ชายาเคียงหทัย 79.1-80.3

ตอนที่ 79-1 คำขู่ของบัณฑิตขี้โรค

 

           “ไว้ชีวิตด้วย!”


 


 


           “จั๋วจิ้ง!” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเสียงขรึม แววตาองครักษ์ลับสามขรึมไป รีบเก็บกระบี่ลงก่อนดีดตัวขึ้นกลางอากาศไปอยู่บนต้นไม้ที่ห่างไปไม่ไกล เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่งของเยี่ยหลีจึงมีถึงสามคนที่อยู่บนต้นไม้ พร้อมที่จะเข้าโจมตีได้ทุกเมื่อ ส่วนอีกฝ่ายหากยังไม่สามารถควบคุมฝูงงูได้ทันการณ์ก็ถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก


 


 


           ชายวัยกลางคนร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดและเครื่องประดับอย่างคนหนานเจียงเดินออกมาจากในป่า ลวดลายบนชุดของชายผู้นั้นเหมือนกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ทั้งยังรังสีอย่างผู้มีตำแหน่งใหญ่ที่แผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่สักคนของชนเผ่าหลัวอีปู้อย่างแน่นอน


 


 


ชายวัยกลางคนผู้นั้นเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ระหว่างที่เดินมาฝูงงูค่อยๆ หลีกทางออกให้เขา ดูจะกลัวรังสีของคนที่ย่างกรายเข้ามาเป็นอย่างมาก “สหายจากต้าฉู่ทุกท่าน ผู้น้อยได้ล่วงเกินพวกท่านอย่างร้ายแรง ขอได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ชนเผ่าข้าขอรับรองแขกที่มาทุกท่านอย่างแขกชั้นสูง”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มเย็นในใจ ร้ายแรงหรือ ชายผู้นี้อยู่ในป่ามาตั้งแต่ต้น จนเมื่อลูกชายของตนอยู่ในอันตรายแล้วจึงค่อยปรากฏตัวมาให้เห็น มาตอนนี้กับอีแค่บอกว่าร้ายแรงประโยคเดียว คิดว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปหรือ


 


 


           หานหมิงซียืนอยู่บนต้นไม้ เงาสูงยาวขยับขึ้นลงตามแรงไหวของกิ่งไม้ “ร้ายแรงมากพอจริงๆ หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ คุณชายของท่านมีพฤติกรรมเช่นนี้ ท่านกล้าให้เขาออกไปไหนมาไหนข้างนอกได้อย่างไร”


 


 


สีหน้าของชายวัยกลางคนไม่สู้ดีนัก เขาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มก่อนกวาดตามองเขารอบหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นกลายเป็นประหนึ่งไม้ไผ่ดำที่ถูกไฟเผาไปในทันที เขาได้แต่หดตัวถอยไปทางด้านหลังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้นชายวัยกลางคนจึงได้ส่งเสียงเหอะขึ้นเบาๆ ก่อนเดินเข้ามาประสานมือคารวะคณะเยี่ยหลี “ผู้น้อยเล่อเจียง เป็นหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ นี่เล่อหนาน บุตรชายของข้าน้อย ที่ได้ล่วงเกินท่านไปนั้นขอให้แขกจากแดนกลางทุกท่านโปรดอภัยด้วย” หัวหน้าชนเผ่าท่านนี้ไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งกว่าบุตรชายของเขาเท่านั้น แต่ด้วยท่าทางการพูดการจาทุกอย่างทำให้ดูไม่ออกเลยว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน


 


 


           เยี่ยหลีพูดว่า “ถึงแม้ธรรมเนียมในการต้อนรับแขกของชนเผ่าท่านจะทำให้ผู้คนตื่นกลัวอยู่บ้าง แต่ข้าเห็นว่าท่านหัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้ควรให้คนไปจัดการเก็บกวาดเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยนั้นก่อนดีหรือไม่” พวกเขายืนอยู่ในจุดที่มียากันงูล้อมไว้รวมถึงมีกองไฟที่ยังปะทุอยู่ ฝูงงูที่กระจัดกระจายหนีหายไปคนละทิศละทางพวกนั้น หากปล่อยไว้นานแล้วค่อยส่งคนออกตามหาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถตามกลับมาได้ทั้งหมด


 


 


หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้พยักหน้า ก่อนหันไปโบกมือให้หมองูที่ยืนอยู่รอบๆ หมองูทั้งหลายจึงได้เริ่มเป่าขลุ่ยขึ้นอีกครั้ง และมีบางคนที่เดินออกไปทางอื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาออกไปตามหางูที่เลื้อยหนีไปทั่วนั่นเอง


 


 


เมื่อสั่งการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้จึงได้หันกลับมายิ้มให้คณะเยี่ยหลี “ทุกท่านเดินทางผ่านมายังเขตแดนของชนเผ่าข้า แต่ถูกความไร้มารยาทของเล่อหนานทำให้ทุกท่านต้องตกใจ เช่นนั้นพวกท่านไปพักผ่อนกันที่ค่ายของพวกเราดีหรือไม่ ถือเสียว่าเป็นการขอโทษและชดเชยให้พวกท่าน”


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง หันมองชายทั้งสามที่อยู่บนต้นไม้ หานหมิงซีทำหน้าอย่างไรก็ได้ และแน่นอนว่าองครักษ์ลับสามก็ไม่มีทางมีความเห็นขัดแย้งกับเยี่ยหลี แต่บัณฑิตขี้โรคกลับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเรากำลังรีบร้อนเดินทาง ไม่รบกวนท่านหัวหน้าเผ่าเล่อเจียงจะดีกว่า”


 


 


           หัวหน้าชนเผ่าหลัวอีปู้เลิกคิ้วขึ้นพร้อมส่ายหน้า “นี่จะเรียกว่าเป็นการรบกวนได้อย่างไร การทำให้แขกจากดินแดนกลางต้องตกใจเช่นนี้ เป็นการทำลายชื่อเสียงการต้อนรับแขกที่ดีของชนเผ่าหลัวอีปู้เรา อย่างไรก็ขอให้พวกท่านทุกคนไปพักผ่อนที่ค่ายของข้ากันก่อนเถิด วันพรุ่งข้าน้อยจะให้คนไปส่งพวกท่านถึงเมืองหลวงเอง” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนต่างนึกเบ้ปากในใจ คนหนานเจียงขึ้นชื่อเรื่องรังเกียจชนต่างถิ่นเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นนอกจากพวกพ่อค้าที่ใจกล้ากับคนที่มีศิปละการป้องกันตัวแล้ว คนจากดินแดนกลางทั่วไปมิมีผู้ใดกล้าเข้ามาในเขตหนานเจียงอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับคนที่เกิดและอาศัยอยู่ในหนานเจียงที่เป็นคนชนเผ่าอื่นแล้ว ชนเผ่าหลัวอีปู้ที่มีเขตแดนติดกับต้าฉู่ถือได้ว่ามีการต้อนรับแขกต่างถิ่นอย่างอบอุ่นมากแล้ว หากได้คนท้องถิ่นของหนานเจียงช่วยนำทาง คงเดินทางได้ง่ายขึ้นมาก


 


 


           “เช่นนั้น…ก็ขอรบกวนท่านหัวหน้าเผ่าด้วย” เมื่อเห็นบัณฑิตขี้โรคตกปากรับคำ เยี่ยหลีจึงได้แต่เลิกคิ้วขึ้น มิได้เอ่ยปากขัดแต่อย่างใด


 


 


           หัวหน้าชนกลุ่มน้อยดูจะดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบร้องเรียกบ่าวที่ตามติดมาให้มาช่วยแขกทั้งหลายเก็บข้าวของ พวกเยี่ยหลีทั้งสามคนมิได้มีข้าวของอันใดมากมายอยู่แล้ว จึงเพียงก้มลงไปหยิบห่อผ้าที่วางอยู่บนก้อนหินข้างๆ โยนขึ้นไปให้องครักษ์ลับสามที่อยู่บนต้นไม้เท่านั้น ส่วนของที่ติดตัวไว้ก็เก็บไว้กับตัวเช่นเดิม


 


 


บัณฑิตขี้โรคเองก็ไม่ค่อยมีของติดตัวเช่นเดียวกัน แต่นายท่านเหลียงนั้น ถึงจะมีหัวหน้าพ่อบ้านและองครักษ์คอยช่วยจัดการแต่ก็ยังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทีเดียว แต่ที่เขาคอยระมัดระวังไม่ให้คนของหนานเจียงมาแตะต้องข้าวของของเขานั้น ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกสงสัยว่า ในห่อของที่ดูใหญ่โตนั้นมีอันใดอยู่กันแน่ คะเนจากน้ำหนักแล้วก็ไม่น่าใช้แก้วแหวนเงินทองเสียด้วย


 


 


           จุดที่หลัวอีปู้ตั้งเป็นค่ายที่อยู่อาศัยอยู่ห่างไปไม่ไกล ขี่ม้าไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดีก็ถึงยังที่หมาย แน่นอนว่าม้าตัวเดิมที่พวกเขาขี่มานั้นถูกฝูงงูทำให้ตกใจจนหนีไปหมดแล้ว ตัวใดที่มิได้วิ่งหนีไปก็อาการไม่สู้ดี พวกเขาจึงใช้ม้าที่หลัวอีปู้นำมาให้แทน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เยี่ยหลีไม่คัดค้านเรื่องที่จะไปยังค่ายของพวกเขา เพราะนอกจากค่ายนี้แล้ว ที่ต่อไปที่จะมีชาวบ้านอยู่และสามารถหาซื้อม้าได้ คงต้องเดินทางอีกอย่างน้อยๆ สองร้อยลี้ หากไม่มาที่นี่แล้ว ก็หมายความว่าเส้นทางต่อจากนี้พวกเขาอาจต้องอาศัยการเดินเท้าเอา


 


 


           ค่ายของหลัวอีปู้ตั้งอยู่ช่วงกลางภูเขา เส้นทางที่ใช้มิได้ลึกลับหรือยากลำบากอย่างที่คนจากดินแดนกลางเล่าลือกันถึงที่ตั้งค่ายของหนานเจียง อาคารบ้านเรือนไม้แต่ละหลังตั้งอยู่ห่างๆ กันตรงส่วนกลางของภูเขา ด้วยเพราะดึกมากแล้ว หัวหน้าชนเผ่าจึงได้พาพวกเขาไปยังอาคารที่มีไว้สำหรับรับรองแขกโดยเฉพาะ พร้อมทั้งสั่งให้คนนำอาหารและน้ำร้อนมาให้ แล้วจึงได้พาเล่อหนาน ผู้เป็นบุตรชายที่เอาแต่ยืนตัวลีบไม่กล้าพูดกล้าจามาขอตัวกลับไป


 


 


           สาวๆ ที่แต่งกายด้วยชุดจากต่างเผ่าถูกเชิญให้ออกไป หานหมิงซีใช้น้ำล้างหน้าล้างตาด้วยความสบายใจ ก่อนรำพึงรำพันอย่างชุ่มชื่นใจว่า “ถึงอย่างไรมีห้องให้พักก็ดีกว่าจริงๆ สินะ ถ้ารู้เช่นนี้พวกเรามาขอพักอาศัยที่หลัวอีปู้นี่เสียแต่แรกก็คงดีหรอก”


 


 


เยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้านกำลังมองข้าวปลาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัย พร้อมพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหากพวกเราเดินทางมาขออาศัยที่นี่ ตกกลางคืนท่านจะเจองูอยู่ตามที่นอนและในห้องของท่านหรือไม่”


 


 


           หานหมิงซีนึกภาพตามที่เยี่ยหลีว่าแล้วอดขนลุกขึ้นไม่ได้ เขาส่ายหน้าพร้อมหันมาหัวเราะกับเยี่ยหลีว่า “จะว่าไปนะจวินเหวย เจ้าระวังไว้เสียหน่อยก็จะดี สาวๆ ทางหนานเจียงเป็นสาวๆ ที่มากด้วยอารมณ์รัก และชอบคุณชายที่ผิวขาวสะอาดสะอ้านอย่างเจ้าเป็นที่สุด ระวัง…แค่กๆ…” เขากางพัดขึ้นปิดหน้า หัวเราะด้วยความร้ายกาจ


 


 


เยี่ยหลีไม่ยอมให้ถูกหัวเราะเยาะอยู่ฝ่ายเดียวจึงตอบกลับไปว่า “พี่หานวางใจเถิด หากข้ามีวาสนาเช่นนั้น ข้าจะไม่มีทางลืมแบ่งปันกับท่านแน่นอน อีกอย่าง…ที่ค่ายแห่งนี้ก็มิได้มีคนที่เฝ้าคิดถึงคะนึงหาใบหน้าของข้าเสียด้วย”


 


 


เพียงพูดถึงเล่อหนาน ใบหน้ายิ้มแย้มของหานหมิงซีก็หุบฉับลงทันที เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมแววตาเย็นเยียบ คุณชายเฟิงเย่ว์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่หนึ่งเลยล่ะ จะบอกให้


 


 


           องครักษ์ลับสามยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ปิดสนิท เขารอจนทั้งสองพูดคุยกันเสร็จแล้วจึงได้พูดเสียงเบาว่า “มีคนอยู่ข้างนอกขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ลุกยืนขึ้นพร้อมสะบัดแขนเสื้อดับเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องลอดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาเพียงเล็กน้อย


 


 


ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่ก็ไม่กระทบกับการเคลื่อนไหวของเยี่ยหลี นางเดินเรื่อยๆ ไปข้างองครักษ์ลับสาม “ไม่ได้ลอบสังเกตพวกเรานี่”


 


 


องครักษ์ลับสามพยักหน้า ชี้ไปทางอาคารหลังข้างๆ “ลอบสังเกตพวกเขาขอรับ แต่ก็มีคนหนึ่งที่มองมาทางพวกเรา คงเพียงมองเลยมาเท่านั้น”


 


 


หานหมิงซีเองก็ทำความคุ้นเคยกับความมืดภายในห้องได้อย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะเสียงเบา “คนพวกนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงหรือ เช่นนั้นพวกมันจะลากพวกเรามาด้วยทำไม”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ในเมื่อพวกมันมีแผนการ อย่างไรเสียก็ต้องปรากฏออกมาให้เห็น เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว พวกเราควรพักผ่อนกันเสียก่อน”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า แล้วชี้ไปทางห้องนอนที่อยู่ด้านใน “คุณชายเข้าไปพักด้านในเถิด ข้ากับคุณชายหานจะอยู่เฝ้าที่ด้านนอกเอง”


 


 


           หานหมิงซีคิดอยากเอ่ยขัด แต่กลับเห็นเยี่ยหลีพยักหน้าหมุนตัวเดินเข้าห้องไปด้วยไม่ลังเล พร้อมหันมาโบกมือให้ทั้งสองก่อนเข้าไปนอนพักด้านใน


 


 


หานหมิงซีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “ข้าก็อยากพักบ้างนี่” ตอนอยู่ในป่าคนที่หลับไม่สนิทมิได้มีเพียงจวินเหวยคนเดียวเสียหน่อย


 


 


องครักษ์ลับสามเพียงปรายตามองเขาอย่างเย็นชา แล้วจึงชี้ไปยังเก้าอี้ไม้ไผ่ที่วางอยู่ในห้องโถง “ท่านไปนอนที่นั่นก็ได้”


 


 


หานหมิงซีมิได้ตอบอันใด เก้าอี้ไม้ไผ่นั่นยาวถึงครึ่งตัวเขาหรือ ก็เห็นอยู่ว่าเตียงข้างในนั่นใหญ่ออกจะตาย


 


 


ดูเหมือนองครักษ์ลับสามจะอ่านใจเขาได้จึงได้ย้ายตนเองมาอยู่หน้าประตูห้องที่เยี่ยหลีเดินเข้าไป พร้อมยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงด้วยสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยน ความหมายของเขาชัดเจนมาก หากหานหมิงซีต้องการที่จะเข้าไปจะต้องผ่านเขาไปให้ได้เสียก่อน


 


 


หานหมิงซีจึงได้แต่เดินไปนอนขดตัวพักผ่อนบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างโกรธๆ ในใจนึกเสียใจและบ่นไม่หยุดว่า เหตุใดเขาถึงได้พูดว่าจะพักกับจวินเหวยด้วยเนี่ย 

 

 


ตอนที่ 79-2 คำขู่ของบัณฑิตขี้โรค

 

เยี่ยหลีรู้สึกตัวตั้งแต่เช้าตามปกติ นางรู้ตั้งแต่ยังไม่ลุกออกจากเตียงว่าวันนี้พวกนางน่าจะเดินทางต่อไม่ได้ เสียงซู่ๆ ที่ดังลอยเข้ามา ทำให้รู้ว่าด้านนอกฝนกำลังตกหนักมาก เรื่องที่ทางภาคใต้มีฝนมากนั้นนางเคยเจอมาก่อนแล้ว แต่ฝนรอบนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป หากเมื่อคืนพวกนางต้องพักนอนในที่ที่ไม่มีหลังคาคุ้มหัวแล้ว คงถือว่าโชคร้ายไม่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ จู่ๆ เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่าบุตรชายของหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้นั้นก็มิได้น่ารังเกียจสักเท่าไร


 


 


เมื่อจัดการเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินออกจากห้องไป องครักษ์ลับสามยังคงนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หน้าประตู แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่าเขามิได้หลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยหลี องครักษ์ลับสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมหันไปมองนางทันที


 


 


           “เข้าข้างในไปพักสักหน่อยเถิด เช้านี้คงยังไปไหนไม่ได้” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาขึ้น นางเหลือบมองหานหมิงซีที่นอนขมวดคิ้วขดตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่


 


 


           องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป เยี่ยหลีเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมเปิดหน้าต่างออกครึ่งบานเพื่อชื่นชมฝนที่ตกอยู่ทางด้านนอก


 


 


           “จวินเหวย เจ้าช่างใจร้ายนัก เตียงออกใหญ่แต่เจ้ากลับนอนอยู่คนเดียว ปล่อยให้ข้าต้องมานอนบนเก้าอี้ไม้ไผ่เช่นนี้” ไม่รู้ว่าหานหมิงซีลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เขายังคงนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดวงตาอันทรงเสน่ห์มองเยี่ยหลีอย่างต่อว่า


 


 


เยี่ยหลีหันกลับไปมองพร้อมยิ้มให้เขา “ตอนนี้ท่านเข้าไปนอนกับจั๋วจิ้งข้างในได้นะ”


 


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยิ้มตาหยีมองนาง “เหตุใดข้าจึงนอนกับจวินเหวยไม่ได้ ข้ารักความสะอาดมากนะ”


 


 


           “ข้าไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร มีอะไรดีๆ ก็จะเก็บไว้เองหมด” เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าคงเดิมไม่เปลี่ยน


 


 


           หานหมิงซีบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์อยู่สองประโยคก่อนลุกขึ้นนั่ง ขมวดคิ้วจัดแจงชุดหลัวอีสีแดงเข้มอันอ่อนนุ่มที่ใส่อยู่แล้วจึงเดินเข้าไปดื่มด่ำบรรยากาศยามฝนตกข้างๆ เยี่ยหลี พร้อมถอนใจเบาๆ “วันฝนตกในหนานเจียงนี่บรรยากาศไม่เหมือนกับที่อื่นเลย แต่ฝนตกบ่อยเช่นนี้บางคราก็เกินรับไหวเหมือนกันนะ”


 


 


เยี่ยหลียังมิทันได้พูดตอบก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู สักพักก็ตามมาด้วยเสียงเคาะประตู


 


 


           เมื่อเปิดประตูออก ก็เห็นบัณฑิตขี้โรคถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ที่หน้าประตู


 


 


หลังจากที่พักมาหนึ่งคืน สีหน้าของเขากลับดูไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังยิ่งดูเหลืองไม่มีประกายขึ้นไปอีก มือข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นปิดปาก ส่งเสียงไอหนักๆ ตลอดเวลา “คุณชายหาน คุณชายฉู่ รบกวนหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร เชิญคุณชายเข้ามาก่อน”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคก้าวเข้าไปในห้อง เขากวาดตามองรอบๆ ก่อนหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องด้านใน เยี่ยหลียิ้มพร้อมเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “จั๋วจิ้งยังนอนพักอยู่ด้านใน เชิญคุณชายนั่งลงก่อน คุณชายมาแต่เช้าด้วยเรื่อง…”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคนั่งลง ไอเบาๆ อีกสองทีแล้วจึงกล่าวว่า “การเดินทางมาหนานเจียงครานี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบคุณชายหาน คุณชายหาน…แค่ก คงพอรู้จักข้ากระมัง”


 


 


           ไม่คิดว่าเขาจะเปิดปากพูดเข้าเรื่องโดยทันที หานหมิงซีอึ้งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะ “ไม่เลว ชื่อเสียงของหัวหน้าสำนักสามแห่งสำนักเยี่ยอ๋องแคว้นซีหลินนั้นหมิงซีได้ยินมานานแล้วจริงๆ” จากสรรพนามเรียกบัณฑิตขี้โรคและสรรพนามที่ใช่เรียกตนเองของหานหมิงซีนี้ สามารถบอกได้ว่าหานหมิงซีไม่คิดที่จะทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจ ทั้งยังดูมีความเกรงกลัวอีกด้วย


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้มเรียบๆ “ไม่ต้องเกรงใจ หัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องกับพี่ชายของท่านเป็นสหายสนิทกัน ตัวข้ากับพี่ชายของท่านก็รู้จักกันพอสมควร เพียงแต่…คุณชายท่านนี้กลับดูไม่คุ้นหน้าเลย”


 


 


เยี่ยหลีลอบนึกประเมินในใจ แต่ใบหน้านางยังคงประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยมิใช่คนในยุทธภพ ซ้ำยังมีความรู้ตื้นเขินนัก คงทำให้ท่านเห็นขันแล้ว” ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านเองก็ไม่รู้จักข้า ดังนั้นทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน


 


 


บัณฑิตขี้โรคจ้องมองเยี่ยหลีประหนึ่งกำลังใคร่ครวญอันใดบางอย่าง หานหมิงซีกลับไม่ยินดีให้เขาจ้องเยี่ยหลีเขม็งเช่นนั้น หัวเราะขัดขึ้นว่า “ได้ยินพี่ใหญ่พูดว่าหลายปีมานี้ท่านไม่ค่อยชอบออกไปไหนมาไหน ไม่รู้ว่าที่มาหนานเจียงครานี้ด้วยเหตุใดกันหรือ มีเรื่องใดที่เทียนอี้เก๋อสามารถช่วยได้หรือไม่”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคอึ้งไปแล้วจึงหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “เพียงเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รบกวนคุณชายจะดีกว่า” เขาไม่ยินดีที่จะพูด หานหมิงซีเองก็ไม่คิดจะถามต่อ อันที่จริงแล้วเขาอยากอยู่ให้ห่างจากเขายิ่งห่างเท่าไรยิ่งดี เหตุใดยามนั้นม่อซิวเหยาถึงไม่ฆ่าเจ้าเทพแห่งโรคนี่ทิ้งเสียนะ หานหมิงซีใบหน้ายิ้มแย้มแต่นึกวิจารณ์ในใจ


 


 


บัณฑิตขี้โรคดูจะไม่อยากเสียเวลากับเรื่องส่วนตัวของตน เขายิ้มมองเยี่ยหลีและหานหมิงซี “ทั้งสองท่านเห็นว่าค่ายนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


           หานหมิงซีขมวดคิ้ว “ข้าเคยเดินทางไปหนานเจียงมาแล้วสองสามครั้ง แต่ไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าค่ายของหลัวอีปู้ตั้งอยู่ใกล้เพียงเท่านี้”


 


 


           “คุณชายฉู่เห็นว่าอย่างไร” บัณฑิตขี้โรคมองหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น “ได้ยินว่าหลัวอีปู้เป็นหนึ่งในชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ ข้าคิดว่าคนในค่ายนี้น่าจะมีจำนวนไม่เกินหนึ่งร้อยคน ได้ยินว่าตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละชนเผ่าทางหนานเจียงนั้น โดยปกติจะลึกลับซับซ้อนมาก แต่เหตุใดค่ายของหลัวอีปู้จึงมาตั้งอยู่ที่ริมเส้นทางใหญ่เช่นนี้ได้”


 


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น อมยิ้มมองเยี่ยหลี “ที่แท้จวินเหวยก็มองออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่เอง ในเมื่อจับสังเกตได้หลายจุดเช่นนี้ เหตุใดยังมาที่นี่อีกหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “พวกเรามีทางเลือกหรือ พวกเราไม่มีม้า อีกทั้งพื้นที่รอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยงูพิษ อีกฝ่ายตั้งใจเชิญพวกเรามาเป็นแขกตั้งแต่แรกแล้ว ถูกผู้อื่นเชิญมาเป็นแขกด้วยความเกรงใจอย่างไรก็ดูดีกว่าถูกคนจับมัดเป็นบ๊ะจ่างมาโยนทิ้งไว้มิใช่หรือ เพียงแต่…ที่ข้าสงสัยคือ อีกฝ่ายจะสร้างสถานการณ์เสียยิ่งใหญ่เพียงนั้นไปเพื่ออันใดกัน ข้าน้อย…นอกจากที่ข้าได้เคยล่วงเกินบุตรชายหัวหน้าชนเผ่าท่านนั้นที่เมืองหย่งหลินแล้ว ก็ดูจะไม่มีเหตุอันใดเพียงพอจะให้อีกฝ่ายต้องสร้างเรื่องเช่นนี้” พูดจบ สายตาของเยี่ยหลีก็เลื่อนไปหยุดมองบัณฑิตขี้โรค


 


 


บัณฑิตขี้โรคถอนหายใจน้อยๆ “คุณชายฉู่อายุยังน้อย แต่กลับมีความคิดที่แหลมคมอย่างหาได้ยาก ไม่เลว พวกเขาตั้งใจบุกเข้ามาหาพวกเรา”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เชิญท่านกล่าว”


 


 


           “เชื่อว่าเมื่อคืนนี้ทั้งสองท่านคงพอสังเกตได้ ด้านนอกมีคนคอยสังเกตการณ์พวกเราอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงเป้าหมายของหลัวอีปู้นั้นเรียบง่ายมาก พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อของมีค่าที่อยู่บนตัวนายท่านเหลียง” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเรียบๆ


 


 


หานหมิงซียิ้ม “ข้าน้อยไม่ยักเคยได้ยินว่าท่านเปลี่ยนอาชีพมาเป็นผู้อารักขาแล้ว”


 


 


บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้ว กลั้นความอยากไอไว้ ก่อนหันไปยิ้มให้หานหมิงซี “ถูกแล้ว อันที่จริงที่ข้าตามมานี้มิใช่เพื่อคุ้มครองนายท่านเหลียง”


 


 


           หานหมิงซีเอนหลังพิงเก้าอี้ เหลือบตามองบัณฑิตขี้โรค “ข้ารู้ คุณชายเองก็อยากได้ของสิ่งนั้นเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณชายฆ่าตาเฒ่านั้นตายเสียก็สิ้นเรื่อง เหตุใดจึงต้องลำบากมาส่งเขาถึงหนานเจียงด้วย”


 


 


บัณฑิตขี้โรคมองหน้าหานหมิงซี ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มมีแววโหดเ**้ยม และดูเปลี่ยนเป็นอำมหิตเลือดเย็นขึ้นทันที ดูเป็นคนละคนกับบัณฑิตขี้โรคก่อนหน้านี้


 


 


           “ถูกต้อง จริงอยู่ที่ข้าสามารถฆ่าตาเฒ่านั้นได้ แต่น่าเสียดาย…เขามิใช่คนซื่อบื้อ ของสิ่งนั้นอยู่ในเมืองหลวงของหนานจ้าว บนตัวเขามีเพียงของที่สามารถใช้เพื่อให้ได้ของสิ่งนั้นมาเท่านั้น อีกทั้งยังมีอยู่เพียงครึ่งชิ้นอีกด้วย ในใต้หล้านี้นอกจากตัวเขาแล้ว มิมีผู้ใดรู้ว่าของอีกครึ่งส่วนนั้นอยู่ที่ใด และยิ่งมิมีผู้ใดรู้ว่าหากได้ของชิ้นนั้นมาแล้วจะต้องใช้อย่างไร” ดวงตาของบัณฑิตขี้โรคมีประกายมาดร้าย ดูออกว่าเขาคงนึกโกรธในความเขี้ยวลากดินของนายท่านเหลียงอยู่มากทีเดียว


 


 


หานหมิงซีเลิกคิวพร้อมยิ้ม “บางทีท่านน่าจะลองวิธีทรมานเพื่อเค้นความลับดู”


 


 


บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะอย่างเลือดเย็น “คุณชายหานมิรู้จริงๆ หรือว่าเขาเป็นใคร”


 


 


           หานหมิงซียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยหลีที่เลื่อนมามองตนจึงได้ยิ้ม “รู้สิ พ่อค้าวาณิชใหญ่แห่งต้าฉู่ นอกจากตระกูลเฟิ่ง เหยียน จิน หลี่ว์ สี่ตระกูลใหญ่นี้แล้ว ตระกูลที่ห้าก็คือตระกูลเหลียงที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ร่ำรวยกว่าพี่ใหญ่ของข้าเสียอีก อีกอย่าง หากว่าพี่ใหญ่ข้ารักเงินเป็นชีวิตจิตใจแล้ว นายท่านเหลียงผู้นี้คงเรียกได้ว่าเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตทีเดียว ได้ยินว่าเคยมีโจรป่าลักพาตัวอนุแสนรักของเขาไป โดยให้นำเงินสองหมื่นตำลึงมาแลก เขาไม่แม้แต่จะสนใจ อีกอย่างท่านอย่ามองแต่ว่าเขามีเงิน ปกติเขาประหยัดได้ก็ประหยัด วิถีชีวิตของเขายังสู้พ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อคืนก่อนเขามิได้คุยโวกับท่านว่าเขาไปที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือ คนที่พี่ใหญ่ข้ารังเกียจที่สุดก็คือเขาผู้นี้เอง เพราะวันที่เขาไปที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นั้น เขาสั่งชาที่ถูกที่สุดเพียงหนึ่งถ้วย ใช้เงินไปไม่ถึงยี่สิบตำลึงด้วยซ้ำ คนประเภทนี้หากมีของรักของหวงอันใดแล้ว ดูท่าต่อให้ท่านฆ่าเขาเขาก็คงไม่ให้ท่านเป็นแน่”


 


 


           เยี่ยหลีมองหน้าบัณฑิตขี้โรค “ข้าสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงต้องบอกข่าวนี้แก่พวกเราด้วย ท่านไม่กลัวว่าพวกเราจะเกิดความละโมบขึ้นบ้างหรือ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจำเป็นต้องให้พวกท่านช่วยเหลือ เมื่อคืนวานข้าเห็นวิทยายุทธ์ของคุณชายจั๋วไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนคุณชายฉู่ถึงแม้จะมองไม่ออกแต่เชื่อว่าคงมีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน ส่วนคุณชายหาน หากเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วข้าไม่มีทางทำให้ท่านเสียประโยชน์”


 


 


หานหมิงซีเท้าคางหันหน้ามองเขา “ข้ายังคิดว่าเมื่อครู่คุณชายพูดว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเทียนอี้เก๋อเสียอีก”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพยักหน้า “ข้าไม่ต้องการข่าวอันใดจากเทียนอี้เก๋อ เพียงแต่ในเมื่อบังเอิญเจอคุณชายหานแล้วจึงทำได้เพียงต้องขอให้ท่านช่วย”


 


 


           “ข้าสามารถปฏิเสธได้หรือไม่” หานหมิงซีเอ่ยถาม


 


 


           “เกรงว่าคงมิได้” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเสียงขรึม สายตานิ่งขรึมค่อยๆ กวาดมองคนทั้งสอง หานหมิงซีเพียงรู้สึกประหนึ่งถูกมีดแทงทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ส่วนเยี่ยหลีสีหน้ายังคงปกติ มีเพียงมือที่อยู่ในแขนเสื้อเท่านั้นที่กำแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่รู้ตัว  

 

 


ตอนที่ 79-3 คำขู่ของบัณฑิตขี้โรค

 

บัณฑิตขี้โรคยิ้มอย่างเลือดเย็นและโหดเ**้ยม ค่อๆ ยกมือข้างซ้ายของตนที่เล็บมือมีสีต่างจากมือข้างขวาเล็กน้อยขึ้นชื่นชมด้วยท่วงท่าสง่างาม “ข้าเชื่อว่าคุณชายหานคงไม่ปฏิเสธ จริงหรือไม่”


 


 


           หานหมิงซีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จ้องบัณฑิตขี้โรคด้วยสายตาระแวดระวัง “เจ้าวางยาพวกข้าหรือ!”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคยิ้มตอบเขา เขาไม่ตอบแต่กลับทำให้หานหมิงซีมีสีหน้าย่ำแย่ลง ดูเหมือนเขาจะคาดเดาได้แล้วว่าหานหมิงซีไม่มีทางปฏิเสธ บัณฑิตขี้โรคจึงหันไปถามเยี่ยหลี “คุณชายฉู่เล่า”


 


 


           เยี่ยหลียื่นมือไปเทชาสมุนไพรเย็นให้ตนเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองชาที่เย็นเฉียบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าปฏิเสธ”


 


 


           “ปฏิเสธหรือ” บัณฑิตขี้โรคดูจะคาดไม่ถึง เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะมองเยี่ยหลีด้วยประกายตาที่มีแววข่มขู่ขึ้นหลายส่วน “คุณชายฉู่แน่ใจหรือ”


 


 


เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ แล้ววางถ้วยชาลง “สองวันก่อนข้าได้ยินถึงชื่อเสียงของคุณชายก็สามารถเอ่ยได้ว่าคุณชายเชี่ยวชาญเรื่องการใช้พิษทั่วทั้งใต้หล้า เพียงแต่…หากคุณชายมิได้คิดที่จะใช้ยาพิษที่ถึงแก่ชีวิตในทันทีแล้ว ทางที่ดีก็อย่าได้ลงมือเลยจะดีที่สุด”


 


 


           “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” บัณฑิตขี้โรคมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าบึ้งตึง


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงมองสองมือที่วางอยู่บนเข่าของตน ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าหลายปีก่อนคุณชายเคยได้รับบาดเจ็บที่ชีพจรหัวใจอย่างหนักใช่หรือไม่ ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่เข้าใจเรื่องอาการบาดเจ็บเหล่านี้ แต่ก็พอรู้หลักการของอาการบาดเจ็บเช่นนี้อยู่เล็กน้อย เท่าที่ข้าน้อยเห็น หากคุณชายไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในชั่วระยะเวลาดีดนิ้วก็อย่าได้ลงมือเลยจะดีที่สุด เพราะว่า…หัวใจของคุณชายคงทนรับแรงกระแทกนานๆ ไม่ไหวใช่หรือไม่”


 


 


           รังสีอำมหิตในแววตาของบัณฑิตขี้โรคดูจริงขึ้นในทันที เขากัดฟันพูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้”


 


 


           เยี่ยหลีหัวเราะน้อยๆ “คุณชายจะลองดูก็ย่อมได้”


 


 


           แน่นอนว่าบัณฑิตขี้โรคไม่มีทางลอง ฉู่จวินเหวยผู้นี้มิได้ลงมือเลยตลอดทาง ลักษณะท่าทางก็ดูไม่เหมือนคนที่มีกำลังภายในกล้าแกร่ง แต่สัญชาตญาณเขากลับบอกว่าคุณชายน้อยที่ดูธรรมดาผู้นี้ เอาเข้าจริงแล้วไม่ธรรมดาเลย อีกทั้งข้างกายยังมีหานหมิงซีที่คอยมองอย่างระแวดระวัง และในห้องยังมีองครักษ์ฝีมือดีที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาอยู่อีก


 


 


หานหมิงซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ เท้าคางใบหน้าอันหล่อเหลาครึ่งหนึ่งพร้อมกะพริบตาปริบๆ มองสีหน้านิ่งขรึมของบัณฑิตขี้โรค แล้วหันมองเยี่ยหลีที่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เมื่อครู่นั่นเหมือนเขาได้ยินความลับชั้นดีเลยนะ


 


 


           “หึหึ คุณชายฉู่ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย เพียงแต่…พวกท่านมานึกเสียใจตอนนี้ก็เกรงว่าคงสายไปเสียแล้ว” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างเลือดเย็น


 


 


           “หมายความว่าอย่างไร” หานหมิงซีหรี่ตาลงพร้อมเอ่ยถาม


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “ในตอนที่ข้าออกมาจากตึกเล็กนั้น ข้าเดาว่าคนแซ่เหลียงนั้นคงไม่อยู่ในตึกแล้ว”


 


 


           “เจ้ามั่นใจหรือ” หานหมิงซีถาม บัณฑิตขี้โรคพยักหน้า “ถูกแล้ว เดิมทีคนแซ่เหลียงมาที่หนานเจียงก็เพื่อมาหาชนเผ่าหลัวอีปู้ ส่วนเรื่องเมื่อคืนวานนั้น พวกเขามิได้มาเพื่อหาเรื่องพวกเรา แต่มาเพื่อรับตัวเขาต่างหาก”


 


 


หานหมิงซีขมวดคิ้ว “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”


 


 


บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ “อย่างไรหรือ เขาได้บรรลุถึงเป้าหมายแล้ว คนที่รู้เส้นทางการเดินทางของเขาก็ย่อมต้อง…ถูกฆ่าปิดปากทั้งหมด หากไม่เชิญพวกเรามาที่นี่แล้วเกิดมีคนหนีไปได้ แผนพวกเขาจะไม่ล่มไม่เป็นท่าหรือ”


 


 


           “หลายวันก่อนที่เจิ้งขุยเข้ามาชักชวนพวกเราให้เดินทางมาด้วยเป็นความคิดของท่านหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามบัณฑิตขี้โรคด้วยท่าทีสงบนิ่ง


 


 


           “ถูกแล้ว เจิ้งขุยเข้าใจว่าเขาเพียงอารักขาชายแซ่เหลียงไปทำการค้ายังแคว้นหนานจ้าวเท่านั้น ข้าบอกเขาว่าพวกเจ้าสองคนมีฝีมือไม่ธรรมดา หากร่วมเดินทางไปด้วยกันได้ก็จะได้คอยดูแลซึ่งกันและกัน พูดตามตรง…เดิมทีข้าไม่ได้อยากเลือกพวกเจ้า แต่ในช่วงเวลานี้มีคนจำนวนน้อยนักที่จะเดินทางไปหนานเจียง แต่ข้าต้องการคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาคอยช่วยเหลือ ก็พอดีได้พบคุณชายหาน ท่านถือได้ว่ามีความสัมพันธ์กับข้าอยู่บ้างมิใช่หรือ”


 


 


           หานหมิงซียิ้ม “ข้านึกแปลกใจว่าเหตุใดท่านถึงไม่ใช้คนจากสำนักเยี่ยนอ๋อง เชื่อว่าคนในสำนักเยี่ยนอ๋องที่ยอมบุกน้ำลุยไฟไปกับท่านคงมีอยู่ไม่น้อยกระมัง”


 


 


           สีหน้าบัณฑิตขี้โรคขรึมลงทันที พูดเสียงเย็นว่า “นี่มันเป็นเรื่องของข้า”


 


 


           เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น เดินไปข้างหน้าตามองสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุด แล้วจึงได้หมุนตัวกลับมาพูดว่า “ของมีค่าที่นายท่านเหลียงมีเป็นสิ่งใดกันแน่ ถึงสามารถทำให้คนอย่างคุณชายยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นนี้ได้”


 


 


           “เรื่องนี้คุณชายฉู่ไม่รู้จะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น เห็นแก่หน้าของคุณชายหานแล้ว หากเรื่องนี้แล้วเสร็จข้าจะไม่ลงมือกับพวกเจ้าทั้งสอง” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยรับประกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


เยี่ยหลียิ้มปรายตามองเขา “ขอโทษด้วย คนอย่างข้าไม่ชอบถูกคนปิดหูปิดตาใช้เป็นอาวุธ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น “เจ้าไม่ช่วยข้าก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน เจ้าลองมองข้างนอกนั่นดีๆ สิ”


 


 


หานหมิงซีกระโดดไปยังหน้าต่างมองออกไปโดยเร็ว วิวทิวทัศน์ภายใต้สายฝนนั้นดูเลือนราง แต่ในอากาศกลับมีกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยมาเข้ามาเตะจมูก


 


 


เยี่ยหลีดึงหานหมิงซีให้หลบมาทันที พร้อมยื่นมือออกไปปิดหน้าต่าง บัณฑิตขี้โรคมองเยี่ยหลีพร้อมพยักหน้าอย่างชื่นชม “ข้ามองไม่ผิดจริงๆ คุณชายฉู่มีความรู้เรื่องพิษอยู่ไม่น้อย”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าไม่มีความรู้เรื่องพิษ เพียงแต่หลายวันก่อนข้าเพิ่งถูกยาสลบของหนานเจียงเล่นงานจนล้มไป ดังนั้นจึงระวังไว้ก่อนเท่านั้น”


 


 


           หลังจากที่นางถูกเยี่ยเย่ว์เล่นงานในครั้งนั้น เยี่ยหลีก็ได้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่า เยี่ยเย่ว์มิได้วางยานางหลังจากที่นางเข้าตำหนักไปแล้ว แต่ยาสลบนั้นวางอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก หน้าประตูใหญ่ตำหนักเหยาหวา มีต้นหลันที่ผลิดอกออกครึ่งหนึ่งตั้งอยู่สองกระถาง ในตำหนักเองก็มีดอกหลันแบบเดียวกันตั้งอยู่อีกสองกระถาง และตอนท้ายในเรือนเล็กที่ม่อจิ่งหลีจับนางขังไว้ นางก็เห็นดอกหลันหน้าตาแบบเดียวกัน แน่นอนว่าบางทีนั่นอาจมิใช่ดอกหลัน เพียงแค่หน้าตาคล้ายกันเท่านั้น


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “ทางขึ้นเขาของพวกเราถูกตัดขาดเสียแล้ว ส่วนพวกดอกไม้ดอกหญ้าที่อยู่ตามเขาด้านนอกนั่น…ยามนี้คุณชายหานดมเข้าไปก็ไม่เป็นไรหรอก มิได้มีพิษร้ายแรงอันใด ดอกไม้มีพิษประเภทนี้จะมีฤทธิ์ก็ต่อเมื่อเป็นตอนกลางวันที่มีแดดเท่านั้น แต่เมื่อฝนหยุดลงแล้ว กลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านี้จะกลายเป็นมีพิษร้ายแรง คนที่เผลอไปดมมันเข้าแม้แต่ก้าวเดินก็ยังลำบาก”


 


 


หานหมิงซีมองหน้าเขา “ท่านมียาถอนพิษหรือ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “แค่พวกพิษกระจอก จะมีอันใดยากกัน”


 


 


           หานหมิงซีเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม “ดังนั้น ทางเดียวคือพวกเราต้องยอมช่วยท่าน มิเช่นนั้นท่านก็จะไม่ช่วยพวกเราถอนพิษอย่างนั้นหรือ คิดว่าพวกเราจะไม่อาศัยจังหวะที่ฝนยังไม่หยุด เดินทางลงเขาไปหรือ”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้ม “คนที่ฝึกวิทยายุทธ์จะขึ้นเขาหรือลงเขาย่อมมิต้องสนใจว่าจะมีถนนให้เดินหรือไม่ พวกเจ้าออกไปลองดูก็ได้ จะได้ช่วยล่อคนกับแมลงมีพิษเหล่านั้นไปให้ข้าด้วย”


 


 


หานหมิงซีนึกถึงฝูงงูที่ชุกชุมเมื่อวานแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา รีบยกมือขึ้นลูยท้ายทอยพร้อมมองเยี่ยหลี


 


 


           เยี่ยหลียืนเอามือไพล่หลัง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้น ข้าสามารถสรุปได้ว่า คุณชายไม่เพียงมียาถอนพิษพวกดอกไม้และหญ้ามีพิษเหล่านั้น แต่ยังมีวิธีจัดการกับพวกงูและแมลงมีพิษด้วย ส่วนที่พวกเราต้องทำก็คือจัดการคนพวกนั้นใช่หรือไม่”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ถูกต้อง” ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกคนจี้จุดอ่อนเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป แววตาอาฆาตที่มองเยี่ยหลีก็ค่อยๆ หายไปด้วย


 


 


เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ข้ารับปากคุณชาย”


 


 


           “นี่ จวินเหวย เจ้าไม่กลัวเขากลับคำ แล้วฆ่าปิดปากหรือ” หานหมิงซีเอ่ยเตือนเสียงเบา บัณฑิตขี้โรคมิใช่คนดีอันใดนะ


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าเชื่อในคำสัญญาของหัวหน้าหน่วยสามสำนักเยี่ยนอ๋อง”


 


 


           “ถ้าเช่นนั้น คำไหนคำนั้น”


 


 


           นี่นี่…เจ้านั้นมีความน่าเชื่อถือเช่นนั้นด้วยหรือ 

 

 


ตอนที่ 80-1 ความลับใจกลางภูเขา

 

           กว่าหนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดฝนก็หยุดลง อากาศทางหนานเจียงนั้นฝนมาเร็วและฟ้าก็ใสเร็วเช่นกัน ฝนหยุดได้ไม่เท่าไรความอบอุ่นจากแสงแดดก็สาดส่องลงมายังพื้นดินอย่างร่วดเร็ว พื้นดินที่เมื่อครู่ถูกน้ำฝนชะล้างไป มีกลิ่นอายแห่งความสดชื่นของดินกระจายอยู่ทั่วไปหมด หากไม่มีกลิ่นหอมที่ดูเหมือนจะลอยเข้าจมูกตลอดเวลาแล้วคงน่ารื่นรมย์ยิ่งกว่านี้


 


 


ฝนเพิ่งหยุดได้ไม่เท่าไร องครักษ์ลับสามก็เดินออกมาจากในห้องทันที เมื่อเห็นทั้งสาม ที่นั่งอยู่สองคนและยืนอยู่หนึ่งคนภายในห้องโถง สีหน้าเขากลับดูไม่แปลกใจเลยที่มีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เยี่ยหลีชี้นิ้วไปที่อาหารแห้งที่วางอยู่บนโต๊ะ “หาอะไรลงท้องก่อนเถิด ดูท่าวันนี้เจ้าบ้านเขาคงไม่เอาอาหารเช้ามาให้เราแล้ว”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้าแล้วจึงนั่งลงใส่อาหารลงท้องด้วยท่าทางไม่รีบร้อนท่ามกลางสายตาของทุกคน


 


 


บัณฑิตขี้โรคมองท่าทางกินเรื่อยๆ ขององครักษ์ลับสามด้วยความสนใจ ก่อนหันไปยิ้มแล้วพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชายฉู่มีคนฝีมือดีอย่างองครักษ์จั๋วคอยอารักขา ท่านถึงได้กล้าเดินทางมาหนานเจียงคนเดียว พี่จั๋วนี่ท่านเพิ่งตื่นใช่หรือไม่ เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ”


 


 


องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นพูดเรียบๆ ว่า “คุณชายพาข้ามาด้วยเพียงคนเดียว ย่อมต้องระมัดระวังเป็นธรรมดา” แววตาบัณฑิตขี้โรคนิ่งขรึมไป องครักษ์เช่นเขาคนนี้มีเพียงคนเดียวก็ว่ายากแล้ว ตามที่จั๋วจิ้งพูด ปกติฉู่จวินเหวยคงมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ที่พาผู้ติดตามมาเพียงคนเดียว ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เช่นนั้น…ฐานะของฉู่จวินเหวยเกรงว่าคงไม่ธรรมดา เขาหันไปเหลือบมองหานหมิงซีที่นั่งอยู่ข้างๆ คนที่สามารถคบค้ากับน้องชายของนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา


 


 


           หานหมิงซีรับรู้ได้ถึงสายตาของบัณฑิตขี้โรคจึงหันไปยิ้มอย่างใสซื่อให้เขา อย่าได้ถามเขาเชียวนา เขาเองก็ไม่รู้ถึงฐานะของจวินเหวยเช่นเดียวกัน


 


 


           เมื่อทั้งสี่เก็บของเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินทางออกจากตึกเล็กหลังนั้นไป แสงแดดจากภายนอกทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศค่อยๆ ฉุนขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยฤทธิ์ยาถอนพิษที่บัณฑิตขี้โรคให้ไว้ กลิ่นเหล่านั้นจึงไม่มีผลกระทบใดๆ กับทั้งสี่คน


 


 


เมื่อเดินไปถึงตึกเล็กข้างๆ นายท่านเหลียงกับพ่อบ้าน รวมถึงองครักษ์ที่ชื่อเจิ้งขุยต่างไม่อยู่แล้วตามที่พวกเขาคาดไว้ หานหมิงซีมองหน้าบัณฑิตขี้โรคอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ดูท่าพวกเขาคงไปกันได้อย่างน้อยหนึ่งชั่วยามแล้ว แล้วอย่างนี้ท่านจะไปหาพกวเขาได้อย่างไร” หากมีคนท้องที่ที่เจนทางคอยนำทางให้ เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามต่อให้เดินทางท่ามกลางสายฝนก็สามารถเดินทางไปได้ไกลโขแล้ว


 


 


มุมปากของบัณฑิตขี้โรคยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างโหดเ**้ยม แล้วจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอเพียงพวกเขายังอยู่ในเขตหนานเจียง อย่างไรก็มิอาจรอดพ้นจากเงื้อมือของข้าได้ อีกอย่าง…เจ้าคิดว่าเหตุใดพวกมันถึงต้องมารอพวกเราที่นี่ นั่นเพราะที่ที่พวกมันจะไปอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่มีทางเกินยี่สิบลี้อย่างแน่นอน”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคค่อยๆ หยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งจากเสื้อออกมาเปิด มีผีเสื้อกลางคืนสีเขียวตัวเล็กๆ บินออกมาจากภายในกล่อง ผีเสื้อกลางคืนกระพือปีกขึ้นลงสองครั้ง ก่อนไปหยุดอยู่ตรงขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ที่เปิดอยู่ในมือของบัณฑิตขี้โรค ก่อนบินขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงบินลึกเข้าไปในค่ายนั้น


 


 


           “ไปกันเถิด” บัณฑิตขี้โรคเก็บขวดยาเล็กๆ ของตนกลับเข้าเสื้อด้วยความพอใจ แล้วจึงหันมาพูดกับทั้งสาม


 


 


           ทั้งสามคนเดินตามทางที่ผีเสื้อกลางคืนบินไป ไม่เหลือคนอยู่ในค่ายแล้วตามที่คิดไว้ เมื่อคืนเพราะมืดเกินไปจึงไม่มีใครทันสังเกตว่า ในค่ายๆ นี้ นอกจากโรงเรือนเล็กๆ สองโรงที่พวกเขาพักอยู่กันแล้ว บ้านหลังอื่นๆ ต่างมีสภาพซอมซ่อ ไม่เหมือนค่ายที่มีประชากรอยู่รวมกันเอาเสียเลย เป็นเหมือนบ้านพักชั่วคราวเสียมากกว่า


 


 


ผีเสื้อกลางคืนบินลึกขึ้นไปตามภูเขา งูและแมลงมีพิษตามทาง ล้มตายจากยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงของบัณฑิตขี้โรค เมื่อไม่มีคนคอยสั่งการ พวกงูและแมลงเหล่านี้ต่างก็รักชีวิตตนเองจึงมิได้รวมกลุ่มล้อมเข้ามาจ้องจะทำร้ายพวกเขาอีก เมื่อเดินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ผีเสื้อกลางคืนก็หยุดบินอยู่บริเวณริมหน้าผา หันมาบินวนไปมารอบตัวบัณฑิตขี้โรคไม่ยอมบินต่อไปอีก


 


 


           “คงมิใช่ว่าผีเสื้อกลางคืนของคุณชายพาเดินมาผิดทางกระมัง” หานหมิงซีพูดขึ้นยิ้มๆ


 


 


           บัณฑิตขี้โรคปรายตามองเขา ก่อนเก็บผีเสื้อตัวน้อยกลับเข้ากล่องแล้วหันมาพูดกับหานหมิงซีว่า “ลงไป”


 


 


           “ลงไปหรือ” หานหมิงซีถึงกับอึ้งไป ก่อนตั้งสติได้อย่างรวดเร็วแล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงว่า “ท่านบอกว่าให้ข้าลงไปหรือ! ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด ที่นี่คือหนานเจียงนะ ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะต้องลงไปลึกเพียงใด มีผู้ใดรู้บ้างว่าลงไปนี่จะมีงูพิษหรือสัตว์ประหลาดอันใดบ้าง ท่านจะให้ข้าลงไปหรือ!”


 


 


บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “วิชาตัวเบาของท่านเก่งกาจที่สุด มิเช่นนั้น จะให้คุณชายฉู่ลงไปก่อนหรือ”


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีแข็งเป็นหิน มองบัณฑิตขี้โรคลูบไล้นิ้วมือซ้ายของตนเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก่อนเหลือบไปมองเยี่ยหลีกับองครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้จะรู้จักกันได้เพียงไม่เท่าไร แต่หานหมิงซีก็รู้ดีว่าวิชาตัวเบาของจวินเหวยนั้นไม่ถือว่าดีเท่าไรนัก หากลงไปแล้วเกิดอันใดขึ้นเกรงว่าคงจะไม่ทันได้เอาชีวิตรอด จึงได้แต่ส่งเสียงเหอะๆ เบาๆ อย่างไม่เห็นขันด้วย “ลงไปก็ลงไป ท่านรอข้าอยู่นี่นะ!” รอให้ไปจากหนานเจียงก่อนเถิด ข้าจะจัดการคิดบัญชีกับเจ้า!


 


 


           หานหมิงซีแตะเท้าลงเบาๆ ก่อนตัวเขาจะลอยขึ้นประหนึ่งผีเสื้อสีแดงตัวยักษ์ กระโดดหมุนตัวลงหุบเขาไป บัณฑิตขี้โรคเอ่ยชื่นชมขึ้นเบาๆ ว่า “วิชาตัวเบาของคุณชายรองหานนี้ ร้ายกาจกว่าของคุณชายหมิงเย่ว์อยู่มากจริงๆ เสียด้วย” แต่ก็เพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณชายหมิงเย่ว์ที่มีทั้งความเจ้าแผนการ ความคิดความอ่านล้ำลึก และสามารถพลิกลิ้นได้ตลอดเวลาแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงไม่ค่อยเห็นหานหมิงซีอยู่ในสายตาสักเท่าไร เขาเพียงเห็นแก่ฐานะของคุณชายหมิงเย่ว์ และสัญญาว่าจะไม่ทำให้หานหมิงซีต้องตาย หรือทำให้ท่านหัวหน้าสำนักลำบากใจที่ต้องไปบอกกับคุณชายเฟิงเย่ว์เท่านั้น


 


 


           “จั๋วจิ้ง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วยืนอยู่ริมหน้าผาพร้อมมองลงไปด้านล่าง แต่ก็เห็นเพียงกลุ่มเมฆสีขาวปุย จนแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพเบื้องล่าง หุบเขานี้เกรงว่าจะลึกเสียยิ่งกว่าหน้าผาที่ยอดเขาเฮยอวิ๋นสักเท่าหนึ่งได้ หากคิดอยากอาศัยเพียงกำลังภายในในการลงไปด้านล่างเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้


 


 


องครักษ์ลับสามเดินเข้ามายื่นมือออกไปนอกหน้าผา ของบางอย่างที่ผูกอยู่ปลายเชือกสีเงินร่วงลงไปยังหุบเหวด้วยความรวดเร็ว พักใหญ่จึงเห็นองครักษ์ลับสามค่อยๆ ม้วนเชือกเก็บเข้ามาในฝ่ามือ พร้อมหันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชาย จากนี่ลงไปถึงหุบเขาทางด้านล่าง ลึกอย่างน้อยหนึ่งร้อยจั้ง อีกทั้ง…หินหน้าผายังลื่นมากอีกด้วยขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีนิ่งเงียบไป หนึ่งร้อยจั้งก็ประมาณสามร้อยเมตรได้ หน้าผาที่สูงชันเช่นนี้แต่กลับเรียบลื่นมาก แม้แต่หญ้าหรือต้นไม้ก็มีไม่มากนัก และดูจะไม่ใช่ต้นไม้ที่ขื้นตามธรรมชาติ ดูท่าว่าผีเสื้อของบัณฑิตขี้โรคจะมิได้นำทางมาผิด


 


 


           บัณฑิตขี้โรคมองท่าทางขององครักษ์ลับสามด้วยประกายตาแห่งความใคร่รู้ ในขณะที่กำลังจะเปิดปากถามนั้นเองก็มีร่างๆ หนึ่งทะยานขึ้นมาจากทางหุบเขาด้านล่าง ก่อนตกลงสู่พื้นโดยแรง


 


 


พอลงพื้นได้ หานหมิงซีก็เอ่ยปากด่าทอขึ้นทันที “เจ้าบัณฑิตขี้โรค! เจ้าคอยดูให้ดี หากเจ้าทำให้ข้าต้องตายที่นี่ ข้ารับประกันว่าคนของเทียนอี้เก๋อจะต้องตามฆ่าเจ้า!”


 


 


บัณฑิตขี้โรคสีหน้ายังคงเดิม ดูเขามิได้ใส่ใจคำขู่ของหานหมิงซีเลยแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ด้านล่างมีอันใดหรือ”


 


 


           หานหมิงซียิ้มเย็น “มีอันใดหรือ มีกับผีน่ะสิ ต่อให้มีอันใดจริง วิชาตัวเบาห่วยๆ กับร่างกายห่วยๆ ของเจ้าจะลงไปได้หรือ อย่าหวังจะให้ข้าพาลงไปเชียวนะ นอกเสียแต่ว่าเจ้าอยากตกลงไปกระดูกเหลกเหลวตายพร้อมข้า!” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้ว ในขณะที่หานหมิงซีพูดจาแดกดันด้วยความมาดร้าย


 


 


           ดูท่าเมื่อครู่ที่กระโดดลงไปคงไปเจออันตรายมาไม่น้อย การที่จะทำให้เขาลืมความโกรธแค้นที่มีต่อบัณฑิตขี้โรคได้เร็วที่สุด ก็คือการได้พูดจากระทบกระเทียบแดกดันเพื่อทำให้ความโกรธและอาการเสียขวัญของตนสงบลงโดยเร็ว


 


 


           “พี่หาน” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเสียงขรึม การยั่วโมโหบัณฑิตขี้โรคในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย


 


 


           หานหมิงซีก็มิใช่คนทำอันใดผลีผลาม เมื่อถูกเยี่ยหลีเอ่ยเรียกเตือน จึงรีบข่มความโกรธในใจของตนลง “ด้านล่างหุบเขาเป็นทุ่งดอกไม้ แต่ข้าคิดว่าดอกไม้พวกนั้นน่าจะเป็นดอกไม้มีพิษ ในทุ่งดอกไม้มีงูพิษอยู่เยอะมาก ดูเหมือนจะเป็นทางเข้าไปที่ใดสักแห่ง เพียงแต่…” เขามองบัณฑิตขี้โรคด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หินตรงหน้าผาถูกคนตั้งใจทำให้แทบไม่มีที่ให้ใช้เป็นแรงส่งอยู่เลย เมื่อครู่ข้ามิได้ล้อเล่น ด้วยวิชาตัวเบาของข้าไม่มีทางที่จะพาคนลงไปยังหุบเขาที่มีแต่งูพิษและสรรพสิ่งที่มีพิษเช่นนี้ได้ ส่วนพวกเจ้าทั้งสามคน…ด้วยวิชาตัวเบาของพวกเจ้า หากคิดอยากลงไปด้วยตนเอง ก็คงทำได้เพียงคาดหวังเท่านั้น” หานหมิงซีค่อนข้างภูมิใจในวิชาตัวเบาของตน


 


 


           “มิน่า เส้นทางนี้จึงไม่มีแม้แต่คนเฝ้ายามเลยสักคน เพราะมั่นใจว่าอย่างไรพวกเราก็หาทางไม่เจออย่างนั้นหรือ” บัณฑิตขี้โรคนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น หากเมื่อครู่คนที่ลงไปไม่ใช่คนที่มีวิชาตัวเบาที่แก่กล้าอย่างหานหมิงซีแล้ว เกรงว่าพวกเขาทุกคนคงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น “จะต้องมีทางอื่นอย่างแน่นอน ข้าไม่เชื่อว่าคนพวกนั้นจะมีวิชาตัวเบาที่แก่กล้ากันทุกคน”


 


 


หานหมิงซีเอ่ยด้วยความเย่อหยิ่ง “นั่นย่อมแน่นอน เจ้าคิดว่าวิช่าตัวเบาขั้นสูงนั้นสามารถร่ำเรียนกันได้ง่ายๆ หรือ เพียงแต่…ต่อให้มีเส้นทางอื่น ตอนนี้เจ้าจะหาพบหรือ” พวกเขาต่างไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเป็นเขตหนานเจียงที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ พวกคนหนานเจียงพวกนั้นเองก็มิใช่คนโง่ เขาคงไม่นั่งรอให้พวกเขาหาทางเจอหรอก


 


 


           “เจ้า…” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้วมองหานหมิงซี


 


 


หานหมิงซีรีบไปหลบหลังจั๋วจิ้ง แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่กล้าให้โผล่ออกมา “เจ้าอย่าเรียกข้า ต่อให้ข้าเข้าไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องวิทยายุทธ์นั้นข้าอ่อนด้อยนัก ข้าว่าต่อให้ด้านล่างเป็นปากทางเข้าจริง ก็คงใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ หากข้าเข้าไปเพียงคนเดียวอยากมากก็เพียงแหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น”


 


 


           “ด้านในคืออันใดกันแน่ ถึงได้สำคัญถึงเพียงนี้” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


           “เจ้ามีวิธีหรือ” บัณฑิตขี้โรคขมวดคิ้วมองนาง


 


 


           เยี่ยหลีไม่ตอบ แต่เอ่ยถามคำถามของตนซ้ำอีกครั้ง “สิ่งที่คุณชายต้องการหาคือสิ่งใดกันแน่”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ อีกฝั่งมีกันสามคน เขาตัวคนเดียวหากคิดอยากจับตัวฉู่จวินเหวยมาเพื่อต่อรองคงมิใช่เรื่องที่เป็นไปได้นัก พักใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “เป็นพิษประหลาดตัวหนึ่ง”


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความสนใจในแววตาของคนอื่นๆ ก็ลดลงไปกว่าครึ่งทันที หานหมิงซีเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ตัวคุณชายเป็นคนมีชื่อเสียงจากศาสตร์ยาพิษเหล่านี้ ในใต้หล้านี้ยังมีพิษอันใดที่สามารถทำให้คุณชายใจเต้นขนาดยอมพาตัวเองมาอยู่ในอันตรายเช่นนี้อีกหรือ”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น ประกายตาเต็มไปด้วยความมาดร้าย “เป็นยาที่…ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นและความตายได้”


 


 


เยี่ยหลีไม่มีความสนใจในพิษอะไรที่ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นหรือความตายได้ บนโลกใบนี้มีวิธีทำให้คนเจ็บปวดอยู่มากมายนัก ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อไปหายาพิษที่แปลกประหลาดนี้ ส่วนตัวพิษที่ทำให้คนไม่อาจร้องขอความเป็นหรือความตายได้นั้น หากคนคนหนึ่งต้องการร้องขอความตายแล้วมีวิธีตั้งมากมาย เหตุใดจึงจะตายไม่ได้กัน ที่ยังไม่ตายนั้นก็เป็นเพราะยังมีความหวังและยังมีห่วงอยู่เท่านั้นเอง แต่แววตามาดร้ายของบัณฑิตขี้โรคนั้นกลับทำให้เยี่ยหลีรู้สึกใจกระตุก ในหัวมีความคิดที่ยังพร่าเลือนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง 

 

 


ตอนที่ 80-2 ความลับใจกลางภูเขา

 

“ตัวคุณชายเองก็เป็นเทพแห่งศาสตร์ยาพิษอยู่แล้ว มีความจำเป็นใดจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อตามหาพิษประหลาดด้วยหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


           บัณฑิตขี้โรคหัวเราะขึ้นสั้นๆ ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและมาดร้าย แล้วเขาก็ไออย่างรุนแรง “ถูกแล้ว ข้ามีของดีอยู่ไม่น้อยจริง แต่นั่นยังไม่พอ…ในใต้หล้านี้ยาพิษที่ทำให้คนเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่นั้นอยู่ที่หนานเจียง หึหึ…”


 


 


           เยี่ยหลีตาโตมองเขา น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้นั้นแหลมสูงขึ้นเล็กน้อย “ได้ยินว่ายาพิษที่ทำให้คนเจ็บปวดที่สุดคือยาสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูก คนที่ได้รับพิษนี้ อวัยวะภายในจะถูกทำลาย กระดูกจะเปราะและต้องทนทรมานอยู่ถึงสี่สิบเก้าวันจึงจะตาย หรือว่ายังมียาพิษที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือ”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงได้ใจ “ถูกต้อง ยาสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูกมีพิษร้ายแรงนั้นจริงอยู่ แต่นั่นต้องกินเข้าไป อีกทั้งยังมีกลิ่นยาที่รุนแรง ต่อให้ใช้กลิ่นอื่นมากลบแต่ก็มิอาจหลอกหมอที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หรือคนที่มีประสาทรับกลิ่นไวได้ แต่สิ่งนี้ไม่เหมือนกัน หากนำมันมาทำพิษ มันจะกลายเป็นพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นโดยแท้จริง เพียงแค่หยดเดียวก็สามารถทำให้คนผู้นั้นตกนรกทั้งเป็นจนมิอาจกลับมามีชีวิตปกติได้อีกเลยตลอดชีวิต!”


 


 


           “ดอกโยวหลัวหมิงหรือ” หานหมิงซีถามขึ้นด้วยความใคร่รู้


 


 


           บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ ด้วยความดูแคลน “เจ้าคิดว่าที่หนานเจียงมีแต่ดอกโยวหลัวหมิงหรือ หากเทียบกับดอกโยวหลัวหมิงที่ถูกซ่อนไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงแล้ว สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งโลกหล้าที่แท้จริง…ดอกปี้ลั่ว”


 


 


           “ดอกปี้ลั่วหรือ” หานหมิงซีสีหน้ามึนงงสงสัย “ชื่อฟังดูงดงาม เพียงแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”


 


 


บัณฑิตขี้โรคสงเสียงเหอะเบาๆ อย่างดูแคลน


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ขึ้นสวรรค์ลงนรกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้ม “ถูกแล้ว ชื่อของพิษชนิดนี้มีชื่อว่า ปี้ลั่วหวงฉวนซึ่งมีความหมายว่า ขึ้นสวรรค์ลงนรกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


           “ฟังชื่อดูก็ไม่น่ามีอันใดเลยนะ” หานหมิงซีกล่าว หากเทียบสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูกแล้ว ชื่อนี้ถือได้ว่าเป็นโคลงกลอนประโยคหนึ่งเลยทีเดียว


 


 


           บัณฑิตขี้โรคยิ้ม “ฟังดูไม่มีอันใดจริงๆ แต่เมื่อพิษนี้เข้าสู่ร่างกายคน จะเข้าสู้เส้นเลือดในร่างกายทั้งหมดทันที หากไม่สูบเลือดในร่างกายออกจนไม่เหลือสักหยดแล้ว พิษชนิดนี้ก็จะไม่มีทางถอนออกได้ นั่นเพราะต่อให้มีวิธีการเปลี่ยนถ่าย แต่หากยังเหลือเลือดเพียงหนึ่งหยดที่มีพิษอยู่ มันก็จะกระจายตัวเข้าสู่เลือดสะอาดที่เข้ามาใหม่อย่างรวดเร็ว”


 


 


หานหมิงซีไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงให้ชื่อว่าปี้ลั่วหวงฉวนหรือ”


 


 


           “หึหึ…ส่วนหนึ่งเป็นสวรรค์ ส่วนหนึ่งเป็นนรก คนที่ได้รับพิษชนิดนี้ภายนอกจะดูเหมือนสบายดี แต่ภายในกลับค่อยๆ ถูกทำลายไปทีละน้อย ยิ่งพิษภายในร่างกายสะสมขึ้นมากเท่าไร ภายนอกก็ยิ่งดูงดงามขึ้นเท่านั้น แต่…เขาจะไม่สามารถแตะต้องคนหรือสิ่งของใดๆ ได้เลย”


 


 


           “สามารถแพร่เชื้อได้หรือ” เยี่ยหลีหลุบตาลงเอ่ยเสียงขรึม


 


 


           “ไม่สิ จะแพร่เชื้อได้อย่างไร” บัณฑิตขี้โรคพูดกลั้วหัวเราะ การเล่นกับพิษที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้นั้นน่าปวดหัวน่าดู ที่คนผู้นั้นไม่สามารถแตะต้องสิ่งของใดๆ ได้เลยนั้น นั่นเพราะอุณหภูมิความร้อนใดๆ ก็ตามในสิ่งมีชีวิตจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่และจะยิ่งกระตุ้นทำให้อวัยวะภายในถูกทำลายได้เร็วยิ่งขึ้น เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงหลบอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คน ค่อยๆ ให้ตนเองหมดสภาพและเน่าเปื่อยไป อา…แต่แขนขาของเขาจะค่อยๆ อ่อนเปลี้ยและพิการไปก่อน บางทีก่อนที่เขาจะหมดสภาพเขาอาจหิวตายก่อนก็เป็นได้”


 


 


           ทั้งสามคนในที่นั้นต่างได้ยินถึงความหนาวเย็นในน้ำเสียง และยิ่งเมื่อรวมกับน้ำเสียงกดต่ำของบัณฑิตขี้โรคแล้ว ถึงแม้ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังสาดแสงอย่างแรงกล้าแต่ก็ยังทำให้รู้สึกหนาวเย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูกอยู่ดี


 


 


           “ไม่น่าเป็นไปได้ หากเป็นเพียงพิษตัวหนึ่งแล้ว คงไม่อาจทำให้ผู้คนให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้” เยี่ยหลีเอ่ยชี้ถึงจุดนี้ขึ้นเรียบๆ ต่อให้เป็นยาพิษที่มีคุณค่ามากเพียงใดก็เป็นเพียงยาพิษ นอกเสียจากอยู่ในมือของคนอย่างบัณฑิตขี้โรคแล้ว เกรงว่าคุณค่าคงเทียบไม่ได้กับยาเม็ดถอนพิษที่สามารถถอนพิษของยาพิษได้เป็นร้อยชนิดได้


 


 


บัณฑิตขี้โรคตอบเสียงขรึม “ถูกต้อง ได้ยินว่าหากนำดอกปี้ลั่วไปผสมกับยาอีกประเภทหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ ตอนนี้ยาเม็ดถอนพิษที่สามารถถอนพิษเป็นร้อยชนิดได้นั้น อันที่จริงแล้วสามารถถอนได้เฉพาะพิษที่พบได้บ่อยๆ เท่านั้น แต่ยาเม็ดถอนพิษที่ทำจากดอกปี้ลั่วนั้น ขอเพียงคนผู้นั้นยังมีลมหายใจ ไม่ว่าจะถูกพิษอันใดหรือได้รับบาดเจ็บเพียงใดก็สามารถทำให้หายเป็นปกติได้ ทั้งยั้งทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย เจ้าว่า…สมบัติล้ำค่าเช่นนี้จะมีคนคิดแย่งชิงหรือไม่ หากคนแซ่เหลียงนั่นสามารถนำมันมาทำเป็นยาได้ ต่อให้เขาคิดเม็ดละหนึ่งหมื่นตำลึงทองก็ไม่มีใครคิดว่าแพงหรอก”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าปกปิดประกายวูบไหลในดวงตา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เป็นสมบัติล้ำค้าจริงๆ เสียด้วย ที่คุณชายตามหามันก็เพื่อเอาไว้รักษาคนหรือ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น “รักษาโรค ทำยาพิษได้ทั้งสองอย่าง”


 


 


           “เช่นนั้น…ถึงตอนนั้นแบ่งให้ข้าน้อยสักเม็ดหนึ่ง ก็น่าจะถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม


 


 


           บัณฑิตขี้โรคจ้องนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ค่าตอบแทนหรือ”


 


 


           “หรือว่าเวลาคุณชายขอความช่วยเหลือใคร ไม่เคยจ่ายค่าตอบแทนเลยหรือ ในเมื่อคุณชายบอกว่าสามารถนำไปรักษาโรคและสามารถนำไปทำยาพิษได้ เช่นนั้นข้าก็สามารถคิดได้ว่าดอกปี้ลั่วนี้ไม่ได้มีน้อยสักเท่าไร ข้าน้อยไม่เชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยา ได้ดอกลั่วปี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นข้าขอเป็นยาถอนพิษอายุวัฒนะสักเม็ดหนึ่งก็คงไม่ถือว่าเกินไปกระมัง”


 


 


แววตาบัณฑิตขี้โรคดูสับสน เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนตอยเสียงขรึมว่า “ข้ารับปากเจ้า”


 


 


           “ดีมาก”


 


 


           “ข้าลงไปเองได้” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยค้านขึ้น การให้ใครมาพาเขาลงไปนั้นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอซึ่งเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้


 


 


           จั๋วจิ้งปรายตามองเขา “หากไม่กลัวตกลงไปตายล่ะก็ คุณชายจะลองดูก็ได้”


 


 


           “เจ้า!” บัณฑิตขี้โรคหน้าบึ้งลงทันที


 


 


เยี่ยหลีกลับโบกมือที่มีเชือกเส้นหนึ่งในมือให้เขา ก่อนออกเดินไปยังจุดที่หานหมิงซีชี้ให้ แล้วจึงนำปลายตะขอเหล็กไปเกี่ยวกับที่ที่หนึ่งอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงได้โยนเชือกลงไป เยี่ยหลีจับเชือกไว้ก่อนค่อยๆ โรยตัวลงหน้าผาไป หานหมิงซียื่นหน้าลงไปมอง ยังเห็นภาพนางที่จับเชือกค่อยๆ โรยตัวลงไปด้านล่าง ถึงจะดูเหมือนเชื่องช้าแต่กิริยาท่าทางดูมีความคล่องแคล่วว่องไว ไม่เท่าไรก็หายลงไปในกลุ่มก้อนเมฆ


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ เชือกที่เคยเคลื่อนไหวน้อยๆ ก็หยุดนิ่งลง จากนั้นเชือกก็สั่นไหวแรงขึ้นจนปลายตะขอเหล็กที่เกี่ยวอยู่กับหินค่อยๆ เคลื่อนหลุดออก


 


 


“เอ๋…” หานหมิงซีรีบร้อนเข้าไปหมายจะคว้าไว้ แต่องครักษ์ลับสามพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร คุณชายลงไปถึงแล้ว” แล้วก็เป็นจริงดังที่เขาว่า เมื่อตะขอเหล็กหลุดออกมาได้ ปลายเชือกอีกด้านก็เหมือนถูกคนกระชากให้เชือกอีกครึ่งหนึ่งไหลลงหน้าผาไป


 


 


องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่อีกด้านก็เริ่มเตรียมตัวอย่างที่เยี่ยหลีทำเมื่อสักครู่ บัณฑิตขี้โรคเองก็ไม่ขัดขืนอีก เมื่อองครักษ์ลับสามเคลื่อนตัวลงไป เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงไปอยู่ข้างๆ องครักษ์ลับสามพร้อมจับเขาไว้แน่น ทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ครั้งนี้ดูช้ากว่าเยี่ยหลีอย่างเห็นได้ชัด


 


 


           หานหมิงซียืนอยู่ริมหน้าผาเพียงคนเดียว เขามองตะขอเหล็กที่เกี่ยวไว้กับก้อนหินยักษ์อย่างแน่นหนากับเชือกเส้นเล็กๆ นั้นด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมเอ่ยบ่นงึมงำขึ้นว่า “จวินเหวยนี่ช่างเป็นเด็กที่ประหลาดเสียจริง…”


 


 


           เมื่อตอนที่เยี่ยหลีโรยตัวลงมาได้ประมาณหกสิบจั้งก็เห็นว่าด้านข้างห่างไปไม่ไกล มีปากถ้ำขนาดกว้างประมาณหนึ่งความสูงคนกว่าๆ อยู่ถ้ำหนึ่ง ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อตอนที่พบว่าเชือกเส้นเล็กยาวนี้มีความแข็งแรงและมีประโยชน์มากนั้น ตนได้ต่อความยาวของเชือกขึ้นอีกมากพอดู มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าคงลงมาไม่ถึงที่นี่


 


 


นางกระเถิบตัวไปทางขวาเล็กน้อยก่อนออกแรงพุ่งตัวไป เยี่ยหลีลงยืนที่ข้างปากถ้ำ ก่อนยืนขึ้นอย่างมั่นคง ที่นี่มีปากถ้ำที่ดูลึกจนมองไม่เห็นก้นถ้ำอยู่จริงอย่างที่หานหมิงซีบอกไว้ ดูเหมือนเป็นทางที่คนขุดขึ้นบนหน้าผา เมื่อมองเข้าไปด้านในเห็นเป็นทางเดินดำมืดที่ไม่รู้พาไปที่ใด นางหันมองพื้น เห็นเป็นรอยเท้าที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ใหม่ๆ ดูท่าคนเหล่านั้นจะมั่นใจมาก ถึงขั้นไม่แม้แต่จะให้ใครมาคอยอารักขาที่ปากทางเข้าเลย


 


 


เยี่ยหลีเก็บเชือกด้วยความระมัดระวัง ก่อนเดินเข้าไปสามสี่ก้าวแล้วเฝ้ารอด้วยความตื่นตัว ผ่านไปอีกครู่ใหญ่องครักษ์ลับสามจึงได้พาบัณฑิตขี้โรคลงมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ทั้งสองยังไม่ทันยืนดี แม้แต่เชือกองครักษ์ลับสามก็ยังไม่ทันได้เก็บ หานหมิงซีก็กระโดดลงมาที่หน้าปากถ้ำแล้ว


 


 


           “พวกเขาเข้าไปจากที่นี่จริงๆ” เยี่ยหลีชี้ไปที่รอยเท้าที่พื้นกับเพดานถ้ำ “ระวังหน่อย บนหัวเราน่าจะมีค่ายกลอยู่ เมื่อตอนที่ข้าลงมา ข้าลองสังเกตดู บนหน้าผาน่าจะมีบางอย่างที่สามารถควบคุมค่ายกลได้อยู่ ดังนั้นพวกเขาคงมั่นใจว่าวิชาตัวเบาไม่สามารถลงมาได้ น่าเสียดายก็แต่เราไม่มีเวลาค่อยๆ หาเท่านั้น”


 


 


สีหน้าบัณฑิตขี้โรคไม่สู้ดีนัก ถึงแม้เมื่อครู่องครักษ์ลับสามจะพาเขาสงมา เขาจึงไม่ต้องเสียแรงมากนัก แต่ก็ยังเหนื่อยเขาไม่น้อย “ไปกันเถิด ยังไม่ต้องสนใจเรื่องค่ายกล”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านสามารถอดทนให้ไม่ไอได้หรือ”


 


 


           เขาพยักหน้าด้วยความหนักแน่น บัณฑิตขี้โรคหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากหน้าอก เขาเงยหน้ากระดกยาขวดนั้นเข้าปากด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่กว่าเดิม “วางใจได้ ข้าไม่ไอแล้ว”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า องครักษ์ลับสามเดินนำหน้าเข้าไปก่อน ตามด้วยบัณฑิตขี้โรค มีเยี่ยหลีและหานหมิงซีรั้งท้าย 

 

 


ตอนที่ 80-3 ความลับใจกลางภูเขา

 

เมื่อเดินเข้าไปได้ระยะหนึ่ง พื้นทางเดินก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัว แต่ยังดูแห้งดีอยู่ จนเมื่อเดินเข้าไปจนไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงได้หยิบแท่งไฟขึ้นมาจุด เยี่ยหลีขมวดคิ้ว การจุดไฟในทางเดินที่มีอากาศอยู่เพียงเบาบางนั้นมิใช่ความคิดที่ดีเสียเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว


 


 


หานหมิงซีที่เดินตามหลังมา มององครักษ์ลับสามและเยี่ยหลีที่เดินหันหลังให้กันแล้วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนหัวเราะขึ้นเบาๆ “จวินเหวย พวกเจ้าตื่นกลัวกันไปหรือเปล่า”


 


 


เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “เมื่อเทียบกับคนที่มีวิชาตัวเบาชั้นยอดเช่นท่านแล้ว ข้าจะไม่ตื่นกลัวได้หรือ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคหันมองทั้งสองคนทีหนึ่ง ก่อนยกแท่งไฟสูงขึ้นพร้อมเดินไปข้างหน้า ทางเดินที่สร้างอยู่กลางเขานี้ ดูมิได้สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ศัตรูหลงทาง ตลอดทางพวกเขาจึงไม่เจอทางแยกหรือเขาวงกตใดๆ เลย อีกทั้งทางยังเป็นทางที่ลาดลงไปเรื่อยๆ อีกด้วย


 


 


จนเมื่อเยี่ยหลีคิดว่าพวกนางใกล้จะลงถึงตีนเขานั่นเอง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว บัณฑิตขี้โรคยกมือขึ้นดับไฟจากแท่งไฟในมือ ก่อนหยุดยืนอยู่ที่หัวมุมทางเลี้ยวแล้วยื่นหน้าไปมอง เขาเห็นชายสองคนแต่งตัวเหมือนคนหนานเจียงยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ด้านหลังทั้งสองเป็นประตูบานหนึ่ง เสียงจ๊อกแจ๊กที่ได้ยินนั้นก็เป็นเสียงที่ดังลอดมาจากหลังประตูบานนั้น


 


 


           องครักษ์ทั้งสองดูจะไม่คิดว่าจะมีใครผ่านมาทางนี้จึงเอาแต่พูดคุยหัวเราะกัน แต่ทางตรงข้างหน้ามีความยาวอย่างน้อยๆ หนึ่งร้อยเมตร ทั้งยังค่อนข้างแคบ พวกเขาไม่มีใครสามารถจัดการกับคนเฝ้าประตูทั้งสองคนนั้นได้โดยไม่ให้เกิดเสียงดัง และหากทั้งสองคนนี้เกิดมีความเคลื่อนไหวใดๆ นั่นย่อมเป็นการทำให้คนด้านในรู้ตัวด้วย


 


 


           บัณฑิตขี้โรคหยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วเล็งไปยังทิศทางที่ทั้งสองอยู่ เกิดเสียงสวบๆ ดังขึ้นสองครั้ง แล้วคนหนานเจียงทั้งสองนั้นก็นิ่งแข็งขยับไม่ได้ทันที


 


 


ทั้งสี่รีบแทรกตัวเข้าไป บัณฑิตขี้โรคแทรกตัวเข้าไปในประตูก่อนเป็นคนแรก เมื่อตอนที่เยี่ยหลีเดินผ่านประตู นางหันไปมองคนเฝ้าประตูทั้งสองที่ยังยืนนิ่งอยู่ ก็เห็นว่าที่มุมปากของทั้งสองคนมีเลือดสีดำไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว แววตาของนางมืดครึ้มลง ก่อนที่เยี่ยหลีจะแทรกตัวตามเข้าไปในประตูบานใหญ่นั้น


 


 


           ความมืดสลัวและความเย็นของภายในถ้ำและภายนอกถ้ำนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่นี่มีความอบอ้าวและสว่างไสว ห่างไปไม่ไกลเริ่มมีผู้คนเดินไปเดินมาและมีการวางกำลังดูแลกันอย่างแน่นหนา แต่ทั้งสี่คนล้วนเป็นยอดฝีมือ หากต้องการหลบสายตาขององครักษ์เหล่านี้ย่อมมิใช่เรื่องยาก


 


 


           หานหมิงซียอบตัวหลบอยู่หลังแผ่นหินก้อนใหญ่ ก่อนมองไปด้านนอกด้วยความสนใจ ด้านนอกมีเสียงคนพูดคุยกัน และมีเสียงตีเหล็กดังมาเป็นพักๆ “นี่พวกเขากำลังทำอะไรกันน่ะ”


 


 


บัณฑิตขี้โรคเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พวกเขากำลังทำอาวุธ” พร้อมชี้มือไปยังที่ไกลๆ จุดที่เขาชี้ไปนั้นมีอาวุธที่เป็นรูปเป็นร่างแล้ววางอยู่ไม่น้อย


 


 


องครักษ์ลับสามหันไปส่งสัญญาณมือให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความเข้าใจ อาวุธที่คนพวกนั้นทำมิใช้อาวุธที่คนในยุทธภพหรือคนที่มีความชื่นชอบในอาวุธนิยมกัน แต่เป็นอาวุธทั่วไปที่ใช้ในสนามรบ ด้วยคนจำนวนมากและกำลังผลิตมากเช่นนี้ ดูว่าน่าจะเป็นการผลิตอาวุธให้กับกองทัพใดกองทัพหนึ่ง


 


 


           “นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราไปกันได้” บัณฑิตขี้โรคไม่มีความสนใจในอาวุธที่คนเหล่านี้ผลิต ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือดอกปี้ลั่ว


 


 


           “ท่านรู้ว่าชายแซ่เหลียงอยู่ที่ใดหรือ” หานหมิงซีเอ่ยถาม


 


 


           บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น “เขาหนีไม่รอดหรอก”


 


 


หานหมิงซีพยักหน้า “ข้านึกออกแล้ว ท่านวางยาเขาไว้หรือ ผีเสื้อตัวน้อยของท่านเล่า”


 


 


บัณฑิตขี้โรคปรายตาเยียบเย็นมองเขา ก่อนยืนขึ้นเดินไปอีกทางหนึ่ง


 


 


หานหมิงซียักไหล่พร้อมหันไปยิ้มให้เยี่ยหลีแล้วเดินตามไป


 


 


องครักษ์ลับสามเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณชาย อาวุธพวกนี้ผลิตให้กับกองทัพใดกองทัพหนึ่งของต้าฉู่ขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


องครักษ์ลับสามชี้นิ้วไปยังมีดที่วางเรียงอยู่ “คนหนานเจียงเคยชินกับการใช้มีดสั้น มีดของซีหลิงจะค่อนข้างเรียว ส่วนเป่ยหรงนั้น คนเป่ยหรงเก่งเรื่องทหารม้า พวกเขานิยมใช้อาวุธยาว หรือมีขนาดใหญ่ ส่วนอาวุธแบบนี้เป็นอาวุธที่ทหารต้าฉู่ของพวกเรานิยมใช้ขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนยืดตัวขึ้นเดินตามหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคไป


 


 


           ที่บัณฑิตขี้โรคเดาไว้นั้นไม่ผิดเลย ที่นี่เป็นลานผลิตอาวุธที่มีขนาดไม่เล็กนัก ในถ้ำที่กว้างใหญ่ทั้งสองถ้ำนั้น เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการหลอมอาวุธ ผู้ผลิตอาวุธส่วนใหญ่เป็นคนจากจงหยวนกว่าครึ่ง และมีส่วนหนึ่งเป็นคนหนานเจียง


 


 


ทั้งสองเดินตามบัณฑิตขี้โรคหลบคนเหล่านี้ไป เส้นทางเดินเป็นทางลาดลงและค่อยๆ พาพวกเขาออกห่างจากถ้ำผลิตอาวุธเข้าไปอีกถ้ำหนึ่ง เมื่อเทียบกับถ้ำก่อนหน้าที่ดูดิบๆ หยาบๆ แล้ว ถ้ำที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนวังใต้ดินที่ผ่านการตกแต่งมาแล้วเสียมากกว่า พื้นปูด้วยหินอ่อนที่ผ่านการแกะสลักมาอย่างสวยงามและพรมที่สวยงามและดูเข้ากันได้ดี


 


 


“คนพวกนั้นตายแล้วหรือยัง!” ทั้งสี่เดินเข้าไปใกล้ได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเสียงแหลมบาดหูดังลอยมาจากด้านใน เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นั่นเป็นเสียงของพ่อค้าวาณิชแซ่เหลียงผู้นั้น ตอนนี้น้ำเสียงของเขาไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่ฟังดูเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม แต่กลับฟังดูมีความร้อนใจและอำมหิต


 


 


           “ท่านวางใจได้ พวกมันหนีไปไม่ได้หรอก” เสียงของเล่อเจียงที่เป็นหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ดังขึ้น


 


 


           “เหตุใดเจ้าจึงไม่ส่งคนไปฆ่าพวกมันทิ้งเสีย!” นายท่านเหลียงพูดด้วยความไม่พอใจ “เจ้าบัณฑิตที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่นน่ากลัวนัก หากไม่รีบฆ่าเขาให้ตายเขาจะต้องเป็นปัญหาในภายหลังแน่นอน หากมิใช่เพราะเขาตามข้ามาด้วย ข้าคงมาถึงหนานเจียงเร็วกว่านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็สลัดเขาไม่หลุด! แล้วยังเจ้าคนแซ่หานนั่นอีก ดูมันจะรู้จักเจ้าขี้โรคนั่นด้วย จะให้พวกมันมีชีวิตรอดไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอันใดก็ตาม!”


 


 


           “ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอันใดก็ตามหรือ” เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนเอ่ยแดกดันว่า “สิ่งที่ต้องแลกมานั่นผู้ใดเป็นคนเสียหรือ คนพวกนั้นไม่ธรรมดา ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ แม้แต่ฝูงงูยังทำอันใดพวกเขาไม่ได้ ชายหนุ่มในเผ่าหลัวอีปู้ของพวกเราล้วนมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากขึ้นไปต่อสู้กับพวกเขาตรงๆ จะต้องสละชีวิตคนไปเท่าไร ท่านคิดว่าคนเผ่าหลัวอีปู้ของข้ามีมากเช่นคนต้าฉู่ของท่านที่ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมดอย่างนั้นหรือ”


 


 


           “เจ้าอย่าลืมนะ…” นายท่านเหลียงพูดด้วยความโกรธ


 


 


เล่อเจียงพูดเสียงดังขัดขึ้น “ท่านวางใจได้ ข้าไม่ลืมว่าข้าควรต้องทำสิ่งใด แต่เรื่องที่เกินจากขอบเขตที่ตกลงกันไว้นั้น ท่านอย่าได้มาออกคำสั่งกับข้าจะดีกว่า” ดูเหมือนคนด้านในจะนิ่งไป


 


 


พักใหญ่นายท่านเหลียงจึงได้เปิดปากพูดขึ้นว่า “แต่ว่า…หากคนพวกนั้นหนีไปได้ เจ้าคิดว่าพวกมันจะปล่อยพวกเราไปไหม สามคนนั้นข้าไม่รู้ แต่ชื่อเสียงของเจ้าขี้โรคนั่นข้าคิดว่าท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง เขาเป็นหัวหน้าสำนักสามแห่งสำนักเยี่ยนอ๋องแคว้นซีหลิงเชียวนะ”


 


 


           “เหตุใดท่านถึงได้ไปยั่วยุคนของสำนักเยี่ยนอ๋อง!” เล่อเจียงดูโกรธจัดขึ้นทันที เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน


 


 


           “ข้าจะไปรู้ได้ย่างไร! ข้าออกเดินทางได้ไม่กี่วันเขาก็เข้ามาหาข้าได้อย่างไรไม่รู้ ข้าคิดจะไล่เขาไปยังไม่ได้ เจ้านั่นขึ้นชื่อเรื่องแค้นต้องชำระ ข้าจะไปทำอันใดได้”


 


 


           “เช่นนั้นท่านถึงได้พาเขามาที่หนานเจียงนี่ด้วย!” เล่อเจียงกัดฟันกรอดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงได้ส่งเสียงเหอะขึ้น “ข้ารู้แล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปจัดการพวกมันให้เร็วที่สุด ท่านวางใจได้ ทางลงเขานี่ถูกปิดตายไปนานแล้ว ตอนนี้บนเขานั่นมีแต่แมลงและงูมีพิษเต็มไปหมด ต่อให้เขาเป็นบัณฑิตขี้โรคที่ชำนาญด้านการใช้ยาพิษ ข้าก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถวางยางูพิษและแมลงมีพิษทั้งภูเขาได้!”


 


 


           “สรุปก็คือระวังไว้หน่อย จะต้องเห็นศพเขาให้ได้ หากท่านลงมือฆ่าพวกเขาเสียตั้งแต่แรก คงไม่ต้องวุ่นวายเช่นนี้”


 


 


           เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น “เขาไม่ออกห่างจากข้างกายท่านเลยแม้แต่ก้าวเดียว ท่านคิดว่าพวกเราจะฆ่าเขาได้ก่อนหรือเขาจะฆ่าท่านได้ก่อนหรือ ข้าจะออกไปสั่งการ ท่านอยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน อย่าลืมของของท่านล่ะ หากนายท่านมิได้ของที่ท่านต้องการ ท่านคงรู้ผลที่จะตามมา!”


 


 


เสียงลมหายใจของนายท่านเหลียงชะงักไป รีบพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ ของครึ่งหนึ่งนั้นข้านำมาด้วยแล้ว ท่านเอาอีกครึ่งมาให้ข้าเถิด”


 


 


           เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ “เดิมทีนั่นก็เป็นของของหนานเจียงเรา”


 


 


           หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์แล้ว นายท่านเหลียงมิใช่คนอ่อนแอ “ของอยู่ในมือข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะได้มันมาได้อย่างไร”


 


 


           “นั่นเป็นของที่ท่านอ๋องหนานจ้าวคนก่อนฝากให้ตระกูลเหลียงช่วยดูแลเท่านั้น มิได้ให้ท่าน” เล่อเจียงเอ่ยเสียงขรึม


 


 


           “ฮ่าๆ เช่นนั้นแล้วอย่างไร เจ้าเองก็รู้ว่านั่นเป็นของของราชวงศ์หนานจ้าวมิใช่ของของพวกเจ้ามิใช่หรือ” นายท่านเหลียงพูดกลั้วหัวเราะ “ข้ามิได้ส่งมันให้คนของราชวงศ์หนานจ้าวก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ”


 


 


           “มิใช่พวกเราที่จ่ายค่าตอบแทนมากกว่าหรือ หากท่านส่งให้ราชวงศ์หนานจ้าว นอกจากคำขอบคุณเพียงไม่กี่ประโยคแล้วท่านคงไม่ได้อย่างอื่นอีกเลย” เล่อเจียงหัวเราะเสียงเย็น


 


 


           นายท่านเหลียงพูดว่า “พวกเจ้าอยากได้สมบัติล้ำค่า ข้าอยากได้เงิน ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการมิใช่หรือ ดังนั้น ทางที่ดีเจ้าเอาของอีกครึ่งมาให้ข้าเสียดีกว่า อย่าได้เล่นลูกไม้อีกเลย ภูเขาลูกนี้คงถูกพวกเจ้าทะลวงจนใกล้กลวงหมดแล้วกระมัง หากไม่มีข้าพวกเจ้าไม่มีทางหาสมบัติล้ำค่านั่นเจอเด็ดขาด อีกอย่าง อย่าได้คิดที่จะฆ่าข้าปิดปากเชียว อย่าลืมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังข้าคือ…”


 


 


           น้ำเสียงได้ใจของนายท่านเหลียงนั้นดูจะทำให้เล่อเจียงไม่สบายใจอยู่มาก แต่เขากลับทำอันใดไม่ได้ ทำได้แต่เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ารู้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะนำมาให้ ให้ดีท่านอย่าได้เล่นลูกไม้เชียว นายท่านบอกไว้แล้วว่า อย่างช้าครึ่งเดือนจะต้องได้เห็นของ มิเช่นนั้น…ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเป็นโอรสสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์!”


 


 


           นายท่านเหลียงหัวเราะเสียงดังด้วยความได้ใจ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้พูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าวางใจได้ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับนายท่านของเจ้าเป็นเช่นไรข้ารู้ดี ข้าก็มิใช่คนที่ไม่รู้ว่าอันใดควรไม่ควร ของเพียงนำของมาให้ข้า เมื่อไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนานจ้าว ข้ารับประกันว่าจะนำของมาส่งให้เจ้าตรงหน้าทีเดียว”


 


 


           “เช่นนั้นก็ดี!” เล่อเจียงพูด เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังห่างไปเรื่อยๆ ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงบ เหลือเพียงเสียงหายใจหนักๆ ของนายท่านเหลียงเท่านั้น


 


 


           ทำอย่างไรดี ทั้งสี่ยืนเงียบอยู่ที่มุมๆ หนึ่ง หานหมิงซีส่งสายตาให้บัณฑิตขี้โรค บัณฑิตขี้โรคหลุบตาลง ใบหน้าที่เดิมนิ่งขรึมอยู่มีรอยยิ้มมาดร้ายปรากฏขึ้น


 


 


หานหมิงซีตัวสั่นน้อยๆ เหลือบมองนายท่านเหลียงที่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ด้านในด้วยความสงสาร ไม่รู้ว่าตาเฒ่านี่จะต้องถูกทรมานจนกลายสภาพเป็นเช่นไร

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม