จารใจรัก 77-81

ตอนที่ 77 ไร้ซึ่งความหวัง

 

   ร้านยาใหญ่ในเมืองหลวง เรียกได้ว่ามียาสมุนไพรครอบคลุมทุกชนิดในใต้หล้าแล้ว 


 


 


           ยามนี้นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีสมุนไพรดำม่วง 


 


 


           ขุนนางทั้งหมดต่างตกตะลึง 


 


 


           “เหตุใดถึงไม่มีสมุนไพรดำม่วง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา คว้ากายคนผู้หนึ่งแล้วรีบถาม  


 


 


           “เรียนท่านอัครเสนาบดี ฟังว่าสมุนไพรดำม่วงถูกคนบังคับข่มขู่ซื้อไปเมื่อสามวันก่อน เถ้าแก่และลูกจ้างในร้านยาต่างไม่กล้าแพร่งพรายออกไป” คนผู้นั้นรีบตอบ 


 


 


           “ผู้ใดบังคับซื้อไป” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามอีก 


 


 


           “ฟังว่าสวมเครื่องแต่งกายสีดำพร้อมด้วยผ้าปิดหน้า มิทราบว่าเป็นใครขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายปล่อยตัวเขา ก่อนหันไปมองคนอื่นที่กลับมารายงาน 


 


 


           คนอื่นๆ ก็ส่ายหน้าพัลวันเช่นกัน ร้านยาใหญ่ในเมืองหลวงต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน 


 


 


           “ในเมืองหลวงหนานฉิน นอกจากคลังยาหลวง ยังมีร้านยาใหญ่เปิดกิจการอยู่ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยร้าน หรือว่าทุกร้านต่างเป็นเช่นนี้ ไปค้นหาทีละร้านให้เรา ถ้าหาในเมืองหลวงไม่เจอก็ไปหาจากข้างนอก รีบไป” ฮ่องเต้ทรงรับฟังเช่นนั้นก็เกิดโทสะ  


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนพร้อมใจกับรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไป 


 


 


           “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน” โทสะของฮ่องเต้มิได้ลดลง “สมุนไพรดำม่วงในคลังยาหลวงอันตรธานหายไป ส่วนที่ร้านยาใหญ่ทั่วเมืองก็ถูกบังคับกว้านซื้อไปโดยไม่บอกกล่าว นี่เป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่” 


 


 


           “ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงกริ้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทรงร้อนพระทัยไปก็มิเกิดประโยชน์ กระหม่อมคิดว่าขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักต่างมีคลังเก็บยาส่วนตัวในจวน ให้ไปตรวจดูว่ามีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่ ผู้อยู่เบื้องหลังคงมิอาจรีดไถสมุนไพรดำม่วงจากแต่ละจวนไปจนเกลี้ยงหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เวลานี้เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวออกมา  


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายขวาพูดมีเหตุผล” อิงชินอ๋องกล่าว “เรื่องด่วนตอนนี้ควรรีบหาสมุนไพรดำม่วง” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็พยักหน้าสมทบ รีบเอ่ยขึ้นต่อ “ฝ่าบาท ขอเพียงมีสมุนไพรดำม่วงต้นหนึ่งก็พอ ต้องรีบช่วยรัชทายาทก่อน รัชทายาทมีหน้าที่ต้องสืบทอดบ้านเมือง สืบทอดกิจการราชสำนักต่อไป มิอาจเป็นอะไรไปก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ขุนนางทุกคนรีบกลับจวน ตรวจสอบจวนตนเองให้ละเอียดว่ามีสมุนไพรดำม่วงอยู่หรือไม่” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนยกพระหัตถ์สั่ง 


 


 


           ทุกคนรับคำสั่งแล้วหยุดว่าราชการยามเช้าทันที ต่างรีบออกจากวังเพื่อกลับจวนของตน 


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหวเดินรั้งท้ายขุนนางท่านอื่น ใบหน้าแต่ละคนฉายแววความกลัดกลุ้ม 


 


 


           “ท่านอ๋อง อาการป่วยท่านดีขึ้นแล้วหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหยั่งเชิงถาม 


 


 


           “ในเวลาแบบนี้ อาการป่วยของข้ายังนับเป็นอะไรได้ ถึงยังไม่หายก็ต้องหายแล้ว” อิงชินอ๋องถอนหายใจก่อนตอบด้วยความคลุมเครือ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใจความนัยของอิงชินอ๋อง ในเวลาแบบนี้ถึงอยากแกล้งป่วยก็มิอาจทำได้ ถึงคิดจะออกจากราชการไปใช้ชีวิตในวัยบั้นปลายก็ยิ่งทำมิได้ เขาพยักหน้ารับแล้วถามขึ้นอีก “ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” 


 


 


           “เขาจะทำอะไรได้” อิงชินอ๋องเอ่ยถึงฉินเจิงก็แสดงท่าทีโกรธเคือง ร้อนรนเพราะอยากเห็นบุตรชายตนเองมีอนาคตที่ดี “แรกเริ่มข้าก็ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับการสมรสระหว่างเขากับหวาเอ๋อร์ แต่พระชายาก็สนับสนุนเต็มที่ เขารั้นที่จะสมรสด้วยให้ได้ ตัวข้าก็ได้แต่ยินยอม ตอนนี้เพิ่งสมรสกันไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์มากมายถึงเพียงนี้ กระทั่งมาถึงขั้นออกหนังสือหย่าร้าง ความจริงแล้ว…เฮ้อ…” 


 


 


           “ตกลงว่าท่านอ๋องน้อยทะเลาะกับพระชายาน้อยจนถึงขั้นหย่าร้าง หรือว่าเป็นพระประสงค์ของ 


 


 


ฝ่าบาทกันแน่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายสืบข่าวตลอดสองวันที่ผ่านมา ทว่าก็มิได้ความคืบหน้า 


 


 


           “ความจริงเป็นเช่นไรข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน” อิงชินอ๋องบอกอย่างปวดหัว 


 


 


           “ลำบากท่านอ๋องแล้ว ข้ากำลังคิดว่าตั้งแต่ท่านอ๋องน้อยเข้าวังไปเมื่อสองวันก่อนก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เมืองหลินอัน ท่านอ๋องน้อยก็ควรแสดงตัวบ้าง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว “ท่านอ๋องน้อยแม้ไม่ลงรอยกับรัชทายาทมาตั้งแต่เด็ก แต่ระยะนี้ท่านอ๋องน้อยต้องสืบคดีในเมืองหลวง รัชทายาทออกไปขุดลอกคูคลอง ต่างคนต่างร่วมมือกัน มีเค้าลางว่าความสัมพันธ์คงดีขึ้น” 


 


 


           “เขาขังตัวเองไว้ในเรือนลั่วเหมย ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย” อิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “หากมีความช่วยเหลือจากท่านอ๋องน้อยอีกแรง ต้องหาสมุนไพรดำม่วงได้แน่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายอ้อมอยู่นานกว่าจะกลับมาเข้าประเด็น กล่าวต่อว่า “จวนของข้าไม่มีบันทึกว่าสำรองสมุนไพรชนิดนี้ไว้ แค่ส่งทาสรับใช้กลับไปบอกฮูหยินที่จวนให้ตรวจสอบคลังเก็บยาก็พอแล้ว ข้ากลับจวนอ๋องไปพร้อมท่านอ๋องดีกว่า ในเวลาแบบนี้ต้องขอให้ท่านอ๋องน้อยช่วยเหลือ ถึงอย่างไรเรื่องความรักหนุ่มสาวก็เป็นเรื่องเล็ก รากฐานบ้านเมืองหนานฉินต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่” 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมีเหตุผลเช่นกัน เช่นนั้นท่านกลับไปที่จวนพร้อมข้าเถอะ เขาถูกไทเฮากับพระชายาตามใจมากตั้งแต่เด็ก ข้าพูดอะไรเขาก็ไม่ฟัง” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นอิงชินอ๋องตอบรับเร็วเช่นนี้ก็กวักมือเรียกทาสรับใช้มา สั่งงานประโยคหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้ากลับจวนอิงชินอ๋องพร้อมอิงชินอ๋อง 


 


 


           เห็นอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับไปด้วยกัน เสนาบดีฝ่ายขวากับหย่งคังโหวก็มองหน้ากัน 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายช่างจงรักภักดีต่อรัชทายาทยิ่งนัก เกิดเรื่องแบบนี้เขากลับเป็นกังวลที่สุด แม้แต่ท่านอ๋องน้อยเจิงที่ไม่ถูกชะตาและมีความแค้นด้วยตลอดมา ยังไม่ลังเลที่จะบากหน้าไปขอให้เขาช่วยหาสมุนไพรดำม่วง เทียบกับแล้ว ท่านซึ่งเป็นว่าที่พระสัสสุระยังไม่กังวลเท่าเขาเลย” หย่งคังโหวกล่าวขึ้น 


 


 


           “ว่าที่พ่อตาอันใดกัน รัชทายาทไร้เยื่อใยต่อปี้เอ๋อร์ตลอดมา ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นพระสัสสุระหรอก” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า 


 


 


           “นายท่านเสนาบดีเอาอันใดมาพูด ฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานให้แล้ว ที่รัชทายาทยังเมินเฉยก็เพราะช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายทั้งในและนอกเมือง เขาเพิ่งกลับจากม่อเป่ยได้ไม่นาน จึงยังมิได้เตรียมการเรื่องการสมรสก็เท่านั้น” หย่งคังโหวกล่าว 


 


 


           “ท่านโหวเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง มีจิตใจใสสะอาด ยังแสร้งไม่รู้อีกหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยสีหน้าอ่อนล้า “คนเปิดเผยไม่พูดลับหลัง รัชทายาทไม่สมรสกับปี้เอ๋อร์แน่นอน ช้าเร็วก็ต้องยกเลิกการหมั้น” 


 


 


           “เมื่อก่อนนายท่านเสนาบดีชอบพูดจาอ้อมค้อม ช่วงนี้เปลี่ยนไปเยอะเลยเชียว” หย่งคังโหวกระแอมขึ้น  


 


 


           “บ้านเมืองมีภัย ราชสำนักสั่นคลอน ทั้งท่านและข้าต่างเป็นหมากที่อยู่ใกล้กับใจกลางคลื่นลมมากที่สุด เอาตัวรอดได้หรือไม่ยังบอกไม่ได้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจกลายเป็นกองกระดูก” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา  


 


 


           “อยู่มาตั้งนาน ปีนี้เกิดเรื่องมากมาย ทั้งใหญ่หลวงและไม่ค่อยปรากฏให้เห็น หากเลวร้ายลง หากนี่กลายเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์จริง อย่าหวังว่าท่านกับข้าจะได้จารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์เลย ต่างกลายเป็นขุนนางมีความผิดในราชวงศ์แทน” หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม  


 


 


           “ชู่ว สิ่งนี้ท่านยังกล้าพูดอีก” เสนาบดีฝ่ายขวารีบห้ามหย่งคังโหว 


 


 


           หย่งคังโหวเงียบเสียงลงทันที 


 


 


           ทั้งสองมองรอบกายแวบหนึ่ง ไม่พบผู้ใดผ่านไปมา บทสนทนาจึงหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกแบบเดียวกันว่าคดีมากมายในเมืองหลวงและโรคห่าระบาดที่เมืองหลินอัน เกรงว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมรสุม อนาคตเป็นเช่นไรไม่มีใครทราบ 


 


 


           “หวังว่ารัชทายาทจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ที่เมืองหลินอันไปได้อย่างปลอดภัย มิฉะนั้นหากหนานฉินสูญเสียรัชทายาท ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสียกองทัพติดเกราะอาวุธ” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           หย่งคังโหวพยักหน้า 


 


 


           “หวังว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะขอร้องท่านอ๋องน้อยเจิงได้ด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าวอีก 


 


 


           “เรื่องท่านอ๋องน้อยเจิงนั้นวางใจได้ เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ที่อดีตฮ่องเต้และอดีตไทเฮาทรงอบรมเลี้ยงดูมา ดูเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ท่านอ๋องน้อยเจิงคงไม่นิ่งดูดาย ถึงเขาไม่ลงรอยกับรัชทายาท แต่ก็เห็นบ้านเมืองมาก่อนเรื่องส่วนตัว” หย่งคังโหวบีบไหล่เสนาบดีฝ่ายขวา  


 


 


           “เรื่องนี้ข้าเชื่อ” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า นึกบางสิ่งขึ้นได้ก็ถอนหายใจออกมา “เพียงแต่น่าเสียดาย” 


 


 


           “น่าเสียดายอะไร” หย่งคังโหวถาม 


 


 


           “จวนจงหย่งโหว” เสนาบดีฝ่ายขวามองไปยังทิศหนึ่ง 


 


 


           “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนจงหย่งโหวหรือไม่ ถึงอย่างไรเมื่อไม่กี่วันก่อน โหวเหยผู้เฒ่าและนายพลอู่เว่ยต่างแอบออกจากเมืองไปแล้ว ยามนี้จวนจงหย่งโหวมีแต่จวนเปล่า ตระกูลเซี่ยคนอื่นก็แยกบรรพบุรุษและครอบครัวไปก่อนแล้ว ตระกูลใหญ่หลายร้อยปีราวกับกระจัดกระจายออกไปอย่างเงียบเชียบอย่างไรอย่างนั้น” หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจตาม  


 


 


           “ตระกูลอื่นกระจัดกระจายนั้นข้าเชื่อ แต่จวนจงหย่งโหวนั้น…” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า 


 


 


           “รีบกลับกันเถอะ ฝ่าบาททรงรอข่าวคราวสมุนไพรดำม่วงอยู่ ท่านกับข้ารีบกลับไปดูที่จวนดีกว่า ตั้งแต่ 


 


 


ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ก็มีสมุนไพรกองกันเป็นภูเขา แต่เนื่องด้วยคุณหนูฟางหวาเคยบอกว่าขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษสามส่วนจึงให้ฮูหยินทานอาหารบำรุงร่างกายแทน สมุนไพรพวกนั้นจึงไม่ค่อยได้นำมาใช้เท่าไรนัก บางทีอาจมีสมุนไพรดำม่วงอยู่ก็เป็นได้” หย่งคังโหวกล่าว 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ 


 


 


           ทั้งสองแยกย้ายกันกลับจวน 


 


 


           ทั้งสองใช้เวลาสนทนากันเพียงไม่กี่ประโยค มิได้ถ่วงเวลายืดเยื้อออกไปเท่าไรนัก เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับอิงชินอ๋องก็มาถึงหน้าประตูจวนอิงชินอ๋องแล้ว 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องทราบข่าวก่อนแล้วจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบคลังเก็บยา 


 


 


           “พระชายาเล่า” หลังอิงชินอ๋องเข้าจวนมาก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตู  


 


 


           “เรียนท่านอ๋อง อยู่ที่คลังเก็บยาขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ 


 


 


           อิงชินอ๋องมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแวบหนึ่ง 


 


 


           “สมุนไพรดำม่วงสำคัญยิ่ง หากไม่รบกวนจนเกินไป ข้าขอไปดูที่คลังเก็บยากับท่านอ๋องด้วย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว 


 


 


           “ได้” อิงชินอ๋องย่อมอนุญาต 


 


 


           เมื่อทั้งสองเดินมาถึงคลังเก็บยาก็เห็นสมุนไพรกองอยู่ข้างนอกเป็นภูเขาเล็กๆ พระชายาอิงชินอ๋องกำลังกำกับคนขนย้ายสมุนไพรออกมาตรวจสอบข้างนอก 


 


 


           “เป็นเช่นไรบ้าง มีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่” อิงชินอ๋องรีบก้าวขึ้นมาถาม 


 


 


           พระชายาซับเหงื่อบนหน้าผาก ทักทายเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าให้อิงชินอ๋อง “ตอนนี้ตรวจสอบเครื่องปรุงยาไปสองในสามแล้ว ข้างในยังเหลืออีกเล็กน้อย แต่ตอนนี้ยังหาไม่พบ” 


 


 


           “สมุนไพรในจวนมีบันทึกใบรายการหรือไม่” อิงชินอ๋องถาม “ตรวจสอบจากใบรายการก่อน” 


 


 


           “ตั้งแต่สิ้นปีก่อนก็มีเรื่องมากมาย ข้าจึงละเลยการดูแลจวน ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ปีก่อนจนถึงตอนนี้ก็มีเรื่องติดพันตลอดมา โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้านี้มัวยุ่งอยู่กับพิธีสมรสสองงาน หลายสิ่งจึงวุ่นวายอย่างยิ่ง ไหนเลยจะมีเวลามาดูใบรายการสมุนไพรเข้าจวนแต่ละชนิด ทุกคนต่างยุ่งจนหัวหมุน เดิมคิดว่าเมื่อวางแล้วค่อยให้สองสะใภ้มาช่วยข้าดูแลงานบ้าน ดูแลงานภายในจวนให้เรียบร้อย แต่ไหนเลยจะรู้ว่า ทั้งสองกลับ…”  


 


 


พระชายาอิงชินอ๋องหยุดชะงัก 


 


 


           อิงชินอ๋องเงียบไป 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ยินแบบนี้ก็นึกถึงบุตรีของตนที่กำลังพักฟื้นอยู่ที่จวน ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน 


 


 


           ทั้งสามรออีกเวลาสองถ้วยชา กระทั่งสมุนไพรทั้งหมดในคลังถูกขนถ่ายออกมาข้างนอก แต่ก็ไม่พบสมุนไพรดำม่วง 


 


 


           “คลังยาหลวงในวังไม่มีสมุนไพรดำม่วง ร้านยาในเมืองก็ถูกคนรีดไถไปจนเกลี้ยงแล้ว ขนาดจวนของพวกเราก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วง เช่นนั้นจวนอื่นๆ ก็เกรงว่าจะไม่มีหวังแล้ว” อิงชินอ๋องมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก  


 


 


           “แล้วรัชทายาทกับอีกแสนชีวิตในเมืองหลินอันเล่า” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเดิมคิดว่าจวนใหญ่อย่างจวนอิงชินอ๋องควรมีสมุนไพรดำม่วงเก็บสำรองไว้ อีกอย่างผู้คุ้มกันจวนอิงชินอ๋องก็แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งกว่าวังหลวง มีคนขโมยสมุนไพรดำม่วงไปจากคลังยาหลวงในวังได้ แต่มิได้หมายความว่าจะขโมยสิ่งใดไปจากจวนอิงชินอ๋องได้ ถึงอย่างไรจวนอิงชินอ๋องก็มีฉินเจิง เขาไม่แย่งของของผู้อื่นก็ดีแล้ว ใครหน้าไหนยังกล้ามาขโมยที่จวนอิงชินอ๋องอีก 


 


 


           ทว่ายามนี้ จวนอิงชินอ๋องก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วงเช่นกัน 


 


 


           “เจิงเอ๋อร์ยังขังตัวเองอยู่ในห้องอีกหรือ” อิงชินอ๋องถามพระชายา 


 


 


           “ยังไม่ออกมาเลย เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาได้รับความกระทบกระเทือนไม่เบา เกรงว่าระหว่างนี้ยังคิดไม่ได้” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าย่ำแย่เช่นกัน กล่าวด้วยความกลุ้มใจ  


 


 


           “ไม่อนุญาตให้เขาคิดไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่รัชทายาทเลย แต่กับแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอัน เขาไม่อาจเมินเฉยได้” อิงชินอ๋องพูดพลางก็สาวเท้าไปยังเรือนลั่วเหมย 


 


 


           พระชายาส่งเสียงเรียก อิงชินอ๋องยกมือห้ามนาง สื่อว่านางไม่ต้องสนใจแล้ว 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รีบตามอิงชินอ๋องไปยังเรือนลั่วเหมยเช่นกัน 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ สุดท้ายแล้วก็ไม่สบายใจ จึงกวักมือเรียกชุนหลัน “เร็วเข้า เจ้าเดินเลาะภูเขาจำลองที่ใกล้ที่สุดไปยังเรือนลั่วเหมยก่อน ดูว่าเจิงเอ๋อร์กลับมาหรือยัง” 


 


 


           ชุนหลันพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไป 


 


 


           พระชายาสั่งให้คนเก็บสมุนไพรกลับเข้าไปไว้ในห้องดังเดิม ก่อนยกกระโปรงเดินตามอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปยังเรือนลั่วเหมย 


 


 


           ชุนหลันรีบมาที่เรือนลั่วเหมยก่อนอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะมาถึง หลังเข้ามาก็คว้าตัวหลินชีมาซักถาม “ท่านอ๋องน้อยกลับมาหรือยัง” 


 


 


           หลินชีส่ายหน้า 


 


 


           “ท่านอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมา เนื่องจากรัชทายาทติดโรคห่าที่เมืองหลินอันและไม่มีสมุนไพรดำม่วงรักษาจึงมาขอให้ท่านอ๋องน้อยช่วยเหลือ ตอนนี้ท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ แล้วจะทำเช่นไรดี” ชุนหลันร้อนใจทันที  


 


 


           หลินชีได้ยินแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ตะโกนเรียกอวี้จั๋วมาแทน 


 


 


           อวี้จั๋ววิ่งออกมา เกาศีรษะงุนงง ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วผายมืออย่างทำอะไรไม่ได้ “คงได้แต่บอกว่าท่านอ๋องน้อยเพิ่งออกไปเมื่อครู่” 


 


 


           “เมื่อครู่” ชุนหลันกล่าว 


 


 


           “แล้วจะทำเช่นไรเล่า ท่านอ๋องนำเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาด้วย เราบอกว่าท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่จวนตลอดมาไม่ได้กระมัง” อวี้จั๋วพยักหน้า  


 


 


           ชุนหลันได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา นางก็รีบไปซ่อนตัวในห้องครัวเล็ก 


 


 


           อวี้จั๋วกับหลินชีมองหน้ากันก่อนออกไปต้อนรับ 


 


 


           “เจิงเอ๋อร์เล่า” อิงชินอ๋องสาวเท้ามาที่หน้าประตู เมื่อเห็นอวี้จั๋วกับหลินชีก็เอ่ยถาม 


 


 


           อวี้จั๋วกับหลินชีส่ายหน้า 


 


 


           อิงชินอ๋องเดินอ้อมทั้งสองตรงไปยังในห้อง 


 


 


           ประตูห้องถูกผลักออก ภายในห้องสะอาดเรียบร้อยอย่างยิ่ง อิงชินอ๋องส่งเสียงเรียกทว่าไม่มีผู้ใดตอบรับ เขาจึงเดินตรงไปยังห้องชั้นใน 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่พะว้าพะวงแล้วเช่นกัน ตามอิงชินอ๋องเข้าไปข้างใน 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตามมาทีหลัง เห็นสีหน้าของอวี้จั๋วกับหลินชีก็ทราบทันทีว่าฉินเจิงยังไม่กลับมา นางเองก็เริ่มร้อนใจแล้วเช่นกัน หายตัวไปสองวันแล้วยังไม่พบร่องรอย ทั้งยังหายไปตอนที่อารมณ์ฉุนเฉียวจากพระราชโองการหย่าร้างอีก นางซึ่งเป็นมารดาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับตลอดสองวันนี้เช่นกัน 


 


 


           อิงชินอ๋องหาทั่วห้องแล้ว เมื่อไม่เห็นเงาฉินเจิงก็ออกมาถามทั้งสอง “ท่านอ๋องน้อยไปไหน” 


 


 


           “เช้านี้ท่านอ๋องน้อยยังอยู่ในห้อง พวกเราก็มิทราบว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับหลินชีกวาดห้องก็ไม่พบเขาแล้วขอรับ” อวี้จั๋วตอบ 


 


 


           “เขาไม่ได้นำคนออกไปด้วยหรือ” อิงชินอ๋องถาม 


 


 


           อวี้จั๋วส่ายหน้า 


 


 


           อิงชินอ๋องหันไปมองพระชายา 


 


 


           “ท่านอย่ามามองข้า ข้าไหนเลยจะรู้ว่าเขาหายไปไหน สองวันนี้ลูกชายข้าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมาก ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น ตอนนี้คงคิดได้แล้วจึงออกไป” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ในเมื่อที่จวนไม่มีสมุนไพรดำม่วง ทั้งไม่พบท่านอ๋องน้อย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวกับอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง เรารีบย้อนกลับไปที่วังหลวงดีกว่า รอดูสถานการณ์จากจวนอื่น หากไม่มีจวนใดมีสมุนไพรดำม่วงก็ต้องหาวิธีการอื่น ปล่อยให้รัชทายาทเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


           “ถูกต้อง” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ 


 


 


           ทั้งสองรีบออกไปจากเรือนลั่วเหมย พอออกจากจวนแล้วก็ขึ้นรถม้า รีบมุ่งหน้าไปยังวังหลวง 


 


 


           ทั้งสองเพิ่งกลับออกไปเพียงครู่เดียว พระชายาอิงชินอ๋องเตรียมตัวกลับ ทว่าพลันมีเงาดำกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา เกิดการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางหันไปมองทันที แล้วเผยสีหน้าดีใจ “เจิงเอ๋อร์”  

 

 


ตอนที่ 78-1 ถล่มเขาเทียนหลิง

 

     ฉินเจิงกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา เพิ่งทรงตัวให้มั่นก็เห็นพระชายาอิงชินอ๋องยืนอยู่กลางลาน 


 


 


           “ท่านแม่” เขามองแวบหนึ่งแล้วส่งเสียงเรียก 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องรีบเดินเข้ามาหา พินิจมองเขา เขาสวมอาภรณ์สีดำตลอดร่าง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งออกมา นางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เจ้าบาดเจ็บอีกแล้วหรือ” 


 


 


           “เลือดของผู้อื่น” ฉินเจิงยกมือปัด 


 


 


           “จริงรึ” พระชายาอิงชินอ๋องถามย้ำ 


 


 


           ฉินเจิงตอบเพียง “อืม” 


 


 


           “รีบเข้าไปในห้อง” พระชายาอิงชินอ๋องเบี่ยงกายออก สื่อให้เขารีบเข้าไปในห้อง 


 


 


           ฉินเจิงเดินเข้าห้อง มาถึงห้องรับรองก็วางของในมือบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องชั้นใน 


 


 


           “นี่คืออะไร” พระชายาอิงชินอ๋องมองของที่เขาโยนทิ้งไว้บนโต๊ะ ของสิ่งนั้นเปื้อนคราบเลือดเป็นรอยด่าง นางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


           “เอกสารราชการ” ฉินเจิงพูดพลางก็เดินเข้าข้างใน 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องทราบดีว่าเขาจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงรีบสั่งงานอวี้จั๋วกับหลินชีที่ยืนอยู่ข้างนอก “เร็ว ไปต้มน้ำอุ่นมาให้เขารีบอาบน้ำอาบท่า” 


 


 


           “น้ำอุ่นมีอยู่แล้วขอรับ จะไปยกมาประเดี๋ยวนี้” หลินชีกับอวี้จั๋วรับคำ ก่อนรีบวิ่งออกไปทันที 


 


 


           ไม่นานทั้งสองก็ยกถังน้ำเข้ามาวางหลังฉากกั้นในห้อง 


 


 


           “นำไปเผาทิ้ง” ฉินเจิงฉีกอาภรณ์ออกแล้วโยนให้อวี้จั๋ว  


 


 


           อวี้จั๋วรีบพยักหน้า อุ้มอาภรณ์เปื้อนเลือดออกจากห้องทันที 


 


 


           “เจ้าเห็นหรือไม่ เขาไม่ได้บาดเจ็บจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องเห็นอวี้จั๋วออกมาก็ยกมือรั้งไว้ก่อน  


 


 


           “คล้ายว่ามีแผลจากกระบี่ฟันที่หลังเล็กน้อย แต่เป็นแค่แผลเล็กๆ ไม่เห็นแผลใหญ่” อวี้จั๋วกระซิบตอบ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก ยกมือไล่เขา “เขาให้เจ้านำไปเผาทิ้ง อย่านำออกไปนอกเรือนเลย ไปที่ห้องครัวเล็ก เคลื่อนไหวเงียบเชียบหน่อย เผาทิ้งให้เกลี้ยง” 


 


 


           “ทราบแล้วขอรับ” อวี้จั๋วออกไปนอกห้อง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเอื้อมมือไปหยิบเอกสารราชการ แต่ยื่นมือออกไปได้ครึ่งหนึ่งก็ชักกลับมา นั่งรอฉินเจิงออกมาจากห้องบนเก้าอี้แทน 


 


 


           เวลาสองถ้วยชาผ่านไป ฉินเจิงอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สะอาดเอี่ยมอ่อง จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องชั้นใน 


 


 


           “สองวันนี้เจ้าไปไหนมา” พระชายาอิงชินอ๋องเห็นรอยคล้ำใต้ตาเขา รินน้ำให้แก้วหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม  


 


 


           “ไปภูเขาลับมา” ฉินเจิงนั่งลง ยกน้ำขึ้นดื่ม ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก 


 


 


           “เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าไป…ภูเขาลับมา ภูเขาลับของสายลับราชสำนักรึ” พระชายาอิงชินอ๋องสะดุ้งตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง 


 


 


           ฉินเจิงดื่มน้ำอีกอึกหนึ่ง แล้วตอบ “อืม” รับ 


 


 


           “เจ้าไปภูเขาลูกไหน ไปทำอะไรที่นั่น” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องเขาเขม็งแล้วซักถาม 


 


 


           “เขาเทียนหลิง” ฉินเจิงดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนรินน้ำให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่ง “ไปดูลาดเลา” 


 


 


           “ที่นั่นไหนเลยจะเป็นสถานที่ที่ไปตามใจชอบได้” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าไปดูลาดเลา ดูอะไร ดูปรมาจารย์สายลับรึ” 


 


 


           “ดูว่ายังมีชีวิตอยู่กี่คน ตายไปแล้วกี่คน” ฉินเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ 


 


 


           “เจ้าพูดกับข้าให้รู้เรื่อง ไปทำอะไรมากันแน่ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องที่เจ้าไปภูเขาลับหรือไม่ นับแต่อดีตเป็นต้นมา ลูกหลานราชนิกุลหากไม่มีพระบัญชาก็ไปภูเขาลับไม่ได้” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา ทันใดนั้นก็เริ่มไม่สบอารมณ์  


 


 


           “ข้าก็กำลังพูดกับท่านดีๆ ว่าไปดูลาดเลา” ฉินเจิงดื่มน้ำจนหมดแก้วอีกครั้ง เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนส่ายหน้ากล่าว “เสด็จอามิทราบว่าข้าไปภูเขาลับมา” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะเยาะ “ตอนนี้ภูเขาลับไม่ฟังพระบัญชาแล้ว พระบัญชาของพระองค์ยังผูกมัดใครได้อีก” 


 


 


           “ไม่มีพระบัญชา แล้วเจ้าเข้าไปในภูเขาลับได้อย่างไร” หัวใจของพระชายาอิงชินอ๋องเต้นตึกตักระรัว 


 


 


           “ไปตามเอกสารราชการสายลับของภูเขาลับในราชสุสานผสมกับแผนที่” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “เจ้าเข้าไปในราชสุสานได้อย่างไร หากไม่มีพระบัญชา ราชสุสานใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา 


 


 


           “เสด็จอาทรงมอบป้ายคำสั่งให้ข้า” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “ไฉนฝ่าบาทถึงทรงมอบป้ายคำสั่งเข้าราชสุสานให้เจ้า เท่าที่ข้าทราบ การเข้าไปในราชสุสานจำต้องมีป้ายคำสั่งลับของสายลับราชสำนัก นั่นไม่ใช่ป้ายคำสั่งธรรมดา ในราชสุสานมีองครักษ์เงาอยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มที่อดีตฮ่องเต้ทรงเหลือไว้ให้ ส่งมอบให้แค่ฝ่าบาทเท่านั้น เป็นเครื่องแสดงการสืบทอดราชสำนักหนานฉิน ถึงพ่อเจ้าเป็นทายาทแท้ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์” พระชายาอิงชินอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ  


 


 


           “สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมาก ถึงขั้นคุกคามต่อบ้านเมืองหนานฉินแล้ว ฉินอวี้ถูกกักอยู่ที่เมืองหลินอัน หากพระองค์อยากปกป้องรากฐานบรรพบุรุษหนานฉิน ไม่มอบให้ข้าแล้วจะให้ผู้ใด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ใครอยากได้ป้ายคำสั่งลับนั่นกัน ตอนนี้ใช้เสร็จก็คืนให้พระองค์แล้ว” 


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าได้ความคืบหน้าจากเขาเทียนหลิงบ้างหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องโล่งอก 


 


 


           “ปลิดชีพผู้หนึ่งกลับมา ถือว่าเป็นความคืบหน้าหรือไม่” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 


 


 


           “พูดดีๆ สองวันนี้เจ้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยังมีหน้ามาพูดจากวนประสาทให้ข้าตกใจอีก” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตีเขา  


 


 


           ฉินเจิงรับแรงฝ่ามือจากพระชายาอิงชินอ๋องแต่โดยดี ก่อนกล่าวด้วยความเฉยเมย “ปรมาจารย์ที่เขาเทียนหลิงมีอยู่เพียงคนเดียว นอกนั้นไม่อยู่ที่นั่น มิฉะนั้นข้าอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว มิน่าภูเขาลับถึงกล้าสร้างเรื่องมากมาย ที่แท้ก็มีความสามารถมาก ตลอดเวลาที่เจริญรุ่งเรืองมาไม่ต่างอะไรกับแดนผีเลย ข้างในมีแต่พวกชั่วร้าย ทุกคนเหมือนปีศาจร้าย มีวิทยายุทธ์สูงมาก” 


 


 


           “เมื่อครู่เจ้าเปื้อนเลือดกลับมา ถูกจับได้ว่าบุกไปที่ภูเขาลับรึ” พระชายาอิงชินอ๋องทอดถอนใจ  


 


 


           “ดังนั้นข้าจึงสังหารปรมาจารย์ที่ดูแลเขาเทียนหลิง แล้ววางเพลิงเผาที่นั่นเสีย” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ 


 


 


           “ท่านแม่ รินน้ำให้ข้าอีกแก้ว” ฉินเจิงบอกอย่างเกียจคร้าน 


 


 


           “เจ้า…ทำลายเขาเทียนหลิงไปแล้วรึ” พระชายาอิงชินอ๋องยกกาน้ำชามารินน้ำให้เขาอีกแก้วหนึ่ง  


 


 


           “ทำลายไปแล้ว” ฉินเจิงรับน้ำมา ครั้งนี้ดื่มอย่างเชื่องช้า 


 


 


           “หวาเอ๋อร์อยู่ที่เขาไร้นามตั้งแปดปี ต้องวางแผนจนสมบูรณ์แบบกว่าจะทำลายเขาไร้นามได้ เจ้า…เจ้ากลับบุกเข้าไปโดยตรง แค่สองวันก็ทำลายเขาเทียนหลิงได้แล้ว ช่างกล้าหาญดีเดือดนัก เจ้าไม่ฉุกคิดหน่อยหรือว่าหากเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะมีชีวิตต่อไปอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องใจกระตุกวูบ เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงกลับมาได้  


 


 


           ได้ยินพระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถึงเซี่ยฟางหวา ฉินเจิงก็นิ่งค้างไป 


 


 


           “มิน่าเจ้าถึงบอกว่าเกือบทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว นั่นเป็นภูเขาลับลูกหนึ่งเชียวนะ ถึงแม้มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นภูเขาลับทั้งลูก ไหนเลยจะทำลายได้ง่ายปานนั้น เจ้าเด็กบ้านี่ ไฉนเจ้าถึงได้กล้าหาญเช่นนี้ หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าต้อง…ต้อง…” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ  


 


 


           “ต้องไม่ปล่อยข้าไป” ฉินเจิงวางแก้วลง ลดน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “ข้ากล้าลงมือก็ย่อมมั่นใจว่าจะรอดชีวิตกลับมา ไหนเลยจะทอดทิ้งไม่แยแสท่านแม่ อีกอย่างข้ายังใช้ชีวิตไม่พอเลย” 


 


 


           “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ คิดแต่จะทำให้ข้าตกใจ” พระชายาอิงชินอ๋องน้ำตาไหล 


 


 


           “อย่าร้องไห้เลย หากท่านพ่อมาเห็นไม่รู้ว่าจะปวดใจเพียงใด น้ำตาของท่านเสมือนทองคำ ไม่ควรไหลออกมาง่ายๆ” ฉินเจิงขยับเปลือกตา ก่อนยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง  


 


 


           “เจ้าเด็กบ้า” พระชายาอิงชินอ๋องสะอื้นหากแต่ยิ้มออกมา ปัดมือเขาออก “เขาเทียนหลิงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้เหมือนเขาไร้นาม แต่ก็ไม่ได้ไกลเช่นกัน เจ้าทั้งไปและกลับมาได้ภายในสองวันอย่างไร” 


 


 


           “ขี่ม้าที่เร็วที่สุด เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ไปแล้วกลับมา สองวันสองคืนก็พอแล้ว” ฉินเจิงดึงมือกลับมา “ในเวลาแบบนี้ต้องจู่โจมฉับพลันขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว” 


 


 


           “ในเมื่อเขาเทียนหลิงถูกเจ้าทำลายไปแล้ว แล้วพวกคนปีศาจนั่นเล่า สังหารไปหมดแล้วหรือ”  


 


 


พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           “พวกที่หนีรอดไปได้มีน้อยมาก” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “ยังมีพวกที่หนีรอดไปได้อีกรึ เจ้าถูกเปิดโปงฐานะหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจขึ้นมาทันที “อย่าลืมว่ายังมีเขาตี้เฟิงอีกลูกหนึ่ง” 


 


 


           “ถูกเปิดโปงหรือไม่แล้วอย่างไร สำหรับราชวงศ์ ราชนิกุล รวมถึงบ้านเมืองหนานฉิน ตอนนี้ต่างเหมือนถูกดาบจ่อลำคออยู่แล้ว” ฉินเจิงไม่ยี่หระ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องคิดแล้วก็เห็นด้วย ก่อนยกมือชี้ไปที่โต๊ะ “นี่คืออะไร” 


 


 


           “เอกสารราชการที่ข้าขโมยมาจากศาลบรรพชนปรมาจารย์ที่เขาเทียนหลิง” ฉินเจิงชำเลืองมองด้วยความรังเกียจ “ข้าก็อยากรู้นักว่าสามร้อยปีมานี้ วาจาที่พวกเขาให้ไว้มีน้ำหนักมากน้อยเท่าไรกันแน่ ตอนนี้เขาเทียนหลิงถูกข้าทำลายไปแล้ว ขั้นต่อไปพวกเขาจะทำเช่นไรต่อ” 


 


 


           “ตอนนี้รัชทายาทติดโรคห่าที่เมืองหลินอัน สมุนไพรดำม่วงซึ่งเป็นสิ่งที่รักษาโรคห่าได้กลับถูกคนรีดไถไปจนเกลี้ยงก่อนแล้ว รัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันไม่มีสมุนไพรดำม่วง คลังยาหลวงในวังก็ไม่รู้ว่าถูกขโมยไปตั้งแต่เมื่อไร ร้านขายยาทุกร้านในเมืองก็ถูกบังคับส่งมอบให้เมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ต้องดูว่าจวนขุนนางในเมืองมีสำรองไว้หรือไม่ เกรงว่านอกเมืองคงไม่เหลืออยู่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เมืองหลินอันแพร่มา เมืองหลวงก็วุ่นวายอย่างยิ่ง หากรัชทายาทเป็นอะไรไป บ้านเมืองนี้คง…เฮ้อ…” 


 


 


           “หากเขาเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ไร้ประโยชน์” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ 


 


 


           “จริงด้วย ฉินอวี้เคยร่ายคำสาปใจเดียวกับหวาเอ๋อร์ แต่เจ้าขวางเอาไว้แทน หากเขาตายไป เจ้าก็ต้องตายไปด้วยใช่หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมองฉินเจิง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้  


 


 


           “ใครจะรู้เล่า อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะอีกครั้ง  

 

 


ตอนที่ 78-2 ถล่มเขาเทียนหลิง

 

พระชายาอิงชินอ๋องหน้าซีด “รัชทายาทตายไม่ได้ หากเขาตาย อย่าว่าแต่การสืบทอดบ้านเมืองหนานฉินเลย ถึงอย่างไรราชสำนักก็ยังองค์ชายอีกหลายคน เพียงเอ่ยถึงสถานการณ์ตอนนี้ แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันต่างขึ้นอยู่กับเขา” พูดจบ นางก็ถามด้วยความร้อนใจ “เจิงเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีหาสมุนไพรดำม่วงหรือไม่” 


 


 


           “ไม่มี” ฉินเจิงส่ายหน้า 


 


 


           “แล้วทำเช่นไรดีเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องลุกขึ้นยืน เดินวนรอบห้องด้วยความลนลาน 


 


 


           ฉินเจิงมองนางแวบหนึ่งพลันถามขึ้น “นางเล่า” 


 


 


           “ใคร” พระชายาอิงชินอ๋องยังไม่ทันตั้งรับ 


 


 


           “สตรีไร้หัวใจ” ฉินเจิงเม้มปาก  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกระจ่างแจ้งทันทีว่าผู้ที่เขาเอ่ยถึงคือเซี่ยฟางหวา จึงถลึงตามองเขา “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีก ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภรรยาที่กว่าเจ้าจะได้ตบแต่งด้วยนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ หวาเอ๋อร์ก็ภักดีต่อเจ้า มิฉะนั้นตอนที่เจ้ายิงธนูสามดอกทำร้ายนาง นางคงไม่ยอมออกเรือนกับเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้ประกาศถูกติดไปทั่วหนานฉิน พวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกันแล้วจริงๆ” 


 


 


           “ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “ใครบอกแบบนั้น” 


 


 


           “สองวันนี้เจ้าได้ใส่ใจเสียงวิจารณ์ข้างนอกบ้างหรือไม่ ทั้งหนานฉิน เกรงว่าแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้าแล้ว พระราชโองการหย่าร้างเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ยังมีใครพูดว่าพวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันอีกบ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าบอกแม่มาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เดิมทีข้ายังจะไปคิดบัญชีกับฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ยอมพบข้า ต่อมาพ่อเจ้าบอกว่าหวาเอ๋อร์นำชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินมาขู่บังคับฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาททรงยอมออกพระราชโองการหย่าร้าง” 


 


 


           “สิ่งที่นางพูดไม่นับ” ฉินเจิงตีหน้านิ่งขรึม 


 


 


           “ข้าไปตามหวาเอ๋อร์ ใกล้ตามทันอยู่แล้วแท้ๆ นางกลับยืนกรานที่จะไม่พบข้า ถึงกับตั้งค่ายกลขัดขวางข้า หลี่มู่ชิงตามไปแล้ว บอกว่าถ้าพบนางแล้วจะส่งข่าวกลับมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จดหมายจากเขา และไม่รู้ว่าตอนนี้นางไปถึงเมืองหลินอันหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยความโมโห  


 


 


           “นางต้องไม่ได้ไปเมืองหลินอันแน่นอน” ฉินเจิงบอก 


 


 


           “แล้วนางไปไหน” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา 


 


 


           ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา “เมืองหลินอันติดโรคห่า ไม่มีสมุนไพรดำม่วงก็เหมือนเมืองปิดตาย นางไปแล้วจะทำอะไรได้” หยุดชั่วครู่แล้วหรี่ตาลง “ในเมื่อยังไม่มีข่าวของนางก็รอก่อนเถอะ” 


 


 


           “รออะไร” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           “รอข่าวคราว” ฉินเจิงลุกขึ้น โบกมือไล่ด้วยความเหนื่อยล้า “ท่านแม่ ท่านมีอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะ ข้าลืมตาแทบไม่ไหวแล้ว ก่อนฟ้ามืดอย่าให้ใครมารบกวนข้าเด็ดขาด” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องส่งเสียง “นี่” ม่านมุกไหวตามแรงกระเพื่อม เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง กระทั่งหายเข้าไปในห้องชั้นในแล้ว นางคิดว่าสองวันนี้เขาต้องไปกลับเขาเทียนหลิง จะต้องเหนื่อยอย่างที่สุดแน่นอน และควรได้รับการพักผ่อน ครั้นแล้วก็เงียบเสียงลง หันหลังเดินออกมาข้างนอกพร้อมปิดประตูให้ ก่อนกำชับกับหลินชี “ออกคำสั่งไปว่าก่อนฟ้ามืดห้ามผู้ใดมารับกวนท่านอ๋องน้อยทั้งนั้น” 


 


 


           “ขอรับ” หลินชีรีบรับคำ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องออกจากเรือนลั่วเหมย 


 


 


           ชุนหลันรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นพระชายาอิงชินอ๋องออกมาก็กล่าวเสียงเบา “พระชายา ท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “อย่าเอ็ดไป เจิงเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ให้เขาได้พักผ่อนก่อนเถอะ ส่วนเรื่องเมืองหลินอัน ในเมื่อเขาไม่ก้าวก่ายก็คงมีเหตุผลอย่างแน่นอน คิดว่าเมืองหลินอันต้องไม่เป็นอะไร” 


 


 


           ชุนหลันพยักหน้า 


 


 


           “เจ้าพูดแล้วก็น่าแปลก เห็นชัดว่าเขายังคงเป็นเด็กในสายตาข้า แต่ขอเพียงเขานั่งอยู่ตรงนั้น พูดคุยกับข้าไม่กี่ประโยค ข้ากลับรู้สึกสงบใจมาก แม้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ราวกับขอเพียงมีเขาอยู่ ข้าก็ไม่กลัวและไม่ร้อนใจแล้วเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           ชุนหลันพลันยิ้มกล่าว “ท่านอ๋องน้อยมักให้ความรู้สึกเช่นนี้ต่อผู้อื่นเสมอ” หยุดชั่วครู่แล้วกระซิบถามเสียงเบา “ท่านถามหรือยังเจ้าคะ สองวันนี้ท่านอ๋องน้อยหายไปที่ใดมา” 


 


 


           “อย่าพูดถึงเลย” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือปัด 


 


 


           “ไปตามหาพระชายาน้อยมาหรือไม่” ชุนหลันกังวล 


 


 


           “เมื่อก่อนข้าหวังว่าพวกเขาจะได้สมรสกันเสมอมา หลังสมรสกันแล้วก็หวังว่าจะได้อุ้มหลาน ทว่าความหวังนี้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง นึกไม่ถึงว่าจะได้หนังสือหย่าร้างมาแทน ไม่ใช่สามีภรรยากันอีกแล้ว ตอนนี้หวังเพียงพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็พอ ข้าไม่ขออะไรมากแล้ว ขอไปก็ไม่ได้มา” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา  


 


 


           “พระชายา สองวันนี้ท่านก็มิได้พักผ่อนเต็มที่เช่นกัน ในเมื่อท่านอ๋องน้อยกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านก็กลับเรือนไปพักผ่อนเถิด” ชุนหลันกล่าวเสียงเบา 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วกลับไปยังเรือนหลัก 


 


 


           อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายคว้าน้ำเหลวจากเรือนลั่วเหมย ทั้งสองรีบออกจากจวนอิงชินอ๋องด้วยกัน ย้อนกลับไปที่วังหลวงอีกครั้ง 


 


 


           หลังทั้งสองมาถึงวังหลวงก็ตรงไปยังห้องทรงหนังสือ 


 


 


           มีขุนนางที่กลับเข้าวังมาอีกครั้งรวมตัวกันอยู่นอกห้องทรงหนังสือไม่น้อย ใบหน้าแต่ละคนฉายแววกลัดกลุ้ม เมื่อเห็นอิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาก็รีบเข้ามาถาม “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่” 


 


 


           อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า 


 


 


           “ทำเช่นไรดี จวนของเราก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วงเช่นกัน” ทุกคนได้รับข่าวเช่นนั้นก็ท้อแท้สิ้นหวัง  


 


 


           “ไม่มีสมุนไพรดำม่วง แล้วจะช่วยองค์รัชทายาทอย่างไร” 


 


 


           “ตอนนี้ฟังว่ายังไม่ถึงฤดูที่สมุนไพรดำม่วงเจริญเติบโต แม้เข้าไปหาในป่าก็คงคว้าน้ำเหลว” 


 


 


           “เช่นนั้นมีหรือชีวิตของรัชทายาทจะไม่น่าห่วง” 


 


 


           “ใช่แล้ว มิใช่แค่ชีวิตของรัชทายาทเท่านั้น แสนกว่าชีวิตในหลินอันด้วย” 


 


 


           …… 


 


 


           ทุกคนผลัดกันพูดตลอดช่วงเวลาหนึ่ง แต่ละคนร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา แม้แต่สมุนไพรดำม่วงต้นเดียวยังหามิได้ อย่าว่าแต่ช่วยแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันเลย แม้แต่ชีวิตของรัชทายาทยังช่วยยาก 


 


 


           ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องทรงหนังสือ กวาดตามองกลุ่มขุนนางแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าทุกท่าน ฝ่าบาททรงกระวนกระวายพระทัยอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งส่งเสียงโวยวายเลย โปรดอยู่ในความสงบ” 


 


 


           ทุกคนเงียบเสียงทันที 


 


 


           ตั้งแต่อู๋เฉวียนไปถ่ายทอดพระราชโองการหย่าร้างที่จวนอิงชินอ๋องแล้วถูกฉินเจิงทำร้าย ตอนนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ลุกขึ้นมาเดินเหินมิได้ จำต้องเปลี่ยนขันทีน้อยคนใหม่มาประจำที่ห้องทรงอักษรแทน 


 


 


           “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้าย ฝ่าบาททรงอยากพบขอรับ” ขันทีน้อยน้อมคำนับต่ออิงชินอ๋องและเสนาบดีฝ่ายซ้าย  


 


 


           อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหน้าก่อน ก่อนเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           ฝ่าบาททรงยืนอยู่หน้าโต๊ะหยก มีพระพักตร์มืดครึ้ม ข้างล่างมีเสนาบดีฝ่ายขวา หย่งคังโหว ผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาชั้นสูงฮั่นหลินยืนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองมาถึง ฝ่าบาทก็ทรงตรัสถาม “ท่านพี่ เสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่จวนพวกท่านก็ไม่มีสมุนไพรดำม่วงหรือ” 


 


 


           อิงชินอ๋องส่ายหน้าตอบด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม 


 


 


           “จวนกระหม่อมมิชอบสำรองสมุนไพรตลอดมา เดิมทีมีสมุนไพรในคลังเก็บยาไม่มาก ไม่มีสมุนไพรดำม่วงพ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายทูลกล่าว 


 


 


           “นี่จะทำเช่นไร หนานฉินของข้าเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล นึกไม่ถึงเลยว่าแค่สมุนไพรดำม่วงต้นเดียวยังหามิได้ เผยแพร่ออกไปจะไม่ถูกหัวเราะจนฟันร่วงรึ” ฝ่าบาทตรัสด้วยโทสะ 


 


 


           “ถูกหัวเราะจนฟันร่วงเป็นเรื่องเล็ก นี่เกี่ยวพันกับชีวิตของรัชทายาทและอีกแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอัน” อิงชินอ๋องทูลกล่าวด้วยความกังวล “มิรู้ว่าเมืองหลินอันยังต้านได้อีกกี่วัน” 


 


 


           “ตอนนี้ในเมื่อสมุนไพรดำม่วงถูกคนรีดไถจนหมดไปจากหนานฉินแล้ว สิ่งที่ต้องทำโดยเร่งด่วนคือตามหาว่าผู้ใดรีดไถเอาสมุนไพรดำม่วงไป ขอเพียงหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้ก็บังคับเอาสมุนไพรกลับคืนมา ถึงจะช่วยชีวิตรัชทายาทกับอีกแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันได้” หย่งคังโหวทูลกล่าว 


 


 


           “พูดน่ะง่าย แต่ผู้ใดจะไปตรวจสอบ พวกเจ้าไปตรวจสอบให้เรารึ อย่าว่าแต่นอกเมืองหลวงเลย ต่อให้เป็นเมืองหลวง วังหลวงของเรา นึกไม่ถึงว่ามีคนกล้าก่อความวุ่นวายใต้สายตาเรากับพวกเจ้าได้ ไม่คิดว่าแม้แต่พวกเจ้ายังไม่ทราบ พวกเจ้าบอกเรามาสิว่าใครจะไปตรวจสอบ ใครมีความสามารถมากพอจะตรวจสอบได้” ฮ่องเต้ทรงซักถาม 


 


 


           หย่งคังโหวเงียบเสียงทันที 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้าไปขอร้องท่านอ๋องน้อยที่จวนอิงชินอ๋องมามิใช่หรือ ท่านอ๋องน้อยว่าอย่างไรบ้าง” เสนาบดีฝ่ายขวาถามเสนาบดีฝ่ายซ้าย 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่จวน แม้แต่เงาเขาข้ายังมิได้เห็นเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้าตอบ 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยไปไหน” เสนาบดีฝ่ายขวารีบถาม 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาหันไปมองอิงชินอ๋อง 


 


 


           “คนที่เรือนลั่วเหมยบอกว่าเมื่อเช้ายังอยู่ แต่ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไร และไม่รู้ว่าหายไปไหนด้วย”  


 


 


อิงชินอ๋องก็ส่ายหน้าตอบเช่นกัน 


 


 


           เมื่อเอ่ยถึงฉินเจิง ฮ่องเต้ก็ทรงสงบลง ก่อนยกพระหัตถ์ไล่ทุกคนออกไป “ไม่มีสมุนไพรดำม่วง แล้วพวกเจ้ายังมัวยืนอยู่ต่อหน้าเราทำไมอีก ยืนไปก็มิได้ทำให้สมุนไพรดำม่วงงอกขึ้นมา ออกไปคิดหาหนทางมา” ว่าจบก็ตรัสกับอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ท่านกลับไปที่จวน รอฉินเจิงกลับมา เขากลับมาเมื่อไรก็บอกให้เข้าวังมาหาเราเมื่อนั้น หากเขาไม่ยอมเข้าวัง ท่านก็ส่งคนมารายงานเราด้วย เราจะไปหาเขาเอง” 


 


 


           อิงชินอ๋องรับคำ 


 


 


           ทุกคนมองหน้ากัน ทราบดีว่าถึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ ต่างพากันออกจากห้องทรงอักษรไป  

 

 


ตอนที่ 79-1 อวิ๋นหลานกับสมุนไพรม่วง

 

           บรรดาขุนนางออกมาที่ประตูวัง ทว่ามิได้รีบแยกย้ายในทันที หากแต่รวมตัวกันหน้าประตูวังด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม 


 


 


           “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ที่จวนจริงหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวาเดินมาใกล้อิงชินอ๋อง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “ไม่อยู่ที่จวนจริงๆ” อิงชินอ๋องมองเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วส่ายหน้าตอบ 


 


 


           “แม้แต่ท่านยังไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนหรือ” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอีก 


 


 


           “หวาเอ๋อร์ไปจากจวน พระราชโองการหย่าร้างถูกป่าวประกาศทั่วใต้หล้า เขาสะเทือนใจไม่น้อย เวลาแบบนี้ข้ายังไม่กล้ารับรองว่าใจเขายังนึกถึงบ้านเมืองหนานฉินอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าออกไปตามหาหวาเอ๋อร์หรือว่าไปทำสิ่งใด” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           “ตอนนี้รัชทายาทติดโรคห่า เมืองหลินอันเผชิญวิกฤตในเวลาอันสั้น ทั่วหนานฉินผู้ที่จะช่วยรัชทายาทและปัดเป่าความทุกข์ยากให้หลินอันได้มีเพียงท่านอ๋องน้อยเจิงแล้ว หากเขาไม่ออกโรงเอง หนานฉินแห่งนี้ต้องมีภัยเป็นแน่” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา 


 


 


           “อย่าได้ยัดเยียดหน้าที่สำคัญให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเลย จวนต่างๆ เองก็มีคุณชายผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เช่นกัน ลูกชายของท่านส่งข่าวกลับมาหรือยัง เขาเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ มิได้ด้อยไปกว่าฉินเจิงเลย” อิงชินอ๋องมีสีหน้าย่ำแย่ 


 


 


           “จนถึงตอนนี้เขายังไม่ส่งข่าวกลับมา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า 


 


 


           “บรรดาอนุชนในเมืองหลวงหนานฉิน นอกจากรัชทายาท ฉินเจิง ท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหว และลูกชายของท่านแล้ว ยังมีผู้ใดออกมารับมือสถานการณ์เร่งด่วนได้อีก” อิงชินอ๋องกลุ้มใจยิ่ง “บ้านเมืองมีอัจฉริยะบุคคลถือกำเนิดขึ้นทุกรุ่น อนุชนแทนที่คนรุ่นเก่า ตอนที่หนานฉินยังไม่มีภัย คิดว่าพวกเด็กๆ แต่ละคนโดดเด่นเหนือใคร แข่งประชันความดีงามกัน ยามนี้เมื่อเกิดเรื่อง กลับหามิได้แม้แต่คนเดียว” 


 


 


           “อนุชนในเมืองหลวงหนานฉิน ผู้มีพรสวรรค์ย่อมมีเยอะมาก ทว่าผู้ที่พอจะรับมือสถานการณ์เร่งด่วนได้ในตอนนี้กลับน้อยมาก รัชทายาทกับท่านโหวเซี่ยติดอยู่ที่เมืองหลินอัน ท่านอ๋องน้อยเจิงกับลูกชายข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เยี่ยนถิงแห่งจวนหย่งคังโหวจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวคราว ตั้งแต่หนีไปเมื่อวันสิ้นปีก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย เงียบหายไร้ข่าวคราว หลังเกิดเรื่องที่อารามลี่อวิ๋นยังหาตัวเซี่ยอวิ๋นหลานแห่งจวนแหล่งธัญพืชก็ไม่เจอ เซี่ยอวิ๋นจี้แห่งจวนโรงเก็บเกลือฟังว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เห็นหน้าเห็นตานานมากแล้ว เซี่ยหลินซีแห่งครอบครัวลูกคนโตกับโหวเหยผู้เฒ่า และนายพลอู่เว่ยก็แอบหลบลี้ไปจากเมืองหลวงเพื่อท่องเที่ยว” เสนาบดีฝ่ายขวาครั้นแล้วก็ไล่เรียงทีละคน “สองคุณชายแห่งจวนผู้ตรวจการแผ่นดินและจวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลินเรียนรู้การปกครองมา ในเวลาแบบนี้มิอาจใช้ประโยชน์ได้ ทำได้เพียงช่วยองค์ชายแปดดูแลความมั่นคงในราชสำนักก็ไม่เลวแล้ว ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็ยังเด็ก จำต้องฝึกฝนขัดเกลาอีกหลายปี องค์ชายคนอื่นก็ไร้ประโยชน์” 


 


 


           “หนานฉินมีประโยคหนึ่งพูดต่อกันตลอดมาว่า หนานฉินยอดเยี่ยมได้ต้องยกความดีความชอบให้ตระกูลเซี่ยครึ่งหนึ่ง ถ้อยคำนี้ไม่ใช่ความเท็จเลย อนุชนตระกูลเซี่ยมีแต่ผู้มากพรสวรรค์เต็มไปหมด” อิงชินอ๋องถอนหายใจแรง 


 


 


           “เพียงแต่น่าเสียดาย หลายปีที่ผ่านมาฝ่าบาททรงระแวงตระกูลเซี่ยและคิดกำจัดทิ้งเสมอมา จวนจงหย่งโหวยอมถอยแล้วถอยอีก ก่อนหน้านี้คดีมากมายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมือง คนฉลาดแค่เห็นก็ทราบแล้วว่าพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ย โหวเหยผู้เฒ่าท้อแท้และปลงตกแล้ว เวลานี้ถึงได้หลบลี้จากไป พอเขาเดินทางไปก็เกิดเรื่องใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ตระกูลเซี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ไม่มีจวนจงหย่งโหวคอยประคับประคองตระกูลเซี่ย ทุกคนจึงได้แต่ต้องปกป้องตัวเอง ยามนี้ผู้ใดยังจะออกหน้าช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากให้หนานฉินอีก” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           “พอท่านพูดแบบนี้ข้าก็นึกขึ้นมาได้ แม้บอกว่าทุกหนแห่งใต้หล้าเป็นของจักรพรรดิ ขุนนางทุกตำแหน่งหน้าที่ล้วนเป็นคนของจักรพรรดิเช่นกัน ทว่าสำหรับตระกูลเซี่ยแล้วเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ดั่งมังกรหมอบซุ่ม วนเวียนอยู่ในดินแดนผืนนี้หลายยุคหลายสมัย ย่อมมีรากฐานเป็นของตนเอง ถึงแม้ผู้อยู่เบื้องหลังมีความสามารถเหนือกว่า ควบคุมกิจการร้านยาในหนานฉินได้อยู่หมัด แต่คงยากหากจะรีดไถไปจากตระกูลเซี่ยจนเกลี้ยง” อิงชินอ๋องพลันเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ท่านอ๋องหมายถึงตระกูลเซี่ยต้องมีสมุนไพรดำม่วง?” เสนาบดีฝ่ายขวากระจ่างแจ้ง 


 


 


           “ข้าหมายความเช่นนี้ ตระกูลเซี่ยหยั่งรากลึกเพียงใด ถึงข้าไม่พูดท่านก็น่าจะทราบดี เบื้องหน้าไม่มี มิได้หมายความว่าเบื้องหลังจะไม่มีด้วย” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ  


 


 


           “แต่ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า ตระกูลเซี่ยครอบครัวอื่นก็แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว เกรงว่า…” เสนาบดีฝ่ายขวาคาดการณ์  


 


 


           “มิสู้ท่านกับข้าลองไปจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือก่อน แม้จวนจงหย่งโหวกลายเป็นจวนเปล่า แต่คนพวกนี้ยังอยู่ เรือนหกก็ยังอยู่ด้วย แม้แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว มิใช่คนตระกูลเซี่ยอีก แต่ก็ยังเป็นลูกหลานของหนานฉิน” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ท่านอ๋องพูดมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ 


 


 


           ทั้งสองหารือกันได้แล้วก็เตรียมตัวเดินทาง 


 


 


           “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา พวกท่านสองคนจะกลับจวนหรือไปที่ใด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเดินเข้ามา 


 


 


           “ข้ากับท่านอ๋องตั้งใจว่าจะไปจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือดู บางทีอาจมีสมุนไพรดำม่วงก็เป็นได้” เสนาบดีฝ่ายขวามองอิงชินอ๋องแล้วเอ่ยตอบ 


 


 


           “จริงด้วย ตระกูลเซี่ย ข้าไปกับพวกท่านด้วยดีหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายขวาตบขาฉาดใหญ่ 


 


 


           “ทราบดีว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นห่วงรัชทายาทที่สุด ไปด้วยกันย่อมดีมาก” เสนาบดีฝ่ายขวายิ้มกล่าว 


 


 


           “ข้าก็จะไปกับพวกท่านด้วย” หย่งคังโหวก้าวขึ้นมาร่วมด้วยเช่นกัน “บางทีข้าอาจช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังตระกูลเซี่ย 


 


 


           หลังทั้งสี่ออกไป ขุนนางที่เหลือก็มองหน้ากัน ต่างรวมตัวกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหน้าประตูวังพักหนึ่ง ก่อนแยกย้ายกันออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา ทั้งสี่ก็มาถึงจวนแหล่งธัญพืช 


 


 


           คนเฝ้าประตูเห็นผู้สูงศักดิ์สี่ท่านในราชสำนักมาที่จวนแหล่งธัญพืชด้วยกันก็ชะงักตกใจไปพักหนึ่ง ก่อนรีบคำนับด้วยความเคารพ 


 


 


           “พวกเราสี่คนมาขอพบผู้นำตระกูลเจ้า” อิงชินอ๋องกล่าว “เจ้าช่วยไปรายงานด้วย” 


 


 


           “เรียนท่านอ๋อง ท่านผู้นำไม่อยู่ที่จวนขอรับ” คนเฝ้าประตูรีบกล่าว 


 


 


           “ผู้นำตระกูลเจ้าไปไหน” อิงชินอ๋องชะงักไป 


 


 


           “ไปตามหาคุณชายขอรับ” คนเฝ้าประตูทำหน้าสลด “ตั้งแต่คุณชายตามคุณหนูฟางหวาไปอารามลี่อวิ๋น หลังเกิดเรื่องก็มิได้กลับมา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ท่านผู้นำเป็นห่วงจึงนำคนออกไปตามหา จนถึงวันนี้ก็หลายวันแล้ว แต่ยังไร้ข่าวคราว” 


 


 


           อิงชินอ๋องหันมองไปซ้ายขวา 


 


 


           “ตอนนี้มีคนอยู่ในจวนหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา 


 


 


           “หลังท่านผู้นำออกไป ฮูหยินก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเพื่ออธิษฐานให้ท่านผู้นำและคุณชาย ผู้ช่วยในจวนต่างถูกท่านผู้นำพาไปตามหาคุณชายหมดแล้ว นอกจากบ่าวรับใช้ไม่กี่คนและข้าน้อยที่เฝ้าประตู ตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่จวนเลยขอรับ” คนเฝ้าประตูตอบ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดไม่ออก หันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา 


 


 


           “คุณชายอวิ๋นหลานยังคงเป็นเสาหลักให้จวนแหล่งธัญพืช เกิดเรื่องกับเขา ทำให้ทุกคนในจวนแหล่งธัญพืชออกไปตามหา พอจะให้อภัยได้เช่นกัน ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในจวนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไป เราไปจวนโรงเก็บเกลือกันดีกว่า” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า 


 


 


           ทั้งหมดออกจากจวนแหล่งธัญพืช มุ่งหน้าไปยังจวนโรงเก็บเกลือ 


 


 


           ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวนโรงเก็บเกลือ ทว่าพบว่าหน้าประตูถูกลงกลอนเอาไว้ 


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก 


 


 


           “มีใครอยู่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา เคาะประตูด้วยความร้อนใจ 


 


 


           กลอนประตูส่งเสียงดังอยู่พักหนึ่ง ที่เคาะประตูขยับสั่นไหวปึงปังอยู่หลายครั้ง ทว่ายังไร้เสียงตอบรับจากหลังบานประตู แม้แต่คนเฝ้าประตูสักคนยังไม่พบหน้า 


 


 


           “พอแล้ว ไม่ต้องเขย่าแล้ว เจ้าดูวัชพืชขึ้นโดยรอบสิ ดูท่าประตูคงปิดมาเดือนเศษแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ท่านอ๋อง ข้าจะไม่ร้อนใจได้หรือ รัชทายาทตกอยู่ในอันตราย นี่…คนในจวนโรงเก็บเกลือไปไหนกันหมด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกระวนกระวายใจ 


 


 


           “ลองถามเพื่อนบ้านดูแล้วกัน” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           หย่งคังโหวเดินไปเคาะประตูบ้านข้างเคียง 


 


 


           มีคนชะโงกศีรษะออกมา เมื่อเห็นเหล่าคนสวมเครื่องแบบขุนนางก็ทราบดีว่าเป็นขุนนางใหญ่ จึงรีบคำนับให้ด้วยความเคารพ 


 


 


           “ข้าถามเจ้าหน่อย จวนโรงเก็บเกลือไฉนถึงปิดประตูเงียบ คนข้างในเล่า ไปไหนกันหมด” หย่งคังโหวถาม 


 


 


           “ตั้งแต่คุณชายอวิ๋นจี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็พาลให้ทุกคนในจวนโรงเก็บเกลือออกไปตามหา เหลือไว้เพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้น แต่เมื่อเดือนก่อนเกิดเรื่องกับคนในครอบครัวคนเฝ้าประตูจึงถือโอกาสปิดจวนกลับบ้านเกิด จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ” คนผู้นั้นรีบตอบ  


 


 


           หย่งคังโหวฟังแล้วก็หันกลับไปมองพวกอิงชินอ๋อง 


 


 


           “ไปจวนเรือนหกกันเถอะ” อิงชินอ๋องโบกมือปัด 


 


 


           ทุกคนพยักหน้าแล้วย้ายไปจวนเรือนหกแทน  

 

 


ตอนที่ 79-2 อวิ๋นหลานกับสมุนไพรม่วง

 

          เมื่อมาถึงจวนเรือนหก เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นไปเคาะประตูอย่างทนรอไม่ไหว 


 


 


           มีคนเปิดประตูออก เมื่อเห็นทุกคนก็สะดุ้งตกใจ ก่อนรีบทำความเคารพ 


 


 


           “นายท่านกับฮูหยินอยู่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายยกมือปัดไม่ถือสา 


 


 


           “นายท่านกับฮูหยินอยู่ข้างในขอรับ” คนเฝ้าประตูพยักหน้า 


 


 


           “รีบไปรายงาน พวกเราอยากพบนายท่านกับฮูหยิน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโล่งใจทันที กล่าวด้วยความดีใจ 


 


 


           คนเฝ้าประตูขานรับ ก่อนวิ่งแจ้นไปข้างในเรือน 


 


 


           ไม่นานคนในเรือนหกต่างตื่นตกใจ ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน และฮูหยินหมิงออกมาข้างนอก คนกลุ่มหนึ่งพากันออกมาด้วยความอึกทึกครึกโครม 


 


 


           ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกกับหลินไท่เฟยแห่งวังหลวงสนิทสนมกัน แม้มิได้มียศศักดิ์ แต่ก็เป็นผู้อาวุโสที่นี่ 


 


 


           ต่อหน้านาง อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหวต่างเด็กกว่า นึกไม่ถึงว่านางจะออกมาต้อนรับด้วย จึงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ 


 


 


           ฮูหยินผู้เฒ่าโยกมือปราม รีบเอ่ยว่าไม่เป็นไร แล้วเอ่ยถามพวกอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นกับจวนของเราหรือไม่ ไฉนถึงรบกวนพวกท่านแห่กันมาได้” 


 


 


           “ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจเถิด มิใช่เรื่องใหญ่ในจวน แต่เป็นเรื่องใหญ่ในราชสำนัก พวกข้ามาเพราะมีเรื่องอยากขอร้อง” อิงชินอ๋องรีบส่ายหน้า 


 


 


           เมื่ออิงชินอ๋องเอ่ยคำว่าขอร้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกก็สะดุ้งตกใจ รีบมองไปยังบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน 


 


 


           เนื่องด้วยนายท่านหกมีร่างกายอ่อนแอ ตลอดมาไม่เคยเข้ารายงานตัวยามเหม่า*[1]ในฐานะขุนนางราชสำนัก ดูแลเพียงกิจการในจวนบ้าง ทว่าก็มิใช่คนโง่เขลา ในทางกลับกันคนตระกูลเซี่ยต่างชาญฉลาด ได้ยินเช่นนี้ก็รีบกล่าว “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และท่านโหว เชิญเข้ามาข้างในก่อน” 


 


 


           พวกอิงชินอ๋องทราบดีว่าหน้าประตูมิใช่สถานที่ที่ควรคุยกันจึงพยักหน้ารับพร้อมเพรียง 


 


 


           ทั้งหมดเข้าไปในจวน 


 


 


           เมื่อมาถึงห้องรับแขก จัดหาน้ำชาและผลไม้มาต้อนรับแล้ว พร้อมทั้งไล่คนรับใช้ออกไป เหลือเพียงฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านหก และฮูหยินหมิงสามคน 


 


 


           อิงชินอ๋องเอ่ยถึงจุดประสงค์ในการมาก่อน แล้วถามว่าที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่ 


 


 


           “ที่แท้ท่านอ๋องก็มาเพราะเรื่องนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าแม้อายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เลอะเลือน โบกมือปัดกล่าว “ครึ่งชั่วยามก่อน ไท่เฟยก็ทรงส่งคนมาถ่ายทอดข้อความกับข้า ถามหาสมุนไพรดำม่วงนี้เช่นกัน ต่อมาข้าถึงทราบว่าเมืองหลินอันเกิดเรื่อง จำต้องใช้สมุนไพรดำม่วง ทว่าจวนของเราไม่เคยมีสมุนไพรดำม่วงเลย” 


 


 


           “นึกไม่ถึงว่าไท่เฟยทรงส่งข่าวบอกท่านแล้ว” อิงชินอ๋องชะงัก 


 


 


           “ไท่เฟยก็ทรงทำเพื่อองค์ชายแปด ตั้งแต่รัชทายาทไปจากเมืองหลวง องค์ชายแปดก็ต้องดูแลบ้านเมืองแทน ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็ยังเด็ก เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ได้ยินข่าวแล้วก็ทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ ทั้งในและนอกเมืองต่างไม่มีสมุนไพรดำม่วง ไท่เฟยจึงลองถามข้าดูว่าที่จวนมีสมุนไพรดำม่วงหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว 


 


 


           “ฮูหยินผู้เฒ่า เรือนหกสำหรับตระกูลเซี่ยแล้วถือว่าไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เท่าที่ข้าทราบมา ตระกูลเซี่ยทุกจวนล้วนมีคลังส่วนตัว โดยเฉพาะนายท่านหกที่ป่วยหลายโรคตลอดปี โดยปกติต้องมีสมุนไพรสำรองทุกชนิด แต่เหตุใดถึงไม่เคยมีสมุนไพรดำม่วงเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้องฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยถาม 


 


 


           “เรื่องนี้…” ฮูหยินผู้เฒ่ามองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความลังเลอยู่บ้าง 


 


 


           “ฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องใดปกปิดอยู่ใช่หรือไม่” หย่งคังโหวถาม 


 


 


           อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายขวาก็มองฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน 


 


 


           ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังบุตรชายและลูกสะใภ้ของตน 


 


 


           นายท่านหกกับฮูหยินหมิงเองก็มีท่าทางลำบากใจ ราวกับมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกพูด 


 


 


           “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านหก ฮูหยินหมิง เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาดพวกเจ้าคงจะทราบกันแล้ว ตอนนี้รัชทายาทก็ติดโรคห่าที่เมืองหลินอันเช่นกัน แสนกว่าชีวิตในหลินอันกำลังรอสมุนไพรดำม่วงไปรักษา ทว่าในรัศมีห้าร้อยลี้จากเมืองหลินอันถูกคนรีดไถเอาสมุนไพรดำม่วงไปหมดแล้ว เมื่อข่าวแพร่มาถึงเมืองหลวง วันนี้ 


 


 


ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ไม่ว่าร้านยาใหญ่ในเมืองหรือจวนใหญ่ต่างๆ ขอเพียงมีสมุนไพรดำม่วง ให้รีบนำไปช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ทว่าหาจนทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วกลับไม่มีสมุนไพรดำม่วงเลยสักต้น พวกข้าจึงนึกจวนพวกท่าน นึกได้ว่าตระกูลเซี่ยน่าจะมีสมุนไพรดำม่วงสำรองไว้” อิงชินอ๋องมองทั้งสามพลางเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ใช่แล้ว หากไม่มีสมุนไพรดำม่วง มิใช่แค่รัชทายาทเท่านั้นที่ช่วยมิได้ แต่แสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันก็จะช่วยไว้มิได้เช่นกัน เมืองหลินอันก็จะล่มสลายลง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหวก็อยู่ระหว่างเดินทางไปม่อเป่ย แต่ติดฝนอยู่ที่เมืองหลินอัน ประจวบเหมาะที่เผชิญกับโรคห่าระบาดพอดี ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ที่เมืองหลินอันด้วย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เรือนหกกับจวนจงหย่งโหวเป็นจวนที่ใกล้ชิดกันที่สุด ถึงแม้มองดูรัชทายาทเป็นอะไรไปได้ แต่คงไม่อยากให้ท่านโหวเซี่ยเป็นอะไรไปหรอกกระมัง” 


 


 


           ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็หันมองซ้ายขวา นายท่านหกกับฮูหยินหมิงมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าให้ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเอ่ยขึ้น “มิใช่ว่าข้าไม่อยากบอก แต่เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยาก แต่ในเมื่อเกี่ยวข้องกับชีวิตของ 


 


 


รัชทายาทและท่านโหวเซี่ย ย่อมไม่ต้องพะว้าพะวงมากถึงเพียงนั้นแล้ว” 


 


 


           พวกอิงชินอ๋องต่างรอตั้งใจฟัง 


 


 


           “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และท่านโหวแม้อยู่ในเมืองตลอดเวลา อาจยุ่งกับงานราชการ และรู้เรื่องบางอย่างเหมือนหลับตาเห็น แต่กับบางเรื่องอาจไม่รู้เลยก็ได้ คุณชายอวิ๋นหลานแห่งจวนแหล่งธัญพืชป่วยด้วยโรคประหลาดที่มิอาจเปิดเผยได้ตลอดมา ขอเพียงตระกูลเซี่ยครอบครัวใดมีสมุนไพรดำม่วงก็จะส่งไปที่จวนของคุณชายอวิ๋นหลานทุกปี อาการป่วยของเขาจำต้องใช้สมุนไพรดำม่วงรักษา” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว 


 


 


           พวกอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ 


 


 


           “นึกไม่ถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย เหตุใดพวกข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็บอกแล้ว ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี และท่านโหวต้องรับผิดชอบงานราชการตลอดเวลา ย่อมไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้คุณชายอวิ๋นหลานมีพรสวรรค์ แต่เพราะป่วยด้วยโรคประหลาด ทั้งจัดการงานเงียบๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผนวกกับสามปีก่อนย้ายไปรักษาตัวที่เมืองผิงหยาง สามปีมานี้จึงหายหน้าไปจากเมืองหลวง อีกอย่างโรคประหลาดนี้ สำหรับพวกเราตระกูลเซี่ยแล้ว หากปิดบังได้ก็ต้องปิดบังเพราะมิใช่เรื่องดีอันใดนัก ย่อมมิอาจให้ใต้หล้าทราบได้ ดังนั้นท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี และท่านโหวไม่ทราบก็มิใช่เรื่องแปลก” ฮูหยินหมิงสมทบ 


 


 


           “บอกตามตรง ฝ่าบาททรงจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของตระกูลเซี่ยตลอดมา ตระกูลเซี่ยมอบสมุนไพรดำม่วงให้จวนแหล่งธัญพืชนั้น ข้ากลับไม่เคยได้ยินแม้แต่นิดเดียว” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ฝ่าบาทกับท่านอ๋อง และใต้เท้าทุกท่านในราชสำนักต่างจับตามองอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจของบ้านเมือง กับเรื่องสมุนไพร หากไม่เกิดวิกฤตการณ์อันกระทบถึงทุกชีวิตในเมืองหลินอัน สมุนไพรดำม่วงก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ฮูหยินหมิงพลันยิ้มออกมา  


 


 


           “พูดมีเหตุผล” เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตระกูลเซี่ยไม่มีสมุนไพรดำม่วงเลย” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูที่สมุนไพรดำม่วงเติบโต ที่ผ่านมาหลังสมุนไพรดำม่วงโตเต็มที่แล้ว ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมื่อครอบครัวต่างๆ เก็บเกี่ยวสมุนไพรดำม่วงมาได้ก็จะถือโอกาสที่ยังสดใหม่อยู่รีบส่งไปให้คุณชายอวิ๋นหลาน เพื่อรักษาอาการป่วยของตนเอง เขาจึงมีกรรมวิธีรักษามันเป็นพิเศษ ทำให้สมุนไพรดำม่วงมีประสิทธิภาพในการรักษาดีที่สุด” ฮูหยินหมิงกล่าว “ดังนั้นตระกูลเซี่ยทั้งหมดนอกจากจวนคุณชายอวิ๋นหลานแล้ว เกรงว่าจะไม่มีสมุนไพรดำม่วงเหลืออยู่เลย” 


 


 


           อิงชินอ๋องมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และหย่งคังโหว ทั้งสี่มองหน้ากัน 


 


 


           “ตั้งแต่คุณชายอวิ๋นหลานไปอารามลี่อวิ๋น จนถึงตอนนี้ก็ยังระบุที่อยู่ได้ไม่ชัดเจน หาร่องรอยไม่พบ นี่จะทำเช่นไรดี” ผ่านไปพักหนึ่ง อิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม  


 


 


           “ฮูหยิน ทุกปีพวกเจ้าต้องส่งสมุนไพรดำม่วงไปให้เซี่ยอวิ๋นหลาน แล้วส่งไปที่ใดหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยถามฮูหยินหมิงด้วยความร้อนใจ  


 


 


           “เมื่อก่อนส่งไปที่จวนของเขา ต่อมาก็ส่งไปที่เมืองผิงหยางแทน” ฮูหยินหมิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ข้างกายคุณชายอวิ๋นหลานมีหมอเทวดาอยู่ท่านหนึ่ง นามว่าจ้าวเคอ เขาเป็นผู้เก็บสมุนไพรดำม่วง แม้คุณชายอวิ๋นหลานหายตัวไป แต่จ้าวเคอน่าจะยังอยู่ที่เมืองผิงหยาง หากไปหาจ้าวเคอที่นั่น บางทีอาจได้สมุนไพรดำม่วง” 


 


 


           “มัวรอช้าไม่ได้แล้ว ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา ท่านโหว เรารีบไปกันเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผุดลุกขึ้นยืนทันที  


 


 


           “เราจะไปเมืองผิงหยางรึ” อิงชินอ๋องลุกขึ้นถามแล้วย่นคิ้วถาม 


 


 


           “ไปทูลรายงานฝ่าบาทก่อน ฝ่าบาทจะได้ทรงส่งคนไปเมืองผิงหยาง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ 


 


 


           “อย่าเพิ่งแพร่งพรายข่าวจะดีกว่า หากเราเข้าวังไปทูลรายงานต่อฝ่าบาท ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็จะทราบข่าวเช่นกัน แม้แต่สมุนไพรดำม่วงในคลังยาหลวงยังหายไปได้ แสดงว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องร้ายกาจมาก” เสนาบดีฝ่ายขวารีบเอ่ยขึ้น  


 


 


           “แล้วท่านคิดว่าควรทำเช่นไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยรัชทายาทก่อน” 


 


 


           “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องน้อยเจิงจะกลับมาเมื่อใด” เสนาบดีฝ่ายขวาถามอิงชินอ๋อง 


 


 


           “ไหนเลยจะรู้เล่า” อิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “ทางที่ดีควรรีบหาตัวท่านอ๋องน้อยเจิงก่อน เรื่องนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิงจัดการคงดีที่สุด ตอนนี้เกรงว่าที่จ้าวเคอจะเป็นสถานที่เดียวที่มีสมุนไพรดำม่วงแล้ว หากเป็นคนอื่นไป ไม่แน่ว่าจะได้สมุนไพรดำม่วงกลับมา ที่น่ากลัวไปกว่านั้น ยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีก หากเกิดการแย่งชิง คนธรรมดาไปนำกลับมา ไฉนเลยจะแย่งมาได้สำเร็จ” เสนาบดีฝ่ายขวาบอก 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า “ก็จริง เอาอย่างนี้ กลับไปที่จวนข้ากันก่อน ดูว่าพระชายาตามหาตัวเขาได้หรือไม่ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเขาเมื่อปีนั้นจนเกือบฝังร่างไว้ที่สุสานไร้ญาติ พอรอดกลับมาพระชายาก็ปลูกเครื่องหอมพิเศษไว้บนตัวเขา นางเลี้ยงนกไว้ตัวหนึ่ง ในเวลาสำคัญ นกตัวนั้นจะตามหาเขาจากกลิ่นได้ ทนรอต่อไปไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องใช้วิธีการนี้เท่านั้น ถึงอย่างไรสถานการณ์ในเมืองหลินอันก็คับขันมาก” 


 


 


 


 


 


[1] *ยามเหม่า คือ ช่วงเวลาประมาณ 05:00 น. – 07:00 น.  

 

 


ตอนที่ 80 สิ่งสำคัญที่สุด

 

           อิงชินอ๋องพูดจบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวก็คิดว่าไร้หนทางอื่นแล้วเช่นกัน ต่างพยักหน้าพร้อมเพรียง ก่อนออกจากจวนเรือนหกด้วยกัน 


 


 


           หลังทั้งสี่กลับออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าเรือนหกก็ถอนหายใจออกมา “เริ่มด้วยคุณชายอวิ๋นจี้หายตัวไปโดยมิทราบร่องรอย ตามมาด้วยระบุที่อยู่ของคุณชายอวิ๋นหลานได้ไม่ชัดเจน ต่างไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด คนของจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือล้วนออกไปตามหาคุณชายทั้งสองท่าน จวนจงหย่งโหวก็เหลือเพียงจวนเปล่า ตอนนี้ในเมืองหลวง ครอบครัวใหญ่ตระกูลเซี่ยเหลือเพียงแค่บ้านเราแล้ว” 


 


 


           “ก่อนโหวเหยผู้เฒ่าออกเดินทาง มิใช่ว่าส่งข่าวบอกจวนเราแล้วหรือว่าจะเร้นกายไปสักระยะหนึ่ง” ฮูหยินหมิงกล่าวขึ้น 


 


 


           “สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายยิ่ง” นายท่านหกกล่าว “ไม่รู้ว่าจะหลบไปนานเท่าไร” 


 


 


           “เพียงสองสามเดือน ปีสองปี หรือหลายปี นี่ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน” ฮูหยินหมิงถอนหายใจตาม “เมืองหลวงวุ่นวาย นอกเมืองก็วุ่นวายเช่นกัน ใต้หล้ายามนี้มิรู้ว่าที่ใดยังสงบสุขอีกบ้าง โหวเหยผู้เฒ่าบอกว่าออกไปเปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดได้” 


 


 


           “เราเองก็ควรหาที่พักห่างจากเมืองบ้างหรือไม่” นายท่านหกเอ่ยขึ้น 


 


 


           “บรรพบุรุษของเราต่างอยู่ในเมืองหลวง จำต้องพึ่งพาร่มเงาบรรพบุรุษเพื่อดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ที่ผ่านมาเรือนหกของเราพึ่งพาอาศัยจวนจงหย่งโหว ในจวนเลี้ยงดูเพียงแค่คนรับใช้จำนวนหนึ่งกับผู้คุ้มกันไม่กี่คน แม้ออกจากเมืองหลวง แต่จะไปที่ใดได้” ฮูหยินหมิงมองไปยังนายท่านหก 


 


 


           “ก็จริง” นายท่านหกละอายใจ “เพราะข้าไร้ความสามารถ ทำให้ท่านแม่กับเจ้าต้องลำบากทั้งกายใจ” 


 


 


           “อย่าพูดเช่นนี้เลย เจ้าร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เกิดแล้ว แค่ใช้ชีวิตมาได้อย่างสงบสุข แม่ก็พอใจมากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนินายท่านหกประโยคหนึ่ง 


 


 


           “ท่านแม่กล่าวถูกแล้ว ข้าไม่ขอให้ท่านต้องเป็นขุนนางตำแหน่งสูง ร่ำรวยทั้งเงินทองและยศศักดิ์ และไม่ขอให้ท่านต้องเชี่ยวชาญการวางแผนอย่างผู้อื่น เรือนใหญ่แสวงหาลาภยศตลอดมา สุดท้ายมีจุดจบอย่างไร นอกจากคุณหนูฟางหวาปกป้องเซี่ยหลินซีเพียงคนเดียว ตอนนี้คนอื่นๆ ก็ต้องมีจุดจบเช่นนั้น แค่เราใช้ชีวิตอย่างสงบมั่นคงในเมือง เท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้วเช่นกัน” ฮูหยินหมิงก็กล่าวเช่นกัน “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนจงหย่งโหว ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนแหล่งธัญพืช ไม่มีผู้ใดอยู่ที่จวนโรงเก็บเกลือ แต่มิอาจให้ผู้อื่นพูดกันว่าตระกูลเซี่ยของเราไม่มีใครอยู่แล้ว เรือนหกของเราต้องยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวง ขอเพียงเรายังอยู่ ตระกูลเซี่ยของเราก็คงอยู่ตลอดไป” 


 


 


           “พูดได้ดี” ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะ ชมเชยว่า “ตระกูลเซี่ยรุ่นนี้นับว่าคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย หากผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ก็จะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปอีกร้อยปี แต่หากผ่านไปไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรม แล้วแต่สวรรค์ลิขิต เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” 


 


 


           “แล้วแต่ท่านแม่กับหมิงเอ๋อร์” นายท่านหกพยักหน้า 


 


 


           “สองวันนี้อีเอ๋อร์เอาแต่พูดถึงคุณหนูฟางหวากับข้า ขอให้ข้าไปสืบความเรื่องนาง” ฮูหยินหมิงกล่าว “ตั้งแต่เล็กเด็กคนนี้ได้พบคุณหนูฟางหวาแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงชื่นชอบนางมาก วันก่อนนางไปเดินเล่นบนถนนแล้วเห็นประกาศพระราชโองการหย่าร้างเข้าก็วิ่งกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว บอกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงชอบคุณหนูฟางหวาออกขนาดนั้น จะต้องไม่ยอมหย่าร้างด้วยเป็นแน่ ต้องเป็นเจตนาของฝ่าบาท เอาแต่พ่นถ้อยคำเนรคุณเกี่ยวกับฝ่าบาทต่อข้าไม่น้อยจนต้องห้ามปราม หลายวันนี้นางดูอมทุกข์ น่าเป็นห่วงยิ่งนัก” 


 


 


           “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องของความถูกชะตา ข้ากับหลินไท่เฟยก็แรกพบกลับเหมือนรู้จักกันมานานเช่นกัน จนกลายเป็นสนิทสนมกัน อีเอ๋อร์ชอบฟางหวาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เด็กแบบนั้นข้าเห็นแล้วก็ชอบด้วยเหมือนกัน นางมีนิสัยแบบนั้นถึงเหมาะกับการเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ของตระกูลเซี่ยอย่างแท้จริง สะท้อนความสุขุมสูงศักดิ์ออกมาจากภายใน โดดเด่นยิ่งกว่าป้าของนางในตอนนั้นเสียอีก” ท่านยายกล่าว “ข้าว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอีเอ๋อร์หรอก นางมีบุคลิกร่าเริง ชอบอ้อนเอาใจ กระจ่างแจ้งในทุกเรื่องดี ไม่มุ่งเข้าหาทางตัน คิดเองเป็น ไม่เหมือนกับพี่สาวนาง เฮ้อ ถูกข้าเลี้ยงดูจนกลายเป็นมีนิสัยหัวแข็งเช่นนั้น กลุ้มใจก็ไม่พูด เก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ในใจ วันแล้ววันเล่ายิ่งผอมลง นี่ต่างหากที่น่าเป็นห่วง” 


 


 


           “นางยังตัดใจจากองค์ชายแปดไม่ได้หรือ” ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วงขึ้นมา 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องโทษข้า เวรกรรมแท้ๆ ก่อนหน้านี้ข้าอยากหาคู่ครองดีๆ ให้นาง หลินไท่เฟยมีบุคลิกอ่อนโยน กระจ่างแจ้งในทุกเรื่อง ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคงหลายปีทั้งที่ไร้บุตร นับว่าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง นางเลี้ยงดูสั่งสอนองค์ชายแปดจนเติบใหญ่ นิสัยพื้นฐานย่อมไม่บกพร่อง ทว่าไม่คิดเลยว่าบุตรีในบ้านเราหลงรักเขา แต่เขากลับไร้เยื่อใยตอบ นี่มีหรือจะไม่ใช่เวรกรรม” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า  


 


 


           “ตอนนี้มีเภทภัยมาก ทั้งในและนอกเมืองเกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน ถึงอย่างไรองค์ชายแปดก็เป็นองค์ชาย อายุยังน้อยกลับต้องแบกรับหน้าที่สำคัญอย่างการดูแลบ้านเมือง อนาคตจะเกิดความผาสุกหรือหายนะก็พูดยาก ถึงแม้พวกเขาต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน อนาคตก็ใช่ว่าจะได้ครองคู่กันเสมอไป องค์ชายแปดไร้เยื่อใยก็ดีเหมือนกัน บุตรีคนโตของเรา ค่อยๆ โน้มน้าวใจนางไปเถิด วันหนึ่งนางต้องคิดได้แน่นอน” ฮูหยินหมิงผ่อนน้ำเสียงลง “ท่านแม่อย่าโทษตัวเองเลย ข้าคิดว่าฝ่ายหนึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ฝ่ายหนึ่งเป็นจวนร่ำรวยมีเกียรติ อย่าว่าแต่กฎระเบียบเยอะเลย นับแต่โบราณมาความร่ำรวยมีเกียรติมิใช่ได้มาง่ายๆ ต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิต มิสู้อยู่อย่างคนธรรมดา แต่สมบูรณ์มั่งคงตลอดชีพ ไม่ขาดเสื้อผ้าอาหารก็ดีแล้ว” 


 


 


           “เป็นเจ้าที่มองได้ปรุโปร่ง ตัวข้าแก่แล้ว เลอะเลือนแล้วเช่นกัน ตอนยังเยาว์วัยก็หาได้ตระหนักได้เช่นเจ้า แต่ตอนนี้เมื่อเป็นเรื่องของอนุชนจึงเกิดความคิดไม่สมควรขึ้นมา กระทั่งสร้างความลำบากให้เด็กคนนั้น กลับไปแล้วข้าจะลองคุยกับนางดู” ฮูหยินผู้เฒ่าลูบมือฮูหยินหมิง  


 


 


           ฮูหยินหมิงพยักหน้า 


 


 


           พวกอิงชินอ๋องสี่คนออกจากจวนเรือนหกก็รีบกลับไปที่จวนอิงชินอ๋อง 


 


 


           เมื่อกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง อิงชินอ๋องก็เอ่ยถามคนเฝ้าประตู “เจิงเอ๋อร์กลับมาหรือยัง” 


 


 


           “ข้าน้อยมิทราบ ยังไม่พบท่านอ๋องน้อยเลยขอรับ” คนเฝ้าประตูส่ายหน้า 


 


 


           อิงชินอ๋องถอนหายใจ ก่อนเชิญเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวเข้ามาในจวน ขณะเดียวกันก็สั่งงานสี่ซุ่น “รีบไปตามฮูหยินมาที่ห้องรับแขกส่วนหน้า” 


 


 


           “ท่านอ๋อง หากฮูหยินถามว่ามีเรื่องใด บ่าวควรตอบว่าอย่างไรดี” สี่ซุ่นมิได้รีบทำตามคำสั่งทันที หากแต่เอ่ยถามอย่างระวัง 


 


 


           “บอกว่ามีเรื่องด่วน ได้ความคืบหน้าของสมุนไพรดำม่วงแล้ว แต่ต้องจำให้ฮูหยินช่วยใช้วิธีการพิเศษตามหาเจิงเอ๋อร์ ให้เขาเป็นคนไปเอาสมุนไพรดำม่วง” อิงชินอ๋องกำชับเสียงต่ำ 


 


 


           สี่ซุ่นรับคำแล้วรีบออกไป 


 


 


           อิงชินอ๋องนำแขกทั้งสามท่านไปที่ห้องรับแขก 


 


 


           ภายในเรือนหลัก พระชายาอิงชินอ๋องเพิ่งได้พักผ่อน งีบหลับไปตื่นหนึ่ง สี่ซุ่นก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา แต่ชุนหลันขวางเขาเอาไว้ “เกิดอะไรขึ้นถึงได้รีบวิ่งมาขนาดนี้” 


 


 


           “ท่านอ๋องอยากพบฮูหยิน” สี่ซุ่นตอบเสียงเบา 


 


 


           “เกิดอะไรขึ้น” ชุนหลันถาม 


 


 


           สี่ซุ่นกระซิบข้างหูนาง 


 


 


           “นี่…” ชุนหลันลังเล “ฮูหยินไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หลายวันแล้ว เพิ่งหลับไปเมื่อครู่…” 


 


 


           “ท่านอ๋องนำเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมาด้วย ตอนนี้กำลังรอฮูหยินอยู่ที่ห้องรับแขกส่วนหน้า ปลุกฮูหยินขึ้นมาเถิด ถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของรัชทายาทและแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอัน” สี่ซุ่นกล่าว 


 


 


           ชุนหลันพยักหน้าก่อนเข้าไปในห้องอย่างจำใจ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องถูกชุนหลันปลุกให้ตื่นขึ้นมา หลังฟังเรื่องจบแล้วก็เอ่ยถาม “ท่านอ๋องบอกว่ามีความคืบหน้าของสมุนไพรดำม่วงแล้ว ให้เจิงเอ๋อร์เป็นคนไปเอารึ” 


 


 


           “สี่ซุ่นบอกเช่นนี้เจ้าค่ะ” ชุนหลันตอบ 


 


 


           “แต่เจิงเอ๋อร์เพิ่งกลับมา เหนื่อยอย่างกับอะไรดี จะให้ออกไปอีกได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องเป็นห่วงบุตรชาย “ท่านอ๋องก็จริงๆ เลย เป็นคนอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นเจิงเอ๋อร์เท่านั้น” 


 


 


           “แน่นอนว่าผู้อื่นทำมิได้ ท่านอ๋องถึงรีบหาตัวท่านอ๋องน้อย ถึงอย่างไรท่านอ๋องน้อยของเราก็มีความสามารถยิ่ง” ชุนหลันกล่าว 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด “เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะไปดูก่อนว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” พูดจบ นางก็คลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไป 


 


 


           เมื่อมาถึงห้องรับแขกส่วนหน้า อิงชินอ๋องก็เล่าเรื่องที่เรือนหกบอกให้พระชายาฟังรอบหนึ่ง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองไปยังพระชายาอิงชินอ๋อง 


 


 


           โดยเฉพาะเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เปลี่ยนนิสัยในวันวานไปอย่างสิ้นเชิง เอ่ยวาจาอ้อนวอนเสียงอ่อน “พระชายา ในเมื่อท่านมีวิธีตามหาท่านอ๋องน้อย ก็รีบตามท่านอ๋องน้อยกลับมาเถอะ ท่านอ๋องน้อยคุ้นเคยกับเมืองผิงหยางดี จ้าวเคอผู้นั้นท่านอ๋องน้อยก็รู้จักเช่นกัน ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดเหมาะที่จะทำเรื่องนี้ไปมากกว่าท่านอ๋องน้อยแล้ว” 


 


 


           “แม้พูดถึงขนาดนี้ แต่เจิงเอ๋อร์ต้องสะสางคดีในเมือง มีเขาบัญชาการในเมืองหลวงถึงยังสงบมั่นคงได้บ้าง ถึงอย่างไรก็เป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ หากเขาออกจากเมืองไป ในเมืองก็เหลือแค่องค์ชายแปดคนเดียว ด้วยความที่อ่อนประสบการณ์มาก ไหนเลยจะควบคุมราชสำนักในมั่นคงได้ หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกจะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องกลุ้มใจอยู่บ้าง 


 


 


           “ในเมืองยังมีพวกเราอยู่ ต้องปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยด้วยชีวิต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ 


 


 


           “ตอนนี้สมุนไพรดำม่วงเป็นเรื่องใหญ่เร่งด่วน” หย่งคังโหวยืดอกกล่าวขึ้น  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องลังเลพักหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “อย่างนี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปที่เรือนก่อน ให้นกตัวนั้นลองบินหาดู แม้บอกว่าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่เคยใช้งานมาก่อน หวังว่าจะได้ผล” 


 


 


           “รบกวนพระชายาแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นพระชายาอิงชินอ๋องรับปากก็ดีใจยกใหญ่ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องออกจากห้องรับแขก 


 


 


           นางกลับมาที่เรือนหลักก่อน จากนั้นก็สั่งงานชุนหลัน “เจ้าไปที่เรือนลั่วเหมย รายงานสถานการณ์ให้เจิงเอ๋อร์ฟัง ถามดูว่าเขาจะทำเช่นไร” 


 


 


           ชุนหลันขานรับแล้วรีบออกไป 


 


 


           เรือนลั่วเหมยปิดประตูเงียบเชียบ 


 


 


           ชุนหลันเคาะประตูอยู่หลายครั้งกว่าหลินชีจะยื่นศีรษะออกมา เห็นว่าเป็นนางก็ถามถึงวัตถุประสงค์การมา ก่อนเชิญนางเข้ามาในเรือน 


 


 


           หลังพระชายาอิงชินอ๋องกลับไป ฉินเจิงก็ขึ้นมานอนบนเตียง หลายวันก่อนยังเป็นเตียงหลังใหญ่สำหรับสองคน เครื่องนอนผ้าทออันสวยงามยังมิได้นำไปเปลี่ยนจนถึงวันนี้ ด้านบนยังมีกลิ่นยาเคล้าดอกไห่ถังเฉพาะบนตัวเซี่ยฟางหวาติดอยู่ หลังเขานอนลงก็กวาดตามองรอบหนึ่ง ข้าวของใดๆ ภายในห้อง นางมิได้นำไปด้วยทั้งนั้น รวมถึงเครื่องประดับที่นางโปรดปรานที่สุดก็ด้วย 


 


 


           แม้ตัวนางจากจวนไป หากแต่คล้ายกับแค่ออกไปข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           ประกาศถูกติดทั่วหนานฉินข้างนอกและเสียงวิจารณ์เกรียวกราวเกี่ยวกับพระราชโองการหย่าร้างมิได้ส่งผลกระทบต่อเรือนลั่วเหมยแม้แต่น้อย เครื่องเรือนทั้งหมดยังคงเหมือนเก่า 


 


 


           เขานอนนิ่งพักหนึ่ง เพราะความเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป 


 


 


           ชุนหลันมาถึงก็ส่งเสียงเรียก ฉินเจิงตื่นขึ้นมา เอ่ยถามเสียงแห้ง “มีเรื่องใด” 


 


 


           ชุนหลันถ่ายทอดข้อความของพระชายาอิงชินอ๋องอย่างละเอียด สุดท้ายก็กล่าวว่า “ตอนนี้ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสอง และหย่งคังโหวกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกส่วนหน้า พระชายาสิ้นหนทางจึงให้บ่าวมาถามท่านอ๋องน้อยดูว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ ตามความเห็นของท่านอ๋องกับอีกสามคน เรื่องนี้ท่านอ๋องน้อยต้องเป็นคนไปเท่านั้น” 


 


 


           “ตระกูลเซี่ยมอบสมุนไพรดำม่วงให้เซี่ยอวิ๋นหลานรักษาอาการป่วยทุกปีหรือ” ฉินเจิงลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า 


 


 


           “เท่าที่ท่านอ๋องบอก เรือนหกบอกเช่นนี้เจ้าค่ะ สมุนไพรดำม่วงที่ตระกูลเซี่ยเก็บเกี่ยวได้ทุกปีล้วนส่งมอบให้เซี่ยอวิ๋นหลานเป็นการส่วนตัว คนเรือนหกเดิมทีไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องโรคลับ แต่เพราะท่านโหวเซี่ยกับรัชทายาทต่างอยู่ที่เมืองหลินอันและตกอยู่ในอันตราย จึงบอกความจริงอย่างช่วยไม่ได้” ชุนหลันตอบ 


 


 


           “ที่ผ่านมาส่งสมุนไพรดำม่วงให้จ้าวเคอเก็บรึ” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “บอกเช่นนี้เจ้าค่ะ” ชุนหลันตอบ 


 


 


           ฉินเจิงหรี่ตาลง นิ่งไตร่ตรองพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ ให้นางกลับไปบอกที่ห้องรับแขกส่วนหน้าว่าข้าอยู่ในเมืองหลวง ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย ท่านจะไปเมืองผิงหยางจริงหรือ ร่างกายท่านรับไหวแน่หรือไม่” ชุนหลันเป็นห่วง 


 


 


           “ไม่มีปัญหา” ฉินเจิงโบกมือปัด 


 


 


           ชุนหลันได้แต่กลับออกมาแล้วไปถ่ายทอดข้อความที่เรือนหลัก 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องฟังถ้อยคำจากชุนหลันก็ทั้งเป็นห่วงฉินเจิง ทั้งคิดว่าในเมื่อเขารับปาก เช่นนั้นจะต้องมีเหตุผลให้ไปเมืองผิงหยางเป็นแน่ เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง นางจึงได้แต่กลับไปที่ห้องรับแขกส่วนหน้า 


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวได้รับคำตอบจากพระชายาก็เบาใจลง 


 


 


           เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ฉินเจิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องรับแขกส่วนหน้า 


 


 


           “เจ้าไปไหนมา” อิงชินอ๋องเห็นฉินเจิงก็พินิจมองเขาถี่ถ้วน พบว่านอกจากบริเวณหว่างคิ้วที่ดูเหนื่อยล้าก็ไม่พบความผิดปกติใด จึงเบาใจลงเล็กน้อย 


 


 


           “ข้าไปเมืองผิงหยางก็ได้ แต่ต้องมีคนหนึ่งไปกับข้าด้วย” ฉินเจิงกวาดตามองทั้งสี่  


 


 


           “ผู้ใด ท่านอ๋องน้อยบอกมาได้เลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบบอกทันที “ขอเพียงช่วยรัชทายาท ช่วยประชาชนในเมืองหลินอันได้ ท่านอ๋องน้อยต้องการสิ่งใด ขอเพียงพวกเราทำได้ ถึงตายก็ย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน” 


 


 


           “ไม่ต้องถึงตาย นำชุยอี้จือมา” ฉินเจิงยกมือปัด 


 


 


           “ชุยอี้จือ รองราชเลขากรมกลาโหมน่ะรึ” เสนาบดีฝ่ายขวามองฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย ท่านไปเมืองผิงหยางก็เพื่อนำสมุนไพรดำม่วงในมือจ้าวเคอกลับมา ชุยอี้จือไปด้วยจะมีประโยชน์อันใด” 


 


 


           “ตระกูลชุยแห่งชิงเหอกับเมืองผิงหยางอยู่ใกล้กัน นอกจากนี้ เขาก็มีวิชาเสาะวิญญาณพันลี้ที่ถ่ายทอดจากตระกูลชุยแห่งชิงเหอด้วย สิ่งที่ท่านแม่ใช้บนตัวข้าเป็นเครื่องหอม แต่ใช้ได้แค่ผิวหนังภายนอก ทำได้แค่หาร่องรอยข้าในรัศมีหนึ่งร้อยลี้เท่านั้น แต่เครื่องหอมเสาะวิญญาณที่แท้จริงของตระกูลชุยแห่งชิงเหอนั้นต่างออกไป ในรัศมีพันลี้ล้วนหาร่องรอยได้หมด” ฉินเจิงกล่าว 


 


 


           “จ้าวเคออยู่ที่เมืองผิงหยางไม่ใช่หรือ ต้องให้ชุยอี้จือค้นหาร่องรอยพันลี้ด้วยรึ” หย่งคังโหวไม่เข้าใจ 


 


 


           “เซี่ยอวิ๋นหลานหายไป เขาเป็นหมอประจำกายเซี่ยอวิ๋นหลาน ตอนนี้ไม่อยู่ที่เมืองผิงหยางแน่นอน” ฉินเจิงกล่าว “หากหาเจอว่าเขาอยู่ที่ใด ในเมื่อเขามีสมุนไพรดำม่วงอยู่ในมือ ก็จะหาสมุนไพรดำม่วงเจอเช่นกัน” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยพูดมีเหตุผล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ไม่อาจรอช้าได้ รีบไปตามชุยอี้จือมาเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเอ่ยขึ้น 


 


 


           “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ตั้งแต่ชุยอี้จือรับตำแหน่งก็อยู่ที่กรมกลาโหมตลอด ส่งคนไปตามก็พอแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวาหันมากล่าวกับอิงชินอ๋อง “แต่ขุนนางว่างงาน ไม่ควรโยกย้ายหน้าที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปโดยพลการ เข้าวังไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อนดีกว่า นอกจากนี้ก่อนเราออกจากวังมา ฝ่าบาททรงตรัสว่าอยากพบท่านอ๋องน้อย ในเมื่อท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้ว รีบไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อนดีกว่า” 


 


 


           “เอาอย่างนี้ เจิงเอ๋อร์ ข้าส่งคนไปบอกชุยอี้จือให้มาที่จวน ส่วนตอนนี้เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “เรื่องด่วนสุดคือต้องหาสมุนไพรดำม่วง เรื่องเสด็จอาท่านพ่อไปแทนข้าแล้วกัน บอกเสด็จอาว่า ของที่ข้านำไปจากพระองค์ยังต้องใช้อีกหลายวัน กลับเมืองมาแล้วจะคืนให้” ฉินเจิงพูดพลางก็เดินออกจากห้อง พลางโบกมือให้ “ข้าไปหาท่านแม่ก่อน ชุยอี้จือมาแล้วส่งคนไปบอกข้าด้วย” 


 


 


           เสียงยังไม่ทันขาดหาย คนก็เดินหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว 


 


 


           อิงชินอ๋อง เสาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองหน้ากัน แม้ไม่ทราบว่าเขานำสิ่งใดไปจาก 


 


 


ฝ่าบาท แต่คิดว่าต้องเป็นของสำคัญแน่นอน ทว่าตอนนี้มิใช่เรื่องสำคัญแล้ว ยามนี้สมุนไพรดำม่วงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงฉินเจิงเป็นผู้ไปตามหา พวกเขาเชื่อว่าจะต้องนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาได้เป็นแน่ ช่วยเมืองหลินอันให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้  

 

 


ตอนที่ 81 เสาะวิญญาณพันลี้

 

   ฉินเจิงรอที่เรือนของพระชายาอิงชินอ๋องประมาณสองถ้วยชา รายงานว่าชุยอี้จือมาถึงจวนแล้วก็แว่วมายังเรือนหลัก


 


 


           “เจิงเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มาตามตรง เจ้านำชุยอี้จือไปด้วย ใช่อยากใช้ประโยชน์จากวิชาเสาะหาร่องรอยที่ถ่ายทอดในตระกูลชุยแห่งชิงเหอเพื่อตามหาหวาเอ๋อร์หรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องฉินเจิง


 


 


           “สตรีฉลาดถึงเพียงนี้ทำไมกัน ท่านแม่ ท่านอย่าได้เป็นกังวลนักเลย เหนื่อยหรือไม่” ฉินเจิงฉีกยิ้มมุมปาก


 


 


           “ไอ้เจ้าลูกกระต่าย หากเจ้าไม่ใช่ลูกชายของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นกังวลหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องตีเขาอย่างแรงแล้วเอ่ยเตือน “ข้าบอกเจ้า หากเจ้าหาหวาเอ๋อร์พบ ห้ามยั่วโมโหนางอีกเด็ดขาด ทางที่ดีก็ขอโทษนางเสีย”


 


 


           “คนไม่ได้ทำผิดจะขอโทษอะไร” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ท่านจุดธูปสวดมนต์ อธิษฐานให้ข้าหานางพบดีกว่า ความสามารถของนางสูงกว่าลูกชายท่านเสียอีก ถึงแม้ข้าหานางพบ แต่นางไม่อยากพบข้า ข้าก็ทำอันใดไม่ได้เช่นกัน”


 


 


           “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือหวาเอ๋อร์ทำถึงขนาดนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ถ้าไม่ใช่เจ้าทำให้นางเสียใจจนเกินเหตุ เช่นนั้นนางก็มีเหตุผลที่ต้องทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ระงับนิสัยแย่ๆ ของเจ้าไปเสีย ไม่ว่าต้องใช้วิธีการใดก็ต้องพานางกลับมาหาข้าให้ได้” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงหึ


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “แม้พระราชโองการหย่าร้างเผยแพร่ทั่วใต้หล้า บรรดาราษฎรคิดว่าพวกเจ้าไร้ความเกี่ยวข้องกันแล้ว แต่สำหรับแม่ นางยังคงเป็นภรรยาของเจ้า ยังคงเป็นลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋อง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว


 


 


           ฉินเจิงจัดรอยยับย่นบริเวณปกเสื้อ ทันใดนั้นก็ผุดยิ้มออกมา เอ่ยอย่างควรจะเป็น “แน่นอน”


 


 


           “เจ้าเด็กบ้า” พระชายาอิงชินอ๋องมองท่าทางเขาก็ตำหนิ ก่อนกำชับส่งท้าย “ระวังตัวด้วย”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วออกจากเรือนหลัก


 


 


           เขาเดินมาที่ห้องรับแขกส่วนหน้า ชุยอี้จือกำลังสนทนากับอิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวอยู่ก่อนแล้วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขามาถึง ชุยอี้จือก็คำนับเขา “ท่านพี่”


 


 


           “ไปกันเถอะ” ฉินเจิงโบกมือปัด


 


 


           ชุยอี้จือผงกศีรษะรับ


 


 


           ฉินเจิงเดินตรงไปยังประตูจวนโดยมิได้เอ่ยคำใดกับทั้งสี่คนนั้นเลย


 


 


           พวกอิงชินอ๋องมองหน้ากัน ต่างคุ้นชินกับนิสัยของฉินเจิงแล้ว อิงชินอ๋องตามไปกำชับเขาสองประโยค ฉินเจิงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนก็พลิกกายขึ้นมา มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที


 


 


           ชุยอี้จือขี่ม้าตามหลังเขา


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหวมองส่งทั้งสองออกเดินทาง หารือกันพักหนึ่งก็พากันออกจากจวนอิงชินอ๋องเพื่อไปยังวังหลวง


 


 


           ฮ่องเต้ทรงรอข่าวของฉินเจิงอยู่ที่ตำหนักบรรทม


 


 


           พวกอิงชินอ๋องผ่านเข้าประตูวังมาก็ตรงไปยังตำหนักบรรทม เมื่อพบฮ่องเต้ก็ทูลรายงานเรื่องโรคมิอาจเปิดเผยที่ได้ทราบจากเรือนหกและเรื่องที่ฉินเจิงกับชุยอี้จือออกเดินทางให้พระองค์ฟัง


 


 


           “พวกเจ้าบอกว่า นอกจากจวนจงหย่งโหว ตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในจวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือเลยหรือ” ฮ่องเต้ทรงฟังแล้วก็มีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย


 


 


           “ต่างเหลือแค่จวนเปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายทูลตอบ


 


 


           “ตระกูลเซี่ยคิดจะทำอันใดกันแน่” ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทุบโต๊ะทรงอักษรอย่างแรง “เราเห็นว่าเก็บตระกูลเซี่ยไว้ไม่ได้แล้ว”


 


 


           “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ” เสนาบดีฝ่ายขวาก้าวขึ้นมา ประสานมือทูลกล่าว “โหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวเกษียณออกจากราชการตั้งนานแล้ว นายพลอู่เว่ยก็ส่งมอบอำนาจทางทหารแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งอื่น เซี่ยหลินซีตัวเปล่าไร้ตำแหน่งขุนนาง ทั้งสามคนมิได้อยู่ในบัญชีรายชื่อขุนนางราชสำนัก ย่อมไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือเดิมเป็นพ่อค้าที่ต้องเจรจาค้าขายกัน ยิ่งมิได้ถูกราชสำนักตีกรอบจำกัด ไตร่ตรองดูแล้วมิได้ฝ่าฝืนกฎหมาย มิได้ทำผิดกฎอันใด เพียงแต่เพราะตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่ ถึงทำให้ฝ่าบาททรงคิดว่าตระกูลเซี่ยมิควรทำเช่นนี้ ทว่าไหนๆ ก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งมา เป็นปฐมฮ่องเต้ที่เชิญตระกูลเซี่ยเข้ามา ถึงตระกูลเซี่ยทั้งหมดถอนตัวออกจากราชสำนักก็เป็นเรื่องสมควร ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยม่อหานก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอันกับรัชทายาทด้วยมิใช่หรือ สถานการณ์ตระกูลเซี่ยตอนนี้นับว่าเลวร้ายเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกกระหม่อมต่างมองออกว่า เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมืองช่วงนี้มิได้พุ่งเป้ามาที่ราชสำนัก หากแต่พุ่งเป้ามาที่ตระกูลเซี่ย”


 


 


           ฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้นก็มีพระพักตร์ผ่อนคลายลง “พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยลอบวางแผนร่วมมือกับผู้อยู่เบื้องหลัง มิฉะนั้นอาการป่วยของเซี่ยอวิ๋นหลานใช้สมุนไพรชนิดอื่นมิได้ ไฉนถึงต้องเป็นสมุนไพรดำม่วงอย่างเดียว อีกอย่างตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยได้ยินว่าตระกูลเซี่ยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมิดชิดมาก่อน มีเจตนาน่าสงสัยนัก” หยุดครู่หนึ่งแล้วตรัสด้วยโทสะ “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเซี่ยฟางหวาที่ออกจากเมืองไปด้วย”


 


 


           “นี่…” เสนาบดีฝ่ายขวามองไปยังสามคนที่เหลือ


 


 


           “เซี่ยอวิ๋นหลานป่วยด้วยโรคประหลาดมิอาจเปิดเผยได้ตลอดมา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดจวนแหล่งธัญพืช เพราะพิจารณาถึงต้นตระกูลแล้ว ตระกูลเซี่ยจึงปิดบังเรื่องนี้ไม่แพร่งพรายออกไปตลอดมา ส่วนตระกูลเซี่ยลอบวางแผนร่วมมือกับผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น กระหม่อมคิดว่าเป็นไปมิได้ โหวเหยผู้เฒ่าจงรักภักดีเพียงใดนั้นพิสูจน์ได้ หลายปีนี้ตระกูลเซี่ยอ่อนข้อให้ราชสำนักเป็นใหญ่เสมอมา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่เมืองหลินอันเหมือนกับรัชทายาท เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของจวนจงหย่งโหว” อิงชินอ๋องประสานมือทูลกล่าว


 


 


           “ท่านอ๋องกล่าวมีเหตุผล” หย่งคังโหวประสานมือคำนับ “เรื่องด่วนตอนนี้คือท่านอ๋องน้อยไปตามหาจ้าวเคอเพื่อนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้เมืองหลินอัน ในเมื่อท่านอ๋องน้อยจัดการด้วยตัวเอง กระหม่อมเชื่อว่าต้องช่วยรัชทายาทกับแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันได้เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “มิผิด ตระกูลเซี่ยตอนนี้ยังมีเรือนหกอยู่ เซี่ยอวิ๋นหลานกับเซี่ยอวิ๋นจี้ต่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มิใช่เรื่องแปลกที่จวนแหล่งธัญพืชกับจวนโรงเก็บเกลือจะทุ่มกำลังออกตามหา ตอนนี้เกรงว่าจวนจงหย่งโหวก็ต้องปกป้องตัวเองเช่นกัน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว “ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ พวกกระหม่อมต้องปกป้องเมืองหลวงระหว่างที่รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยไม่อยู่ให้ดีที่สุด มิให้เกิดเหตุความวุ่นวายซ้ำสอง”


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวมีเหตุผล” อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา และหย่งคังโหวรีบสมทบ


 


 


           ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสี่ต่างเป็นขุนนางในราชสำนัก ยากที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้


 


 


           ความโกรธเกรี้ยวบนพระพักตร์ฮ่องเต้คลายลง พยักหน้ารับ “องค์ชายแปดยังอ่อนประสบการณ์ พวกเจ้าสี่คนบริหารจัดสรรเมืองหลวงให้ดี ระหว่างนี้อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก”


 


 


           ทั้งสี่ผงกศีรษะรับคำ


 


 


           ไม่นานองค์ชายแปดก็ถูกเรียกมาที่วังหลวง เพื่อหารือเรื่องการจัดสรรเมืองหลวงร่วมกับอิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวา และหย่งคังโหว


 


 


           ฉินเจิงกับชุยอี้จือออกจากเมือง เมื่อเดินทางมาได้ห้าลี้ ฉินเจิงก็ดึงเชือกบังเ**ยนแล้วกล่าวกับชุยอี้จือ “หากจะตามหานาง ด้วยวิชาเสาะวิญญาณพันลี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ควรตามหาอย่างไร”


 


 


           “ท่านพี่จะตามหาใคร” ชุยอี้จือมองฉินเจิง


 


 


           “ไม่ต้องถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ” ฉินเจิงปรายตามองชุยอี้จือ


 


 


           “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดีทั้งสองท่าน และท่านโหวบอกข้าว่าให้ตามหาจ้าวเคอหมอเทวดาประจำกายเซี่ยอวิ๋นหลาน มิได้บอกให้ตามหาผู้อื่น” ชุยอี้จือมองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


           “เท่าที่ข้าทราบมา วิชาเสาะวิญญาณพันลี้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอจำต้องใช้เส้นผมหรือผิวหนังบนร่างกายในการตามหาคนผู้นั้น ให้นกดมกลิ่นแล้วบินตามหา ข้าไม่มีส่วนผิวหนังบนร่างกายของเซี่ยอวิ๋นหลานกับจ้าวเคอ แต่ร่วมผูกผมเป็นสามีภรรยา รักกันอย่างไรข้อกังขา ที่ข้ามีเส้นผมของนางอยู่” ฉินเจิงหรี่ตาลง


 


 


           “ท่านพี่คิดว่าถ้าหานางพบก็จะเจอตัวจ้าวเคอหรือ” ชุยอี้จือกะพริบตาปริบ


 


 


           “ไม่มั่นใจว่าจะเจอตัวจ้าวเคอหรือไม่ แต่สมุนไพรดำม่วงน่าจะหาเจอได้เป็นแน่” ฉินเจิงพูดจบก็ยกเท้าถีบขาข้างหนึ่งของชุยอี้จือ โดยเล็งตรงข้างขาที่เขานั่งควบม้าอยู่ “อย่ามัวไร้สาระ ให้เจ้าหาก็รีบหา”


 


 


           “นี่เป็นวิธีขอร้องคนอื่นของท่านหรือ” ชุยอี้จือสูดปากด้วยความเจ็บ เอ่ยอย่างไม่พอใจ


 


 


           “เจ้าเข้าเมืองมาเพื่อแสวงหาลาภยศ วางแผนเพื่อตำแหน่งขุนนาง ทั้งหมดก็เพราะอยากให้ครอบครัวเจ้ากลายเป็นที่หนึ่งในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ทำให้ครอบครัวอื่นในตระกูลชุยแห่งชิงเหอทำได้เพียงแค่ไล่ตามหลังเท่านั้น หากเจ้าติดตามข้าไปทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้ารับรองว่าหลังกลับถึงเมืองแล้ว ตำแหน่งราชเลขากรมกลาโหมต้องเป็นของเจ้า” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ


 


 


           “ท่านพี่พูดจริงหรือ” ชุยอี้จือเลิกคิ้วสูงทันที


 


 


           “ข้าไม่เคยพูดเท็จ” ฉินเจิงตอบ


 


 


           “ข้าเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย ตำแหน่งแรกก็เป็นรองราชเลขากรมกลาโหมแล้ว เดิมทีขุนนางทั้งหมดค่อนข้างไม่พอใจ หากออกไปครั้งนี้กับท่าน หลังกลับมาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นราชเลขากรมกลาโหม เช่นนั้น…” ชุยอี้จือมองฉินเจิง


 


 


           “เช่นนั้นก็ทำได้แค่อิจฉาเจ้า สอพลอเจ้า ประจบเจ้า” ฉินเจิงสมทบ “เจ้าจะกลายเป็นราชเลขากรมกลาโหมที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่หนานฉินเคยมีมา ควบคุมดูแลขุนนางฝ่ายบู๊ทั้งหมด ทั้งการเลือกใช้คน การขึ้นทะเบียนทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ คำสั่งการทหาร และจุดเปลี่ยนม้าในการเดินทาง กี่ปีแล้วที่ตระกูลชุยแห่งชิงเหอทำได้เพียงถ่ายทอดหกคัมภีร์ของขงจื๊อ ไม่เชี่ยวชาญกลยุทธ์แผนการทหาร แต่เจ้าจะกลายเป็นผู้ริเริ่มเบิกทาง เช่นนั้นนับจากนี้สิทธิ์และปากเสียงของตระกูลชุยแห่งชิงเหอจะอยู่ในการควบคุมของเจ้า อนาคตขุนนางจะบันทึกชื่อเจ้าในบันทึกประวัติศาสตร์” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นเสียงกล่าว “แน่นอนว่าจะถูกจารึกชื่อในประวัติศาสตร์หรือทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ตลอดกาล ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นขุนนางแบบใด”


 


 


           “ท่านพี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว อ่านใจคนได้ปรุโปรง อ่านสถานการณ์ได้เฉียบขาด แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์” ชุยอี้จือแย้มยิ้ม “ท่านนำเสนอแต่ข้อดีจนข้ามิอาจปฏิเสธได้ ข้าติดตามท่านออกมา มีหรือจะปฏิเสธแม้ต้องตายเป็นหมื่นครั้ง”


 


 


           ฉินเจิงชำเลืองมองเขา ยอมรับโดยนัย


 


 


           “หาที่เงียบสงัดเบื้องหน้า แล้วนำของแทนใจในฐานะสามีภรรยาที่ท่านว่า ‘ผูกผมเป็นสามีภรรยา รักกันอย่างไรข้อกังขา’ มาให้ข้าแล้วกัน” ชุยอี้จือพูดจบก็เสริมขึ้นด้วยคำเตือน “แต่วิชาเสาะวิญญาณพันลี้เกรงว่าจะทำลายของรักของท่านไปด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องใช้กลิ่นเพื่อระบุตัวตน เส้นผมนั้นต้องทำลายก่อนแล้วตามหาทีหลัง ท่านอย่าได้เสียใจแล้วกัน”


 


 


           “หากตามตัวกลับมาไม่ได้ เก็บผมช่อหนึ่งไว้จะมีประโยชน์ใด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ


 


 


           “ถึงตามกลับมาได้ พวกท่านก็ไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว ไร้ซึ่งความเกี่ยวของกันอีก” ชุยอี้จือมองเขา จงใจพูดทำลายความมั่นใจ


 


 


           “ถ้าไม่ทำลายก็สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้” ฉินเจิงตีหน้านิ่งขรึม


 


 


           ชุยอี้จือกระแอมขึ้น “เช่นนั้นข้าจะรอดูว่าท่านพี่จะทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่อย่างไร” พูดจบ เขาก็ควบม้ามุ่งไปยังป่าผืนหนึ่งข้างหน้า


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด ขี่ม้าไล่ตามเขาไป


 


 


           ทั้งสองมาถึงป่าผืนหนึ่ง เมื่อหาสถานที่ลับตาคนได้แล้ว ฉินเจิงก็นำปอยผมเชื่อมใจให้ชุยอี้จือ


 


 


           ชุยอี้จือรับไป


 


 


           “เจ้าใช้สมาธิให้เต็มที่ ข้าจะดูต้นทางให้ ไม่ให้มีใครมารบกวนเจ้าได้” ฉินเจิงหันหลังให้แล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           ชุยอี้จือรับคำ รวบรวมสมาธิ แล้วเริ่มใช้วิชาเสาะวิญญาณพันลี้อันเป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดกันเฉพาะในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมาเขาก็เดินออกจากป่าด้วยเหงื่อท่วมตัว พร้อมประคองนกตัวหนึ่งกลางฝ่ามือแล้วกล่าวกับฉินเจิง “เราตามมันไป มันจะช่วยให้เราได้เจอกับคนที่ท่านอยากตามหา” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “แต่ว่าตั้งแต่ข้าเรียนวิชานี้มา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้มัน”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนพลิกกายขึ้นม้า


 


 


           ชุยอี้จือก็ขึ้นม้าเช่นกัน ซับเหงื่อลวกๆ ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือสูงขึ้นให้นกตัวนั้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


 


           ทั้งสองเห็นมันบินวนอยู่กลางท้องฟ้ารอบหนึ่ง พอมันบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งสองก็หนีบขาเข้ากับท้องม้า ไล่ตามนกตัวนั้นมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม