ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 78.3-79.1

ตอนที่ 78-3 ม้าผอมแย่งชิง สองพี่น้องเ...

 

เถาฮวายกบะหมี่น้ำร้อนๆ เข้ามาในห้อง พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้กลิ่นหอมของน้ำมันงา น้ำย่อยในท้องก็เริ่มทำงาน กระดิกนิ้วชี้รอ จนชามบะหมี่วางลงตรงหน้า  


 


 


พอเถาฮวาถอยออก เขาก็หยิบตะเกียบม้วนเส้นเข้าปากไปคำหนึ่ง ยังไม่ทันไร ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง พอเคี้ยวไปสองที หน้าก็เปลี่ยนสี ‘ปุ๋ยๆ’ บ้วนใส่ถาด แล้วลองจิบน้ำแกงคำเล็กๆ ดู พอน้ำแกงไหลลงไปในลำคอ ก็ทนไม่ไหว สำลักสองที แล้วไอออกมา ก่อนก้มหน้า สำรอกลงพื้น


 


 


เถาฮวาเห็นแล้วก็ตื่นตระหนกยิ่ง ละล่ำละลัก “นายท่าน บะหมี่ บะหมี่ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่สบอารมณ์สุดๆ “ยังใช้คำว่าอร่อยได้อีกหรือ เจ้ามาชิมเองมา!” ตอนที่ท้องกำลังหิว กลับกินไม่ได้ อารมณ์จึงขุ่นมัวลงไม่น้อย


 


 


พอเถาฮวายกชามบะหมี่ขึ้นซดน้ำแกง ก็ขมวดคิ้ว รสชาติแปลกๆซึมเข้าไปในปาก ‘ปุ๋ย’ นางบ้วนใส่ถาดตาม น้ำแกงเค็มปี๋ เหมือนใครทำเกลือหกใส่ ร่วมกับรสเผ็ดจัดของพริกไทย


 


 


ไม่ถูกต้อง ต่อให้ตนได้ใจขนาดไหน ก็ไม่มีทางใส่เกลือมากขนาดนี้ ยิ่งไม่ได้ใส่พริกไทยด้วย


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่า ขนาดคนทำยังสำรอก ก็ยิ่งเสียอารมณ์ จับตะเกียบวางลงบนโต๊ะแรงๆ “ใช้ไม่ได้เรื่องสักนิด” แล้วก็ลุกพรวดขึ้น เดินเข้าไปด้านใน


 


 


เถาฮวาได้สติ รีบวางชามลง แล้วเดินตาม “นายท่าน บ่าวจะไปทำให้ใหม่นะเจ้าคะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่หันกลับ “ขนาดบะหมี่ธรรมดาๆ เจ้าก็ยังทำไม่เป็น แล้วจะทำอะไรได้อีก เอาเถอะ ถ้าข้าจะกิน ค่อยเรียกแม่ครัวทำให้ เจ้าน่ะ พึ่งไม่ได้”


 


 


ใจของเถาฮวาถูกกรีดจนเลือดแทบหยด ความประทับใจที่เพิ่งเกิดขึ้น ถูกทำลายลงในพริบตา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไปเช่นนี้ จึงใช้มือกดลำคอ บีบให้เสียงใส


 


 


“นายท่าน เช่นนั้นบ่าวเปลี่ยนชุดให้ และปรนนิบัติก่อนเข้านอนนะเจ้าคะ”


 


 


“พอเถอะๆ” เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ อารมณ์วาบหวามที่เกิดขึ้นก็หายไป อีกทั้งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปขานชื่อ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงหมดอารมณ์


 


 


“เจ้าออกไปเถิด ไปเอาน้ำให้ข้าหนึ่งกะละมัง ข้าล้างหน้าเสร็จ ก็นอนเลย”


 


 


เถาฮวาเสียใจหนักมาก ที่วันนี้พลาดโอกาสดีไป และไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีอีกหรือไม่ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา จึงได้แต่ข่มใจไว้ ก่อนพูดเสียงสั่น “เจ้าค่ะ นายท่าน” แล้วจึงออกไปพลางเจ็บใจ


 


 


เด็กรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู อายุราวสิบสองสิบสาม เติบโตในบ้านสกุลอวิ๋น ชื่อถานเซียง เมี่ยวเอ๋อร์ไม่สะดวกที่จะจับตาดูสถานการณ์ได้ตลอด จึงกำชับให้นางจับตาดูสามม้าผอมให้ดีๆ และต้องรายงานถ้ามีความเคลื่อนไหว ซึ่งคืนนี้ถานเซียงก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนหลักทั้งหมด โดยนางเพิ่งไปที่ประตูห้องครัวแอบดูมา แล้วเห็นกับตาว่า ตอนเหลียนเหนียงต้มน้ำ ได้ฉวยโอกาสขณะที่เถาฮวาไม่ทันสังเกต ใส่เกลือและพริกไทยจำนวนมากลงไปในหม้อ ซึ่งทั้งสองอย่างละลายในน้ำเดือดอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะเห็นร่องรอย บวกกับการปรุงรสของเถาฮวา น้ำแกงชามนั้นรสจัดขนาดไหน ไม่ต้องบอกก็รู้


 


 


ตอนนี้ก็เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ถานเซียงรีบบึ่งไปเรือนฝูหยิง รายงานกับเมี่ยวเอ๋อร์


 


 


โดยบอกต่อว่า เถาฮวาสะบัดหน้า เดินย่ำเท้าออกจากห้องนายท่าน ตรงไปยังห้องครัว ซึ่งเหลียนเหนียงนั่งอยู่หน้าเตาดินเผา กำลังพัดและเฝ้าไฟอยู่


 


 


พอเหลียนเหนียงได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันมอง นางเช็ดหน้าแล้ว ใบหน้ากลับมาสะอาดและขาวดังเดิม ทำให้ดูเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดุจหยก หลังจากเหลือบมองเถาฮวาที่กำลังขุ่นเคือง นางก็พูดอย่างอ่อนโยน


 


 


“นายท่านอยากได้น้ำใช่ไหม”


 


 


เถาฮวาเท้าสะเอว ก้าวไปข้างหน้า ยิ้มเย็นชา ก่อนด่า “ก็ใช่น่ะสิ นังสารเลว หน็อย…ทำเป็นดี ที่แท้ก็ตอแหล! ใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มลงไปในบะหมี่ ทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้านายท่าน!”


 


 


เหลียนเหนียงวางพัดใบกล้วยลง กะพริบตา แววตาตื่นตกใจ พลางพูดเสียงอ่อน


 


 


“เถาฮวาเจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าต้มน้ำอยู่ตรงนี้ ส่วนเจ้าปรุงรสอยู่อีกด้าน ข้าจะใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มลงไปในบะหมี่เจ้าได้อย่างไรกัน”


 


 


เถาฮวาแน่ใจว่านางเป็นคนทำ แต่คนทำบะหมี่กับมือคือตน ถ้าตนไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถโทษนางได้ ต้องโทษตัวเองที่ดูเบานางไป อีกอย่าง เหลียนเหนียงรู้สึกขมขื่นใจที่ถูกคุณหนูใหญ่ส่งมาทำงานในครัว ทำให้ไม่มีโอกาสพบหน้านายท่าน ถ้าตนแฉว่าถูกนางกลั่นแกล้ง นายท่านก็จะเรียกนางไปสอบถาม และนางก็จะได้โอกาสสัมผัสชิดใกล้นายท่าน ซึ่งนี่มิเท่ากับติดกับดักนางหรอกหรือ!


 


 


ครั้งนี้เถาฮวาจึงได้แต่เสียเปรียบ จึงก้าวเข้าไปจ้องมองเหลียนเหนียง


 


 


“อย่านึกว่าทำให้ข้าเสียโอกาสครั้งนี้แล้ว เจ้าจะเหินบินได้! ทำไม นึกว่าข้าจะแฉเจ้า เพื่อให้นายท่านเรียกเจ้าเข้าไป แล้วเจ้าจะได้พบหน้านายท่านรึ ฝันไปเถอะ! ข้าไม่มีทางหลงกลเจ้าหรอก มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าเลิกคิดหาทางใกล้ชิดนายท่านได้เลย! วันนี้นายท่านไม่แตะต้องข้า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่แตะต้องไปตลอด ถ้าเจ้าเคารพข้าบ้าง ต่อไปถ้าข้าได้เป็นอนุ ไม่แน่ว่าอาจให้เจ้าได้อยู่ดีมีสุขบ้าง แต่ตอนนี้…หึๆ เจ้าไม่มีทางทำอะไรตามใจหรอก! ข้าไม่ปล่อยนังสารเลวอย่างเจ้าไว้แน่!”


 


 


ว่าแล้วก็เตะเตาใบเล็กคว่ำด้วยความโมโห ก่อนหันกายเดินจากไป


 


 


ข้างเตาไฟ เหลียนเหนียงค่อยๆ ยืนขึ้น คลายมือออก พัดใบกล้วยหล่นลง ฟืนในเตาถูกเผาจนได้ยินเสียงดัง ‘เปรียะๆ’ ท่ามกลางแสงสีส้มแดงจากเปลวไฟที่ขยับ ทำให้เกิดเงาดำๆ บนแก้มขาวๆ ไร้ที่ติของนาง มุมปากที่บางและอ่อนนุ่มเผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ ซึ่งไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของนางอย่างสิ้นเชิง


 


 


เรือนฝูหยิง อวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าเพิ่งกลับ


 


 


พอก้าวเข้าห้องที่เงียบสงบ ชูซย่าก็ได้ยินเสียงท้องร้องโกรกกรากของคุณหนูใหญ่ จึงหัวเราะปู้ดออกมา “ไปห้องครัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ทำอะไรให้คุณหนูใหญ่ทาน!”


 


 


แต่ยังไม่ทันหันกาย อวิ๋นหว่านชิ่นก็คว้าข้อมือนางไว้ “ไปไหน? เจ้าบ้านก็บอกแล้วนี่ว่า ถ้าอยาก ก็ไปสั่งจากเทียนซิ่งเหลาได้ นายท่านอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที เจ้าจะประหยัดไปทำไม!”


 


 


ว่าแล้วก็นั่งลง เขียนรายการอาหารมาหนึ่งแผ่น ส่งให้ชูซย่า “ตามนี้ล่ะ พอสั่งเสร็จก็บอกให้คนของเขาเอามาส่งที่จวนรองเจ้ากรม”


 


 


พอชูซย่าเห็นรายการอาหารยาวเหยียด ก็คิดในใจ คุณหนูใหญ่โหดจริงๆ ไม่เกรงใจสักนิด! จึงหัวเราะคิกคัก ก่อนหันเดินออกไป


 


 


ในห้อง เมี่ยวเอ๋อร์เข้ามาเล่าเรื่องที่ถานเซียงมารายงานตนให้คุณหนูใหญ่ฟัง


 


 


และแล้ว แค่ไม่กี่วัน สองในสามก็เริ่มปะฉะดะแล้ว


 


 


เพียงแต่จิตใจคิดแย่งตำแหน่งของเหลียนเหนียง แรงกว่าที่ตนคาดเดา การใช้วิธีทุบหม้อจมเรือ สู้ตายเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับนายท่าน โดยยอมทำผิด เพื่อให้นายท่านได้เห็นหน้านั้น ต่อให้ไม่สำเร็จ ก็ทำให้เถาฮวาถูกนายท่านโกรธ เสียโอกาสไปครั้งหนึ่ง


 


 


ทั้งสองคุยกันไป ราตรีก็ดึกลงเรื่อยๆ


 


 


ชูซย่ากลับมาพร้อมเด็กรับใช้จากเทียนซิ่งเหลาสองคน แต่ละคนยกกล่องอาหารสามชั้นไว้ในมือ หยุดยืนอยู่หน้าประตู หลังจากให้ค่าเหนื่อยกับเด็กทั้งสองแล้ว นางกับเมี่ยวเอ๋อร์ก็ยกกล่องอาหารเข้ามา


 


 


ทั้งสองเปิดกล่องอาหาร แล้วนำกับข้าวออกมาวางทีละจาน จนเกือบเต็มโต๊ะ ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารและควันไฟ ทั้งหมดเป็นกับข้าวเลื่องชื่อของเทียนซิ่งเหลา มีกับแกล้มที่ทานกับสุราอย่าง ยำผ้าขี้ริ้ว ผัดเอ็นเนื้อ กระเพาะแพะผัดกระเทียม ไก่นึ่งซีอิ๊ว ของกินเล่นก็มี ยำสาหร่าย ปูดองเหล้าจีน ตีนไก่อบ ซึ่งแต่ละอย่างมีผักข้างเคียงตามฤดูกาลให้


 


 


“คุณหนูใหญ่ เยอะขนาดนี้ กินคนเดียวหมดหรือ ระวังกระเพาะขยายนะเจ้าคะ มะรืนยังต้องเข้าวังอีก” ตอนชูซย่าสั่งอาหาร ก็ค่อนข้างลำบากใจอยู่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงดึงมือของเมี่ยวเอ๋อร์และชูซย่า ให้มานั่งด้วยกันที่โต๊ะอาหาร


 


 


“หมดแน่นอน ก็ข้าไม่ได้กินคนเดียวนี่ ยังกลัวว่าจะไม่พอด้วยซ้ำ”


 


 


คุณหนูใหญ่เป็นกันเองเสมอ ทั้งสองจึงได้แต่มองตากัน ตัดสินใจไม่ปฏิเสธ นั่งลงตามใจอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ชี้ไปที่กับข้าวพลางหยอก “กับข้าวแบบนี้ กินกับเหล้าดีที่สุด”


 


 


พูดได้ถูกจุด อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะดุจระฆังเงิน “เจ้าคิดเหมือนข้าเปี๊ยบ”

 

 

 


ตอนที่ 78-4 ม้าผอมแย่งชิง สองพี่น้องเ...

 

สุราหมักดอกไม้สามชนิดเมื่อหลายวันก่อน ได้ฤกษ์เบิกไหพอดี


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแกะฝาปิดไหสุราออก แล้วบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าเข้ามาร่วมวง


 


 


“ดื่มสุรา? ไม่น่าจะดี คุณหนูเป็นกุลสตรีนะเจ้าคะ…” ชูซย่าลังเลเล็กน้อย ด้วยมิใช่พฤติกรรมที่กุลสตรีพึงกระทำ


 


 


สุรา นอกจากใช้ดื่มดับทุกข์แล้ว ยังใช้ดื่มเฉลิมฉลองด้วย เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากแต่งเข้าจวนโหว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ป่วยด้วยโรคที่ยากรักษา และรู้ตัวว่าไม่มีหวังที่จะตั้งครรภ์ได้อีก ขณะมองดูอนุแต่งเข้ามาทีละคนๆ ก็รู้สึกทุกข์ใจยิ่ง ไม่รู้จะระบายออกทางไหนดี จึงมักบอกให้ชูซย่าไปซื้อสุราจากนอกจวนมาดื่มให้เมา เพื่อลืมทุกข์


 


 


ตอนนั้น ชูซย่ามิได้รู้สึกผิดเช่นนี้


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ จากนั้นก็ยกไหขึ้น ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งจับตัวไห แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือของมืออีกข้างหนึ่งยันปากไหไว้ขณะเอียง เทสุราจากไหลงในชามสามใบ แล้วว่า


 


 


“ถ้าอยู่ในบ้านเป็นการส่วนตัวแบบนี้ ยังห่วงหน้าพะวงหลังอีก ชีวิตจะไปมีรสชาติอะไร”


 


 


ทั้งสองจึงยกชามสุราขึ้น


 


 


สามสาวทำเหมือนกำลังเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าอย่างไรอย่างนั้น พูดคุยสรวลเสเฮฮาพลางกินดื่มกันอย่างออกรสออกชาติ


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์มิได้ไปห้องโถงต้อนรับแขกกับเขาด้วย แต่เมื่อได้ยินว่า พระสนมเอกเชิญคุณหนูใหญ่ให้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนมพรรษาไทเฮาซึ่งจัดขึ้นในวัง ในใจก็เดาไปต่างๆ นานา ขณะกำลังกึ่มๆ ด้วยฤทธิ์สุรา จึงพูดขึ้น


 


 


“จะว่าไป สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้จักคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน ไม่เห็นเคยได้ยินว่า สนมเอกกับจวนรองเจ้ากรมมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน คุณหนูใหญ่บ้านเราก็ไม่เคยพบเจอสนมเอก ครั้งนี้เหตุใดถึงได้เลือกคุณหนูใหญ่ให้เข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเล่า…”


 


 


ชูซย่าถือชามสุรานิ่งค้าง ชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนส่งสายตาให้เมี่ยวเอ๋อร์เงียบ


 


 


สนมเอกเฮ่อเหลียนเป็นพระมารดาของฉินอ๋อง เช่นนั้นฉินอ๋อง…กับคุณหนูใหญ่ ไม่มีอะไรกันจริงๆ หรือ


 


 


คุณหนูใหญ่สาบานว่า ตนไม่มีอะไรกับอ๋องผู้นั้น และไม่มีทางมีอะไรกันแน่


 


 


ชูซย่าจึงคิดเพียงว่า ทั้งสองพบเจอกันโดยบังเอิญที่งานเลี้ยงในจวนโหวจริงๆ แต่เมื่อเป็นเพียงสหายทั่วไปคนหนึ่ง แล้วเหตุใดสนมเอกถึงต้องเชิญคุณหนูใหญ่ให้เข้าวังด้วย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นดื่มจนได้ที่ จึงปล่อยมวยผมออก ผมดำยาวสลวยประบ่า เสื้อผ้าเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นเอี๊ยมสีอ่อนสดใส ดั่งฤดูใบไม้ผลิอันไร้ที่สิ้นสุด นางยกข้อมืออันเรียวบางและขาวราวหิมะขึ้นเท้าคาง ดวงตามีเมฆหมอกบดบัง คล้ายจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะเคืองก็ไม่เชิง พลันเหนื่อยหน่าย ไม่แยแสสนใจมารยาท แสดงนิสัยใจคอที่แท้จริงออกมา…


 


 


ทั้งหมดนี้ ต่างกับท่าทีใจเย็นและสงบนิ่งในวันธรรมดามาก ในสายตาของชูซย่า กลับรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย ชีวิตเช่นนี้ของคุณหนูใหญ่ มีความสุขจริงๆ หรือ การงัดข้อกับแม่ลูกสกุลไป๋ จัดการคนที่มีจิตใจชั่วร้าย…เหล่านี้ เป็นความสุขเพียงผิวเผิน ไม่ยืนนาน


 


 


ไม่รู้ว่าโลกนี้มีสักคนไหม ที่สามารถคงนิสัยใจคอที่แท้จริงเช่นนี้ของคุณหนูใหญ่ให้อยู่ยั้งยืนยง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก็สงสัยเช่นกันว่าเหตุใดสนมเอกเฮ่อเหลียนถึงได้เชิญตนให้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย


 


 


ถ้าบอกว่าตนกับนางมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ก็น่าจะเป็นยาสระผมกลิ่นดอกมะลินั่น ซึ่งหลังจากฉินอ๋องซื้อไป ก็ต้องส่งไปที่วัง และพระสนมเอกอาจถามไถ่หรือไม่ก็ให้คนไปตรวจสอบดูว่าใครเป็นคนทำ


 


 


ไม่สนใจแล้ว ถึงพระสนมเอกพูดปากเปล่า ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ตนก็ต้องเข้าวังดูสักตั้ง


 


 


ฟ้าค่อยๆ มืดค่ำลง พออวิ๋นหว่านชิ่นมีอาการเมา ค่อยรู้สึกเหนื่อย เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าจึงพยุงนางไปที่เตียง ถอดเสื้อผ้าออกให้ แล้วค่อยจากไป


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ฝันตลอดทั้งคืน นางใช้สุราทำให้เมา จึงนอนหลับสนิท


 


 


วันรุ่งขึ้น อวิ๋นเสวียนฉั่งได้อธิบายเรื่องที่อวิ๋นหว่านถงอยากเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วยให้อวิ๋นหว่านชิ่นฟัง


 


 


ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่แปลกใจ และเข้าใจในการตัดสินใจของอวิ๋นเสวียนฉั่ง จึงถอนสายบัวรับคำ


 


 


พอออกจากห้องโถง ชูซย่าก็ขมวดคิ้ว พลางพูดเสียงต่ำ


 


 


“ต้องเป็นอนุฟางแน่ๆ ที่คอยเป่าหูนายท่าน ใจนางในตอนนี้คิดอยู่แต่ว่า อยากให้ลูกสาวออกเรือนไปอย่างเชิดหน้าชูตา ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ผิดหรอก เพียงแต่ต้องมาเกาะแกะคุณหนูใหญ่เพื่อปีนป่ายขึ้นไปทุกครั้งนี่สิ บ่าวรู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ ครั้งก่อนก็รัชทายาท ครั้งนี้ยิ่งอุกอาจ ฉวยโอกาสจากคุณหนูใหญ่ ให้ลูกเมียน้อยตามเข้าวังไปด้วย อยากได้ลูกเขยเชื้อจ้าวสำเร็จรูปล่ะสิ คุณหนูใหญ่มิได้เกิดมาเพื่อให้แม่ลูกนั่นใช้เป็นเครื่องมือสักหน่อย! นายท่านก็เหมือนกัน ไม่คิดเลยหรือไรว่า งานใหญ่ขนาดนั้นน่ะ ถ้ามีคนจำคุณหนูสามได้ขึ้นมา คุณหนูใหญ่ก็ต้องหน้าแตก ไม่แน่ว่าอาจถูกแขกผู้มีเกียรตินินทาด้วย อนุฟางนั่น แม้ชั่วร้ายไม่เท่าไป๋ฮูหยิน ก็เห็นแก่ตัวยิ่ง ตอนเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูใหญ่ นางถูกนายท่านส่งให้ไปจัดการเรื่องที่บ้านสวนโย่วเสียน แต่นางกลับเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ และพูดจาไร้สาระ ไม่ได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เลย บ่าวโกรธมาก ถ้าจะให้บ่าวพูด คนพรรค์นี้ ควรเป็นแบบไป๋ฮูหยิน ถูกจัดการเสียบ้าง ดีที่สุดควรไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ ถ้าไม่มีอนุฟาง ก็ต้องมีอนุหลี่ อนุจาง อนุจ้าว อยู่ดี เมื่อนางคุมอนุฟางอยู่ แล้วจะเปลี่ยนคนแปลกหน้าเข้ามาทำไม


 


 


พูดก็พูด ในบ้านยังมีคนเห็นแก่ตัวเช่นนี้อยู่อีกจริงๆ โดยเฉพาะตอนนี้ มีม้าผอมมากันถึงสามคน ถ้าอนุฟางอยู่ กลับเป็นอาวุธอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างสมดุลให้กับหลังบ้านได้


 


 


เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณปรากฏ ท้องฟ้าเพิ่งมีแสงสว่างอ่อนๆ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ลุกขึ้นจากเตียง


 


 


มานั่งหน้าคันฉ่องหยก เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าดึงฉากกั้นมาบัง คาดผมให้ และช่วยสวมเสื้อผ้า


 


 


จากนั้นก็ช่วยมวยผมสลวย อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดกล่องเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าสลักลายดอกไม้ขึ้น แล้วหยิบ


 


 


เครื่องประทินผิว กระดาษทาปาก น้ำมันแต่งผม ขี้ผึ้งหอมออกมา แล้วจัดแจงแต่งหน้าด้วยตัวเอง


 


 


โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่ายืนมองอย่างใจจดใจจ่อจนแทบไม่กะพริบตาอยู่ด้านหลัง


 


 


คนในคันฉ่องใช้แปรงขนแกะที่หนานุ่มแตะลงไปในแป้งฝุ่นสกัดจากดอกแมกโนเลียก่อน โดยนำมาปัดเบาๆ ที่โหนกแก้ม แล้วจึงปัดเป็นวงกว้างอย่างนุ่มนวล เพียงออกแรงที่ข้อมือ คล้ายใช้ข้อมือเป็นตัวขับเคลื่อนของฝ่ามือขณะผัดแป้งฝุ่น


 


 


จากนั้นก็เม้มริมฝีปากลงบนกระดาษทาปาก แล้วประกบริมฝีปากทั้งสองเข้าหากัน สีแดงชมพูถูกเกลี่ยทั่วริมฝีปาก เปล่งประกายแวววาวอ่อนโยน คล้ายวุ้นน้ำดอกชบาที่คุณหนูใหญ่ทำด้วยตนเอง เด้งดึ๋งดั๋ง น่ารัก จนผู้พบเห็นต้องกลืนน้ำลาย


 


 


เครื่องสำอางสีชมพูบนแก้มคล้ายถูกปัดเบาๆ อย่างไม่ตั้งใจ คิ้วก็ไม่จงใจกันให้บางจนเกินไป คงรูปคิ้วตามธรรมชาติ แล้วใช้ขี้ผึ้งสีเทาเข้มปัดเอา โดยปัดปลายคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขับให้ความสดใสไร้รูปแบบ ดูดีมีเสน่ห์


 


 


สุดท้ายก็ทาสีเหลืองบนหน้าผากขาว ก่อนติดกระดาษรูปดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืน แตะน้ำหอมดอกส้มที่ทำไว้เมื่อหลายวันก่อนบริเวณต้นคอ ด้านล่างใบหูทั้งสองข้าง


 


 


การแต่งเนื้อแต่งตัวทั้งหมด ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จเรียบร้อย 

 

 


ตอนที่ 78-5 ม้าผอมแย่งชิง สองพี่น้องเ...

 

การแต่งหน้าบางๆ ที่ดูสดใส ไม่เห็นร่องรอยของเครื่องสำอางแม้แต่น้อย กลับทำให้ใบหน้าที่ถูกแต่งยิ่งดูสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ


 


 


ชูซย่ารับใช้อวิ๋นหว่านชิ่นมาตั้งแต่เด็ก เห็นจนชินแล้ว แต่เมี่ยวเอ๋อร์เพิ่งรับใช้ข้างกายได้ไม่นาน จึงยืนตะลึง ในวันปกติตอนอยู่ในจวน โดยทั่วไปแล้วคุณหนูใหญ่จะไม่แต่งหน้า และถ้าออกนอกจวนบางครั้ง ก็จะสวมหมวกที่ติดผ้าคลุมหน้า จึงไม่จำเป็นต้องแต่งหน้ามากมาย แต่งบางๆ ให้คนเห็นว่าแต่งเท่านั้น


 


 


แต่ตอนไปบ้านสวนโย่วเสียน คุณหนูใหญ่กลับแต่งหน้าเข้มหน่อย โดยบอกว่าบ้านสวนอยู่ในป่าเขา ตั้งอยู่ในที่ที่เปิดกว้าง แดดและลมแรงกว่าในเมือง การแต่งหน้ามิใช่เพื่อความงาม แต่แต่งเพื่อป้องกันแสงแดดแผดเผา กันไม่ให้ผิวลอก อีกทั้งยังบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าอย่าทำเป็นเล่นไป ต้องทาแป้งชั้นหนึ่งก่อนออกนอกบ้านเสมอ นี่เป็นทฤษฎีที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ทำให้เมี่ยวเอ๋อร์แปลกใจอยู่นาน


 


 


และวันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่คุณหนูใหญ่แต่งหน้าค่อนข้างมากและเต็มที่ แต่เมื่อเทียบกับการแต่งหน้าของคุณหนูท่านอื่นๆ ในเย่ว์จิงแล้ว ยังนับว่าอ่อนกว่ามาก


 


 


หญิงผู้สูงศักดิ์ในเมืองมากกว่าครึ่งมักแต่งหน้าเข้ม และถ้าไปงานเลี้ยงที่ยิ่งหรูหรา ก็ยิ่งแต่งหน้าให้เข้มขึ้น คิ้วดำขลับ ปากแดงเพลิง ผิวขาวจั๊วะ เล็บสีสด เพื่อดึงดูดสายตาผู้คน


 


 


การแต่งหน้าเข้มเป็นที่นิยมในเมืองหลวง แต่การแต่งหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นในวันนี้ ดูดีก็จริง แต่ต้องพูดว่า เมื่อเทียบกันแล้ว บางเกินไปจริงๆ


 


 


“แบบนี้จะเสียเปรียบไปหน่อยหรือเปล่า” เมี่ยวเอ๋อร์ทำปากยื่นปากยาว


 


 


“ถ้ายิ่งแต่งหน้าเข้มยิ่งได้เปรียบ เช่นนั้นคุณหนูแต่ละบ้านพกกล่องเครื่องสำอางติดตัวไว้ก็สิ้นเรื่อง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นวางตลับขี้ผึ้งสีเทาเข้มที่ใช้ปัดคิ้วลง ก่อนทำหน้าทะเล้นใส่คันฉ่อง รอยยิ้มวิบวับดุจอัญมณีก่อกวนเมี่ยวเอ๋อร์จนแทบจะพูดไม่ออก


 


 


วันนี้อากาศไม่เลว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสวมเสื้อคลุมยาวไว้ด้านนอก ก่อนมองดูท้องฟ้า ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว


 


 


ยังจิบชาได้ไม่ถึงครึ่งถ้วย บ่าวในบ้านก็มาแจ้งที่ด้านนอกว่า รถม้าจากในวังมาถึงแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเดินนำเมี่ยวเอ๋อร์ออกไป


 


 


การไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หญิงสาวสูงศักดิ์ในทุกๆ บ้านต่างนำสาวใช้ไปสองคน ซึ่งนอกจากคุณหนูสามแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็พาเมี่ยวเอ๋อร์เข้าวังไปเป็นเพื่อนด้วย ประการแรก เพราะรู้สึกว่าหมู่นี้นางจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้นิ่งขึ้นมาก จึงอยากให้นางไปฝึกฝนเพิ่มเติมในบรรยากาศที่ใหญ่ขึ้น ประการที่สอง จะมากจะน้อยตนก็มักรู้สึกสงสาร อยากเติมเต็มชีวิตให้นาง


 


 


รถม้าสีม่วงสองคันจอดรออยู่หน้าประตูจวนสกุลอวิ๋น จางเต๋อไห่ยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง กำลังรอคุณหนูสกุลอวิ๋นออกจากจวน


 


 


ด้านในประตูจวน อวิ๋นหว่านถงรออยู่ก่อนแล้ว


 


 


วันนี้นางตามเข้าวังไปด้วยในสถานะสาวใช้ จึงไม่กล้าแต่งตัววิลิศมาหรา แต่ก็ไม่ถึงกับโทรมเสียทีเดียว ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่านางทุ่มเทเพื่อหวังผลไม่น้อย


 


 


ริมฝีปากแดงจากชาดทาปากสีแดงสด โปะเครื่องสำอางอย่างหนาและปัดแก้มแดงจนแทบจะหยดลงมา บนศีรษะเสียบปิ่นดอกโบตั๋นที่ทำจากผ้าเนื้อละเอียดสีแดงเพลิง ตัดกับกระโปรงผ้าฝ้ายจีบรอบเอวสีเหลืองส้ม ขับให้เอวบางๆ น่าโอบจับยิ่งขึ้น แม้ไม่กล้าใส่เสื้อสีเด่น แต่ก็ผูกเอวเป็นเงื่อนดอกไม้เล็กๆ ห้าสี ห้อยเป็นพู่ลงมา บนพู่ร้อยกระพรวนสีเงิน ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเวลาเดิน ทำให้ผู้คนเหลียวหลังมอง


 


 


ทุกอย่างล้วนผ่านการคิดมาอย่างดี ทุกอย่างล้วนเรียกร้องความสนใจจากผู้คน


 


 


“จุ๊ๆๆ แย่งสายตากันเห็นๆ แต่นางคงเปลืองความคิดไปเปล่าๆ กระโปรงห้อยเครื่องประดับแบบนี้ เวลาเดินคู่กับคุณหนูใหญ่ แล้วส่งเสียงดังตามก้าวที่เดิน คนอื่นไม่รู้ว่าจะมองนาง หรือมองคุณหนูใหญ่นี่สิ” เมี่ยวเอ๋อร์แขวะ


 


 


“ไม่ใช่หมาแมวที่เลี้ยงในบ้านสักหน่อย ไม่รู้จะห้อยกระพรวนไปทำไม แต่ถ้านางชอบก็แล้วแต่นางเถอะ เรื่องเล็กๆ แบบนี้ อย่าไปขัดนางเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียงไม่เบาไม่ดัง พลางอมยิ้มน้อยๆ


 


 


อวิ๋นหว่านถงได้ยิน แต่ไม่กล้าตอบโต้ ทว่าสายตาผูกใจเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้ ช่างเหอะ อดทนไว้ ใครใช้ให้คนพูดเป็นลูกเมียหลวง ส่วนตนเป็นลูกเมียน้อยเล่า ท่านแม่ว่า วันนี้เป็นวันออกโรงของตน ในงานมีลูกท่านหลานเธอมากมาย อย่างไรก็ต้องจับให้ได้สักคน


 


 


ท่านแม่ว่า ชาติกำเนิดดี ยังไม่ถือว่าดี ต้องแต่งแล้วได้ดี ถึงจะถือว่าดีจริงๆ


 


 


ถึงตอนนั้น ถ้าตนได้แอบอิงผู้มีบารมีจริงๆ…ไยต้องกังวลอีกว่าพี่ใหญ่ผู้นี้จะไม่มาประจบประแจงตน? ยังมีเรื่องในครั้งก่อนที่ตนต้องขึ้นเวทีแสดงเป็นนางจิ้งจอก แล้วกลับมาแอบร้องไห้ที่บ้านไปหลายวันอีก หากสักวันตนมีอำนาจ ต้องให้นางชดใช้คืนให้หมดแน่


 


 


พอได้ฝันเฟื่อง อวิ๋นหว่านถงก็ไม่โกรธอีก กลับเชิดหน้าชูตา หันไปชำเลืองมองพี่ใหญ่ พอเห็นนางแต่งหน้าบางๆ ที่เหมือนไม่ได้แต่ง ราวกับไม่สนใจงานเลี้ยงครั้งนี้สักเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นใจในตัวเองเต็มที่


 


 


จางเต๋อไห่ก้าวเข้ามา แอบสำรวจมองอวิ๋นหว่านชิ่นโดยไม่ให้นางรู้ตัว


 


 


นางสวมชุดกระโปรงยาวพื้นเขียวลายผีเสื้อและดอกไม้ คลุมเสื้อคลุมไหล่กันลมทอลายยาวลากพื้น บนศีรษะไม่มีเครื่องประดับห้อยตุ้งติ้ง แต่ก็มิได้ละเลย มวยผมดำสลวยปักปิ่นทองคำบริสุทธิ์ งานฝีมือรูปดอกชบา แลดูสวยสง่าและภูมิฐาน


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์ในวันนี้ ถ้าดูให้ดีๆ จะยิ่งสวยกว่าวันก่อนที่เขาเห็นในจวนสกุลอวิ๋นยามค่ำคืนเสียอีก


 


 


จางเต๋อไห่มิได้รู้สึกแปลกใจอะไร การไปเป็นเพื่อนพระสนมเอกในงานเลี้ยง ถ้าโดดเด่นเกิน จะกลายเป็นแย่งสายตาที่มีต่อพระสนมเอกไป ย่อมไม่เป็นที่ชื่นชอบ แต่ถ้าเรียบง่ายเกิน ก็จะกลายเป็นไม่ให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงไป การแต่งตัวเช่นนี้ ดูสดใสและแปลกใหม่ อีกทั้งยังไม่มีเจตนาแย่งความโดดเด่นกับนายด้วย


 


 


จากสายตาของจางเต๋อไห่ ที่เห็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์กับสนมนางในหลังวังมานับไม่ถ้วน การแต่งตัวเช่นนี้กลับดูมีเสน่ห์และทำให้คนสนใจมากกว่าคนที่แต่งหน้าเข้มและแต่งตัวฉูดฉาดเสียอีก


 


 


สมกับเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ งามสง่า และประณีตละเอียดอ่อนจริงๆ


 


 


จางเต๋อไห่ทำความเคารพพลางยิ้มน้อยๆ


 


 


“คุณหนูอวิ๋น ข้ารอนานพอควรทีเดียว แต่ดูไปแล้ว แม้ต้องรอต่ออีกสักสองสามชั่วยาม ก็คุ้มค่า ถ้าพร้อมแล้ว ก็ตามข้าเข้าวังได้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเคารพตอบงามๆ “ลำบากใต้เท้าจางแล้ว ข้าน้อยพร้อมไปทุกเมื่อ”


 


 


บนบันได พออวิ๋นเสวียนฉั่งเดินออกมาส่ง และเห็นการแต่งตัวของอวิ๋นหว่านชิ่น ทีแรกก็ไม่พอใจ แต่พอได้ยินจางเต๋อไห่พูดเช่นนี้ ก็หัวเราะหน้าระรื่น ลูกสาวทั้งสองต่างสวยในแบบฉบับของตัวเอง วันนี้อย่างไรก็น่าจะขายออกได้สักคน จึงก้าวเข้าไปประสานมือ


 


 


“เช่นนั้นวันนี้ต้องรบวนใต้เท้าจางแล้ว”


 


 


บนรถม้า อวิ๋นหว่านชิ่น อวิ๋นหว่านถง และเมี่ยวเอ๋อร์นั่งคันเดียวกัน ส่วนจางเต๋อไห่กับขันทีที่ติดตามมา นั่งอยู่ในรถนำทางคันหน้า


 


 


ภายใต้ดวงอาทิตย์อันเจิดจรัสของฤดูใบไม้ร่วง คนทั้งกลุ่มนั่งอยู่ในรถม้าสองคันที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างไม่เร็วไม่ช้าเข้าสู่ถนนย่านพระราชฐาน ข้ามคลองคูวัง ผ่านประตูเจิ้งหยาง เข้าสู่พระราชวังต้าเซวียน 

 

 


ตอนที่ 79-1 ท่านสามไล่คน

 

ช่วงเฉลิมพระชนมพรรษาเจี่ยไทเฮา ในวังประดับประดาด้วยดวงโคมและผ้าหลากสี ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก แต่เพราะมีการจัดงานเลี้ยง ผู้เข้าออกจึงถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด


 


 


พอเข้ามาในวัง จากประตูเจิ้งหยางที่อยู่ชั้นนอกสุด อวิ๋นหว่านชิ่น เมี่ยวเอ๋อร์ และอวิ๋นหว่านถงก็ถูกจัดให้ลงจากรถม้า มาให้นางในค้นตัว จากนั้นจางเต๋อไห่ค่อยพาไปเปลี่ยนเป็นนั่งเกี้ยวคันเล็กของวัง ซึ่งเป็นที่นั่งแบบติดร่มมีพู่โดยรอบ


 


 


เกี้ยวของวังถูกแบกผ่านอาคารกระเบื้องหลังคาแดงกำแพงสูง เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามระเบียง จนมาถึงตึกไจซิง


 


 


หลังลงจากเกี้ยว จางเต๋อไห่เข้ามาทำความเคารพแล้วว่า


 


 


“ตึกไจซิงเป็นสถานที่พักผ่อนของแขกที่เข้าวังมา ขณะงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ศาลาปทุมหอมในสวนหลวงยังไม่เริ่ม เชิญคุณหนูอวิ๋นรออยู่ที่นี่ก่อน แล้วพอใกล้เริ่มงาน ข้าจะมารับไปตำหนักชุ่ยหมิง ถึงตอนนั้น คุณหนูอวิ๋นค่อยติดตามพระสนมเอกไปศาลาปทุมหอม ส่วนในตึกไจซิงมีคนในวังคอยดูแลอยู่ ถ้าต้องการอะไร ก็บอกพวกเขาได้ เชิญคุณหนูอวิ๋นตามสบาย”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นถอนสายบัวงามๆ ตอบ “รบกวนใต้เท้าจางแล้ว”


 


 


จากนั้นสามสาวก็หันกายเดินเข้าไป


 


 


ตึกไจซิงเป็นอาคารโครงสร้างไม้สามชั้น ชั้นบนสุดเป็นหอกลอง


 


 


พอก้าวเข้าห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง ก็เห็นเสาหินระเบียงแดง ลวดลายมังกรแหวกว่าย ผนังสีทองสุกสกาว ในและนอกห้องบางส่วนเปิดเชื่อมต่อถึงกัน ด้านนอกฝั่งที่สาวๆ ยืนอยู่เป็นฝั่งทะเลสาบเฉิงเทียน และทางเดินไปสวนหลวง สถานที่ที่จัดงานเลี้ยง


 


 


ที่นี่แม้เป็นสถานที่เล็กๆ ในวังซึ่งใช้ต้อนรับแขก แต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศหรูหราของชนชั้นสูง สาวๆ ยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนในห้องเป็นที่รวมตัวกันของหนุ่มๆ ลูกผู้ดีมีสกุลซึ่งมาก่อนเวลา จึงต้องอยู่ที่นี่ รองานเลี้ยงเริ่ม


 


 


ซึ่งจริงๆ แล้วชั้นล่างมีห้องชุดที่เงียบสงบให้แขกที่เป็นผู้ชายนั่งพักผ่อน แต่หนุ่มน้อยทั้งหลายกลับนั่งกันไม่ติด เดินออกมายืนพิงระเบียงรับลมชมวิว ดูทะเลสาบ คุยเล่นกันตามอัธยาศัย


 


 


ก่อนหน้านี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยคบหาสมาคมกับชายหนุ่มชนชั้นสูง แม้แต่เฉินจ้าว ก็เพิ่งมีโอกาสพบกันไม่กี่ครั้งหลังเกิดใหม่ ซึ่งตามปกติแล้วไม่สะดวกที่จะพบหน้ากัน ตอนนี้จึงได้แต่เงยหน้า หันมองไปรอบๆ


 


 


ในตึก คุณชายลูกท่านหลานเธอแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาสง่างามในชุดผ้าแพรยาวพร้อมมงกุฎมุกแบบเต็มยศ สถานะไม่ต้องพูดถึง พวกเขาสามารถเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงไทเฮาได้ ย่อมไม่ต่ำต้อย ล้วนดูดีมีระดับทั้งสิ้น อวิ๋นหว่านถงจึงหน้าแดง เหงื่อซึมฝ่ามือ เบิ่งตามองพลางข่มกลั้นความตื่นเต้นไว้ในใจ แล้วสำรวจมองให้ดีๆ ดูว่ามีคนที่ตนพอจะตกได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็เดินยืดอกบิดเอวเล็กน้อย พยายามเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดสายตาอยู่ที่หนุ่มๆ ลูกผู้ดีกลุ่มหนึ่ง เพราะเห็นคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง และคนผู้นั้นก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูพอดี จึงหันร่างสูงหลังตรงมา มองตามเสียง


 


 


เขาสวมชุดแพรยาวสีฟ้า คาดเข็มขัดปักลาย รูปร่างได้สัดส่วน ใบหน้าหล่อสวย แม้ดูหยิ่งเล็กน้อย แต่ก็โดดเด่นสุดในบรรดาหนุ่มๆ ผู้มีสกุลรุนชาติ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตาลง ขณะเมี่ยวเอ๋อร์พูดเสียงต่ำ “เป็นคุณชายรองมู่หรง” เกิดมาหล่อก็จริง แต่เสียดายที่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง


 


 


แหงล่ะ คุณชายรองแห่งจวนกุยเต๋อโหวที่สง่าผ่าเผย มีหรือจะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเช่นนี้ อีกอย่างเขาก็ยังมิได้ตกแต่งฮูหยินสักหน่อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงมิได้พูดอะไร


 


 


พอมู่หรงไท่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ก็อึ้งเช่นกัน เหตุใดปีนี้นางถึงได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังด้วยเล่า อาศัยลำดับชั้นของอวิ๋นเสวียนฉั่ง อีกทั้งไม่มีบารมีในวังหลัง ลูกสาวบ้านสกุลอวิ๋นย่อมไม่มีสิทธิ์


 


 


แต่พอคิดให้ลึกลงไปอีกขั้น ใบหน้าของมู่หรงไท่ก็ปรากฏรอยยิ้มเย็นชา


 


 


นางมักพูดอยู่ได้ว่า ตนกับอวิ๋นหว่านเฟยไม่ทำตามประเพณีก่อนแต่ง แล้วสุนัขชายหญิงอย่างนางกับคนผู้นั้นเล่า ไม่เหมือนกันหรอกหรือ ใครจะเชื่อว่าไม่มีสัมพันธ์ส่วนตัวกัน ถ้าไม่มีคำสั่งและการยินยอมจากฉินอ๋อง ลูกสาวรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายตัวกระจ้อยร่อยอย่างนาง จะมีสิทธ์มางานเลี้ยงอลังการเช่นนี้หรือ


 


 


ทว่าวันนี้ นางดูสดใส แต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนเมื่อก่อน งดงามอย่างน่าอัศจรรย์


 


 


มู่หรงไท่มองอยู่นาน เกิดกลัวขึ้นเล็กน้อย จึงกำมือ ใจที่เย็นอยู่จางหาย ปรากฏความไม่พอใจอยู่บ้าง


 


 


เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่พอใจ รู้แต่เพียงว่า การแต่งตัวของนางในวันนี้ มิใช่เพื่อตนเอง โดยความงามเช่นนี้ เกรงว่าตนเองคงยากเชยชม จึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาทางจมูก ก่อนก้าวเข้าไป ทักทายเสียงต่ำ


 


 


“คุณหนูอวิ๋นก็มาด้วยหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มิได้เสียมารยาท แต่ใบหน้าได้เขียนชัดเจนว่า “ข้ารู้จักเจ้าด้วยหรือ” แล้วจึงไม่แยแสสนใจ หันกายเดินจาก เหลือเพียงเงาด้านข้างให้มู่หรงไท่มองตาม


 


 


สิ่งที่ทำให้คนรับไม่ได้สุดๆ มิใช่การด่าทอ แต่เป็นกิริยาไม่สนใจไยดี ทำสีหน้าเย็นชาใส่ มู่หรงไท่จึงยิ่งไม่สบอารมณ์ แต่กลับรู้สึกผิดหวัง สูญเสียและเสียใจอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


 


 


นี่ก็แปลกแล้ว ชาติก่อนตอนแต่งงานใหม่ๆ ที่นางยังไม่ป่วย เขารู้สึกว่านางสวย แต่ก็มิได้สวยจนตกเอาหัวใจเขาไปได้เช่นนี้ เหมือนมีดอกไม้เลื่องชื่อดอกหนึ่งถูกย้ายเข้ามาปลูกในดินของเขา ทุกอย่างล้วนเป็นของเขา แต่เขากลับชอบความร้อนแรงของอวิ๋นหว่านเฟย แต่ตอนนี้ เหมือนเขากำลังมองดูดอกไม้ดอกนี้ถูกผู้อื่นเด็ดเอาไป ใจที่คันยุกยิกยากทานทนเช่นนี้ ทำให้เขาทนไม่ไหว


 


 


แต่ไม่เป็นไร พอวันนี้ผ่านพ้นไป ผู้ที่เด็ดดอกไม้อาจยากรักษาชีวิตตัวเองให้อยู่รอด


 


 


และเมื่อคนผู้นี้ล้ม ก็ไม่จำเป็นต้องกลุ้มเรื่องย้ายดอกไม้กลับมาไม่ได้อีก เมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้!


 


 


ขณะมู่หรงไท่กำลังครุ่นคิด หนุ่มๆ ชนชั้นสูงก็มองไปที่ประตู แล้วหยุดสายตาอยู่ที่อวิ๋นหว่านชิ่น ทุกคนอึ้ง รีบหันมากระซิบกระซาบกัน


 


 


“คุณหนูบ้านไหนกันนี่” มีคนถาม


 


 


“ไม่แน่ใจ…ไม่เคยเห็นมาก่อน” มีคนสงสัย


 


 


“หน้าตาท่าทางแบบนี้ อยู่ในเมืองหลวงไม่โด่งดังได้ไง ไม่มีเหตุผล” มีคนเคือง


 


 


“รีบไปสืบดูสิ ว่าอยู่บ้านไหน…สักพักถ้าคนมากันมากขึ้น คู่แข่งจะมากตาม…” มีคนหยอก


 


 


หนุ่มๆ ชนชั้นสูงกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยคะนอง ท่าทางดื้อดึง ทะลึ่งทะเล้น ชอบพูดจาหยอกล้อ และชัดเจนดีว่าการมางานเลี้ยงในวันนี้ เนื้อแท้คือ มาหาคู่ในงาน ก็ยิ่งไม่ยับยั้งชั่งใจ


 


 


ส่วนอวิ๋นหว่านถง อย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นบรรยากาศเช่นนี้เลย แม้แต่ผู้ชาย นางก็ไม่ค่อยได้พบเห็น จึงหน้าแดงแต่แรกแล้ว


 


 


แต่เมี่ยวเอ๋อร์กลับใจกล้า ไปที่ไหนก็เหมือนบ้านของตนเอง เอาแต่หัวเราะคิกคัก ด้วยทนไม่ไหวจริงๆ ก่อนพูดข้างหูอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“คุณหนูใหญ่ ทำไมบ่าวรู้สึกเหมือนถือเนื้อชิ้นหนึ่งเดินบนท้องถนน พอเห็นกลุ่ม…สุนัขล้อมเข้ามา มือไม้ก็มีแต่เหงื่อ กลัวว่าสุนัขเหล่านี้จะแย่งชิ้นเนื้อของบ่าวไป”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเอียงคอเล็กน้อย เหล่ตามองเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนแสร้งทำเป็นโกรธ


 


 


“เจ้าว่าพวกเขาเป็นสุนัขก็แล้วกันไป คิดไม่ถึงว่าจะว่าคุณหนูบ้านเจ้าเป็นชิ้นเนื้อด้วย”


 


 


คนงามไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย ยิ่งทำท่างอนใส่ ซึ่งเป็นท่าที่ยากพบเห็นอย่างหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนงามที่งามอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งเพิ่งเห็นเมื่อครู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มชั้นสูงพากันหายใจเข้าลึกๆ เดิมทีเพียงคิดกันเล่นๆ แต่ตอนนี้กลับคิดจริงจังขึ้นมา  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม