ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 77.1-78.2

ตอนที่ 77-1 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจงแถลงไ...

 

เมี่ยวเอ๋อร์เห็นบ่าวชราพูดจาตะกุกตะกัก ก็ยิ่งสงสัยว่าคนแบบไหนกันที่มาหา จนทำให้พูดไม่ออก ผีหลอกแล้ว!


 


 


ผ่านไปสักพัก บ่าวชราจึงเปิดปากพูดพลางหน้าแดง


 


 


“เป็นสาววัยรุ่นสามคน บอกว่าเป็นคนของเรือสำราญว่านชุน คนที่เป็นหัวโจกชื่อหานเจียว แต่ละคนดุๆ ทั้งนั้น บอกว่าต้องการพบคุณหนูใหญ่ท่าเดียว พอข้าได้ยินว่าเป็น…โสเภณี ก็สะดุ้ง เลยไม่ให้พวกนางเข้ามา แต่แม่นางทั้งสามดุมาก คนหนึ่งใช้เท้าถีบประตูทันที ดีที่ผู้คุ้มกันรุดมาก่อน ทว่าทั้งสามก็ยังก่อกวนอยู่หน้าประตู ไม่ยอมไป บอกว่าอย่างไรวันนี้ ต้องพบคุณหนูใหญ่ให้ได้…”


 


 


“อะไรนะ? โสเภณี?” เมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าอุทานขึ้นพร้อมกัน


 


 


แม้หลายวันมานี้ ทั้งสองเจอหงเยียนบ่อย ฝ่าฝืนข้อห้ามในการคบสาวจากหอนางโลมไปบ้าง แต่ก็เจอกันเป็นการส่วนตัว และการพบเจอกับหงเยียนก็มิได้เป็นเช่นนี้ ผู้มาในวันนี้เป็นนางโลมแปลกหน้าที่มาหาคุณหนูใหญ่ด้วยการเอะอะโวยวายที่หน้าประตูกลางวันแสกๆ พฤติกรรมต่างกันลิบ


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์จึงตะคอกกลับ “พวกนางมาหาคุณหนูใหญ่ทำไม! โรคจิตหรือเปล่า ที่นี่จวนขุนนาง ไม่ใช่สถานบันเทิง ไม่ต้องพูดแล้ว จับโยนออกไปให้หมด หรือไม่ก็ส่งไปที่ว่าการอำเภอ แต่อย่าให้ใครรู้นะ มีอย่างที่ไหน!”


 


 


“แม่นางเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าก็ด่าว่าพวกนางไปแบบนี้ล่ะ แต่…แต่หานเจียวนั่นบอกว่าอะไรนะ ใบหน้านางถูกคุณหนูใหญ่ทำพังหมด…วันนี้จึงอยากมาฟังคำอธิบาย อย่าว่าแต่จวนขุนนางเราเลย ต่อให้เป็นปราสาทราชวัง พวกนางก็จะปักหลักรอ ไม่ยอมไปไหน!” บ่าวชราพูดอย่างขมขื่นใจ


 


 


ม่านถูกเลิกขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวออกมา ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง “เชิญแม่นางทั้งสามเข้ามา”


 


 


“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่” พอได้ยิน ชูซย่าก็รีบก้าวตามออกมาขวาง “พวกนางเป็นผู้หญิงจากหอโคมเขียว ให้เข้ามาหากลางวันแสกๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่คนนอกรู้เลย คุณหนูใหญ่เองก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย และถ้านายท่านรู้เข้า ต้องตำหนิแน่!”


 


 


นางโลมเหล่านี้ใจกล้าและไม่กลัวขายหน้าอยู่แล้ว ถ้าวันนี้ไล่ไป พรุ่งนี้ก็ต้องมาอีก และถ้าตนออกไปหน้าประตู ก็ยิ่งแล้วใหญ่ สายตาอวิ๋นหว่านชิ่นเฉยชา พลางว่า


 


 


“คนเขาก็บอกแล้วว่า ถ้าไม่ได้พบข้า จะปักหลักรอไม่ไปไหน พวกเจ้ามิใช่กลัวว่าพวกนางจะร้องแรกแหกกระเชออยู่หน้าบ้านจนผู้คนได้ยินกันหมดรึ! เชิญพวกนางเข้ามานี่ล่ะ ถึงจะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด”


 


 


บ่าวชราจึงไม่รอช้า รีบหันกาย วิ่งไปเชิญคนเข้ามา


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ย่ำเท้า “คุณหนูใหญ่อยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยล่วงเกินอะไรใคร แล้วจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ได้อย่างไร ใครกันแน่ที่คิดให้ร้ายคุณหนูใหญ่! ข้าจะฆ่ามันให้ตาย ต่ำช้าเกินไปแล้ว ไปหานางโลมกลุ่มหนึ่งมาเคาะประตูบ้าน ทำให้คนนอกที่ไม่รู้ นึกว่าคุณหนูใหญ่ไปมาหาสู่กับพวกนาง นี่มันทำลายชื่อเสียงกันเห็นๆ! มีอย่างที่ไหน! บ้าตายชัก!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นขยับคิ้ว กะพริบขนตา พอชูซย่าเห็น ก็นึกได้ จึงหน้าเปลี่ยนสี


 


 


“หรือจะเป็นคุณหนูบ้านท่านสมุหนายกอวี้ บ่าวว่าแล้ว คุณหนูอวี้นั่นถูกคุณหนูใหญ่บีบให้ยอมจำนน ถึงไม่ยอมรามือ สูงส่งขนาดนั้นน่ะ วันนั้น…จู่ๆ ลวี่สุ่ยมาเอายาสระผมกับครีมทาหน้าไปหลายกระปุกนั่น หรือว่า…”


 


 


แปดถึงเก้าในสิบส่วน


 


 


เกรงว่าเป็นการกลั่นแกล้งของอวี้โหรวจวง นางหาทางส่งครีมทาหน้าที่ตนทำ ไปให้สาวๆ บนเรือสำราญใช้ แล้วปล่อยข่าวว่า เป็นเครื่องสำอางที่คุณหนูจวนรองเจ้ากรมทำเองกับมือ โดยไม่รู้ว่าใส่อะไรเพิ่มเติมลงไปในครีม ถึงทำให้ผิวหน้าของสาวๆ มีปัญหา ซึ่งพวกนางต้องมาเอาเรื่องกับอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างแน่นอน ด้วยหญิงสาวในหอโคมเขียวขายใบหน้ากิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใบหน้าสำคัญกับพวกนางขนาดไหน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกนางไม่ยอมจากไป


 


 


ขณะครุ่นคิด สามสาวก็ก้าวอาดๆ เข้ามาโดยมีผู้คุ้มกันขนาบข้าง แต่ปากแดงๆ ทั้งสามก็ยังก่นด่าไม่หยุด ขนาดบ่าวข้างกายก็ยังปรามไม่อยู่


 


 


พอก้าวเข้าประตูวงเดือน เดินเข้ามาในเรือนฝูหยิง หัวโจกอย่างหานเจียวค่อยหยุดด่า แล้วเงยหน้าขึ้น เห็นบนชานเรือนมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยยืนอยู่คนหนึ่ง อายุไม่เกินสิบสี่สิบห้า มวยผมเป็นห่วงย้อยแบบเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน บนศีรษะประดับดอกชบาเล็กๆ สองดอกติดกัน ข้างหูปล่อยผมยาวลงมามัดหนึ่งถักเป็นเปียหลวมๆ สวมชุดกระโปรงยาวหกจีบ ช่วงบนสวมเสื้อกั๊กผ้าแคชเมียร์สีเงินปักลายดอกไม้ กำลังใช้ดวงตาสวยใสจ้องมองมาอย่างเฉยชา


 


 


หานเจียวกับสองสาวรุ่นน้อง จื่อเหิน กับเหมยเซียน ที่ตั้งใจมาช่วยกันเอาเรื่อง ล้วนคิดไม่ถึงว่า คนทำครีมทาหน้าจะเด็กขนาดนี้ จึงยืนอึ้งไปสักพัก ความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอกลดลงกว่าครึ่ง แต่ไม่นาน หานเจียวก็เรียกสติกลับคืน ปลายคิ้วดั่งต้นหลิวตั้ง ก้าวไปข้างหน้า แล้วว่า


 


 


“เจ้าคือคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นสินะ บ่าวในบ้านเจ้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าเรามาหาเจ้าด้วยเรื่องอะไร?!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์เห็นสามสาวแสดงท่าทียียวนกวนบาทาไม่เบา อยากกระโดดเข้าไปตบมาก จึงก้าวออกมาด้านหน้า แล้วตวาด


 


 


“พูดกันดีๆ ก็ได้ คุณหนูเราหูดีตาดี ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดนี้หรอก!”


 


 


จื่อเหินความรู้สึกไวสุด คิดว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดดูถูกพวกตน จึงถกแขนเสื้อ พลางฮึดฮัด


 


 


“ทำไม ในเมื่อทำให้โฉมหน้าพี่หานเจียวของเรากลายเป็นแบบนี้ มันจะต่างอะไรกับทุบชามข้าวพี่เรา แล้วยังไม่กล้าให้เราเข้าใกล้อีก! กินปูนร้อนท้องหรือไง…”


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ ทั้งสามก็ได้ยินเสียงลอยมาจากชานเรือน


 


 


เสียงของเด็กสาวนิ่งและมีพลังอย่างหนึ่ง แม้ไม่สูง แต่ก็ทำให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ลง


 


 


“แม่นางทั้งสาม ถ้าข้ากินปูนร้อนท้อง จะบอกให้คนในบ้านปล่อยพวกท่านให้เข้ามาทำไม แล้วยังบอกให้พามาที่เรือนข้าโดยเฉพาะอีก ก็เพราะอยากจะแก้ไขปัญหา แต่ถ้ายังไม่ทันได้พูดจา พวกท่านก็เอะอะโวยวายเหมือนตอนอยู่ด้านนอกแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องคุยกันอีก เด็กๆ…”


 


 


“ช้าก่อน” หานเจียวเหลือบมองจื่อเหิน แล้วจึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางว่า


 


 


“น้องสาวข้าวู่วามไปหน่อย ขอคุณหนูอวิ๋นอย่าได้ถือสา พวกเขาเพียงเห็นว่า เพราะครีมของคุณหนูอวิ๋น หน้าข้าถึงได้เป็นเช่นนี้ แต่เราสามคนก็ร้อนใจเช่นเดียวกัน วันนี้ถึงได้มาขอคำอธิบายจากคุณหนูอวิ๋น!”


 


 


ตอนคนทั้งสามก้าวเข้ามานั้น อวิ๋นหว่านชิ่นได้สำรวจมองหานเจียวเงียบๆ แล้ว


 


 


แก้มของนางไล่ลงมาจนถึงบริเวณกรามล่าง มีรอยแดงอยู่ปื้นใหญ่ ในนั้นมีผื่นที่นูนออกมาและเป็นหนองอยู่หลายเม็ด ร่วมกับรอยขีดข่วนเลือดไหลซิบๆ อยู่หลายรอย ดูแล้ว ไม่น่ามองจริงๆ


 


 


นี่คืออาการแพ้ที่พบบ่อยสุด


 


 


ซึ่งเดิมทีในแผ่นดินต้าเซวียน ไม่ว่าจะในตำราหมอหรือตำราสูตรลับสมุนไพรเพื่อความงาม ล้วนไม่มีคำว่า “ภูมิแพ้” แต่ที่อวิ๋นหว่านชิ่นรู้เพราะอ่านจากตำราเวชสำอางของดินแดนตะวันตกที่นำเข้ามาทางเรือ


 


 


โดยสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ร่างกายไม่สบายและมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างผิดปกติ เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งถ้าร่างกายเราสัมผัสถูกสิ่งเหล่านี้ ก็จะเกิดอาการแตกต่างกัน ในหนังสือบอกว่า สารก่อภูมิแพ้มีเป็นร้อยเป็นพัน มากมายหลายชนิด และผลจากอาการแพ้ที่รุนแรงมากสุด ถึงขั้นเสียชีวิตก็มี


 


 


ดูไปแล้ว อาการแพ้ของหานเจียวในข้างต้นไม่ถือว่ารุนแรงมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะคันจนทนไม่ไหว ถึงได้ใช้มือเกา จนอักเสบและบวมไม่หยุด และมีสภาพอย่างที่เห็น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดอย่างสงบนิ่ง “ขอละลาบละล้วงถามหน่อย ครีมซึ่งแม่นางหานเจียวบอกว่าข้าเป็นคนทำนั้น นำมาจากไหน”


 


 


“เครื่องสำอางที่เราใช้กัน ปกติแล้วจะให้เด็กรับใช้ในเรือสำราญไปซื้อทุกๆ สิ้นเดือน แล้วนำมาแจกจ่ายให้ถ้วนทั่ว แต่เนื่องจากเด็กรับใช้กับข้าสนิทกัน ข้าจึงมักบอกให้เขาช่วยเก็บของที่ดีหน่อยไว้ให้ข้าโดยเฉพาะ! หลายวันก่อนตอนแจกจ่ายเครื่องสำอาง เด็กรับใช้ก็นำครีมกระปุกหนึ่งมาให้ โดยบอกแค่ว่าเป็นเครื่องสำอางสูตรลับเฉพาะของคุณหนูบ้านรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ซึ่งตอนนี้ กำลังเป็นที่นิยมของเหล่าคุณหนูในเมือง พอข้าได้ยินก็ดีใจมาก นำไปใช้ทันที ใครจะรู้ว่า วันถัดมาจะกลายเป็นแบบนี้! ผ่านไปอีกสองวันก็ยังไม่หาย อย่าว่าแต่ไม่มีหน้าไปรับแขกเลย แม้แต่มาม่าซังก็ยังด่าข้าแทบเป็นแทบตาย! ไม่รู้ล่ะ ข้าหาใครไม่ได้แล้ว ถึงได้แต่มาขอคำอธิบายจากคุณหนูอวิ๋นนี่!”


 


 


ว่าแล้วหานเจียวก็โมโห ล้วงกระปุกผ้าแพรทรงกลมลายกิ่งไม้เกี่ยวกระหวัดใบเล็กออกมา แล้วทิ้งลงบนพื้น กระปุกกลิ้งเป็นวงกลมอยู่สองรอบ ค่อยหยุดลง


 


 


“นี่มันตลกมากจริงๆ ไม่มีใครบังคับให้เจ้าใช้สักหน่อย! อย่าว่าแต่ของชิ้นนี้คุณหนูเราก็มิได้เป็นคนให้เจ้า หรือต่อให้ใช่ ใครจะไปรู้ว่า อาจเป็นคนที่เจ้าไปล่วงเกินไว้ก็เป็นได้ เขาคิดทำร้ายเจ้า ก็เลยใส่ยาพิษลงไปในครีม เจ้าจะมาหาแต่คนที่ทำครีมไม่ได้หรอก!” เมี่ยวเอ๋อร์โมโหแล้ว


 


 


จื่อเหินยิ้มเย็นชา “เจ้านึกว่าเราโง่กว่าเจ้าหรือไง พอใบหน้าของพี่หานเจียวมีปัญหา เราก็รีบนำครีมนี่ไปป้อนให้นกที่บ้านกิน แต่นกกลับไม่เป็นไรเลยสักนิด แล้วเรายังเอาไปให้หมอที่คุ้นเคยดูอีก หมอก็ตรวจดูแล้ว บอกว่าครีมนี่ไม่มีพิษ แบบนี้ ก็ต้องเป็นคุณภาพของครีมนี่ล่ะที่มีปัญหา! ข้าว่านะ ถ้าไม่เก่งจริง ก็อย่าฝืนทำออกมาขายเลย ทำของแบบนี้ออกมาน่ะ ทำร้ายคนดีๆ นี่เอง!”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์คิดจะโต้กลับอีก แต่พอชูซย่าเห็นท่าทางของอวิ๋นหว่านชิ่น ก็รีบดึงนางไว้ แล้วลากกลับไป  

 

 


ตอนที่ 77-2 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจงแถลงไ...

 

 


 


ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่โกรธและไม่รีบ ค่อยๆ ก้มตัวลงเก็บกระปุกผ้าแพรใบเล็กขึ้นมา ไม่ผิด นี่เป็นกระปุกผ้าแพรที่ตนใช้บรรจุเครื่องสำอาง ส่วนครีมที่อยู่ด้านใน ปกตินางก็ใช้กระปุกทรงกลมเช่นนี้บรรจุ โดยเครื่องสำอางชนิดน้ำกับชนิดผงจะใช้ขวดกระเบื้องเคลือบคอยาวใบเล็กบรรจุ


 


 


พอเปิดออกดู ก็เห็นว่าครีมที่อยู่ด้านใน ตนทำเองกับมือจริงๆ


 


 


เป็นครีมกลิ่นกุหลาบ


 


 


ปกติแล้ว หญิงสาวจะทาครีมลงมาถึงลำคอและหลังใบหู เพื่อรักษากลิ่นหอมให้กระจายออกได้อย่างยาวนานและเป็นธรรมชาติ มิน่าเล่าบริเวณกรามล่างของหานเจียวถึงได้อักเสบรุนแรงสุด


 


 


พอนำขึ้นสูดดม


 


 


ไม่ถูกต้อง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไปสักพัก ในครีมกลิ่นกุหลาบมีส่วนผสมเกินมาหนึ่งอย่าง ซึ่งนางไม่เคยใส่เพิ่มลงไป


 


 


กลิ่นออกแนวหวานจางๆ รวมอยู่กับกลิ่นเข้มข้นของดอกกุหลาบ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงหันไปกำชับเสียงต่ำกับชูซย่าสองสามประโยค แล้วชูซย่าก็เดินเข้าห้องด้านในไป สักครู่ก็รีบสาวเท้าก้าวออกมา พร้อมอุ้มกล่องใส่ของใบเล็กไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ส่งของสิ่งหนึ่งให้คุณหนูใหญ่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวลงบันได เดินรอบตัวหานเจียวหลายรอบ เพื่อประเมินรอยบวมแดงที่บริเวณแก้มและลำคอของนาง ก่อนยื่นมือเข้าใกล้ใบหน้าหานเจียว


 


 


แสงสีเงินบนนิ้วมือเรียวยาววาบผ่าน โดยที่หานเจียวยังไม่ทันตั้งตัว พอล่างแก้มเจ็บแสบ ค่อยรู้สึกตัวว่าถูกอวิ๋นหว่านชิ่นข่วนหน้าไปทีหนึ่ง จึงร้องเสียงดัง ขณะยกมือขึ้นปิดตามสัญชาตญาณ กลับถูกเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าดึงมือไว้ พลางดุด้วยเสียงอันทรงพลัง ชนิดที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ


 


 


“ถ้าไม่อยากให้หน้าเละและอักเสบต่อ อย่าใช้มือจับ!”


 


 


หานเจียวตกใจ แต่ก็เจ็บไปแล้ว ช่วยไม่ได้ จึงได้แต่ทำตามคำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่น ค่อยๆ ลดมือลง


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใช้เข็มเงินยาวราวสองนิ้วจิ้มเข้าที่เม็ดหนองหลายเม็ดบนใบหน้าหานเจียว เพื่อให้น้ำหนองไหลออกมา ก่อนชูมือขึ้น


 


 


ชูซย่ารีบนำกล่องใส่ของใบเล็กเข้ามา แล้วหยิบถุงมือเยื่อไหมที่คุณหนูใหญ่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเวลาทำเครื่องสำอางออกมา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นใส่ถุงมืออย่างรวดเร็ว หยิบก้อนสำลีที่ใช้ซับน้ำเวลาทำเครื่องสำอางขึ้นมาหนึ่งก้อน แล้วนำไปกดที่ปากแผลของหานเจียว


 


 


“เจ้า นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หานเจียวรู้ว่านางพยายามรักษาตน แต่ไม่รู้ว่านางกำลังจะทำอะไรกันแน่ จึงถามเสียงสั่นเล็กน้อย ถ้ารู้แต่แรกว่านางจะเอาเข็มจิ้มหน้า ตนต้องไม่กล้าให้นางทำแน่ ไหนเลยจะคิดว่า คุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นนี่ พอมาถึงก็ลงมือก่อนค่อยรายงานทีหลัง ไวแท้


 


 


จื่อเหินกับเหมยเซียนก็ตะลึงงันเช่นเดียวกัน เห็นเพียงเข็มเงินของคุณหนูอวิ๋นจิ้มเข้าที่ตุ่มหนองเล็กใหญ่หลายตุ่มอย่างรวดเร็ว แล้วน้ำหนองสีเหลืองแดงก็ทยอยกันไหลออก แม้ดูเหมือนตุ่มหนองยุบลง ผิวหนังเรียบลง แต่ผิวหนังรอบๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างน่าตกใจในทันที ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลายเป็นแผลเป็นหรือเปล่า


 


 


พอสองสาวได้สติ ก็เริ่มส่งเสียง ด้วยการก้าวเข้ามา คิดที่จะดึงมือของอวิ๋นหว่านชิ่นลง แต่กลับไม่กล้า จึงได้แต่พูดขู่ “ระวังให้ดีล่ะ อย่าทำหน้าพี่สาวเราลายเชียว!”


 


 


“เสียงจุกจิกเยอะแยะอะไรอีก อุตส่าห์ทำดีกลับไม่ได้ดี ถ้าไม่เชื่อใจคุณหนูเรา ก็เชิญออกไปตอนนี้ยังได้! ไม่มีใครขวางพวกเจ้าหรอก!” เมี่ยวเอ๋อร์ตอกกลับ


 


 


เมื่อสองสาวเห็นสาวใช้สกุลอวิ๋นดุขนาดนี้ ก็ค้อนให้หนึ่งขวับ แล้วไม่พูดอะไรอีก


 


 


พอกดปากแผลเพื่อห้ามเลือดเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นก็คีบสำลีอีกก้อน ใส่ลงไปในขวดกระเบื้องเคลือบลายนก คล้ายจุ่มไว้สักพัก ค่อยคีบออกมา ทว่าขณะนำก้อนสำลีชุ่มๆ เข้าใกล้ใบหน้าหานเจียวๆ ก็ร้อง เพราะได้กลิ่นแปลกๆ “นี่มันอะไรอีก…”


 


 


“สารสกัดจากพืช ใช้ต้านการอักเสบและบวม”


 


 


หานเจียวรู้สึกว่ากลิ่นออกเย็นๆ คล้ายเพิ่งนำออกมาจากถังน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ไม่หอมมาก มีกลิ่นเหม็นเขียวอ่อนๆ ค่อยวางใจลง รอจนก้อนสำลีชุ่มแปะลงบนแผล ความเจ็บก็ค่อยๆ ทุเลาลง ไม่รู้สึกตึงอีก กลับรู้สึกว่าผิวหน้าเย็นสบายขึ้นมาก


 


 


ผ่านไปสักพัก ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นจะเอาออก หานเจียวกลับเสียดาย “แปะต่ออีกหน่อยก็ได้…”


 


 


เมื่อเห็นน้ำเสียงนางดีขึ้นมาก ไม่มีวี่แววว่าจะหาเรื่องอีก อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้แต่ยิ้ม


 


 


จากนั้นก็คีบก้อนสำลีที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วหันไปเทผงอะไรบางอย่างออกจากขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็ก ลงบนกระดาษเนื้อบาง ก่อนใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ แล้วแต้มลงบนแผลของหานเจียวทีละจุด สุดท้าย ค่อยว่า


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ หยิบคันฉ่องมา”


 


 


หานเจียวรับคันฉ่องมาส่องดู พลันตกใจ เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา วิธีจิ้ม กด ซับ ทา ของคุณหนูอวิ๋น ทำให้ตุ่มใสบริเวณกรามของตนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปื้นแดงก็พลอยหายไปด้วย เหลือเพียงรอยเล็บที่เกิดจากการเกาของตน ซึ่งก็มองไม่ค่อยเห็นแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ที่ตนโปะแป้งฝุ่นทับไปชั้นหนึ่ง ผิวหน้าก็ดูขาวสะอาดขึ้นมาก ถ้าไม่เข้ามาดูใกล้ๆ ก็ไม่มีทางเห็นปื้นที่น่าตกใจแบบเดิมอีก


 


 


“ชูซย่า นำเวชสำอางสองชนิดที่ข้าใช้เมื่อครู่ออกมาชนิดละสองขวด ให้แม่นางหานเจียวไป”


 


 


กำชับเสร็จ อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันหาหานเจียว “พอกลับไป ให้ทาวันละสองครั้งเช้าเย็น ใช้สำลีก้อนจุ่มชนิดที่เป็นของเหลวแล้วเช็ดก่อน ค่อยใช้ชนิดผงทาที่แผล เช่นนี้ไม่กี่วัน ก็น่าจะหาย”


 


 


“ไม่กี่วันก็หายหรือ คุณหนูอวิ๋น…ใช้วิธีอะไรกับข้า ยาสองชนิดนี้คืออะไร ทำมาจากอะไร”


 


 


หานเจียวพูดตะกุกตะกัก ครั้งนี้นางเรียกขานได้นอบน้อมขึ้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่เชื่อไม่ได้ ด้วยเมื่อครู่หน้านางบวมมาก คล้ายจะพังมิพังแหล่


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “ใบหน้าของแม่นางหานเจียวรับของที่ไม่ถูกกับร่างกายเข้ามา ผิวหน้าจึงบวมแดง ต่อมาก็คันจนทนไม่ไหว ต้องใช้มือเกาบ่อยๆ แม้ล้างมือแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสะอาดหมดจด โดยเฉพาะอาการบวมแดงบนใบหน้าแม่นาง มีแผลเล็กๆ ปนอยู่ พอไม่ทันระวัง ถูกมือที่สกปรกเกาเข้า แผลบนผิวหน้าก็ขยายใหญ่ จนกลายเป็นหนอง เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามันสุกเต็มที่แล้ว ถ้าปล่อยไป ตุ่มก็จะค่อยๆ ฝ่อ กลายเป็นสะเก็ดหนาแข็ง ข้าจึงใช้เข็มเจาะให้น้ำหนองไหลออกมา”


 


 


“เพราะมือไม่สะอาด คุณหนูอวิ๋นถึงต้องใส่ถุงมือคู่นั้นหรือ ถุงมือที่ข้าเห็นเป็นประจำทั้งใหญ่ทั้งกว้าง แต่ของคุณหนูอวิ๋นไม่เหมือนกัน” ถุงมือคู่นั้นทั้งบางและนุ่มมาก ใส่แล้วติดเป็นหนึ่งเดียวกับมือ และเห็นนิ้วมือทั้งห้าอย่างชัดเจน


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “เป็นถุงมือเยื่อไหมที่ข้าสั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ ใช้สะดวก ไม่เทอะทะ เห็นสิ่งสกปรกชัดเจน เนื่องจากต้องป้องกันการติดเชื้อรอบสอง พอปล่อยน้ำหนอง ข้าก็ใช้ก้อนสำลีชุบสารสกัดจากดอกสายน้ำผึ้งกดหน้าเจ้าไว้”


 


 


“สารสกัดจาก…ดอกสายน้ำผึ้ง?”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ดอกสายน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอมสดชื่น ฤทธิ์เย็น ขับร้อนถอนพิษ ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนและตึงที่แผล สุดท้ายค่อยแต้มผงดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบช่วยให้เลือดไหลเวียน ลดอาการบวม ป้องกันไม่ให้เลือดเหนียว”


 


 


พอฟังถึงตรงนี้ หานเจียวก็รู้แล้วว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ามีความสามารถจริงๆ และพอนึกถึงตอนแรกที่ตนเสียมารยาท เอะอะโวยวายไป ก็รู้สึกผิดขึ้นมา และในตอนนี้เอง จื่อเหินที่อยู่ข้างๆ ก็กระซิบเสียงเบา


 


 


“ต่อให้นางรักษาหน้าพี่ได้ ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ใครทำ ใครก็ต้องรับผิดชอบ เป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินก็ไม่โกรธ ควักครีมกุหลาบในกระปุกขึ้นมาบี้ดู ยกกระปุกขึ้นเขย่าไปมา แล้วว่า


 


 


“เมื่อจัดการเรื่องสำคัญเสร็จ เช่นนั้น ข้าก็อยากถามอีกหน่อยว่า แม่นางหานเจียวแพ้น้ำผึ้งใช่หรือไม่ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทุกครั้งที่ทานน้ำผึ้ง จะรู้สึกไม่ค่อยสบาย”


 


 


หานเจียวตะลึงงันอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนตอบ “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


จื่อเหินกับเหมยเซียนก็อึ้งเช่นเดียวกัน หานเจียวกินน้ำผึ้งไม่ได้จริงๆ กินแล้วจะอาเจียนและท้องเสีย รู้สึกแน่นท้อง ไม่สบายไปหมด เรื่องนี้พี่น้องบนเรือสำราญว่านชุน รวมทั้งแมงดาและมาม่าซังล้วนรู้ดี แต่คนนอกอย่างนางรู้ได้อย่างไร


 


 


“เช่นนี้ก็ชัดเจน” อวิ๋นหว่านชิ่นนำกระปุกครีมกุหลาบยัดใส่มือหานเจียว “หมอที่เจ้าไปหาพูดไม่ผิด ในครีมไม่มีพิษ เพียงแต่ ถูกใครบางคนเติมน้ำผึ้งลงไป” ว่าแล้วก็หันไปหยิบครีมกุหลาบกระปุกที่เหมือนกันส่งให้หานเจียวกับน้องๆ


 


 


“นี่ก็คือครีมกุหลาบที่ข้าทำเหมือนกัน แม่นางหานเจียวมองแวบเดียวก็รู้ ในกระปุกดั้งเดิมคือครีมกุหลาบบริสุทธิ์ ที่ไม่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนผสม ถ้าไม่เชื่อ ก็นำกลับไปแล้วให้คนที่ไว้ใจ ตรวจสอบอย่างละเอียดดูได้”


 


 


หานเจียวอึ้ง เข้าใจแล้ว จึงสะบัดแขนเสื้อ โกรธจนเลิกคิ้วดั่งต้นหลิวขึ้น


 


 


“หรือเด็กรับใช้ที่ไปซื้อเครื่องสำอางนั่น จงใจทำร้ายข้า?”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “พอแม่นางหานเจียวกลับไปแล้ว ก็ลองเรียกเด็กรับใช้มาสอบถามดู น่าจะพอรู้อะไรระแคะระคายอยู่ แต่ไม่ว่าใครคิดทำร้ายแม่นาง อย่างไรก็ไม่ใช่ข้า ที่ไม่เคยโกรธแค้นอะไรแม่นางเลย ที่ข้าให้แม่นางเข้ามา และรักษาหน้าให้แม่นาง ก็เพราะอยากให้เข้าใจว่า อย่าได้หลงกลใคร หรือตกเป็นเครื่องมือของใครได้ง่ายๆ” 

 

 


ตอนที่ 77-3 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจงแถลงไ...

 

สถานที่ที่ผู้หญิงอยู่รวมกัน ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการต่อสู้ชิงดีชิงเด่น หอโคมเขียวก็ไม่เว้น หานเจียวเดาว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ประมาณว่า พี่น้องที่อิจฉาริษยาตนเป็นคนทำ แล้วป้ายสีให้คุณหนูอวิ๋น โชคดีที่คุณหนูอวิ๋นเป็นคนมีน้ำใจ หานเจียวจึงหน้าแดงขึ้นมา พลางโค้งกายคารวะ แล้วว่า


 


 


“วันนี้ข้ากับน้องสาวทั้งสอง หุนหันพลันแล่นเกิน แต่คุณหนูอวิ๋นกลับใช้ความดีสยบความแค้น ไม่เพียงไม่ถือสา ยังทายารักษาหน้าให้ข้าอีก หานเจียวต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


พอจื่อเหินกับเหมยเซียนเห็นหานเจียวก้มศีรษะลง ก็พากันยอมจำนน


 


 


“เมื่อครู่เป็นเราเองที่ไม่คิดให้รอบคอบ ต้องขออภัยคุณหนูอวิ๋นด้วย”


 


 


“หึ อะไรนิดอะไรหน่อยก็บุกเข้าบ้านคนอื่น กระทั่งสถานะก็ไม่สนใจแล้ว แค่พูดขอโทษก็สิ้นเรื่องหรือ เอาเปรียบกันจริงๆ! ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คุณหนูบ้านข้ามิเท่ากับถูกพวกเจ้าทำร้ายรึ!” เมี่ยวเอ๋อร์ไม่ยอม


 


 


จื่อเหินกับเหมยเซียนได้ยินก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าลง


 


 


ส่วนหานเจียวแม้เป็นนางโลม แต่ก็มักทำอะไรตามอารมณ์และตรงไปตรงมา พอคิดๆ ดู ก็รู้สึกละอายใจจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะชดใช้อย่างไรดี จึงทุบอกตนเองแล้วพูดรับรอง


 


 


“เช่นนั้นเราก็จะไม่อยู่นาน และต้องออกทางประตูข้าง”


 


 


ว่าแล้วก็หันไปบอกให้เหมยเซียนให้นำเงินออกมา ใช้สองมือมอบให้ชูซย่า แล้วพูดอย่างนิ่มนวล


 


 


“สารสกัดจากดอกสายน้ำผึ้งกับผงกุหลาบของคุณหนูใหญ่ก็ต้องใช้เงินทำออกมาเหมือนกัน หานเจียวไม่กล้ารับน้ำใจ ไม่กล้าเอาเปรียบคุณหนูใหญ่อีก หานเจียวรู้ดีว่าจวนสกุลอวิ๋นเป็นบ้านขุนนาง คุณหนูใหญ่ต้องดูหมิ่น…เงินเหล่านี้แน่ อย่างไรก็คิดเสียว่า เอาไว้ให้พี่สาวทั้งสองดื่มน้ำชาก็แล้วกัน”


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ยังคงไม่หายโกรธ “ใครอยากได้เงินของพวกเจ้า”


 


 


เหมยเซียนขมวดคิ้ว “จะดูหมิ่นเงินของเราไปไย เรามิได้ไปปล้นไปจี้ใครสักหน่อย!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อคนเขาให้พวกเจ้าไว้ดื่มน้ำชา ก็รับไว้เถิด”


 


 


ชูซย่ารับเงินมา หานเจียวค่อยสบายใจขึ้น แม้ยังเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็เกรงว่าขืนอยู่ต่อ จะทำให้คุณหนูอวิ๋นเดือดร้อน จึงรีบพาน้องๆ ทั้งสอง ออกทางประตูข้างไป


 


 


……


 


 


เรื่องที่พวกหานเจียวมาเอาเรื่องที่จวนรองเจ้ากรม ประดุจกระดาษห่อไฟ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวน


 


 


ช่วงบ่าย พออวิ๋นเสวียนฉั่งกลับจากกรมกลาโหม และได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที


 


 


ก่อนอาหารมื้อค่ำ มอมอจากห้องโถงหลักก็มาแจ้งที่เรือนฝูหยิงว่า นายท่านกับผู้อาวุโสมาถึงแล้ว กำลังรอให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปพบ


 


 


ชูซย่าทนไม่ไหว ลากมอมอออกไปถามอย่างกังวลใจ “นายท่านสีหน้าไม่สู้จะดีใช่ไหม”


 


 


นอกม่าน มอมอพูดตามตรง “ก็ใช่น่ะสิ นายท่านงี้หน้าดำจนแทบจะรอให้คุณหนูใหญ่ไปอธิบายให้ฟังไม่ไหวแล้ว…”


 


 


ชูซย่าจึงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีขึ้น พอเลิกม่านเดินเข้ามา ก็ย่ำเท้า ก่อนพูดเสียงต่ำ


 


 


“ครั้งนี้ถูกยัยอวี้โหรวจวงนั่นทำร้ายเข้าแล้ว น่าแค้นใจจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้จ้องแต่เล่นงานคุณหนูใหญ่ นายท่านก็อีกคน ขายได้หมดทุกอย่าง ยกเว้นหน้าตาที่ขายไม่ได้ ทีนี้จะทำอย่างไรกันดีล่ะ”


 


 


ที่ผ่านมาคุณหนูใหญ่เป็นลูกสาวคนโปรดของบ้าน ถ้าทำอะไรขายหน้าผู้คน นายท่านต้องไม่ลังเลที่จะนวดด้วยกฎของบ้านแน่ อีกทั้งครั้งนี้คุณหนูใหญ่ถูกหญิงสาวจากหอนางโลมมาเอาเรื่องถึงบ้าน นายท่านต้องโกรธจัดอยู่แล้ว


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็แค่ถูกลงโทษ”


 


 


ชูซย่าถอนหายใจ “ท่านปลงแล้วสิ”


 


 


แต่ครั้งนี้เมี่ยวเอ๋อร์กลับไม่ร้อนใจ เงียบไปสักพัก ค่อยหันกาย เดินเข้าไปในห้องข้างๆ พอกลับออกมา ก็เอาของอะไรนิ่มๆ ติดมือมาด้วย พลางบอกให้อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลง


 


 


“จะทำอะไรน่ะ” อวิ๋นหว่านชิ่นถามอย่างแปลกใจ พอมองไป ก็เห็นว่าของสิ่งนั้นคล้ายถุงผ้าดิบสองใบ แต่ละใบมีสายรัดติดอยู่


 


 


เมี่ยวเอ๋อร์ถกชายกระโปรงคุณหนูใหญ่ขึ้น พับขากางเกงให้สองทบ พอเห็นหัวเข่าขาวๆ กลมๆ ก็นำถุงผ้าดิบที่ยัดนุ่นไว้แน่น มัดติดกับเข่าข้างละถุง แล้วค่อยปล่อยขากางเกงกับชายกระโปรงลง


 


 


“ไม่ต้องสนใจ มีนี่ป้องกันไว้ละ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว เป็นสนับเข่าที่นำมาผูกติดกับเข่าทั้งสองข้าง เพิ่มผิวสัมผัสเข่าให้นุ่มขึ้น บ่าวส่วนใหญ่ในตระกูลใหญ่ต้องมีของแบบนี้เตรียมพร้อมไว้เสมอ และจะแอบใส่ก็ต่อเมื่อต้องคุกเข่านานๆ เพื่อทำการขอร้องหรือถูกลงโทษ ซึ่งให้ผลดีกว่าไม่ใส่มาก


 


 


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นกับชูซย่าก็เดินตามมอมอไปยังห้องโถงหลัก


 


 


พอก้าวข้ามธรณีประตู และเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกได้ถึงความเครียดในบรรยากาศที่เงียบขรึม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงทำความเคารพ พลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่า ท่านพ่อ”


 


 


นางไปทำอะไรไว้ ถึงได้ทำให้โสเภณีกลุ่มหนึ่งมาเอ็ดตะโรอยู่หน้าบ้าน ก่อนจะถูกเชิญให้เข้าไปในเรือนของนาง พูดจากันอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ดูสิ ตอนนี้นางกลับไม่อนาทรร้อนใจใดๆ สงบนิ่งมาก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น! นี่ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งโมโหยิ่ง จึงตบโต๊ะลงไปแรงๆ


 


 


“เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี!” ตามด้วยเสียงสั่นสะเทือนของถ้วยชาบนโต๊ะ


 


 


“เจ้าสอนลูกเบาๆ หน่อยสิ” ถงฮูหยินขมวดคิ้ว


 


 


หลายวันมานี้นางสนิทสนมกับหลานสาวมาก สุดท้ายก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหลานสาวรับโทษสถานหนัก จึงพยายามไกล่เกลี่ย ก่อนหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ รู้ใช่ไหมว่าพ่อเจ้าเรียกเจ้ามาเพราะเรื่องอะไร รู้ใช่ไหมว่าตัวเองทำผิดอะไรไว้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นกัดริมฝีปากบางเบาๆ เมื่อนางรู้ ก็ไม่คิดอ้อมค้อมอีก พูดตรงๆ ออกมา


 


 


“วันนี้ลูกกับหญิงสาวกลุ่มหนึ่งบนเรือสำราญว่านชุนพบปะกัน”


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่านางยังไม่มีท่าทีสำนึกผิด ก็ยิ่งโกรธจนหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว เหลือบมองมารดา ก่อนชี้หน้าลูกสาว


 


 


“เจ้ารู้จักอายบ้างไหม คำว่าอายน่ะรู้จักไหม! เจ้าไปล่วงเกินคนเหล่านี้ที่ไหน แล้วลามมาถึงบ้านได้อย่างไร ทำอะไรไว้ให้คนเขาต้องมาพัวพันไม่เลิกอยู่หน้าประตูจวนรองเจ้ากรม เพื่อต้องการพบเจ้าให้ได้! เจ้ารู้ใช่ไหมว่า ข้ายังไม่ทันเข้าบ้าน เพิ่งลงจากเกี้ยวที่หน้าบ้าน ก็ได้ยินเพื่อนบ้านสองคนซุบซิบนินทาแล้วว่า นางโลมของเรือสำราญว่านชุนมาที่บ้านข้า ยังคลับคล้ายได้ยินชื่อเจ้าด้วย ดีที่ข้ารีบบอกให้บ่าวไปปิดปากสองคนนั้นไว้ อย่าพูดให้ใครฟังอีก เพราะถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป จะขยายความจนใหญ่โต เจ้ารู้ใช่ไหมว่าชื่อเสียงของเจ้าจะป่นปี้ แล้วข้าก็ต้องพลอยถูกโยงใยไปด้วย เฟยเอ๋อร์คนเดียวก็ทำให้ข้าขายหน้าสุดๆ พอแล้ว ตอนนี้เจ้ายังจะมาเหยียบย่ำซ้ำเติมข้าอีก”


 


 


“ท่านพ่อ ลูกมิได้เป็นผู้ชาย ไหนเลยจะมีเหตุจูงใจให้ไปพัวพันและล่วงเกินแม่นางเหล่านั้น ลูกไม่รู้จักพวกนางด้วยซ้ำ” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งมองว่านางกำลังเล่นลิ้น จึงแค่นเสียงเย็นชาออกมา


 


 


ถงฮูหยินคิดว่า ระยะนี้คือช่วงเวลาสำคัญที่ลูกกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกจึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องทำนองนี้ได้จริงๆ จึงพูดตำหนิขึ้นบ้าง


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าก็จริงๆ เลย ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีทางไปรู้จักคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าพวกนั้นหรอก แต่ตอนที่พวกนางมาหาเรื่อง เจ้าก็น่าจะรีบตะโกนเรียกผู้คุ้มกัน ให้รีบๆ ไล่พวกนางไปก็สิ้นเรื่อง ทำไมถึง…ถึงยังเชิญให้พวกนางเข้ามาอีก เรื่องนี้จะโทษพ่อเจ้าที่ด่าว่าเจ้าทำตัวไม่เหมาะสมก็ไม่ได้”


 


 


อวิ๋นหว่านช่นหันมองท่านย่า พลางค่อยๆ พูด


 


 


“ครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ แม่นางเหล่านั้นถูกคนยุแหย่ ถึงได้เข้าใจข้าผิด เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องลุกลามชิ่นเอ๋อร์จึงรีบเชิญให้พวกนางเข้ามาก่อน ถ้าขืนไล่พวกนางไปโดยที่พวกนางไม่ยินยอมแล้วล่ะก็ ครั้งหน้าพวกนางก็ต้องมาก่อกวนอีก ชิ่นเอ๋อร์คิดว่าทำเช่นนี้ ส่งผลดีในระยะยาว”


 


 


ถงฮูหยินคิดตาม ก็ถูกของนาง แต่อวิ๋นเสวียนฉั่นไหนเลยจะฟัง อย่างไรอวิ๋นหว่านชิ่นก็เชิญคนที่ไม่มีสกุลรุนชาติเข้าประตูมา จึงยังโกรธไม่หาย


 


 


“ได้ยินบ่าวที่หน้าประตูบอกว่า ใบหน้าของแม่นางคนหนึ่งพังเพราะใช้ครีมทาหน้าที่เจ้าทำ…แต่เจ้ากลับบอกว่า มีคนให้ร้ายเจ้า ข้าก็ไม่รู้ละ รู้แต่ว่าหมู่นี้ เจ้าหมกมุ่นอยู่กับการปลูกต้นไม้ใบหญ้า ข้าก็ตามใจ อย่างก่อนหน้านี้ที่เจ้าไปบ้านสวนโย่วเสียน แล้วไม่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนดูแลน้องเจ้า วันทั้งวัน ยุ่งอยู่กับการให้คนไปพรวนดินในสวน ตรวจบัญชี ไปดูร้าน อีกทั้งยังตั้งกฎเพิ่ม แล้วไล่คนออกอีก ข้าเห็นว่าป้าหม่านั่นไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จริงๆ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย ไม่เข้าไปยุ่งกับเจ้า แต่ตอนนี้มันเกินไปจริงๆ กระทั่งผู้หญิงสกปรกพวกนั้น เจ้าก็ยังเชิญให้เข้ามาได้!”


 


 


ถงฮูหยินได้ยินดังนี้ ก็รู้สึกกังวลใจ ด้วยรู้แล้วว่าลูกชายยังโมโหไม่หาย และคิดที่จะลงโทษลูกสาวสักตั้ง


 


 


จึงส่งสายตาให้หลานสาว พลางว่า


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ ยังไม่ขอโทษพ่อเจ้าอีก” 

 

 

 


ตอนที่ 77-4 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจงแถลงไ...

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าจ้องมองบิดา


 


 


การปลูกต้นไม้ใบหญ้าในบ้าน เขาก็เป็นคนอนุญาตเอง ส่วนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริหารจัดการบ้านสวนโย่วเสียนชนิดขุดรากถอนโคน ก็ทำให้มีกำไรเข้าคลังบ้านสกุลอวิ๋นเพิ่ม ซึ่งเขาก็ได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ แต่ตอนนี้พอเกิดเรื่องขึ้น ทำไมถึงโทษมาที่ตนทั้งหมดล่ะ คล้ายกับว่าลูกสาวอย่างตนกำลังบีบบังคับบิดาอย่างเขาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“เช่นนั้นท่านพ่อคิดจะทำเช่นไร”


 


 


ฟังจากน้ำเสียงอันทรงอำนาจของเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้ตัวแล้วว่า หลีกเลี่ยงการถูกลงโทษไม่พ้น


 


 


“เก็บพวกถ้วยโถโอชามในห้องคุณหนูใหญ่ห่อรวมกันแล้วเอาไปทิ้งให้หมด รวมทั้งหนังสือที่นำมาจากบ้านสกุลสวี่ด้วย เผาทิ้งให้หมด ยังมี ดอกไม้ใบหญ้าแปลงเล็กๆ นอกเรือนก็ถอนให้เ**้ยนเตียน!”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเอ็ดตะโร


 


 


“นึกว่าข้าไม่รู้รึ ลุงของเจ้าน่ะตามใจเจ้าทุกอย่าง ทำไมน่ะหรือ เขาอยากให้เจ้ารับช่วงกิจการต่อ เป็นทายาทรุ่นที่สองของสกุลสวี่น่ะสิ แต่เจ้าน่ะเป็นกุลสตรี ช้าเร็วก็ต้องออกเรือน ควรอยู่แต่ในบ้านรองานมงคลอย่างสงบเสงี่ยม แล้วพอไปอยู่บ้านสามี ก็ผลิตทายาทให้เขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว! ที่ข้าไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้ เพราะคิดว่าเป็นงานอดิเรกของเจ้า ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่ตอนนี้กลับก่อความวุ่นวายให้ข้า ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน จนเขาต้องมาเอาเรื่องเจ้าที่บ้าน ข้าไหนเลยจะนิ่งดูดายให้เจ้าทำเรื่องไร้สาระนี่อีก!”


 


 


เด็กรับใช้ที่อยู่หน้าประตู พอได้ยินคำสั่งนาย ก็รีบหันกาย จะไปจัดการ แต่กลับได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นที่ด้านหลัง “ช้าก่อน!”


 


 


พอได้ยินเสียงนี้ เด็กรับใช้ก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองตามความเคยชิน


 


 


นี่มิใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวงัดข้อกับตน


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าแดง พอเห็นเด็กรับใช้ยืนนิ่งเพราะถูกลูกสาวตะโกนสั่ง ผู้เป็นพ่อจะเสียอำนาจการปกครองหน้าต่อหน้าบ่าวได้อย่างไรกัน จึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


 


 


“ดี เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเอาเองแล้วกันว่า จะให้ถอนแปลงดอกไม้และยกของระเกะระกะพวกนั้นออกไป หรือเจ้าจะยอมรับโทษเสียเอง ด้วยการคุกเข่าจนถึงวันรุ่งขึ้น ห้ามลุกไปไหน ห้ามขยับเขยื้อนเคลื่อนย้าย ห้ามกินห้ามดื่ม!”


 


 


พอพูดออกมา อวิ๋นเสวียนฉั่งก็คิดว่าลูกสาวต้องถอยแน่เพราะเห็นว่าลำบาก


 


 


ถงฮูหยินก็กำลังคิดพิจารณาเช่นเดียวกัน เด็กสาวอ้อนแอ้นบอบบาง ไหนเลยจะทนลำบากเช่นนี้ได้ ต้องยอมถอยแน่ โดยคิดไม่ถึงว่า อวิ๋นหว่านชิ่นจะยกชายกระโปรงขึ้นเบาๆ แล้วคุกเข่าลง


 


 


“เช่นนั้นท่านพ่อก็ต้องพูดคำไหนคำนั้น กลับคำไม่ได้” ก็แค่คุกเข่า มันจะไปยากอะไร


 


 


“เจ้า…” อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าตึง “ดี!”


 


 


“เจ้ารอง อากาศเย็นแบบนี้ เจ้าดูสิ คลื่นความเย็นแผ่ลงมาแล้ว กลางคืนจะเย็นกว่านี้อีก เจ้าให้เด็กผู้หญิงที่ยังไม่ออกเรือนคุกเข่าอยู่บนพื้นหินที่เย็นยะเยียบเช่นนี้ แข็งกันหมดพอดี อยากให้เป็นเหมือนข้าที่เข่าแข็งจนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไง!” ถงฮูหยินทนไม่ไหว


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มเย็นชา “ลำพังวันนี้ที่นางคบหาผู้หญิงชั้นต่ำ อีกทั้งยังปล่อยให้เข้ามาก่อกวนในบ้าน ถ้าข้าสั่งบ่าวให้ลากนางไปโบยที่ห้องบูชาบรรพชน ก็ไม่ถือว่าเกินเลยแม้แต่น้อย! เด็กๆ นี่ก็สายมากแล้ว พยุงผู้อาวุโสกลับเรือนตะวันตกหน่อย”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของลูกชาย ถงฮูหยินก็พูดอะไรไม่ออก ที่ผ่านมานึกว่าหลานสาวคนโตฉลาดและอยู่ในโอวาท พูดจาอ่อนหวานรื่นหู มีไหวพริบดี ทำไมจู่ๆ ถึงแข็งข้อขึ้นมาได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนที่บ่าวและมอมอจะเข้ามาพยุงให้กลับเรือนไป


 


 


“เจ้าก็คุกเข่าให้ดีๆ ในห้องโถงนี้ไป ถ้ายังไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า ห้ามลุกขึ้นเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะถูกบวกเพิ่มอีกหนึ่งวัน!” อวิ๋นเสวียนฉั่งลุกขึ้นยืน แล้วชี้ไปที่มอมอคนหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่เฝ้านางไว้ ถ้านางขยับ หรือลุกขึ้นเมื่อไหร่ มาบอกข้า พรุ่งนี้จะได้ให้นางคุกเข่าต่อ! แต่ถ้าเจ้าปกปิดความจริง และข้ารู้เมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องคุกเข่าอยู่เป็นเพื่อนนาง!” ว่าแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ เดินออกจากห้องไป


 


 


โดยชูซย่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้แต่ยืนมองประตูทั้งสองบานของห้องโถงปิดเข้าหากันแล้ว จากนั้นก็ถูกไล่ให้กลับไป


 


 


ประตูบานใหญ่ที่ด้านหลังปิดลงเสียงดัง ‘กึก’


 


 


นางมาถึงที่นี่ช่วงพลบค่ำ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พอปิดประตู รอบด้านจึงมืดมิด ระเบียงไม่ได้จุดดวงโคม จึงมีเพียงแสงจางๆ ที่สาดเข้ามา


 


 


มอมอยืนอยู่หน้าประตูอย่างเคร่งครัด ตามคำสั่งอันเด็ดขาดของนายท่าน เฝ้าดูอวิ๋นหว่านชิ่นโดยไม่ให้คลาดสายตา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมือลื่น พอโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มือก็แอบลูบสนับเข่าที่นุ่มนิ่มทั้งสองข้าง ดีที่เมี่ยวเอ๋อร์มองการณ์ไกล ใส่เจ้าสิ่งนี้ให้ตนก่อน ถ้าเข่าสัมผัสกับพื้นห้องที่เย็นดุจน้ำแข็งเช่นนี้ตรงๆ คืนหนึ่ง ใครจะไปทนไหว


 


 


พอมอมอเห็นร่างของอวิ๋นหว่านชิ่นขยับเล็กน้อย ก็พูดขู่ “คุณหนูใหญ่ นายท่านบอกแล้วว่า ขยับไม่ได้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยืดตัวตรง เข้มงวดเสียจริง  


 


 


ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว แสงจันทร์สาดส่องที่หน้าประตู ทำให้เงาไม้ซึ่งทอดตัวอยู่บนบานหน้าต่างและบานประตู แกว่งไปมาสะเปะสะปะท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วง


 


 


ลมเย็นพัดเข้ามาตามช่องของประตูหน้าต่าง


 


 


แรกๆ ก็ไม่รู้สึก แต่พอไร้แสงอาทิตย์ ไร้ผู้คน ค่อยรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงทรวง มือเท้าเย็นไปหมด


 


 


เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ เป็นผ้าเนื้อบางที่ใส่เวลาอยู่ในเรือน ถ้ารู้แต่แรก ก็สวมเสื้อคลุมหนาหน่อยแล้ว แต่เรื่องเช่นนี้จะรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ถ้ารู้ล่วงหน้าจริง ก็ไม่มีทางให้ครีมกับลวี่สุ่ยหรอก…ทว่า ถ้าอวี้โหรวจวงตั้งใจจะกลั่นแกล้งตนอยู่แล้ว ถึงไม่ให้ไป นางก็สามารถหาช่องทางอื่นๆ ได้


 


 


อย่างว่า เป็นขโมยง่ายกว่ากันขโมย ท่านไม่มีทางป้องกันคนที่จ้องแต่จะขุดหลุมฝังท่านได้ตลอดไปหรอก


 


 


พอนึกถึงอวี้โหรวจวง อวิ๋นหว่านชิ่นก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ทำให้พลอยนึกถึงฉินอ๋องไปด้วย ที่ตนต้องมีสภาพเช่นนี้ เขาก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน


 


 


ถ้าไม่ใช่เขา อวี้โหรวจวงนั่นจะสร้างปัญหาให้ตนไม่หยุดหย่อนได้อย่างไร


 


 


ต้นเหตุแห่งความหายนะจริงๆ


 


 


……


 


 


ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม จากเอวลงไปจนถึงข้อเท้า คล้ายถูกเทตะกั่วลงไปอย่างไรอย่างนั้น ปวดแปลบสุดจะเปรียบ


 


 


เข่าที่ไม่ได้มีไว้วิงวอนร้องขอของนาง คล้ายจะใช้การไม่ได้แล้ว


 


 


กลิ่นกับข้าวหอมเหลือเกิน ไม่รู้โชยมาจากไหน


 


 


ตอนนี้ พอดีเป็นช่วงอาหารค่ำ


 


 


“มอมอ ท่านไม่กินข้าวหรือ” ท้องของอวิ๋นหว่านชิ่นร้องโกรกกรากไปสองรอบ จึงได้แต่กลืนน้ำลายลงไป


 


 


มอมอยิ้มขมขื่น “คุณหนูใหญ่ อย่าทดสอบบ่าวอีกเลย ถ้าวันนี้บ่าวไม่เฝ้าท่านให้ดีๆ ต่อไปคงไม่ได้กินข้าวอีก”


 


 


“มอมอ การพูดคุยกับหญิงสาวบนเรือสำราญว่านชุน เป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้จริงหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นพลันเอ่ยปากถาม


 


 


มอมอขมวดคิ้ว กลับไม่ตอบ “คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังถูกลงโทษ”


 


 


“ท่านพ่อว่าห้ามขยับ ห้ามลุก ห้ามกินข้าว แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามพูด” อวิ๋นหว่านชิ่นแลบลิ้น


 


 


มอมออึ้ง จึงว่า “…คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นลูกสาวขุนนาง ย่อมไม่สามารถคบกับคนทำการค้าเช่นนี้ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นจะมองท่านอย่างไร คุณหนูใหญ่เป็นคนหัวไว เหตุผลเช่นนี้ทำไมไม่เข้าใจ หรือท่านรู้ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อก่อนนางรู้สึกว่า ถ้าตนสามารถศึกษาค้นคว้าสูตรสมุนไพรเพื่อความงามอย่างจริงจัง โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็น จ้าวหนิงเอ๋อร์ ลู่ชิงฝู หรือจ้าวฮูหยิน ภรรยานายอำเภอแห่งที่ว่าการอำเภอหลิงอวิ๋น ทุกอย่างคงราบรื่น


 


 


แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ผู้หญิงทุกชนชั้นในเมืองก็มีพลัง อย่างที่มองข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน


 


 


อย่างที่ว่า คุยกับมอมอ มิสู้คุยกับตัวเอง “…ทว่าตามประวัติศาสตร์แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่มีชื่อเสียงมากสุด ไม่ว่าจะเป็นหมอ ช่างแต่งหน้า หรือช่างฝีมือ ผู้ใดจำกัดบ้างว่า จะรับเฉพาะลูกค้าแบบไหน ท่านดูสิ หมอหลวงในวังแต่ละคนฝีมือสูงส่งทั้งนั้น แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เป็นที่รู้จักของชาวบ้านทุกหัวระแหง จะมีสักกี่คนเชียว ผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์จริงๆ ล้วนเป็นผู้ที่สามารถคลุกคลีอยู่กับชนชั้นล่างทั้งสิ้น ผู้หญิงในหอนางโลมแล้วไง ด้านหนึ่งต้าเซวียนให้การรับรองตัวตนและสถานะของพวกนางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อีกด้านหนึ่งกลับดูแคลนพวกนางว่าสกปรก นี่มิใช่การตบหน้าตนเองหรอกหรือ”


 


 


นี่มันความคิดขบถชัดๆ คำพูดที่หลุดออกจากกฎเกณฑ์ของยุคสมัยเช่นนี้ มอมอได้ยินแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง ส่งเสียง ‘อา’ ออกมา แล้วกลืนลงไป ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี สุดท้ายก็ทำใบ้กินไปเสีย


 


 


ถ้าจะให้อยู่อย่างเบื่อหน่ายกับมอมอ อวิ๋นหว่านชิ่นมิสู้หาเรื่องคุย จะได้ไม่คิดมาก จะได้ลืมความรู้สึกหิวและหนาวไป แต่พอเห็นมอมอไม่เปิดปากพูดอีก ตนก็ได้แต่ปิดปากเงียบ 

 

 


ตอนที่ 77-5 แพ้ครีมทาหน้า ชี้แจงแถลงไ...

 

ซึ่งการเงียบเช่นนี้ ได้ทำให้เวลาผ่านไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญ หนาวก็หนาว ท้องก็ร้องดัง


 


 


แต่การคุกเข่า สามารถรักษาแปลงดอกไม้นอกเรือนกับสูตรสมุนไพรเหล่านั้นไว้ได้ นางยังคงไม่เสียใจ


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด “ฮัดเช้ย…” ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านห้องโถง ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นจามออกมาอย่างอดไม่ได้ ขนลุกไปทั้งตัว


 


 


เห็นที คืนนี้คงผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ


 


 


ทันใด เสียงฝีเท้านอกห้องก็ดังมา จากไกลเป็นใกล้ ก่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สุดท้าย ก็มาถึงหน้าบันไดห้องโถง


 


 


แม้อวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังให้ประตู แต่ก็รู้สึกได้ว่า ดวงโคมตรงระเบียงถูกจุดให้สว่างขึ้นทีละดวง จนสว่างไปหมดทั้งระเบียง


 


 


ประตูเปิดออก เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา คล้ายชูซย่าเข้ามาเป็นคนแรก พยุงอวิ๋นหว่านชิ่นให้ลุกขึ้นยืน ก่อนพูดเสียงเบา


 


 


“นายท่านสั่งให้คุณหนูใหญ่รีบลุกขึ้น ละเว้นโทษคุกเข่าไปก่อน อีกสักครู่นายท่านจะรีบมาที่ห้องโถง…”


 


 


พอยืนขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยรู้ตัวว่าขาทั้งสองข้างชาจนแทบไม่รู้สึกรู้สา จึงซวนเซเล็กน้อย ดีที่ยืนนิ่งอยู่ได้


 


 


แค่หนึ่งถึงสองชั่วยามเท่านั้น ที่ยืนหยัดได้โดยไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ถ้าคุกเข่าหนึ่งวันหนึ่งคืนจริงๆ เกรงว่าถ้าไม่พิการก็ต้องนอนพักไปอีกหลายวัน


 


 


ทว่า ละเว้นโทษคุกเข่า? ไม่ใช่อุปนิสัยของบิดานี่


 


 


บิดาติงว่า แค่ลงโทษคุกเข่ายังไม่พอมิใช่หรือ คิดจะทำอะไรอีกล่ะ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น เห็นม่อไคไหลพาเด็กรับใช้และบ่าวในจวนหลายคนเข้ามา จึงถามด้วยความสงสัย “พ่อบ้านม่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


ม่อไคไหลก้าวมาข้างหน้าสองก้าว “คุณหนูใหญ่ มีผู้สูงศักดิ์ในวังจะมาจวนรองเจ้ากรมเรา แจ้งข่าวบางอย่างให้ทราบ นายท่านเลยให้พวกเรามารวมตัวกันในห้องโถง เพื่อต้อนรับกงกงที่กำลังรีบเดินทางมา ดังนั้นจึงขอให้คุณหนูใหญ่อยู่ต้อนรับด้วย”


 


 


อ๋อ…ที่แท้ก็มีคนในวังมา บิดาเกรงว่าจะเห็นภาพลูกสาวถูกทำโทษในบ้านเข้า…แต่จะว่าไปแล้ว ตนโชคดีขนาดนี้เลยหรือ?


 


 


ขณะเดียวกัน อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถง ด้านหลังยังมีถงฮูหยิน อนุฟางกับลูกสาวตามมาด้วย


 


 


เมื่อครู่ตอนทานอาหารค่ำเป็นเพื่อนถงฮูหยินที่เรือนตะวันตก พอรู้ว่าอีกสักพักจะมีคนในวังมาแจ้งข่าว อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ตกใจพลัน รีบวางตะเกียบและชามลง แล้วให้คนไปบอกอนุฟางที่เรือนชุนจี้ ส่วนตัวเองก็กลับไปเปลี่ยนชุด แล้วรีบมาที่ห้องโถง


 


 


นายและบ่าวสกุลอวิ๋นหลายคนยืนรอต้อนรับแขกอยู่ในห้องโถง อวิ๋นเสวียนฉั่งยืนอยู่หน้าสุด ถงฮูหยินกับอวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านหลังของเขา ถัดไปด้านหลังค่อยเป็นอนุฟางและอวิ๋นหว่านถง


 


 


เสียงฝีเท้าดังมา ม่อไคไหลถือโคมผ้าไหมสีเขียวอ่อน เดินนำชายวัยกลางคนผิวขาว รูปร่างผอมบางคนหนึ่งเข้ามาในห้องโถง


 


 


เขาสวมชุดเครื่องแบบขันทีสีน้ำเงิน หน้าตาอ่อนโยนเกลี้ยงเกลา พอก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็สำรวจมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาอยู่ที่เด็กสาวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังรองเจ้ากรมอวิ๋น


 


 


เด็กสาวตรงหน้าอายุไม่เต็มสิบห้า ยังสูงไม่สุด ดูนิ่งๆ คล้ายขี้อายอยู่บ้าง แต่หน้าตางดงามทีเดียว โดยเฉพาะดวงตา ดุจภูเขาอันไกลลิบ ดั่งมหาสมุทรอันลึกล้ำ สงบนิ่งมาก ดูไม่ออก ไม่เหมือนเด็กใสๆ บุคลิกดูเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีความประหม่าแต่อย่างใด ถอนสายบัวก้มหน้าตามมารยาทได้อย่างเหมาะสม


 


 


ส่วนเด็กสาวอีกคนที่อยู่ด้านหลัง ท่าทางราวสิบสามสิบสี่ น่ารักบอบบาง บิดผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมือไปมา อาจต้อนรับแขกจากในวังเป็นครั้งแรก จึงตัวสั่นเล็กน้อย ทว่าขณะก้มหน้า กลับแอบกลอกตาไม่หยุด


 


 


ดังนี้ เด็กสาวที่อยู่ด้านหน้า น่าจะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งบ้านสกุลอวิ๋น


 


 


พอขันทีเข้ามา ยังไม่ทันทักทายเจ้าบ้าน ก็จ้องมาที่ตนก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นค่อนข้างสงสัยในใจ


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งก้าวไปข้างหน้า ประสานมือ “จางกงกงมาในยามค่ำคืน ลำบากแล้ว เด็กๆ นำเก้าอี้เข้ามาและรินน้ำชาให้กงกงหน่อย”


 


 


จางเต๋อไห่โบกมือ “ไม่ต้องหรอก ค่ำมืดแล้ว ต้องรีบกลับ ข้ามาแจ้งข่าวจากพระสนมเอกเฮ่อเหลียนแล้วก็จะไปในทันที”


 


 


พระสนมเอกเฮ่อเหลียน?


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้า สบตากับจางเต๋อไห่พอดี


 


 


ใต้แสงตะเกียงในห้อง จางเต๋อไห่พอดีเห็นใบหน้าขาวเนียนดุจหยกไร้ที่ติ จึงรู้สึกเอะใจ เด็กสาวอะไร อายุยังน้อย แต่กลับมีเสน่ห์พร่างพราว มิน่าเล่าฉินอ๋อง…รูปโฉมเบิกทาง?


 


 


จางเต๋อไห่ยกมือขึ้นกำหลวมๆ ใต้ริมฝีปากแล้วไอเบาๆ ออกมาสองที ก่อนแจ้งข่าว


 


 


“มะรืนนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเจี่ยไทเฮา หลังงานเฉลิมฉลอง จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ต่อตามธรรมเนียม ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมงานล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์และผู้ติดตาม พระสนมเอกเฮ่อเหลียนจึงขอเชิญคุณหนูใหญ่แห่งบ้านสกุลอวิ๋น คุณหนูอวิ๋นหว่านชิ่น ให้เป็นผู้ติดตามพระสนมเอกเข้าไปในงาน”


 


 


ว่าแล้วก็ล้วงเทียบเชิญอักษรสีทองออกจากปลายแขนเสื้อดิ้นทอง มอบให้ด้วยมือทั้งสองข้าง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบรับเอาไว้


 


 


พอคำพูดนี้หลุดจากปาก ผู้หญิงสกุลอวิ๋นต่างตกตะลึง


 


 


ถงฮูหยินยิ้มไม่หุบ มือที่หยาบกร้านแอบคว้ามือของอวิ๋นหว่านชิ่นมาบีบ


 


 


อนุฟางกับอวิ๋นหว่านถงตะลึงงัน ก่อนหันมาสบตากัน ถ้าจะบอกว่าไม่ริษยาเลยคงเป็นไปไม่ได้


 


 


ผู้ติดตามนอกวังที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังนั้น เหล่าพระสนมต้องเป็นผู้เชิญเอง แต่โดยทั่วไป ผู้


 


 


ถูกเชิญล้วนเป็นหญิงสาวในเครือญาติที่ยังไม่ออกเรือน


 


 


ซึ่งการที่ผู้เข้าร่วมงานสังสรรค์มีแต่ลูกท่านหลานเธอ และคนในราชวงศ์นั้น ทำให้เหล่าพระสนมพากันเชิญญาติสาวของตนเข้าร่วมงาน เพื่อเปิดโอกาสให้หลานได้สัมผัสกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันไว้ บ้านสกุลอวิ๋นหยั่งรากได้ไม่ลึกพอในเมืองหลวง จึงไม่มีเส้นสายใดๆ ในวังหลัง และไม่เคยมีลูกสาวคนใดได้รับเชิญมาก่อน นึกถึงก่อนหน้านี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เคยคิดที่จะให้อวิ๋นหว่านเฟยเข้าร่วม จนเคยส่งจดหมายให้น้องสาวครั้งหนึ่ง ว่าพอจะขอฮองเฮาผ่อนผันให้สักครั้งได้หรือไม่ แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้สักที


 


 


ทว่าตอนนี้ พระสนมเอกเฮ่อเหลียนกลับให้กงกงคนสนิทมาส่งเทียบเชิญให้อวิ๋นหว่านชิ่นด้วยตนเอง?


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งกวาดตามองเทียบเชิญคร่าวๆ เขาหน้าชื่นตาบานตั้งแต่ได้ยินแล้ว ความโกรธเคืองที่มีต่อลูกสาวก่อนหน้านี้มลายหายสิ้น


 


 


“ขอบพระทัยพระสนมเอกเฮ่อเหลียนที่เชิญลูกสาวข้า มะรืนนี้ลูกสาวข้าต้องแต่งตัวเข้าร่วมงานอย่างสมพระเกียรติ ไม่ทำให้พระสนมเอกต้องผิดหวังอย่างแน่นอน!” แล้วจึงส่งสายตาให้อวิ๋นหว่านชิ่น


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ชัดเจนในสถานการณ์ แต่เมื่อได้ละเว้นโทษ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ถอนสายบัว “ลำบากกงกงแล้ว ขอบพระทัยพระสนมเอก”


 


 


อากัปกิริยาเย็นดุจหิมะ พลิ้วไหวดุจสายลม นุ่มนวลดุจปุยเมฆ มีความอ่อนน้อมและสง่างามแบบกุลสตรี จางเต๋อไห่จึงอมยิ้มที่มุมปาก คล้ายพอใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“ดี เช่นนั้นมะรืนนี้ ช่วงเช้าราวเจ็ดโมงสี่สิบห้า ข้าจะให้รถม้ามารับคุณหนูอวิ๋นเข้าวัง”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มแก้มปริ พลางเดินไปส่งจางเต๋อไห่ออกนอกจวนด้วยตนเอง


 


 


พอแขกไปแล้ว ถงฮูหยินก็ยิ่งจับมือหลานสาวแน่น พลางพูดอย่างปลื้มปีติ


 


 


“ข้าว่าแล้ว ชิ่นเอ๋อร์เป็นคนมีโชค ยังไม่ทันไรก็ได้ไปเป็นแขกในวังแล้ว ถึงตอนนั้น พอได้ติดตามอยู่ข้างกายพระสนมเอก ไม่แน่ว่าจะได้เห็นพระพักตร์ฮ่องเต้กับไทเฮาด้วย!”


 


 


อวิ๋นหว่านถงก็ก้าวเข้ามา ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วว่า “ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย”


 


 


อนุฟางที่ยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นหว่านถง มิได้ส่งเสียง เพราะกำลังทำใจ แต่พอมองอวิ๋นหว่านชิ่น และกำลังจะพูดอะไร ก็ต้องชะงัก เนื่องจากนายท่านส่งแขกเสร็จ และกำลังเดินยิ้มหรากลับเข้ามา ก่อนพูดอย่างยินดีปรีดา


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ นี่ก็ดึกแล้ว ยังไม่กลับไปพักผ่อนอีก”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “ท่านพ่อมิใช่ต้องการลงโทษให้ลูกคุกเข่าต่อหรือ”


 


 


ต่อให้เสียผู้ใหญ่เช่นไร ก็ไม่มีทางทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งเสียอารมณ์อีก เขาจึงยิ้มแหยๆ แล้วว่า


 


 


“ลงโทษอะไร! ชูซย่า พาคุณหนูกลับห้อง ดูสิว่าคุกเข่ามานาน เข่าเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าบวมแดง ก็ต้องรีบทายานะ! สองวันนี้ ต้องรักษาตัวให้ดี! อ้อ จริงสิ ดีที่ข้านึกขึ้นได้ ไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม หิวล่ะสิ ไปที่ห้องครัว ดูสิว่าชิ่นเอ๋อร์อยากกินอะไร แล้วบอกให้เขาทำทันที! ถ้าไม่ถูกปาก ก็ให้ไปที่เทียนซิ่งเหลาซื้อกลับมา!”


 


 


ชูซย่าขานรับเสียงใส “เจ้าค่ะ นายท่าน!” ว่าแล้วก็พยุงคนจากไป


 


 


ถงฮูหยินก็เดินออกจากห้องโถงไปพร้อมกับหลานสาว


 


 


อนุฟางทำลีลา ชักช้าอยู่หลังสุด พอเห็นคนไปกันหมดแล้ว ค่อยรวบรวมความกล้า ตะโกนเรียกอวิ๋นเสวียนฉั่ง “ท่านพี่” 

 

 


ตอนที่ 78-1 ม้าผอมแย่งชิง สองพี่น้องเ...

 

 


 


พอเห็นสีหน้าอนุฟาง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รู้แล้วว่านางอยากจะขออะไรตน


 


 


และแล้วอนุฟางก็ก้าวเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลง พลางพูดเสียงเบา “ท่านพี่ หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยขออะไรท่านพี่เลย เพราะรู้สถานะตัวเองดี จึงไม่กล้าขออะไร แต่ตอนนี้มีเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับชีวิตทั้งชีวิตของลูกสาม ถึงต้องมาขอท่านพี่สักครั้ง”


 


 


ว่าแล้วก็ถกแขนเสื้อทั้งสองข้าง คุกเข่าลง โขกศีรษะสองครั้ง


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นคนฉลาด  พอจางเต๋อไห่ไป อนุฟางก็มีเรื่องมาขอทันที เขาถึงได้เดาอะไรบางอย่างได้ จึงบอกให้นางลุกขึ้น “เจ้าลองว่ามาก่อน”


 


 


อนุฟางหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ดวงตาพลันแดง บิดผ้าเช็ดหน้าไปมา มองบนเล็กน้อย ก่อนพูดละล่ำละลัก น้ำเสียงแสดงความเจ็บปวด


 


 


“ครั้งนี้คุณหนูใหญ่โชคดี ได้รับเลือกจากพระสนมเอกให้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในวังที่เจี่ยไทเฮาทรงจัดขึ้น จากความสามารถที่คุณหนูใหญ่มี มองมุมไหนก็ราศีจับ ใครเห็นใครก็รัก สามีในอนาคตย่อมเป็นผู้เอกอุในแผ่นดิน ซึ่งนางต้องเลือกลูกเขยที่ดีให้กับท่านพี่และสกุลอวิ๋นได้แน่ แต่…แต่ลูกสามกลับไร้วาสนาและอาภัพ มาเกิดในท้องของคนที่ไม่เอาไหนอย่างข้า เป็นลูกเมียน้อยที่เกรงว่าคงหาสามีที่ดีได้ยากยิ่ง ลูกสามก็โตแล้ว กำลังอยู่ในวัยเลือกคู่หมั้นพอดี…ตอนนี้เมื่อสบโอกาส ข้าก็อยากขอท่านพี่ ให้ลูกสามได้พึ่งพาความร้อนแรงของคุณหนูใหญ่ ด้วยการให้คุณหนูใหญ่พาลูกสามไปงานเลี้ยงในวันนั้นด้วย พอจะได้หรือไม่…”


 


 


ตั้งแต่พบเจอกับรัชทายาทโดยบังเอิญที่โรงละครว่านไฉ่ อนุฟางก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องหาผู้สูงศักดิ์สักคนมาเป็นสามีของลูกสาวให้ได้ ครั้งนั้นแม้ล้มเหลว ลูกสาวยั่วยวนรัชทายาทไม่สำเร็จ แต่ก็นับว่ายังพอมีหวัง ลูกท่านหลานเธอในเมืองหลวงมีมากมาย แม้เป็นชายารัชทายาทไม่ได้ ก็ยังมีชายาอ๋อง ชายาซื่อจื่อ ฮูหยินอำมาตย์ ฮูหยินท่านโหว เป็นต้น!


 


 


เมื่อครู่ พอได้ยินว่าอวิ๋นหว่านชิ่นสามารถเข้าวัง อนุฟางจึงปีติยินดียิ่ง งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไทเฮาทรงจัด ย่อมมีผู้ชายสูงศักดิ์หลากหลายสถานะ โอกาสก็ย่อมมากตาม


 


 


พูดอ้อมไปมา อีกทั้งร้องไห้และเยินยอ ทุกอย่างมาจบที่อยากให้ลูกเมียหลวงพาลูกเมียน้อยเข้าวังด้วยว่างั้น เพื่อให้เด็กสาววัยละอ่อนสุดในบ้านมีโอกาสจับลูกเขยเชื้อจ้าวกับเขาบ้าง แม้น่าขัน แต่อวิ๋นเสวียนฉั่งกลับคิดจริงจัง เมื่อลูกสาวคนรองอวิ๋นหว่านเฟยตกกระป๋อง เขาก็เหลือลูกสาวแค่สองคน กับต้าเซวียนที่เห็นสถานะเป็นเรื่องสำคัญด้วยแล้ว โอกาสที่ลูกเมียน้อยอย่างลูกสาวคนเล็กจะได้แต่งกับผู้สูงศักดิ์จึงมีอยู่ไม่มาก ซึ่งงานเลี้ยงสังสรรค์ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีเอามากๆ


 


 


อีกอย่าง ถ้าลูกสาวทั้งสองคนไปด้วยกัน โอกาสที่จะเข้าตาชายสูงศักดิ์ย่อมมีมากกว่า โดยถ้าคนหนึ่งไม่ผ่าน อีกคนก็ยังมีสิทธิ์


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหวั่นไหวแล้ว ลูบคางไปมา ก่อนพูดอย่างลังเลใจ “ข้าก็เคยคิดเช่นกัน เพียงเสียดาย ที่พระสนมเอกเชิญลูกสาวสกุลอวิ๋นเพียงคนเดียว แล้วจะให้ข้ายัดถงเอ๋อร์ไปด้วยได้อย่างไรกัน”


 


 


ปกติอนุฟางไม่ถือว่าเป็นคนเหลี่ยมจัด แต่จะไวเรื่องประจบสอพลอผู้มีอำนาจ พอได้ยินว่าสามีเคยคิดอยู่เหมือนกัน ก็หยุดคร่ำครวญ แล้วรีบเสนอแผนการ


 


 


“ท่านพี่ ลูกสาวสกุลอวิ๋นได้รับเชิญคนเดียวก็จริง แต่พระสนมเอกมิได้จำกัดจำนวนบ่าวที่จะไปด้วยนี่”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหรี่ตา “ให้ถงเอ๋อร์แต่งตัวเป็นบ่าวหรือ”


 


 


อนุฟางว่า “ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดก็ได้ว่าเป็นบ่าวหรือน้องสาว เพียงตามคุณหนูใหญ่ไป แล้วรับใช้ขณะไปไหนมาไหนก็พอ คนในวังไม่ถามอะไรมากอยู่แล้ว ถ้าลูกสามเตะตาใครเข้าจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ถ้าเป็นเรื่องพรหมลิขิต ผู้สูงศักดิ์ไหนเลยจะตำหนิเราได้”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งหัวเราะ “ข้าดูเบาเจ้าไป ดูไม่ออกเลยว่า เจ้าจะมีความคิดที่ละเอียดลออเช่นนี้”


 


 


อนุฟางพลันแก้มแดง แต่กลับเพิ่มจริตจะกร้านเข้าไป แสร้งก้มหน้าลงพลางว่า


 


 


“ท่านพี่ล้อเล่นแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าอายสิไม่ว่า ทำเอาข้าหน้าแดงไปหมด”


 


 


เรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นได้รับเชิญไปงานเลี้ยง ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งอารมณ์ดีขึ้นมาก จึงลืมเรื่องโสเภณีมาหาเรื่องที่บ้านไปชั่วคราว ตอนนี้ยังเตรียมการให้ลูกสาวคนเล็กเสร็จสรรพอีก ก็รู้สึกตัวเบาขึ้นมาก พอเห็นอนุฟางหน้าแดง พูดเสียงเล็กเสียงน้อย ก็รู้สึกวาบหวาม จึงดึงนางมาไว้ในอ้อมอก แล้วลูบตามอำเภอใจไปสองครั้ง


 


 


อนุฟางรู้ว่าเขาต้องการอะไร เพียงเสียดายที่รอบเดือนมา ปรนนิบัติเขาไม่ได้ จึงบอกเขาไปตามตรง


 


 


พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยิน ก็ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง คลายมือออก


 


 


“น่าเบื่อเสียจริง” แล้วก็คร้านที่จะพูดมากอีก เดินกลับเรือนหลักเพียงลำพัง


 


 


ถ้าเป็นยามปกติ อนุฟางต้องย่ำเท้า หงุดหงิดใจว่าทำไมต้องมามีรอบเดือนเอาตอนนี้ด้วย เสียโอกาสได้ใกล้ชิดไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แต่ตอนนี้นางคิดแต่จะรีบกลับไปบอกข่าวดีให้ลูกสาวฟัง รวมทั้งต้องฉวยโอกาสสอนลูกอีก จึงไม่มีกะใจมาเสียดงเสียดาย สาวเท้าก้าวเดินไปที่เรือนเล็กของอวิ๋นหว่านถงอย่างรวดเร็ว


 


 


ในห้อง เดิมทีอวิ๋นหว่านถงกำลังจะเข้านอน จึงสวมชุดนอนผ้าฝ้ายบางเบา เผยให้เห็นเอี๊ยมสีเขียวสดทรงครึ่งวงรีตรงหน้าอก ขับให้ผิวดูขาวดุจน้ำนม อรชรอ้อนแอ้นยิ่ง


 


 


พอเห็นลูกสาวที่นับวันก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ อนุฟางก็ยิ่งเปี่ยมความมั่นใจ ดึงลูกสาวให้นั่งลง


 


 


ใต้แสงตะเกียง พอมารดาเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟังอย่างยินดีปรีดาจนจบ อวิ๋นหว่านถงก็ปีติยินดีเช่นกัน แต่สองมือกลับม้วนชายเสื้อ พลางว่า


 


 


“ผู้ชายในงานเลี้ยงแม้มีแต่เชื้อพระวงศ์ แต่ผู้หญิงที่มีอำนาจก็มีมากเช่นกัน ต้องแก่งแย่งกันรุนแรงแน่…ข้า ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครเห็นข้าอยู่สายตา หรือก็คือ ได้ไปงานเลี้ยงทั้งที แต่กลับเปิดเผยสถานะไม่ได้ โอกาสก็ยิ่งน้อยลง ส่วนพี่ใหญ่เป็นแค่ลูกสาวคนโตแห่งจวนรองเจ้ากรม ในงานเลี้ยงไม่น่าจะมีสถานะโดดเด่น แล้วใครจะมามองบ่าวข้างกายนางเล่า”


 


 


อนุฟางถอนหายใจ “ก็เพราะอย่างที่ว่า ครั้งนี้เจ้าน่ะ ถึงต้องยิงให้เข้าเป้าในคราวเดียว แม่จะสอนให้


 


 


ก่อนอื่น เจ้าต้องติดสอยห้อยตามพี่ใหญ่เจ้าทุกฝีก้าว นางไปไหน เจ้าต้องอยู่ไม่ห่าง มีเพียงต้องตามติดนางไป


 


 


เท่านั้น เจ้าถึงจะมีโอกาส เมื่อก่อนแม่ก็เคยได้ยินไป๋ฮูหยินพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงสังสรรค์นี้อยู่บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วไทเฮาต้องการให้ลูกหลานชายหญิงของพระองค์คบหากันในหมู่เชื้อพระวงศ์ งานเลี้ยงจึงไม่มีข้อจำกัดอะไร ถ้าชายสูงศักดิ์คนใดถูกใจสาวคนใดในงาน โดยทั่วไปแล้วก็จะเรียกอีกฝ่ายมาคุยกัน ถามไถ่เรื่องงานอดิเรกหรือเรื่องที่สนใจ ข้าเห็นว่า หมู่นี้พี่ใหญ่เจ้าน่ะสวยขึ้นทุกวันๆ ดวงตาคู่นั้น อือหือ เหมือนนางจิ้งจอกไม่มีผิด คล้ายไม่ส่งเสียง แต่จริงๆ แล้วจงใจปล่อยให้เหยื่อตายใจ แล้วค่อยตะครุบทีหลัง…ไม่แน่ว่าในงานเลี้ยง จะมีชายสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยมาผูกมิตรไมตรีกับนาง ซึ่งตอนนี้ล่ะ คือโอกาสของเจ้า เข้าใจหรือยัง”


 


 


อวิ๋นหว่านถงกัดริมฝีปาก “ท่านแม่กำลังบอกว่า ถ้าชายใดสนใจพี่ใหญ่ ก็จะเรียกผู้ติดตามอย่างข้าเข้าไปถามก่อน ข้าก็…”


 


 


“ไม่ผิด เจ้าก็ค่อยจัดการไปตามสถานการณ์!”


 


 


เมื่ออนุฟางเห็นว่าชี้แนะเพียงนิดเดียว ลูกสาวก็เข้าใจ นับว่าลูกสาวยังมีไหวพริบดีอยู่ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้าชายผู้นั้นสถานะดี เจ้ารู้สึกว่าพอจะจับเอาไว้ได้ ก็อย่ารอช้า คิดหาวิธีแย่งเอามาให้ได้!” อนุฟางสอนลูกสาวทีละคำทีละประโยคอย่างมั่นใจ


 


 


อวิ๋นหว่านถงยังคงกัดริมฝีปาก จนจวนจะขาวอยู่รอมร่อ “…ท่านแม่น่ะพูดง่าย ในเมื่ออีกฝ่ายถูกใจพี่ใหญ่ แล้วจะเห็นคนอื่นอยู่ในสายตาได้อย่างไร ข้าจะแย่งได้หรือ!”


 


 


“เด็กโง่!” อนุฟางเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า “ของเล่นอย่างผู้ชาย แม่น่ะรู้จักมากกว่าเจ้าเสียอีก ในงานเลี้ยง เขาถูกใจพี่ใหญ่เจ้าก็จริง แต่ก็แค่ความประทับใจเมื่อแรกพบ ต่อให้นางสวยดั่งเซียนแล้วไง? เขาก็ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ เอามาเล่นในมือไม่ได้ สำหรับผู้ชายแล้ว จะยิ่งเสียอารมณ์เข้าไปอีก สิ่งที่ผู้ชายในใต้หล้าชอบที่สุด ก็คือ ดอกไม้สวยงามที่จับต้องได้ เจ้าเข้ามาพูดคุยอยู่ใกล้ๆ ทั้งคน ขอเพียงรู้จักทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ รวมทั้งหาโอกาสเหมาะ พูดให้เขามองพี่ใหญ่เจ้าในแง่ลบ เพิ่มข้อเสียของนางลงไป ร่วมทำอะไรบางอย่างกับเขาในเวลาที่เหมาะสม…ผู้ชายน่ะ เห็นว่าเจ้ามาก่อน ก็จะโน้มเอียงมาทางเจ้า”


 


 


พออวิ๋นหว่านถงรู้ว่าอะไรคือ ‘ร่วมทำอะไรบางอย่างกับเขา’ ก็อับอายจนหน้าแดง ครั้งก่อนนางถูกรัชทายาททำร้ายจิตใจไป ความมั่นใจจึงลดลงไปมาก


 


 


แม่ลูกใจถึงกัน สุดท้ายอนุฟางก็มองความคิดนางออก จึงทำปากยื่นปากยาว แล้วว่า


 


 


“รัชทายาทนั่น ไม่ใช่ผู้ชายปกติทั่วไปจริงๆ! อย่าเอาเรื่องนั้นมาใส่ใจ ผู้ชายปกติน่ะ พอเห็นสาวงามปิดหน้าต่างขอความเห็นใจ จะไม่แยแสสนใจได้อย่างไร”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ก็กลอกตาไปมา ก่อนสอนนางโดยการเล่าประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนให้ฟัง


 


 


“ครั้งนี้ ถ้าเจ้าถูกใจชายใด…” แล้วจึงกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูอวิ๋นหว่านถง


 


 


อวิ๋นหว่านถงหน้าแดงไปถึงหู แม้รู้ว่า งานเลี้ยงสังสรรค์ในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งของตน ชาตินี้ไม่แน่ว่าอาจมีเพียงครั้งเดียว ถึงเสี่ยงที่จะเสียหน้าก็ต้องทำ พอฟังจบ ก็รู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าขณะพยักหน้า

 

 

 


ตอนที่ 78-2 ม้าผอมแย่งชิง สองพี่น้องเ...

 

ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง พอเดินจากห้องโถงกลับมาที่เรือนหลัก ก็ตรงเข้าห้องนอนทันที


 


 


หลังจากที่เขากอดๆ ลูบๆ อนุฟาง ความรู้สึกวาบหวามก็ยังไม่ลดลง จึงปลดกระดุมเสื้อ นอนตากลม


 


 


สาวใช้คนหนึ่งเลิกม่านเข้ามา ในมือถือถ้วยชา พูดเสียงใสและอ่อนโยน “นายท่านกลับมาแล้ว”


 


 


จากนั้นก็นำถ้วยชาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างมือของเขา


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งเงยหน้าขึ้น เป็นเถาฮวา นางสวมเสื้อตัวสั้นสีชมพูสด กับกระโปรงหน้าม้า(กระโปรงบานจีบข้าง) สีเขียวสด แม้แต่งตัวแบบสาวใช้ แต่รูปโฉมกลับดึงดูดสายตายิ่ง บนศีรษะยังเสียบปิ่นมุกไว้พวงหนึ่ง


 


 


หลายวันมานี้ เถาฮวาปรนนิบัตินายท่านอยู่ในห้องตลอด บ่าวในเรือนหลักล้วนรู้กันถ้วนหน้าว่านางคือหญิงสาวที่ผู้อาวุโสซื้อมาจากสมาคมม้าผอม แม้ตามความเห็นของผู้อาวุโส ยังบอกได้ไม่แน่นอนว่าจะให้เป็นอนุของนายท่านหรือไม่ แต่บ่าวในเรือนก็ให้ความเคารพในตัวนาง ถ้ามีงานที่ต้องเข้าไปในห้อง ปรนนิบัตินายท่านอย่างใกล้ชิด ก็จะให้เถาฮวาเป็นคนทำ


 


 


เช่นนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ ที่เถาฮวาอยู่ในเรือนหลัก นางก็สามารถเข้านอกออกในได้ตามอำเภอใจ มีภาษีอยู่ไม่เบา


 


 


สาวใช้นางนี้ แต่งตัวค่อนข้างโดดเด่น ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้รับความสนใจ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงนึกขึ้นได้ว่า หลายวันก่อนตนไม่ว่าง แต่ตอนนี้ตนอารมณ์ดีแล้ว บวกกับไฟสวาทที่ถูกอนุฟางจุดติดเมื่อครู่ยังไม่มอดดับ พอเห็นเถาฮวาเข้ามาใกล้ ก็เรียกนางไว้ ก่อนหยอกล้อไปสองสามคำ


 


 


เถาฮวาเติบโตขึ้นในสมาคมม้าผอม ไหนเลยจะไม่รู้ความคิดอ่านของผู้ชาย การที่นายท่าน เดี๋ยวก็ถามอายุตน เดี๋ยวก็ถามบรรพบุรุษตน เดี๋ยวก็ถามว่าเคยชินกับสถานที่หรือยัง ถูกใครในจวนรังแกหรือเปล่า ก็รู้ทันทีว่านายท่านเริ่มสนใจตนบ้างแล้ว ก็ดีใจยิ่ง รีบตอบทุกคำถาม โดยไม่รีรอแต่อย่างใด เพราะถ้านางปรนนิบัติรับใช้ดี คืนนี้เห็นทีจะเป็นวันที่นกกระจอกจะได้บินขึ้นเกาะยอดไม้เสียที


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพินิจพิจารณาดูรูปโฉมของเถาฮวา แม้งามสู้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ได้ แต่ชนะเลิศเรื่องความอ่อนเยาว์ และเอาอกเอาใจเก่ง ถ้าได้มาเป็นอนุแก้เหงาก็คงไม่เลวเลยทีเดียว วันนี้เขาอารมณ์ดี จึงเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักตู้เก็บของ แล้วล้วงเครื่องประดับเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมา ให้เถาฮวาเป็นรางวัล โดยของที่อยู่ในตู้ล้วนเป็นสมบัติสะสมของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ซึ่งแต่เดิมได้ให้อวิ๋นหว่านเฟยไว้เป็นสินสมรส แต่ต่อมาถูกผู้อาวุโสเก็บกลับคืนมาไว้ที่เรือนหลัก


 


 


เถาฮวาไม่คาดคิดมาก่อน จึงดีใจมาก ยกสองมือขึ้นรับอย่างนอบน้อม เป็นเข็มกลัดดอกผักปลาบช่อหนึ่ง ตัวดอกคล้ายเจียระไนจากทับทิมแดงหนึ่งเม็ด ใช้หยกมรกตสลักเป็นใบ เห็นก้านสีทองแวววาว เถาฮวารีบเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วพูดขอบคุณเสียงหวาน


 


 


“ขอบคุณนายท่านเจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบก็หันมองนอกหน้าต่าง ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก ถ้าจะขอปรนนิบัตินายท่านก่อนเข้านอน อาจ


 


 


เห็นชัดว่าตนใจร้อนเกินไป ผู้ชายจะดูถูกเอาได้ จึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน แสดงความปรารถนาดีต่อ


 


 


“เมื่อครู่คนในวังมา นายท่านยังทานมื้อค่ำไม่ทันเสร็จก็ต้องออกไปต้อนรับที่โถงแล้ว ตอนนี้ไม่ทราบว่านายท่านหิวหรือเปล่า ระวังจะเป็นโรคกระเพาะนะเจ้าคะ”


 


 


พอพูดถึง อวิ๋นเสวียนฉั่งก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ ด้วยมื้อค่ำเขากินไปแค่ครึ่งเดียว จึงลูบท้องไปมา แล้วว่า


 


 


“จริงด้วย มื้อค่ำข้ากินไปแค่สองสามคำ พอเจ้าพูด ข้าก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ”


 


 


เถาฮวารีบรับคำ บิดเอว แล้วยิ้มหน้าบาน พลางพูดอย่างอ่อนโยนเอาใจใส่


 


 


“ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง อากาศจะเย็นลง ทำให้หิวเร็ว พอหิวมือไม้ก็จะเย็น เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปทำบะหมี่น้ำร้อนๆ ชามหนึ่งให้นายท่านนะเจ้าคะ”


 


 


อวิ๋นเสวียนฉั่งพยักหน้า


 


 


พอเถาฮวาออกจากห้องนอน เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงห้องครัวเล็กๆ ในเรือน จึงก้าวเข้าไปที่หน้าเตาไฟ เตรียมลงมือทำบะหมี่


 


 


คืนนี้เป็นเวรเฝ้าครัวของเหลียนเหนียงพอดี ซึ่งนางกำลังหาบน้ำที่ตักจากบ่อเข้ามาวาง แล้วนั่งยองๆ ลงข้างโอ่งเก็บน้ำ ขณะหยิบกระบวยน้ำเต้าผ่าครึ่ง ตักน้ำลงไปในโอ่ง ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านหลัง


 


 


“เอ๋ ตักน้ำมาแล้วหรือ ข้ากำลังจะทำบะหมี่ให้นายท่านน่ะ”


 


 


พอเหลียนเหนียงหันมอง ก็เห็นเถาฮวา ผู้ที่ได้เชิดหน้าชูตา เป็นหัวหน้าสาวใช้ที่เรือนหลักในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ตอนนี้ยังมาทำมื้อดึกให้นายท่านด้วยตัวเองอีก


 


 


นางกับตนโตมาจากสมาคมม้าผอมด้วยกัน ความสามารถของตนก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านาง แล้วทำไมตนต้องมาอยู่ใต้นางด้วย สายตาจึงหมองหม่นลงโดยไม่รู้ตัว


 


 


ส่วนเถาฮวา เมื่อเห็นสีหน้าเหลียนเหนียง ที่คล้ายอิจฉาตนอยู่ ก็นึกอยากอวดขึ้นมา จึงล้วงเข็มกลัดดอกผักปลาบออกจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาตรงหน้าเหลียนเหนียง


 


 


“เห็นหรือยัง นายท่านมอบให้เชียวนา! ข้าเข้าห้องปรนนิบัติพัดวีเพียงไม่กี่วัน นายท่านก็ให้ของดีแบบนี้กับข้าแล้ว”


 


 


เหลียนเหนียงมองดูเครื่องประดับสตรีล้ำค่า สายตาที่หมองหม่นเมื่อครู่พลันจางหาย กลอกตารอบหนึ่ง ค่อยทำตาวาว ค่อนไปทางเพ้อฝัน “สวยมากเลย นายท่านดีต่อเจ้าจริงๆ ของล้ำค่าขนาดนี้ยังมอบให้เจ้าได้”


 


 


พอเห็นว่านางยังตาร้อนไม่เลิก เถาฮวาก็มองใบหน้าขาวๆ ที่เลอะผงถ่านของนาง พลางคิด อยู่ในห้องครัวต้มน้ำไม่กี่วัน ก็ถูกรมควันเสียโทรมขนาดนี้ ไฉนยังถือเป็นคู่แข่งของตนอีก จึงยิ่งดูหมิ่นนาง หุบมือลง กำมือไว้ ไม่ให้นางจ้องมองมาก ก่อนเก็บเข็มกลัดกลับคืน


 


 


“วันนี้นายท่านอารมณ์ดี บอกว่าจะกินบะหมี่ที่ข้าต้มเองกับมือ พออิ่มหนำสำราญแล้ว ข้าก็จะช่วยนายท่านเปลี่ยนชุดนอน ถึงตอนนั้น…เหลียนเหนียง รอให้ข้าได้เป็นอนุก่อน เห็นแก่ที่เรามาจากสมาคมม้าผอมด้วยกัน ข้าไม่ลำเอียงกับเจ้าหรอก ต้องหาตำแหน่งดีๆ ให้เจ้าสักตำแหน่ง จะได้ไม่ต้องลำบากอยู่แต่ในนี้”


 


 


นี่หมายความว่าจะย้ายตนไปไกลๆ ให้พ้นหูพ้นตา จะได้ไม่สามารถพบหน้านายท่านได้ล่ะสิ มือที่จับกระบวยน้ำเต้าของเหลียนเหนียงหยุดนิ่ง จิตใจเยือกเย็นลง แต่สีหน้าอ่อนแอยิ่ง เกิดความกังวลและตื่นตกใจ กะพริบตาแล้วว่า


 


 


“เถาฮวา เจ้าไปเตรียมเส้นบะหมี่เถอะ ข้าจะต้มน้ำเอง”


 


 


เถาฮวาเลิกคิ้ว เหลียนเหนียงจึงรีบหลุบตาลง “ต้มน้ำเป็นหน้าที่ข้า คุณหนูใหญ่เคยบอกว่า ให้แต่ละคนทำตามหน้าที่ของตน ถ้าเจ้ามาทำหน้าที่ข้า ข้าอาจถูกลงโทษได้ อีกอย่างเรื่องต้มน้ำดูเตา ควันมากโขอยู่ ระวังจะทำให้หน้าเจ้าเปรอะเปื้อน พอเข้าห้องไป นายท่านเห็นแล้วจะไม่ชอบเอา”


 


 


เถาฮวาคิดๆ ดู ก็เห็นว่าจริง ในทุกๆ วันคุณหนูใหญ่จะส่งสาวใช้ข้างกายอย่างแม่นางเมี่ยวเอ๋อร์มาสังเกตการณ์คนทั้งสาม เข้มงวดมาก น่าจะทำให้เหลียนเหนียงไม่กล้าละเลย จึงสั่งการ


 


 


“น้ำต้มให้ร้อนหน่อยนะ! นายท่านชอบกินแบบร้อนๆ อย่าทำลายสุขภาพของนายท่านล่ะ”


 


 


เหลียนเหนียงหันหลังให้เถาฮวาอยู่ กำลังตักน้ำเย็นใส่ลงไปในหม้อใบใหญ่ จุดไฟ แล้วเติมฟืนเข้าไปในเตาไม่หยุด พอได้ยินเสียงสั่งของเถาฮวา หน้าเล็กๆ ก็หันไปฟัง เห็นแก้มขาวดุจหยกของนางถูกควันไฟในเตารมจนคล้ำไปจริงๆ นางหัวเราะเบาๆ ท่ามกลางเสียงต้มน้ำดังฝืดๆ ก่อนพูดเสียงเล็กๆ ที่ฟังดูอ่อนจนต้านลมไม่อยู่


 


 


“ได้สิ เถาฮวา”


 


 


เถาฮวาจึงไม่สนใจนาง หันไปตอกไข่ใส่ชาม หั่นเนื้อหมู ซอยต้นหอม นำเส้นบะหมี่ที่รีดน้ำแล้วออกมา เตรียมเครื่องปรุงรสด้วยการคลุกเคล้าซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู น้ำมันงาเข้าด้วยกัน น้ำในหม้อเดือดพอดี นางจึงโยนเส้นลงไปในหม้อ รอให้เส้นนุ่ม ค่อยตักขึ้น


 


 


เหลียนเหนียงนำถาดพร้อมช้อนและตะเกียบมาวางเอาไว้ให้ เถาฮวาจึงนำบะหมี่น้ำที่ทำเสร็จวางลงบนถาด แล้วยกออกไป


 


 


เถาฮวายกบะหมี่น้ำออกไปอย่างมีความสุขและเปี่ยมความหวัง เหลียนเหนียงมองตาม โดยค่อยๆ เดินไปที่ประตูครัว ยกข้อมือขึ้น ใช้หลังมือที่ยังสะอาดอยู่เช็ดตามแก้ม


 


 


ใบหน้าเล็กๆ ที่ถูกควันรมจนสกปรกมอมแมม เผยให้เห็นเมฆดำขนาดใหญ่ แววตาที่ตื่นตกใจเมื่อครู่หายเกลี้ยง เหลือเพียงรอยยิ้มเย้ยหยัน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม