เพราะรักสลักใจ 801-818

 ตอนที่ 801


 “ไป เรียกรัชทายาทมาหาเจิ้น!” หลังปลดปล่อยเพลิงโทสะกองใหญ่แล้ว ในที่สุดฝ่าบาทก็ประทับลงบนเก้าอี้มังกรด้วยหน้าตาถมึงทึง ตบโต๊ะรับสั่งเสียงดัง


 


 


เหล่าขันทีนางกำนัลตัวสั่นงันงก ถอยออกไปราวกับได้รับการอภัยโทษ มีคนรีบไปแจ้งสารให้กับรัชทายาทอย่างรวดเร็ว


 


 


รัชทายาททราบก่อนแล้วว่าเกิดเรื่องในตำหนักโซ่วอัน สีหน้าสายตาดูไม่ดีอย่างยิ่ง ความชิงชังต่อซูเซียงในใจยิ่งล้ำลึก คิดว่าสตรีคนนี้เป็นปีศาจจิ้งจอก คนเดิมทีดีๆกันอยู่ นางกลับมาแทรกกลางให้กลับตาลปัตร บัดนี้ช่างดีเสียนี่กระไร ไก่สุนัขอยู่ไม่สุข[1]แล้ว?!


 


 


ในใจด่าทอซูเซียงเป็นหญิงชั่วช้า เป็นปีศาจจิ้งจอก ทว่าบนพระพักตร์กลับมิได้แสดงออกใดๆ เดินเข้าห้องทรงพระอักษร คุกเข่าถวายบังคม “เสด็จพ่อ ท่านเรียกพบลูก?”


 


 


ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆสองเฮือก ยังอดมิได้ที่จะตบโต๊ะลงสองทีแล้วค่อยตรัสว่า “เจ้ากับเซิงเอ๋อร์สนิทสนมกันดี ยามปกติเขาคงเคยพูดเรื่องคนชั้นต่ำผู้นั้นกับเจ้า? เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”


 


 


 “เสด็จย่าว่าอย่างไรบ้าง?” รัชทายาทไม่ได้รับคำทันที แต่กลับสอบถาม


 


 


พอพูดถึงตรงนี้องค์จักรพรรดิก็ยิ่งทรงกริ้ว ถ้วยชาในมือกระแทกพื้นดังเพล้ง “เจิ้นกำลังถามเจ้า พูดตามความจริงก็พอแล้ว!”


 


 


รัชทายาทไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรต่อซูเซียง เพราะตอนเขาส่งองครักษ์ลับออกไปคราแรกก็พบเห็นซูเซียงทำร้ายคนพอดี องครักษ์ลับคนนั้นไม่ทันรู้ความเป็นมาของเรื่องอย่างชัดเจนก็กลับมารายงานแล้ว รัชทายาทจึงมีความประทับใจแรกกับซูเซียงไม่ดีนัก จึงรู้สึกว่านางทำอะไรก็ผิดไปหมด


 


 


ต่อมาเรื่องทางชายแดนมีการเปลี่ยนแปลง ในจดหมายที่ส่งมากล่าวว่าเป็นซูเซียงเตือนเขาว่าในวังมีไส้ศึก และคนทรยศผู้นั้นยังเกือบถูกซูเซียงทำเป็นมนุษย์สุกร


 


 


ยังได้ยินซูย่วนบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสตรีคนนี้มาไม่น้อย ซูย่วนเป็นหญิงสาวแสนดีถึงเพียงนี้ ย่อมไม่พูดปด


 


 


รัชทายาทรู้สึกว่าซูเซียงสตรีคนนี้ความคิดจิตใจลึกล้ำ อีกทั้งวีธีการยังโหดเ**้ยม คนตัวเป็นๆทั้งคนนางบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าเลย คนอำมหิตจิตใจยากหยั่งถึงเช่นนี้ จะคู่ควรกับน้องชายของเขาได้อย่างไร!


 


 


 “นิ่งอยู่ทำอะไร? เจิ้นถามให้เจ้าตอบ!” จักพรพรรดิเห็นรัชทายาทเอาแต่คุกเข่าไม่พูดจาอยู่ตรงนั้น ก็ตำหนิอย่างทนมิได้


 


 


 “เสด็จย่าพระชนมายุมากแล้ว ง่ายต่อการถูกคนปลุกปั่น เสด็จพ่อต้องตรัสกับเสด็จย่าดีๆ ” รัชทายาทมิได้มีความรู้สึกดีอะไรต่อซูเซียง ทว่าไม่อาจลำเอียงเข้าข้างเสด็จพ่อของตนออกหน้าออกตาเกินไป นี่มิใช่จะทำให้ระหว่างเสด็จพ่อกับเสด็จย่าทะเลาะกันย่ำแย่หรอกหรือ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดประนีประนอมเช่นนี้


 


 


สมคะเน องค์จักรพรรดิฟังบุตรชายตนพูดไปพูดมาแล้วก็ยังเข้าข้างตน เห็นด้วยกับตน ความโกรธในใจจึงสลายลงไปกว่าครึ่ง หลงเหลือความโกรธไว้สายหนึ่ง “หญิงอำมหิตป่าเถื่อนเช่นนั้น อย่าคิดหวังจะได้เข้าประตูสู่ราชวงศ์ของข้า ฮึ!”


 


 


สงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสกับรัชทายาท “พอแล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ ใช่แล้ว ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าสนใจหญิงงามที่เข้ามาใหม่คนนั้นหรือไม่ นางคือคุณหนูของจวนฮู่กั๋วกงคนนั้น” ฮ่องเต้นึกถึงเรื่องที่ฮุ่ยเฟยพูดเมื่อคืน จึงเอ่ยปากถาม


 


 


สีหน้าของรัชทายาทแดงเรื่อน้อยๆ ก้มหน้าต่ำ ท้ายที่สุดยังพยักหน้าเบาๆ “ซูย่วนเป็นสตรีดีงาม ที่จริงลูกชอบพอนางมากทีเดียว แต่ลูกไม่อยากเอาเปรียบนาง รอให้นางตอบตกลงแล้วค่อยสู่ขอนางเป็นไท่จื่อเฟย[2] ขอเสด็จพ่อทรงพระราชทานอภิเษกสมรส”


 


 


 “ไท่จื่อเฟย?” จักรพรรดิครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงพยักหน้าตรัสว่า “ฮู่กั๋วกงเป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ มารดาของซุย่วนก็เป็นต้าจ่างกงจู่ ฐานะเช่นนี้เป็นไท่จื่อเฟยก็ยังพอเป็นไปได้ ตกลง ตัวเจ้าจัดการเอง อย่างไรตอนนี้เจิ้นก็ลดขั้นนางเป็นหญิงงามเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในวังหลวงแล้ว พวกเจ้าตกลงกันได้แล้วก็มาขอราชโองการได้ทุกเมื่อ”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ นี่ก็เป็นเชื้อเพลิงให้จักรพรรดิกับพระพันปีทะเลาะเบาะแว้งกัน


 


 


ขันทีอาวุโสจัดการส่งซูย่วนเข้าวังเป็นตาอิ้ง พระพันปีพอพระทัยต่อเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด ทว่าฮ่องเต้กลับไม่พอพระทัย โดยเฉพาะหลังรู้ว่ารัชทายาทชอบพอซูย่วนแล้ว องค์จักรพรรดิก็มีราชโองการให้ยกเว้นฐานะตาอิ้งของซูย่วนทันที อยู่ในวังหลวงด้วยฐานะคุณหนูสูงศักดิ์ หญิงงามชนชั้นสูง ซ้ำยังพระราชทานเรือนเล็กส่วนตัวให้นาง นี่เป็นการปรนนิบัติ ที่อย่างน้อยต้องเป็นสนมยศผินถึงจะได้รับ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไก่สุนัขอยู่ไม่สุข (鸡犬不宁) หมายถึงสร้างความเดือดร้อนไปทั่วจนแม้กระทั่งไก่กับสุนัขก็ยังอยู่ไม่สงบสุข


 


 


[2] ไท่จื่อเฟย (太子妃) ตำแหน่งชายาเอกของรัชทายาท

 

 

 


ตอนที่ 802 จะเป็นเจ้าบ่าวของจริง

 

พระพันปีทรงทราบเรื่องนี้ก็ไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง รู้สึกว่าจักรพรรดิไม่รู้หนักเบามากเกินไป ทีแรกยังกริ้วอยู่บ้าง แต่พระพันปีคิดๆ ดู ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสตรีเพียงอยู่ในห้องหับชั้นในคนหนึ่ง ฮ่องเต้คิดจะจัดวางอย่างไรก็จัดวางไป


 


 


ดังนั้นพระนางจริงวางเรื่องนี้ทิ้งไว้ คิดว่าใกล้ปีใหม่แล้ว ควรส่งของกำนัลไปให้ซูเซียงทางนั้นสักหน่อย แต่คิดไม่ถึง ของกำนัลไม่ทันได้ออกจากวังฮ่องเต้ก็มาถึงแล้ว


 


 


คืนวันส่งท้ายปีเก่า ทั้งครอบครัวนั่งรับประทานอาหารในโถงหลักอย่างชื่นมื่นสุขสันต์


 


 


วันนี้จ้าวเซิงไม่เหมือนอย่างเคยเป็นประจำ เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง กอปรกับรอยยิ้มชื่นมื่นสุขสันต์บนใบหน้า ยิ่งทำให้ดูเหมือนเจ้าบ่าวมาก


 


 


พูดแล้ว วันนี้จ้าวเซิงก็จะเป็นเจ้าบ่าวจริงๆ  ซูเซียงตอบตกลงเขาแล้ว คืนนี้พวกเขาจะปฎิบัติการ นั่นทำให้จ้าวเซิงยินดีปรีดา ทั้งวันเดินไปไหนก็มีแต่ลมพัด


 


 


เถียนเฉิงรุ่ยกินพลางถามข้างหูจ้าวชิงเฟิงเงียบๆ “วันนี้เขาเป็นอะไรไป ดูคนทั้งคนกลิ่นอายความสุขเต็มตัว”


 


 


จ้าวชิงเฟิงเหลือบมองจ้าวเซิงหนึ่งสายตา ดวงตาหลุบต่ำ พูดเสียงเอื่อยเฉื่อย “ไม่รู้ แต่เห็นท่าทางแบบนั้นของเขาแล้วรำคาญลูกตา รีบกินๆ กินเสร็จเราก็กลับ”


 


 


คนสองจึงไม่พูดมากอีก กินของในชามอย่างทุกข์ระทม อาหารวันนี้จัดเตรียมสมบูรณ์พรั่งพร้อม ทว่าพอใส่เข้าปากพวกเขาทั้งสองกลับไร้รสชาติ พอดื่มสุราในจอกอีก ฮึ่ย มารดามันเถอะ สุราวันนี้ใช้น้ำส้มหมักหรือไร?!


 


 


กินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ซูเซียงยังวางแผนอยู่ว่าจะเชิญพระพุทธรูปสององค์นี้ออกไปอย่างไรดี อย่างไรคืนนี้นางก็ต้องเข้าหอเป็นเจ้าสาว แต่ไหนเลยจะคิดถึง หลังสองคนนี้กินข้าวเสร็จแล้วก็วางชามตะเกียบจากไปอย่างรวดเร็ว ตอนออกประตูยังหันหน้ามาถลึงตาใส่จ้าวเซิงหลายหน


 


 


ซูเซียงค่อนข้างแปลกใจ “วันนี้เจ้าไปทำอะไรพวกเขารึเปล่า?”


 


 


บนหน้าจ้าวเซิงประดับรอยยิ้มอบอุ่นเปรมปรี “ข้าจะทำอะไรพวกเขาได้ บางทีพวกเขาอาจจะรู้ว่าในบ้านมีเรื่องมงคล เกรงใจจะอยู่นานก็ได้ ”


 


 


ซูเซียงมองท่าทางรีบร้อนอยู่ไม่สุขเช่นนั้นของจ้าวเซิงก็อดไม่ได้ที่ตบเขาหนึ่งฝ่ามือ “คิดอะไรอยู่น่ะ คืนนี้ต้องโส่วซุ่ย[1]ก่อน”


 


 


จ้าวเซิงลูบๆ หัว กะพริบตาปริบๆ สองครั้ง หันร่างเดินเข้าไปไม่รู้ว่าพูดอะไรกับสามีภรรยาสกุลหวัง ตอนออกมาอีกรอบบนหน้าก็ยิ้มสว่างไสวอย่างหาใดเปรียบ ฟันขาวสะอาดบนล่างสองแถวล้วนเปล่งแสงเป็นประกายวิบวับภายใต้แสงจันทร์


 


 


 “ภรรยา ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าคืนนี้ให้เราเข้านอนเร็วได้ไม่ต้องโส่วซุ่ย”


 


 


ซูเซียงชำเลืองมองเข้าไปในห้องโถงอย่างสงสัย “ท่านพ่อท่านแม่พูดเช่นนี้จริงหรือ?”


 


 


รอยยิ้มบนหน้าจ้าวเซิงไม่จางลง ช้อนร่างอุ้มซูเซียง พุ่งเข้าห้องนอนชั้นสองของพวกเขา


 


 


ซูเซียงถูกเขาอุ้มกะทันหันก็ตกใจร้องว๊ายหนึ่งเสียง ต่อมารีบปิดปาก รู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปบนหน้าก็แดงแปร๊ด


 


 


ในห้อง


 


 


 “นี่! เจ้าอย่ารีบร้อนลุกลนได้ไหมเล่า ถอดเสื้อผ้าช้าๆ กระชากขาดแล้วมันเย็บซ่อมยาก…เจ้าเบาหน่อย…” ซูเซียงดุเสียงค่อยใส่คนบนร่างที่บ้าความรุนแรงฉีกกระชากเสื้อผ้า


 


 


 “ไม่เป็นไรๆ ข้าสามีมีเงิน พรุ่งนี้จะซื้อเสื้อผ้าให้เจ้าเอง ซื้อให้เยอะๆ เลย” จ้าวเซิงพูดพลางเล่นลวดลายกับซูเซียง


 


 


ซูเซียงรักชุดนี้ แต่ต่อมาก็สะบัดหน้า ช่างเถอะๆ มาถึงตรงนี้แล้ว ใครยังจะมาสนใจเสื้อผ้าชุดหนึ่งเล่า?!


 


 


ม่านภูษาด้ายแดง ห้วงวสันต์ราตรี ย่อมสุขีเปรมปรีดิ์หาใดเปรียบ


 


 


ผู้เฒ่าหวังนำทุกคนโต้รุ่งข้ามปี บนใบหน้าแขวนประดับรอยยิ้มสดใส ยังสั่งการเป็นพิเศษให้ชุ่ยหลิ่วไปพับซองแดงใหญ่ๆ มาหลายซอง ไม่ว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านก่อนหน้าหรือเป็นผู้ที่พระพันปีพระราชทานมาก็ล้วนได้รับของขวัญกันถ้วนหน้า


 


 


คนอื่นๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ สองสามีภรรยาสกุลหวังจึงดีถึงเพียงนี้ แต่ชุ่ยหลิ่วกลับทราบดี นับตั้งแต่ฮูหยินบ้านนางแต่งกับองค์ชายก็ยังไม่เคยร่วมเรียงเคียงหอ เวลาหนึ่งปีกว่ามานี้สามีภรรยาสกุลหวังยังค่อนข้างกังวลกลุ้มใจ แม้ลูกเขยกับลูกสาวแต่งงานกันแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่เห็นร่วมหอ กลัวว่าลูกเขยยังถือเรื่องอดีตของลูกสาวอยู่กระมัง


 


 


บัดนี้ดีแล้ว เห็นท่าทางรีบร้อนอยู่ไม่สุขเช่นนั้นของลูกเขย คาดว่าเมฆลมทั้งหมดคงเคลื่อนผ่านไป ต่อไปนี้คงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] โส่วซุ่ย (守岁) คือประเพณีโต้รุ่งคืนวันสิ้นปี ไม่นอนข้ามปี เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เชื่อกันว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว

 

 

 


ตอนที่ 803 ใครบางคนหลงเสน่ห์ความงาม

 

ศักราชใหม่ บรรยากาศใหม่ ไม่แน่ว่าเวลานี้ในปีหน้า ในมือพวกเขาอาจได้อุ้มหลานตัวตุ้ยนุ้ยสักคนแล้ว จะไม่มีความสุขได้อย่างไร!


 


 


เช้าวันแรกของปีใหม่ซูเซียงลุกจากเตียงไม่ไหว คลุมผ้าห่มแกล้งตายอยู่บนเตียง


 


 


นางเองก็อยากลุกขึ้นมา แต่ทั้งร่างกายปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรง ยืนขึ้นมาขาก็สั่นทันที อย่างไรออกไปก็ไม่มีหน้าไปพบคน เป็นนกกระจอกเทศไปเลยแล้วกัน หลบได้สักหนึ่งวินาทีก็ถือว่าได้หลบ


 


 


 “ภรรยา ข้าสามีไปคารวะยกน้ำชาให้ท่านพ่อท่านแม่ก่อน เจ้านอนต่อสักพัก เดี๋ยวข้าจะยกข้าวกลับมาให้เจ้า” จ้าวเซิงกลับไม่ได้มีทีท่าเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ดูเหมือนยิ่งกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ชุดคลุมยาวสีฟ้าครามตัวนั้นสวมลงบนร่างเขาดูราวกับไผ่งามร้อยปี ดึงดูดสายตาคนเป็นพิเศษ


 


 


ซูเซียงตอบเสียง “อื้อ” เบาๆ เหมือนลูกแมวน้อย หลังจ้าวเซิงไปแล้วนางกลับดึงผ้าห่มลงมา ฮึดฮัดไปทางประตูสองเสียง “ผู้ชายน่าตาย รู้จักจะใช้ความงามมายั่วยวนข้า!”


 


 


 


 


วันห้าค่ำเดือนหนึ่ง เหลาสุราสองร้านใหญ่ในเมืองหลวงส่งข่าวมาสอบถามว่าเวลาอันใกล้นี้สามารถเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าพระพันปีและเต๋อฮุ่ยกงจู่ได้หรือไม่


 


 


หากซูเซียงต้องการกลับเมืองหลวงเช่นนั้นพวกเขาก็สะดวกรอ หากช่วงนี้ซูเซียงไม่แผนกลับเมืองหลวง เช่นนั้นพวกเขาจะส่งคนมาหารือเรื่องธุระสัญญา


 


 


ซูเซียงส่งจดหมายไปให้เหลาสุราในเมืองหลวงและจวนเต๋อฮุ่ยกงจู่แยกกัน บอกว่าวันที่สิบจะออกเดินทางไปเมืองหลวง


 


 


 “ท่านพี่ สองวันนี้ทำไมเจ้าดูนิ่งๆ เหม่อๆ ?” ซูเซียงโคลงเคลงบุรุษที่นั่งเหม่ออยู่ข้างๆ พูดอย่างไม่พอใจ


 


 


เคยได้ยินมาว่า ถ้าผู้ชายหลอกผู้หญิงขึ้นเตียงได้แล้วก็จะไม่เห็นคุณค่า คิดว่าจ้าวเซิงคงไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ?


 


 


จ้าวเซิงหันหน้ามา บนหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน ลูบดวงหน้าเล็กของนาง พูดเอ็ด “ดูสิหน้าเจ้าเย็นหมดแล้ว รีบเข้าไปนอนในผ้าห่ม”


 


 


ซูเซียงเห็นยิ้มอบอุ่นเอ็นดูบนหน้าเขาเจือความเศร้าเล็กน้อย ก็รู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไป จึงถามขึ้นว่า “เจ้าคงกังวลใจเรื่องหลังเข้าเมืองหลวง?”


 


 


จ้าวเซิงทอดถอนใจ รู้ว่าในที่สุดก็ไม่อาจซ่อนภรรยาผู้ฉลาดของตนพ้น จำต้องรับ “อืม” หนึ่งเสียง


 


 


 “มีบางอย่างยังไม่ได้บอกเจ้า เรื่องแต่งงานของเรา เสด็จพ่อกับเสด็จพี่รัชทายาทไม่ใคร่เห็นด้วยนัก ดังนั้นเข้าเมืองหลวงครานี้เกรงว่ายุ่งยากอยู่บ้าง”


 


 


ซูเซียงพอจะเดาสถานการณ์แบบนี้ได้ตั้งแต่แรกจึงไม่ได้แปลกใจมากนัก ตอบ “อืม” หนึ่งเสียง “ไม่เป็นไร เราแค่เข้าวัง เข้าเฝ้าถวายบังคมเสด็จย่าก็ได้ ไม่รั้งอยู่นาน”


 


 


จ้าวเซิงฝืนยิ้มเฝื่อน หลังซูเซียงหลับแล้วเขาจึงส่งหลงฉีกลับเมืองหลวงไปเตรียมการ เข้าเมืองหลวงครานี้สำคัญไม่ใช่เล่น หากเตรียมตัวไม่ดี กลัวว่าความเป็นไปได้ที่จะไปแล้วไม่หวนกลับก็ใช่ว่าจะไม่มี


 


 


เบื้องหน้าที่สว่างเสด็จพ่อไม่อาจกระทำอันใดได้ อย่างไรก็ต้องเกรงเต๋อฮุ่ยกงจู่ทางนั้น แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงคนบางพวกที่เอาใจเข้าข้างเสด็จพ่อและเสด็จพี่รัชทายาท แอบออกกลอุบายทำอะไรลับหลัง


 


 


ถึงเวลาเป็นไปได้มากว่าเสด็จพ่ออาจบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร แล้วสังหารคนออกอุบายพวกนั้นทิ้งทั้งหมด แต่ตอนนั้นซูเซียงก็ไม่อยู่แล้ว มาวัวหายล้อมคอกทีหลังแล้วจะมีความหมายอะไร?


 


 


ขณะที่จ้าวเซิงกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น ในวังหลวงจู่ๆ ก็มีราชโองการลงมา ซึ่งเป็นพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี ตรัสว่าเต๋อฮุ่ยกงจู่อยากประพาสจิงโจว อาจประทับค้างแรมที่จวนจวิ้นจู่ของซูเซียงสักสองสามวัน จากนั้นยังตรัสว่าเส้นทางยาวไกล ในบ้านมีผู้อาวุโสและเด็กต้องดูแล จึงประทานอนุญาตให้ซูเซียงไม่ต้องรีบเข้าเมืองหลวงตอบแทนพระคุณ


 


 


ได้รับพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี จ้าวเซิงก็ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด บนหน้าแขวนรอยยิ้มจริงใจ “ภรรยา เราไม่ต้องเข้าเมืองหลวงแล้ว ดีจริงๆ”


 


 


ซูเซียงดุเขาทางสายตาอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นเป็นบ้านของเจ้าเอง ไยพูดเหมือนกับเป็นถ้ำเสือรังมังกร?”


 


 


จ้าวเซิงกลั้นลมหายใจอยู่ในใจ ก็มิใช่ถ้ำเสือรังมังกรหรอกหรือ? ซูเซียงเข้าเมืองหลวงตอนนี้ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แล้วเขาจะทำเช่นไร?


 


 


ขณะเดียวกันกับที่มีพระราชเสาวนีย์ลงมา พระพันปียังส่งสารลับฉบับหนึ่งมาให้จ้าวเซิง บอกว่าความลับทางการทหารในพัดอาจรั่วไหล องครักษ์ลับทางพระนางแอบสืบทราบว่าอยู่ภายใต้ชื่อของต้าจ่างกงจู่และฮู่กั๋วกง แต่น่าเสียดายยังไม่มีหลักฐานครบถ้วนพอ ให้ทางจ้าวเซิงร่วมช่วยสืบสวนด้วย และในยามปกติต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 804 องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเสด็จเยือน

 

พระราชสารลับของพระพันปีเขียนถึงจ้าวเซิงกับซูเซียงสองคน นั่นก็หมายความได้ว่า พระพันปีไม่มีประสงค์ปิดบังเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้กับซูเซียง


 


 


ซูเซียงเองก็รับกระดาษจดหมายอ่านดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะที่ไม่ได้เอะใจว่ามีอะไร แต่ต่อมาดวงตากลับหรี่ลง


 


 


“ซูย่วนเสี้ยนจู่นั่นมิใช่เข้าวังเป็นตาอิ้งแล้วหรือ เว้นแต่ว่า…”


 


 


ความกังวลใจของซูเซียงมิใช่ไม่มีเหตุผล นางเคยดูละครในรั้วในวังมามาก ส่วนมากตระกูลที่ต้องการก่อกบฎมักส่งลูกสาวของตนเข้าวังหลวง ไม่มอมเมาให้ฮ่องเต้หลงเสน่ห์ก็แทรกแซงการทหาร ถึงขั้นมีบางคนส่งบุตรีเข้าวังเพื่อลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิ เรื่องพวกนี้เห็นบ่อยจนชินตา


 


 


แม้นซูเซียงมิได้มีความรู้สึกดีต่อจักรพรรดิองค์นี้มากนัก แต่อย่างไรเขาก็เป็นบิดาโดยกำเนิดของจ้าวเซิง เป็นพ่อสามีของนาง ตนคงไม่อาจนึกเฉลียวใจแล้วแต่ไม่พูด หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงนางคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต


 


 


           คิดไม่ถึงจ้าวเซิงกลับส่ายหน้า มุมปากยังยกยิ้มดูแคลน “เด็กสาวคนนั้นไม่มีสมอง เสด็จพ่อคงไม่แลมองนาง พูดอีกอย่าง เสด็จพ่อเป็นคนรอบคอบรัดกุม คนไม่มีสมองเช่นนี้หากสามารถฆ่าตัวเองสำเร็จ เกรงว่าเสด็จพ่อคงตายไปร้อยพันรอบแล้ว ”


 


 


ได้ยินน้ำเสียงจ้าวเซิงมั่นใจเช่นนี้ ซูเซียงเองก็ผ่อนลมหายใจโล่งยาวๆ พยักหน้า “จะว่าไปก็ใช่ ถ้าเป็นคนจักรพรรดิไม่มีฝีมือฝีแปรงเลย คงถูกคนสับเป็นซาลาเปาไส้เนื้อมนุษย์ไปนานแล้ว”


 


 


 “ฮ่าๆ ภรรยา เจ้าเปรียบเปรยได้น่าสนใจจริงๆ” ขณะกำลังพูดเรื่องจริงจัง จ้าวเซิงคนกะล่อนผู้นี้ถึงกับยื่นศีรษะนุ่มฟูเข้ามาใกล้เที่ยวพรมจูบตามใบหน้าซอกคอของซูเซียง


 


 


ซูเซียงผลักเขาออก “เจ้าทำอะไรน่ะ กลางวันแสกๆ คนเห็นเข้าจะไม่ดี”


 


 


 “กลางวันแสกๆ แล้วอย่างไร ใครออกกฎว่ากลางวันห้ามจูบกับภรรยา” นับตั้งแต่วันที่จ้าวเซิงได้กินเนื้อวันนั้นก็ราวกับเสพติด นับวันยิ่งเหมือนคนเจ้าชู้ชีกอ มีโอกาสนิดๆ หน่อยๆ เป็นได้ต้องซุกไซ้บนตัวซูเซียง มักทำให้ซูเซียงต้องออกไปพบเจอคนทั้งสภาพดวงหน้าแดงเรื่อ ด้วยเหตุนี้ยังถูกชุ่ยหลิ่วแซวอยู่หลายครั้ง


 


 


แรกปีใหม่วันที่สิบสอง ก้อนแป้งน้อยเข้าสำนักศึกษาประจำอำเภอศึกษาเล่าเรียนอย่างเป็นทางการ ซูเซียงกับจ้าวเซิงตั้งชื่อให้เขาว่า “เช่อ” (นทีกร)


 


 


ทีแรกจ้าวเซิงอยากเรียกเขาว่าจ้าวเช่อ แต่ซูเซียงคิดว่าแซ่จ้าวเป็นราชสกุลคนจับสังเกตได้ง่าย ถึงเวลาอาจมีผลกระทบต่อก้อนแป้งน้อย


 


 


แม้ก้อนแป้งน้อยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนสอบเป็นซิ่วไฉจวี่เหริน[1] ได้ แต่อาจถูกครหาว่าใช้เส้นสายเข้าทางลัด


 


 


แท้ที่จริงสำหรับเรื่องจะใช้เส้นไม่ใช้เส้นซูเซียงกลับไม่ได้สนใจ และไม่กลัวคำคนอื่น นางเชื่อมั่นว่าลูกของตนยอดเยี่ยมที่สุด แต่ถ้าคำนินทาว่าร้ายมากเข้า ก็ยากจะเลี่ยงผลกระทบต่อจิตใจของลูกน้อย


 


 


ด้วยเรื่องแซ่สกุลนี้ทำให้จ้าวเซิงไม่พอใจอยู่นานครึ่งค่อนวัน หลังจากซูเซียงบอกว่าจะเกิดลูกสาวตัวน้อยขาวผ่องให้เขาอีกคน จ้าวเซิงถึงค่อยฝืนพอใจไปได้บ้าง


 


 


แรกปีใหม่วันที่สิบแปด ราชรถขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยหยุดลงตรงนอกจวนจวิ้นจู่ของซูเซียง


 


 


ซูเซียงได้รับข่าวก่อนแล้วจึงนำคนทั้งครอบครัวรับเสด็จตรงหน้าประตู


 


 


ทีแรกคิดว่าองค์หญิงฐานะสูงส่งเช่นนี้คงเข้มงวดมากเป็นพิเศษ เหมือนกับองค์หญิงหรงโซ่ว[2] ที่ซูเซียงเคยอ่านเจอตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเมื่อใดที่ไหนก็ล้วนตีหน้านิ่งเฉย ทั้งยังรู้สึกว่าตนทำเช่นนี้ถูกต้องเหมาะสมอย่างมาก


 


 


แต่ผิดคาดมารดาบุญธรรมของนางท่านนี้กลับเป็นสตรีร่างสันทัดจ่ำม่ำเจ้าเนื้อคนหนึ่ง อาจเพราะอยู่เป็นหม้ายตั้งแต่เยาว์วัย บนตัวจึงมิได้แต่งกายหรูหราฉูดฉาด เพียงตรงขอบชุดปักดอกรับวสันต์[3]สีเหลืองไว้สองสามดอก ในฤดูแห่งการเริ่มต้นชีวิตเช่นนี้ ยิ่งขับให้ผู้สวมใส่เปี่ยมเมตตาการุณ


 


 


โดยเฉพาะรอยยิ้มบนหน้า อ่อนโยนอ้อมอารีเป็นพิเศษ ครั้นพอพบหน้าแล้วก็ดึงมือซูเซียงมองชั่ง


 


 


 “ท่านป้าบอกว่าเจ้าเป็นเด็กดี วันนี้ได้พบเจอ ก็สมดังคิด สะคราญงามสง่า ข้าเองโชคดีนัก”


 


 


ซูเซียงเองก็ยิ้มแย้ม ตามมือของพระนางไปแล้วก็คุกเข่าลงบนพื้น โขกคำนับให้นาง “ซูเซียงคารวะมารดาบุญธรรม”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยยิ่งมีความสุข ตาแดงร้อนรีบประคองซูเซียงให้ลุกขึ้นมา สัมผัสใบหน้าของซูเซียงราวกับสิ่งล้ำค่า “เด็กโง่ ชื่อของเจ้าเข้าสู่ทำเนียบวงศ์ตระกูลด้วยฐานะธิดาคนโตแล้ว ต่อไปเจ้าต้องเรียกขานข้าว่าท่านแม่”


 


 


 


 


——


 


 


[1] จวี่เหริน คุณวุฒิของผู้ที่สอบผ่านการสอบรับราชการรอบสอง ซึ่งเป็นสอบระดับภูมิภาค ผู้สอบระดับนี้ต้องผ่านการสอบระดับท้องถิ่นได้เป็นซิ่วไฉมาแล้ว


 


 


[2] องค์หญิงหรงโซ่ว (荣寿公主) หรงโซ่วกู้หลุนกงจู่ เป็นพระราชธิดาคนโตของอ้ายซินเจวี๋ยหลัวอี้ซินหรือกงซินหวัง พระอนุชาต่างพระมารดาของจักรพรรดิเสียนเฟิงซึ่งต่อมาร่วมทำรัฐประหารซินโหย่วกับซูสีไทเฮา องค์หญิงหรงโซ่วเข้าวังได้รับความเมตตาโปรดปรานจากพระนางซูสีไทเฮาอย่างมาก ถึงขั้นรับนางเป็นธิดาบุญธรรม พระนางเป็นคนเงียบขรึม ไม่ทำตัวโดดเด่น จงรักภักดีต่อซูสีไทเฮา ถือเป็นคนสนิทที่มีอิทธพลต่อซูสีไทเฮามาก


 


 


[3] ดอกรับวสันต์ หรือ อิ๋งชุนฮวา (迎春花) หรือ Winter Jasmine ดอกสีเหลืองที่ผลิบานในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ชื่อในภาษาจีนมีความหมายตรงตัวว่าดอกไม้รับวสันตฤดู ถ้าดอกไม้นี้บานก็แสดงว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 805 ข่มกลั้นความทุกข์ขมน้อยใจไว้นานปี

 

“เพคะ ท่านแม่ ท่านแม่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เชิญเข้าด้านเถิด” ก่อนองค์หญิงเต๋อฮุ่ยมาถึงในใจซูเซียงกังวลไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าถ้าเห็นมารดาบุญธรรมท่านนี้เหมือนองค์หญิงหรงโซ่วที่เขียนบรรยายไว้ในหนังสือผู้นั้น นางคงร้องไห้ไปต่อไม่ถูก


 


 


บัดนี้พบเจอสตรีโอบอ้อมอารีเช่นนี้ หินก้อนใหญ่ในใจนางในที่สุดก็ร่วงลงพื้นได้


 


 


ขณะที่ทางนี้กำลังคิดอยู่นั้น องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเห็นสามีภรรยาสกุลหวังที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็แย้มยิ้มเข้าไปทักทาย “พี่ใหญ่หวัง พี่สะใภ้หวัง”


 


 


ก่อนสามีภรรยาสกุลหวังจะรู้ว่าจ้าวเซิงเป็นองค์ชาย รู้จักขุนนางใหญ่ที่สุดแค่หลีจ่าง[1]ประจำท้องที่ บัดนี้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์กล่าวทักทายพวกเขา ทั้งร่างกายก็สั่นๆ อยู่บ้าง ตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าควรรับคำอย่างไรดี


 


 


สุดท้ายเป็นผู้เฒ่าหวังผลักหวังต้าเหนียงเล็กน้อย หวังต้าเหนียงจึงค่อยเปิดปากพูดตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน หม่อมฉันหญิงชาวบ้านคารวะพระองค์หญิง”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยประคองหวังต้าเหนียง “พี่สะใภ้หวังมิต้องเกรงใจ หลายปีนี้ดีที่ได้พวกท่านดูแลเซียงเอ๋อร์ บัดนี้เรามีลูกสาวคนเดียวกันนับเป็นคนสนิทชิดเชื้อ ต่อไปมิต้องมากพิธีพวกนั้น”


 


 


 “เพคะๆ เช่นนั้นเชิญองค์หญิงด้านใน เชิญด้านใน” แม้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยจะกล่าวเช่นนี้ แต่สามีภรรยากสกุลหวังผู้ซื่อสัตย์ขี้กลัวยังคงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ


 


 


เข้าจวนพักเรียบร้อยดีแล้วชิงสือก็อุ้มกระพรวนน้อยเข้ามา


 


 


ตอนนี้กระพรวนน้อยอายุเจ็ดขวบกว่าแล้ว ขาวผ่องเป็นยองใย ดวงตาโตทั้งคู่ใสแป๋วดำขลับ ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง


 


 


วินาทีที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเห็นกระพรวนน้อยนั้นมือไม้ก็ไม่รู้ว่าควรจับตรงไหนดี ในพระเนตรพลันเต็มปริ่มด้วยน้ำตา


 


 


ครานั้นตอนลูกสาวเข้าลอบสังหารในค่ายศัตรูอายุก็รุ่นราวคราวนี้ พอเห็นกระพรวนน้อย องค์หญิงเต๋อฮุ่ยก็คิดถึงลูกสาวผู้จากไปเร็วคนนั้น เขื่อนน้ำตากั้นไม่ไหวไหลพรั่งพรู


 


 


สามีภรรยาสกุลหวังและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ กังวลใจอยู่ไม่สุข ไม่รู้ว่าองค์หญิงที่ยังดีๆ อยู่เมื่อครู่ เหตุไฉนพอเห็นเด็กน้อยจึงร้องไห้ขึ้นมา?


 


 


หวังต้าเหนียงถึงขั้นคิดว่า หรือองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไม่ชอบกระพรวนน้อย กำลังคิดจะบอกให้ซูเซียงรีบอุ้มกระพรวนน้อยออกไป อย่ากระตุ้นให้องค์หญิงไม่พอพระทัย


 


 


ทว่าในตอนนี้เอง องค์หญิงเต๋อฮุ่ยรับกระพรวนเข้ามาอุ้มในอ้อมแขนแล้วหอมแก้มนาง เอ่ยเสียงสะอื้น “นี่คือหลานสาวคนโตของข้าสินะ หน้าตาน่ารักจริงเชียว ”


 


 


ก่อนหน้าซูเซียงเคยพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับกระพรวนน้อยแล้ว นางเองก็เป็นเด็กรู้ความอย่างยิ่ง รวมถึงอยู่กับชิงสือเป็นการส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าเขาอบรมนางมากน้อยเพียงใดแล้ว


 


 


เวลานี้กระพรวนกลับมิได้กลัวคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสะอาดในมือของตนซับน้ำตาให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยเบาๆ”ท่านยายไม่ร้อง กระพรวนน้อยกับพี่ชายแล้วก็ท่านแม่จะอยู่กับท่านย่าตลอดไป”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยไหนเลยจะคาดคิดว่ากระพรวนน้อยจะพูดคำเช่นนี้ออกมา กำแพงชั้นสุดท้ายในใจถล่มลงในที่สุด กอดกระพรวนในอ้อมอกร่ำไห้สะอื้นไม่เป็นภาษา


 


 


สามีภรรยาสกุลหวังและคนอื่นๆ กังวลใจเหลือประมาณ ส่งสายตาให้ซูเซียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซูเซียงกลับยิ้มๆ ส่ายหน้าให้พวกเขา “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด มารดาเดินทางมาไกลเกรงว่าคงเหนื่อยแล้ว ใช่แล้ว ส่งคนไปสำนักศึกษารับก้อนแป้งน้อยกลับมาด้วย”


 


 


 “นี่…” หวังต้าเหนียงเห็นองค์หญิงเต๋อฮุ่ยร้องไห้จนมีสภาพเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายจึงถูกผู้เฒ่าหวังลากออกไป


 


 


กระพรวนน้อยถูกองค์หญิงเต๋อฮุ่ยกอดร่ำไห้อยู่สักพักใหญ่ แต่บนหน้านางกลับไม่ได้มีความรำคาญแม้แต่น้อย ถือผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยเช็ดบนหน้าองค์หญิงเต๋อฮุ่ยเบาๆ ต่อเนื่อง คอยพูดปลอบด้วยคำน่าฟัง


 


 


ในตอนที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยร้องไห้อย่างรุนแรง นางยังยื่นปากเล็กจุ๊บลงบนพระพักตร์ของพระนาง “ท่านยายไม่ร้องนะ พี่ชิงสือบอกว่าท่านยายเสียลูกสาวไปก่อนวัย ตอนนี้ท่านแม่ข้าเป็นลูกสาวให้ท่าน ท่านแม่จะกตัญญูต่อท่าน กระพรวนน้อยกับพี่ชายก็จะเป็นเด็กดีเชื่อฟัง จะกตัญญูต่อท่านเช่นกัน”


 


 


หลังองค์หญิงเต๋อฮุ่ยสูญเสียพระสวามีและลูกสาวตัวน้อย นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่กล้าหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เพราะพระสวามีและธิดาของนางเป็นผู้มีความดีความชอบต่อบ้านเมือง ได้รับการแต่งตั้งสูงสุด ได้รับพระราชทานของกำนัลมากที่สุด นางจะร้องไห้ไม่ได้ หากนางร้อง นั้นก็หมายถึงนางไม่ยินยอม


 


 


 


 


——


 


 


[1] หลีจ่าง (里长) คือหัวหน้าประจำหน่วยปกครองท้องถิ่นหลี่ โดยในสมัยราชวงศ์หมิงกำหนดให้หนึ่งหลี่ (里) มี 110 ครัวเรือน

 

 

 


ตอนที่ 806 เจ้ากับจวิ้นหม่าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว

 

ความรู้สึกขมขื่นเช่นนี้ฝังซ่อนไว้ในใจนานหลายปี มีเพียงยามตื่นจากห้วงฝันกลางดึกที่สามารถแอบหลั่งน้ำตาสองหยดภายใต้ผ้าห่มคลุม ทว่าก็รีบเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าคนรับใช้ข้างกายจะสังเกตเห็นเข้า


 


 


บัดนี้นางเข้ามาในจวนของซูเซียงแล้ว ไม่ต้องระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว กอดเด็กน้อยร่ำไห้มืดฟ้ามัวดิน


 


 


ตอนเงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากร้องไห้ ทันใดนั้นพลันค้นพบว่าโลกใบนี้ยังคงสวยงามถึงเพียงนั้น ตอนนี้นางมีลูกสาว ทั้งยังมีหลานสาวและหลานชาย แต่ละคนล้วนเป็นเด็กดี น่ารักเชื่อฟัง


 


 


ขณะที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยระงับเสียงร้องสะอื้นได้ ก้อนแป้งน้อยก็ถูกรับกลับมาแล้ว คนตัวเล็กยืนอยู่ข้างซูเซียงค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เอ่ยถามเสียงต่ำ “ท่านแม่ เหตุใดท่านยายกอดน้องสาวแล้วร้องไห้?”


 


 


ซูเซียงไม่มีความตั้งใจจะปิดบัง เด็กอายุเจ็ดแปดขวบควรจะรับรู้เรื่องต่างๆ บ้างแล้ว ดังนั้นจึงยอบกายลงกระซิบข้างหูก้อนแป้งน้อยสองสามประโยค


 


 


ก้อนแป้งน้อยพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว มองตาจ้าวเซิงแล้วเรียกเบาๆ”ท่านพ่อ”


 


 


จ้าวเซิงเองก็พยักหน้าให้เขา ก้อนแป้งน้อยจึงค่อยย่างเท้าเล็กสั้นของเขาไปทางองค์หญิงเต๋อฮุ่ย


 


 


 “หลานคารวะท่านยาย”


 


 


ก้อนแป้งน้อยคุกเข่าบนพื้นโขกศีรษะคำนับอย่างเคารพนบนอบ ดูแล้วฉลาดรู้ประสามาก


 


 


เสียงร่ำไห้ขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยแหบแห้งแล้ว แต่ครั้นเห็นก้อนแป้งน้อยเข้าใจความรู้มารยาทเช่นนี้ในใจก็มีความสุขเหลือคณา นี่เป็นหลานชายของนาง เป็นเด็กดีขนาดนี้


 


 


รีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไปดึงก้อนแป้งน้อยให้ลุกขึ้นจากพื้น พร้อมโอบเข้ามาในอ้อมแขน สายตามองไปทางซูเซียงกับจ้าวเซิงที่ยืนคล้องแขนกันตรงด้านข้าง ในที่สุดก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ


 


 


แต่ตระกูลทางพระสวามีนางนั้นอย่างไรก็เป็นแม่ทัพทางชายแดน กุมอำนาจสำคัญ ดังนั้นองค์หญิงเต๋อฮุ่ยจึงไม่อาจจากเมืองหลวงได้เป็นเวลานาน พำนักในจวนซูเซียงเป็นการชั่วคราวเพียงห้าหกวันก็เตรียมตัวกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


ซูเซียงเองก็ตัดใจจากมารดาบุญธรรมผู้ใจดีอ้วนกลมท่านนี้ไม่ได้เช่นกัน คนเดินออกนอกประตูหลักแล้วนางยังรั้งไว้พูดคุยอีกหลายคำ ให้คนห่อข้าวของมอบให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยจำนวนมาก


 


 


สิ่งของเหล่านี้มิใช่ของล้ำค่าอะไร ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นของที่ซูเซียงทำและเลือกสรรด้วยตัวเอง เหมือนจะเป็นถุงเครื่องปรุงปลาหม้อไฟ แล้วก็ยังมีเห็ดป่าตากแห้ง ซูเซียงล้วนบรรทุกใส่รถม้าให้องค์หญิงเต๋อฮุ่ยอยู่นานครึ่งปี จากนั้นก็เป็นขนมสมุนไพรหลากชนิด และสูตรอาหารที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยทรงโปรดอีกสิบกว่าชนิดก็ล้วนเขียนอย่างละเอียดมอบให้นางไปพร้อมกัน


 


 


 “ท่านแม่เดินทางกลับโปรดระมัดระวัง ดูแลตัวเองดีๆ รอมีเวลาว่างแล้วข้าจะเข้าเมืองหลวงไปเยี่ยมท่าน” ซูเซียงรั้งมือขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยอย่างอาวรณ์


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยกลับยิ้มสลด เข้าเมืองหลวงน่ะหรือ ดูจากพระประสงค์ของจักรพรรดิตอนนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก


 


 


แต่นางใจไม่แข็งพอจะทำให้ซูเซียงเสียใจ ฝืนยิ้มกล่าว “ดี เช่นนั้นแม่จะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง เจ้ารีบมาเร็วๆ ล่ะ”


 


 


ตอนองค์หญิงขึ้นประทับบนรถม้ายังกระซิบข้างหูซูเซียงหนึ่งประโยค “เจ้ากับจวิ้นหม่า[1]ก็เร่งมือเข้าหน่อย แม่ยังรออุ้มหลานอยู่”


 


 


ซูเซียงได้ยินแล้วหน้าแดงขึ้นทันใด กระมิดกระเมี้ยน สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ “เจ้าค่ะ ท่านแม่”


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยถึงค่อยกลับไปด้วยความปลื้มปริ่ม นางยังเลิกม่านทอดพระเนตรไปทางด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นซูเซียงยังยืนมองนางอยู่ตรงนั้น พระทัยปวดแปลบ น้ำตาไหลหยดลงมาอีกครา


 


 


เหตุเพราะซูเซียงไม่เข้าเมืองหลวง เหลาสุราในเมืองหลวงจึงส่งผู้จัดการสองคนเข้ามาหารือเรื่องความร่วมมือทางการค้ากับซูเซียง ซูเซียงจึงให้พวกเขาส่งพ่อครัวใหญ่มาโดยตรง นางสอนเองกับมือ จากนั้นค่อยให้กลับไป


 


 


ตัวสัญญาเองก็ตกลงกันค่อนข้างราบรื่น ซูเซียงออกวิชา ทางเหลาสุราในเมืองหลวงออกแรงงานกับวัตุดิบ กำไรที่ได้ทั้งหมดแบ่งกันห้าต่อห้า สำหรับเรื่องที่ซูเซียงทางนี้ขายอาหารแบบเดียวกันพวกเขาก็ไม่ติดใจ อย่างไรก็มิได้มีผลกระทบต่อพวกเขา


 


 


ช่วงเวลากว่าครึ่งปีก็ผ่านพ้นไปเช่นนี้ โรงเตี๊ยมของซูเซียงทางนี้ก็เปิดอีกหลายร้าน กิจการรุ่งเรืองเป็นพลุแตก ทางด้านเมืองหลวงก็เช่นเดียวกัน มีสาขาแยกย่อยไปถึงมณฑลข้างเคียง


 


 


ช่วงเวลานี้ รัชทายาทเขียนจดหมายให้จ้าวเซิงกลับเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง บอกทำนองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติและด่านชายแดน ทุกครั้งจ้าวเซิงล้วนตอบจดหมายรายงานกลับไปอย่างชัดเจน แต่ให้องครักษ์ลับกลับไป มิได้กลับเมืองหลวงด้วยตนเอง สิ่งนี้ทำให้จักพรรดิและรัชทายาทไม่พอพระทัยอย่างมาก


 


 


 


 


——


 


 


[1] จวิ้นหม่า (郡马) เป็นคำเรียกสามีของธิดาในชินอ๋องที่มียศจวิ้นจู่


 

 

 


ตอนที่ 807 ความกังวลของสองสามีภรรยา

 

หลังก้อนแป้งน้อยเข้าเรียนแล้วก็ได้รับการดูแลจากอาจารย์เป็นพิเศษ แต่มิใช่เพราะซูเซียงเปิดประตูทางลัดให้ก้อนแป้งน้อย แต่เพราะก้อนแป้งน้อยร่ำเรียนกับชิงหลานมาไม่น้อย เดิมทีเขาเข้าเรียนหลักสูตรระดับต้นของเด็กอายุต่ำกว่าแปดขวบ สุดท้ายอาจารย์ชั้นเรียนระดับต้นบอกตามตรงว่าความรู้ของตนเทียบกับก้อนแป้งน้อยไม่ได้


 


 


เดิมทีต้องการย้ายเขาเข้าในชั้นเรียนระดับสูง ทว่าคนที่อยู่ในชั้นเรียนระดับสูงอย่างต่ำสุดต้องมีชื่อตำแหน่งเป็นถงเซิง[1] ทว่าก้อนแป้งน้อยกลับไม่มีแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเข้าได้เพียงชั้นเรียนระดับกลาง


 


 


ท่านอาจารย์สนับสนุนการศึกษาของเขาอย่างยิ่ง เสนอแนะเรื่องที่ชวนตกตะลึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ให้เขาที่ยังอายุไม่ถึงแปดขวบดีเข้าร่วมการสอบถงเซิงครั้งนี้


 


 


ก้อนแป้งน้อยเองก็ใจสู้ยิ่งนัก สนามแรกก็สอบผ่านแล้ว บ่าวไพร่ในบ้านดีอกดีใจเหลือประมาณ ชมเชยยกย่องก้อนแป้งน้อยสารพัด


 


 


จ้าวเซิงแอบกังวลใจอยู่รางๆ ปรึกษากับซูเซียงในตอนค่ำ “หรือควรตักเตือนพวกบ่าวในบ้าน ให้พูดชมน้อยลงหน่อย คำชมเหล่านี้ฟังมากเข้าจะได้ใจ นี่จะทำให้จิตใจผิดเพี้ยน ต่อให้มีความรู้ก็ไร้ประโยชน์”


 


 


ซูเซียงเองก็เห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง พยักหน้า “พรุ่งนี้ข้าจะลองถามลูกดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


เป็นห้วงวสันตราตรีอีกค่ำคืนหนึ่ง เดิมทีซูเซียงอยากพูดคุยเรื่องนี้กับก้อนแป้งน้อยก่อนเขาไปสำนักศึกษา แต่คิดไม่ถึงว่าตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว ก้อนแป้งน้อยไปสำนักศึกษาตั้งแต่เช้าแล้ว ดูเหมือนว่านางซึ่งเป็นมารดาคนนี้ยังขยันสู้ลูกไม่ได้ นอนเกียจคร้านบนเตียงทุกวัน แต่นางเองก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้!


 


 


จ้องมองบุรุษที่อยู่ข้างๆ แอบตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมถูกความงามล่อลวงอีก


 


 


จนถึงตอนเย็นหลังคนทั้งบ้านกลับมารับประทานมื้อค่ำแล้ว ก้อนแป้งน้อยไม่รู้ว่าซูเซียงต้องการคุยกับเขา วางชามตะเกียบเช่นปกติ ล้างมือล้างหน้าเสร็จแล้วก็มุ่งไปทางห้องหนังสือ การบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายยังมีอีกมากเชียวล่ะ อีกไม่นานเขาต้องไปสอบระดับจังหวัด อักษรของเขายังเขียนได้ไม่ดีพอดังนั้นต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี เสียเวลาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว


 


 


ซูเซียงเห็นก้อนแป้งน้อยตกอยู่กลางวงบ่าวรับใช้เหมือนดาวล้อมเดือน กลับเข้าห้องหนังสือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปิดประตูแล้วคนด้านในก็จุดไฟฝึกเขียนท่องหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


มุมปากซูเซียงยกเส้นยิ้มเบาบาง พูดกับจ้าวเซิงที่แอบมองอยู่ด้วยกันข้างๆ”ไปเถอะ กลับห้องได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กคนนี้รู้จักหนักเบา”


 


 


จ้าวเซิงเองก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนหน้านี้เพียงแค่คิดว่าก้อนแป้งน้อยเป็นลูกคนแรกของเขาก็สมควรเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง ต่อมาทางด้านองค์หญิงเต๋อฮุ่ยต้องการเด็กคนหนึ่ง จากนั้นบิดามารดาซูเซียงทางนี้ก็ต้องการเด็กอีกคนหนึ่ง ดังนั้นจ้าวเซิงจึงยิ่งให้ความสำคัญกับการศึกษาของก้อนแป้งน้อยขึ้นมา ก่อนหน้านี้ล้วนว่าตามที่ชิงหลานสอน บัดนี้เมื่อกลับมามักจะถามถึงการบ้านของก้อนแป้งน้อยเป็นประจำ


 


 


หนนี้เองก็กลัวว่าก้อนแป้งน้อยจะถูกชื่อเสียงความสำเร็จชั่วครู่ทำให้สมองสับสน โชคดีที่ลูกคนนี้รู้ความ ไม่ว่าคนรอบข้างชมเชยเขาอย่างไร ยกยอเขาขึ้นฟ้าอย่างไร ตนกลับรู้ประมาณตัวเองดี เช่นนี้ย่อมดี


 


 


กลับถึงห้องแล้วจ้าวเซิงกับซูเซียงหารือกัน “เจตนาของอาจารย์เขาต้องการให้เขาลองสอบระดับจังหวัดดู ดูว่าสามารถสอบเป็นซิ่วไฉได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าค่อนข้างเป็นห่วง บัดนี้เห็นว่าลูกรู้ประสา หรือเราเองควรให้เขาลองสอบรอบต่อไป ไม่สนใจว่าจะสอบติดหรือไม่ติด ถือเสียว่าไปฝึกความกล้า เจ้าเห็นเช่นไร?”


 


 


พูดตามจริง บางครั้งซูเซียงแปลกใจยิ่งนัก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก้อนแป้งน้อยมิได้มีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับจ้าวเซิงแม้แต่น้อย แต่บุรุษคนนี้ดีต่อลูกทั้งสองถึงเพียงนั้นมาโดยตลอด ทำให้นางนึกสงสัย บางครั้งถึงขั้นสงสัยว่าที่จ้าวเซิงดีต่อตนขนาดนั้นอาจเป็นเพราะลูกสองคนนี้หรือไม่?


 


 


แต่ความคิดแบบนี้ก็เพียงบังเอิญแวบผ่านไปในสมอง ตนยังรู้สึกว่าความคิดเช่นนี้เพ้อเจ้อมาก


 


 


ซูเซียงกำลังคิดเช่นนี้ จู่ๆ ในท้องพลันพลิกตลบปั่นป่วน นางผลักจ้าวเซิงตกเตียงทันที ยังไม่ทันถึงข้างระเบียงก็อาเจียนหนักหน่วงออกมากองใหญ่


 


 


อาเจียนคราวนี้มืดฟ้ามัวดิน นางรู้สึกเหมือนตัวเองขย้อนเอาตับไตไส้พุงและน้ำดีออกมาทั้งหมด


 


 


จ้าวเซิงร้อนใจมาก ตะโกนเสียงดัง “ชุ่ยหลิ่ว! ชุ่ยหลิ่ว! ”


 


 


ชุ่ยหลิ่วเข้ามา เห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ร้อนใจมากเช่นกัน ทว่าทันใดนั้น บนหน้านางก็ปรากฎความดีใจเหลือล้นมาเป็นระลอก หรือว่าจะ หรือว่าจะ….


 


 


 


 


——


 


 


[1] ถงเซิง (童生) หมายถึง นักศึกษารุ่นเยาว์ หรือนักศึกษาเด็ก เรียกผู้เข้าสมัครสอบรับราชการระดับอำเภอและจังหวัดหรือที่เรียกว่าการสอบถงเซิง การสอบถงเซิงเป็นการสอบในระดับท้องถิ่นซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ การสอบระดับอำเภอ การสอบระดับมณฑล และการสอบซึ่งจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ในการสอบ 3 ระดับนี้ การสอบระดับอำเภอถือว่าสำคัญที่สุด การจัดสอบระดับอำเภอจะดำเนินการโดยขุนนางประจำอำเภอต่างๆ หากผู้เข้าสอบผ่านระดับนี้ก็จะได้รับเลือกเป็น “เซิงหยวน” (บัณฑิตระดับอำเภอ) หรือมักเรียกกันทั่วไปว่า “ซิ่วฉาย” (秀才)

 

 

 


ตอนที่ 808 ซูเซียงตั้งครรภ์ มงคลคู่มาเยือนประตู

 

 “องค์ชายท่านรอก่อน ข้า ข้าจะไปเรียกนายท่านใหญ่” ชุ่ยหลิ่วพูดแล้วก็ไม่สนใจสายตาจ้องปานจะกินคนของจ้าวเซิง ออกไปราวกับลมกรด เคาะประตูห้องสามีภรรยาสกุลหวัง “นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ เร็วเข้า! ฮูหยินไม่สบาย ท่านรีบไปดูหน่อย!”


 


 


พอได้ยินว่าลูกสาวไม่สบาย สามีภรรยาสกุลหวังไหนยังจะหลับลง ลุกขึ้นทันที คลุมเสื้อไม่ทันเสร็จก็รีบเร่งวิ่งเข้ามาในห้องของพวกซูเซียง


 


 


ตอนผู้อาวุโสทั้งสองมาถึงเหล่าคนรับใช้ก็ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังหลงเหลือกลิ่นเหม็นเปรี้ยวอยู่จางๆ


 


 


ผู้เฒ่าหวังกระวนกระวาย เข้าไปจับมือซูเซียงเริ่มตรวจชีพจร สองมือค่อยๆ เริ่มสั่นขึ้นมา เหงื่อผุดพรายบนหน้าผากเป็นชั้นๆ


 


 


จ้าวเซิงเห็นแบบนี้ก็ใจหายวาบ หรือจะเป็นโรคร้ายแรงอะไรบางอย่าง? มิเช่นนั้นไยผู้เฒ่าหวังจึงมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ เขารีบถามเสียงเครียด “ท่านพ่อ ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรกันแน่?”


 


 


จ้าวเซิงมากน้อยก็ยังเข้าใจหลักการแพทย์อยู่บ้าง อย่างไรมักรบราฆ่าฟันในสนามรบอยู่บ่อยครั้ง บาดเจ็บต้องพิษล้วนเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก


 


 


ทว่าเมื่อครู่จ้าวเซิงจับชีพจรให้ซูเซียงกลับไม่พบอะไร จึงคิดไปว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญวิชา ยิ่งทำให้กระวนกระวายใจ


 


 


หวังต้าเหนียงเองก็พูดเร่งเสียงเครียดอยู่ข้างๆ”ตาแก่ ตาแก่ เจ้าพูดสิ ลูกสาวเป็นอะไรกันแน่?”


 


 


ซูเซียงในตอนนี้อาเจียนจนเหลือแค่ครึ่งชีวิต หนังตาล้าก็ฝืนถ่างตามองผู้เฒ่าหวัง ความหมายที่พูดทางสายตาคือ : ท่านพ่อ ท่านมีอะไรท่านก็รีบพูด อย่าพิรี้พิไรได้หรือไม่?


 


 


ผู้เฒ่าหวังเก็บมือ รอยยิ้มบนหน้าปรากฏขึ้นในพริบตา เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ดีใจราวกับเด็กน้อย “แม่จ๋า แม่จ๋า เจ้าจะได้เป็นยายคนแล้วล่ะ!”


 


 


……


 


 


ในห้องเงียบสงบไปในพริบตา ตามด้วยจ้าวเซิงได้สติกลับมา คว้าดึงแขนของผู้เฒ่าหวังไว้ “ท่านพ่อ ท่านกำลังบอกว่า ท่านกำลังบอกว่าเซียงเอ๋อร์นางตั้งครรภ์หรือ?”


 


 


เป็นเพราะจ้าวเซิงตื่นเต้นจึงหนักมือไปหน่อย จับเอาแขนของผู้เฒ่าหวังเจ็บ แต่ผู้เฒ่าหวังกลับไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย “ใช่แล้ว ใช่แล้ว เซียงเอ๋อร์ท้องแล้ว น่าจะสองเดือนกว่าแล้ว เจ้าจะได้เป็นพ่อคนแล้ว! ”


 


 


ทั้งครอบครัวตกสู่ความตื่นเต้นดีใจแบบกะทันหันนี้ รวมถึงแม่นมท่านหนึ่งที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมาก็ยิ่งตื่นเต้น ดีใจจนกระโดดโลดเต้น โขกศีรษะให้ฟ้า ในปากกู่ร้องต่อเนื่อง “เทพสวรรค์เปี่ยมเมตตา เป็นพระมหากรุณาธิคุณของไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยง ”


 


 


ข่าวการตั้งครรภ์ของซูเซียงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว แม้กล่าวกันว่าภายในสามเดือนที่ตั้งครรภ์ห้ามประกาศออกไปภายนอก ทว่าการตั้งครรภ์ครานี้ของซูเซียงมีความสำคัญมาก ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง


 


 


ไม่นานนัก พระพันปีก็พระราชทานของกำนัลมาให้กองใหญ่ ยังมีหมอหญิงและแม่นมที่ดูแลหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะอีกสองคน รวมถึงยังส่งหมออาวุโสมือทองชำนาญด้านสูตินารีเวชจากในวังท่านหนึ่งมาร่วมด้วย


 


 


เดิมทีองค์หญิงเต๋อฮุ่ยไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ตามอำเภอใจ แต่ถ้าท้องนี้ของซูเซียงเป็นเด็กผู้ชายล่ะก็ นั่นก็เป็นทายาทสืบเชื้อสายของพระสวามี มีความสำคัญยิ่งยวด


 


 


องค์หญิงเต๋อฮุ่ยขอราชโองการจากพระพันปีและให้ออกหน้าส่งป้ายให้ทางองค์จักรพรรดิ หลังได้รับพระราชานุญาตแล้วจึงมาหาซูเซียงทางนี้อีกครั้ง ครานี้พำนักอยู่กว่าครึ่งเดือน หลังเห็นว่าซูเซียงเรียบร้อยปกติดีทุกอย่างแล้วจึงค่อยกลับไปอย่างสำราญใจ


 


 


สามเดือนต่อมา ภาวะครรภ์ของซูเซียงคงที่แล้ว ก้อนแป้งน้อยก็ผ่านการสอบระดับจังหวัดอย่างราบรื่น ไม่เพียงแต่เป็นซิ่วไฉแล้ว แต่ยังได้หลิ่งเซิง ซึ่งก็คือผู้ได้รับคัดเลือกให้โดดเด่นที่สุดจากการสอบบัณฑิตครั้งนี้


 


 


ซูเซียงดีใจมาก ลูบหัวก้อนแป้งน้อย แต่ยังถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านอาจารย์จะให้เจ้าสอบสนามต่อไปหรือไม่?”


 


 


ก้อนแป้งน้อยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์มีความคิดนี้ขอรับ แต่น้องสาวบอกว่าแสงจ้าเกินง่ายต่อคนอิจฉา อีกทั้งข้าเองก็รู้สึกว่าความรู้ของตนยังไม่เพียงพอ อยากรออีกหกปีแล้วค่อยสอบ ไม่รู้ว่าท่านแม่กับท่านพ่อคิดเห็นเช่นไร? ”


 


 


จ้าวเซิงเองก็ยิ้มโล่งใจอยู่ข้างๆ แม้เขาเองหวังให้ยามประกาศซื่อจื่อจวนอ๋องของเขา ก้อนแป้งน้อยมีชื่อเสียงคุณงามความดีสูงก็ยิ่งทำให้ง่ายขึ้น แต่ประโยคนั้นของลูกสาวพูดได้ถูกต้องมากทีเดียว แสงจ้าเกินง่ายต่อคนอิจฉา มากไปไม่ดี! บัดนี้ซิ่วไฉหลิ่งเซิงอายุไม่ถึงแปดขวบของราชวงศ์นี้ก็มีเพียงเขาผู้เดียว


 


 


ซูเซียงถอนหายใจโล่งอกอยู่ในใจเฮือกใหญ่ ด้วยกลัวว่าลูกจะถูกชื่อเสียงผลประโยชน์ทำให้สมองเลอะเลือน แล้วลูบๆ ศีรษะของก้อนแป้งน้อยอีกครั้ง “พรุ่งนี้ไปสำนักศึกษาบอกกล่าวความคิดของเจ้ากับท่านอาจารย์ให้ดี พยายามชี้แจงให้เขายอมเข้าใจ”


 


 


 “อีกอย่างท่านแม่ ข้าอยากร่ำเรียนวรยุทธ์กับพวกท่านน้าชิงหลาน ทุกเที่ยงวันข้ากลับมาสักเที่ยวได้หรือไม่?” ก้อนแป้งน้อยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


ซูเซียงค่อนข้างแปลกใจ “การบ้านของสำนักศึกษาก็เหนื่อยมากแล้ว เจ้ายังเล็ก วิ่งกลับไปกลับมาจะหนักเกินไปหรือไม่?”

 

 

 


ตอนที่ 809 ความทุกข์น่ารำคาญของหญิงตั้งครรภ์

 

ก้อนแป้งน้อยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก “ท่านแม่ ท่านช่วยไปพูดกับอาจารย์ให้ข้าก่อน ถ้าข้าไม่ไหวล่ะก็เราค่อยวางแผนกันอีกทีได้หรือไม่?”


 


 


ซูเซียงค่อนข้างประหลาดใจ เด็กอายุน้อยแค่นี้พิจารณาเรื่องราวรอบคอบถึงเพียงนี้เลยรึ? สุดท้ายยิ้มน้อยๆ ลูบศีรษะเล็กฟูนุ่มของเขา “ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้แม่กับพ่อจะลองไปคุยกับอาจารย์ของเจ้าดู”


 


 


ซูเซียงอุ้มท้องห้าเดือนกว่าแล้ว เนื่องด้วยอากาศดี ภาวะครรภ์ของนางก็คงที่ ช่วงนี้จึงมักเดินไปเดินมาบนร่องดินคันนาเป็นประจำ


 


 


สำหรับเรื่องนี้จ้าวเซิงกับชุ่ยหลิ่วต่างเป็นห่วงเหลือเกิน ไม่ว่าเมื่อใดที่ไหนล้วนต้องมีคนหนึ่งประกบข้างกายนาง โดยเฉพาะแม่นมที่มาจากตำหนักขององค์หญิงเต๋อฮุ่ยคนนั้นประคบประหงมซูเซียงถึงที่สุด ด้วยกลัวว่าจะเผลอมีผลกระทบต่อซื่อจื่อน้อยในท้อง


 


 


 “โธ่ จวิ้นจู่ท่านเดินช้าๆ หน่อย ถนนนี่ลื่นมากนะเจ้าคะ”


 


 


 “โอ๊ยตายแล้ว บรรพบุรุษของข้า ท่านเดินช้าหน่อยสิเจ้าคะ หากท่านหกล้มกระทบกระแทกขึ้นมาแล้วบ่าวจะกลับไปกราบทูลอย่างไรล่ะเจ้าคะ? ”


 


 


ซูเซียงรู้สึกว่าชีวิตของตนช่วงนี้ผ่านไปด้วยดี เว้นก็แต่แม่นมท่านนั้นที่เอาแต่จ๊อกแจ๊กจอแจอยู่ข้างๆ ทั้งวัน นางแค่ยกชามใบหนึ่งแม่นมก็กระวนกระวายเหลือแสน บอกว่าชามนั้นหนักเกินไป คนท้องไม่ควรยกของหนัก


 


 


เรื่องนี้นางยังพอฝืนทนได้ นางหยิบมีดเล่มเล็กบอกว่าจะหั่นมันฝรั่งสักหน่อย มื้อเย็นจะทำไก่ตุ๋นเผือกมันฝรั่ง ผลคือไม่ทันได้หยิบมีดขึ้นมาก็ถูกแม่นมคนนั้นมาคว้าแย่งไป “ตายจริง จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง นี่เป็นอาวุธมีคม บาดเจ็บถึงท่านกับซื่อจื่อน้อยในท้องเช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”


 


 


ซูเซียงกลับมาจากคันดิน ถูกแสงแดดเที่ยงวันแผดเผาค่อนข้างร้อน นางยกน้ำอุ่นแก้วหนึ่งกำลังจะรินลงท้อง ผลคือถูกแม่นมคนนั้นแย่งไปอีกตามเคย “ตายจริง จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงของข้า น้ำนี้เย็นหมดแล้ว ดื่มไม่ได้ ดื่มแล้วท้องไส้จะปั่นป่วน…”


 


 


ซูเซียงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมีแพนด้าในสวนสัตว์ นี่ยังมีสิทธิมนุษยชนอยู่บ้างไหม?!


 


 


ในที่สุดซูเซียงก็ระเบิดอารมณ์ แม้รู้ว่าแม่นมชราท่านนี้ทำเพราะหวังดีกับตัวเอง แต่คนท้องเดิมทีก็ลำบากมากพออยู่แล้ว ได้ยินแต่เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจอยู่ข้างหูทั้งวันใครบ้างจะรับไหว?!


 


 


ซูเซียงวางชามกระเบื้องใบใหญ่ใบนั้นลงบนโต๊ะดังปัง “หมัวมัว[1] ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าท่านทำเช่นนี้จะทำให้ข้าอึดอัด? ข้าอุ้มครรภ์ก็ลำบากมากพอแล้ว ท่านให้ข้าอยู่อย่างสงบหน่อยได้หรือไม่?!”


 


 


นับตั้งแต่แม่นมมาถึงจวนจวิ้นจู่ยังไม่เคยพบเห็นซูเซียงโมโหเดือดดาลขนาดนี้ ตกใจนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ต่อมาก็คุกเข่าบนพื้นดังปึงโขกศีรษะตึงตังๆ หลายหน “จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิต จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิต…บ่าว บ่าวได้รับคำสั่งจากองค์หญิงมา หากท่านกับซื่อจื่อน้อยเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น แม้บ่าวมีเก้าศีรษะก็ไม่พอชดใช้…”


 


 


ทั้งวันเอาแต่อุบัติเหตุเอย กระทบกระแทกเอย สามยาวสองสั้น[2]เอย คำเหล่านี้ล้วนแขวนอยู่บนปาก ไม่ถือเป็นข้อห้ามหรือ?! นางกับลูกยังอยู่ดี!


 


 


ซูเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็กดความโกรธในใจลงไป โบกมืออย่างขอไปที “พอแล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ กลับไปก็ให้หมอมาดูหัวที่โขกแตกสักเที่ยว วันนี้ข้าสำลักไอสองที เจ้าก็ให้ท่านหมอมาแล้วแปดเที่ยว เจ้าไม่เหนื่อย แต่ท่านหมอกับข้าเหนื่อยนะ ”


 


 


 “หมัวมัว ข้ารู้ว่าทั้งหมดท่านทำก็เพราะหวังดีกับข้า แต่ท่านเองก็รู้ว่าในท้องนี่ก็เป็นลูกของข้า ข้าเป็นมารดามีหรือจะไม่ระมัดระวัง ไม่เป็นห่วง? แต่ข้าแค่ตั้งครรภ์ มิได้พิการ และก็ไม่ใช่คนสมองมีโรค ยามปกติระวังหน่อยก็สมควร ข้าเดินให้ช้าหน่อย อาหารการกินพวกท่านใส่ใจระวังหน่อยก็เป็นอันได้แล้ว อย่าตกอกตกใจตื่นตระหนกทั้งวันได้หรือไม่? เดิมทีไม่มีปัญหาก็โวยวายให้เกิดปัญหาขึ้นมา ทุกคืนนี้ข้าฝันก็ยังได้ยินเสียงร้องตกใจของท่าน แล้วข้าจะดูแลลูกอ่อนได้อย่างไรเล่า?”


 


 


 “เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” แม่นมตกลงรับคำอย่างนบนอบ ทว่ายังคงถือน้ำอุ่นบนโต๊ะถ้วยนั้นออกไป พอถึงหน้าประตูนางจึงพูดว่า “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนมาให้ท่าน”


 


 


 “…..” เอาเถอะ พูดเสียเปล่าแล้ว!


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมัวมัว (嬷嬷) เป็นคำเรียกแม่นม


 


 


[2] สามยาวสองสั้น(三长两短) หมายถึงโชคร้าย สูญเสียถึงชีวิต มีอันเป็นไป สันนิษฐานว่ามีที่มีจากส่วนประกอบของโลงศพที่ประกอบด้วยไม้ยาวสี่ส่วนและไม้สั้นสองส่วน ดังนั้นสาวยาวสองสั้นจึงไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้โชคร้าย

 

 

 


ตอนที่ 810 เจ้าว่าพวกเขาวางแผนอะไรกันแน่

 

ซูเซียงคิดว่าหลังข่าวการตั้งครรภ์ของตนแพร่ออกไปแล้ว จ้าวชิงเฟิงกับเถียนเฉิงรุ่ยเจ้าทึ่มทั้งสองนั่นน่าจะตัดใจไปได้แล้ว?


 


 


ไหนจะรู้สองทึ่มนั่นราวกับสมองถูกประตูหนีบไปแล้ว กลับยิ่งทำดีกับนาง โดยเฉพาะเถียนเฉิงรุ่ย


 


 


ทุ่มเทแรงกายแรงใจลงกับการเพาะปลูกพืชสมุนไพรผืนนั้นของนาง ในหนึ่งวันก็วิ่งเหงื่อท่วมเข้ามาหานางสิบห้าสิบหกเที่ยว มาทุกครั้งก็พูดแค่ไม่กี่ประโยค เพียงถามว่านางรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง บอกว่าคนท้องต้องดื่มน้ำร้อนมากๆ จากนั้นก็รีบวิ่งไป


 


 


เมื่อครู่ก็เหมือนกัน เถียนเฉิงรุ่ยเช็ดเหงื่อท่วมศีรษะเข้ามาเที่ยวหนึ่ง ในมือถือไข่นกกระทามาสองฟอง บอกว่าเขาเก็บได้จากคันนา ยังบอกว่าไข่นกตามธรรมชาติแบบนี้บำรุงกำลังดีเป็นที่สุด ให้ชุ่ยหลิ่วรีบไปตุ๋นให้ซูเซียง


 


 


รอจนคนไปแล้วซูเซียงถึงค่อยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เจ้าว่าพวกคิดจะทำอะไรกันแน่? วางแผนอะไรอยู่?”


 


 


ชุ่ยหลิ่วเองก็สับสนมึนงง ส่ายหัวเป็นกลองป๋องแป๋ง “ใครเล่าจะรู้? องค์ชายปั่นหัวพวกเขาจนกลายสภาพเป็นหมีแบบนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมไป ไม่แน่ว่าอาจยังไม่ยอมตัดใจจากฮูหยินนะเจ้าคะ!”


 


 


 “…” ซูเซียงหมดคำพูด “เจ้าว่าข้าก็ท้องแล้ว พวกเขายังวางแผนทำอะไรข้าได้อีก?”


 


 


ผู้อื่นล้วนกล่าวกันว่าสตรีมีครรภ์มักอารมณ์แปรปรวนแปลกพิลึก ซูเซียงเองก็รู้สึกว่าช่วงหลายวันนี้เห็นเจ้าทึ่มสองคนนั้นขัดหูขัดตายิ่งนัก


 


 


ถือโอกาสตอนที่จ้าวซิงกลับมา ซูเซียงก็ฟ้องข้างหูเขา “ท่านพี่ เจ้าไล่คนแซ่เถียนนั่นไปได้หรือไม่ บ้านเรามีเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานไม่เสียเงินพวกนั้น…”


 


 


เหนือความคาดหมายจ้าวเซิงถึงกับส่ายหน้า ยื่นมือลูบๆ ศีรษะของซูเซียง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนยิ่ง “ภรรยา เมื่อก่อนเจ้าเคยบอกว่าแรงงานไม่เสียเงินพวกนี้ไม่ใช่ก็เสียดายประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาคุ้นเคยกับการเจริญเติบโตของแปลงสมุนไพรผืนนั้นแล้ว จู่ๆ เปลี่ยนอีกคนเข้ามา คงยุ่งยากน่าดู ทั้งยังไม่แน่ว่าจะไว้ใจได้ด้วย เจ้าว่าจริงหรือไม่?”


 


 


หลังซูเซียงตั้งครรภ์จ้าวเซิงก็เปลี่ยนแนวต่างไปจากเดิม ทำดีกับแรงงานฟรีสองคนนั้นจนไม่อาจดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าเมื่อใดที่ไหนก็ยิ้มแย้มเป็นมิตร เลี้ยงดูให้กินดีดื่มดี แต่ความหมายแท้จริงของเขาก็คือ “กินอิ่มแล้วก็ตั้งใจทำงาน!”


 


 


ท้องของซูเซียงขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน ชีวิตผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้ ซูเซียงนำที่ดินโดยพื้นฐานทั้งหมดมาปลูกสมุนไพร ยืนบนระเบียงชั้นสองสามารถมองเห็นดอกจี๋เกิ่ง[1]กว้างใหญ่ทั่วทั้งผืนพลิ้วไหวท่ามกลางสายลม ไม่ต้องบอกว่างดงามมากเพียงใด


 


 


ในวังหลวงยามนี้ รัชทายาทใกล้ชิดสนิทสนมกับซูย่วน ถึงขั้นอยู่ในตำหนักเดี่ยวของซูย่วนตลอดทั้งบ่าย คนทั้งสองดีดพิณวาดภาพ สนทนาขับกลอน วันเวลาผ่านไปอย่างสุขสำราญใจ


 


 


ทุกครั้งที่รัชทายาทกลับมาจากตำหนักของซูย่วนมุมปากล้วนประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ มีบางครั้งยังเหม่อลอยยิ้มโง่เง่ากับขอบหน้าต่าง


 


 


รัชทายาทเป็นมกุฎราชกุมารแห่งรัฐ ทุกกิริยาวาจาของเขาย่อมต้องระมัดระวัง ไม่รู้ว่าผู้ใดนำข่าวนี้ลือไปถึงพระกรรณ ของพระพันปี พระพันปีทรงกริ้วจนไม่เสวยพระกระยาหารเที่ยง ให้แม่นมไปเรียกรัชทายาทเข้าพบ


 


 


ก่อนรัชทายาทเข้าประตูมา แม่นมยังเกลี้ยกล่อมข้างหูพระพันปีเสียงเบา “เด็กยังอายุน้อย พระองค์ท่านต้องพูดกับเขาดีๆ ทรงอย่าใช้อารมณ์”


 


 


พระพันปีเอนกายบนตั่งยาว มือยันหน้าผาก พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว จะพยายามพูดดีๆ”


 


 


เวลานี้รัชทายาทเข้าประตูมาแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุอันใดเขายังคิดว่าพระพันปีคิดถึงเขาเช่นปกติ บนพระพักตร์ยังพกพารอยยิ้มแช่มชื่น ย่างพระบาทเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว


 


 


เนื่องด้วยอารมณ์ดี สักเวลาเดียวก็มองไม่ออกว่าสีหน้าของพระพันปีดูไม่ถูกต้อง คุกเข่าลงบนพื้น ในน้ำเสียงยังพกพาความสุขเข้มข้น “เสด็จย่า หลานถวายบังคมเสด็จย่า!”


 


 


เดิมทีพระพันปีสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว พอเห็นหน้าตาชื่นมื่นภูมิใจของเขาอารมณ์ก็ดิ่งลงไปอีกครั้ง นางสามารถนั่งบนตำแหน่งหลัง (หมายถึง ฮองเฮา หรือไทเฮา) นี้ได้อย่างมั่นคงหลายปี ภูตผีปีศาจมากน้อย วิญญาณร้ายสารพัดแบบนางล้วนขจัดหมดสิ้น ท้ายที่สุดประคองโอรสของตนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในใต้หล้านี้ได้อย่างราบรื่น ความคิดเด็กๆ ของเขานี้มีหรือจะดูไม่ออก?!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกจี๋เกิ่ง (吉梗花) หรือดอกบัลลูน (Platycodon grandiflorus (Jacq.) A. DC. ) เป็นไม้ล้มลุก รากอวบหนา ใบออกเป็นวงรอบข้อ ดอกรูปถ้วยหรือรูประฆังกว้าง สีม่วง ชมพูอ่อน หรือขาว มีถิ่นกำเนิดในจีน รัสเซีย เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นไม้ประดับกระถางแขวน มีหลากสายพันธุ์

 

 

 


ตอนที่ 811 ที่แท้เป็นหญิงชั่วคนนั้นออกอุบายอยู่เบื้องหลัง

 

พระพันปีไม่สั่งให้เขาลุกขึ้นอยู่เนิ่นนาน เขาจึงค่อยค้นพบว่าความกดอากาศรอบตัวดูเหมือนค่อนข้างต่ำ แต่เขากลับนึกไปว่าเป็นเพราะเสด็จพ่อยั่วโทสะให้เสด็จย่าไม่พอใจ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ลุกขึ้นแล้วก็คุกเข่าลงข้างเท้าของพระพันปีอย่างร่าเริงเหมือนเด็กน้อย ยื่นมือนวดขาให้พระพันปี ปากพูดอย่างอารมณ์ดี “นี่เสด็จย่ายังทรงกริ้วเสด็จพ่ออยู่หรือ? เสด็จย่าอย่าทรงกริ้วไปเลย หลานจะบอกข่าวดีกับท่าน ท่านได้ยินแล้วรับรองต้องดีใจแน่ ”


 


 


เวลานี้พระพันปีค่อนข้างนึกเสียใจ รู้อยู่แก่ใจว่าสองพ่อลูกคู่นี้สติไม่ดี ไยตนต้องเรียกเขามาเพื่อทำให้ตัวเองโกรธด้วย?!


 


 


 “หมายถึงซูย่วนเสี้ยนจู่ผู้นั้นหรือ?” น้ำเสียงของพระพันปีค่อนข้างห่างเหิน แฝงรสเฉยชาเย็นเยือก


 


 


แต่รัชทายาทกำลังอยู่ในห้วงความสุข ไหนเลยจะฟังออก เอ่ยอย่างร่าเริง “พ่ะย่ะค่ะ! เสด็จย่ารู้จักซูย่วนด้วยหรือ? หลานกำลังจะบอกเรื่องมงคลกับท่านอยู่พอดี ”


 


 


พระพันปีรู้สึกได้ว่าหว่างคิ้วของตนกำลังกระตุกเต้นตุบๆ นางย่อมรู้จักสตรีคนนี้ดี ไม่เพียงแต่รู้ว่านั่นเป็นคนเช่นไร ยังรู้อีกว่าบิดาของซูย่วนเป็นใคร! ขโมยความลับทางการทหาร สมคบศัตรูก่อการกบฏ เพียงแต่ตอนนี้พวกนางยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจึงวางลงไว้ก่อนชั่วคราวก็เท่านั้น หากให้ผู้หญิงเช่นนั้นเป็นสตรีขององค์รัชทายาท แม้เป็นเพียงนางสนม แต่ดูจากความโง่เง่าของเจ้าเด็กคนนี้แล้วคงไม่พ้นตกหลุมตาย!


 


 


รัชทายาทกลับไม่รู้เลยว่าเพียงชั่วขณะหยุดชะงักนี้พระพันปีคิดไปมากมายถึงเพียงนี้ เพียงแค่เห็นพระพันปีมิได้เอ่ยแย้ง ก็คิดว่าพระนางเห็นด้วย รัชทายาทจึงยิ่งตื่นเต้น “เสด็จย่า ซูย่วนเป็นสตรีดีงาม รูปโฉม พรสวรรค์ ความรู้กิริยามารยาทล้วนเป็นแม่พิมพ์ของสตรี หลานชมชอบนาง กำลังคิดจะไปพูดคุยกับนางเรื่องขออภิเษกสมรส เสด็จย่าอยากพบนางหรือไม่ มีคำชื่นชมของท่าน นางเป็นไท่จื่อเฟยก็ยิ่งชอบธรรมสมเหตุสมผล…”


 


 


รัชทายาทยังเยินยอเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน พระพันปีกลับหน้าเย็นชาลงถึงขีดสุด “อายเจียไม่พบ! สตรีพรรค์นั้นยังคิดจะเป็นไท่จื่อเฟย ชาติหน้าเถอะ!”


 


 


วินาทีก่อนองค์รัชทายาทยังดีใจเป็นล้นพ้น รอยยิ้มพลันแข็งค้างบนใบหน้า “เสด็จ เสด็จย่า ท่านว่าอันใด?”


 


 


พระพันปีมองรัชทายาทราวกับมองคนโง่งม ต่อมาก็หลับตาลง “ช่างเถิดๆ เจ้าให้สตรีคนนั้นรีบออกไปจากวังหลวง เห็นแก่หน้าเจ้า ข้ารับปากว่าจะไม่ทำให้นางลำบาก ทว่าต่อแต่นี้ไปเป็นเช่นไร ล้วนแล้วแต่บุญกรรมของนาง”


 


 


พระพันปีนับว่าใจอ่อนแล้ว กล่าวอย่างไรหลานของตนคนนี้ก็อายุยี่สิบกว่าแล้ว ในวังหลวงนอกจากสนมไท่จื่อเช่อเฟยหนึ่งคนกับนางกำนัลรับใช้สองคนก็มีไม่กี่คนแล้ว ผู้รับใช้ใกล้ชิดล้วนเป็นขันที สตรีสองสามคนนั้นดูเหมือนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยโปรดปราน ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องประดับตกแต่ง บัดนี้อุตส่าห์มีนางในดวงใจ เฮ้อ อย่าว่าแต่ฐานะสูงส่งปานใด แม้นเป็นหญิงชาวบ้านสุจริตนางก็ยอมรับแล้ว ทว่านี่เป็นหญิงกบฏขายชาติจะเป็นมารดาของใต้หล้าได้อย่างไร?!


 


 


สีหน้าของรัชทายาทเย็นชาลงทีละคืบ เงียบเชียบอยู่เนิ่นนานจึงค่อยเอ่ยขึ้น “เป็นนางหญิงชั่วบ้านป่าผู้นั้นพูดจาเหลวไหลอยู่เบื้องหลังอีกแล้วกระมัง? เสด็จย่า หลานทราบว่าท่านใจอ่อน ทว่าวาจาของผู้ใดควรเชื่อ วาจาของผู้ใดไม่ควรเชื่อ ในใจท่านเองย่อมคำนวณได้ ท่านไม่รู้ ก่อนหน้านี้หญิงชั่วคนนั้นรังแกซูย่วนอย่างไรบ้าง ซูย่วนกล้ำกลืนฝืนทนรักษาหน้าทุกฝ่ายมาโดยตลอด แต่บัดนี้ลาจากสถานที่ที่นางอยู่มาแล้วยังบงการบังคับผู้อื่นถึงเพียงนี้อีกหรือ?”


 


 


“…” พระพันปีเหนื่อยใจจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว


 


 


แม่นมชราทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เอ่ยหน้าเคร่ง “องค์รัชทายาทย่อมรู้หลักกตัญญูเป็นเช่นไรกระมัง? ท่านเป็นว่าที่กษัตริย์ ควรเปล่งวาจาเช่นนี้ต่อพระพันปีหรือไม่เพคะ?”


 


 


รัชทายาทไร้หนทางต่อกรกับพระพันปี แต่มิได้หมายความว่าเขาจะกล่าวกับแม่นมแทนไม่ได้ ริมฝีปากยกเส้นโค้งประชดประชัน “เช่นนั้นข้าขอเรียนถามหมัวมัว รู้ชัดว่าผู้อาวุโสกระทำมิถูกต้องสมควรแล้วยังไม่ทักท้วง ปล่อยนางทำผิดต่อไป เช่นนี้ท่านเรียกว่ากตัญญูหรือ?! หากเป็นจริงดังว่า เช่นนั้นข้าทำเพื่อมิให้เสด็จย่าถูกคนชั่วล่อลวง ก็คงต้องอกตัญญูแล้ว!”


 


 


 “นางเป็นคนเช่นไรอายเจียจะละไว้ไม่เอ่ยถึง แต่บิดาของนาง ฮู่กั๋วกง เจ้าเข้าใจหรือไม่? มาถึงขั้นนี้แล้วข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า คนของข้าสืบทราบว่าฮู่กั๋วกงต้องสงสัยสมคบศัตรูก่อกบฏ เจ้าคิดว่าข้าจะเอาสตรีเช่นนี้มาเป็นมารดาของบ้านเมืองในอนาคตหรือ?” เดิมทีพระพันปีไม่อยากพูด แต่เห็นรัชทายาทไม่ยอมลดราวาศอกก็ทรงเดือดดาลแล้วเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 812 มาตรการบังคับของพระพันปี

 

 “สมคบศัตรูก่อกบฏ เหอะๆ …” รัชทายาทลุกยืน ถอยหลังไปไกลสามก้าวแล้วจึงค่อยค้อมเอวทำความเคารพประสานมือ “สมแล้วที่เป็นสตรีที่เสด็จย่าพอพระทัย ช่างเก่งกาจมีความสามารถเสียจริง เพียงเพราะความแค้นเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านั้น ถึงกับยัดความผิดโทษประหารอย่างสมคบศัตรูก่อกบฎใส่ตัวคนบริสุทธิ์”


 


 


 “ในเมื่อเสด็จย่าบอกว่าครอบครัวฮู่กั๋วกงสมคบศัตรูก่อกบฏ เช่นนั้นขอทรงพระกรุณานำหลักฐานออกมา ไม่อาจใส่ความขุนนางผู้มีความดีความชอบตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ วังหลังไม่ว่าราชการ เรื่องของฮู่กั๋วกงก็ดี เรื่องแต่งไท่จื่อเฟยของหลานก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นงานราชกิจ คงไม่รบกวนเสด็จย่าเหนื่อยยากลำบากพระทัย ขอเสด็จย่าทรงพักผ่อนสงบจิตสงบใจ หลานทูลลา!”


 


 


รัชทายาทตรัสวาจายาวเป็นพรวนนี้โดยไม่หยุดพัก หันกายจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของพระพันปี


 


 


 “พระพันปี! พระพันปี! พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ? ตามหมอหลวง ตามหมอหลวงเร็วเข้า…”


 


 


โดยรวดเร็ว ข่าวการประชวรของพระพันปีแพร่ออกไป พร้อมกันนั้นยังออกพระราชเสาวนีย์อีกหนึ่งฉบับ : นับแต่วันนี้ไป จักรพรรดิและรัชทายาท ไม่เรียกเข้าเฝ้าห้ามเหยียบย่างเข้าพระตำหนักโซ่วอันแม้แต่ครึ่งก้าว!


 


 


หากกล่าวว่าองค์จักพรรดิถูกไล่ออกจากพระตำหนักโซ่วอันคราก่อนปิดผนึกดี เป็นเพียงข่าวลือออกมากะปริบกะปรอย เรื่องของรัชทายาทคราวนี้ก็เป็นการตอกตะปูลงบนแผ่นเหล็กแล้ว พระราชเสาวนีย์ลงมาแล้ว เช่นนั้นมีหรือจะเป็นเท็จ!


 


 


จักรพรรดิกับรัชทายาทถูกไล่ติดต่อกัน พระพันปีกริ้วจนประชวร ราชสำนักและราษฎรต่างเริ่มปั่นป่วนโกลาหลขึ้นมา ต้าหรงยึดถือหลักกตัญญูครองใต้หล้า บัดนี้จักรพรรดิรัชทายาทล้วนไม่เคารพหลักกตัญญู แค่คิดก็รู้ได้ว่ามีคำนินทาหนาหูมากน้อยเพียงใด


 


 


พระพันมียังมีราชโองการลับอีกฉบับหนึ่งสั่งให้ซูย่วนเสี้ยนจู่กลับบ้านทันที หากผู้ใดกล้ารั้งให้นางอยู่ต่อ พระพันปีก็มีร้อยพันวิธีจะทำให้นางตายไร้หลุมฝังศพ


 


 


รัชทายาทไร้หนทาง จำต้องให้ซูย่วนกลับบ้าน คืนก่อนเดินทาง รัชทายาทตัดสินใจแน่วแน่ไปบอกกับซูย่วนว่าอยากแต่งนางเป็นไท่จื่อเฟย ทว่าซูย่วนกลับร้องไห้ บอกว่าคนที่ตนชมชอบคือจั้นอ๋อง บอกว่าตนเป็นคนรักเดียวใจเดียว ซึ้งพระทัยรัชทายาทดีต่อนาง ซ้ำยังร่ำไห้จนแทบหายใจไม่ออก บอกว่ากลับไปครานี้อาจไม่ได้พบหน้ากันอีก บอกว่าแม้ตนกับรัชทายาทไม่อาจอยู่ด้วยกัน บุญคุณที่ติดค้างเขาจะชดใช้ให้ในชาติหน้า


 


 


           จงใจพูดให้เศร้าโศกชอกช้ำราวกับหลังกลับบ้านแล้วจะฆ่าตัวตายอย่างไรอย่างนั้น ทว่าทำให้รัชทายาทกลัวจับใจ ทั้งปวดใจทั้งแค้นเคือง บอกว่าจะช่วยนางแน่นอน ให้นางรออยู่ในบ้านให้ดีๆ ห้ามทำเรื่องโง่งมเด็ดขาด


 


 


ซูย่วนทั้งร้องทั้งร่ำอยู่พักใหญ่ ร่ำไห้จนทำเอาหัวใจรัชทายาทแทบเหลวละลายแล้วจึงค่อยแสร้งทำอาลัยอาวรณ์เหมือนจากเพื่อนรักไป


 


 


เวลาเดือนสองเดือนนี้ รัชทายาทส่งจดหมายมาหาจ้าวเซิงแทบจะทุกสองวัน ให้เขาหย่าภรรยา รีบกลับราชสำนัก ยังบอกว่ามีสตรีดีงามกำลังรอเขาอยู่ จากนั้นยังพล่ามต่ออีกเป็นกอง บอกว่าซูย่วนอ่อนโยนเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอย่างนั้น รักแท้ไม่แปรเปลี่ยนอย่างนี้ เพื่อจ้าวเซิงแล้วแม้ให้ไท่จื่อเฟยก็ยังไม่เป็น สตรีรักเดียวใจเดียว ไม่หวังชื่อเสียงผลประโยชน์เช่นนี้มีไม่มากแล้ว…


 


 


 “จดหมายของรัชทายาทอีกแล้วหรือ?” ซูเซียงกัดแอปเปิล ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก


 


 


ตอนแรกเริ่มมากน้อยนางยังไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ช่วงที่ผ่านมานี้จดหมายทุกฉบับที่รัชทายาทส่งมาล้วนเป็นเรื่องเหล่านี้ ซูเซียงไม่ต้องดูก็ท่องได้คล่องปรื๋อ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วรัชทายาทนั้นมีเครื่องถ่ายเอกสารหรือเปล่า เขียนสิ่งเดิมๆ เหมือนกันทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?


 


 


เขาเขียนไม่เหนื่อย แต่ซูเซียงอ่านจนเหนื่อยแล้ว


 


 


จ้าวเซิงถือจดหมาย เพียงอ่านผ่านตาอย่างเฉยชาเช่นกัน ต่อมาก็วางลงด้านข้าง จดหมายของรัชทายาท เขาไม่อ่านไม่ได้ หากเกิดพลาดเรื่องเร่งด่วนอะไรขึ้นมาแล้วจะแย่เอา


 


 


 “ไม่เป็นไร เขาอยากเขียนก็ให้เขาเขียนไป” จ้าวเซิงเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เอ่ยอย่างเรียบเฉย เพียงแต่นัยน์ตาปรากฎแสงสว่างริบหรี่ เห็นทีเรื่องบางเรื่องคงต้องรีบหน่อยแล้ว


 


 


ซูเซียงอุ้มครรภ์ร่างกายเหนื่อยล้าง่ายมาก เห็นจดหมายที่รัชทายาทส่งมานั้นเป็นเรื่องเดิมๆ ก็หาวฟอดใหญ่อย่างไร้ความสนใจ “ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะก็ข้าไปนอนก่อน เมื่อคืนเจ้าตัวน้อยนี่กวนข้าทั้งคืนจนไม่ได้หลับดีเลย”


 


 


 “ได้” จ้าวเซิงพูดพลางลุกขึ้นประคองซูเซียงเดินไปห้องนอน


 


 


รอจนดูแลซูเซียงหลับเรียบร้อยดีแล้วเขาถึงค่อยออกมา “หลงฉี”


 


 


 “นายท่าน” หลงฉีขานรับเสียงต่ำ เดินออกมาจากมุมมืด


 


 


 “ที่ข้าให้เจ้าไปตามหาคนมีเบาะแสแล้วหรือยัง?”

 

 

 


ตอนที่ 813 ขงจื่อไม่พูดเรื่องผีสางเทวดาเหนือธรรมชาติ

 

“มีขอรับ หมอเทวดาเตี๋ยกู่ (หุบเขาผีเสื้อ) ปิดด่านอยู่บนภูเขาเหิงซาน ครึ่งเดือนก่อนส่งขวดใบนี้ออกมา ให้เด็กรับใช้มอบแก่องค์ชาย” หลงฉีหยิบขวดสีเขียวมรกตทั้งขวดใบหนึ่งออกมา ส่งลงในมือจ้าวเซิงอย่างนบนอบ


 


 


จ้าวเซิงกำขวดไว้ บนหน้าเจือความไม่พอใจอยู่บ้าง “ไม่ได้บอกว่าจะออกจากด่านเมื่อใดรึ?”


 


 


 “ข้าน้อยถามอย่างละเอียดแล้ว ทว่านิสัยของเด็กน้อยคนนั้นท่านเองก็ทราบดี ถอดแบบเดียวมากับท่านหมอเตี๋ย พูดไม่ถึงสองประโยคก็ติดไฟแล้ว ข้าน้อยไร้สามารถ ไม่ได้ถามให้จำเพาะเจาะจง บอกเพียงว่าใกล้แล้ว” หลงฉีเอ่ยถึงเรื่องนี้ หัวคิ้วก็ย่นขมวด


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเด็กคนนั้นเป็นหญิงสาว ดันแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชาย กิริยาวาจานั่นก็โผงผางหยาบคาย ขอเพียงแค่ใช้มือได้ เป็นตายนางก็ไม่ง้างปาก ขนาดวรยุทธ์อันภาคภูมิใจของตนก็ยังเทียบนางไม่ติดแม้ครึ่งเสี้ยว สู้ก็สู้ไม่ได้ พูดก็พูดไม่รู้เรื่อง เขาจะทำอะไรได้


 


 


จ้าวเซิงก็มุมปากกระตุกเช่นกัน แม่หนูคนนั้นเจ้าเซิงเองก็รู้จัก หากพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ กลัวว่าอยู่เหนือกว่าเขาไปไกล ไม่รู้ว่านางอายุยังน้อยๆ ขนาดนั้นไยถึงได้ เฮ้อ…


 


 


จ้าวเซิงจนใจ ทำได้เพียงโบกมือกล่าว “ส่งคนไปรอ หากหมอเตี๋ยออกจากถ้ำแล้ว ให้รีบเชิญนางไปแถวเขตพระราชฐาน”


 


 


 “ขอรับ ข้าน้อยมอบหมายแล้ว ตลอดสิบสองชั่วยาม ทั้งวันห้ามห่างจากคน ถ้าหมอเตี๋ยออกจากถ้ำแล้วให้มอบหลักฐานยืนยันของนายท่าน” หลงฉีรายงานอย่างจริงจัง


 


 


           ช่วงนี้จ้าวเซิงยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นทุกวัน มักรู้สึกว่าจะเกิดเรื่อง ยาในขวดที่เพิ่งได้รับนี้ก็เป็นที่เขาเคยพูดกับหมอเตี๋ยไว้นานแล้ว ใช้ถอนได้ร้อยพิษ นี่ก็ป้องกันเผื่อไว้ก่อน อย่างไรในวัง…หึ ไม่อาจมาอย่างถูกต้องผ่าเผย ก็คงเหลือเพียงวิธีการสกปรกพวกนี้


 


 


ทว่าเขาก็ยังไม่วางใจ ในใจมักรู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ หากพวกเขาไม่ใช้วิธีการหน้าไม่อายเหล่านั้น แต่….ในท้องภรรยามีลูกอยู่ด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหมอเตี๋ยไม่อยู่ข้างกาย อย่างไรเขาก็ไม่วางใจ


 


 


“สั่งการลงไป ห้ามทะเลาะกับเด็กคนนั้น” จ้าวเซิงสั่งการอีกประโยคอย่างไม่วางใจ


 


 


การแสดงออกทางสีหน้าของหลงฉีแข็งค้างเล็กน้อย แต่ยังพยักหน้า ดูท่าพี่น้องสองสามคนนั้นคงลำบากแล้ว พวกเขานั้นไม่อาจหาเรื่อง แต่เด็กคนนั้น…


 


 


ช่วงนี้รัชทายาทอารมณ์ไม่ดี เขียนจดหมายไปมากมายก็ไม่เห็นจ้าวเซิงตอบอะไรชัดเจนกลับมา และไม่บอกว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไร รัชทายาทเป็นห่วงเหลือคณา น้องชายเป็นคนจิตใจดีถึงเพียงนั้นทั้งวันเอาแต่คลุกอยู่กับหญิงชั่วร้ายอำมหิต เขาแค่คิดก็ฝันร้ายทั้งวันทั้งคืน


 


 


อีกทั้งเย็นวันนี้ เด็กรับใช้ของซูย่วนนำจดหมายมา บอกว่าช่วงนี้ซูย่วนกินไม่ได้นอนไม่หลับ คนผอมลงไปมาก แท้จริงแล้วคะนึงหาจั้นอ๋อง สาวรับใช้พูดแล้วก็ร้องไห้ บอกว่าถ้าจั้นอ๋องยังไม่กลับมา เจ้านายของตนคงต้องลงไปนอนรอเขาใต้ดินเป็นแน่


 


 


องค์รัชทายาททั้งร้อนรนทั้งปวดใจ หลังเกลี้ยกล่อมเด็กรับใช้ไปแล้วก็เอ่ยเสียงเยียบเย็นทันที “อั้น[1] ไปดูว่าช่วงนี้จั้นอ๋องกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ระวังหน่อย อย่าให้สะเทือนถึงองครักษ์มังกร”


 


 


 “พระองค์ท่าน ข้าน้อยไปแล้วความปลอดภัยของพระองค์จะทำเช่นไร?” เสียงเยียบเย็นแผ่วเบาแว่วมาจากมุมมืด


 


 


“ให้เจ้าไปก็ไป เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า ข้าไม่อาจให้เขาถูกคนหลอกใช้! รีบไป!” รัชทายาทพูดติดรำคาญ


 


 


มาอย่างเงียบเชียบ ไปอย่างเงียบเชียบ โดยรวดเร็วสารลับก็ถึงมือรัชทายาท


 


 


รัชทายาทอ่านสิ่งที่เขียนในสารลับ น้องชายผู้เป็นต้นหยกพลิ้วลมคนนั้นของเขาถึงกับล้างเท้าให้สตรีนางนั้น ทำเอาเขาโกรธจนแทบบ้าอยู่แล้ว!


 


 


 “พอกันที! หญิงบ้านนอกอำมหิตคนหนึ่งกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้!” รัชทายาทพูดแล้วก็ขว้างเครื่องลายครามสูงค่าในมือ


 


 


ใบหน้าของขันทีติดตามข้างกายเข้มลึกดุจน้ำ ผ่านสักพักก็ไม่ยอมปล่อยผ่านจำต้องเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท ไยกระหม่อมคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง?”


 


 


“หา? ไม่ถูกต้องเยี่ยงไร?” รัชทายาทยังโมโหขึ้นสมอง น้ำเสียงไม่ดีอย่างยิ่ง


 


 


ขันทีเองก็ประหวั่นจนถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วเดินเข้ามาอีกครั้ง กระซิบข้างหูรัชทายาท “กระหม่อมคิดว่า สตรีนางนั้นอาจถูกอะไรบางอย่างสิงสู่…”


 


 


 “หา?” รังสีสายตาของรัชทายาทพุ่งไปยังขันทีราวกับดาบแหลมคม


 


 


ขงจื่อไม่พูดเรื่องผีสางเทวดาเหนือธรรมชาติ ยิ่งเป็นในวังหลวงแห่งนี้ วาจาเช่นนี้หากเล่าลือออกไป…


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อั้น (暗) หมายถึงมืด หรือเรื่องลับไม่อยากเปิดเผย ในที่นี้รัชทายาทใช้เรียกองครักษ์ลับ

 

 

 


ตอนที่ 814 ตัวปัญหากำลังเดินทางมา

 

แต่คราวนี้รัชทายาทมิได้เคืองโกรธ เก็บท่าทางเหมือนจะฆ่าคนกลับไปอย่างรวดเร็ว “พูดต่อสิ”


 


 


ขันทีกลืนน้ำลาย เมื่อครู่เขากลัวแทบตายแล้วจริงๆ ยังคิดว่าวันนี้คงรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ไม่ได้เสียแล้ว


 


 


ขันทีโบกมือ ให้คนในตำหนักออกไปทั้งหมด แล้วไปปิดประตูห้อง เมียงมองหน้าต่างอย่างระแวดระวังด้วยกลัวว่าจะมีคนแอบฟัง จัดการทั้งหมดเสร็จแล้วจึงค่อยหันหลังกลับมา เอ่ยเสียงเบา “องค์รัชทายาทโปรดอย่าตำหนิกระหม่อมพูดจาเหลวไหล เดิมทีเรื่องพิสดารเหนือธรรมชาติเหล่านี้กระหม่อมเองก็ไม่เชื่อ ทว่านิสัยจั้นอ๋องเป็นอย่างไรมีหรือพระองค์กับกระหม่อมจะไม่รู้ เขาเย็นชาเสมอมา ในจวนอ๋องแม้แต่นางสนมสักคนก็ยังไม่มี แต่ไรมาเห็นสตรีไร้ตัวตน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้ดีต่อสตรีถึงเพียงนั้น? หากเป็นเหล่าคุณหนูในเรือนห้องปกติก็ยังแล้วไป หรือเป็นแค่หญิงสามัญชนบริสุทธิ์ก็ยังไม่เป็นปัญหา ทว่าหญิงชั่วคนนั้นเสียพรหมจรรย์ซ้ำยังมีลูกแล้ว จั้นอ๋องไม่เพียงแต่ดูแลเอาใจใส่เด็กนอกคอกสองคนเป็นอย่างดี ทั้งยังปฎิบัติต่อสตรีคนนั้น…องค์รัชทายาทไม่รู้สึกหรือว่าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก?”


 


 


ฟังขันทีเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของรัชทายาทดำเข้มดุจน้ำถึงที่สุด “หมายความของเจ้าคือ เป็นปีศาจจิ้งจอกจริง?”


 


 


ขันทีอาวุโสพยักหน้า “ตามที่กระหม่อมเห็น เกรงว่าแปดเก้าในสิบส่วนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 “เจ้าอาวาสวัดไท่ฉางผู้นั้นเป็นภิกษุสมณศักดิ์สูง แต่เขาเคยได้รับการช่วยเหลือจากคนชั่วผู้นั้น เกรงว่าคงมิได้…” รัชทายาทตรัสด้วยความลำบากใจ


 


 


ขันทีเองก็ครุ่นคิดเงียบเชียบไปพักหนึ่ง ต่อมาก็พูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ได้ข่าวว่าช่วงนี้นักพรตเสียงอวิ๋น (เมฆมงคล) จัดปาฐกถาธรรมที่วัดเต๋าชิงอวิ๋น (เมฆาเขียว) แม้ไม่แน่ว่าจะเทียบเจ้าอาวาสได้ แต่ก็มีความสามารถ หรือมิสู้ลองเชิญเขาไปดู? ”


 


 


 “อืม เจ้าไปจัดการเถอะ ปิดเป็นความลับหน่อย อีกอย่าง พูดให้ดี ความปลอดภัยของจั้นอ๋องเกี่ยวข้องกับราษฎรทั้งใต้หล้า ห้ามสะเพร่าเด็ดขาด!” รัชทายาทยังไม่วางใจสั่งการซ้ำอีกรอบ


 


 


ซูเซียงทางนี้ยังหลับฝันหวาน จ้าวเซิงนั่งอยู่ข้างๆ มองใบหน้าสวยหวานยามหลับของนางอย่างเงียบเชียบ ยังมีส่วนท้องที่โป่งขึ้นน้อยๆ ลมหายใจแผ่วเบายามนางหลับยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเขาอ่อนยวบจนเหลวไปนานแล้ว คราก่อนภรรยาให้กำเนิดบุตรของตัวเอง เขาไม่ได้อยู่เคียงข้างกาย ครั้งนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรก็จะไม่ยอมห่างจากนางแม้แต่ครึ่งก้าว


 


 


แต่สิ่งที่สามีภรรยาคู่หวานชื่นไม่รู้เลยก็คือ มี “ตัวปัญหาใหญ่”กำลังเดินทางมา


 


 


เวลาล่วงมาถึงต้นฤดูร้อน จักจั่นบนปลายยอดไม้ร้องเสียงระงม น่ารำคาญยิ่งนัก


 


 


เดิมทีซูเซียงอยากจะหลับต่อ ผลคือพลิกไปพลิกมาข้างหูก็มีแต่เสียงชนิดหนึ่ง นางลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “ชุ่ยหลิ่ว ชุ่ยหลิ่ว!”


 


 


 “เจ้าค่ะๆ มาแล้วๆ!” ชุ่ยหลิ่วรีบโยนกระบอกไม้ไผ่ในมือ เนื้อตัวสีเทามอมแมม


 


 


ซูเซียงเห็นหยากไย่เต็มหัวนาง บนตัวยับเยิน ก็มองนางด้วยความสงสัย “เจ้าทำอะไรน่ะ?”


 


 


ชุ่ยหลิ่วเห็นซูเซียงอยู่ดี จึงค่อยถอยหลังไปหลายก้าวปัดกวาดฝุ่นผงบนตัว ยังดึงแมงมุมลายดอกสองสามตัวลงมาจากด้านบน “ข้าได้ยินจักจั่นนั่นร้องแล้วรำคาญใจ ก็เลยหยิบกิ่งไม้ว่าจะตะปบเจ้าตัวน้อยพวกนี้”


 


 


 “องค์ชายล่ะ?” ซูเซียงพยักหน้า แมลงตัวน้อยพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ ตัวเล็กจิ๊ดเดียว กลับร้องเสียงดังขนาดนั้น ไม่รู้ว่าในตัวติดตั้งลำโพงไว้รึเปล่า จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ตั้งแต่ซูเซียงตื่นก็ไม่ยังเงาร่างของจ้าวเซิง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย


 


 


 “อ๋อ ท่านหมอหลี่มาหา องค์ชายเขาพาเขาไปเก็บไป๋จี[1]แล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยหลิ่วตอบ


 


 


พูดถึงไป๋จีซูเซียงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ ก่อนที่ดินผืนนี้จะพระราชทานให้แก่นาง ตรงหัวมุมพื้นที่ยาวสองหมู่เป็นไป๋จี แต่น่าเสียดายคนที่นี่ไม่รู้จัก ยังคิดว่าเป็นวัชพืชไว้เลี้ยงโคอะไรทำนองนั้น เหยียบย่ำไปไม่น้อย ตอนนั้นซูเซียงหมุนเวียนดินขึ้นมา ปีนี้ก็เข้าปีที่สี่พอดี เป็นช่วงเวลาที่ไป๋จีมีคุณสมบัติทางยาดีที่สุด


 


 


ซูเซียงมองฟ้านอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม และไม่ร้อนมากจึงเอ่ยขึ้น “รองเท้าพื้นแข็งคู่นั้นวางไว้ที่ใดแล้ว? เราเองก็ไปดูกันหน่อย”


 


 


 “เจ้าค่ะ” พูดแล้วชุ่ยหลิ่วก็ไปหยิบรองเท้าให้ซูเซียง


 


 


ในชีวิตประจำวันซูเซียงอยู่บ้านล้วนใส่รองเท้าผ้าพื้นนิ่ม แต่นี่จะออกนอกบ้าน ก้อนกรวดเอย กิ่งไม้แห้งเอย มีไม่น้อยทีเดียว รองเท้าพื้นนิ่มเกรงว่าจะไม่เหมาะ ชุ่ยหลิ่วจึงทำรองเท้าคู่ใหม่ให้ซูเซียง ด้วยเหตุนี้ ยังถูกแม่นมที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมาบ่นเสียยกใหญ่


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไป๋จี (白芨) เป็นกล้วยไม้ดิน เติบโตใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าหนาว มีถิ่นกำเนิดในญี่ปุ่น, จีน, เนปาล ในประเทศจีน บางส่วนของเหง้ากล้วยไม้จะตายแล้วกลายเป็นแป้ง แล้วนำมาผสมกับน้ำมันงา นำมาทำเป็นยารักษาโรคได้

 

 

 


ตอนที่ 815 คราบจักจั่นเป็นยาชั้นดี

 

เห็นซูเซียงจะออกจากประตูบ้าน ความกังวลร้อนใจในก้นตาของแม่นมจะปิดก็ปิดไม่มิด ทว่านางไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว ครึ่งเดือนก่อนเป็นเพราะนางพูดมากจนทำให้ซูเซียงไม่พอใจสะเทือนถึงครรภ์ ทำเอานางตกใจแทบตาย จากนั้นก็อยู่นิ่งๆ แล้ว แม้มีความคิดเห็นมากกว่านั้นก็จำต้องกลั้นเอาไว้ จ้องมองท้องของซูเซียงตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน


 


 


สายตาจ้องเขม็งของแม่นมนั้นซูเซียงย่อมมองเห็น แต่ไม่ได้สนใจ ทั้งยังสั่งงาน “หมัวมัว ไปหยิบถุงผ้าใบหนึ่ง เอาแบบใหญ่”


 


 


แม่นมจำยอมด้วยสีหน้าจำยอม ไม่รู้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงจะไปทำงานอะไรอีก คนท้องนี่ไม่ต้องนอนพักผ่อนดูแลตัวเองให้ดีหรอกหรือ ไยจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงบ้านนางถึงได้วิ่งออกไปข้างนอกทุกวี่วัน กะปรี้กะเปร่าถึงเพียงนั้น


 


 


 “ฮูหยิน จะเอาถุงผ้าใบใหญ่ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ? ทางองค์ชายคงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแน่” ชุ่ยหลิ่วถามด้วยความสงสัย


 


 


 “ไม่ได้ใช้เก็บยาสมุนไพร อืม ว่าไปแล้วก็เป็นยาเหมือนกัน ก็เป็นคราบของจักจั่นนั่นแหละ เจ้ารู้ไหม นั่นเป็นยาชั้นดี ขับลมไล่ร้อน แก้เจ็บคอ กระทุ้งผื่นคลายเกร็ง หึ พวกมันเสียงดังหนวกหูขนาดนี้ ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายกันสักหน่อยสิ” ซูเซียงรับถุงผ้ามาแล้วก็พูดพลางเดินไปข้างนอก


 


 


หลายวันนี้นางถูกเสียงร้องของเจ้าตัวเล็กพวกนี้ก่อกวนจนนางรำคาญจะตายอยู่แล้ว วันนี้ได้หาผลประโยชน์จากพวกมันสักหน่อย อารมณ์จึงค่อยดีขึ้นบ้าง


 


 


ท่าทางเหมือนเสือจ้องตะครุบจะจับเจ้าตัวเล็กพวกนั้นแยกเป็นชิ้นทำให้ชุ่ยหลิ่วที่ดูอยู่ขำขันสุดประมาณ “ฮูหยิน จักจั่นปีนสูงขนาดนั้น เราจะจับเอาคราบของพวกมันอย่างไร?”


 


 


ซูเซียงกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่เคยเห็น?”


 


 


ชุ่ยหลิ่วมึนงง อยากได้คราบจักจั่น ก็ต้องจับตัวจักจั่นมิใช่หรือ?


 


 


 “ไปเถอะ ถึงแล้วเดี๋ยวเจ้าก็รู้” ตอนนี้ซูเซียงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จำต้องใช้ของจริงมาบอกชุ่ยหลิ่ว


 


 


แม้ซูเซียงออกมาข้างนอกบ่อยแต่ก็รู้หนักเบา นางเองก็ดูแลปกป้องลูกในท้องเช่นกัน


 


 


ทุกครั้งที่ทางเดินไม่สะดวก นางมักจับแขนชุ่ยหลิ่วแน่นเสมอ เดินอย่างระมัดระวัง กลัวว่าตัวเองจะชนจะกระแทกอยู่เหมือนกัน


 


 


แม่นมเดินตามอยู่ข้างๆ อกสั่นขวัญแขวน ไม่ง่ายนักกว่าจะเดินมาถึงบริเวณไป๋จี


 


 


จ้าวเซิงเห็นซูเซียงเข้ามาก็ค่อนข้างแปลกใจ รีบวางของในมือลง เข้ามารับ “เจ้าออกมาทำไม? ดูวันนี้อากาศไม่ดี เกรงว่าประเดี๋ยวฝนจะตก”


 


 


ซูเซียงย่นจมูกเล็กอย่างไม่พอใจ “ตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นเจ้าแล้วยังถูกจักจั่นทำเสียงดังรำคาญอีก ก็เลยอยากออกมาเดินเล่น”


 


 


 “ตกลงๆ ข้าสามีผิดเอง วันนี้รีบทำเรื่องทางนี้ให้เสร็จ พรุ่งนี้ก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้าดีไหม? เสียงร้องของจักจั่นพวกนั้นน่ารำคาญจริงๆ พรุ่งนี้ไปข้าจะจับพวกมันทุกวันเลย รับรองว่าเงียบสนิท ดีหรือไม่?”


 


 


ซูเซียงฟังคำปลอบโยนเอาใจของจ้าวเซิง ในใจจึงนับว่ามีความสุขขึ้นมาหน่อย บ่นกระปอดกระแปด “วานซืนเจ้าบอกว่าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนข้า เมื่อวานก็บอกว่าจะอยู่บ้านกับข้า แต่วันวันกลับไม่เห็นตัวคน…”


 


 


เส้นขีดสีดำเต็มหน้าผากจ้าวเซิง เขาไหนเลยวันวันไม่เห็นตัวคน เพียงอาศัยจังหวะที่ซูเซียงนอนหลับออกไปชั่วครู่ก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ภรรยาอุ้มครรภ์ ไม่ว่านางพูดอะไรย่อมถูกต้องเสมอ


 


 


 “ได้ๆ ต่อไปนี้ข้าไม่ออกไปแล้วดีหรือไม่? ไป ข้าไปส่งเจ้ากลับก่อน เดี๋ยวเปียกฝนแล้วจะแย่เอา” จ้าวเซิงยึดมั่นศีลธรรมอันดีงาม ด่ามาไม่ด่ากลับ ตีมาไม่ตีกลับ เข้ามาช่วยประคองซูเซียงคิดจะส่งนางกลับบ้าน


 


 


ซูเซียงเงยหน้ามองท้องฟ้าแป๊บนึงแล้วค่อยพูดว่า “คาดว่าฝนยังไม่ตกอีกสักพัก ข้าออกมาก็มีงานต้องทำอยู่น่ะ”


 


 


หน้าผากเจ้าเซิงเต็มไปด้วยเส้นดำ นางเป็นหญิงตั้งครรภ์ท้องโตมากแล้ว ออกมาทำงานอะไร? แต่การแสดงออกบนหน้าเขากลับยังคงถามอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “อ้อ? ภรรยาออกมามีงานอะไรหรือ ให้ข้าสามีไปช่วยเจ้าดีไหม?”


 


 


ซูเซียงคิดๆ ดูก็พยักหน้า “อื้ม ดีเหมือนกัน หลายคนก็หลายแรง”


 


 


ซูเซียงพูดแล้วก็มองซ้ายมองขวาไปยังกิ่งไม้แห้งบนพื้นพวกนั้น จู่ๆ ดวงตานางก็เป็นประกาย อย่างที่คิด เห็นคราบจักจั่นอันเล็กๆ อันหนึ่ง นางเดินเข้าไปเก็บมันขึ้นมา


 


 


 “เจ้าเคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่ มันเรียกว่าคราบจักจั่น เป็นยาชั้นดีชนิดหนึ่ง เมื่อครู่เดินผ่านมาเห็นว่าแถวนี้มีมากทีเดียว เจ้าให้คนมาเก็บไปให้หมด”

 

 

 


ตอนที่ 816 เปลือกแมลงนี้จะเป็นยาชั้นดีอะไรได้

 

จ้าวเซิงมองเปลือกของแมลง มุมปากกระตุก ภรรยาตัวน้อยบ้านเขาช่างคิดจริงเชียว ถ้าบอกว่าหญ้ากอหนึ่งเป็นสมุนไพรก็ยังแล้วไป นี่เปลือกแมลงลอกคราบสกปรกๆ อันเล็กๆ จะเป็นยาอะไรได้หรือ?


 


 


แต่เขายังคงปฏิบัติตามหลักภรรยาย่อมพูดถูกต้องเสมอ ถ้าไม่ถูกก็ขอให้ยึดถือสิ่งนี้เป็นมาตรฐานอันดับหนึ่ง พยักหน้ากล่าว “ดี เช่นนั้นข้าจะไปจัดเตรียมคน” ตามด้วยเอ่ยกับชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างๆ “เจ้าประคองไว้หน่อย อย่าให้หกล้ม”


 


 


ซูเซียงมองดูที่ดินผืนนี้ เก็บกวาดค่อนข้างเป็นระเบียบ และไม่มีตรงที่ไหนขรุขระให้สะดุดล้ม ดังนั้นนางจึงปลดการประคองของชุ่ยหลิ่วออก เดินหาคราบจักจั่นเองคนเดียวอย่างร่าเริงสดใส


 


 


ชุ่ยหลิ่วเองก็คิดว่าไม่เป็นไร อย่างไรเสียบนทางเส้นนี้ก็ไม่ตะปุ่มตะป่ำอะไร อีกอย่างฮูหยินบ้านนางมากน้อยก็ยังพอมีวรยุทธ์ติดร่าง แม้อุ้มท้องมิได้สะดวกสบายขนาดนั้นแต่นางก็คงไม่กระทบกระแทกสุ่มสี่สุ่มห้า จึงยอมวางใจ ซูเซียงอยู่ตรงคันดินทางนี้ นางก็เดินไปตามหาคราบจักจั่นบนคันดินที่อยู่ติดกัน


 


 


สองนายบ่าวราวกับตามหาสมบัติ เล่นกันสนุกสนาน ทว่าแม่นมที่องค์หญิงเต๋อฮุ่ยส่งมาคนนั้นแทบหัวใจวายตาย! ทุกครั้งที่ซูเซียงค้อมเอว ทุกทั้งที่ย่อตัวลง นางล้วนรู้สึกเหมือนหัวใจไม่อยู่กับกับเนื้อกับตัว


 


 


ในใจภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอพรเทพสวรรค์อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ สตรีตั้งครรภ์ที่ไหนต้องออกกำลังมากขนาดนี้?


 


 


นางเคยเห็นกุลสตรีชั้นสูงมามาก ทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ต่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เวลาลงเดินดินยังน้อย แต่แม้ดูแลระวังตัวแบบนั้นแล้ว ก็ยังมีมากมายที่เป็นหนึ่งศพสองชีวิต


 


 


แต่บัดนี้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงท่านนี้ไยไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายตัวเอง ไม่รักษาตัวอยู่ในบ้านดีๆ ก็ยังแล้วไป ซุกซนเช่นนี้ จริงๆ เลย…


 


 


จ้าวเซิงเองก็กลัวว่าซูเซียงทางนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น มองฟ้ายิ่งครึ้มเข้มลงทุกทีกลัวว่าฝนจะตกหนักห่าใหญ่ หากเปียกฝนตัวร้อนเป็นไข้ขึ้นมา ใช้ยารักษาจะไม่ดีต่อลูกในท้อง


 


 


ตอนจ้าวเซิงกลับมาซูเซียงกับชุ่ยหลิ่วสองคนร่วมแรงร่วมใจกันเก็บได้ครึ่งถุงใหญ่แล้ว ดีอกดีใจกันมาก รอยยิ้มเปล่งประกายบนหน้านั้นพิมพ์ประทับในสายตาของจ้าวเซิง ทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เขายึดถือรอยยิ้มไร้เดียงสางดงามนี้ดุจสมบัติล้ำค่า


 


 


 “ภรรยา ดูท่าอากาศไม่ดีมากแล้ว เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ รอให้อากาศเย็นสบายข้าค่อยออกมาหาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?” จ้าวเซิงใช้แขนเสื้อเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ซูเซียง เกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนเสียงค่อย


 


 


แม้ซูเซียงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ก็พ่ายแพ้ต่อความหวังดีของจ้าวเซิง อีกทั้งเห็นเมฆดำทะมึนก้อนนั้นเข้ามาใกล้ทุกทีก็กลัวว่าฝนจะตกหนักจริงๆ นางเป็นคนรักสนุกชอบเล่นไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนประเภทไม่รู้จักหนักเบา


 


 


จึงพยักหน้ากล่าว “ก็ได้ เช่นนั้นข้ากับชุ่ยหลิ่วกลับไปก่อน เจ้าเองก็รีบเก็บของหน่อย วันนี้ไม่เสร็จก็ค่อยทำต่อพรุ่งนี้ อย่าให้คนงานตากฝนจนไม่สบาย”


 


 


เหล่าคนงานที่ช่วยเก็บผลผลิตอยู่ด้านข้างได้ยินว่าซูเซียงเป็นห่วงพวกเขา แต่ละคนก็ต่างอบอุ่นหัวใจเหลือประมาณ


 


 


ในจำนวนนี้มีหลายคนทำงานในบ้านเจ้าของที่ดินตระกูลใหญ่ ใครบ้างเห็นพวกเขาเป็นคน? มิหนำซ้ำยังเจ้ากี้เจ้าการ มีก็แต่หวังเฟยที่นี่คนเดียว หวังเฟยเห็นทุกคนเท่าเทียมกัน ทำงานดีก็มีรางวัล ทำไม่ดีก็มีลงโทษ ไม่สนว่าเป็นใคร อีกทั้งแต่ไรมาซูเซียงไม่เคยเอาเปรียบทุกคน ของกิน ของดื่ม ของใช้ ล้วนปฎิบัติต่อพวกเขาดีกว่าเจ้าบ้านคนไหนๆ


 


 


“ขอบพระคุณหวังเฟย พวกเราร่างกายแข็งแรงขอรับ ไม่ต้องกลัว” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งในกลุ่มพูดซื่อๆ จริงใจ


 


 


ระหว่างทางกลับ ซูเซียงพูดกับชุ่ยหลิ่วว่า “พรุ่งนี้เจ้าเชิญท่านอาหลี่มาที่จวนสักเที่ยว ข้าจะคุยเรื่องวิธีใช้คราบจักจั่นนี่กับเขา นี่เป็นตัวยาชั้นดีแท้จริงเชียว”


 


 


“พรุ่งนี้หรือเจ้าคะ พรุ่งนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ดูเหมือนท่านหมอหลี่บอกว่าจะไปอำเภอข้างๆ สักเที่ยว” ชุ่ยหลิ่วคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ


 


 


 “เอาเถอะ นั้นรอให้เขาว่างก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


สองคนพูดไปพูดมาก็เดินจากประตูหลังมาถึงกลางจวนแล้ว ทว่ากลับได้ยินเสียงรายงานของเด็กสาวรับใช้คนหนึ่ง “จวิ้นจู่ ข้างนอกมีนักพรตท่านหนึ่งมาขอพบท่านเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 817 ระดับวิญญาณผสานของท่านสูงมากทีเดียว

 

นักพรตมาจากไหน?


 


 


ซูเซียงกะพริบตาอย่างฉงนสนเท่ห์ หลังนางมาถึงสถานที่แห่งนี้ก็ไม่เคยไปอารามวัดเต๋าอะไรสักแห่ง นักพรตที่ไหนยังจะมารอนางอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน?


 


 


แม้ซูเซียงไม่นับถือพุทธไม่นับถือเต๋า แต่นางก็รู้หลักทำดีต่อผู้อื่น มีอย่างที่ไหนมีนักพรตพระภิกษุมาบ้านไม่ต้อนรับ


 


 


คิดดูแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รีบเชิญนักพรตไปดื่มชาที่โถงบุปผา[1]ก่อน ข้ากลับไปผลัดเสื้อผ้าเดี๋ยวมา”


 


 


ตอนซูเซียงมาถึงโถงบุปผาอีกครั้ง ก็เห็นชายชราผอมแห้งสวมชุดนักพรตนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเล็กเรียวแหลมกับคู่ดวงตาสามเหลี่ยมคว่ำ แค่เห็นก็มิใช่รูปลักษณ์ดีอะไรนัก ทว่ามีหนวดขาวแกมเทาบดบังริมฝีปากบางคู่นั้นไว้ก็ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย


 


 


ซูเซียงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรต่อนักพรตท่านนี้ รู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด รู้สึกว่าหน้าตาเหมือนกับพวกร่างทรงในตำนาน!


 


 


หลังนักพรตท่านนั้นเห็นซูเซียงเข้ามาแล้ว ถึงขั้นมองขึ้นๆ ลงๆ ตาไม่กะพริบ จ้องเขม็งมองประเมินอยู่สักพัก ซูเซียงกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างๆ นั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง


 


 


 “ท่านนักพรตท่านนี้ ท่านจ้องฮูหยินของเราเช่นนี้ต้องการจะดูอะไรหรือเจ้าคะ?!”


 


 


เสียงอวิ๋นเดิมทีได้รับบัญชาของรัชทายาทลงมาในใจโมโหบันดาลโทสะ คิดว่าปีศาจจิ้งจอกน่ารังเกียจนั่นบังอาจล่อลวงอ๋องสงครามของราชวงศ์ ต่อให้เขาต้องแลกด้วยชีวิตก็จะไม่ยอมให้ปีศาจจิ้งจอกนั่นตายดี


 


 


ทว่าบัดนี้ เขาเพียงมองซูเซียงหนึ่งสายตา ความคิดในใจก็พลิกกลับตาลปัตร บนหน้าเผยรอยยิ้มคิกคัก พูดเอ็ดชุ่ยหลิ่ว “เจ้าสาวน้อยคนนี้ ข้าไม่พูดกับเจ้า”


 


 


พูดพลางเยื้องย่างมาทางข้างกายซูเซียงสองก้าว ปั้นหน้ายิ้ม มองประเมินอีกหนึ่งรอบ เอ่ยแฝงเลศนัย “จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยง หลบมาได้หรือไม่ ผินเต้า[2]มีวาจาอยากพูดคุยกับจวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงสักสองสามประโยค”


 


 


เนื่องด้วยหน้าตาเป็นเหตุ ความประทับใจแรกต่อนักพรตท่านนี้จึงไม่ใครดีนัก เพราะคนตาสามเหลี่ยมคว่ำ ริมฝีปากแบนบางมักจะไม่ใช่ของดีสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด บัดนี้คนผู้นี้ปั้นหน้ายิ้มอยู่เบื้องหน้าสายตาตนกลับมิได้รู้สึกว่าน่ารังเกียจขนาดนั้น นี่เป็นความรู้สึกประหลาดพิสดารชนิดหนึ่ง


 


 


ซูเซียงเปลี่ยนความคิดต่อนักพรตคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล โบกๆ มือ นอกจากชุ่ยหลิ่วแล้วก็ให้คนอื่นถอยไป


 


 


บนหน้าเสียงอวิ๋นเผยแววไม่พอใจอยู่บ้างเล็กน้อย จ้องชุ่ยหลิ่วที่อยู่ข้างๆ “สาวน้อยคนนี้ ไยยังไม่ไป?”


 


 


ซูเซียงกลับยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ท่านนักพรตมีวาจาอันใดเชิญท่านพูดได้เลย”


 


 


เซียงอวิ๋นแค่นเสียงหึใส่ชุ่ยหลิ่วหนึ่งเสียง ต่อมาก็ประเมินซูเซียงขึ้นๆ ลงๆ อีกรอบ ลูบหนวดเคราแกมขาวแกมเทาหัวเราะเฮอะๆ “ระดับวิญญาณผสานของเจ้านี้สูงมากทีเดียว โอ้ เดรัจฉานน้อยในท้องนี่น่าสนใจจริงเชียว!”


 


 


ตอนซูเซียงได้ยินประโยคแรกสับสนมึนงง ทว่าพอได้ยินประโยคหลังที่ว่า ‘เดรัจฉานน้อย’ ก็ไม่ยินดีอย่างยิ่ง เงยหน้าถลึงตาจ้องนักพรตคนนั้น “ท่านนักพรตเองก็เป็นผู้ออกบวช ไยพูดจาไม่รู้ขอบเขตเช่นนี้ ข้าท้องเด็ก มิใช่ลูกเดรัจฉาน!”


 


 


 “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กน้อยคนนี้ มีอย่างที่ไหนให้เจ้าต่อปากต่อคำเช่นนี้? ลูกเดรัจฉานตัวนี้มีวาสนากับข้า มิสู้จวิ้นจู่เหนียงเนี่ยงยอมว่าตามข้า หลังคลอดแล้วมอบให้ข้ามาเลี้ยงดูเป็นเยี่ยงไร?”


 


 


ซูเซียง “!!’


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ฐานะนักพรตของฝ่ายตรงข้าม นางอยากพูดประโยคหนึ่งจริงๆ “ไสหัวไปหาแม่ท่านไป!”


 


 


ชุ่ยหลิ่วหัวเราะเย้นหยันพูดเนือยๆ อยู่ข้างๆ “ท่านนักพรตอาจจะฝันสูงไปหน่อย คงทราบว่าเด็กในท้องฮูหยินของข้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเชื้อสายของพระสวามีองค์หญิงเต๋อฮุ่ย มีที่ไหนท่านบอกอยากได้ก็จะได้?!”


 


 


เสียงอวิ๋นถลึงตาใส่ชุ่ยหลิ่วอย่างไม่พอใจ หัวเราะหึหึ “ข้าบอกแล้ว เดรัจฉานผู้นี้มีชะตาต้องกันกับข้า เราคอยดูต่อไปเถอะ เขาจะต้องเติบโตภายใต้ชื่อของข้า หึหึ!”


 


 


เสียงอวิ๋นยังคงมุ่ยปากเคืองอยู่ตรงนั้น ซูเซียงกลับเอือมระอาเต็มหน้า ลูบหน้าผากซับเหงื่อที่ซึมออกมา “ขอเรียนถามท่านนักพรตวันนี้มาจวนข้าด้วยเหตุธุระอันใด?”


 


 


คำพูดนี้ชัดเจนว่าไล่คนแล้ว ความหมายที่พูดคือ ถ้าไม่มีธุระก็รีบไสหัวไปได้แล้ว


 


 


เสียงอวิ๋นกลับไม่โกรธเคืองซูเซียง มองท้องของนางอีกครั้ง ยิ้มเปี่ยมเมตตา กระทั่งตาสามเหลี่ยมคว่ำก็ยังโค้งลงมาเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว


 


 


 


 


——


 


 


[1] โถงบุปผา หรือฮวาทิง (花厅) คือบริเวณโถงรับแขกขนาดใหญ่ด้านนอกอาคารบ้านของเรือนสมัยก่อน มักสร้างตรงลานขนาบหรือในสวนดอกไม้


 


 


[2] ผินเต้า (贫道) คําที่นักพรตใช้เรียกตนเองเพื่อแสดงความถ่อมตน

 

 

 


ตอนที่ 818 อยากต่อยคนมากทำอย่างไรดี

 

ยิ้มน้อยๆ ให้ท้องของซูเซียง “เดรัจฉานน้อยรีบโตไวๆ ล่ะ ข้ายังรอเจ้าอยู่!”


 


 


ดูจากท่าทางจริงจังของเขา ราวกับเด็กในท้องที่เพิ่งห้าเดือนกว่าจะเข้าใจคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ขณะที่ซูเซียงกำลังจะถามเขาซ้ำอีกครั้งว่ามีธุระเรื่องอะไรกันแน่ เสียงอวิ๋นกลับโบกมือ “เอาเถิดๆ จุดประสงค์ที่ข้ามาวันนี้สำเร็จผลแล้ว ในเมื่อไม่มีปีศาจจิ้งจอกอะไร เรื่องตัวตนของเจ้าข้าเองก็มิอาจแพร่งพราย อีกอย่าง ดูแลรักษาเดรัจฉานน้อยในท้องเจ้าตัวนี้ให้ดี เขาเป็นชีวิตจิตใจของข้าเชียวล่ะ!”


 


 


ดูคำที่พูดเข้าสิ ซูเซียงอยากจะต่อยคนจริงๆ ! ลูกในท้องของตนจะมีความเกี่ยวข้องกับนักพรตเต๋าเหม็นโฉ่คนนี้ได้อย่างไร? ยังจะเป็นชีวิตจิตใจของเขาอะไรกัน! คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ อยากต่อยคนมากจริงๆ เลย ทำอย่างไรดี?


 


 


ช่างเถอะๆ พวกนักบวชนักพรตพวกนี้แต่ไรมาก็ชอบพูดพร่ำเพ้อ ทำตัวให้ชินก็พอแล้ว พูดอีกอย่าง นักพรตคนนี้ดูเหมือนจะรู้ที่มาของตน แต่เขากลับแสดงออกชัดเจนว่าไม่อาจเปิดเผย ดูท่าทางก็มิได้ขมขู่อะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาอยากทำอะไรก็ทำไปเถิด


 


 


เห็นนักพรตผอมแห้งคนนั้นเดินออกนอกประตูไป ซูเซียงยังคิดว่าเขาจะจากไปอย่างรู้การณ์ ที่ไหนได้เขาเดินไปถึงลานบ้านกลับตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้! จัดเตรียมเรือนให้ผินเต้า ต้องเป็นเรือนทางทิศตะวันออก หน้าต่างเปิดกว้างมีแสงเพียงพอ อย่าเอาสถานที่เป็นมุมอับให้ข้าล่ะ ข้าเป็นผู้องอาจผึ่งผาย ไม่อาจอยู่ในที่มืดอับแสงเช่นนั้น… ”


 


 


 “มานี่ๆ ใช่ เรียกเจ้านั่นแหละแม่หนู รีบมานี่!”


 


 


 “ไป ไปทำขนมดอกกุ้ยฮวาเอาอะไรรองท้องให้ข้าสักจาน หิวจะตายอยู่แล้ว!”


 


 


ซูเซียง “!!”


 


 


นี่เป็นตาแก่หนังเหนียวมาจากที่ไหนกัน? นางไล่ออกไปได้หรือไม่?!


 


 


ดูท่าทางของเขานั่น ทำราวกับอยู่ในบ้านตัวเอง จะอยู่ที่นี่ บอกกล่าวกับนางสักคำหรือยัง? จะใช้คนของนาง กินของของนาง ขอนางสักคำหรือยัง?


 


 


ขณะที่ซูเซียงกำลังจะออกไปไล่คน ชุ่ยหลิ่วกลับรั้งนางไว้ “ฮูหยินอย่าบุ่มบ่าม คนผู้นี้แค่เห็นก็รู้ว่ามิใช่ผู้ที่หาเรื่องด้วยได้ เขาทราบว่าวิญญาณกับร่างกายของท่านมิได้มีที่มาจากที่เดียวกัน หากยั่วโทสะเขา…”


 


 


แม้จิตใต้สำนึกของซูเซียงรู้ว่าชายชราผู้นี้มิใช่คนเช่นนั้น ทว่าก็เผื่อไว้ก่อนดีกว่า ในที่สุดจึงกลืนความคับแค้นในใจกลับไป


 


 


กวักมือเรียกสาวใช้เป็นงานคนหนึ่งเข้ามา “ฝูเอ๋อร์ ส่งบ่าวรับใช้ชายสองสามคนไปดูแลเขาให้ดี อยากกินอะไร อยากใช้อะไรก็ล้วนตามความพอใจของเขา!”


 


 


 “ฮูหยิน ท่านดูท่าทางเขาสิเจ้าคะ บ่าว บ่าวไม่อยากทำให้เขากิน รู้สึกเหมือนกำลังทิ้งขว้างอาหาร!” ฝูเอ๋อร์มองนักพรตชราที่กำลังทำตัวโอหังชี้มือสั่งการนั่นนี่อยู่นอกประตูคนนั้น ในใจก็รู้สึกแย่สารพัดชนิด!


 


 


ซูเซียงถอนหายใจ แต่ละคนล้วนศีรษะใหญ่กว่านาง คอล้วนหนากว่านาง หาเรื่องไม่ได้ทั้งนั้น


 


 


 “ไปเถอะๆ ต่อให้ทิ้งขว้างอาหารเราก็ต้องให้เขา!”


 


 


เสียงอวิ๋นที่อยู่ด้านนอกแท้จริงแล้วในใจก็ค่อนข้างหวาดหวั่น ด้วยกลัวว่าซูเซียงจะไล่เขาออกไป เขาจงใจทำน้ำเสียงยโสโอหังก็เพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเองก็เท่านั้น หางตากลับเหลือบเข้าไปในโถงบุปผาอยู่เป็นระยะ


 


 


มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ได้ดี คนยิ่งเสแสร้งแกล้งทำ แท้จริงแล้วพวกเขายิ่งขี้ขลาด ตอนเสียงอวิ๋นก็กำลังอยู่ในสถานการณ์นี้


 


 


ตอนจ้าวเซิงกลับมากินข้าวเที่ยงหลังรีบจัดการงานข้างนอกเสร็จ ก็เห็นชายชราผมแห้งคนหนึ่งกำลังวนซ้ายวนขวารอบซูเซียง ในปากร้องโวยวายไม่หยุด “เฮ้ย! เฮ้ย! เจ้าระวังหน่อย เดรัจฉานน้อยของข้า…”


 


 


 “นี่เจ้า ผู้หญิงคนนี้ เจ้าๆ เจ้าขยับเขยื้อนเบาๆ หน่อย หากเจ้าบังอาจทำร้ายถึงเดรัจฉานน้อยของข้า ข้ากับเจ้าไม่จบไม่สิ้นแน่…”


 


 


เส้นขีดสีดำเต็มหัวจ้าวเซิง มึนงงไปทั้งสมอง นี่มันตาแก่สมควรตายผุดมาจากที่ไหน! อะไรคือเรียกว่าระวังเดรัจฉานน้อยของเขา? นั่นเป็นเดรัจฉานน้อยของตนต่างหาก


 


 


อะถุยๆ เป็นลูกชายของเขาต่างหาก! ตาแก่น่าตาย เขาท้องสิถึงจะเรียกว่าเดรัจฉานน้อย!


 


 


จ้าวเซิงเส้นดำเต็มหัว รู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเองให้เวียนหัวขึ้นทุกที เขาพบว่าช่วงนี้ดูเหมือนจะโง่เงาลงทุกวัน


 


 


ซูเซียงกำลังห่อเกี๊ยวในมืออย่างคล่องแคล่วอยู่ตรงนั้น ชุ่ยหลิ่วกำลังรีดแผ่นแป้งอยู่ข้างๆ ชายชราคนนั้นกระโดดไปกระโดดมาอยู่ด้านข้างเหมือนกับลิง ในปากร้องโวยวายจ๊อกแจ๊กเจี๊ยกๆ ไม่หยุด


 


 


จ้าวเซิงเดินหน้าดำทะมึนเข้าไป เรียกหนึ่งเสียง “ภรรยา”


 


 


ซูเซียงได้ยินเสียงก็รีบหันหน้ามาราวกับตามหาดาวช่วยชีวิตเจอ กวักมือเรียกจ้าวเซิง “รีบมาๆ เอาลิงเฒ่านี่ไปให้พ้นข้าที ข้ารำคาญเขาจะตายอยู่แล้ว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม