จำนนรักชายาตัวร้าย 80.3-84.3
ตอนที่ 80-3 ข้าวสาร ข้าวสุก หุงอย่างไร
เชียนเยี่ยเสวี่ยตระหนกจนทนแทบไม่ไหว เขาถลึงตาจนดวงตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า!
“แน่สิ! เรื่องแบบนี้ข้ายังต้องโกหกพวกเจ้าทำไมกัน!”
กล่าวจบอวี้เชียนเสวี่ยก็เริ่มคุยกับตนเอง
“อายุสิบห้าปี บรรลุนิติภาวะ! วันเกิดนี้จะต้องฉลองมากๆหน่อย!”
“แต่วันนี้นางเหนื่อยมากแล้ว ทำอะไรให้นางกินดีนะ บะหมี่อายุยืนต้องมีแน่ๆ! นางชอบกินเนื้อปลาที่สุด เนื้อแกะก็ขาดมิได้ เนื้อเป็ดไก่ เนื้อวัวก็ต้องมี ยังมีผักผลไม้ หลังจากนั้นก็…ของขวัญ!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อวี้เชียนเสวี่ยก็เริ่มร้อนใจ
ของขวัญล่ะ
ของขวัญสำหรับการบรรลุนิติภาวะเขายังไม่ได้เตรียมเลยนี่นา!
เวลานี้แล้ว เขาจะไปหาของขวัญจากไหนกัน!
ของขวัญสำหรับเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นี่เป็นของขวัญที่สำคัญมาก! เขากลับลืมเรื่องนี้เสียได้ ช่างเป็นลุงที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ!
เมื่อเห็นว่าอวี้เชียนเสวี่ยเริ่มร้อนอกร้อนใจ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หยักมุมปากขึ้น
ข้าอวยพรวันเกิดแมวน้อยไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนของขวัญก็มอบให้นางแล้วด้วย ข้ารู้ดีกว่าลุงสามเป็นไหนๆ!
ถึงแม้จะดีใจ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็เงี่ยหูคอยฟังและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อวี้เชียนเสวี่ยพูด
ที่แท้แมวน้อยชอบกินปลา สมแล้วที่เป็นแมวน้อย! ยังชอบกินเนื้อแกะอีกด้วย ต้องจดเอาไว้!
อวี้เชียนเสวี่ยพึมพำอะไรคนเดียวไปเรื่อยๆ ส่วนมู่เหนี่ยนซีกลับกระซิบกระซาบกับเชียนเยี่ยเสวี่ย
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ! วันนี้เป็นวันเกิดเสี่ยวอวี้ เจ้าจะต้องแสดงความสามารถ โบราณว่า จะกุมหัวใจหญิงสาวให้ได้ จะต้องกุมปากท้องของนางให้อยู่หมัด”
เชียนเยี่ยเสวี่ยฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลาง ในตอนสุดท้ายก็รู้สึกว่าสถานการณ์ทะแม่งๆ
ท่านป้าสาม นี่ท่านกำลังจับคู่ข้ากับช่าช่างั้นหรือ!
ขอบคุณท่านป้ามากนะครับ!
ความเอื้ออาทรของท่านข้ารับไว้ไม่ไหว!
เชียนเยี่ยเสวี่ยไม่รู้หรอกว่า ก่อนหน้านี้ที่นางช่วยจับคู่ให้มู่เหนี่ยนซีสุดชีวิต คราวนี้มู่เหนี่ยนซีเริ่มส่งของกำนัลสร้างสัมพันธ์ฉันเพื่อนมาแล้ว หากว่ามู่เหนี่ยนซีรู้เข้าว่านางเป็นผู้หญิงละก็ จะต้องร้องไห้หนักหน่วงแน่นอน
หญิงกับหญิงต่อให้รักกันมากเพียงใด แต่ก็สืบตระกูลไม่ได้อยู่ดี!
มู่เหนี่ยนซีกำลังเริ่มถ่ายทอดประสบการณ์นาง ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยชาวาบไปทั้งร่าง
ซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆ กลับจำได้ขึ้นใจ
จะจับแมวให้อยู่หมัด ต้องกุมปากท้องนางให้ได้!
ความคิดดี!
ซย่าโหวฉิงเทียนตรงไปยังห้องครัวของหอราชาโอสถคนเดียวเงียบๆ ฮันจื่อมองไปที่ห้องของอวี้เฟยเยียนแล้วหันกลับมามองแผ่นหลังเจ้านายของตน ในที่สุดก็แน่ใจถึงความสำคัญของอวี้เฟยเยียนในหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว
ฐานะเจ้านายสูงส่ง ขนาดลงมือเข้าครัวด้วยตัวเองเพื่อแม่นางน้อยคนหนึ่ง ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ถึงเรียกว่ารักจริง!
เจ้านาย สู้ๆ!
ข้ามาช่วยเจ้านายดูแลแม่นางน้อย!
เมื่อคิดเรียบร้อยแล้ว ฮันจื่อก็รีบนั่งสองขาที่หน้าห้องอวี้เฟยเยียนทันที
ข้าต้องกอดขาแม่นางน้อยและเจ้านายไว้ให้แน่น!
โดยเฉพาะแม่นางน้อย!
ติดตามแม่นางน้อยมีเนื้อกินตลอดชาติ นี่คือสัจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนไปที่ห้องครัว เขาหาจนทั่วก็ไม่พบปลา จนเขาเริ่มกลัดกลุ้ม
แมวน้อยชอบกินปลาที่สุด!
นี่หอราชาโอสถที่ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่มีปลา! ไม่มีปลา!
ได้อย่างไรกัน!
ซย่าโหวฉิงเทียนเกือบจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา สุดท้ายก็คิดได้ว่าอวี้เฟยเยียนยังนอนหลับอยู่ จึงยังมีเวลา เขารีบกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะยานไปข้างหน้าจุดหมายคือเมืองกุยอวี๋เพื่อหาซื้อปลา
ผู้คนรู้สึกและเห็นเพียงกระแสลมที่มีสีม่วงพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เห็นแม้กระทั่งเงา ซึ่งไม่มีใครมองเห็นคนแม้แต่คนเดียว
หากทุกคนรู้ว่า คนที่ยิ่งใหญ่ระดับเทพเจ้า เพื่อที่จะทำน้ำแกงปลาให้กับคนรักแล้ว ถึงกับใช้วิชา ‘เทพเหินฟ้า’ จะต้องเป็นลมล้มพับไปกันหมดเป็นแน่
ความสามารถที่สั่งสมมา ถูกนำมาใช้เพื่อพิชิตใจสาวงาม นี่ต่างหากที่เขาเรียกว่าสิ่งของล้ำค่าแห่งแผ่นดิน!
แสดงแสงยานุภาพออกมาขนาดนี้ คิดจะมิให้ใครได้เกิดเลยใช่หรือไม่!
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนรีบร้อนไปถึงเมืองกุยอวี๋ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แผงในตลาดต่างก็เก็บแผงไปตั้งนานแล้ว ยังมีปลาที่ไหนกัน!
ขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เตรียมที่จะไปตามหาสถานที่เพื่อซื้อปลาทะเลที่ยังสดเป็นๆอยู่นั่นเอง
สายตาเขาก็เหลือบไปเห็น
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งให้อาหารปลาอยู่ที่ศาลาพักริมน้ำ
ที่รอบกายของนาง มีปลาตะพัดกำลังแหวกว่ายเวียนวนทั้งเป่าฟองอากาศเล่นอยู่มากมาย พวกมันกำลังกินเหยื่อปลาอย่างสบายอารมณ์
ตอนนั้นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็คิดออกทันที
เขาไปนั่งลงข้างสระน้ำ ใช้นิ้วจิ้มลงไป ปลาตะพัดมากมายต่างลอยคอหงายท้องเรียงกันขึ้นมา
เมื่อนับดู ปลาสิบตัว เพียงพอแล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ประโยชน์จากพื้นที่ด้วยการดึงก้านหลิวที่อยู่ใกล้ๆ ออกมาแล้วร้อยปลาทั้งหมดเข้าไป
หลังจากนั้นซย่าโหวฉิงเทียนก็หยิบตั๋วเงินออกมาวางไว้ที่ริมน้ำ ใช้หินทับตั๋วเงินเอาไว้ ถือเป็นค่าชดเชยที่นำปลาไป
จู่ๆ ก็มีชายที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาทำให้หญิงสาวร้องตะโกนเสียงดัง จวบจนกระทั่งได้เห็นใบหน้ารูปงามของซย่าโหวฉิงเทียน หญิงผู้นั้นทั้งตกใจอึ้งระคนยินดี
ชายผู้นี้เป็นเทพเซียนหรืออย่างไรกัน
มนุษย์สามารถมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาปานนี้ได้ด้วยหรือ!
หัวใจหญิงสาวผู้นั้นสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำเสียงร้องหญิงสาวนำพานายท่านของจวนมา…ใต้เท้าหลิวแห่งเมืองกุยอวี๋
“เม่ยเหนียง เป็นอะไรไป”
เม่ยเหนียงผู้นี้เป็นภรรยารองที่ผู้รักษาเมืองหลิวเพิ่งจะแต่งเข้ามา นางเป็นดอกไม้อันดับหนึ่งแห่งหอชิงโหล ผู้รักษาเมืองหลิวต้องลงเงินลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะได้นางมาครอง
เมื่อได้ยินเสียงผู้รักษาเมืองหลิวแว่วเข้ามา เม่ยเหนียงก็ขมวดคิ้ว แล้วรีบกล่าวกับซย่าโหวฉิงเทียนว่า
“ท่านรีบหนีไปเถอะ หากนายท่านพบท่านเข้าละก็ จะต้องไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่!”
ไม่ว่าจะด้วยจิตใจแบบไหนก็ตาม เม่ยเหนียงก็มิอยากเห็นชายรูปงามขนาดนี้ต้องมาถูกผู้รักษาเมืองหลิวจับได้ นางรู้จักผู้รักษาเมืองหลิวดี เขาจะต้องฆ่าชายชุดม่วงผู้นี้เป็นแน่
แต่ทว่า เม่ยเหนียงกล่าวยังมิทันจบ ผู้รักษาเมืองหลิวก็พาคนรับใช้กลุ่มใหญ่มาถึงที่ริมน้ำ
เมื่อเขาเห็นซย่าโหวฉิงเทียนเข้า ปฏิกิริยาแรกของผู้รักษาเมืองหลิว นั่นก็คือเม่ยเหนียงคบชู้
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้มาอยู่ในบ้านของข้า”
“ขุนนาง”
เมื่อมองเห็นชุดขุนนางที่ยังมิทันถอดบนร่างของผู้รักษาเมืองหลิว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มเยือกเย็นออกมา
เพียงแค่ขุนนางรักษาเมืองเล็กๆ ยังกล้ามาทำที่เอะอะะโวยวายต่อหน้าข้าหรือ
ซย่าโหวฉิงเทียนคร้านจะสนใจ เขาหมุนกายเตรียมเดินออกไป แต่ผู้รักษาเมืองหลิวกลับสั่งให้คนจับเขาเอาไว้
ซย่าโหวฉิงเทียนรีบร้อนที่จะนำปลาไปทำกับข้าว จึงผลักคนพวกนั้นให้พ้นทาง ใครจะรู้ผู้รักษาเมืองหลิวกลับเรียกขั้นราชันขั้นหลอมรวมสองคนมา แล้วสั่งให้เขาฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนเสีย
“ใต้เท้า เขาเพียงแค่มาจับปลาเท่านั้น! เขายังทิ้งตั๋วเงินไว้ให้อีกด้วย!”
เม่ยเหนียงมิอาจทนเห็นซย่าโหวฉิงเทียนถูกฆ่าทั้งที่ไร้ความผิด จึงรีบขอร้องแทน
ใครจะรู้ การขอร้องแทนของเม่ยเหนียงทำให้ผู้รักษาเมืองหลิวคิดว่าระหว่างนางกับซย่าโหวฉิงเทียนมีสัมพันธ์ลับที่มิให้ใครล่วงรู้ได้ จึงตบหน้าเม่ยเหนียงฉาดใหญ่
“แพศยา ข้าจะฆ่ามันก่อน แล้วค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า!”
กล่าวจบผู้รักษาเมืองหลิวก็มองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาแค้นเคือง
“กล้าเป็นชู้กับผู้หญิงของข้า ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผู้รักษาเมืองหลิว ใช้ชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน
หลังจากที่สหายคู่ใจของเขาจูเต๋อหมินถูกขั้นราชันสังหารจนตายคาโรงเตี๊ยมแล้ว จิตใจของผู้รักษาเมืองหลิวก็มิเคยสงบอีกเลย
หลายปีมานี้ เขาและจูเต๋อหมินร่วมกันทำเรื่องเลวร้ายมากมาย วันนั้นจูเต๋อหมินปะทะกับขั้นราชันเข้า ครอบครัวเขาทั้งสามชีวิตถูกสังหารตายทั้งหมด ทำให้ผู้รักษาเมืองหลิวหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
หวาดกลัวเรื่องเลวร้ายที่ตนเองเคยกระทำจะถูกแฉออกมา แล้วตนเองก็จะต้องตายโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ดังนั้นผู้รักษาเมืองหลิวจึงใช้เงินจำนวนมากว่าจ้างยอดฝีมือมาไว้ที่บ้าน
ตอนนี้มาพบซย่าโหวฉิงเทียนเข้า หนึ่งเขาอยากจะฆ่าเขาเสีย สองคืออยากที่จะทดสอบยอดฝีมือที่ตนเองว่าจ้างมาว่าฝีมือเป็นอย่างไร
ดังนั้นเพียงแค่เจ้าเมืองหลิวกวักมือเรียก นอกจากขั้นราชันสองคนเมื่อครู่แล้ว ยังมีขั้นราชันเพิ่มอีกสองคนกับขั้นวีรชนอีกคนออกมาด้วย นักรบทั้งห้าคนตรงเข้าล้อมซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
ผู้รักษาเมืองหลิวไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่ดีไม่ว่าดีก็หาเรื่องตาย จะเข่นฆ่าซย่าโหวฉิงเทียนให้ได้ ครานี้จึงล่วงเกินซย่าโหวฉิงเทียนเข้าเต็มๆ
ซย่าโหวฉิงเทียนเดิมทีตั้งใจเพียงว่าจะมาหาขอปลาไม่กี่ตัว ยังเหลือเหลือตั๋วเงินเอาไว้ให้ หารู้ไม่ว่าเจ้าขุนนางนั้นกลับมิยอมเลิกรา ทั้งยังพ่นวาจาไม่น่าฟังเอาเสียเลยออกมา
“รนหาที่ตาย!”
ตอนที่ 80-4 ข้าวสาร ข้าวสุก หุงอย่างไร
สำหรับคนที่มาหาเรื่องถึงที่ ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยใจอ่อน
เห็นมือข้างหนึ่งของเขาหิ้วพวงปลาอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งทำหน้าที่เฉกเช่นเคียว ฉับพลันซย่าโหวฉิงเทียนก็เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์คนแรก
กร๊อบแกร๊บ
เขาตรงเข้าบิดคอฝ่ายตรงข้ามจนขาด
“น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นขั้นวีรชนถูกฆ่าตายต่อหน้า ขั้นราชันอีกคนหนึ่งก็ตกใจจนแทบจะฉี่รดกางเกงทีเดียว
นี่มันวิชาอะไรกัน!
เหตุใดถึงได้ร้ายกาจเพียงนี้!
ไม่รอให้เขาหนีพ้น ซย่าโหวฉิงเทียนเดินขึ้นมาด้านหน้า ใช้มือบีบคอเขา
“ช่วย…”
คำว่าชีวิต ยังมิทันได้เอ่ยออกมา คนผู้นั้นก็ได้ยินเสียงกระดูกคอของตนเองหักอย่างชัดเจน ชัดเจนเป็นอย่างมาก ความตายที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!
เพียงแค่พริบตาเดียว ยอดฝีมือทั้งหมดก็ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาผู้รักษาเมืองหลิว
จอมยุทธ์…
ผู้รักษาเมืองหลิวแข้งขาเขาอ่อน ทรุดคุกเข่าลงที่พื้น
เวลานี้เขาถึงได้เชื่อสนิทในคำพูดของเม่ยเหนียง คนผู้นี้เจตนาเพียงแค่หาขอปลา เขามาหาปลาเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง
“จอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย! ท่านต้องการอะไรข้าจะให้ทุกอย่าง! ข้ามีเงิน ข้ามีเงินทองมากมาย!”
หลังจากที่จูเต๋อหมินตายไป ผู้รักษาเมืองหลิวก็รับช่วงต่อดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของจูเต๋อหมิน โดยปริยายกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองกุยอวี๋ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดของเมืองอีกด้วย
แต่ทว่า เขายังมิได้เสพสุขสิ่งเหล่านั้น ก็มาล่วงเกินซย่าโหวฉิงเทียนเสียก่อน
“ลูกผู้ชาย! ใต้เท้า…”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่นำพาแต่อย่างใด ยังคงย่างสามขุมเข้าไปหาทีละก้าว ผู้รักษาเมืองหลิวก็ตกใจเสียแทบเสียสติจนอุจจาระราด ณ ตรงนั้น
“น่ารังเกียจที่สุด!”
เมื่อได้กลิ่นเหม็นโฉ่ลอยมา ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดชะงัก
เมื่อเห็นว่าชายชุดม่วงไม่ก้าวเข้ามาใกล้ตนเองอีก ผู้รักษาเมืองหลิวก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จวบจนเขามองเห็นใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนชัดเจน เห็นจุดแดงที่หว่างคิ้ว เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา สง่างาม ทั้งยังมีชุดสีม่วงสดนั่นอีก…ลวดลายดอกยวนเหว่ยที่กำลังบาน เมื่อผู้รักษาเมืองหลิวเห็นใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนอย่างชัดเจนก็ถึงกับอยากตายขึ้นมาทันที
“แม่ช่วยด้วย!”
วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะ!
เขาถึงได้ไปหาเรื่องหลินเจียงอ๋องเข้า!
หลินเจียงอ๋องมายังเมืองกุยอวี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดเขาถึงไม่ได้รับข่าวคราวเลย
หากรู้แต่แรกว่าอีกฝ่ายคือหลินเจียงอ๋องล่ะก็ อย่าว่าแต่ปลาเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงเขา ก็จะใส่พานส่งมอบให้ในทันที มันจะไม่เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นอย่างเด็ดขาด!
“ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย! ขอท่านอ๋องโปรดอภัย! ผู้น้อยสมควรตาย! ผู้น้อยสมควรตาย! …”
ผู้รักษาเมืองหลิวไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาหมอบคลานบนพื้นอ้อนวอนร้องขอชีวิตอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
เมื่อเห็นผู้รักษาเมืองหลิวคลานเข้ามาจับชายเสื้อของตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีดก้อนหินในมือออกไป หินก้อนนั้นพุ่งกระแทกบริเวณหว่างคิ้วเขาอย่างจัง
เลือดสดๆ ไหลออกมา
ผู้รักษาเมืองหลิวล้มลงบนพื้น ตาลอยมองฟ้าร่างกายแข็งทื่อ
ช่างน่ารังเกียจเสียจริงๆ!
ซย่าโหวฉิงเทียนยกปลาในมือขึ้นมาดมเล็กน้อย รู้สึกว่ากลิ่นอันเหม็นเน่าของผู้รักษาเมืองหลิวเมื่อครู่ติดมาด้วย เขาจึงทิ้งปลาในมือลงพื้นทันที แล้วเดินไปที่สระน้ำเพื่อจับมาใหม่อีกหลายตัว แล้วจากไป
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เม่ยเหนียงตกตะลึงตาค้าง
ท่านอ๋อง
ชายคนเมื่อครู่เป็นถึงท่านอ๋องเชียวหรือ!
ไม่น่าเล่า ตอนที่สังหารผู้รักษาเมืองหลิวเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
ยังมีอีกเรื่อง เหตุใดเขาถึงได้เก่งกาจปานนั้นกัน
แม้แต่วีรชนยังมิใช่คู่มือของเขา!
หากว่าผู้คนเมืองกุยอวี๋รู้ว่าผู้รักษาเมืองหลิวตายแล้ว จะต้องร้องรำทำเพลงจุดประทัดด้วยความยินดีเป็นแน่
ท่านอ๋องคือวีรบุรุษช่วยกำจัดภัยให้กับราษฎร!
เมื่อผู้รักษาเมืองหลิวตาย จวนเจ้าเมืองทั้งจวนก็อลหม่านวุ่นวายขึ้นทันที เม่ยเหนียงรีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของพร้อมกับเงินทองของมีค่า แล้วอาศัยช่วงชุลมุนนั้นหลบหนีไป
ขณะเดียวกันในห้องรับแขกสำคัญที่ห่างจากสระน้ำไม่ไกล คนหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ้องมองเหล่าคนรับใช้ที่กับสับสนอลหม่านที่ด้านนอกผ่านบานหน้าต่าง
“จากที่เจ้าว่ามา พวกที่ไป นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นๆ ล้วนถูกจับกุมแล้วหรือ แผนการในครั้งนี้ล้มเหลวอย่างนั้นสินะ”
“ใช่ครับ ประมุข! มีข้าน้อยเพียงคนเดียวที่หนีรอดออกมาได้!” ศิษย์ของสำนักหมื่นพิษคนหนึ่งกำลังรายงานเรื่องราวโดยที่เขายืนอยู่ด้านหลังของคนหนุ่มคนนั้น
“ทูตซ้ายและทูตขวาเกรงว่าจะประสบเหตุร้าย!”
“อวี้หลัวช่าคนนี้เก่งกาจจริงๆขอรับ!”
“ประมุข…”
ศิษย์ผู้นั้นลังเลเล็กน้อย แล้วชี้ไปยังสระน้ำ
“เจ้าของชุดสีม่วงเมื่อครู่ก็คือคนที่ช่วยเหลืออวี้หลัวช่าในงานประลอง พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน!”
“ข้ารู้จักคนผู้นั้น เขาคือหลินเจียงอ๋องแห่งแคว้นต้าโจว ซย่าโหวฉิงเทียน”
คนหนุ่มผู้นั้นน้ำเสียงแผ่วเบา
“เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่า ซย่าโหวฉิงเทียนจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ข้ามองเขาต่ำเกินไป!”
“ประมุข เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรดีขอรับ”
ไม่นาน ศิษย์ของสำนักหมื่นพิษก็ตั้งสติได้ เขาก้าวมายืนข้างคนหนุ่มผู้นั้น ราวกับว่าเขาได้ฟื้นกำลังกลับมาอีกครั้ง
“กลับสำนักสำนักหมื่นพิษ”
“ประมุข มิได้โดยเด็ดขาด! หากว่าพวกอวี้หลัวช่ามาที่สำนัก จะทำเช่นไร ประมุขควรหาที่เพื่อหลบสักพักนะขอรับ!”
“ไม่…“
คนหนุ่มผู้นั้นปฏิเสธคำแนะนำของอีกฝ่ายทันที
“นางจะต้องมาที่สำนักพิษอย่างแน่นอน! นั่นเป็นสิ่งที่มิอาจหลบเลี่ยงได้ แต่ว่า หากว่าข้าไม่กลับไป แล้วจะเจออวี้หลัวช่าได้อย่างไร! ข้าสนใจตัวนางไม่น้อย!”
นางเป็นสาวน้อยแบบไหนกันแน่
แน่นอนว่าต้องพบด้วยตัวเองจึงจะรู้ได้!
อวี้เฟยเยียนที่กำลังนอนหลับอุตุมิรู้เลยว่าตนเองกำลังถูกบ่นคิดถึงอยู่ นางหลับสนิทอย่างสบายอารมณ์
ด้านนอกห้อง
ทุกคนต่างก็กำลังง่วนอยู่กับการตระเตรียมงานวันเกิดให้กับนาง ภายในห้อง ใครบางคนกำลังย่องไปที่เตียงนาง
“แมวน้อย แมวน้อย”
ซย่าโหวฉิงเทียนเรียกนางเสียงแผ่วเบา แต่ด้วยอวี้เฟยเยียนง่วงงุนเกินไป จึงได้แต่ขยับปากมุมมิบ ขยับไปมาแล้วก็หลับต่อ
เห็นอวี้เฟยเยียนนอนอย่างไร้เดียงสาเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกไปหยิกแก้มนางอย่างแผ่วเบา
“ต่อไปต้องเรียกว่าเจ้าหมูน้อยแล้วล่ะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มร่างของนางไว้ในอ้อมแขน แล้วกระโดดทะยานออกไป
“ซย่าโหวฉิงเทียน นี่ท่านจะทำอะไร”
อวี้เฟยเยียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
“เจ้านอนเถอะ! อีกเดี๋ยวข้าจะย่างปลาให้เจ้ากินนะ!”
“อื้อ!”
อวี้เฟยเยียนหลับไปอีกครั้ง จนกระทั่งนางตื่นขึ้นเพราะถูกกลิ่นหอมหวนของปลาย่างที่ลอยมา จนความหิวโหยปลุกให้ตื่น
“หอมจัง!”
อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงว่าสถานที่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกจะเป็นบนยอดเขา จากตรงนี้ สามารถมองเห็นหอราชาโอสถได้ทั้งหมด
ซย่าโหวฉิงเทียนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการย่างปลา ส่วนฮันจื่อก็นอนราบอยู่ข้างกายอวี้เฟยเยียน ตาทั้งสองของฮันจื่อมองจ้องปลาเขม็ง น้ำลายหยดลงพื้นทีละหยด
เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนตื่นแล้ว ฮันจื่อก็แกว่งหางไปมาแรงๆ
แม่นางน้อย วันนี้ข้าอาศัยบารมีแม่นาง จึงมีลาภปากกินปลาย่างฝีมือเจ้านายด้วย!
“ฮันจื่อ เจ้าอาบน้ำหรือยัง”
อวี้เฟยเยียนที่ยังไม่ตื่นดี ลูบขนฮันจื่อเบาๆ แล้วก็ตบไปที่ก้นมันพลางกล่าว
“รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ บนตัวมีแต่ฝุ่น!”
ขอรับ! รับคำสั่ง!
ฮันจื่อเชื่อฟังคำสั่งของอวี้เฟยเยียนด้วยความนอบน้อม
เมื่อฮันจื่ออกไปแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ลุกยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียน
“ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงส่งท่านก็ย่างปลาเป็นกับเขาด้วย!”
“นับถือข้าละสิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนแอบได้ใจ
“เมื่อก่อนตอนอยู่แคว้นแคว้นฉินจื้อ พี่ก็มักจะลงน้ำจับปลามาย่างกินอยู่บ่อยๆ ดังนั้นฝีมือพี่นับว่าไม่เลว!”
เมื่อได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวถึงชีวิตขณะที่อยู่แคว้นแคว้นฉินจื้อ อวี้เฟยเยียนก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที
ตอนนั้นแคว้นต้าโจวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ซย่าโหวฉิงเทียนต้องไปเป็นตัวประกัน ช่วงชีวิตเหล่านั้นคงไม่ง่าย มิฉะนั้น เป็นถึงอ๋องจะต้องไปจับปลาเอง ย่างปลาเองได้อย่างไรกัน!
ตอนที่ 80-5 ข้าวสาร ข้าวสุก หุงอย่างไร
“มีอะไรหรือ”
เมื่อสัมผัสได้ว่าอารมณ์อวี้เฟยเยียนสลดลง
ซย่าโหวฉิงเทียนส่งปลาย่างให้นางหนึ่งตัว
“ลองชิมฝีมือพี่สิ!”
“หอมจัง!”
เมื่ออาหารรสเลิศมาอยู่ตรงหน้า อวี้เฟยเยียนทิ้งเรื่องไม่สบายใจไว้เบื้องหลัง แล้วกัดตรงท้องปลาก่อนเป็นคำแรก
ใครจะรู้เพราะนางใจร้อนเกินไป จึงลวกลิ้นเข้าให้
ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นอวี้เฟยเยียนบาดเจ็บ แน่นอนว่าย่อมเป็นห่วง เขารีบกล่าวถามว่า
“แมวน้อย เจ้ามียาทาแผลน้ำร้อนลวกหรือไม่”
“มี!”
อวี้เฟยเยียนหยิบขวดยาสีแดงเล็กๆออกมา แล้วเทยาออกมาหนึ่งเม็ด ขณะที่เตรียมจะกินเข้าไปนั่นเองใครจะคิดว่าจะถูกซย่าโหวฉิงเทียนงับเอาไป
“ท่าน…”
อวี้เฟยเยียนกล่าวยังมิทันจบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็โน้มศีรษะลงมา ใช้ปากของเขาดึงริมฝีปากอวี้เฟยเยียนให้เผยอออกแล้วป้อนยาเข้าไป
ยาเย็นๆ ทั้งหวานล้ำ วินาทีนั้นแผลบนลิ้นก็ถูกเคลือบไว้ด้วยยา ความเจ็บปวดถูกบรรเทาลงไป แต่กลับทำให้อวี้เฟยเยียนลำบากใจ
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านอย่าเอาเปรียบข้านะ!”
อวี้เฟยเยียนมือถือปลาย่าง ก้าวถอยไปด้านหลัง ตาที่งดงามของนางจ้องมองชายรูปงามตรงหน้าไม่วางตา
“ถ้าทำยังทำรุ่มร่ามเช่นนี้ ข้าจะโกรธแล้วนะ!”
ขณะที่อวี้เฟยเยียนเขินอาย แก้มทั้งสองข้างของนางแดงปลั่ง ดวงตางามยิ่งกว่าอัญมณีคู่นั้นมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ มองดูราวกับมีชีวิตทีเดียว
อวี้เฟยเยียนรีบถอยห่างจากตนเองเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกผิดหวังอยู่ในที
ดูแล้ว เขาคงจะใจร้อนเกินไปหน่อย!
เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าทำให้นางตกใจ!
นางยังเด็ก เพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย!
ซย่าโหวฉิงเทียนปลอบใจตนเอง ขณะเดียวกันก็ขอโทษอวี้เฟยเยียน
“พี่ผิดไปแล้ว ก็พี่ร้อนใจที่เห็นเจ้าบาดเจ็บนี่นา!”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนมีท่าทีสำนึกผิดจริง อวี้เฟยเยียนก็เชิดหน้าขึ้น
“วันนี้เป็นวันเกิดของข้า แผ่นดินยิ่งใหญ่แผ่นฟ้ายิ่งใหญ่ ดาวเกิดยิ่งใหญ่ที่สุด! ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านอย่าทำให้ข้าโมโห!”
“ใช่ เจ้าใหญ่ที่สุด ฟังเจ้า!”
ฮันจื่อที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาอย่างสบายอารมณ์ ก็ทันได้ยินคำพูดชวนขนลุกเมื่อครู่ ทำเอามันตกใจเสียจนเกือบจะก้าวเท้าพลาดหน้าคะมำเลยทีเดียว
เจ้านาย ท่านใช่เจ้านายที่เผด็จการเกรียงไกรของข้าจริงๆใช่หรือไม่
เหตุใดเจ้านายถึงเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้!
เจ้านาย ท่านมิใช่ถูกมารร้ายสิงร่างใช่หรือไม่
ฮันจื่อนั่งอยู่ด้านข้างอย่างแสนรู้ โดยไม่ไปแทรกแซงโลกของคนทั้งสอง
มันรู้ดีว่า หากปรากฏตัวตอนนี้จะเป็นการทำลายจังหวะเรื่องดีๆ ของเจ้านาย ผลที่ตามมามันจะไม่ใช่แค่ถีบก้นลงโทษง่ายๆ น่ะสิ!
ถึงแม้ว่าปลาย่างจะสำคัญ แต่ความปลอดภัยของก้นก็สำคัญเช่นกัน!
ซย่าโหวฉิงเทียนแกะก้างออกทั้งหมด แล้วหยิบเนื้อปลาป้อนให้กับอวี้เฟยเยียน
“อ้าปาก!”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนจะขอโทษไปแล้ว ครั้งนี้ก็เริ่มเผด็จการขึ้นมาอีก บังคับให้อวี้เฟยเยียนกินเนื้อปลาที่เขาแกะก้างแล้วให้หมด อีกทั้งต้องเป็นเขาป้อนอีกด้วย
‘อำนาจมืด’ ของซย่าโหวฉิงเทียน บวกกับการที่เขาลำบากลำบนย่างปลาเพื่อฉลองวันเกิดให้กับนาง อวี้เฟยเยียนจึงกลืนเนื้อปลาลงไปอย่างว่าง่าย
เพียงแต่ว่า ผู้ชายคนนี้ ร้ายเกินไปแล้ว!
เขามักจะใช้มือสัมผัสหรือไม่ก็เช็ดถูริมฝีปากของนางโดยมิตั้งใจ
ความรู้สึกขนลุกซู่แปลกๆ มักแปลกประหลาดจริงๆ
นี่ใช้การป้อนนาง มาลวนลามนางต่อหน้าต่อตาใช่หรือไม่
“ข้ากินเอง!”
ในที่สุด อวี้เฟยเยียนหน้าแดงขณะแย่งปลาย่างมา แล้วนั่งแอบมุมกินอย่างเงียบๆ
หากมิใช่เพราะรสชาติปลาย่างทั้งสดและหวานล่ะก็ ข้าก็คงไม่ใจกว้างเช่นนี้หรอก! อวี้เฟยเยียนคิดในใจ
อวี้เฟยเยียนกินไปกินมาก็ลืมเรื่องที่ซย่าโหวฉิงเทียนแอบเอาเปรียบนางไป ใบหน้าเอร็ดอร่อยราวนักกินที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก ภาพนั้นล้วนอยู่ในสายตาซย่าฉิงเทียน หัวใจเขาพองโตอิ่มเอม
ดูแล้วท่านป้าสามกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด!
ต้องการจะกุมหัวใจของหญิงสาว จะต้องกุมปากท้องนางให้อยู่หมัด!
ความสงสัยของซย่าโหวฉิงเทียนที่มีต่อคำพูดมู่เหนี่ยนซีก่อนหน้านี้ ยามนี้เขาได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว เขาเข้าใจในที่สุด ทั้งยังได้ผลกับอวี้เฟยเยียนยิ่งนัก
ตอนนี้เองซย่าโหวฉิงเทียนตัดสินใจครั้งใหญ่
ต่อไปจะเลี้ยงแมวน้อยแบบตามใจ!
มอบเพชรนิลจินดาที่มีค่าที่สุด อาภรณ์ที่สวยงามที่สุด อาหารรสเลิศที่สุดให้กับนาง รักนางโอ๋นาง ดูแลนางริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ให้นางต้องได้รับความทุกข์ใดๆ แม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วคนอื่นจะได้ดูแลนางไม่ไหว รับไม่ได้ นางจะได้อยู่เคียงข้างเขาเพียงผู้เดียว!
ในฐานะลูกหลานตระกูลแห่งนักรบ ทำให้ความสามารถไตร่ตรองและวางแผนของซย่าโหวฉิงเทียนแข็งแกร่งยิ่งนัก
เพียงเรื่องดูแลอาหารการกินของนาง ก็ทำให้เขาคิดไปถึงความเป็นอยู่และด้านอื่นๆ ขึ้นมาได้อีกด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีการนี้ของตนนั้นถูกต้อง ต่อไปก็ทำเช่นนี้แหละ!
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อวี้เฟยเยียนก็งงงวยเป็นอย่างมาก
เจ้าทึ่ม! ไม่มีอะไรยิ้มหวานเช่นนั้นทำไม ทำให้คนอื่นเขาน้ำลายไหลหยดย้อยหมดแล้ว!
ตั้งแต่มีซย่าโหวฉิงเทียนมา เหลี่ยนจิ่น เชียนเยี่ยเสวี่ยมาอยู่ข้างกาย คนรูปงามจนฟ้าดินต้องพิโรธมาอยู่ข้างกาย ทำให้ความสามารถต้านทานคนงามแข็งแกร่งขึ้นมาก
ทว่ายิ่งมองดูรอยยิ้มงดงามไร้ที่ติของซย่าโหวฉิงเทียน นางก็ยิ่งถลำลึกมากยิ่งขึ้น
หมอนี่รูปร่างหน้าตามิจำเป็นต้องเสริมเติมแต่งอันใดเลย!
รูปร่างหน้าตาไร้ที่ติเช่นนี้ได้มาแต่ใดกันะ หากพาซย่าโหวฉิงเทียนไปที่จีนละก็ จะต้องถูกเลือกให้เป็นหนุ่มอันดับหนึ่งแน่นอน เหล่าโฆษณาทั้งหลาย ธนบัตรแห่จับจอง เงินทั้งนั้นเลยนี่นา!
หนุ่มๆ ทั้งหลายที่จีนของอวี้เฟยเยียนก็หล่อเหลาทั้งนั้น แต่หากกล่าวกันตามตรงซย่าโหวฉิงเทียนยังหล่อกว่าอีก
มารหน้าใสที่เป็นภัยระดับประเทศเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางมารน้อยคนไหนจะได้ไป!
น่าอิจฉาชะมัด!
คิดถึงว่าตนเองไม่ช้าก็เร็วจะต้องกลับจีนอยู่ดี ชายหนุ่มรูปงามมิมีวันเป็นของนาง อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งบดเคี้ยวเนื้อปลาในปากอย่างแค้นเคือง
ช่างเถอะ ไม่คิดมากดีกว่า!
กินปลาต่อดีกว่า!
ซย่าโหวฉิงเทียนมองเห็นสีหน้าเคลิ้มฝันปรากฏบนใบหน้านางทว่าจู่ๆ ก็หายไป จากนั้นอวี้เฟยเยียนก็ตั้งหน้าตั้งตากินปลาย่างด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกังวลใจ เมื่อครู่ เพียงเมื่อครู่นี้ที่ซย่าโหวฉิงเทียนมั่นใจว่าอวี้เฟยเยียนกำลังจะซาบซึ้งอยู่แล้ว แล้วจู่ๆ เหตุใดถึงใดเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นนี้เล่า!
เขาทำอะไรผิดไปกันแน่
นี่เป็นครั้งที่ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าคำพูดที่ว่า ใจสตรีลึกล้ำยิ่งกว่าเข็มในมหาสมุทร นั่นกล่าวได้ถูกต้อง
นี่แมวน้อยเขาอายุเพียงเท่านี้ จิตใจกลับลึกล้ำถึงเพียงนี้ ดูไม่ออก จับต้องไม่ได้ ทำให้เขาร้อนใจยิ่งนัก!
ตอนที่ 81-1 เลือดสาบานของซย่าโหวฉิงเทียน
ซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น ดูคล้ายกับไซบีเรียน ฮัสกี้แสนน่ารักเป็นที่สุด
ยิ่งมองดูใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งเศร้าใจ
หนุ่มหล่อเหลาขนาดนี้ กลับมิใช่ของข้า!
น่าเศร้าใจจริงๆ!
เพราะฉะนั้น อวี้เฟยเยียนจึงเอาความเสียอกเสียใจที่มิได้ครอบครองชายรูปงามแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการกิน ถล่มกินปลาย่างที่ซย่าโหวฉิงเทียนย่างให้ทั้งสิบตัว หมดไปถึงห้าตัว จนสุดท้ายอิ่มหมีพีมันหนังท้องตึง นั่งเอกเขนกพิงหินก้อนใหญ่ มือก็ลูบหนังท้องที่ตึงเปรี๊ยะของตัวเองเบาๆ
แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับยังไม่พอใจในปริมาณการกินของอวี้เฟยเยียนเท่าใดนัก
ปลาห้าตัว กินน้อยเกินไปแล้ว! กินเท่าแมวดม!
หรือเป็นเพราะว่าเขาย่างมันไม่อร่อยกันนะ
ซย่าโหวฉิงเทียนบิเนื้อปลาย่างใส่ปากเพื่อลองชิม พบว่ารสชาติอร่อย ทั้งยังแบ่งให้ฮันจื่อสองตัว ฮันจื่อ ซึ่งกำลังหิวโหยจนเกือบจะกินลิ้นตนเข้าไปอยู่แล้ว
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปลา!
หรือรสชาติที่ถูกปากของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ
เห็นอวี้เฟยเยียนปิดเปลือกตาลงอย่างแสนขี้เกียจ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนั่งลงเคียงข้างนาง แล้วดึงนางเข้ามาโอบกอดนางไว้
“ดึกแล้วลมเย็น!”
เป็นอย่างที่เขากล่าว เมื่อครู่ อวี้เฟยเยียนรู้สึกหนาวกายอยู่บ้าง จึงอดมิได้ที่จะต้องบดเบียดร่างเข้าหาอ้อมอกของเขา
ถึงแม้ว่านางจะเป็นจอมเทวา ความหนาวเหน็บเพียงแค่นี้ทำอะไรนางมิได้อยู่แล้ว มันไม่ได้ทำให้นางเป็นหวัดหรือไม่สบายได้หรอก แต่นางก็ชื่นชอบอ้อมกอดอันอบอุ่นของซย่าโหวฉิงเทียนมากกว่า มันทำให้นางรู้สึกสบายและปลอดภัย เปลือกตาของนางค่อยๆ ปิดลงจวนเจียนจะหลับให้ได้
“ปลาอร่อยหรือไม่”
เห็นอวี้เฟยเยียนสีหน้าสบายอกสบายใจ อิ่มหมีพีมันเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงกล่าวถามขึ้น
“อร่อย! เป็นปลาย่างที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย!”
อวี้เฟยเยียนให้คะแนนสูงลิ่วขนาดนี้ ทำให้สีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนสดใสเบิกบานขึ้นทันที
“แต่เจ้ากินไปเพียงน้อยนิด…”
ถึงแม้ว่าในใจจะเบิกบานและดีใจเป็นอย่างมาก แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับใช้สีหน้าที่ผิดหวังเสียใจจ้องมองอวี้เฟยเยียน
“ข้าไม่ใช่หมูนะ!”
เห็นท่าที สีหน้า แววตาของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนถึงกับหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
“ห้าตัวก็เกินที่ท้องของข้าจะรับไหวแล้ว! ไม่เชื่อ ท่านลองคลำท้องข้าดู!”
อวี้เฟยเยียนจับมือของซย่าโหวฉิงเทียน มาวางบนท้องของตัวเอง
“รู้สึกหรือไม่ นี่ข้าอิ่มจนจุกเลยนะ”
ท้องของนางนุ่มนิ่ม เป็นก้อนกลมๆ ดูท่าอิ่มแล้วจริงๆ
ทำเช่นนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้พึงพอใจ
“กระเพาะเจ้าเล็กเกินไปแล้ว ต่อไปจะต้องกินให้มาก!”
ซย่าโหวฉิงเทียนดึงเนื้อเล็กๆ ของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา จริงอย่างที่เขาคาดเอาไว้ มันยังคงเล็กคอด เอวที่ผอมเพรียวเล็กคอดเช่นนี้ มันจะหักเอาได้ง่ายๆ มองแล้วยิ่งทำให้เขาเป็นกังวลใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องไปเจอกับคนที่มีพละกำลังมหาศาลและบ้าพลังเช่นซย่าโหวฉิงเทียนเข้า น่าเป็นห่วงจริงๆว่า หากเขาออกแรงเพียงน้อยนิด อาจทำให้อวี้เฟยเยียนขาดเป็นสองท่อน
“ที่ไหนกัน!”
อวี้เฟยเยียนผลักมือซย่าโหวฉิงเทียนออก
“ข้ายังไม่เคยมีลูกสักหน่อยนี่นา! รอให้ข้าอายุสักสิบแปดสิบเก้าก่อนสิ แล้วท่านมาดูอีกที มันจะมิใช่เช่นนี้อย่างแน่นอน!”
ยังไม่มีลูก
ซย่าโหวฉิงเทียนตกตะลึง มือของเขาวางพาดลงบนนั้นโดยมิได้ตั้งใจ
“อืม…ไม่ใหญ่!”
เขาพึมพำ เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กนั้น รู้สึกว่าใหญ่จังเลย ใหญ่จัง ใหญ่เสียจนมือข้างเดียวกุมไม่หมด
ตอนนี้กลับมาคิดอีกครั้ง ในตอนนี้ที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่นัก
ไม่รู้ว่ากระต่ายน้อยเมื่อเติบโตขึ้นจะเป็นอย่างไรกันนะ
อยากรู้จังเลย!
ทรวงทรงองค์เอวไม่เลว แต่เล็กไปสักหน่อย…เฮ้อ ยังไม่มีเคยมีลูกจริงๆด้วย!
ซย่าโหวฉิงเทียนวาดมือคร่าวๆเป็นขนาดเล็กใหญ่และองศาที่โค้งเว้าด้วยฝ่ามือ แล้วเริ่มวิจารณ์
“เฮ้ย!”
ถูกลอบโจมตีหน้าอก แต่อวี้เฟยเยียนก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติ จนกระทั่งนางเข้าใจอะไรขึ้นมา ก็ใช้เท้าถีบซย่าโหวฉิงเทียนจนกระเด็นออกไป
“ข้าคัพบีแล้วนะ เล็กที่ไหนกัน! หยาบคายนัก!”
เพิ่งจะกินอิ่มใหม่ๆ ได้เวลานางออกกำลังกายพอดี
หลังจากที่อวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นจอมเทวา ก็ยังมิเคยประลองกับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ครั้งนี้หมอนี่ใช้มือปลาหมึกกับนาง ทำให้อวี้เฟยเยียนโกรธจนท้าประลองกับซย่าโหวฉิงเทียนเลยทีเดียว
ภายในหอราชาโอสถ พวกอวี้เชียนเสวี่ยรวมตัวกันนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ทุกคนตระเตรียมสุราอาหารรสเลิศด้วยความเหน็ดเหนื่อย พร้อมทั้งบะหมี่อายุยืนที่กำลังร้อนๆ ทว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าภาพหายตัวไปไหน! ทุกคนจึงพากันออกตามหาไปทั่วเรือนก็ไม่เจออวี้เฟยเยียน
“เวลานี้แล้ว นางไปไหนกันนะ”
อวี้เชียนเสวี่ยลูบคางตนเองอย่างใช้ความคิด สีหน้าขาฉงนสงสัย
“หา นางคงจะไม่แอบไปที่รังของสำนักหมื่นพิษคนเดียวใช่หรือไม่!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากตื่นตระหนกแล้ว นางก็ออกอาการผิดหวังอย่างแรง
“ช่าช่านี่ไม่ใจเลย! เรื่องน่าสนุกตื่นเต้นขนาดนี้กลับไม่เรียกข้าสักคำ! ใจร้ายชะมัด!”
“ไม่หรอกกระมัง!”
มู่เหนี่ยนซีส่ายหน้า แล้วเริ่มนับจำนวนคน จึงพบว่าซย่าโหวฉิงเทียนก็หายไปเช่นกัน หรืออวี้เฟยเยียนถูกซย่าโหวฉิงเทียนลากไปแล้ว
“แม่นางอวี้หลัวช่า อยู่…อยู่ที่ยอดเขาขอรับ!”
ขณะนั้นเอง เซวียเฉียงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา แล้วชี้ไปที่ยอดเขา
“สู้กันแล้ว! หลินเจียงอ๋อง!”
เมื่อทุกคนวิ่งออกมาจึงพบว่าไม่ใช่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น มีศิษย์ของหอราชาโอสถ นักปรุงยา แล้วยังมีเหล่าผู้เฒ่าและแขกเหรื่อ ล้วนแต่ยืนอยู่บนที่บริเวณที่ว่าง สายตาจ้องมองไปที่ยอดเขา
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะยืนอยู่ห่างจากกันมาก แต่ก็สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนผ่านอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่
คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีอ่อน นั่นคืออวี้เฟยเยียน
คนหนึ่งสวมชุดสีม่วง นั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียน
“สวรรค์ ไม่กระมัง! หลินเจียงอ๋องกับใต้เท้าอวี้หลัวช่ามีฝีมือใกล้เคียงกัน! อ๋องผู้นั้นก็เ**้ยมโหดจองหองมากพออยู่แล้ว หากเขายังเป็นจอมเทวาอีก นั่นมิเท่ากับฝืนกฎสวรรค์หรอกหรือ”
เดิมทีซย่าโหวฉิงเทียนก็นิสัยป่าเถื่อนโหดร้ายอยู่แล้ว จุดจบของแคว้นซีเย่ว์พิสูจน์ความจริงข้อนี้ได้ดีที่สุด
หากว่าเขามีความสามารถถึงจอมเทวาจริง เช่นนั้นก็เท่ากับว่าแคว้นอื่นๆ ก็กำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ
แคว้นต้าโจวมีจอมเทวาอย่างอวี้เฟยเยียนคนหนึ่งแล้ว มาวันนี้จะมีจอมเทวาเพิ่มมาอีกคน ทั้งยังเป็นอ๋องผู้ไร้พ่ายอีกด้วย เห็นทีแผ่นดินนี้คงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสียแล้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลใจนั่นเอง คนผู้หนึ่งที่มองสถานการณ์ออกก็กล่าวขึ้น
“พวกเขามิได้ใช้พลังเสวียน! ใต้เท้าอวี้หลัวช่ากำลังอ่อนให้กับหลินเจียงอ๋องนี่นา!”
เมื่อทุกคนเพ่งมองโดยละเอียด จึงพบว่าพวกเขามิได้ใช้พลังเสวียนจริงๆ พวกเขาใช้เพียงแค่กระบวนท่า
เช่นนี้นี่เอง!
เห็นดังทุกคนก็วางใจลงได้มาก
“แต่ว่า ต่อให้พวกเขามิได้ใช้พลังเสวียนต่อสู้กัน แต่ซย่าโหวฉิงเทียนยังสามารถประมือได้เสมอกับใต้เท้าอวี้หลัวช่าได้ ซย่าโหวฉิงเทียนผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก!”
คนผู้หนึ่งได้กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนออกมา
ทุกคนรู้ดีว่า เมื่อก่อนแคว้นต้าโจวถือเป็นแคว้นรองระดับสองหรือแทบจะเป็นระดับสามด้วยซ้ำไป
ต่อมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่แคว้นต้าโจวแปรเปลี่ยนไปเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งขึ้นมา กระทั่งแม้แต่แคว้นฉินจื้อก็ไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบแคว้นต้าโจวได้อีก
นับตั้งแต่จอมเทวา โจวเลี่ยเป็นต้นมา อิทธิพลของแคว้นต้าโจวราวกับกำลังรอเวลาที่จะยิ่งใหญ่ขึ้นมา
จากที่แต่ก่อนท่าทีของแคว้นต้าโจวที่มีต่อแคว้นอื่นๆ ทั้งอ่อนโยนและเป็นมิตร ทว่านับตั้งแต่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับคืนสู่มาตุภูมิ ทิศทางและท่าทีของแคว้นต้าโจวก็เปลี่ยนไป จวบจนกระทั่งซย่าโหวจวินอวี่ครองราชย์ ผลงานของซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งประจักษ์แก่สายตาผู้คนมากยิ่งขึ้น
มาตอนนี้เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเก่งกาจถึงเพียงนี้ แขกเหรื่อชาวแคว้นต้าโจวนอกจากตื่นเต้นและภาคภูมิใจแล้ว ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเจียงอ๋องเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ส่วนแขกเหรื่อจากแคว้นอื่นๆ ก็ยิ่งมิกล้ามองข้ามแคว้นต้าโจวอีกต่อไป
ตอนนี้ผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของแต่ละแคว้นต่างก็กำลังครุ่นคิด
หากกลับไปจะต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับฮ่องเต้ของตนให้ได้รู้ ขั้นต่อไปก็จะต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับต้าโจวเอาไว้
ซย่าโหวฉิงเทียนสังหารหูซา จอมเทวาหนึ่งเดียวของแคว้นฉินจื้อในงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ จนตายต่อหน้าธารกำนัล
ความโหดเ**้ยมของเขา สะเทือนเลือนลั่นทั้งฟ้าดิน!
ตอนที่ 81-2 เลือดสาบานของซย่าโหวฉิงเทียน
ตอนนี้ ต้าโจวกลายเป็นแคว้นเพียงหนึ่งเดียวที่มีจอมเทวา
ถึงแม้ว่าอวี้หลัวช่าก็เป็นจอมเทวาเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้นางก็มิได้แสดงออกชัดเจนว่าตนเองอยู่ข้างแคว้นใด ดังนั้น ตำแหน่งของต้าโจวบนแผ่นดินนี้มิใช่ตำแหน่งที่จะสั่นคลอนได้ง่ายดายอีกต่อไป
ไม่ว่าอย่างไร…อย่าล่วงเกินต้าโจวเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซย่าโหวฉิงเทียน นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจ
อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผู้คนที่ชมอยู่โดยรอบนั้นพากันอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน
ยิ่งทุกคนได้ดูก็ยิ่งรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก!
ขณะเดียวกันก็มีคนมากมายที่กำลังลิงโลดในใจ โชคยังดีที่เจ้าดาวเคราะห์นี่มิใช่จอมเทวา!
อมิตตาพุทธ!
มิเช่นนั้นแผ่นดินนี้คงต้องมีคนล้มตายเป็นเบือ…
ทุกคนต่างพากันทอดถอนใจ มีเพียงอวี้เชียนเสวี่ยเพียงคนเดียวที่กำลังสับสนและกังวลใจยิ่งนัก
ท่าทีที่ซย่าโหวฉิงเทียนแสดงออกกับหลานสาวของเขานั้น ราวกับว่าจะต้องครอบครองนางให้จงได้ หมอนั่นทั้งโหดเ**้ยมและ’หนังหน้าหนา’ ยิ่งนัก เขาจะต้องทำอย่างไรนะถึงจะทำให้อวี้เฟยเยียนและหมอนั่นแบ่งแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจน!
หากกล่าวตามหลักของเหตุผลละก็ ผู้เป็นบิดามารดาย่อมต้องเป็นห่วงเป็นใยบุตรสาว แต่ต่อให้เป็นใครก็ตามก็คงจะมิยินยอมให้ให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนหลินเจียงอ๋องเป็นแน่
คงมีเพียงแต่พวกที่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศแล้วแม้กระทั่งบุตรสาวก็สามารถขายได้เท่านั้น จึงจะผลักบุตรสาวไปสู่กองเพลิงนี้
อวี้เชียนเสวี่ยรู้ดีว่า ตอนนี้อวี้เฟยเยียนเปลี่ยนแปลงไปมาก อวี้เฟยเยียนในตอนนี้เป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง ทำให้เขามิอาจเลือกแทนนางได้ แต่ในฐานะที่เป็นลุง ให้คำปรึกษาชี้แนะคงจะได้
อย่างไรเสียเขาจะมองดูอวี้เฟยเยียนกระโดดลงกองไฟโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้!
จวบจนกระทั่งตะวันจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ มองไม่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าได้แล้ว ทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป
และในตอนนั้นเอง ที่อวี้เฟยเยียนเหน็ดเหนื่อยจนไร้สิ้นเรี่ยวแรง ปลาย่างที่เพิ่งกินเข้าไปห้าตัวเมื่อครู่ถูกย่อยไปจนหมด ท้องที่ว่างเปล่าเริ่มร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนแรงกายแรงใจยังเต็มเปี่ยม อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกไม่ยินยอม
เหตุใดเสื้อผ้าของเขายังเรียบร้อย หน้าตาก็หล่อเหลาหมดจด มองไม่เห็นร่องรอยเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
น่าเบื่อนัก!
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านสำเร็จขั้นอะไรกันแน่”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามพลางบีบนวดแขนที่เมื่อยล้าของตนไปด้วย
หมอนี่ ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย นี่ใช้พลังจริงเลยนี่นา ไม่รู้จักอ่อนโยนกับสตรีเลยแม้แต่น้อย!
“ต้องการจะก้าวข้ามพี่”
เห็นได้ชัดว่าอวี้เฟยเยียนมิยอมรับ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังอารมณ์ดีบีบนวดคลายกล้ามเนื้อให้กับนาง
“เจ้าจะมิสามารถก้าวข้ามพี่ได้ชั่วชีวิต! ยอมรับเสียเถอะ แล้วเป็นแมวน้อยของพี่เสียดีๆ!”
“ข้าไม่เชื่อหรอก!”
อวี้เฟยเยียนมิยอมลงง่ายๆ ในดวงตาทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและไม่ยอมรับ
“ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ข้าเหนือกว่าท่าน!”
“ไม่มีวัน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายนิ้วไปมา
“เจ้ามิอาจอยู่เหนือพี่ได้หรอก! เจ้าถูกกำหนดให้อยู่ใต้อาณัติของพี่! ยอมรับเสียเถอะ!”
คำพูดที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ลอยมาเข้าหูของฮันจื่อ ในขณะที่มันกำลังนอนคว่ำหน้าใช้อุ้งมือของมันยกขึ้นปิดหู
คำพูดเมื่อครู่นี้ ฟังแล้วรู้สึกประหลาดชอบกล
เจ้านาย ท่านยอมอ่อนข้อให้แม่นางน้อยสักนิดไม่ได้เลยหรือ
เพราะจริงๆ แล้วในบางเวลา ท่านก็ชอบที่จะตกเป็นรองแม่นางน้อยนี่นา!
มิเพียงแต่ชอบที่จะตกเป็นรอง ยังมักจะขอร้องให้นางกดท่านเอาไว้ด้วยซ้ำ!
เหอะๆ!
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์พิเศษๆ ที่ผ่านมา ฮันจื่อก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“เจ้ายิ้มอะไร”
จริงดังที่คาด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฮันจื่ออยู่ในสายตาของอวี้เฟยเยียน นางดึงหูของมันขึ้นมากล่าวว่า
“เจ้าก็เหมือนนายของเจ้า ร้ายนัก! ฮันจื่อ เจ้ายิ้มเจ้าเล่ห์อะไร”
ไม่มีขอรับ!
ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!
แม่นางน้อย เบาๆหน่อย ข้าน้อยเจ็บหูแล้ว!
ฮันจื่อรีบทำท่าทางน่าสงสารไร้ซึ่งพิษภัย ซึ่งอวี้เฟยเยียน ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วก้าวข้ามร่างของมันไป
“ข้าจะกลับแล้ว ฮันจื่อ ไป! พวกเราอย่าไปสนใจเขา!”
ต่อหน้าแม่นางน้อยและเจ้านาย แน่นอนว่าฮันจื่อย่อมต้องเลือกแม่นางน้อยอย่างไม่ลังเล
คนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าหอราชาโอสถ
เมื่อเห็นฮันจื่อ ‘หักหลัง’ ตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็พูดอะไรไม่ออก
นี่เขาให้ฮันจื่อติดตามอวี้เฟยเยียนเพียงแค่ไม่กี่วัน นี่ความสามารถในการแล่นเรือตามทิศทางลมของมันรุดหน้าไปขนาดนี้เชียวหรือ
เขามิเคยเห็นเจ้าหมายักษ์ตัวนี้พลีกายถวายหัวให้ใครมาก่อน แม้แต่กระทั่งกับลูกน้องคนสนิทของเขาหลิวเซิ่งหรือคนอื่นๆ ฮันจื่อก็ไม่เคยคล้อยตามใครเลยแม้แต่น้อย เจ้าหมานี่จะกล้าหาญชาญชัยเกินไปแล้ว!
คนและสุนัขที่นำไปก่อนหน้าเดินทางไปอย่างรวดเร็ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงรีบตามไปทันที
จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนกลับมาถึงเรือนที่พัก เห็นอาหารที่ตนเองชอบกินวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะก็ซาบซึ้งจนน้ำตารื้น
“เด็กน้อยอวี้ สุขสันต์วันเกิด!”
เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายเมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของอวี้เฟยเยียนก็เข้ามาร่วมอวยพร รวมทั้งพวกที่อยู่ด้านนอกด้วย ไม่นานภายในห้องก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เมื่อทุกคนได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดอวี้เฟยเยียนอายุครบสิบห้าปี ก็แทบจะตกเก้าอี้กันเลยทีเดียว
ผู้เฒ่ารองเอาแต่พึมพำว่า
“คนหนุ่มสาวน่าเกรงขาม! คนหนุ่มสาวน่าเกรงขามนัก!”
จอมเทวาพ่วงด้วยจักรพรรดิโอสถอายุสิบห้าปีเท่านั้น นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่แผ่นใหญ่ของเรามิเคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เป็นเรื่องที่ต้องเผยแพร่ต่อไปยันรุ่นลูกรุ่นหลาน!
“เร็วเข้า รีบกินบะหมี่อายุยืน!”
มู่เหนี่ยนซีตักบะหมี่อายุยืนที่กำลังร้อนๆ มาวางตรงหน้าอวี้เฟยเยียน
“ห้ามกัดเส้นขาดนะ! แต่ละเส้นต้องกินไปจนสุด! บะหมี่นี่เสวี่ยทำให้เจ้าด้วยตัวเองเลยนะ!”
ก่อนหน้านี้อวี้เฟยเยียนไม่อยู่ทำให้บะหมี่เย็นลงหมด อวี้เชียนเสวี่ยถึงกับไปนวดแป้งบะหมี่เพื่อทำบะหมี่อายุยืนขึ้นมาอีกชาม
เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็โผเข้ากอดลุงสามสักหน่อย
“ขอบคุณค่ะ ท่านลุงสาม!”
ด้วยท้องที่กำลังหิว บะหมี่ชามนั้นถูกอวี้เฟยเยียนกินหมดในพริบตา
“อร่อยหรือไม่”
อวี้เชียนเสวี่ยมองดูหลานสาวด้วยสายตาเอ็นดู
“อร่อยเจ้าค่ะ! ขอบคุณเจ้าค่ะท่านลุง!”
รอจนเจ้าของวันเกิดเข้านั่งลงประจำที่ คนอื่นจึงเริ่มทยอยนั่งลงบ้าง ทุกคนต่างอวยพรให้นาง นี่เป็นวันเกิดที่คึกคักที่สุดของอวี้เฟยเยียนเลยก็ว่าได้
ซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่หน้าประตู มองดูอวี้เฟยเยียนถูกทุกคนห้อมล้อมอยู่นั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทั้งรู้สึกอิจฉาและดีใจ
อย่างน้อย เห็นใบหน้านางเปื้อนรอยยิ้มที่แสนมีความสุข เขาก็รู้สึกว่าชีวิตช่างสวยงามอะไรเช่นนี้
“ท่านอ๋อง เข้ามานั่งเถอะ!”
เหลียนจิ่นยกจอกสุราขึ้นหันไปทางซย่าโหวฉิงเทียน
“ด้านข้างข้ามีที่ว่างนะ!”
วันนี้เหลียนจิ่นรู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อมีไข่มุกวารีปีศาจ ร่างกายเขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าปลาต้องอยู่ในน้ำจึงจะมีอิสรเสรีฉันใด เฉกเช่นเขาเมื่อมีน้ำ ก็มีพลังชีวิตขึ้นมาฉันนั้น
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่ประตูโดยลำพัง เหลียนจิ่นก็ออกปากเชื้อเชิญ
“ข้าเห็นทีจะไม่ล่ะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นสีหน้าของทุกคนสลดลงเมื่อเห็นเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงส่ายศีรษะ
คนที่อ่อนแอเกินไปก็มักจะถูกรังแก แต่คนที่แข็งกระด้างเกินไปก็จะทำให้คนหวาดกลัว ไร้ซึ่งมิตรสหาย
เมื่อเห็นสีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอวี้เฟยเยียนก็คิดถึงได้เสี่ยวฉิงฉิงขึ้นมา
เด็กน้อยคนนั้นบางครั้งก็จะแสดงสีหน้าที่เหงาหงอยเศร้าสร้อยเช่นนี้ออกมา ดูคล้ายกับซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
“มาเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนออกมาเชื้อเชิญซย่าโหวฉิงเทียนด้วยตัวเอง นางลากเขาเข้ามานั่งข้างกายของตนเอง แล้วส่งตะเกียบให้เขา
“เมื่อครู่ฝึกซ้อมเป็นเพื่อนข้าตั้งนาน ท่านจะต้องหิวแล้วแน่ๆ! กินเยอะๆนะ!”
เมื่อมีอวี้เฟยเยียนเปิดทางให้ ความขัดเกร็งของคนอื่นก็มลายหายไป ไม่นาน ในทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข
ตอนที่ 81-3 เลือดสาบานของซย่าโหวฉิงเทียน
อวี้เฟยเยียนยิ้มตาหยีขณะที่กล่าวพูดคุยกับทุกคน เมื่อครู่นางก็คุยเรื่องในครอบครัวกับเจ้าสำนักหลิน อีกเดี๋ยวก็สวมหมวกทรงสูงให้กับผู้เฒ่าห้า อีกเดี๋ยวก็ถูกผู้เฒ่าสี่ผู้เฒ่าห้าห้อมล้อมเอาไว้ เพื่อถามไถ่วิธีการที่นางถอนพิษในวันนี้…
สรุปก็คือ อวี้เฟยเยียนเป็นดังเช่นมนุษย์ที่เปล่งแสงได้ ไปที่ไหนก็มีแสงสว่างที่นั่น
จวบจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนหาเวลาที่จะกินข้าวได้ แต่เมื่อนางมองไปที่ชามข้าวของซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเห็นว่ามันสะอาดเอี่ยม ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
“ท่านไม่หิวหรืออย่างไร หรือว่าอาหารไม่ถูกปาก”
อวี้เฟยเยียนคีบกับข้าวให้ซย่าโหวฉิงเทียน
“ไม่กินเลยสักนิด จะไปได้อย่างไรกัน!”
เมื่อสำเร็จขั้นเทพจักรพรรดิแล้ว กับข้าวกับปลา อาหารรสเลิศก็ไม่มีผลกับกับซย่าโหวฉิงเทียนสักเท่าไหร่นัก เขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหมือนกับคนทั่วไปที่หนึ่งวันต้องกินอาหารสามมื้ออีกต่อไป
แต่ทว่าเมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนออกอาการเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขายิ้มกว้าง
“กินสิ! ทุกอย่างเจ้าตักให้พี่จะกินให้เกลี้ยง!”
ท่าทางอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนสนิทสนมกัน ทำให้สัญชาตญาณของอวี้เชียนเสวี่ยเริ่มทำงานอย่างหนัก
ในสายตาของลุงสามเช่นเขาแล้ว หลานสาวของเขาเป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น!
อาจจะสับสนจนถูกชักจูงได้ง่ายดาย!
อายุอานามของซย่าโหวฉิงเทียนก็มากกว่าอวี้เฟยเยียนอยู่หลายรอบ!
“ท่านอ๋อง พวกเราดื่ม!”
อวี้เชียนเสวี่ยยกไหสุราเดินไปหาซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่า จะเข้าใกล้อวี้เฟยเยียนก็จะต้องผูกมิตรกับท่านปู่และลุงสามของนาง ดังนั้นจึงยกไหสุราขึ้นดื่มทันที
“ท่านอ๋อง คอแข็งนัก!”
ความเปิดเผยของหลินเจียงอ๋อง ปลุกอวี้เชียนเสวี่ยขึ้นมา
ไม่นาน ทั้งสองก็ยกไหสุราขึ้นผลัดกันดื่ม
พวกเขาต่างก็เป็นทหาร ต่างก็เคยตั้งค่ายดำรงชีวิตอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลานาน เรื่องดื่มสุรายิ่งไม่ต้องพูดถึง สุราดื่มหมดหนึ่งไห เหลียนจิ่นก็ปรบมือสองครั้ง มั่วซางก็หิ้วเข้ามาอีกสองไห
“ลุงสามก็คอแข็งไม่เบา! แต่ว่า ยังห่างไกลกับข้าอีกมาก!”
ไม่นาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มยกไหที่สองขึ้นดื่ม
“ท่านอ๋อง ท่านดูถูกศัตรูเกินไป! ข้าได้ชื่อว่าเป็นไหสุราที่ชื่อเสียงเลื่องลือนักนะ!”
การณ์นี้เกี่ยวข้องกับความสุขในชีวิตของหลานสาวที่เขารักที่สุด อวี้เชียนเสวี่ยจะยอมแพ้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงงัดข้อกับซย่าโหวฉิงเทียนต่อไป
ทั้งสองคนผลัดกันดื่มคนละไหไปเรื่อยๆ ชนิดที่เรียกว่าดื่มสุราแทนน้ำก็ว่าได้
สุดท้าย สุราสิบห้าไหวางอยู่บนพื้น โดยมีอวี้เชียนเสวี่ยนอนราบไปกับโต๊ะ
เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ยเมาจนหลับไป มู่เหนี่ยนซีจึงเข้าไปหิ้วประคองเขาขึ้นมา ที่ไหนได้อวี้เชียนเสวี่ยกอดโต๊ะเอาไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมลงมา ทั้งยังเพ้ออีกว่า
“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าจะบอกอะไรท่านไว้นะ! ลูกชายบ้านตระกูลอวี้จะมิยอมพ่ายแพ้! แก้วตาดวงใจของตระกูลอวี้เรา ท่านอย่าหวังจะแย่งไปได้! ในตารางรายชื่อคนที่ข้าเลือกไม่มีชื่อของท่าน และจะไม่มีวันมีด้วย!”
เทียบอวี้เชียนเสวี่ยที่เมามายจนสิ้นสติกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงมีสติครบสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่มีอาการเมามายเลยแม้สักนิด
“ท่านแพ้แล้ว”
เขาชี้มือไปที่ไหสุราและหัวเราะอย่างเป็นต่อ
“ข้าเก้าไห ท่านเพิ่งจะหกไห ท่านแพ้อวี้เฟยเยียนให้กับข้าแล้ว!”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้”
อวี้เชียนเสวี่ยขยี้ตาไปมา แล้วเริ่มนับไหสุรา นับแล้วนับอีกนับไปนับมา ก็ยังไม่เข้าใจ จนเขาคอตกหลับไป ตามมาด้วยเสียงกรนสนั่นราวฟ้าฝ่า
“สุราเก้าไห!”
ผู้คนรอบข้างต่างก็มองมาที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันสุราชั้นเลิศหมักแรมปีของหอราชาโอสถเชียวนะ อย่างน้อยก็ยี่สิบปี”
“หลินเจียงอ๋องดื่มสุราลงไปตั้งเก้าไห แต่กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เฮ้อ โลกของผู้วิเศษมันยากที่จะเข้าใจจริงๆ!”
แล้วค่ำคืนที่แสนสำราญก็ผ่านพ้นไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้เฟยเยียนตื่นนอน เจ้าสำนักหลินก็รออยู่ที่หน้าประตูห้องเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากเมื่อวานอารมณ์ของทุกคนค่อนข้างเดือดพล่าน ดังนั้นศิษย์ของสำนักหมื่นพิษจึงเหลือรอดชีวิตอยู่เพียงไม่กี่คน
ก็จะมีทูตซ้ายที่มีค่าตัวมากสักหน่อย แต่เขาก็กัดลิ้นตนเองขณะที่ถูกสอบสวน ไม่ยอมพูดอะไรออกมาทั้งนั้น แล้วตอนนี้ทูตซ้ายก็อาการร่อแร่ แต่ยังถือว่ายังมีชีวิตอยู่
“ลงทัณฑ์เพื่อให้รับสารภาพ เรื่องเช่นนี้ข้าถนัดที่สุดเลย! ให้เป็นหน้าที่ของพี่ก็พอ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยืนอยู่ที่ด้านนอกห้องท่าทางสดชื่นแจ่มใส เขามองเข้ามาในห้องเห็นอวี้เชียนเสวี่ยกำลังนอนหลับอุตุทั้งยังกรนเสียงดังสนั่น
เป็นอีกครั้งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่คนธรรมดา!
“เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านอ๋องและอวี้หลัวช่าไปด้วยกัน!”
เดิมทีแล้วเจ้าสำนักหลินคาดหวังว่าอวี้เฟยเยียนจะมียาดีๆอะไรที่สามารถช่วยให้ทูตซ้ายฟื้นคืนสติอีกครั้งได้ ให้เขาเขียนเรื่องราวที่ตนเองรู้ทั้งหมดออกมา ใครจะรู้ว่าหลังจากซย่าโหวฉิงเทียนเข้าไปพร้อมกับอวี้เฟยเยียนแล้วและประตูถูกปิดลง ไม่นาน ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านใน
“อ๊าก”
ทูตซ้ายที่เพิ่งจะกัดลิ้นไปเลือดนองท่วมปาก ภายในถ้ำมืดสนิท ชนิดที่ทำให้คนขนลุกเกรียวทีเดียว
ภายในช่องเล็กๆ ของถ้ำในหุบเขามีเพียงเสียงร้องโหยหวนของทูตซ้ายดังระงม ซึ่งเสียงร้องที่ดังออกมาจากด้านในนั้น โหยหวนแปลกประหลาด
“เจ้าสำนัก นี่…เอ่อคงจะเป็นวิธีการของหลินเจียงอ๋องนะ!”
ผู้เฒ่าห้ากล่าวติดๆ ขัดๆ ขึ้นขณะยืนอยู่ข้างกายเจ้าสำนักหลิน แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนขี้ขลาดอยู่แล้ว ครั้งนี้ได้ยินเสียงร้องที่โหยหวนสุดสะพรึงเช่นนี้ก็ตกอกตกใจจนแทบจะทนไม่ไหวตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
“แค่กๆ คงจะใช่!”
สำหรับเรื่องนี้ เจ้าสำนักหลินเองก็กำลังปวดหัวอยู่
แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมาแล้วได้ยินเสียงร้องนั้น ต่างก็มองมาที่เหล่าผู้เฒ่าด้วยสายตาตื่นกลัว ยังดีที่เหล่าผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านนอกประตู
ภายในห้อง ซย่าโหวฉิงเทียนใช้มือใหญ่ของเขาตรึงศีรษะของทูตซ้ายเอาไว้ แล้วใช้พลังแสงสีม่วงดึงความทรงจำออกมาจากสมองของเขา
ฉากแบบนี้อวี้เฟยเยียนเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงมิได้ตื่นตระหนกสักเท่าไหร่
เพียงแต่ว่าเมื่อเห็นอากัปกิริยาของทูตซ้ายที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าปรุๆ ของเขาบิดเบี้ยวจนรวมเป็นก้อน ร่างเขากำลังดิ้นไปมาไม่หยุด ส่วนล่างก็มีกลิ่นเหม็นรุนแรงโชยออกมา นี่สินะที่เขาเรียกว่าอยู่มิสู้ตาย เห็นเช่นนี้แล้วก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกสงสารทูตซ้ายขึ้นมาเล็กๆ
ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของซย่าโหวฉิงเทียน เจ้านี่มันดวงตกสุดๆ เลยจริงๆ
สีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนดุดันยิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อรับรู้ความทรงจำที่ดูดออกมา จนในที่สุดสีหน้าก็ถมึงทึง
“เป็นอะไรไป”
อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้น ก็จะเดินเข้าไปหาแต่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนขวางเอาไว้
“สกปรก อย่าเข้ามา!”
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน จนในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดมือ เขาบีบกะโหลกศีรษะของทูตซ้ายจนละเอียดเมื่อเห็นมันสมองของทูตซ้ายสาดกระเซ็นไปบนกำแพง จนกำแพงฉาบไปด้วยแดงฉาน อวี้เฟยเยียนก็แทบจะอาเจียนออกมา
จะใช้วิธีที่อ่อนโยนสักหน่อยฆ่าคนมิได้หรืออย่างไรกัน
ต้องโหดเ**้ยมทารุณถึงเพียงนี้เลยหรือ
เลือกวิธีที่สวยงามมีศิลปะไม่ได้หรืออย่างไรจะต้องใช้วิธีที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ด้วย…
อวี้เฟยเยียนหารู้ไม่ นี่เป็นวิธีที่อ่อนโยนที่สุดของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว
ยิ่งเมื่อรู้ว่าทูตซ้ายคิดอกุศลกับอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็โกรธจนแทบระเบิด
ไอ้คนระยำรกโลก!
ถึงกับกล้าเพ้อฝันถึงแมวน้อยของข้า
น้ำหน้าเช่นเจ้ายังบังอาจ!
สมควรตายสักหมื่นครั้ง!
แต่ ความตายมิใช่การลงโทษครั้งสุดท้ายที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะมอบให้กับทูตซ้าย
เมื่ออวี้เฟยเยียนเห็นเปลวไฟสีม่วง ที่ลอยจากปลายนิ้วของซย่าโหวฉิงเทียนไปแผดเผาโครงกระดูกของทูตซ้ายจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน นางจึงได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของซย่าโหวฉิงเทียน
วิญญาณแตกสลาย มิอาจกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เป็นวิธีที่ดี!
ก่อนหน้านี้ในหัวของอวี้เฟยเยียนเคยได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นสองครั้ง ครั้งนี้เป็นอีกครั้ง
วิญญาณแตกสลาย…
เมื่อได้ยินคำคำนี้ ทันใดนั้นในอกของอวี้เฟยเยียนถูกบีบรัดอย่างแรง มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ราวกับว่าหัวใจนางกำลังพยายามตะเกียกตะกายออกมาเพื่อหาทางออก แต่ก็หาไม่เจอ แล้วชนเข้าอย่างจังกับอกของนาง และมันเจ็บปวดแสนสาหัส
ตอนที่ 81-4 เลือดสาบานของซย่าโหวฉิงเทียน
“แมวน้อย แมวน้อยเจ้าเป็นอะไร”
เมื่อมองเห็นความผิดปกติของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็พุ่งตรงเข้ามานางอย่างรวดเร็วแล้วอุ้มนางขึ้นมา
“ซย่าโหวฉิงเทียน ตรงนี้ เจ็บเหลือเกิน!”
ปลายหางตาของอวี้เฟยเยียนมีหยดน้ำตาปริ่ม มือหนึ่งก็กุมบริเวณหน้าอกเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็กุมมือซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ ขณะที่หอบหายใจอย่างรุนแรง
“แมวน้อย”
อวี้เฟยเยียนที่อ่อนแอเช่นนี้ซย่าโหวฉิงเทียนมิเคยเห็นมาก่อน
เขารีบถ่ายพลังเสวียนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้แก่นาง แต่ใครจะรู้เล่าว่าในกายของนางราวกับว่ามีปากที่หิวโหย มันดูดซับพลังเสวียนของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้มากมาย
จวบจนกระทั่งใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนซีดขาว นางก็จึงได้สงบลง และหมดสติไปในอ้อมกอดของเขา
ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มร่างอวี้เฟยเยียนออกมา ทำให้เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้อาวุโสตกอกตกใจไปตามๆ กัน
หมอเทวดาฮั่วจับชีพจรตรวจอาการให้กับนาง บอกว่านางไม่เป็นไรขอให้ทุกคนวางใจ แต่แววตาที่มองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับเต็มไปด้วยแววตำหนิ
นางยังเป็นเพียงแค่แม่นางน้อย หลินเจียงอ๋องต้องใช้วิธีการที่ทารุณโหดร้ายสอบสวนทูตซ้ายทำให้อวี้เฟยเยียนตกใจจนเป็นลมเป็นแน่
ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสต่างก็รักอวี้เฟยเยียนราวกับลูกหลานแท้ๆ ก็ไม่ปาน แล้วจะให้ใครมารังแกง่ายๆ ได้อย่างไร!
“หลินเจียงอ๋อง นางยังเป็นเพียงแค่แม่นางน้อย นี่คงจะตกใจมากเป็นแน่!”
ว่าแล้วผู้เฒ่ารองจึงเปิดใจกล่าวกับซย่าโหวฉิงเทียนตรงๆ
“ต่อไปการฆ่าฟันใดๆ ก็อย่าทำต่อหน้าเด็กน้อยนี่เลย! เรื่องแบบนี้เดิมทีก็เป็นเรื่องของบุรุษ! สตรีอย่าให้ต้องสัมผัสกับกลิ่นคาวเลือดมากนัก!”
คำพูดของผู้เฒ่ารองตรงใจของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
จริงสินะ แมวน้อยเพียงแต่เป็นแมวน้อยที่สะอาดบริสุทธิ์ อ่อนโยน สวยงาม เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายก็เพียงพอแล้ว
สำหรับพวกคนเลวสิ่งสกปรกพวกนั้น ให้เป็นหน้าที่ของเขาจัดการ!
ซย่าโหวฉิงเทียนพาอวี้เฟยเยียนมาส่งที่เรือนรับรอง แน่นอนว่าทุกคนก็ตกอกตกใจร้อนรนราวกับหนูติดจั่นอีกครั้ง เป็นเหตุให้หมอเทวดาฮั่วต้องออกมาช่วยอธิบายว่าอวี้เฟยเยียนไม่เป็นอะไร ทุกคนถึงได้วางใจ
“ท่านจะไปไหน”
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนจะออกไป เหลียนจิ่นก็เรียกเขาเอาไว้
“ฆ่าคน”
ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้หันกลับมาแต่ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นจริงจัง
สำหรับพวกศิษย์เลวๆ ของสำนักหมื่นพิษพวกนั้น ทำให้แมวน้อยต้องเจ็บปวด พวกมันสมควรตาย!
ถึงแม้ว่าเจ้าทูตซ้ายน่ารังเกียจนั่นจะตายไปแล้ว แต่มารร้ายอย่างสำนักหมื่นพิษก็ต้องกำจัดให้สิ้นซากเช่นกัน
เขารู้ที่อยู่ของสำนักหมื่นพิษจากการดูดความทรงจำของทูตซ้าย หากไม่จัดการสำนักหมื่นพิษเสีย ก็ยากที่ใจของซย่าโหวฉิงเทียนจะสงบได้
จวบจนกระทั่งลำแสงสีม่วงเลือนหายไป เหลียนจิ่นจึงทอดถอนใจออกมา
เขาคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ใช่หรือไม่!
เหลียนจิ่นถามตนเองในใจ
สักวันหนึ่ง นางก็ต้องจำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ถึงตอนนั้นนางจะไปที่นั่นเพื่อล้างแค้น
ต่อให้นางคิดได้ ไม่ไปเอาชีวิตของพวกเขา แต่แสงสว่างแห่งนางก็จะให้ทำให้คนพวกนั้นรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนาง ด้วยจิตใจที่ต่ำช้าและชั่วร้ายของคนพวกนั้น จะยอมปล่อยนางไปได้อย่างไรกัน!
เส้นทางภายภาคหน้าของนางถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
แล้วสภาพร่างกายของเขาเช่นนี้ คงจะคอยต่อสู้เคียงข้างนางมิได้อีกแล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านอย่าทำให้ข้าผิดหวังนะ!
ที่ซ่อนตัวของสำนักหมื่นพิษ อยู่ใกล้กับหุบเขาลั่วสยาเป็นอย่างมาก
ประมุขของสำนักหมื่นพิษเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งนัก เจตนาเลือกที่กบดานตั้งอยู่ถัดจากหุบเขาลั่วสยา คงเพราะเห็นว่าคงไม่มีใครคาดคิด สำนักหมื่นพิษจะเป็นเพื่อนบ้านกับหอราชาโอสถนี่เอง
เหวินเหรินเจี๋ยรอเป็นเวลานาน เพื่อที่จะพบอวี้เฟยเยียน นึกไม่ถึงว่าไอสังหารที่ตามมาถึงที่กลับเป็นซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียว
“บุกรุกสำนักหมื่นพิษเพียงลำพัง เก่งกาจนักนะ!”
เหวินเหรินเจี๋ยยืนอยู่ที่ด้านบนของหอประภาคารที่สูงที่สุดของสำนักหมื่นพิษ มองดูซย่าโหวฉิงเทียนที่บุกเข้ามา
ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อใดๆ เขาอาศัยพละกำลังล้วนๆ ถล่มเบื้องหน้าจนราบ ดังนั้นมิต้องกล่าวถึงคนข้างล่างเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
นึกไม่ถึงว่าแผ่นดินหลัวอวี่นี้ยังมีคนเช่นซย่าโหวฉิงเทียนอยู่! แต่น่าเสียดาย ที่เขาเป็นเพียงอ๋องผู้หนึ่งเท่านั้น น่าเสียดายจริงๆ! ด้วยพละกำลังของเขาแล้ว สามารถสถาปนาตนเองเป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งเมืองอู๋โยวได้เลย!
หลิวอวี่เยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างเหวินเหรินเจี๋ยกล่าวขึ้น
“ท่านประเมินเขาสูงไปหรือเปล่า”
หลิวอวี่เยี่ยนไม่เห็นซย่าโหวฉิงเทียนในสายตา
สามารถสถาปนาตนเองเป็นเจ้าผู้ครองนครแห่งเมืองอู๋โยวอย่างนั้นหรือ
ถามแปดตระกูลใหญ่ก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ก่อนดีกว่า
คนที่ไร้ซึ่งสถานะ ไม่มีประวัติ ไม่มีตำแหน่งใดๆ คิดที่จะบุกเบิกแผ่นดินของตนที่เมืองอู๋โยวแห่งนี้หรือ
นั่นมันฝันเฟื่องของคนโง่ชัดๆ!
เห็นชัดเจนว่าหลิวอวี่เยี่ยนไม่เชื่อในคำพูดของตน เหวินเหรินเจี๋ยจึงมิโต้ตอบ เพียงแต่ตั้งใจจับตาดูซย่าโหวฉิงเทียนต่อไป
มีอะไรน่าดูนักหนากัน! คนเช่นนี้ที่เมืองอู๋โยวของเรามีเป็นเบือ!
หลิวอวี่เยี่ยนคับข้องใจในท่าทีของเหวินเหรินเจี๋ยเป็นอย่างมาก
แปดตระกูลใหญ่จากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานชายหญิงก็จะถูกป้อนของวิเศษรวมทั้งยาวิเศษตั้งแต่ยังเยาว์ ไหนเลยที่เจ้าพวกขอทานหลัวอวี่พวกนั้นจะรู้!
“พี่ คนของเรายังมิทันได้ใช้พิษก็ตายหมดเสียแล้ว”
สิ่งที่เหรินเหวินเจี๋ยกล่าวมาเป็นความจริง มิใช่ว่าพวกเขาไม่ยินยอมลงมือ แต่ไม่มีโอกาสได้ลงมือต่างหาก
ชายชุดสีม่วงผู้นี้ ราวกับเป็นยมทูตที่สวรรค์ประทาน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาทั้งสิ้น!
“เจ้ายังสนใจชีวิตของคนพวกนั้นอีกหรือ”
หลิวอวี่เยี่ยนหัวเราะเยาะ ในน้ำเสียงแฝงความเย็นชาเอาไว้
สถานที่ยากจนข้นแค้นแห่งนี้ สิ่งที่มิมีวันขาดแคลนก็คือพวกชั้นต่ำเช่นพวกมัน ตอนนี้มีคนคอยจัดการแทนให้ ก็นับเป็นเรื่องดีนี่นา!
หลิวอวี่เยี่ยนสวมใส่ชุดสีเขียวทั้งร่าง ผ้าคลุมสีดำสนิทพาดคลุมวางบนไหล่มน ใบหูขาวละมุนสวมต่างหูลวดลายใบหลิวเขียวหยกห้อยระย้า
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าคิดอย่างไร!”
“เป็นประมุขน้อยตระกูลเหวินดีๆ ไม่ชอบ จะต้องให้อาจารย์พาเจ้ามาที่แผ่นดินใหญ่หลัวอวี่นี้ให้ได้ สร้างอะไรนะ สำนักหมื่นพิษ! สนุกนักหรืออย่างไร จริงสิ อาจารย์ของเจ้าล่ะ เหตุใดไม่เห็นเขาเลย”
“เขาตายแล้ว!”
เหวินเหรินเจี๋ยยิ้มจนตาหยี ราวกับเด็กๆ
“อาจารย์กินยาพิษที่ข้าคิดค้นขึ้น เลือดออกเจ็ดทวาร ตายแล้ว”
เห็นใบหน้าเรียบเฉยมิเกรงกลัวใดๆ ตรงหน้าแล้ว หลิวอวี่เยี่ยนก็ทอดถอนใจออกมา
ไม่รู้เพราะเหตุใด เหวินเหรินเจี๋ยถึงได้สนอกสนใจเกี่ยวกับการคิดค้นยาพิษมากมายขนาดนั้น ทั้งยังตั้งใจกราบชาวเผ่าตานเป็นอาจารย์ และนึกไม่ถึงว่า คนผู้นั้นกลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของเหวินเหรินเจี๋ย
เป็นอย่างที่คาดไว้ คงจะถูกใบหน้าใสซื่อของหมอนี่หลอกลวงเข้าให้อีกแล้วนะสิ!
“พี่สาว ท่านอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนข้าแล้วทั้งยังแก้พิษที่ข้าคิดค้นขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นจึงมีทางเดียวคือตาย”
เหวินเหรินเจี๋ยรอยยิ้มเรียบเฉย ราวกับกำลังกล่าวเรื่องบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ตายแล้วก็ตายไป อาจารย์ของเจ้าถูกขับออกจากเผ่าตานตั้งนานแล้ว”
คิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิวอวี่เยี่ยนก็ทอดถอนใจออกมา
ชาวเผ่าตานนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ขึ้นชื่อเรื่องการโต้ตอบเพื่อตนเองหรือบุคคลอันเป็นที่รักอยู่แล้ว เพียงแต่คนผู้นั้นเป็นเพียงคนทรยศของเผ่าตาน ต่อให้ตายไปจึงมิเกี่ยวข้องใดๆ กับเผ่าตาน
ยิ่งไปกว่านั้นชนเผ่าตานตอนนี้กำลังอยู่ภาวะเสือลำบาก ตัวเองยังยากจะที่จะรักษาตัวเองไว้ ต่อให้ชนเผ่าตานล่วงรู้แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาก็ทำอะไรตระกูลเหวินมิได้อยู่ดี
พี่สาว ได้มาที่แผ่นดินหลัวอวี่นี่ ทำให้ข้าได้รับอะไรมากมาย!
“หากว่าข้ามิสืบทอดสำนักหมื่นพิษละก็ จะรู้ว่าอย่างไรว่ามีหญิงเฉกเช่นอวี้หลัวช่าอยู่! ผู้ซึ่งสามารถใช้ความสามารถของตนเองเพียงคนเดียว ถอนพิษที่ข้าคิดค้นขึ้นได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เมื่อเห็นว่านิสัยรักสนุกของเหวินเหรินเจี๋ยไม่เปลี่ยน หลิวอวี่เยี่ยนก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“งานชุมนุมใหญ่ของเผ่าทั้งแปดที่สามสิบปีมีสักครั้งกำลังจะมาถึง! ได้ยินว่าชนเผ่าทั้งแปดจะถูกล้างไพ่ เมืองอู๋โยวจะเรียงลำดับชนเผ่าทั้งแปดอันดับใหม่…หรือว่าเจ้าจะยินยอมยกโอกาสในครั้งนี้ให้กับเซินถูเลี่ยอย่างนั้นหรือ เขาคือบุคคลที่มีคะแนนเสียงสูงสุดในครั้งนี้เชียวนะ!”
“พี่สาว ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
เหวินเหรินเจี๋ยยิ้มออกมา ใบหน้าใสสะอาด รอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์
แสร้งเป็นไร้เดียงสาอีกแล้ว!
ตอนที่ 81-5 เลือดสาบานของซย่าโหวฉิงเทียน
แท้ที่จริงแล้วเหวินเหรินเจี๋ยอายุตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว แต่เขากลับมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวเด็กน้อย หากมิใช่รู้จักน้ำมือของเหวินเหรินเจี๋ยดีละก็หลิวอวี่เยี่ยนก็เกือบจะถูกเหวินเหรินเจี๋ยหลอกเข้าให้เช่นกัน
“พวกเราจะลงไปเมื่อไหร่กัน”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนใกล้จะมาถึงด้านล่างของหอประภาคารแล้ว หลิวอวี่เยี่ยนก็โมโหขึ้นทันที
“คนผู้นี้มุทะลุจริงๆเลย จะต้องฆ่าล้างโคตรกันให้ได้เลยใช่หรือไม่!”
ถึงแม้ว่า หลิวอวี่เยี่ยนจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลหลิวแห่งเมืองอู๋โยว แต่นางก็ให้ความสำคัญกับทุกชีวิต แต่ทว่าเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนบ้าคลั่งอวดดีเช่นนั้น นางก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา
ที่นี่ก็แค่แผ่นดินหลัวอวี่ ที่ที่แสนยากจนข้นแค้น แต่กลับมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถถึงขนาดนี้ได้ มันน่ากังวลใจจริงๆ!
เพียงแต่ว่า ต่อให้เขาจะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ก็ลบความจริงที่ว่าเกิดมายากจนต่ำต้อยไปมิได้อยู่ดี
ในใจของหลิวอวี่เยี่ยนคิดที่จะสั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพียงให้เขามองเห็นตนเองชัดขึ้น แต่ทว่าขณะที่นางกำลังจะลงมือนั่นเองก็ถูกเหวินเหรินเจี๋ยห้ามเอาไว้
“พี่สาว ท่านมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาน่ะสิ!”
เหวินเหรินเจี๋ยร้องเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เฮ้ย! อย่าเอามือของเจ้ามาแตะต้องข้า!”
ด้วยรู้ดีว่าร่างทั้งร่างของเหวินเหรินเจี๋ยล้วนแต่อาบไว้ด้วยพิษ หลิวอวี่เยี่ยนจึงดันมือเขาออกอย่างรวดเร็ว แล้วถอยหลังไปอีกด้าน
“เหรินเจี๋ย เจ้าประเมินเจ้าหนุ่มนั่นสูงไปหรือเปล่า”
“เชื่อข้าสิ! คนระดับเขา แผ่นดินหลัวอวี่รั้งไว้ไม่อยู่หรอก! สักวันหนึ่ง พวกเราจะต้องพบกันที่เมืองอู๋โยว ถึงตอนนั้นบุญคุณความแค้นใดๆ ก็ตัดสินกันที่เมืองอู๋โยวเถอะ!”
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง! คนชั้นต่ำเช่นนี้ สิ่งที่ชอบกระทำที่สุดนั่นก็คือแสวงหาลาภยศสรรเสริญ ปีนขึ้นได้สูงอย่างยากลำบาก”
หลิวอวี่เยี่ยนเห็นด้วยในสิ่งที่เหวินเหรินเจี๋ยกล่าวมา สายตาที่อ่อนโยนของนางเจือไว้ด้วยความดูแคลน
“พี่สาว หากว่าพวกเราทำลายปณิธานและอุดมการณ์ของเขา ในขณะที่เขากำลังผงาดเข้าสู่เมืองอู๋โยวละก็ มันจะมิยิ่งสนุกมากขึ้นหรอกหรือ”
“อีกอย่าง ข้าจะทำร้ายพี่สาวได้อย่างไรกัน!”
เหวินเหรินเจี๋ยยื่นมือออกมา นิ้วมือของเขาอ่อนนุ่มเรียวยาว ปลายเล็บของเขาแววใส แต่เมื่อเพ่งมองโดยละเอียด หลิวอวี่เยี่ยนจึงพบว่าเขาสวมใส่ถึงมือสีทองอ่อนๆอยู่
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าก็จะปล่อยเขาไปก่อน! พวกเราไป!”
“ได้! ข้าเชื่อฟังพี่สาวเสมอ!”
เหวินเหริวนเจี๋ยมองตามแผ่นหลังของหลิวอวี่เยี่ยนไป รอยยิ้มของเขาแสนใสซื่อ แต่ทว่าดวงตากลับฉายแววดูแคลนอยู่เบาบาง
ปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ
ท่านใช่คู่ต่อสู้ของเขาที่ไหนกัน…
เหวินเหรินเจี๋ยมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง เขาขยับปาก
ซย่าโหวฉิงเทียน ข้ารอท่านและอวี้หลัวช่าอยู่ที่เมืองอู๋โยว
สำนักหมื่นพิษย่อยยับภายในคืนเดียว ไม่นานข้าวนี้ก็แพร่ไปถึงหูของหอราชาโอสถ…
ใครกัน
ใครที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้
ทุกคนต่างก็กำลังคาดเดาว่าจอมยุทธ์ที่ทำความดีโดยมิทิ้งนามเอาไว้ผู้นี้คือใครกัน มีเพียงแต่เหลียนจิ่นเท่านั้นที่รู้ ว่านี่คือผลงานของซย่าโหวฉิงเทียน
คนผู้นี้ ถ่อมตนยิ่งนัก!
ไม่มีใครที่ไม่อยากมีชื่อเสียง ไม่อยากถูกผู้คนเคารพนับหน้าถือตา!
แต่เขาที่ทำความดีครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลับมิยอมเอ่ยออกมา คนเช่นเขาพึ่งพิงได้จริงๆ!
เหลียนจิ่นมองดูซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างกาย
“ทำได้ไม่เลวนี่!”
“เจ้าไม้เท้าเทพ ทุกครั้งเจ้ายิ้มก็มักจะยิ้มแต่เปลือกนอก ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!”
ความสัมพันธ์ระหว่างซย่าโหวฉิงเทียนและเหลียนจิ่นใกล้ชิดกันขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดเหลียนจิ่นก็ไม่หวาดกลัวเขาอีกต่อไป ทั้งยังกล้าหยอกล้อเขาด้วยซ้ำ ในบางครั้งยังกล่าวคำพูดกระทบกระเทียบแดกดันเขาสองสามประโยคอีกด้วย ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้ สำหรับซย่าโหวฉิงเทียนเทียนแล้วนับเป็นครั้งแรก
รู้สึกใหม่ๆ และมีความหมายยิ่งนัก!
เหลียนจิ่นไม่เหมือนกับคนอื่น ที่จะฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เขาใช้สายตาที่น่าหวาดกลัวจ้องมองมาที่ซย่าโหวฉิงเทียน
ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ถือสา เขาดื่มชาต่อแล้วปากต่อคำกับเหลียนจิ่นต่อ
“ข้าจะมีแผนร้ายได้อย่างไร!”
เหลียนจิ่นสวมชุดสีขาวทั้งชุด เอนกายพิงเสาด้วยอาการขี้เกียจประจันหน้ากับซย่าโหวฉิงเทียนที่ยืนตัวตรงแน่ว อยู่ด้านข้าง
“ซย่าโหวฉิงเทียน เหตุใดข้าถึงพยากรณ์ที่มาที่ไปของท่านไม่ได้นะ น่าปวดหัวเสียจริงๆ!”
เหลียนจิ่นมองดูซย่าโหวฉิงเทียนเงียบๆแต่จริงจัง
เหลียนจิ่นคิดที่จะเลือกเฟ้นดาบเล่มหนึ่งให้กับอวี้เฟยเยียน แต่เขากลับมองซย่าโหวฉิงเทียนไม่ออก ผลการพยากรณ์ที่ออกมาทำให้เขากังวลใจและผิดหวังเล็กๆ
จะต้องแน่ใจว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน เหลียนจิ่นจึงจะวางใจ
เพราะอย่างไรเสีย บทเรียนที่ผ่านมาช่างเจ็บปวด หวนนึกถึงเมื่อไร เหลียนจิ่นก็เจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจ
“เจ้ามาพยากรณ์ข้าทำไมกัน”
เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็จ้องมองเหลียนจิ่นด้วยสีหน้าระแวดระวัง
“ไม้เท้าเทพ เจ้ามีแผนการร้ายอะไร”
“ข้าจะไปมีแผนร้ายอะไรได้เล่า”
เหลียนรูปร่างไม่สูงมากนัก เพียงแค่178 เท่านั้น แล้วไปยืนข้างซย่าโหวฉิงเทียนี่สูงถึง190 ทำให้เขาต้องเงยหน้าเวลาพูดคุยกับอีกฝ่าย
“ข้าเพียงแค่อยากที่จะพยากรณ์บุพเพสันนิวาสของเจ้า ใครจะไปรู้ว่าพยากรณ์ไม่เห็นอะไรเลย…”
เพียงแค่ได้ยินเหลียนจิ่นกล่าวถึง ‘บุพเพสันนิวาส’ หูของซย่าโหวฉิงเทียนก็ตั้งผึ่งขึ้นมาทันที
การพยากรณ์ของเจ้าไม้เท้าเทพนี่เขาไม่มีข้อสงสัย!
แต่เจ้าหมอนี่จะมาใจดีพยากรณ์บุพเพสันนิวาสเขา
เจ้าไม้เท้าเทพนี่กลายเป็นชอบแอบนินทาเรื่องของผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ข้าอิงตามวันเดินปีเกิดของท่านอ๋องมาพยากรณ์ ผลที่ได้มาคือ มรณะ น่าแปลกยิ่งนัก! เป็นมรณะไปได้อย่างไร ก็ท่านยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้นี่นา!การพยากรณ์ของข้าไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเสียด้วย”
เหลียนจิ่นพูดเองเออเอง
คราวนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้ถึงความร้ายกาจของเจ้าไม้เท้าเทพนี้อีกครั้ง
เขามิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนตัวจริง จึงไม่มีวันเดือนปีเกิดของเขา ดังนั้นเหลียนจิ่นจึงพยากรณ์ออกมาไม่เห็นอะไรเลย
ปีนั้น เพื่อที่จะหลีกหนีการตามฆ่าของซย่าจื่ออวี้ เขาจึงได้หนีมาที่แผ่นดินหลัวอวี่นี่
สถานที่แรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนพำนักนั่นก็คือจวนตัวประกันแห่งแคว้นฉินจื้อ
เด็กชายตัวน้อยที่ผอมโซอ่อนแอช่วยเขาเอาไว้ ช่วยเขาปกปิดหลีกหนีการตามฆ่า แต่เขากลับช่วยเด็กชายตัวน้อยที่ป่วยจนไร้ซึ่งหนทางรักษาเอาไว้ไม่ได้ ได้แต่มองดูเขาตายลงไปอย่างเงียบๆ ทั้งยังแอบอ้างสถานะของเขาใช้ชีวิตอยู่ต่อ…
เด็กชายตัวน้อยที่ผอมบาง มีจุดสีแดงที่หว่างคิ้วเช่นเดียวกันกับเขา ในท้ายที่สุดล้มป่วยนอนเตียง เขากุมมือของเด็กชายตัวน้อยเอาไว้
“พวกเราอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คนทั่วไปมิอาจแยกแยะออกได้! เจ้าและข้าต่างก็มีชะตากรรมเดียวกัน! ต่างก็ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปแทนข้า ได้หรือไม่ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีชื่อแซ่ ต่อไป เจ้าก็ชื่อซย่าโหวฉิงเทียน ดีหรือไม่”
“ได้! นับแต่วันนี้ไป ข้าคือซย่าโหวฉิงเทียน!”
ตั้งแต่เขาให้คำมั่นสัญญากับเด็กน้อยแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียน
ความลับนี้ ซุกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกในจิตใจของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยตลอด ตอนนี้มาถูกเหลียนจิ่นเปิดโปง แวบหนึ่งในความคิดซย่าโหวฉิงเทียนเกือบจะฆ่าคนปิดปากเสียแล้ว
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
น้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีชัดเจนสูงส่ง ก็กลับกลายเป็นแข็งกระด้าง
ไอสังหารที่อีกฝ่ายส่งมาให้ มีหรือที่เหลียนจิ่นจะไม่รู้
แม้แต่มั่วซางที่อยู่ด้านหลังของเขา มือก็กุมที่กระบี่เตรียมพร้อม ขอเพียงแต่ซย่าโหวฉิงเทียนลงมือ มั่วซางก็พร้อมสังหารเขาทันที
ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด จู่ๆเหลียนจิ่นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านจะอยู่กับอวี้เฟยเยียน ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมายเพียงใด ต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดไหน ท่านก็จะไม่ทอดทิ้งนาง ไม่ทรยศหลักหลังนางใช่หรือไม่!”
คำพูดที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ทว่าทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าด้วยความชัดเจนแน่วแน่พร้อมกับกล่าวว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว! แมวน้อยของข้า ข้าจะคุ้มครองนางชั่วชีวิต!”
“ท่านกล้าใช้โลหิตสาบานหรือไม่”
เหลียนจิ่นที่อ่อนโยนมาโดยตลอด คราวนี้กลับแข็งขืนเชิงบังคับขู่เข็ญซึ่งแปลกไปจากปกติ
“กล้าสิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกรีดข้อมือตนเอง เลือดแดงสีแดงเข้มสาดกระเซ็น
“ข้า ซย่าโหวฉิงเทียน ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมายเพียงใด ต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดไหน ข้าจะไม่ทอดทิ้งนาง ไม่ยอมแพ้ ข้าจะดูแลนาง ทะนุถนอม รักนาง หากผิดคำสาบาน ขอให้วิญญาณของข้าแตกสลาย ให้ตายไร้ที่ฝัง!”
เลือดสดๆ เรียงตัวเป็นอักษร ท้ายที่สุดมันมิได้ไหลกลับเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียน แต่กลับร้อยเรียงกันเป็นสร้อยข้อมืออักษรสีแดง
“ดี ดีมาก!”
เหลียนจิ่นยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตา
ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเหลียนจิ่นอีกแล้ว วิญญาณแตกสลาย ตายไร้ที่ฝังนั้น มันสุดแสนทรมานน่าเวทนาสักเพียงไหน…ปีนั้นเขาเห็นภาพนั้นด้วยตาของเขาเอง ตอนนี้เพียงแค่หลับตาลง ก็เป็นภาพที่นางแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ชั่วชีวิตเขามิมีวันลืม
การสาบานถึงเพียงนี้ ต่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนเปลี่ยนใจ เขาก็ไม่กังวลใจใดๆ อีกแล้ว!
ตอนที่ 82-1 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ
“ท่านวางใจเถอะ ในใจข้า ท่านคือหลินเจียงอ๋องตลอดไป”
ซย่าโหวฉิงเทียนสามารถสาบานเพื่ออวี้เฟยเยียนได้ เช่นนั้นเหลียนจิ่นก็ให้คำมั่นสัญญาได้เช่นกัน
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ชายตรงหน้าเขาจะเป็นใครก็ตาม สำหรับเหลียนจิ่นแล้ว เขาก็คือซย่าโหวฉิงเทียน เหลียนจิ่นเชื่อแน่ว่าเขาจะคอยดูแลอวี้เฟยเยียนอย่างดี จวบจนกระทั่งถึง…วินาทีที่เขาตาย!
ได้แต่หวังว่าเวลาจะเดินช้าอีกหน่อย หวังว่านางจะเติบโตให้เร็วขึ้น หวังให้คนบางกลุ่มมาช้าอีกหน่อย หวังว่า…เจ้าหนุ่มตรงหน้านี้จะทนได้นานอีกสักหน่อย
แววตาเหลียนจิ่น ลึกลับยากจะคาดเดา
ร่องรอยบาดแผลที่บ่งบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเผชิญมามากมาย พาดผ่านแสงทอง ผ่านกาลเวลามาช้านาน เป็นร้อยเป็นพันปี ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองเหลียนจิ่นแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั่วร่าง
เจ้าไม้เท้าเทพนี่ ยิ่งดูยิ่งเหมือนกับสัตว์ประหลาดเข้าไปทุกที!
แต่ห็นแก่เจตนาของเขาที่ไม่คิดจะมาแย่งแมวน้อยของเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใจกว้างพอที่จะยอมทนกับการดำรงอยู่ของเขา
อวี้เฟยเยียนไม่ล่วงรู้เลยว่าซย่าโหวฉิงเทียนและเหลียนจิ่นในตอนนี้มีความคิดที่เห็นพ้องต้องกันแล้ว เพราะในขณะนั้นนางกำลังเตรียมการเพื่อรักษาอวี้เชียนเสวี่ยอยู่
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่มู่เหนี่ยนซีถูกลอบโจมตีในครั้งนั้น อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
หากเขามิใช่คนพิการที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ละก็ มู่เหนี่ยนซีคงมิต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้น
ดังนั้น หลังจากที่อวี้เฟยเยียนพักผ่อนจนหายดีแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยมิรอให้อวี้เฟยเยียนพูด เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอให้นางช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับตนเอง
ขณะเดียวกัน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานประลองปรุงโอสถต่างก็ทยอยเดินทางออกจากหุบเขาลั่วสยาแล้ว
ส่วนหอราชาโอสถภายใต้การปกครองของเจ้าสำนักหลิน ก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ดังเดิมอย่างที่ควรจะเป็น
ช่วงเวลาที่อวี้เฟยเยียนพำนักอยู่ที่นั่น หากมีเวลาเมื่อใดเจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าก็จะพากันมาห้อมล้อมอวี้เฟยเยียนขอร้องให้นางช่วยสอนวิชาแพทย์ให้อยู่เนืองๆ
เพราะว่าวิชาฝังเข็มที่อวี้เฟยเยียนใช้รับมือกับพิษของสำนักหมื่นพิษ เป็นวิธีที่พวกเขามิเคยพบเห็นมาก่อน
ตอนนี้ได้ยินอีกว่าลมปราณอวี้เชียนเสวี่ยสูญสิ้นมาหลายปี อวี้เฟยเยียนจะทำการรักษาฟื้นคืนลมปราณที่สูญสิ้นไปหลายปีนั้นของเขาให้กลับคืนมา ทำให้เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
บนแผ่นดินนี้ขณะที่จอมยุทธ์ประลองฝีมือกันนั้น วิธีการที่จะลบหลู่ฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดนั่นก็คือทำลายลมปราณของฝ่ายตรงข้ามให้สูญสิ้น
ทำให้จอมยุทธ์ผู้ที่เคยอยู่จุดสูงสุด กลับกลายเป็นคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ห้ำหั่นใดๆ ได้อีกความกระทบกระเทือนจิตใจที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้มีผู้คนมากมายทนการลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนี้ไม่ไหวแล้วปลิดชีพตนเองในที่สุด
อวี้เชียนเสวี่ยเองก่อนหน้านี้ก็เคยคิดที่ปลิดชีพตนเองให้จบๆ ไป
แต่อวี้จิงเหลยเคยกล่าวไว้ ตระกูลอวี้ไม่มีคนที่ไร้ค่าเช่นนั้น ลูกหลานตระกูลอวี้จะตายในสนามรบเท่านั้น
ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยกัดฟันสู้มาจนถึงวันนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ที่เขาต่อสู้มานั้นถูกต้อง
อวี้เฟยเยียนคือจักรพรรดิโอสถ มีวิชาแพทย์ที่สูงส่ง อวี้เชียนเสวี่ยเชื่อแน่ว่า ภายใต้การช่วยเหลือของนาง ตัวเขาจะต้องฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้!
จอมยุทธ์หนุ่มหน้าหยกแห่งตระกูลอวี้ กลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง!
ไม่เพียงอวี้เชียนเสวี่ยดีใจ เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและบรรดาผู้เฒ่าหนวดเคราขาวทั้งหลายต่างก็ดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
ในตำราแพทย์บนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้ มิเคยมีบันทึกว่ามีผู้ใดฟื้นฟูพลังลมปราณได้สำเร็จมาก่อน
อวี้เฟยเยียนจะรักษาให้กับอวี้เชียนเสวี่ยในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่หายากยิ่งนัก!
เพียงแต่ว่า เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้อาวุโสรู้ดีว่า วิชาแพทย์ ในยุคนี้จัดว่าเป็นความรู้ส่วนบุคคล
นอกจากหอราชาโอสถที่เปิดให้เข้ามาศึกษาเล่าเรียนและถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้แล้ว วิชาแพทย์ของคนธรรมดาก็เป็นดั่งเช่นวิชาเฉพาะประจำตระกูลอย่างไรอย่างนั้น ห้ามแพร่งพราย
ยิ่งไปกว่านั้นวิชาแพทย์ของอวี้เฟยเยียนสูงส่ง ซึ่งถึงแม้ว่าสองสามวันมานี้นางจะอดทนเพียรพยายามแบ่งปันความรู้ทางวิชาการแพทย์ให้กับเหล่าผู้เฒ่า ทำให้ทุกคนได้รับความรู้ไปไม่น้อย แต่การรักษาลมปราณถือเป็นวิชาเฉพาะ เกรงว่านางจะมิยอมแพร่งพรายให้กับคนนอก
อย่างไรเสีย ศิษย์คนละสำนัก กฎย่อมแตกต่างกัน
ยิ่งเมื่อได้ฟังคำของอวี้เฟยเยียนว่า อาจารย์นางคือยอดฝีมือนอกวงการ และมีนางเป็นศิษย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้เพียงคนเดียว
เกรงว่า ผู้ที่จะมาสืบทอดวิชาต่อจากอวี้เฟยเยียน มีเพียงศิษย์ของนางในภายภาคหน้าเท่านั้น
“ผู้เฒ่าใหญ่ท่านไปที! ท่านกับแม่นางน้อยอวี้รู้จักกันนานที่สุด ความสัมพันธ์ย่อมต้องแน่นแฟ้นที่สุด เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของท่านแล้ว!”
เจ้าสำนักหลินกระทุ้งพุงพุ้ยๆ ของผู้เฒ่าใหญ่
หลังจากที่ยืนยันข่าวการตายของผู้เฒ่าใหญ่แน่ชัดแล้ว เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าก็ปรึกษาหารือแล้วเห็นตรงกันว่าให้ยกหมอเทวดาฮั่วให้เป็นผู้เฒ่าใหญ่แทน
หมอเทวดาฮั่วเป็นผู้มีคุณธรรมเลื่องลือไร้ซึ่งข้อสงสัยสำหรับหอราชาโอสถแล้ว เทียบเท่ากับขุนนางที่มากด้วยความดีความชอบ ให้เขาเป็นผู้เฒ่าใหญ่เหมาะสมที่สุดแล้ว
เพื่อที่จะให้หมอเทวดาฮั่วยินยอมพร้อมใจที่จะขึ้นเป็นผู้เฒ่าใหญ่ เจ้าสำนักหลินยังตั้งใจจัดการเลือกตั้งขึ้นมา สุดท้ายหอราชาโอสถตั้งแต่เล็กจนใหญ่สุดมิมีใครคัดค้าน ทุกคนต่างเห็นด้วย
ดังนั้น หมอเทวดาฮั่วเฉกเช่นเป็ดที่ถูกไล่เข้าคอก กลายเป็นผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถไปโดยปริยาย
“พวกเจ้า พวกเจ้าประท้วงต่อต้านข้าหรือ!”
หมอเทวดาฮั่วตบพุงพุ้ยๆ ของเขา ‘เหอะ’ ออกมาคำหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ถูกทูตซ้ายจับไปจองจำที่คุกวารีสวรรค์ถูกทรมานอยู่เสียตั้งหลายวัน หมอเทวดาฮั่วก็ผ่ายผอมลงไปไม่น้อย
ทว่าสองสามวันมานี้ เขาบำรุงร่างกายด้วยอาหารรสดีนานาชนิด ถึงได้ขุนน้ำหนักที่หายไปกลับมาโดยไม่ง่ายเลย นี่ก็อ้วนกลมขึ้นมาก ดูแล้วคล้ายคลึงฟักยักษ์ก็มิปาน
“ก็ข้าว่าเจ้าสำนักพูดถูก! ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็เห็นด้วย!”
“ข้าไม่มีปัญหา!”
“ข้าสนับสนุนเจ้าสำนัก!”
…
ตั้งแต่ผู้เฒ่ารองยกมือ ทันใดนั้น ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็เริ่มยกมือขึ้นตาม ผู้เฒ่าห้าจึงยกสองมือขึ้นไปเลย แสดงให้เห็นถึงว่าการตัดสินใจของเจ้าสำนักหลินนั้นผ่านฉลุย
มองดูเหล่าตาเฒ่าที่รวมตัวประท้วงตนเองด้วยความเอ็นดู ทำให้หมอเทวดาฮั่วถึงกับปวดสมองขึ้นมาทันใด
“แม่นางน้อยอวี้ เหตุใดเจ้าต้องสอนไอ้วิธีการเลือกตั้งประชาธิปไตยให้กับพวกเขาด้วยนะ”
นี่มันเรียกว่าเลือกตั้งที่ไหนกัน! นี่เขาเรียกว่ารวมหัวกลั่นแกล้งกันชัดๆ!
เป็นไปตามที่สาธารณชนคาดหวังเอาไว้ หมอเทวดาฮั่วหอบเอาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเพราะถูกโจมตีไปที่ห้องอวี้เฟยเยียน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ทันได้เห็นอวี้เฟยเยียนทำการตรวจขั้นสุดท้ายให้กับอวี้เชียนเสวี่ยพอดี
“เด็กน้อยอวี้ กำลังยุ่งอยู่หรือ!”
ตอนที่ 82-2 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ
หมอเทวดาฮั่วมองเห็นอวี้เฟยเยียนก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมา
สองสามวันของการแบ่งปันความรู้วิชาแพทย์ อวี้เฟยเยียนถ่ายทอดวิชาแพทย์ของนางชนิดหมดเปลือก ทำให้พวกเขาได้ความรู้ไปไม่น้อย
หากเป็นคนอื่นละก็ มีหรือจะไม่หมกเม็ดเอาไว้!
อวี้เฟยเยียนที่จิตใจกว้างขวางเช่นนี้ มิใช่ใครๆ ก็ทำได้
เมื่อนึกถึงว่ายังมีสายตาที่โหดร้ายของเหล่าผู้เฒ่าเมื่อครู่ หมอเทวดาฮั่วก็ไม่รู้จะทำเช่นไร
เหตุใดคนที่รับกรรมต้องเป็นข้าด้วยนะ!
“ท่านหมอฮั่ว ท่านมาแล้วหรือ!”
อวี้เฟยเยียนก็เรียกพลังเสวียนกลับคืนขณะทักทายหมอเทวดาฮั่ว
“ลุงสาม ร่างกายท่านพร้อมแล้ว ข้าสามารถเริ่มรักษาท่านได้ทุกเวลา!”
เมื่อได้ยินว่าสามารถรักษาได้ หมอเทวดาฮั่วก็รีบกลบเกลื่อนสีหน้าเจ็บปวด แล้วเหลือบมองไปที่อวี้เฟยเยียนด้วยสายตาน่าสงสาร
ถึงจะน่าขำ แต่สิ่งที่เขาหลงใหลมากที่สุดนั่นคือวิชาแพทย์และอาหารรสเลิศ
เป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้และรับชมการรักษาเช่นนี้ หมอเทวดาฮั่วไม่อยากจะพลาดมันไป!
“แม่นางน้อยอวี้ ครั้งนี้เจ้าจะต้องช่วยข้านะ! ตาแก่อย่างข้าคราวนี้ถูกเจ้าสำนักหลินและเจ้าเฒ่าทั้งหลายทำร้ายอย่างน่าอนาถ!”
หมอเทวดาฮั่วทอดถอนใจ แล้วทำสีหน้าขมขื่นหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกล่าวว่า
“พวกเขาแต่ละคนมิยอมรามือ เจ้าพวกกบในกะลา ครานี้ได้ยินว่าเจ้าจะรักษาลมปราณที่สูญสิ้นไปแล้วให้กลับคืนมาให้ลุงสามของเจ้า แต่ละคนก็ทำท่าทางราวกับขอทาน หิวกระหายกันเหลือเกิน!”
“แต่ก็กลัวตนเองจะเสียหน้า มิกล้ามาขอร้องเจ้า จึงบังคับให้ข้ามาแทน”
“เจ้าสำนักและพวกศิษย์บอกว่า หากเจ้ามิให้โอกาสละก็ ต่อไป ตาเฒ่าข้าก็มิอาจได้รับในผลประโยชน์ที่ผู้เฒ่าใหญ่พึงได้รับอีกต่อไป เช่นว่าอะไรนะ ขาหมูตุ๋นน้ำผึ้ง วิหคร้อยรส…อาหารเลิศรสพวกนี้กับข้าคงไร้วาสนาต่อกันเสียแล้ว”
“แม่นางน้อยอวี้ พวกเรามีน้ำใจต่อกันมา เจ้าคงมินิ่งดูดายเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยใช่หรือไม่!
เพื่ออาหารเลิศรสพวกนี้แล้ว ข้ากินไม่ได้นอนก็ไม่หลับ ผ่ายผอมลงไปตั้งมากมาย! เจ้าดูสิ…”
หมอเทวดาฮั่วชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็โดนลากเข้ามาพูดจนหมด
มองดูหมอเทวดาฮั่วกล่าวเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนถึงกับหัวเราะจนท้องแข็ง
“ท่านคือจอมตะกละ ข้ารู้ดี! “
แต่ท่าน อย่าเป็นจอมตะกละที่น่าขำขันได้หรือไม่เล่า
จะชั่วดีอย่างไรท่านก็เป็นจักรพรรดิโอสถคนหนึ่งนะ!
เพียงกล่าวถึงของกินขึ้นมาเท่านั้น ภาพที่สร้างมาก็หมดกัน!
ยังมีอีก ก็เห็นกันอยู่ชัดๆว่าท่านนะอ้วนท้วนแข็งแรงน้ำหนักขึ้นมาตั้งเยอะแยะ ทุกคนเขามีตากันทั้งนั้น
เมื่อหัวเราะจนสาแก่ใจแล้ว อวี้เฟยเยียนก็เรียนเชิญหมอเทวดาฮั่ว เจ้าสำนักหลิน และเหล่าผู้เฒ่าคนอื่นๆทมาพร้อมกัน
“ท่านหมอฮั่ว ข้ากำลังจะไปหาเจ้าสำนักหลินอยู่พอดี”
“การรักษาท่านลุงสามในครั้งนี้ ข้าได้เตรียมการขั้นต้นเอาไว้แล้ว แต่ยังมีในส่วนที่ต้องการคำชี้แนะจากเหล่าผู้เฒ่าทุกท่านที่มีความรู้สูงส่งด้วย แต่พวกท่านก็มาหาข้าเสียก่อน ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!”
“จริงหรือ!”
หมอเทวดาฮั่วเข้าไปสวมกอดอวี้เฟยเยียนด้วยความอาการตื่นเต้น
เดิมทีเขาคิดว่าการจะทำให้อวี้เฟยเยียนรับปากนั้น ยากแสนยาก
เพราะหากนางรับปาก อย่างน้อยๆ ก็ต้องยินยอมผู้อื่นมาดูมาศึกษาวิชาแพทย์ของตน ซึ่งต่อให้อวี้เฟยเยียนเห็นแก่หน้าของเขาแล้วยอมรับปาก แต่ก็คงเกิดความรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ แล้วจะเกิดเป็นรอยร้าวระหว่างนางกับหอราชาโอสถก็เป็นได้
ทว่า หมอเทวดาฮั่วคิดไม่ถึงเลยว่า อวี้เฟยเยียนจะตอบรับอย่างรวดเร็วด้วยความยินดีเช่นนี้
ทั้งนางยังตอบแบบรักษาหน้าให้กับหอราชาโอสถอีกด้วย ว่าตนเองจะขอคำชี้แนะจากเจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่า
นางคือจักรพรรดิโอสถ สำหรับการรักษาอวี้เชียนเสวี่ย อวี้เฟยเยียนคงคิดวิธีการและขั้นตอนไว้ในใจแล้ว วิชาแพทย์นางอยู่เหนือกว่าเจ้าเฒ่าพวกนั้นอยู่มากนัก แล้วจะยังต้องขอคำชี้แนะจากพวกเขาได้อย่างไร!
หึหึ…
ก่อนจะออกไป หมอเทวดาฮั่วหันกลับไปมองไปที่อวี้เฟยเยียนอีกครั้ง
ถ่อมตน ซื่อตรง มีคุณธรรม เป็นคนดี ทั้งยังจิตใจกว้างขวาง!
อนาคตของแม่นางน้อยผู้นี้มิอาจคาดเดาได้เลยจริงๆ!
คนรุ่นใหม่นี่น่ากลัวจริงๆ…
หมอเทวดาฮั่วถอนใจยาว
บางที เขาอาจได้เห็นอวี้เฟยเยียนสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่
หมอเทวดาฮั่วนำข่าวดีนี้ไปบอกกล่าวแก่เหล่าผู้เฒ่า ทำเอาพวกเขาดีใจกันยกใหญ่ ได้ยินว่าอวี้เฟยเยียนกำลังจะเริ่มรักษา พวกเขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสะอาดๆ แล้วก็พากันยกโขยงไปที่เรือนของอวี้เฟยเยียนทันที
อวี้เฟยเยียนและอวี้เชียนเสวี่ยต่างก็เตรียมพร้อมตั้งนานแล้ว รอเหล่าผู้เฒ่าเข้ามา ประตูห้องก็ถูกปิดลง
“ท่านป้าสามวางใจ! ช่าช่าจะต้องรักษาท่านลุงให้หายอย่างแน่นอน!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยเห็นมู่เหนี่ยนซีตื่นเต้นจนกำมือไว้แน่น ก็เข้าไปปลอบนางว่า
“พวกเราต้องเชื่อในช่าช่า!”
“ใช่! เสี่ยวอวี้ของเรายอดเยี่ยมจะตาย! แต่สำหรับ…เสวี่ยต่างหาก ข้ายังคงมิอาจวางใจ”
ตั้งแต่กำแพงกั้นบางๆ ระหว่างอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีถูกทำลายลง คนทั้งสองราวกับกลายเป็นเด็กชายและเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังคบหากันก็ไม่ปาน เดี๋ยวตัวเองเดี๋ยวเรา เดี๋ยวกอดเดี๋ยวหอม ความรักเบ่งบานสุกงอม
มู่เหนี่ยนซีรู้ว่า ตอนที่นางเกิดเรื่อง อวี้เชียนเสวี่ยรู้สึกผิดและโทษตัวเองมากเพียงใด ดังนั้นเขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะดีขึ้นในเร็ววัน
แต่นางก็ไม่อยากให้อวี้เชียนเสวี่ยกดดันตัวเองมากเกินไป
“อมิตตาพุทธ สวรรค์คุ้มครอง!”
มู่เหนี่ยนซีมาถึงที่เรือน ก็ยกสองมือพนมขึ้นแนบอก
“จะต้องราบรื่น!”
ด้วยรู้มาโดยตลอดว่าเส้นทางความรักทั้งสองยากเย็นซับซ้อนมากขนาดไหน ทุกคนจึงเข้าใจในความรู้สึกมู่เหนี่ยนซีเป็นอย่างดี เชียนเยี่ยเสวี่ยเดินตรงเข้าไปหาเหลียนจิ่นแล้วฟาดฝ่ามือใส่เขาหนึ่งที
“เหลียนจิ่น เจ้าทำนายให้พวกเขาหน่อยเถอะ! ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
วาจาเชียนเยี่ยเสวี่ยทำให้มู่เหนี่ยนซีมีความหวังขึ้นมา นางรีบมองมาที่เหลียนจิ่น ด้วยท่าทางอยากรู้
ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยขานชื่อเสียขนาดนี้ เหลียนจิ่นจึงเริ่มบีบนวดหัวไหล่ของตนเองเชิงเตรียมพร้อมแล้วกล่าวว่า
“เยี่ยนอ๋อง เมื่อครู่ท่านมือหนักไม่เบา! อ่อนโยนสักหน่อยมิได้หรืออย่างไร”
“หนักหรือ”
เชียนเยี่ยเสวี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วลองฟาดมือใส่ตนเองดูบ้าง
“ก็ไม่นี่นา! ไม่เจ็บสักหน่อย! เจ้าอ่อนแอเกินไปต่างหาก! อีกเดี๋ยวให้ช่าช่าสั่งยาให้เจ้าหน่อย ผอมแห้งราวกับไก่น้อยก็ไม่ปาน จะต้องบำรุงให้มาก บุรุษอ่อนแอเกินไปไม่ดีนะ เดี๋ยวเมียจะรังเกียจเอา!”
เสียงดังโฉ่งฉ่างของเชียนเยี่ยเสวี่ย เหลียนจิ่นทำได้แค่เพียงกรอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์
เยี่ยนอ๋อง จะชั่วดีอย่างไรท่านก็เป็นสตรีนะ!
ไม่ใช่หญิงอกสามศอก!
ที่เจ้าฟาดมาเมื่อครู่น่ะ หัวใจกับปอดของข้าแทบจะทะลักออกมา! จะสร้างใหม่ให้ข้าใช่หรือไม่ !
“ไม่ต้องกังวลไป! ข้าเคยทำนายอย่างง่ายๆเอาไว้แล้ว หงายหงาย มงคล !”
มีคำพูดนี้ของเหลียนจิ่น ทำให้มู่เหนี่ยนซีมีความมั่นใจขึ้นมาก
“ไม่ว่าเสวี่ยจะเป็นอย่างไร ข้าก็ยังจะชอบเขาเช่นเดิม! ต่อให้เขามิอาจฟื้นพลังได้ดังเดิม ยังคงเป็นคนธรรมดา ข้าก็จะอยู่กับเขา เพราะข้ารักเขา!”
“ตอนนี้ ขอเพียงได้ยินเสียงของเจ้า ข้าก็ดีใจแล้ว!”
“ข้ารู้ดีว่า ลมปราณสูญสิ้นเป็นดั่งปมที่แก้มิออกของเสวี่ย ขอเพียงคลายปมนี้ได้ เขาจึงจะเป็นอวี้เชียนเสวี่ยจริงๆ! ข้าอยากเห็นอวี้เชียนเสวี่ยที่สง่างามผ่าเผย เขาจะต้องรูปหล่อมากแน่ๆ!”
คำสารภาพรักที่ซาบซึ้งถึงใจใครหลายคนของมู่เหนี่ยนซี ดังเข้าไปถึงด้านในห้อง
อวี้เชียนเสวี่ยตะลึงเป็นอย่างมาก แก้มทั้งสองของเขาแดงจัด ร่างทั้งร่างราวกับกุ้งที่กำลังถูกนึ่งก็ไม่ปาน นอนอยู่บนเตียง มือไม้มิรู้จะวางตรงไหนรู้สึกเกะกะไปเสียหมด
อวี้เฟยเยียนยิ่งส่งเสริม นางเปิดหน้าต่างออก ตะโกนว่า
“ท่านป้าสาม คำพูดท่าน ท่านลุงสามข้าได้ยินชัดเจนแล้ว! ท่านวางใจ! ข้าจะต้องทำให้ท่านสมหวังให้ได้!”
เดิมทีมู่เหนี่ยนซีคิดว่าได้เริ่มทำการรักษาไปแล้ว ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางเมื่อครู่อวี้เฟยเยียนและอวี้เชียนเสวี่ยต่างได้ยินชัดเจน
ตอนนั้นทำเอาผิวสีข้าวสาลีของมู่เหนี่ยนซีก็ฉาบทับไว้ด้วยสีแดงอ่อนๆ
แต่นางก็มิได้ขัดเขินใดๆ นางยกมือป้องปากตะโกนว่า
“เสวี่ย ข้ารอท่าน! ข้ารักท่าน! ข้าจะรออยู่ด้านนอกนี่ ท่านไม่ต้องกลัว!”
“วู้ๆ!”
เชียนเยี่ยเสวี่ย เซวียเฉียงเป่าปากขึ้นมา
“ท่านป้าสาม ท่านอบอุ่นเช่นนี้ ท่านลุงสามคงมีความสุขมาก!”
เสียงตะโกนเชียนเยี่ยเสวี่ยดังสนั่น ทำให้มู่เหนี่ยนซีอายขึ้นมาจริงๆ
ภายในห้อง เหล่าผู้เฒ่าต่างก็ยิ้ม ‘ฮิฮิ’ ออกมา
“คนหนุ่มสาวมันดีอย่างนี้แหละ!”
ผู้เฒ่ารองลูบเคราแล้วยิ้มราวกับองค์พระสังกัจจายน์กล่าวว่า
“น่าอิจฉาเสียจริง!”
“ตาเฒ่ารอง หากเจ้าอิจฉาก็ไปหาคู่มาอยู่เป็นเพื่อนบ้างสิ!”
ผู้เฒ่าเจ็ดกล่าว
“ถ้าได้ลูกตอนแก่ ถึงจะทำให้ผู้คนอิจฉาจริงๆ”
ถูกผู้เฒ่าเจ็ดหัวเราะเยาะเช่นนี้ ผู้เฒ่ารองถึงกับสำลักไอสองครั้งแล้วทำท่าทีเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน
“ชีวิตนี้ของอุทิศให้กับหอราชาโอสถ! ตอนข้ายังหนุ่มไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย ตอนแก่ยิ่งเป็นไอ้แก่เจ้าสำราญไม่ได้เลย!”
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้ารีบเริ่มเถอะ! ข้าชักจะรอคอยไม่ไหวแล้ว!”
ตอนที่ 82-3 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ
อวี้เฟยเยียนพยักหน้าเบาๆ แล้วให้อวี้เชียนเสวี่ยดื่มยาสีดำให้หมดชาม
“นี่คือยาที่ต้มด้วยดอกม่านถัวโหลว มีสรรพคุณเป็นยาชา หากจะทำการผ่าตัดใหญ่หรือมีผู้ป่วยที่ต้องได้รับความเจ็บปวดมากๆ สามารถใช้ม่านถัวโหลวได้”
เมื่ออวี้เฟยเยียนเริ่มต้นพูด เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายกลายเป็นนักเรียนที่ตั้งใจฟังทันที พวกเขาหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจดเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้
รอจะกระทั่งอวี้เชียนเสวี่ยเริ่มมึนงงจวนเจียนจะหมดสติ อวี้เฟยเยียนจึงหยิบเข็มเงินที่เล็กราวกับเส้นขนของมนุษย์ออกมาหนึ่งเล่ม
“นี่เจ้าจะเย็บของหรือ”
หมอเทวดาฮั่วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ลมปราณในร่างของเขาแตกสลายกลายเป็นแผ่น เราต้องใช้เข็มเงินและพลังเสวียนเย็บประกอบพลังที่แตกนั้นให้เป็นรูปร่างเสียก่อน แล้วจึงหลอมให้กลายเป็นรูปร่าง!”
อวี้เฟยเยียนอธิบายอย่างชัดเจน ทำให้เหล่าผู้เฒ่านักปรุงยาที่อยู่ ณ ที่นั้นเข้าใจความหมายในทันที
หากมิใช่ว่าเคยเห็นความสามารถของอวี้เฟยเยียนมาก่อน ลำพังฟังแต่วิธีการรักษา ก็คงจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เป็นแน่!
ใช้พลังเสวียนเย็บรวมพลังลมปราณที่แตกซ่านเป็นชิ้นๆ
เหมือนกับหญิงสาวเย็บเสื้อผ้าอย่างนั้นหรือ
ทำเช่นนี้ก็ได้ด้วย!
เพียงแต่ว่าอวี้เฟยเยียนยังเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ ดังนั้นไม่แน่ว่าพลังเสวียนของนางอาจจะทำได้ก็เป็นได้ ทุกคนจ้องมองไปที่อวี้เฟยเยียนมิวางตา
อวี้เฟยเยียนกรีดบริเวณข้างสะดือของเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นแผลเล็กขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง หลังจากห้ามเลือดแล้ว ก็ใช้พลังเสวียนผลักเข็มเงินเข้าไปในร่างของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนี้อวี้เฟยเยียนล้วนแต่ลงมือจัดการภายในช่องท้องทั้งสิ้น
เหล่าผู้เฒ่าก็มิอาจมองทะลุเข้าไปในช่องท้องได้ จึงมองไม่เห็นการทำงานด้านใน ทุกคนจึงร้อนใจขึ้นมา
แต่พวกเขาก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนการรักษาของอวี้เฟยเยียน จึงทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ โดยที่ในใจของแต่ละคนกำลังเคร่งเครียดอย่างหนัก
อวี้เฟยเยียนหาพลังลมปราณของอวี้เชียนเสวี่ยนเจอโดยใช้พลังเสวียน
นางค่อยบรรจงเก็บรวบรวมลมปราณแต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน อย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆเย็บมันติดกันทีน้อย ขั้นตอนนี้ยาวนานยิ่งนัก เพราะชิ้นส่วนของลมปราณแต่ละชิ้นต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิม จะผิดแม้สักชิ้นก็มิได้
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้าของอวี้เฟยเยียนก็ยังเป็นเช่นเดิม ยังไม่วางมือในขณะเดียวกันก็จับตาดูอวี้เชียนเสวี่ยโดยตลอด
ยอดเยี่ยมจริงๆ!
เจ้าสำนักหลินยกหัวแม่โป้งชื่นชมอวี้เฟยเยียนแล้วไปทางหมอเทวดาฮั่ว ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยไปกว่าสองชั่วยามแล้ว
แต่สีหน้าของอวี้เฟยเยียนก็ยังคงสงบราบเรียบ มิมีอาการตื่นตระหนกใดๆ ส่วนมือก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่รีบเร่ง ทำให้เล่าผู้เฒ่านักปรุงยาเลื่อมใสยิ่งนัก
เก็บรวบรวมพลังลมปราณแต่ละชิ้นด้วยความยากลำบาก ทันใดนั้นในร่างของอวี้เฟยเยียนอเวจีน้อยก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
“จวินจวินๆ!”
ไม่นาน โลลิตาน้อยในชุดสีเขียวอ่อนก็ปรากฏในร่างของอวี้เฟยเยียน
เจ้าโลลิต้าน้อยหาวหวอดๆ ขยี้ตาเล็กน้อย ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้คนที่เห็นอดมิได้ที่เอื้อมมือไปหยิกแก้มยิ้มของนาง
“เจ้านาย จวินจวินมาแล้ว!”
“จวินจวิน เจ้าพักผ่อนพอแล้วหรือ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางราวกับมิได้หลับมิได้นอนเลยเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“พอแล้วล่ะ! แต่หากว่าได้นอนอีกสักหน่อยคงดี!”
เจ้าโลลิต้าสีเขียวตัวน้อยท่าทางงัวเงีย ปากห่อรวมกันน้อยๆ แต่เมื่อมันมองเห็นอวี้เฟยเยียน สีหน้าของมันก็ราวกับมีพลังขึ้นมาทันที
“เจ้านาย ท่านกำลังทำเรื่องสนุกๆอะไรอยู่เหรอ ต้องการให้จวินจวินช่วยเหลือหรือไม่”
“ต้องการสิ!”
อวี้เฟยเยียนไม่มีภูมิต้านทานต่อเจ้าเด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“จวินจวิน เจ้าหลอมลมปราณได้หรือไม่”
“เจ้าดูสิ ข้าได้รวบรวมลมปราณให้กลับคืนไปยังที่ของมันแล้ว แต่แค่นี้มิอาจทำให้วรยุทธ์ของเขาฟื้นคืนมาได้ ดังนั้นข้ามีความคิดที่ยอดเยี่ยมหนึ่งขึ้นมา ข้าจะหลอมรวมลมปราณให้เป็นพลังเดียวที่สมบูรณ์โดยผ่านเจ้า”
เพียงแค่ได้ฟัง โลลิต้าน้อยก็กลายเป็นเพลิงอเวจีที่ลุกโชน
“ได้สิ! ก่อนหน้านี้เจ้านายก็เคยทำเช่นนี้มาแล้ว! และก็เป็นจวินจวินกับเจ้านายช่วยกันทำมันจนสำเร็จ!”
“ขอให้เจ้านายวางใจ ต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่จวินจวินเอง!”
เจ้าเพลิงอเวจีเข้าไปสู่ร่างของอวี้เชียนเสวี่ยโดยผ่านพลังเสวียนของอวี้เฟยเยียน แล้วโอบล้อมลมปราณของอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้
“ซู่”
พลังของเพลิงอเวจี อวี้เชียนเสวี่ยที่เป็นคนธรรมดาย่อมรับไว้ไม่ไหว
ถึงแม้ว่าเขาจะดื่มยาม่านถัวโหลวเข้าไป แต่ความเจ็บปวดนี้ก็สาหัสเสียจนเขาเหงื่อออกทั่วร่าง ประสิทธิภาพของยาสลายไป อวี้เชียนเสวี่ยฟื้นคืนสติโดยสมบูรณ์
เส้นเลือดทั้งบนใบหน้า บนร่าง ที่ข้อมือล้วนแต่นูนขึ้นราวกับจะระเบิดออกมา ด้วยเกรงว่าตนเองจะเจ็บปวดจนเปล่งเสียงร้องออกมา อวี้เชียนเสวี่ยจึงกัดผ้าขนหนูเอาไว้
“ลุงสาม ทนอีกนิดนะ!”
อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าเพลิงอเวจีคือเทพอัคคี กายเนื้อของคนปกติมิสามารถตั้งรับพลังนี้ได้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นเหลียนจิ่นก็คงไม่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งหลายปี อีกทั้งในตอนนั้นเพลิงอเวจียังไม่สำแดงฤทธิ์อีกด้วย
ลมปราณของอวี้เชียนเสวี่ยกำลังถูกเพลิงอเวจีหลอมรวม ดังนั้นสำหรับเขาแล้วทรมานยิ่งกว่าถูกลงทัณฑ์นับพันเท่า!
“นี่ใต้เท้าอวี้หลัวช่ากำลังหลอมรวมลมปราณของเขาหรือนี่”
ผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหกหารือกัน
“ดูแล้วก็เจ็บปวดแทน มันต้องทรมานมากแน่ๆ เลย!”
“ก็ใช่นะสิ นึกไม่ถึงเลยว่ากระบวนการจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ คนผู้นี้สมเป็นชายชาตรีจริงๆ!”
สิ่งที่ผู้เฒ่าหกพูด แทนใจทุกคน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมิได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดที่อวี้เชียนเสวี่ยได้รับทั้งหมด แต่สภาพร่างกายก็แสดงออกชัดเจนถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้พวกเขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าขณะนี้อวี้เชียนเสวี่ยต้องทนรับกับความเจ็บปวดมากถึงเพียงไหน
“ลูกผู้ชายเช่นนี้สมแล้วที่เป็นลุงสามของใต้เท้าอวี้หลัวช่า!”
“ก็มิรู้ว่าพวกเขาคือตระกูลอวี้ไหน”
คำพูดของผู้เฒ่าสาม ทำให้ทุกคนเริ่มใช้ความคิดขึ้นมา
ตระกูลอวี้ที่เชื่อเสียงเลื่องลือบนแผ่นดินนี้ มีเพียงจวนกว๋อกงแห่งต้าโจว ซึ่งที่นั่นมีจอมเทวาอยู่หนึ่งคนแล้ว
ส่วนตระกูลอวี้อื่น ไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงมาก่อน…
หรือว่าปีนี้เป็นปีทองของคนตระกูลอวี้หรืออย่างกันนะ ตระกูลอวี้มีจอมเทวาถึงสองคนแล้ว!
ผู้เฒ่าห้าลูบเคราของตนเองพลางครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า
“แต่ใต้เท้าหลัวช่ายอดเยี่ยมกว่าใต้เท้าอวี้มากนักนะ!”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดผู้เฒ่าห้า
ถึงแม้ว่าอวี้หลัวช่าจะสำเร็จจอมเทวาช้ากว่าใต้เท้าอวี้ แต่ว่านางยังพ่วงด้วยการเป็นจักรพรรดิโอสถที่ไม่เคยมีก่อนในประวัติศาสตร์!
หากมองเพียงแค่ความสามารถละก็ อวี้หลัวช่าอยู่เหนือกว่าขุมหนึ่งทีเดียว!
ผู้คนมากมายไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเกิดความเข้าใจผิดเล็กน้อยทำให้ความจริงคลาดกับพวกเขาเพียงแค่เฉียดกันเท่านั้น
“โอ้ พวกเจ้ารีบดูนั่น!”
หมอเทวดาฮั่วชี้ไปที่เตียง
มองตามไปจึงเห็นว่าเหงื่อที่ไหลออกมาของอวี้เชียนเสวี่ยนั้นล้วนเป็นสีดำ ทำให้เตียงที่เดิมทีเป็นสีขาวกลายเป็นสีดำไปด้วย
ฉับพลัน ห้องทั้งห้องนั้นก็อบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้
“ข้าเข้าใจแล้ว! ลมปราณของเขาเสียหายมาหลายปี ดังนั้นร่างกายของเขาจึงมิสามารถทำการสร้างและย่อยสลายได้ตามปกติ ธาตุพิษทั้งหมดจึงตกค้างและรวมตัวกัน ดังนั้นผิวเขาจึงเป็นสีดำ”
เจ้าสำนักหลินครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่หลิน ท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”
หมอเทวดาฮั่วยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมกับตบไหล่เจ้าสำนักหลินเบาๆ จนในที่สุดหมอเทวดาฮั่วก็ทนไม่ไหว พุ่งตัวออกไปแล้วเริ่มอาเจียนออกมาอย่างหนัก อาเจียนเอาอาหารเช้าทั้งหมดออกมา
เมื่อหมอเทวดาฮั่วเริ่มต้นอาการเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่ถึงแม้ว่าจะกลั้นหายใจก็ตาม แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว วิ่งออกมาเช่นกัน
ภายในห้อง จึงเหลือเพียงแค่เจ้าสำนักหลินและผู้เฒ่าสี่
ผู้เฒ่าสี่สีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าบิดามารดาถึงแก่กรรมเสียอีก ใบหน้าเขาแข็งตึง เมื่ออดทนมานานในที่สุดก็ทนไม่ไหว ก่อนออกจึงได้ยกมือคารวะผู้เฒ่าหลินที่เขายังทานทนได้
“สมแล้วที่เป็นเจ้าสำนัก! เลื่อมใส!”
เมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เจ้าสำนักหลินเริ่มลูบจมูกตนเองเบาๆ
“ช่วยอะไรไม่ได้เลย!”
ตั้งแต่ที่เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงได้เกือบจะเสียโฉมนั้นแล้ว เจ้าสำนักหลินก็พบว่าจมูกของเขาถูกกระทบกระเทือนจนเสียหาย จึงสูญเสียประสาทสัมผัสรับกลิ่นไปชั่วคราว
และถึงแม้ว่าจะได้รับการฝังเข็มและรักษาจนสามารถได้กลิ่นบ้างแล้ว แต่ก็ยังใช้การมิได้มาก
เฉกเช่นตอนนี้ เขาได้กลิ่นเหม็นไหม้แค่เพียงเบาบางประหนึ่งว่าไม่มีกลิ่นนี้ด้วยซ้ำ
มันราวกลิ่นของอุจจาระปัสสาวะก็มิปาน ซึ่งมิรุนแรงเหมือนกับที่ทุกคนแสดงออกเมื่อครู่สักหน่อย!
“แม่นางน้อยอวี้ รอให้ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะช่วยตรวจจมูกของข้าได้หรือไม่”
เมื่อปราศจากผู้คน เจ้าสำนักหลินก็รีบเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน แล้วชี้ที่จมูกของตนเองกล่าวว่า
“ตอนนี้ประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของข้ามีปัญหา! ทำให้ข้ากังวลใจยิ่งนัก!”
เป็นถึงเจ้าสำนัก หากว่าประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นใช้การไม่ได้แล้ว เรื่องนี้มันกระทบกระเทือนเจ้าสำนักหลินอย่างใหญ่หลวง
สำหรับนักปรุงยาแล้ว จมูกสำคัญเป็นอย่างมาก
นักปรุงยาที่ไร้ซึ่งประสาทรับกลิ่น ก็เป็นเช่นเดียวกับสุนัขนักล่าที่ไร้ซึ่งประสาทรับกลิ่นอย่างไรอย่างนั้น มิอาจหน้าที่ของตนได้อีกต่อไป!
อวี้เฟยเยียนอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าเพลิงอเวจีกำลังรักษาอวี้เชียนเสวี่ยอยู่นั้นตรวจจมูกของเจ้าสำนักหลิน
สุดท้ายนางใช้เข็มเงินฝังให้กับเจ้าสำนักหลินสองสามเข็ม จนกระทั่งเข็มเงินเล่มสุดท้ายถูกชักออก
กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวลก็ปะทะเข้าจมูกของเจ้าสำนักหลินเต็มเหนี่ยว
จมูกเขาหายแล้ว!
ประสาทรับกลิ่นของเขาก็กลับมาเป็นปกติ!
เจ้าสำนักหลินน้ำตารื้น
แต่มิใช่เพราะเขาซาบซึ้ง แต่เป็นเพราะเมื่อได้กลิ่นเหม็นเต็มรูปแบบเข้า ก็ทนต่อไปไม่ไหว ปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกไปทันที
ตอนที่ 82-4 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ
“อ้วกกก”
เพียงแค่เจ้าสำนักหลินออกมาด้านนอก ก็เห็นเหล่าผู้เฒ่าต่างก็กำลังเกาะต้นไม้กันคนละต้นอาเจียนกันอย่างเอาเป็นเอาตายต้นไม้ถูกพวกเขาครอบครองจนเต็ม เจ้าสำนักหลินจึงเลือกนั่งยองๆ ลงที่ข้างกำแพง
ครั้งนี้ เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าต่างก็อ่วมอรทัยไปตามๆ กัน
เดิมทีก็เกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะใช้เวลาในการรักษายาวนาน ดังนั้นทุกคนจึงกินข้าวเช้ามากันจนอิ่มแปล้
นี่ก็พอดีทีเดียว อาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง แม้แต่น้ำย่อยสีเขียวก็ออกมาจนท้องสะอาดเอี่ยม
“พวกท่านกำลังทำอะไรกันหรือ”
เซวียเฉียงกล่าวถามขึ้น
รวมพลอาเจียน
นี่เป็นวิถีของคนท้องหรืออย่างไร
“ไม่รู้สิ!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อ
“คงจะเป็นกระเพาะมีปัญหากระมัง! แต่ว่า อาเจียนหนักขนาดนี้ มันก็น่าแปลกจริงๆ หรือว่าพวกเขาถูกพิษในอาหาร”
พวกเขาถึงได้กระเพาะอาหารมีปัญหา!
พวกเขาจึงอาหารเป็นพิษ!
เหล่าผู้เฒ่ายืนเรียงกันจ้องมองไปที่เชียนเยี่ยเสวี่ยที่กำลังยืนพูดปาวๆ โดยไม่เกรงว่าจะเจ็บคอเป็นตาเดียว
ส่วนเชียนเยี่ยเสวี่ยเองกลับไม่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตของทุกคนที่แผ่มายังตนเองเลยแม้แต่น้อย นางลูบท้องตนเองเบาๆ
“ท่านป้าสามบอกว่าจะทำของอร่อยๆตอบแทนช่าช่า ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ทำเสร็จแล้วหรือยัง! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว! เพื่อฉลองให้กับการฟื้นคืนของท่านลุงสาม ข้าจะต้องฉลองใหญ่ด้วยอาหารรสเลิศ!”
“ใครพูดถึงของอร่อยนะ ข้าจะจัดการคนนั้น!”
หมอเทวดาฮั่วร้องตะโกนขึ้นด้วยท่าทีน่าสงสาร ถูกรมด้วยกลิ่นเหม็นเสียขนาดนี้ เขาคงขยาดอาหารรสเลิศไปอีกเป็นเดือนทีเดียว
เพราะเจ้ากลิ่นเหม็นนี้คงจะรบกวนจมูกของเขาไปอีกนาน
จวบจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนออกมา เหล่าผู้เฒ่าจึงค่อยปรับท่าทีเป็นปกติ
แต่ละคนต่างก็ต้องเอนพิงต้นไม่ใหญ่ ใบหน้าซีดขาว ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ทว่าเมื่อมองไปที่อวี้เฟยเยียน นางท่าทางสะอาดเอี่ยมอ่อง คล่องแคล่ว ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากกลิ่นเหม็นไหม้นั้นแม้แต่น้อย แม้แต่บนร่างของนางก็มิมีกลิ่นเหม็นติดตามมาเลยสักนิดเดียว
สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิโอสถ!
ครานี้ เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายยอมรับนับถืออวี้เฟยเยียนทั้งกายและใจ
ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายในสิ่งที่ตนเองแสดงออก
ในฐานะที่เป็นนักปรุงยา มิอาจอดทนกับกลิ่นเหม็น ละทิ้งผู้ป่วยเอาไว้ มันช่างเป็นการไม่เคารพในอาชีพของตนเสียงเหลือเกิน ทั้งยังไร้ซึ่งคุณธรรมอีกด้วย
เทียบกับอวี้เฟยเยียนแล้ว วินาทีนั้นเจ้าสำนักหลินรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กเทียบเท่าเม็ดทราย ใต้เท้าหลัวช่ายิ่งใหญ่จริงๆ!
“แม่นางน้อยอวี้ เหตุใดเจ้าไม่เป็นอะไรเลย!”
ผู้เฒ่าสามแม้จะอาเจียนจนเวียนศีรษะและตาลาย แต่ก็ยังไม่ลืมอุดมการณ์ที่มาในวันนี้ของตนเอง เขายังคงขอคำชี้แนะจากอวี้เฟยเยียน
“ง่ายมาก เพราะว่าข้าปิดประสาทสัมผัสรับกลิ่นได้ทันท่วงทีนะสิ”
ได้ฟังคำตอบ ทุกคนก็แทบล้มทั้งยืน
ที่แท้แล้วก็ง่ายๆเช่นนี้เองหรือ
แต่พวกเขากลับโง่ ทนดมกลิ่นนั่นอยู่ตั้งนาน!
ไม่มีไหวพริบเลยจริงๆ
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้าเก็บเอาไว้คนเดียว!”
หมอเทวดาฮั่วชี้ไปที่อวี้เฟยเยียนแล้วพึมพำว่า
“เจ้ามีวิธีดีๆ แล้วไม่บอกพวกเรา!”
“เฮอะ…”
ถูกหมอเทวดาฮั่วกล่าวโทษพาดพิง ทำเอาอวี้เฟยเยียนตะลึงงัน
“ท่านหมอฮั่ว ข้าปิดประสาทสัมผัสรับกลิ่นต่อหน้าพวกท่านทุกคน ไม่มีหมกเม็ดนี่นา!”
นี้เองทำให้พวกเขาคิดขึ้นได้ ในตอนนั้นทุกคนกำลังถกเถียงกันถึงชาติกำเนิดของอวี้เฟยเยียน เอานางไปเปรียบเทียบกับใต้เท้าอวี้แห่งแคว้นต้าโจว ดังนั้นจึงพลาดจุดสำคัญจุดนี้ไป!
ไม่น่าเลย…
วินาทีนั้นผู้เฒ่าทั้งแปดถึงกับน้ำตานองหน้า
“เสี่ยวอวี้ เสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินว่าอวี้เฟยเยียนออกมาแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็รีบร้อนเข้ามาสอบถามแม้กระทั่งผ้ากันเปื้อนยังมิทันถอดเลยด้วยซ้ำ
“เขาสบายดี! แต่ว่ารบกวนท่านป้าสามเตรียมน้ำร้อนให้สักถังหนึ่ง!”
“ไม่มีปัญหา!”
เมื่อเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามกว่าเห็นจะได้ หลังจากที่อวี้เชียนเสวี่ยอาบน้ำจนสะอาดแล้ว ก็สวมใส่ชุดสีฟ้าครามเดินออกมาจากห้อง ตอนนั้นเองสายตาของทุกคนที่มองมาตกตะลึง โดยเฉพาะมู่เหนี่ยนซี ถึงกับนิ่งชะงักไป
“นี่คือ…”
ชายหนุ่มรูปงาม ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย นี่ใช่ท่านลุงสามที่ดำคล้ำคนก่อนหรือไม่นะ
“โอ้โห ช่าช่า ที่แท้แล้วท่านลุงสามหล่อเหลาปานนี้เชียวหรือ พื้นฐานหน้าตาบ้านเจ้านี่ดีจริงๆ! บ้านเจ้ายังมีชายโสดหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ เอาไว้ให้ข้าสักคน!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยสะกิดอวี้เฟยเยียน พร้อมกระซิบบอก
เพราะแต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็นคนที่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว ทั้งยังชื่นชอบผู้ที่รูปงามเช่นกัน
รูปโฉมที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียนนางเคยเห็นมาแล้ว ตอนนั้นถึงกับตกตะลึงคิดว่าเป็นนางฟ้า ยังบอกอีกว่าหากตนเองเป็นบุรุษจริงๆละก็ คงจะติดตามอวี้เฟยเยียนตลอดชีวิตเป็นแน่
ก่อนหน้านี้ที่นางพบกับอวี้เชียนเสวี่ย เชียนเยี่ยเสวี่ยยังตกตะลึงอยู่นาน
จะให้มองอย่างไรนางก็มองไม่ออกว่าอวี้เฟยเยียนและอวี่เชียนเสวี่ยเป็นครอบครัวเดียวกัน ช่าช่าสวยงดงามขนาดนี้ เหตุใดลุงสามของนางถึงได้ขี้เหร่นักนะ!
ครานี้ ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี้เชียนเสวี่ยเข้า เชียนเยี่ยเสวี่ยแทบจะกัดลิ้นตัวเองดิ้นตาย ขณะเดียวกันก็นับถือมู่เหนี่ยนซีอย่างที่สุด
หากว่าอวี้เชียนเสวี่ยขี้ริ้วขี้เหร่ดำคล้ำเฉกเช่นเมื่อก่อนละก็ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ต้องบอกว่าขี้เหร่ และนางคงจะไม่ชายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ แต่มู่เหนี่ยนซีกลับยอมรับในความเป็นอวี้เชียนเสวี่ยเพียงคนเดียว ทั้งยังดึงดันและยืนหยัดจะต้องเป็นเขาให้ได้
และแล้วสวรรค์ก็เห็นใจนาง คืนชายหนุ่มรูปหล่อให้กับนาง ชนิดที่เรียกว่าทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กันเสียด้วย!
“ข้ายังมีพี่ชายแท้ๆอยู่อีกคน…”
ได้ยินเพียงเท่านั้น เชียนเยี่ยเสวี่ยก็จับแขนของอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แน่น ท่าทีขึงขังจริงจังกล่าวว่า
“ช่าช่า เหลือพี่ชายของเจ้าเอาไว้ให้ข้า!”
ได้ยินในสิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าว อวี้เฟยเยียนถึงกับสำลักน้ำลายตนเองเลยทีเดียว
“พี่ชายของข้าและท่านลุงสามหายสาบสูญไปพร้อมกัน ข้าก็กำลังตามหาเขาอยู่!”
“ไม่เป็นไร! ตามหาพี่ชายเจ้าให้เป็นหน้าที่ของข้า! แต่เราต้องพูดกันไว้ให้ชัดเจน หากว่าตามหาพี่ชายของเจ้าพบ เจ้าจะต้องจับคู่เขาให้กับข้า!”
ดวงตาเชียนเยี่ยเสวี่ยที่ฉายแววเจ้าเล่ห์พราวระยับ มันกำลังส่งสายตาที่ร้อนแรงออกไป ถึงแม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่อวี้เฟยเยียนก็อดใจเต้นขึ้นมาไม่ได้
อมิตตาพุทธ!
โชคดีที่นางมารน้อยผู้นี้เป็นหญิง!
มิเช่นนั้นเขาจะต้องไปก่อกรรมทำเข็ญสตรีอีกสักเท่าไหร่กัน!
ในใจของอวี้เฟยเยียนกำลังครุ่นคิด
หากว่าได้เชียนเยี่ยเสวี่ยมาเป็นพี่สะใภ้ของนางจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาก็ไม่เลวนี่นา! ถึงตอนนั้นมีเจ้าตัวน้อยที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และแสนเจ้าเล่ห์ ที่ใครเห็นเป็นต้องรักแน่นอน!
“ไม่มีปัญหา! แต่ว่าพี่ใหญ่ข้าคิดอย่างไรข้าไม่รู้ด้วยนะ หากว่าเขามิชอบเจ้า ข้าก็ไม่มีทางอื่นใดเช่นกัน!”
ได้ยินอวี้เฟยเยียนพูดเช่นนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ไม่เยิ่นเย้ออีกต่อไป
“ความรักเป็นเรื่องความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ข้อนี้ข้าเข้าใจดี ข้ามิใช่คนที่ตามตอแยไม่เลิก ไร้ซึ่งเหตุผลเสียหน่อย!”
สองคนแปะมือ บรรลุเป้าหมายเดียวกัน
อีกด้าน มู่เหนี่ยนซีที่ยังคงตกตะลึงไม่หาย
“เสียสติไปแล้วหรือ”
อวี้เชียนเสวี่ยเดินมาตรงหน้ามู่เหนี่ยนซี
“เหนี่ยนซี!”
“ท่านคือเสวี่ยจริงๆหรือ”
ตอนที่ 82-5 นี่คือจังหวะผลักให้ล้มลงหรือ
มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากอวบอิ่มของตนเองแน่น สีหน้าไม่เชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่ ข้าไม่เชื่อ!เสวี่ยวอวี้ เจ้าเอาเสวี่ยไปซ่อนไว้ที่ไหน”
มู่เหนี่ยนซีหมุนกายกลับหลังถามหาอวี้เฟยเยียน แต่ถูกอวี้เชียนเสวี่ยรั้งข้อมือเอาไว้
“แม่นางมิต้องหวาดกลัว โจรสลัดพวกนี้ภายนอกดูว่าพวกเขาดุร้ายป่าเถื่อน แท้ที่จริงแล้วอ่อนโยนยิ่งนัก อีกเดี๋ยวจะมีเรือมา เจ้านั่งเรือลำเล็กออกไปก่อน ไม่ต้องกลัว ข้าจะรีบตามเจ้าไป!”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ดวงตาของมู่เหนี่ยนซีก็ล้นปริ่มไปด้วยน้ำตา
ที่ที่นางและอวี้เชียนเสวี่ยเจอกันครั้งแรกก็คือบนเรือโจรสลัด เขาช่วยนางเอาไว้ ในตอนนั้นสิ่งที่เขาพูดก็คือวลีเมื่อครู่นี่เอง
“คิดไม่ถึงว่าท่านยังจำได้…”
มู่เหนี่ยนซีอึกอัก
ที่แท้แล้ว มิใช่นางคิดเองเอออยู่ฝ่ายเดียว!
เขาก็ยังไม่ลืมนางเช่นกัน ดีจริงๆเลย!
“ข้าจำไว้ชั่วชีวิต จะลืมได้อย่างไรกัน!”
อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เสวี่ย!”
เมื่อแน่ใจชัดเจนแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็โผเข้าสู่อ้อมอกของอวี้เชียนเสวี่ย
“ดีมาก ดีจริงๆ! ท่านฟื้นคืนแล้ว!”
นอกจากความดีใจ มู่เหนี่ยนซีก็เริ่มสับสนอยู่ไม่น้อย
“ท่านกลายเป็นรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ! ทำอย่างไรดี! ท่านเป็นที่เป็นเช่นนี้ จะต้องมีหญิงสาวมากมายมารุมชอบเป็นแน่!”
“ไม่หรอก! ข้ามีเพียงเจ้าและจะมีแต่เจ้า!”
ทำไมอวี้เชียนเสวี่ยจะไม่รู้ว่าอาการหึงหวงของสตรีตรงหน้านี้เป็นอย่างไร เขาจึงรีบปลอบประโลมนางทันที
“จริงหรือ”
“จริงสิ! ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่เพียงคนเดียว พี่ชายข้ามีซ้อใหญ่เพียงคนเดียว พี่รองข้าก็มีซ้อรองเพียงคนเดียว พวกเขารักกันมั่นคง ต่อไปพวกเราก็จะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน!”
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เชียนเสวี่ยให้สัญญาอย่างเป็นทางการ มู่เหนี่ยนซีพอดีใจมากเข้า ก็กระโดดจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
“อะแฮ่ม“
ฉากที่เร่าร้อนเช่นนี้เด็กๆ ไม่ควรรับรู้นะ!
ผู้คนที่อยู่รอบๆ มีสองสามคนที่กำลังแหงนหน้าจ้องมองนกที่กำลังโดยบินอยู่บนท้องฟ้า บางส่วนก็กำลังนั่งยองๆ นับมดอยู่บนพื้น ทั้งยังมีบางส่วนที่จู่ๆ ก็ ‘ตาบอด’ มองไม่เห็นอะไรขึ้นมาเสียอย่างนั้น…สรุปแล้ว ไม่มีใครมาแทรกแซงคู่รักคู่นี้ ที่ต้องฟันฝ่าอะไรมามากมายกว่าจะได้ลงเอยกัน
เมื่อเห็นท่านลุงสามได้พบความสุขของตนเอง อวี้เฟยเยียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“ลุงสามกลับมาแล้ว ทั้งยังได้พบกับอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตอีกด้วย “
“พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหนนะ”
“ท่านสบายดีหรือเปล่า”
ราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกในใจของอวี้เฟยเยียน เหลียนจิ่นเดินมาหยุดที่ข้างกายของนางกล่าวว่า
“เดิมทีแล้วข้าพยากรณ์ได้ว่าพวกเจ้าจะได้พบกันที่หอราชาโอสถ แต่พี่ชายเจ้าเกิดเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าวางใจได้เลย ตอนนี้พี่ชายของเจ้ายังปลอดภัยดี!”
“ขอบคุณเจ้ามาก!”
เหลียนจิ่นตั้งมาปลอบโยนนางโดยเฉพาะ ทำให้อวี้เฟยเยียนซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าสองสามวันมานี้ เหลียนจิ่นจะฟื้นฟูร่างกายได้ดี แต่อวี้เฟยเยียนเพิ่งรู้จากหมอเทวดาฮั่วว่า ทุกครั้งที่นักพยากรณ์ทำนายจะต้องสูญเสียพลังจำนวนมาก
ยิ่งถ้าหากทำนายเรื่องใหญ่ๆ ละก็ ก็จะยิ่งสูญทั้งเลือดและพลัง จึงจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ
บ้านตระกูลเหลียนลูกหลานมากมาย แต่พวกเขากลับอายุไม่ยืนสักเท่าไหร่นัก เหตุผลหลักนั่นก็คือร่างกายพวกเขาสูญเสียพลังไปจำนวนมหาศาล ทำให้อายุสั้น
ร่างกายเหลียนจิ่นเดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ขณะนี้มีมุกวารีปีศาจคุ้มครองอยู่ ทำให้มองภายนอกเขาแข็งแรงขึ้นมาก แต่หลายปีที่ผ่านมาร่างกายเหลียนจิ่นมีบางส่วนที่เสื่อมถอยลงไป จึงมิอาจฟื้นฟูร่างกายได้ภายในเวลาเทียบเท่าคนปกติทั่วไปได้ ทำได้แต่เพียงบำรุงรักษาร่างกายเท่าให้คงอยู่เท่านั้น
ดังนั้น ในมุมมองแพทย์ อวี้เฟยเยียนมิต้องการให้เหลียนจิ่นเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป มิฉะนั้นอาจจะบั่นทอนพลังชีวิตของเขา
เช่นนี้มีผลเสียต่อร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก!
“เหลียนจิ่น ระยะนี้ลำบากเจ้าแล้ว ต้องขอโทษด้วย!”
“แต่ว่า ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาของเจ้า ข้าหวังว่าต่อไปเจ้าจะพยากรณ์ให้น้อยลง!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนหนักแน่นจริงจัง ในน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของคำสั่งอยู่เล็กๆ ทำให้เมื่อเหลียนจิ่นได้ฟังแล้วรู้สึกน้อยใจขึ้นมา
“เจ้าวางใจเถอะ ข้ารู้กำลังตัวเองดี”
“นอกเสียจากว่าจะถูกบังคับ มิเช่นนั้นข้าจะไม่พยากรณ์ตามใจชอบเด็ดขาด”
จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเหลียนจิ่นโดยละเอียดแล้ว ไม่พบว่าคำพูดนั้นเขาพูดเพียงแค่ขอไปที อวี้เฟยเยียนถึงได้วางใจ
“ลูกบุรุษพูดได้ทำได้! ในเมื่อพี่ชายของข้ายังปลอดภัยอยู่ ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งข้าและเขาพวกเราจะได้พบกัน เราจะกลับบ้านพร้อมกัน เรื่องนี้ก็ให้พอแค่นี้เถอะ”
“พอแค่นี้ ต่อไปห้ามพยากรณ์ให้ข้ากับพี่ชายอีก ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องสูญเสียพลังอีกแล้ว!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวยังมิทันจบ เหลียนจิ่นก็เข้าใจในความหมายทันที
“ได้!”
เหลียนก้มศีรษะต่ำเล็กน้อย ประหนึ่งดอกบัวที่กำลังสงบใจ
รอจนกระทั่งอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีกะหนุงกะหนิงกันเสร็จเรียบร้อย อวี้เฟยเยียนจึงจับชีพจรตรวจร่างกายของอวี้เชียนเสวี่ย
ก่อนที่ลมปราณของเขาจะแตกซ่าน อวี้เชียนเสวี่ยอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นหลอมรวมอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าการที่เพลิงอเวจีฟื้นฟูลมปราณให้กับเขา มิเพียงแต่ทำให้เขาสำเร็จขั้นหลอมรวม ทั้งยังข้ามขั้นวีรชน สำเร็จถึงขั้นราชันไปในที่สุด
“จอมยุทธ์ขั้นราชัน”
อวี้เชียนเสวี่ยตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
มู่เหนี่ยนซีเพิ่งจะเริ่มเข้าขั้นราชัน ตอนนี้เขาสำเร็จขั้นราชันแล้ว
คนทั้งสองเหมาะสมกันยิ่งนัก!
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่อวี้เชียนเสวี่ยฟื้นฟูลมปราณกลับมาได้ มู่เหนี่ยนซีจัดแจงตั้งโต๊ะสุราอาหารโต๊ะใหญ่ แล้วจึงยกเจ็ดชามใหญ่กับแปดจานยักษ์มาขึ้นโต๊ะ
เพียงแค่เห็นอาหารเหล่านี้ถูกยกเข้ามา เจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่าต่างก็ส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ พวกเจ้าเกรงใจไปแล้ว! สำหรับวันนี้ช่างเถอะ!”
ถูกควันพิษรมเข้าให้ตั้งนาน ทั้งยังอาเจียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขาไม่อยากกินอะไรเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนให้ยาเพื่อปรับสภาพร่างกายแล้ว แต่สภาพจิตใจตอนนี้เห็นทีจะกินอะไรไม่ลงจริงๆ
แม้แต่หมอเทวดาฮั่วที่เรียนตนเองว่าเป็นนักชิมก็ยังโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กินอะไรไม่ลงจริงๆ
“พวกเจ้ากินกันก่อนเถอะ พวกเราไปขอตัวก่อน!”
รอจนกระทั่งเหล่าผู้เฒ่าออกไปกันหมดแล้ว มู่เหนี่ยนซีจึงลากแขนอวี้เฟยเยียนมานั่งที่หัวโต๊ะ
“เสี่ยวอวี้ ขอบคุณเจ้ามากนะ! ชามนี้ข้าดื่มให้เจ้า!”
รินสุราจนเต็มถ้วย มู่เหนี่ยนซีกล้าหาญผ่าเผย ดื่มรวดเดียวจนหมด
ส่วนอวี้เฟยเยียนที่จัดว่าเป็นพวกคอไม่แข็ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชามสุราที่มู่เหนี่ยนซียื่นมาตรงหน้า ก็อดขนลุกเสียวสันหลังไม่ได้
นาทีนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็มาแล้วรับถ้วยสุรานั้นไว้ กล่าวว่า
“ข้าดื่มแทนนางเอง!”
“เฮ้ย นี่มันขี้โกงนี่นา! แบบนี้ได้อย่างไรกัน!”
คำประท้วงของมู่เหนี่ยนซีไม่มีผลใดๆ กับซย่าโหวฉิงเทียน เขากระดกสุราจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
มู่เหนี่ยนซียัง จำได้ขึ้นใจ ถึงสภาพของอวี้เชียนเสวี่ยครั้งที่ถูกซย่าโหวฉิงเทียนมอมด้วยสุรา
อวี้เชียนเสวี่ยเมาอยู่สองวันเต็มๆ มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
ตอนนี้เมื่อเขาออกหน้าขอดื่มแทนอวี้เฟยเยียนด้วยตัวเอง มู่เหนี่ยนซีจึงให้คนยกไหสุราขึ้นมาทันที
“หากท่านสงสารเสี่ยวอวี้จริง ก็งัดความเป็นลูกผู้ชายของท่านออกมา! พวกเราใช้ไหสุราดื่มไปเลย! ข้าดื่มหนึ่งไห ท่านดื่มสองไห ว่าอย่างไร”
ในฐานะที่เป็นภรรยาอวี้เชียนเสวี่ย ป้าของอวี้เฟยเยียน มู่เหนี่ยนซีจึงคิดว่าตนเองต้องรับผิดชอบกู้หน้าให้กับอวี้เชียนเสวี่ย ทั้งยังมีหน้าที่ปกป้องอวี้เฟยเยียน มิให้คนร้ายชักนำนางไปในทางที่ผิด
“โอ้โห! ทวงหนี้แทนอย่างนั้นหรือ!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยลากอวี้เฟยเยียนมาอีกด้านเพื่อรับชมความบันเทิง
สำหรับซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนมั่นใจเกินร้อย เขาดื่มสุราราวกับดื่มน้ำก็ไม่ปาน สำหรับเขา มู่เหนี่ยนซีถือว่าเล็กน้อยไปเลย!
ผลก็คือมู่เหนี่ยนซีดื่มสุราทั้งหมดสี่ไห ก็เวียนศีรษะล้มพับลงไปทันที แต่มือที่จับอวี้เชียนเสวี่ยอยู่ก็มิยอมปล่อย
“ข้าพานางกลับไปส่งเอง”
อวี้เชียนเสวี่ยมองซย่าโหวฉิงเทียนหน้าตึง
ดีนี่!
มอมข้าจนเมาข้าจะไม่พูด ยังมอมเมียข้าอีกหรือนี่!
“ตกลงเจ้าหมอนี่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไม่นะ! ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมาตามจีบเสี่ยวเยียนเยียนอีกหรือ”
“ไม่ได้เรื่อง คออ่อนเหมือนกันเลย!”
ประโยคเดียวของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยโมโหฮึดฮัด หากมิใช่เขายังต้องดูแลมู่เหนี่ยนซีละก็ อวี้เชียนก็คงลงไปตั๊นหน้าซย่าโหวฉิงเทียนสักรอบแล้ว
“ค่อยๆนะ!”
ประคองมู่เหนี่ยนซีเข้าไปในห้องเรียบร้อย อวี้เชียนเสวี่ยยกน้ำมาเตรียมที่จะเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับนาง มู่เหนี่ยนซีก็ลืมตาขึ้น นางมองมาที่อวี้เชียนเสวี่ยสายตาหลุกหลิก
“เหนียนซี เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อย่างนั้น ข้าไปต้มน้ำแกงให้เจ้าดื่มแก้เมาดีกว่านะ!”
ใครจะไปคิด อวี้เชียนเสวี่ยยังไม่ทันไปไหน มู่เหนี่ยนซีก็พลิกกายขึ้นมาคร่อมทับอวี้เชียนเสวี่ยบนเตียง
ตอนที่ 83-1 ความรักแสนหวาน
“เหนี่ยนซี…”
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เชียนเสวี่ยถูกสตรีกดร่างเอาไว้ ทั้งยังอยู่ในท่าขี่ม้าอีกด้วย ว่าแล้วแก้มเขาก็แดงก่ำ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ชอบมาพากลสักเท่าไหร่
“หา เหตุใดเสวี่ยของข้าถึงได้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้นะ…”
เพราะว่านางดื่มจนเมา สายตามู่เหนี่ยนซีจึงพร่าเลือนมองไม่ชัดเจน
เหตุใดนางถึงมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย ต้องขยับหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนใบหน้าแทบจะติดกัน
“เหอะๆ ผิวขาวจริงๆ เนียนละเอียด นุ่มลื่น! น่าอิจฉาชะมัด!”
กลิ่นสุราผสมผสานกับกลิ่นหอมเนื้อนางสตรี อบอวลวนเวียนอยู่ที่จมูกของอวี้เชียนเสวี่ย
อยากตายให้รู้แล้วรู้รอด!
ความทรมานเช่นนี้!
เลือดในกายอวี้เชียนเสวี่ยเดือดพล่าน เขาจับข้อมือของมู่เหนี่ยนซีเอาไว้แน่น เพื่อที่จะลุกขึ้นนั่ง แล้วประคองนางไปที่เตียง ใครจะไปคิดว่ามู่เหนี่ยนซีจะใช้พละกำลัง กดอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้อย่างแน่นหนา
“สุดหล่อ ท่านจะไปไหนกัน”
คราวนี้มู่เหนี่ยนซีนั่งหลังตรงแน่ว พร้อมกับยื่นมือออกมาลูบไล้ผิวพรรณของอวี้เชียนเสวี่ย
“เหตุใดถึงได้ขาวขนาดนี้นะ ราวกับหนุ่มน้อยหน้าใส น่าเบื่อที่สุด! ทำไมข้าไม่ขาวบ้างนะ ไม่ได้ ข้าจะต้องไปหาน้องอวี้ถามหาตำราความขาว…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ มู่เหนี่ยนซีก็ยิ้ม ‘อิอิ’ ออกมา แล้วก็ตบที่ปากตนเองหนึ่งครั้ง
“ไอ้หยา เสี่ยวอวี้ ไม่ใช่น้องอวี้! หากนางเป็นน้องสาวของข้า ข้าก็มิอาจอยู่ร่วมกับเสวี่ยได้!”
มู่เหนี่ยนซีตอนเมาสุรา ราวกับเด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ปาน เดี๋ยวงงงวยเดี๋ยวเข้าใจ ว่านอนสอนง่าย
แล้วก็บังเอิญที่ใบหน้าของนางราวกับพี่สาวที่เข้าใจโลกถ่องแท้กับร่างที่เป็นผู้ใหญ่
ทั้งสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงรวมอยู่ในร่างของคนคนเดียว เดิมทีแล้วมันควรที่จะมีความขัดแย้งกันอยู่มาก ทว่าในสายตาอวี้เชียนเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีในแบบนี้ กลับน่ารักเอาเรื่องทีเดียว!
แต่ว่า นางดื่มจนเมา เขาเป็นสุภาพบุรุษ มิควรฉวยโอกาสเอาเปรียบหญิงสาวในขณะที่นางเมามายเช่นนี้ คิดได้ดังนั้น อวี้เชียนเสวี่ยจึงต้องหาสารพัดคำมาปลุกปลอบ เพื่อให้มู่เหนี่ยนซีปล่อยตนเอง
หากว่านางกำลังมีสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ วิธีของอวี้เชียนเสวี่ยต้องได้ผลอย่างแน่นอน แต่กับคนเมาคนหนึ่งหรือว่ากับหญิงสาวแล้วหากจะพูดด้วยเหตุผลละก็ นางจะทำให้ชายหนุ่มไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ มาพูดอีกเลย
ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดไว้ เมื่อมู่เหนี่ยนซีได้ฟังคำพูดของอวี้เชียนเสวี่ยแล้ว ก็ยื่นมือมาอุดปากอวี้เชียนเสวี่ยทันที
“ไม่ต้องพูดแล้ว! น่ารำคาญชะมัด!”
“บ่นมากอยู่ได้ บ่นยิ่งกว่าท่านแม่อีก น่ารำคาญที่สุด หากท่านยังพูดอีก ข้าจะกัดท่าน!”
พูดจบ มู่เหนี่ยนซีก็นอนคว่ำบนลงบนร่างของอวี้เชียนเสวี่ย อ้าปาก แล้วกัดที่คางของเขาอย่างแรง
งับ…
คราวนี้ เจ็บจริงจนอวี้เชียนเสวี่ยร้องออกมา
“อ๊าก…”
มู่เหนี่ยนซีมองเห็นอวี้เชียนเสวี่ยขมวดคิ้วทำหน้าตาน่าสงสารแล้ว นางกลับชอบใจเป็นอย่างมาก
“นี่คือการลงโทษท่าน! ใครใช้ให้ท่านชอบรังแกข้ามาตลอดเล่า”
“ข้าเปล่า…”
“ข้าบอกว่ารังแกก็คือรังแกสิ!”
ว่าแล้วมู่เหนี่ยนซีก็งับเข้าที่หัวไหล่ของอวี้เชียนเสวี่ยอีกครั้ง
“ท่านไล่ข้าไป ทั้งยังรังเกียจว่าข้าเป็นโจร ท่านร้ายยิ่งนัก! ข้าต้องแก้แค้น”
“ได้ๆ เจ้าแก้แค้น!”
“แต่ว่าเจ้าเบามือหน่อยนะ แม่ทูนหัว เนื้อของข้าถูกเจ้ากัดจนหลุดหมดแล้ว…”
อวี้เชียนเสวี่ยกำลังใช้อุบายหลอกเด็กหล่อกล่อมู่เหนี่ยนซี
“ข้ามิใช่อาหรือย่าของท่านเสียหน่อย! อายุยังห่างอีกตั้งเยอะ ข้าไม่แก่ถึงขนาดนั้นนะ!”
มู่เหนี่ยนซีเห็นอวี้เชียนเสวี่ยอยู่ตรงหน้าก็ยื่นหน้าเข้าไปหา หน้าชนหน้า สายตาประสานกัน นางจ้องอวี้เชียนเสวี่ยนิ่ง ดวงตาไม่ขยับเขยื้อน
“ท่านเป็นบุรุษ ข้าเป็นสตรี! ข้าเคยบอกกับท่านไปตั้งนานแล้ว ว่าท่านหนีไม่พ้นเงื้อมมือของข้าหรอก!”
คำปฏิญาณที่เร่าร้อน พริบตานั้นมันจุดเปลวไฟในหัวใจของอวี้เชียนเสวี่ยให้ติดขึ้น
รูปแบบความรักของชาวโจรสลัดก็ง่ายๆ พวกเขาจะไม่ใช้ สามี ภรรยา สองคำนี้เรียกขานคนรักของตนเอง
ที่ทะเลหมอก คำหยาบที่อวี้เชียนเสวี่ยได้ยินบ่อยครั้งที่สุดนั่นก็คือ ‘บุรุษของข้า สตรีของข้า’ มีหยาบยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือพวกเขาถึงกับใช้คำเรียกว่า ‘นี่คือผัวของข้า นี่คือเมียของข้า’ เลยทีเดียว
ง่ายและตรง ในทางตรงกันข้ามมันสามารถแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคนสองคนได้เป็นอย่างดี ไม่มีความห่างเหินด้วยคำว่าความสุภาพและมารยาท มีเพียงแค่ความรักที่ร้อนแรงเท่านั้น
ตอนนี้มู่เหนี่ยนซีกำลังใช้วิธีการของโจรสลัดแสดงความรู้สึกตนออกไป ทำให้เลือดหนุ่มในร่างกายของอวี้เชียนเสวี่ยฉีดพล่าน ขณะเดียวกันจิตใจเตลิดเปิดเปิง
เพียงแต่ม้าที่กำลังวิ่งพุ่งออกไปก็ถูกสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลมของอวี้เชียนเสวี่ยตวัดกลับมาจนได้
ใจสั่นหวั่นไหวก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังต้องให้เกียรติด้วยความที่นางเป็นสตรีด้วย!
เขาจะฉวยโอกาสได้อย่างไร เขาจะมีความคิดเช่นนั้นในขณะอีกฝ่ายเมาสุราได้อย่างไรกัน…
ยิ่งคิด อวี้เชียนเสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่เลวนัก ถึงกับมีความคิดเช่นนั้นกับมู่เหนี่ยนซีได้
“ต้องสงบใจไว้ ต้องอดทน!”
อวี้เชียนเสวี่ยกระซิบบอกตนเอง
“อดทนอะไร”
มู่เหนี่ยนซีเท้าคางถามขึ้น แล้วจ้องมองอวี้เชียนเสวี่ยสายตาแป๋วแหวว
“เสวี่ย หน้าท่านแดง ป่วยหรือเปล่า”
พูดไป ก็ยื่นมือมาทาบดูที่หน้าผากของอวี้เชียนเสวี่ย
ใครจะคาดคิด มือของนางยิ่งอุ่นร้อนกว่าปกติเสียอีก เมื่อครู่ที่สัมผัสกับผิวของอวี้เชียนเสวี่ย
ซ่า!
ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งแดงก่ำ ราวก้อนเมฆที่ถูกแสงตะวันสาดส่อง
“ป่วยจริงๆหรือ”
คราวนี้มู่เหนี่ยนซีร้อนใจขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว นางพลิกกายลงจากเตียง เดินอาดๆ มุ่งหน้าจะออกไปจากห้อง
“เสี่ยวอวี้ เสวี่ย ไม่สบาย เสี่ยงอวี้…”
“ข้าไม่เป็นอะไร!”
เสียงมู่เหนี่ยนซีตะโกนออกไป ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยอับอายยิ่งนัก
หากมู่เหนี่ยนซีเรียกอวี้เฟยเยียนเข้ามา เข้าจะอธิบายอย่างไรกัน
หรือจะให้เขาบอกกับหลานสาวว่า ลุงสามของนางเกิดอารมณ์ขึ้นมา ตอนนี้ถูกไฟปรารถนาแผดเผาอย่างนั้นหรือ
แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน!
อวี้เชียนเสวี่ยยื่นมือออกไปโอบกอดมู่เหนี่ยนซีไว้ เพื่อไม่ให้นางออกไป แต่ทว่ามู่เหนี่ยนซีกลับไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนขืนตัว คนทั้งสองจึงกลิ้งไปมาบนพื้น
คราวนี้กลายเป็นมู่เหนี่ยนซีที่อยู่ด้านล่าง โดยที่อวี้เชียนเสวี่ยอยู่ข้างบน
“เหนี่ยนซี เจ็บหรือเปล่า รีบลุกขึ้นเร็ว!”
อวี้เชียนเสวี่ยลุกขึ้นแล้วฉุดรั้งมู่เหนี่ยนซีขึ้นมาด้วย แต่นางกลับยื่นมือขึ้นมาโอบรอบคออวี้เชียนเสวี่ย
“เสวี่ย ท่านชอบข้าหรือไม่”
ริมฝีปากมู่เหนี่ยนซี ชุ่มฉ่ำอวบอิ่ม สีแดงระเรื่อ ราวกับดอกไม้แรกแย้มก็ไม่ปาน
และดวงตานางก็มิใช่สีดำปกติทั่วไป หากแต่เป็นสีเดียวกับสีผิวนาง เป็นสีน้ำตาลเข้ม เจือความด้วยความเป็นเลือดผสมเอาไว้ ซึ่งให้ความรู้สึกพิเศษอีกแบบหนึ่ง
“ท่านรักข้าหรือไม่”
ชั่วชีวิตอวี้เชียนเสวี่ยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกไล่ถามคำถามเช่นนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยชินกับความกล้าหาญชาญชัยและความเผ็ดร้อนของมู่เหนี่ยนซีอยู่แล้ว แต่อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้ดีกว่า นางมิใช่หญิงง่ายๆ
ที่ทะเลหมอก มีโจรสลัดหนุ่มมากมายที่ชอบพอในตัวมู่เหนี่ยนซี พวกเขาต่างคอยไล่ตามนาง
แต่นางก็มิสนใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะมียิ้ม หัวเราะ ด่าทอ แต่จนแล้วจนเล่านางก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับเด็กหนุ่มพวกนั้นไว้อย่างดี ราวกับกุหลาบงามที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆ แต่มิอาจเด็ดมาดอมดมได้ง่ายดาย
เพราะว่านางมีความสามารถและเป็นที่ดึงดูด ทั้งรักษากายให้สะอาดมิมีด่างพร้อย มีความกล้าหาญ มีคุณธรรม ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนต่างพากันรักและเทิดทูน กลายเป็นโจรสลัดหญิงแถวหน้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
มู่เหนี่ยนซี เป็นสตรีที่ดีงามคนหนึ่ง!
“ข้าชอบเจ้า! ข้ารักเจ้า!”
อวี้เชียนเสวี่ยยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกหน้าของนางให้คลายออก เพื่อเผยความงดงามของหน้าผากและคิ้วแสนสวยของนาง
“ข้าไม่เชื่อ!”
มู่เหนี่ยนซีตาปรือ
“เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าคอยไล่ตามท่านมาโดยตลอด ไล่ตามท่านอยู่เบื้องหลังด้วยความยากลำบาก แต่ท่านก็มักจะเย็นชาใส่ เอาแต่รักษาระยะห่างระหว่างท่านและข้า! ตอนนี้ ท่านเพียงแต่หลอกให้ข้าดีใจเท่านั้น!”
“ใช่ ข้าผิดเอง!”
อวี้เชียนเสวี่ยรีบเอ่ยปากขอโทษ
ข้าอายุมากเกินไป ไม่คู่ควรกับเจ้า!
อวี้เชียนเสวี่ยเปิดเผยความในใจของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเองยังนึกไม่ถึงว่าตนเองจะทำ
เมื่อตอนที่เขาพบกับมู่เหนี่ยนซีนั้น เขาอายุสามสิบกว่าแล้ว จึงเป็นชายที่อายุมากแล้วคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนพิการที่ลมปราณสูญสิ้นอีกด้วย
แต่นาง นางกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพลัง ประหนึ่งแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องลงมาให้กับมนุษย์
พวกเขาทั้งสองอายุต่างกันมากกว่าหนึ่งรอบได้!
หากว่าเขาแต่งงานเร็วละก็ ไม่แน่ว่าลูกของเขาคงอายุเท่ามู่เหนี่ยนซีไปแล้ว!
อวี้เชียนเสวี่ยทำในสิ่งที่เรียกว่าวัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้จริงๆ!
ตอนที่ 83-2 ความรักแสนหวาน
“อิอิ ท่านไม่แก่สักหน่อย! ข้าชอบกินหญ้าแก่ หญ้าแก่ต้องออกแรงเคี้ยวให้มาก! ท่านดูสิ ฟันของข้าออกจะดี! ข้าไม่กลัวหรอก!”
กล่าวจบมู่เหนี่ยนซีก็อ้าปาก ให้อวี้เชียนเสวี่ยสำรวจฟันขาวๆของตนเอง
อารมณ์เด็กๆเช่นนี้ของนาง ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้!
ก่อนหน้านี้ที่เขามักจะต่อว่าซย่าโหวฉิงเทียน ตอนนี้ เห็นทีจะต้องขอบคุณอีกฝ่ายให้มากเสียแล้ว
หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนดวลสุรากับนางจนเมา อวี้เชียนเสวี่ยไหนเลยจะมีโอกาสได้เห็นนางในอีกด้านเช่นนี้เล่า!
แต่ทว่า อวี้เชียนเสวี่ยมิรู้เลยว่า สิ่งที่ทำให้เขาต้องขอบคุณซย่าโหวฉิงเทียนให้มากๆ อยู่หลังจากนี้ต่างหาก…
“เอาละ เหนี่ยนซี ข้าประคองเจ้าไปนอนที่เตียงดีหรือไม่”
“ดี!”
เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ มู่เหนี่ยนซีก็สงบลง พยักหน้าอย่างว่าง่าย
จนกระทั่งอวี้เชียนเสวี่ยประคองนางนอนลง ถอดถุงเท้าให้กับนาง และเตรียมจะห่มผ้าให้นางนั่นเอง มู่เหนี่ยนซีกับร้องขึ้นมาว่าร้อน แล้วเริ่มแกะปมเสื้อ
ห้ามมองเสียมารยาท!
เมื่อไหปลาร้าที่งดงามประจักษ์แก่สายตา อวี้เชียนเสวี่ยก็รีบเสมองไปอีกด้าน
“ร้อนจัง!”
มู่เหนี่ยนซีมิสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว นางจัดแจงปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออกจนเกือบหมด เหลือเพียงชุดชั้นในปกปิดเรือนร่างเอาไว้เท่านั้น
ตรงหน้าคือหญิงที่ตนเองรัก แล้วนางก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ เพียงแค่ความสมบูรณ์พูนพร้อมราวกับภาพวาดเสมือนจริงตรงหน้า ก็ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเกือบเลือดกำเดาไหลออกมาแล้ว
“ข้าไปล่ะ…”
อวี้เชียนเสวี่ยพูดจาตะกุกตะกัก หมุนกายเตรียมเดินออกไป ทว่ากลับได้ยินเพียงแค่เสียง
ฟุ่บ!
และเมื่อเขาหันกลับมา ไม่รู้มู่เหนี่ยนซีทำอิท่าไหน ถึงได้นอนกองอยู่บนพื้น ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยตกใจจนใจหาย รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่ามู่เหนี่ยนซีกลับยื่นมือออกมาผลักอวี้เชียนเสวี่ยล้มไปที่เตียง ส่วนตนเองดึงทึ้งผ้าม่านข้างเตียงลงก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปข้างใน
“เหนี่ยนซี เหนี่ยนซี…”
เมื่อเห็นว่ามู่เหนี่ยนซีเริ่มดึงสายคาดเอวของเขาออก อวี้เชียนเสวี่ยก็รีบไปตะครุบเอวของนางเอาไว้
“น่ารำคาญน่า!”
มู่เหนี่ยนซีตบที่มือของอวี้เชียนเสวี่ยที่พาดอยู่บนเอวของตนอย่างแรง
“อวี้เชียนเสวี่ย ข้าจะบอกท่านให้นะ วันนี้ข้าจะต้องกินท่านให้จงได้! ทางที่ดีให้ท่านเชื่อฟังข้า หากท่านมิยอมละข้าละก็ ข้าไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่!”
เมื่อครู่ยังเรียบร้อยว่าง่ายอยู่เลย แล้วเหตุใดตอนนี้วิญญาณนายหญิงใหญ่ประทับร่างอีกแล้วเล่า
“เหนี่ยนซี เจ้าฟังข้านะ พวกเรายังมิได้แต่งงานกัน!”
“ข้าจะต้องเชิญแม่สื่อและยกสินสอดมาสู่ขอเจ้า จากนั้นเราจึงจะร่วมหอกันได้ เจ้ารู้หรือไม่!”
อวี้เชียนเสวี่ยพยายามหลบหลีก แต่ทว่ามู่เหนี่ยนซีกลับไม่มีท่าทีจะหยุดแต่อย่างใด
“พูดมากน่า! ท่านจะให้ก็ดีไม่ให้ก็ช่าง อย่างไรก็ต้องให้ข้าอยู่ดี! ข้าต้องการท่าน ท่านต้องการข้า หากท่านมิต้องการข้า เช่นนั้นก็ให้ข้าต้องการท่านแล้วกัน!”
ถึงแม้ว่าอวี้เชียนเสวี่ยจะสำเร็จขั้นราชันแล้ว แต่กำลังของเขายังไม่ฟื้นฟูเต็มที่
ซึ่งหากจะกล่าวในแง่พละกำลังและทักษะละก็ อวี้เชียนเสวี่ยในตอนนี้มิใช่คู่ต่อสู้ของมู่เหนี่ยนซีเป็นแน่
ไม่ว่าจะฐานะที่เป็นโจรสลัดสาว หรือว่าในฐานะเป็นหัวหน้าโจรสลัดก็ตาม มู่เหนี่ยนซีจะแสดงถึงวิถีทางของโจรสลัดที่ทำสิ่งใดแล้วจะต้องทำให้ถึงที่สุดออกมา
นางจับมือทั้งสองข้างของอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แน่นแล้วใช้ที่คาดเอวของเขานั่นแหละมัดเอาไว้ แล้วจัดแจงลอกคราบเขาราวกับปอกเปลือกไข่ไก่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ทว่าเมื่อถึงนาทีเข้าด้ายเข้าเข็มนั่นเอง นางกลับหยุดมือ ขมวดคิ้ว ขั้นตอนต่อไปทำอย่างไรนะ นางทำไม่เป็นจริงๆ! ท่านแม่ก็ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้เสียด้วย ทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าจริงเลย!
นี่ก็เพิ่งเริ่มต้นฤดูไม้ใบผลิ แต่ยามค่ำคือของหุบเขาลั่วสยานับว่าหนาวเหน็บอยู่มากนัก
ทว่าภายในห้องกลับอยู่ในสภาวะเร่าร้อนอย่างหนักหน่วง
มู่เหนี่ยนซีกัดตรงนี้ที ขบเม้มตรงนั้นที เปลี่ยนที่ลูบคลำ กระทั่งใช้ลิ้นเลียไปมา ร้อนรนจนเหงื่อแตกทั่วร่าง
แต่คนที่ทรมานยิ่งกว่านางนั่นก็คืออวี้เชียนเสวี่ย ให้ตายเถอะ นี่มันทรมานเสียยิ่งกว่าในสนามรบ ทรมานยิ่งกว่าลมปราณแตกซ่านเป็นไหนๆ
ถูกโจรสลัดสาวโจมตี ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว!
ที่น่ากลัวก็คือ ถูกโจรสลัดสาวที่ไม่รู้อะไรเลยยั่วยวนนี่แหละ นี่มันทรมานกันชัดๆ!
ให้ข้าได้ตายสบายๆมิได้หรืออย่างไร ขอร้องละ!
“น่าจะทำอย่างนี้แหละ!”
หลังจากย่ำไปย่ำมาบนร่างอวี้เชียนเสวี่ยจนสาแก่ใจแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็นอนลง แล้วยื่นมือไปโอบรอบคอเขาเอาไว้แล้วกล่าวว่า
“ไม่รู้ว่าจะมีลูกหรือไม่นะ!”
“ลูก…”
อวี้เชียนเสวี่ยถึงกับน้ำตาไหลพราก
หากว่าทำเช่นนี้อย่างที่เจ้าว่าละก็ ให้ร้อยปีพวกเราก็ไม่มีลูกหรอก!
เห็นว่ามู่เหนี่ยนซี หัวถึงเอนหมอนก็จวนเจียนจะหลับ อวี้เชียนเสวี่ยไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแต่ขานชื่อเรียกนางเบาๆ
“เหนี่ยนซี เจ้าปล่อยข้าเถอะ”
“ไม่ปล่อย! หากปล่อยมือท่าน ท่านก็จะหายไป!”
มู่เหนี่ยนซีไม่สนใจอะไรอีกแล้ว นางกอดอวี้เชียนเสวี่ยเอาไว้แน่น ด้วยเกรงว่าเขาจะหายไป
หยกที่อ่อนนุ่มอยู่แนบกาย ต่อให้อวี้เชียนเสวี่ยเป็นสุภาพบุรุษขนาดไหน แต่คราวนี้ก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
มู่เหนี่ยนซี นี่เจ้ายั่วยวนให้ข้าต้องกระทำผิด!
หากข้าทำอะไรเจ้า ก็เลวเยี่ยงสัตว์ร้าย
แต่ทว่า หญิงคนรักอยู่ตรงหน้า ทั้งยังทำถึงขนาดนี้แล้ว หากว่าเขายังมิซาบซึ้งใจอีกละก็ เช่นนั้นก็คงเทียบอะไรกับสัตว์มิได้แล้วเช่นกัน!
“เหนี่ยนซี ปล่อยข้าเถอะ ข้าจะได้สอนเจ้าว่าเราจะมีลูกกันได้อย่างไร นะเด็กดี!”
เสียงอวี้เชียนเสวี่ยหวานราวกับเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล ทั้งยังนุ่มนวลอ่อนหวาน เต็มไปด้วยแรงดึงดูด
“จริงหรือ”
เพียงแค่ได้ยินว่าลูก มู่เหนี่ยนซีก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะนางครุ่นคิดเกี่ยวกับหลักการที่ว่า ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ของเชียนเยี่ยเสวี่ยมาตลอด โดยเฉพาะประโยคที่ตระกูลอวี้มีลูกหลานน้อยนิด ทำให้มู่เหนี่ยนซียิ่งอยากที่จะมีลูกให้กับอวี้เชียนเสวี่ยไปใหญ่
“เร็ว! พวกเราทำลูกกัน!”
มู่เหนี่ยนซีรีบปล่อยอวี้เชียนเสวี่ยให้เป็นอิสระอย่างเร็วพลัน ส่วนตัวนางนอนอยู่บนเตียง
“เร็วเข้า!”
คำเชื้อเชิญที่อบอุ่นเช่นนี้ ทำให้สติของอวี้เชียนเสวี่ยที่ยังคงเหลืออยู่น้อยนิดสูญสิ้นไปไม่เหลือ เขาพลิกกายขึ้นคร่อมมู่เหนี่ยนซีเอาไว้
ตอนที่ 83-3 ความรักแสนหวาน
“เหนี่ยนซี มีลูกสาวที่น่ารักเช่นเจ้าให้ข้าสักคนนะ! แล้วพวกเราช่วยกันรักดูแลเขาด้วยกัน!”
“เอาสิ! ลูกชายข้าก็ต้องการนะ! ข้าต้องการชายคนหญิงคน!”
“ได้ๆ! ข้าฟังเจ้าทุกอย่าง ลูกชายลูกสาวล้วนแต่ต้องการ!”
“เช่นนั้นเจ้าต้องสู้ๆ นะ! ท่านแม่บอกว่าทำลูกต้องพึ่งฝ่ายชาย เจ้าจะต้องให้ลูกสองคนแก่ข้านะ!”
“ได้ ข้าให้เจ้า ให้เจ้าทุกอย่าง”
ภายในห้อง ไฟแห่งปรารถนากำลังลุกโชนขึ้นแผดเผาคนทั้งสอง
ที่นอกห้อง
อวี้เฟยเยียนคลำจมูกตนเองเบาๆด้วยความอึดอัด ก่อนจะค่อยๆ ลอบมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเคอะเขิน
เดิมทีด้วยเป็นความเป็นห่วงท่านป้าสามที่เมาสุรา จึงได้เดินเข้ามาดู แล้วซย่าโหวฉิงก็เดินตามมาด้วย นึกไม่ถึงว่าเดินมาจนถึงหน้าประตูก็ได้ยินบทสนทนาอันเร่าร้อนขนาดนั้น
ท่านลุงสาม นึกไม่ถึงว่าท่านจะเป็นหมาป่านักล่าในคราบสุภาพชนกับเขาด้วยหรือนี่
ท่านป้าสามถูกท่านกลืนกินเข้าไปเสียแล้ว สมเป็นชายชาตรีจริงๆ
คิดว่าอีกไม่ช้าไม่นาน อวี้เฟยเยียนคงจะได้น้องชาย หรือว่าน้องสาวแน่ๆ…
“เอ่อ พวกเรากลับไปที่ห้องกันเถอะ!”
คราวนี้อวี้เฟยเยียนรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก หากว่ามีนางเพียงคนเดียวที่เดินมาก็ยังดี
แต่ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนดวลสุรากับสตรีจนนางเมามายถึงขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงเดินมาพร้อมกับนาง ดังนั้นเขาจึงได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำโดยมิตกหล่น
ทำเอาอวี้เฟยเยียนเขินอายจนแก้มแดง ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนถึงแม้ว่าสีหน้าจะเป็นเช่นเดิม แต่ทว่าในใจของเขากลับลิงโลด
ที่แท้แล้วนี่เองที่เรียกว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก!
ดูท่าแล้วได้ผลชะงัดนัก!
เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะหุงข้าวได้บ้าง ที่แท้แล้วข้าวเขาก็หุงกันเช่นนี้นี่เองน่ะเหรอ! คิดถึงตรงนี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็เผลอเหลือบมองอวี้เฟยเยียนที่ตัวโผล่พ้นอกมาของเขามาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
แมวน้อยที่อรชรอ้อนแอ้น กินก็น้อยนิดอย่างนี้ เมื่อไหร่นะนางถึงจะเติบโตขึ้น
หากเปรียบเทียบกับเซวียจื่ออี๋และมู่เหนี่ยนซีละก็ อวี้เฟยเยียนจัดอยู่ในจำพวกรูปร่างเพรียวบาง ยืนเคียงข้างซย่าโหวฉิงเทียนที่สูงถึงร้อยเก้าสิบเช่นนี้ ยิ่งเหมือนกับลูกของเขาเข้าไปใหญ่ จุดนี้ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เห็นทีจะต้องขุนแมวน้อยให้มีน้ำมีนวลขึ้นหน่อย ให้นางรีบเติบโตเสียที!
ถูกซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองตาไม่กะพริบเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เอ่อ เสี่ยวฉิงฉิงสบายดีหรือไม่ กลางคืนเขายังร้องไห้อีกหรือเปล่า”
จู่ๆ ก็ถูกยิงคำถามเรื่องนี้เข้า ซย่าโหวฉิงเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง
“เสี่ยวฉิงฉิง คืออะไร”
“ก็เด็กบุรุษคนนั้นอย่างไรเล่า ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับท่านทุกประการนั่นอย่างไรเล่า!”
ได้อวี้เฟยเยียนร้องเตือน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้เข้าใจ
จริงสิ แมวน้อยตั้งชื่อให้กับเขาว่าเสี่ยวฉิงฉิง ชื่อนี่ฟังแล้วขนลุกชะมัด เหมือนกับเด็กบุรุษที่ไหนกัน!
“เขาสบายดี”
น้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนเทียนแข็งกระด้างขึ้นเล็กน้อย
เขาต้องสบายดีอยู่แล้ว เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้านี่อย่างไรเล่า!
“อื้ม”
ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนพูดเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนรู้สึกผิดหวังไม่น้อย เจ้าหมีน้อยนั่น สะบัดก้นไปเสียเฉยๆ ไม่บอกกล่าวกันสักคำ ทำให้นางหลงเป็นห่วงแทบแย่ น่าโมโหนัก!
“ท่านกับเด็กนั่นเป็นอะไรกัน”
จู่ๆ อวี้เฟยเยียนที่พยายามหาหัวข้อสนทนาก็ถามขึ้น เพื่อขจัดความอึดอัด
“ตอนแรกข้าคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรชายของท่าน…”
แค่กๆ!
ซย่าโหวฉิงเทียนยกมือขึ้นป้องปาก
“จะเป็นไปได้อย่างไร! เจ้าเด็กเปรตนั่นจะเป็นลูกชายของพี่ได้อย่างไรกัน!”
เจ้าเด็กเปรต
ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนใช้สรรพนามเรียกเด็กน้อยแล้ว อวี้เฟยเยียนถึงกับหมดคำพูด มีเพียงลูกสัตว์เท่านั้นจึงจะเรียกว่า ‘ไอ้นั่น ไอ้นี่’ ได้ เข้าใจหรือไม่
“เด็กนั่นเป็นใคร”
“เขาคือ…”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เคยโกหกอวี้เฟยเยียนมาก่อน เขาจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง ด้วยคิดหาข้ออ้างไม่ออก
“ญาติคนหนึ่ง!”
คิดจนหัวแทบแตก จนสุดท้ายซย่าโหวฉิงเทียนก็คิดคำตอบนี้ออกมาได้
“หืม”
อวี้เฟยเยียนเดินเข้าหยุดยืนที่เบื้องหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน จ้องหน้าเขา
“ท่านโกหก!”
โดนแมวน้อยจับโกหกซึ่งหน้าเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนอึดอัดเป็นอย่างมาก
แต่เขาจะทำอย่างไรดีนะ
หรือจะเขาสารภาพกับแมวน้อยไปเสียเลยว่าเขาเองนี่แหละคือเสี่ยวฉิงฉิง
คนที่หอมนาง กอดนาง เอาเปรียบนาง ก็คือเขาเอง
ทำเช่นนั้นจะต้องถูกตบกระเด็นเป็นแน่!
ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะสู้เขาไม่ได้ก็ตาม แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็พอจะนึกภาพออกหากว่านางรู้ความจริงนางต้องทั้งอายทั้งกังวล ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนฉบับแสนงอนจะน่ารัก เขาก็รักนางมากที่สุดอยู่แล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่อยากให้นางโกรธ
“เหอะๆ! ไม่บอกก็ช่างเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนกอดอก ย่นหน้า
“นี่ข้าสู้อุตส่าห์เห็นแก่ความดีของท่าน ช่วยดูแลเขา! แต่ดูผลที่ได้รับสิ แม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไปยังไม่มีเลย! ไปดีกว่า ไม่สนใจท่านแล้ว!”
อวี้เฟยเยียนหมุนกายออกเดินไปไม่เกินสองก้าว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดึงนางเอาไว้
“แมวน้อย อย่าโกรธเลยนะ!”
“หากว่าพี่บอกความจริงกับเจ้า เจ้าจะไม่โวยวายได้หรือไม่”
พูดเช่นนี้ แลดูลึกลับยิ่งนัก
อวี้เฟยเยียนพยักหน้าเล็กน้อย ซย่าโหวฉิงเทียนขยับไปข้างๆนาง แล้วเล่าความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง
ถึงแม้ว่าเขาจะเว้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหนานกงแห่งเมืองอู๋โยวเอาไว้ แต่เรื่องที่ตนเองกลายเป็นเด็ก ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ปิดบังเลยสักนิด
“ท่าน…”
เมื่อกล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก นางถอยร่นไปด้านหลังสองก้าว กำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่น สีหน้าที่ระแวดระวังจ้องมองชายสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เดิมทีในหัวของนางคาดเดาคำตอบเอาไว้มากมาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความจริงกลับเป็นเช่นนี้!
เกินกว่าที่นางคาดเอาไว้มากนัก!
นี่นางหลงคิดไปว่าซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง จึงปฏิบัติต่อเขาโดยไร้ซึ่งการระแวดระวังใดๆ
นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยที่ไร้พิษสงกลับเป็นหมาป่าหิวโซที่อันตรายที่สุด!
“แมวน้อย พี่ไม่ได้ตั้งใจปิดบังเจ้าเลย จริงๆนะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนก้าวเขาหานางหนึ่งก้าว อวี้เฟยเยียนก็ก้าวถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว สุดท้ายเขาจึงไม่ก้าวต่อไปแล้ว เขาเพียงแค่มองดูสาวน้อยเบื้องหน้านิ่งๆ
“ข้าถามท่าน”
อวี้เฟยเยียนระงับหัวใจที่สั่นระรัวอย่างบ้าคลั่งของตัวเองเอาไว้ จ้องมองที่ซย่าโหวฉิงเทียน
“ถึงแม้ในขณะที่ท่านกลายเป็นเด็ก ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนที่อยู่ข้างกายของท่านต่างก็เป็นยอดฝีมือมือหนึ่งทั้งสิ้น หากข้าคาดไม่ผิดละก็ พวกเขาล้วนแต่สำเร็จขั้นเหนือกว่าจอมเทวาทั้งสิ้น น่าที่จะคุ้มครองท่านได้ แล้วเหตุใด ท่านถึงต้องมาอยู่ข้างกายข้าด้วย”
นี่เป็นสิ่งที่อวี้เฟยค้างคาใจมาโดยตลอด หากนางไม่ได้คำตอบละก็ นางคงจะนอนไม่หลับ
“เพราะว่า คนที่พี่เชื่อใจได้สนิทใจและไว้วางใจมีแต่เจ้าเพียงคนเดียว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนตอบไปตามความจริง มิใช่ชิงหงและเสวี่ยเยี่ยนไม่ภักดี แต่คนที่ทำให้เขาวางใจสามารถปล่อยวางความหวาดระแวงในจิตใจลงได้ มีเพียงอวี้เฟยเยียน
เมื่อเขาพบเจอกับอันตราย ในขณะที่เขาไร้ซึ่งที่พึ่งพา คนแรกที่เขานึกถึงนั่นก็คืออวี้เฟยเยียน ขอเพียงแค่ได้เห็นนาง ได้กลิ่นของนาง เขาก็สามารถสงบใจ ใจเย็นลงได้
เรื่องแบบนี้ คำพูดแค่ไม่กี่คำอธิบายไม่ได้
ซย่าโหวฉิงเทียนทำได้เพียงแค่กล่าวแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกไป
ก่อนหน้านี้อวี้เฟยเยียนโกรธเคืองเขาเป็นอย่างมาก แต่มาตอนนี้เมื่อมองที่ดวงตาของเขา ฟังในสิ่งที่ขาพูด ความโกรธของนางก็สลายลงไปมาก
ไม่น่าเล่า เมื่อครั้งที่พบซย่าโหวฉิงเทียนที่เมืองกุยอวี๋ เขาถึงได้ดูแปลกประหลาดนัก
ที่แท้แล้วในตอนนั้น ร่างกายของเขาเริ่มมีปัญหาแล้ว
ต่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนปิดบังฐานะที่แท้จริงของตนเอาไว้ แต่ในขณะที่เขาเป็นเด็กนั้น สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นล้วนแต่เป็นความจริง คนผู้นี้คงจะมีเพียงแต่ในขณะที่เขาตกอยู่ในสถานะเช่นนั้นเท่านั้นกระมัง ที่จะแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา
เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มิได้แข็งแกร่งทุกด้านเฉกเช่นภายนอกที่แสดงออกมา…
ตอนที่ 83-4 ความรักแสนหวาน
“แมวน้อย หากเจ้าโกรธพี่ละก็ เจ้าก็ตีพี่ได้เลย พี่จะไม่ตอบโต้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจับมือของอวี้เฟยเยียน และเมื่อเห็นว่านางไม่เห็นตนเองเป็นคนนอกอีกแล้ว เขาก็จับมือของนางฟาดที่ใบหน้าของตนเอง
เพียะ!
ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของเขา เสียงดังฟังชัด
“ท่านทำบ้าอะไรน่ะ!”
อวี้เฟยเยียนรีบชักมือกลับทันที แล้วมองไปที่ใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน
ผิวขาวเนียนละเอียดของเขา ที่แก้มซ้ายปรากฏรอยแดงจางๆ
“ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร มีใครเขาทำเช่นนี้กันบ้าง”
เห็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็เริ่มโกรธขึ้นมา
นางหยิบขวดยาออกมา แล้วทาลงบนใบหน้าหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนแรงๆ นึกอยากจะถลกหนังของเขาออกมาเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าในน้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนจะเจือไว้ด้วยความโกรธเคือง แต่ที่แท้แล้วนางกำลังเป็นห่วงตนเอง ซย่าโหวฉิงเทียนอมยิ้มพร้อมกับรีบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทันที ทำนองว่าให้อวี้เฟยเยียนทายาให้มากๆ หน่อย
“ไม่ทาแล้ว เปลืองยาของข้า!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ที่หอนภาหอมยาของข้าขายด้วยราคาแพงลิบ ไม่ควรเอามาสิ้นเปลืองกับคนโง่เช่นท่าน!”
“ใช่ พี่เป็นคนโง่!”
โง่เพื่อเจ้า โง่งมเพื่อเจ้า บ้าคลั่งเพื่อเจ้า…
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนหน้าด้านด้านหน้าทนเหลือเกิน อวี้เฟยเยียนจึงผลักเขาออกแล้วกล่าวว่า
“ข้ากำลังคุยเป็นการเป็นงานกับท่านอยู่นะ! ข้าขอถามท่าน คนที่ทำร้ายท่านคือใคร”
“คือมารดาผู้ให้กำเนิดพี่เอง”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่โกหกนางอีกต่อไป จึงกล่าวความจริงออกไป
มารดาผู้ให้กำเนิดเอง
คราวนี้อวี้เฟยเยียนงงงวยขึ้นมาอย่างหนัก มารดาผู้ให้กำเนิดของซย่าโหวฉิงเทียน ท่านมิได้จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้วหรือ
“ซย่าจื่ออวี้ มารดาผู้ให้กำเนิดพี่”
ชื่อนี้แปลกหูสำหรับอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก นางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เมื่อกล่าวถึงซย่าจื่ออวี้ วูบหนึ่งใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนฉายแววเจ็บปวด สีหน้าเช่นนั้นทำให้อวี้เฟยเยียนทนไม่ได้ และไม่ซักไซ้ถามอะไรอีกต่อไป
รอให้เขาปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้หมดจะดีกว่า!
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อวี้เฟยเยียนจะต้องถามให้กระจ่าง
“หากว่า ซย่าจื่ออวี้ลงมือกับท่านอีก ท่านจะยังคงอดทนต่อไปหรือไม่”
“ไม่!”
ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายหน้า
“เรื่องใดๆในโลก มิอาจเกิดซ้ำรอยสามครั้ง! พี่อดทนกับมันมาถึงสองครั้งแล้ว หากมีครั้งที่สาม ต่อให้ต้องไม่เหลือความเป็นคน พี่ก็ยอม!”
ถูกตามฆ่าขณะที่ยังเยาว์วัย ซย่าโหวฉิงเทียนก็เกิดความเคลือบแคลงในตัวมารดาอันเป็นที่รักอยู่แล้ว แต่ในโลกนี้ไม่มีเด็กคนไหนหรอกที่ส่วนลึกในจิตใจไม่รอคอยความรักจากมารดา ดังนั้นเมื่อเขาเติบโตขึ้นจึงมายังเมืองอู๋โยวตามหาซย่าจื่ออวี้
เดิมทีคิดว่าต่อให้ท่านไม่ชอบเขา แต่ก็คงจะเห็นแก่ที่เขาเป็นเลือดในอกบ้าง
ใครจะคาดคิด คราวนี้นางกลับใช้วิธีการที่แสนโหดร้ายจัดการกับเขา
ไข่มุกวารีปีศาจ เกือบจะเอาชีวิตของเขา!
ท่านเจ็บแค้นเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เพราะเรื่องของไข่มุกวารีปีศาจ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตัดความสัมพันธ์กับมารดาบังเกิดเกล้าอย่างเด็ดขาด
ต่อไปนี้ก็ขอให้อยู่กันแบบน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองอีกต่อไป ทุกคนต่างดำรงชีวิตอยู่ในที่ของตนเองอย่างสงบสุขเป็นดีที่สุด แต่หากนางต้องการรนหาที่ตายละก็ ก็อย่าหาว่าเขาไม่เห็นแก่ความเป็นแม่ลูกละกัน!
ซย่าโหวฉิงเทียนมิใช่คนที่จะมาลังเลอิดออด แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนที่กล้าที่จะตัดสินใจเด็ดขาดด้วยตนเองอยู่แล้ว และเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอีก
เมื่อได้ฟังคำของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็พยักหน้าเบาๆ
ใครต่างก็บอกว่าเสือร้ายไม่กินลูก สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นเช่นนี้ มนุษย์ที่จัดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐผู้มีปัญญา ทว่าแม้แต่กลับลูกในไส้แท้ๆยังตามทำร้ายทำลายได้ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งสัตว์จริงๆ มิคู่ควรจะเป็นแม่คนเลยด้วยซ้ำ!
อีกทั้ง ฝันร้ายของซย่าโหวฉิงเทียนเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ในวัยเด็กเขาต้องพบกับความทุกข์ทรมานจากแม่บังเกิดเกล้าเพียงใด
เด็กน้อยถึงแม้จะยังเล็ก ไม่รู้ประสา ทว่าความรู้สึกเจ็บแค้นที่ถูกทอดทิ้งนั้น พวกเขามิมีวันลืมเลือน
ความทรงจำเช่นนี้ฝังลึกในใจของเขา กระทั่งกัดกร่อนหัวใจของเขามาจนถึงตอนนี้โดยมิมีทางฟื้นฟู นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ซย่าจื่ออวี้มอบให้กับเขาทั้งสิ้น!
“ซย่าโหวฉิงเทียน!”
อวี้เฟยเยียนยื่มมือออกไปกุมมือซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
“ข้าเคยกล่าวไว้ ไม่ว่าท่านจะพบเจอกับเรื่องอะไรก็ตามแต่ ข้าจะสนับสนุนท่านสุดกำลังที่มีของข้า! และยืนอยู่เคียงข้างท่าน!”
“ในวันนี้ สัญญายังคงเดิม”
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าซย่าจื่ออวี้เป็นเทพสวรรค์มาจากไหน แต่หากว่านางมาหาเรื่องท่านละก็ ก็นับว่าหาเรื่องข้าด้วย หากท่านไม่สะดวกที่จะจัดการลงมือ เช่นนั้นแล้วก็ให้ข้าเป็นตัวแทนจัดการปัญหานี้ให้ท่านเอง!”
“ขอบคุณนะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนโอบกอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่นอย่างอดมิได้
แมวน้อย พี่มีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นนะ!
“เพราะฉะนั้น ได้โปรดอย่าไปจากพี่!”
ประโยคหลังซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เอ่ยออกมา เพียงแค่กล่าวย้ำแผ่วเบา
“ท่านว่าอะไรนะ!”
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนเริ่มออกอาการดื้อดึง อวี้เฟยเยียนก็อดมิได้ที่จะฟาดเขาด้วยฝ่ามือเบาๆ
“ท่านมิเพียงมีข้า ยังมีหลิวเซิง ชิงหง เสวี่ยเยี่ยน พวกเขาล้วนแต่จงรักภักดีกับท่านนะ”
“เหลียนจิ่น มั่วซาง เชียนเยี่ยเสวี่ย เซวียเฉียง เซวียจื่ออี๋ หมอเทวดาฮั่ว พวกของเจ้าสำนักหลิน พวกเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนที่ดีของข้า และเป็นเพื่อนที่ดีของท่านด้วย อีกทั้งยังมีฝ่าบาท พระองค์โปรดปรานท่านมากเสียจนข้ายังอิจฉาไม่หายเลย!”
“ซย่าโหวฉิงเทียนข้างกายของท่านยังมีคนอีกมากมายนัก พวกเราล้วนแต่อยู่ตรงนี้นะ!”
เสียงอันแผ่วเบานุ่มนวลของอวี้เฟยเยียน เปี่ยมด้วยพลังปลอบโยน
ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ค้นพบว่า นับตั้งแต่พบกับอวี้เฟยเยียน ได้รับอานิสงส์จากนาง ทำให้ข้างกายของเขาก็มีคนเพิ่มขึ้นมามากมาย
เมื่อก่อนผู้คนเห็นเขาต่างก็หวาดกลัว
แต่มาตอนนี้ ผู้คนที่รายล้อมอวี้เฟยเยียนอยู่ก็ค่อยๆ ยอมรับเขา แตกต่างจากคนอื่นที่เอาแต่มองเขาว่าเป็นดาวเคราห์นำมาความโชคร้ายให้ นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนนำพามาให้กับเขา!
“แต่พี่ไม่ชอบหน้าเชียนเยี่ยเสวี่ยเอาเสียเลย”
ซย่าโหวฉิงเทียนคิดไปคิดมาก็เอ่ยนามออกมาหนึ่งราย
“เจ้าหน้าขาวนั่นตามตอแยเจ้าตลอด พี่อยากจะฆ่ามันนัก!”
ครั้งนี้ กลายเป็นอวี้เฟยเยียนที่ตกตะลึงตาโต
ให้มองอย่างไร เชียนเยี่ยเสวี่ยก็นับว่าเป็น ชายหนุ่ม ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งความชั่วร้ายที่ชวนให้ลุ่มหลงเชียวนะ ถึงแม้จะขาดความสง่างามเฉกเช่นวีรบุรุษไป แต่ก็คงไม่ถึงกับเป็นแค่ไอ้หน้าขาวนี่นา!
อวี้เฟยเยียนเกรงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะผลีผลามสังหารเชียนเยี่ยเสวี่ยโดยไร้ซึ่งการไตร่ตรอง ด้วย วรยุทธ์เขา สามารถฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย เชียนเยี่ยเสวี่ยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านมานี่!”
อวี้เฟยเยียนกวักมือเรียกซย่าโหวฉิงเทียนเข้ามา จากนั้นนางเข้าไปหาเขาพร้อมเขย่งปลายเท้ายกร่างขึ้นกระซิบบอกความลับอย่างหนึ่งแก่เขา
“อะไรนะ!”
ครั้งนี้กลับกลายเป็นซย่าโหวฉิงเทียนบ้างที่ตกใจจนตาโต
ที่แท้แล้วตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ นี่เขากำลังหึงหวงสตรีคนหนึ่งอยู่หรือนี่!
ก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็เคยคิดคาดการณ์วางแผน รอให้เดินทางออกจากหุบเขาลั่วสยา เขาจะลอบโจมตีเชียนเยี่ยเสวี่ยในระหว่างทางที่นางกำลังเดินทางกลับอาณาฉินจื้อ…โชคดีที่วันนี้สารภาพกับอวี้เฟยเยียนออกไป มิเช่นนั้นมันจะต้องกลายเป็นความผิดครั้งใหญ่แน่
เหนือความคาดหมายยิ่งนัก!
“นางก็มีความลำบากเช่นเดียวกัน!”
“ข้าจะบอกท่านไว้ก่อนนะ เชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ท่านห้ามรังแกนางเด็ดขาดนะ!”
แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะมิได้กล่าวลงรายละเอียดมาก แต่จะชั่วดีอย่างไรซย่าโหวฉิงเทียนก็เติบโตมาในราชสำนักของแคว้นฉินจื้อ คงจะรับรู้เรื่องราวภายในวังหลวงอยู่บ้าง แน่นอนว่าเขาจะต้องคาดเดามูลเหตุได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อมิใช่ศัตรูหัวใจ เช่นนั้นก็พูดกันง่าย!
เมื่อรู้ความจริง ซย่าโหวฉิงเทียนก็คลายความระมัดระวังลง
เพื่อเป็นการแสดงออกว่ารักนางก็ต้องรักครอบครัวของนางด้วย เขาจึงเริ่มที่จะเป็นห่วงอนาคตของเชียนเยี่ยเสวี่ยขึ้นมา
“ครั้งนี้หูซาตายแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยกลับไปเกรงว่านางจะตกที่นั่งลำบาก”
สิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวตรงกับสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกำลังคิด
ถึงแม้ว่าหูซาจะตายด้วยน้ำมือของซย่าโหวฉิงเทียน แต่ที่เชียนเยี่ยเสวี่ย เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย มีผู้คนมากมายที่เห็น
หากว่าหลิวกุ้ยเฟยนำเรื่องนี้ไปใช้ใส่สีตีไข่ ขณะที่ฮ่องเต้แห่งฉินจื้อก็ทรงเป็นพวกฮ่องเต้ที่เลอะเลือนที่แค่ได้ฟังก็ทรงเชื่อเสียด้วยแล้ว แล้วเชียนเยี่ยเสวี่ยจะทำอย่างไรดีละทีนี้
สิ่งที่อวี้เฟยเยียนกังวลใจไม่นานก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความจริง เช้าวันที่สอง เชียนเยี่ยเสวี่ยหน้านิ่วคิ้วขมวดมาบอกลาทุกคน
“เสวี่ย ฉินจื้อเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้นตรงจุดสำคัญพอดิบพอดี
“ไอ้เฮงซวยนั่นกักขังเสด็จแม่ของข้า บีบให้ข้ากลับไป!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกัดฟันกรอดในขณะที่กล่าวต่อว่า
“เขารู้ดีว่าเสด็จแม่คือจุดอ่อนของข้า วันนี้ใช้เสด็จแม่มาข่มขู่ข้า คิดว่าควบคุมข้าได้”
ขณะที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแห่งแคว้นฉินจื้อ ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ข้าไปกับเจ้าด้วย!
เชียนเยี่ยเสวี่ยในขณะนี้ อวี้เฟยเยียนจะปล่อยให้นางกลับไปคนเดียวได้อย่างไรกัน
จักรพรรดิฉินจื้อเชียนลั่วเฉิงโปรดปรานหลิวกุ้ยเฟยและเย่อ๋องมากเพียงใด อวี้เฟยเยียนเคยได้ประจักษ์กับสายตาตนเองแล้ว หากว่าหลิวกุ้ยเฟยคอยยุแหย่เป่าหูเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำ อีกทั้งฮองเฮายังตกอยู่ในมือของพวกเขาด้วย ลำบากเชียนเยี่ยเสวี่ยจริงๆ
น้ำใจอวี้เฟยเยียนที่มีต่อนาง ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ชีวิตนี้สิ่งที่นางดีใจที่สุดนั่นก็คือได้รู้จักและมีสหายเฉกเช่นอวี้เฟยเยียน นับว่าเป็นวาสนาของนาง!
แต่ทว่า เมื่อนึกถึงเนื้อหาในจดหมายที่เชียนลั่วเฉิงเขียนส่งมาให้แล้ว เชียนเย่เสวี่ยก็เลือกที่จะส่ายหน้าเบาๆ
ชายโฉดหญิงชั่วสองคนนั้นหน้าไม่อายสักเพียงใด เชียนเยี่ยเสวี่ยรู้ดีที่รู้ดีที่สุด
ที่เชียนลั่วเฉิงต้องการที่จะให้นางพาอวี้เฟยเยียนกลับ นั่นก็ชัดเจนว่าเขาสนใจตำแหน่งจอมเทวาและจักรพรรดิโอสถของอวี้เฟยเยียนเข้าให้แล้ว เขาต้องการหลอกใช้อวี้เฟยเยียน
ในฐานะที่นางเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของอวี้เฟยเยียน แล้วเชียนเยี่ยเสวี่ยมีหรือที่จะยอมให้เพื่อนรักของนางต้องตกอยู่ในอันตราย
ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะเก่งกาจสักเพียงใด แต่น้ำมือที่เลวทรามต่ำช้าของคนพวกนั้น มันน่าขยะแขยงกว่าที่ใครจะคาดคิดมากนัก!
ตอนที่ 84-1 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว
“วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก!ใช้วิธีนี้มาบีบบังคับข้า พวกเขาต่างหากที่จะเป็นฝ่ายต้องทุกข์ทรมาน!”
ในขณะที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวออกมานั้น สายตานางคมกริบ
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางสู้อุตส่าห์แสร้งทำตัวเป็นอ๋องเจ้าสำราญมานาน นึกไม่ถึงว่าหลิวกุ้ยเฟยยังไม่คิดที่จะปล่อยนาง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งจะดีกว่า!
“เสวี่ย…”
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองของเชียนเยี่ยเสวี่ย ในใจอวี้เฟยเยียนก็เริ่มทานทนไม่ไหว
ความสัมพันธ์ของพ่อลูกต้องกลายเป็นเช่นนี้ นั้นมันเป็นเรื่องที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ท่านพ่อและท่านแม่ของอวี้เฟยเยียนเป็นนักวิจัยและพัฒนา พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับประเทศชาติ ดังนั้นนางและพี่ชายจึงเติบโตมากับผู้เป็นปู่
แต่ว่า ในขณะที่ท่านพ่อท่านแม่ของนางยุ่งอยู่กับภารกิจหน้าที่ ไม่บ่อยนักที่กลับมาบ้านสักครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็ดีกับอวี้เฟยเยียนและพี่ชายเป็นอย่างมาก พวกท่านทั้งรักทั้งเอาใจนางและพี่ชายทุกอย่าง เห็นนางและพี่ชายเป็นราวแก้วตาดวงใจก็มิปาน
เดิมทีอวี้เฟยเยียนคิดว่า ในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง แต่เมื่อมายังดินแดนแห่งนี้ ได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียนและเชียนเยี่ยเสวี่ย สิ่งที่นางคิดมาโดยตลอดพลันสูญสลายไปหมดสิ้น
“เสวี่ย หากเจ้าต้องการข้า ขอให้เอ่ยออกมาอย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด! หรือไม่ก่อนที่เจ้าจะไป เจ้าจะต้องเลื่อนขั้นให้ได้ก่อน!”
อวี้เฟยเยียนลากเชียนเยี่ยเสวี่ยมาอีกด้าน แล้วยัดกล่องกำมะหยี่ใบเล็กใส่มือนาง
“เจ้าบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นราชันแล้ว นี่เป็นยาที่ข้าคิดขึ้นโดยอาศัยโครงสร้างร่างกายของเจ้า มันจะช่วยเจ้าให้สำเร็จขั้นได้ในเร็ววัน ในเมื่อเจ้ามิให้ข้าไปแคว้นฉินจื้อกับเจ้าด้วย เช่นนั้นข้อเรียกร้องเล็กน้อยนี้ เจ้าต้องรับปากข้า!”
เชียนเย่เสวี่ยจับกล่องกำมะหยี่เล็กนั้นไว้แน่น น้ำตารื้น
ตั้งแต่รู้จักกันมา อวี้เฟยเยียนช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง
ช่วยขจัดพิษในร่างนาง เป็นเพื่อนฝึกวิชา สำเร็จขั้นพร้อมกับนาง มาวันนี้ยังคิดค้นยาเพื่อนางอีก จนเชียนเยี่ยเสวี่ยมิรู้จริงๆ ว่าจะขอบคุณอวี้เฟยเยียนอย่างไรดี
“บุญคุณใหญ่หลวงมิอาจตอบแทน! ขอเป็นพี่น้องกัน ชั่วชีวิต!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกำมือขวากุมทับด้วยมือซ้ายแนบอกเป็นเชิงทำความเคารพ และแสดงออกว่านางจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อวี้เฟยเยียนทำให้กับนางเอาไว้ชั่วชีวิต
“พูดมากทำไมกันเล่า! รีบไปฝึกวิชาได้แล้ว! ไม่เช่นนั้นข้าจะตามไปกับเจ้าด้วยจริงๆ แล้วนะ!”
“รู้แล้วน่า พูดมากจัง! “
เชียนเยี่ยเสวี่ยเสหันไปอีกด้านปาดน้ำตาเบาๆ แล้วหันกลับมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เสด็จแม่ข้าให้กำเนิดข้ามาผิดเพศแล้ว! ควรจะให้ข้าเป็นชายสิ เช่นนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปตลอดชีวิต ต่อให้ต้องใช้ยาเสน่ห์อะไรเพื่อให้เจ้ามาเป็นสตรีข้า ข้าจะขอติดตามเจ้าชั่วชีวิต!”
“ไสหัวไป”
เมื่อเห็นว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเริ่มพูดติดตลกขึ้นมา อวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ทันทีว่านางกลับเป็นคนเดิมแล้ว ทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจ
เชียนเยี่ยเสวี่ยหยิบกล่องกำมะหยี่ใบเล็กแล้วไปเตรียมตัวออกเดินทาง ที่หน้าประตูนางได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียนเข้า
“หลินเจียงอ๋อง ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่ ข้าอยากที่จะทำการค้ากับท่านสักอย่างหนึ่ง!”
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นหญิงแล้ว อารมณ์หึงหวงที่มีของซย่าโหวฉิงเทียนมีต่อนางก็มลายหายไปสิ้น
สหายที่ดีของอวี้เฟยเยียน ก็คือสหายที่ดีของเขา หากว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยต้องการความช่วยเหลือละก็ เห็นแก่หน้าของแมวน้อย เขาก็จะออกหน้าช่วยเหลือ
“ได้สิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า แล้วเดินตามหลังเชียนเยี่ยเสวี่ยไป
พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ
อวี้เฟยเยียนฉงนสงสัยยิ่งนัก แต่ สิ่งที่นางอยากรู้ยิ่งกว่าคือเชียนเยี่ยเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างมากกว่า
ช่วงเช้าก็ผ่านพ้นไปแล้ว คนทั้งสองก็ยังไม่ปรากฏตัว
หรือว่าหลังจากที่ได้สัมผัสกันและกันแล้ว รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงยิ่งกินไม่รู้อิ่ม
ท่านลุงสาม ท่านจะต้องเบามือสักหน่อยนะ
หญิงสาวจะต้องทะนุถนอมให้มาก…
แต่ก็อดพูดมิได้ว่า สิ่งที่อวี้เฟยเยียนเป็นห่วงมันถูกต้องแน่แท้
ภายในห้อง มู่เหนี่ยนซีที่ตื่นขึ้นมากำลังปวดหัวอย่างหนัก หัวสมองนางหนักอึ้ง ปวดร้าวไปทั้งร่างราวกับเพิ่งถูกรถม้าเบียดทับร่างกายก็ไม่ปาน ขยับตัวแทบไม่ได้
เมื่อนางเหมือนจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานขึ้นมาได้ ก็เอาหัวมุดลงใต้ผ้าห่มในทันที โดยไม่ยอมโผล่ศีรษะออกมา ยิ่งมิอยากจะเหลือบมองชายข้างกายแม้แต่หางตา
เป็นของกันและกันครั้งแรก ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยที่เพิ่งดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศเมื่อคืนนี้จิตใจหวั่นวิตก
หากว่ามู่เหนี่ยนซีเสียใจภายหลังขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไรดี
“เหนี่ยนซี เหนี่ยนซี อย่าอุดอู้อยู่ในนั้นอีกเลย…”
“ข้าชอบเช่นนี้!”
เสียงมู่เหนี่ยนซีอู้อี้ต่ออีกว่า
“ท่านอย่าสนใจข้าเลย!”
คราวนี้ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยยิ่งว้าวุ่นใจมากยิ่งขึ้น เดิมทีเขาก็จำศีลเก็บเนื้อเก็บตัวมาตั้งสามสิบกว่าปี เมื่อคืนจึงเป็นการเปิดงานครั้งแรก จึงทำให้สะเพร่าละเลยความถูกต้องทำลงไป
ถึงแม้ว่าในครั้งแรกนี้จะมิใช่การยินยอมพร้อมใจสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่สั่งสมประสบการณ์จากงานจริง รวมกับความสามารถเดิม ในตอนหลังมันจึงเป็นไปตามธรรมชาติ ราบรื่น เมื่อศึกรักลั่นกลองรบแล้ว เราทั้งสองก็ร่วมกันกรำศึกจวบจนฟ้าสาง
ใครจะคาดคิดว่า มู่เหนี่ยนซีตื่นมา จะกลับกลายเป็นท่าทีเช่นนี้
อวี้เชียนเสวี่ยดูไม่ออกจริงๆ ว่านางคิดอย่างไรกันแน่
“เหนี่ยนซี ข้าผิดเอง ข้ามิควรจะฉวยโอกาสตอนที่เจ้าเมามายแล้ว…”
นอกจากรักแรกที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็มิเคยมีประสบการณ์ความรักกับหญิงใดมาก่อน เรื่องการปลอบประโลมมู่เหนี่ยนซี ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยคิดจนสมองแทบจะระเบิด
ฉับพลันเขารู้สึกได้ว่า มันยากเสียยิ่งกว่ากรำศึกในสนามรบสังหารศัตรูเสียอีก!
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เหนี่ยนซีก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่อวี้เชียนเสวี่ย ตาทั้งสองนางแดงก่ำ
“ทำไม ท่านหมายความว่าอย่างไร! ท่านเสียใจหรือ กินเสร็จแล้วก็ไม่ยอมรับสินะ”
ถูกกล่าวหาโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้า อวี้เชียนเสวี่ยจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่นะ! ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าเงียบลงไปไม่พูดจา จึงคิดว่าเจ้าเสียใจภายหลังแล้ว”
อวี้เชียนเสวี่ยก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับเด็กน้อยที่กำลังทำผิดอย่างไรอย่างนั้น
มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้น ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“คนเขาก็แค่เขินอายอย่างไรเล่า ท่านเข้าใจหรือยัง จริงๆ เลย! นี่ข้ายังถูกเข้าใจผิดอีกหรือเนี่ย!”
ขณะที่กล่าว แก้มของมู่เหนี่ยนซีแดงก่ำ ดวงตาฉายแววแห่งความสุขที่เปี่ยมล้น ยิ่งคล้ายกับลูกองุ่นแสนสวยก็ไม่ปาน อวี้เชียนเสวี่ยเห็นแล้วก็ใจอ่อนยวบ
“เหนี่ยนซี พวกเราแต่งงานกันนะ!”
ถูกอวี้เชียนเสวี่ยขอแต่งงานด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังเช่นนี้ มู่เหนี่ยนซียิ่งรีบมุดหัวลงในผ้าห่มอีกครั้ง
“แต่งงานน่ะได้ แต่ว่า ตอนนี้ข้าจะออกไปอย่างไรกัน ทุกคนคงจะรู้เรื่องหมดแล้ว!ข้าไม่มีหน้าไปพบใครอีกแล้ว แม้แต่เสี่ยวอวี้ก็คงหัวเราะข้า!”
“เช่นนั้น พวกเราไม่ต้องไปพบหน้าใคร พวกเรามาทำกันต่อ”
“บ้า…”
ได้ฟังอวี้เชียนเสวี่ยกล่าวคำพูดที่น่าละอายออกมา มู่เหนี่ยนซีทั้งอายทั้งกังวลใจ
“ตอนนี้ร่างข้าปวดร้าวไปทั้งร่าง ท่านยังจะทำอะไรอีก ไม่รู้ว่าเจ้าผีบ้าที่หิวโหยตนไหนถูกปล่อยออกมากันแน่ ไม่เคยแตะต้องหญิงสาวหรืออย่างไรกัน”
มู่เหนี่ยนซีพูดเข้าถูกจุดพอดิบพอดี อวี้เชียนเสวี่ยได้ฟังก็รีบพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีจริงจัง
“นี่เป็นครั้งแรก! รุนแรงไปบ้าง ข้ารับรองว่าต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีกแล้ว!”
นี่เป็นครั้งแรก
มู่เหนี่ยนซีได้ฟังเช่นนั้น ก็แอบชื่นใจ
“ท่านอย่ามาปลอบข้าเลย! คนอย่างท่านไม่ขาดสตรีอยู่แล้ว!”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้านะ! ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ…”
อวี้เชียนเสวี่ยแก้มแดงน้อยๆ
“ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะข้า ว่าอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ดังนั้น นี่มิใช่ข้าต้องรับผิดชอบเจ้า เจ้าต่างหากที่ต้องรับผิดชอบข้า!”
กล่าวถึงตรงนี้ อวี้เชียนเสวี่ยอารมณ์จริงจังน้ำเสียงขึงขัง
“เมื่อวานนี้เจ้าจัดแจงมัดข้าก่อน!”
มู่เหนี่ยนซีหวนนึกถึงเมื่อคืนวานที่ตนเองอาจหาญเป็นฝ่ายผลักอวี้เชียนเสวี่ยล้มลง ก็กระหยิ่มยิ้มย่องไม่น้อย
“นี่เขาเรียกว่าลงมือก่อนเป็นต่อ ใครให้ท่านกลายเป็นหนุ่มรูปงามกันเล่า!”
“ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ในใจข้าก็มีแต่เจ้า!”
อวี้เชียนเสวี่ยงับที่ใบหูของมู่เหนี่ยนซีแล้วกระซิบแผ่วเบา
ลื่นเป็นปลาไหลเลยนะท่านแม่ทัพ ท่านกลายเป็นพวกช่างเจรจาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
“เจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงพี่”
คนทั้งสอง ใจและกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ก็ยิ่งใกล้ชิดห่วงใยกัน ส่วนด้านความรู้สึกก็ใกล้ชิด มั่นคงมากยิ่งขึ้น
ตอนที่ 84-2 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว
ปึงๆ
เวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดต่อกัน
“ใคร”
เห็นมู่เหนี่ยนซีซุกตัวเข้าหาผ้าห่ม แล้วพันกายตนเองเอาไว้รอบตัวเอาไว้ อวี้เชียนเสวี่ยก็กระแอมในลำคอ แล้วกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ท่านลุงสาม ข้าเอง ข้ามาส่งของกิน ยังมียาสำหรับทาภายในด้วย…ของพวกนี้ข้าวางเอาไว้ที่หน้าประตูนะ ข้าไปก่อนล่ะ!”
เมื่ออวี้เฟยเยียนไปแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็เปิดประตูออกมาแล้วยกถาดเข้าไปด้านใน
บนถาดมีอาหารแล้วเครื่องดื่มครบถ้วน แล้วยังมีขวดยาเล็กๆอีกขวดหนึ่ง
“นี่คืออะไร”
มู่เหนี่ยนซี มองดูยาขวดเล็กแล้วกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย
เมื่อหลานสาวมาพบเรื่องเช่นนี้ของเขาเข้า อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกขัดเขินเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยังเห็นยาขวดนั้นอีก พลัน หน้าหยกของเขาก็แดงราวกับลูกผิงกั่วทีเดียว
เสี่ยวเยี่ยนเยี่ยน เจ้าอย่าล้อเลียนลุงสามเช่นนี้ได้หรือไม่
“คงจะเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บนั่นแหละ”
อวี้เชียนเสวี่ยกระแอมเบาๆ สองครั้ง เพื่อปกปิดความอึดอัด
“ใครบาดเจ็บ ท่านหรือ”
มู่เหนี่ยนซีชันกายขึ้นเตรียมลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกทรุดลง ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยตกใจรีบเข้ามาประคองนางในทันที
ถึงตอนนี้ ต่อให้ก่อนหน้านี้มู่เหนี่ยนซีไม่เข้าใจ มาตอนนี้จึงรู้แล้วว่ายาที่อวี้เฟยเยียนส่งมาให้นั้นคือยาสำหรับอะไร!
“น่าอายที่สุด ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เสี่ยวอวี้ร้ายที่สุด!”
มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากแน่น เอนซบอวี้เชียนเสวี่ย
ยาทาภายใน!
เอาไว้ใช้ทาตรงภายในบริเวณนั้น…
ถึงแม้ปากจะบ่นเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของมู่เหนี่ยนซีกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
อวี้เชียนเสวี่ยเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่สำหรับเรื่องนั้น เขาเป็นดั่งที่คนหนุ่มที่วู่วามเอาแต่พุ่งชนท่าเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย
คนทั้งสองร่วมรักกันเป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นหญิง มู่เหนี่ยนซีคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย มิฉะนั้นเหตุใดสองขาของนางถึงได้สั่นเทาทั้งยังอ่อนปวกเปียก ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดิน!
“ในบ้านมีจักรพรรดิโอสถอยู่ทั้งคน ต่อไปเจ็บป่วยใดๆ ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป!”
อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวติดตลก
คนทั้งสองอิงแอบแนบชิด จวบจนกระทั่งตกเย็นจึงออกมาจากห้อง
ในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกำลังบอกลาอวี้เฟยเยียน
“ช่าช่า ข้าสำเร็จขั้นราชันจักรพรรดิแล้ว!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยหน้าตาแช่มชื่น เนื้อตัวเบาสบาย
“กลับไปคราวนี้ ดูซิว่าข้าจะจัดการเก็บกวาดคนบัดซบสองคนอย่างไร!”
สำเร็จขั้นจักรพรรดินี้แล้ว ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีก
พวกเจ้าต้องเป็นฝ่ายตาย บังอาจมาหาเรื่องข้า ฉะนั้นก็รอเก็บศพตัวเองไว้ได้เลย!
เชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจ
เกิดในราชวงศ์ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสุขเสมอไป
เฉกเช่นเชียนเยี่ยเสวี่ย ต้องพบกับบิดาแย่ๆ ที่จิตใจโหดเ**้ยมเลวทราม หากเชียนเยี่ยเสวี่ยไม่เ**้ยม ทำตัวอ่อนแอก็จะถูกกำจัดเป็นแน่!
“ช่าช่า ข้าต้องไปแล้ว! เจ้าอยู่ที่นี่คอยฟังข่าวดีจากข้า!”
ก่อนจะไป เชียนเยี่ยเสวี่ยก็กอดลาอวี้เฟยเยียนแน่น
“รอให้ข้ากับจัดสวะพวกนั้นให้สิ้นซากเสียก่อน ข้าจะกลับมาท่องไปทั่วยุทธภพพร้อมกับเจ้า!”
แต่ทว่า ยังมิทันที่เชียนเยี่ยเสวี่ยจะกล่าวอะไรกับอวี้เฟยเยียนต่อก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลากออกไป
“เฮ้ย! ท่านทำอะไรเนี่ย!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยสบตาซย่าโหวฉิงเทียนนิ่งๆ
“เจ้ารีบไปสิ รีบกลับไป จะได้รีบสะสาง อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ละกัน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีใจกว้าง ทว่าในใจของเขากลับมิค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่เชียนเยี่ยเสวี่ยทำสนิทสนมใกล้ชิดกับอวี้เฟยเยียนเช่นนี้
ข้าอุตส่าห์อดกลั้นกับมิตรภาพระหว่างเจ้ากับแมวน้อยแล้วนะ แต่ว่า เจ้ากลับอิงแอบแนบชิดกับแมวน้อยอีก ที่มันเกินปกติเกินไปแล้ว!
แม้แต่ข้ายังมิเคยได้รับอภิสิทธิ์นี้เลยนะ!
“รู้แล้วน่า!”
เชียนเยี่ยเสวี่ย ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินไปคารวะทุกคน
“ทุกท่าน ข้าขอลาก่อน ไว้พบกันใหม่!”
นางก้าวขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วตวัดแส้ในมือ
“ช่าช่า รอข้านะ!”
มิตรภาพที่แน่นแฟ้นจนชวนให้คนเข้าใจผิดส่งผลกระทบทันที นั่นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนดีดนิ้วไปที่ก้นของม้าตัวนั้น
ม้าสีขาวสง่าร้องขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วควบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเล่นสกปรก ท่านกับข้ายังไม่จบง่ายๆแน่ ช่าช่าเป็นของข้า!”
“ข้าจะต้องกลับมาอีกแน่!”
เสียงเชียนเยี่ยเสวี่ยลอยมาเข้าหูจากที่ไกลๆ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็มิได้เก็บมาใส่ใจ
เรื่องภายในแคว้นฉินจื้อเพียงพอที่จะให้เชียนเยี่ยเสวี่ยปวดหัวอยู่ช่วงหนึ่งทีเดียว รอจนนางกลับมา เขาก็คงพิชิตใจอวี้เฟยเยียนได้เรียบร้อยแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยจูงมือมู่เหนี่ยนซีที่เหนียมอายเดินออกมา ทุกคนล่วงรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว อวี้เฟยเยียนยิ้มล้อเลียนแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เหลียนจิ่นเอาแต่กล่าวว่า ’ยินดีๆ’ ไม่หยุด ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็ทักทายด้วยประโยคเย็นชาว่า
“ไม่ต้องขอบคุณ! “
ชู่…
เหลียนจิ่นกำลังดื่มชา ได้ยินประโยคเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับพ่นชาออกมาโดนมั่วซางเต็มๆ
“หมอนี่ เป็นเสียอย่างนี้สิน่า ใครต่อใครเขาถึงได้ไม่ชอบหน้า พูดจาอะไรเช่นนี้นะ!”
มิน่าเล่าชื่อเสียงถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้!
ช่างไม่รู้จักพูดจาเอาเสียเลย…
มองดูหน้าตาหล่อเหลาสูงศักดิ์เย่อหยิ่งของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่ช่างไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนเสียจริง!
ไม่ต้องขอบคุณ
หรือว่าที่เขาได้กินเนื้อนางแล้วสำเร็จแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าอย่างนั้นหรือ
แต่เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยคิดให้ละเอียดอีกครั้ง หากมิใช่ซย่าโหวฉิงเทียนดวลสุรามู่เหนี่ยนซีจนเมา มู่เหนี่ยนซีไม่เมาสุรา ไม่แน่ว่าเขาและนางอาจไม่ก้าวข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นเช่นนี้ก็เป็นได้
หากว่าตามหลักเหตุผล ซย่าโหวฉิงเทียนก็คือตัวช่วยโดยตรงที่ผลักดันความรักของคนทั้งสอง ซึ่งได้ผลดีที่มิอาจมองข้ามได้
ทว่า อวี้เชียนเสวี่ยให้ตายก็ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้
ยิ่งไม่ยอมซาบซึ้งซย่าโหวฉิงเทียนอีกด้วย!
อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ทันกลอุบายของหมอนี่นะ คิดจะใช้วิธีนี้ชักนำอวี้เฟยเยียนไป ไม่มีทาง!
ผิดกับมู่เหนี่ยนซีแล้ว นางกลับรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก เชียนเยี่ยเสวี่ยชี้แนะ ซย่าโหวฉิงเทียนช่วยเหลือผลักดัน นางถึงได้กินอวี้เชียนเสวี่ยอย่างราบรื่น แน่นอนว่าผลงานของซย่าโหวฉิงเทียนย่อมมีแน่นอน
“ขอบคุณ!”
มู่เหนี่ยนซียื่นหน้าออกไป แล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ
“ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเอง!”
คำพูดแหย่รังแตนของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเต้นเร่าๆ
“หลินเจียงอ๋อง ใครเป็นคนกันเองกับท่าน”
ซย่าโหวฉิงเทียนชี้นิ้วไปที่อวี้เฟยเยียนแล้วสลับชี้นิ้วไปที่มู่เหนี่ยนซี
“ท่านดื่มสุราแพ้ข้า ท่านไม่มีสิทธิ์พูด คออ่อนเอง อย่าหาเรื่องหน่อยเลย!
คำพูดกวนอารมณ์ ยิ่งโจมตีจุดเดือดของอวี้เชียนเสวี่ย
เขาผู้ซึ่งเคยได้รับฉายาว่าเป็นพันจอกไม่ล้ม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กลับพ่ายแพ้ราบคาบ
“ข้าไม่ยอมรับ!”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้ท่านหมอบลงอีกครั้ง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจับทางได้แล้วว่าอวี้เฟยเยียนมิได้เห็นเขาเป็นคนนอกอีกต่อไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนลิงโลดเป็นอย่างมาก
ขอเพียงนางมิรังเกียจเขา เขาย่อมมีหวัง!
น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน นับประสาอะไรกับเขาที่ใช้ความจริงใจเข้าสู้เช่นนี้
เห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
“เงียบเดี๋ยวนี้นะ!”
ได้ผลตามดังที่คาดไว้ เสียงตวาดของอวี้เฟยเยียน ทำให้คนทั้งสองหยุดชะงักแล้วพากันมองไปที่นางเป็นตาเดียว
“กินข้าวเถอะ! หิวข้าวแล้ว!”
เห็นได้ชัดเจนว่า อวี้เฟยเยียนสำคัญต่อชายสองคนนี้ยิ่งนัก
เป็นแมวน้อยสุดที่รักของชายคนหนึ่ง ทั้งเป็นหลานสาวสุดที่รักของชายอีกคน แค่เพียงนางเอ่ยปาก พวกเขาทั้งสองก็นั่งลงที่โต๊ะกินข้าวอย่างว่าง่าย ราวกับเด็กนักเรียนเด็กดีสองคนด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านป้าสาม พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนจูงมือมู่เหนี่ยนซีให้นั่งลง รอจนสองพี่น้องตระกูลเซวียมาถึง มื้อเย็นก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ขณะที่กินมื้อเย็นกันนั้น เซวียจื่ออี๋แอบลอบมองอวี้เชียนเสวี่ยหลายต่อหลายครั้ง
มู่เหนี่ยนซีเห็นเช่นนั้น หัวใจก็แผ่วลง
“พี่ ท่านเป็นอะไรไป”
เซวียเฉียงเห็นว่าเซวียจื่อวี๋มีท่าทีที่แปลกไป ก็กล่าวถามขึ้น
“ข้ารู้สึกว่า ท่านลุงสามของอวี้หลัวช่าดูคุ้นตายิ่งนัก”
ตอนที่ 84-3 ท่านมีชีวิตที่ไม่เป็นสุข ข้าก็สบายใจแล้ว
เมื่อครั้งที่เซวียจื่ออี๋ยังเยาว์วัยนั้น เคยเห็นบรรยากาศขณะที่กองทัพตระกูลอวี้กรำศึกกลับมา
ขณะนั้นอวี้เชียนเสวี่ยยังเป็นหนุ่มแน่นวัยฉกรรจ์ หมาป่าน้อยแห่งตระกูลอวี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง เขาขี่ม้าใหญ่นำขบวน ท่าทางสง่างาม ดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ในตอนนั้นถึงแม้ว่าเซวียจื่ออี๋จะอายุยังน้อย แต่นางก็จดจำใบหน้าอวี้เชียนเสวี่ยได้อย่างแม่นยำ
เพราะว่าในตอนนั้น ท่านอาของนางคนหนึ่งแอบชอบอวี้เชียนเสวี่ย วันๆ เอาแต่พร่ำเพ้อถึงเขา บอกว่าเขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ต่อหน้านาง ด้วยคิดว่านางเป็นเด็กน้อยคงจะไม่รู้เรื่องราวอะไร ดังนั้นเซวียจื่ออี๋จึงจดจำเรื่องได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและฐานะตรงหน้านางนี้ กับคนที่อยู่ในความทรงจำของนางตรงกันทุกประการ
“นี่มันเรื่องอะไรกันนะ”
หลังจากที่รักษาอวี้เชียนเสวี่ยหายดีแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ปิดไม่มิดอีกต่อไป
ดังนั้นหลังจากมื้อเย็นเสร็จสิ้น อวี้เฟยเยียนจึงเปิดเผยสถานะตนเองและอวี้เชียนเสวี่ยให้กับสองพี่น้องตระกูลเซวียให้ได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา
ทำเอาเซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงตกตะลึงจนเงียบไป
“อวี้หลัวช่าคืออวี้เฟยเยียน”
“สวรรค์ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!”
เมื่อคิดถึงว่าในตอนแรกตนเองเอาแต่สาดโคลนอวี้เฟยเยียนไปเท่าไหร่ต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน เซวียเฉียงก็หน้าแดงก่ำ
ขายหน้าใหญ่หลวงทีเดียว!
เขาเช่นนี้ ทำเอาเซวียจื่ออี๋ลำบากใจไปด้วย
“เช่นนั้นต่อไปพวกเราควรเรียกท่านว่าอวี้หลัวช่าหรืออย่างไรดี”
เซวียเฉียงมองดูสาวน้อยที่มีผ้าแพรผืนบางคลุมใบหน้าตรงหน้าแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเขานี่ช่างมีตาหามีแววไม่!
ใครจะคาดคิดว่า คนพิการที่ชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง จะเก่งกาจเช่นนี้!
มิเพียงแต่เป็นจอมเทวา ยังเป็นจักรพรรดิโอสถอีกด้วย!
เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ที่จะต้องตกใจจนตาถลน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดเซวียเฉียงก็เข้าใจ เหตุใดซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้พ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนั้น ตั้งแต่ต้น เขาก็ผิดแล้ว ผิดที่ทอดทิ้งอวี้เฟยเยียน ดูถูกนาง จนท้ายที่สุดกลับกลายเป็นดูถูกตัวเอง
ถูกต้องยิ่งนักที่ว่า…คนมิควรมองกันเพียงแค่ภายนอก!
“หากเจ้าคิดว่ายุ่งยากละก็ เรียกข้าว่าเสี่ยวอวี้ก็พอ!”
ท่าทีของอวี้เฟยเยียนยังคงอ่อนโยนเฉกเช่นเมื่อก่อนมิมีเปลี่ยนแปลง
บุคคลที่นั่งอยู่ภายในห้องล้วนแต่เป็นผู้ที่เผชิญอะไรหลายอย่างมาพร้อมกัน จนกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเหลียนจิ่น มั่วซาง ยังมีสองพี่น้องตระกูลเซวีย ล้วนแต่ได้รับการยอมรับจากอวี้เฟยเยียน ดังนั้นนางจึงมิได้กังวลใจหากว่าสถานะของตนเองและอวี้เชียนเสวี่ยจะถูกเปิดเผยให้พวกเขาได้ล่วงรู้
อวี้เฟยเยียนเห็นพวกเขาเป็นเพื่อน เซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงก็มิใช่คนที่จะเนรคุณคน
ยิ่งกว่านั้นก่อนหน้านี้ อวี้เฟยเยียนก็ช่วยให้เซวียเฉียงได้สำเร็จขั้นเพิ่มขึ้น สหายเช่นนี้คู่ควรกับการคบหายิ่งนัก!
“เสี่ยวอวี้ ขอบคุณในความเชื่อใจของเจ้า!”
เซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงสบสายตากัน แล้วกล่าวขอบคุณอวี้เฟยเยียนพร้อมๆกัน
เซวียเฉียงตัดสินใจแน่วแน่ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะขอติดตามอวี้เฟยเยียน
ส่วนเซวียจื่ออี๋ได้ประจักษ์ในการกระทำและท่าทีของอวี้เฟยเยียนในงานประลองโอสถที่ผ่านมา จึงรู้สึกนับถือนางเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อวี้เฟยเยียนใช้ความสามารถของตนเพียงผู้เดียวพลิกฟื้นสถานการณ์ ช่วยเหลือหอราชาโอสถเอาไว้ได้ จุดนี้ทำให้นางยอมรับนับถืออวี้เฟยเยียนเป็นที่สุด
“พวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง!”
อวี้เฟยเยียนให้การยอมรับ ทำให้สองพี่น้องดีใจยิ่งนัก
ทว่า ในใต้หล้านี้ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
ในงานประลองโอสถ ท่าทีที่สงบนิ่งใจเย็นของเซวียจื่ออี๋ทำให้เจ้าสำนักหลินชื่นชมยิ่งนัก เขาจึงรับเป็นศิษย์ เมื่อนางกราบเจ้าสำนักหลินเป็นอาจารย์แล้วจึงพำนักอยู่ที่หอราชาโอสถต่อไป
ส่วนคนอื่นๆ ติดตามอวี้เฟยเยียนกลับเมืองหลวง
หลังจากได้พักผ่อนจนมั่นใจว่าพละกำลังของอวี้เชียนเสวี่ยฟื้นคืนได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว คณะของอวี้เฟยเยียนก็กล่าวลาเจ้าสำนักหลินและเหล่าผู้เฒ่า
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้าจะอยู่อีกสองสามวันมิได้หรือ”
เหล่าผู้เฒ่าเห็นอวี้เฟยเยียนที่อายุรุ่นราวคราวหลาน เป็นดั่งสหายเก่าแก่ที่มิตรภาพความสัมพันธ์เหนียวแน่นยิ่งนักไปเสียแล้ว
“ไม่ได้แล้วค่ะ! จากบ้านมาตั้งนาน คนที่บ้านเป็นห่วงแย่แล้ว!”
ว่าแล้วอวี้เฟยเยียนก็มอบของขวัญของตนเองออกไป
“นี่เป็นตำราความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ในปัจจุบันที่ข้าเรียบเรียงด้วยตนเองอยู่หลายคืน ทั้งการเย็บ การฆ่าเชื้อโรคหลังจากผ่าตัดรวมทั้งการติดเชื้อ วิธีการป้องกันและอื่นๆ เรียบเรียงรวมเอาไว้ในเล่มนี้หมดแล้ว”
มือรับเอาตำราเล่มหนาเอา เจ้าสำนักหลิน หมอเทวดาฮั่วและเหล่าผู้เฒ่าซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
นี่เป็นตำราแพทย์ที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่อวี้เฟยเยียนเก็ยังตั้งใจเรียบเรียงทั้งยังมอบให้หอราชาโอสถอีกด้วย นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่พวกเขาหามิได้อีกต่อไปแล้ว
อำลาเหล่าผู้เฒ่าที่มีคุณธรรมสูงส่งอีกครั้ง คณะของอวี้เฟยเยียนก็ขึ้นนั่งบนหลังม้า
ก่อนจะไปเหลียนจิ่นได้สอนวิธีการทำเครื่องรางลวดลายดอกบัวประดับองค์พระ ให้กับหมอเทวดาฮั่วด้วย
ผู้เฒ่าขี้งก ถือสูตรลับนี้มือสั่นระริก
“แม่น้อยอวี้ เสียวเหลียนจิ่น รอให้ข้ามีเวลาจะไปหาพวกเจ้า!”
หมอเทวดาฮั่วโบกมืออำลาพวกของอวี้เฟยเยียนที่เดินทางออกไปไกลลิบ
เมื่อออกจากหุบเขาลั่วสยา ขณะที่เข้าสู่เมืองกุยอวี๋ หญิงผู้หนึ่งก็เข้าขวางหน้าซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้
“ท่านอ๋อง โปรดหยุดก่อน!”
สองสามวันนี้เม่ยเหนียงวนเวียนอยู่ที่เมืองกุยอวี๋ ก็เพื่อจะพบกับชายหนุ่มผู้หล่อเหลาราวเทพบุตรคนนั้นอีกครั้ง
ในที่สุด สวรรค์ก็เห็นใจ ให้นางรอจนกระทั่งพบ
จู่ๆ ก็มีหญิงสาวสวยในชุดอาภรณ์สีชมพูวิ่งถลาออกมาขวางม้าของเขาเอาไว้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้ว
“ไสหัวไป”
“ท่านอ๋อง ยังจำข้าน้อยได้หรือไม่ ที่จวนผู้บัญชาการหลิว ท่านช่วยข้าน้อยเอาไว้!”
น้ำเสียงของเม่ยเหนียงนุ่มนวลอ่อนหวาน พอดีกับที่ในตอนนั้นเป็นตอนเช้า มีผู้คนเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ต่างก็หยุดชะงักเพื่อสังเกตการณ์มากมาย
ซย่าโหวฉิงเทียนนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีบุคคลนี้อยู่ จึงกล่าวย้ำอีกครั้งว่า
“ไสหัวไป…”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
อวี้เชียนเสวี่ยขี่ม้าเข้ามาสอบถามซย่าโหวฉิงเทียน
ใครๆ ต่างก็เล่าลือกันว่า หลินเจียงอ๋องไม่มีข่าวเสียหายมิใช่หรือ
แล้วเหตุใดมาที่นี่เพียงไม่กี่วัน ก็มีหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาได้นะ
“ไม่รู้จัก”
ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่า อวี้เชียนเสวี่ยปัดป้องเขาราวกับเขาเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาเป็นผู้ที่ทรงเกียรติสง่าผ่าเผย จึงมิเกรงกลัวว่าใครจะมาว่าอะไรแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง ท่านช่วยเหลือเม่ยเหนียง เม่ยเหนียงเป็นผู้รู้จักตอบแทนบุญคุณ! เม่ยเหนียงเต็มใจติดตามรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง ปรนนิบัติท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องส่งเสริมด้วย!”
เม่ยเหนียงรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนัก
ตั้งแต่ที่นางได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียน ในสมองนางก็เต็มไปด้วยภาพของเขา สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
ชายที่เก่งกาจและรูปงามเช่นนี้ นางมิเคยพบมาก่อนในชีวิต!
ตัวนางมาจากหอนางโลม ทั้งยังเป็นดาวเด่นของที่นั่น นางจึงคิดว่านอกจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยไปสักหน่อยแล้ว ในด้านอื่นกลับไม่น้อยหน้าคุณหนูตระกูลผู้ดีแม้แต่น้อย
นางจึงคิดจะบินสูงชุบตนเองให้กลายเป็นหงส์ โดยใช้ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นประตูเบิกทางให้แก่นาง
“เป็นทาสรับใช้”
คราวนี้มู่เหนี่ยนซีตามมาสมทบ เมื่อได้นางเห็นเม่ยเหนียงก็ ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า
“ท่าทางของเจ้าอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ จะทำงานของสาวใช้ได้หรือ”
มู่เหนี่ยนซีจัดว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง เม่ยเหนียงได้เห็นก็ถึงกับจิตใจสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ทีเดียวแต่เมื่อนางตั้งสติได้ จึงยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง
“ได้สิเจ้าคะ! ไม่ว่าท่านอ๋องจะให้บ่าวทำอะไร บ่าวจะทำทุกอย่าง! ต่อให้ท่านอ๋องต้องการ…”
ประโยคหลัง เม่ยเหนียงยังกล่าวมิทันจบ ทว่าใบหน้านางเองกลับแดงระเรื่อ
พวกที่ชอบตามตอแยไม่เลิกเช่นนี้ เซวียเฉียงพบมามากแล้ว
ในตอนนั้นเอง เซวียเฉียงจึงลงจากม้า แล้วใช้ไม้ด้ามยาวตวัดเอากองอุจจาระสุนัขยื่นไปตรงหน้าเม่ยเหนียง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กินมันลงไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าจะเป็นบ่าวที่เชื่อฟัง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น