้มานานนม ส่งถึงตรงหน้า ทำให้นางปิติยินดียิ่งกว่าได้รับของล้ำค่าใดๆ เสียอีก
เจี่ยไทเฮาจึงค่อยๆ ยื่นมือที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ผิวพรรณที่เนียนละเอียดสัมผัสกับผิวของดอกไม้บนฉากกั้นทีละนิด พลางทอดถอนใจ
“สวยมาก สวยจริงๆ ชาตินี้ข้ายังไม่เคยเห็นดอกไม้มากขนาดนี้ในคราวเดียวมาก่อน ดอกไม้ตลอดทั้งปีในสี่ฤดู ในที่สุดข้าก็ได้เห็นแล้ว ตอนฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ทรงเกรงว่าข้าจะป่วย จึงไม่อนุญาติให้ข้าปลูกดอกไม้ ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ทรงกตัญญู ตั้งแต่ปีก่อนที่เกิดความผิดพลาดแล้วข้าป่วย ก็ทรงรื้อถอนดอกไม้รอบตำหนักข้าเสียเ**้ยนเตียน!…”
จูซุ่นชะงัก นึกใจใจ การเดิมพันของคุณหนูอวิ๋นในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ ทำให้ไทเฮาสมปรารถนาจนได้ จึงหัวเราะขึ้นมา “คุณหนูอวิ๋นนี่ รู้ใจไทเฮาเสียจริงๆ”
ตอนที่ 81-3 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้
ตอนที่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นทูลว่ามีของขวัญวันเกิดมอบให้ไทเฮานั้น สนมเอกเฮ่อเหลียนยังกลัวอยู่ว่า ถ้าไทเฮาเกิดไม่ชอบของขวัญขึ้นมา มิต้องหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บหรือ แต่ตอนนี้เห็นที ไม่เพียงโล่งใจ ยังยินดีปรีดาเกินคาดอีก นังหนูนี่ เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์ตามธรรมชาติ สมควรแล้วที่จะโดดเด่น
กลุ่มคนที่นั่งกันอยู่ ก็ย่อมเออออห่อหมกตามไทเฮา พากันส่งเสียงชื่นชมขึ้นมา
ครั้นพอเจี่ยไทเฮาชื่นชมภาพปักสู่ซิ่วรูปดอกไม้สี่ฤดูนาๆ ชนิดเบ่งบานบนฉากกั้นจนพอพระทัยแล้ว ก็เรียกให้คนยกไปไว้ที่ตำหนักฉือหนิง แล้วค่อยกลับไปนั่งที่เดิม ยิ้มพลางว่า
“มีมาก็ต้องมีไป เมื่อคุณหนูอวิ๋นมีน้ำใจกับข้าเช่นนี้ ข้าจะใจแคบได้อย่างไร”
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่ามีเด็กสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ จึงมิได้ตระเตรียมของล้ำค่ามา ได้แต่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมาอันหนึ่ง วางไว้บนมือจูซุ่น
“จูซุ่น นำไปมอบให้คุณหนูอวิ๋น”
กลุ่มคนส่งเสียงฮือฮา
ด้วยเจี่ยไทเฮาถึงกับมอบเครื่องประดับส่วนตัวให้อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นรางวัลตอบแทน ซึ่งเมื่อเทียบกับหยกสมปรารถนาที่มอบให้อวี้โหรวจวงเมื่อครู่ ก็ไม่รู้ว่าแพงกว่ากันมากน้อยเท่าไหร่!
มู่หรงไท่นั่งอยู่ในกลุ่มคน ตอนเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นถูกเจี่ยไทเฮาเรียกให้เข้าไปพูดคุยด้วยนั้น ก็เริ่มสำนึกเสียใจแล้ว ตอนนี้ในใจจึงยิ่งสับสน จนไม่รู้ตัวว่า หลิวซื่อจื่อและคุณชายสูงศักดิ์หลายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาล้อเล่นกับตน
“คุณชายรอง ที่แท้นางก็มีความสามารถมากโขอยู่นา”
พอมู่หรงไท่ได้ยิน ก็กัดฟัน ยกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่าอย่างเบื่อหน่าย
อีกด้าน ซย่าโหวซื่อถิงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า การเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังเป็นครั้งแรกของนาง จะสามารถดึงความสนใจจากไทเฮาได้ ดวงตาจึงยิ่งลึกล้ำขึ้น ถ้าพูดจากใจจริง เขาไม่ค่อยอยากให้นางมาเปิดตัวในวัง เพราะในวัง ไม่ใช่สถานที่ๆ ดีเสียเท่าไหร่
ส่วนบรรดาหนุ่มสาวชั้นสูงที่นั่งอยู่กับโต๊ะ ต่างก็หันไปจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น โดยลืมอวี้โหรวจวงที่เพิ่งเฉิดฉายไปชั่วขณะ
อวี้โหรวจวงจับชายเสื้อตนเอง แล้วขยำ พยายามข่มความร้อนรุ่มในทรวงอกไว้ ทำไม ทำไมนางถึงต้องมาหลอกหลอนตนอีก ลูกสาวบ้านๆ ของขุนนางชั้นสามอย่างนาง มีคุณสมบัติอะไรมาเทียบเคียงเสมอตน ทำไมคนอื่นๆ ถึงพากันชอบนาง ตาบอดกันหมดหรือไง! ตนนี่สิ ถึงจะเป็นลูกผู้ดีอย่างแท้จริง ดอกไม้ป่าริมทาง ถึงจะหอมแค่ไหน ใช้เท้าเหยียบลงไป ก็ร่วงหายกลายเป็นดินแล้ว!
แม้ได้พูดคุยกับไทเฮาไม่กี่คำ แต่เห็นชัดว่า ดาวเด่นในงานเลี้ยงเปลี่ยนไป กลายเป็นคุณหนูอวิ๋นแทน
เพราะอย่างไรอวี้โหรวจวงก็เป็นคุณหนูในตระกูลพระบรมวงศานุวงศ์มาหลายยุคหลายสมัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่
จะได้รับคำชมและของรางวัล แต่อวิ๋นหว่านชิ่นมางานเลี้ยงเป็นครั้งแรก ก็เป็นที่ประทับใจของเจี่ยไทเฮาแล้ว แบบนี้ถึงจะเรียกว่าความสามารถที่แท้จริง!
ตอนอยู่ในตึกไจซิง จริงๆ แล้วหนุ่มๆ ชั้นสูงทั้งหลายที่มาถามไถ่เรื่องราวของอวิ๋นหว่านชิ่นนั้น ไม่ได้อะไรกลับไป ตอนนี้จึงคิดแผนเตรียมดำเนินการอีก โดยหลังจากงานเลี้ยงเลิก ค่อยให้คนไปสืบต่อ ซึ่งพอพวกเขาเห็นลูกสาวแม่ทัพเฉินสนิทสนมกับอวิ๋นหว่านชิ่น ก็คิดว่าต้องส่งคนไปตีสนิทกับเฉินจื่อหลิงก่อน เพื่อสำรวจทิศทางลม บริเวณที่เฉินจื่อหลิงนั่งจึงคึกคักขึ้นในพริบตา สายตาไม่น้อยเพ่งเล็งมาที่นาง ซึ่งสนมเฉินก็มองดูอยู่เงียบๆ พลางดีใจอย่างอดไม่ได้ เพราะเป็นไปตามจุดประสงค์ที่ต้องการขายน้องสาวของนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์รับปิ่นปักผมจากมือของจูซุ่น ก่อนจับกระโปรงข้าง แล้วค่อยๆ ก้าวเท้ากลับไปนั่งตามเดิม
ซย่าโหวซื่อถิงมองดูอวิ๋นหว่านชิ่นที่ทำตัวเรียบร้อยขณะอยู่ต่อหน้าไทเฮา กระทั่งเดินก็ยังเหมือนกระต่ายเชื่องๆ อย่างไรอย่างนั้น แววตาจึงเคร่งขรึมลงอีกโดยไม่รู้ตัว เด็กโง่ ทำไมไม่ทำหน้าดุกับไทเฮาเหมือนที่เคยทำกับตนล่ะ เสแสร้งเก่งชะมัด ก่อนเผยอปากโดยไม่รู้ตัวอีก
พออวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงสักพัก ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาแหวกอากาศจ้องมองมาที่ตน ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร จึงระมัดระวัง หายใจลึกๆ รับอากาศเย็นของฤดูใบไม้ร่วงเข้าปอด แล้วยกจอกสุราขึ้นละเลียด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางไม่สบตาตน ใบหน้าอันหล่อเหลาก็ค่อยๆ แดง โดยยังไม่ทันดื่มสุรา หน้าก็มีสีแล้ว
ตอนที่เขาอยู่ด้านล่างของตึกไจซิงและมองขึ้นไปนั้น ก็รู้สึกราวกับกำลังมองดอกไม้ในหมอก มองจันทร์บนผิวน้ำ มองเห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้ ถึงจะเรียกว่ามองเห็นจริงๆ
นางหันไปคุยพลางหัวเราะกับเสด็จแม่ เอาอกเอาใจด้วยการรินสุราให้ เสด็จแม่ก็ดูเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ท่านสาม” ซือเหยาอันก้มลงกระซิบข้างหู “ไม่เพียงแต่ไทเฮาที่ชื่นชอบคุณหนูอวิ๋น คล้ายสนมเอกก็ชื่นชอบนางด้วยเช่นกัน”
ใครว่าแค่เสด็จแม่ ยังมีหนุ่มๆ สูงศักดิ์ที่ตึกไจซิงพวกนั้นอีก ซย่าโหวซื่อถิงจับจ้องอวิ๋นหว่านชิ่นไม่วางตา
จริงอย่างที่จางเต๋อไห่ว่า นางเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ซย่าโหวซื่อถิงขยับปลายนิ้วออกจากจอกหยก แววตาหมองหม่นลงเล็กน้อย
เขาใจเต้นตึกตักเมื่อนางไม่สนใจเขา ขณะอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่กับคนอื่นๆ ในงานเลี้ยง นางกลับยิ้มแย้มแจ่มใสดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ บางครั้งก็ยกจอกสุราขึ้นชนกับเสด็จแม่อย่างอาจหาญ บางครั้งก็ท้าวคางฟังผู้อื่นพูดอย่างน่ารักน่าชัง บางคราก็ปัดเส้นผมที่ปลิวปรกหน้าผากเบาๆ เผยให้เห็นเสน่ห์บางอย่างของเด็กสาวที่ยากพบเห็น…
ทันใดนั้น นางก็ยกมืออันบอบบางขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาวๆ ดุจสายบัว
พลังสายตาอันคมกริบที่อยู่ไม่ไกลของเขาเพ่งมองมาอย่างรวดเร็ว และรู้สึกได้ถึงความเนียนขาวของ
ข้อมือ จนตัวเขาเองยังตกใจ
ทำให้ลิ้นในปากที่แห้งผากม้วนกลับ รู้สึกร้อนที่หน้าอก จนลามขึ้นไปถึงจมูก ร้อนไปทั้งตัวชนิดที่ลมเย็นปลายฤดูใบไม้ร่วงก็เอาไม่อยู่ เรื่องน่าอายในคืนก่อนหน้านี้ก็ข่มไม่ลง ภาพผุดขึ้นในหัวสมองเขาอีกครั้ง…
คืนนั้น ไม่รู้ทำไม ซย่าโหวซื่อถิงถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบ จึงนอนอย่างกระสับกระส่าย
เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ด้วยรู้ว่า ปฏิกิริยาทางกายภาพของเพศชายกำลังแผลงฤทธิ์
ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่ออายุราวสิบห้า ปฏิกิริยาเช่นนี้บางครั้งก็รบกวนจิตใจ แต่เขาก็ควบคุมมันได้มาหลายปี ประการแรก เพราะเขาเติบโตในวัดแต่เด็ก จึงรู้จักฝึกสมาธิเพื่อควบคุมจิตใจต่อสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งทำให้เขามีจิตใจบริสุทธิ์กว่าชายหนุ่มทั่วไป ประการที่สอง เนื่องจากเขาบาดเจ็บจากพิษ เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้ ทำให้ยิ่งต้องควบคุมตัวเอง แต่คืนนั้น ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้พลิกไปพลิกมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
หัวสมองวนเวียนอยู่กับเรื่องในคืนนั้นที่หมู่บ้านสกุลเกา ความรู้สึกที่ได้สัมผัสนางในอ้อมกอด ได้สัมผัสริมฝีปากอันนุ่มนิ่มหอมหวานของนาง
ช่วงที่ไฟในใจกำลังลุกไหม้ ที่สุดแล้วเขาก็ควบคุมมันไม่อยู่ และเผลอหลับไปขณะสับสน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด รู้สึกแต่เพียงความตึงที่ไม่ยอมคลายตัวลงนั้น ค่อยๆ คลายตัวลง กล้ามเนื้อตลอดทั้งร่างที่ขยายตัว ก็ค่อยๆ อ่อนนุ่มลง พอลืมตาขึ้น ก็เห็นร่างที่งดงามร่างหนึ่ง นั่งหันหลังอยู่ปลายเตียง มือทั้งสองข้างยันเตียงไว้ แล้วหันหน้ามาครึ่งหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นอบอุ่นดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ เยือกเย็นดุจภูเขาในฤดูใบไม้ร่วง นางก้มศีรษะเล็กๆ ลง แล้วจ้องมองเขา
แผ่นหลังนั้น ใยเขาจะไม่รู้ว่าเป็นใคร ทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ในฝัน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงแหบเสียงแห้งว่า “ที่รัก…”
เขาไม่คิดมาก่อนว่าตนเองจะมีวันนี้ได้ ยังตะโกนคำที่ไร้สาระเช่นนี้ออกมาอีก ซึ่งควรจะเป็นคำของคนที่หลงระเริงในคาวโลกีย์ หรือพวกคุณชายชั้นสูงที่หมกมุ่นอยู่กับกามารมณ์ตะโกนออกมามากกว่า…ซึ่งตัวเขาเอง ดูเหมือนมีแต่ในฝันเท่านั้น ที่สามารถสารภาพออกมาตรงๆ แบบนั้นได้
สาวงามในฝันสวมชุดนอนบางเบา เช่นเดียวกับภาพที่เห็นบนตึกไจซิงอย่างไรอย่างนั้น รูปร่างโค้งเว้าที่ปราณีต ทำให้ชายหนุ่มหายใจเร็วและแรง และพอสาวงามหันมา รอยยิ้มก็ดุจดอกไม้ผลิบาน ดวงตาดุจเส้นไหม ริมฝีปากที่นุ่มนิ่มดุจกลีบดอกไม้ขยับขึ้นลง คล้ายกำลังพูดว่า “ตื่นได้แล้ว” จากนั้น ก็คล้ายมีผ้าผืนหนึ่ง วางอยู่ข้างร่างกายอันกำยำและหนุ่มแน่นของเขา
นางใช้แขนข้างหนึ่งท้าวศีรษะ ส่วนอีกข้างสัมผัสอกเสื้อของเขา แล้วมือที่เรียวยาวก็ค่อยๆ เปิดชุดนอนเขาออก ก่อนวาดอะไรบางอย่างลงบนแผลเป็นที่ทรวงอก…เช่นเดียวกับวันนั้นที่นางมาที่จวนอ๋อง แล้วทำหน้าที่แทนงู ดูดพิษให้ตน
จิตใต้สำนึกก่อนหลับ ยังถูกนางทำให้สะดุ้งตื่น เขาไหนเลยจะควบคุมได้ จับมือของนางไว้ พลางหอบหายใจแรง…
ในฝัน นางเหมือนในความเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น ดื้อกับเขามาก คล้ายรู้ว่าเขาจับมือนางแล้วจะทำ
อะไรต่อ นางจึงก้มลงกัดข้อมือที่แข็งแรงของเขาไปคำหนึ่ง จนมีรอยฟันซี่เล็กๆ เรียงอยู่สองแถว จากนั้นนางก็พลิกตัว ขึ้นมานั่งคร่อมบนท้องของเขา แล้วใช้แขนที่เรียวยาวกดไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้อย่างอาจหาญ คล้ายกำลังขี่ม้า พลางหัวเราะร่า หัวเราะจนหัวใจเขาคันยุกยิก ยากที่จะทานทน
ตอนที่ 81-4 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้
นางมาร นางคือนางมารตนหนึ่ง!
ยากที่เขาจะควบคุมตนเองได้อีก พอเสียงจากลำคอดัง ในที่สุดเขาก็ใช้สัญชาติญาณดิบ จับมือเล็กๆ ของนางแล้วขืนให้ไปหยุดอยู่ตรงนั้นสำเร็จ…
ครั้นพอตื่น ไหนเลยจะเห็นเงาร่างสาวงาม พอเลิกผ้าห่มขึ้น นั่นไง มีแต่ความยุ่งเหยิง…
ทว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ก็ยังไม่สามารถบรรเทาความร้อนในร่างกายได้หมด ซึ่งมันกำลังค่อยๆ ปะทุขึ้นอีก
ผลของคืนนั้นก็คือ ซย่าโหวซื่อถิงลุกขึ้นไปอาบน้ำเย็นอย่างหดหู่ใจ อีกทั้งกรอกน้ำเย็นลงคอไปสามเหยือก ค่อยหยุดยั้งลงได้
รุ่งเช้า พอหรุ่ยจือเข้ามาเก็บกวาดห้อง เห็นผ้าปูที่นอนยุ่งเหยิงกว่าปกติ และเห็นนายหน้าแดงถึงใบหู ก็กระวนกระวายใจไม่หยุด
นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวซื่อถิงควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ในงานเลี้ยง เขาจึงดื่มจับเลี้ยงไปหลายถ้วย แล้วพยายามหลีกเลี่ยง ไม่หันไปมองทิวทัศน์อันสวยงามที่อยู่เยื้องไปทางฝั่งตรงข้ามอีก เช่นนี้ ค่อยถอนพลังความร้อนขุมนั้นออกไปได้
ส่วนเรื่องที่จู่ๆ ทำไมมีคุณชายลูกขุนนางในตึกไจซิงหลายคนมาประจบประแจง ซย่าโหวซื่อถิงแทบไม่ต้องขบคิดก็รู้ว่า เพราะนางในตอนนี้ ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงไม่น้อย
องค์ชายแปดเยี่ยนอ๋องที่รู้ใจเสด็จพี่สามดุจหนอนในท้องเรื่อยมา หลังจากสังเกตเห็นอาการ ก็หันไปแซวทันที “บอกให้น้องใช้แผนขี่ม้าตีคลีล่อให้คุณชายทั้งหลายออกไปนั้น ที่แท้ก็…”
เสด็จพี่สามทำท่าจะเอาเรื่อง เยี่ยนอ๋องค่อยทำปากยื่นปากยาว ไม่กล้าพูดต่ออีก
ขณะเดียวกัน เจี่ยไทเฮาก็อยากช่วยหลานบางคนคลายความกระอักกระอ่วนจากความสับสนและกระวนกระวายใจ จึงพูดขึ้น “ทำไมเจ้าห้ายังไม่มาสักทีล่ะ”
หมู่นี้พอเรื่องเหมืองแร่ที่เขาชิงเหอแดง และเว่ยอ๋องถูกร้องเรียนว่าฝ่าฝืนกฏระเบียบราชสำนัก จ้างคนงานให้ขุดเจาะเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว เพื่อกอบโกยผลประโยชน์มหาศาลเข้ากระเป๋าตัวเอง
ซึ่งเรื่องนี้ เจี่ยไทเฮาก็ได้ยินมาเช่นกัน ตอนนี้พอเห็นว่าสายป่านนี้แล้วเขายังไม่มา ก็เริ่มไม่พอใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด จูซุ่นจึงรีบตอบ
“อาจมีธุระที่ทำให้ล่าช้าก็เป็นได้ บ่าวเพิ่งบอกให้คนไปเชิญที่ห้องเตียวหลานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังจะมีธุระอะไรอีก” เจี่ยไทเฮาถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า “หรือเพราะถือว่าเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ถึงได้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา” พูดพลางเหลือบมองมเหสีรองเหวย
ถึงมเหสีรองเหวยร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่กล้าต่อกรกับไทเฮาแน่ จึงรีบกลืนคำพูดลงไปทั้งๆ ที่กำลังพูดคุยเสียงสูงพลางยิ้มหัวอยู่
อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มเบื่อ เมื่อไม่มีอะไรทำ จึงหันมองไปรอบๆ เก็บภาพตรงหน้าไว้ ดูไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคน
ธรรมดาหรือเชื้อพระวงศ์ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น และเกรงว่ายิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ปัญหาก็ยิ่งซับซ้อน ดูออกว่า เจี่ยไทเฮามิได้ชื่นชมมเหสีรองคนโปรดเสียเท่าไหร่ กระทั่งไม่พอใจในบางเรื่องด้วยซ้ำ จึงเหมารวมไปถึงโอรสที่เกิดจากมเหสีรองเหวยอย่างเว่ยอ๋อง นางก็ไม่ค่อยชอบเช่นกัน
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ขันทีน้อยที่ไปเชิญเว่ยอ๋องจากที่พักองค์ชายก็กลับมา เสียงฝีเท้าลนลานเล็กน้อย โดยรีบเดินจากด้านหลังของกลุ่มคน เข้ามารายงานข้างกายจูซุ่น
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจูซุ่นหน้าเปลี่ยนสี ก่อนสูดหายใจเข้า ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ผ่อนออก ใจนางจึงเต้นแรงทันที คล้ายมีลางสังหรณ์บางอย่าง
เจี่ยไทเฮาเป็นคนฉลาด พอเห็นขันทีน้อยที่ไปเชิญคนกลับมา แล้วเห็นจูซุ่นหน้าเปลี่ยนสี ก็เรียกให้เข้ามาหา จูซุ่นจึงปกปิดไม่ได้อีก ได้แต่กระซิบที่ข้างหูไทเฮา
พอไทเฮาได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ และหันไปจ้องมองมเหสีรองเหวย
ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนดังมาจากซุ้มทางเข้างานเลี้ยง ตามด้วยเสียงรายงานที่แหลมและลากยาวของขันที “องค์ชายห้าเว่ยอ๋องเสด็จ!”
เสียงฝีเท้าของเว่ยอ๋องยุ่งเหยิงขณะเดินเข้ามาในงานเลี้ยงพร้อมบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่ง โดยเกือบจะเดินเซไปมาด้วยซ้ำ ใบหน้าอันหล่อเหลาแดงระเรื่ออย่างน่าสงสัย แววตาเลื่อนลอย คล้ายคนเพิ่งตื่นจากการผลอยหลับ อวิ๋นหว่านถงก็เดินมากับกลุ่มนางในที่อยู่ด้านหลังด้วย นางเดินกระย่องกระแย่ง และหน้าแดงระเรื่อเช่นกัน เสื้อผ้าแม้ดูเรียบร้อย แต่เครื่องประดับบนศีรษะไม่เหมือนตอนเข้าวังมา คล้ายถูกประดับเข้าไปใหม่
“คุณหนูใหญ่” เมี่ยวเอ๋อร์ตกใจ นั่งยองๆ ลง
“คุณหนูสามทำไม…ทำไมอยู่กับเว่ยอ๋องได้ พวกเขาสองคน…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ตื่นตระหนก นี่มิใช่วัตถุประสงค์ที่อวิ๋นหว่านถงเข้าวังมาในวันนี้หรือ ให้ตายอย่างไรก็ต้องจับผู้ชายชั้นสูงให้ได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า นางจะจับเว่ยอ๋อง แต่นางถูกฉินอ๋องเรียกตัวไปมิใช่หรือ ทำไมถึงอยู่กับเว่ยอ๋องได้ล่ะ
อวิ๋นหว่านถงเห็นสายตาของพี่ใหญ่มาแต่ไกล จากความเฉลียวฉลาดของพี่ใหญ่ เมื่อเห็นตนกับเว่ยอ๋องมาด้วยกัน ก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าตนทำอะไรลงไป แม้ตนรู้สึกอายจนหน้าแดง แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองในใจว่า ถ้าตนได้ดี จะกลัวพี่ใหญ่ไปทำไม
ตอนขันทีน้อยไปเชิญคนที่ห้องเตียวหลานนั้น ขันทีข้างกายเว่ยอ๋องเห็นว่าสายมากแล้ว ทั้งสองก็ยังไม่ออกมาอีก จึงไปเคาะประตู เมื่อไม่มีเสียงตอบ ก็เกรงว่าอาจเกิดอะไรขึ้น จึงผลักประตูเข้าไป แล้วก็เห็นเว่ยอ๋องนอนก่ายอยู่กับสาวใช้ที่พามาเที่ยวตำหนักองค์ชาย เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แต่กลับนอนหลับเสียสนิท!
เว่ยอ๋องถูกบ่าวรับใช้ปลุก จึงตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นภาพตรงหน้า ก็ตะลึงงัน
ยาที่อวิ๋นหว่านถงกินเข้าไปมีปริมาณน้อย นางจึงตื่นนานแล้ว ตอนนี้พอเห็นคนมาถึงและได้เห็นสิ่งที่ควรเห็นหมดเรียยร้อย ก็แกล้งตื่นขึ้นเพราะถูกเสียงรบกวน ขยี้ตาไปมา ลืมตาขึ้น จากนั้นลำคอก็กระตุก สะอื้นไห้ออกมาทันที
ขันทีน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ที่แท้เว่ยอ๋องเอาแต่ไฝ่หาความสำราญในที่พักองค์ชาย จนลืมเวลาสำคัญไป พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง จึงรีบทิ้งคำพูดเอาไว้
“ไทเฮาเร่งให้กระหม่อมมาเชิญองค์ชายห้า ขอองค์ชายห้าสวมฉลองพระองค์ให้เรียบร้อยแล้วรีบเสด็จ มิเช่นนั้นไทเฮาอาจกริ้วได้!” พูดจบ ก็กลับออกมารายงานไทเฮาก่อน
และพอเว่ยอ๋องตื่นดี ก็โมโห เตะเก้าอี้ลอยออกไปไกล แล้วชี้หน้าอวิ๋นหว่านถง
“เจ้าใช่ไหมที่วางยาข้า!”
กลับทำให้อวิ๋นหว่านถงร้องไห้เสียงดังขึ้นอีก
เว่ยอ๋องไม่ใช่คนโง่ เขาพูดคุยอยู่ดีๆ แต่กลับมานอนหลับอุตุไปได้ ย่อมรู้ว่าต้องมีปัญหา แต่น้ำชาในถ้วยกับในกาน้ำชาได้ถูกอวิ๋นหว่านถงเททิ้งจนเกลี้ยงแต่แรกแล้ว ตอนนี้ท่าทางของอวิ๋นหว่านถงก็คือเหยื่อคนหนึ่ง ตีให้ตายอย่างไรก็ต้องพูดว่า ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เว่ยอ๋องจึงลังเลใจ ด้วยรู้ตัวเช่นกันว่า ตนเองก็กร่างไปทั่ว ทั้งในวังและนอกวัง จึงมีคู่แค้นอยู่ไม่น้อย ผีเท่านั้นที่รู้ว่าใครเป็นคนกลั่นแกล้งตน ไหนเลยจะสืบรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ดีที่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร บวกกับการที่ไทเฮาร้อนใจ ถึงส่งคนมาเร่งรัด เว่ยอ๋องจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรไปก่อน พอคิดเช่นนี้ ก็รีบแต่งตัวแล้วพาคนไปยังศาลาปทุมหอม
และตอนนี้ เว่ยอ๋องก็เดินนำกลุ่มคนตรงเข้ามาที่ด้านหน้าศาลา ก่อนคุกเข่าคารวะ
“หลานมีธุระรัดตัว จึงมาสาย ขอเสด็จย่าทรงอภัย!”
กลุ่มคนด้านหลังที่ตามมา ซึ่งมีทั้งขันทีและนางใน ก็พร้อมใจกันคุกเข่าลง
แม้เจี่ยไทเฮาอายุมาก แต่ดวงตากลับใสกระจ่าง หัวสมองก็แจ่มใส เห็นปกเสื้อของเว่ยอ๋องมีรอยแดงๆ คล้ายชาดทาปากของหญิงสาว กวาดตามองอีกครั้ง ก็เห็นว่าในบรรดาหญิงสาวที่ตามมา หนึ่งในนั้นแต่งกายไม่เหมือนนางใน ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ ร่างก็สั่นน้อยๆ ใบหน้ามีคราบน้ำตา พอมองไปอีกที ชาดที่ริมฝีปากนางเป็นสีแดงสด แดงเดียวกับที่เลอะปกเสื้อของเว่ยอ๋องไม่มีผิด!
เจี่ยไทเฮาเข้าใจแล้ว หญิงสาวนางนี้น่าจะเป็นหญิงสาวที่คลุกอยู่กับเว่ยอ๋องในที่พักองค์ชายก่อนจะมาที่นี่ จึงโมโหขึ้นมาทันที ชี้หน้าเว่ยอ๋อง
“ธุระรัดตัว? ย่าว่าเจ้าเล่นสนุกจนเสียธุระมากกว่า!”
แขกในงานต่างกลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียง โดยแรกเริ่มนั้น ต่างก็หันหน้ามาถามไถ่และซุบซิบกัน จนพอจะเดาอะไรออกบ้างแล้ว เพียงแต่เห็นแก่หน้าเชื้อพระวงศ์ จึงแกล้งทำเป็นใบ้ไป
ตอนที่ 81-5 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้
เว่ยอ๋องหน้าแตกยับเยิน จึงเอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าส่งเสียงอีก
เจี่ยไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก “ใครกัน ที่อยู่กับเว่ยอ๋องเมื่อครู่!”
หัวใจอวิ๋นหว่านถงเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก ก่อนขยับตัวออกมายอมรับ
เจี่ยไทเฮาสำรวจมองนางให้ถ้วนถี่ แล้วจึงขมวดคิ้ว “เจ้ามิใช่คนในวัง”
อวิ๋นหว่านถงก้มศีรษะจรดพื้นคารวะพร้อมหยดน้ำตา
“เรียนไทเฮา หม่อมฉันมางานเลี้ยงในฐานะคนในบ้านขุนนางเพคะ”
หึ ดูท่าแม่ลูกสกุลฟางใจใหญ่ไม่เบา
อวิ๋นหว่านชิ่นดูเบาสองแม่ลูกคู่นี้เสียแล้ว ไหนเลยจะคิดว่า เพื่อจับผู้ชายชั้นสูงแล้ว อวิ๋นหว่านถงที่ดูหงิมๆ ไม่กล้าออกสิทธิออกเสียงในบ้าน จะยอมเสียชื่อ อีกทั้งยังกล้ารบกวนไทเฮาต่อหน้าต่อตา! ดูท่าทางนางคงพูดทุกอย่างออกมาหมด
ต้องออกโรงเสียแล้วเรา อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นอวี้โหรวจวงมองตนด้วยสายตาของคนที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ริมฝีปากจึงขยับ คิดชิงความได้เปรียบ ด้วยการเอ่ยปากบอกทุกคนว่าอวิ๋นหว่านถงเป็นคนในบ้านตน จึงหายใจเข้าลึกๆ บอกให้เมี่ยวเอ๋อร์อธิบายให้สนมเอกเฮ่อเหลียนฟัง ส่วนตนก็ลุกเดินไปด้านหน้า คุกเข่าคารวะศีรษะจรดพื้น
“ไทเฮาเพคะ เด็กสาวผู้นี้คือผู้ที่หม่อมฉันพาเข้าวังมาเอง”
“อ้อ” เจี่ยไทเฮาหันมามอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลลง “เป็นสาวใช้ของเจ้าหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้า “เรียนไทเฮา เป็นลูกของอนุที่บ้าน นางเป็นลูกสาวคนที่สาม ด้วยท่านพ่อเกรงว่าหม่อมฉันเข้าวังคนเดียวแล้วจะตื่นเต้นจนทำอะไรผิดพลาด จึงบอกให้นางตามมาดูแล หม่อมฉันจึงพานางมาด้วย ต้องโทษที่หม่อมฉันเอาแต่พูดคุยกับสหายที่ตึกไจซิง ไม่ดูแลน้องสาวให้ดี เมื่อได้พบเว่ยอ๋อง นางจึงไม่ทันระวังและเข้าใจกฎระเบียบในวังผิดไป”
แม้สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่พอใจที่อวิ๋นเสวียนฉั่งยัดลูกสาวให้เข้าวังมาอีกคนโดยพลการ แต่พอเห็นซย่าโหวซื่อถิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองมาด้วยสายตาวิงวอนร้องขอ จึงเอ่ยปากช่วย
“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันเป็นคนอนุญาตเอง”
เจี่ยไทเฮามีความรู้สึกดีกับอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่เป็นทุนเดิม จึงคิดว่า เรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับนาง แต่นางกลับแสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้เองทั้งหมดในฐานะพี่สาว ก็ยิ่งรู้สึกสงสาร จึงพูดอย่างอ่อนโยน
“จะโทษเจ้าได้อย่างไรเล่า ในเมื่อพ่อเจ้าเป็นคนบอกให้น้องสาวเจ้าเข้าวังมาดูแลเจ้าเอง แต่นางกลับไม่อยู่ดูแลข้างกายเจ้า แถมเจ้ายังต้องแบ่งสมาธิไปดูแลนางอีก มิหนำซ้ำตอนนี้เจ้ายังออกรับผิดแทนนางด้วย ใช่เรื่องที่ไหน เร็ว ลุกขึ้นเร็วเข้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พอเงยหน้าขึ้น ก็ยิ้มทั้งน้ำตา ยิ้มเพราะตื้นตันใจ น้ำตาไหลเพราะ
ละอายใจ มองเจี่ยไทเฮาพลางสำนึกเสียใจและรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น เจี่ยไทเฮาจึงชมเชยนาง
“เจ้ากตัญญูต่อบิดา ปกป้องน้องสาวต่างมารดา มีคุณสมบัติพี่ใหญ่ของบ้านเต็มตัว เป็นแบบฉบับให้กับสตรีต้าเซวียนได้อย่างแท้จริง อวิ๋นเสวียนฉั่งสามารถสั่งสอนลูกสาวออกมาได้เช่นนี้ นับว่าไม่เลวทีเดียว พวกเจ้าแต่ละคน ดูไว้เป็นตัวอย่างด้วย”
กลุ่มสาวๆ พยักหน้ารับไปตามๆ กัน
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงปาดน้ำตา “ไทเฮาทรงยอหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ”
ไทเฮาโบกมือ เรียกขันทีน้อยข้างกายเข้ามากระซิบบอก
“รอให้คุณหนูอวิ๋นกลับไปนั่งที่เดิมแล้ว ช่วยไปถามนางหน่อยว่า เคล็ดลับที่สั่งน้ำตาได้ดั่งใจนึกนั้น นางไปเรียนมาจากไหน ข้าจะได้จำเอามาใช้บ้าง”
จากนั้น พอเจี่ยไทเฮาหันกลับมามองอวิ๋นหว่านถง สีหน้าก็เปลี่ยน พลางส่ายศีรษะอย่างไม่ชอบใจ
“เจ้าเป็นลูกอนุในบ้าน ควรเคารพพี่สาวและดูแลพี่สาวให้ดีตามคำกำชับของพ่อ แต่แล้วเจ้ากลับปลีกตัวออกไปตามลำพัง นี่เป็นการกระทำของคนที่ไร้ซึ่งการสอนสั่งอย่างสิ้นเชิง!”
อวิ๋นหว่านถงถูกด่าจนโงหัวไม่ขึ้น
แต่เจี่ยไทเฮาด่าก็ส่วนด่า อย่างไรก็เป็นลูกสาวขุนนางคนหนึ่ง ย่อมต้องมีบทสรุปที่ชัดเจน ต่อให้ไม่มีอะไรกับเว่ยอ๋อง ก็ถูกคนเห็นแล้วว่าทั้งสองนอนอยู่บนเตียงเดียวกันในห้อง
ทว่าจวนอ๋องของเจ้าห้าก็ไม่ขาดนางกำนัล แถมมีเยอะเสียด้วย
เจี่ยไทเฮาจึงถอนหายใจออกมา งานเลี้ยงสังสรรค์ของทุกๆ ปีล้วนมีการจับคู่อยู่หลายคู่ แต่คิดไม่ถึงว่าปีนี้คู่แรกจะถูกจับให้คู่กันอย่างคลุมเครือและน่าอายเช่นนี้ คิดพลางตัดสินใจเบ็ดเสร็จ จึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“จวนเว่ยอ๋องแม้มีนางกำนัลมากมาย แต่ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาจริงๆ กลับมีเพียงชายารองคนหนึ่ง กับชายาบ่าวอีกสองคน ปีก่อนเห็นว่าป่วยและเสียชีวิตไปคนหนึ่ง ซึ่งคนที่เหลือต่างก็ยังมีทายาท น่ากังวลใจยิ่ง วันนี้นับว่าคุณหนูสามของสกุลอวิ๋นกับเว่ยอ๋องมีวาสนาต่อกัน ข้าจึงขอเป็นเจ้าภาพ ยกคุณหนูสามของสกุลอวิ๋นให้เป็นชายารองของเว่ยอ๋องเรา เติมเต็มตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งก็สมกันดี”
ว่าพลางหันไปมองเจี่ยงฮองเฮากับมเหสีรองเหวย “ฮองเฮา มเหสีรอง พวกเจ้าว่าดีไหม”
เจี่ยงฮองเฮาย่อมคล้อยตามเจี่ยไทเฮา
ส่วนมเหสีรองเหวย เนื่องจากโอรสถูกตำหนิ กำลังโกรธแค้นอวิ๋นหวานถง และเดาว่าอาจเป็นแผนของฝ่ายหญิง ซึ่งถ้าเป็นจริง ต่อไปต้องได้เห็นดีกันแน่
แต่ตอนนี้พอได้ยินไทเฮารับสั่งว่า ยกคุณหนูสามบ้านอวิ๋นให้เว่ยอ๋อง ซ้ำยังให้เป็นชายารองที่จ่อตำแหน่งชายาเอกด้วย จึงรู้สึกไม่พอใจ แม้ไม่ค่อยอยากได้อวิ๋นหว่านถงเป็นลูกสะใภ้ แต่ไหนเลยจะกล้าพูดว่าไม่เห็นด้วย จึงได้แต่พยักหน้า
“คู่ที่ไทเฮาทรงจับให้ ไหนเลยจะไม่ดีเพคะ!”
เจี่ยไทเฮาค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
แม้เป็นแค่ชายารอง แต่สามีเป็นถึงองค์ชายในราชวงศ์เชียว สถานการณ์ในวันนี้ เห็นชัดว่าเกินเลยจาก
ที่อวิ๋นหว่านถงคิดไว้มาก นางจึงดีใจยิ่ง
“ขอบพระทัยไทเฮา! ขอบพระทัยมเหสีรอง!”
ทว่าเว่ยอ๋องกลับรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง โดยจนถึงตอนนี้ที่จวนตนมีหนึ่งชายารองกับสองชายาบ่าว ก็ล้วนแล้วแต่รับเข้ามาเพื่อบังหน้าทั้งสิ้น ซึ่งปกติแล้วตนก็มิได้แตะต้องพวกนางแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังต้องกำชับพวกนางอย่างเข้มงวดด้วยว่าไม่ให้บอกใคร
โดยปีก่อน ชายารองทนสภาพเช่นนี้ไม่ได้ เพราะคิดว่าชาตินี้ ถ้าต้องอยู่อย่างซังกะตาย ถึงสามีมีชาติกำเนิดที่ดีอย่างไร หญิงสาวก็ไม่มีทางมีความสุขได้แม้แต่วันเดียว จึงร้องไห้ขอกลับไปหามารดาที่บ้าน!
แต่นางเป็นลูกสาวขุนนางใหญ่ ขืนกลับบ้านไป แล้วบิดานางไปเอาเรื่องกับราชสำนัก เรื่องที่ตนเลี้ยงเด็กผู้หญิง และชอบผู้ชายเหล่านั้น มีหรือจะไม่ถูกหนิงซีฮ่องเต้สืบรู้
ตนโกรธมาก จึงพลั้งมือบีบคอนางตาย สุดท้ายก็แสร้งบอกว่าป่วยตาย ชายาบ่าวที่เหลืออีกสองคนค่อยทำตัวเป็นจักจั่นในฤดูหนาว ไม่กล้าเรียกร้องอีก
พอเจี่ยไทเฮาพระราชทานสมรส จวนอ๋องก็มีหญิงสาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ซึ่งก็คือภาระที่เพิ่มขึ้น แล้วจะไม่ให้เว่ยอ๋องปวดหัวได้อย่างไรเล่า แต่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ตอบรับอย่างหดหู่
“กลับถึงจวนแล้ว หลานค่อยเตรียมการ”
เมื่ออวิ๋นหว่านถงได้ยิน ก็รู้สึกดีใจประดุจเรือน้อยที่พลิกไปมาบนเกลียวคลื่น ชายารอง ชายารองของจวนเว่ยอ๋อง แต่นี้เป็นต้นไป เกียรติยศและความมั่งคั่ง ยังมีท่านอ๋องที่หล่อเหลาเช่นนี้ ล้วนเป็นของตนทั้งหมด พอกลับไปยืนด้านหลังอวิ๋นหว่านชิ่น ก็ยังดีใจไม่หาย จนต้องฮัมเพลงเบาๆ ออกมา
หลังจากจัดการเรื่องเว่ยอ๋องกับคุณหนูสามบ้านอวิ๋นเสร็จ เจี่ยไทเฮาก็ฉวยโอกาสตีเหล็กเมื่อยังร้อน หันมองฉินอ๋อง จากนั้นก็เหลือบมองอวี้โหรวจวง
อวี้โหรวจวงเข้าใจความหมายของไทเฮา สายตางามๆ จึงค่อยๆ ชม้ายมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อก่อน นางได้แต่รู้สึกว่าฉินอ๋องไม่คู่ควรกับนาง ระดับนางต้องรัชทายาทเท่านั้น อาจเป็นเพราะของที่ไม่มีใครแย่ง แลดูไม่มีคุณค่า จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีคนมาแย่ง ตอนนี้พออวิ๋นหว่านชิ่นมาแย่ง นางจึงไม่อยากยอม อวิ๋นหว่านชิ่นอาศัยอะไร ทำให้ฉินอ๋องชอบ?
ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดี ถ้าไทเฮาพระราชทานสมรส ฉินอ๋องย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ!
ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ต้องแพ้ไปในที่สุด!
ซย่าโหวซื่อถิงนั่งฟังไทเฮาพูด พลางหยิบถ้วยชาขึ้นใกล้ริมฝีปากอย่างไม่สนใจ คล้ายกำลังจิบชาโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เจี่ยไทเฮาชะงักเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ พูด
“จะว่าไป ฉินอ๋องก็โตแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสุขภาพที่ทำให้ลากยาวไปหลายปี ก็ควรแต่งงานไปนานแล้ว
องค์ชายบางคนแม้ยังไม่ได้แต่งชายาเอก ก็ยังมีชายารองกับชายาบ่าว หรือต่อให้แย่แค่ไหนก็ยังมีนางกำนัล แต่
ฉินอ๋องกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ข้างกายก็ไม่มีหญิงสาว หลายวันก่อน ตอนฝ่าบาทมาดื่มน้ำชากับข้า ยังพูดอยู่ว่าโหรวจวงกับเจ้าสาม ไม่ว่าจะอายุ หรือหน้าตา ล้วนเหมาะสมกันดี วันนี้ดูไปแล้ว ก็จริงอย่างว่า มิสู้ ตอนนี้ข้า…”
คำสำคัญยังไม่ทันออกจากปาก เหล่าองค์ชายก็พากันตื่นตระหนก!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น