ชายาเคียงหทัย 77.1-78.3

ตอนที่ 77-1 ชายขอบหนานเจียง

 

     หนานเจียงเป็นดินแดนของชนต่างเผ่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ล้วนแตกต่างจากจงหยวนอยู่มาก ภายในเขตแดนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์ที่มีพิษ รวมถึงนกและสัตว์ป่าที่ดุร้าย ชาวบ้านทุกคนล้วนเก่งกาจด้านการต่อสู้และมีความโหดเ**้ยม คนจงหยวนโดยมากต่างนึกกลัวผู้คนในดินแดนนี้


 


 


เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ดินแดนจงหยวนกับพื้นที่หนานเจียงเคยเป็นส่วนเดียวกันมาก่อน เดิมมีชื่อว่า ขุยโจว แต่ช่วงปลายราชวงศ์ก่อน ท่านอ๋องแห่งหนานจ้าวประกาศสถาปนาตั้งดินแดนของตนขึ้นเป็นแคว้นหนานจ้าว ต่อมาภายหลัง องค์ปฐมฮ่องเต้สถาปนาแคว้นต้าฉู่ ระหว่างนั้นต้องคอยสู้รบกับดินแดนทั้งทางเหนือและทางใต้ กว่าองค์ปฐมฮ่องเต้จะจัดการดินแดนเหล่านั้นจนเริ่มสงบ แคว้นหนานจ้าวก็สถาปนาแคว้นขึ้นมาได้กว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งสถานการณ์ภายในมั่นคงและอยู่ตัว ส่วนดินแดนจงหยวน หลังจากผ่านการกรำศึกมาหลายสิบปีจึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นแคว้น พื้นที่หนานเจียงจึงไม่รวมอยู่ในแผนที่ของต้าฉู่นับแต่นั้นมา


 


 


           ด่านซุ่ยเสวี่ยตั้งอยู่ระหว่างหนานเจียงกับเมืองหย่งโจวของต้าฉู่ ถึงแม้ทั้งสองแคว้นจะเดี๋ยวรบเดี๋ยวสงบ แต่ชาวบ้านบริเวณชายขอบแคว้นนั้นยังคงไปมาหาสู่ทำการค้ากันอยู่ไม่ขาด ในเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินที่อยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปสามสิบลี้นั้น มักพบคนจากหนานเจียงที่การแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไปเข้าออกอยู่เป็นประจำ


 


 


เมืองหย่งหลินมิใช่เมืองใหญ่ ซ้ำตั้งอยู่ใกล้ชายแดน และอยู่ห่างจากเมืองหย่งโจวที่เป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของเขตหย่งโจวเพียงสองร้อยลี้ ทำให้เมืองนี้ดูไม่เจริญรุ่งเรืองมากนัก นอกจากผู้คนที่มากหน้าหลายตาและการแต่งเนื้อแต่งตัวที่หลากหลายแล้ว เมืองนี้ก็เป็นเช่นเมืองเล็กๆ อื่นๆ ทั่วไป


 


 


 เยี่ยหลียืนอยู่บนถนนที่ไม่กว้างนัก มองใบหน้าที่เยือกเย็นของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ในยุคสมัยเช่นนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ใกล้ชายแดนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก หรือควรจะพูดว่า ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตของผู้คนนั้น ช่างเกินความนึกคิดของผู้คนไปมากนักดี


 


 


           องครักษ์ลับสามยืนกอดดาบอยู่ข้างๆ เยี่ยหลี มองเจ้านายของตนที่เอาแต่ยืนยิ้มแปลกๆ อยู่หน้าโรงเตี๊ยม “คุณชาย ในเมืองหย่งหลินนี้ดูจะมีโรงเตี๊ยมอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่นี่ดูจะดีที่สุดแล้วขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีปรายตามองเขา ก่อนส่ายหน้ายิ้มๆ “เข้าไปกันเถิด ข้าไม่ได้นึกรังเกียจว่าโรงเตี๊ยมนี้ไม่ดีหรอก” พูดจบก็เดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ดูธรรมดาและออกจากซอมซ่อนั้น องครักษ์ลับสามเลิกคิ้วเข้มของตนขึ้น เขาเองก็คิดว่าพระชายาไม่น่านึกรังเกียจสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นนี้ เพราะตลอดทางที่เดินทางนี้มีบางครั้งที่พวกตนเดินทางเข้าเมืองไม่ทัน จนต้องนอนกลางป่ากลางเขากันมาแล้ว อีกทั้ง ยามยังอยู่ในเมืองหลวง ช่วงที่ฝึกซ้อมอยู่ตีนเขาของยอดเขาเฮยอวิ๋นนั้น มีบางแห่งที่องครักษ์อย่างพวกตนยังไม่นึกอยากย่างกรายเข้าไป แต่พระชายากลับเดินเข้าไปอย่างหน้าตาเฉย


 


 


           ภายในโรงเตี๊ยม หากเทียบกับโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงของต้าฉู่หรือในเมืองกว่างหลิงที่ตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหราแล้ว โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้เทียบกับโรงเตี๊ยมชั้นสามไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่นี่ก็เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหย่งหลินแล้วจริงๆ


 


 


ในโถงใหญ่มีโต๊ะวางอยู่เพียงเจ็ดแปดตัว และในตอนนั้นมีคนนั่งอยู่เพียงสามโต๊ะ หลงจู๊อายุมากคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าคิดบัญชีอยู่หลังโต๊ะสูง ถึงแม้เยี่ยหลีจะอยู่ในชุดที่ดูธรรมดาๆ แต่ด้วยอายุ รูปลักษณ์และท่วงท่าของนาง บวกกับด้านหลังนางยังมีองครักษ์ลับสามที่ท่าทางดูขึงขังผึ่งผายทั้งยังกอดของรูปทรงคล้ายดาบยาวไว้กับตัว ทำให้เพียงก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันมามองได้ทันที ด้วย ณ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับทั้งการท่องเที่ยวและการค้า ดังนั้นสีหน้าของทุกคนในโรงเตี๊ยมจึงดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าที่ควร 


 


 


เยี่ยหลีเดินไปหน้าโต๊ะสูงก่อนเคาะลงเบาๆ สองที หลงจู๊ผู้เฒ่าสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนอยู่เป็นนาน ก่อนถามขึ้นว่า “คุณชายน้อยต้องการห้องพักหรือขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีแย้มยิ้ม “หากไม่ต้องการที่พักแล้วจะให้พวกข้ามานั่งดื่มชาหรือ”


 


 


           หลงจู๊ผู้เฒ่าหัวเราะตาม ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณชายแซ่อะไร ต้องการห้องพักกี่ห้องขอรับ”


 


 


           “ฉู่ ห้องพักอย่างดีสองห้อง”


 


 


           หลงจู๊ผู้เฒ่าเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาพาทั้งสองขึ้นไปยังห้องพักด้านบน เมื่อไล่เสี่ยวเอ้อร์ไปแล้ว องครักษ์ลับสามจัดการสำรวจห้องพักอย่างคล่องแคล่ว ห้องพักในโรงเตี๊ยมเล็กๆ เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นห้องพักชั้นดี แต่ก็มิได้กว้างขวางสวยงามสักเท่าไร มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ และบานพับบังตาที่กั้นระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้ด้านนอกเท่านั้น


 


 


องครักษ์ลับสามยืนอยู่ข้างประตู มองดูเยี่ยหลีจัดการวางข้าวของของตนเองออกด้วยความว่องไว ก่อนขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “คุณชาย พวกเราจะไปหนานเจียงกันเมื่อใดหรือขอรับ”


 


 


เยี่ยหลีจัดการสัมภาระของตนเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินออกมาจากหลังบานพับพร้อมชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งให้องครักษ์ลับสามนั่งลง “เรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ข้าคิดว่า…เราจำเป็นต้องมีผู้นำทาง”


 


 


           การเข้าไปยังหนานเจียงเป็นครั้งแรกนั้น หากหลับหูหลับตาเข้าไปโดยทำการบ้านมาไม่ดีพอนั้นคงถือเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง และเยี่ยหลีก็มิใช่คนที่ชอบเสี่ยงหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ


 


 


           “ผู้นำทางหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามถามด้วยความไม่เข้าใจ


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “สำหรับพวกเราที่เป็นคนจงหยวนแล้ว หนานเจียงนั้นลึกลับเกินไป พวกเราไม่คุ้นเคยกับทั้งผู้คนและพื้นที่ คงเดินทางไม่ง่ายนัก การหาใครสักคนที่เป็นคนท้องถิ่นของหนานเจียง หรือคนต้าฉู่ที่คุ้นเคยกับหนานเจียงเป็นอย่างดีสักคนให้คอยช่วยนำทาง ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก”


 


 


           องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “แต่ว่า…หากพาคนอื่นไปด้วยอาจกลายเป็นตัวถ่วงพวกเราได้นะขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีเคาะพัดในมือลงกับโต๊ะเรื่อยๆ “ดังนั้นพวกเราจึงต้องรอก่อน ข้าให้คนไปหาคนนำทางมาให้แล้ว น่าเสียดายที่คนผู้นั้นดูจะมาช้าถึงกว่าพวกเราสองวัน” เมื่อเห็นสายตาสงสัยขององครักษ์ลับสาม เยี่ยหลีจึงเพียงหัวเราะออกมาแต่มิได้พูดอันใด ก่อนทำท่าบอกให้องครักษ์ลับสามกลับห้องไปพักได้


 


 


องครักษ์ลับสามรู้จักนิสัยเจ้านายของตนเป็นอย่างดี หากนางไม่คิดที่จะบอกเป็นตายอย่างไรก็อย่าหวังจะได้คำตอบออกจากปากนาง จึงทำได้เพียงเดินหน้ามู่ทู่กลับห้องพักของตนไป


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มมององครักษ์ลับสามเดินออกไป ก่อนหยิบม้วนกระดาษที่เทียนอี้เก๋อส่งมาให้ออกจากสัมภาระมาอ่านต่อ เมื่อได้สิ่งตอบแทนที่ดีไป การทำงานของหานหมิงซีก็ไว้ใจได้เป็นอย่างมาก ตลอดการเดินทางลงใต้นี้ ทุกๆ สามถึงสี่วัน นางจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหนานเจียงปึกใหญ่ที่เทียนอี้เก๋อส่งมา เมื่อเยี่ยหลีได้รับข้อมูลมา สิ่งแรกที่ทำคือนางจะอ่านข้อมูลเหล่านั้นจนจบและจำไว้ในหัว จากนั้นก็รีบเผาทำลายมันทันทีจนกลายเป็นความเคยชิน


 


 


ข้อมูลในมือนางตอนนี้น่าจะเป็นข้อมูลส่วนสุดท้ายก่อนที่นางจะเข้าไปยังหนานเจียง ตลอดการเดินทางนี้ สภาพภูมิประเทศและสถานการณ์ภายในของหนานเจียงค่อยๆ ซึมเข้าไปในหัวของนาง แต่จะเป็นจริงอยู่สักกี่ส่วนนั้น คงต้องรอให้เข้าไปในหนานเจียงก่อนถึงจะรู้สภาพที่แท้จริงได้


 


 


หลังจากอ่านข้อความบนม้วนกระดาษหนาๆ นั้นจบอย่างรวดเร็วแล้ว เยี่ยหลีก็เผาม้วนกระดาษที่เขียนตัวหนังสือไว้เต็มไปหมดทิ้งจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน


 


 


           เช้าตรู่ เยี่ยหลีตื่นแต่เช้าและลงมาข้างล่างตามปกติ ที่ห้องโถงด้านล่างมีคนนั่งอยู่แล้วสองโต๊ะ หนึ่งในนั้นคือองครักษ์ลับสามที่นั่งอยู่โต๊ะติดกับกำแพง เมื่อองครักษ์ลับสามเห็นเยี่ยหลีเดินลงมาก็รีบลุกยืนขึ้น “คุณชาย”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มๆ “ตื่นแต่เช้าเพียงนี้เชียวหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามนิ่งไม่ได้ตอบอันใด ตามปกติพวกเขามีกันหลายคนย่อมไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเช่นนี้ แต่ตอนนี้มีเขาติดตามมาเพียงคนเดียว ถึงแม้จะรู้ดีว่าคุณชายมิใช่ที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ แต่ก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี


 


 


เหตุใดเยี่ยหลีจึงจะมิรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตื่นตัวถึงเพียงนี้หรอก หากเจ้าทำเช่นนี้ไปตลอด เกรงว่าเจ้าคงเหนื่อยตายเสียก่อนตั้งแต่เรายังไม่ทันเข้าถึงหนานเจียง ที่ให้เจ้าติดตามข้ามานี้เจ้ารู้สึกกดดันมากหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามส่ายหน้า “มิได้ขอรับ ข้าน้อยขอบคุณที่คุณชายไว้ใจ” เพียงแต่เขากับเพื่อนอีกสามสี่คนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เขาอายุน้อยกว่าองครักษ์ลับสี่เพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่สุขุมเยือกเย็นเท่า ดังนั้นปกติแล้วเขาจึงคุ้นเคยกับการเชื่อฟังความคิดเห็นขององครักษ์หนึ่งและสอง มาตอนนี้เหลือเขาอยู่เพียงคนเดียวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่คุ้นชิน


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ก่อนนั่งลงเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหารเช้า


 


 


           “คุณชายทั้งสอง พวกท่านก็คิดที่จะไปหนานเจียงเช่นกันหรือ” เยี่ยหลีกำลังบอกให้องครักษ์ลับสามกินอาหารเช้า ก็มีชายคนหนึ่งจากโต๊ะตรงข้ามลุกเดินเข้ามาถาม


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็วางตะเกียบในมือลงก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายที่เดินเข้า เขาร่างกายสูงใหญ่กำยำ หน้าตาธรรมดาๆ ถึงแม้จะพยายามแสดงความเป็นมิตรออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยากที่จะปิดบังแววชั่วร้ายในใบหน้าของเขาไว้


 


 


องครักษ์ลับสามยื่นมือไปกุมดาบบนโต๊ะ เยี่ยหลียกมือขึ้นกดตัวดาบไว้ ก่อนตบลงบนตัวดาบเบาๆ องครักษ์ลับสามขมวดคิ้วเหลือบมองชายผู้นั้นทีหนึ่ง ก่อนชักมือกลับแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป


 


 


           ปฏิกิริยาของทั้งสองนั้นชายที่เดินเข้ามาเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่มิได้สนใจอันใด เพียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “น้องชายผู้นี้ไม่ต้องตื่นตกใจไป พวกเราสามสี่คนเองก็จะไปหนานเจียงเช่นกันจึงอยากถามคุณชายว่าต้องการร่วมเดินทางไปด้วยกันหรือไม่” ชายผู้นั้นยิ้มพร้อมชี้นิ้วไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่มีคนนั่งอยู่สามคน


 


 


เยี่ยหลีเหลือบตามองตามไป เห็นชายชราลักษณะเหมือนพ่อค้าอายุประมาณห้าหกสิบปี อยู่ในชุดหรูหราราคาแพง ทั้งยังมีแหวนหยกอยู่บนนิ้ว ในมือยังถือลูกคิดทองไว้อีกด้วย ขาดก็แค่เพียงมิได้เขียนบอกว่าข้ามีเงินมากรีบมาปล้นข้าสิเท่านั้น ข้างๆ มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อบ้าน กับหนุ่มบัณฑิตท่าทางขี้โรคอีกหนึ่งคน การมาด้วยกันเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่สะดุดตามากจริงๆ


 


 


คราแรกเยี่ยหลียังนึกกังวลว่าตนเองกับองครักษ์ลับสามจะเป็นที่สะดุดตาเกินไปหรือไม่ แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนสามสี่คนนี้จึงได้พบว่าตนเองดูด้อยไปเลยทีเดียว จะว่าไปก็จริงอยู่ คนที่กล้าเข้ามาในเขตหนานเจียงนั้น คงมีเพียงไม่กี่คนที่เป็นพวกไม่เอาไหน


 


 


           เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ก่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เกรงว่าพวกเราจะทำให้พวกท่านลำบากเปล่าๆ”


 


 


           ชายผู้นั้นยิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าดูว่าน้องชาผู้นี้ท่าทางจะฝีมือไม่เลว หนานเจียงนั้นข้าเคยไปมาแล้วหลายครั้ง เป็นเส้นทางที่อันตรายน่าดู พวกเราไปกันหลายคนหน่อย จะได้มีคนคอยช่วยดูแลกันมิใช่หรือ” ชายผู้นั้นหันมององครักษ์สาม ก่อนหันกลับไปมองเยี่ยหลีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าคนที่ตัดสินใจได้คือเยี่ยหลี แต่เขากลับมองไม่ออกว่าหนุ่มน้อยตรงหน้านี้เป็นผู้ใดมาจากที่ใด ได้แต่นึกคาดเดาในใจว่าเขาคงเป็นคุณชายน้อยที่ไม่รู้เดียงสาของตระกูลใดสักตระกูลที่พาองครักษ์ออกมาเที่ยวเล่น


 


 


           “พวกเราวางแผนว่าจะไปยังเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าว เส้นทางคงไม่มีความอันตรายอันใด ไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นใครกันหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามพร้อมยิ้มตาหยีอย่างใสซื่อบริสุทธิ์


 


 


           ชายผู้นั้นตอบเสียงดังฟังชัดว่า “พวกเราก็จะไปเมืองหลวงแคว้นหนานจ้าวเช่นเดียวกัน เดิมทีเส้นทางไปยังเมืองหลวงแคว้นนานจ้าวนั้นก็สงบเรียบร้อยดีหรอก แต่ตั้งแต่ปีก่อนเป็นต้นมา สถานการณ์ก็เริ่มไม่น่าไว้ใจ นายท่านของพวกข้าจะไปทำการค้าเรื่องสมุนไพรยาที่หนานจ้าว หากคุณชายไม่รังเกียจ ไปพร้อมกันเลยดีหรือไม่” นายท่านพ่อค้าวาณิชที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามปรายตามองเยี่ยหลีด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ส่วนชายหนุ่มที่หน้าตาขี้โรคนั้นหันมายิ้มพร้อมผงกหัวให้ทั้งสอง


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนบอกปฏิเสธอ้อมๆ ว่า “ข้าเคยแต่ได้ยินว่าแคว้นหนานจ้าวนั้นมีทัศนียภาพที่งดงามเป็นพิเศษคิดอยากเดินทางไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย จึงได้หาผู้นำทางไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่เขามาถึงช้าไปสองวันจึงไม่อยากทำให้พวกท่านเสียเวลาเดินทาง”


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยหลีปฏิเสธเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ฝืนต่อ เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนคุณชายแล้ว หากมีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีกครั้งที่เมืองหลวงแคว้นหนานจ้าว”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมมองส่งชายผู้นั้นเดินกลับไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม แล้วจึงได้ยินเสียงบ่นงึมงำของพ่อค้าวาณิชผู้เป็นนายลอยดังมาว่าชายผู้นั้นยุ่งไม่เข้าเรื่อง พร้อมส่งสายตาดูแคลนมายังพวกตนทั้งสองคน เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ แล้วก้มหน้ากินอาหารเช้าต่อโดยมิได้สนใจ 

 

 


ตอนที่ 77-2 ชายขอบหนานเจียง

 

จนเมื่อแขกโต๊ะนั้นลุกออกจากร้านไปแล้ว องครักษ์ลับสามจึงได้เงยหน้าขึ้นพูดว่า “คุณชาย ระวังคนพวกนั้นด้วยนะขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นถาม “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าตาม “รู้จักบัณฑิตขี้โรคผู้นั้นขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีมององครักษ์ลับสามพลางนึกสงสัย เพราะดูเหมือนเขาจะไม่เคยไปจากเมืองหลวงเลย เหตุใดถึงรู้จักชายเช่นบัณฑิตขี้โรคผู้นั้นได้ “ดูท่า ฐานะของบัณฑิตขี้โรคนั้นคงไม่ธรรมดาใช่หรือไม่”


 


 


องครักษ์ลับสามพยักหน้า “สมญานามเดิมของเขาคือบัณฑิตขี้โรค มิมีผู้ใดรู้ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของเขา รวมถึงเทียนอี้เก๋อด้วย”


 


 


เยี่ยหลีก้มหน้านึกถึงใบหน้าขี้โรคของบัณฑิตที่ตนได้เห็นเมื่อครู่ ดูแล้วเขาไม่เหมือนยอดฝีมือและดูมิได้มีอันใดพิเศษ องครักษ์ลับสามมองฐานะเขาออกจากตรงใดกัน


 


 


องครักษ์ลับสามพูดว่า “เขาคือหัวหน้าหน่วยสามของเยี่ยนอ๋องเก๋อ*แห่งแคว้นซีหลินขอรับ หลายปีก่อนดูเหมือนมือสังหารจากเกือบทุกสำนักล้วนได้รับภารกิจให้มาลอบฆ่าท่านอ๋อง ซึ่งรวมถึงสำนักเยี่ยนอ๋องเก๋อด้วย องครักษ์ลับของพวกเราตายด้วยน้ำมือของเขาไปไม่น้อย เพียงแต่เขาเองก็ถูกท่านอ๋องเล่นงานจนชีพจรหัวใจเสียหาย จากเดิมที่เคยแกล้งป่วยจึงกลายเป็นป่วยไปจริงๆ เมื่อครู่คุณชายได้สังเกตเห็นมือซ้ายของเขาหรือไม่ บัณฑิตขี้โรคชำนาญด้านยาพิษ เล็บมือซ้ายของเขามีสีไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป คนอื่นอาจมองว่าเป็นเพราะเขาป่วยจึงได้เป็นเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ก่อนถูกท่านอ๋องเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ มือข้างนั้นที่เป็นเช่นนั้นด้วยเพราะเขาฝึกใช้พิษมาเป็นเวลานานหลายปี จึงมีพิษสะสมอยู่หลายชนิดมากขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงนึกย้อนไป จึงนึกได้ว่ามือข้างซ้ายที่บัณฑิตขี้โรคซ่อนไว้ในแขนเสื้อนั้น ตอนที่เขาลุกยืนขึ้นดูเหมือนจะโผล่พ้นแขนเสื้อออกมาให้เห็นเล็กน้อย และดูเหมือนจะเป็นสีแดงเข้มจริงๆ “ใช้มือตนเองไปฝึกเพื่อให้มือกลายเป็นพิษอย่างนั้นหรือ เขาไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองถูกยาพิษตายหรือไร” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ นางรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ร่างกายที่พิษไม่สามารถทำอันใดได้นั้น ไม่ว่าคิดจากมุมใดก็ล้วนไม่น่ามีอยู่จริง เท่าที่พอเป็นไปได้ก็เพียงคนที่ร่างกายมีปัจจัยใดก็ตามที่สามารถต้านพิษได้เท่านั้น หากคนที่มีพิษอยู่ทั่วร่างแต่ยังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขแล้วล่ะก็ เสิ่นหยางก็คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและพลังกายมากมายเช่นนั้นในการรักษาม่อซิวเหยาแล้ว


 


 


           เมื่อกินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว เยี่ยหลีจึงออกไปเดินเล่นรอบเมืองหย่งหลินเสียรอบหนึ่ง และถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในของหนานเจียงและด่านซุ่ยเสวี่ยไปด้วย ตกเย็นกลับมาก็เห็นกลุ่มคนสี่คนเดิมกำลังนั่งกินอาหารเย็นกันอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขายังไม่ได้ออกเดินทาง บัณฑิตขี้โรคยังคงพยักหน้าให้พวกเยี่ยหลีทั้งสองด้วยความเป็นมิตรเช่นเดิม เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบ แล้วเตรียมตัวขึ้นไปด้านบน


 


 


           “เอ๋ เมืองหย่งหลินมีคุณชายที่ทั้งขาวและอวบเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เยี่ยหลียังไม่ทันก้าวขึ้นบันไดก็มีน้ำเสียงชั่วร้ายดังลอยมาจากด้านหลัง เยี่ยหลีเอียงตัวไปมองเล็กน้อย ก็เห็นเป็นคนคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนคนหนานเจียง เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำรูปร่างผอมแห้งประหนึ่งถ่านกำลังจ้องมองมาที่ตน แววตาที่เต็มไปด้วยความอวดดีมีแววชั่วร้ายเจืออยู่ แม้แต่นัยน์ตาเล็กประหนึ่งลูกหนูก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เยี่ยหลีจึงอดขมวดคิ้วน้อยไม่ได้ ในบรรดาผู้ก่อการร้ายและคนค้ายาเสพติดที่นางเคยพบทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้วทั้งหมด นางยังไม่เคยพบใครที่หน้าตาท่าทางทดสอบขีดจำกัดความชื่นชมในความงามของมนุษย์เช่นนี้มาก่อนเลย


 


 


           องครักษ์ลับสามหันขวับไปอย่างรวดเร็ว มองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ มีแววสังหารในแววตาตักเตือนที่ส่งออกไป หากเจ้าคนอัปลักษณ์นั่นพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เขาจะทำให้เขากลายเป็นวิญญาณอยู่ปลายกระบี่เขาอย่างแน่นอน พระชายาแห่งตำหนักติ้งอ๋องใช่คนที่คนชั้นต่ำเช่นนี้จะพูดจาหยาบคายด้วยได้หรือ


 


 


           แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะถือเอาการเตือนขององครักษ์ลับสามเป็นการยั่วยุ จึงยิ่งดูได้ใจขึ้นไปอีก แววตาที่มืดครึ้มและชั่วร้ายนั้นจับจ้องเยี่ยหลีไม่วางตา และยังไม่ลืมพูดกลั้วหัวเราะกับองครักษ์ลับสามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “มองอะไร ข้าพูดไม่ถูกหรือ เจ้าเด็กนี่ประแป้งทาหน้าเต็มไปหมด ผู้ชายจงหยวนอย่างพวกเจ้าหน้าตาท่าทางอย่างกับผู้หญิง เจ้าเด็กนี่ดูเป็นสาวเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก”


 


 


หากมองให้ดีแล้ว การแต่งหน้าแต่งตัวของเยี่ยหลีนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว ถึงแม้นางจะดูหน้าหวานกว่าหญิงสาวโดยมากอยู่บ้าง แต่ด้วยอายุและลักษณะท่าทางของนางไม่มีทางที่ใครจะคิดว่านางเป็นผู้หญิง ดังนั้น องครักษ์ลับสามจึงไม่คิดเปลืองน้ำลายพูดกับชายที่หยาบช้าพรรค์นี้ เขาดึงกระบี่ออกมาทันที…


 


 


           กระบี่ถูกชักออกจากฝักเสียงดังชิ้ง ก่อนพุ่งตรงไปยังชายผู้นั้นด้วยความรวดเร็ว


 


 


           อีกฝ่ายดูจะคิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับสามจะลงมือโดยไม่พูดไม่จาไม่เอ่ยทักทายกันเลยเช่นนี้ ชายที่อัปลักษณ์ผู้นั้นตกใจที่เห็นว่าตนกำลังจะถูกแทงจนเป็นรู คนข้างๆ ที่มาด้วยกันกับเขารีบดึงเขาหลบไปอย่างรวดเร็ว ก่อนสะบัดมือปล่อยวัตถุขนาดเรียวยาวพุ่งออกไปหาองครักษ์ลับสามทันที องครักษ์ลับสามส่งเสียงเหอะเย็นๆ ก่อนสะบัดกระบี่ฉวัดเฉวียนจนกลายเป็นรูปดอกไม้ มีเสียงฉับๆ ดังขึ้นก่อนที่ของสิ่งนั้นจะขาดออกเป็นสามส่วนลงไปกองอยู่ที่พื้น ทุกคนมองตามไปเห็นเป็นงูพิษตัวหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์อะไร แต่ดูจากสีสันบนตัวที่สดประหนึ่งสีดอกไม้ก็บอกได้ทันทีว่าจะต้องเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงอย่างแน่นอน


 


 


           องครักษ์ลับสามเลิกคิ้วด้วยความดูแคลน ในเมื่อจะมายังหนานเจียง พวกเขาจะไม่ศึกษาลูกไม้ของคนหนานเจียงมาก่อนได้อย่างไร


 


 


           ชาวหนานเจียงสามสี่คนหน้าเปลี่ยนสีทันที มีเพียงชายหนุ่มชั่วช้าผู้นั้นที่ยังคงพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เจ้าบังอาจนัก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”


 


 


           องครักษ์ลับสามเบ้ปาก เอ่ยเสียงเย็นว่า “อยู่ในเขตต้าฉู่แล้วยังกล้าอวดดีเช่นนี้ คงมิใช่องค์ชายของหนานจ้าวหรอกกระมัง ข้าจำได้ว่าหนานจ้าวอ๋องมีบุตรสาวอยู่เพียงสองคนเท่านั้นมิใช่หรือ”


 


 


ชายผู้นั้นคิดอยากพูดอันใดอีก แต่กลับถูกกระบี่ในมือองครักษ์ลับสามที่ยื่นมาทำให้กลัวจนได้แต่กลืนกลับลงไปด้วยสีหน้าอัดอั้นเต็มที เขาซอยเท้าถอยไปด้านหลังจนไปอยู่กลางกลุ่มผู้ติดตามสามสี่คนที่ตนพามา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโอหังว่า “ฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้”


 


 


           ผู้ติดตามสามสี่คนดูมีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยงึมงำอันใดสักอย่างกับชายผู้นั้น เยี่ยหลียืนอยู่บนปากบันได ก้มหน้าลอบใช้หูฟัง ได้ยืนเหมือนเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยสักกลุ่มในพื้นที่เขตอวิ๋นกุ้ยที่นางเคยได้ยินเมื่อชาติที่แล้ว ด้วยเพราะเยี่ยหลีไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตอวิ๋นกุ้ยเป็นเวลานาน นางจึงพอเข้าใจภาษาของชนกลุ่มน้อยในบริเวณนี้


 


 


ดูเหมือนผู้ติตามจะพยายามเอ่ยทัดทานนายของตนว่าพวกเขาอยู่ในเขตแดนของต้าฉู่ ไม่เหมาะที่จะฆ่าคนในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ แต่ดูชายอัปลักษณ์ผู้นั้นจะไม่ยอมฟังคำทัดทาน ยืนยันที่จะฆ่าองครักษ์ลับสามและจับตัวเยี่ยหลีไปให้ได้ หลังจากการเจรจาไม่เป็นผล ชายหนุ่มหนานเจียงสามสี่คนจึงได้แต่หันมองหน้ากันก่อนเดินล้อมวงเข้ามาทางองครักษ์ลับสามและเยี่ยหลี


 


 


           เมื่อคนในโถงใหญ่เห็นว่าจะมีคนมีเรื่องกัน จึงรีบสลายตัวหายกันไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่โต๊ะของบัณฑิตขี้โรคก็เหลือเพียงเขากับชายวัยกลางคนอีกคนนั่งอยู่เท่านั้น หลงจู๊ผู้เฒ่าก็ตกใจจนก้มหลบอยู่หลังโต๊ะสูงไม่กล้าออกมาอีก


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “จับพวกมันโยนออกไป อย่าได้ทำลายข้าวของผู้อื่นเขา” องครักษ์ลับสามตอบรับด้วยความยินดี “ขอรับ คุณชาย!”


 


 


           “ผู้ใดกันที่กล้าหาญชาญชัย มาทำให้คุณชายจวินเหวยของพวกเราโกรธ”


 


 


           องครักษ์ลับสามกำลังจะเริ่มลงมือ ก็มีเสียงเรียบเรื่อยดังมาจากทางด้านบน เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีแดงพริ้วท่วงท่าเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนกำลังยืนพิงรั้วระเบียงทางเดินอยู่ ตัวมารเอ๊ย! เยี่ยหลีหันไปกวาดตามองชายอัปลักษณ์ที่ยืนตาค้างอ้าปากอยู่ ก่อนหันมองคุณชายเฟิงเย่ว์ที่ยืนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ตน “พี่หาน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


           หานหมิงซีตีลังกาข้ามรั้วกั้นลงมา ก่อนลอยมาตกลงบนขั้นบันได เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้หรือ…ตัวข้าเป็นพี่ คิดไปคิดมาอย่างไรก็ไม่สบายใจที่จะให้น้องจวินเหวยมาพื้นที่ที่อันตรายอย่างหนานเจียงเองคนเดียว จวินเหวยเองก็อยากได้ผู้นำทางพอดีมิใช่หรือ พี่อย่างข้าจึงขอรับอาสามาด้วยตนเอง”


 


 


เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขาอย่างอดไม่อยู่ “พี่หาน ท่านรู้ทางไปหนานเจียงหรือ”


 


 


           “ดูถูกกันจริง” หานหมิงซีมองเยี่ยหลีด้วยสายตาตัดพ้อ “ตัวพี่ไปกลับหนานจ้าวมาแล้วอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดรอบได้ ต่อให้หลับตาเดินยังได้ อีกอย่าง ตัวพี่ไปด้วยจะได้คุ้มครองจวินเหวยได้ เจ้าดูสิเจ้าพาคนติดตามมาด้วยคนเดียว นี่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากต้าฉู่ก็เจอพวกบ้ากามเข้าให้เสียแล้ว”


 


 


เยี่ยหลีกัดฟัน “พี่หาน ข้าเป็นชายนะ!”


 


 


หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนยกพัดขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก “จวินเหวยอายุยังน้อย ยังมิรู้เดียงสา ใครบอกกันว่าเป็นชายแล้วจะเจอพวกบ้ากามไม่ได้ เจ้าทึ่มตรงนั้น เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า”


 


 


           ชายหนุ่มที่ทั้งทึ่มและอัปลักษณ์ผู้นั้นยืนน้ำลายไหลและพยักหน้าอยู่เป็นนานแล้ว เยี่ยหลีเห็นแล้วคลื่นไส้จึงหันไปถลึงตาใส่หานหมิงซีเสียทีหนึ่ง นางคิดว่าอีตานี่ชอบเด็ดแต่ดอกไม้ ที่แท้ก็กินเรียบทั้งหญิงและชายนี่เอง


 


 


           “จวินเหวยอย่าเข้าใจผิดไปนะ ต่อให้ตัวพี่กินรวบทั้งชายและหญิง แต่ข้าก็ไม่ชื่นชอบของพรรค์นี้หรอก อย่างน้อยๆ ก็…ต้องเป็นคุณชายที่มีเสน่ห์และฉลาดอย่างจวินเหวยถึงจะใช้ได้” หานหมิงซียื่นหน้าเข้ามาขยิบตาใส่เยี่ยหลี พร้อมทำท่าจะยื่นมือมาหยิกแก้มนาง        


 


 


มีหรือที่เยี่ยหลีจะยอมให้เขาทำสำเร็จ นางสะบัดพัดในมือเก็บก่อนตีเข้าที่ฝ่ามือเขา หานหมิงซีทำหน้ายอมแพ้ไปชั่วคราว


 


 


           หานหมิงซีค่อยๆ เดินลงมาด้านล่าง ตารูปหงส์ปรายตามองพวกคนหนานเจียงกลุ่มนั้นด้วยความเกียจคร้าน “พวกเจ้าจะไปกันเองหรือต้องให้ข้าเชิญพวกเจ้าไป”


 


 


ชายหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นเดินแย้มยิ้มขึ้นหน้ามาพูดว่า “คุณชายท่านนี้ก็จะไปหนานเจียงเช่นกันหรือ ข้าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ เช่นนั้นให้ข้าเป็นผู้นำทางคุณชายดีหรือไม่” เขาเลียนแบบน้ำเสียงอ่อนนุ่มของคนจงหยวน แต่เมื่อรวมเข้ากับดวงตาเล็กๆ ที่ชั่วร้าย รูปร่างที่ผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกกับรอยยิ้มที่เขาคิดเอาเองว่าดูสบายตานั้น ถึงอย่างไรก็ทำให้รู้สึกขนลุกอยู่ดี


 


 


มุมปากเยี่ยหลีกระตุกพร้อมกับถอนหายใจให้กับความมีโชคเรื่องสาวๆ ของหานหมิงซีแล้วถือโอกาสดึงองครักษ์ลับสามให้มาอยู่ข้างตัว ในเมื่อมีคนต้องการออกหน้าแทนแล้ว เหตุใดพวกเขาจะต้องลงมือเองด้วยเล่า


 


 


           ดวงตากลีบดอกเถาของหานหมิงซีกระตุกเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไสหัวไปซะ!”


 


 


           เขาเป็นเสือผู้หญิงนั้นจริงอยู่ แต่ยังมิถึงกับไม่เลือกว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง และต่อให้เขากินเรียบทั้งผู้ชายและผู้หญิงเข้าจริง อย่างไรเขาก็ยังเลือกกินอยู่นา


 


 


           ชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่อ้างตนว่าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ดูจะรู้สึกว่าตนถูกทำร้ายเข้าให้ สีหน้าที่เดิมทีอ่อนโยนจนน่าใจหายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขึ้นมาทันที “ฆ่ามันสองคนให้ข้า แล้วจับตัวมันกลับไป!”


 


 


เยี่ยหลีอึ้งไป เมื่อครู่ยังบอกให้ฆ่าองครักษ์ลับสามแล้วจับตัวนางไปอยู่เลย มาตอนนี้เมื่อมารสวาทอย่างหานหมิงซีปรากฏตัวขึ้นก็เลยจะฆ่านางอีกคนแล้วจับตัวหานหมิงซีไปเสียอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องอันใดกันนี่


 


 


หานหมิงซียกยิ้มเย็นขึ้น “รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้! หรือพวกเจ้าอยากให้ท่านแม่ทัพมู่หรงมาส่งพวกเจ้ากลับไปด้วยตนเอง”


 


 


           พูดจบ สีหน้าของชายอัปลักษณ์ก็ดูสับสนขึ้นทันที ผู้ติดตามต่างพากันเอ่ยทักท้วง เขาจะส่งเสียงเหอะพร้อมผรุสวาทออกมาประโยคหนึ่งแล้วรีบเดินออกไป


 


 


 


 


 


 


* เยี่ยนอ๋องเก๋อ คือชื่อตำแหน่งของนักรบที่เกษียณอายุแล้ว แต่ต้องรับผิดชอบภารกิจพิเศษต่างๆ  

 

 


ตอนที่ 77-3 ชายขอบหนานเจียง

 

ภายในห้องโถงเงียบกริบลงทันที เมื่อเห็นว่าพวกเขามิได้ตีกันแล้ว หลงจู๊ผู้เฒ่าก็ค่อยยืนขึ้นหลังโต๊ะสูงด้วยความระมัดระวัง ก่อนหันไปกล่าวขออภัยกับแขกเพียงโต๊ะเดียวที่เหลืออยู่ เยี่ยหลีเดินขึ้นไปด้านบน พร้อมสั่งองครักษ์ลับสามว่าตอนคิดบัญชีให้เพิ่มเงินให้หลงจู๊ไว้เป็นค่าชดเชย


 


 


หานหมิงซีที่เดินตามมาทางด้านหลัง เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้จึงหัวเราะหึหึแล้วพูดขึ้นว่า “จวินเหวยนี่ช่างใจอ่อนเสียจริง หลงจู๊ผู้เฒ่านั่นเปิดโรงเตี๊ยมอยู่ในหย่งหลินมาหลายสิบปี ย่อมเคยเจอเหตุการณ์พวกนี้มาแล้วทั้งนั้น เจ้าคิดว่าเขาตกใจกลัวจริงๆ อย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ด้วยเพราะเรื่องของพวกเรา ทำให้ไล่แขกพวกนั้นไป ไม่เกี่ยวอะไรกับที่เขาตกใจกลัวจริงหรือไม่ อีกอย่าง…พี่หาน นี่มันห้องของข้า”


 


 


           หานหมิงซีหัวเราะ “จวินเหวยจะไม่เชิญข้าเข้าไปดื่มชาสักถ้วยหรือ”


 


 


           “อยากดื่มชาเหตุใดเมื่อครู่จึงมินั่งดื่มที่โถงใหญ่”


 


 


           หานหมิงซีเบ้ปากด้วยความรังเกียจ “ดื่มชาในที่แบบนั้นไม่ถูกกับรสนิยมอันสูงส่งของข้าเลย อีกอย่าง…ข้ายังไม่อยากดื่มชาไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วถูกใครวางยาพิษเข้าให้โดยไม่รู้ตัวหรอกนะ จวินเหวยนี่มีโชคไม่เลวทีเดียว แค่ออกมานี่ก็ได้เจอบัณฑิตขี้โรคที่ไม่ว่าคนในยุทธภพคนใดเห็นก็ต้องกลัวเสียแล้ว”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ยอมเบี่ยงตัวหลบให้เขาเดินเข้ามา ก่อนถามว่า “ท่านรู้จักบัณฑิตขี้โรคหรือ ตอนนี้เขามาทำอันใดที่หนานเจียงหรือ”


 


 


           หานหมิงซียักไหล่ นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมเอารองมือรองศรีษะแทนหมอนด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนยิ้มให้เยี่ยหลีแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้กัน หลายปีก่อนเขาเกือบถูกติ้งอ๋องฆ่าตาย แต่ด้วยเพราะหัวหน้าใหญ่แห่งสำนักเยี่ยนอ๋องเก๋อออกหน้าด้วยตนเองจนสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เขามิได้ออกไปไหนมาไหนเสียหลายปีแล้ว อยู่ดีๆ มาปรากฏตัวอยู่ที่หนานเจียง…หึหึ ทุกครั้งที่เจ้านั่นโผล่มา จะต้องเกิดเหตุโศกนาฏกรรมนองเลือดขึ้นทุกครั้ง จวินเหวยเจ้าอย่าได้ถูกมันหลอกเชียวนะ ห่างๆ มันไว้หน่อยก็จะดี”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้ารับอย่างใจลอย ในหัวคิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง “ข้ามิได้รู้จักเขา ย่อมไม่ไปทำอันใดให้เขาโกรธหรอก ว่าแต่พี่หานไม่ต้องอยู่คอยคุมกิจการของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือ เหตุใดถึงมีเวลาเดินทางมายังหนานเจียงได้”


 


 


           หานหมิงซียิ้ม “หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์จำเป็นต้องมีข้าคอยคุมตั้งแต่เมื่อใดกัน มาคอยดูแลจวินเหวยทำให้ข้าวางใจมากกว่า เพราะถึงอย่างไร…ซวินหย่าเก๋อก็เป็นกิจการเดียวที่ถือเป็นของข้านี่นา หากจวินเหวยเป็นอันใดไป ข้าคงเสียหายไม่น้อย” ระหว่างที่พูดเรื่องเป็นการเป็นงานนั้น ตาเหยี่ยวก็ฉายแววขี้เล่นออกมาด้วย


 


 


           เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไปที่หนานเจียงด้วยเพราะมีเรื่องต้องจัดการ ไม่สะดวกที่จะพาพี่หานไปด้วย”


 


 


           “ไม่เป็นไร ไม่ต้องพาข้าไปด้วย ข้าตามจวินเหวยไปก็พอแล้ว หากจวินเหวยไปภูเขาดาบ ข้าจะไม่มีทางลงทะเลไฟอย่างแน่นอน ว่าอย่างไร” หานหมิงซียิ้มสดใส “ข้ามีประโยชน์มากทีเดียวนะ จวินเหวยมิได้อยากใช้สายข่าวของเทียนอี้เก๋อหรือ ขอเพียงข้าอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าสามารถใช้งานสายข่าวเทียนอี้เก๋อได้ตลอดเวลา สะดวกกว่ารอให้ข่าวมาส่งมากทีเดียวนะ”


 


 


           เยี่ยหลีมองเขานิ่งอยู่พักใหญ่จึงได้พูดขึ้นว่า “ข้าเพียงกลัวว่าหากคุณชายหมิงเย่ว์รู้ว่าข้าพาน้องชายเขาเข้าไปยังดินแดนอันตรายเช่นนั้น หากกลับมาแล้วไม่ระวังข้าอาจถูกฆ่าตายได้”


 


 


           เพียงพูดถึงพี่ใหญ่ สีหน้าของหานหมิงซีก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาก เขาสงเสียงเหอะเย็นๆ “อย่าเอ่ยถึงเขากับข้า ตอนนี้เขาจำน้องชายอย่างข้าได้ที่ใดกัน สักวันไม่ช้าก็เร็วคงได้ตายคา…เหอะๆ! ถึงตอนนั้นข้าค่อยไปตามเก็บศพเขาก็พอแล้ว”


 


 


เยี่ยหลีใจกระตุกขึ้นทันที ถึงแม้ครั้งก่อนนางเล่นงานหานหมิงเย่ว์ทั้งยังรอดจากเงื้อมมือเขามาได้ แต่เยี่ยหลีกลับมีความระมัดระวังตัวกับเขาประหนึ่งเป็นความรู้สึกที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่กับหานหมิงซีที่หน้าตามีส่วนคล้ายเขาอยู่มากนี้ นางกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย อาจเป็นเพราะหานหมิงเย่ว์สร้างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์และเทียนอี้เก๋อขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว หรืออาจเป็นเพราะบุญคุณและความบาดหมางที่พูดไม่ถูกและอธิบายไม่ได้ระหว่างเขากับม่อซิวเหยา หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนแรกที่สามารถนำภัยอันตรายมาสู่นางได้จริงๆ


 


 


           เยี่ยหลีมองหานหมิงซีที่กระฟัดกระเฟียดด้วยสีหน้าเช่นเดิม ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นห่วง ก็ไปดูเขาเสียหน่อยก็สิ้นเรื่อง พี่หานจะระหกระเหินไปกับข้าทำไม เรื่องอันตรายยังไม่เท่าไร แต่หากคุณชายหมิงเย่ว์เกิดเป็นอันใดขึ้นมา จะไม่ทำให้พี่หานต้องเสียใจหรือ”


 


 


หานหมิงซีอึ้งไป ก่อนรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มอย่างรวดเร็ว “เขาจะเป็นอันใดได้ ในใต้หล้านี้คนที่จะทำอันตรายเขาได้มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น อีกอย่างเขาก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า ในสายตาเขา ข้ามีแต่จะทำให้เขายุ่งขึ้นเท่านั้น”


 


 


เยี่ยหลีเท้าคางยิ้มมองเขา “ข้ายังคิดว่าพี่หานกับคุณชายหมิงเย่ว์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียอีก”


 


 


           หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ “เอาเป็นว่า ข้าจะไปหนานเจียงกับเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ยอมข้าก็จะตามเจ้าไปให้ได้ ส่วนเรื่องพี่ใหญ่นั้น ไม่ต้องลำบากเจ้าเป็นห่วง หากเขาไม่กลับมาแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ก็ไม่มีทางล้มลงหรอก”


 


 


เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พูดมากไปมีแต่จะทำให้เขานึกสงสัย ในเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับในช่วงระยะเวลาที่ไม่ถือว่าสั้นนักนี้ อย่างไรนางก็มีวิธีที่จะทำให้รู้ว่าหานหมิงเย่ว์ไปอยู่ที่ใดกันแน่ นางยังไม่ลืมเรื่องที่หานหมิงเย่ว์เกือบทำลายชื่อเสียงของนางเพื่อผู้หญิงที่มีความเกี่ยวพันกับม่อซิวเหยา ผู้ใดบอกกันว่าเมื่อขอโทษและให้ของขวัญปลอบขวัญแล้ว นางจะยังคิดแค้นอีกไม่ได้ เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะแก้แค้นเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะใช้หานหมิงซีให้เป็นประโยชน์นั้น…เยี่ยหลีมองหน้าชายหนุ่มกับรอยยิ้มที่สุดแสนจะเย้ายวนของเขา ผู้ใดใช้ให้เขาเป็นน้องชายของหานหมิงเย่ว์แล้วดันวิ่งเข้ามาชนปังตอเข้าเองเล่า


 


 


           เยี่ยหลีมิได้เอ่ยคัดค้านอันใดอีก หานหมิงซียินดีเป็นอย่างยิ่ง ในใจนึกคิดวางแผนการเดินทางของพวกเขาไปต่างๆ นานา “จวินเหวย หนานเจียงนั้นข้าไปมาหลายทีแล้ว พวกเราไปเดินเที่ยวที่ชังซานก่อนก็ได้ จากนั้นค่อยล่องไปทางทิศตะวันตกตามแม่น้ำชิงหมิง จะได้ไปดูดอกเฟิ่งหวางกับเทศกาลโคมไฟของหนานเจียงด้วย แล้วจากนั้นพวกเราค่อยเข้าเมืองหลวงของหนานเจียงกัน เจ้าว่าอย่างไร”


 


 


           เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ข้าคิดว่า พี่หานรู้ว่าพวกเรากำลังเร่งเดินทางเสียอีก หากเดินทางตามแผนของท่าน ปลายเดือนห้าพวกเราจะเดินทางถึงเมืองหลวงแคว้นหนานจ้าวหรือ”


 


 


หานหมิงซีสีหน้าห่อเ**่ยวลงทันที พูดด้วยน้ำเสียงขัดใจว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราไปที่เมืองหลวงแคว้นหนานจ้าวกันก่อน รอให้จวินเหวยจัดการธุระให้เสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราค่อยไปดูเทศกาลโคมไฟก็แล้วกัน”


 


 


           เมื่อเห็นสีหน้าน่าสงสารของหานหมิงซี เยี่ยหลีรู้สึกว่าเส้นเลือตรงขมับของนางเต้นตุบๆ ด้วยความยินดี แล้วจึงไล่เขาออกไปอย่างไม่นึกสนุกด้วย


 


 


องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเป็นกังวล เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “มีอันใดอยากพูดหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “คุณชาย คุณชายหาน…” หานหมิงซีผู้นี้พวกเขาไม่รู้อันใดเกี่ยวกับเขาเลย แต่หานหมิงเย่ว์นั้น องครักษ์ลับที่มีโอกาสได้มาเป็นองครักษ์ลับให้กับท่านอ๋องหรือพระชายานั้น ต่างเคยได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขามาบ้าง ซึ่งเป็นคนที่รับมือได้ยากมากทีเดียว ส่วนหานหมิงซีในเมื่อเขาเป็นน้องชายของหานหมิงเย่ว์ เกรงว่าก็คงมิใช่คนดีเด่อันใดเช่นกัน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ…ชื่อเสียงของหานหมิงซีนั้นไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ หากพระชายาจะต้องผูกมิตรกับเขาไปนานๆ…เขาคิดไปถึงผลที่จะตามมาบางอย่าง แล้วองครักษ์ลับสามก็ตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


           เยี่ยหลีได้แต่กล่าวว่า “การพาหานหมิงซีไปด้วยนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ในเมื่อเขาตามมาแล้ว พวกเราจะสลัดเขาให้หลุด ก็เกรงว่าคงไม่ง่าย” สายข่าวของเทียนอี้เก๋อกระจายอยู่ทั่วใต้หล้า ที่สำคัญกว่านั้นคือมีคนบางประเภทที่พอลากกลับไม่เดิน ตีก็กลับถอย ยิ่งอยากสลัดเขาเท่าไร เขายิ่งจะรัดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เห็นได้ชัดว่าหานหมิงซีเป็นคนที่น่ารำคาญประเภทนี้


 


 


           เยี่ยหลีโบกมือ “ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ยังมิต้องคิดไปถึงเรื่องอื่น ไว้ไปถึงหนานเจียง หาพี่ใหญ่ให้พบก่อนค่อยว่ากัน องครักษ์ลับสองตอนนี้น่าจะหาพี่ใหญ่เจอแล้วกระมัง”


 


 


           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “องครักษ์ลับสองชำนาญเรื่องการตามหาคน เขาเดินทางเร็วกว่าเรา คงจะหาคุณชายสวีพบแล้วขอรับ”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็พาหานหมิงซีไปด้วยแล้วกัน เมื่อเข้าไปยังหนานเจียงแล้วเจ้าคอยสังเกตเบาะแสที่องครักษ์ลับสองทิ้งไว้หน่อย พวกเราจะไปหาพี่ใหญ่กันก่อน”


 


 


           “ขอรับ” 

 

 


ตอนที่ 78-1 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

 

 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเยี่ยหลีเก็บของลงมาด้านล่างก็เห็นหานหมิงซีนั่งอยู่ในจุดที่เห็นเด่นที่สุดในห้องโถง และกำลังส่งยิ้มเย้ายวนมาให้ตน เยี่ยหลีรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาทันที หานหมิงซีทำเหมือนไม่เห็นประกายความไม่พอใจในแววตาของเยี่ยหลี ยังคงโบกมือให้นางอย่างตื่นเต้นยินดี “จวินเหวย รีบมากินอาหารเช้ากันเร็ว”


 


 


เยี่ยหลีเดินเข้าไป ก็เห็นสารพัดอาหารเช้าวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ “อาหารเช้าของพี่หานนี่ช่างอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษจริงๆ”


 


 


หานหมิงซีโบกมือไปมา ไม่สนใจสายตาทุกคู่ในห้องโถงที่จับจ้องมาที่ตน เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “จวินเหวยกินมากหน่อยถึงจะดี หากเข้าไปยังเขตหนานเจียงแล้วเกิดนึกอยากกินอาหารเช้าที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้คงไม่ง่ายนัก”


 


 


           เยี่ยหลีเองก็ไม่เกรงใจ เรียกองครักษ์ลับสามที่เดินตามลงมาให้มากินข้าวด้วยกัน


 


 


           หานหมิงซีมององครักษ์ลับสามที่นั่งเงียบอยู่ แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ยังมิได้ถามชื่อแซ่ของพี่ชายท่านนี้เลย ผู้คุ้มครองจวินเหวยคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดาเลย” ในยามปกติ หานหมิงซีถือเป็นคนมีความรู้มากคนหนึ่ง เขาเป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเจ้าของเทียนอี้เก๋อ โลกเขาย่อมไม่แคบ ถึงแม้วิชาตัวเบาของเขาจะไม่เป็นสองรองใคร แต่ในเรื่องการต่อสู้นั้นถือว่ายังขาดอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยๆ องครักษ์ข้างกายของสหายใหม่คนนี้ คงจะมีวิชาต่อสู้ดีกว่าเขาไม่น้อยทีเดียว


 


 


           เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ก่อนตอบเรียบๆ ว่า “จั๋วจิ้ง”


 


 


           องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ จั๋วจิ้งเป็นชื่อจริงของเขา แต่เมื่อเขาได้มาเป็นองครักษ์ลับของพระชายาแล้ว ปกติจึงมิได้ใช้ชื่อนี้อีก เขาคาดไม่ถึงว่าพระชายาจะรู้เรื่องนี้


 


 


           หานหมิงซีหัวเราะ “ที่แท้ก็พี่จั๋วนี่เอง ต่อไปคงต้องลำบากพี่จั๋วแล้ว”


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบเรียบๆ ว่า “มิกล้า คุณชายหานเกรงใจแล้ว”


 


 


           พอทั้งสามคนกินอาหารเสร็จ องครักษ์ลับสามก็ไปจัดการจ่ายเงิน ชายคนที่เข้ามาพูดคุยด้วยเมื่อวานก็เดินเข้ามาหาอีกครั้ง ข้างกายเขามีชายวัยกลางคนที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านเดินตามมาด้วย “คุณชายฉู่ ท่านวางแผนที่จะออกเดินทางแล้วหรือ ท่านนี้คือ…คนที่ท่านเชิญให้มาเป็นผู้นำทางหรือ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ มิได้พูดอันใด ทั้งสองต่างไม่มีใครคิดที่จะต่อบทสนทนาดังกล่าว ชายผู้นั้นก็ดูจะไม่รู้สึกประดักประเดิดเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเองคนเดียวพร้อมพูดว่า “ในเมื่อคนของคุณชายก็มาพร้อมกันแล้ว มิรู้ว่าจะออกเดินทางกันวันนี้หรือไม่ หากใช่ พวกเรามาร่วมทางไปด้วยกันเลยดีไหม”


 


 


หานหมิงซีคีบอาหารเช้าบนโต๊ะเล่นด้วยท่าทีเกียจคร้าน “เหตุใดพวกเราจึงต้องร่วมทางไปกับพวกท่านด้วย ต่างคนต่างไปไม่ดีอยู่แล้วหรือ”


 


 


           ชายผู้นั้นยิ้ม “ทุกคนต่างก็ไปหนานเจียงด้วยกัน ระหว่างทางมีคนคอยดูแลก็ปลอดภัยกว่ามิใช่หรือ เท่าที่ข้าน้อยรู้…หากพวกเราเดินทางพ้นด่านซุ่ยเสวี่ยไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเขตแดนของหลัวอีปู้ แล้วเมื่อวานท่านทั้งสอง…”


 


 


           เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้น มองหน้าชายผู้นั้นพร้อมถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วว่าพวกเราได้ล่วงเกินผู้นำชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ไป เหตุใดจึงยังยืนกรานที่จะเดินทางไปกับพวกเราอีกหรือ”


 


 


           ชายผู้นั้นเบ้ปาก “หลัวอีปู้แล้วอย่างไร ถึงแม้คนหนานจ้าวจะเชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ แต่พวกหาจำเป็นที่จำต้องเกรงกลัวเขาไม่”


 


 


           เยี่ยหลีลอบพยักหน้าในใจ ข้างกายพวกเจ้ามีผู้ที่โด่งดังจากการใช้ยาพิษอย่างบัณฑิตขี้โรคอยู่ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกลัวพิษของหนานเจียง นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น รบกวนท่านด้วย ข้ายังมิได้ถามชื่อของท่านเลย”


 


 


ชายผู้นั้นยิ้มแย้มด้วยความยินดี “ข้าน้อยชื่อเจิ้งขุย เดิมทีเคยเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกัน ยามนี้มาเป็นคนคอยอารักขาบ้านเรือนแลกข้าวกิน นี่คือพ่อบ้าน ส่วนทางด้านโน้นคือนายท่านบ้านข้า แล้วอีกท่านหนึ่ง…” ชายคนที่เรียกตนเองว่าเจิ้งขุย หันมองบัณฑิตท่าทางขี้โรคที่ยืนหลับตาพิงกำแพงอยู่ “ได้ยินว่าเขาเป็นผู้มีฝีมือดีที่นายท่านใช้เงินก้อนโตเชิญมา เพียงแต่…หึหึ ข้าดูไม่ออกว่าเขาฝีมือดีที่ตรงใด รู้เพียงสุขภาพเขาอ่อนแอมาก”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ผู้คุ้มกันเจิ้งเกรงใจแล้ว เช่นนั้น พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยหรือ”


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีตบปากรับคำ เจิ้งขุยดูมีท่าทียินดีอย่างมาก หัวเราะเสียงใสก่อนกล่าวว่า “ข้าน้อยขอไปบอกนายท่านบ้านข้าเสียก่อน”


 


 


เยี่ยหลีผินหน้าไปมองเจิ้งขุยกับพ่อบ้านที่เดินกลับไปปรึกษากับพ่อค้าวาณิชผู้นั้น วาณิชผู้นั้นดูมิค่อยพอใจแต่สุดท้ายก็ได้ตอบตกลง จากนั้นทั้งสี่คนจึงได้แยกย้ายกลับไปเก็บข้าวของที่ห้องของตน เมื่อมองทั้งสี่หายขึ้นไปทางด้านบนแล้ว เยี่ยหลีจึงหันมาใช้สายตามองสำรวจหานหมิงซี หานหมิงซีทิ้งตัวลงบนโต๊ะมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “จวินเหวย ข้าทำอันใดผิดไปอีกหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนปรายตามองเขา “คุณชายหาน ท่านถ่อมตนกว่านี้อีกสักหน่อยได้หรือไม่”


 


 


           “ถ่อมตนหรือ” หานหมิงซีไม่เข้าใจ “ข้ามิใช่คนมีชื่อเสียงอันใด เหตุใดจึงต้องถ่อมตนด้วย” คนที่รู้ว่าเขาคือคุณชายเฟิงเย่ว์นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มิเช่นนั้นพวกเขาคงถูกพวกที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์แห่งความยุติธรรมปิดล้อมหรือไล่ล่าไปแล้ว


 


 


เยี่ยหลีมองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ท่านถ่อมตนมากนั้นไม่ผิด เพียงแต่หน้าตาท่าทางท่านโดดเด่นมาก ท่านเดากว่าบัณฑิตขี้โรคจะเคยเจอคุณชายหมิงเย่ว์หรือไม่ ท่านลองเดาว่าเขารู้หรือไม่ว่าคุณชายหมิงเย่ว์คือเจ้าของเทียนอี้เก๋อ”


 


 


หานหมิงซีกะพริบตาปริบๆ มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องนั้น…พี่ใหญ่ข้ากับหัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสหายกัน ดังนั้น…บัณฑิตขี้โรคน่าจะเคยพบข้ามาก่อน ดูท่าเขาคงรู้แล้วว่าพวกเราดูออกว่าเขาเป็นใคร”


 


 


           “เห็นชัดว่าคงเป็นเช่นนั้น” เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


 


 


           “เหตุใดพวกเขาจึงต้องมาเชิญให้พวกเราร่วมทางไปด้วยกัน” หานหมิงซีเอ่ยถามเสียงเบา “หากด้วยเพราะฐานะของข้า เขาก็ควรเอ่ยทักทายกับข้าโดยตรง เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่กับหัวหน้าสำนักเยี่ยนอ๋องก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “คงมิใช่เช่นนั้น ก่อนที่ท่านจะมา พวกเขาก็ได้มาชักชวนข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกข้าปฏิเสธไป”


 


 


           หานหมิงซีเอามือลูกคาง “บัณฑิตขี้โรคเดินทางไกลเป็นพันพันลี้เพื่อมายังหนานเจียง ย่อมมีจุดประสงค์ไม่ธรรมดา แต่เหตุใดเขาจึงมากับพ่อค้าวาณิชผู้นั้นได้ ปกติแล้วไม่ว่าพ่อค้าวาณิชคนได้ต่างก็เชิญเขามาไม่ได้ทั้งนั้น จะว่าเป็นเรื่องการทำการค้าเกี่ยวกับตัวยา…คนที่ทำการค้าเรื่องตัวยา ก็ไม่น่าเดินทางมาหนานเจียงด้วยตนเองในช่วงเดือนสามเดือนสี่เช่นนี้กระมัง”


 


 


การไปมาหาสู่ระหว่างต้าฉู่กับหนานเจียงนั้นโดยมากมักเป็นเรื่องตัวยาที่หายากของหนานเจียง แต่เพียงแค่มองดูเมืองหย่งหลินที่เงียบเชียบเช่นนี้ก็พอรู้ได้ว่าช่วงนี้มิใช่ช่วงที่คนทำการค้าขายเขามากัน เยี่ยหลียกมือตีหน้าผาก “ท่านคิดว่าคนที่กล้าอยู่กับบัณฑิตขี้โรคที่มีชื่อเสียงเช่นนั้น จะเป็นพ่อค้าวาณิชธรรมดาๆ หรือ”


 


 


           หานหมิงซีเลิกคิ้ว “มีปัญหาอันใดหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังดูไม่ออก” แต่ในเมื่อถูกทำให้ฉุกคิดแล้ว นางจะต้องรู้ให้ได้ว่านี่เป็นเหตุบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่


 


 


           ทั้งหมดมารวมตัวกันที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงขึ้นม้าออกนอกเมืองไปทางด่านซุ่ยเสวี่ย สิ่งที่ทำให้เยี่ยหลีประหลาดใจคือ พ่อค้าวาณิชที่ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์นั้น มีฝีมือขี่ม้าที่ไม่เลวเลยทีเดียว ติดเพียงแค่มองดูแล้วรู้สึกเป็นห่วงม้าที่เขาขี่อยู่เท่านั้น และตั้งแต่บัณฑิตขี้โรคขึ้นม้ามา เขาก็ไอแค่กๆ ไม่หยุด ดูว่าหากไม่ระวังเพียงนิดคงได้ไอเอาปอดออกมาด้วยเป็นแน่


 


 


เมื่อตอนผ่านด่านซุ่ยเสวี่ย เยี่ยหลีหันไปเห็นสีหน้าที่เป็นประกายสดใสของมู่หรงถิงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองพอดี นางกำลังพูดอันใดสักอย่างกับชายวัยกลางคนข้างกายด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี เชื่อว่าหลังจากนางเดินทางออกจากเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความแออัดวุ่นวายมาแล้ว ชีวิตของมู่หรงถิงคงเต็มไปด้วยเรื่องน่าสนุกเป็นแน่ เยี่ยหลีเองก็รู้สึกยินดีไปกับสหายรักของนางด้วย นางยิ้มน้อยๆ ก่อนหันกลับมาขี่ม้าตามคณะของตนไป


 


 


           “พักดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด” เมื่ออกจากด่านซุ่ยเสวี่ยมาแล้ว ทุกคนเดินทางด้วยความเร่งรีบ จนเมื่อฟ้าเริ่มมืดลงจึงได้หยุดพัก เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขาคงจะไม่มีที่นอนเสียแล้ว แต่ถึงแม้ป่าในเขตหนานเจียงจะอันตรายยิ่งนัก แต่การไปอาศัยอยู่ในบ้านชาวบ้านหรือโรงเตี๊ยมในหนานเจียง สำหรับคนภาคกลางแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยไปกว่ากัน


 


 


           องรักษ์ลับสามเดินเข้าไปในป่าอย่างคล่องแคล่ว พักหนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับท่อนไม้สำหรับทำฟืนและไก่ป่าอีกตัวหนึ่ง จากนั้นจึงก่อไฟพร้อมจัดการกับของป่านั้น เจิ้งขุยเองก็ไปจับปลามาสามสี่ตัวจากแม่น้ำที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองบัณฑิตขี้โรคที่ไออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ใต้ต้นไม้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนยื่นน้ำส่งให้ บัณฑิตขี้โรคดูอึ้งไป ก่อนยื่นมือขวาออกมารับกระบอกน้ำจากเยี่ยหลีแล้วพูดเสียงต่ำว่า “ขอบคุณมาก”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วกลับลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง ถึงแม้บัณฑิตขี้โรคจะดูป่วยกระเสาะกระแสะจนดูเหมือนเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง แต่เยี่ยหลีไม่มีทางประเมินเขาต่ำอย่างแน่นอน คนประเภทนี้อยู่ให้ห่างไว้เป็นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีความแค้นกับม่อซิวเหยาอยู่ด้วย


 


 


           หานหมิงซีนั่งพิงต้นไม้มององครักษ์ลับสามจัดการกับของป่าก่อนวางไว้บนไฟเตรียมย่างด้วยความเบื่อหน่าย แล้วจึงหันไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “จวินเหวย พี่จั๋วนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้มาก่อน แม้แต่คนพื้นที่ที่ต้องหลับนอนอยู่ในป่าบ่อยๆ อาจจะยังเก่งสู้เขามิได้เลย”


 


 


องครักษ์ลับสามที่นั่งอยู่ข้างกองไฟเพียงเลิกคิ้วขึ้นมิได้กล่าวอันใด เขาไม่มีทางบอกหานหมิงซีแน่ว่า เมื่อครึ่งปีของปีที่แล้ว พวกเขาพี่น้องสี่คนต้องผ่านการฝึกเช่นไรบ้างเมื่อตอนอยู่ที่ตีนเขาของยอดเขาเฮยอวิ๋น อันที่จริงจนถึงตอนนี้ พวกเขาพี่น้องก็ยังคิดไม่ตกว่าเหตุใดในสมองของนายตนถึงได้มีความคิดและวิธีการฝึกที่แปลกประหลาดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขา พวกเขาแต่ละคนถูกปล่อยทิ้งไว้กลางป่าลึกที่มองไม่เห็นแม้ขอบป่า ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแมลง หนู และงูมีพิษกันคนละหนึ่งเดือนเต็ม อาวุธที่ติดกายไปมีเพียงกริชเล่มหนึ่งกับธนูที่มีลูกธนูอยู่เพียงห้าดอก ในตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจว่า การฝึกประเภทนี้มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ วิชาตัวเบา และกำลังภายในของพวกเขาที่ตรงใด แต่องครักษ์ลับสองที่ได้เข้าและออกจากป่ามาเป็นคนแรกด้วยสภาพเสื้อผ้ายับเยินกลับล้มองครักษ์ลับหนึ่ง สี่และตนเองได้ เดิมทีพวกเขาทั้งสี่คนฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ต่อให้รู้แพ้รู้ชนะบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ แต่ในครั้งนั้น องครักษ์ลับสองได้แสดงความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของเขาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงขนาดล้มองครักษ์ลับหนึ่ง และตัวเขาได้ สุดท้ายล้มองครักษ์ลับสี่ได้แต่ตนเองก็สะบักสะบอมไปไม่น้อย เขามิได้เรียนการต่อสู้อันใดอื่นๆ เลย แม้แต่กำลังภายในก็มิได้มีมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงขององครักษ์ลับสองนั้นทำให้พวกเขาทั้งตกใจและยินดีเป็นอย่างมาก


 


 


           จนเมื่อองครักษ์ลับสามได้เข้าไปด้วยตนเอง ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วองครักษ์ลับสองได้พบกับอันใดบ้าง ทั้งงูพิษ แมลงมีพิษ หญ้าพิษ หนองน้ำและสัตว์ดุร้าย


 


 


แรกๆ เขามิกล้าข่มตานอนแม้ในยามกลางคืน เพราะบางครั้งหากหลับตานอนลงเมื่อไร ตื่นขึ้นมาจะพบว่าตนเองถูกหมาป่าล้อมไว้ หรือไม่ก็พบว่ามีงูที่มีพิษร้ายกำลังแลบลิ้นพร้อมแผ่เม่เบี้ยส่งเสียงขู่ดังฟ่อๆ แล้วทุกวันยังต้องคอยหาอาหารให้ตนเองกิน ทั้งยังต้องเป็นของที่พระชายากำหนดอีกด้วย ครั้งที่โชคร้ายที่สุดคือ เขาติดอยู่ในหนองน้ำนานสามชั่วยาม จนเกือบคิดว่าตนเองคงใกล้เอาชีวิตไม่รอดแล้ว แต่เมื่อใกล้วันครบกำหนดหนึ่งเดือน เขากลับพบว่าตนเองค่อยๆ เคยชินกับสภาพความโชคร้ายเหล่านั้น ถึงไม่มีวิทยายุทธ์เขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างสบายๆ ถึงขั้นต่อให้ไม่ได้กินไม่ได้นอนเลยตลอดวันร่างกายเขาก็ยังไม่รู้สึกทรมานมากนัก ซึ่งเรื่องเหล่านี้นั้นมีเพียงวิทยายุทธ์ไม่พอ หลังจากวันที่เขารอดชีวิตออกมาจากป่าได้ ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วตั้งแต่วันที่เขาเข้าป่าไป พระชายาคอยลอบตามสังเกตการณ์เขาอยู่ตลอด ซึ่งทำให้องครักษ์ลับสามนับถือพระชายาที่อายุยังน้อยผู้นี้ด้วยใจจริง ในใจพวกเขาต่างรู้ดี นายหญิงของพวกเขาเป็นพระชายาติ้งอ๋องที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ สิ่งเดียวที่องครักษ์ลับสามรู้สึกเสียดายก็คือ แผนการเดิมที่พระชายาเคยวางไว้ว่าจะสอนพวกตนนั้น มีอันต้องสะดุดลงกลางคันด้วยเพราะอาการป่วยของท่านอ๋อง 

 

 


ตอนที่ 78-2 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

 

“คุณชายหานพูดถูกทีเดียว ฝีมือของน้องจั๋วนั้นคล่องแคล่วเสียจนแม้แต่ผู้คุ้มกันเก่าแก่ที่ทำอาชีพนี้มาหลายสิบปียังมิอาจเทียบได้” เจิ้งขุยมองปลาที่ยังปิ้งสุกไปเพียงครึ่งในมือของตน แล้วหันมองไก่ย่างที่ดูสามารถเป็นอาหารป่าขึ้นเหลาของภัตตาคารชั้นดีก็อดริษยาขึ้นไม่ได้ เพียงชั่วเวลาที่เขาไปจับปลาไม่กี่ตัวมาจากในแม่น้ำ น้องชายที่ไม่พูดจาปราศัยผู้นี้กลับทั้งจุดไฟ จับไก่ป่ามาจัดการจนเรียบร้อย พร้อมทั้งเอาตั้งไฟย่างแล้วอีกด้วย ระหว่างรอยังได้เข้าป่าไปเก็บเห็ดมาเตรียมต้มน้ำแกงเสียเสร็จสรรพอีกด้วย นายท่านของตนมองปลาในมือของตนด้วยสีหน้าไม่พอใจ ใบหน้าที่อวบอูมนั้นมีความรังเกียจเขียนอยู่เต็มใบหน้า


 


 


           เยี่ยหลีมองหน้าหานหมิงซีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตลอดทางมานี้ก็ได้จั๋วจิ้งคอยช่วยดูแลข้า เขาเป็นคนหัวไว เรียนรู้สักหน่อยก็เป็นแล้ว”


 


 


           หานหมิงซีสีหน้าไม่เชื่อ เขาต้องนอนกลางป่ากลางเขาอยู่บ่อยๆ แต่ของที่เขาย่างกินนั้นจนถึงตอนนี้ยังดำเมี่ยมจนแม้แต่ตนเองยังมิกล้ากิน


 


 


           องครักษ์ลับสามแบ่งของป่าออกเป็นสามส่วนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนส่งให้เยี่ยหลีและหานหมิงซี เสมือนไม่ได้ยินคำชื่นชมจากนายหญิงของตน เขาไม่มีทางบอกอีตาคุณชายเจ้าชู้นี้หรอกว่า นายหญิงของตนทำได้ดีกว่าเขาเสียอีก เมื่อได้เห็นสีหน้าของคุณชายเฟิงเย่ว์ที่มองอาหารป่าตรงหน้าด้วยความหลงไหลแล้วก็ทำให้องครักษ์ลับสามเกิดลางสังหรณ์ที่ดีอย่างประหลาด


 


 


           “คุณชายจั๋วเชี่ยวชาญด้านพิษหรือ” บัณฑิตขี้โรคที่นั่งกินน้ำให้หายไออยู่อีกด้านหนึ่งเงยหน้าขึ้นถามองครักษ์ลับสาม


 


 


องครักษ์ลับสามเหลือบมองเขา ก่อนตอนเสียงเรียบว่า “ข้าไม่มีความรู้เรื่องนี้”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคเลิกคิ้วขึ้น ด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ “หนานเจียงมีสิ่งมีชีวิตมีพิษอยู่มากมาย แม้แต่เห็ดในป่ามากกว่าครึ่งก็ล้วนมีพิษร้ายแรง แต่เท่าที่ข้าดู เห็ดที่ท่านเก็บมานั้นล้วนไม่มีพิษ”


 


 


           องครักษ์ลับสามเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบๆ ว่า “ตามป่าตามเขายิ่งสีสดมากก็ยิ่งมีพิษมาก เรื่องเหล่านี้แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้กระมัง”


 


 


บัณฑิตขี้โรคยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นคุณชายจั๋วอย่าได้เด็ดของมากินตามใจจะดีกว่า ในใต้หล้านี้มิใช่ว่าเห็ดมีพิษทุกชนิดจะมีสีสดทุกพันธุ์ไป”


 


 


           “ขอบคุณที่เอ่ยเตือน”


 


 


           พ่อค้าวาณิชผู้นั้นดูจะไม่พอใจปลาเผาที่องครักษ์ของตนย่างให้ เขากินไปเพียงไม่กี่คำแล้วโยนทิ้ง ก่อนหันมาชี้หน้าเจิ้งขุยแล้วกล่าวว่า “เจ้า! ไปหาของป่ามาให้ข้ากินเดี๋ยวนี้!”


 


 


           เจิ้งขุยเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มลง ดูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ที่พวกเขาเลือกที่จะหาที่พักผ่อนอยู่นอกเขตป่าก็เพราะในป่าตอนกลางคืนนั้นไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก


 


 


บัณฑิตขี้โรคยืดตัวขึ้นนั่งก่อนหันไปพูดกับพ่อค้าวาณิชว่า “หากท่านอยากให้เขาตาย ท่านก็ให้เขาเข้าไปเถิด” พ่อค้าวาณิชดูมีท่าทีเกรงกลัวบัณฑิตขี้โรคอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นเขาพูดเช่นนี้จึงได้แต่ยอมนั่งปิดปากเงียบไป


 


 


           เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ หานหมิงซีก็ดูจะไม่มีกำลังวังชาเหมือนตอนฟ้าสว่าง เขาหาที่นั่งที่อยู่ใกล้กองไฟมากที่สุด แล้วเอนตัวพิงหินหลับตาพักผ่อนไป


 


 


องครักษ์ลับสามเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็กระโดดขึ้นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล นั่งลงบนง่ามไม้ฟังคนด้านล่างพูดคุยกัน ส่วนเยี่ยหลีกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางนั่งพูดคุยอยู่กับเจิ้งขุยข้างกองไฟ พลางโยนท่อนไม้เข้ากองไฟ จากที่สนทนากัน เจิ้งขุยบอกกับเยี่ยหลีว่า นายท่านที่เป็นพ่อข้าวาณิชท่านนั้นแซ่เหลียง เป็นพ่อค้าตัวยารายใหญ่ของทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ ร่ำรวยมหาศาล ที่มาหนานเจียงครานี้ก็ด้วยเพราะได้ยินมาว่าที่หนานเจียงมีตัวยาประหลาดที่มีมูลค่ามหาศาล และจะมีการเปิดแข่งราคาซื้อกันในเดือนหกนี้ที่เมืองหลวงของหนานจ้าว และแน่นอนว่าระหว่างที่พูดนายท่านเหลียงก็คอยพูดโอ้อวดไปด้วยไม่ขาด


 


 


ส่วนเยี่ยหลีก็เล่าให้เจิ้งขุยฟังว่าตนเองเป็นบุตรในบ้านของบัณฑิตครอบครัวหนึ่งจากอวิ๋นโจว ครั้งนี้ตั้งใจพาองครักษ์ออกมาท่องเที่ยว ส่วนหานหมิงซีนั้น เป็นสหายที่เพิ่งรู้จักกันที่กว่างหลิง แล้วเกิดนึกอยากติดตามตนไปเที่ยวเล่นที่หนานเจียงด้วย


 


 


ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ถึงฐานะของหานหมิงซีแล้ว เยี่ยหลีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดแทนเขาอีก เพียงพูดแค่ว่าเขาเป็นสหายใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันที่หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ในเมืองกว่างหลิง เมื่อได้ยินชื่อหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังของนายท่านเหลียงก็เป็นประกายขึ้นทันที พร้อมหันมาจับมือเยี่ยหลีเอ่ยสิ่งที่ตนเคยพบเคยเห็นในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ให้นางฟัง


 


 


           “คุณชายฉู่เป็นคนอวิ๋นโจวหรือ” จู่ๆ บัณฑิตขี้โรคที่นั่งอยู่อีกด้านก็เอ่ยถามขึ้น “คุณชายฉู่รู้จักตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจวหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายท่านนี้ล้อเล่นหรือเปล่า คนต้าฉู่ที่เป็นคนอวิ๋นโจวคนใดบ้างที่ไม่รู้จักตระกูลสวี ถึงแม้ตัวข้าจะไม่มีวาสนาได้ไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลีซาน แต่ข้าก็ชื่นชมคุณชายตระกูลสวีทุกท่านมานานแล้ว”


 


 


           “เช่นนั้นหรือ แค่กๆ…จะว่าไป ในเมื่อคุณชายฉู่ชื่นชมตระกูลสวี คงเคยได้ยินชื่อคุณชายชิงเฉินเป็นแน่ ใช่หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง น้ำเสียงมีความเลื่อมใสเพิ่มขึ้นหลายส่วน “คุณชายชิงเฉิน…คุณชายใหญ่ตระกูลสวี ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ที่น่าแค้นใจคือ ตอนนี้ข้าอายุอ่อนกว่าคุณชายสวีเมื่อยามนั้นอยู่เพียงครึ่งปี แต่กลับยังทำอันใดไม่สำเร็จสักอย่าง ช่างน่าละอายนัก”


 


 


บัณฑิตขี้โรคเงยหน้ามองนาง สายตามีแววทดสอบ เขายิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า “เช่นนั้นหรือ ไม่แน่ว่าไปหนานเจียงครานี้คุณชายฉู่อาจได้พบท่านก็เป็นได้”


 


 


           ในใจเยี่ยหลีอึ้งไป สีหน้าสบายๆ มีแววยินดี “จริงหรือ ยามนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่หนานเจียงหรือ”


 


 


           บัณฑิตขี้โรคลุกยืนขึ้นกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ตอนนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่หนานเจียง”


 


 


           “เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว หวังว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงหนานจ้าว ข้าจะมีโอกาสได้พบคุณชายชิงเฉิน จะได้ถือโอกาสขอคำแนะนำจากท่านสักเล็กน้อยด้วย” เยี่ยหลีก้มหัวลงใช้ความคิด พร้อมพูดตอบออกไปเสียงต่ำตามมารยาท


 


 


เยี่ยหลีมิได้สนใจสายตามองสำรวจของบัณฑิตขี้โรค ในหัวนางคิดไตร่ตรองเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว สวีชิงเฉินออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั้งตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ไหนแต่ไรมายากที่จะคาดเดาว่าเขาเดินทางไปที่ใด เยี่ยหลีไม่เชื่อว่าแม้แต่ร่องรายการเดินทางของตัวเขาเอง เขาจะยังไม่สามารถปกปิดให้มิดได้ แต่บัณฑิตขี้โรคที่ตัวอยู่ที่ซีหลิง กลับรู้ข่าวที่เขาอยู่หนานเจียง…ทั้งยังดูเหมือนเขาจะมั่นใจมากว่าเขาอยู่ที่ใด ซึ่งทำให้เยี่ยหลีรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีสักเท่าไร ที่บัณฑิตขี้โรคไปหนานเจียงในครั้งนี้จะด้วยเพราะเหตุใดกัน และจะเกี่ยวกับสวีชิงเฉินหรือไม่


 


 


           กลางดึก กองไฟที่ลุกโชนอยู่บนพื้นค่อยๆ มอดลง บรรยากาศของป่ายามค่ำคืนนั้นดึกสงัด มีเพียงเสียงของนกและแมลงที่ดังลอยมาให้ได้ยิน องครักษ์ลับสามที่นั่งหลับอยู่บนง่ามไม้ขยับตัวเล็กน้อยพร้อมกับไอเบาๆ เยี่ยหลีที่เดิมนั่งเอนหลังหลับตาอยู่ข้างกองไฟค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตัวไม่มีร่องรอยของความง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย นางเอี้ยวตัวไปมองบนต้นไม้ด้วยความเคยชิน องครักษ์ลับสามที่อยู่สบนต้นไม้พยักหน้าให้นางน้อยๆ เยี่ยหลีจึงได้ค่อยหลับตาเข้าสู่นิทรารมณ์อีกครั้ง


 


 


           แล้วจู่ๆ ก็มีกลิ่นสาบลอยมาตามอากาศ พร้อมเสียงสวบสาบแปลกๆ และเสียงประหลาดบางอย่างที่ฟังดูไม่ชัดเจน ประหนึ่งมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตบางอย่างเคลื่อนไหวมาตามพื้นหญ้า องครักษ์ลับสามขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขานึกรังเกียจเป็นพิเศษ เขารีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกระโดดลงมาจากต้นไม้ เมื่อองครักษ์ลับสามเท้าแตะพื้น บัณฑิตขี้โรคที่กำลังหลับสนิทก็ลืมตาขึ้นทันที เมื่อเห็นเป็นองครักษ์ลับสามก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย องครักษ์ลับสามมิได้สนใจมองเขา รีบเดินเข้าไปหาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย มีความเคลื่อนไหวขอรับ”


 


 


           ยามที่เยี่ยหลีลืมตาขึ้น หานหมิงซีและเจิ้งขุยที่อยู่อีกด้านก็ลุกขึ้นนั่งทันที หานหมิงซีอ้าปากหาวด้วยความเกียจคร้าน ก่อนถามขึ้นว่า “มีอันใดหรือ”


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบเรียบๆ ว่า “มีบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา”


 


 


           “บางอย่างหรือ อันใดกัน”


 


 


           องครักษ์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “ข้าเดาว่า…เป็นงู”


 


 


           “งู”


 


 


           “งู” เยี่ยหลีกับบัณฑิตขี้โรคพูดขึ้นพร้อมกัน 


 


 


บัณฑิตขี้โรคเหลือบมองเยี่ยหลี เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น “ข้าได้กลิ่นสาบงู งูหลายตัวมาก”


 


 


           หานหมิงซีพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าเกือบลืมไปว่าจวินเหวยชำนาญด้านการปรุงเครื่องหอม ย่อมไวต่อกลิ่นเป็นธรรมดา”


 


 


           เจิ้งขุยพูดด้วยความร้อนรนว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย พวกเราจะทำอย่างไรกันดี”


 


 


หานหมิงซีพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็หนีสิ” วิชาตัวเบาของคุณชายเฟิงเย่ว์ไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์เช่นไรก็มิต้องกลัวว่าจะหนีไม่รอด


 


 


องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “เกรงว่าคงจะหนีไม่ได้ พวกท่านลองฟังดู…มีเสียงมาจากรอบทิศทีเดียว” ทุกคนในที่นั้นนอกจากนายท่านเหลียงและพ่อบ้านแล้ว ทุกคนล้วนมีวิทยายุทธ์ติดตัว ย่อมฟังออกว่าที่องครักษ์ลับสามพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอก 

 

 


ตอนที่ 78-3 เข้าเขตหนานเจียงครั้งแรก

 

หานหมิงซีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนกระโดดขึ้นต้นไม้ไปมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็กระโดดกลับลงมา ก่นด่าเสียงต่ำว่า “เขตหนานเจียงนี่มันแย่จริงๆ ข้ามาทีไรเป็นได้เรื่องทุกที งูมาจากที่ใดเยอะแยะกันนะ”


 


 


           ไม่มีใครสนใจเสียงบ่นของเขา องครักษ์ลับสามหยิบสารพัดยากันแมลงพิษงูพิษที่เตรียมไว้แล้วออกมา บัณฑิตขี้โรคส่ายหน้า “พวกมันมีเยอะเกินไป คงใช้ไมได้ผล”


 


 


           คนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่มีทางนึกภาพออกว่าน่ากลัวเพียงใด ภายในค่ำคืนอันมืดมิด มีกลุ่มงูอสรพิษเลื้อยมาจากทุกสารทิศ


 


 


“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น!” นายท่านเหลียงตะโกนร้องถามขึ้นเสียงดัง พ่อบ้านที่อยู่ข้างกายเขาตกใจจนหน้าไร้สีเลือด แข้งขาอ่อนลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นเสียนานแล้ว


 


 


           “หุบปาก!” บัณฑิตขี้โรคพูดเสียงดังขึ้น ก่อนขมวดคิ้วหันไปพูดกับองครักษ์ลับสามว่า “กลุ่มงูมีมากเกินไป ใช้ยาไล่งูเกรงว่าจะมีแต่ทำให้มันคลั่งเลื้อยไปทั่ว”


 


 


           หานหมิงซีพูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “จวินเหวย หากข้าพาเจ้าไปคงพอหนีออกไปได้ พี่จั๋วก็คงสามารถหนีออกไปเองได้เช่นกันกระมัง”


 


 


องครักษ์ลับสามพยักหน้า บัณฑิตขี้โรคเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น พี่หานพาคุณชายฉู่ออกไปก่อนก็ได้”


 


 


หานหมิงซีมิได้รีบหนีไปก่อนโดยทันที เพราะเขาฟังคำขู่ในน้ำเสียงของบัณฑิตขี้โรคออก หากพวกเขาหนีไปกันก่อนจริง บัณฑิตขี้โรคคงได้ยิงธนูลับตามหลังเขามาเป็นแน่ ต่อให้วิชาตัวเบาของหานหมิงซีเก่งกาจเพียงใด แต่หากต้องพาอีกคนไปด้วยก็ไม่แน่ว่าจะหลับหนีพิษร้ายจากยอดฝีมืออันดับสามแห่งสำนักเยี่ยนอ๋องได้


 


 


ส่วนฟากของบัณฑิตขี้โรคนั้นยิ่งไม่ต้องคิดเลย นอกจากตัวเขาแล้ว อีกสามคนที่เหลือดูไม่มีใครที่สามารถหนีออกไปได้เองเลยสักคนเดียว


 


 


           เมื่อเห็นกลุ่มงูเริ่มรายล้อมเข้ามา เยี่ยหลีจึงขมวดคิ้วพูดว่า “นี่มันเวลาใดแล้วยังมีอารมณ์มาทะเลาะกันอีกหรือ หรือพวกท่านกะว่าจะอยู่ที่นี่คอยเป็นอาหารงู”


 


 


           กลุ่มงูเมื่อล้อมเข้ามาแล้ว แต่มิได้พุ่งเข้าหาพวกเขาโดยทันที แล้วทุกคนก็เห็นกลุ่มคนในชุดดำถือขลุ่ยสั้นยืนกระจายตัวกันอยู่ทางด้านหลังกลุ่มงู งูเหล่านี้มิได้มารวมตัวกันที่นี่โดยบังเอิญ แต่เป็นเพราะถูกคนสั่งการให้มา


 


 


เจิ้งขุยเอ่ยก่นด่าเสียงต่ำ “พวกมันเป็นหมองูของหนานเจียง!”


 


 


           เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามเหลือบมองหน้ากัน หากงูพวกนั้นพุ่งเข้าหาพวกเขาจริงๆ พวกเขายังพอสามารถหลบหลีกออกไปได้ทันการ แต่นายท่านวาณิชที่อ้วนท้วนสมบูรณ์นั้นเกรงว่าคงจะหนีไม่รอด


 


 


           กลุ่มหมองูขยับตัวหลีกทาง แล้วจึงเห็นชายคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาเดินเยื้องกรายออกมา เขาหัวเราะใส่พวกเยี่ยหลีด้วยสีหน้ามาดร้าย “หึหึ…ข้าบอกแล้วว่าต้องมีสักวันที่พวกเจ้าต้องตกอยู่ในเงื้อมือข้า นี่เพิ่งผ่านมาได้เพียงวันเดียวเท่านั้น เป็นอย่างไรเล่า”


 


 


           หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “นี่มิใช่เจ้างั่งคนที่อ้างตนว่าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้หรือ”


 


 


           ชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่ออกจากโรงเตี๊ยมไปด้วยความโกรธเมื่อวาน มาวันนี้อยู่ในชุดหรูหราที่เต็มไปด้วยเครื่องเงิน ส่องประกายระยิบระยับล้อกับแสงจันทร์ เมื่อเขาเห็นหานหมิงซีที่อยู่ในชุดหลัวอีกรุยกรายพริ้วไหวตามแรงลมอย่างน่าเย้ายวนใจก็ถึงกับอึ้งตะลึงไป “คนงาม เจ้ามาหาข้าสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาตายพร้อมกับคนอัปลักษณ์พวกนี้หรอก”


 


 


หานหมิงซีหน้าตึงไปทันที หางตากระตุกไม่หยุด “เจ้ามีหน้ามาว่าคนอื่นว่าอัปลักษณ์หรือ” อันที่จริง ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมถึงหมองูที่ยืนอยู่ไกลๆ เหล่านั้น ไม่ว่าใครต่างก็ดูดีกว่าชายหนุ่มผู้นี้ แม้แต่นายท่านพ่อค้าที่อ้วนเผละนั้น ดูๆ แล้วยังไม่อัปลักษณ์เช่นเขาเลย


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็โกรธจัดขึ้นทันที สายตาที่จ้องมองหานหมิงซีมีแววประหลาด


 


 


เยี่ยหลีกระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “พี่หาน ถึงแม้คุณชายท่านนั้นจะมิได้หน้าตาหล่อเหลานัก แต่ให้ดีท่านพูดจาไว้หน้าเขาสักหน่อยเถิด ท่านพูดเช่นนี้ คนที่มีใจพิสมัยท่านจะทำใจได้อย่างไร”


 


 


หานหมิงซีเบ้ปาก “เขาหรือพิสมัย เขาริษยาเสียมากกว่ากระมัง เห็นๆ อยู่ว่าโกรธแค้นจนอยากฉีกหน้าข้าเป็นชิ้นๆ เหอะ! อันที่จริงใบหน้าอันงามจับจิตของข้านี้ คนหยาบช้าเช่นนั้นมาชอบพอได้หรือ” เห็นชายงามอย่างเขาเลอะเลือนหรือไร แม้แต่ความริษยากับความเจ็บแค้นก็ยังไม่ออกเชียวหรือ


 


 


           “ไม่เลว” ชายหนุ่มหัวเราะหึหึขึ้น “ข้าจับเจ้าได้ ข้าจะถลกหนังหน้าของเจ้าออกทั้งเป็น หึหึ…ใบหน้าของเจ้า ข้าจะเอาไว้เอง ดังนั้นเจ้าเดินเข้ามาหาข้าเองดีๆ เสียดีกว่า อย่าให้สัตว์เลี้ยงแสนรักของข้าทำให้หน้าเจ้าต้องเสียโฉมเลย”


 


 


ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป ครู่หนึ่ง หานหมิงซีจึงได้ลูบใบหน้าตนเองด้วยความทะนุถนอม “เจ้าคงไม่คิดที่จะเอาหน้าของข้าไปติดไว้บนหน้าเจ้าหรอกกระมัง”


 


 


           ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความได้ใจ “ถูกต้อง ข้าคิดถึงวิธีนี้มานานแล้ว น่าเสียดายที่ยังหาใบหน้าที่เหมาะสมไม่ได้เสียที เดิมทีเห็นเจ้าหน้าขาวนั่นดูไม่เลว แต่ยามนี้ข้าว่าใบหน้าของเจ้าดูดีกว่าหน่อย”


 


 


ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของหานหมิงซีเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นทันที คิดอยากได้ใบหน้าของคุณชายเฟิงเย่ว์หรือ ไว้ชีวิตไม่ได้!


 


 


           “เรื่องนี้…ขนาดคงไม่ได้กระมัง” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองใบหน้าผอมเกร็งของชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนหันไปมองใบหน้าได้รูปของหานหมิงซี ใบน้าของหานหมิงซีดูใหญ่กว่าของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งในสามเห็นจะได้


 


 


           “จวินเหวย!” หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นสูง จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความน้อยอกน้อยใจ


 


 


           ดูเหมือนคำพูดของเยี่ยหลีจะแทงใจดำเขาเข้าพอดีจึงพูดขึ้นด้วยความโกรธจัดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง! ข้าจะเอาใบหน้าของพวกเจ้าทุกคนมาทำหน้ากากหนังคน จับพวกมันมาให้หมด ทุกคนต้องจับเป็น ไม่สิ…เจ้าอ้วนนั่นตายก็ไม่เป็นไร!”


 


 


สีหน้าของหมองูดูลำบากใจ อยากจะจับตายคนกลุ่มนี้นั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ปล่อยงูไปกัดก็สิ้นเรื่อง งูจำนวนเป็นร้อยเป็นพันเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องกัดโดน แต่หากต้องการจับเป็นคงไม่ง่ายเช่นนั้น คนเหล่านี้ก็มิใช่พวกไร้น้ำยาเสียด้วย ถึงแม้หมองูทั้งหลายจะมีท่าทีลังเล แต่คำสั่งของผู้เป็นนายก็ไม่อาจละเลยได้ จึงทำได้เพียงยกขลุ่ยขึ้นเป่าสั่งการกลุ่มงูเหล่านั้นอีกครั้ง


 


 


           ตูมๆ!


 


 


           จู่ๆ ก็เกิดประกายไฟปะทุขึ้นหลายแห่ง งูได้ยินเสียงขลุ่ยสั้นอันเร่งเร่ากลับมิได้พุ่งตัวเข้าหาพวกเขาทันที แต่กลับหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาไปสี่ห้าจั้ง ไม่ยอมขยับเข้าใกล้กว่านั้น


 


 


เมื่อครู่องครักษ์ลับสามอาศัยช่วงที่เยี่ยหลีกับหานหมิงซีกำลังคุยกับหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู่ ลอบนำยากันงูที่นำติดตัวมาด้วยสาดไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่ากลุ่มงูเหล่านั้นหยุดชะงักไม่ยอมฟังคำสั่ง เสียงขลุ่ยสั้นของหมองูจึงเร่งเร่าและแหลมบาดหูขึ้นไปอีก กลุ่มงูเหล่านั้นขยับตัวอย่างลนลาน


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นถามหานหมิงซีว่า “พี่หานท่านเป่าเพลงเป็นหรือไม่”


 


 


หานหมิงซีได้แต่ยิ้มแห้งๆ “แต่ข้าควบคุมงูไม่เป็นนะ”


 


 


           เยี่ยหลีมิสนใจ “ไม่ต้องเป็นหรอก แค่เปล่าเป็นเพลงก็พอแล้ว ให้ดีท่านใช้กำลังภายในในการเป่าด้วย ท่านไปเป่าทางด้านนู้นเถิด” พร้อมชี้มือไปยังป่าทางด้านหลัง “ให้ดีที่สุดคือต้องขยับไปมาให้รอบทิศด้วยนะ”


 


 


           ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงความหมายของเยี่ยหลี แต่หานหมิงซีก็มิได้สนใจที่จะถามต่อ เพียงแค่ยักไหล่แล้วพูดว่า “เอาเถิด ข้าเชื่อจวินเหวย” แล้วจึงหันไปหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ที่นำติดตัวมาด้วย ก่อนหานหมิงซีจะกระโดดขึ้นกิ่งไม้ต้นข้างๆ ขึ้นไปเป่าเป็นเพลง


 


 


เสียงเพลงที่ผสมด้วยกำลังภายในนั้น เมื่อได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหูสักเท่าไร อย่างน้อยก็สำหรับเยี่ยหลีที่มีกำลังภายในไม่กล้าแข็งเท่าไรนักที่รู้สึกไม่สบายหู หานหมิงซียืนอยู่บนกิ่งไม้เป่าเพลงไปพลาง กระโดดเปลี่ยนต้นไม้ไปพลาง ประหนึ่งอยู่เป็นพื้นราบอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เยี่ยหลีที่มองอยู่อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้


 


 


           บรรดาหมองูทั้งหลายต่างเริ่มตื่นกลัวที่ดูเหมือนงูทั้งหลายไม่ฟังคำสั่ง โดยเฉพาะกลุ่มงูที่อยู่ด้านหน้าสุด เริ่มที่จะเลื้อยถอยหลังจึงรีบร้อนเป่าขลุ่ยสั้นให้เป็นเพลงขึ้นอีกครั้ง แต่หมองูเหล่านี้ไม่ชำนาญวิทยายุทธ์ มีวิชากำลังภายในก็เพียงธรรมดาๆ หากว่ากันเพียงเสียงทำนองแล้วไม่มีทางเทียบกับหานหมิงซีได้


 


 


เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ของหานหมิงซีค่อยๆ กดเสียงขลุ่ยที่เร่งร้อนบาดหูลง บัณฑิตขี้โรคที่อยู่อีกด้านดูเหมือนจะเข้าใจอันใดขึ้นมาจึงได้กระโดดขึ้นกิ่งไม้ แล้วเด็ดใบไม้ออกมาใช้ริมฝีปากเป่าเป็นเพลงขึ้นบ้าง ในที่สุดงูกลุ่มนั้นก็ดูจะทนไม่ได้ กลุ่มงูที่รายล้อมเยี่ยหลีอยู่ใกล้ๆ จึงเริ่มที่จะเลื้อยถอยหลังกลับไป และมีหลายตัวที่กระจายตัวหนีไป และไม่มีงูตัวใดเขยิบเข้าใกล้พวกเยี่ยหลีเลย


 


 


           “นี่มันเกิดอันใดขึ้น!” ชายหนุ่มผู้นั้นร้องขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าหมองูทั้งหลายก็เริ่มซีดขาว ต่างค่อยๆ เขยิบถอยหลังไป ถึงแม้เสียงขลุ่ยสั้นในมือจะมิได้หยุดลง แต่ก็มีงูจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หนีหายไปทั่วทุกสารทิศ


 


 


เยี่ยหลียืนยิ้มเย็นอยู่ข้างกองไฟ โดยธรรมชาติแล้ว งูนั้นกลัวกำมะถัน เกลียดยากันงู และสัตว์ที่ดุร้ายโดยมากมักกลัวไฟ ส่วนเรื่องการควบคุมงู อันที่จริงสัมผัสทางการได้ยินของงูแทบจะไม่มี ทั้งหมดล้วนอาศัยความเคลื่อนไหวในอากาศจากรอบทิศเท่านั้น ที่ว่าการควบคุมงูด้วยเสียงขลุ่ยนั้นก็เป็นเพียงการฝึกงูให้คุ้นชินกับคลื่นในอากาศประเภทหนึ่งเท่านั้น หากคลื่นในอากาศเหล่านั้นถูกรบกวน งูเหล่านั้นก็จะไม่อยู่ในการควบคุมอีก เมื่อเทียบกับประกายไฟที่พวกมันเกลียดแล้ว ดูพวกมันยินดีที่จะเลื้อยไปทางอื่นเสียมากกว่า


 


 


           “อ๊าๆ…ไม่นะ!” งูจำนวนหนึ่งที่เลื้อยถอยหลังไป เลื้อยไปถึงปลายเท้าของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าบนร่างกายชายหนุ่มผู้นั้นก็มียากันงูอยู่ งูจึงมิได้พุ่งเข้าไปกัดเขา แต่เขาก็ยังตกใจจนเสียขวัญไม่น้อย


 


 


องครักษ์ลับสามเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “คนหนานเจียงกลัวงูกันด้วยหรือขอรับ”


 


 


เยี่ยหลียักไหล่ยิ้มๆ “อย่างไรก็ต้องมีข้อยกเว้นสักคนสองคนมิใช่หรือ”


 


 


           นายท่านเหลียงเช็ดเหงื่อบนใบหน้าไปพลางหัวเราะไปพลาง “โชคดีจริงๆ ที่คุณชายฉู่คิดวิธีนี้ออก ทำให้งูกลุ่มนั้นล่าถอยไปได้”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจยังรู้สึกร้อนใจอยู่ งูพวกนี้หนีไปแล้วพวกนางคงพอรอดพ้นจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปได้พักหนึ่ง แต่หากงูจำนวนมากนี้หนีไปได้ คงสร้างปัญหาให้กับคนที่เดินทางผ่านไปมาไม่น้อย นางเหลือบมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าร้อนรน แววตาเยี่ยหลีขรึมลง ก่อนหันไปสั่งองครักษ์ลับสามว่า “ฆ่าเขาเสีย!”


 


 


           กับคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังของเยี่ยหลีแล้ว องครักษ์ลับสามไม่เคยถามถึงเหตุผล เยี่ยหลียังไม่ทันพูดจบดี กระบี่ยาวในมือขององครักษ์ลับสามก็เป็นประกายขึ้น พร้อมพุ่งตัวผ่านอากาศราวกับลูกธนูอันแหลมคมพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้นั้นทันที ชายหนุ่มผู้นั้นตื่นตกใจจนเสียกิริยาไปนานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นกระบี่ในมือองครักษ์ลับสามที่พุ่งทะยานมายังตนจึงยิ่งตื่นตะลึงนิ่งแข็งขึ้นไปอีก ลืมแม้กระทั่งจะหลบกระบี่นั้น ทำได้เพียงตาแข็งค้างมองปลายแหลมที่พุ่งเข้ามาหาตนเท่านั้น…


 


 


           “ไว้ชีวิตด้วย!” มีเสียงดังกังวานเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนที่ชายป่า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม