วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 784-795

ตอนที่ 784 เธอเสียสละเพื่อผมมามากพอแล้ว

 

ไป๋ลี่หวาตรวจดูร่างกายของกั่วกั่ว เพราะภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เขาจึงบอบบางกว่าถังถังมาก ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ แต่ความแตกต่างนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเด็กชายทั้งสองเติบโตขึ้น และเพราะความต่างนี้ เด็กชายทั้งสองนั้นจึงถูกลิขิตให้เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ก่อนพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนจะจัดขึ้น ถังหนิงเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ อย่างเป็นทางการแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้กั่วกั่วไม่ได้ป่วยหนักมาก เขาเพียงเป็นหวัดและมีไข้เท่านั้น แต่ในบ่ายวันหนึ่ง ไป๋ลี่หวาเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นเธอจึงโทรหาโม่ถิงที่กำลังทำงานอยู่ทันที


 


 


“เราต้องส่งกั่วกั่วเข้าโรงพยาบาลแล้วล่ะ มีบางอย่างไม่ปกติ”


 


 


โม่ถิงทิ้งทุกสิ่งแล้วรีบกลับบ้านทันที ชายหนุ่มยังสั่งให้ลู่เช่อติดต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ฝีมือที่สุดมาอีกด้วย


 


 


หลังจากไปถึงโรงพยาบาล กั่วกั่วก็เข้ารับการตรวจทันที ในตอนท้าย ผลการตรวจยืนยันว่าปอดของกั่วกั่วนั้นไม่เติบโตอย่างเหมาะสมและจำเป็นต้องได้รับการรักษาระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษ ปัญหาเรื่องปอดถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากพวกเขาไม่ระมัดระวัง เด็กชายคนนี้สามารถตายในตอนที่อายุยังน้อยได้!


 


 


“คุณโม่คะ คุณสามารถติดต่อถานซูหลิงกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยค่ะ เธอเชี่ยวชาญในการรักษาเด็ก แต่โชคไม่ดีนักที่ตอนนี้เธออยู่ที่ต่างประเทศและจะกลับมาในอีกสองสามวัน”


 


 


โม่ถิงมองไปยังกั่วกั่วผู้เพิ่งผล็อยหลับไปหลังจากผ่านความยากลำบากมาด้วยความเศร้าสร้อย


 


 


ไป๋ลี่หวาตอบคำถามของหัวหน้าพยาบาลอยู่สองสามข้อก่อนจะเอ่ยถามโม่ถิงว่า “เราควรบอกลูกหนิงไหม”


 


 


“ผมจะบอกเธอด้วยตัวเองหลังจากที่ ‘ผู้รอดชีพ’ ถ่ายทำเสร็จครับ” โม่ถิงตอบ เขารู้ว่าหากเขาบอกถังหนิงตอนนี้ เธอจะทิ้งทุกอย่างและกลับมาบ้านเพื่อดูแลกั่วกั่ว


 


 


“ดีจ้ะ” ไป๋ลี่หวาพยักหน้า “รอจนกว่าหมอจะรายงานอาการล่าสุดของกั่วกั่วแล้วรอให้เขาอาการคงที่ขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


ครั้งนี้กั่วกั่วมีไข้อยู่ร่วมสองวัน ตอนนั้นเองที่คุณถานซูหลิงยอดฝีมือกลับมาถึงประเทศจีนในที่สุด หลังจากได้ยินเรื่องอาการของกั่วกั่ว เธอก็ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันทีทั้งที่ยังไม่ได้เอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า


 


 


หมอคนนี้อายุเพียงยี่สิบแปดปีเท่านั้น แต่เธอได้ปรากฏตัวบนปกนิตยสารทางการแพทย์อยู่บ่อยๆ และชนะรางวัลมาแล้วมากมาย


 


 


ถานซูหลิงชอบเด็กๆ ดังนั้นเธอจึงเลือกเรียนเอกกุมารแพทย์ช่วงที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศอเมริกา หลังจากกลับมาที่ประเทศจีน หญิงสาวก็จดจ่ออยู่กับการค้นคว้าเรื่องความผิดปกติของเด็กที่พบได้ยาก


 


 


“อาการของกั่วกั่วไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เห็น แต่เขาต้องมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเป็นประจำค่ะ”


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะ คุณถานซูหลิง” ไป๋ลี่หวาตอบ


 


 


“แม่ของเด็กอยู่ที่ไหนเหรอคะ” ซูหลิงหันมาถามไป๋ลี่หวา


 


 


“ลูกหนิงยังไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ…”


 


 


แม้ซูหลิงจะไม่ได้สนใจข่าวบันเทิงเท่าไหร่ แต่เธอก็ยังเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของถังหนิงมาบ้าง ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้า “ฉันรู้ว่าสาธารณชนจับตามองทั้งครอบครัวของคุณอยู่ แต่ฉันขอแนะนำให้แม่เด็กเป็นคนพาเขามาที่นี่ในครั้งต่อไปนะคะ”


 


 


“ตกลงค่ะ” ไป๋ลี่หวาพยักหน้า


 


 


หลังจากนั้น โม่ถิงก็อุ้มกั่วกั่วออกจากโรงพยาบาล แน่นอนว่ามีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้


 


 


“สาวๆ ลูกครึ่งนี่หน้าตาสะสวยจริงๆ” แม้ไป๋ลี่หวาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเช่นนี้ แต่เธอก็อดถอนหายใจไม่ได้หลังจากที่เห็นใบหน้าของซูหลิง “เธอเป็นถึงหมอเลยนะ ไม่เลวเลย ถ้าแม่มีลูกชายอีกคน แม่คงบอกให้จีบเธอแล้วล่ะ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบพลางกอดกั่วกั่วที่กำลังหลับใหล ไม่มีใครรู้ได้ว่าหัวหน้าครอบครัวคนนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่


 


 


ไป๋ลี่หวาเดาอย่างคร่าวๆ ว่าชายหนุ่มกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แม่รู้ว่าลูกกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ลูกกลัวว่าลูกหนิงจะเป็นกังวลและเลิกใช้ชีวิตในแบบของเธอเพราะกั่วกั่วใช่ไหม”


 


 


“ผมไม่ได้แค่กังวลหรอกครับ ผมรู้ว่าเธอจะทำแบบนั้นอย่างแน่นอน”


 


 


“แต่ลูกก็ไม่ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากลูกหนิงนานเกินไปนะ เธอเป็นแม่ของกั่วกั่ว คนเป็นแม่จะถูกห้ามไม่ให้รู้เรื่องลูกของตัวเองได้ยังไง อีกอย่าง ลูกหนิงเป็นคนช่างสังเกตมาก ทันทีที่เธอกลับมาบ้าน เธอจะรู้ได้อย่างแน่นอนว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับกั่วกั่ว”


 


 


“หลังจากที่เธอถ่ายภาพยนตร์เสร็จเรียบร้อย ผมจะบอกเธออย่างแน่นอนครับ


 


 


“เธอเสียสละเพื่อผมมามากพอแล้ว”


 


 


อย่างไรก็ตาม คนเป็นแม่และลูกของเธอนั้นมีสายสัมพันธ์ตามธรรมชาติอยู่ คืนนั้นถังหนิงโทรกลับมาถามถึงลูกๆ ของเธอและถามอย่างเฉพาะเจาะจงว่ากั่วกั่วมีไข้อีกหรือไม่


 


 


โม่ถิงตอบไปอย่างซื่อสัตย์ว่ากั่วกั่วไม่สบายเล็กน้อย แต่ตอนนี้กำลังอาการดีขึ้น


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็เงียบไปชั่วขณะ และทันทีที่เช้าวันถัดมามาถึง หญิงสาวก็ขอตัวกลับบ้าน หลังจากที่ได้เห็นว่าลูกชายทั้งสองของเธอแข็งแรงและร่าเริงดี หญิงสาวจึงผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย


 


 


โม่ถิงเข้าสวมกอดถังหนิงจากด้านหลัง เขาเอาคางเกยไหล่ของเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงกลับบ้านล่ะครับ”


 


 


“ฉันฝันว่ากั่วกั่วมีไข้ ก็เลยกลับมาดูเขาให้สบายใจน่ะค่ะ” ถังหนิงตอบอย่างอ่อนโยน “อีกอย่าง ช่วงนี้ฉันมีฉากที่ต้องแสดงไม่เยอะเท่าไหร่ หลังจากนี้เราจะย้ายกองไปอยู่บนภูเขา ฉันจะลงมาเจอทุกคนได้ยากขึ้นถึงจะอยากมามากแค่ไหนก็ตาม”


 


 


“โธ่ คุณภรรยา”


 


 


โม่ถิงตระหนักดีว่าถังหนิงรักลูกๆ ทั้งสองของพวกเขาแค่ไหน


 


 


“ถิงคะ ส่งคลิปของเด็กๆ มาให้ฉันทุกวันนะคะ ฉันต้องคิดถึงพวกเขามากแน่ๆ”


 


 


“ผมพาเด็กๆ ไปเฝ้าคุณที่ทำงานได้เสมอเลยนะครับ!”


 


 


“บ้าหรือเปล่าคะ ที่กองถ่ายสภาพอากาศแย่มาก ฉันไม่อยากให้คุณกับเด็กๆ ต้องไปทรมาน อีกอย่าง ทุกคนที่กองถ่ายจะหัวเราะเยาะฉันด้วย” ถังหนิงหัวเราะคิกคัก “อย่าห่วงเลยค่ะ น่าจะถ่ายทำอีกไม่นาน ทันทีที่ฉันมีเวลา ฉันจะกลับมาบ้านค่ะ”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่กอดถังหนิงให้แน่นขึ้น


 


 


มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าชายหนุ่มอยากเจอเธอแค่ไหน


 


 


เพราะในฐานะพ่อ เขาเองก็มีความกลัวเช่นกัน


 


 


และถังหนิงดูเหมือนจะสัมผัสความกลัวนั้นได้ ดังนั้นเธอจึงกลับมาบ้านและปรากฏตัวตรงหน้าเข้าในเวลาที่เขาคิดถึงเธอมากที่สุด


 


 


“จดจ่อกับการถ่ายทำของคุณเถอะครับ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไห่รุ่ยจะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องห่วงครับ”


 


 


ปีที่ผ่านมา ถังหนิงเพิ่งกลับบ้านไปพร้อมกับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และในปีนี้ เธอก็ตั้งใจจะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอง


 


 


ด้วยความที่ถังหนิงมีฝีมือในการแสดงและมีภาพยนตร์ดีๆ อยู่มากมาย โม่ถิงจึงเชื่อว่ารางวัลนั้นตกมาอยู่ในมือของถังหนิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


 


“คุณพ่อถิง วันนี้คุณดูแปลกไปนิดๆ นะคะ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบอะไรแล้วประกบปากจูบหญิงสาว


 


 


แม้ถังหนิงจะดูเหมือนเชื่อคำพูดของโม่ถิงที่บอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หญิงสาวก็ยังโทรหาลู่เช่อเมื่อกลับถึงกองถ่ายแล้วเพื่อดูว่าเธอจะสามารถล้วงข้อมูลอะไรจากเขาได้ไหม แต่แน่นอนว่าโม่ถิงรู้วิธีการเก็บความลับ ดังนั้นแม้แต่ลู่เช่อเองก็ไม่รู้เรื่องอาการป่วยของกั่วกั่ว


 


 


ไม่นานนัก ถังหนิงก็ย้ายไปกองถ่ายใหม่ที่อยู่ในหุบเขา ระหว่างนั้นเองที่ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงประจำปี


 


 


ชื่อของถังหนิงอยู่ท่ามกลางรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมตามที่คาดเอาไว้ แต่ในตอนนั้นเองที่กั่วกั่วล้มป่วยอีกครั้ง


 


 


“คุณถังหนิงไม่มาอีกแล้วเหรอคะ” ซูหลิงสังเกตเห็นว่านี่เป็นอีกครั้งโม่ถิงมาที่โรงพยาบาลคนเดียว ดังนั้นเธอจึงเริ่มมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อถังหนิง “ไม่ว่าภาพยนตร์ของเธอจะสำคัญแค่ไหน ก็ไม่มีทางสำคัญไปกว่าลูกของเธอเองหรอกนะคะ”


 


 


โม่ถิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น


 


 


ในครั้งนี้ เขาจะถือว่ามันคือความกังวลของหมอที่มีต่อคนไข้ แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับถังหนิงอีก เขาจะไม่อยู่เงียบๆ แน่


 


 


“อาการไข้ของเขาแย่ลงและระบบภูมิคุ้มกันของเขาก็อ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จากนี้ไปคุณไม่สามารถพาเขาออกไปข้างนอกได้แล้วนะคะ แล้วก็ระวังไม่ให้เขาตากลมนานเกินไปด้วย” ซูหลิงไม่ได้รับคำตอบจากโม่ถิง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนประเด็น


 


 


แต่หลังจากที่โม่ถิงจากไป คุณหมอสาวก็เริ่มคุยกับผู้ช่วยของเธอว่า “ผู้ชายในวงการบันเทิงที่เป็นห่วงเป็นใยครอบครัวและลูกของตัวเองนี่หาดูได้ยากนะ แย่หน่อยที่ถังหนิงไม่ใช่แม่ที่ดี เธอใช้เวลาทั้งวันไปกับการพยายามเอาใจผู้ชมแต่กลับไม่เจียดพลังมาดูแลลูกของตัวเองสักนิดเลย”

 

 

 


ตอนที่ 785 พ่อกับแม่ไม่ชอบลูกสาวเหรอ

 

“ใช่ไหมล่ะ ลูกตัวเองป่วยอยู่แท้ๆ มัวแต่ไปถ่ายภาพยนตร์ โตขึ้นลูกจะไม่เกลียดเธอแย่เลยเหรอ”


 


 


ในสายตาคนเป็นหมอ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนที่ครองโลกหรือเป็นเพียงขอทานที่ต่ำต้อยบนท้องถนน พวกเขาก็หลีกเลี่ยงการใช้ยา การฉีดยาและการเข้าโรงพยาบาลไม่ได้


 


 


ดังนั้นแม้ว่าถังหนิงจะมีเหตุผลอันแสนสำคัญ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าเธอกำลังลบหลู่ความเป็นแม่ของตัวเองด้วยการไม่อยู่เคียงข้างลูกยามที่เขาเจ็บไข้


 


 


ซูหลิงไม่พูดอะไรแต่หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาค้นชื่อของถังหนิง ที่โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ถังหนิงจะชนะรางวัลเฟยเทียนสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม


 


 


“เอ่อ ดูนี่สิ เธอกำลังจะชนะรางวัลล่ะ”


 


 


หลังจากเห็นข่าวที่ว่า ซูหลิงก็เก็บโทรศัพท์ของเธอแล้วแสยะยิ้มก่อนจะกลับไปรักษาคนไข้ต่อ


 


 


เธอเคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ของโม่ถิงและถังหนิงมาก่อน พวกเขาดูจะไปกันได้สวย แต่ทำไมผู้เป็นพ่อถึงได้โผล่มาคนเดียวในตอนที่ลูกของพวกเขากำลังล้มป่วยล่ะ


 


 


อีกอย่าง ทำไมโม่ถิงถึงไม่เคยพูดถึงถังหนิงเลย เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาแสร้งทำต่อหน้าทุกคน


 


 


ซูหลิงคุ้นเคยกับการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ดี แต่ละฝ่ายต่างก็ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่เด็กคือฝ่ายที่น่าสงสารที่สุด ดูเหมือนว่าผู้ชายอย่างโม่ถิงต้องการเพียงแค่คนที่เหมาะสมจะมอบลูกให้เขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะมีผู้หญิงเพียงคนเดียว


 


 



 


 


แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ถังหนิงย้ายกองไปอยู่ในหุบเขา โม่ถิงก็พาลูกๆ ไปเยี่ยมเธอเพียงเพราะเขาคิดว่าเธอจะคิดถึงพวกเขา


 


 


วันนั้นถังหนิงเพิ่งถ่ายทำเสร็จและเนื้อตัวยังเปรอะเปื้อนไปหมด ขณะที่เธอเห็นโม่ถิงอุ้มเด็กน้อยทั้งสองมาจากไกลๆ หญิงสาวก็ยิ้มออกมาบางๆ


 


 


ตัวประกอบในกองถ่ายพูดขึ้นมาทันทีว่า “ถังหนิง ตั้งแต่เธอมาร่วมแสดงด้วยเนี่ย ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย มีแค่ท่านประธานโม่คนเดียวสินะที่ได้เพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติอันแสนพิเศษนี้!”


 


 


“พี่หนิงคะ ท่านประธานโม่กำลังอุ้มลูกของพี่อยู่ แต่เด็กอีกคนคือลูกของใครเหรอคะ ทำไมเขาถึงอุ้มมาสองคนล่ะ”


 


 


“ฮืม ฉันคิดว่าเด็กอีกคนก็เป็นลูกฉันเหมือนกันนะ…เพราะฉันคลอดลูกแฝดน่ะ” ถังหนิงยิ้ม


 


 


ตัวประกอบทั้งหลายยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความประหลาดใจก่อนจะชูนิ้วโป้งให้เธอ “พี่นี่ยอดไปเลยค่ะ! พี่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนเลยนี่คะ”


 


 


“หวังว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพื่อฉันได้นะ…”


 


 


หลังจากพูดจบ ถังหนิงก็เดินเข้าไปหาพ่อลูกทั้งสามโดยที่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าโม่ถิงผู้น่าเกรงขามจะมาปรากฏตัวที่กองถ่ายพร้อมลูกๆ ของเขา ฉากตรงหน้านี้มันยากเกินจะจินตนาการจริงๆ


 


 


จริงๆ แล้วมันเป็นการทำผิดกฎข้อตกลง แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นกับตาตัวเอง กลับดูเป็นธรรมชาติและอบอุ่นด้วยเหตุผลบางอย่าง


 


 


“ทำไมจู่ๆ ถึงมาล่ะคะ”


 


 


“ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดเถอะครับ พวกเราจะรอคุณอยู่ในห้อง” โม่ถิงตอบ


 


 


“ได้ค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า ไม่นานคู่รักก็หายไปจากสายตาของทุกคนพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ฉากที่ทั้งกองถ่ายเพิ่งจะได้เห็นนั้นทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมครอบครัวนี้เหลือเกิน


 


 


“ท่านประธานโม่กับพี่หนิงนี่น่ารักกันเสียจริง พวกเธอเห็นความอบอุ่นและความรักในดวงตาของท่านประธานโม่ตอนที่เขามองไปที่พี่หนิงไหม พวกเขาจะดูสมบูรณ์แบบได้มากกว่านี้อีกไหมนะ”


 


 


“เห็นกันทุกคนอยู่แล้ว ฉันอิจฉาพี่หนิงจริงๆ …เธอมีลูกที่น่ารักตั้งสองคนแน่ะ เธอคือผู้ชนะในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงเลยล่ะ”


 


 


เพราะสถานะที่ถังหนิงค่อยๆ ก่อร่างสร้างสมมาอย่างช้าๆ ทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ ทุกคนในกองถ่ายก็ดูแลเธอเป็นอย่างดีและปฏิบัติกับเธอด้วยความเคารพโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าเธอคือ ‘พี่ใหญ่’ ของวงการ แต่แน่นอนว่านั่นยังเป็นเพราะถังหนิงสมควรได้รับความรักและความเคารพอีกด้วย


 


 


หลังจากก้าวเข้าไปในห้องของเธอ ถังหนิงอาบน้ำล้างตัวอย่างว่องไวโดยไม่แม้แต่จะกังวลเรื่องปกปิดรอยถลอกและบาดแผลที่เธอได้รับมาจากการถ่ายทำ หญิงสาวพุ่งตัวไปหาโม่ถิงและลูกๆ อย่างรวดเร็ว


 


 


โม่ถิงสังเกตเห็นเลือดที่ข้อมือของหญิงสาวแล้ว เมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจมัน เขาจึงวางลูกๆ ลงแล้วดึงถังหนิงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “คุณเจ็บตัวมาเหรอครับ”


 


 


“ภาพยนตร์เรื่องนี้มันค่อนข้างอันตรายน่ะค่ะ” ถังหนิงตอบอย่างซื่อตรง “ฉันพยายามระมัดระวังอย่างที่สุดแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุค่ะ”


 


 


โม่ถิงไม่ตอบ เขาเพียงแต่พยักพเยิดให้เธอไปหยิบกล่องยาแล้วเริ่มช่วยเธอล้างแผล “ไม่ว่าแผลจะเล็กน้อยแค่ไหน คุณก็ต้องรักษามันนะครับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นรอยแผล”


 


 


ถังหนิงมองเจ้าสองแสบที่กำลังคลานไปมาอยู่บนเตียงแล้วอดดึงพวกเขามาไว้ในอ้อมแขนไม่ได้ เธอจูบลูกคนหนึ่งแล้วหันไปกอดลูกอีกคน ส่วนบาดแผลของเธอนั้น หญิงสาวเพียงแต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโม่ถิง…


 


 


“พรุ่งนี้พวกเราจะย้ายเข้าไปในป่ากันแล้ว ฉันอาจจะกลับบ้านไม่ได้ไปอีกสองเดือนเลยนะคะ…”


 


 


“ผมเตรียมการเรื่องวันหยุดไปพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนให้คุณแล้วครับ” หลังจากรักษาบาดแผลของถังหนิงเสร็จ เขาก็คลุมมันด้วยแขนเสื้อของเธอ “คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเด็กๆ เลยครับ”


 


 


“โอเคค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าโดยไม่ละสายตาจากเด็กๆ เลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“ผมจะมารับคุณในวันที่คุณถ่ายทำเสร็จนะครับ ผมมีบางอย่างที่ต้องบอกคุณ” โม่ถิงไม่คิดที่จะเก็บความลับจากถังหนิงไปอีกนานกว่านี้


 


 


“ได้ค่ะ…” ถังหนิงพยักหน้า “อย่าห่วงเลยค่ะ ฉันจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี…”


 


 


หลังจากที่คู่รักกันใช้เวลาร่วมกันอยู่พักหนึ่ง โม่ถิงก็จากไปพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง แน่นอนว่าลู่เช่อกำลังรออยู่ในรถ ไม่อย่างนั้นลำพังโม่ถิงคนเดียวคงไม่สามารถพาเจ้าตัวแสบสองคนนี้มาออกมาถึงสถานที่อันห่างไกลนี้ได้


 


 


คืนนั้น ถังหนิงย้ายเข้าไปยังสถานที่ถ่ายทำแห่งใหม่พร้อมกับนักแสดงและทีมถ่ายทำที่เหลือ ทว่าระหว่างทางไปที่นั่น ใจเธอกลับเต็มไปด้วยภาพโม่ถิงกับลูกชายทั้งสองของเธอ อันที่จริง หญิงสาวถึงกับไม่สามารถจดจ่ออยู่กับบทตรงหน้าได้


 


 


“พี่หนิงสุดยอดไปเลยค่ะ! ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นักแสดงหญิงสักคนจะทำสิ่งที่พี่ทำได้ เชื่อฉันได้เลยค่ะว่า ‘ผู้รอดชีพ’ จะต้องช่วยให้พี่ได้เป็นนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน” นักแสดงหญิงสมทบคนหนึ่งพูดปลอบ “แต่ถึงนักแสดงจะได้งานที่ดีที่สุด ฉันก็ต้องพูดล่ะนะว่าพวกเราเองก็ต้องเสียสละอะไรไปเยอะเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เราจำเป็นต้องเก็บชีวิตส่วนตัวเอาไว้เป็นความลับและยอมสละเวลาที่จะใช้ร่วมกับครอบครัวไป…”


 


 


“ทนอีกนิดนะ เวลาสองเดือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเอง…”


 


 



 


 


ระหว่างที่ถังหนิงกำลังย้ายที่ถ่ายทำ หลงเจี่ยส่งข่าวดีๆ ให้เธอทราบ เธอได้คลอดลูกสาวตัวเล็กๆ ที่ได้เค้าโครงแม่มาเต็มๆ เด็กน้อยคนนี้ทั้งจ้ำม่ำ ตัวกลม และแน่นอนว่าน่ารักมาก!


 


 


ถังหนิงรู้สึกยินดีกับหลงเจี่ย เพราะถึงอย่างไร หลงเจี่ยก็อยากมีลูกมานานแล้ว ตอนนี้ความฝันของเธอเป็นจริง เธอจะต้องกระโดดโลดโผนด้วยความดีใจอย่างแน่นอน


 


 


ทว่าพ่อแม่ของลู่เช่อบินมาชำเลืองดูหลงเจี่ยและลูกอย่างผ่านๆ ก่อนจะรีบบินกลับไป ในคืนนั้น หลงเจี่ยสังเกตเห็นว่าดวงตาของลู่เช่อแดงก่ำ


 


 


ลู่เช่อไม่พูดอะไร แต่หลงเจี่ยดูออกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเพราะเธอเข้าใจลู่เช่อดี


 


 


“พ่อกับแม่ไม่ชอบลูกสาวเหรอ” นี่เป็นความคิดเดียวที่แวบผ่านเข้ามาในใจของหลงเจี่ยขณะที่เธอเอ่ยถามเขาอย่างระมัดระวัง


 


 


“อย่าคิดมากไปเลยครับ คุณจะคลอดลูกชายหรือลูกสาวผมก็มีความสุข” ลู่เช่อตอบพลางอุ้มลูกสาวสุดที่รักเอาไว้ในอ้อมแขน


 


 


“ฉันเดาถูกใช่ไหม”


 


 


หลงเจี่ยไม่เคยคิดเลยว่า แม้แม่สามีของเธอจะไม่เคยกดดันเธอ ทว่าความเกลียดชังบนใบหน้านั้นกลับเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


“คุณสนใจเรื่องที่ไม่สำคัญอีกแล้วนะครับ คนที่คุณจะใช้ทั้งชีวิตด้วยก็คือผม ผมเคยบอกคุณตั้งแต่ก่อนที่คุณจะตั้งท้องแล้วว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาพอใจ”


 


 


อันที่จริง หลงเจี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ใส่ใจมากขนาดนี้เช่นกัน


 


 


บางทีมันอาจเป็นเพราะเธอไม่มั่นใจในตัวเอง

 

 

 


ตอนที่ 786 ฉันก็แค่รู้สึกแย่แทนเด็ก

 

การแข่งขันแย่งชิงรางวัลเฟยเทียนในทุกๆ ปีนั้นดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับปีนี้ ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงการแสดงและยอดขายตั๋วภาพยนตร์ของถังหนิงได้เลย


 


 


ไม่ว่าจะเป็น ‘คนรักที่สาบสูญ’ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ หรือ ‘ผู้รอดชีพ’ ที่กำลังถ่ายทำอยู่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ไม่ว่าถังหนิงจะไปปรากฏตัวในกองถ่ายทำไหน ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ได้รับการการันตีแล้วว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ชิ้นเอก


 


 


ท่ามกลางผลงานทั้งหมด ‘หวงเฟยยอดสตรี’ นั้นน่าถือว่าประหลาดใจที่สุดเพราะโม่ถิงเป็นนักแสดงนำชาย มันทำให้ทุกคนได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโม่ถิง โม่ถิงผู้ที่สามารถทำอะไรก็ได้


 


 


อันที่จริง บทบาทชิงหลานของถังหนิงนั้นดูสมจริงและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เพราะการกระตุ้นของโม่ถิง เป็นผลให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ทำลายสถิติละครโทรทัศน์ทั้งหมดที่เคยมีมาและยังคงติดอันดับแรกของละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ในขณะนั้น


 


 


นี่คือปีที่แสนจะประสบความสำเร็จของถังหนิงอย่างไม่ต้องสงสัย เธอทำยอดขายตั๋วได้ดี กลายมาเป็นแม่คน กลับไปทำงานโดยที่ดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมและได้ถ่ายละครโทรทัศน์ร่วมกับสามีของตัวเอง


 


 


“ถังหนิงจะชนะรางวัลสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ เนอะ”


 


 


“ฉันไม่คิดว่าจะมีตัวแปรอื่นนะ ถ้าเธอไม่ชนะ โลกนี้ก็คงไร้ความยุติธรรมแล้วล่ะ”


 


 


อยู่ๆ ผู้คนในวงการบันเทิงก็แยกความแตกต่างระหว่างถังหนิงและนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน พวกเขาต้องไม่มีอคติกับเรื่องนี้เพราะทุกคนได้เห็นกับตาแล้วว่าการแสดงของถังหนิงและทักษะอันน่าประทับใจของเธอนั้นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้


 


 


แต่หนึ่งวันก่อนพิธีมอบรางวัลเฟยเทียน กั่วกั่วต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพราะพิษไข้


 


 


ครั้งนี้ ถานซูหลิงถามโม่ถิงตรงๆ ว่า “ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้กับคุณถังหนิงคะ แม้เด็กจะแค่เป็นไข้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการมีแม่มาคอยอยู่เคียงข้างนะคะ”


 


 


“คุณหมอครับ คุณล้ำเส้นเกินไปแล้วนะครับ!” โม่ถิงตอบอย่างตรงไปตรงมา


 


 


ถานซูหลิงสงบสติลงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มจัดการทำให้อุณหภูมิร่างกายของกั่วกั่วลดลง


 


 


“ถึงจะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ หลังจากคลอดเสร็จแล้ว เธอก็ไม่ควรทิ้งลูกไปเฉยๆ นะคะ เธอไม่สนใจลูกตัวเองเลยสักนิดเหรอ”


 


 


“ภรรยาผมไม่ได้ทอดทิ้งลูก ผมเพียงแต่ไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้เท่านั้น ถ้าหมอถานยังเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมก็มีสิทธิ์ในการเปลี่ยนหมอ” โม่ถิงเอ่ยเตือน “คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินครอบครัวคนอื่นแบบนี้”


 


 


ถานซูหลิงพยักหน้า หลังจากที่ช่วยปรับอุณหภูมิให้กั่วกั่วแล้ว เธอก็พูดกับโม่ถิงว่า “ฉันก็แค่รู้สึกแย่แทนเด็กน่ะค่ะ”


 


 


“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมารู้สึกแย่” โม่ถิงกล่าวก่อนจะอุ้มกั่วกั่วออกไปจากโรงพยาบาล เมื่อเดินไปถึงประตูหน้า เขาก็พูดกับไป๋ลี่หวาว่า “แม่ครับ เตรียมเปลี่ยนโรงพยาบาลได้เลยครับ”


 


 


ในตอนนั้น สิ่งที่โม่ถิงเสียใจมากที่สุดก็คือการที่เขาไม่มีทีมแพทย์เป็นของตัวเอง


 


 


หลังจากที่รู้ว่าร่างกายของกั่วกั่วค่อนข้างอ่อนแอ โม่ถิงจึงมองหากุมารแพทย์ที่มีฝีมือไปทั่วทุกที่ เขาต้องการเพียงแค่ลดความทุกข์ทรมานของลูกชายเท่านั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าถานซูหลิงคือหมอที่เก่งที่สุดในวงการนี้แม้ว่าเธอจะอารมณ์อ่อนไหวเกินไปหน่อยก็ตาม


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากพบหมอที่มีอคติกับภรรยาของเขาอีก


 


 


สำหรับโม่ถิง บนโลกนี้มีคนเพียงสองประเภทคือถังหนิงและคนทั่วๆ ไป


 


 


“ลูกถิง ถึงเวลาที่ลูกจะต้องบอกลูกหนิงเรื่องนี้แล้วนะ” หัวใจไป๋ลี่หวาปวดร้าวขณะที่มองกั่วกั่วทรมาน “ลูกจำเป็นต้องรู้นะ ไม่ว่าคนเป็นพ่อจะละเอียดรอบคอบแค่ไหน การดูแลจากแม่นั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น”


 


 


“ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรครับ”


 


 


พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมคว้าและถังหนิงก็กำลังจะกลับบ้าน แต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ นั้นเพิ่งจะถ่ายเสร็จไปแค่สองในสามส่วน


 


 



 


 


 


 


เมื่อเป็นเรื่องของพิธีมอบรางวัลเฟยเทียน สาธารณชนให้ความสนใจกับมันอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกปี เพราะถึงอย่างไร รางวัลเหล่านี้ก็เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในกรุงปักกิ่งและภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมไปถึงนักแสดงที่ชนะรางวัลนี้ก็ได้รับการชื่นชมอย่างแท้จริง


 


 


สำหรับพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนของปีนี้ ถังหนิงเป็นที่โปรดปรานของทุกคนอีกครั้ง ดังนั้นการถกเถียงจึงเข้มข้นมากยิ่งกว่าเคย แม้แต่ที่โรงพยาบาลเอง เหล่าหมอและพยาบาลทั้งหลายต่างก็ดูละครเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เพื่อความบันเทิงระหว่างช่วงพักกันทั้งนั้น


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ ถานซูหลิงก็ขมวดคิ้ว “อย่าให้ฉันรู้นะว่าพวกเธอดูอะไรไร้สาระอย่างนี้ในชั่วโมงการทำงานอีก”


 


 


เหล่าพยาบาลรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ถานซูหลิงไม่เคยห้ามให้พวกเขาดูละครเรื่องนี้มาก่อน…


 


 


ทำไมจู่ๆ เธอถึงโกรธขึ้นมาได้ล่ะ


 


 


ถานซูหลิงรู้ว่าเหล่าพยาบาลสงสัยเรื่องอะไร ดังนั้นเธอจึงอธิบายว่า “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จแค่ไหน ในสายตาฉัน ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ล้มเหลวอย่างที่สุดในการดูแลลูกของตัวเอง เธอไม่ควรมีสิทธิ์จะมีลูกด้วยซ้ำ”


 


 


“เอิ่ม…”


 


 


เหล่านางพยาบาลยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน พวกเขารู้สึกว่าถานซูหลิงกำลังล้ำขีดจำกัดของตัวเอง


 


 


“กั่วกั่วป่วยหนักมาสามครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่โผล่มาแม้แต่ครั้งเดียว พวกเธอเคยเห็นแม่แบบนี้ไหมล่ะ”


 


 


“หมอถานคะ ฉันเกรงว่านั่นไม่ใช่เรื่องของหมอนะคะ”


 


 


ถานซูหลิงจ้องหน้าเหล่าพยาบาลก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ถานซูหลิงเองก็รู้สึกว่าเธอทำเกินไปหน่อย ทำไมเธอถึงโกรธเรื่องความไร้ความรับผิดชอบของถังหนิงขนาดนี้กันนะ


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าถังหนิงนั้นไม่สมควรได้รับความรักจากคนอื่น ในเมื่อเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้ความขนาดนี้ เธอต้องแอบแสร้งทำอยู่แน่ๆ


 


 


“แต่หมอถานคงจะไม่ได้พูดเรื่องจริงหรอกใช่ไหม ลูกชายของถังหนิงกับโม่ถิงป่วยมาสามครั้งแล้วเหรอ และถังหนิงก็ไม่โผล่มาเลยสักครั้งเนี่ยนะ”


 


 


“พวกเขาสองคนคงไม่ได้แต่งงานกันแค่เพราะหวังผลประโยชน์ใช่ไหม ประเภทที่แบบต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเองน่ะ”


 


 


“หยุดเดามั่วได้แล้ว พวกเขารักกันดีจะตาย นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก”


 


 


พยาบาลทั้งสามเริ่มถกเถียงกันในแผนกโดยไม่ได้คิดเลยว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องความลับที่โม่ถิงไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพราะถานซูหลิง


 


 


ถานซูหลิงอาจจะเป็นมืออาชีพ แต่ในฐานะคนปกติ เธอมีอีคิวต่ำเป็นอย่างมากเพราะเธอคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่และผู้เที่ยงธรรม


 


 


แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการถกเถียงกันระหว่างพยาบาลเพียงไม่กี่คน สถานการณ์นี้ไม่ได้บานปลาย แต่เพียงเพราะมันไม่ได้บานปลายในวันนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น…


 


 



 


 


ค่ำคืนมาถึง


 


 


โม่ถิงครุ่นคิดอยู่กับตัวเองในห้องทำงานอยู่มาพักใหญ่ๆ แล้ว ในตอนท้าย ชายหนุ่มก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย


 


 


“หนิงครับ…”


 


 


ถังหนิงกำลังถ่ายทำฉากกลางคืนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เพิกเฉยต่อสายเข้าจากโม่ถิง “มีอะไรเหรอคะ ทำไมดึกดื่นป่านนี้คุณถึงยังไม่เข้านอนอีก?”


 


 


“กั่วกั่วอาการไม่ค่อยดีครับ” โม่ถิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พักหลังมานี้เขามีไข้บ่อยและระบบภูมิคุ้มกันของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนี้ ในหัวถังหนิงก็ว่างเปล่า “ร้ายแรงไหมคะ เขายังมีไข้อยู่หรือเปล่า”


 


 


“หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง อาการเขาก็คงที่ขึ้นครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงกำลังคิดจะรีบกลับมาบ้านในทันที ดังนั้นเขาจึงรีบปลอบโยนเธอ “หลังจากเล่นกับถังถังได้สักพัก เขาก็ผล็อยหลับไปแล้วล่ะครับ คุณไม่ต้องรีบกลับมาบ้านหรอก อีกสองวันค่อยกลับมาอย่างที่วางแผนไว้ตอนแรกก็ได้”

 

 

 


ตอนที่ 787 คิดว่าตัวเองเป็นใคร

 

ถังหนิงไม่มีทางรอได้ถึงสองวัน ดังนั้นหญิงสาวจึงขอตัวกลับบ้านทันที หลังจากได้รู้เรื่องปัญหาของเธอ ผู้กำกับก็ยอมให้เธอไป แต่ขณะที่ถังหนิงกำลังจะจากไป เขาก็ให้ความเห็นว่า “ถังหนิง เด็กๆ น่ะป่วยเป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง เขาก็มีท่านประธานโม่คอยดูแลอยู่แล้ว ในทางตรงกันข้าม คุณคือนักแสดงนำหญิงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยิ่งการถ่ายทำล่าช้า ทีมถ่ายทำก็ได้รับความเสียหาย ครั้งนี้ผมยอมให้คุณไป แต่นี่จะเป็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”


 


 


ถังหนิงเข้าใจความยากลำบากของผู้กำกับ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าอย่างขอโทษขอโพย “ฉันจะรับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมดค่ะ”


 


 


“ครับ งั้นก็ไปเถอะ เพราะถึงยังไงพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นผมจะแสร้งทำเป็นว่าผมให้คุณกลับบ้านก่อนเวลาก็แล้วกัน” ตราบใดที่ถังหนิงยินดีจะรับผิดชอบ ผู้กำกับก็ยินดีทำตามที่เธอขอ เพราะถึงอย่างไร หญิงสาวก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้จริงๆ


 


 


ถังหนิงรีบกลับบ้านในคืนนั้น สิ่งแรกที่เธอทำทันทีที่ก้าวเข้าบ้านคือไปดูว่ากั่วกั่วสบายดีไหม เมื่อเห็นว่าลูกกำลังหลับสบายอยู่ในเปล หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


 


 


โม่ถิงได้ยินเสียงกุกกักจึงออกมาจากห้องนอน ทันทีที่เขาเห็นถังหนิงยืนอยู่ข้างๆ เปลด้วยสภาพเหงื่อท่วม ชายหนุ่มก็รีบคว้าผ้าเช็ดตัวไปคลุมตัวเธอทันที “ผมบอกคุณแล้วไงครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคุณเป็นหวัดเพราะรีบกลับมาบ้านแบบนี้ขึ้นมาล่ะ”


 


 


“มันยากที่จะไม่เป็นห่วงน่ะสิคะ” ถังหนิงคลุมหน้าของเธอด้วยผ้าเช็ดตัว ตอนนั้นเองที่หญิงสาวตระหนักว่ามือของเธอเย็นเฉียบ


 


 


“ไปอาบน้ำเถอะครับ” โม่ถิงอุ้มหญิงสาวเข้าไปในห้องน้ำแล้วเติมน้ำอุ่นลงในอ่าง หลังจากหญิงสาวก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำแล้ว โม่ถิงก็เดินออกมาข้างนอกและโทรหาผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’


 


 


“ท่านประธานโม่ครับ…ถังหนิงอธิบายทุกอย่างให้ผมฟังก่อนที่เธอจะกลับไปแล้วครับ ไม่มีปัญหา”


 


 


“หลังจากพิธีมอบรางวัลเฟยเทียน เธอจะกลับไปทำงานตามตารางครับ ผมจะจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เอง” โม่ถิงพูดกับชายคนนั้น


 


 


“ตราบใดที่ไห่รุ่ยยินดีจะทำเช่นนั้น การลางานสองวันสำหรับถังหนิงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” ผู้กำกับรู้จักการช่างน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย การที่ถังหนิงไม่อยู่สองวันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เหลือฉากอื่นๆ ที่ต้องถ่ายนักแสดงสมทบ แม้เขาจะรู้เรื่องนี้ เขาก็ยังต้องแสร้งทำเป็นว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ไม่อย่างนั้นถังหนิงจะทึกทักเอาว่าไม่มีกฎระเบียบอยู่


 


 


ไม่นานนักถังหนิงก็อาบน้ำเสร็จและก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ เมื่อเห็นว่าโม่ถิงไม่อยู่แถวนั้น หญิงสาวก็เดาว่าเขากำลังอยู่ในห้องทำงาน ถังหนิงเงียบไปชั่วครู่ เธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่ควรเป็นภาระให้โม่ถิงเพิ่ม ดังนั้นเธอจึงเดินไปนอนลงที่เตียงและผ่อนคลาย…


 


 


หลังจากนั้นไม่นานโม่ถิงก็กลับไปที่ห้องนอน เมื่อรู้ว่าถังหนิงไม่ได้กำลังหลับอยู่จริงๆ ชายหนุ่มจึงนอนลงข้างๆ แล้วกอดเธอจากด้านหลัง เขาพูดเบาๆ ว่า “ผมจองการตรวจร่างกายอย่างละเอียดในวันพรุ่งนี้ให้กั่วกั่วแล้วครับ คุณไม่ต้องกังวลเลย


 


 


“ทีมแพทย์ที่ผมนัดแนะเอาไว้อยู่บนเครื่องบินแล้วครับ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็มาถึงกรุงปักกิ่งแล้ว”


 


 


“ที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันของกั่วกั่วอ่อนแอนี่อ่อนแอแค่ไหนคะ” ถังหนิงพลิกตัวกลับมาถามพลางคล้องแขนทั้งสองข้างรอบคอของโม่ถิง


 


 


“หมอคนก่อนให้ความเห็นว่าเขาป่วยบ่อยเพราะภูมิคุ้มกันของเขาไม่เสถียรครับ”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงก็เงียบไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้รู้สึกดีกับข่าวนี้ แต่หญิงสาวก็ยอมรับความเป็นจริง หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็สงบลงแล้วเอ่ยว่า “รีบเข้านอนเถอะค่ะ กั่วกั่วป่วยไปคนหนึ่งแล้ว คุณเองก็จะเหนื่อยไปอีกคนไม่ได้นะ”


 


 


โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงมีหัวใจที่เข้มแข็ง แม้จะกังวล เธอก็จะไม่ว้าวุ่นใจ


 


 


ดังนั้นในเช้าวันถัดมา ถังหนิงและโม่ถิงจึงพากั่วกั่วไปโรงพยาบาลด้วยกัน แม้มันจะเป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ถานซูหลิงทำงานอยู่ มันก็ยังเป็นโรงพยาบาลสำหรับเด็กที่ดีที่สุดในปักกิ่งอยู่ดี


 


 


ไม่นานนักกั่วกั่วก็ถูกนำตัวเข้าไปตรวจร่างกายอีกครั้ง นอกเหนือจากการมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอแล้ว เด็กน้อยคนนี้ยังถูกวินิจฉัยว่ามีอาการปอดติดเชื้ออีกด้วย


 


 


ตามคำขอของโม่ถิง หมอที่ตรวจกั่วกั่วครั้งนี้จึงไม่ใช่ถานซูหลิง


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น นางพยาบาลคนหนึ่งก็เสนอแนะว่า “คุณชายโม่คะ หมอถานคือหมอที่เก่งที่สุดของเราจริงๆ นะคะ มีคนมากมายมาหาเธอที่นี่ทุกวัน ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันจะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณคุยกับหมอถานเรื่องการรักษาน้องกั่วกั่ว”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็มองโม่ถิงด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงไม่อยากพบหมอถานล่ะคะ”


 


 


โม่ถิงเงียบและไม่พูดอะไร


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ นางพยาบาลจึงอธิบายว่า “หมอถานค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองและรักงานของเธอมากค่ะ เธอไม่ชอบเวลาที่ผู้ปกครองดูแลเด็กไม่ดี เธอจึงมีอคติกับคุณหลังจากที่ไม่เห็นคุณมาโรงพยาบาลพร้อมกับน้องกั่วกั่วอยู่สองสามครั้ง…”


 


 


“แค่นั้นเหรอคะ” ถังหนิงไม่สนใจพลางสั่งให้พยาบาลคนนั้นโทรหาหมอถานทันที “ถิงคะ…”


 


 


“ผมรู้ครับ…” โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงต้องการจะพูดอะไร แต่ถ้าถึงจุดที่ร้ายแรงที่สุด เขาจะแสร้งทำเป็นว่าหมอถานไม่มีตัวตน


 


 


ไม่นานนักถานซูหลิงก็มาถึงห้องฉุกเฉิน ในที่สุดเธอก็ได้พบถังหนิงเสียที


 


 


ทีแรก หมอถานยังไม่พูดอะไร แต่หลังจากที่เธอเห็นผลตรวจของกั่วกั่ว เธอก็พูดออกมาว่า “ลูกของคุณกำลังป่วยหนัก แต่คุณกลับไม่อยู่ข้างเขาในฐานะแม่ ในเมื่อคุณตัดสินใจที่จะมีลูกแล้ว คุณก็ควรรับผิดชอบเขาหน่อยนะคะ การแสดงและการมีชื่อเสียงมันสำคัญมากสำหรับคุณเหรอคะ”


 


 


ถังหนิงไม่เถียงกลับ เธอเพียงแต่ยอมรับการต่อว่าจากหมอถานและพูดอย่างอดทนว่า “หมอถานคะ ช่วยรักษากั่วกั่วด้วยนะคะ…”


 


 


“ถ้ามีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างคุณก็ช่วยเขาไม่ได้หรอกค่ะ”


 


 


ถังหนิงไม่พยายามอธิบายหรือพูดอะไรอีก เมื่อเห็นว่าโม่ถิงกำลังจะบันดาลโทสะ ถังหนิงก็รีบห้ามเข้าเอาไว้แล้วปลอบเขาอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


“ฉันคิดว่าในเวลาแบบนี้ หมอถานควรเก็บอารมณ์ส่วนตัวไว้นะคะ เพราะถึงอย่างไร ลูกชายฉันก็กำลังรอให้คุณช่วยอยู่”


 


 


“ในที่สุดคุณก็รู้แล้วเหรอคะว่าตัวเองมีลูก”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็ไม่อ้อนวอนขอให้หมอถานช่วยอีกต่อไป หญิงสาวโทรหาซย่าอวี้หลิง เพราะในเวลาเช่นนี้ เธอนึกถึงถังอี้เฉินเป็นคนแรก “แม่คะ กั่วกั่วป่วย ช่วยติดต่อพี่สองให้หนูทีค่ะ หนูจะให้กั่วกั่วย้ายโรงพยาบาล”


 


 


ซย่าอวี้หลิงไม่รู้เลยว่ากั่วกั่วป่วยแค่ไหน ทันทีที่เธอได้ยินสิ่งที่ถังหนิงพูด เธอก็โทรศัพท์หาถังอี้เฉินทันที


 


 


“นี่คุณบ้าหรือเปล่า กั่วกั่วกำลังอยู่ในขีดอันตราย แต่คุณกลับจะย้ายเข้าไปโรงพยาบาลอื่นเนี่ยนะ” ถานซูหลิงวิจารณ์การตัดสินใจของทันที “คุณนี่ไม่สมควรเป็นแม่จริงๆ ด้วย”


 


 


ครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถหยุดโม่ถิงเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มโบกมือเรียกนางพยาบาลแล้วเอ่ยว่า “ไปเรียกผู้อำนวยการโรงพยาบาลมา”


 


 


นางพยาบาลคนนั้นขนลุกซู่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นออร่าอันมืดมนบนใบหน้าของโม่ถิง ดังนั้นเธอจึงหมุนตัวแล้ววิ่งไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันที


 


 


“ถึงคุณจะเรียกผู้อำนวยการมา คุณก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าถังหนิงเป็นแม่ที่เลวร้ายไม่ได้หรอกนะคะ”


 


 


“คุณก้าวก่ายของคนอื่นมากเกินไปแล้ว!” โม่ถิงกล่าว “ถ้าคุณชอบตัดสินคนอื่นเขานักละก็ คุณก็ควรเลิกเป็นหมอแล้วไปเช็กสมองตัวเองก่อนนะครับ”


 


 


“คุณโม่ ระวังคำพูดของตัวเองด้วยค่ะ!”


 


 


โม่ถิงไม่พูดอะไรและไม่แยแสที่จะโต้ตอบเธอ ว่ากันตามจริงแล้ว คู่รักไม่เคยเจอหมอที่สอดรู้เช่นนี้มาก่อน


 


 


ไม่นานนัก ถังอี้เฉินก็มาถึงโรงพยาบาล แม้ถังหนิงจะแทบไม่ติดต่อเธอเลย พวกเขาก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ ดังนั้นถังอี้เฉินจึงฉวยผลการตรวจของกั่วกั่วมาจากมือของถานซูหลิงแล้วกวาดตาอ่านมัน จากนั้นเธอก็พูดอย่างนิ่งๆ ว่า “ย้ายกั่วกั่วไปที่โรงพยาบาลของฉันได้เลย พี่เขยคะ ฉันรบกวนจัดการเรื่องนี้ด้วยนะคะ”


 


 


หลังจากโม่ถิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที


 


 


ครั้งนี้ ถานซูหลิงเอ่ยถามถังอี้เฉินว่า “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกันคะ”

 

 

 


ตอนที่ 788 คุณนี่หลงตัวเองอย่างกับคนโ...

 

“ฉันได้ยินเรื่องของหมอถานผู้โด่งดังมานานแล้ว… พอได้เจอวันนี้แล้วคุณนี่หลงตัวเองอย่างกับคนโง่จริงๆ!” ถังอี้เฉินเอ่ยขณะปรายตามองถานซูหลิงอย่างพินิจพิจารณา “คุณก็ดูเป็นมืออาชีพดีนี่ แต่การควบคุมอารมณ์ของคุณกลับไม่มีอยู่เลย ก่อนที่คุณจะรักษาเด็กคนอื่น ฉันว่ากลับบ้านไปเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของตัวเองดีกว่านะคะ”


 


 


ก่อนหน้านี้ถังอี้เฉินได้อ่านรายงานทางการแพทย์ที่ถานซูหลิงเคยเขียนและเข้าใจว่าเจ้าตัวเป็นคงเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม เธอก็เป็นพวกมองโลกในแบบอุดมคติและไม่คำนึงถึงอุปสรรคอื่นๆ พร้อมคาดหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น


 


 


สำหรับเธอเด็กๆ นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของแต่ละคน ฉะนั้นแล้วพ่อแม่จึงควรอยู่ข้างๆ และคอยดูแลพวกเขาตลอดเวลา พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้ ผู้ใหญ่จึงควรเฝ้าดูแลความหวังของมนุษยชาติอย่างไม่มีข้อแม้


 


 


“คุณมีสิทธ์อะไรมาสั่งสอนว่าฉันควรทำอะไร” ถานซูหลิงมองพิจารณาถังอี้เฉินจากศีรษะจรดปลายเท้าในขณะที่ว่าขึ้นด้วยความสงสัยและเย่อหยิ่ง


 


 


“ว่ากันตามจริงแล้วตอนนี้ฉันเป็นรองศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์แล้ว และคุณเป็นแค่ผู้ชำนาญการเท่านั้น” พูดจบถังอี้เฉินก็แสดงบัตรประจำตัวเป็นการยืนยัน


 


 


จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ถานซูหลิงนั้นเป็นคนมีความสามารถซึ่งเป็นสิ่งที่ถังอี้เฉินต้องยอมรับ ทว่าถานซูหลิงถืออคติส่วนตัวมากเกินไปทำให้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักเมื่อเทียบกับสถานะและความสามารถของเธอ


 


 


หลังจากรู้ว่าถังอี้เฉินเป็นใคร อีกฝ่ายก็เงียบลงอย่างไม่พอใจนัก


 


 


สมาชิกในครอบครัวออกมาจากโรงพยาบาลด้วยกันในเวลาต่อมา ถังอี้เฉินเอ่ยกับคู่สามีภรรยาระหว่างการย้ายโรงพบาบาล “พวกเธอยังไม่ใส่ใจกับการรักษามากพอถึงได้ต้องหัวหมุนวุ่นวายตอนที่กั่วกั่วป่วย ทำไมเธอถึงไม่ติดต่อฉันก่อนหน้านี้ล่ะ ถึงโรงพยาบาลที่ถานซูหลิงทำงานอยู่จะเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดสำหรับเด็กในปักกิ่ง ต่อให้เด็กจะได้รับการรักษาแต่คนเป็นพ่อแม่คงได้ลงเอยด้วยการป่วยจิตจากอาการหัวเสียแน่”


 


 


“ฉันเตรียมทีมแพทย์ที่ดีที่สุดไว้แล้ว…”


 


 


“นั่นไม่ใช่สิ่งที่กั่วกั่วต้องการตอนนี้หรอก ตอนนี้พาเขาไปที่โรงพยาบาลทหารก่อนเถอะ อาจารย์ของฉันต้องรักษากั่วกั่วได้แน่ และแน่นอนว่าหลังจากนั้นจำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์ แต่ก็อย่าลืมตรวจดูอาการเป็นระยะด้วยล่ะ” ถังอี้เฉินได้เข้าสู่บทบาทผู้เชี่ยวชาญอย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่าชายตรงหน้าเธอจะเป็นโม่ถิงก็อดที่จะแสดงความเห็นของตัวเองออกมาไม่ได้


 


 


อันที่จริงหากมีใครสักคนตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างถังหนิงและถังอี้เฉิน ถังหนิงคงต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอีกฝ่ายนั้นห่างเหินที่สุดเมื่อเทียบกับทุกคนในตระกูลถัง


 


 


ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ถังเซวียนยังคงอยู่ในตระกูล ถังอี้เฉินก็ไม่ได้เป็นมิตรกับเธอนักเช่นกันและมักจะวางตัวเป็นกลางเสมอ อีกส่วนคือเธอรู้สึกว่าตระกูลถังมีความลับซับซ้อนมากเกินไปดังนั้นถึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร่ำเรียนวิชาแพทย์เสียมากกว่า


 


 


เพราะเช่นนั้นถังหนิงจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเรื่องของเธอขนาดนี้


 


 


“เธอตกใจเหรอ” ถังอี้เฉินถามหลังจากเห็นสีหน้าประหลาดใจของถังหนิง


 


 


“อือฮึ”


 


 


“ฉันเพิ่งได้เริ่มดู หวงเฟยยอดสตรี ละครของเธอด้วย” เธอแสดงออกชัดว่าได้สังเกตท่าทางของคู่สนทนา “แต่แน่นอนว่าฉันดูมันฆ่าเวลาตอนที่ฉันเบื่อๆ น่ะ…


 


 


“เมื่อก่อนตอนเธอไม่สบายก็ไม่เคยมาหาฉันเลย หลังจากนี้ต่อไปเธอต้องติดต่อฉันมากกว่านี้นะ!”


 


 


“ฉันไม่รู้นี่…” คนฟังตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้


 


 


ในไม่ช้าทั้งครอบครัวก็มาถึงโรงพยาบาลทหาร ถังอี้เฉินซึ่งกำลังประจำการเป็นแพทย์ทหารอยู่ที่นี่จึงอุ้มกั่วกั่วตรงไปที่ห้องผ่าตัด เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังประตูเป็นครั้งคราว “เรื่องง่ายๆ แบบนี้เธอยังต้องการให้ฉันช่วยอีกเหรอ ถังอี้เฉิน ฉันอุตส่าห์สอนเธอไปตั้งเท่าไร


 


 


“แล้วถ้าเขาเป็นหลานของเธอ เธอก็ควรรักษาเข้าด้วยตัวเองสิ”


 


 


ไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด ถังหนิงผงะไปเล็กน้อยทันทีที่เห็นเขา


 


 


ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาในโรงพยาบาล น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นดารา


 


 


เขาคงเป็นอาจารย์ของถังอี้เฉิน เดิมทีทุกคนต่างคาดเดาว่าเขาคงเป็นชายวัยกลางคน ใครจะคิดว่าเขาจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น


 


 


เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวกำลังพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองอยู่ ในขณะเดียวกันท่าทีเฉยเมยและเย่อหยิ่งของเขาก็ทำให้ถังหนิงหลุดหัวเราะออกมา


 


 


เทียบกับเป่ยเฉินตงแล้วชายคนนี้ดูน่าจะเป็นญาติของโม่ถิงมากกว่าอีก


 


 


“คุณหัวเราะอะไรเหรอ” โม่ถิงถามขณะมุ่นคิ้ว


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จู่ๆ ก็รู้แล้วว่าทำไมถังอี้เฉินถึงไม่ชอบกลับบ้าน มีอาจารย์หล่อๆ แบบนี้ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็ไม่อยากกลับบ้านเหมือนกัน” ถังหนิงตอบกลับ


 


 


“คุณชอบผู้ชายแบบเขาเหรอ”


 


 


“ฉันแค่ล้อเล่นค่ะ คุณโม่” เธอรีบเอ่ยปลอบสามีขี้หึงของตัวเองทันที อีกอย่างจากสัญชาตญาณผู้หญิงของเธอ บทสนทนาระหว่างถังอี้เฉินและชายคนนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันแต่พวกเขาต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันแน่


 


 


เพราะเหตุนี้เธอจึงไม่เชื่อว่าเขาจะเพิกเฉยและไม่รักษากั่วกั่ว


 


 


อย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นถังอี้เฉินเรียกให้โม่ถิงและถังหนิงเข้าไปในห้องผ่าตัด ในเวลานี้เขาเอ่ยกับคู่รักด้วยท่าทีสุขุม “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วครับ ให้เด็กอยู่ดูอาการสักสองวันและจากนั้นคุณอยากทำอะไรก็ตามสบายเลย…”


 


 


“ลู่กวงหลี!” ถังอี้เฉินดึงแขนเสื้อของเขาอย่างอึดอัดใจ


 


 


เธอยังไม่สนิทสนมกับถังหนิงนัก ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนถังหนิงจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา


 


 


“เธอควรเรียกฉันว่าอาจารย์…” ลู่กวงหลีบอกท่าทางจริงจัง


 


 


ถังอี้เฉินเหลือบมองเขาในขณะที่เจ้าตัวหันไปมองถังหนิงและโม่ถิง


 


 


เธอได้แต่พูดกับทั้งคู่อย่างไม่มีทางเลือก “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจะดูแลกั่วกั่วในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่เอง พวกเธอกลับบ้านได้แล้วล่ะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ยอมขยับไปไหนเธอจึงเอ่ยยืนกราน “นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงอะไรจริงๆ ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับมาดูแลกั่วกั่วตอนบ่ายแล้วกัน”


 


 


“ไม่จำเป็นหรอกครับ” ลู่กวงหลีตตอบกลับ “หลังจากเด็กหายดีแล้วผมจะแจ้งให้คุณมารับเขากลับเอง ญาติจะเข้ามาขัดขวางการทำงานของพยาบาลเปล่าๆ ครับ” พูดจบก็เดินออกไปจากห้องผ่าตัด


 


 


“ถึงเขาจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็เป็นคนที่เก่งมากเลยล่ะ” ถังอี้เฉินอธิบายแก้ตัวให้ลู่กวงหลี “แม้ว่าเขาจะพูดจาไม่ดีบ้างแต่ความสามารถของเขาดีกว่าแพทย์ทั้งทีมที่เธอมีแน่”


 


 


“เขาเป็นอาจารย์ของเธอตั้งแต่เมื่อไรเหรอ” ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะสงสัย


 


 


“เอ่อ… ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ”


 


 


“เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนอายุสิบเก้า หมายความว่าพวกเธอรู้จักกันมาแปดเก้าปีแล้ว”


 


 


คนฟังไม่ได้ตอบอะไรแต่คนถามก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเธอจึงไม่ได้ซักไซ้เพิ่ม “เราทิ้งกั่วกั่วไว้ตัวคนเดียวที่นี่โดยที่ไม่เป็นห่วงไม่ได้หรอก แต่ถ้าหมอลู่ยืนยันแบบนั้นเราก็จะกลับไปและรอฟังความคืบหน้าจากเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นติดต่อฉันทันทีเลยนะ”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่ประธานโม่เป็นพ่อคนเขาเลยไม่มีประสบการณ์นัก ดูแลเด็กง่ายเสียที่ไหน คุณทำดีที่สุดแล้วล่ะอย่างคิดมากไปเลยค่ะ”


 


 


ถังหนิงพยักหน้ารับก่อนกลับบ้านไปพร้อมโม่ถิง อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาออกจากโรงพยาบาลโม่ถิงก็สั่งให้ลู่เช่อสืบประวัติของลู่กวงหลี


 


 


ทันทีที่ลู่เช่อได้รับข้อมูล ดวงตาเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ


 


 


ลู่กวงหลีได้สร้างคุณูปการในวงการแพทย์ไว้มากตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ


 


 


แต่ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าความขัดแย้งกันระหว่างถังหนิงและถานซูหลิงซึ่งเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลจะหลุดออกมาบนหน้าข่าวบันเทิง

 

 

 


ตอนที่ 789 เป็นความผิดของผมเองที่ไม่จ...

 

‘เผย! ลูกของถังหนิงเข้าโรงพยาบาลถึงสามครั้งแต่ไม่ปรากฏตัวถังหนิงสักครั้ง!’


 


 


‘ลือสนั่น ถังหนิงไม่ได้รักลูกของเธอ ความสัมพันธ์กับโม่ถิงเป็นเพียงเรื่องของผลประโยชน์’


 


 


‘การคลุมถุงชนที่แนบเนียนที่สุด : ความสามารถในการแสดงของถังหนิงในคำโกหกของเธอ’


 


 


 


 


“จากข่าวล่าสุดของบันเทิงรายสัปดาห์ เผยว่าถังหนิงนั้นไม่ได้ได้รักลูกชายของตัวเอง ในขณะการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเธอ มีการรายงานว่าลูกของเธอถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลถึงสามครั้ง ทว่าถังหนิงกลับไม่ปรากฏตัวแม้สักครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เป็นห่วงสุขภาพของลูกของเธอ ทั้งยังมีข่าวลือว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่ถิงเป็นการแต่งงานคลุมถุงชนอีกด้วย


 


 


“หลังจากได้รับรายงานข่าว เราได้ส่งนักข่าวของเราไปสอบถามเรื่องนี้ที่โรงพยาบาลซึ่งลูกของถังหนิงรักษาตัวอยู่ ในที่สุดก็ได้รับการยืนยันจากบุคลากรทางการแพทย์ท่านหนึ่งว่าลูกชายของเธอล้มป่วยหลายครั้งจริง ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากลับเห็นโม่ถิงเพียงคนเดียว ดูเหมือนว่าข่าวลือเรื่องการแต่งงานคลุมถุงชนจะมีมูลเสียแล้ว


 


 


“นอกจากนี้เรายังได้สัมภาษณ์แพทย์ที่ทำการรักษาลูกของถังหนิงก่อนหน้านี้ รับชมข้อเท็จจริงจากวิดีโอต่อไปนี้ได้เลยครับ


 


 


“เป็นจรรยาบรรณของทางโรงพยาบาลที่ต้องรักษาข้อมูลส่วนตัวของคนไข้ ฉันจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยของเด็ก แต่ระหว่างที่เด็กเข้ารับการรักษาหลายคร้ง ฉันมั่นใจว่าพบแค่พ่อและไม่เคยเห็นแม่ของเขาสักครั้งค่ะ” ถานซูหลิงเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉยในขณะที่วิดีโอกำลังเล่น


 


 


“ไม่ว่าถังหนิงจะรักลูกของเธอหรือไม่ ฉันเกรงว่าคงมีแต่ตัวของเธอเองที่รู้เรื่องนี้ค่ะ”


 


 


หากเธอไม่ได้เอ่ยถึงข้อคิดเห็นใดๆ ในช่วงประโยคแรกๆ แน่นอนว่าเธอได้ทำมันในประโยคสุดท้าย


 


 


เห็นได้ชัดว่ามันมีความหมายแอบแฝง


 


 


จากคำพูดของเธอ ถานซูหลิงจงใจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


 


“ฉันคงไม่สะดวกในการพูดถึงเรื่องอื่นๆ ขอบคุณค่ะ”


 


 


หลังจากวิดีโอถูกปล่อยออกมา คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าถังหนิงไม่น่าจะทำแบบนั้นได้ มันดูไม่ใช่นิสัยของเธอ


 


 


อย่างไรก็ตาม หมอที่โรงพยาบาลก็ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเองแล้ว ในขณะที่ลูกของเธอป่วยไม่เพียงแต่ถังหนิงจะไม่สนใจแล้วเธอยังไม่มาปรากฏตัวที่โรงพยาบาลแม้สักครั้ง ภาพลักษณ์ที่เธอสร้างมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องลวงโลกหรือ


 


 


แน่นอนว่าข่าวนี้จุดประกายความเกลียดชังของกลุ่มแฟนๆ ที่เป็นแม่คน ในหัวใจของพวกเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถังหนิงก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่แล้ว พวกเขารับไม่ได้ที่เธอไม่ใส่ใจดูแลลูกของตัวเอง อย่างน้อยเธอควรมาเยี่ยมสักครั้งระหว่างที่เขาป่วยสิ ใช่ไหม


 


 


ทว่าเธอกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น


 


 


[เธอสมควรถูกวิจารณ์เสียบ้าง ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่ลูกของเธอป่วยหนัก เธอยืนกรานจะส่งตัวเขาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่นเพียงเพราะหมอถาน ผู้ชำนาญการด้านกุมารเวชศาสตร์ของเราไปวิพากษ์วิจารณ์เธอ สุดท้ายเธอก็ทำเฉยกับสุขภาพของลูกตัวเองและย้ายเขาไปรักษาที่อื่น]


 


 


[ถึงคำพูดของหมอถานจะรุนแรงไปบ้างแต่นั่นก็เพื่อตัวเด็กเองนะ เธอก็แค่ไม่ชอบพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบ ถ้าพวกเขาไม่อยากดูแลก็ไม่ควรให้เขาเกิดมาตั้งแต่แรกสิ]


 


 


[ดาราสมัยนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแล้วพวกเขายอมแลกทุกอย่างนั่นแหละ]


 


 


ในท้ายที่สุดสาธารณชนต่างมีความเห็นแย่ๆ เกี่ยวกับถังหนิง


 


 


เห็นดังนั้นโม่ถิงตบะแตกด้วยความโกรธเป็นครั้งแรกภายในห้องทำงานของเขา เขาไม่เคยสนใจเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ ใครเล่าจะไปคิดว่าเรื่องในวงการนี้จะวุ่นวายซับซ้อนและยากที่จะแยกแยะถูกผิดแบบนี้


 


 


ถังหนิงที่มองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ก็เข้าใจได้ว่าเขาคงโกรธ เธอจึงกุมมือเบาๆ เพื่อปลอบเขา


 


 


“เป็นความผิดของผมเองที่จัดการการประชาสัมพันธ์ได้ไม่ดีและไม่ได้ปกป้องชื่อเสียงของคุณ ที่สำคัญคือผมควรบอกคุณเรื่องอาการป่วยของลูกชายของเราให้เร็วกว่านี้”


 


 


“ชีวิตนี้ฉันผ่านเรื่องราวร้ายๆ มากี่ครั้งแล้วคะ คุณคิดว่าฉันจะหวั่นกับคำว่าร้ายเล็กๆ พวกนี้หรือ” ถัง


 


 


หนิงส่ายหน้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม


 


 


โม่ถิงวางมือของเขาบนศีรษะเธอก่อนดึงลงมาซบลงบนไหล่ของตัวเอง


 


 


“ไม่ต้องห่วง ผมจะทวงความยุติธรรมให้คุณเอง”


 


 


ตอนนี้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ทำงานอย่างยากลำบาก แพทย์เป็นคนกลุ่มพิเศษและคำพูดที่ออกมาจากปากของพวกเขาล้วนน่าเชื่อถือ ด้วยภาระความรับผิดชอบในการช่วยรักษาชีวิตคนของพวกเขาและการกล่าวถึงสิ่งที่เห็นออกมาตรงๆ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องที่จะโจมตีถังหนิงจึงไร้ซึ่งเหตุจูงใจที่จะทำให้เธอเสียชื่อ


 


 


ประกอบกับสภาพสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความกดดันและการที่ผู้คนส่วนใหญ่มีความกังวลใจมากขึ้น จึงเข้าใจได้ว่าพวกเขาจะคาดเดาในแง่ลบไปต่างๆ นานาโดยปริยาย


 


 


ไม่นานโม่ถิงก็ได้รับสายจากผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ “ประธานโม่ครับ ตอนนี้สถานการณ์ของถังหนิงยากที่จะรับมือแล้ว ช่วยรีบแก้ไขก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและการดำเนินการถ่ายทำของหนังด้วยนะครับ”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” โม่ถิงตอบกลับเพียงสั้นๆ


 


 


ในขณะเดียวกันถังหนิงยังคงใจเย็นอย่างเคย นอกจากโทรหาถังอี้เฉินเพื่อถามอาการของกั่วกั่วเป็นครั้งคราวแล้วเธอก็ไม่ได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นมาใส่ใจ หลังจากโดนโจมตีชื่อเสียงมาหลายครั้งเธอเองชินชากับมันเสียแล้ว


 


 


ทว่าโม่ถิงรู้ว่าหากไห่รุ่ยออกมาแถลงตอนนี้คงเหมือนเป็นการออกมาแก้ต่าง เขาจึงนึกถึงถังอี้เฉินแทน


 


 


หลังจากเห็นข่าวถังอี้เฉินสบถคำหยาบคายใส่ถานซูหลิง แม้หากโม่ถิงจะไม่ได้ขอแต่เธอก็จะยืนยันความบริสุทธิ์ให้ถังหนิงอย่างแน่นอน “ตอนนี้กั่วกั่วได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารด้วยอาการภูมิต่ำซึ่งทำให้เขาเป็นไข้ อาการของเขาไม่ได้รุนแรงอย่างที่ร่ำลือกันและไม่ได้ถึงแก่ความเป็นความตาย” ถังอี้เฉินปล่อยสำเนารายงานการรักษาของกั่วกั่วออกมา


 


 


“นอกจากนี้ฉันยังอยากจะชี้แจงเหตุผลที่ถังหนิงตัดสินใจย้ายลูกชายของเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น แรกเริ่มกั่วกั่วมีไข้และติดเชื้อที่ปอดเล็กน้อยถังหนิงจึงขอความช่วยเหลือจากหมอถานซึ่งเป็นหมอเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม เพราะอารมณ์ส่วนตัวของเธอหมอคนนี้ได้ทำตัวสั่งสอนถังหนิง เดิมทีเธอไม่ได้ตอบโต้แต่อีกฝ่ายกลับประพฤติผิดจรรยาบรรณและพูดออกมาในท้ายที่สุดว่าเธอจะไม่รักษาเด็กเพราะว่ามีแม่อย่างถังหนิง เธอไม่มีทางเลือกนอกจากหาหมอที่เชี่ยวชาญคนอื่นจึงได้ติดต่อฉันมา เธอทำผิดอะไรหรือคะ


 


 


“ในฐานะหมอที่ต้องการให้พ่อแม่ดูแลลูกของพวกเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เธอไม่คิดเลยหรือว่าเธอจะต้องรับผิดชอบกับคำพูดเหล่านี้บ้าง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ จะมีสักกี่คนที่สามารถตามดูแลลูกได้ตลอดทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมงมันไม่เหนื่อยเกินไปหน่อยหรือคะ…


 


 


“จากสิ่งที่ฉันพูดวันนี้แล้วพวกคุณมีสิทธิ์ที่จะเชื่อได้ตามต้องการ แต่คนที่เผยแพร่ข่าวลือเรื่องที่หลานของฉันป่วยหนักควรหยุดและรอรับผลของการกระทำของพวกเขานะคะ”


 


 



 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความจริงได้ปรากฏแล้วว่าอาการป่วยของกั่วกั่วไม่ได้รุนแรงนัก


 


 


ด้วยคำคำพูดของถังอี้เฉิน พวกเขาได้เตือนพ่อแม่ทุกคนในประเทศนี้ว่าไม่ใช่หมอทุกคนที่จะมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เคยโดนถานซูหลิงประพฤติหยาบคายใส่ซึ่งรู้เรื่องนี้ดี


 


 


[ฉันไม่เคยคิดว่าหมอคนนี้จะยังอยู่ แม้ว่าฝีมือของเธอในการรักษาจะไม่แย่นักแต่เธอต้องมีอาการผิดปกติแน่ๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่แม่ของฉันพาลูกของฉันไปตรวจกับเธอก็บอกให้อยู่ดูเขาทั้งคืนโดยที่ห้ามหลับ แม้ว่าแม่ของฉันจะแก่แล้ว เธอก็ยังบอกว่าเธอจะไม่ปล่อยให้เด็กรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจ เธอป่วยทางจิตไปหรือเปล่า]


 


 


[หมอคนนี้รับมือยากมาก ฉันว่าถังหนิงต้องถูกใส่ร้ายแน่ๆ]

 

 

 


ตอนที่ 790 จะปล่อยให้โม่ถิงแบกรับความ...

 

[รางวัลเฟยเทียนกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ดูแล้วคงมีใครบางคนจงใจใส่ร้ายถังหนิง]


 


 


[ฉันไม่ได้จะอะไรหรอกนะแต่พวกเขาทำให้คำให้ร้ายพวกนั้นเลยเถิดเกินไป นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของถังหนิง ลูกของพวกเขาไม่สบายก็ทำให้กังวลแล้ว ตอนนี้หมอยังมาทำร้ายพวกเขาลับหลังอีก ช่างน่าปวดใจจริงๆ]


 


 


[ฉันจะเกาะติดข่าวนี้อย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ บางทีเรื่องนี้อาจจะพลิกล็อกก็ได้]


 


 


 


 


สมัยนี้ทุกครั้งที่มีข่าวเกิดขึ้นในวงการบันเทิงสาธารณชนมักให้ความสนใจเพียงไม่กี่วันก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยเสียอีก ด้วยความถูกผิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะแบ่งแยกให้เห็นได้ชัดได้ด้วยสายตามนุษย์


 


 


อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าคำพูดของถังอี้เฉินนั้นทำให้ถานซูหลิงโกรธขึ้นมา


 


 


มีเพียงคนเป็นแม่เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการดูแลลูกของตัวเอง


 


 


จะเป็นอะไรไปหากหมอจะวิพากษ์วิจารณ์แม่บ้าง หัวใจเธอทำจากแก้วหรืออย่างไร เธอทนไม่ได้เลยหรือ


 


 


“ตอนที่ลูกของฉันมีอาการภูมิต่ำมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย บางกรณีก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ จะไม่ใช่เรื่องรุนแรงได้อย่างไร โดยเฉพาะกับเขาที่ป่วยมาแล้วหลายครั้งด้วย


 


 


“ตอนที่ฉันขอให้พ่อแม่ดูแลลูกของเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้ต้องดูแลตลอดเวลา แต่ในเมื่อเด็กเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนั้นหมายความว่าพวกเขาป่วย ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถแสดงให้เห็นความรักความห่วงใยตอนนี้จะไปทำตอนไหน


 


 


“อีกอย่างการที่ถังหนิงไม่ใส่ใจลูกชายของเธอก็เป็นเรื่องจริง ฉันไม่ได้โกหก ทำไมฉันต้องเป็นคนมาแก้ต่างให้ตัวเองด้วย


 


 


“ฉันเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง คงเป็นเพราะ ‘ใครบางคน’ เป็นพี่สาวของถังหนิง เธอถึงออกมาพูดแทนครอบครัวของเธอ”


 


 



 


 


“นังนั่นนี่ เธอโรคจิตหรือเปล่าเนี่ย” แม้แต่หลงเจี่ยซึ่งเพิ่งได้เป็นแม่คนยังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาหลังจากเห็นสัมภาษณ์ของถานซูหลิง “สมองของหมอคนนี้ทำมาจากถั่วกวนหรือยังไง”


 


 


“ใครจะไปรู้ ทั้งหมดที่ผมรู้คือความขัดแย้งนี้แพร่กระจายจากวงการบันเทิงไปจนถึงวงการแพทย์เรียบร้อยแล้วล่ะ” ลู่เช่อตอบขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหลงเจี่ยก่อนลงมือปอกผลไม้


 


 


“มันจะส่งผลกระทบกับโอกาสในการรับรางวัลเฟยเทียนของถังหนิงไหม”


 


 


“ผลกระทบแบบไหนล่ะ”


 


 


หลงเจี่ยผ่อนคลายลงและพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ตราบใดที่ไม่มีผลกระทบอะไรก็ดีแล้วล่ะ”


 


 


ทว่าเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ หากโม่ถิงไม่ให้บทเรียนกับถานซูหลิงบ้างเธอคงไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร


 


 


ความจริงแล้วผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งถานซูหลิงทำงานอยู่ต้องการที่จะกำจัดเธอมานานแล้ว หากแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบจะหาเหตุผลในการไล่เธอออกไม่ได้


 


 


ปกติแล้วเมื่อนิสัยของใครสักคนได้รับการยืนยันว่าเป็นปัญหาและทำให้คนรอบข้างอึดอัดใจ พวกเขาก็จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน คนส่วนมากจะพูดลับหลังว่าพวกเขาทำตัวเลวร้ายแค่ไหนและให้มุ่งเป้าไปที่นิสัยแย่ๆ ทั้งหมดของพวกเขา


 


 


ดังนั้นในยามที่เหล็กยังร้อนอยู่ผู้อำนวยการจึงตัดสินใจพูดกับถานซูหลิง “ซูหลิง เอาตามตรงนะคุณเป็นคนที่มีความสามารถ หลังจากที่ทำงานให้กับโรงพยาบาลมานาน ใครๆ ก็เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของคุณและคุณก็เป็นหมอที่ดีที่สุดของเรา แต่ว่า… ตอนนี้คุณมีปัญหากับไห่รุ่ย โรงพยาบาลของเราไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้เราจึงตัดสินใจขอให้คุณลาออก”


 


 


อันที่จริงผู้อำนวยการเป็นคนที่สุภาพมาก


 


 


หากเป็นคนอื่นพวกเขาคงโกรธจนหัวเสียไปแล้ว


 


 


ถานซูหลิงรู้สึกถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีและคิดว่าไห่รุ่ยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จึงตอบกลับ “คุณจะต้องเสียใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน


 


 


“ฉันเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณที่ช่วยชีวิตและรักษาผู้คนจากอาการเจ็บป่วย ฉันรักษาคนมานับไม่ถ้วน คุณก็ยังทำแบบนี้กับฉันเพราะเรื่องไร้สาระที่ตัวเองจัดการไม่ได้เหรอ ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ ”


 


 


ทว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนี้กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพียงคนเดียว เธอยังเผยเรื่องนี้กับสื่ออีกด้วย


 


 


“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันฉุกละหุกไปหมด ฉันถูกโรงพยาบาลไล่ออกเพราะมีปัญหากับไห่รุ่ยและโรงพยาบาลก็ไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง”


 


 


บางคนหลุดหัวเราะทันทีกับความตรงไปตรงมาและการออกมาพูดด้วยท่าทีขึงขังของเธอ แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคิดว่าเธอได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม


 


 


[นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไห่รุ่ยทำตามที่พวกเขาต้องการ การถูกไล่ออกเป็นการลงโทษที่เล็กน้อยไปเสียแล้ว หมอคนนี้น่าสงสารจริงๆ]


 


 


[ใครบอกให้เธอไปมีเรื่องกับโม่ถิงกันล่ะ เธอน่าเห็นใจออก]


 


 


[ไม่นะ ไห่รุ่ยจะใช้วิธีนี้แก้ปัญหาตลอดไม่ได้]


 


 


 


 


หากแต่ในความเป็นจริงนั้นไห่รุ่ยยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


“ดูรูปการณ์แล้วถานซูหลิงคนนี้คงไม่เป็นที่พอใจนักจนแม้แต่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังไม่เข้าข้างเธอ ข่าวเพิ่งออกมาไม่นานแต่เขาก็ไม่รอช้าที่จะกำจัดเธอ ถ้าเขาอยากให้ไห้รุ่ยแบกรับความผิดนี้แทนเขาคงต้องวางแผนมาดีแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะพุ่งเป้ามาที่ไห่รุ่ยและความผิดทั้งหมดจะตกลงที่เราครับ”


 


 


นั่นคือคำพูดของฟังอวี้


 


 


ทว่าหากพวกเขาต้องการให้โม่ถิงรับผิด… พวกเขาคงเล่นผิดคนเสียแล้ว


 


 


“ไปสอบถามกับหมอที่โรงพยาบาล ฉันมั่นใจว่าต้องได้เบาะแสบางอย่างแน่” โม่ถิงสั่ง หากพวกเขาไม่ลงมือทำบางอย่างเรื่องนี้คงถูกมองว่าเป็นการกดขี่จากไห่รุ่ย


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะนำเรื่องมารายงานคุณในเร็วๆ นี้ครับ” การสืบหาข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่ลู่เช่อเท่านั้นที่ทำได้ ฟังอวี้ก็ถนัดเรื่องนี้ด้วย


 


 


แม้ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นจากการที่กั่วกั่วป่วยแต่กระแสเชิงลบเช่นนี้ล้วนส่งผลกับชื่อเสียงของไห่รุ่ยเช่นกัน


 


 


ไม่นานฟังอวี้ก็ได้รับข่าวจากแหล่งข้อมูลว่าหลักฐานได้รับการยืนยัน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบุคลิกของถานซูหลิงและทางโรงพยาบาลได้ทนกับเรื่องนี้มานานแล้ว


 


 


หากพวกเขาต้องการหาเรื่องกับใครสักคน เหตุใดถึงกล้ามาทำกับไห่รุ่ย


 


 


จากนั้นฟังอวี้โทรรายงานเรื่องนี้ให้ถังหนิงรู้ก่อนที่ปลายสายจะตอบกลับ “จัดการตามสมควรได้เลย”


 


 


หลังจากผ่านการถูกให้ร้ายมาหลายครั้งถังหนิงชินชากับมันเสียแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมให้อภัยถานซูหลิง


 


 


เธอคิดง่ายๆ ว่าโม่ถิงคงทำตามที่ใจต้องการ ทว่าหากโม่ถิงลงมือแล้ว… ทั้งถานซูหลิงและโรงพยาบาลคงจะเดือดร้อนอย่างน่าสงสาร


 


 


“นัดกับผู้อำนวยการให้ที ฉันจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัว”


 


 


‘เป็นการส่วนตัว’ ทันทีที่ฟังอวี้ได้ยินคำนี้เขาก็รู้ว่าการแสดงดีๆ กำลังเดินทางมาถึง


 


 


เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเขาแสร้งทำเป็นเศรษฐีจากตระกูลที่ร่ำรวยและขอนัดพบผู้อำนวยการที่โรงแรมเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของญาติของเขา


 


 


แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ได้มีเพียงแต่โม่ถิงที่รอพบผู้อำนวยการ เขายังพานักข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดในปักกิ่งไปอีกด้วย


 


 


การตั้งตัวเป็นศัตรูของโม่ถิงไม่เคยจบสวย สิ่งที่ผู้อำนวยการคนนี้หวังได้มากที่สุดคือไม่ต้องลงเอยอย่างน่าเวทนาจนเกินไปนัก


 


 


การพิจารณารางวัลเฟยเทียนยังคงดำเนินต่อไป ฟังอวี้เข้าใจว่าโม่ถิงต้องการจบปัญหานี้ก่อนที่พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นเพราะเขาอยากให้ทุกคนมองถังหนิงในฐานะผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด


 


 


ดังนั้นในเช้าวันถัดมาเขาจึงไปพบกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล


 


 


อีกฝ่ายไม่รู้ว่าสิ่งใดกำลังรออยู่ เขาคิดว่าครอบครัวเศรษฐีต้องการพบเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการป่วยของสมาชิกครอบครัว ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนตัวภายในโรงแรมก็ตกตะลึง เพราะว่านอกจากสื่อแล้วยังปรากฏตัวโม่ถิงอีกด้วย


 


 


“ผมต้องเข้าผิดห้องแน่” ผู้อำนวยการหันหลังทำทีจะออกจากห้อง เขาคิดว่าตัวเองเข้าห้องผิดจริงๆ แต่โม่ถิงกลับเอ่ยรั้งเขาไว้


 


 


“ผู้อำนวยการหลิน คุณมาถูกห้องแล้วล่ะครับ” เสียงทุ้มเข้มของโม่ถิงทำให้ทุกคนในห้องต่างนิ่งงันไป


 


 


ในขณะที่สีหน้าของเจ้าของชื่อดูไม่ดีนัก

 

 

 


ตอนที่ 791 ถังหนิงกับผมไม่ได้แต่งงานค...

 

“อะไรกัน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด จากสิ่งที่โรงพยาบาลของคุณประกาศก่อนหน้านี้เราดูจะคุ้นเคยกันดีนี่ครับ แต่ดูท่าแล้วผู้อำนวยการหลินจะไม่อยากเจอผมนะครับ” โม่ถิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม


 


 


ความลังเลใจอัดแน่นอยู่ในตัวผู้อำนวยการหลิน ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก้าวเข้ามาในห้องและนั่งลงตรงข้ามโม่ถิง


 


 


ทว่าหลังจากเขาทิ้งตัวลงนั่งความรู้สึกไม่สบายใจก็ก่อตัวขึ้นท่ามกลางกล้องหลายตัวที่รายล้อมฝ่ายตรงข้าม


 


 


นอกจากนี้เพียงแค่สบตามองโม่ถิงครั้งเดียวก็ทำให้ต้องผงะถอยไปด้วยความกลัวด้วยรังสีอำมหิตรอบตัวเขาแล้ว


 


 


“คุณโม่ ถ้าคุณอยากจะพบผม ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ…”


 


 


“ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอผู้อำนวยการหลินหรอกครับ” โม่ถิงว่าขึ้นอย่างมีความนัย จากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาแฝงความร้ายกาจและอันตราย “ผมแค่อยากรู้ว่าไห่รุ่ยทำอะไรกับโรงพยาบาลของคุณให้กลัวจนต้องไล่พนักงานคนหนึ่งออกเท่านั้นครับ”


 


 


“เรื่องนั้น…”


 


 


“ผู้อำนวยการหลิน มีข่าวลือว่าไห่รุ่ยทำการกดดันคุณ ไห่รุ่ยทำแบบนั้นจริงๆ หรือครับ จากที่หมอถานว่าไว้ว่าเราร่วมมือกันใช้วิธีสกปรก


 


 


“หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ผมก็โกรธมาก ถ้าอาณาจักรความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ของผมต้องลงมาจัดการกับหมอโง่ๆ คนหนึ่ง


 


 


.” ส่วนตัวผมไม่คิดว่าหมอถานจะอยู่ในระดับที่ต้องได้รับความสนใจขนาดนั้น ว่าไหมครับ”


 


 


ผู้อำนวยการหลินถูกกดดันอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดข่าวลือพวกนี้ขึ้นทั้งนึกไม่ถึงว่าโม่ถิงจะมาพบเขาด้วยตัวเองเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรเกิดขึ้นแต่ตอนนี้เขาถูกต้อนให้ต้องรับผิดชอบ เขาต้องพูดอะไรเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขาไว้กัน


 


 


“ผมคิดว่าหมอถานต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ ครับ”


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้อำนวยการหลินช่วยอธิบายว่าทำไมถึงไล่หมอถานออกด้วยนะครับ”


 


 


“คือ…” อีกฝ่ายนิ่งค้างไป


 


 


“คุณให้คำตอบผมไม่ได้หรือครับ ไม่เป็นไร ผมจะตอบแทนคุณเอง” สิ้นเสียงโม่ถิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดเล่นบันทึกเสียง


 


 


ต่อหน้าสื่อทั้งหมด…


 


 


“ถานซูหลิงเหรอ เอ ใครในโรงพยาบาลไม่รู้จักเธอบ้าง เธอขึ้นชื่อเรื่องการควบคุมอารมณ์ต่ำและชอบมีปัญหากับญาติคนไข้บ่อยๆ บางครั้งเธอก็มักก่อเรื่อง เพราะอย่างนั้นผู้อำนวยการเลยอยากไล่เธอออกมานานแล้ว”


 


 


“ฉันไม่ได้พูดลอยๆ นะ ถานซูหลิงคนนั้นเธอบ้าไปแล้ว เธอทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นสถานที่น่าขยะแขยง”


 


 


“ก่อนหน้านี้ระหว่างการประชุมเธอทำให้ผู้อำนวยการตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ตอนนั้นเขาก็อยากจะกำจัดเธอแล้วล่ะ”


 


 


“ฉันคิดว่าคนในโรงพยาบาลแปดสิบเปอร์เซ็นต์อยากจะให้ถานซูหลิงออกไป”


 


 


“บันทึกเสียงทั้งหมดมาจากหมอซึ่งทำงานที่โรงพยาบาลของคุณ ฟังแล้วดูจะไม่มีใครชอบถานซูหลิงเลย ดังนั้นคุณเลยตัดสินใจอ้างเรื่องที่เธอขัดแย้งกับไห่รุ่ยเพื่อไล่เธอออกใช่ไหมครับ”


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนครับ” ผู้อำนวยการหลินปฏิเสธทันที


 


 


“อย่างนั้นคุณมีเหตุผลอะไรครับ” โม่ถิงถามขึ้น


 


 


อย่างไรก็ตามคนถูกถามเกิดอาการละล่ำละลักมาชั่วขณะโดยที่ไม่ได้ชี้แจงอะไร


 


 


“ถานซูหลิงแสดงความเห็นในเชิงลบต่อไห่รุ่ย แล้วทางเราทำอะไรผิดหรือครับ” โม่ถิงเอ่ยถามขณะวางโทรศัพท์ลง “คุณมีเรื่องผิดคนแล้วล่ะ ผู้อำนวยการหลิน…


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นไห่รุ่ยหรือผม แต่สถานะของคุณก็ยังเหมือนเดิม คุณไม่สามารถต่อกรกับพวกเราได้หรอก ฉะนั้นเลิกฝันจะโยนความผิดให้เรา เราจะไม่แบกรับข้อกล่าวหาที่ทำให้ถานซูหลิงโดนไล่ออกแน่”


 


 


พลันสีหน้าของคนฟังก็คละเคล้าไปมาระหว่างสีแดงและขาว


 


 


“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันภรรยาของผม ผมคงไม่มาเจอแค่ผู้อำนวยการธรรมดาๆ อย่างคุณ ตอนนี้เรื่องก็กระจ่างแล้ว ถ้าคุณยังปฏิเสธจะชี้แจงทุกอย่างกับสาธารณชน อย่าหาว่าผมโหดร้ายแล้วกัน และนี่เป็นสิ่งที่คุณเรียกว่าโดนกดดัน”


 


 


ต่อหน้ากล้องหลายตัว อารมณ์โกรธของโม่ถิงก็ปะทุขึ้น


 


 


ทุกคำของเขาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตให้คนที่ได้ยินต้องเหงื่อตกด้วยความหวาดกลัว


 


 


“ผมไม่สนใจเรื่องภายในของคุณหรอก แต่อย่าเอาไห่รุ่ยและภรรยาของผมไปเกี่ยวข้อง!”


 


 


ประโยคสุดท้ายของเขาชวนให้นึกถึงคำสั่งของปีศาจ ทันทีที่มันเข้าหูผู้อำนวยการหลินเจ้าตัวก็รู้สึกว่าเขาต้องออกมาชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยไม่เคยคิดอยากทำให้โม่ถิงโกรธ


 


 


“คุณโม่ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ทางเราก็กลัวข่าวลือเช่นกัน ที่ทำให้ไห่รุ่ยต้องเข้ามาเกี่ยวข้องผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ” ผู้อำนวยการหลินอธิบายอย่างจริงใจก่อนที่จะหันไปทางสื่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างถานซูหลิงกับผม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไห่รุ่ยผมหวังว่าสาธารณชนจะไม่เข้าใจผิดกันนะครับ”


 


 


“ยังไงก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว ช่วยชี้แจงเหตุผลที่แท้จริงในการไล่ถานซูหลิงออกด้วยครับ”


 


 


“เป็นเรื่องภายในของโรงพยาบาลของเราน่ะครับ ให้เราจัดการด้วยตัวเองเถอะครับ” ผู้อำนวยการหลินพยายามต่อรอง


 


 


“ตอนที่คนภายนอกวิพากษ์วิจารณ์ไห่รุ่ย ก็ไม่มีใครออกมาเจรจากับเราเลยนะครับ” โม่ถิงเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนที่ผู้คนต่อว่าภรรยาผมเพราะถานซูหลิงก็ไม่มีใครออกมาพูดอะไรกับเราเหมือนกันแม้ว่าผมจะอยากออกมาชี้แจงเรื่องต่างๆ ก็ตาม”


 


 


ผู้อำนวยการหลินไม่มีทางเลือกได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะหันไปเผชิญหน้ากับสื่ออย่างไม่เต็มใจนักก่อนอธิบายออกมา “ทางโรงพยาบาลของเราต้องยอมรับว่าถานซูหลิงเป็นหมอที่มีความสามารถแต่ว่า…


 


 


“เธอยังเป็นหมอที่ได้รับการร้องเรียนเยอะที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอรักษาคนไข้ได้ไม่ดีแต่เพราะเธอมักจะหยาบคายใส่ญาติคนไข้ ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นคนที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคส่วนภายในมากที่สุดเช่นกัน ด้วยภาวะทางอารมณ์ส่วนตัวของเธอจึงทำให้ผู้ร่วมงานอึดอัดในที่ทำงาน นั่นเป็นเหตุผลที่ทางโรงพยาบาลตัดสินใจไล่เธอออกครับ


 


 


“ผมขอเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลในการกล่าวขอโทษประธานโม่ที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจไห่รุ่ยผิด หวังว่าประธานโม่จะให้อภัยเรา เป็นเราเองที่จัดการเรื่องนี้อย่างไม่เหมาะสมและทำให้ทุกคนผิดหวังครับ”


 


 


“ในประเด็นของถานซูหลิง” โม่ถิงเอ่ยต่อ “กั่วกั่วป่วยผมจึงพาลูกชายของผมไปโรงพยาบาล หมอถานไม่ได้พบถังหนิงเธอจึงขอให้แม่มากับลูกด้วยในครั้งหน้า


 


 


“แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่กั่วกั่วมีไข้ นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันของเขายังอ่อนแอลงอีกด้วย ผมจึงตัดสินใจไม่บอกถังหนิงเพราะรู้ว่าเธอจะต้องทิ้งทุกอย่างที่กองถ่ายและกลับมาที่บ้าน เธอเป็นนักแสดงนำ เป็นตัวละครหลักของนักแสดงทั้งหมด ผมไม่สามารถให้เธอทิ้งงานมากขนาดนั้นและไม่สนใจทีมงานทั้งหมดได้ ผมจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเธอ…


 


 


“แต่ว่าหมอถานกลับใช้อคติมาตำหนิภรรยาของผมเพียงเพราะว่าไม่เคยพบเธอ…


 


 


“ระหว่างที่กั่วกั่วป่วยก่อนหน้านี้ ถังหนิงขอลาจากกองถ่ายและรีบกลับบ้านในตอนกลางคืน เธอพากั่วกั่วไปโรงพยาบาลในวันต่อมาแม้ว่าจะต้องเจอกับคำต่อว่าของหมอถาน


 


 


“นี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ


 


 


“ถังหนิงกับผมไม่ได้แต่งงานคลุมถุงชน ผมรักภรรยาของผมมากกว่าอะไรทั้งสิ้น…


 


 


“ระหว่างเรามีผลประโยชน์ร่วมกันจริงครับ แต่มันคือความรักที่มีต่อกันและกัน”


 


 


ได้ยินเช่นนั้นนักข่าวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “หากถังหนิงมีความรับผิดชอบในฐานะแม่จริง ทำไมระบบภูมิคุ้มกันของลูกถึงได้อ่อนแอล่ะคะ ไม่ใช่เพราะว่าเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ตอนที่เธอท้องแล้วหรือคะ”


 


 


โม่ถิงหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น

 

 

 


ตอนที่ 792 ภรรยาของผมมีลูกแฝด

 

“กั่วกั่วมีปัญหาด้านพัฒนาการตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ์จริงครับ เขาเลยป่วยบ่อยหลังจากคลอด” โม่ถิงตอบกลับด้วยความสัตย์จริง


 


 


นักข่าวนึกไม่ถึงว่าโม่ถิงจะตอบเช่นนี้ขณะเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ


 


 


จริงหรือที่ถังหนิงละเลยสุขภาพของลูกตัวเองตั้งแต่เธอตั้งครรภ์


 


 


“แต่นั่นเป็นเพราะ


 


 


“ภรรยาของผมคลอดลูกแฝด”


 


 


“หือ…?”


 


 


บรรดานักข่าวนิ่งงันด้วยความตกใจ พวกเขาได้ยินกันหมดใช่ไหม เมื่อครู่โม่ถิงเพิ่งพูดว่าอะไรนะ


 


 


ถังหนิงมีลูกแฝดเหรอ


 


 


“กั่วกั่วเกิดมาทีหลังและมีพัฒนาการช้าเขาจึงไม่ได้รับสารอาหารมากเท่ากับพี่ชายของเขา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเขาอ่อนแอเล็กน้อย”


 


 


ด้วยคำพูดเหล่านี้ในที่สุดทุกคนต่างเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นที่รู้กันดีสำหรับคนที่คลอดลูกแฝดว่าเป็นปกติที่ฝาแฝดจะมีพัฒนาการที่ต่างกัน และยิ่งเป็นธรรมดาที่แฝดน้องจะร่างกายอ่อนแอกว่าแฝดพี่


 


 


“เรื่องมันเป็นแบบนั้นสินะ…”


 


 


“จริงๆ แล้วถังหนิงคลอดลูกแฝดโดยที่ไม่มีใครรู้เลย…”


 


 


“ดูแลเด็กสองคนต้องลำบากไม่น้อยแน่ ไม่น่าล่ะประธานโม่ถึงลำบากใจกับถังหนิงที่ไม่ยอมบอกเธอให้รู้ว่าลูกชายป่วย”


 


 


นักข่าวในห้องเริ่มแสดงความเห็นในเรื่องนี้


 


 


“ใครมีคำถามอีกไหมครับ”


 


 


เรื่องทุกอย่างถูกชี้แจงแล้ว ถานซูหลิงมีความสามารถแต่เธอไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัวกับเพื่อนมนุษย์เธอจึงถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับการกดดันจากไหรุ่ยอย่างในข่าวลือที่คนพูดกัน


 


 


การที่มีคนมากมายร้องเรียนเกี่ยวกับถานซูหลิงแสดงให้เห็นชัดว่าเธอไม่ใช่คนที่น่าคบหานัก


 


 


ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เธอสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก พวกเขาจึงโยนความผิดให้กับไห่รุ่ยและปล่อยให้ทุกคนคิดว่าไห่รุ่ยใช้วิธีสกปรกกดขี่เทวดานางฟ้าในชุดขาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ โชคไม่ดีนักที่โม่ถิงไม่ใช่คนธรรมดาและเขาไม่เคยปล่อยให้คนอื่นป้ายความผิดให้เขา


 


 


โม่ถิงเป็นใครแล้วถังหนิงเป็นใคร ทั้งคู่ไม่เคยหาเรื่องใครแต่เมื่อคนอื่นมาหาเรื่อง พวกเขาไม่เคยหลบซ่อนในความกลัว ทั้งยังสืบหาความจริงและทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง


 


 


“ประธานโม่ครับ คุณจะเปิดเผยรูปของฝาแฝดไหมครับ”


 


 


“ประธานโม่คะ ลูกทั้งสองคนจะเข้าสู่วงการบันเทิงไหมคะ”


 


 


เมื่อเห็นว่านักข่าวไม่มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วโม่ถิงก็จัดเสื้อให้เรียบร้อยก่อนลุกขึ้นจากโซฟา


 


 


ประเด็นต่างๆ ได้รับการชี้แจงแล้วทว่าบทลงโทษนั้นยังไม่เพียงพอ


 


 


แน่นอนว่าผู้อำนวยการหลินได้เตรียมการกับการที่โรงพยาบาลจะถูกโจมตี แต่เพราะว่าถานซูหลิงทำตัวไร้จรรยาบรรณจริงโรงพยาบาลจึงไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบมาก ในทางกลับกันถานซูหลิงกลับมีชะตากรรมที่ไม่ดีนัก


 


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้อำนวยการหลินคาดไม่ถึงนั้นยังมาไม่ถึง…


 


 



 


 


โม่ถิงออกมาอธิบายข่าวอื้อฉาวทั้งหมดของถังหนิงและแสดงให้เห็นว่าเขาและเธอเป็นคู่รักปกติทั่วไป นอกจากนี้แล้วยังเผยเรื่องที่พวกเขามีลูกชายฝาแฝดอีกด้วย


 


 


ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยหลังจากเหตุการณ์นี้ แม้ว่าสังคมจะเบนความสนใจไปที่ถานซูหลิงก็ตาม


 


 


พวกเขาสงสัยว่าเธอไปทำอะไรให้ทุกคนตั้งตัวเป็นศัตรูและเกลียดเธอมากขนาดนี้


 


 


ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มขุดคุ้ยอดีตของเธอและพบว่าเธอถูกร้องเรียนจากญาติคนไข้หลายคนเพราะเธอทำตัวโรคจิตอ่อนๆ


 


 


[แม้ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของหมอที่จะใส่ใจคนไข้ของพวกเขาที่สุด แต่พวกเขาก็ควรสร้างความเชื่อมั่นให้กับญาติคนไข้ด้วย คุณไม่คิดว่ามันไม่แปลกบ้างเหรอที่จู่ๆ หมอจะโทษว่าเป็นความผิดของครอบครัวน่ะ]


 


 


[น่าอายที่เห็นผู้หญิงสวยๆ ทำตัวแบบนี้ ฉันว่าเธออาจจะมีอาการหวาดระแวงรุนแรงนะ]


 


 


[ฉันเป็นนักศึกษาจิตวิทยา ฉันจะทิ้งข้อมูลการติดต่อให้หมอถาน ฉันคิดว่าภาวะจิตใจของเธอแปรปรวนจริงๆ]


 


 


[เมื่อคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบใครสักคนอาจเป็นไปได้ว่าเป็นความหมั่นไส้ แต่หากคนส่วนใหญ่ไม่ชอบพวกเขาแสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติกับคนคนนี้แน่ ไม่น่าล่ะถังหนิงถึงย้ายลูกของเธอไปที่โรงพยาบาลอื่น มันสมเหตุสมผลดีแล้ว!]


 


 


 


 


ถานซูหลิงไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นคนละขั้วในช่วงเวลาสั้นๆ และมีคนมากมายโจมตีเธอเช่นนี้


 


 


พ่อและแม่ของเธอไม่มีทางเลือกนอกจากปลอบลูกสาวของตัวเอง “ลูกรัก แม่นัดพบนักจิตวิทยาที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว ทำไมไม่ให้แม่ไปกับลูกพรุ่งนี้ล่ะ”


 


 


“แม่คะ แม่ก็คิดว่าหนูป่วยเหรอคะ”


 


 


“ลูกป่วยจริงๆ นะ” พ่อของเธอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ลูกมีอาการหวาดระแวงรุนแรง”


 


 


ถานซูหลิงนึกไม่ถึงว่าแม้แต่พ่อแม่ของเธอก็เข้าใจเธอผิด ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นเธอเดินโมโหออกจากบ้านไป อย่างไรก็ตามระหว่างที่เธอเดินไปตามท้องถนนก็พบว่าทุกคนต่างจ้องและวิพากษ์วิจารณ์เธอ ที่แย่ที่สุดคือในจังหวะนั้นเองที่เธอตระหนักได้ว่าตัวเองไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว


 


 


“ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้า อย่าเข้าไปใกล้เธอ”


 


 


“เธอเรียกตัวเองว่าหมอแต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละที่ป่วย น่าตลกจริงๆ ”


 


 


ถานซูหลิงรู้สึกไม่ยุติธรรม ไม่ว่าอย่างไรเธอก็มีเพียงความตั้งใจในฐานะหมอ แค่หวังดีกับเด็กๆ ที่เธอรักษาเท่านั้น


 


 


เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกคนภายนอกเข้าใจผิด


 


 


ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ถังหนิงที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่เสียชื่อจากคำว่าร้ายของผู้คนซึ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าและไม่ได้รับการสนใจใดๆ


 


 


พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนถูกจัดขึ้นในคืนนั้น และโม่ถิงได้ออกมาแก้ต่างให้ภรรยาของเขาในช่วงบ่ายแก่ๆ วันนั้น


 


 


ถังหนิงรู้สึกว่านอกจากทักษะการแสดงแล้วเธอเป็นเพียงคนธรรมดา ฉะนั้นหลังจากที่มีลูกเธอจึงหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างเช่นคนทั่วไป


 


 


หากแต่… ใครบางคนกลับไม่มีทางเลือกในวงการบันเทิงนัก


 


 


เย็นวันนั้นโม่ถิงกลับมาที่บ้านและพบว่าถังหนิงยังงัวเงียอยู่บนโซฟา “ทำไมคุณยังไม่เตรียมตัวอีกล่ะ เดี๋ยวเราจะไปกันแล้วนะ”


 


 


ถังหนิงหัวเราะและเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่เดินไปได้ครึ่งทางอยู่ๆ เธอก็หันกลับมาและเอ่ยกับโม่ถิง “ฉันคิดว่าต่อจากนี้ไปฉันควรทำตัวเป็นกันเองกับคนอื่นและทักทายนักข่าวทุกคนที่เจอดีไหมน่ะค่ะ”


 


 


โม่ถิงเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังอยู่ในหัวของเธอทันทีแต่เขาคิดว่าเธอควรทำตามที่ตัวเองต้องการทำ


 


 


เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางการเพื่อไปงานประกาศรางวัลกับภรรยาของเขา ชุดสูทหกกระดุมสีกรมพร้อมทรงผมที่ปาดไปด้านหลังแฝงกลิ่นอายของความสง่างามทำให้เขาเป็นผู้สนับสนุนที่สมบูรณ์แบบสำหรับถังหนิง


 


 


ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไร โม่ถิงก็ยังคงเป็นโม่ถิง


 


 


ใบหน้าเขาไม่บ่งบอกถึงความมีอายุแม้แต่น้อย


 


 


ไม่นานถังหนิงก็แต่งตัวเสร็จและก้าวออกมาในชุดเสื้อคลุมสีครามเปล่งประกายระยิบระยับ ดูสวยพิสุทธิ์พร้อมชุดเครื่องประดับลวดลายดวงดาวของเธอ ถังหนิงในตอนนี้เป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดสำหรับโม่ถิง


 


 


“ไปกันเถอะ…”


 


 


วันนี้เป็นวันที่สำคัญของถังหนิง


 


 


แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงออกมาแต่โม่ถิงก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของเธอ


 


 


ไม่ว่าใครต่างต้องการชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงไม่ใช่หรือ


 


 


ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว


 


 


ฉากเลือดสาดซึ่งทำให้ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขา เพียงพริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปหนึ่งปีและผู้เข้าชิงของเธอก่อนหน้านี้ก็หายลับไป


 


 


“ทำไมคุณถึงตัวสั่นล่ะ” โม่ถิงสังเกตว่าเกิดบางอย่างผิดปกติกับถังหนิงขณะที่พวกเขาขับรถมุ่งหน้าไปตามท้องถนน


 


 


“ฉันรู้สึกว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดค่ะ เพราะไม่เคยมีอะไรที่ราบรื่นสำหรับฉัน” ถังหนิงหัวเราะอย่างขมขื่น

 

 

 


ตอนที่ 793 คุณพ่อถิง โอบกอดหนิงของเรา...

 

“ไม่มีอะไรผิดพลาดครับ” โม่ถิงกุมมือถังหนิงแน่น ทั้งคู่แต่งงานกันมาได้สองปีแล้วและความรักของพวกเขาก็ฝังลึกจนถึงกระดูก ในยามที่ถังหนิงตื่นเต้นถึงขีดสุด ด้วยความเชื่อมั่นของโม่ถิง เธอก็สงบใจลงได้ทันที เพียงมีชายคนนี้ข้างกายก็ไม่สำคัญเลยว่าเธอจะได้รางวัลหรือไม่ 


 


 


ไม่นานโรลส์รอยซ์สีดำก็มาถึง ณ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียน ถังหนิงก้าวลงมาที่ด้านหน้าพรมแดงพลางจับมือโม่ถิง บรรดาสื่อมวลชนต่างตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของทั้งคู่จนเกือบดันราวกั้นออกมา ทว่าเพราะมีโม่ถิงอยู่ด้วย ต่อให้พวกเขาอยากทำก็ไม่คิดอาจหาญที่จะทำเช่นนั้น 


 


 


“ถังหนิง… โม่ถิง…” 


 


 


“ถังหนิง… มองทางนี้ด้วยครับ” 


 


 


“คุณพ่อถิง โอบกอดหนิงของเราแน่นๆ ดูแลเธอดีๆ นะคะ” แฟนๆ บางส่วนที่ถือป้ายไฟตะโกนบอก ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งยิ้มให้ โม่ถิงดึงถังหนิงเข้ามาในอ้อมแขนเป็นคำตอบ ประกายความรักใคร่ที่คู่รักแสดงออกมาทำให้กลุ่มแฟนๆ ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น 


 


 


ถังหนิงพึงพอใจกับการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ และหลังจากที่เธอผันตัวมาเป็นนักแสดงก็ไม่ค่อยปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์เว้นเสียแต่การให้สัมภาษณ์บางรายการ เธอมักปรากฏตัวด้วยเรื่องส่วนตัวเท่านั้นจึงเป็นเรื่องแปลกที่แฟนๆ จะได้เห็นเธอ ไม่รวมถึงการได้เห็นเธออยู่ด้วยกันกับโม่ถิง 


 


 


พิธีกรพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนยืนอยู่ด้านหน้ากำแพงเซ็นชื่อ ทันทีที่เขาเห็นทั้งคู่ก็ทักทายอย่างลื่นไหล เพราะเห็นโม่ถิงอยู่ด้วยเขาจึงไม่กล้าเล่นมุกตลกกับเธอแม้แต่น้อย โดยเฉพาะท่าทีของเธอที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพื่อรับรางวัลแต่เพื่อร่วมงานเท่านั้น 


 


 


“เห็นได้ชัดว่าประธานโม่รู้วิธีการเอาใจใส่ภรรยาของเขาแน่นอนครับ ถึงได้คอยดูแลเธอตลอดเวลาเลย อย่างไรก็ตามในฐานะพิธีกรของงานผมขออนุญาตถามสักหนึ่งข้อนะครับ คุณช่วยบอกอาการของลูกของคุณให้เราทราบได้ไหมครับ” 


 


 


“ตอนนี้เขาสบายดีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงนะคะ” ถังหนิงตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ฉันทราบว่าอาการป่วยของลูกชายของฉันสร้างความสับสนวุ่นวายใหญ่ขึ้นในปักกิ่ง ฉันต้องขอโทษถ้าทำให้ใครไม่พอใจด้วยนะคะ” 


 


 


คำพูดของถังหนิงฟังแล้วเป็นการขอโทษที่ซื่อสัตย์และจริงใจเป็นพิเศษ ทั้งเธอยังดูรู้สึกผิดเล็กน้อย 


 


 


นั่นทำให้พิธีกรเอ่ยตอบ “ผมเชื่อว่าในฐานะแม่คุณได้ทำเท่าที่ทำได้แล้วล่ะครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามทำให้ดีที่สุดมาตลอดไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน ดังนั้นการเป็นแม่คงไม่แตกต่างไปแน่ครับ” 


 


 


“เราเองก็เชื่อในตัวคุณ” แฟนคลับของถังหนิงตะโกนให้กำลังใจมาจากด้านหลัง “คุณเป็นราชินีในคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย” 


 


 


อันที่จริงในค่ำคืนนี้นอกจากความน่าสนใจของการที่ถังหนิงและโม่ถิงปรากฏตัวแล้วยังมีบุคคลที่เปรียบดั่งราชาอีกคนซึ่งเพิ่งกลับมาต่างประเทศอีกด้วย ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงลือลั่นในปักกิ่ง 


 


 


ในไม่ช้าช่วงเวลาของการเดินพรมแดงหนึ่งชั่วโมงก็จบลง ถังหนิงและโม่ถิงเดินตามทางไปยังที่นั่งของตัวเอง มีผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน รวมถึงหลินเซิงและนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งถังหนิงเคยทำงานร่วมกันก่อนหน้านี้ด้วย เป่ยเฉินตงเป็นหนึ่งในแขกที่ได้รับเชิญเช่นกันแต่เขามักทำตัวเป็นเด็ก การเข้าร่วมงานแบบนี้จึงขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา 


 


 


พิธีกรชื่อดังในวงการเปิดเวทีอย่างน่าสนใจตามด้วยเพลงเปิดและการเต้นที่แสดงโดยกลุ่มนักแสดงละครเวทีที่มีชื่อที่สุด 


 


 


ถังหนิงได้ยินผู้คนรอบข้างพูดถึงผู้มีอิทธิพลที่กำลังจะกลับมาวันนี้เธอจึงเขย่ามือโม่ถิง “ดูเหมือนจะมีบางอย่างในวงการที่เรายังไม่รู้นะคะ” 


 


 


“คุณหมายถึงผู้ชายที่จะกลับมาวันนี้เหรอ” โม่ถิงถาม 


 


 


“อือฮึ” 


 


 


“เดี๋ยวผมจะเล่าให้คุณฟังหลังจากที่เรากลับบ้านครับ” โม่ถิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ข้างหูถังหนิง “มาดูพิธีมอบรางวัลกันก่อนเถอะ” 


 


 


พิธีมอบรางวัลปีนี้ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจเพราะนักแสดงน้ำดีที่มีผลงานในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางนักแสดงเหล่านั้นหมายรวมถึงคนที่ถังหนิงรู้จัก เฉินซิงเยียนยังกลับบ้านไปพร้อมกับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ดีเด่น ตอนนั้นเองที่ถังหนิงสังเกตเห็นว่าอันจื่อเฮ่าและเฉินซิงเยียนนั่งอยู่ถัดไปสองแถวด้านหลังพวกเขา 


 


 


ในขณะที่เฉินซิงเยียนขึ้นรับรางวัล เธอก็มองมาที่ถังหนิงและโบกมือขวาให้ 


 


 


“นับจากนี้ไป เราจะประกาศรางวัลเฟยเทียนที่สำคัญที่สุดครับ เป็นอีกครั้งสำหรับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี เพื่อคัดเลือกนักแสดงที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดคณะกรรมการของเราเกือบจะทะเลาะหลังเวทีทุกปีเลยครับ 


 


 


“ขอเสียงปรบมือดังๆ ต้อนรับแขกรับเชิญพิเศษของเราขึ้นมาบนเวทีเพื่อมอบรางวัลด้วยครับ” 


 


 


แขกผู้มอบรางวัลคนแรกเคยเป็นนักเขียนบทที่ก่อนหน้านี้ได้รับรางวัลใหญ่ๆ ในระดับนานาชาติมามากมาย เขามาพร้อมกับแขกคนที่สองซึ่งเป็นนักวิจารณ์ภาพยนตร์ที่ชื่อดังไปทั่วโลก 


 


 


คนหนึ่งมีอายุในขณะที่อีกคนยังอายุน้อย คนหนึ่งร่างท้วมในขณะที่อีกคนผอมแห้ง ชายทั้งสองคนประคองกันและกันและก้าวขึ้นมาบนเวที ก่อนที่อดีตนักเขียนบทจะเริ่มกล่าวก่อน 


 


 


“ตอนแรกที่ผู้จัดเชิญมามอบรางวัลนี้ผมค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าผมเป็นคนเถรตรง หากคนที่ผมกำลังจะมอบรางวัลให้ไม่ใช่คนที่เป็นไปตามมาตรฐานของผม ผมคงจะคัดค้านและปฏิเสธที่จะมอบรางวัลนี้… 


 


 


“ผมจึงดูหนังทั้งหมดของผู้เข้าชิงทั้งหมดก่อนมาที่นี่ 


 


 


“ด้วยเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเส้นเรื่องมากผมจึงคาดหวังกับนักแสดงไว้สูงมากเช่นกัน ผมหมายความว่าจะมีนักเขียนบทคนไหนที่จะปล่อยให้ผลงานของตัวเองสูญเปล่าด้วยน้ำมือของนักแสดงกัน 


 


 


“โชคดีที่รางวัลเฟยเทียนยังคงรักษาความเป็นธรรมและผู้เข้าชิงในปีนี้ก็ไม่ค้านสายตาเลย ดังนั้นผมจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมคณะกรรมการถึงได้ถกเถียงกันอยู่เบื้องหลังอยู่เนืองๆ ” 


 


 


ในตอนนี้เองที่นักวิจารณ์ภาพยนตร์ได้เริ่มเอ่ย “พูดได้ดีมากเลยครับ ทีมงานที่ดีเป็นสิ่งที่ทั้งวงการต้องการ และนักแสดงที่ดีก็จำเป็นสำหรับบทเพื่อถ่ายทอดศักยภาพของมันออกมาอย่างเต็มที่ 


 


 


“ภาพยนตร์ที่ผมยอมรับเป็นเรื่องที่พึงได้รับความรักจากผู้คนทั่วโลกเพราะมันได้นำเสนอคุณค่าและแสดงให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกที่จริงใจที่สุด สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้ชมทั่วโลก เป็นผลงานที่ยากที่จะหาที่ติและผมก็รู้มาว่าเป็นเรื่องที่ได้รับผลตอบรับดีจากผู้ชมทั่วโลกด้วย” 


 


 


“รีบๆ บอกเราว่ากำลังพูดถึงภาพยนตร์เรื่องอะไรเร็วเข้า!” 


 


 


นักวิจารณ์ภาพยนตร์มองมาที่โม่ถิงและถังหนิงก่อนเอ่ยตอบ “เรื่อง ‘โง่’ ครับ จากที่ผมทราบมาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการตอบรับดีในอเมริกาซึ่งมากกว่าเรื่องที่สร้างภายในอเมริกาเองเสียอีก ทั้งยังมีบทที่เป็นต้นแบบล่าสุดให้กับนักเขียนบทด้วย สร้างมาตรฐานของการเขียนบท นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นครับ 


 


 


“ในขณะที่เราพูดถึงประเด็นนี้ ผมต้องขอพูดว่าผมชื่นชมประธานโม่แห่งไห่รุ่ยจากใจจริงครับ” 


 


 


ได้ยินดังนั้นโม่ถิงจึงพยักหน้ารับน้อยๆ เป็นการขอบคุณชายคนนั้น 


 


 


“เอาละครับ นอกเรื่องมามากพอแล้ว มาดูว่านักแสดงคนไหนที่จะได้รับรางวัลแห่งปีอันทรงเกียรตินี้กัน เชิญรับชมบนหน้าจอได้เลยครับ” ว่าจบเขาก็พาให้สายตาของทุกคนมุ่งตรงไปยังหน้าจอขนาดใหญ่ด้านหลังพวกเขา 


 


 


ไม่นานเสียงกังวานก็ดังก้องมาจากบนหน้าจอ 


 


 


“ผู้ชนะรางวัลเฟยเทียน สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีได้แก่…” 


 


 


ตอนนี้แสงไฟที่สาดส่องไปสลับระหว่างผู้เข้าชิงรางวัลพร้อมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ 

 

 

 


ตอนที่ 794 คุณคือราชาของฉัน

 

“ถังหนิง จากเรื่อง ‘คนรักที่สาบสูญ’ ด้วยการถ่ายทอดบทบาทตำรวจสาวได้อย่างสมจริงของเธอในเรื่อง ‘คนรักที่สาบสูญ’ ผู้ซึ่งทุกข์ทรมานกับสองตัวตนที่ขัดแย้งกัน”


 


 


“ยินดีด้วยครับ คุณถังหนิง” ตัวแทนผู้มอบรางวัลว่าขึ้นอย่างยินดีขณะที่ผู้ชมต่างส่งเสียงแสดงความยินดีและปรบมือให้การชื่นชม


 


 


ถังหนิงนิ่งค้างไปชั่วขณะ ทันทีที่ได้ยินชื่อของเธอถูกประกาศทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี


 


 


“ทำไมคุณยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกล่ะครับ” โม่ถิงส่งยิ้มอยู่ข้างกายเธอ “ได้เวลาที่คุณต้องไปรับรางวัลแล้วนะครับ ที่รักของผม”


 


 


ถังหนิงหันไปกอดโม่ถิง ในตอนนี้เธอรู้สึกราวกับเป็นดวงจันทร์ที่รายล้อมด้วยดวงดาว


 


 


จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินตรงไปยังเวที ในจังหวะที่นักเขียนบทสูงอายุซึ่งใบหน้าประดับด้วยหนวดเคราเอ่ยสำทับ “จริงๆ แล้วหลังจากเรื่อง ‘คนรักที่สาบสูญ’ ไห่รุ่ยได้ผลิตผลงานน้ำดีออกมามากมาย รวมถึงเรื่อง ‘ฉีฟู’ และละครโทรทัศน์เรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ อีกด้วย ผมต้องขอบอกว่าถังหนิงแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็นนักแสดงที่ความสามารถรอบด้าน


 


 


“ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอได้ถ่ายทำเรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ จากที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องที่ถือเป็นผลงานขึ้นหิ้งเช่นกัน ผมหวังว่าถังหนิงจะยังคงรักษามาตรฐานเช่นนี้และก้าวขึ้นเป็นนักแสดงที่ดีมากขึ้นไปอีกครับ…


 


 


“ขณะที่ยืนต่อหน้าทุกคน ณ ที่นี้ ผมจะขอพูดถึงการประสบความสำเร็จของถังหนิงที่ผ่านมาครับ ยอดจำหน่ายตั๋วเข้าชมรวมของภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องที่เธอแสดงนำทะยานสู่หกพันล้านหยวนเป็นที่เรียบร้อย ยังไม่รวมถึงความสำเร็จของเธอภายใต้สังกัดไห่รุ่ย และเธอได้กลายมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของวงการภาพยนตร์ ในส่วนของละครโทรทัศน์ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ นั้น ได้ทุบสถิติเรตติ้งสูงสุดที่เคยมีมาด้วยยอดเข้าชมออนไลน์กว่าสองพันล้านครั้ง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอได้ทำภายในหนึ่งปีในฐานะนักแสดงครับ…


 


 


“ผมมั่นใจว่าคงมีคนไม่มากที่สามารถทำเช่นเธอได้แม้ใช้เวลาตลอดช่วงชีวิตก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือการที่ถังหนิงทุ่มเทให้กับผลงานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เมื่ออยู่ในฐานะนักแสดงครับ”


 


 


ในตอนนี้เองที่ถังหนิงก้าวขึ้นมาบนเวทีและยืนอยู่ข้างผู้แทนมอบรางวัลทั้งสองคน


 


 


เป็นจังหวะที่เธอรู้สึกราวกับว่าผู้คนทั้งโลกกำลังแสดงความยินดีกับเธอ


 


 


เธอถือรางวัลสำคัญไว้ในมือในขณะที่บทเพลงทรงเกียรติดังก้องไปทั่วโถง ทันใดนั้นน้ำตาก็รื้นขึ้นมา


 


 


“คุณถังหนิง ช่วยพูดความรู้สึกในการได้รับรางวัลนี้สักหน่อยครับ” พิธีกรว่าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


 


ถังหนิงมองรางวัลในมือก่อนเอ่ยขณะที่กลั้นน้ำตา “ด้วยความสัตย์จริง จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของฉัน ฉันไม่ได้หวังว่าจะได้รับรางวัลในวันนี้เลยค่ะ ด้วยรู้สึกว่าได้สิ่งนี้มาง่ายเกินไปและบทที่ไม่ตรงกับนิสัยปกติของตัวเองนัก แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงที่ถ่ายทำฉันก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้ที่ลืมความยากลำบากที่ตัวเองเคยผ่านมา…


 


 


“อย่างที่ทุกท่านทราบว่าฉันผันตัวจากนางแบบมาเป็นนักแสดง ฉันมั่นใจว่าหลายคนคงได้เห็นทุกความพยายามที่ฉันได้ทำมาตลอดช่วงเวลานี้


 


 


“วันนี้ในที่สุดฉันก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ แต่สิ่งที่ฉันก็ยังต้องการจะทำก็คือการกลับบ้านไปให้นมลูกและทำอาหารให้สามีของฉัน และแทบรอที่จะแบ่งปันความยินดีนี้กับคนที่ฉันรักไม่ได้เลยล่ะค่ะ…


 


 


“ฉันอยากขอบคุณทุกท่านเช่นกันที่ตัดสินมอบรางวัลนี้ให้ฉันเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่าในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ค่ะ


 


 


“สุดท้ายนี้ฉันอยากจะบอกบางสิ่งกับสามีของฉัน ‘คุณคือราชาของฉันค่ะ!’ ”


 


 


โม่ถิงนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดและมองขึ้นไปที่ถังหนิงที่กำลังยืนเฉิดฉายอยู่บนเวที เธอเป็นผู้หญิงที่เขาต้องการสนับสนุน เป็นภรรยาที่เขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตไปด้วยกัน


 


 


และคำพูดของถังหนิงทำให้เขารู้ว่าเธอเทิดทูนเขาเพียงไหน


 


 


จากนั้นถังหนิงก้าวลงมาจากเวทีและกลับมาอยู่ข้างโม่ถิง ทั้งคู่จุมพิตกันอย่างรักใคร่ต่อหน้าทุกคน


 


 



 


 


“ว้าว…”


 


 


“นี่ ดูสิ!”


 


 


“หวานกันจังเลย! ฉันกำลังจะตายเพราะความหวานนี้แล้ว”


 


 


“ฉันอยากมีใครสักคนที่จะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันแบบนั้นบ้างจัง”


 


 


รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมถูกมอบในเวลาถัดมา ทว่าในสายตาของคู่รักโม่พิธีมอบรางวัลได้จบลงเรียบร้อยแล้ว


 


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่สร้างความฮือฮาอยู่ อย่างเช่นการที่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ชนะรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและรางวัลละครโทรทัศน์ยอดนิยม มีการกล่าวถึงการปรากฏตัวของโม่ถิงในละคร ทุกคนต่างแสดงความยินดีกันอย่างคึกคักเพราะคนในวงการบันเทิงรู้ว่ามีเขาน่าทึ่งได้มากกว่านี้


 


 


ว่าแต่ใครจะทำให้เขายอมแสดงอีกครั้งได้กันล่ะ


 


 


นอกจากถังหนิงแล้วคงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว สำหรับคนที่สงสัยและคิดว่าพวกเขาแต่งงานคลุมถุงชนกัน พวกเขาคงไม่มีอะไรต้องพูดอีก ท่อนหนึ่งของเพลงดังเพียงพอแล้วที่จะนิยามความสัมพันธ์ของพวกเขา “หากไม่ใช่ความรักแล้วจะมีสิ่งใดที่ต้องยอมเสียใจอีก”


 


 


ไม่นานพิธีมอบรางวัลก็จบลงจากนั้นถังหนิงและโม่ถิงจึงได้ออกจากงาน หากแต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ขึ้นรถบรรดานักข่าวก็ได้ตามพวกเขามาด้านหลัง


 


 


เพราะท่าทีทรงอำนาจของโม่ถิง นักข่าวจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก ได้แต่ตามอยู่ห่างๆ เพื่อเก็บภาพของคู่รัก ทว่านักข่าวสาวคนหนึ่งกลับเดินไปหาพวกเขาและพูดขึ้น “ฉะ… ฉันมีสูตรลดน้ำหนักที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของฉันที่สามารถช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันได้ถ้าทำตามอย่างต่อเนื่องค่ะ”


 


 


ถังหนิงรับกระดาษจากเธอและส่งยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ ฉันจะลองดูและบอกผลลัพธ์กับคุณนะคะ”


 


 


เธอนึกไปถึงว่าถังหนิงจะตอบสนองเช่นนี้จึงเกาท้ายทอยที่สั่นไปมาก่อนตอบกลับไป “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่รู้ว่าคุณจะลองทำดูค่ะ”


 


 


“พวกเราต่างก็เหมือนๆ กันล่ะค่ะ” พูดจบถังหนิงก็ก้าวขึ้นโรลส์รอยซ์ที่จอดรออยู่ด้วยการดูแลจากโม่ถิง ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับนักข่าวคนนั้นว่าถังหนิงเป็นนักแสดงที่นิสัยดีที่สุดเท่าที่เธอคยพบมา


 


 


ความจริงแล้วสิ่งที่ถังหนิงต้องการสื่อคือเธอยินดีที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกด้วยไมตรีจิตตราบใดที่โลกปฏิบัติกับเธอในทางเดียวกัน


 


 


หลังจากขึ้นมาบนรถถังหนิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ไม่ใช่สื่อทุกคนที่ควรถูกเกลียดชัง จริงๆ แล้วพวกเขาบางคนก็จิตใจดีนะคะ”


 


 


โม่ถิงเหลือบมองภรรยาตัวเอง ในจังหวะที่เขากำลังจะตอบกลับ จู่ๆ คนขับรถก็เหยียบเบรกและเอารถเข้าจอดข้างทาง


 


 


“ขอโทษด้วยครับคุณโม่”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“มีคนสลบอยู่ด้านหน้าครับ” คนขับรถตอบ


 


 


“เรียกรถพยาบาลที”


 


 


….


 


 


หลังจากเห็นว่าถังหนิงได้รับรางวัล หลงเจี่ยที่อยู่ที่โรงพยาบาลมีความสุขมากกว่าใครๆ ตอนที่เธอดูแลถังหนิง เธอถูกโม่อวี่โหรวกดขี่ข่มเหงมาหลายปี แต่บัดนี้เธอกลายเป็นราชินีแห่งการแสดงที่เป็นที่รักและมีความสามารถรอบด้านแล้ว


 


 


“เลิกดูข่าวได้แล้วครับ ถึงเวลาเข้านอนแล้วนะ” ลู่เช่อเตือน “หลังจากนี้เดือนหนึ่งคุณค่อยไปแสดงความยินดีกับเธอด้วยตัวเองก็ได้”


 


 


“บางครั้งฉันก็แอบอิจฉาเธอนะ” หลงเจี่ยวางโทรศัพท์ลงและนอนลงอย่างว่าง่าย อย่างไรก็ตามเธอไม่คาดคิดว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของตัวเองยามที่ตื่นขึ้นมาในวันถัดมาจะไม่ใช่ลู่เช่อแต่เป็นคุณนายลู่


 


 


“คุณแม่คะ มาทำอะไร…”


 


 


“นอนลงเถอะ” อีกฝ่ายว่าขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “เสี่ยวมั่น จริงๆ ฉันมีบางอย่างอยากจะบอกเธอ”


 


 


“คุณแม่คะ มีอะไรก็พูดเถอะค่ะ” หลงเจี่ยตอบขณะที่นอนลง แม้ว่าสัญชาตญาณของเธอจะบอกว่าคำพูดของคุณนายลู่ต้องทำให้เจ็บปวดไม่น้อย


 


 


“ทำไมเธอกับเสี่ยวเช่อถึงไม่ใช้โอกาสนี้มีลูกอีกคนล่ะ มีลูกชายน่ะ… ฉันไม่หวังอะไรนอกจากการได้มีหลานชาย”


 


 


คนฟังคาดไม่ถึงว่าคุณนายลู่จะชื่นชอบเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิงแม้ว่าเธอจะมาจากครอบครัวปัญญาชนก็ตาม


 


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น

 

 

 


ตอนที่ 795 ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ

 

“ตราบใดที่เธอให้กำเนิดลูกชายให้ครอบครัวลู่ฉันจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของเธออีก” ดวงตาของคุณนายลู่แดงก่ำ แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีนักเช่นกัน “จริงๆ นะเสี่ยวมั่น ฉันขอร้องล่ะ”


 


 


“ไม่ค่ะคุณแม่ เรื่องแบบนี้… ฉัน…”


 


 


“ฉันรู้ว่าเธอลำบากใจ แต่เธอทำเพื่อลู่เช่อไม่ได้เลยเหรอ”


 


 


ลู่เช่อผลักประตูเข้ามาก่อนที่หลงเจี่ยจะขอคำอธิบายจากคุณนายลู่ เมื่อเห็นดวงตาแดงๆ ของผู้หญิงทั้งสองคนเขาก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกันก่อนเขาจะถามแม่ของตัวเองให้รู้เรื่องก็เห็นว่าเธอส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลงเจี่ย ด้วยความเป็นคนมีไหวพริบหลงเจี่ยจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายบอกให้เธอไม่ให้พูดสิ่งที่เกิดขึ้นกับลู่เช่อ


 


 


“ไหนๆ ลูกก็มาแล้วแม่กลับก่อนแล้วกัน” คุณนายลู่ไม่เปิดโอกาสให้ลู่เช่อถามอะไรเธอขณะที่ออกจากห้องไป จากนั้นลู่เช่อหันมองหลงเจี่ยก่อนเธอจะได้แค่ส่ายหน้าให้


 


 


“แม่จะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก”


 


 


ลู่เช่อถอนหายใจก่อนทิ้งตัวนั่งข้างหลงเจี่ย “นับจากวันแรกที่เราคบกัน ผมบอกคุณชัดแล้วว่าไม่ต้องสนใจว่าพ่อแม่ของผมจะคิดยังไง คนที่จะใช้ชีวิตไปกับคุณคือผม ถึงคุณจะคลอดลูกสาวของเราแล้วนิสัยของคุณก็ยังเหมือนเดิม คุณกำลังเก็บเรื่องอะไรมาคิดอยู่คนเดียวกันครับ ผมไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลยเหรอ”


 


 


หลงเจี่ยก้มหน้าไปชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองและบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาในท้ายที่สุด


 


 


ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เหตุผลของแม่คืออะไรกันนะ แม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับผมมาก่อนเลย”


 


 


“ฉันไม่ทันได้ถามเธอก่อนที่นายจะมาถึงน่ะ” ในตอนนี้หลงเจี่ยไม่ปิดบังอีกต่อไป “แม้ว่าจะไม่อยากเอามาใส่ใจ แต่คำพูดของคุณแม่ก็ทำให้ฉันดูเหมือนเป็นเครื่องผลิตลูกเลย อีกอย่างคือมีลูกสาวแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ”


 


 


“คุณพักฟื้นมาได้เกือบเดือนแล้ว เดี๋ยวเราก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” ลู่เช่อไม่ได้ปลอบหลงเจี่ยแต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องทันที “พ่อกับแม่จะมาทานข้าวเย็นที่บ้านเราคืนนี้”


 


 


เธอไม่รู้ว่าเขาวางแผนอะไรไว้จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายตั้งใจจะทำอะไรเหรอ”


 


 


“แค่การทานข้าวเย็นกับครอบครัวธรรมดาน่ะ” อีกฝ่ายตอบอย่างสบายๆ พูดจบก็ส่งโทรศัพท์ให้เธอ “เมื่อคืนคุณไม่ได้รีบไปแสดงความยินดีกับคุณผู้หญิงเหรอ โทรไปหาเธอก่อนก็ได้นะครับ”


 


 


ความสนใจในเรื่องก่อนหน้านี้ของหลงเจี่ยเลือนหายไปในขณะที่เจ้าตัวรับโทรศัพท์จากมือลู่เช่อ “ฉันเกือบลืมเรื่องนั้นไปเลย”


 


 


เมื่อคิดย้อนไปในช่วงที่ใช้เวลากับถังหนิง เธอก็รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ถังหนิงประสบความสำเร็จจริงๆ ตลอดช่วงเวลาที่ถังหนิงถูกหันอวี้ฝานกดขี่ข่มเหง หลงเจี่ยไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าเธอจะมาจนถึงจุดนี้ได้เลย


 


 


ระหว่างที่ลู่เช่อมองหลงเจี่ยต่อสายหาถังหนิงเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก บางครั้งในฐานะลูกชายและสามีก็ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่กลายเป็นปัญหาในครอบครัว ทว่าในตอนนี้เขานั้นเป็นพ่อคนหากไม่เผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ภรรยาและลูกสาวของเขาจะรู้สึกเชื่อมั่นได้อย่างไร


 


 



 


 


ข่าวที่ถังหนิงได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมเป็นข่าวดังบนโลกออนไลน์


 


 


ผู้คนจึงเริ่มนำภาพยนตร์ของเธอก่อนหน้านี้มาดูอีกครั้งพาให้ยอดเข้าชมออนไลน์กลับมาอยู่ในอันดับยอดนิยม ซึ่งเกิดจากผลงานชั้นเอกและแสดงถึงความเป็นตำนาน


 


 


ในตอนนี้ถังหนิงต้องรีบกลับไปยังกองถ่าย ‘ผู้รอดชีพ’ ทว่าเธอต้องการแน่ใจว่ากั่วกั่วแข็งแรงดีและต้องไปเยี่ยมผู้หญิงที่คนขับรถของพวกเขาขับชนคืนก่อนหน้านี้ ซึ่งหากจะพูดให้ถูกคือผู้หญิงคนนั้นวิ่งพรวดพราดออกมาบนถนน


 


 


เพื่อความสะดวกในการเยี่ยมกั่วกั่ว ถังหนิงสั่งให้คนขับรถของเธอพาผู้หญิงคนนั้นเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทหารภายใต้การดูแลของถังอี้เฉิน


 


 


เดิมทีเธอต้องการติดต่อกับญาติของผู้หญิงคนนั้นหากแต่เจ้าตัวไม่มีโทรศัพท์หรือเอกสารระบุตัวตนติดตัวเลย


 


 


ดังนั้นพวกเขาจงไม่มีทางเลือกนอกจากรอให้เธอฟื้นและดูอาการของเธอ


 


 


ก่อนที่ถังหนิงจะกลับไปที่กองถ่ายเธอแวะที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมกั่วกั่ว ในตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ตื่นแล้วด้วยแม้ว่าเธอจะไม่ยอมปริปากหรือรับการรักษาก็ตาม จนกระทั่งเธอเห็นถังหนิงถึงได้ลงไปนั่งกองกับพื้นและกอดขาอีกคนไว้ “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณเป็นนักแสดงที่ดังที่สุดในปักกิ่ง คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ ขอร้องล่ะ อย่าบอกให้สื่อรู้เรื่องของฉันเลยนะคะ”


 


 


ถังหนิงประคองเธอขึ้นมาและพากลับไปที่เตียง “เธอต้องการการดูแลจากครอบครัวของเธอนะ”


 


 


“ฉันไม่ต้องการค่ะ” เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “ฉันไม่ได้หนีออกมาได้ง่ายๆ เลยค่ะ”


 


 


“ทำไมเธอถึงใช้คำว่าหนีกับครอบครัวของตัวเองล่ะ”


 


 


อีกฝ่ายเงียบไปเพราะคำถามของถังหนิง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความลังเลใจหากแต่ถังหนิงก็ดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เห็นเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย “เป็นเพราะว่าฉันมีพี่ชายจอมเผด็จการค่ะ ฉันไม่อยากอยู่ใต้การควบคุมของเขาอีกแล้ว ถังหนิง ขอร้องล่ะค่ะ ฉันไม่อยากให้ใครตามหาฉันเจอ ตราบใดที่ได้มีชีวิตที่สงบสุขฉันยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณเลยค่ะ สำหรับเรื่องเมื่อคืน ที่ฉันโดนรถของคุณชนเพราะว่าฉันกำลังหนีออกมาจากพิธีมอบรางวัลค่ะ”


 


 


“พี่ชายเธออยู่ในวงการบันเทิงเหรอ” ถังหนิงถาม


 


 


คู่สนทนานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้ารับ


 


 


ถังหนิงคิดชั่วครู่และเอ่ยขึ้น “ฉันเชื่อในเรื่องโชคชะตา เพราะเธอถูกรถของเราชนฉันจะพิจารณาคำขอร้องของคุณแล้วกัน แต่ยังไงก็ตามฉันก็มีขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งหวังว่าเธอจะไม่ล้ำเส้นนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่…


 


 


“พอดีฉันกำลังจะกลับไปที่กองถ่ายและบังเอิญว่ายังขาดผู้ช่วยอยู่ ถ้าเธอสามารถจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็มากับฉัน”


 


 


เธอมองถังหนิงอย่างตกตะลึงก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด “ขอบคุณนะคะ ฉันทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ”


 


 


“เธอชื่ออะไรล่ะ”


 


 


“ฉันชื่อหลินเฉี่ยนค่ะ” หญิงสาวตอบ


 


 


“เธอแซ่หลิน…” ถังหนิงเอ่ยอย่างมีความนัย จากนั้นจึงบอกหลินเฉี่ยน “อาบน้ำและไปที่กองถ่ายกับฉันแล้วกัน”


 


 


“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”


 


 


ถังหนิงรู้ว่าหลินเฉี่ยนมีเรื่องที่ต้องบอก อันที่จริงอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่เธอไม่รีบร้อนถามและขุดคุ้ยให้เธอทุกข์ใจ เธอกลับเลือกให้ความหวังกับเธอ เหตุผลที่เธอยินดีที่จะช่วยหลินเฉี่ยนเพราะรอยช้ำบนร่างของอีกฝ่ายที่สังเกตเห็น ดูท่าแล้วเธอน่าจะถูกทำร้ายมา


 


 


หากเธอหนีบางอย่างออกมาจริงๆ มันต้องเกี่ยวข้องรอยช้ำพวกนี้แน่


 


 


“ถึงฉันจะอนุญาตให้เธอติดตามฉันแต่เธอก็ต้องส่งประวัติส่วนตัวให้ฉันนะ สามีฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาอยู่ข้างๆ แน่”


 


 


จากแววตาของเธอ ถังหนิงดูออกว่าหลินเฉี่ยนไม่ใช่จิตใจเลวร้าย อันที่จริงตัวตนของเธออาจไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปที่ไหนจะใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัวกัน


 


 


พี่ชายของเธอเป็นคนในวงการ… แน่ละว่าวงการนี้ไม่สิ้นความลับอันดำมืด


 


 



 


 


ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไป หลงเจี่ยและลู่เช่อก็เพิ่งกลับถึงบ้าน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม