ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 79.2-80.3

ตอนที่ 79-2 ท่านสามไล่คน

 

คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่รัศมีจับมากสุดคนหนึ่ง เมื่อครู่พอเห็นมู่หรงไท่เดินเข้าไปทักทายคุณหนูผู้นั้น ก็ใช้พัดด้ามทองลายทิวทัศน์ในมือตีเข้าที่ไหล่ของเขา แล้วว่า


 


 


“คุณชายรองรู้จักนางด้วยหรือ ถ้ารู้จักก็อย่าปิดบังพวกเรานา”


 


 


มู่หรงไท่ปัดพัดออกอย่างเย็นชา แล้วไม่พูดไม่จา


 


 


พอหนุ่มๆ ผู้สูงศักดิ์เห็นว่า อยู่ดีๆ เขาก็หน้าเครียดขึ้นมา จึงหันมามองหน้ากัน


 


 


หลิวซื่อจื่อ แห่งจวนลั่วหยางป๋อ ผู้เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแซยิดของฮูหยินท่านโหวอาวุโสเมื่อหลายเดือนก่อน พอเห็นสีหน้าของมู่หรงไท่ ก็พยายามนึกย้อนดู ค่อยกระจ่าง


 


 


“ไอ้หยา หรือนางก็คือคุณหนูใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น คล้ายคุ้นหน้าอยู่บ้าง!”


 


 


“คุณหนูใหญ่บ้านสกุลอวิ๋น? ที่แต่เดิมเคยหมั้นปากเปล่ากับคุณชายรอง แล้วถอนหมั้นในเวลาต่อมาน่ะหรือ ใช่คุณหนูจวนรองเจ้ากรมคนนั้น ที่น้องสาวแต่งไปเป็นอนุคนโปรดของจวนโหวหรือเปล่า”


 


 


“ใช่ๆ นั่นล่ะ พอพูดถึงข้าก็นึกขึ้นได้! หึๆ” หนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ใช้พัดตีไหล่มู่หรงไท่พูดหยอกล้อ


 


 


“มิน่าเล่าถึงได้หน้าดำ ที่แท้ก็ทำสาวงามหลุดมือไปนั่นเอง! ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ ผู้ชายอย่างเราๆ เข้าใจดี! แต่ในเมื่อคุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่เลว ถึงน้องสาวนางจะสวยไม่เท่า ก็ไม่ถึงกับไม่สวยหรอก เอาเถอะ ใช่ว่าใครๆ มีเมียเยอะแล้วจะมีความสุข มีคนเดียวก็ไม่เลวแล้วคุณชายรอง!”


 


 


พอพูดถึงคู่หมั้นเก่า มู่หรงไท่ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ “พูดมากอยู่ได้!”


 


 


หลายคนสบตากัน หัวเราะหึๆ แล้วไม่พูดถึงอีก การหยอกล้อเช่นนี้ ทำให้พวกเขายิ่งสนใจคุณหนูสกุลอวิ๋น จึงไม่มีเวลาพูดมากกับมู่หรงไท่ ได้แต่จับตามอง


 


 


และในตอนนี้เอง หญิงสาวนางหนึ่งท่าทางคล้ายนางในได้ก้าวเข้าไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น ถอนสายบัว แล้วถาม “คุณหนูอวิ๋นจากบ้านท่านรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้ายใช่หรือไม่”


 


 


“รองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้ายอวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นบิดาข้าเอง” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ


 


 


ดวงตาสดใสร่าเริง โดนใจคนยิ่ง นางในสะท้อนใจ วันนี้มีคุณหนูมากมายมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่มาถึงแล้วก็มีอยู่ไม่น้อย แต่บุคลิกของลูกสาวท่านรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายไม่ด้อยไปกว่าพวกคุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอวี้ หรือคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตเลย จึงอดไม่ได้ที่จะมีท่าทีอ่อนโยนด้วย พลางผายมือนำสายตา


 


 


“คุณหนูบ้านท่านขุนนางมากันหลายคนแล้ว กำลังอยู่บนชั้นสอง อีกสักครู่ชั้นล่างจะมีแต่บุรุษ เกรงว่าคุณหนูอวิ๋นอาจไม่สะดวก เชิญตามข้าขึ้นไปชั้นบน”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเดินตามนางในขึ้นไป โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับอวิ๋นหว่านถงเดินอยู่ด้านหลัง


 


 


พอชายหนุ่มชั้นสูงไม่เห็นเงาของสาวงาม ต่างก็ยืนกุมข้อมือ มองตามขึ้นไปจนถึงทางเลี้ยวที่ชั้นสอง พอไม่เห็นเงาร่างสาวงามแล้ว ค่อยแยกย้ายกันไป


 


 



 


 


บนชั้นสอง หญิงสาวชั้นสูงหลายคนยืนกระจัดกระจายกันอยู่


 


 


ขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่เห็นคนคุ้นเคย ก็มีคนก้าวเข้ามา จับไหล่นางจากด้านหลังพลางหัวเราะคิกคัก


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์!”


 


 


เสียงนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเฉินจื่อหลิง


 


 


สกุลเฉินแม้ไม่ถือว่าเป็นสกุลสูงศักดิ์ดั้งเดิม แต่เพราะมีสนมเฉิน ตั้งแต่เฉินจื่อหลิงอายุสิบสอง ก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ เช่นนี้ทุกปี อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้อยู่แล้วว่านางต้องมา จึงไม่แปลกใจ ยิ้มพลางจับมือนางไว้ แล้วทั้งสองก็เดินไปยืนอีกด้านหนึ่ง


 


 


พอเฉินจื่อหลิงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ด้วย ก็ดีใจมาก โดยทุกปีที่นางมางาน ก็เหมือนมาทำภารกิจให้เสร็จๆ ไปมากกว่า เบื่อจะแย่ ปีนี้มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วย ก็รู้สึกสุขใจยิ่ง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเฉินจื่อหลิงสวมชุดกระโปรงผ้าทอลายเมฆพื้นน้ำเงิน และแต่งหน้าเข้ม ดูสวยอ่อนโยนกว่าวันธรรมดามาก น่าจะถูกคนที่บ้านบีบบังคับมา เพียงแต่หน้าตาที่ดูองอาจกล้าหาญ คิ้วเข้มตาโตของนาง ไม่เข้ากันกับชุดที่สวมใส่ จึงหัวเราะพลางแซวไปสองคำ ขณะเดียวกันนั้น ก็มีคนเดินเข้ามา


 


 


อวี้โหรวจวงกับลวี่สุ่ย คนหนึ่งอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง กำลังปลีกตัวจากการถูกห้อมล้อมโดยกลุ่มคนดังในเมืองหลวงที่มีสถานะต่ำต้อยกว่า แล้วเดินด้วยท่าทีสง่างาม เข้ามาหาอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


สมกับที่เป็นบุตรีของสมุหนายก พอมีชื่อเสียง ก็เสมือนคนของพระสนมหรือฮองเฮาไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ล้วนเป็นดาวล้อมเดือน ถูกผู้คนห้อมล้อมไว้ตรงกลาง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นสำรวจมองการแต่งกายในวันนี้ของอวี้โหรวจวง นางสวมชุดกระโปรงแดงส้ม เข้ากับชุดเครื่องประดับหยกเลอค่าบนศีรษะ สะดุดตายิ่ง ผมก็มวยได้ซับซ้อนสวยงาม น่าจะใช้ผมปลอมหลายชั้นอยู่


 


 


การแต่งหน้าก็แต่งได้อย่างจัดจ้านมีสีสัน คิ้วโค้งปลายเป็นธรรมชาติดุจต้นหลิว ริมฝีปากแดงเข้มแวววาว แต่ไม่ฉูดฉาดจนไร้รสนิยม


 


 


โดยสีแดงตัดกับสีเขียว ที่หลายคนรู้สึกว่าไร้รสนิยม แต่เห็นชัดว่า อวี้โหรวจวงออกงานสังคมเช่นนี้บ่อยตั้งแต่เล็กจนโต รู้อยู่แล้วว่าต้องแต่งอย่างไรถึงจะเข้ากับตนเอง จึงจัดวางทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ แต่ละก้าวเดินที่เห็น ก็เหมือนฝึกฝนมาแล้วหลายครั้ง สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ค่อนข้างมีลักษณะของดอกไม้ประจำแคว้นอย่างดอกโบตั๋นอยู่บ้าง


 


 


ทุกย่างก้าวของอวี้โหรวจวง แทบจะถูกเหล่าคุณหนูที่อยู่ด้านหลังชมเชยไม่ขาดปาก โดยยกให้นางเป็นมาตรฐานการวางตัว เป็นแบบอย่างที่ดี


 


 


จากการพูดคุยกันของเหล่าคุณหนู ทำให้รู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นที่เพิ่งมาถึงเป็นลูกสาวบ้านไหน เมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูบ้านขุนนางชั้นสาม ก็ไม่ให้ความสนใจ และไม่คิดว่าจะเข้าไปพูดคุยด้วย แต่พอเห็นอวี้โหรวจวงเข้าไปทักทาย พวกนางก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


 


 


คุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอวี้สถานะสูงส่ง บรรพชนหญิงในบ้านหลายคนล้วนได้เป็นฮองเฮาแห่งต้าเซวียน ตัวนางเองก็ถูกกำหนดให้เป็นสะใภ้จ้าวในอนาคต จากการที่สองสามปีมานี้ อวี้เหวินผิงมีผลงานดีเด่นในราชสำนักและเป็นที่โปรดปราน ทำให้ความถี่ในการเข้าออกวังหลวงและบารมีตระกูลของอวี้โหรวจวง มีมากกว่าท่านหญิงทั่วไปเสียอีก เมื่อมีอนาคตที่กว้างไกลเรื่อยมา จึงมีก็แต่ผู้อื่นเข้ามาห้อมล้อมนาง นางไหนเลยจะเดินเข้าหาผู้อื่นก่อน


 


 


คุณหนูแต่ละคนจึงหูผึ่ง อยากได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกัน หลายคนกล้าขนาดเข้าไปยืนล้อมกันเลยทีเดียว


 


 


พออวี้โหรวจวงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมางานเลี้ยงสังสรรค์ ยังนึกว่าตนเองตาฝาด จึงเพ่งมองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเป็นนางจริงๆ ก็หน้าชา ด้วยพอจะเดาได้ว่า เหตุใดนางถึงมาได้


 


 


และพอเห็นการแต่งตัวของนาง อวี้โหรวจวงก็รีบเก็บสายตาคืนกลับโดยไม่รู้ตัว เมื่อก่อนคิดว่านางมีชาติกำเนิดต่ำต้อยและโลกแคบ ครั้งก่อนที่เจอกัน แม้ไม่นับว่านางเสียมารยาท แต่บุคลิกภาพก็ห่างกันหลายชั้นกับคนที่เข้าวังบ่อยๆ อย่างตน แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ที่แท้นางก็มีความสามารถอยู่นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้าง แต่ดวงตากลับสงบนิ่งมาก ราวกับมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น หึ แหงล่ะ สามารถตกเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ได้ ย่อมต้องมีความสามารถอยู่บ้าง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสายตาของอวี้โหรวจวงปราดเดียว ก็รู้ว่า นี่คือมู่หรงไท่ภาคผู้หญิง ถ้าวันนี้ไม่มาหาเรื่องตนต้องไม่สบายใจแน่ ถ้าเป็นชาติก่อน ตนถูกฮองเฮาแห่งยุคเกลียดชัง เกรงว่าคงได้แต่กู่ร้องยอมรับชะตากรรม แต่ชาตินี้ ทุกคนแทบจะเดินอยู่ด้วยกันบนเส้นทางนี้ เมื่อนาง อวี้โหรวจวงมิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุด ตนก็ไม่ใช่ตอไม้หรือก้อนหินที่ใครๆ จะมาเหยียบย่ำได้


 


 


แล้วอวี้โหรวจวงก็เชิดหน้าพูด “ที่แท้คุณหนูอวิ๋นก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในครั้งนี้ด้วย ข้ายังนึกว่า ธรณีประตูงานเลี้ยงนั้นสูงมาก ผู้ที่ได้รับเชิญ ถ้าไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ ก็เป็นคุณหนูตระกูลชื่อดังเสียอีก”


 


 


น้ำเสียงฟังดูอ่อนน้อม ไม่เสียมารยาท ทว่าแต่ละคำล้วนเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจและดูหมิ่น


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ยังจำฝังใจ เรื่องที่นางโลมจากเรือสำราญมาก่อกวนที่จวน แล้วเกือบทำให้คุณหนูเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งยังถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่นาน จึงรู้สึกโกรธ แต่ก็ท่องเอาไว้ว่า ที่นี่คือวังหลวง จะทำให้คุณหนูขายหน้าไม่ได้ มิเช่นนั้น จากนิสัยของนาง ต่อให้เป็นคุณหนูบ้านสมุหนายกหรือลูกสาวขอทาน นางก็ต้องเดินเข้าไปเท้าสะเอวด่าว่าแต่แรกแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดดูหมิ่นเช่นนี้ จึงพยายามข่มกลั้น ก่อนพูดทีละคำ


 


 


“คุณหนูอวี้ คุณหนูของบ่าวเป็นลูกสาวของรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย นายท่านของบ่าวก็เป็นขุนนางที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างดีจากฝ่าบาทเช่นกัน และถ้านายท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้ากรม ก็จะได้เป็นขุนนางชั้นสอง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยอะไร”


 


 


“นี่ก็ต้องดูว่าเปรียบเทียบกันอย่างไร” อวี้โหรวจวงยิ้มบางๆ


 


 


“ดอกไม้ป่าในทะเลทรายที่แห้งแล้งดอกหนึ่ง ถือว่าสวยโด่เด่อยู่ดอกเดียว แต่พอมาอยู่ในกลุ่มดอกโบตั๋น ดอกไม้ที่มีหญ้าหางสุนัขหนุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นขุนนางชั้นสูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เมื่อไม่มีสายเลือดของคนชั้นสูง ห่างกันแค่คืบ ก็เหมือนห่างกันพันลี้ อย่างไรก็ไล่ไม่ทันหรอก”


 


 


ลวี่สุ่ยมองเมี่ยวเอ๋อร์อย่างสะใจ ก่อนรับลูกจากคุณหนูบ้านตนต่อ


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ มาตรฐานงานเลี้ยงสังสรรค์ในหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งมายิ่งตกต่ำจริงๆ คนอะไรก็เข้ามาได้ทั้งนั้น อย่างไรพองานเลี้ยงครั้งนี้จบลง กลับจวนไปบอกนายท่านสักหน่อยว่า ปีหน้าเราไม่เข้าร่วมด้วยแล้ว”


 


 


พอคุณหนูหลายคนที่อยู่รอบๆ ได้ยิน ค่อยรู้ว่า ที่แท้อวี้โหรวจวงมิได้มาผูกมิตรกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่คิดว่าอวิ๋นหว่านชิ่นคือผู้ที่ฉุดให้งานเลี้ยงเสียระดับไป คิดๆ ดู ที่อวี้โหรวจวงพูดมาก็มีเหตุผล แต่ละคนจึงมองหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น พลางเพิ่มการดูหมิ่นเข้าไปด้วย 

 

 


ตอนที่ 79-3 ท่านสามไล่คน

 

เฉินจื่อหลิงก็ดูออกเช่นกันว่าอวี้โหรวจวงไม่ได้มาดี แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงขัดแย้งกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่ก็ไม่อยากทำทีเป็นนิ่งเฉยให้ข่ม จึงจับแขนอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วดึงให้เดินออก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับจับมือนางไว้ บอกใบ้ว่าตนไม่มีเจตนาไป ถ้าไป ก็เหมือนแพ้แล้วหนี จึงมองหน้าอวี้โหรวจวง พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมและมีมารยาทสุดๆ


 


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ จึงไม่รู้ว่าปีก่อนๆ เขาเชิญคนแบบไหนมากัน แต่ครั้งนี้ดูไปแล้ว กลับเป็น…คนอะไรแบบไหนก็มี”


 


 


ไม่รอให้อวี้โหรวจวงเปลี่ยนสีหน้า ก็หันมาทางลวี่สุ่ย แล้วยิ้มอย่างมีนัย


 


 


“งานเลี้ยงสังสรรค์เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ หลังงานเฉลิมพระชนมพรรษาเจี่ยไทเฮา ซึ่งเจี่ยไทเฮาทรงจัดขึ้นด้วยพระองค์เอง รายชื่อแขกผู้เข้าร่วมงาน เจี่ยไทเฮาก็เป็นคนสุดท้ายที่วินิจฉัย แล้วที่พี่สาวใช้ผู้นี้บ่นว่า…มาตรฐานต่ำ จริงๆ แล้วกำลังพูดถึงงานเลี้ยง หรือพูดถึงไทเฮากันล่ะ”


 


 


ลวี่สุ่ยหน้าซีด อวี้โหรวจวงก็ค้อนให้นาง


 


 


ลวี่สุ่ยมัวแต่คิดกลบฝังอวิ๋นหว่านชิ่น จึงไม่ทันคิดถึงจุดนี้ พอรู้ตัวว่าพูดผิดจนถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้และโต้กลับ ก็รีบตบปากตัวเอง แล้วกลับคำ


 


 


“บ่าวมิได้พูดว่าไทเฮามาตรฐานต่ำ แต่พูดว่า…” นางไม่รู้ว่าจะแก้ไขประโยคนั้นอย่างไรดี คำพูดจึงติดอยู่ในลำคอ พูดไม่ออก


 


 


พอเหล่าคุณหนูชนชั้นสูงเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยน ก็รู้สึกสนใจในตัวลูกสาวของรองเจ้ากรมกลาโหมคนนี้ขึ้นมา จึงแอบกระซิบกระซาบกัน


 


 


“พี่สาวใช้อยากจะบอกว่า เจี่ยไทเฮาทรงมีมาตรฐานสูงมาตลอด เพียงแต่คนในงานเลี้ยงมีมาตรฐานไม่ค่อยสูงมาแต่ไหนแต่ไร ถูกหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นช่วยนางแก้ไข พลางยิ้มตาหยี


 


 


“ใช่ๆๆ!” ลวี่สุ่ยรีบตอบ ขอเพียงคนในวังได้ยินแล้ว ไม่นำไปทูลไทเฮาให้ลงโทษว่านางพูดดูหมิ่นเป็นพอ แม้อวี้โหรวจวงคิดจะห้ามก็ไม่ทันการ


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงยิ้มพลางว่า “พี่ลวี่สุ่ยนี่ตาคมดุจดาบ เยือกเย็นดุจหิมะจริงๆ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าผู้คนที่มาร่วมงานมาตรฐานไม่สูงมาแต่ไหนแต่ไร! คุณหนูบ้านข้าเพิ่งมาครั้งแรก ดีที่มีท่านช่วยเตือนสติ!”


 


 


เหล่าคุณหนูจึงวุ่นวายกันยกใหญ่


 


 


ลวี่สุ่ยอยู่ในภาวะกลืนผลไม้รสขมเข้าไปเอง อยากโต้แย้งแต่ไม่มีวิธี พอเห็นคุณหนูหลายคนมองมาที่ตนอย่างเจ็บแค้น ก็ได้แต่ถอยกรูดไปยืนอยู่ด้านข้าง


 


 


อวี้โหรวจวงจึงยิ้มเย็นชา พลางคิด อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงปากจัดเหมือนครั้งแรกที่พบหน้ากัน แต่ปากจัดในวังจะไปมีประโยชน์อะไร จึงกัดฟัน ดุด่าสาวใช้


 


 


“ถ้าพูดไม่เป็น ก็ควรทำตัวเป็นใบ้เสีย เข้าวังมาตั้งหลายครั้ง ยังไม่รู้อีกว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด สู้


 


 


ชาวบ้านร้านตลาดเชยๆ ที่ไม่เคยเห็นงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อนไม่ได้”


 


 


คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตก็ได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงสังสรรค์เช่นกัน นางเคยได้รับน้ำใจจากอวิ๋นหว่านชิ่น และเพิ่งรักษาสิวบนใบหน้าหาย พอเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียด จึงพูดประนีประนอม


 


 


“เอาเถอะๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”


 


 


พออวี้โหรวจวงได้รับบันไดให้ลงจากเวที ก็ยกแขนเสื้อขึ้น กำลังจะเดินจาก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับค่อยๆ เอ่ยปาก


 


 


“ส่วนเรื่องสายเลือดชั้นสูงที่คุณหนูอวี้พูดถึงนั้น ในจวนข้าก็เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวอยู่หลายพันธุ์ แต่พวกบ่าวชอบนำสุนัขหรือแมวพันธุ์พันธุ์แท้แต่ละสายพันธุ์มาผสมพันธุ์กัน อย่างสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลที่มาจากภาคตะวันตก กับสุนัขพันธุ์ปั๊กที่มาจากดินแดนตะวันตก เพราะอยากให้ลูกที่เกิดมาแข็งแรง เชื่อฟัง คอยประจบประแจง เชื่องสุดๆ…”


 


 


เมื่อถูกถากถางเช่นนี้ อวี้โหรวจวงก็คันฟัน จึงกัดฟัน ยกแขนเสื้อขึ้น แสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมา


 


 


“ที่บ้านคุณหนูอวิ๋นสอนให้นำสายเลือดชั้นสูงไปเปรียบกับสุนัขและแมวเช่นนี้หรือ”


 


 


“คุณหนูอวิ๋นมิใช่ลูกท่านหลานเธอ ไม่คุ้นเคยกับแวดวงชนชั้นสูง จึงได้แต่ใช้สัตว์เลี้ยงมาเปรียบเปรย คุณหนูอวี้คิดมากไปแล้ว” เสียงหนึ่งลอยอ้อยอิ่งมา คล้ายสายลมที่โชยจากทะเลสาบเฉิงเทียน


 


 


สาวสวยทั้งหลายหันมองตาม ชายหนุ่มก้าวขึ้นมาบนชั้นสอง ด้านหลังมีขันทีสองคน องครักษ์หนึ่งคน และนางในหนึ่งคนเดินตามมา


 


 


ใบหน้าชายหนุ่มดุจดอกไม้รุ่งอรุณในฤดูใบไม้ผลิ คิ้วเรียวยาว รอยยิ้มดุจดอกท้อเบ่งบานยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิ ขณะเท้าก้าวเดินดูเนื้อตัวเบาสบาย แม้สวมชุดผ้าแพรยาวสีเหลืองอ่อนปักลายมังกรห้าเล็บ ทับด้วยเสื้อคลุมขนนกตัวใหญ่สีขาว สวมรองเท้าหุ้มส้นสั้นสีดำพื้นรองเท้าขาว ครอบมวยผมด้วยหยกมรกตขอบทอง เสียบปิ่นหยกขาวกลางมวยผม


 


 


สามสาวอวิ๋นหว่านชิ่น เมี่ยวเอ๋อร์ และอวิ๋นหว่านถงตะลึงงัน เมื่อพบคนคุ้นเคย


 


 


หญิงสาวชั้นสูงหลายคนไม่เคยพบเจอชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน แต่ดูจากชุดยาวสีเหลืองอ่อนกับลายมังกรห้าเล็บ อีกผู้ติดตามด้านหลัง ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แน่


 


 


ทว่าอวี้โหรวจวงกลับรู้จัก จึงรีบถอนสายบัว


 


 


“ไม่ทราบว่ารัชทายาทเสด็จ จึงมิได้ออกไปต้อนรับ โปรดทรงอภัย”


 


 


พอสาวๆ ได้ยินว่า รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาเสด็จมาตึกไจซิง ก็ล้วนตกตะลึง รีบพากันถอนสายบัวตามอวี้โหรวจวง


 


 


รัชทายาทกวาดตามองกลุ่มคนรอบหนึ่ง ก่อนหยุดสายตาที่อวิ๋นหว่านชิ่น รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ทันจางหาย ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง อวิ๋นหว่านชิ่นฟังแล้วก็รู้สึกขำ ต่อไม่ติดกับคนที่โรงละครอย่างสิ้นเชิง


 


 


“อืม ตามสบาย เราได้รับพระบัญชาจากไทเฮา ให้มาดูแลแขกเหรื่อที่ตึกไจซิง ดูว่าบ่าวรับใช้ละเลยในหน้าที่หรือไม่”


 


 


“ไม่เลยเพคะ ไทเฮาใจทรงมีพระเมตตา เอาใจใส่พวกเรา รบกวนองค์รัชทายาทแล้ว…” สาวๆ รีบตอบ


 


 


ส่วนสาวๆ ที่ใจกล้าหน่อย ก็แอบเงยหน้าขึ้นสำรวจมองพระพักตร์ เนื่องจาก…ตำหนักบูรพาของรัขทายาทยังไม่มีพระชายา หรือตำแหน่งพระชายาของรัชทายาทยังว่างอยู่นั่นเอง


 


 


“ดีละๆ เช่นนั้นแต่ละคนก็ตามสบาย เราเดินดูอีกสักหน่อยก็ไปแล้ว” รัชทายาทผายมือ


 


 


หญิงสาวชั้นสูงส่วนใหญ่ที่เข้าวังในทุกๆ ปี ล้วนเคยเห็นรัชทายาท และรู้ว่าเขาเป็นคนง่ายๆ และเป็นกันเองจนไม่เหมือนรัชทายาท จึงไม่คิดมาก ถอนสายบัวแล้วถอยเดินออกไปกินลมชมวิวและคุยกันต่อ


 


 


พอเห็นผู้คนแยกย้ายกันไป รัชทายาทก็หันมองรอบๆ ชั้นสองสองรอบ สุดท้ายก็คล้ายทำตัวตามสบาย แต่จริงๆ แล้วประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นยืนชมทิวทัศน์ของทะเลสาบอยู่ริมระเบียง ก็รู้สึกว่าหลังหูมีไอร้อนปะทะมา พอหันมอง ก็รีบย่อตัว “ท่านอ๋องรัชทายาท”


 


 


รัชทายาทรีบก้าวเข้าหา กระซิบข้างหูนาง แล้วรีบถอยออก


 


 


“เมื่อครู่ถือว่าเราช่วยชิ่นเอ๋อร์ไว้ได้อีกครั้ง ขอบใจสักคำก็ไม่มี?”


 


 


ว่าแล้วก็ก้าวมายืนเคียงข้างคนงาม โดยหันหน้าไปนอกตึก แสร้งทำเป็นชมทิวทัศน์ทะเลสาบด้วยกัน


 


 


ชิ่นเอ๋อร์? เอาอีกแล้ว


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว”


 


 


เนื่องด้วยรู้ว่ารัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาไม่ถือตัว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนึกย้อน และถามอย่างเอะใจ


 


 


“ที่โรงละครว่านไฉ่ในครั้งนั้น…มือระเบิด จับได้หรือยังเพคะ”


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ไม่ถามว่าเราบาดเจ็บหรือเปล่า กลับถามถึงมือระเบิดนี่นะ?” รัชทายาทหันหน้ามาเพียงครึ่งเดียว ภายใต้แสงสะท้อนของทะเลสาบ เห็นสีหน้าเขาวาบหนึ่ง ทำให้เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “รัชทายาทมิได้ยืนสบายๆ อยู่ข้างๆ นี่หรอกหรือ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพระองค์ แม้ญาติผู้พี่ไม่บอกหม่อมฉัน ข่าวก็ต้องลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ใยหม่อมฉันต้องเป็นห่วงพระองค์อีก”


 


 


รอยยิ้มชะงักค้าง “อีกอย่าง ที่นี่คือวังหลวง หูตามากมาย พระองค์ไม่ควรเรียกชื่อเล่นของหม่อมฉัน”


 


 


รัชทายาทยิ้มพลางกะพริบตา กลับทำตามคำเตือนของนาง “มู่เจินบอกว่า เจ้าเป็นคนบอกเขาว่าในห้องเตรียมเครื่องดื่มมีปัญหา แล้วเจ้ารู้เรื่องได้อย่างไร”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาต้องถาม จึงค่อยๆ ตอบ “ตอนหม่อมฉันกับบ่าวเดินไปที่ห้องเตรียมเครื่องดื่ม ก็เห็นว่าเด็กรับใช้ของโรงละครมีท่าทีแปลกๆ พอคิดว่ารัชทายาทเป็นเชื้อพระวงศ์ ป้องกันไว้ก่อนเป็นดี จึงแจ้งญาติผู้พี่ไป คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ โชคดีที่ระวังไว้ก่อน หาไม่แล้ว ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนยากจินตนาการ”


 


 


คำพูดนี้เท่ากับไม่ได้พูด


 


 


รัชทายาทไม่เชื่อว่าเด็กสาวที่เอาแต่อยู่ในบ้านอย่างนาง จะมองออกว่าผู้ต้องสงสัยคือมือระเบิด 

 

 


ตอนที่ 79-4 ท่านสามไล่คน

 

เรื่องที่โรงละคร ทำให้รัชทายาทอย่างเขาตกใจ แต่ไม่อันตราย และเนื่องจากเขาออกจากวังในชุดสามัญชน เรื่องจึงมิได้แพร่งพรายออกไป แต่หลังจากเสด็จพ่อรู้ ก็เพียงส่งขุนนางไม่กี่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มาสอบถามเขา ก่อนสืบเป็นการภายใน


 


 


สวี่มู่เจินเกรงว่าจะกระทบถึงญาติผู้น้อง จึงขอร้องเขาไว้ก่อนว่า ไม่ให้บอกว่าญาติผู้น้องเป็นคนแจ้งให้ทราบ


 


 


เขารู้ว่าพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ล้วนต้องถูกสอบสวน และผู้ต้องสงสัยจะถูกจับกุม กักขัง กระทั่งถูกทรมาน ถ้าบอกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนแจ้งให้ตนหนีออกไปก่อน กรมอาญาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำเสนอว่านางเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย และต่อให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางก็หนีไม่พ้นที่จะถูกสอบสวนอยู่ดี


 


 


ซึ่งสำหรับคุณหนูกุลสตรีแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้น ตอนรัชทายาทถูกสอบถาม จึงมิได้บอกว่าวันนั้นพบเจอคุณหนูอวิ๋น ยิ่งมิได้บอกว่าคุณหนูอวิ๋นเป็นคนแจ้งให้ทราบ


 


 


ร่างอันสูงโปร่งของรัชทายาทประดุจต้นไผ่ที่งอกงามเร็ว ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ ก่อนตอบคำถามเมื่อครู่ของนางเบาๆ


 


 


“เสด็จพ่อกำลังสืบหามือระเบิด แต่ยังไม่พบเบาะแส เจ้าสนใจในตัวมือระเบิดมากขนาดนี้เลยหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองไกลไปยังภูเขาที่อยู่นอกพระราชวัง พลางพยายามพูดให้เบาและเร็วที่สุด


 


 


“มิได้สนใจอะไร ถ้าเป็นความลับ หม่อมฉันก็ไม่ถามอีก”


 


 


ว่าแล้วก็หันหน้ามาเงียบๆ เห็นรัชทายาทกำลังมองทิวทัศน์ทะเลสาบอย่างสงบนิ่ง


 


 


ไม่รู้ทำไม นางถึงได้รู้สึกว่า สีหน้าของรัชทายาทดูเหมือนไม่สนใจก็จริง แต่ก็เหมือนเข้าใจเจตนาของมือระเบิดอย่างถ่องแท้ และมีรายชื่ออยู่ในใจแล้ว


 


 



 


 


ตำหนักชุ่ยหมิง


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย หลานถิงจึงยิ้มน้อยๆ พลางเดินเข้ามา พอเห็นสนมเอกที่ผ่านการแต่งเนื้อแต่งตัวจากผู้เชี่ยวชาญอย่างจื่อซวง จนสวยสดงดงาม โดดเด่นไม่แพ้ใคร ก็รู้สึกดีใจยิ่ง


 


 


ตั้งแต่ฝ่าบาทมาค้างที่ตำหนักชุ่ยหมิงในคืนนั้น ก็มาพักติดต่อกันอีกหลายคืน จะเดินเล่นชมสวนชมทะเลสาบ ก็ต้องพาสนมเอกไปด้วย คล้ายกลับคืนสู่ความรักที่หวานชื่นในวันวาน


 


 


วังหลังก็เป็นเช่นนี้ แดงสู้กับขาว คนล้มถูกข้าม ผู้คนแย่งกันพึ่งพาภูเขาสูง


 


 


โดยระยะนี้ สายตาของคนในวังที่มองสนมเอก มิได้เมินเฉยเฉกเช่นเดิมอีก กระทั่งผู้ที่มีดวงตาบนหน้าผากอย่างมเหสีรองเหวย ก็ยังไม่กล้าเรียกใช้สนมเอกสุ่มสี่สุ่มห้า อีกทั้งสนมเอกบ้านตนนั้น เมื่อเป็นที่โปรดปราน ก็มิได้ดีใจจนออกนอกหน้า และมิได้แก้แค้น ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างเงียบสงบในตำหนักชุ่ยหมิง เพียงแต่พอได้เป็นคนโปรด ก็เหมือนสายฝนอันชื่นใจ รูปร่างและหน้าตาจึงดูอวบอิ่มและสวยกว่าเมื่อก่อน


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ หลานถิงก็รายงานอย่างยินดีปรีดาว่า


 


 


“พระสนมเอก ฉินอ๋องเข้าวังแล้วเพคะ”


 


 


องค์ชายย่อมมางานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ และองค์ชายที่มาก่อน โดยทั่วไปจะพักอยู่ในที่พักสำหรับองค์ชาย เพื่อรองานเลี้ยงเริ่ม แต่พอสนมเอกเฮ่อเหลียนกลับมาเป็นคนโปรดอีกครั้ง จึงมีบารมี โอรสก็พลอยได้รับความยืดหยุ่นไปด้วย ก่อนงานเลี้ยงเริ่ม สามารถมาตำหนักพระมารดานั่งคุยพักผ่อนหย่อนใจได้


 


 


“รีบเชิญเข้ามา” สนมเอกเฮ่อเหลียนตอบในทันที


 


 


หลานถิงจึงออกไปรับฉินอ๋องเข้ามา


 


 


นอกม่านไข่มุก ซย่าโหวซื่อถิงถวายพระพร ทว่าสองแม่ลูกเพิ่งนั่งลงสนทนาปฏิสัมพันธ์กันไม่กี่ประโยค ก็ใกล้ถึงเวลาเริ่มงานแล้ว


 


 


จางเต๋อไห่เข้ามา โค้งกายทักทายฉินอ๋องก่อน ค่อยรายงานที่ข้างหูสนมเอก “คุณหนูอวิ๋นเข้าวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ในตึกไจซิง กำลังรอพระสนมเอกเรียกให้ไปศาลาปทุมหอมด้วยกัน”


 


 


เสียงแม้เบา แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ถ้วยชาในมือจึงเอียงเล็กน้อย


 


 


นาง เข้าวังแล้ว?


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นโอรสแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่หูกลับผึ่งอยู่ตรงนั้น จึงอดขำไม่ได้ แล้วก็เกิดความคิดที่จะจับผิดขึ้นมา จึงบอกจางเต๋อไห่ว่า


 


 


“ดี คุณหนูอวิ๋นเข้าวังเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นกับสถานที่และผู้คน เจ้าดูแลนางดีหรือเปล่า อย่าทำให้นางเบื่อเสียก่อนล่ะ”


 


 


“สนมเอกวางพระทัย” จางเต๋อไห่ยิ้มพลางว่า “ในตึกไจซิงมีคุณชายและคุณหนูชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อย ซึ่งดูไปแล้ว คุณหนูอวิ๋นเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ดี ไม่เหมือนหญิงสาวที่ขี้ขลาด ไม่แน่ว่าตอนนี้ อาจรวมกลุ่มอยู่กับคุณหนูท่านอื่นๆ แล้วก็เป็นได้”


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนชำเลืองมองโอรส ยังไม่ขยับอีก? อดทนเก่งจริงจริ๊ง จึงหัวเราะออกมา ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นเล็กน้อย


 


 


“เช่นนั้นก็ดี…ได้ยินว่าหนุ่มๆ ชนชั้นสูงที่มาในครั้งนี้ งานดีกันทั้งนั้น หลายคนนอกจากเป็นลูกชายของขุนนางคนสำคัญแล้ว ยังมีเล่อจวิ้นอ๋อง ซุนจวิ้นอ๋อง ลูกโทนของเสด็จน้าเหวย หรือแม้แต่หลานของเจี่ยงฮองเฮาที่ยังไม่ได้แต่งเมียหลวง ก็มากันหลายคนอยู่…สรุปแล้ว แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นลูกท่านหลานเธอ ก็ดี บอกให้คุณหนูอวิ๋นคลุกคลีกับพวกเขาให้มากๆ หน่อย หนุ่มสาวถ้าสบตากัน ก็รับประกันไม่ได้ว่า ใช่พรหมลิขิตหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ไทเฮาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์พอดี”


 


 


จางเต๋อไห่อึ้ง เหลือบมองฉินอ๋องเงียบๆ แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไร พอหันมองสีหน้านายหญิง ก็เข้าใจแล้วว่า สนมเอกกำลังลองใจโอรสอยู่!


 


 


จางเต๋อไห่จึงกระแอมไอออกมาสองที


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ใช่เลย ยังคงเป็นสนมเอกที่คิดได้รอบคอบ พูดถึงคุณหนูอวิ๋นแล้ว นางทำให้บ่าวตกตะลึง เดิมทีบ่าวคิดว่านางไม่เคยเข้าวัง ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกลๆ ควรรู้สึกประหม่าถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกิริยามารยาทที่เหมาะสม ยิ่งท่าทางก็มีส่วนคล้ายสนมเอกอยู่บ้าง เวลาอยู่ในกลุ่มคนชั้นสูง ล้วนโดดเด่นกว่าใคร! จึงทรงวางพระทัย ดวงตาสุกสกาวคู่นี้ของบ่าว มองธรรมชาติของคนออก จากสายตาของบ่าว เมื่อก่อนในแวดวงกุลสตรี คุณหนูอวิ๋นไม่เป็นที่รู้จัก แต่วันนี้พอมาปรากฏโฉมในหมู่ชายหนุ่มชั้นสูง รับรองต้องมีแย่ง! ซึ่งบ่าวมิได้พูดจาเกินเลย ตอนบ่าวเพิ่งส่งคุณหนูอวิ๋นเข้าไปในตึกไจซิง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นคุณชายสูงศักดิ์ก้าวเข้าไปทักทายนาง…”


 


 


ในม่าน ยังไม่ทันสิ้นเสียงของจางเต๋อไห่ คนที่อยู่นอกม่านก็หน้าเครียดเล็กน้อย ค่อยๆ วางถ้วยชาลง


 


 


“เสด็จแม่ ทำไมถึงเชิญคุณหนูอวิ๋นเข้าวังมาได้” น้ำเสียงบางเบา สงสัยอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่พอใจ


 


 


ในที่สุดโอรสก็ทนไม่ไหวแล้ว สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงขยับริมฝีปาก แต่ไม่เปลี่ยนสีหน้า


 


 


“ก็แม่ชอบยาสระผมดอกมะลิขวดนั้นมาก จะว่าไป ถ้าไม่ใช่ยาสระผมขวดนั้น แม่ก็อาจไม่ได้คืนดีกับฝ่าบาทเร็วขนาดนี้ และที่แม่เชิญคุณหนูอวิ๋นให้มาร่วมงานเลี้ยงในวังเป็นเพื่อน ก็เพราะอยากขอบใจนาง ได้ยินว่านางยังมิได้หมั้นหมาย จึงคิดว่าน่าจะใช้โอกาสนี้ ให้นางกับคุณชายสูงศักดิ์ได้สานสัมพันธ์กัน แม่จะได้ตอบแทนน้ำใจนางยังไงล่ะ”


 


 


ที่แท้เสด็จแม่ก็สืบมาก่อนแล้วว่าใครเป็นคนทำยาสระผม


 


 


พอซย่าโหวซื่อถิงฟังจบ ก็ขยับลูกกระเดือก “โอ้” ไม่รู้ทำไม เก้าอี้ผ้าแพรนุ่มคล้ายใส่ถ่านไว้ เผาจนเขาตื่นตกใจ ตอบกลับโดยไม่นิ่งและคล่องปากดังเดิม สักพักก็ลุกขึ้นยืน


 


 


“ลูกอยากฉวยโอกาสช่วงงานยังไม่เริ่ม ไปเดินเล่นในสวนหลวงก่อน” ขณะพูด คล้ายกินปูนร้อนท้องอยู่บ้าง


 


 


“ไปเถอะ” สนมเอกเฮ่อเหลียนยิ้ม ไฟลนก้นล่ะสิ? ต้องให้คนบังคับ ไม่รู้จะฝืนใจตัวเองไปทำไม


 


 



 


 


ในตึกไจซิง รัชทายาทเดินตรวจสองรอบ ก็บอกแค่ว่า ก่อนงานเลี้ยงเริ่ม ตนต้องซ้อมละครเฉลิมพระชนมพรรษาก่อน จึงอยู่นานไม่ได้ แต่ก่อนไปก็ยังฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีใครสนใจ พูดกับอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นการส่วนตัวเงียบๆ ว่า


 


 


“บทละครเรื่องสังหารปีศาจจิ้งจอก เราแก้ตอนจบแล้ว เดี๋ยวชิ่นเอ๋อร์ไปดูที่ตำหนักบูรพาหน่อยไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดว่าเขาจะมีคณะละครอยู่ในวังจริงๆ จึงยิ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนกล่าววาจาส่งรัชทายาทออกจากตึกไจซิงตามมารยาท


 


 


ตอนรัชทายาทอยู่ เหล่าชายหนุ่มชนชั้นสูงรู้สึกเครียดอยู่บ้าง แต่พอรัชทายาทไป พวกเขาก็คืนสู่ความรู้สึกอิสระและผ่อนคลายตามเดิม และตอนนี้ สายตาทุกคู่ล้วนพุ่งไปที่คุณหนูอวิ๋น 

 

 


ตอนที่ 79-5 ท่านสามไล่คน

 

พอรัชทายาทมาถึง ก็ออกปากช่วยพูดให้คุณหนูอวิ๋น นี่ยังจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอยู่อีกหรือ และขณะที่รัชทายาทอยู่ที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังเกาะราวระเบียงชมทิวทัศน์ทะเลสาบอยู่กับคุณหนูอวิ๋น คล้ายทั้งสองยังพูดจากันอีกหลายประโยคด้วย นี่ก็พูดไม่ได้แล้วว่ารัชทายาทกับนางไม่รู้จักกัน


 


 


เหล่ากุลสตรีล้วนดีดลูกคิดในใจเรียบร้อย ไม่มีใครโง่งม หลายคนรีบเข้าไปตีสนิทกับอวิ๋นหว่านชิ่น ส่วนที่เหลืออีกไม่กี่คน ก็กำลังหาโอกาสเข้าหานาง


 


 


ในบรรดาบุรุษที่อยู่ชั้นล่าง มีชายหนุ่มชนชั้นสูงหลายคนส่งเด็กรับใช้ข้างกายให้ขึ้นชั้นบนมาเงียบๆ แล้วลากเมี่ยวเอ๋อร์กับอวิ๋นหว่านถงไปอีกด้านหนึ่ง ถามไถ่ความเป็นไปของอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


พอมู่หรงไท่เห็นเช่นนี้ ไฟหึงหวงในใจก็ปะทุ แต่ตนกับอวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันแม้แต่น้อย คิดจะเข้าไปขวางก็ขวางไม่ได้ จนเด็กรับใช้จากจวนโหวที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้านาย จึงพูดเสียงเบา “คุณชายรอง หรือท่านจะเข้าไป…”


 


 


เมื่อครู่ มีหรือที่นางจะมองไม่เห็นสีหน้าตน ถ้าเข้าไปอีกรอบ มิต้องถูกนางดูถูกหรอกรึ หาเรื่องหน้าแตกใส่ตัวเปล่าๆ


 


 


มู่หรงไท่เห็นชายหนุ่มชนชั้นสูงที่อยู่ข้างๆ หลายคนสั่งให้เด็กรับใช้ขึ้นไปสืบข่าวนางไม่หยุด จึงได้แต่รู้สึกเหมือนไฟลนก้นอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกัน ก็มีขันทีน้อยคนหนึ่ง สาวเท้าเข้ามาในตึกไจซิง ตรงเข้าหามู่หรงไท่ แล้วพูดเสียงต่ำที่ข้างหูเขา


 


 


“คุณชายรองมู่หรง เว่ยอ๋องมาแล้ว กำลังรออยู่ด้านนอก อยากจะหารือกับท่านเรื่องในงานเลี้ยง…”


 


 


มู่หรงไท่ค่อยตื่นตัว นี่สิถึงจะเป็นเรื่องจริงจังที่ต้องทำในวันนี้ ถ้าสำเร็จละก็…เงยหน้ามองชั้นบนโดยไม่รู้ตัว ดูซิว่ายังจะมีใครปกป้องเจ้าได้อีก จะช้าจะเร็วเจ้าก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก คิดพลางยกชุดยาว แล้วก้าวเดินไปกับขันทีน้อย ออกจากตึกไจซิงเงียบๆ


 


 


ชั้นบน


 


 


ด้านอวี้โหรวจวงก็มีอาการไม่สู้จะดี ด้วยเดิมทีนางเป็นดาวเด่น แต่พริบตาเดียว ผู้คนที่รายล้อมกลับลดลงอย่างฮวบฮาบ กระทั่งคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตที่ปกติสนิทสุด ก็ยังไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น นางจึงสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงอย่างนางพญา ก่อนแค่นเสียงเย็นชา


 


 


“นกกานำขนมาเสียบไว้กับตัวไม่กี่อันก็นึกว่าตนเป็นหงส์ไปเสียแล้ว! ก็แค่แตะรัศมีจ้าวน่ะ น่าชื่นชมตรงไหน ถ้ารัชทายาทไม่คุยกับนาง นางก็เป็นเพียงคนไร้ซื่อเท่านั้น ไม่มีใครสนใจหรอก!”


 


 


คำพูดนี้แม้พูดเสียงเบา แต่ผู้พูดไม่คิดปกปิด พื้นที่ชั้นสองกว้างแค่นี้ อักษรทุกตัวจึงลอยเข้าหูอวิ๋นหว่านชิ่นที่อยู่ห่างไปไม่ไกล


 


 


แตะรัศมี? ถ้าอวี้โหรวจวงไม่ใช่บุตรีของสมุหนายก จะมีคนคนมาตีสนิทหรือ แตะรัศมี ก็เป็น


 


 


ความสามารถอย่างหนึ่ง โดยคนผู้นั้นต้องแผ่รัศมีให้เจ้าแตะ คนอื่นคิดแตะก็แตะไม่โดน เฉินจื่อหลิงขมวดคิ้ว


 


 


 อวิ๋นหว่านชิ่นคร้านที่จะยุ่งกับผู้พูด จึงขอตัวกับคุณหนูทั้งหลาย แล้วลากเฉินจื่อหลิงไปยืนอีกด้าน


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านถง ตั้งแต่เข้าประตูวังมาจนถึงตอนนี้ ก็เอาแต่ท่องจำคำของอนุฟางที่ว่า ให้ติดตามพี่ใหญ่ทุกเมื่อ ถ้ามีคุณชายมาถามเรื่องพี่ใหญ่ ก็ให้คิดหาวิธีสนิทสนมด้วย ซึ่งตอนนี้พี่ใหญ่มีคนอยากเข้าหามากกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก โดยชายหนุ่มชนชั้นสูงจำนวนไม่น้อยแอบส่งเด็กรับใช้มาเกี้ยวพี่ใหญ่ ซึ่งก็เท่ากับว่าโอกาสของตนก็มากตาม จึงแอบดีใจ เสียดายที่มีเมี่ยวเอ๋อร์อยู่ข้างๆ ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาส จึงได้แต่ร้อนใจจนต้องลอบกระทืบเท้า


 


 


นอกตึกไจซิง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในเก๋งจีนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น


 


 


และได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาที่ลอยมาจากตึกเป็นครั้งคราว


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มดูเครียด ดวงตาในร่มกะพริบเบาๆ ที่ที่เขายืนอยู่สามารถมองเห็นชั้นสองของตึกด้านทะเลสาบเฉิงเทียนได้อย่างชัดเจน คนดังหลายคนกำลังยืนเกาะราวระเบียง ชมทิวทัศน์ทะเลสาบพระราชวัง พลางขยับรูปทรงองค์เอวไปมา


 


 


หนึ่งในนั้น ก็คือนาง


 


 


นางหันข้างให้กับเก๋งจีนที่อยู่ด้านล่าง รูปร่างด้านข้างของนางสวยสมบูรณ์แบบ ส่วนโค้งเว้ากำลังพอดี ไม่เห็นกันเพียงไม่กี่วัน นางคล้ายเติบโตกว่าครั้งก่อนที่พบเจอกันมาก ราวกับผลไม้ปลายกิ่ง ที่สีเขียวค่อยๆ จางลง พลางส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล…


 


 


นางกำลังยืนคุยอยู่กับคุณหนูลูกขุนนางคนหนึ่ง ดูมีความสุขมาก มือที่ขาวเรียวจับผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไว้ แล้วแขนที่ซุกซนก็ยื่นออกมากลางอากาศ ให้ผ้าเช็ดหน้าปลิวล้อลมจากทะเลสาบ ซึ่งแทบจะปลิวเข้ามาก่อกวนจิตใจเขาอยู่รอมร่อ


 


 


ส่วนเส้นโค้งด้านข้างก็บาดตาบาดใจเหลือเกิน ทำให้เขาลำคอแห้งผาก ในหัวปรากฏภาพของค่ำคืนเมื่อไม่กี่วันก่อน เรื่องส่วนตัวที่น่าอึดอัดใจซึ่งไม่มีใครรู้…เขารีบเก็บความคิดความรู้สึกนี้ไว้ แล้วแสดงสีหน้าจริงจังดังเดิม


 


 


ซือเหยาอันแทบจะรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดและความกระวนกระวายใจของนาย จึงทำตามคำกำชับก่อนหน้านี้ ก้าวยาวๆ เข้าไปในตึก


 


 


นางในกับขันทีจำได้ว่าเขาคือผู้ติดตามข้างกายฉินอ๋อง จึงเข้าไปทำความเคารพ “ใต้เท้าซือ”


 


 


ซือเหยาอันปรบมือสองที ก่อนประกาศ


 


 


“เชิญคุณชายทุกท่านไปยังที่พักองค์ชายก่อน ด้วยองค์ชายแปดได้จำลองการแข่งขันขี่ม้าตีคลีเตรียมพร้อมไว้แล้ว เชิญคุณชายทุกท่านไปสังเกตการณ์หรือลงเล่นสักตั้ง”


 


 


การขี่ม้าตีคลีเป็นกีฬายอดนิยมในหมู่ชนชั้นสูงของต้าเซวียน ซึ่งชายผู้สูงศักดิ์จะชอบเป็นพิเศษ และในวังก็จัดการแข่งขันขี่ม้าตีคลีเป็นประจำ แต่ประชาชนกลับนิยมเล่นการพนันแข่งม้าตีคลี โดยมีคนมากมายที่เล่นพนันจนถึงขั้นที่ว่าไม่รวยล้นฟ้าก็ล้มละลายไปเลยในคืนเดียว


 


 


องค์ชายแปดหรือเยี่ยนอ๋อง มีชาติกำเนิดไม่ดี มารดาสถานะต่ำต้อยและเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนเขาถูกสนมเอกเฮ่อเหลียนเลี้ยงดูอยู่ระยะหนึ่ง จึงมีสัมพันธ์อันดีกับฉินอ๋อง เชื่อฟังเสด็จพี่อย่างฉินอ๋องเป็นอย่างยิ่ง แม้อายุน้อย แต่ชอบขี่ม้าตีคลีเป็นชีวิตจิตใจ จึงรวบรวมข้อมูลและสร้างสนามแข่งขันและแผนการแข่งขันจำลองขึ้น สำหรับศึกษาด้วยตนเองในทุกวัน


 


 


ซึ่งนายตนก็เพิ่งไปหาเยี่ยนอ๋องเพื่อขอความช่วยเหลือมา ซือเหยาอันเห็นใบหน้าเยี่ยนอ๋องปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง ซ้ำยังจงใจเลิกปลายคิ้วขึ้น ทำให้ฉินอ๋องแทบสะบัดแขนเสื้อใส่ด้วยความโมโห เยี่ยนอ๋องจึงรีบดึงแขนเสื้อของเสด็จพี่ไว้ แล้วยิ้มพลางรับปาก


 


 


พอเหล่าคุณชายได้ยิน ก็สนใจมาก โดยเฉพาะผู้เชิญเป็นองค์ชาย จะปฏิเสธได้อย่างไร จึงรีบเรียกเด็กรับใช้กลับมา เพื่อไปพบองค์ชายแปดยังที่พักขององค์ชาย


 


 


เมื่อซือเหยาอันทำการไล่ฝูงหมาป่าออกไปเรียบร้อย ค่อยเป่าปากอย่างโล่งอก เดินออกจากตึกไจซิง กลับไปยืนข้างกายนาย เพื่อรายงาน


 


 


“องค์ชาย สบายใจได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คิ้วของซย่าโหวซื่อถิงกระตุกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยไปสองที ก่อนกระดิกนิ้วเรียก


 


 


ซือเหยาอันเห็นนายมีอะไรจะพูดด้วย จึงก้าวเข้าไป


 


 


ชั้นสอง


 


 


พอเหล่ากุลสตรีเห็นเด็กรับใช้ลงไปชั้นล่างจนหมด ก็รู้สึกว่าในตึกเงียบสงบลงมาก แต่ก็ไม่คิดอะไรโดยเฉพาะอวิ๋นหว่านชิ่น พอข้างหูมีเสียงมุ้งมิ้งน้อยลง ก็รู้สึกเป็นอิสระ พิงราวระเบียงพูดคุยสัพเพเหระกับเฉินจื่อหลิงต่อ ทั้งสองยิ้มไปจิบชาไป ซึมซับช่วงเวลาดีๆ นี้ไว้


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านถง เมื่อเห็นเด็กรับใช้เหล่านั้นพากันลงไปชั้นล่าง ก็ยืนงง แอบย่องลงบันได แล้วนั่งยองๆ อยู่ตรงหัวเลี้ยวบันได แอบดูตามช่องราวบันได


 


 


และเห็นว่าชายหนุ่มชนชั้นสูงที่อยู่ชั้นล่าง ไม่รู้ทำไม ถึงได้เดินออกไปกันจนหมดในชั่วพริบตา จึงรู้สึกผิดหวังมาก ด้วยตนยังไม่ทันได้เลือกเป้าหมาย เพื่อทำการจู่โจมเลย ทำไมพอบอกว่าจะไป ก็ไปกันทันทีเล่า


 


 


อวิ๋นหว่านถงกัดริมฝีปาก ขณะจะก้าวขึ้นชั้นบน กลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านล่าง


 


 


“คุณหนูอวิ๋นอยู่ข้างบนหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นหว่านถงรีบหันขวับ เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง คิ้วเข้มตาโต สวมชุดผ้าไหมสีคราม ทับด้วยชุดเกราะเกล็ดปลาสีเขียว มือเท้าดูแข็งแรง อีกทั้งนางในที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทีเกรงใจเขามาก จึงรีบก้าวลงมา ย่อตัวลงบนขั้นบันได ก่อนตอบอย่างนิ่มนวล


 


 


“ใต้เท้าท่านนี้ คุณหนูของบ่าวเป็นบุตรีของรองเจ้ากรมอวิ๋น”


 


 


ซือเหยาอันยิ้มพลางว่า “เจ้าเป็นสาวใช้ที่เข้าวังมากับคุณหนูอวิ๋นใช่ไหม ดีเลย ลงมาหน่อย นายข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”


 


 


อา ที่แท้ชายหนุ่มชนชั้นสูงยังไม่ได้ไปกันหมดหรอก เหลืออยู่เพียงคนเดียว คราวนี้ต้องห้ามพลาด


 


 


อวิ๋นหว่านถงหันไปมองเมี่ยวเอ๋อร์ ถ้ามีนางอยู่ข้างๆ ก็เกะกะมือไม้ ไม่บอกดีกว่า จึงกัดฟัน แล้วรีบเดิน


 


 


ลงไปคนเดียว


 


 


พอออกจากตึกไจซิง อวิ๋นหว่านถงก็เดินตามซือเหยาอันมาจนถึงเก๋งจีนที่อยู่ไม่ไกล


 


 


ขณะยืนอยู่บนบันไดขั้นแรก อวิ๋นหว่านถงก็มองเข้าไปในเก๋งจีน


 


 


ชายหนุ่มยืนตรงมือไพล่หลัง รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างสะโพกแคบ สวมชุดแพรยาวสีม่วงทอง รองเท้าหุ้มส้นยาวสีดำ คลุมไหล่ด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีเงิน เอวบางๆ คาดเข็มขัดสีทองฝังหยก ดวงตาดุจย้อมด้วยหมึกดำ ดำขลับจนยากแท้หยั่งถึง


 


 


ก่อนมางานเลี้ยง อนุฟางสอนให้จำกฎระเบียบ มารยาท และลักษณะพื้นฐานของเชื้อพระวงศ์ให้ขึ้นใจ ดังนั้นพอเห็นการแต่งกายของชายหนุ่มตรงหน้า นางก็รู้ทันทีว่าเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ หัวใจจึงเต้นโครมคราม พอพยายามกลั้นหายใจ ค่อยฝืนใจให้สงบลง ได้ยินเพียงผู้ติดตามพูดว่า


 


 


“ท่านนี้คือท่านสาม”


 


 


ท่านสาม? หรือจะเป็นองค์ชายสาม?


 


 


อวิ๋นหว่านถงก้าวไปข้างหน้าพร้อมเสียงดังกรุ๊งกริ๊งของลูกกระพรวนที่เอว คุกเข่าลงกับพื้น แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นแก้มแดงๆ ครึ่งซีก ก่อนพูดเสียงเล็กเสียงน้อย


 


 


“ถวายบังคมองค์ชายสาม” 

 

 


ตอนที่ 80-1 คล้ายคนคุ้นเคย

 

อวิ๋นหว่านถงโน้มตัวคารวะ พลางแอบสำรวจมององค์ชายสามที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง


 


 


แม้อายุไล่เลี่ยกับเหล่าคุณชายในตึกไจซิง แต่การเป็นเชื้อพระวงศ์ อย่างไรก็มีความสูงส่งที่บอกไม่ถูก แล้วใบหน้าเล็กๆ ที่บานดั่งดอกชบาก็แดงขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว


 


 


เมื่อเทียบกับรัชทายาท ย่อมไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมีบุคลิกเฉพาะตัว แต่อวิ๋นหว่านถงเคยถูกรัชทายาทข่มเหงมาก่อน จึงรู้สึกว่ารัชทายาทเป็นคนหลุดโลก พึ่งพาไม่ค่อยได้ ตอนนี้แนวโน้มจึงมาทางองค์ชายสามมากกว่า


 


 


“เมื่อครู่ มีคุณชายสูงศักดิ์มาสืบเรื่องคุณหนูบ้านเจ้ากี่คน”


 


 


เสียงทำลายความเงียบของชายหนุ่มไม่เบาแต่ก็ไม่ดัง ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว


 


 


อวิ๋นหว่านถงแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าที่ชายหนุ่มเรียกตนมา เพียงเพื่อถามเรื่องนี้ จึงทบทวนสักพัก ค่อยตอบด้วยเสียงนุ่มนิ่มนอบน้อม


 


 


“ราวหกเจ็ดคนเพคะ”


 


 


ดวงตาซย่าโหวซื่อถิงเหม่อลอย นิ่งไปสักพัก ค่อยว่า “แล้วคุณหนูบ้านเจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร”


 


 


อวิ๋นหว่านถงมองไม่ออกจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร จึงพูดอ้ำๆ อึ้งๆ


 


 


“ยังไม่มีเพคะ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ…


 


 


พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของชายหนุ่มผ่อนคลายลง คล้ายพอใจยิ่ง จึงพูดเสียงเบา


 


 


“หรือต่อให้มีปฏิกิริยาก็ไม่ทันแล้ว เด็กรับใช้ของพวกคุณชายที่อยู่ชั้นล่างเพิ่งถามไถ่ได้ไม่กี่คำ ก็มีคนในวังมาเรียกคุณชายเหล่านั้นออกไปก่อน…”


 


 


สีหน้าชายหนุ่มพลันเปลี่ยน อวิ๋นหว่านถงจึงรีบกลืนคำพูดลงไป ไม่กล้าพูดมากอีก


 


 


ความจริง พูดแค่ประโยคแรกก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดประโยคหลังหรอก ทำให้นายท่านอึดอัดใจไปเปล่าๆ ซือเหยาอันส่ายหน้า


 


 


เงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน อวิ๋นหว่านถงก็ยังไม่กล้าหายใจแรง ชายหนุ่มตรงหน้าจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด


 


 


“มีคุณชายบ้านไหนบ้าง บอกชื่อหรือตำแหน่งของคนที่บ้านพวกเขามาหน่อย”


 


 


ทำไมถึงเหมือนผู้ว่าการอำเภอกำลังสอบสวนผู้กระทำความผิดร้ายแรงไปได้ แถมยังให้บอกชื่อด้วย ลำบากใจจะตาย! อวิ๋นหว่านถงตะลึงงัน ใครจะไปจำได้หมด จึงกัดริมฝีปาก ร่างสั่นน้อยๆ


 


 


“จำ จำไม่ได้หมดเพคะ เหมือนมีซุนจวิ้นอ๋อง เจี่ยงซื่อจื่อ…”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางกลัวจนตัวสั่น ท่าทางอ่อนปวกเปียก ถ้าลมพัดมา ตัวคงปลิว ไม่เหมือนสาวใช้ที่ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว ตรงไปตรงมา กลับเหมือนคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม โดยแม้แต่ชื่อของคนในตระกูลดังๆ ก็ยังจำไม่ค่อยได้ จึงรู้สึกสะทกสะท้อนใจ


 


 


ซือเหยาอันมองออกว่านายเริ่มไม่พอใจ จึงหันไปพูดกับอวิ๋นหว่านถงพลางขมวดคิ้ว


 


 


“เป็นสาวใช้อย่างไรกัน เสียดายที่สกุลอวิ๋นให้เจ้ามารับใช้คุณหนู แค่ตอบคำถามก็ยังตอบไม่ได้”


 


 


อวิ๋นหว่านถงรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง กลัวจะถูกลงโทษก็กลัว แต่พอเห็นความหล่อและองอาจของชายหนุ่มตรงหน้า ก็นึกถึงคำพูดที่อนุฟางกำชับก่อนจะมาว่า ให้เปิดเผยตัวตนออกไป พร้อมกับบีบน้ำตาให้มากเข้าไว้


 


 


“ใต้เท้าสายตาแหลมคมมาก เพราะจริงๆ แล้วหม่อมฉันไม่ใช่สาวใช้ หม่อมฉันคือหว่านถง ลูกสาวคนเล็กของบ้านสกุลอวิ๋น คุณหนูอวิ๋นเป็นพี่ใหญ่คนละแม่ของหม่อมฉัน ซึ่งงานเลี้ยงในวันนี้ ท่านพ่อได้กำชับให้หม่อมฉันเข้าวังมากับนาง ให้รับใช้อยู่ข้างกายนาง ดังนั้นเรื่องบางเรื่องจึงทำได้ไม่คล่องแคล่วเท่าสาวใช้ ขอองค์ชายสามทรงอภัย!”


 


 


ที่แท้ก็เป็นคุณหนูอวิ๋นอีกคน


 


 


ซือเหยาอันอึ้ง หันมองท่านสาม พลางรู้สึกว่า ‘รักนกก็ต้องรักรังนกด้วย’ นางเป็นน้องสาวของอวิ๋นหว่านชิ่น ไม่น่าจะทำให้นางลำบากใจ ดูสิ ทำให้น้องสุดท้องของบ้านตกใจจนร้องไห้…ถ้าเป็นชายหนุ่มทั่วไป เป็นต้องพูดปลอบโยนสักสองสามประโยคแล้ว


 


 


ทว่าซย่าโหวซื่อถิงมิใช่คนรักหยกถนอมบุปผา อีกทั้งไม่เชี่ยวชาญการเข้าสังคม ยิ่งไม่เคยคิดถึง..ความคิดความรู้สึกของหญิงสาว จึงไม่สนใจหรอกว่าอวิ๋นหว่านถงจะเป็นน้องสาวหรือเป็นป้าของอวิ๋นหว่านชิ่น ยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจให้เห็น


 


 


เมื่อซือเหยาอันเห็นสีหน้าของท่านสาม ก็ได้แต่เอ่ยปาก “ท่านผู้สูงศักดิ์เชิญคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นเข้าวัง แต่เชิญคุณหนูเล็กตอนไหนหรือ อวิ๋นเสวียนฉั่งนี่ ทำอะไรโดยพลการจริงๆ!”


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงพยายามข่มกลั้น จึงโบกมือ บอกให้นางไป


 


 


พออวิ๋นหว่านถงเห็นองค์ชายสามคล้ายไม่โกรธตนแล้ว ไหนเลยจะยอมไป ถ้าครั้งนี้ไป ก็ไม่มีครั้งหน้าแล้ว ดูท่าทางเขา เหมือนสนใจพี่ใหญ่อยู่ มิเช่นนั้นคงไม่เรียกตนมาหรอก แต่ถ้าเป็นชายหนุ่มทั่วไป ก็ควรจะทำเหมือนคุณชายชนชั้นสูงเหล่านั้น ถามถึงสิ่งที่พี่ใหญ่ชอบทำชอบทาน กระทั่งส่งจดหมายส่งของขวัญ ขอนัดพบอะไรทำนองนี้ เหตุใดเรียกตนมาแล้ว คำถามสำคัญอะไรก็ไม่ได้ถาม แบบนี้ดูไปแล้ว เขาอาจมิได้สนใจพี่ใหญ่มากมายขนาดนั้น…


 


 


อวิ๋นหว่านถงคิดพลางหายใจเข้าลึกๆ แอบใช้มือจับเข้าที่น่อง แล้วหยิกลงไปแรงๆ ซึ่งเจ็บจนเกือบร้องอาออกมา จากนั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด


 


 


เมื่อซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่า นางไม่เพียงไม่จากไป ยังร้องไห้หนักเข้าไปอีก ก็ขมวดคิ้วเข้ม จมูกที่โด่งเป็นสันย่นเล็กน้อย


 


 


ซือเหยาอันหายใจเข้าลึกๆ ร้องไห้? ตั้งแต่เล็กจนโตท่านสามไม่เคยเสียน้ำตาให้เห็น และไม่ชอบเห็นคนร้องไห้เป็นที่สุด!


 


 


ในความทรงจำ จวนฉินอ๋องเคยมีสาวใช้ถูกพ่อบ้านเกาด่าว่า จนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร น่าสงสารมาก แต่พอท่านสามซึ่งนั่งอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องไห้ ก็ยิ่งลงโทษนางเพิ่มอีกสามเท่า ก่อนทิ้งท้ายว่า “ขี้ขลาดเหลือทน”


 


 


และอีกครั้งหนึ่ง ในจวนเลี้ยงสุนัขเฝ้าจวนตัวหนึ่งมานาน ก่อนที่มันจะป่วยตายด้วยโรคระบาด ยังรู้จักอาลัยอาวรณ์คนเลี้ยง หลั่งน้ำตาออกมา จนพวกบ่าวพากันเศร้าโศกเสียใจ กอดศพสุนัขแล้วร้องไห้ จากนั้นก็หารือกันว่าจะฝังศพตรงไหนดี พอท่านสามได้ยินเสียงเศร้าโศกและเห็นการหลั่งน้ำตา ก็จ้องตาไม่กะพริบ ก่อนสั่งให้นำสุนัขไปเผาให้สิ้นซาก ส่วนคนที่กอดสุนัขก็ให้ไล่ออกจากจวนอ๋องไป


 


 


แม้ต่อมาค่อยรู้ว่า เป็นเพราะเกรงว่าคนที่กอดสุนัขอาจติดเชื้อจากสุนัข แล้วนำเชื้อมาแพร่ต่อในจวน ทว่าแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ค่อยมีคนกล้าร้องไห้ในจวน อย่างน้อยก็ไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าท่านสาม แต่ละคนถูกท่านสามบังคับเคี่ยวกรำจนจิตใจแข็งแกร่งดุจเหล็กเพชร


 


 


สรุปก็คือ ท่านสาม ทนไม่ได้เป็นที่สุด กระทั่งเกลียดชังคนที่ร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าด้วยซ้ำ


 


 


สักพัก ซย่าโหวซื่อถิงก็หันมองอวิ๋นหว่านถง ยกเท้าขึ้น แล้วก้าวลงบันได


 


 


อวิ๋นหว่านถงดีใจพลัน ร้องไห้ไม่ทันไรก็เห็นผลแล้ว ผู้ชายปกติ ไหนเลยจะไม่รักหยกถนอมบุปผาเล่า


 


 


ซือเหยาอันก็แปลกใจ หรือท่านสามเปลี่ยนอุปนิสัย คิดปลอบโยนสักคำสองคำ?


 


 


ขณะเดินเข้าใกล้อวิ๋นหว่านถง ร่างอันสูงใหญ่ของซย่าโหวซื่อถิงก็ผ่านเลยนางไป


 


 


ที่แท้เขายังคงรับไม่ได้กับการได้ยินเสียงร้องไห้…ซือเหยาอันจึงรีบเดินตาม


 


 


อวิ๋นหว่านถงใจแป้ว ก่อนตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เนื่องจากการจับผู้ชายชั้นสูงนั้นค่อนข้างยาก นางจึงรีบจับปลายแขนเสื้อดิ้นทองของเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้ พลางพูดอย่างเศร้าสร้อย


 


 


“องค์ชายสามอย่ากริ้วท่านพ่อเลยนะเพคะ ที่ท่านพ่อบอกให้หม่อมฉันเข้าวัง มิได้มีเจตนาขัดรับสั่งของพระสนมเอก แต่ล้วนเป็นเพราะพี่ใหญ่เข้าวังเป็นครั้งแรก ท่านพ่อเกรงว่านางจะไม่คุ้นเคย จึงให้หม่อมฉันตามมารับใช้…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เสียงของอวิ๋นหว่านถงก็สั่นและอ่อนลงไปอีก ริมฝีปากบนกัดริมฝีปากล่าง น้ำเสียงฟังดูโศกเศร้าไม่น้อย


 


 


“แม้หม่อมฉันเป็นคุณหนูอวิ๋น แต่ท่านแม่เป็นอนุ หม่อมฉันจึงเป็นเพียงลูกเมียน้อย ปกติอยู่ในบ้าน คนเรียกคุณหนูก็จริง แต่กลับมีสถานะสูงกว่าบ่าวไพร่ไม่มาก พี่ใหญ่สิ ถึงจะเป็นลูกสาวที่เชิดหน้าชูตาของบ้าน พอนางบอกให้มา หม่อมฉันจึงได้แต่ตามมา…ขอองค์ชายสามและพระสนมเอกอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง”


 


 


คิ้วของซือเหยาอันขยับ คำพูดนี้ทำให้ผู้คนเห็นใจจริงๆ ยอมเผยให้รู้ว่าตนมีสถานะในบ้านที่น่าสงสาร อีกทั้งยังทำให้รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ของบ้านเย่อหยิ่งจองหอง เห็นลูกเมียน้อยดุจบ่าวไพร่ มิได้รักแบบพี่น้องแต่อย่างใด


 


 


กล้ามเนื้อที่ปลายแขนของซย่าโหวซื่อถิงตึง ด้วยถูกนางดึงไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่เคยเห็นคนที่พัวพันไม่เลิกเช่นนี้มาก่อน สายตาจึงมืดหม่นลง และเข้มจนข้น แต่พอได้ยินประโยคหลังของนาง ก็ยืนนิ่งโดยไม่รู้ตัว มิได้ขัดขืน กลับรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงก้มหน้าลง จ้องมองอวิ๋นหว่านถง


 


 


“อ้อ? พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในบ้านร้ายกาจมากหรือ”  

 

 


ตอนที่ 80-2 คล้ายคนคุ้นเคย

 

เมื่อครู่อวิ๋นหว่านถงเห็นสีหน้าองค์ชายสามเยือกเย็นจนน่ากลัว ราวกับเตรียมจะทำสิ่งเลวร้ายสุด ด้วยการถีบตนออก แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงไม่ผลักไสตน ยังถามตนกลับอย่างอ่อนโยน จึงพยายามระงับอาการตื่นเต้น สมองพลันแล่น ตาแดง พลางพูดอย่างนุ่มนวล


 


 


“อย่างไรพี่ใหญ่ก็เป็นลูกเมียหลวง ต่อให้…ต่อให้ใช้อำนาจสั่งหม่อมฉัน ก็เป็นอำนาจโดยชอบธรรมของพี่ใหญ่ หม่อมฉันเป็นน้องสาว ก็ได้แต่เชื่อฟังคำพี่สาว ไม่กล้าขัดแต่อย่างใด”


 


 


“ใช้อำนาจสั่ง? ทำไมถึงใช้แต่อำนาจสั่งล่ะ” ชายหนุ่มเหมือนกำลังขบคิด น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลง


 


 


อวิ๋นหว่านถงอึ้ง ถ้าองค์ชายสามหน้าไม่เครียด น้ำเสียงที่พูดออกมาจะไพเราะมาก จึงกัดฟัน ใบหน้าเล็กๆ แสดงอาการสลดหดหู่ไม่รู้จบ กะพริบแผงขนตาบนดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย คล้ายในที่สุดฟ้าก็ใส เมื่อได้พบเจอท่านผู้ช่วยปลดปล่อยความทุกข์ จึงค่อยๆ เล่าบัญชีเก่าของอวิ๋นหว่านชิ่นออกมา


 


 


“ท่านพี่ไม่นับถือแม่เลี้ยง นางใช้สัญญาทาสข่มขู่แม่เลี้ยง ทำให้แม่ของหม่อมฉันที่อายุปูนนี้แล้ว ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่ทุกวัน เพราะถูกนางควบคุมไว้ และนางก็ยังคิดหาวิธีทำให้หม่อมฉันอับอาย ด้วยการให้หม่อมฉันทำในสิ่งที่กุลสตรีทำไม่ได้…” หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงจินตนาการถึงท่าทางขณะใช้อำนาจอยู่กับบ้านของเด็กโง่นางนั้น ใบหน้าพลันร้อนถึงใบหู จึงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น


 


 


ยิ้ม? หมายความว่าอะไร ตนกำลังบอกว่าอวิ๋นหว่านชิ่นวางก้ามใหญ่โตขณะอยู่ในบ้าน แล้วเขายิ้มหาพระแสงอะไร? ขณะดวงตาปกคลุมไปด้วยน้ำตา อวิ๋นหว่านถงก็ยังแอบมองผ่านผ้าเช็ดหน้าลายปัก แม้เห็นรางๆ แต่พอชายหนุ่มยิ้ม ความหล่อเหลาของเขาก็คล้ายดวงอาทิตย์สาดแสงลงในสระน้ำ ละลายความหนาวเย็นในทันที ทำให้คนหวั่นไหวได้จริงๆ สีหน้าแข็งๆ เมื่อครู่ดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับน่ามองขึ้นมาก


 


 


และขณะที่อวิ๋นหว่านถงกำลังพัวพันฉินอ๋องไม่เลิกนั้น อีกด้านหนึ่ง คนสองคนที่ต่างมีสิ่งที่ต้องการในใจ ก็กำลังอยู่ด้วยกันในที่ที่ไม่ไกลกันนัก เว่ยอ๋องเพิ่งเรียกให้มู่หรงไท่เดินออกมาหาตนในห้องร้างที่ยื่นออกจากด้านข้างของตึกไจซิง เพื่อลอบหารือเรื่องที่ต้องทำในงานเลี้ยงสังสรรค์


 


 


พอทั้งสองวางแผนร่วมกันเสร็จ มู่หรงไท่ก็เดินออกไปก่อน ป้องกันไม่ให้คนเห็นว่าทั้งสองติดต่อกัน


 


 


ส่วนเว่ยอ๋องก็รออยู่สักพัก พอเห็นมู่หรงไท่เดินไปไกลแล้ว จึงค่อยๆ เดินออกจากห้อง


 


 


เว่ยอ๋องเดินพลางมองไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เห็นพอดีว่าในเก๋งจีนข้างตึกไจซิงมีร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง ฉินอ๋องนั่นเอง จึงแค่นหัวเราะในใจ วันนี้ล่ะที่เจ้าจะโดดเด่น ทุกคนจะได้เบี่ยงความสนใจไปจากข้า ถือว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนของลูกผสมชนเผ่าทางเหนืออย่างเจ้าก็แล้วกัน!


 


 


เดิมทีเขาคิดจะหันเดินไปอีกทาง แต่ก็อยากดูต่ออีกหน่อย จึงยืนอยู่กับที่ ดูพี่สามยื้อยุดฉุดกระชากอยู่กับหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งจากการแต่งกายของนาง ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนในวัง และนางกำลังดึงแขนเสื้อพี่สามอยู่


 


 


นี่ก็แปลก พี่สามยอมให้นางจับแขนเสื้อ โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิด และเจตนาอ้อยอิ่งอยู่บ้าง


 


 


เว่ยอ๋องตาเป็นประกาย


 


 


เสียทีที่พี่สามแสร้งทำเป็นไม่ยุ่งกับผู้หญิงมาตลอด จนเสด็จพ่อยังชมว่า ดีที่ไม่หมกมุ่นราคะ โดยคิดว่าพี่สามอาศัยอยู่ในวัด อาจอยากมีชีวิตแบบพระจริงๆ แต่ ใช่กะผีที่ไหนล่ะ! มีด้วยหรือผู้ชายที่ไม่ยุ่งกับผู้หญิง!


 


 


เว่ยอ๋องคิดอะไรได้ จึงม้วนแขนเสื้อ แล้วเดินนำผู้ติดตาม เข้าไปด้านข้างของเก๋งจีนอย่างเงียบๆ


 


 


ซือเหยาอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่องเข้ามาใกล้อยู่แต่แรก แต่เขาไม่กระโตกกระตาก ก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูฉินอ๋อง


 


 


ซย่าโหวซื่อถิงจึงยิ้มค้าง อาศัยจังหวะที่อวิ๋นหว่านถงไม่ทันตั้งตัว ค่อยๆ ดึงแขนของตนออกจากมือนาง


 


 


พออวิ๋นหว่านถงเห็นชายตรงหน้าผู้เป็นดั่งเทพบุตรโน้มร่างสูงๆ ลงมา นำลำคอเขาเข้ามาใกล้ไหล่ตน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอำพันทะเลโชยมา พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา


 


 


อวิ๋นหว่านถงไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเข้ามาในระยะประชิดเช่นนี้ ร่างจึงแทบไม่เป็นปกติ อ่อนระทวยไปกับลมหายใจของเขา


 


 


ใบหูที่อ่อนนิ่มแทบสัมผัสกับริมฝีปากของเขา ร่างจึงสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว รู้อยู่แต่ว่าชายหนุ่มตบไหล่นางเบาๆ สองที จากนั้นคำพูดที่ดูเหมือนตลกแต่ไม่ตลก ก็ลอยมาตามลมทีละคำ


 


 


“…ดูแลองค์ชายห้าดีๆ ล่ะ”


 


 


อา? หมายความว่าอะไร อวิ๋นหว่านถงเพิ่งเรียกสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคืนกลับ ชายหนุ่มก็ยืดตัวตรง และเดินอาดๆ ไปพร้อมกับผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง


 


 


“องค์ชายสาม…” อวิ๋นหว่านถงหันกาย มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มไป พลางย่ำเท้า


 


 


รู้สึกแต่ว่าข้างหูยังมีลมหายใจอุ่นๆ อยู่ และในหูสะท้อนเสียงดังเวิ้งว้าง สติหลุดลอย เขาไปคราวนี้ เกรงว่าคงยากที่จะพบกันอีก จึงแค้นใจยิ่ง


 


 


ด้านหลังพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดี เว่ยอ๋องกำลังจ้องมองอากัปกิริยาของทั้งสองอย่างใกล้ชิด พลางแสดงสีหน้าว่าโล่งอก เป็นคนรักของพี่สามจริงๆ เสียดายที่เขาต้องมีวันนี้…


 


 


สายตาของเว่ยอ๋องหยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาว นิ่งไปสักพัก ค่อยก้าวเข้าหา


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านคิดจะ…” ขันทีข้างกายแตกตื่น รีบก้าวตาม พลางถาม


 


 


สีหน้าเว่ยอ๋องมีแววชั่วร้ายวาบผ่าน ก่อนก้าวยาวๆ เข้าหาอวิ๋นหว่านถง


 


 


เมื่อหญิงสาวนางนี้ไม่ใช่นางใน ก็ต้องเป็นผู้ติดตามที่เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย การแต่งกายเช่นนี้ ไม่เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ เหมือนสาวใช้มากกว่า!


 


 


“เจ้าเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงหรือ” นัยน์ตาของเว่ยอ๋องกระโดดข้ามแสงที่มองไม่เห็นไป


 


 


อวิ๋นหว่านถงยืนนิ่งอยู่กับที่ มีชายหนุ่มสวมชุดหรูหรา มงกุฎปักลายมาอีกคนแล้ว ได้ยินเพียงคนข้างกายเรียกเขาว่าท่านอ๋อง หรือจะเป็น…องค์ชายห้าที่องค์ชายสามพูดถึงเมื่อครู่?


 


 


ขันทีเห็นนางไม่ตอบ จึงเอ็ด “องค์ชายห้าถามเจ้าน่ะ ยืนนิ่งอยู่ทำไม”


 


 


อวิ๋นหว่านถงพลันตื่นจากภวังค์ รีบย่อตัวลงถวายบังคม


 


 


“เรียนองค์ชายห้า ใช่เพคะ หม่อมฉันมาร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนคุณหนูที่บ้าน…”


 


 


หึ ก็แค่บ่าวไพร่ที่มีสถานะต่ำต้อย เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายขึ้น


 


 


เว่ยอ๋องหันมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มกึ่งมืดกึ่งสว่าง


 


 


“เชิญแม่นางท่านนี้ไปที่ห้องเตียวหลาน”


 


 


ห้องเตียวหลาน อยู่ในส่วนของที่พักองค์ชาย ปกติแล้วจะใช้เป็นห้องพักเท้าเวลาเข้าวังของเว่ยอ๋อง ซึ่งเงียบสงบ สะอาดสะอ้าน ไม่มีใครรบกวน


 


 


อวิ๋นหว่านถงยังไม่ทันตั้งสติ ผู้ติดตามก็ก้าวเข้ามา ผายมือเชิญ


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงพึมพำ “องค์ชายห้า ไป ไปไหนเพคะ หม่อมฉันยังต้องกลับไปรับใช้…”


 


 


เว่ยอ๋องยิ้มพลางว่า “ข้ากับเสด็จพี่สามดีต่อกันเรื่อยมา เมื่อครู่เห็นแม่นางกับเสด็จพี่สามรู้จักกัน จึงอยากเชิญแม่นางไปเดินเล่นในตำหนักองค์ชายเสียหน่อย ส่วนเรื่องรับใช้ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งกับคุณหนูบ้านแม่นางให้ ในวังมีบ่าวรับใช้มากมาย ไม่ต้องกลัวหรอกว่าคุณหนูบ้านแม่นางจะไม่มีคนคอยรับใช้”


 


 


อวิ๋นหว่านถงกลืนน้ำลาย ขนมหวานร่วงลงจากสวรรค์หรือไร


 


 


เมื่อครู่องค์ชายสามเพิ่งไป ตอนนี้องค์ชายห้ายังมาเชิญไปตำหนักอีก


 


 


สักพัก อวิ๋นหว่านถงก็ถอนสายบัว พลางข่มความตื่นเต้น


 


 


“เช่นนั้น หม่อมฉันแม้มิบังอาจ ก็ต้องทำตามรับสั่งแล้ว”


 


 


ตรงนั้น ซย่าโหวซื่อถิงกับซือเหยาอันเดินออกมาไกลพอควร


 


 


ซือเหยาอันหันกลับไปมอง แม้มองไม่เห็นคนแล้ว ก็ยังจินตนาการได้ว่าพอตนกับนายออกมา เว่ยอ๋องจะทำอย่างไร จึงอดไม่ได้ที่จะพูด


 


 


“นายท่าน ร้ายดีอย่างไร นางก็เป็นน้องสาวคุณหนูอวิ๋น…การผลักนางเข้ากองไฟเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาตามมาจริงหรือ”


 


 


นิ่งเงียบไปสักพัก ซย่าโหวซื่อถิงค่อยเอ่ยปาก “อย่างไรก็ต้องมีคนใช้นางเป็นเครื่องมืออยู่ดี ในเมื่อนางอาสามาเองเช่นนี้ ก็ต้องถือว่าโชคไม่ดี ปล่อยนางเถอะ”


 


 


คำพูดนี้ถ้าคนแถวนี้ได้ยิน เป็นต้องงงงวยแน่ ทว่าพอซือเหยาอันได้ยิน กลับตระหนักในทันที 

 

 


ตอนที่ 80-3 คล้ายคนคุ้นเคย

 

ตั้งแต่เว่ยอ๋องรู้ความ ก็ไม่ถูกกับท่านสามของตนเรื่อยมา นอกจากเป็นเพราะสนมเอกเฮ่อเหลียนกับมเหสีรองเว่ยเป็นศัตรูกันตามสถานะแล้ว ยังมีช่องว่างระหว่างองค์ชายที่ไม่มีทางลบเลือนไปตลอดกาลอีก


 


 


ดังนั้นสิ่งที่ท่านสามชอบ เว่ยอ๋องจะอดใจ ไม่ลงมือได้หรือ


 


 


ตอนเด็กๆ ที่ท่านสามยังอยู่ในวังและหย่านมแล้ว ก็ต้องเข้าพักยังที่พักองค์ชาย โดยมีแม่นมร่วมเลี้ยงดูด้วย ตอนนั้น เว่ยอ๋องเป็นเด็กที่อยู่ไม่สุข มีหรือที่เห็นของเล่นหรือสัตว์เลี้ยงของท่านสามแล้ว จะไม่แย่งไม่ต่อสู้เพื่อให้ได้มา หรือต่อให้แย่งมาไม่ได้ ก็ต้องแอบทำลายให้ได้


 


 


และหลังจากโตเป็นหนุ่ม พฤติกรรมเหล่านี้ก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ครั้งนี้พอท่านสามเห็นเว่ยอ๋องแอบดูอยู่ จึงแกล้งทำเป็นใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกอนุบ้านสกุลอวิ๋น เพื่อล่อหลอกให้เว่ยอ๋องมาติดกับ ยื่นเท้าเข้ามาแย่ง


 


 


เช่นนี้ ก็สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋น ให้นางอยู่ในที่ปลอดภัยได้ชั่วคราว


 


 


ส่วนคุณหนูลูกอนุก็…กลายเป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจไป


 


 


ซึ่งถ้านางไม่มีจิตใจทะเยอทะยานอยาก ก็ไม่มีทางตามเว่ยอ๋องไปหรอก แต่เนื่องจากที่ที่นางคิดจะไปเป็นตำหนักองค์ชาย ต่อให้เว่ยอ๋องมัดนางไว้ นางก็ยอมให้มัด


 


 


ทั้งหมดนี้ จึงขึ้นกับโชคชะตาของนางเองแล้ว!


 


 


ซึ่งการนี้ อวิ๋นหว่านถงกลับรู้สึกตื่นเต้นไม่หยุด ขณะเดินตามหลังเว่ยอ๋องกับขันที เข้ามาในเขตตำหนักองค์ชาย นางละลานตาไปหมดแต่ก้าวแรกแล้ว กระทั่งชื่อของตนเองยังลืมไปชั่วขณะ


 


 


เด็กสาวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเข้าวังเป็นครั้งแรก ไหนเลยจะเคยเห็นทิวทัศน์อันงดงามอลังการงานสร้างเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า องค์ชายยังเป็นผู้นำทางด้วยองค์เองอีก


 


 


เว่ยอ๋องหันมามองนางเป็นครั้งคราว ยิ้มพลางว่า


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อเป็นสหายของเสด็จพี่สาม ก็เป็นเหมือนกับสหายข้า”


 


 


อวิ๋นหว่านถงรู้สึกตกตะลึง ที่ตนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่เมื่อเดินมาครึ่งทางแล้ว ไหนเลยจะกล้าสารภาพว่าตนกับองค์ชายสามนั้น จริงๆ แล้วไม่รู้จักกัน องค์ชายห้า แม้หน้าตาไม่หล่อเหลาองอาจแบบชายชาตรีเท่าองค์ชายสาม แต่ก็ไม่ถึงกับแย่เสียทีเดียว ถ้าเทียบกันแล้ว ยังมีอัธยาศัยดีกับตนมากกว่าองค์ชายสามเสียอีก ส่วนองค์ชายสามนั่น มีบางอย่างที่ตนไม่เข้าใจและดูไม่ออกอยู่…


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงกัดริมฝีปาก ตัดสินใจแน่วแน่ ใช้มือขยับคอเสื้อให้หลวม ล้วงเข้าไปยังเสื้อชั้นใน แล้วจับสร้อยคอถุงหอมมาแนบไว้กับหน้าอก


 


 


พอไปถึงที่พักองค์ชาย เข้าไปในห้องเตียวหลาน ขันทีก็นำกาน้ำชาดินเผาเข้ามา รินน้ำชาให้คนทั้งสอง แล้วค่อยถอยออก


 


 


เว่ยอ๋องนั่งอยู่ด้านบน หันมองซ้ายขวา สาวใช้นางนี้แม้นับว่ารูปโฉมงดงาม แต่เมื่อสังเกตจากตลอดทางที่เดินมา ก็เห็นว่านางไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป ไม่รู้ว่าพี่สามชอบนางตรงไหน…จึงอดไม่ได้ที่จะยกน้ำชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง


 


 


พออวิ๋นหว่านถงเห็นองค์ชายห้าเอาแต่จ้องมองตนไม่วางตา ใจก็เต้นไม่เป็นระส่ำ และพอเห็นว่าเขาดูแลเอาใจใส่ตนดี ถ้าบอกว่าตนไม่รู้สึกดีด้วยก็คงไม่มีใครเชื่อ ใบหน้าจึงร้อนผะผ่าวขึ้นมา ลุกขึ้นยืนถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย


 


 


“ถงเอ๋อร์โชคดีที่วันนี้องค์ชายห้าทรงมีพระกรุณาพาเดินเล่นในตำหนักองค์ชายด้วยองค์เอง และยังมีวาสนาได้มาจิบชาพักเท้าในห้องพักของพระองค์อีก ต้องขอขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


สีหน้าเว่ยอ๋องแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน “เจ้าชื่อถงเอ๋อร์หรือ”


 


 


“เพคะ” อวิ๋นหว่านถงตอบรับเสียงหวาน ก่อนก้มหน้าลง


 


 


ดูไปแล้ว ก็เรียบร้อยดี เว่ยอ๋องจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า มีส่วนคล้ายเยี่ยหนานเฟิงที่เพิ่งรับเข้าจวนอยู่บ้าง เสียดาย…นางไม่ใช่ผู้ชาย


 


 


สำหรับผู้หญิง เว่ยอ๋องไม่เคยสนใจมาแต่ไหนแต่ไร จึงคลึงถ้วยชาในมือ พลางว่า


 


 


“ถงเอ๋อร์ เจ้ากับเสด็จพี่สามรู้จักกันนานแค่ไหนแล้ว มีความรู้สึกต่อกัน…ดีมากไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านถงตกใจ หรือเว่ยอ๋องเข้าใจผิดว่าตนกับองค์ชายสามมีอะไรฉันชู้สาวกัน ไม่ได้ จะให้เขาเข้าใจผิดไม่ได้ หาไม่แล้วก็เท่ากับตนคว้าน้ำเหลว การได้รู้จักองค์ชายท่านหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่สามารถยอมรับว่าตนกับองค์ชายสามไม่รู้จักกันเลย มิฉะนั้นที่ผ่านมาจะเป็นการจงใจโกหกไป


 


 


ใบหน้าบอบบางนุ่มนิ่มของอวิ๋นหว่านถงจึงแดงไม่หยุด พลางพูดอย่างลนลาน


 


 


“องค์ชายห้าอย่าได้ทรงเข้าใจผิด หม่อมฉันกับองค์ชายสามคบกันแบบสหายธรรมดาเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไรเกินเลย”


 


 


สหายธรรมดา? ชายหญิงรู้จักกัน สัมพันธ์กันแบบสหายธรรมดาได้ด้วยหรือ


 


 


อีกอย่างเจ้าก็เป็นแค่สาวใช้! พี่สามกับสาวใช้อย่างเจ้าจะมีความสัมพันธ์แบบสหายธรรมดาได้อย่างไรกัน! โกหกชัดๆ


 


 


เว่ยอ๋องเหยียดหยามในใจ จึงไม่ถามต่อ เห็นที ทั้งสองน่าจะมีอะไรกันจริงๆ ถ้าคิดหาวิธีนำหญิงสาวนางนี้เข้าจวนเว่ยอ๋อง ไม่รู้ว่าพี่สามจะโกรธจนเต้นเร่าๆ ขนาดไหน


 


 


เว่ยอ๋องจึงลูบคาง ก่อนแค่นหัวเราะออกมา และในตอนนี้เอง ขันทีคนสนิทก็เข้ามา ส่งสายตาว่ามีเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนสุราในงานเลี้ยงจะหารือด้วย


 


 


เว่ยอ๋องเกรงว่าอวิ๋นหว่านถงจะจับได้ จึงรีบลุกเดินออกไปพร้อมขันที


 


 


อวิ๋นหว่านถงจึงเริ่มคิด เมื่อองค์ชายห้ามีอัธยาศัยดีกับตนมาก แถมยังสงสัยว่าตนมีอะไรกับองค์ชายสามอีก ตนจึงไม่ควรลังเลใจ เหตุการณ์ต่อจากนี้ อาจเป็นช่วงเวลาตัดสินชีวิตตนทั้งชีวิต ต้องตั้งใจให้แน่วแน่ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว จะพลาดไม่ได้ ฉวยโอกาสตอนที่เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้านี้ล่ะ


 


 


นางจึงล้วงเข้าเสื้อชั้นใน นำสร้อยคอถุงหอมออกมา


 


 


ผงที่อยู่ก้นถุงหอมเหลืออยู่นิดหน่อย แม้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอ


 


 


นี่เป็นยานอนหลับที่อนุฟางแอบเตรียมไว้ให้นางก่อนออกจากบ้าน


 


 


อวิ๋นหว่านถงรีบเทผงในถุงหอมลงไปในถ้วยชาของเว่ยอ๋อง แล้วนำผงที่เหลือติดถุงอีกเล็กน้อยตบใส่ถ้วยชาตนเอง


 


 


ยานอนหลับมีปริมาณไม่มาก อนุฟางกะเกณฑ์เวลาไว้แล้วอย่างแม่นยำ ด้วยการทดลองป้อนให้สัตว์เลี้ยงกินก่อนอาหาร คำนวณดูแล้ว อย่างมากก็สลบไปราวครึ่งชั่วยามเท่านั้น ซึ่งก็จะตื่นก่อนงานเลี้ยงเริ่มพอดี


 


 


นอกห้อง เว่ยอ๋องจัดการธุระกับขันทีเรียบร้อย ก็เข้ามาในห้อง ยกน้ำชาขึ้นจิบ จิบพลางถามอวิ๋นหว่านถงพลาง


 


 


อวิ๋นหว่านถงก็ตอบคำถามพลางแอบมองเขาพลาง ในใจก็นับถอยหลัง และแล้ว หนังตาของเว่ยอ๋องก็ค่อยๆ ตกลง ก่อนหาวยาวๆ ออกมา


 


 


อวิ๋นหว่านถงพลันดีใจ แต่เพื่อไม่ให้เขาสงสัยและตำหนิหลังจากตื่น ต้องรีบทำการก่อน ด้วยการโยกศีรษะไปมา แกล้งทำหน้ามึน พลางพึมพำ


 


 


“องค์ชายห้า ทำไมศีรษะของหม่อมฉันถึงได้วิงเวียนเช่นนี้…” พูดจบก็ฟุบลงกับโต๊ะ


 


 


และพอได้ยินเสียง ‘กึก’ อวิ๋นหว่านถงก็เงยหน้าขึ้น องค์ชายห้าที่อยู่ตรงหน้าได้นอนหลับปุ๋ยดั่งสุกรไปแล้ว นางจึงไม่พูดไม่จา รีบนำชาในถ้วยชาทั้งสองเทใส่กระถางต้นไม้ที่อยู่ในห้อง ไม่ให้เหลือเบาะแสแม้แต่น้อย แล้วจึงใช้แรงทั้งหมดที่มี ลากตัวเว่ยอ๋องขึ้นไปไว้บนตั่งไม้ปูหนังเสือที่อยู่ในห้องด้านใน


 


 


ทว่าอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน ทำเรื่องเช่นนี้ ยังคงรู้สึกอับอายอยู่บ้าง


 


 


อวิ๋นหว่านถงหลับตา ขณะปลดกระดุมผ้าไหมสีทองบนคอเสื้อของเว่ยอ๋องออกทีละเม็ด เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกที่แน่นและแข็งแรงของผู้ชาย


 


 


นางกลืนน้ำลาย ก่อนลืมตาขึ้น ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คน แต่เป็นอนาคตที่รุ่งโรจน์และมั่งคั่ง ท่านแม่ว่า ความหวังในวันข้างหน้า ฝากไว้กับครั้งนี้แล้ว จึงหอบหายใจสองที ทำใจให้แข็งเข้าไว้ ฉีกเสื้อผ้าตรงหน้าอกตน เผยให้เห็นเอี๊ยมครึ่งหนึ่ง


 


 


ต่อให้อับอายแค่ไหน ตื่นเต้นแค่ไหน เมื่อเทียบกับอนาคตที่เกรงว่าโอกาสอันรุ่งโรจน์และมั่งคั่งตรงหน้าอาจมีแค่ครั้งเดียว ก็ไม่นับเป็นอะไรแล้ว


 


 


ยานอนหลับที่นางดื่มเข้าไป น้อยกว่าเว่ยอ๋องเล็กน้อย จึงออกฤทธิ์ช้าหน่อย ซึ่งตอนนี้อาการกำลังค่อยๆ มาพอดี ศีรษะจึงวิงเวียนและจมดิ่งลง นางจึงรีบฉวยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี ปีนขึ้นไปบนตั่ง แล้วนอนลงบนแผงอกของเว่ยอ๋อง แล้วจิตใต้สำนึกก็ค่อยๆ ดำมืด…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม