วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 775-783

ตอนที่ 775 สมควรแท้ง

 

“ไป๋อวี๋คะ เราขอถามได้ไหมว่าไป๋หลินหลินแท้งลูกจริงหรือเปล่าคะ ไป๋หลินหลินท้องทั้งที่ยังไม่แต่งงานใช่ไหมคะ คุณบอกเราได้ไหมว่าพ่อของเด็กคือใคร”


 


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมื่อไหร่ก็ตามที่นักข่าวถามคำถามที่เจาะลึกเช่นนี้ จะไม่มีศิลปินคนไหนตอบเพราะมันเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีมารยาท


 


 


ดังนั้นนักข่าวจึงไม่คาดคิดว่าไป๋อวี๋จะตอบคำถามพวกนั้นจริงๆ คำถามส่วนใหญ่จึงมีไว้เพื่อสร้างบรรยากาศเท่านั้น


 


 


กระนั้นหลังจากเผชิญหน้ากล้องจำนวนมาก ไป๋อวี๋จึงเริ่มปริปากพูด “ใช่ค่ะ ไป๋หลินหลินท้อง”


 


 


หลังได้ยินคำตอบของไป๋อวี๋ บรรดานักข่าวต่างมองหน้ากันและยิงคำถามต่อเนื่อง “ถ้างั้นใครเป็นพ่อเด็กคะ”


 


 


“ไป๋หลินหลินแท้งลูกได้ยังไงครับ”


 


 


“ทำไมไป๋หลินหลินถึงแท้งงั้นเหรอคะ” หลังได้ยินคำถามเหล่านั้น ไป๋อวี๋รู้สึกขบขันเล็กน้อย “ไป๋หลินหลินเป็นพวกชอบแย่งสามีชาวบ้าน ดังนั้นถึงสมควรที่จะแท้งแล้วล่ะค่ะ”


 


 


นักข่าวไม่เคยเห็นไป๋อวี๋ที่เป็นแบบนี้มาก่อน เธอมักจะรักษาภาพลักษณ์ใจดีต่อหน้ากล้องและแสดงอีคิวสูงส่งของตัวเองอยู่เสมอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้คราวนี้ไป๋อวี๋พูดออกมาโดยไม่ยั้งคิดราวกับเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


 


ไป๋หลินหลินเป็นพวกแย่งสามีชาวบ้านและสมควรแท้ง!


 


 


หากนี่เป็นความจริง ไป๋หลินหลินก็ยังเป็นน้องสาวของเธอ…


 


 


ไป๋อวี๋ไม่ควรทำเรื่องใจดำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ


 


 


“คุณไป๋ช่วยอธิบายในรายละเอียดหน่อยได้ไหมคะ ไป๋หลินหลินย่างเท้าเข้าไปยุ่งกับครอบครัวของใครอย่างนั้นหรือคะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามนี้ ไป๋อวี๋ก็ทำท่าทางให้กล้องเล็งไปยังไป๋หลินหลิน “ช่วยจับภาพไปที่คนคนนั้นแล้วจำไว้ผลลัพธ์ของการทำลายครอบครัวคนอื่นไว้ด้วยนะคะ เธอไม่ได้ทำลายครอบครัวของใครที่ไหนหรอกค่ะ เธอทำลายครอบครัวของพี่สาวตัวเอง


 


 


“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ไป๋หลินหลินให้ท่าสามีฉันและแอบเป็นชู้กับเขา…


 


 


“หลังจากที่ฉันกลับบ้าน ฉันจะประกาศการหย่าอย่างเป็นทางการ ฉันรู้ว่าการประกาศในครั้งนี้จะทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกในวงการ ดังนั้นฉันจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป ฉันจะกลับไปอเมริกา แต่ก่อนที่ฉันจะกลับไป ฉันหวังจะได้เห็นชายโฉดหญิงชั่วสองคนนี้ได้รับการลงโทษที่สาสม


 


 


“ถึงไป๋หลินหลินจะเป็นน้องสาวของฉัน ฉันก็ไม่คิดจะยกโทษให้กับสิ่งที่เธอได้ทำ ที่จริงนับจากนี้ไปไป๋หลินหลินจะไม่ใช่น้องสาวของฉันอีก


 


 


“ส่วนเรื่องรายละเอียดว่าเธอเป็นชู้ได้ยังไง ฉันคิดว่าพวกคุณถามเธอเอาเองดีกว่าค่ะ นับจากนี้ฉันหวังว่าพวกคุณจะให้ฉันได้อยู่ตามลำพัง ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากความสงบสุข ฉันหวังว่าพวกคุณจะทำตามคำเรียกร้องอันแสนธรรมดานี้ได้นะคะ” พูดจบ ไป๋อวี๋ก็ผลักนักข่าวที่อยู่ตรงหน้าเธอออกให้พ้นทางและเดินออกจากโรงพยาบาลอย่างเต็มภาคภูมิ


 


 


เธออยากจะทำเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว นานมากจริงๆ


 


 


หลังจากการเสแสร้งมานานหลายปี เธอพอแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงมาได้เวลาพอดี


 


 


อีกทั้งเธอได้แรงบันดาลใจมาจากถังหนิง ถังหนิงไม่เพียงรู้วิธีวางตัวอย่างเหมาะสมและมีทักษะการแสดงที่ดีแล้ว เธอยังไม่เคยทำผิดกับใคร ดังนั้นชีวิตของถังหนิงจึงเที่ยงตรงและเปิดเผย เมื่อเทียบกันแล้ว ไป๋อวี๋ทำเรื่องไม่ถูกต้องมามากมายจนทำให้เธอรู้สึกเล็กๆ ว่าการที่เธอพบว่าสามีของตัวเองมีชู้นั้นเป็นเรื่องสมควรแล้ว


 


 


อาจเป็นเพราะเธอทำผิดมามากเกินไปจริงๆ …


 


 


หลังจากการได้พูดตามจริงในครั้งนี้ เธอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก


 


 


ไม่นาน ไป๋อวี๋กลับมาเก็บข้าวของของเธอ แต่เจฟพลันปรากฏตัวในห้องนั่งเล่นและพยายามจะห้ามเธอไว้ “ที่รัก คุณกำลังพยายามจะทำอะไร”


 


 


“ไป๋หลินหลินอยู่ที่โรงพยาบาล คุณควรจะไปเยี่ยมเธอซะ”


 


 


“ที่รัก ผมผิดไปแล้ว…” เจฟก้าวถอยหลังสองก้าวก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“แย่หน่อยนะ มันสายไปแล้ว” ไป๋อวี๋ตอบอย่างเย็นชา “คุณกับนังสารเลวไป๋หลินหลินเชิญกอดกันให้ตายไปเลย ฉันเซ็นใบหย่าเรียบร้อยแล้ว” หลังจากพูดในสิ่งที่เธออยากพูด ไป๋อวี้ก็ลากกระเป๋าเดินทางและออกจากบ้านไป ในขณะที่ชายซึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลังได้แต่ผลักเก้าอี้จนล้มด้วยความผิดหวัง


 


 


มันจบแล้ว ทุกอย่างมาถึงจุดจบ


 


 


หลังเตรียมกระเป๋าทั้งหมด ไป๋อวี๋ก็เดินทางกลับไปยังอเมริกา แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอได้เขียนโน้ตถึงถังหนิง


 


 


หลังได้โม่ถิงได้รับโน้ตดังกล่าวที่ไห่รุ่ย เขานำกลับไปให้ถังหนิง


 


 


เป็นเรื่องแปลกในการได้รับสิ่งของบางอย่างจากหนึ่งในศัตรู แต่อย่างไรก็ดี ถังหนิงเปิดซองจดหมายออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่บนโน้ตใบนั้น


 


 


มันเป็นเพียงข้อความสั้นๆ ที่อ่านได้ใจความว่า [คุณชนะแล้ว คุณชนะอย่างขาวสะอาดและยุติธรรม]


 


 


“ดูเหมือนไป๋อวี๋จะโดนไปชุดใหญ่อยู่นะคะ”


 


 


“เธอถูกทรยศถึงสองครั้ง ดังนั้นความเจ็บปวดต้องแทงลึกมาแน่” โม่ถิงอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขายังจำได้ว่าในอดีตถังหนิงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะถูกหันอวี่ฝานทรยศและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดังนั้นพลังแห่งการเกลียดชังจึงไม่อาจดูถูกได้


 


 


“ไป๋อวี๋เป็นคนฉลาด เธอจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ในไม่ช้า” ถังหนิงวางซองจดหมายลง แน่นอนว่าเธอยังคงให้ความสนใจกับชะตากรรมของไป๋หลินหลินอย่างใกล้ชิด


 


 


ในขณะนั้น โรงพยาบาลถูกล้อมจนหมด ไป๋หลินหลินเหลือตัวคนเดียว ดังนั้นหลังจากที่เธอฟื้นคืนสติ เธอจึงทำได้เพียงจ้องมองกระจกด้วยความงุนงง ทุกอย่างถูกเปิดเผยหมดแล้ว สำหรับหญิงสาววัยสี่สิบต้นๆ แบบเธอ การถูกคนทั้งประเทศด่าว่าเป็นเมียน้อยไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถรับมือได้


 


 


คนที่เลวร้ายที่สุดคือคนชั่วที่ทำร้ายพี่น้องทั้งสองคน…


 


 


[วงการนี้วุ่นวายดีแท้ ไป๋อวี๋เพิ่งจะออกรายการโทรทัศน์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้กลับเกือบจะถอนตัวออกจากวงการ ความรู้สึกที่โดนน้องสาวตัวเองทรยศต้องยากเกินกว่าจะรับมือไหวแน่]


 


 


[ไป๋หลินหลินนี่เลวจริงๆ ให้ท่าพี่เขยลับหลังพี่สาวตัวเองได้ยังไงกัน ถ้าฉันเป็นไป๋อวี๋ ฉันคงทำให้มันชีวิตมันเหมือนตกนรกแน่]


 


 


[แต่ไม่ใช่ว่าไป๋อวี๋กำลังพยายามรักษาภาพพี่สาวข้างบ้านผู้แสนดีอยู่หรอกเหรอ ดูเหมือนพอจับได้ว่าน้องสาวกับสามีตัวเองเล่นชู้กัน เธอก็ไม่สามารถทนสร้างภาพต่อไปได้อีก]


 


 


[พี่น้องคู่นี้ไม่มีใครดีไปกว่ากันหรอก แต่ไป๋หลินหลินแย่กว่าไป๋อวี๋เยอะ]


 


 


อ้างอิงจากหลงเจี่ย หลังจากไป๋อวี๋ออกจากปักกิ่ง สามีห่วยแตกของเธอก็บินกลับไปอเมริกาด้วยและไป๋หลินหลินกลายเป็นที่รู้จักในฐานะผู้หญิงสำส่อน หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ไม่นาน สุดท้ายไป๋หลินหลินหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถทนกับแรงกดดันได้และตัดสินใจหนีไปซ่อนตัว หลังจากนั้นไม่นานมีข่าวลือออกมาว่าไป๋หลินหลินกลายเป็นคนวิกลจริต แน่นอนว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไป๋หลินหลินแค่แสดงละคร เธอก็ทำได้เพียงโทษตัวเองเท่านั้น


 


 


เมื่อเทียบกันแล้ว อาชีพของเฉินซิงเยียนกำลังเติบโตอย่างมั่นคงกว่ามาก แต่กระนั้น ไม่มีเส้นทางของใครที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอ


 


 


ที่เฉินซิงเยียนโชคดีต้องขอบคุณความทุ่มเทอย่างสุดตัวของอันจื่อเฮ่า ไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะได้รับบทที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และช่วงเวลาที่เธอได้ปรากฏบนหน้าจอก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่กระนั้นเมื่อเทียบกับถังหนิงแล้วเธอยังคงต้องไปอีกไกล


 


 


“คืนนี้พักงานในมือแล้วแอบไปเดตกันเถอะ”


 


 


อันจื่อเฮ่าสังเกตว่าพักหลังมานี่เฉินซิงเยียนทำงานอย่างนักและไม่เคยเรียกร้องขอสิ่งตอบแทนใดๆ เขาจึงตัดสินใจรับคำชวน


 


 


เฉินซิงเยียนยินดีเป็นอย่างยิ่งและรีบไปเตรียมตัวทันที แต่เมื่อเธอเปิดประตูหน้าบ้าน เธอต้องอึ้งเมื่อเจอกับชายที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู


 


 


ชายผู้ซึ่งหายตัวไปจากชีวิตเธอตั้งแต่เธออายุได้หกขวบกลับยังมีชีวิตแข็งแรงดีและอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ และมีเด็กชายอายุราวๆ สิบปีอยู่ในมืออีกคน


 


 


“ซิงเยียน…”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงหน้าเธอ เธอทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่จนกระทั่งอันจื่อเฮ่าเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลังและจับตัวเธอไว้


 


 


“คุณรู้จักที่นี่ได้ยังไง”

 

 

 


ตอนที่ 776 โม่ถิงผู้ล้มป่วย

 

เงื่อนไขในการถ่ายทำของ ‘ผู้รอดชีพ’ นั้นยุ่งยากตามคาด เพื่อให้หนังออกมาดี นอกจากการดูแลลูกทั้งสองของเธอแล้ว เวลาที่เหลือทั้งหมดของถังหนิงถูกใช้ไปกับการฝึกร่างกายของเธอ ส่งผลให้เธอเริ่มดูสุขภาพดีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเช่นกัน


 


 


หลังจากเหตุการณ์ของไป๋อวี๋ ความสงบสุขค่อยๆ กลับมาสู่วงการบันเทิงของปักกิ่งอีกครั้ง


 


 


ในระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับรับบทของเธอ ถังหนิงได้มีการอัปเดตสถานะของเธออยู่เป็นระยะ


 


 


ทว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งเดือนก่อนการถ่ายทำ ‘ผู้รอดชีพ’ โม่ถิงกลับประสบกับอาการเสียงอื้อในหู้เนื่องจากความเครียด


 


 


โม่ถิงต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและแน่นอนว่าถังหนิงไม่รู้เรื่องนี้เลย ในขณะเดียวกัน ลู่เช่ออยู่ระหว่างการขอพักงานเพื่อดูแลหลงเจี่ยระหว่างการคลอด ดังนั้นโม่ถิงจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้อาการของตัวเอง


 


 


คืนนั้นหลังจากให้นมลูกทั้งสอง ถังหนิงยืนอยู่ด้านหลังของโม่ถิงและบอกเขาว่าพ่อของเฉินซิงเยียนอยู่ๆ ก็กลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กระนั้นเธอต้องประหลาดใจเมื่อโม่ถิงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ดังนั้นถังหนิงจึงตะโกนถามอีกสองสามครั้งแต่ไม่เพียงโม่ถิงจะไม่ได้ยิน เขายังเอนตัวพิงหนึ่งในคอกกั้นเด็กและค่อยๆ พล็อยหลับไป


 


 


เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ถังหนิงก็รู้สึกปวดใจ


 


 


สำหรับคนภายนอก โม่ถิงเป็นหัวหอกในการตัดสินใจของไห่รุ่ยซึ่งมีเรื่องรอให้เขาตัดสินใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน โม่ถิงคือพ่อของเด็กสองคนและต้องการจะเสนอความช่วยเหลือในทุกครั้ง ถังหนิงจำเป็นต้องให้นมลูกทั้งสองทุกๆ ไม่กี่ชั่วโมงและโม่ถิงจะอยู่เคียงข้างเธอทุกครั้ง


 


 


เขาไม่เหนื่อยบ้างหรือไง


 


 


ถังหนิงวางลูกคนหนึ่งในอ้อมแขนลงก่อนเดินไปอยู่ด้านข้างโมงถิง แต่เมื่อเธอเอื้อมมือไปจับตัวชายคนรัก เธอตระหนักได้ว่าเขาไม่ใช่แค่เผลอหลับไป ตัวเขาร้อนจี๋!


 


 


ขณะนี้เป็นฤดูหนาวและอุณหภูมิภายนอกลดต่ำลงจนต้องเปิดเครื่องฮีตเตอร์ ดังนั้นถังหนิงจึงรู้สึกแย่เมื่อเธอคิดว่าโม่ถิงต้องตื่นขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งตลอดทั้งคืนเพื่อนดูแลกั่วกั่ว…


 


 


ดังนั้นเธอจึงรีบโทรหาซย่าอวี้หลิง ขอให้เธอมาช่วยดูแลเด็กๆ หลังซย่าอวี้หลิงเดินทางมาถึง หญิงทั้งสองช่วยกันพาโม่ถิงขึ้นไปยังห้องนอน


 


 


“หยุดจดจ่อกับตัวเองตลอดเวลาได้แล้วนะ ลูกต้องดูแลโม่ถิงด้วย เด็กๆ ก็สำคัญแต่นั่นหมายความว่าพ่อเด็กไม่สำคัญหรือไง” ซย่าอวี้หลิงดุ “ตั้งแต่ตอนที่พวกลูกแต่งงานกัน เสี่ยวถิงไม่เคยหย่อนยานเรื่องไหนเลย ลูกควรดูแลสุขภาพร่างกายของเขาให้ดี เขาทำงานมาทั้งวันแต่ก็ยังต้องมากังวลเรื่องลูกตอนกลับบ้านอีก”


 


 


“ฉันเข้าใจค่ะแม่ ถ้าอย่างงั้นฉันฝากลูกสองคนกับแม่ด้วยนะ”


 


 


“ดูแลเขาได้ดีเถอะ” หลังดุว่า ซย่าอวี้หลิงก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อดูแลหลานชายทั้งสองคน


 


 


ถังหนิงเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โม่ถิงทันทีและเช็ดตัวให้อีกฝ่าย จากนั้นเธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของเขา แต่โม่ถิงกลับไม่ตื่นและยังคงหลับต่ออย่างสนิท


 


 


ขณะที่เธอมองดูโม่ถิงหลับ ถังหนิงเริ่มหันกลับมาพิจารณาตัวเอง


 


 


ตลอดมาโม่ถิงยืนหยัดเพื่อเธอมามากมาย แต่เธอกลับเริ่มเป็นแค่ฝ่ายรับ พวกเธอเป็นคู่ชีวิตกัน ดังนั้นเธอจึงไม่เคยเชื่อว่าจะมีชายคนไหนเกิดมาเพื่อปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งหรือเพื่อหลงใหลในตัวผู้หญิงคนหนึ่งเพราะไม่มีความสัมพันธ์ได้ยืดยาวได้ด้วยการรักใครเพียงข้างเดียว


 


 


ผู้หญิงคนอื่นต่างฝันว่าจะได้พบชายรูปงามฐานะร่ำรวยมารักเธอไปตลอดชั่วชีวิต แต่…


 


 


ความรักนั้นตั้งอยู่บนการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาแต่ให้และอดทนมานานจนถึงระยะหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็จะมาถึงจุดจบ ผู้ชายเองก็เป็นเพศที่เหนื่อยง่ายเสียด้วย…


 


 


ดังนั้นเหตุผลที่ถังหนิงได้รับความรักมากมายจากโม่ถิงนั้นใกล้เคียงกับความจริงที่ว่าเธอกระตือรือร้นที่จะพัฒนาความรักและหลงใหลในตัวเขาไม่แพ้กัน


 


 


เพราะถึงอย่างไรโม่ถิงก็ตระหนักดีว่าถังหนิงเองพร้อมจะสละทุกอย่างรวมถึงชีวิตของเธอเพื่อเขาเช่นกัน! มีเพียงเมื่อคนสองคนคิดคำนึงถึงกันและกันเท่านั้นถึงจะยืนหยัดผ่านบททดสอบแห่งกาลเวลาไปได้ ความรักไม่ปรานีให้กับความเห็นแก่ตัว


 


 


เดิมทีด้วยระดับความเหนื่อยล้าของโม่ถิง ถังหนิงไม่คิดจะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้น ทว่าเมื่อถึงเวลาตีสอง เขากลับสะดุ้งตื่นขึ้นจนทำให้ถังหนิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงตกใจ


 


 


“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


เมื่อเห็นถังหนิงยังไม่นอน โม่ถิงลุกก็ขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ หลังผ่านไปสองสามวินาที ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามขึ้น “ทำไมคุณยังไม่นอนอีกล่ะ”


 


 


“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองมีไข้” ถังหนิงลุกขึ้นจากโซฟาและเอนตัวเข้าหาอ้อมแขนของโม่ถิง “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำฉันกลัวแค่ไหน”


 


 


“ผมไม่เป็นไรหรอก พักนี้ผมแค่ยุ่งๆ นิดหน่อย”


 


 


“ทำไมอยู่ๆ คุณถึงตื่นขึ้นมาล่ะ” ถังหนิงไม่เชื่ออีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นแทบทั้งคืนจนเขาเป็นหวัดและมีไข้


 


 


“ก็ปกติเราตื่นมาให้นมเด็กๆ เวลานี้” โม่ถิงถอนหายใจ “มันน่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาชีวิตผมไปแล้ว ผมเลยตื่นโดยอัตโนมัติในเวลานี้”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็เริ่มไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองข้างของถังหนิง “คุณทุ่มเทความรักมากมายขนาดนี้ให้ฉันกับลูกได้ยังไงกัน คุณรู้หรือเปล่าว่าแค่นี้ฉันก็กระอักความรักของคุณแล้วนะ”


 


 


“แล้วพวกเด็กๆ …”


 


 


“คุณแม่กำลังดูแลพวกเขาอยู่” ถังหนิงตอบ “พรุ่งนี้ฉันจะให้ลู่เช่อจองตั๋วไปมัลดีฟส์ให้เราสองคน ไปพักผ่อนกันสักสองสามวันนะ”


 


 


“ผมไม่ได้ป็นอะไร”


 


 


“คุณต้องพักผ่อนบ้าง” ถังหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ได้กำลงปรึกษาเรื่องนี้กับคุณนะ ฉันกำลังบอกให้คุณฟังฉัน… โอเคไหม”


 


 


โม่ถิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของถังหนิง ท้ายที่สุดเขาดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนและตอบ “ขอเวลาผมจัดการงานสักหน่อยนะ ตกลงไหม”


 


 


“ตกลงค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า


 


 


หลายครั้งที่ถังหนิงนึกสงสัยว่าโม่ถิงต้องเหนื่อยเพราะความเอาแต่ใจของเธอหรือเปล่า หากเธอไม่ได้เลือกที่จะกลับมาถ่ายละครและอยู่บ้านดูแลเขากับลูกๆ ทุกอย่างจะง่ายขึ้นสำหรับเขาไหม ดังนั้นถังหนิงจึงมีแผนการอื่นหลังการถ่ายทำ ‘ผู้รอดชีพ’ สิ้นสุดลง


 


 


โม่ถิงมองดูถังหนิงและสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งแปลกไปในแววตาเธอ แม้เขาจะอยู่ในสถาพนี้เขาก็ยังอ่านเธอออกด้วยการมองเพียงครั้งเดียว


 


 


“คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องคิดจะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ติดบ้านเลยนะ” โม่ถิงขู่อีกฝ่ายขณะที่เขาแขนของเขาโอบรอบคอของถังหนิง


 


 


แน่นอนว่าโม่ถิงก็ยังคงเป็นโม่ถิงอยู่วันยังค่ำ แม้เขาจะป่วย เขาก็ยังเป็นราชันจอมบงการสุดโหดอยู่ดี…


 


 


ถังหนิงมองโม่ถิงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอจึงเอาแก้มของตัวเองไปถูคอของอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าไข้ของเขาลดไปหมดแล้วก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ


 


 


“คุณเกิดมาเป็นนักแสดง ผมไม่มีวันยอมให้คุณมีความคิดอื่นแน่”


 


 


“ถ้างั้นคุณต้องรับประกันด้วยว่าคุณจะไม่มีวันป่วยอีก” ถังหนิงขู่ “คุณต้องรู้ด้วยว่าฉันปวดใจแค่ไหนเพราะคุณ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงก็โอบกอดถังหนิงไว้แนบแน่น


 


 


ในช่วงชีวิตที่ทั้งเนิบช้าและยาวนานนี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะอดทนกับอะไรสักอย่าง แต่นับตั้งแต่เขาได้ครองรักกับถังหนิง เขารู้สึกว่าหากแม้เขาจะต้องใช้ชีวิตไปอีกร้อยปี เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันยากที่จะอดทนเลยสักนิด


 


 


ดังนั้นถังหนิงอยากจะไปมัลดีฟส์ใช่ไหม


 


 


เมื่อเขาคิดดูดีๆ เขาสองคนไม่ได้ไปเที่ยวกับมาพักใหญ่แล้ว…


 


 


แต่ถ้าหากาทั้งคู่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่ ถังหนิงคงจะไม่รีบร้อนเดินทางไปต่างประเทศ


 


 



 


 


ขณะเดียวกัน พ่อของเฉินซิงเยียนก็กลับมาปรากฏตัว…


 


 


แต่กระนั้นเฉินซิงเยียนกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด ไม่เพียงแค่พ่อของเธอจะแต่งงานใหม่ เขายังมีลูกชายอายุสิบขวบอีกด้วย


 


 


ที่จริงเธอกลัวเกินกว่าจะบอกเรื่องนี้กับไป๋ลี่หวาเพราะ…


 


 


“ซิงเยียน พ่อขอโทษแต่พ่อต้องการเงิน!”

 

 

 


ตอนที่ 777 ลูกฆาตกร!

 

“ถ้าต้องการเงินแล้วทำไมพ่อไม่ไปหาเองล่ะ” เฉินซิงเยียนตั้งคำถาม


 


 


“อย่าพูดกับพ่อแบบนั้นสิ” อันจื่อเฮ่าสะกิดศอกของเฉินซิงเยียนเพื่อเตือนไม่ให้เธอพูดอะไรผิดๆ และทำร้ายตัวเธอเองในระหว่างนั้น


 


 


“ฉันพูดผิดตรงไหน พ่อฉันหายตัวไปตั้งแต่ฉันหกขวบ ประสบอุบัติเหตุจนจำทางกลับบ้านไม่ได้ จะปล่อยให้ฉันเชื่อแบบนั้นไม่ได้หรือไง” เฉินซิงเยียนถามชายที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา


 


 


ในความเป็นจริง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อุบัติเหตุที่ทำให้ชายคนนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เฉินซิงเยียนเข้าใจเรื่องนี้มานานแล้ว


 


 


“ซิงเยียน พ่อเข้าใจว่าตอนนี้ลูกเป็นดาราดังแล้วและลูกก็มีเงินด้วย ดังนั้นได้โปรดช่วยน้องชายของลูกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อไม่มีทางเลือกจริงๆ พ่อคงไม่มาแสดงตัวต่อหน้าลูกตอนนี้หรอก” ชายคนนั้นดูแก่ชรา เขาสวมแว่นสายตา มือกุมเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ ไว้แน่นโดยไม่คิดจะปล่อยมือเลยแม้แต่วินาทีเดียว


 


 


เฉินซิงเยียนไม่ตอบ หลังผ่านไปชั่วครู่ อันจื่อเฮ่าถามคุณพ่อเฉินขึ้น “ผมคิดว่าตอนนี้คุณควรกลับบ้านไปซะ”


 


 


คุณพ่อเฉินเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเฉินซิงเยียนที่จะยอมรับทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของเธอ ดังนั้นเขาถึงถอนหายใจก่อนจะกลับไปพร้อมเด็กชายตัวน้อย


 


 


“เขามีสิทธิ์อะไร…”


 


 


“ถ้าเธอไม่มีหวังในตัวพ่อเธอแล้ว เธอก็จะไม่ผิดหวังอะไร อยู่ที่นี่นะ ฉันจะไปดูว่าเขามีที่อยู่หรือเปล่า”


 


 


เฉินซิงเยียนเปิดปากเพื่อบอกให้อันจื่อเฮ่าอย่าไปสนใจ แต่คำพูดเหล่านั้นไม่อาจหลุดออกจากปากของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเพียงแค่พูดว่า “ฉันจะไปทำงาน”


 


 



 


 


หลังพาตัวพ่อและลูกชายไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง อันจื่อเฮ่าก็ช่วยจ่ายค่าห้องให้พวกเขา คุณพ่อเฉินมองอันจื่อเฮ่าและเกือบทรุดลงคุกเข่าหลังจากเข้าไปในห้องพัก “ช่วยพูดให้เฉินซิงเยียนช่วยฉันทีเถอะ”


 


 


“เอาจริงๆ คุณไม่มีสิทธิ์อะไรในฐานะพ่อแล้ว ดังนั้นคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วมาคาดหวังให้เฉินซิงเยียนทำอะไรเพื่อคุณ”


 


 


คุณพ่อเฉินเข้าใจเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและถอนหายใจ “ไม่งั้นก็เท่ากับเธอปล่อยเราไปตายสินะ”


 


 


“คุณต้องการเท่าไหร่”


 


 


คุณพ่อเฉินอึ้งไปชั่วขณะก่อนในที่สุดเขาจะตอบ “หนึ่งล้านเหยวน เป็นค่ารักษาพยาบาลของลูกชายฉัน”


 


 


“ผมจะให้เงินคุณภายใต้เงื่อนไขหนึ่ง คืออย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าซิงเยียนและแม่เธออีก”


 


 


“ตราบใดที่ฉันช่วยลูกชายเอาไว้ได้ ฉันจะรักษาระยะห่างจากสองคนนั้นแน่นอน” คุณพ่อเฉินรับคำ


 


 


หลังยืนยันยอดรักษาพยาบาลแล้ว อันจื่อเฮ่าก็วางเอกสารไว้ข้างๆ เขาต้องการบอกกับชายคนนั้นว่าถ้าเขาสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยเงิน เขาก็เลือกที่จะไม่เปิดใจให้อีกฝ่าย สำหรับคนที่ยินดีจะละทิ้งลูกเมียตัวเองแบบนี้ อันจื่อเฮ่าไม่คิดจะเกี่ยวข้องด้วย


 


 


แต่กระนั้นเขาไม่รู้เลยว่าท่าทีมีน้ำใจของเขาในครั้งนี้จะนำมาซึ่งปัญหาร้ายแรง


 


 



 


 


บ่ายวันต่อมา ถังหนิงและโม่ถิงเดินทางไปยังมัลดีฟส์ ขณะที่ลูกทั้งสองอยู่ภายใต้การดูแลซย่าอวี้หลิงและไป๋ลี่หวาเป็นการชั่วคราว


 


 


แม่ของทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมากจะแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกัน ไป๋ลี่หวาถึงขนาดเคยไปนอนค้างที่บ้านตระกูลถังเป็นระยะ ส่งผลให้ทั้งสองครอบครัวกลายเป็นครอบครัวใหญ่เดียวกัน


 


 


ครั้งนี้ เฉินซิงเยียนตัดสินใจไม่บอกให้ไป๋ลี่หวารู้เรื่องคุณพ่อเฉินเพราะเธอไม่รู้จะพูดเรื่องนี้อย่างไร ในขณะเดียวกัน เธอก็กลัวว่าแม่ของเธอจะต้องเจ็บปวดอีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นเธอถึงได้แค่เล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้ถังหนิงฟัง


 


 


ถังหนิงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเฉินซิงเยียนกำลังจะประสบกับประสบการณ์อันเจ็บปวดแสนสาหัส


 


 


ตอนบ่ายในอีกสองวันหลังจากนั้น เฉินซิงเยียนอยู่ระหว่างการถ่ายทำรายการหนึ่งก่อนที่จะมีอุบัติเหตุครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปักกิ่ง ชายวันกลางคนคนหนึ่งเมาเหล้าและยาขณะขับรถ ส่งผลให้รถชนเจ็ดคันซ้อน มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุสองคน บาดเจ็บสาหัสสามคนและบาดเจ็บเล็กน้อยอีกสี่คน


 


 


แหล่งข่าวรีบทำการสืบหาพื้นเพของผู้ก่อเหตุอย่างรวดเร็วและพบว่าชายคนนั้นมีชื่อว่าเฉินเทียนเหา จากบันทึกของตำรวจ ชายผู้นี้เป็นพ่อของศิลปินชื่อดัง เฉินซิงเยียน


 


 


ในวันนั้น อันจื่อเฮ่ากำลังอยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับสัญญาพรีเซนเตอร์ให้เฉินซิงเยียน ดังนั้นเสี่ยวชีจึงเป็นผู้อยู่กับเฉินซิงเยียนแทนอันจื่อเฮ่า ตำรวจติดต่อเสี่ยวชีและเสี่ยวชีรอจนกระทั่งเฉินซิงเยียนถ่ายทำรายการเสร็จก่อนที่จะรีบวิ่งมาบอกเรื่องนี้กับเธอ “มีบางอย่างเกิดขึ้น เราต้องไปที่สถานีตำรวจ”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” เฉินซิงเยียนกลัวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับอันจื่อเฮ่า


 


 


แต่เมื่อเสี่ยวชีนำข่าวดังกล่าวให้เธอดู เธอช็อกเล็กน้อยแต่แสร้างทำเป็นไม่สนใจ “เขาขับรถชนคนอื่น แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”


 


 


“ตำรวจขอให้พี่ไปที่สถานีตำรวจเพราะลุงเฉินเพิ่งได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากบัญชีธนาคารปริศนา ตำรวจเลยต้องการยืนยันเรื่องนี้”


 


 


“เงินอะไร” เฉินซิงเยียนสับสนเพราะเธอไม่รู้เลยว่าอันจื่อเฮ่าได้มอบเงินให้คุณพ่อเฉิน


 


 


หลังเดินทางมาถึงสถานีตำรวจ เฉินซิงเยียนถูกขว้างโดยสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อจากอุบัติเหตุรถยนต์ทันที “เอาชีวิตพ่อแม่ของฉันคืนมา…”


 


 


“เอาชีวิตน้องชายฉันคืนมา…”


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะเข้าใจความรู้สึกของคนพวกเนี้ดี แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ


 


 


“ขอโทษนะคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”


 


 


“จะไม่เกี่ยวข้องกับเธอได้ยังไงกัน เธอเป็นลูกฆาตกรนะ!”


 


 


“ฉันไม่เคยมีพ่อมาตั้งแต่ฉันอายุหกขวบแล้ว ตั้งแต่นั้นฉันเป็นลูกไม่มีพ่อ พวกคุณจะให้ฉันมารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ยังไง” เฉินซิงเยียนถาม


 


 


“ห้ามตะโกนโหวกเหวกหน้าสถานีตำรวจ! เฉินซิงเยียนเข้ารับการสอบปากคำ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งสังเกตเห็นความวุ่นวายด้านนอกและเข้ามาต่อว่าทุกคนทันทีก่อนจะหาตัวเฉินซิงเยียนไปยังห้องสอบปากคำ


 


 


“ผมมั่นใจว่าคุณคงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของคุณแล้วใช่ไหม” เจ้าหน้าที่เอ่ยถาม “ผมดูข้อมูลเรื่องนี้แล้วพบว่าพ่อของคุณติดต่อคุณไปเมื่อไม่กี่วันก่อน”


 


 


“ฉันไม่มีพ่อ” เฉินซิงเยียนตอบอย่างตรงไปตรงมา หลังเว้นวรรคชั่วครู่หนึ่ง เธอเริ่มอธิบาย “อยู่ๆ เมื่อวันก่อนเขาก็โผล่มาขอเงินเพื่อช่วยลูกชายตัวเอง แต่ฉันไม่สนใจเขา”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณอธิบายเงินจำนวนนี้มาเขาได้รับจากบัญชีของอันจื่อเฮ่าได้ไหม” เจ้าหน้าที่ถาม


 


 


เฉินซิงเยียนรับบันทึกการโอนเงินจากมือของเจ้าหน้าที่และยืนยันว่าเงินก้อนนี้มาจากอันจื่อเฮ่าจริง


 


 


เจ้าบ้านั่น ทำไมถึงได้พยายามสะสางเรื่องนี้เองโดยไม่บอกให้เธอรู้


 


 


“คุณรู้หรือเปล่า เพราะเงินก้อนนี้ เฉินเทียนเหาไปซื้อรสสปอร์ต จากนั้นก็เที่ยวสำมะเลเทเมา เล่นการพนัน เล่นยา ทะเลาะวิวาท เขาทำมันทุกอย่าง เพราะเงินก้อนนี้เขาถึงได้มีเงินมาก่ออาชญากรรม เขาซื้อยาแถมยังเมาแล้วขับ ทำลายชีวิตคนถึงหกครอบครัว”


 


 


หลังได้ยินเช่นนั้น ดวงตาเฉินซิงเยียนเบิกโพลงด้วยความช็อกพลางรีบอธิบายในทันที “ใช่ ฉันขอให้ผู้จัดการของฉันโอนเงินนี้ให้เขาเพราะฉันไม่ต้องให้เขามายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก แต่ฉันแค่โอนเงินให้เขา ฉันก่อคดีอะไรอย่างนั้นเหรอ สุดท้ายฉันโอนเงินให้เขาเพราะแนคิดว่าเขาจะเอามันไปช่วยใครบางคน ฉันไม่คิดว่าเขาจะเอามันไปใช้ทำอย่างอื่น”


 


 


เจ้าหน้าที่คนนั้นจ้องมองเฉินซิงเยียนและส่ายหน้า “ผมกลัวว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณจะไม่มีวันสงบสุขไปตลอดชีวิตเสียแล้วละ”


 


 


ขณะนั้นเอง น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียน อย่างไรก็ตาม เธอรีบเช็ดน้ำตาพวกนั้นและโทรหาไป๋ลี่หวา


 


 


สุดท้ายเธอเพียงแต่พูดกับเจ้าหน้าที่ “ฉันจะให้ทุกอย่างอยู่ในการจัดการของเจ้าหน้าที่”

 

 

 


ตอนที่ 778 คนที่โง่เง่าที่สุด

 

[พ่อของเฉินซิงเยียนเป็นปีศาจ คนแบบนี้ควรจะถูกตัดสินประหารไปซะ]


 


 


[หลังจากนี้ฉันไม่คิดว่าเฉินซิงเยียนจะยังอยู่รอดในวงการบันเทิงได้หรอก มีพ่อแบบนั้นเป็นเรื่องน่าอับอายสิ้นดี เขาจะเป็นจุดด่างพร้อยของเธอไปตลอชีวิต]


 


 


[หมอนั่นเล่นยาแถมยังเมาแล้วขับ คนแบบนี้สมควรโดนฉีกเป็นชิ้นๆ]


 


 


[ถ้าพ่อยังเป็นแบบนี้ ฉันว่าเฉินซิงเยียนก็คงไม่ต่างกันหรอก]


 


 


[เฉินซิงเยียนนี่ซวยจริงๆ ฉันได้ยินมาว่าพ่อคนนั้นหายตัวไปตั้งแต่เธออายุแค่หกขวบ เวลาผ่านไปตั้งนานในที่สุดเขาก็กลับมา แต่กลับมาทำลายอนาคตของลูกสาวตัวเอง]


 


 



 


 


ใช่แล้ว เฉินซิงเยียนตระหนักดีว่าหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เธอจะไม่มีวันอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปได้อีก ที่จริงเธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจอยู่เฉยๆ แล้วดึงอันจื่อเฮ่ากับโม่ถิงมาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ได้


 


 


ดังนั้นหลังจากให้ปากคำกับตำรวจเสร็จแล้ว เธอก็ก้าวออกจากห้องและโค้งคำนับเพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเหยื่อ “ฉันต้องขออภัยกับสิ่งที่พ่อของฉันได้กระทำลงไปด้วยนะคะ ฉันหวังว่าทุกคนจะให้อภัย ฉันจะพยายามอยากดีที่สุดในการชดใช้ให้กับความเจ็บปวดที่คนที่พวกคุณรักต้องเผชิญ ต่อให้ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรจะสามารถทดแทนชีวิตอันแสนมีค่าได้ก็ตาม”


 


 


“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมยกโทษให้พวกแกสองคน”


 


 


“ไม่ค่ะ” เฉินซิงเยียนตอบ “ฉันไม่ขอให้ทุกคนให้อภัยพ่อฉัน ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย ฉันแค่ขอโทษกับสิ่งที่ฉันทำเท่านั้น”


 


 


สมาชิกครอบครัวของเหยื่อยังคงโศกเศร้า หนึ่งในคนเหล่านั้นถึงขนาดวิ่งเข้ามาคว้าเสื้อเชิ้ตของเฉินซิงเยียนและตบเข้าที่ใบหน้าเธอ ในขณะนั้นอันจื่อเฮ่าได้เดินทางมาถึงพอดี ทันทีที่เขาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ชายหนุ่มก็พุ่งตัวเข้าไปผลักเฉินซิงเยียนออกจากจุดนั้นและกันเธอไว้อยู่ข้างหลัง “เฉินซิงเยียนเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน เธอเสียพ่อไปตั้งแต่หกขวบ ตอนนี้หลังจากกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งสิ่งแรกที่เขาทำคือการขอเงินจากเธอ! ถ้าพวกคุณอยากหาเรื่องละก็ ไปหาเรื่องคนทำผิดสิ”


 


 


สมาชิกครอบครัวของเหยื่อนิ่งเงียบลงขณะที่เฉินซิงเยียนเดินทางออกจากสถานีตำรวจภายใต้การปกป้องของอันจื่อเฮ่า “ฉันจะหาทนายมาให้”


 


 


“ไม่จำเป็น” เฉินซิงเยียนตอบ “พาฉันไปไฮแอทรีเจนซีที ฉันขออยู่กับตัวเองสักพัก”


 


 


“ซิงเยียน…”


 


 


“ฉันปรากฏตัวในวงการบันเทิงไม่ได้อีกต่อไปหลังจากนี้ ในขณะเดียวกันฉันก็เป็นซูเปอร์สตาร์อย่างที่นายอยากให้ฉันเป็นไม่ได้ ด้วยจุดด่างพร้อยนี้ ฉันจะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกสาวของไอ้ฆาตกร” เฉินซิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นั่นคือเหตุผลที่เราควรจะยกเลิกสัญญาของเราซะ”


 


 


“เธอหมายความว่ายังไง” ท่าทีของอันจื่อเฮ่าเปลี่ยนเป็นตึงเครียด


 


 


“ฉันต้องการเลิกกับนาย” เฉินซิงเยียนกล่าวพลางกลั้นน้ำตา


 


 


“เฉินซิงเยียน…”


 


 


“ฉันพูดจริงๆ ฉันไม่ต้องการอยู่ในวงการนี้อีกแล้ว ฉันเหนื่อย ฉันอยากจะไปต่างประเทศกับแม่แล้วใช้ชีวิตที่เหลือในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก” เฉินซิงเยียนพูดต่อพร้อมกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “ฉันรู้ว่านายไม่สามารถทิ้งทุกอย่างแล้วไปกับฉันได้หรอก เพราะฉะนั้นเราควรเลิกกันซะ”


 


 


อันจื่อเฮ่ามองดูเฉินซิงเยียนด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่าเฉินซิงเยียนจะบอกเลิกเขาในเวลาแบบนี้


 


 


“เธอแค่เหนื่อย…”


 


 


“ฉันพูดจริงๆ” เฉินซิงเยียนพูดกับอันจื่อเฮ่าอย่างหนักแน่น “ฉันต้องการเลิกกับนาย ไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว”


 


 


ขณะเวลานี้แม้แต่เสี่ยวชียังชะงักด้วยความช็อก อย่าว่าแต่อันจื่อเฮ่าเลย


 


 


“เฉินซิงเยียน ให้ฉันดึงสติเธอนะ ครั้งหนึ่งเราเลยให้คำสัญญาต่อกันว่าเราจะไม่มีวันยอมแพ้อะไรง่ายๆ เธอกำลังจะทำผิดสัญญาหรือไง…”


 


 


“ใช่” เฉินซิงเยียนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ


 


 


“เสี่ยวชี หยุดรถ!” อันจื่อเฮ่าไม่อาจทนต่อไปได้แม้น้ำเสียงของเขาจะยังคงสงบนิ่ง แต่หลังจากเสี่ยวชีหยุดรถ เขาออกจากรถทันทีและเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย


 


 


“ซิงเยียน ทำไมทำแบบนี้ล่ะ” เสี่ยวชีรู้สึกหมดหนทาง


 


 


เฉินซิงเยียนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไปขณะที่เธอร้องไห้ออกมา “เธอไม่เข้าใจหรอก”


 


 


อันจื่อเฮ่าเสียสละเพื่อเธอมามากแล้ว ครั้งนี้เขาถึงขนาดยอมเสียเงินเป็นล้านเพื่อเก็บกวาดเรื่องนี้ให้เธอ


 


 


แต่ถ้าเขารู้ว่าเงินที่เขาให้คุณพ่อเฉินถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาคงไม่อาจปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกตลอดชีวิต ในเมื่อต้องมีใครสักคนที่เจ็บปวด เฉินซิงเยียนจะเลือกเป็นคนแบกรับมันเอาไว้เอง


 


 


อันจื่อเฮ่ามีความฝันและความสามารถที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง ในขณะที่ตัวเธอนั้นแต่อยากเป็นสตันต์ คุณค่าในตัวของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


 


อีกทั้งประชาขนไม่รู้ว่าเงินหนึ่งล้านหยวนนั้นมาจากอันจื่อเฮ่า หากพวกเขารู้ อันจื่อเฮ่าจะต้องเจอปัญหาใหญ่อีก


 


 


เฉินซิงเยียนเข้าใจดีว่าเธอยังเด็ก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีความรับผิดชอบ


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้านและได้พบกับไไป๋ลี่หวา สิ่งแรกที่เฉินซิงเยียนทำคือการโผเข้าสู่อ้อมแขนของผู้เป็นแม่และร้องไห้ออกมา “แม่…”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ลูกสาวแม่โตขึ้นแล้ว ทุกอย่างไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราจะไปเยี่ยมทุกบ้านเพื่อขอโทษและขอให้พวกเขาให้อภัย นี่ไม่ใช่ความผิดของลูก ซิงเยียน ลูกทำให้แม่ภูมิใจจริงๆ”


 


 


“เราจะให้ประธานโม่กับพี่หนิงถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้!” เฉินซิงเยียนสะอื้น


 


 


“ใช่ เราจะไม่ดึงใครมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น เราจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของเราเอง”


 


 


ไป๋ลี่หวาไม่เคยจินตนาการว่าเฉินซิงเยียนจะกล้าหาญขนาดนี้ ดังนั้นการได้เห็นความกล้าของเฉินซิงเยียนทำให้ไป๋ลี่หวาเข้มแข็ง สุดท้ายสองแม่ลูกให้คำมั่นว่าจะแบกรับความรับผิดชอบนี้ร่วมกัน และส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็นแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่กันและกัน


 


 



 


 


หลังอันจื่อเฮ่าเดินออกจากรถ เขาก็กลับไปยังสถานีตำรวจ เขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และอะไรคือสาเหตุที่ให้ท่าทีของเฉินซิงเยียนเปลี่ยนไปอย่างเฉียบพลันเช่นนี้


 


 


หลังเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับอันจื่อเฮ่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ให้ข้อมูลทั้งหมดที่เฉินซิงเยียนบอกกับตำรวจให้อันจื่อเฮ่ารู้


 


 


ดังนั้นในที่สุดอันจื่อเฮ่าจึงค้นพบเหตุผลว่าทำไมเฉินซิงเยียนจึงเสนอให้เลิกกันเธอ


 


 


เด็กสาวคนนี้ได้เติบโตขึ้นอย่างฉับพลันและแบกรับทุกอย่างไว้เอง


 


 


สุดท้าย อันจื่อเฮ่าก็ได้บอกกับตำรวจ “ถ้าผมยื่นมีดปอกผลไม้ให้คุณเพื่อที่คุณจะสามารถหั่นผลไม้ได้ แต่สุดท้ายคุณเอามีดเล่มนั้นไปฆ่าใครสักคน ผมควรต้องรับผิดชอบไหมครับ


 


 


“ผมเป็นคนโอนเงินหนึ่งล้านหยวนให้เฉินเทียนเหาจริง แต่ผมไม่คิดว่าผมทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไร พวกเราเป็นเพียงเหยื่อในคำโกหกของเขาเท่านั้น!


 


 


“เฉินเทียนเหาใช้เงินหนึ่งล้านหยวนแล้วสุดท้ายทำให้มีคนตาย ดังนั้นตำรวจเลยตัดสินใจร้องหาความรับผิดชอบจากพวกเรา แล้วถ้าเขาเอาเงินนั้นไปสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้สังคมล่ะ พวกคุณจะให้ตกรางวัลให้พวกเราไหม


 


 


“ตอนเฉินเทียนเหาหลอกพวกเราให้ให้เงินก้อนนี้กับเขา เขาเอาประวัติการรักษาลูกชายของเขามาให้เราดู ในฐานะตำรวจ ผมรู้ว่าคุณเก่งเรื่องศีลธรรม แต่ขอโทษทีนะ เฉินซิงเยียนกับผมจะไม่ยอมถูกตราหน้าในเรื่องครั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในคดีนี้คือยาและแอลกอฮอล์ แต่ผมต้องขอโทษด้วยเพราะเงินพวกนั้นมาอย่างถูกกฎหมาย เราไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบทางกฎหมายหรือทางศีลธรรมอะไรทั้งนั้น”


 


 


พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็เดินออกจากสถานีตำรวจ


 


 


เขาเข้าใจดีว่าในเวลานี้ เฉินซิงเยียนเพียงแค่มุ่งมั่นที่จะปกป้องเขาและไม่ยอมฟังสิ่งที่เขาพูด


 


 


เธอเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในโลก…


 


 


แต่เธอทำแบบนี้เพราะเธอรู้ดีว่าอันจื่อเฮ่าจะยอมโดนฟ้องล้มละลายหรือมากกว่านั้นเพื่อเธอ


 


 


ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงไม่เร่งรีบที่จะติดต่อเฉินซิงเยียน กลับกัน เขาเลือกที่จะไปหาข้อมูลของบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เพื่อป้องกันไม่ให้คู่สองแม่ลูกต้องเจ็บปวด ดูเหมือนช่วงเวลาหลายวันข้างหน้าของเขาน่าจะยุ่งทีเดียว


 


 


ขณะเดียวกัน ถังหนิงและโม่ถิงได้รับข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่อีกฟากของทะเล เดิมทีทั้งสองยังต้องใช้เวลาในการพักผ่อนอีกสองสามวัน แต่พวกเขายกเลิกและรีบเดินทางกลับปักกิ่งทันที…

 

 

 


ตอนที่ 779 พ่อของเด็กนี่ฆ่าคนตาย ดังน...

 

หลังเดินทางกลับมาถึงจีน เดิมทีถังหนิงอยากจะนั่งคุยดีๆ กับเฉินซิงเยียน แต่คู่แม่ลูกไม่ต้องการถึงโม่ถิงกับถังหนิงมาเกี่ยวพันด้วย ทั้งสองจึงหลบไปซ่อนตัว


 


 


แต่ทำไมทั้งสองต้องหลบซ่อนด้วย พวกเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย


 


 


เพื่อการนี้ ถังหนิงจึงไปยังอะพาร์ตเมนต์ของอันจื่อเฮ่าด้วยตัวเอง ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีคู่รักอาศัยอยู่ที่นี่ ถังหนิงก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “การถูกทิ้งไม่ได้รู้สึกดีเลยใช่ไหมล่ะ”


 


 


“อาฮะ!” อันจื่อเฮ่านั่งลงบนโซฟาและเริ่มดื่มไวน์เข้าไป เขาอยู่ในชุดลำลองสีเทาดูไม่เป็นทางการซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก “แต่ผมเข้าใจเธอนะ ผมรู้ว่าเธอไม่อยากเอาผมไปเกี่ยวพันด้วย แต่ความจริงคือผมต่างหากที่ไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้ดี”


 


 


“งั้นคุณวางแผนจะทำอะไรล่ะ” ถังหนิงถามพลางนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้าม


 


 


“ผมปล่อยให้เธอสูญเสียตัวตนในฐานะนักแสดงไม่ได้ ต่อให้เธอคิดจะวางมือจากวงการนี้จริงๆ ผมก็อยากให้เป็นการตัดสินใจของเธอไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากสังคม” อันจื่อเฮ่าตอบพลางจิบไวน์ในมือ


 


 


“เราเฝ้ามองดูซิงเยียนเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ เธอเปลี่ยนจากเด็กสาวที่ไม่ประสีประสามาเป็นเธอในตอนนี้ ต้องขอบคุณคุณนะ” ถังหนิงลุกขึ้นยืนและเดินไปด้านข้างของอันจื่อเฮ่าก่อนจะตบลงบนไหล่ของเขาเบาๆ “เดิมทีฉันคิดว่าคุณจะถอดใจเรื่องเฉินซิงเยียนไปแล้ว แต่จากที่เห็น ฉันคงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้วละ”


 


 


“ถังหนิง ที่จริงผมต้องการให้โม่ถิงพูดอะไรบางอย่าง เขาไม่เคยยอมรับตัวตนของเฉินซิงเยียนอย่างเป็นทางการเลย แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ผมก็ไม่บังคับหรอกนะ” อันจื่อเฮ่าพูดกับถังหนิง “ถึงเฉินซิงเยียนจะไม่เคยต้องการเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เธอต้องการพลัง”


 


 


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการให้” ถังหนิงกล่าวก่อนจะออกจากอพาร์ตเมนต์ของอันจื่อเฮ่า


 


 


หลายครั้ง โลกก็ไม่ได้ยุติธรรมนัก บางคนใจดี ใสซื่อและไม่เคยทำอะไรผิด แต่เพราะความเกี่ยวพันทางสายเลือด ทำให้คนเหล่านั้นต้องถูกบังคับให้แบกรับปัญหาที่พวกเขาไม่อาจรับมือได้ มีคนบนโลกใบนี้อีกมากมายแค่ไหนที่ต้องทนแบกรับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากครอบครัวของตัวเองเอาไว้โดยไม่อาจพูดอะไรออกมาได้


 


 


ถังหนิงไม่ต้องการให้เฉินซิงเยียนต้องแบกรับความเจ็บปวดแบบนี้


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะไม่อาจปฏิเสธความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เธอมีกับชายคนนี้ได้ แต่เธอทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ


 


 


ครั้นกลับมาถึงบ้าน ถังหนิงก็พูดต่อรองกับโม่ถิง “เราควรหาซิงเยียนให้พบโดยเร็วที่สุด เธอไม่ควรเป็นที่ต้องปิดปากเงียบแล้วยอมจำนนแบบนี้”


 


 


ที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์ในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับแม่ของโม่ถิง โม่ถิงจะปล่อยให้ไป๋ลี่หวาเจ็บปวดกับผลจากกระทำของคนห่วยแตกได้อย่างไร


 


 


ดังนั้นโม่ถิงจึงโทรหาลู่เช่อ “หาที่อยู่ของแม่ฉันกับเฉินซิงเยียนเดี๋ยวนี้ หลังพบสองคนนั้นแล้วให้พาพวกเธอกลับมาทันที”


 


 



 


 


สุดท้ายเฉินเทียนเหาทำให้คนเสียชีวิตถึงสองคนโดยเป็นชายวัยกลางคนหนึ่งคนและอีกคนเป็นชายหนุ่ม ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในนั้นมีสถานะทางสังคมที่ค่อนข้างพิเศษ เขาเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลปักกิ่ง ในวันนั้นเขาเพียงแค่ออกมาใช้เวลากับเพื่อนๆ โดยไม่คาดคิดว่าจะต้องประสบกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้


 


 


ครั้งนี้ เฉินเทียนเหาไม่อาจหนีรอดจากการลงโทษไปได้ แต่ไป๋ลี่หวาและเฉินซิงเยียนที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องด้วยกำลังจะต้องเผชิญกับความทรมานจากความเป็นจริง


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะได้แสดงในหนังหลายเรื่องและไปออกรายการมากมาย ที่จริงเธอก็ไม่ได้มีเงินเก็บอะไรมากมายนัก หากเธอต้องการที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับหนึ่งครอบครัว เงินที่เธอมีก็ถือว่าเหลือแหล่ แต่เมื่อต้องชดเชยให้กับหลายครอบครัวเช่นนี้ ต่อให้เธอล้มละลายก็ไม่อาจจ่ายค่าชดเชยให้พวกเขาได้ทั้งหมด


 


 


เฉินซิงเยียนกับไป๋ลี่หวาปรึกษากันเองและตัดสินใจที่จะไปขอขมาสองครอบครัวที่ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป ดังนั้นในช่วงเช้าตรู่ ทั้งสองนำทุกสิ่งที่จำเป็นไปปรากฏตัวที่หน้าบ้านหลังแรก แต่กระนั้นพวกเธอกลับถูกคนในครอบครัวนั้นไล่ตะเพิดออกมาทันที


 


 


“ไสหัวไป คิดว่าที่นี่จะตอบรับคนอย่างพวกแกหรือไง อย่ามาทำให้สามีของฉันต้องตายอย่างไม่สงบเลย”


 


 


ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของชายวัยกลางคนที่เสียชีวิต เธอกำลังโศกเศร้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นทันทีที่เธอเห็นเฉินซิงเยียน เธอจึงมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับตอนที่อยู่ที่สถานีตำรวจด้วยการคว้าเสื้อของเฉินซิงเยียนและเริ่มทุบตีอีกฝ่าย โดยที่เฉินซิงเยียนไม่ได้โต้ตอบอะไรเลย


 


 


“คุณนายคะ ถ้าคุณต้องการจะตีใครแล้วละก็มาตีฉันเถอะ อย่าตีลูกสาวฉันเลย”


 


 


“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา มาแสแสร้งเล่นละครแบบนี้เพื่ออะไร รีบไสหัวไปซะ…”


 


 


“ชิ้ว!” สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ พากันพลักไสแม่ลูกทั้งสองออกไปจากบ้านของตน จากที่เห็นดูเหมือนการได้รับการอโหสิกรรมจะเป็นไปไม่ได้


 


 


แน่นอนว่าเฉินซิงเยียนเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นดี แต่เธอจะทำอะไรได้อีก ถ้าเธอสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนได้ เธอก็ยินดีที่จะยอมสละชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ


 


 


หลังจากนั้น เฉินซิงเยียนและไป๋ลี่หวาก็เดินทางไปยังบ้านหลังที่สอง แต่แน่นอนว่าครอบครัวนั้นก็ปฏิบัติกับพวกเธอในแบบเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันเลย


 


 


แต่กระนั้นทั้งสองก็ยังยืนกรานที่จะไปยังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมบรรดาเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือลูกชายของเจ้าหน้าที่รัฐบาล


 


 


“พวกแกคิดว่าการซื้อของขวัญไม่กี่อย่างแล้วมาพูดขอโทษจะช่วยให้ชีวิตของเพื่อนฉันกลับมาดีเหมือนเดิมได้อย่างงั้นเหรอ บอกอะไรให้นะว่าไม่มีทาง ฉันจะให้พวกแกต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”


 


 


“พวกเราไม่ได้มาเพื่อขอโทษแทนผู้ชายคนนั้น เราแค่ต้องการทำในสิ่งที่เราทำได้เท่านั้น” ไป๋ลี่หวากล่าวอย่างใจเย็น


 


 


“ไม่จำเป็น ยกเว้นพวกแกจะคุกเข่าขอขมา ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าฉันจะยกโทษให้”


 


 


ชายคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล โดยมีหลายส่วนของร่างกายถูกเข้าเฝือกและพันไว้ด้วยผ้าพันแผลอีกหลายจุด


 


 


ขณะเดียวกัน สมาชิกครอบครัวเขากลับทำให้เรื่องยิ่งบานปลายด้วยการโทรเรียกสื่อมาเป็นพยานในเหตุการณ์นี้ด้วย “รีบมาดูซะสิ คนที่พวกคุณเรียกว่าไอดอลมันก็แค่ลูกสาวของไอ้ฆาตกร… คนพวกนี้ต้องเจอไม้แข็งแบบนี้นี่แหละ ทุกคนในครอบครัวของมันก็ต้องโดนแบบเดียวกันด้วย”


 


 


“ถ้าฉันคุกเข่า พวกคุณจะยกโทษให้พวกเราใช่ไหม”


 


 


“คุกเข่าก่อนสิ!” บรรดาสมาชิกครอบครัวของชายคนนั้นออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงรุนแรง


 


 


แม้สองแม่ลูกจะเตรียมใจรับการถูกเย้ยหยันไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง ทั้งสองกลับรู้สึกผิดและมีความรู้สึกต่างๆ มากมายเกิดขึ้นจนเต็มหัวใจ


 


 


แม้เป็นเช่นนั้น ไป๋ลี่หวายังคงตัดสินใจที่จะคุกเข่าลง ขณะนั้นเอง ชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเธอและดึงตัวเธอขึ้นมา “คุณป้าลุกขึ้นยืนเถอะครับ”


 


 


เฉินซิงเยียนกับไป๋ลี่หวามองอันจื่อเฮ่าด้วยความช็อก พวกเธอไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้เพื่อช่วยพวกเธอ


 


 


“พวกคุณสองคนไม่ได้ทำอะไรผิด พวกคุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ”


 


 


“แกหมายความว่ายังไงที่ว่าพวกมันไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อมันฆ่าคนตายนะ!” สมาชิกครอบครัวคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตะโกนขึ้น กระนั้นอันจื่อเฮ่าได้หันกลับไปตอบคนคนนั้น “เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอฆ่าคนตาย”


 


 


“พ่อของเด็กนี่ฆ่าคนตาย ดังนั้นมันก็ต้องชดใช้ไม่ใช่หรือไง”


 


 


“ไม่ใช่ เธอไม่จำเป็นต้องชดใช้อะไรทั้งนั้น ไม่มีกฎหมายข้อไหนระบุว่าลูกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พ่อแม่ของตัวเองทำ ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น ผมจะไม่ยอมให้เธอยืนถูกพวกคุณกล่าวหาอยู่แบบนี้” อันจื่อเฮ่าชี้แจ้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


 


 


“พวกเรารู้สึกเสียใจกับความเจ็บปวดที่พวกคุณได้รับ ดังนั้นพวกเราจึงมากล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจรวมทั้งจ่ายค่าชดเชยให้ แต่พวกเราจะไม่ยอมให้เกิดการทำร้ายร่างกายหรือถูกต่อว่าเพราะผู้หญิงสองคนนี้ก็เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เหมือนกัน


 


 


“พ่อของผู้หญิงคนนี้หายตัวไปตั้งแต่เธออายุหกขวบ และทันทีที่เขากลับมาปรากฏตัว เขาก็ฆ่าคนตาย ความเจ็บปวดนี้ใครจะเป็นคนรักษาให้เธอ”


 


 


บรรดาสมาชิกครอบครัวต่างพากันจ้องหน้าอันจื่อเฮ่าแต่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ


 


 


ขณะนั้นเอง ในที่สุดลู่เช่อก็พบตัวสองแม่ลูกตามคำสั่งของโม่ถิงและเตรียมพร้อมที่จะพาทั้งสองกลับไปยังไฮแอทรีเจนซี่…

 

 

 


ตอนที่ 780 ไม่ว่าเธอจะเด็กแค่ไหน เธอก...

 

“ใครบอกให้คุณสองคนแบกทุกอย่างไว้เองแบบนี้” ถังหนิงรู้สึกปวดใจแทนคนทั้งสอง “ในใจของพวกคุณคิดว่าพวกเราเป็นคนแบบที่จะปล่อยให้คนที่พวกเรารักเจ็บปวดโดยไม่ทำอะไรเลยเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองหรือไงกัน”


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองไปยังชายที่นั่งเงียบอยู่ด้วยด้านข้างพร้อมท่าทีที่ดูราวราชา เธอไม่ต้องการดึงโม่ถิงให้ตกต่ำเพราะปัญหาของเธอ


 


 


เธอไม่ต้องการให้โม่ถิงกับถังหนิงถูกกล่าวหาเพราะสิ่งที่คนไม่ได้ความคนนั้นทำเอาไว้


 


 


ถังหนิงรู้ดีว่าเฉินซิงเยียนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอจึงส่งสายตาให้โม่ถิง หลังจากได้รับสายตาจากภรรยา ในที่สุดโม่ถิงก็พูดขึ้น “ต่อให้เธอต้องการจะขอโทษคนพวกนั้นจริงๆ เธอก็ต้องแน่ใจว่าผู้รับจะยอมรับสิ่งนั้น นับจากนี้ไปถ้าเธอต้องการจะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก เธอต้องให้รับอนุญาตจากฉันก่อน ไม่งั้นฉันจะเลี้ยงทนายไว้มากมายไปเพื่ออะไร”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่พูดอะไร


 


 


“ถ้าเธอไม่ต้องการให้ถังหนิงหรือฉันเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ก็ควรจะโทรหาลู่เช่อไม่ก็ผู้จัดการของเธอ เธออาจยังเด็กและอ่อนประสบการณ์แต่พวกเขาอยู่มานานพอ”


 


 


ถ้าคนที่กำลังสั่งสอนเธอในตอนนี้เป็นคนอื่น เฉินซิงเยียนคงจะโต้แย้งด้วยความเห็นของเธอหรือไม่ก็ทะเลาะกับอันจื่อเฮ่าไปแล้ว แต่เมื่อถูกสั่งสอนโดยโม่ถิง เธอกลับรู้สึกกลัว ความกลัวที่เกิดขึ้นเองเพราะเธอรู้สึกเคารพในตัวโม่ถิง


 


 


“ฉัน… ฉันเข้าใจค่ะ”


 


 


“เธอคิดว่าเรื่องซุบซิบพวกนี้จะมีผลกระทบกับพวกนั้นอย่างนั้นเหรอ เธอประเมินพวกเราต่ำเกินไปแล้วนะ” ถังหนิงกล่าวหลังจากที่โม่ถิงพูดจบ “เธอทำให้จื่อเฮ่าต้องทรมานจริงๆ ตอนที่ฉันไปหาเขาล่าสุด เขาเอาแต่ดื่มไวน์แล้วก็จมอยู่กับความเสียใจ


 


 


“จากนี้ไป เธอต้องจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความใจเย็นและสงบนิ่งกว่านี้ เธอต้องมีความมั่นใจในตัวเองเพราะเธอคือน้องสาวของโม่ถิง…”


 


 


นับตั้งแต่วันที่เธอรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เฉินซิงเยียนหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่าเธอคือน้องสาวของโม่ถิงมาตลอด เพราะเธอไม่ต้องการให้ผู้คนคิดว่าเธอมีดีแค่เป็นน้องสาวของโม่ถิง แต่หลังจากได้ยินถังหนิงกล่าวว่าเธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง เฉินซิงเยียนจึงตระหนักได้ว่าเธอกังวลกับความคิดของคนอื่นมากเกินไป


 


 


เพราะเรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้าถังหนิงสามารถตัดความเห็นของคนอื่นทิ้งไปเพราะรู้ว่ามันไม่เป็นความจริงได้ ทำไม่เธอจะทำบ้างไม่ได้


 


 


“แล้วถ้าเธอต้องการอะไร ก็เข้าไปขอเขาได้เลย ดูสิว่าเขาจะหาให้เธอไหม”


 


 


เฉินซิงเยียนชำเลืองตามองโม่ถิงอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร


 


 


“ฉันไม่มีอะไรจะให้หรอกนะเพราะเธอขัดขวางการหยุดพักผ่อนของฉันกับถังหนิง ตอนนี้ฉันกำลังหงุดหงิด”


 


 


ที่จริงแล้วการที่โม่ถิงพูดแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเขาปฏิบัติกับเธอในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน เพราะต่อให้เขากำลังบ่น คำพูดของเขาก็ยังฟังดูอบอุ่น


 


 


ขณะนั้นเอง อันจื่อเฮ่าที่ยืนเงียบมาตลอดก็พูดขึ้น “เดิมทีผมตั้งใจจะหาทนายมาจัดการเรื่องนี้แบบเงียบๆ แล้วค่อยเข้าไปดูแลทีละครอบครัว แต่หลังจากที่ได้เห็นซิงเยียนกับคุณป้าถูกกล่าวหา ผมไม่อยากทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”


 


 


“คุณปล่อยให้ไห่รุ่ยเป็นคนจัดการปัญหาใหญ่ๆ เอง จากนี้ไปแค่โฟกัสกับการดูแลศิลปินของคุณให้ดี ถ้าคุณปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ก็ช่วยคืนเธอให้ตระกูลโม่และไห่รุ่ยด้วย”


 


 


ในเวลานี้ ถ้าจะมีใครบอกว่าโม่ถิงเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทรงอำนาจคนหนึ่งแล้วละก็คงไม่มีใครกล้าพูดเป็นอย่างอื่นแน่


 


 


แต่แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพื่อถังหนิง เขาก็คงไม่มามัวจัดการกับเรื่องพรรค์นี้


 


 


“แน่นอนครับ” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างมั่นใจ


 


 


“ที่ที่พวกคุณอยู่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว ย้ายไปอยู่ที่อื่นเถอะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ปล่อยให้โม่ถิงเป็นคนจัดการ ส่วนซิงเยียนเองก็กลับมาเข้าที่เข้าทางแล้วหยุดคิดอะไรไร้สาระได้แล้ว” หลังออกคำสั่ง ถังหนิงก็หันไปพูดกับไป๋ลี่หวา “คุณแม่คะ พวกเรายังต้องการให้คุณแม่ช่วยดูแลถังถังกับกั่วกั่วอยู่นะคะ”


 


 


ที่จริง ถังหนิงต้องการให้ซย่าอวี้หลิงอยู่เป็นเพื่อนไป๋ลี่หวาและมาพูดคุยกันเพราะทั้งสองเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี


 


 


คนอื่นไม่มีวันเข้าใจความเจ็บปวดที่ไป๋ลี่หวาได้รับ


 


 


“ได้จ้ะ แล้วซิงเยียนล่ะ…”


 


 


“ไม่ต้องห่วงค่ะ ซิงเยียนมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว”


 


 


ในเมื่อโม่ถิงให้ยื่นความช่วยเหลือให้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องกังวลอีกต่อไป เช่นเดียวกับเฉินซิงเยียนซึ่งเธอเชื่อว่าหลังจากประสบการณ์ในครั้งนี้ ลูกสาวของเธอได้เรียนรู้ที่จะคิดอะไรเพื่อตัวเองเสียที ดังนั้นจึงถึงเวลาที่เธอจะปล่อยวางและให้ลูกสาวของเอเติบโตด้วยตัวเองเสียที


 


 


หลังจากนั้น อันจื่อเฮ่าลากเฉินซิงเยียนออกมา ภายใต้ค่ำคืนในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ คู่รักทั้งสองไม่ได้กลับไปยังอะพาร์ตเมนต์ของพวกเขา แต่กลับมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ตที่พวกเขาเคยใช้เออกเดตด้วยกัน


 


 


ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาภายในห้อง อันจื่อเฮ่าก็คว้าข้อมือข้างหนึ่งของเฉินซิงเยียนและดันตัวเธอไปจนชิดผนัง “เลิกเหรอ หืม”


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ตอนนั้นเธอต้องการแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ” อันจื่อเฮ่าจ้องเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียน “เธอเป็นคนที่เกาะฉันแจมาตลอด เธอคิดจะวางมือจากอาชีพนักแสดงเพื่อฉันอย่างงั้นเหรอ ตอนนั้นเธอตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ”


 


 


“ใช่” เฉินซิงเยียนตอบ “นายทำเพื่อฉันมามากเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากให้นายมาแบกรับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตอีก”


 


 


อันจื่อเฮ่าได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นอย่างฉับพลัน “ฉันควรจะหัวเราะที่เธอไร้เดียงสาเกินไปไหมเนี่ย แค่เธอเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าทุกคนบนโลกจะเป็นคนดีเหมือนเธอหรอกนะ ทำไมฉันจะต้องรู้สึกผิดด้วย ไอ้บ้านั่นเอาเงินไปจากฉันแล้ว ฉันไปควบคุมไม่ได้หรอกว่าเขาจะทำอะไรกับเงินนั่นบ้าง แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วย


 


 


“เธอนั่นแหละที่ทึ่มเกินไปที่จะมาแบกรับความรับผิดชอบแทนฉัน ฉันจะไม่หนีเรื่องในครั้งนี้หรอก แต่เธออย่าคิดจะโยนความผิดทั้งหมดให้ตัวเองอีก”


 


 


“แต่เขาเป็นพ่อฉัน…”


 


 


“นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนทำผิด เราอยู่สมัยไหนกันแล้ว เธอยังเชื่อเรื่องที่ว่าลูกต้องใช้หนี้ที่พ่อตัวเองสร้างอยู่อีกเหรอ” อันจื่อเฮ่าช้อนคางของเฉินซิงเยียนขึ้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลบสายตาของตัวเอง “เธอควรจะดีใจที่เธอมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะปกป้องเธอ ในเมื่อเธอมีโชคดีขนาดนี้ก็ควรจะใช้มันซะนะ


 


 


เอาละ ไหนบอกฉันสิ ว่าเธอยังอยากจะเลิกอยู่ไหม”


 


 


“ฉันยังถอนคำพูดได้เหรอ”


 


 


“ฉันจะทำเป็นไม่เคยได้ยินอะไรก็ได้” อันจื่อเฮ่าตอบ


 


 


เฉินซิงเยียนพลันนึกถึงคำพูดของถังหนิงที่ว่าอันจื่อเฮ่าเอาแต่ดื่มไวน์และจมอยู่กับความเศร้าได้ ความคิดเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกใจสลาย


 


 


“จากนี้ไปนายอย่าเอาคำพูดของฉันไปใส่ใจแล้วก็อย่าดื่มเพราะคำพูดของฉันอีกเลยนะ”


 


 


“ฉันรู้สึกว่าเธอนี่คาดเดาไม่ได้เอาเสียเลย ไม่ละ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอคิดจะเลิกกันฉันอีก ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของฉันก่อนหน้านี้แล้ว” หลังพูดจบ อันจื่อเฮ่าอุ้มเฉินซิงเยียนขึ้นก่อนจะวางหญิงสาวลงบนเตียงแล้วกดทับเธอด้วยร่างกายของเขา


 


 


“นายตัวหนัก…”


 


 


“รับมือให้ดีเถอะ เธอต้องการแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของอันจื่อเฮ่านุ่มลึกขึ้น “เธอทำฉันเจ็บได้แต่ฉันทำเธอเจ็บไม่ได้งั้นเหรอ เหตุผลประสาอะไรกัน”


 


 


ใบหน้าของเฉินซิงเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลันขณะที่เธอเริ่มรู้สึกว่ามือของอันจื่อเฮ่ากำลังดึงเสื้อผ้าของเธอขึ้น “นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันยังเด็กอยู่”


 


 


“ไม่ว่าเธอจะเด็กแค่ไหน เธอก็เป็นของฉัน!” อันจื่อเฮ่าดึงแขนทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียนขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายขัดขืน หลังจากนั้นเขาดึงเสื้อเชิ้ตของเธอขึ้นถึงบริเวณหน้าอกขณะที่เขาพรมจูบไปทั่วร่างกายเธอ…

 

 

 


ตอนที่ 781 ครั้งหน้าผมจะเบามือกว่านี้

 

“จื่อเฮ่า ฉันกลัวจังเลย” เฉินซิงเยียนไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบโต้อย่างไร


 


 


ว่ากันด้วยเหตุผลแล้ว หญิงสาวอยากจะตอบโต้ ทว่าร่างกายของเธอไม่ได้โกหก


 


 


“ผ่อนคลายนะ ให้ฉันจัดการทุกอย่างเอง โอเคไหม”


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะหญิงสาวปรารถนาร่างกายของอันจื่อเฮ่ามานาน หรือบางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงอันสุดแสนจะยั่วยวนของอันจื่อเฮ่า เฉินซิงเยียนพบว่าตัวเองผ่อนคลายลง ไม่นานนักเปลวไฟแห่งความเสน่ห์หาก็ลุกท่วมทั้งคู่


 


 


มวลความปรารถนาในอากาศเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ทว่าอันจื่อเฮ่าไม่ได้หยุดอยู่เท่านั้นเหมือนที่เคย ชายหนุ่มขยับตัวลงไปตามเรือนร่างของหญิงสาว ทุกความเคลื่อนไหวนั้นรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า


 


 


และในตอนสุดท้าย ชายหนุ่มก็ได้ข้ามผ่านข้อจำกัดของตัวเอง…


 


 


“ฉันหวังว่าเธอจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้ทีหลังนะ”


 


 


พวกเขามาถึงจุดนี้กันแล้ว หญิงสาวจะยังถอยกลับไปได้อีกหรือ จิตวิญญาณของคู่รักเชื่อมโยงกันมานานแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ร่างกายของพวกเขาจึงเป็นเพียงภาชนะหนึ่งเท่านั้น แม้ครั้งแรกของเธอจะเจ็บปวดจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เฉินซิงเยียนก็สัมผัสได้ถึงความเป็นเจ้าของ


 


 


ตอนนี้หญิงสาวเป็นของชายคนนี้แล้ว…


 


 


เขาคือชายคนแรกที่เธอรักมากที่สุด


 


 


หลังจากที่เริงรักกันเสร็จ เฉินซิงเยียนก็เจ็บจนขยับไปไหนไม่ได้ เธอนอนอยู่บนแผ่นอกของอันจื่อเฮ่าพลางอิ่มใจไปกับห้วงเวลาแห่งความชิดใกล้นี้ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเจ็บขนาดนี้”


 


 


“ขอโทษ คราวหน้าจะอ่อนโยนกว่านี้” อันจื่อเฮ่าปลอบพลางลูบหลังเฉินซิงเยียน “งีบสักหน่อยเถอะ แล้วฉันจะอาบน้ำให้ทีหลัง”


 


 


“โอเค” เฉินซิงเยียนรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นหลังจากที่หลับตาลงไปได้พักหนึ่ง หญิงสาวจึงผล็อยหลับไป ตอนนั้นเองที่อันจื่อเฮ่าอุ้มเธอไปวางไว้ในอ่างอาบน้ำแล้วอาบน้ำให้เธออย่างอ่อนโยน ทว่าหลังจากที่อาบไปได้ครึ่งทาง อันจื่อเฮ่าก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเสียการควบคุม ประสบการณ์ของเฉินซิงเยียนในครั้งนี้นั้นเพลิดเพลินกว่าเป็นอย่างมาก เมื่ออาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็กระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ


 


 


ทว่าเมื่อหญิงสาวกลับไปที่เตียง หญิงสาวก็หมดแรงเสียแล้ว ตอนนั้นเองที่อันจื่อเฮ่าเอื้อมแขนมากอดเธอไว้ เฉินซิงเยียนซุกตัวด้วยความกลัวอย่างรวดเร็ว “นายอยากทำอีกเหรอ”


 


 


“นอนเถอะ เป็นเด็กดีหน่อย” อันจื่อเฮ่าเพียงแค่ห่มผ้าให้เธอเท่านั้น หลังจากจูบเฉินซิงเยียน ชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไป


 


 


อันจื่อเฮ่าลืมไปแล้วว่าเขาได้นอนหลับสบายอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ รู้เพียงแค่ว่าทั้งหมดเป็นเพราะเฉินซิงเยียน กลับกลายเป็นว่าเขารักเด็กสาวคนนี้มากเหลือเกิน คืนนั้นเฉินซิงเยียนรู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง โม่ถิงไม่ได้ยอมรับเธอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในที่สุดหญิงสาวก็ได้กลายเป็นผู้หญิงของอันจื่อเฮ่า ตอนนี้เธอเป็นหญิงสาวโดยแท้จริงแล้ว


 


 


ทว่าผลกระทบของอุบัติเหตุรถยนต์นั้นยังอยู่…


 


 


เช้าวันถัดมา เฉินซิงเยียนเดินทางไปที่สตูดิโอเพื่อถ่ายโฆษณาตามที่ได้เซ็นสัญญาไว้ ทว่าผู้โฆษณาได้เปลี่ยนตัวเธอไปแล้วและพูดว่า “พวกเรายอมจ่ายค่าชดเชยในการละเมิดสัญญาดีกว่าจะจ้างลูกสาวฆาตกร ถ้าเราจ้างคุณ ใครจะซื้อสินค้าของเรากันล่ะครับ


 


 


“เรื่องราวของพ่อคุณยังไม่ทันคลี่คลาย แต่คุณกลับรีบมาถ่ายโฆษณา ไม่คิดเหรอครับว่านี่มันไร้เหตุผลไปหน่อย


 


 


“กลับบ้านไปเถอะ พวกเราไม่กล้าจ้างคุณหรอก”


 


 


เฉินซิงเยียนไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะได้มาเจอกับปัญหาเช่นนี้และไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้


 


 


หลังจากกลับถึงบ้าน หญิงสาวก็หวาดกลัวเกินจะเล่าให้อันจื่อเฮ่าฟังเพราะปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอเพียงอย่างเดียว


 


 


แม้เฉินซิงเยียนจะเป็นน้องสาวของโม่ถิง โม่ถิงก็ไม่เคยยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่คิดว่าเขาจะทำมันในตอนที่กำลังมีข่าวฉาวอันใหญ่หลวงเช่นนี้


 


 


เป็นใครก็คงเลี่ยงที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ใช่ไหมล่ะ


 


 


ไม่นานจากนั้น เฉินซิงเยียนก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติและเลิกสนใจเรื่องเฉินเทียนเหา ทว่าจู่ๆ สมาชิกครอบครัวที่เคยปฏิเสธเธอในตอนที่เธอพยายามจะมอบเงินชดเชยให้พวกเขานั้นกลับออกมาตามหาเธอในตอนที่เธอไม่สนใจไยดีพวกเขาอีกต่อไปแล้ว อันที่จริง พวกเขาถึงกับสร้างกระแสบนหนังสือพิมพ์ทั้งหลายด้วย


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาหาเบอร์โทรศัพท์ของเฉินซิงเยียนมาได้และติดต่อเธอโดยตรง


 


 


“คุณเฉินคะ สามีฉันยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลยนะ คุณจะไม่สนใจเขาเลยเหรอ ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ไม่ใช่เหรอคะ”


 


 


เฉินซิงเยียนมองโทรศัพท์ของเธออย่างทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองที่อันจื่อเฮ่าคว้าโทรศัพท์ไปจากมือของเธอแล้วตอบว่า “ตอนเธอจะมอบเงินให้คุณ คุณไม่อยากได้นี่ครับ”


 


 


“เรา…เราต้องการมันอย่างแน่นอนค่ะ การผ่าตัดของสามีของฉันยังต้องใช้เงินอีกมาก”


 


 


“ผมคิดว่ามันจะเป็นการเหมาะสมมากกว่านะครับถ้าคุณไปคุยกับเฉินเทียนเหา เฉินซิงเยียนและเฉินเทียนเหาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน ศาลยืนยันแล้วว่าไป๋ลี่หวาและเฉินเทียนเหาหย่าร้างกันไปเป็นสิบปีแล้ว ดังนั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่เฉินซิงเยียนกับแม่ของเธอจะไม่รับผิดชอบเรื่องนี้”


 


 


ผู้หญิงที่ปลายสายดูจะโกรธกับคำตอบของอันจื่อเฮ่าและโพล่งคำด่าออกมามากมาย อันจื่อเฮ่านั้นอยู่ในสนามรบมาเป็นเวลาหลายปีและชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงถือโทรศัพท์เดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วใช้เหตุผลกับผู้หญิงคนนั้นจนกระทั่งเธอยอมขอโทษ


 


 


“จากนี้ไปถ้ามีใครพยายามโทรหาเธออีก บอกให้พวกเขาไปคุยกับตำรวจเลยนะ”


 


 


“เข้าใจแล้ว” เฉินซิงเยียนตอบ


 


 


เมื่อเห็นว่าเฉินซิงเยียนคอตก อันจื่อเฮ่าก็ดูออกทันทีว่าหญิงสาวมีสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ดังนั้นเขาจึงยื่นแขนออกมากอดเธอเอาไว้ “มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ”


 


 


“อื้อ ฉันรู้”


 


 


ไม่ว่าสาธารณชนจะทำให้เธอดูย่ำแย่แค่ไหน หญิงสาวก็เชื่อมั่นในตัวโม่ถิงและถังหนิง ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างสวยงามเป็นแน่


 


 


สมาชิกครอบครัวของเหยื่อพยายามติดต่อหาเฉินซิงเยียนต่อไป ทว่าในแต่ละครั้งเฉินซิงเยียนทำเพียงแค่โทรแจ้งตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเรื่องตระกูลเฉินและค้นพบว่าพ่อของเฉินซิงเยียนหายตัวไปตอนที่เธออายุได้หกขวบและเพิ่งจะออกมาปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ และทันทีที่เขาปรากฏตัว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขอเงินจากลูกสาวและจงใจเอาประวัติการรักษาพยาบาลของผู้เป็นลูกชายมาหลอกเธอ


 


 


ตำรวจยังค้นพบอีกว่าเฉินซิงเยียนเข้าไปขอขมาสมาชิกครอบครัวนี้อย่างเป็นการส่วนตัว ทว่าเธอกลับถูกทำร้ายร่างกายในระหว่างนั้น


 


 


“เฉินเทียนเหาอาจเป็นพ่อของเฉินซิงเยียน แต่เขาไม่เคยทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อเลย พูดกันด้วยเหตุผลแล้ว เราไม่สามารถคาดหวังให้เฉินซิงเยียนชดใช้ในสิ่งที่พ่อของเธอทำลงไปได้หรอก ยิ่งเธอติดต่อครอบครัวนั้นไปเพื่อขอโทษแล้วด้วยอีก”


 


 


“แล้วค่ารักษาพยาบาลของสามีฉันล่ะ”


 


 


“จ้างทนายมาทำให้เฉินเทียนเหาจ่ายสิครับ”


 


 


ตอนที่เฉินซิงเยียนติดต่อเธอไปเพื่อมอบค่าชดเชยให้ เธอก็ไม่ต้องการเงินนั่นและถึงขึ้นทำร้ายเฉินซิงเยียน แม้ความโกรธของเธอจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่เธอไม่ได้พิจารณาเลยหรือว่าเฉินซิงเยียนเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน


 


 


เดิมทีเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจด่วนสรุปและสันนิษฐานว่าพ่อลูกคู่นี้เป็นบุคคลที่ไม่น่าพิศมัยหลังจากที่ได้ยินมาว่าเฉินซิงเยียนเป็นเซเลบที่มีพ่อเมาแล้วขับทั้งยังใช้สารเสพติด ทว่าความจริงก็เผยให้เห็นว่าเฉินซิงเยียนไม่ได้ผิดอะไรเลย ดังนั้นทำไมเธอถึงต้องรับผิดชอบในที่พ่อของเธอทำลงไปด้วยล่ะ


 


 


สมาชิกครอบครัวของเหยื่อนั้นทำตัวไม่ถูกหลังจากที่ตระหนักว่าตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเขาสันนิษฐานว่าเฉินซิงเยียนและแม่ของเธอจ่ายเงินซื้อตำรวจไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจติดต่อสื่อมวลชนโดยที่หวังว่าความคิดเห็นของสาธารณชนจะช่วยให้พวกเขาไปถึงเส้นชัยและได้รับเงินชดเชย


 


 


“ตอนที่เฉินซิงเยียนติดต่อพวกเรามา เธอก็แค่แสร้งทำ จากนั้นพวกเราก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้อีก


 


 


หลังจากที่พ่อของเธอก่ออาชญากรรมอันแสนร้ายแรงนั่นไป เธอคิดเหรอว่าการหลบซ่อนตัวจะช่วยได้ พวกเราต้องการให้เฉินซิงเยียนออกมามอบคำอธิบายที่เหมาะสมค่ะ!


 


 


“หากเฉินซิงเยียนไม่ออกมาอธิบายและแสดงจุดยืนของเธอ พวกเราจะไม่ปล่อยให้เธอมีชีวิตที่สงบสุขแน่!”

 

 

 


ตอนที่ 782 การเปิดตัวอันทรงพลัง!

 

“เฉินซิงเยียนกลับมาทำงานแล้วนะ เพื่อนฉันบอกว่าเธอกำลังจะถ่ายโฆษณาแต่ไปรู้เอาหน้างานว่าถูกเปลี่ยนตัว”


 


 


“ดูจากความร้ายแรงของสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว เฉินซิงเยียนนับว่ากล้ามากเลยนะ”


 


 


“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงกลัวเกินกว่าจะโผล่หน้าไปให้ใครเห็น มันน่ากลัวเกินไปจริงๆ”


 


 


“เท่าที่ฉันเห็น ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจบลงได้ง่ายๆ คอยดูเถอะ เมื่อไหร่ที่เฉินซิงเยียนรับมือแรงกดดันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอจะต้องออกมาขอโทษอย่างแน่นอน”


 


 


 


 


นี่คือการถกเถียงที่เฉินซิงเยียนได้ยินในห้องน้ำก่อนที่จะเข้าไปออดิชั่น เป็นบทสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคนที่อยู่ในวงการ


 


 


ตอนนั้นเฉินซิงเยียนอยู่ในห้องเล็กๆ หญิงสาวไม่ได้ซ่อนตัวแต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นผู้หญิงสองคนนั้นขณะที่เดินผ่านพวกเธอไปเติมเครื่องสำอางที่อ่างล้างมือ


 


 


ผู้หญิงทั้งสองคนรู้สึกอับอายที่ถูกจับได้ หลังจากเห็นความสบนิ่งบนใบหน้าของเฉินซิงเยียน พวกเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเลี่ยงเธอด้วยการออกจากห้องน้ำไป


 


 


ถังหนิงเป็นคนแนะนำภาพยนตร์เรื่องที่เฉินซิงเยียนกำลังจะออดิชั่น


 


 


แม้ว่าในตอนนี้จะมีคนจำนวนมากที่นินทาเธอ เฉินซิงเยียนก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว หากพวกเขาอยากจะพูด พวกเขาก็สามารถพูดได้เท่าที่ต้องการ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถึงอย่างไร หญิงสาวก็ไม่ได้สูญเสียตัวตนของเธอ


 


 


“ดูสิ นั่นเฉินซิงเยียนนี่ เธอมีกึ๋นพอจะมาออดิชั่นด้วยแฮะ”


 


 


“พวกเธอสักคนควรจะโทรหาครอบครัวของเหยื่อรายนั้นแล้วบอกพวกเขาว่าเฉินซิงเยียนอยู่ที่นี่นะ นั่นจะถือว่าเป็นการความดีเลยล่ะ”


 


 


“ใช่ ยัยนั่นควรได้รับบทเรียน”


 


 


ในตอนท้าย ใครบางคนก็แอบติดต่อสื่อมวลชนอย่างลับๆ และสื่อรายนั้นก็ติดต่อสมาชิกครอบครัวของเหยื่ออย่างรวดเร็ว…


 


 


เฉินซิงเยียนเตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ในตอนที่เหล่าสมาชิกครอบครัวเดินปึงปังเข้ามาในห้องออดิชั่น หญิงสาวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี


 


 


หญิงสาวรู้สึกสับสนไปหมด มันเป็นความรู้สึกผิดผสมกับความไม่อยากยอมรับว่าตนผิด เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้


 


 


“สามีของฉันยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ไม่รู้เลยว่าจะรอดหรือเปล่า แต่คุณกลับไร้ยางอายมากพอที่จะเข้าร่วมการออดิชั่นและคาดหวังว่าจะได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์งั้นเหรอ คิดเหรอว่าคนสารเลวอย่างคุณคู่ควรกับมันน่ะ”


 


 


คนจำนวนมากยืนเฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่รอบๆ โดยไม่มีเจตนาที่จะหยุดไม่ให้ผู้หญิงคนนี้โจมตีเฉินซิงเยียน


 


 


ใครบางคนกำลังก่อปัญหา ดังนั้นการแสดงดีๆ จึงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น


 


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนคาดหวังว่าเฉินซิงเยียนจะตกที่นั่งลำบาก หญิงสาวกลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก


 


 


“คุณผู้หญิงคะ ถ้าอาการของสามีคุณยังไม่เสถียร คุณควรจะคุยกับหมอหรือผู้กระทำผิดนะคะ มาคุยกับฉันทำไม”


 


 


“หยุดเล่นแง่ได้แล้ว! เฉินเทียนเหาคือพ่อแก นี่แกพยายามจะหลีกหนีความรับผิดชอบตอนที่เขาทำผิดหรือยังไง”


 


 


“ขอโทษด้วยค่ะ แต่พ่อฉันหายตัวไปตอนที่ฉันอายุหกขวบ…ฉันรับผิดชอบแทนพ่อที่ไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลยไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะทำได้ไหมคะ”


 


 


“แต่แกก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกแกมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดไม่ได้หรอกนะ” ผู้หญิงคนนั้นตื๊อเฉินซิงเยียนต่อ เธอดูเหมือนจะรอให้เฉินซิงเยียนตอบสิ่งที่เธออยากจะได้ยิน ‘เรื่องเงิน’ นั่นเอง


 


 


“มีคนอีกตั้งมากมายที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อของฉัน ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว คุณตามตื๊อฉันเพราะฉันเป็นเซเลบและเพราะคุณคิดว่าฉันหาเงินได้เยอะก็เท่านั้นเอง” เฉินซิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “ก่อนหน้านี้ฉันติดต่อคุณไปพร้อมกับเสนอทางออก แต่ตอนนั้นคุณมีปฏิกิริยายังไงน่ะเหรอ คุณตบหน้าฉันและบอกให้ฉันไปซะ…


 


 


“ขอโทษด้วยค่ะ แต่ฉันยังมีอย่างอื่นต้องไปจัดการ ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” พูดจบ เฉินซิงเยียนก็หมุนตัวพร้อมจะจากไป ทว่าผู้หญิงคนนั้นหยุดเธอเอาไว้


 


 


“อย่าคิดหนีเชียวนะ มาสะสางเรื่องทุกอย่างกับฉันให้จบในวันนี้จะดีกว่า”


 


 


ในตอนท้าย คำถามก็คือเฉินซิงเยียนควรจะแบกรับความรับผิดชอบนี้หรือไม่


 


 


มีคนจำนวนมากในที่แห่งนั้นที่อยากจะล้อเลียนเฉินซิงเยียน ซึ่งรวมถึงเหล่านักข่าวจอมสูบเลือดสูบเนื้อพวกนั้นด้วย


 


 


เฉินซิงเยียนถูกผู้คนห้อมล้อมไว้ แม้ว่าเสี่ยวซีจะใช้พลังทั้งหมดที่มี หญิงสาวก็ไม่สามารถพาตัวเฉินซิงเยียนออกมาจากคนกลุ่มนั้นได้


 


 


ทว่าตอนนั้นเองที่อันจื่อเฮ่ากับลู่เช่อปรากฏตัวพร้อมกับทนายความและบอดีการ์ดอีกจำนวนหนึ่ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือบ่นเรื่องการรักษาความปลอดภัย “ขยะจริงๆ! พวกคุณปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาแล้วทิ้งปัญหาให้ไห่รุ่ยจัดการได้ยังไง”


 


 


ทุกคนมองไปยังลู่เช่อ อันจื่อเฮ่า และเหล่านักข่าวที่เปิดทางให้อันจื่อเฮ่าเข้าไปถึงตัวเฉินซิงเยียนอย่างรวดเร็ว


 


 


อย่างไรก็ตาม ลู่เช่อและอันจื่อเฮ่านั้นไม่ได้รีบร้อน พวกเขาพาทรายเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วพูดว่า “จากนี้ไป ถ้าคุณมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเฉินซิงเยียน รบกวนจ้างทนายมาคุยนะครับ


 


 


“เดิมทีไห่รุ่ยตั้งใจที่จะมอบเงินชดเชยให้คุณเนื่องด้วยศีลธรรมอันดีและด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่หลังจากที่คุณก่อเรื่อง ทางเราก็ตัดสินใจแล้วว่าจะยกเลิกการตัดสินใจดังกล่าว


 


 


“ดังนั้นผมจึงมีเพียงแค่ข่าวร้ายมามอบให้คุณครับ คุณจะไม่ได้รับเงินเลยแม้แต่แดงเดียว”


 


 



 


 


“ไห่รุ่ยมาถึงแล้ว!”


 


 


“โอ้พระเจ้า! คนของไห่รุ่ยอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย พวกเราไม่มีที่ให้ซ่อน หยุดดูแล้วแยกย้ายกันเถอะ”


 


 


ใครบางคนพยายามหลบหนีในระหว่างที่สถานการณ์กำลังยุ่งเหยิง ทว่าลู่เช่อไม่ให้โอกาสพวกเขาได้จากไป


 


 


“ใครเป็นคนปล่อยข้อมูลเรื่องที่อยู่ของคุณหนูสองครับ ไห่รุ่ยจะหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด คุณหนูสองของเราไม่เคยปฏิบัติตนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ยก็จริง แต่อย่ากล้าคิดที่จะลืมว่าท่านประธานโม่ไม่ชอบเวลาที่มีคนมารังแกสมาชิกครอบครัวของท่านนะครับ!


 


 


“ไห่รุ่ยจะปล่อยแถลงการณ์เรื่องปัญหาของเฉินเทียนเหาในเร็วๆ นี้ ส่วนคุณหนูสองของเรานั้นไม่ใช่กงการอะไรของพวกคุณครับ…


 


 


“หากใครต้องการก่อปัญหาให้กับคุณหนูสองของพวกเรา ท่านประธานโม่จะตอบโต้ด้วยการให้ทนายความของท่านส่งจดหมายไปหา ทนายของพวกเราไม่เคยแพ้ศึกในศาลและพร้อมสำหรับความท้าทายเสมอ”


 


 


เมื่อพูดจบ สมาชิกครอบครัวคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาตอนที่ลู่เช่อและอันจื่อเฮ่ากำลังจะนำทางเฉินซิงเยียนออกไป “พวกคุณกำลังปกป้องอาชญากรนะ”


 


 


“คุณผู้หญิงครับ ขอผมพูดให้ชัดเจนหน่อยนะ อาชญากรคนนั้นกำลังถูกจับกุมตัว และเพราะเห็นแก่ความยุติธรรม ไห่รุ่ยยังบอกให้สหายในวงการกฎหมายไม่ต้องแก้ต่างให้เฉินเทียนเหาเพราะทางเราเชื่อว่าเขาสมควรถูกลงโทษ นั่นมันยังไม่เพียงพออีกหรือครับ


 


 


“ขอผมอธิบายแบบนี้นะครับ คุณหนูสองของพวกเราไม่มีพ่อมาตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าคุณเป็นเธอและตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอ คุณจะแบกรับความรับผิดชอบแทนพ่อของคุณไหมครับ ถ้าคุณทำไม่ได้ งั้นก็อย่าตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานที่แตกต่างออกไป มันมีแต่จะทำให้คุณดูเสแสร้งเท่านั้น


 


 


“ดังนั้น คุณผู้หญิงครับ คุณคิดว่าพวกเรากำลังปกป้องอาชญากรนั่นในแง่มุมไหนหรือครับ”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรจะพูด ทว่าเธอก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


 


 


เธอเพียงแต่จ้องทั้งสามอย่างทำอะไรไม่ถูกในขณะที่พวกเขาเดินจากไป


 


 


สำหรับเฉินซิงเยียนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการยอมรับในฐานะคุณหนูสองแห่งตระกูลโม่และในฐานะน้องสาวของโม่ถิงต่อหน้าสาธารณชน วิธีการของโม่ถิงนั้นทรงพลังและมีประสิทธิภาพเสมอ ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงได้ตระหนักว่ามันมีเหตุผลที่ทุกคนเชื่อถือโม่ถิงอย่างแน่นอน


 


 


“คุณหนูสองครับ จากนี้ไปนี่คือคำที่พวกเราจะใช้เรียกคุณ อย่าได้ดูถูกตัวเองอีกเลยนะครับ หากคุณหนูสองพบเจอใครแบบผู้หญิงคนเมื่อกี้อีก ปฏิบัติกับพวกเขาอย่างโหดเ**้ยมได้เลยครับ เฉพาะในกรณีที่พวกเขายอมรับความพ่ายแพ้เมื่อได้ยืนหยัดได้จนถึงที่สุดเท่านั้น เพราะนั่นจะหมายความว่าเราไม่สามารถใช้เหตุผลกับพวกเขาได้ครับ”

 

 

 


ตอนที่ 783 ใครจะไม่พอใจก็ต้องขอโทษที...

 

เมื่ออำนาจอันแข็งแกร่งอย่างไห่รุ่ยกำลังปกป้องเธอ เฉินซิงเยียนจึงค่อยๆ มีความมั่นใจขึ้นมา ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเฉินเทียนเหาคือคนที่ทำผิด ไม่ใช่เธอ ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องรู้สึกผิด


 


 


หลังจากที่ไห่รุ่ยปกป้องเฉินซินเหยียนต่อหน้าทุกคน การซุบซิบนินทาภายในวงการก็ลดลง แม้บางคนจะอยากสู่รู้ พวกเขาก็ไม่กล้าถกเถียงประเด็นนี้ในที่สาธารณะอีกแล้ว


 


 


เฉินซิงเยียนเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เหมาะสมกับตัวตนใหม่ของเธอ หญิงสาวเรียนรู้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพราะเธอตระหนักแล้วว่าการมีพื้นหลังที่ดีนั้นช่วยให้เธอปกป้องผู้คนรอบๆ ตัวเธอได้


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ไห่รุ่ยก็ปล่อยคำแถลงการณ์เพื่อชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด พวกเขาอธิบายว่าพ่อของเฉินซิงเยียนหายตัวไปตั้งแต่อายุได้หกขวบ แต่เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง พ่อของเธอกลับขอเงินจากเธอ ไม่สิ พูดให้ถูกคือเขากลับมาหลอกเอาเงินจากเธอต่างหาก!


 


 


เฉินเทียนเหานั้นมีลูกชายที่ป่วยอย่างสาหัสอยู่จริงๆ ดังนั้นหลังจากที่อันจื่อเฮ่าและไห่รุ่ยช่วยกันเปิดเผยหลักฐานทั้งหมดแล้ว ผู้คนจึงเริ่มรู้สึกเห็นใจเฉินซิงเยียน


 


 


ขณะเดียวกัน ผู้คนในวงการก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพตัวเองที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอ หากไม่ใช่เพราะไห่รุ่ย ชีวิตเฉินซิงเยียนคงถูกทำลายเพราะพ่อตัวแสบของเธอไปแล้ว การเป็นศิลปินนั้นไม่ได้สวยหรูอย่างที่โลกภายนอกเห็น มีหลายกรณีที่ครอบครัวของตัวศิลปินเองได้กลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจบนทางเดินสู่ดวงดาวของพวกเขา


 


 


ดังนั้นเพื่อนหลายๆ คนของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงการสนับสนุนเธอ “ว่ากันตามตรงแล้ว ถ้าจะโทษใครเรื่องนี้ละก็ คนคนนั้นต้องไม่ใช่เฉินซิงเยียนล่ะนะ”


 


 


“การมีฆาตกรเป็นพ่อมันไม่ใช่เรื่องสวยหรูอย่างแน่นอน แต่การมีนายใหญ่เป็นพี่ชายคนโตนั้นต้องทำให้ชีวิตของเธอสมบูรณ์ขึ้นมากแน่”


 


 


“ด้วยการปกป้องจากไห่รุ่ย เฉินซิงเยียนจะต้องข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้อย่างแน่นอน ฉันคิดว่าตอนนี้ทุกคนควรจะเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วนะ”


 


 


ในตอนท้าย ไห่รุ่ยก็จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่สมาชิกครอบครัวของเหยื่อ ทว่านั่นไม่ได้รวมถึงสมาชิกครอบครัวที่บังคับให้เฉินซิงเยียนคุกเข่าและเรียกร้องเงินจากเธอ


 


 


ไห่รุ่ยอยากจะเตือนไม่ให้ทุกคนเล่นแง่ต่อหน้าราชาแห่งวงการบันเทิง เพราะโม่ถิงไม่ได้จ้างทนายความของเขาไว้เปล่าๆ


 


 


ที่สำคัญที่สุดของจุดยืนของโม่ถิง


 


 


นักข่าวคนหนึ่งหยุดโม่ถิงระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่แล้วขอให้เขาแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ชายหนุ่มตอบกลับไปเพียงแค่ว่า “ผมคิดว่ามุมมองของผมชัดเจนด้วยการกระทำของไห่รุ่ยครับ แม้นามสกุลของเฉินซิงเยียนจะเป็นเฉิน เธอก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลโม่ ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะจดจำเรื่องนี้เอาไว้และไม่มีวันลืมมันไป”


 


 


ทันทีที่โม่ถิงพูด คำพูดของเขานั้นมีความหมายมากกว่าคำพูดเป็นพันๆ คำที่ร้อยเรียงกันมา


 


 


ถึงใครจะไม่พอใจกับคำพูดนี้ ก็ต้องขอโทษที พวกเขาต้องทนเอา


 


 


พี่ชายที่เป็นเช่นนี้นั้นเท่และทรงอำนาจ คำพูดของเขาทำให้หนทางของเฉินซิงเยียนราบรื่นขึ้นมากมายนัก


 


 



 


 


“ปีนี้มีพิธีมอบรางวัลอยู่หลายงานและก็มีออแกไนเซอร์หลายเจ้าที่ส่งคำเชิญมาให้เธอ มีงานไหนที่เธออยากไปร่วมเป็นพิเศษไหม” อันจื่อเฮ่าและเฉินซิงเยียนเพิ่งย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆ กับไฮแอทรีเจนซี่ แม้จะเทียบกับละแวกสำหรับคนรวยและมีอำนาจไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ในเครือไฮแอท ดังนั้นมันจึงปลอดภัยกว่าละแวกอื่นๆ


 


 


“ฉันอยากเจอเฉินเทียนเหา” เฉินซิงเยียนพลันพูดแกมขอร้องกับอันจื่อเฮ่า


 


 


อันจื่อเฮ่าเข้าใจว่ายังมีเรื่องที่รบกวนใจเฉินซิงเยียนอยู่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เฉินเทียนเหาไปอยู่ที่ไหนและทำไมเขาถึงจากไป นี่คงเป็นคำถามบางส่วนที่เธอต้องการคำตอบ


 


 


ดังนั้นหลังจากเงียบกันอยู่ชั่วครู่ อันจื่อเฮ่าก็พยักหน้า “ฉันจะเตรียมการให้เอง”


 


 


“ขอบคุณนะจื่อเฮ่า”


 


 


แม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความช่วยเหลือจากไห่รุ่ย เฉินซิงเยียนก็จัดการปลีกตัวออกจากปัญหาที่เฉินเทียนเหาก่อเอาไว้ ดังนั้นสื่อมวลชนจึงไม่กล้าดึงเธอเข้าไปผสมโรงด้วยอีกและเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่นแทน แต่แน่นอนว่าเรื่องราวของเฉินเทียนเหานั้นยังคงดึงดูดความสนใจคนในปักกิ่งได้อย่างมากมายเช่นเดิม


 


 


เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่และเฉินเทียนเหาก็ไม่มีทางหนีโทษประหารไปได้


 


 


ในคืนที่เฉินซิงเยียนจะเข้าไปที่เรือนจำ หญิงสาวมีงานอีเวนต์ที่ต้องไปเข้าร่วมด้วย เดิมทีหญิงสาวรู้สึกแย่และโกรธเกรี้ยว แต่หลังจากได้พบกับเฉินเทียนเหา ความรู้สึกทั้งหมดนั้นก็หายไป


 


 


ขณะที่อยู่ห่างกันเพียงแค่กระจกกั้น เฉินซิงเยียนนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทว่าเฉินเทียนเหาตัวสั่นพลางอ้อนวอน “ซิงเหยียน ช่วยพ่อด้วย”


 


 


ในตอนนั้น เฉินซิงเยียนรู้สึกว่าไม่ว่าชายคนนี้จะมีความลับอะไร ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว


 


 


“พี่ชายฉันช่วยชดเชยให้กับคนที่คุณทำร้ายแล้ว ส่วนลูกชายที่กำลังป่วยหนักของคุณก็กำลังได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์อยู่เช่นกัน แต่เขาจะถูกส่งตัวไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลังจากที่รักษาตัวเสร็จ ส่วนคุณน่ะ ก็สมควรจะตายอยู่แล้วนี่ ว่าไหม”


 


 


“ฉันเป็นพ่อเธอนะ ใจจืดใจดำกันแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


“รอความตายของคุณไปเถอะค่ะ เฉินเทียนเหา ทีแรกฉันอยากจะถามว่าทำไมคุณถึงทิ้งแม่กับฉัน แต่หลังจากได้เห็นหน้าคุณแล้ว ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่คุณทิ้งพวกเราไป เพราะนั่นคือการปล่อยให้พวกเราได้เป็นอิสระยังไงล่ะ”


 


 


“ซิงเหยียน ฟังพ่อนะ อย่าไป…”


 


 


ทว่าเฉินซิงเยียนกลับรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูดกับชายคนนี้อีก


 


 


ดังนั้นหญิงสาวจึงกระแทกโทรศัพท์ลงกับแท่นวาง


 


 


ผู้คนพูดกันอยู่บ่อยๆ ว่าครอบครัวนั้นควรจะให้อภัยกันได้เสมอ เพราะหลังจากที่พวกเขาตายไป พวกเขาก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว


 


 


ทว่าเฉินซิงเยียนก็ยังเลือกที่จะไม่ให้อภัยเขา


 


 


เฉินเทียนเหามองเฉินซิงเยียนด้วยความสิ้นหวัง เธอคือความหวังเดียวของเขา เขาคิดว่าเธอจะไม่สามารถทนดูเขาถูกตัดสินโทษประหารด้วยการยิงเป้าได้ แต่ว่า…


 


 


…เฉินซิงเยียนนั้นลุกขึ้นแล้วเดินจากไปจริงๆ …


 


 


“ลูกสาวพ่อ…ซิงเหยียน…ลูกทิ้งพ่อไปแบบนี้ไม่ได้นะ


 


 


ซิงเหยียน…


 


 


พ่อผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ พ่อไม่ควรเล่นยาและดื่มเหล้าเลย ซิงเหยียน ช่วยพ่อด้วย”


 


 



 


 


ระหว่างทางกลับบ้าน อันจื่อเฮ่ากุมมือเฉินซิงเยียนเอาไว้ด้วยความกลัวว่าเธอจะหนาว “ยังอารมณ์เสียอยู่เหรอ”


 


 


“การคิดถึงเรื่องที่เขากำลังจะตายมันน่าอารมณ์เสียอยู่แล้วล่ะ แต่…เขาก็สมควรได้รับมัน” เฉินซิงเยียนตอบด้วยความจริงจัง จากนั้นหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกและดึงสติกลับมา “อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว ฉันต้องกลับไปเป็นปกติ ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างนี้มาทำร้ายแม่กับฉันอีก”


 


 


“ตอนนี้เธอคือเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักของไห่รุ่ยแล้วนะ” อันจื่อเฮ่าผลักหัวของเฉินซิงเยียนเบาๆ “เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ ได้แล้ว จดจ่อกับเรื่องการแสดงให้ดีแล้วเดินตามทางของเธอเถอะ”


 


 


เฉินซิงเยียนกลับบ้านมาพร้อมรางวัลเล็กๆ ของปีนั้นด้วยความประหลาดใจ แม้มันจะไม่ใช่รางวัลใหญ่โต แต่มีนักแสดงคนไหนบ้างล่ะที่ไม่ได้เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไป


 


 


แน่นอนว่าถังหนิงนั้นเป็นข้อยกเว้น


 


 


เมื่อเห็นเฉินซิงเยียนมีความสุข อันจื่อเฮ่าเองก็เริ่มรู้สึกมีความสุขเช่นกัน เธอมีความสุขแม้เธอจะไม่เคยคิดถึงรางวัลใหญ่ๆ เลยก็ตาม


 


 


“ในอนาคต ฉันจะชนะรางวัลให้ได้เยอะๆ เลย”


 


 


“ไหนๆ ก็คุยเรื่องนี้กันแล้ว พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนได้เริ่มเปิดโหวตรางวัลสาขา ‘ละครเรื่องโปรดของผู้ชม’ แล้วนะ ถ้ามีเวลา เธอควรรวบรวมแฟนคลับของตัวเองแล้วบอกให้พวกเขาโหวตให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ของถังหนิงด้วย”


 


 


“พี่หนิงไม่จำเป็นต้องใช้แฟนคลับของฉันหรอกค่ะ” เฉินซิงเยียนนั้นช่างสังเกต แม้จะยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าใครจะได้รางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม แต่ถังหนิงไม่มีทางปล่อยรางวัลสาขา ‘ยอดนิยม’ ไปแน่


 


 


แม้มันจะไม่ได้สำคัญต่อใจของเธอเท่าไหร่ก็ตามที


 


 


‘ผู้รอดชีพ’ กำลังจะเริ่มถ่ายทำและถังหนิงก็จดจ่ออยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทว่าช่วงนี้กั่วกั่วกลับเริ่มป่วยบ่อยขึ้น…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม