ลิขิตกลกาล 77-82

ตอนที่ 77 ช่วยชีวิต

 

ด้านนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สุกใส เสียงนกร้องสอดประสาน ทว่าเสียงนี้กลับมิได้ดังกวนใจ เนื่องจากทั่วบริเวณวัดฝ่าฝัวเงียบสงัดอย่างยิ่ง เสียงนกและแมลงแม้ร้องเบาๆ เช่นนี้แต่กลับเติมความมีชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศรอบด้านมากยิ่งขึ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน เมื่อนางสวมเสื้อผ้าด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่น


 


 


เนื่องจากวันนี้นางอยู่กับหรงซู่แทบทั้งวัน นางจึงมิได้เดินดูรอบๆ บริเวณวัดฝ่าฝัวเลย แต่จะว่าไปนางมาที่นี่ก็เพื่อไหว้พระและแก้บน ดังนั้นจะไม่ให้แวะไปเลยได้อย่างไร?  มิเช่นนั้นตอนที่จะต้องกลับไปรายงานอันเพ่ยอิง ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่านางจะไม่มีอะไรกลับไปรายงาน


 


 


เจ้าไปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใดที่วัดฝ่าฝัวมาหรือ?


 


 


ไม่รู้เจ้าค่ะ…ลืมไปแล้ว


 


 


คำตอบนี้คงทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนอย่างแน่นอน…


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลูบหัวเข่าและข้อศอกของตัวเองจึงรู้สึกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วเพราะแผลเริ่มตกสะเก็ด นั่นหมายความว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว สามารถออกไปข้างนอกได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นผลักหลังคาด้านบนเปิดออก สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด และรับรู้ถึงลมเย็นยามดึกที่พัดผ่าน นางลูบแขนตัวเองไปมา จริงอย่างที่ว่าไว้ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เพราะยืนอยู่บนที่สูงทัศนียภาพเบื้องหน้าจึงไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


แต่พอต้องกระโดดไปกระโดดมาเช่นนี้ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกว่าวิชาตัวเบาอะไรนี่ใช้แรงเยอะกว่าเดินขึ้นมาด้วยซ้ำ นางจึงกลับลงมาเดินตามปกติ


 


 


นางเดินเล่นทอดน่องเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รีบร้อน สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นจึงเดินไปหยุดนั่งลงตรงหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง


 


 


นางแหงนมองใบหน้ามีอายุที่ดูมีเมตตาธรรมนั้น ตอนนั้นเองในใจของนางจึงบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเปี่ยมล้น


 


 


นางอยากไหว้ขอพรจากพระพุทธรูปองค์นี้


 


 


ตั้งแต่นางกลับมาเกิดใหม่ ในใจลึกๆ ของซูเหลียนอวิ้นเริ่มเกิดความหวั่นเกรงต่อสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้


 


 


เนื่องจากเมื่อก่อนนางเป็นคนที่เคยไม่เชื่อเรื่องราวภูตผีปีศาจ แต่หลังจากที่นางได้สัมผัสและประสบมาด้วยตนเอง นางก็เริ่มรู้สึกว่าบนโลกใบนี้จะต้องมีบางสิ่งที่มีตัวตนอยู่


 


 


เราสามารถเพิกเฉยและทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ แต่เราไม่สามารถดูถูกและลบหลู่สิ่งเหล่านี้ได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลากเบาะหวายรองนั่งเข้ามาแล้วนั่งคุกเข่าบนนั้นอย่างระมัดระวัง นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้บาดแผลบริเวณหัวเข่าของตนสัมผัสพื้น


 


 


นางประนมมือขึ้นและหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ลูกขอนมัสการองค์พระโปรดคุ้มครองครอบครัวของลูกให้มีสุขภาพแข็งแรง ปกป้องคุ้มครองให้คนรักของลูกมีแต่ความสุขและขอให้ลูก…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ ซูเหลียนอวิ้นพลันเบิกตากว้าง เพราะนางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกโบสถ์


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นเข้ามาที่นี่?” บุรุษร่างผอมบางผู้หนึ่งเอ่ยปากถาม


 


 


“ถึงอย่างไรก็มาทางนี้แน่ หากไม่ใช่หลังนี้ก็จะต้องเป็นหลังอื่น พวกเราค่อยๆ หาไปทีละหลังจะต้องหาพบอย่างแน่นอน”


 


 


“พี่ใหญ่เฉียบแหลมยิ่ง”


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังหลบอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชา


 


 


บางทีนางอาจจะมีสัญชาตญาณในการระวังตัวสูงเกินไปกระมัง หรืออาจจะเป็นเพราะนางรู้สึกว่านางต้องระแวดระวังทั้งสองคนนี้เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามเพียงนางได้ยินน้ำเสียงของพวกเขาแวบแรก นางไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดแล้วรีบหาที่ซ่อนตัวทันที


 


 


หากไม่คิดถึงเรื่องอื่น ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าไม่ใช่คนทุกคนจะว่างถึงขึ้นไม่ยอมนอนแล้วออกมาไหว้พระตอนดึกดื่นครึ่งคืนเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง


 


 


นางเงี่ยหูฟังการสนทนาของคนสองคนนี้ ในใจของนางก็เริ่มตึงเครียดขึ้นทีละน้อย มาหาคนหรือ? แต่ตั้งแต่นางเข้ามาในนี้นางก็ไม่เห็นผู้ใดเข้ามาอีก หรือว่าเขาอยู่ในนี้อยู่แล้ว? เช่นนั้นสองคนนี้มาหาใครกันแน่?


 


 


ตามหานางหรือ? ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากดูจากบุคลิกท่าทางและน้ำเสียงของทั้งสองคนนี้ ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาเป็นนักท่องยุทธภพ แต่นางยังไม่เคยออกไปท่องยุทธภพมาก่อนเลย! จะไปบาดหมางกับนักท่องยุทธภพได้อย่างไร?


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าเด็กนั่นมาทางนี้? ที่นี่มีร่องรอยของคนซะที่ไหนกัน” บุรุษร่างผอมบางผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีก


 


 


“มิผิดแน่ ข้ามั่นใจในสายตาของข้าว่าไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน และ…” เมื่อบุรุษร่างกำยำอีกคนเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มเอ่ยช้าลงเรื่อยๆ “เจ้าดูเบาะหวายนั่น เพิ่งจะมีคนขยับมันมานั่งชัดๆ มิผิดแน่นอน ในโบสถ์นี้เพิ่งจะมีคนเข้ามา”


 


 


โธ่เว้ย! ในใจของซูเหลียนอวิ้นมีเสียงก่นด่าดังขึ้น


 


 


คนเรามิอาจดูแต่ภายนอกจริงๆ เจ้ายักษ์นี่สังเกตละเอียดเพียงนี้เชียวหรือ?  การคาดการณ์ของเขาทำเอาซูเหลียนอวิ้นขนลุกซู่ นางประมาทเกินไปจริงๆ!


 


 


นางจะอยากมาไหว้พระอะไรเอากลางดึกป่านนี้! นอนเล่นอยู่บนเตียงก็ดีแล้ว! หากนอนไม่หลับก็ไปนอนนับดาวเล่นอยู่บนหลังคาก็ได้ นางคิดอุตริอะไรอยู่ถึงอยากจะออกมาไหว้พระได้


 


 


จากท่าทางการพูดของทั้งสองคนนี้แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามาเพื่อแก้แค้น! ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าเอาเข้าจริงๆ หากพวกเขาไม่ได้มาตามแก้แค้นนาง นางก็คงจะโดนฆ่าปิดปากเพราะบังเอิญได้ยินความลับอยู่ดี!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นแตะไปที่แขนเสื้อของตนอย่างลนลาน แต่นางกลับต้องผิดหวังในทันที


 


 


เนื่องจากนางได้เปลี่ยนชุดไปแล้ว นางจึงลืมดาบสั้นที่นางพกติดตัวไว้ทุกวันไว้ในเสื้อตัวในนั้น!  ดังนั้นในตอนนี้บนตัวนางจึงมีเพียงยาไม่กี่ห่อของหรงซู่ที่นางพกติดตัวเอาไว้รักษาบาดแผลก็เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้พกอะไรมาทั้งสิ้น


 


 


รวมถึงนกหวีดตัวนั้นที่หลานเย่ว์ให้นางในวันนี้ด้วย เมื่อนางพบหน้าหลานเย่ว์ นางก็รีบนำมันคืนเจ้าของไปทันที


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงฝีเท้าที่ยิ่งใกล้เข้ามา เหงื่อชั้นบางๆ ก็เริ่มไหลออกมาทั่วบริเวณกลางฝ่ามือ


 


 


สุดท้ายนางจึงตัดสินใจ เช่นนั้นลองพนันดูสักตั้ง เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามหมดหวังอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็เท่ากับรอความตายเท่านั้น


 


 


“พี่ใหญ่ ข้าเห็นเงาดำๆ เพิ่งวิ่งผ่านไปด้านนอกนั่น!”


 


 


“อะไรนะ?” เจ้ายักษ์นั่นรีบหันขวับไป จึงเห็นเงาดำๆ ใต้แสงจันทร์วิ่งผ่านไป


 


 


“ไป! รีบตามไป!”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าด้านนอกโบสถ์เงียบสงบแล้ว มือของนางจึงค่อยๆ คลายออก นางค่อยๆถอนใจและคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่พวกเขาจากไปง่ายๆ เช่นนี้


 


 


ดูแล้วนางคงต้องไหว้พระให้มากหน่อยจะได้โชคดีเช่นนี้อีก!


 


 


นี่คือบทสรุปสุดท้ายที่นางสรุปออกมา


 


 


ทว่าขณะที่นางกำลังจะปีนออกจากโต๊ะหมู่บูชาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีมือใหญ่ๆ มือหนึ่งเอื้อมออกมาจับข้อเท้าของนางไว้แน่น


 


 


โต๊ะหมู่บูชาจำนวนมากนี้ถูกจัดวางต่อกันเป็นแถว บนโต๊ะทุกๆ ตัวจะต้องมีผ้าคลุมโต๊ะ ดังนั้นระหว่างโต๊ะทั้งสองจึงมีผ้าห้อยลงมาคั่นไว้สองผืน ดังนั้นมือๆ นี้จึงน่าจะยื่นออกมาจากทางด้านหลังของผ้าปูโต๊ะอีกตัวหนึ่ง


 


 


กรี๊ดดดดด!


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการร้องในใจ


 


 


เนื่องจากนางในตอนนี้…แม้จะตกใจอย่างสุดขีดแต่ก็ต้องกัดฟันทนเอาไว้ ทว่าโชคยังดีที่นางกัดลิ้นตัวเองเอาไว้จึงไม่ได้ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว


 


 


เพราะหากสองคนนั้นยังไม่ได้ไปไหน? หรือบางทีอาจจะไปไกลแล้วแต่ได้เสียงนางร้องขึ้นมา พวกเขาคงจะวกกลับมาอีกรอบแน่นอน


 


 


“ช่วยข้าด้วย”


 


 


ด้านหลังผ้าปูโต๊ะ เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นฟังดูแล้วคล้ายได้รับบาดเจ็บหนักมา หากสูดดมดีๆ ก็จะได้กลิ่นเลือดจางๆ มาจากด้านหลังผ้าผืนนั้น


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับพยายามอย่างสุดแรงที่จะสะบัดมือที่คว้าข้อเท้าของนางออก


 


 


เจ้าคือใครกันแน่? พูดออกมาประโยคแรกก็เป็นคำว่าช่วยเจ้าด้วยแล้ว? แถมยังใช้น้ำเสียงออกคำสั่งกับนางอีก หากข้าช่วยเจ้าก็คงโง่จะแย่!


 


 


ตอนนี้ชัดเจนว่าเพราะคนคนนี้ที่ทำให้สองคนนั้นไล่ตามมาถึงที่นี่ได้? 

 

 


ตอนที่ 78 เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

 

ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ตัวเองอีกแล้ว ดังนั้นนางคิดว่ารีบเผ่นไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า ส่วนคนผู้นี้…เดี๋ยวนางจะไปอ้อนวอนพระพุทธรูปให้ช่วยปกปักรักษาเขาถือเป็นการช่วยชีวิตเขาอีกอย่างหนึ่งก็แล้วกัน!


 


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็ทำเป็นหูทวนลมแล้วใช้เพียงมือทั้งสองออกแรงแกะมือที่บีบข้อเท้าของนางไว้


 


 


ทว่ามือนี้มีพละกำลังมากนัก! ราวกับว่ามันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของนางด้วย ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะออกแรงดึงอย่างไรก็ไม่สามารถแกะให้หลุดได้


 


 


บุรุษผู้นั้นหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “อย่าพยายามดิ้นเลย ข้าไม่เคยปล่อยมือออกจากของที่ข้าคว้าเอาไว้”


 


 


เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นขดตัวซ่อนอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชาตัวเล็กๆ นี้ โต๊ะตัวนี้ทั้งเล็กและมีของวางอยู่บนโต๊ะ ดังนั้นนางจึงมิกล้าขยับแรงนัก เพราะหากนางขยับแรงๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ของทั้งหมดบนโต๊ะตัวนี้ร่วงลงมาได้


 


 


หลังจากที่พยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มสิ้นหวัง


 


 


ตอนนั้นเองจึงกระชากผ้าที่บังอยู่เปิดออกและจ้องมองไปยังบุคคลที่นอนอยู่บนพื้น นางจึงเห็นท่าทางแปลกประหลาดของชายแปลกหน้าที่ใส่หน้ากากสีเงินอันใหญ่ จากนั้นจึงลดเสียงต่ำลงแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องปล่อยขาข้าก่อน! มิเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าอย่างไร!”


 


 


เรามิสามารถตัดสินสิ่งใดเร็วเกินไป! ตอนแรกนางยังรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองโชคดีอยู่เลย! พอถึงตอนนี้นางกลับมิรู้ว่าตนไปทำให้เทพองค์ใดโกรธเข้าแล้ว!


 


 


เบื้องหลังหน้ากากสีเงินนั้น แววตาของตาดอกท้อคู่นี้บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่รับคำสั่งนาง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้อย่างไรเล่า? เกิดข้าปล่อยเจ้าแล้วเจ้าหนีไปจะทำอย่างไร?”


 


 


หนีได้ก็บ้าแล้ว! ซูเหลียนอวิ้นกัดฟันกรอด


 


 


อย่ามองเพียงท่าทางที่เจ็บสาหัสของบุรุษผู้นี้เพียงอย่างเดียว เพราะจากการคาดเดาของนางแล้วพลังในการต่อสู้ของนางหากเทียบกับเขา นางเกรงว่าแม้นางจะหลุดออกมาจากเขาเพียงก้าวเดียว ชายผู้นี้ก็จะคว้าตัวนางกลับได้ใหม่ในทันที


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่เป็นนานสุดท้ายก็ค่อยๆ ข่มอารมณ์อัดอั้นของตัวเองลงไปได้ จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไร?”


 


 


“อ้อ” ชายผู้นี้ใช้สายตาของเขาส่งสัญญาณไปที่แขนขวา “ช่วยรีดพิษออกจากตัวข้าก็พอแล้ว จากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไป แค่นี้เอง”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นย้ายสายตาของตัวเองไปตามจึงสังเกตเห็นมือขวาของเขา


 


 


ที่มือขวาของชายคนนี้ตั้งแต่บริเวณปลายนิ้วกลางขึ้นมามีรอยประทับสีม่วงคล้ำรอยหนึ่ง ดูอาการแล้วน่าจะโดนพิษรุนแรงมาก อีกทั้งเจ้ารอยประทับนี้ยังลามไปบริเวณรอบๆ ด้วยความเร็วที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


 


“เจ้าเด็กน้อย ตกใจเสียแล้ว” ชายผู้นั้นแค่นเสียงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าวางใจได้ หากพิษนี้สามารถทำข้าถึงตายได้ ตอนนี้ข้าก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกพักหนึ่ง เพราะฉะนั้น…เจ้าเด็กน้อย ข้ายังเหลือเวลาอยู่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจนัยความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขา


 


 


ความหมายก็คือ หากนางไม่ช่วยเขาขจัดพิษออก เขาจะต้องถึงแก่ความตาย แต่ก่อนที่เขาจะตายเขายังมีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทำให้นางต้องรับเคราะห์ร่วมไปด้วยได้


 


 


“แล้วข้าจะรีดพิษออกได้อย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นถามขึ้น


 


 


คงไม่ได้จะให้นางใช้ปากดูดเลือดออกกระมัง! เพราะหากนางโดนเลือดที่มีพิษแล้วพิษก็เข้าสู่ร่างกายนางไปด้วยจะทำอย่างไร!


 


 


“ตรงเอวข้ามีมีดสั้นอยู่ เจ้าเฉือนเนื้อที่มือข้าแล้วค่อยๆ รีดออก” ชายผู้นั้นค่อยๆ เอียงตัว ทว่าดูเหมือนว่าการขยับตัวง่ายๆ แค่นี้เขากลับต้องใช้พลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวของเขา


 


 


ซูเหลียนอวิ้นคลำไปยังบริเวณที่ชายผู้นั้นบอกก็เจอมีดสั้นด้ามนั้น จากนั้นนางก็ไม่ลังเลอะไรอีก นางเอามีดแทงลงไปอย่างเฉียบขาด เลือดที่มีพิษก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผลที่โดนเฉือนออกทันที


 


 


“อย่ามัวแต่เหม่อสิ” ทว่าเมื่อชายผู้นั้นมองเห็นบาดแผลที่โดนเฉือนลึกของตนก็มิได้แปลกใจอะไร “เจ้าต้องรีดเลือดพิษออกมาทั้งหมดจึงจะเสร็จ มิเช่นนั้นหากทำเพียงเฉือนเนื้อออกแค่นี้ ทำไมข้าจะต้องใช้เจ้าให้ทำให้ด้วย?”


 


 


อันที่จริงแล้วซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เหม่อ นางเพียงลังเลไปครู่หนึ่งเท่านั้น นางกำลังคิดว่าเมื่อครู่นางลงมือหนักเกินไปหรือไม่ นางกลัวว่านางจะเฉือนลงไปลึกจนเกินไป


 


 


ทว่าตอนนี้เมื่อนางได้ยินน้ำเสียงสุดจะทนของชายผู้นี้แล้ว…ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่าที่ตนเฉือนลงไปเมื่อครู่ยังเบาเกินไป!


 


 


“ได้ เช่นนั้นเจ้าต้องอดทนหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นฟึดฟัดพลางใช้สองมือของนางออกแรงบีบ “ข้าจะบีบสุดแรง ท่านอย่าส่งเสียงร้องก็แล้วกัน”


 


 


ชายผู้นั้นถอนใจแรง สุดท้ายเขาก็อดทนไหวและไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมาเลย


 


 


เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่เขาโดนแทงเขาก็มองเหตุการณ์อยู่ตลอด อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ทำใจเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แต่เมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นลงมือก่อนแล้วค่อยบอกทีหลังชัดๆ! ลงมือรีดพิษก่อนแล้วค่อยบอกเขาว่านางจะออกแรงจนสุดแรง


 


 


ยังดีที่เขาเป็นคนมีสมาธิแข็งแกร่ง หากใช้แรงเช่นนี้กับผู้อื่น ป่านนี้คงร้องเอะอะทนไม่ไหวไปแล้ว


 


 


เมื่อครู่ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย นางบอกว่าจะบีบสุดแรง นางก็ออกสุดแรงอย่างไม่ยั้งมือ


 


 


“เจ้าเด็กน้อย นี่เจ้าคงมีใจอยากแก้แค้นข้ากระมัง” ชายผู้นี้เอ่ยปากขึ้นตอนที่เขาเริ่มเห็นว่ารอยม่วงคล้ำบริเวณแขนขวาค่อยๆ จางลง


 


 


“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”


 


 


นางไม่มีทางยอมรับว่านางก็มีใจอยากแก้แค้นเช่นกัน เพราะดูท่าแล้วคนผู้นี้ใกล้จะหายแล้ว ทว่าหากเขาหายแล้ว[1]เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจะทำอย่างไรเล่า?”


 


 


เมื่อเห็นว่ารอยคล้ำบนแขนขวาของเขาค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงมีความคิดมากมายเกิดขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ตัดทิ้งออกไปทีละข้อ เพราะเมื่อนางเริ่มลงมือ นางก็จะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นนางจึงต้องรอบคอบให้มากๆ หน่อย


 


 


ในตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านต้องพันแผลที่ถูกแทงของท่านเสียหน่อยกระมัง? มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าอีกประเดี๋ยวพอพิษของท่านถูกขับออกไปหมด ถึงตอนนั้นท่านคงตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป”


 


 


ชายผู้นี้คิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยปากเช่นนี้ขึ้น ในตอนนั้นเองสายตาของเขาจึงเริ่มระแวดระวัง “ทำไมจู่ๆ ถึงใจดีเช่นนี้เล่า? คิดจะพันแผลให้ข้าด้วย? ข้าปลาบปลื้มในความเมตตานี้ยิ่งนัก เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงไม่ได้มีใจให้ข้าแล้วกระมัง?”


 


 


แม้ว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในสายตาของชายผู้นี้ไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย สายตาคู่นี้ของเขาจับจ้องทุกท่วงท่าของซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ละสายตา


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเมื่อได้ยินคำพูดล้อเลียนนางเช่นนี้กลับมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้ายังมิได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านแล้วข้าจะมีใจให้ท่านได้อย่างไร? ท่านอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปนักเลย”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเอามือล้วงเข้าไปในอกตน แล้วหยิบเอาห่อยาที่เดิมทีเตรียมไว้สำหรับตัวเองออกมา “ที่ข้าพูดเช่นนี้เพียงเพราะหวังว่าท่านจะเห็นแก่ที่ข้ารีดพิษให้ท่านจนหมดแถมยังพันแผลให้ท่าน แล้วปล่อยข้าไปสักครั้ง”


 


 


นางยื่นห่อยาออกไปแล้วใส่ไว้ในอกของชายผู้นั้น “หากท่านไม่ไว้ใจ ท่านก็ลองตรวจสอบดูก่อนได้ว่ายานี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”


 


 


ชายผู้นั้นจ้องเขม็งไปที่ซูเหลียนอวิ้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กน้อย ข้าเชื่อเจ้า ทว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ข้าไม่ตรวจยานี้ก็แล้วกัน ทว่าเพื่อเห็นแก่ที่เจ้าจะพันแผลให้ข้า ข้าจึงคิดแล้วว่า ข้าอาจจะไม่ฆ่าเจ้า”


 


 


 


 


——


 


 


[1] มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง มีความหมายว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็ฆ่าคนที่เคยช่วยเหลือตนทิ้ง 

 

 


ตอนที่ 79 หน้ากาก

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้น มือที่แกะห่อยาอยู่พลันชะงัก


 


 


คิดว่าจะไม่ฆ่านาง? เช่นนั้นเมื่อครู่นางก็พนันไว้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่? คนผู้นี้คิดจะฆ่านาง! แม้ว่านางจะช่วยรีดพิษให้เขาก็ตาม!


 


 


“ข้าหวังว่าท่านจะรักษาคำพูด” ขณะพูดซูเหลียนอวิ้นก็นำผงยารอยไว้บนบาดแผลโดยทั่ว


 


 


“แต่ตอนนี้ยังไม่มีผ้าสำหรับใช้พันแผลเลย” ซูเหลียนอวิ้นมองไปรอบๆ ตัว สุดท้ายสายตาของนางก็ไปตกอยู่บนชุดสีดำที่ขาดวิ่นของชายผู้นั้น “อย่างไรชุดของท่านก็ถูกฟันขาดแบบนี้แล้ว หากขาดเพิ่มอีกสักหน่อยคงไม่ถืออะไรกระมัง?”


 


 


“แคว่ก” เสียงฉีกขาดดังขึ้นท่ามกลางโบสถ์อันเงียบสงัด เสียงนี้จึงนับได้ว่าเป็นเสียงที่บาดหูยิ่ง


 


 


“หากข้าบอกว่าข้าถือล่ะ?” ชายผู้นั้นเมื่อเห็นชุดของตนจู่ๆ ก็ขาดเพิ่มไปอีกหย่อมหนึ่ง มุมปากของเขาก็เริ่มกระตุก และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเด็กน้อย ข้าขอพูดได้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังไม่ให้เกียรติข้า?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นทำราวกับตนไม่ได้ยินคำถามประโยคที่สอง นางเพียงเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ฉีกมันออกมาแล้ว หากท่านถือสาก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้”


 


 


เมื่อชายผู้นั้นโดนพฤติกรรมอันตรพาลเช่นนี้ของซูเหลียนอวิ้นขัดเข้า เขาก็ไร้คำพูด เวลาที่สตรีทำนิสัยอันตรพาลขึ้นมาก็ยากหาผู้ใดเปรียบได้!


 


 


“ยาไม่เลวทีเดียว” ชายผู้นั้นหลับตา “เจ้าเด็กน้อยคงเสียดายมากกระมัง? ยาตัวนี้…ราคาคงสูงมากทีเดียว?”


 


 


หากบอกว่าไม่เสียดายก็เหลวไหลเต็มที! ทว่า…


 


 


“ไม่เสียดาย” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “เพราะคุณภาพก็สมกับราคาดี” เมื่อพูดจบซูเหลียนอวิ้นก็ค่อยๆ ขยับตัวไปด้านหลังทีละน้อย จากนั้นเพียงชั่วเวลาสายฟ้าฟาด นางยกมือขึ้นปิดจมูกและเป่าไปที่ห่อยานั้นอย่างเต็มแรง


 


 


เดิมทีชายผู้นั้นมัวแต่กังวลและระแวดระวังว่าซูเหลียนอวิ้นจะใช้มีดสั้นเล่มนั้นลงมือ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าแผนการที่ซูเหลียนอวิ้นเตรียมเอาไว้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมีดสั้นเล่มนั้นเลย แต่กลับวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ยาห่อนี้


 


 


แม้ว่าชายผู้นี้จะหยุดหายใจทันที ทว่ากลับยังช้าไปอยู่ดีและได้หายใจเอาผงยาเข้าไปด้วย


 


 


สายตาของเขาพร่ามัว ความทรงจำสุดท้ายของเขาก็คือใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันเบิกบานใจของซูเหลียนอวิ้นที่หันมาพูดกับเขาว่า


 


 


 “ยาชาระงับความเจ็บปวดราคาพันชั่งชั้นยอด เป็นอย่างไรบ้าง? สรรพคุณสมราคาหรือไม่?” หลังจากฟังประโยคสุดท้ายจบ ชายผู้นี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


“โครม”


 


 


เสียงล้มกระแทกพื้นดังขึ้น


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นชายที่ปกปิดใบหน้าตนเองผู้นี้หมดสติไป นางจึงถอนใจ


 


 


ยังดีที่ผลลัพธ์เป็นไปตามที่หวัง


 


 


ยานี้คือยาระงับความเจ็บปวดตัวหนึ่ง เป็นยาที่นางเตรียมไว้ให้ตัวเองใช้ วิธีใช้ก็เพียงทาลงไปบนแผลเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อทายาตัวอื่นตามไปก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ทว่าสรรพคุณของยาดีเช่นนี้ย่อมต้องมีข้อเสียด้วยเช่นกัน


 


 


ข้อเสียของมันก็คือ ไม่ว่าผู้ใดได้สูดดมมันเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็จะล้มหมดสติไปตามกัน


 


 


นี่จึงเป็นวิธีใช้อีกวิธีหนึ่งของยาตัวนี้ นั่นคือทำให้รู้สึกชาโดยทำให้หมดสติไป จากนั้นไม่ว่าจะรักษาบาดแผลอย่างไรก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก


 


 


สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นยาระงับความเจ็บปวดที่ดีที่สุด!


 


 


ทว่าทำไมซูเหลียนอวิ้นจึงไม่เตรียมยานี้ออกมาไว้ใช้ตอนที่พบกับนักฆ่าสองคนนั่น นั่นก็เป็นเพราะนักฆ่ามีสองคน หากต้องใช้ยาสลบจริงก็ถือว่าเป็นการเสียของเปล่า


 


 


เพราะใครจะโง่ยืนนิ่งๆ ดมยาผงนั้นเข้าไปโดยไม่ขัดขืนเล่า ดังนั้นวิธีนี้จึงยากต่อการควบคุมมากเกินไปหน่อย!


 


 


อีกทั้งนักฆ่ามีสองคน หากคนหนึ่งสลบไปก็ยังเหลืออีกคน เกรงว่าเมื่ออีกคนที่เหลือเห็นว่าพี่น้องของตนถูกทำให้สลบไปเช่นนี้จะยิ่งทวีความแค้นมากยิ่งขึ้น!


 


 


ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังชายที่กำลังหลับตาอยู่นั้น คิ้วของนางก็เริ่มขมวดเป็นปม


 


 


เมื่อชายผู้นี้เงียบสงบไปเช่นนี้ ท่าทางของเขาก็เริ่มผ่อนคลาย


 


 


ทำไมนางถึงรู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นตานัก?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปหวังจะดึงหน้ากากที่หน้าของชายผู้นี้ออก


 


 


ทว่าน่าเสียดายที่ด้านหลังของหน้ากากนี้มีตัวล็อคอยู่ ซ้ำยังใช้กลไกพิเศษบางอย่าง ซูเหลียนอวิ้นจึงไม่สามารถแกะหน้ากากนี้ออกได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหงุดหงิดอยู่กับมันชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล้มเลิกความคิดที่จะหาวิธีจัดการปัญหานี้ เพราะเมื่อมองไปที่สีท้องฟ้าก็พบว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว นางต้องรีบเผ่นกลับไปได้แล้ว!


 


 


เพราะถึงตอนนี้ตนเพิ่งจะเกิดเหตุหกล้มคว่ำจนได้รับบาดเจ็บไปได้ไม่นานนัก ผ่านไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นเอง หากหลีมู่รู้เข้าว่านางหาเรื่องเข้าตัวอีกล่ะก็…ภาพที่นางคิดน่าปวดใจเสียจนทำให้นางไม่อยากคาดเดา


 


 


แม้ว่านางจะต้องไปแล้ว แต่แค้นนี้ก็ต้องชำระ!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพลิกร่างชายที่นอนกองอยู่กับพื้นผู้นี้ จากนั้นจึงใช้เท้ากระทืบไปบนก้นของเขาสองที


 


 


เฮอะ ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีกนะ


 


 


อันที่จริงซูเหลียนอวิ้นยังอยากกระทืบต่ออีกสักทีสองที เพราะนางเพิ่งกระทืบไปเพียงสองครั้งเท่านั้น จะหายโมโหได้อย่างไร! แต่น่าเสียดายที่นางอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าอันน่าเลื่อมใสของพระพุทธรูปแล้ว ดังนั้นอันที่จริงแล้วนางมีความสามารถในการข่มใจมากทีเดียว


 


 


แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะกระทืบคนบาดเจ็บตรงหน้าไปสองครั้ง แต่ในใจของนางกลับมิได้รู้สึกผิดอะไรมากมายนัก เพราะที่ที่นางกระทืบนั้นคือก้น!


 


 


อวัยวะเช่นก้นนั้นทั้งเนื้อเยอะทั้งแน่น ดังนั้นจึงทนแรงตีแรงกระทืบได้อย่างดีไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน


 


 


อมิตตาพุทธ อมิตตาพุทธ ซูเหลียนอวิ้นสวดภาวนา กราบนมัสการท่านเจ้าค่ะ ท่านคงเห็นแล้วว่าหมอนี่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเอง! นางแค่เอาคืนนิดหน่อยเท่านั้น อย่าตำหนินางเลย…


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหันไปสำรวจรอบๆ แล้วเก็บหลักฐานทั้งหมดที่อาจโยงมาถึงตัวนางไว้ เช่นเบาะรองนั่งนางก็ลากกลับไปไว้ยังตำแหน่งเดิม เมื่อวางใจได้แล้ว นางจึงรีบเผ่นออกจากที่แห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ภายในห้อง หลีมู่ยังคงหลับอยู่


 


 


ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ก้าวข้ามหลีมู่อย่างระมัดระวัง แล้วล้มตัวเบาๆ ลงบนเตียงที่ตนคิดว่ามันแข็งเสียเหลือเกิน จากนั้นก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมาอีก


 


 


เนื่องจากนางเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ดังนั้นนางจึงง่วงสุดขีด ตอนนี้ต่อให้นางต้องนอนบนพื้น นางก็สามารถนอนหลับไปได้สบายๆ


 


 


……


 


 


แสงจันทร์ลางเลือน แสงอาทิตย์ฉาบนภา


 


 


หลีมู่ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ของซูเหลียนอวิ้น นางกลับฝืนข่มตนไม่ให้ปลุกนางตื่นขึ้นมา


 


 


หนึ่งคืนที่ผ่านมานั้น ทำให้หลีมู่เข้าใจทุกอย่าง


 


 


เนื่องจากคุณหนูก็คือคุณหนู ไม่ว่าจะตัดสินใจทำสิ่งใด นางก็จะเป็นคนที่คอยสนับสนุนคุณหนูอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่นางจะไม่รู้ก็ตามว่านางไปที่ไหนมา แต่นั่นคงทำให้นางเหนื่อยมากทีเดียว ดังนั้นในเวลาเช่นนี้ยังคงให้คุณหนูนอนต่อไปจะดีกว่า


 


 


ณ โบสถ์อีกฟากหนึ่ง


 


 


“นายท่าน! ตื่นเถิดขอรับ!”


 


 


ชายที่สวมใส่ชุดดำเช่นเดียวกันกำลังเขย่าชายที่วางแผนจะกำจัดซูเหลียนอวิ้นเมื่อคืนนี้อยู่ “นายท่าน ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่?”


 


 


ชายผู้นั้นถูกเสียงเอะอะนี้ปลุกตื่นขึ้น เขาลืมตาแล้วลูบศีรษะตัวเอง


 


 


“หลิวจือ เจ้ายังรู้จักโผล่หัวมาด้วยหรือ?”


 


 


มิผิด ชายที่วางแผนจะฆ่าซูเหลียนอวิ้นเมื่อคืนนี้ก็คือต้วนเฉินเซวียนนั่นเอง


 


 


“นายท่าน…” หลืวจือมีร้อยเหตุผลแต่มิอาจอธิบายได้ “นายท่าน ถึงอย่างไรที่นี่ก็มิใช่ที่จะมาพูดคุยอะไรกัน พวกเรารีบกลับกันเถิด”


 


 


“อืม” ต้วนเฉินเซวียนมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า ทว่าขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นนั้น ขาของเขาก็อ่อนแรงแล้วล้มพับลงอีก


 


 


“นายท่าน!” หลิวจือร้องขึ้น โชคยังดีที่เขาเป็นคนมือเท้ารวดเร็วจึงรับต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ได้


 


 


“ข้าไม่เป็นไร” ต้วนเฉินเซวียนกัดฟัน “รีบกลับไปที่จวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” 

 

 


ตอนที่ 80 หยามเกียรติ

 

ณ จวนจิ้งอันโหว


 


 


“นายท่าน ข้ามิได้มีเจตนาจะไม่ไปรับนายท่านนะขอรับ!” ตอนนี้หลิวจือกำลังอับจนถ้อยคำอธิบายใดๆ จึงเพียงอธิบายอีกรอบว่า “นายท่าน เมื่อวานข้าต้องการดึงดูดความสนใจของสองคนนั่นถึงได้หลบไป ข้านึกว่าท่านจะหนีไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่า…”


 


 


สายตาของหลิวจือแอบเหลือบมองไปยังต้วนเฉินเซวียน พลางคิดในใจว่า ใครเลยจะคิดว่าท่านจะนอนสลบอยู่ตรงนี้! ทว่าเมื่อเห็นเขามีอารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าถามถึงว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมานอนสลบอยู่ตรงนั้นได้…


 


 


อันที่จริงแล้วพิษนั้น แม้ว่าอาการจะดูค่อนข้างน่ากลัว แต่หากไม่มีคนไล่กวดตามหลังมาแล้วล่ะก็ ด้วยฝีเท้าของต้วนเฉินเซวียนแล้ว คงสามารถกลับมาถึงจวนจิ้งอันโหวได้


 


 


จากการคาดคะเนคร่าวๆ ของหลิวจือเอง จึงทำให้เขาไม่ได้สนใจทางด้านของต้วนเฉินเซวียนมากนักและหันไปดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายหนึ่งแทน แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของต้วนเฉินเซวียนจะยากลำบากเช่นนี้


 


 


ต้วนเฉินเซวียนสังเกตเห็นท่าทางของหลิวจือที่คล้ายอยากจะเอ่ยสิ่งใดแต่อึกอักไม่กล้าพูด เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์


 


 


ตอนนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าพูดอยู่อีก? อันที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นั้นไม่ได้เกิดจากหลิวจือ แต่เป็นซูเหลียนอวิ้นต่างหาก เขาโกรธที่ตนตกหลุมพรางเด็กน้อยคนนี้ หากใครรู้เข้าคงหัวเราะจนฟันหักแน่นอน อีกทั้งเจ้าเด็กคนนี้ยังไม่พลาดตกหลุมในความเป็นบุรุษรูปงามของเขา


 


 


แม้ว่าเขาจะใส่หน้ากากอยู่ก็ตาม แต่ก็สามารถทำให้นางเผลอใจได้เช่นกัน!


 


 


“เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดเร็วข้า! อย่ามัวแต่ชักช้าอึกๆ อักๆ เช่นนี้ ทำตัวอย่างกับผู้หญิง!” ต้วนเฉินเซวียนแผดเสียงตวาด ตอนนี้หลิวจือกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


 


“ข้า ข้า…” หลิวจือกลืนน้ำลาย เพราะเขารู้สึกว่าคำพูดต่อไปที่เขาอยากจะพูดนั้นจะต้องทำให้นายท่านอารมณ์เสียมากขึ้นแน่นอน! หากนายท่านไม่ได้ออมมือไว้และด้วยความอับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นโทสะลงมือกับเขาถึงตายจะทำอย่างไร?


 


 


แต่นายท่านได้เอ่ยปากถามเขาเสียแล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วโทษคงหนักกว่าเดิม…เฮ้อ ตนจะสงสัยอะไรนักหนา! กลับมาถึงจวนแล้วก็ควรหลบหน้าเจ้านายไปให้ไกลๆ นั่นจึงจะเป็นวิธีการปกติที่คนอื่นเขาทำกันมิใช่หรือ! ตอนนี้สมองของเขาคงเสื่อมไปเสียแล้ว


 


 


“นายท่านคือเรื่องนั้น…” หลิวจือคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าพูดออกไปตรงๆ จะดีที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีโอกาสตายด้วยกันทั้งนั้น เช่นนั้นมิสู้คลายความสงสัยของตนก่อนแล้วค่อยตาย จะได้ตายโดยไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจอีก


 


 


“คือข้าเพียงสงสัยว่าใครเป็นคนเอาพิษออกให้ท่าน และเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านทำไมถึงมีรอยเท้าอยู่บนก้นถึงสองรอย”


 


 


อีกทั้งความเล็กใหญ่ของรอยเท้านั่นดูก็รู้ว่าเป็นขนาดเท้าของสตรี นายท่านออกมาปฏิบัติภารกิจภายนอก เหตุใดจึงมาอยู่กับสตรีได้? ไหนจะเรื่องการจัดการพันแผลนั่นอีก! ตอนนี้เขาอยากรู้เสียเต็มประดา


 


 


หลิวจือเอ่ยทั้งสองประโยคนี้ออกไปทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เมื่อเอ่ยจบก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงพบว่าตอนนี้สีหน้าของต้วนเฉินเซวียนหมองคล้ำราวกับก้นหม้อ เขาจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แน่นอนว่าตอนนี้เขาได้กระทุ้งโดนจุดสำคัญของนายท่านเสียแล้ว!


 


 


“นายท่านขอรับ ข้า พอดีข้ามีธุระต้องทำ! ท่านไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบก็วิ่งออกจากห้องไปราวกับบินได้ ความเร็วในการกล่าวขอโทษและหลบเลี่ยงปัญหาของเขานั้นสามารถเทียบเคียงหันชิงอวี่ได้เลย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไร นั่นเป็นเพราะ…เขาไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ


 


 


เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้วถูกโยนไว้ด้านข้าง เขาจึงเดินเข้าไปแล้วก้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมาสำรวจดู เขาจึงสังเกตเห็นว่า…ที่ด้านหลังกางเกงมีรอยเท้าสองรอยประทับอยู่


 


 


เพียงดูแวบเดียวก็รู้ว่าคนที่ฝากรอยเท้าเอาไว้มีความแค้นเคืองมากเพียงใด รอยเท้าถึงยังอยู่ได้ถึงตอนนี้


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเม้มปากแน่น บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นยะเยือก ทว่าโชคยังดีที่ในห้องนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้วนอกจากเขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดต้องหวาดผวากับบรรยากาศน่าขนลุกนี้


 


 


ซูเหลียนอวิ้น แม่ตัวดี!


 


 


ความพลุ่งพล่านนี้ของเขาส่งตรงมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เพราะลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ซูเหลียนอวิ้นถึงกับกระทืบเขา? กระทืบเขาเชียวนะ?


 


 


คนอย่างต้วนเฉินเซวียนเคยได้รับการหยามเกียรติเช่นนี้เสียที่ไหน! นางแมวขนพองนี่นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


 


 


ในความคิดของต้วนเฉินเซวียนแล้ว แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะใช้ลูกไม้บางอย่างทำให้เขาสลบไป เขาก็ยังพอบอกตัวเองได้ว่าตอนนั้นเป็นเขาเองที่ทำให้นางหวาดกลัว อีกอย่างในตอนนั้นที่เขาสลบไปแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นเขาคงทำได้เพียงคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อจากนั้น


 


 


แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลายเป็นว่า เจ้าเด็กนี่ไม่ได้หลงเสน่ห์ที่เขาหว่านไว้เลยสักนิด แถมยังกระทืบเขาอย่างโหดเ**้ยม! นี่ส่งผลกระทบต่อความนับถือในตัวเองของเขาอย่างรุนแรง!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเจ้าคอยดูเถิด ต้วนเฉินเซวียนโกรธจัดถึงขั้นแยกเขี้ยวสาบาน


 


 


แค้นนี้หากไม่ชำระ ไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง!


 


 


หากสบโอกาสเขาจะต้องจัดการเจ้าเด็กนี่ให้สาสม!


 


 


ทว่าต้วนเฉินเซวียนคงลืมไปว่า ตัวเขานั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริงอะไรที่ไหนเลย…


 


 


…..


 


 


“หลีมู่ ตอนนี้ยามใดแล้ว? ทำไมเจ้าถึงไม่ปลุกข้าเล่า” เมื่อซูเหลียนอวิ้นนอนเต็มอิ่มแล้ว ภาพแรกหลังจากที่นางลืมตาตื่นขึ้นคือหลีมู่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างนางโดยใช้สายตาซับซ้อนจ้องมองมายังนาง


 


 


“หลีมู่เจ้าเป็นอะไรไป?”


 


 


ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วยังไม่หายอีกหรือ อาการป่วยนี้ของหลีมู่คงรุนแรงมากทีเดียว


 


 


หลีมู่เหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มออกมา “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ บ่าวเห็นคุณหนูนอนหลับฝันดีเช่นนี้ จึงตัดสินใจอยู่ว่าจะปลุกคุณหนูดีหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้คุณหนูตื่นแล้วก็รีบไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูบอกเองมิใช่หรือว่าวันนี้มีหลายเรื่องที่ต้องทำ”


 


 


“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วมองไปที่หลีมู่อย่างระแวดระวัง ตอนนั้นเองจึงพบว่าหลีมู่ไม่เป็นไรและมีทีท่าเหมือนปกติ หรือว่าเมื่อครู่นี้นางตาลายไปเอง?


 


 


นี่คงเป็นผลจากเมื่อคืนที่นางสมบุกสมบันมากเกินไปนั่นเอง จนทำให้ตอนนี้นางเริ่มเห็นภาพหลอน!


 


 


หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไม่พิรี้พิไรอีก นางรีบไปยังโบสถ์แล้วไหว้พระสวดมนตร์จนครบกระบวนการ จากนั้นถึงจะได้พักผ่อนอีกครั้ง


 


 


นางเดินออกมาด้านนอกโบสถ์ เนื่องจากแสงแดดในตอนนี้แยงตานางจึงยกมือขึ้นมาป้องศีรษะเอาไว้


 


 


จนตอนนี้แล้ว นางจะไปหาท่านอาจารย์อีกดีหรือไม่? แต่นางก็ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่อยากจะพูดและอยากจะถาม ยกตัวอย่างเช่นทำไมนางถึงรู้สึกกระตุกที่หัวใจ ที่แท้แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่


 


 


“หลีมู่ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี


 


 


หลีมู่อยู่กับซูเหลียนอวิ้นมาตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นทุกอากัปกิริยา ทุกการแสดงออก แม้มิอาจกล่าวได้ว่าเข้าใจเต็มทั้งสิบส่วน แต่อย่างน้อยเข้าใจสักเจ็ดส่วนก็ถือว่ามากเพียงพอแล้ว อากัปกิริยาของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้เพียงดูก็รู้แล้วว่านางกำลังปั่นป่วนด้วยเรื่องบางอย่าง แต่มิรู้จะเอ่ยกับนางว่าอย่างไรดี


 


 


“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หลีมู่เดินหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูยังมีเรื่องอะไรที่ต้องทำอีกหรือไม่? หากคุณหนูมีธุระด่วนก็ไม่ต้องสนใจบ่าวแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรีบไปแล้วรีบกลับก็พอ เพราะเมื่อวานเขียนบอกในจดหมายไปแล้วว่าวันนี้พวกเราจะต้องกลับไปถึงอย่างแน่นอน”


 


 


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ คราวนี้คุณหนูต้องการให้หลานเย่ว์ไปด้วยหรือไม่? หากบ่าวไปด้วยมีแต่จะไปสร้างความวุ่นวายให้เปล่าๆ แต่หากพาหลานเย่ว์ไป อย่างน้อยๆ คุณหนูก็จะได้ผู้ช่วยนะเจ้าคะ”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองไปยังใบหน้าของหลีมู่ที่กำลังยิ้มอย่างพอเหมาะพอดีอยู่นั้น นางก็อับจนถ้อยคำ


 


 


หลีมู่คงกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่อย่างที่นางคาดไว้! 

 

 


ตอนที่ 81 พลังภายใน

 

“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปตบที่ไหล่หลีมู่เบาๆ “เจ้ากำลังคิดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?” แม่นางน้อยนางนี้ วันหนึ่งๆ ชอบคิดแต่เรื่องไร้สาระ! แววตาของนางแปลกประหลาดอีกแล้ว!


 


 


“ชั่งเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มิสู้ให้เจ้ากับหลานเย่ว์ตามข้าไปด้วยจะดีกว่า ข้าจะไปพบคนผู้หนึ่ง” ซูเหลียนอวิ้นเอามือข้างหนึ่งไปดึงหลีมู่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกวักเรียกหลานเย่ว์เข้ามา


 


 


“หลานเย่ว์ เจ้ากับหลีมู่ไปธุระกับข้าเถิด พวกเจ้าทั้งสองจะได้ไม่ต้องนั่งคิดมากกังวลทั้งวันและตัดสินใจลงมือทำอะไรโดยพลการอีก”


 


 


หลานเย่ว์ชะงักไป แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของหลีมู่ที่ประหลาดใจไม่แพ้กันก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาจึงเอ่ยว่า “ขอรับ คุณหนูสั่งอะไร ข้าก็จะทำเช่นนั้น”


 


 


คุณหนูใหญ่คงกลัวว่าหลีมู่จะเป็นห่วงกระมัง ดังนั้นจึงตัดสินใจจะพาไปด้วย? แต่ทำไมถึงให้เขาไปด้วยเล่า?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ความในใจของหลานเย่ว์ในตอนนี้ เนื่องจากในใจของนางนั้น หลานเย่ว์ได้กลายเป็นคนของนางอย่างเต็มตัวตั้งแต่เมื่อวานที่เขามอบนกหวีดให้นางแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อยากปิดบังอะไรเขาอีก


 


 


“ไปกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นชี้ไปยังภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ “ไปทางนั้น หนทางค่อนข้างไกล ดังนั้นพวกเราต้องรีบเดินกันหน่อย”


 


 


หลีมู่พยักหน้า “เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะพยายามไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ตอบอะไร เพราะสิ่งที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้คือ อีกประเดี๋ยวเมื่อพบหน้าหรงซู่แล้ว นางจะอธิบายกับหรงซู่ว่าอย่างไรดี


 


 


“ถึงแล้ว” ผ่านไปไม่นานก็ถึงจุดหมาย


 


 


ซูเหลียนอวิ้นชี้ไปยังกระท่อมไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอเข้าไปถามคนผู้นั้นก่อนว่ายินดีจะพบหน้าพวกเจ้าหรือไม่”


 


 


“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่รีบเอ่ยปาก “คุณหนูเชื่อใจและพาพวกเรามาจนถึงที่นี่ก็นับว่าดีมากแล้ว ข้ากับหลานเย่ว์รอคุณหนูอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว เดิมทีพวกเราเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูถึงไม่กล้าปล่อยให้คุณหนูมาคนเดียว ตอนนี้หากพวกเรายืนรออยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านในก็คงจะไม่เป็นอะไร”


 


 


ใบหน้าของหลีมู่ไม่แสดงอารมณ์ใด แต่อันที่จริงแล้วในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก


 


 


ดูจากสิ่งแวดล้อมและพื้นที่บริเวณนี้แล้ว ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับฝึกปฏิบัติของผู้มีวรยุทธ์สูงสักคนหนึ่งกระมัง? มิน่าเล่าคุณหนูถึงเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงนี้ เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้อย่างแน่นอน!


 


 


แต่ว่ากันว่าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงโดยส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยใจคอที่แปลกประหลาด? ดังนั้นหลีมู่จึงคิดว่าตนอย่าได้เข้าไปก่อเรื่องเพิ่มเปล่าๆ จะดีกว่า หากนางทำให้เขาไม่ชอบใจขึ้นมาจนทำให้คุณหนูพลอยเดือดร้อนไปด้วย นั่นจะไม่ทำให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นหรือ?


 


 


การที่คุณหนูพานางมาด้วยนั้นทำให้นางตื้นตันและซาบซึ้งมากพอแล้ว ตอนนี้หลีมู่จึงไม่ฝันเฟื่องอยากได้อะไรมากกว่านี้อีก นางขอเพียงคอยคุ้มกันคุณหนูอยู่ด้านหลังเงียบๆ ก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว


 


 


อีกทั้งในความคิดของหลีมู่ ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงมักจะเป็นพวกเฒ่าหนวดขาว ดังนั้นการที่ซูเหลียนอวิ้นไปพบคนแบบนี้สองต่อสอง…นางไม่คิดว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง


 


 


หลานเย่ว์เองก็มีทีท่าเช่นเดียวกับหลีมู่คือขอยืนรออยู่ด้านนอกก็เพียงพอ เหตุการณ์ด้านในจะเป็นอย่างไรเขามิได้อยากรู้


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นพวกเขาทั้งสองคนมีทีท่าพอใจเช่นนี้ นางจึงหมดห่วง


 


 


“เช่นนั้นพวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะเข้าไปสอบถามอะไรเขาสักหน่อยประเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู”


 


 


ด้านนอกกระท่อมไม้ไผ่ หรงซู่รินชาสองแก้วเตรียมไว้บนโต๊ะหินเรียบร้อยแล้ว ราวกับรอซูเหลียนอวิ้นมาเป็นเวลานานแล้ว


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์มาเสียที” หรงซู่เงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจึงมาหาอาจารย์อีก?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากจะสาธยายอะไรกับหรงซู่มากนักเพราะมีคนรอนางอยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงต้องพูดอย่างรวบรัดตัดตอน “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าหัวใจข้าผิดปกติ เหตุใดบางครั้งข้าจึงรู้สึกเจ็บที่หัวใจได้?”


 


 


หรงซู่จึงเอ่ยว่า “เจ้านั่งลงแล้วเอามือมาให้ข้าตรวจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขวาของตนออกไปทันที สายตาทั้งสองข้างจับจ้องไปยังใบหน้าของหรงซู่ เนื่องจากนางกลัวว่าผ่านไปครู่หนึ่งหรงซู่จะถอนใจแล้วบอกนางว่า อาการป่วยนี้ของนางร้ายแรง ต้องกินยาทุกวันขาดไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว หากขาดไปเพียงมื้อหนึ่งก็อาจจะ…เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นได้!


 


 


หรงซู่ขมวดคิ้วแน่นพลางตรวจดูบริเวณมือด้านขวาของซูเหลียนอวิ้น “ยื่นมือด้านซ้ายของเจ้าออกมาด้วย อาจารย์จะขอตรวจดูหน่อย”


 


 


ร้ายแรงขนาดนี้เชียว? ตรวจมือข้างเดียวถึงมิอาจรู้? กล่าวได้ว่าซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ไม่มีจิตใจจะล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย จึงยื่นมือด้านซ้ายออกไปทันที


 


 


พักใหญ่ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกังวลจนอกแทบแตกอยู่นั้น หรงซู่ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรง”


 


 


“ไม่มีอะไรร้ายแรง?” เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านทำท่านิ่งขรึมราวกับเคียดแค้นเรื่องใดอยู่ทำไมกัน! ทำเอานางกังวลแทบแย่


 


 


หรงซู่พยักหน้า “ไม่มีอะไรร้ายแรงนัก แต่ว่า…” หรงซู่ลากน้ำเสียงยาว “แต่สำหรับเจ้าแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็ก”


 


 


“ตอนที่เจ้าเจ็บที่หัวใจ เจ้ากำลังรู้สึกโกรธอยู่หรือว่ากำลังใช้วิชาที่อาจารย์สอนเจ้าอยู่ถึงจะเกิดอาการใช่หรือไม่?”


 


 


ตอนแรกที่ซูเหลียนอวิ้นได้ยินหรงซู่เอ่ยเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็เตรียมจะเถียงเขาสักคำสองคำ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนางจึงสงบลง จากนั้นจึงก้มหน้าครุ่นคิดสิ่งที่หรงซู่กล่าว


 


 


เวลาที่นางรู้สึกเจ็บหัวใจ…


 


 


“คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น…” เนื่องจากตอนนี้เพิ่งจะมีอาการเพียงสองครั้ง แต่เมื่อใดที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาก็แทบทนไม่ไหวทีเดียว


 


 


“ครั้งแรกดูเหมือนว่าจะเป็นตอนงานฉลองวสันตฤดู ตอนที่ข้าระเบิดอารมณ์ใส่หยางอวี้หลิน? อีกครั้งหนึ่งก็คือเมื่อวานนี้ ท่านอาจารย์ให้ข้าใช้วิชาตัวเบาลงเขาไป สุดท้ายข้าลงไปได้เพียงครึ่งทางก็เกิดรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้น จากนั้นข้าก็ตกจากต้นไม้”


 


 


เมื่อหรงซู่ได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็มิผิดแล้ว”


 


 


“มิผิดแล้ว?”


 


 


“ถูกต้อง พลังภายในตัวเจ้ากับร่างกายของเจ้าในตอนนี้ สิ่งสองสิ่งนี้กำลังต่อต้านกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บที่หัวใจ”


 


 


หรงซู่หันตัวไปหยิบหนังสือที่เตรียมไว้แล้วสองเล่มวางลงตรงหน้าซูเหลียนอวิ้น “ข้าเคยบอกเจ้าว่า เจ้าเรียนวิชาป้องกันเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่วันนี้ไม่เหมือนอย่างในอดีตแล้ว หากเจ้ายังใช้วิชาป้องกันอยู่เกรงว่าจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นกับร่างกายของเจ้า”


 


 


“ตอนนี้เจ้ามิต้องเรียนเพียงป้องกันอย่างเดียวแล้ว เจ้าควรจะไปเรียนรู้อย่างอื่นบ้าง เจ้านำตำราสองเล่มนี้กลับไปเถิด เมื่อเจ้าเข้าใจและศึกษาหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้พอสมควรแล้วค่อยกลับมาหาข้าอีกครั้ง”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนักจึงเอ่ยว่า “ความหมายของท่านอาจารย์คือ ข้าในชาติที่แล้วรู้จักแต่เพียงการกล้ำกลืนฝืนทนจึงไม่จำเป็นต้องรู้จักการโจมตี เรียนเพียงวิชาป้องกันตัวก็เพียงพอ แต่ข้าในตอนนี้รู้จักต่อกรกับผู้อื่นแล้ว ดังนั้นหากใช้วิชาการป้องกันไปโจมตีผู้อื่นมีแต่จะทำให้ตัวเองต่อต้านร่างกายตัวเอง?”


 


 


หรงซู่พยักศีรษะ “เจ้าสอนง่ายยิ่งนัก”


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าช่วงนี้เจ้าหงุดหงิดง่าย?”


 


 


“เอ๊ะ!” ซูเหลียนอวิ้นชะงักไป “ใช่หรือ?”


 


 


“เจ้าลองคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน”


 


 


เหมือนจะเป็นเช่นนั้น? ซูเหลียนอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางครุ่นคิด แต่จะว่าไปแล้วจะบอกว่านางหงุดหงิดง่ายก็ไม่ถูกนักกระมัง?  เพราะเรื่องราวต่างๆ ในอดีตที่นางเคยอดกลั้นได้ ตอนนี้นางเพียงไม่อดทนกับมันอีกต่อไปแล้ว 

 

 


ตอนที่ 82 ศิษย์น้อง

 

 


 


หรงซู่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าควรฝึกควบคุมอารมณ์ของตนให้ได้ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เจ้าต้องกินผักให้มากและลดการกินเนื้อสัตว์ลง” หรงซู่ยื่นมือออกไปจิ้มที่หน้าผากซูเหลียนอวิ้นด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ


 


 


“ชู่ ท่านอาจารย์หยิกข้าทำไม!” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนเพื่อเลี่ยงมือของหรงซู่แล้วจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างฉุนจัด


 


 


“ข้าหยิกเจ้าที่ไหนกัน” หรงซู่ไม่ใส่ใจนางแล้วนั่งจิบชาอยู่บนม้านั่งหินอย่างไม่รีบร้อนแล้วเอ่ยต่อว่า “ที่อาจารย์จิ้มไปโดนเมื่อกี้คือรอยบวมที่หน้าผากเจ้า เจ้ามิรู้หรือว่าเจ้าเป็นสิวแล้ว?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าอย่างงุนงง “ไม่รู้เจ้าค่ะ…”


 


 


“หากไม่รู้ประเดี๋ยวก็กลับไปส่องกระจกดูเถิด สิวเม็ดใหญ่ขนาดนั้น ข้าเห็นแล้วใจคอไม่ดี เฮ้อ”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบบริเวณหน้าผากตน ก็แค่มีสิวเม็ดใหญ่เท่านั้นเอง! แถมยังอยู่กลางหน้าผากอีกด้วย


 


 


พอคิดย้อนถึงเมื่อครู่ที่นางออกไปไหว้พระที่วัดฝ่าฝัวโดยไม่รู้ตัว แถมคนที่วัดก็ตั้งมากมายขนาดนั้นคงจะเห็นนางในสภาพเช่นนี้ไปแล้ว วินาทีนั้นนางอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไปเสีย


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ ฟังคำเตือนของอาจารย์สักครั้ง ลดการกินเนื้อสัตว์ลงและกินผักให้มากๆ รับรองว่าไม่มีผลเสียแน่นอน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเอามือขวาของตัวเองลงแล้วแค่นยิ้ม “ท่านอาจารย์อย่าห่วงเลย อยู่ที่เรือนข้าจะกินผักให้มาก ส่วนตอนอยู่ที่นี่กับท่านข้าจะไม่มีทางกินเนื้อสัตว์น้อยลงแม้แต่ชิ้นเดียว! มิเช่นนั้นหากท่านกินเนื้อสัตว์มากไป ของพวกนั้นก็จะสะสมกลายเป็นสิวบนตัวท่านไปอีกมิใช่หรือ? ดังนั้นให้ศิษย์เป็นคนรับไว้เองจะดีกว่า”


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหรงซู่ผู้นี้ยังคับแค้นเรื่องที่นางแย่งเนื้อกระต่ายเขากินเมื่อวานอยู่! ซูเหลียนอวิ้นแอบกัดฟัน


 


 


แค่แย่งเนื้อไปไม่กี่ชิ้นเอง! ถึงกับต้องคิดแค้นเช่นนี้ นางมิได้กินเนื้อกระต่ายลงไปคนเดียวเสียหน่อย หรงซู่เองก็กินไปไม่น้อยเช่นกัน!


 


 


หรงซู่ยิ้มตอบแล้วเอ่ยต่อว่า “มิเป็นไร ต่อไปเนื้อสัตว์ของที่นี่ก็ให้ถือว่าเป็นของเจ้าก็แล้วกัน รับรองว่าทุกครั้งที่เจ้ามาที่นี่จะต้องได้กินเนื้อสัตว์แน่นอน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับหรงซู่อีกต่อไปแล้ว เพราะหรงซู่ผู้นี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอย่างยิ่ง เมื่อวานนางเพิ่งจะเอายาของเขาไปเยอะขนาดนั้น วันนี้เขาดันให้ตำรานางมาอีกสองเล่ม ใครจะรู้ว่าวันหน้าเขาจะไม่ตามเอาคืนหรือทวงบุญคุณอะไรอีก


 


 


ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ตำราสองเล่มนี้ นางจะไม่เถียงอะไรกับเขาอีก!


 


 


“ท่านอาจารย์ข้าขี้เกียจจะทะเลาะกับท่านแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นบ่นขึ้น “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ท่านอาจารย์อย่าลืมพิธีปักปิ่นของข้าก็พอ”


 


 


หรงซู่ขมวดคิ้ว “เจ้าศิษย์ทรยศ! กลับมานี่เดี๋ยวนี้! ในมือของเจ้าถืออะไรไปอีก! นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์ยังต้องใช้อยู่ เจ้าช่าง…ข้าไม่ตีเจ้าเพียงสามวัน เจ้าก็ปีนขึ้นไปรื้อหลังคา[1]เสียแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยตอบว่า “อื้ม”


 


 


นางรู้ดีว่าบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องราวใดได้มาง่ายดาย! อาจารย์หรือจะมอบสิ่งของให้นางอย่างเต็มใจ! ในที่สุดแล้วนางก็ต้องแย่งชิงมันมาเอง เพื่อให้ได้ของแม้เพียงเล็กน้อยจากอาจารย์


 


 


“ตอนนี้ศิษย์ขอลาก่อน”


 


 


“ไปเถิดๆ!”


 


 


……


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์!”


 


 


ขณะที่เพิ่งลงจากรถม้าเสร็จ นางยังไม่ทันกลับไปถึงเรือนของตน ซูเหลียนอวิ้นก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นก่อน


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์! เหตุใดเมื่อวานเจ้าถึงไม่บอกแม่สักคำ! จู่ๆ ก็ไปค้างคืนที่วัดฝ่าฝัวโดยพลการ เจ้าเป็นลูกผู้หญิงแถมไม่ได้พาองครักษ์ไปด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว…”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่ฮูหยินผู้นี้ที่กำลังจูงมือนางอยู่พลางบ่นอย่างไม่หยุดปากจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา นางว่านางเดินเร็วมากพอแล้ว! ท่านแม่ตามนางทันได้อย่างไร?


 


 


“ท่านแม่เจ้าคะ!” ซูเหลียนอวิ้นทนไม่ไหวในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น “ลูกก็มิได้เป็นอะไรมิใช่หรือ อีกทั้งที่วัดฝ่าฝัว…ก็เป็นถึงวัดประจำราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโอรสสวรรค์ จะไปเกิดเรื่องอะไรได้อย่างไร ลูกปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ”


 


 


ที่นั่นย่อมเกิดเรื่องได้แน่! ในใจของซูเหลียนอวิ้นกำลังโต้แย้งตัวเอง ตอนนี้นางกำลังโกหกโดยที่ไม่ได้เตรียมบทอะไรมาก่อนเลย


 


 


พอคิดถึงภาพเหตุการณ์น่าพรั่นพรึงของเมื่อคืนวานนั้น ซูเหลียนอวิ้นเริ่มตัวสั่นงันงก ยังดีที่นางเอาตัวรอดเก่ง! มิเช่นนั้นแล้วคงจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้ว่าของป้องกันตัวจำพวกมีดสั้น มิควรวางมั่วๆ แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาต่างหาก


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าหนาวหรือ?” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นซูเหลียนอวิ้นตัวสั่นขึ้นมาในตอนนั้นจึงขมวดคิ้ว “อวิ้นเอ๋อร์เมื่อคืนวานเจ้าไม่ได้ห่มผ้าให้ดีใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นจะตัวสั่นได้อย่างไร? คงมิได้เป็นไข้กระมัง” เนื่องจากตอนนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่ จะเลี่ยงความร้อนอย่างไรก็คงไม่ทัน คนปกติที่ไหนจะมาตัวสั่นอยู่ตรงนี้?


 


 


อันเพ่ยอิงเอามือไปลูบที่หน้าผากของซูเหลียนอวิ้น “ไม่ร้อนนี่นา…”


 


 


“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าหากยังโอ้เอ้อยู่ต่อไปอย่างนี้นางจะต้องเปิดเผยอะไรออกไปแน่ “ลูกรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เช่นนั้นลูกขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ หากท่านแม่มีเรื่องอะไร เมื่อลูกตื่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็ได้เจ้าค่ะ”


 


 


“ได้…” แม้ว่าอันเพ่ยอิงจะมีคำพูดอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูด ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของซูเหลียนอวิ้นที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นจึงคิดว่าควรเก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ชั่วคราวก่อน “อวิ้นเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด คืนนี้แม่ค่อยแวะไปดูเจ้า”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าอันเพ่ยอิงเดินจากไปไกลแล้วนางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ดูแล้วนางคงไม่เหมาะกับการโกหกเท่าไหร่นัก แม้แต่แม่ตัวเองนางยังแทบจะโกหกไม่สำเร็จ!


 


 


……


 


 


“ศิษย์น้อง แขกผู้ยากจะแวะมาเยือนนี่เอง” ขณะนี้หรงซู่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการจัดการยาสมุนไพรของเขา ดังนั้นจึงมิได้เงยหน้าขึ้นมา ทว่ามิต้องเงยหน้าเขาก็สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาคนนั้นคือผู้ใด “ทำไมหรือ วันนี้มาหาศิษย์พี่เพื่อพูดคุยย้อนวันวานกันหรือ?”


 


 


“ท่านว่าอย่างไรเล่า?” เสียงนี้แตกต่างจากเสียงที่แผ่วเบาสูงส่งยากจะเอื้อมถึงของหรงซู่ เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาได้บ่งบอกถึงความใจร้อนถือตนและสง่างาม


 


 


“เช่นนั้นเจ้ามาด้วยเหตุใด? ฮึ? ศิษย์น้องต้วน” เมื่อหรงซู่จัดการยาสมุนไพรถังสุดท้ายของเขาจนเสร็จเรียบร้อยก็ยืดตัวขึ้นแล้วหันไปยิ้มให้กับคนผู้นั้นอย่างอบอุ่น


 


 


ต้วนเฉินเซวียนสวมใส่อาภรณ์สีดำ ส่วนหรงซู่สวมใส่อาภรณ์สีขาวพระจันทร์เสี้ยว เมื่อทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันจึงเกิดเป็นความแตกต่างกระจ่างชัดที่มิอาจชัดไปได้มากกว่านี้ได้อีก


 


 


ผู้หนึ่งงามสง่า ผู้หนึ่งเงียบขรึม ผู้หนึ่งมีรัศมีเทพเซียน ผู้หนึ่งดื้อรั้นถือตน ทว่าคนสองคนนี้กลับเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันจึงมีฐานะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง


 


 


“ท่านมิต้องยิ้มขนาดนั้นก็ได้” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยพลางเตะก้อนดิน “ท่านเป็นคนอย่างไรข้าจะไม่รู้เลยหรือ? ดังนั้นเรามาพูดจากันดีๆ เถิด อย่ามัวแต่ยิ้มเลย”


 


 


หรงซู่เป็นคนอย่างไรต้วนเฉินเซวียนจะไม่รู้ได้อย่างไร? เขาทั้งสองคนเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทนเห็นท่าทางสูงส่งเหนือมนุษย์เดินดินของหรงซู่ไม่ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นมนุษย์หน้าเงินทั่วไปแต่พยายามวางท่าราวกับเป็นเทพเซียนเอาไว้


 


 


อันที่จริงทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของหรงซู่ เขาจะเกิดความรู้สึกอยากเข้าไปต่อยหน้าเขาสักยก จากนั้นค่อยบอกเขาว่า อย่าขี้เก๊กให้มากจะได้ไหม?


 


 


“โอ้โห อารมณ์ไม่ดีเพียงนี้เชียวหรือ” หรงซู่ส่ายหน้าพลางรุดขึ้นไปข้างหน้าสองสามก้าว ทำให้หลุมที่เกิดขึ้นตอนที่ต้วนเฉินเซวียนเตะไว้เรียบเสมอกัน “หากศิษย์น้องต้วนมีเรื่องไม่สบายใจใดอยู่ ขอร้องอย่าได้นำยาสมุนไพรที่ศิษย์พี่ปลูกไว้ไปคลายความทุกข์ใจก็พอ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] มาจากสำนวน ไม่ตีเด็กเพียงสามวัน เด็กก็ปีนไปรื้อหลังคา หมายความว่า ไม่สั่งสอนเด็กให้รู้ถึงความผิด เด็กก็จะยิ่งทำความผิดที่ใหญ่ขึ้นไปอีก หรือหมายถึงเด็กดื้อก็ได้เช่นกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม