วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 768-774

ตอนที่ 768 การแข่งขันในครั้งนี้ตื่นเต...

 

ไม่นานวิดีโอดังกล่าวก็ได้รับยอดวิวจำนวนมาก ที่จริงมีแฟนคลับช่างสังเกตจำนวนหนึ่งสังเกตเห็นด้วยว่าการคลิกที่วิดีโอดังกล่าวจะเป็นการพาพวกเขาตรงไปยังเว็บไซต์ทางการของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’


 


 


คราวนี้เว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้แห้งแล้งโหรงเหรงอีกต่อไป เพราะตอนนี้จุดที่เคยเป็นภาพเครื่องหมายสงสัยที่ใช้แทนตัวนักแสดงนำชายได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาพของจวินอี้หลาน


 


 


ใช้แล้ว มันคือภาพของจวินอี้หลานจากในละคร


 


 


และบริเวณมุมบนขวาของภาพมีตัวอักษรจีนโบราณที่ถูกเขียนอย่างงดงามว่า จวินอี้หลาน แสดงโดย โม่ถิง


 


 


[ฉันจะเป็นบ้า! ฉันไม่เคยเห็นนักแสดงคนไหนที่ดูถอดมาจากที่นักเขียนระบุไว้มากขนาดนี้ โม่ถิงนี่แหละสมบูรณ์แบบ! ยิ่งตอนใส่ชุดเกราะเขายิงดูทรงพลังแต่ก็น่าสงสาร]


 


 


[แต่ปัญหาอยู่ที่โม่ถิงจะแสดงได้จริงเหรอ]


 


 


[ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะแสดงได้ไหม ต่อให้เขายืนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยฉันก็จะนั่งดูหมดทั้งแปดสิบตอนนั่นแหละ]


 


 


[เมื่อไหร่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะออนแอร์สักที ฉันอยากดูจวินอี้หลานแล้วนะ ฉันตื่นเต้นเป็นบ้าเลย!]


 


 


[ฉันไม่เคยรู้สึกใจจดใจจ่อกับละครมากขนาดนี้มาก่อนเลย ขอให้ไห่รุ่ยออกมาประกาศวันออนแอร์เร็วๆ ทีเถอะ ไม่งั้นขอคลิปสั้นๆ จากละครมาดูก็ยังดี…]


 


 


[ดีจังเลย ถังหนิงกับโม่ถิงนี่แหละที่เราต้องการให้เป็นชิงหลานกับจวินอี้หลาน เคมีตรงกันที่สุด!]


 


 



 


 


มีเสียงเชียร์มากมายจากผู้ชมโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ดูวิดีโอดังกล่าวจะต้องจมดิ่งไปกับช่วงเวลาสิบวินาทีนั้น


 


 


เมื่อเหล่าวัยรุ่นต่างพากันทุ่มเทไปกับการหาข้อมูลของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จำนวนคนที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์จึงลดลง ถึงกระนั้นไป๋อวี๋ยังคงมั่นใจเต็มร้อยกับละครของเธอเองก็ตาม


 


 


“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคลิปสั้นๆ แค่นั้นจะสร้างผลกระทบอะไรได้”


 


 


แน่นอนว่าคลิปสั้นๆ เพียงคลิปเดียวไม่อาจทำอะไรได้มากนัก แต่ในวันต่อมา เรตติ้งผู้ชมของ ‘ชายาหนิง’ ยังคงสร้างความประหลาดใจในวงการบันเทิง


 


 


ในระหว่างการเปิดตัว เรตติ้งได้พุ่งขึ้นไปถึงสอง แต่หลังจากเวลาเพียงสองวัน กลับตกมาอยู่ที่หนึ่งจุดสี่ ทั้งหมดเป็นเพราะการปล่อยวิดีโอธรรมดาๆ ของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ช่วงเวลาเพียงสิบวินาทีก็แทบจะทำให้เรตติ้งของ ‘ชายาหนิง’ ลดหายไปเกือบครึ่ง


 


 


เช่นเดียวกับเรื่องที่โม่ถิงแสดงเป็นจวินอี้หลานที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับทั้งวงการ


 


 


เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าโม่ถิงจะสามารถแสดงละครได้


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญมากมายต่างพากันสงสัยว่าโม่ถิงมีฝีมือในการแสดงจริงหรือ


 


 


แต่เมื่อก่อนถังหนิงเองยังเปลี่ยนตัวเองจากนางแบบมาเป็นนักแสดงได้เลยไม่ใช่หรือ


 


 


นอกจากนั้นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุดคือปฏิกิริยาที่มีต่อการที่โม่ถิงแสดงเป็นจวินอี้หลานนั้นถือว่าใหญ่โตมาก วันนั้นทั้งวันคำว่า ‘โม่ถิง จวินอี้หลาน’ กลายเป็นคำที่ถูกค้นหามากที่สุด จะมีใครคิดว่าจำนวนคนที่ให้ความสนใจเรื่องนี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้


 


 


โม่ถิงฉวยโอกาสนี้ไว้ ด้วยการจงใจใช้เวลาตอนสองทุ่มในระหว่างที่ ‘ชายาหนิง’ กำลังฉายเป็นเวลาในการปล่อยตัวอย่างล่าสุดของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ และคราวนี้วิดีโอดังกล่าวมีความยาวถึงสามนาที!


 


 


ด้วยการปล่อยตัวอย่างยาวสามนาทีออกมา ทำให้บรรดาแฟนๆ บ้าคลั่งอีกครั้ง เนื่องจาก…


 


 


…จวินอี้หลานที่แสดงโดยโม่ถิงนั้นหล่อเหลาจนแม้แต่สวรรค์ยังต้องยอมรับ!


 


 


ทุกคนเลือกที่จะดูตัวอย่างดังกล่าวเพราะความหล่อเหลาของโม่ถิง แต่หลังจากดูวิดีโอจนจบครบสามนาที ทุกคนต่างต้องยอมรับในการแสดงของละครดังกล่าว โดยเฉพาะความสมจริงและมีชีวิตชีวาของถังหนิง เช่นเดียวกับโม่ถิงที่มีความสามารถเหนือความคาดหมายของทุกคน เขาดูราวกับนักแสดงมากประสบการณ์ผู้เคยผ่านฉากทุกแบบมาแล้ว


 


 


[เฮ้อ แบบนี้ไม่สนุกเลย ฉันอยากดูของจริงแล้ว]


 


 


[แค่สามนาทีมันพอที่ไหนกัน ปล่อยของจริงออกมาได้แล้วน่าไห่รุ่ย!]


 


 


[ว้าว ตอนแรกฉันคิดว่าถังหนิงกับโม่ถิงเป็นคู่รักกันแล้วจะแสดงออกมาห่วยซะอีก ที่ไหนได้ พอเข้าถึงบทบาทแล้ว… ฉันหาความเป็นถังหนิงกับโม่ถิงไม่เจอเลย]


 


 


[ฉันไม่แคร์หรอก นี่แหละจวินอี้หลานที่ฉันต้องการ! ฟินสุดๆ ไปเลย!]


 


 


เพราะตัวอย่างยาวสามนาทีทำให้ผู้คนมากมายหมดความสนใจใน ‘ชายาหนิง’ นั่นเป็นเพราะมันเพิ่งออนแอร์ได้เพียงสองวันและผู้ชมยังไม่ทันได้สร้างความรู้สึกผูกพันอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ยังดัดแปลงมาจากนิยายสิทธิบัตรที่มีชื่อเสียงซึ่งมีกลุ่มแฟนคลับที่ผูกพันธ์และเหนียวแน่นอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อเสริมโม่ถิงเข้าไป ละครเรื่องนี้จึงสร้างกระแสได้มากทีเดียว


 


 


ส่งผลให้ภายในเวลาสี่วัน ยอดเรตติ้งผู้ชมของ ‘ชายาหนิง’ ลดลงเหลือเพียงหนึ่งจุดหนึ่ง หากยังอยู่ในระดับนี้ต่อไป มันอาจจะลดลงจนต่ำกว่าหนึ่งก็เป็นได้ ดังนั้นทีมงานของ ‘ชายาหนิง’ จึงเริ่มตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน


 


 


ขณะเดียวกัน ไป๋อวี๋โกรธจัดจนเขวี้ยงทุกอย่างที่คว้าได้ลงกับพื้น


 


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะกลับมาได้ด้วยวิธีแบบนี้


 


 


ความรุ่งโรจน์ของเธอ ผู้ชมของเธอ และโอกาสในการก้าวขึ้นเป็นราชินีของเธอ!


 


 


เธอสูญเสียมันไปทั้งหมดเพราะโม่ถิงกับถังหนิง


 


 


ดังนั้น ‘ชายาหนิง’ จึงตัดสินใจเป็นเจ้าภาพงานอีเวนต์อีกสองสามงานเพื่อกู้สถานการณ์ แต่การพยายามชนะใจคนดูที่เสียไปแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


เมื่อไป๋อวี๋มองดูยอดผู้ติดตามของถังหนิงกับโม่ถิงที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ชม ‘ชายาหนิง’ กลับลดต่ำลง ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกู้คืนสถานการณ์กลับมา เดิมทีเธอคิดว่าเธอจะสามารถกลับมาหายใจได้หลังจากที่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ สิ้นสุดการโปรโมตรอบแรก แต่สิ่งที่ทำให้เธอย่อยยับยิ่งกว่าเดิมคือการประกาศว่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะออนแอร์บนช่องของฝ่ายตรงข้ามแถมยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย


 


 


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ช่องซึ่งนำ ‘ชายาหนิง’ ขึ้นฉายได้เห็นความนิยมของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ พุ่งสูงทะลุเพดาน พวกเขาแอบติดต่อโม่ถิงอย่างลับๆ ณ เวลานั้น โม่ถิงพูดกับคนพวกนั้นอย่างง่ายๆ “ถ้าพวกคุณยินดีจะปลด ‘ชายาหนิง’ ออกจากช่องของคุณ ผมก็ยินดีที่จะให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ไปฉาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน”


 


 


แต่แน่นอนว่าช่องดังกล่าวไม่สามารถปลด ‘ชายาหนิง’ ออกโดยไม่มีเหตุผลได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพลาดสิทธิ์ในการฉาย ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ไปด้วยความจำใจ


 


 


พวกเขาต้องไม่เคยนึกมาก่อนแน่ว่าการร่วมงานกับ ‘ชายาหนิง’ จะมีค่าเทียบเท่ากับการต่อกรกับไห่รุ่ยและโม่ถิง…


 


 


ดังนั้นโม่ถิงจึงไปร่วมงานกับคู่แข่งเจ้าใหญ่ที่สุดของพวกเขาและเลือกที่จะออนแอร์ในเวลาเดียวกัน


 


 


การแข่งขันในครั้งนี้น่าตื่นเต้นพอแล้วจริงไหม


 


 


แม้ทุกคนจะคาดการณ์ไว้แล้วว่า ‘ชายาหนิง’ จะต้องเสียหายหนัก แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเรตติ้งของทั้งสองเรื่อง ทุกคนถึงกับไม่เชื่อสายตา


 


 


ศูนย์จุดห้าเก้า ต่อ สามจุดหนึ่ง


 


 


ยอดเรตติ้งผู้ชมของ ‘ชายาหนิง’ ย่ำแย่ยิ่งกว่ารายการข่าวตอนเช้าเสียอีก


 


 


‘ชายาหนิง’ เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปิดตัวดั่งราชา จบดั่งยาจก


 


 


แต่ในความเป็นจริงนั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าที่สถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้เป็นเพราะการโจมตีของโม่ถิง


 


 


มันเป็นเพราะเขาคือนักตัดสินใจผู้ชาญฉลาด


 


 


ดังนั้นวันแรกในการออนแอร์ของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ก่อให้เกิดความเห็นอย่างท่วมท้น


 


 


[ฮะๆๆ ฉันละมีความสุขจริงๆ ได้เห็นชิงเยียนกับจวินอี้หลานอยู่ด้วยกันกทำให้ฉันมีความสุขแล้ว]


 


 


[ตัวละครทั้งสองยังเด็กแถมยังใสซื่ออยู่เลย!]


 


 


[ถึงเราจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีเรื่องน่าเศร้ารอพวกเขาอยู่ แต่ฉันก็ยังอยากจะดูต่ออยู่ดี]


 


 


ผู้ชมนั้นเป็นสิ่งที่เลือดเย็น แม้พวกเขาจะดูภายนอกว่าจงรักภักดี แต่พวกเขากลับลืมไปเกือบหมดสิ้นแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ว่าจะสนับสนุนไป๋อวี๋ตอนที่ยังดู ‘ชายาหนิง’ อยู่ บัดนี้นอกจาก ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แล้ว พวกเขาไม่คิดจะดูละครเรื่องอื่นอีกเลย


 


 


ขณะเดียวกัน โม่ถิงใช้การพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมในการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าถ้าพวกเขาคิดจะหือกับไห่รุ่ย คนพวกนั้นมีแต่จะต้องพบจุดจบแบบไป๋อวี๋ โดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะดูถือไพ่เหนือกว่าสักแค่ไหนก็ตาม 

 

 


ตอนที่ 769 หัวหน้าสมาคมคนหลงเมีย

 

แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ทุกสองตอนแรกแล้ว ทุกคนต่างสงสัยในคำถามเดียวกันคือโม่ถิงรู้วิธีแสดงละครได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เคยเยื้องย่างเข้ามาในส่วนนี้ของวงการมาก่อน


 


 


เขาเหมือนผู้เชี่ยวชาญลับที่สามารถทำทุกอย่างที่คนธรรมดาไม่กล้าทำได้


 


 


บางคนถึงกับสับสน ในขณะที่บางคนกลับหาคำตอบได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากโม่ถิงเป็นอัจฉริยะ


 


 


‘หวงเฟยยอดสตรี’ กลายเป็นประเด็นหัวข้อสนทนาของคนทั่วทั้งปักกิ่งไปในฉับพลันและเป็นสิ่งที่ทุกคนพากันค้นหาข้อมูลรวมถึงเริ่มซื้อสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้


 


 


ในขณะที่ ‘ชายาหนิง’ ฉายจบโดยแทบไม่มีใครให้ความสนใจ นี่คือผลลัพธ์ของคนที่ถูกเรียกว่า ‘นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมระดับโลก’ …


 


 


เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นละครสักเรื่องหนึ่งถูกขยี้จนไม่เหลือชิ้นดีเช่นนี้ เดิมทีไป๋อวี๋อาจไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ แต่โชคร้ายที่เธอไปต่อกรกับโม่ถิงและพยายามหาเรื่องใส่ร้ายถังหนิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่โม่ถิงจะสร้างความลำบากนานัปการให้เธอ


 


 



 


 


แน่นอนว่าถึงแม้ละครของไป๋อวี๋จะล้มเหลวแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะถึงจุดจบ ถึงอย่างไรภาพลักษณ์แม่พระของเธอก็ยังอยู่ ตราบใดที่เธอยังคงรักษาภาพลักษณ์นี้เอาไว้ได้ เธอจะยังคงมีโอกาสให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง


 


 


“พี่อวี๋คะ งานดีๆ ทั้งหมดในช่วงนี้ถูกคนดังคนอื่นคว้าไปหมดแล้วค่ะ ดูเหมือนว่าถ้าต้องเลือกคนดังในระดับค่าตัวเดียวกัน พวกคนจัดงานจะไม่เอาเราไว้พิจารณาอีกแล้ว… เราควร…”


 


 


“เธอคิดจะให้ฉันลดค่าตัวลงหรือไง ถ้าฉันทำแบบนั้นฉันยังคงเป็นไป๋อวี๋ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมระดับโลกอยู่งั้นเหรอ” ไป๋อวี๋ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว


 


 


“ถ้างั้น… ลองดูงานนี้นะคะ” ผู้ช่วยคนนั้นยืนข้อมูลให้ไป๋อวี๋ด้วยความหวาดวิตก พวกเธอมาถึงจุดนี้แล้วแท้ๆ แต่ไป๋อวี๋ก็ยังคงวางมาด ละครของเธอล้มเหลวอย่างเกินความคาดหมายและกลายเป็นเพียงเรื่องน่าขบขัน เธอยังทำตัวมั่นใจแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน


 


 


ไป๋อวี๋รับข้อมูลจากมือของผู้ช่วยเธอและจ้องมองอีกฝ่ายขณะที่เธอขว้างมันลงกับพื้น “เธอคิดจะให้ฉันไปออกรายการเรียลลิตี้เหมือนพวกเด็กใหม่งั้นเหรอ”


 


 


“ขอโทษค่ะพี่อวี๋ ฉันจะรีบเอาออกไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ”


 


 


ขณะที่เธอมองดูผู้ช่วยก้มลงเก็บเอกสารจากพื้น เธอรีบห้ามอีกฝ่าย “เดี๋ยวก่อน มันอาจจะน่าลองดูก็ได้”


 


 


การขายอีคิวของตัวเองเป็นความสามารถพิเศษของเธอ!


 


 


ผู้ช่วยยื่นเอกสารพวกนั้นให้เธออีกครั้ง หลังจากไป๋อวี๋อ่านข้อมูลทั้งหมด เธอยินยอมที่จะร่วมรายการเรียลลิตี้ที่มีชื่อว่า ‘วันเดย์วันไนต์’ ทุกวันนี้รายการเรียลลิตี้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อลิขสิทธิ์มาจากประเทศเกาหลีใต้ทั้งสิ้น มีไม่กี่รายการเท่านั้นที่ถูกคิดขึ้นใหม่ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการสร้างความนิยม


 


 


เพราะถึงอย่างไร คนที่มีอีคิวสูงมักจะได้รับความนิยมเสมอ


 


 


แต่ไป๋อวี๋ต้องประหลาดใจ… เมื่อรู้ว่าหวงฝู่ซั่วก็มาร่วมรายการนี้ด้วยเช่นกัน ที่จริงเธอจะปรากฏตัวในตอนเดียวกับเธอด้วย


 


 


หวงฝู่ซั่วไม่เคยออกรายการวาไรตี้มาก่อนไม่ใช่เหรอ


 


 


“พี่อวี๋ ทำไมเราไม่หาข้ออ้างที่จะไม่ร่วมรายการล่ะคะ”


 


 


ไป๋อวี๋จ้องหน้าผู้ช่วยของเธอหลังได้ยินคำเสนอแนะ ตอนนี้อาชีพของเธอกำลังตกอับ หากเธอปฏิเสธงานนี้แบบส่งๆ แล้วจะมีรายการวาไรตี้ไหนมาเชิญเธอไปร่วมงานด้วยอีก


 


 


“ฉันจะไป”


 


 


แต่เธอต้องการรู้ว่าทำไมหวงฝู่ซั่วถึงตัดสินใจทำแบบนี้


 


 


ดังนั้นก่อนที่รายการจะเริ่มถ่ายทำ ไป๋อวี๋ไปหาหวงฝู่ซั่วเป็นการส่วนตัว “คุณไปออกรายการนี้เพราะฉันใช่ไหม”


 


 


หวงฝู่ซั่วยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าโดยไม่เชิญไป๋อวี๋เข้าไปด้านในพลางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเป็นเชิงสั่งสอน “คุณไป๋ครับ คุณไม่คิดว่าคุณมองตัวเองสูงไปหน่อยงั้นเหรอ ผมเป็นแค่นักแสดงเกรดบีคนหนึ่ง การไปร่วมรายการแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม แล้วคุณล่ะ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมระดับโลกกลับมาลดค่าตัวเองแบบนี้ คุณไม่คิดว่าความแตกต่างระหว่างคุณกับถังหนิงมันเริ่มมากขึ้นทุกทีแล้วเหรอ”


 


 


ไป๋อวี๋ได้แต่ยืนเงียบ…


 


 


เพราะทุกถ้อยคำของหวงฝู่ซั่วทิ่มเทงจุดอ่อนของเธออย่างเจ็บปวด


 


 


“โธ่อาซั่ว อย่าเข้าข้างถังหนิงได้ไหม”


 


 


“ผมไม่ได้อยู่ข้างใครทั้งนั้น” หวงฝู่ซั่วกอดอก “ผมจะรอดูการโต้กลับของคุณ อย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะคุณไป๋”


 


 


“คุณคงมีความสุขสินะที่ได้เห็นฉันดิ่งลงเหวแบบนี้”


 


 


“แล้วทำไมผมจะไม่มีความสุขล่ะ” หวงฝู่ซั่วตอบ “โทษทีนะคุณไป๋ ผมคิดว่าเราน่าจะไปเจอกันในรายการดีกว่า ผมกลัวว่าถ้านักข่าวเกิดถ่ายรูปเราสองคนได้ ผมจะไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้ เพราะถึงยังไงความนิยมของผมกำลังพุ่งขึ้นเพราะ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ด้วยสิ”


 


 


ไป๋อวี๋กลั้นน้ำตาขณะหันหลังกลับออกมา แต่ถึงเป็นเช่นนั้นหวงฝู่ซั่วก็ไม่รู้สึกเมตตาสงสารอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้จักอีกฝ่ายดีเกินไป เธอไม่เคยมีความจริงใจให้ใครทั้งนนั้น เพราะความสามารถพิเศษของผู้หญิงคนนี้คือการหลอกตัวเอง


 


 


ดังนั้น… ทั้งสองจะไปร่วมรายการด้วยกัน…


 


 


หวงฝู่ซั่วยิ้มเยาะ เป็นความจริงเรื่องที่เขาจะไปร่วมรายการนี้เพราะไป๋อวี๋ เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะฉีกหน้ากากของไป๋อวี๋ออกก่อนที่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะลงมือทำอะไร และเวลานั้นได้มาถึงแล้ว


 


 


ถึงเวลาดูอะไรดีๆ แล้ว!


 


 



 


 


“ฉันได้ยินมาว่าไป๋อวี๋จะไปออกรายการวาไรตี้” ถังหนิงพูดกับโม่ถิงขณะที่เธอกำลังให้นมกั่วกั่วหลังมื้อค่ำ “ทำไมถึงทำอะไรที่ลดค่าตัวเองแบบนั้นด้วย”


 


 


“เหตุผลเดียวที่ทำให้เธออยู่รอดในวงการมาได้จนถึงทุกวันนี้คือเล่ห์เหลี่ยมเห็นแก่ตัวต่างๆ คุณไปคาดหวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีความฉลาดในการตัดสินใจอะไรด้วยงั้นเหรอครับ” โม่ถิงถาม “ไม่ว่าทางไหนก็ต้องมีการเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว…”


 


 


โม่ถิงไม่พูดต่อ แต่ถังหนิงเข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย


 


 


ไม่ว่ามันจะเป็นการแก้แค้นของหวงฝู่ซั่วหรือเรื่องที่ไป๋หลินหลินกับสามีของไป๋อวี๋คบชู้กัน ทั้งสองเรื่องล้วนกำลังจะฉีกไป๋อวี๋เป็นชิ้นๆ


 


 


ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรต่ออีก พวกเขาเพียงแค่ทุ่มเทพลังทั้งหมดให้ลูกทั้งสอง ขณะที่เธอมองดูลุดชายที่น่ารักทั้งสองคนของเธอ ถังหนิงหยิกแก้มของถังถังเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ส่วนกั่วกั่วนั้นมักจะขี้แย เธอจึงไม่อาจแกล้งหยอกเขาได้


 


 


แต่สิ่งที่น่าขันที่สุดคือขณะที่ถังถังกำลังอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ เขากลับฉี่รดจนเปียกไปทั่วกางเกงของปะป๊าถิง


 


 


“อา อา บา…” ตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองมีอายุได้เจ็ดเดือนแล้ว พวกเขาเริ่มเปล่งเสียงเป็นคำพูดและถังถังจะพูดเก่งเป็นพิเศษถ้าเขาอารมณ์ดี หลังจากวาดแผนที่ลงบนร่างกายของพ่อด้วยฉี่ของตัวเองแล้ว ถังถังมีความสุขมากจนตะโกนออกมาเสียงดัง


 


 


ถังหนิงได้แต่หัวเราะเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว


 


 


“รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ…”


 


 


โม่ถิงบรรจงจูบลงบนหัวของลูกชายก่อนจะวางเขาลงในคอกกั้นสำหรับเด็ก ที่จริงโม่ถิงรู้สึกสนุกเมื่อเด็กแสบทั้งสองทำอะไรซุกซนเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา ในฐานะพ่อคน ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว


 


 


วันต่อมา โม่ถิงเดินทางไปทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าออกจากรถ เขาพลันถูกห้อมล้อมด้วยบรรดานักข่าวมากมาย ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนทีมรักษาความปลอดภับที่ดูแลลานจอดรถชั้นใต้ดินเสียแล้ว


 


 


“ประธานโม่คะ คุณวางแผนจะทำอาชีพนักแสดงต่อไปไหมคะ”


 


 


“ประธานโม่ครับ คุณจะเปลี่ยนเป้าหมายในการทำงานไหมครับ”


 


 


“ประธานโม่คะ ต่อจาก ‘หวงเฟยยอดสตรี’ คุณจะมีโปรเจกต์อื่นอีกไหมคะ”


 


 


“ประธานโม่คะ ทุกคนต่างสงสัยในการแสดงของคุณ ช่วยบอกเราเกี่ยวกับการฝึกซ่อมของคุณหน่อยได้ไหมคะ”


 


 


“ผมไม่คิดว่ามันมีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องบอกรายละเอียดในเนื้องานของผม ถึงอย่างนั้นผมคงต้องพูดว่าสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือการได้อยู่บ้านและเป็นพ่อคน…” โม่ถิงจัดการปิดปากนักข่าวทุกคนโดยไม่ต้องใช้แรงอะไรเลย


 


 


ส่งผลให้เกิดข่าวลือใหม่ขึ้นในกระแสว่าโม่ถิงร่วมแสดงใน ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เพราะถังหนิง…


 


 


เพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘หัวหน้าสมาคมคนหลงเมีย’ 

 

 


ตอนที่ 770 คุณสนใจจะแฉผู้หญิงคนนั้นไหม

 

สำหรับโม่ถิงแล้วการร่วมงานใน ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการไปซื้อผักในตลาด มันไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดและไม่ต้องคิดอะไรมากนัก มันเป็นแค่สิ่งที่เขาสามารถทำได้เท่านั้นเอง


 


 


ในช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติที่โม่ถิงจะทำตัวติดดิน แต่แม้แต่ถังหนิงเองก็ยังทำตัวติดดินไปด้วย


 


 


เนื่องจากละครเรื่องนี้ผลิตโดยเอเจนซี่ของเขาเอง นอกจากการโปรโมตที่จำเป็นแล้ว โม่ถิงไม่ได้จัดงานอีเวนต์อะไรอีก เพราะถึงอย่างไรยอดเรตติ้งผู้ชมก็อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วและถังหนิงก็ได้เติมเต็มความรับผิดชอบของเธอในฐานะนักแสดงแล้ว ตอนนี้โม่ถิงมีเพียงเส้นทางเดียวให้ถังหนิงนั่นคือการถ่ายละครเมื่อมีเรื่องให้ถ่ายและทำตัวง่ายๆ เมื่อไม่มีอะไรให้ถ่าย


 


 


ดูเหมือนเขาจะต้องการบอกกับทุกคนว่ามีเพียงบทดีๆ เท่านั้นที่จะสามารถรักษาถังหนิงไว้ในวงการนี้ได้และเธออยู่เพื่อการแสดง นี่ยิ่งยืนยันสถานะของถังหนิงในฐานะนักแสดงระดับท๊อปซึ่งจะแสดงให้กับทีมงานที่ดีเท่านั้น


 


 


ในเวลาเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ไป๋อวี๋กำลังคิดอยู่คือการจะกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งได้อย่างไร


 


 



 


 


รายการวันเดย์วันไนต์เป็นรายการเรียลลิตี้ที่แขกรับเชิญห้าคนถูกพาไปอยู่บนเกาะร้างและต้องทำภารกิจต่างๆ เพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาจะได้รับรหัสเพื่อใช้ขอความช่วยเหลือ แต่มีเวลาเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงในการไขปริศนาให้ได้ หากแขกรับเชิญหาคำใบ้ทั้งหมดที่ซ่อนอยู่บนเกาะได้หมด พวกเขาจะได้รับกุญแจเพื่อใช้กับรถยนต์ในการหนีและภารกิจของพวกเขาจะถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำได้ ก็จะต้องพบกับภารกิจอย่างหนึ่ง


 


 


รายการนี้มักจะมียอดเรตติ้งผู้ชมในปักกิ่งสูงอยู่เสมอ


 


 


ส่วนเกาะที่พวกเขาไปก็เปลี่ยนไปทุกครั้ง ผู้ชมจะได้เห็นทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์อันหลากหลาย แต่ที่เหนือกว่านั้นคือพวกเขาจะได้เห็นสิ่งตื่นเต้นเร้าใจที่แตกต่างออกไป


 


 


ไม่นานก็ถึงเวลาถ่ายทำรายการดังกล่าว นอกจากไป๋อวี๋กับหวงฝู่ซั่วแล้ว ยังมีนักร้องอาวุโสและคู่รักหนุ่มสาวอีกสองคนที่เขาเล็งไว้


 


 


พวกเขาไม่ได้มาจากวงการบันเทิงทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น คู่รักหนุ่มสาวทั้งสองคนเป็นนักเดินทางที่มีชื่อเสียงซึ่งออกเดินไปทางไปยังหลายประเทศและมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตรอดมาอย่างโชกโชน


 


 


ทั้งห้าคนถูกพาไปยังเกาะที่ไม่มีใครรู้จักพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่เทอะทะของพวกเขา


 


 


คู่รักหนุ่มสาวคุ้นเคยกับเรื่องนี้และไม่รู้สึกลำบากอะไร แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังอดไม่ได้ที่จะช่วยถือกระเป๋าให้ภรรยา ส่วนหวงฝู่ซั่วนั้นเลือกที่จะเสนอความช่วยเหลือให้กับนักร้องอาวุโส โดยปล่อยให้ไป๋อวี๋ต้องช่วยเหลือตัวเอง


 


 


แต่ในบรรดาคนทั้งหมดมีเพียงหวงฝู่ซั่วเท่านั้นที่รู้ว่าไป๋อวี๋เป็นพวกจอมปลอม


 


 


ดังนั้นเพื่อลดภาระของตัวเอง เขารู้ดีว่าไป๋อวี๋จะต้องแสดงละคร


 


 


เป็นไปตามคาด เพราะไม่นานหลังจากที่ทั้งหมดเดินทางมาถึงยังเกาะร้างและทุกคนกำลังพักผ่อนอยู่นั้น ไป๋อวี๋แสดงท่าทีออกมาว่าเธอไม่รู้สึกเหนื่อยและเสนอตัวที่จะออกไปสำรวจสถานที่ให้ทุกคน


 


 


ไม่มีใครขอให้เธอทำเรื่องเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูดังออกมาจากในป่า ทุกคนมองไปยังต้นเสียงนั้นและพบไป๋อวี๋กำลังนั่งกุมข้อเท้าตัวเองอยู่กับพื้น…


 


 


“ขอโทษนะคะ ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทุกคน พวกคุณทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วไปต่อโดยไม่มีฉันก็ได้”


 


 


นักร้องอาวุโสหันไปพูดกับหวงฝู่ซั่วทันที “อุ้มเธอสิ”


 


 


หวงฝู่ซั่วส่ายหน้า “ผมมีหน้าที่ดูแลคุณ ดูสิคุณเองก็สุขภาพไม่แข็งแรง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านะ”


 


 


หลังจากชายอีกคนได้ยินสิ่งที่หวงฝู่ซั่วพูด เขาก็รีบพยักหน้าตามทันที “เขาพูดถูก ทำไมคุณไม่ได้ให้ผมอุ้มคุณแทนล่ะ…”


 


 


“เอาอย่างนี้ไหม ก่อนที่ฟ้าจะมืด เราควรทำความคุ้นเคยกับทุกอย่างบนเกาะนี้ งั้นทำไมเราไม่ปล่อยให้ไป๋อวี๋พักอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วเรามาสำรวจเกาะนี้กัน แล้วเรานัดเวลากันแล้วค่อยกลับมารับเธอ แบบนี้เราจะได้ไม่ต้องเสียทั้งแรงและเวลาด้วย” หวงฝู่ซั่วเสนอ


 


 


“ฉันก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีที่สุดนะ” หญิงสาวรีบพูดขึ้น


 


 


“ไป๋อวี๋ ถ้าเราให้คุณพักอยู่ที่นี่ คุณก็ไม่กลัวหรอกจริงไหม” หวงฝู่ซั่วถาม


 


 


เขารู้ดีว่าจากนิสัยของไป๋อวี๋แล้ว เธอจะไม่มีวันสร้างฉากต่อหน้าทุกคน ดังนั้นเธอจึงทำเพียงแค่แสดงละครว่าเธอเข้าใจทุกอย่างดีและพูดกับทุกคน “ตกลงค่ะ ฉันจะรอทุกคนอยู่ที่นี่ ใครบอกให้ฉันทำตัวเด๋อด๋ากันนะ”


 


 


“เยี่ยม งั้นรีบไปกันเถอะ…”


 


 


หลังพูดคุยกับเสร็จ กลุ่มของคนสี่คนก็มุ่งหน้าออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง


 


 


ขณะเดียวกัน ไป๋อวี๋ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่เธอไม่อาจทำอะไรได้


 


 


หลังเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว หญิงสาวที่แต่งงานแล้วรีบเดินไปหาหวงฝู่ซั่วและซักไซ้ “คุณไม่ชอบไป๋อวี๋งั้นเหรอ ฉันสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนั้นแสดงละครเก่ง ฉันไม่เข้าใจว่า ‘นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมระดับโลก’ อย่างเธอมาทำอะไรที่นี่ ฉันทนผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แต่ก็ยังมาพยายาททำให้สามีของฉันไปอุ้มตัวเองอีก ฉันพนันได้เลยว่ายัยนั่นต้องไม่อยากเดินแน่ ถึงได้จงใจทำให้ตัวเองบาดเจ็บแบบนั้น”


 


 


สัญชาตญาณของผู้หญิงนี่แม่นยำเสียจริง


 


 


หวงฝู่ซั่วยิ้มเป็นเชิงยอมรับในสิ่งที่หญิงสาวคาดเดา


 


 


“งั้นก็จริงสินะ ชั่วจริงๆ ฉันละเกลียดคนจอมปลอมแบบนี้ที่สุด”


 


 


“ถ้างั้นคุณสนใจจะแฉผู้หญิงคนนั้นไหมล่ะ”


 


 


หญิงสาวไม่พูดอะไรแต่ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันและกัน


 


 


สิ่งที่ดีสำหรับรายการนี้คือหลังเวลาผ่านไปสิบสองชั่วโมง แขกรับเชิญจะมีสิทธิ์ลบใครก็ได้ที่เป็นภาระออกไปจากรายการ


 


 


แน่นอนว่าจนถึงจุดนี้ ไม่เคยมีทีมไหนยอมสละเพื่อนร่วมทีมของตัวเองมาก่อน พวกเขาเลือกที่จะรับคำท้า แต่ในครั้งนี้ทุกอย่างจะแตกต่างออกไป


 


 


ก่อนจะมาร่วมรายการ ไป๋อวี๋ตั้งใจดูตอนเก่าๆ ของรายการหลายตอนและรู้ดีว่าไม่เคยมีทีมไหนทอดทิ้งเพื่อนร่วมทีมมาก่อน นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เธอยอมมาร่วมรายการ


 


 


แต่ในครั้งนี้ เธอคิดผิด…


 


 


ตอนแรกไป๋อวี๋ไม่รู้สึกกลัวเพราะเธอกำลังโกรธ แต่เมื่อความมืดมาเยือนและการมองเห็นแย่ลง เธอจึงรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลซึมบนฝ่ามือของตัวเอง เธอไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนร่วมทีมของเธอจะทิ้งเธอไว้ที่นี่หลายชั่วโมงโดยไม่มีใครกลับมาดูเธอเลย


 


 


แน่นอนว่าหวงฝู่ซั่วและคนอื่นๆ ไม่ได้เดินไปไกลนัก ดังนั้นก่อนที่ไป๋อวี๋จะเสียสติ พวกเขาก็กลับมาพาเธอไปยังแคมป์ที่พวกเขาสร้างขึ้น จากนั้นพวกเขาเริ่มศึกษาคำใบ้ที่พวกเขาพบระหว่างที่ไป๋อวี๋ไม่อยู่


 


 


แม้ไป๋อวี๋จะมีตัวตนแจ่เธอไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นๆ กำลังพูดและรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนนอก


 


 


“นี่ฉันไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม ฉันมีแต่สร้างปัญหาสินะ”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก” หญิงสาวยิ้มและตอบ “คุณไม่เคยมีประสบการณ์แนวนี้ พวกเราเข้าใจได้”


 


 


“แต่เท้าฉัน…”


 


 


“พรุ่งนี้คุณจะพักต่อก็ได้ ปล่อยให้พวกเราหาคำใบ้เอง แบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองเป็นภาระ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าไป๋อวี๋ดูโล่งใจขึ้น ในเมื่อวันนี้ช่วงเวลาในการออกอากาศของเธอน้อย เธอจะไม่ปล่อยโอกาสไปอีก


 


 


ดูจากภายนอกเหมือนไป๋อวี๋จะไม่โต้ตอบอะไร แต่เมื่อตกดึก เธอก็เริ่มแสดงละครเรียกร้องความสงสาร ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ เธอแสร้งทำเป็นออกมาฝึกเดินอยู่ด้านนอกราวกับเธอต้องการทำมีประโยชน์และสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้


 


 


ผู้หญิงคนนี้ช่างจอมปลอมเสียจริง…


 


 


“บ้าจริง ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้นะ!” หญิงสาวทำได้เพียงพูดกับสามีของเธอ “ฉันยอมให้คะแนนเต็มเลยที่สามารถแสดงละครจนถึงขนาดนี้ได้”


 


 


“ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่อยากนอนก็ปล่อยไปเถอะ กล้าดียังไงมาทำให้คนอื่นไม่ได้นอนไปด้วย พวกโปรดิวเซอร์คิดยังไงถึงได้เชิญคนประหลาดแบบนี้นะ!”


 


 


แขกรับเชิญคนอื่นต่างพากันตำหนิเพราะไป๋อวี๋ส่งเสียงดังให้กำลังตัวเองอยู่นอกเต็นท์…


 


 


ใช่แล้ว เธอกำลังพูดให้กำลังใจตัวเอง!


 


 


เธอคิดว่าเธอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด… 

 

 


ตอนที่ 771 ไป๋อวี๋ถูกกำจัด!

 

ไป๋อวี๋คิดว่าจะมีใครสักคนออกมาปลอบโยนเธอสักประโยคสองประโยคก็ยังดี แต่ทั้งสี่คนที่เหลือต่างเห็นคิดแบบเดียวกัน เพราะพวกเขาทำเพียงแค่ปิดหูแล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น พวกเขาทำเหมือนไป๋อวี๋เป็นคนเสียสติคนหนึ่งและไม่คิดจะให้ความสนใจอะไรผู้หญิงคนนี้


 


 


ดังนั้นการแสดงละครของไป๋อวี๋จึงสูญเปล่า แต่กระนั้นในเช้าวันต่อมา ไป๋อวี๋ตื่นแต่เข้าก่อนทุกคนเพื่อมาเตรียมอาหารเช้า


 


 


ถูกต้อง เธอใช้วัตถุดิบอันมีค่าของทุกคนมาเตรียมอาหารมื้อเช้าสุดหรูหราอย่างฟุ่มเฟือย


 


 


หลังหวงฝู่ซั่วได้เช่นนั้น ก็เพียงแต่ยิ้มอย่างหยามเหยียดและไม่พูดอะไร นักร้องอาวุโสตื่นขึ้นหลังจากนั้น สิ่งแรกที่เขาทำคือการพาสัตว์เลี้ยงที่เขาพามาด้วยออกไปเดินเล่นใกล้ๆ


 


 


หลังจากนั้นคู่รักหนุ่มสาวตื่นขึ้นและไปอาบน้ำล้างตัวอย่างเร็วๆ


 


 


ทันทีที่พวกเขาเห็นอาหารเช้าที่ไป๋อวี๋เตรียมไว้ พวกเขาก็เพียงแค่มองหน้ากันและกัน แม้ทุกคนจะไม่พูดอะไร ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่…


 


 


“ทุกคนตื่นแล้วสินะคะ เยี่ยมเลย! ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว” ไป๋อวี๋กล่าวพลางส่งยิ้มให้ทุกคน “รีบมากินเถอะ หลังจากกินเสร็จแล้วเราจะได้เดินทางกันต่อ”


 


 


ไป๋อวี๋รอรับคำชมจากทุกคน แต่ไม่มีใครคิดจะทำเช่นนั้น หญิงสาวถึงกลับไปนั่งข้างไป๋อวี๋และเอ่ยถาม “เอาละเรามีอาหารเช้า ว่าแต่อาหารกลางวันล่ะ คุณใช้วัตถุดิของเราไปหมดแล้ว”


 


 


ไป๋อวี๋ตัวแข็งทื่อและชี้ไปที่ช่างกล้องคนหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าจะมีคนมาเติมวัตถุดิบให้เราหรอกเหรอ”


 


 


“คุณไป๋ครับ ก่อนที่คุณจะมาออกรายการนี้ คุณได้อ่านกติกาดีหรือเปล่า ใครบอกคุณว่าคุณจะมีตัวช่วยจากโลกภายนอกในขณะที่คุณกำลังเอาตัวรอดในป่างั้นเหรอ”


 


 


ไป๋อวี๋พูดอะไรไม่ออกขณะที่ดวงตาของเธอเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ “ฉันเห็นทุกคนทุ่มเทกันมาก ฉันเลยพยายามให้รางวัลกับทุกคน ฉันถึงขนาดตื่นแต่เช้า…”


 


 


“งั้นคุณก็ทุ่มเทมากสินะ คุณอยู่กินอาหารเช้าไปแล้วกัน พวกเราจำเป็นต้องรีบมุ่งหน้าไปแล้ว ในเมื่อเท้าของคุณได้รับบาดเจ็บ คุณก็อยู่ในที่ปลอดภัยตรงนี้แล้วเราจะกลับมาหาคุณทีหลัง”


 


 


“เท้าของฉันหายดีแล้ว” ไป๋อวี๋รีบลุกขึ้นยืนหลังได้ยินว่าเพื่อนร่วมทีมต้องการจะทิ้งเธอไว้ข้างหลังอีกครั้ง จากนั้นเธอจึงเดินสองสามก้าวเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่เป็นไร


 


 


“แจ๋ว ในเมื่อเป็นแบบนั้น พวกเราก็รองท้องสักหน่อยแล้วรีบออกไปหาคำใบ้เพิ่มกันเถอะ” ชายหนุ่มทำราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นขณะย้ำเตือนให้ทุกคนไม่ลืมที่จะเติมพลังงานให้ร่างกาย


 


 


สุดท้ายไป๋อวี๋ก็ได้ในสิ่งที่เธอต้องการและได้รับอนุญาตให้เดินทางมุ่งหน้าไปพร้อมกับทีม แต่กระนั้นเธอก็ยังจำเป็นต้องแบกสัมภาระของตัวเอง


 


 


ในความเป็นจริงแล้วเมื่อไม่มีอาหารและเต็นท์ น้ำหนักที่ทุกคนต้องแบกก็ลดน้อยลงไปมาก แต่ไป๋อวี๋ยังคงเหนื่อยง่ายและจำเป็นต้องพักอยู่เป็นระยะ


 


 


คนอื่นๆ พากันออกไปหาคำใบ้ แต่ไป๋อวี๋กลับวิ่งวนไปมาราวกับไก่ไม่มีหัว ขณะที่เธอเดินตามหลังเพื่อนร่วมทีม เธอรู้สึกว่าการมีตัวตนของเธอหมดความจำเป็นไปอย่างง่ายดาย


 


 


“ในที่สุดเราก็เจอคำใบ้แรกแล้ว เรายังต้องหาอีกสาม ถ้าเราหามันไม่เจอก่อนมืด เราก็จะแพ้”


 


 


“แต่ฉันหิวแล้ว แล้วในกระเป๋าของพวกเราก็ไม่มีอาหารเหลือ ทุกอย่างถูกเอาไปทำเป็นอาหารเช้าหมดแล้ว” หญิงสาวกล่าวพลางชำเลืองตามองไปยังไป๋อวี๋


 


 


“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ” ไป๋อวี๋รีบขอโทษทันที


 


 


“ช่างมันเถอะ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้เวลาที่ต้องพยายามเอาตัวรอดในป่า เราโทษไป๋อวี๋ไม่ได้หรอก เราต้องเดินหน้าต่อไป” ชายหนุ่มรีบออกมาแก้สถานการณ์อย่างรวดเร็ว


 


 


“แต่เราต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาคำใบ้…” พูดง่ายๆ คือหญิงสาวไม่ต้องการพาไป๋อวี๋ไปกับพวกเขาด้วย การพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วยนั้นแย่ยิ่งกว่าการพานักร้องอาวุโสไปด้วยเสียอีก แม้นักร้องอาวุโสจะไม่ได้มีแรงเฉกเช่นคนหนุ่มสาว อย่างน้อยเขาก็ฉลาดและมีประโยชน์อยู่หลายครั้ง ในขณะที่ไป๋อวี๋เป็นเพียงแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น


 


 


“ฉันไปต่อได้…” ไป๋อวี๋รีบพูดขึ้น “ฉันจะไม่เป็นภาระของทุกคน”


 


 


หญิงสาวมองชายหนุ่ม ส่วนชายหนุ่มมองไกลออกไป


 


 


ขณะเดียวกัน หวงฝู่ซั่วเดินตามหลังนักร้องอาวุโสมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นทั้งสองจึงมุ่งหน้าต่อไปด้วยกันด้วยความเข้าใจกันเป็นอย่างดี


 


 


สุดท้ายหญิงสาวจึงทำได้เพียงกล่าวกับไป๋อวี๋ “รีบหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


เส้นทางขึ้นไปยังภูเขานั้นยากลำบาก แต่เพราะต้องรอไป๋อวี๋ทำให้ความก้าวหน้าของทุกคนล่าช้าออกไป สุดท้ายหญิงสาวไม่อาจทำอีกต่อไปและบอกทุกคนว่าเธอจะเดินล่วงหน้าไปก่อน และเพื่อปกป้องคู่รักของเขา ชายหนุ่มจึงเดินเร่งความเร็วตามอีกฝ่ายไปด้วย


 


 


เมื่อสังเกตเห็นว่าคู่รักทั้งสองมุ่งมั่นกับชัยชนะเป็นอย่างมาก ไป๋อวี๋จึงเสนอขึ้น “พวกคุณวิ่งนำไปก่อนได้เลย ฉันจะดูแลทุกอย่างให้เอง พวกคุณจะได้ประหยัดเวลามากขึ้น”


 


 


หญิงสาวกลอกตา ไป๋อวี๋จะช่วยหยุดเล่นละครสักทีได้ไหม ในเวลาแบบนี้ยังจะอุตส่าห์สร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนมีน้ำใจอยู่อีก


 


 


ขณะนั้นเอง เฮลิคอปเตอร์ของรายการได้ลงจอดตรงหน้าของพวกเขา ในที่สุดก็ถึงเวลากำจัดสมาชิกออกหนึ่งคนเสียที หญิงสาวเฝ้ารอเวลานี้มาตลอด เธอต้องดวงซวยมากแน่ที่ต้องมาออกรายการนี้ร่วมกับไป๋อวี๋


 


 


ทีมงานส่งปากกากับกระดาษให้แขกรับเชิญแต่ละคนพร้อมอธิบาย “เขียนชื่อสิ่งของหรือบุคคลที่คุณอยากจะกำจัดออกไป ไม่เช่นนั้นถ้าคุณอยากจะเป็นทีมแบบนี้ต่อไป นี่คือเวลาที่คุณจะต้องตัดสินใจแล้ว”


 


 


ไป๋อวี๋มองหน้าทุกคน เธอเข้าใจดีว่ารายการเป็นอย่างไร ทีมจะต้องก้าวหน้าไปด้วยกันโดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ ดังนั้นเธอจึงสละสิทธิ์และไม่เขียนชื่อใครลงไปทั้งสิ้น


 


 


จากนั้นทีมงานได้รวบรวมกระดาษของแต่ละคนและประกาศ “ตอนนี้ถึงเวลาเปิดเผยผลการลงความเห็นแล้ว พวกคุณจะต้องเตรียมใจที่จะถูกกำจัดได้ทุกเมื่อ…”


 


 


ไป๋อวี๋ไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิด แต่คนอื่นๆ ต่างรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น


 


 


หลังจากนั้น ทีมงานได้ลุ่มหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งก่อนจะเปิดเผยผลที่เขียนอยู่ในนั้น


 


 


“กำจัดไป่อวี๋ หนึ่งเสียง”


 


 


ไป๋อวี๋อึ้งไปเล็กน้อยขณะที่เธอส่งยิ้มให้กับทุกคนอย่างกระอักกระอ่วนก่อนโบกปัดมือทั้งสองข้าง “ไม่เป็นไรๆ”


 


 


จากนั้น ทีมงานเปิดกระดาษใบที่สองและเผยรอยยิ้มที่มีความหมายแอบแฝง “กำจัดไป๋อวี๋ สองเสียง”


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกคุณจะไม่ชอบฉันขนาดนี้”


 


 


“กำจัดไป๋อวี๋ สามเสียง! ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องดูใบโหวตใบสุดท้ายแล้วนะครับ ไป๋อวี๋จะต้องถูกกำจัดเป็นที่แน่นอนแล้ว พวกคุณแน่ใจนะว่านี่คือสิ่งที่พวกคุณต้องการจะเห็น” ทีมงานเอ่ยถาม


 


 


ทุกคนมองหน้ากันและพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง


 


 


ส่งผลให้ไป๋อวี๋ถูกกำจัดอย่างเป็นทางการ!


 


 


ไป๋อวี๋ไม่เคยคาดคิด หลังจากที่รายการนี้ฉายมาหลายปี เธอจะเป็นคนดังคนแรกที่ถูกโหวตให้ออกโดยเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง ใช่แล้ว เธอถูกกำจัดทิ้ง พูดอีกอย่างคือทุกสิ่งหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับเธออีกต่อไป


 


 


“ฉันรู้ว่าฉันสร้างปัญหามากมาย ทำให้ทุกคนไม่ชอบฉัน แต่ฉันเลวร้ายมากอย่างที่สุดคนคิดจริงๆ เหรอคะ”


 


 


หญิงสาวไม่พูดอะไร ขณะที่หวงฝู่ซั่วย่อตัวลงไปเล่นกับสุนัขของนักร้องอาวุโส ส่วนนักร้องอาวุโสกำลังศึกษาคำใบ้ต่างๆ ในที่สุดชายหนุ่มก็พูดขึ้น “คุณเหมาะที่จะเป็นนักแสดง เหมาะกับแสงสีสิ่งเย้ายวนต่างๆ แต่คุณไม่เหมาะกับรายการเรียลลิตี้ เพราะตั้งแต่เริ่มรายการคุณแค่เอาแต่แสดงละครเท่านั้น”


 


 


“ไป๋อวี๋ เชิญขึ้นเฮลิคอปเตอร์ครับ”


 


 


“ไป๋อวี๋ คุณถูกกำจัดแล้ว”


 


 


ส่งผลให้ทุกคนที่ได้ดูรายการดังกล่าวถอนหายใจออกมา “ทำไมไป๋อวี๋ถึงได้ปลอมเปลือกขนาดนี้นะ” 

 

 


ตอนที่ 772 ชดใช้

 

[ตั้งแต่ดูคนดังๆ ที่มาร่วมรายการนี้มา ฉันไม่เคยเห็นใครปลอมเท่านี้เลย]


 


 


[สมควรถูกกำจัดทิ้งแล้วละ รายการนี้มันต้องทำงานกันเป็นทีม แต่ไป๋อวี๋ก็ยังพยายามทำตัวเด่นแถมยังเป็นตัวถ่วงคนอื่นอีก บ้าไปแล้ว]


 


 


[ตั้งแต่เริ่มรายการก็แสดงออกแล้วว่าไม่อยากเดินแถมยังอยากให้ใครมาแบกตัวเองด้วย แย่หน่อยที่ไม่มีใครหลงกล]


 


 


[นิสัยไป๋อวี๋ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรแต่ขี้อวดมากไป ถ้าฉันมีเพื่อนแบบนี้ฉันคงสยองน่าดู]


 


 


[ถ้าให้พูดตามตรง ไป๋อวี๋นี่เป็นทั้งอีหนูชาเขียว [1] ทั้งแม่นางบัวขาว [2] เลยนะ]


 


 


[ดูก็รู้ว่าแสดงละคร ไม่แปลกใจเลยที่ถูกกำจัดทิ้ง]


 


 


[หลังจากได้ดูครึ่งตอนหลังที่ไม่มีไป๋อวี๋แล้วรู้สึกว่าทุกอย่างดูเป็นปกติขึ้นเยอะเลย]


 


 


ไป๋อวี๋อยากจะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงระดับอีคิวอันสูงส่งของตัวเอง แต่เธอหลงตัวเองมากเกินไป ใครกันจะยอมรับเรื่องแบบนี้ในรายการวาไรตี้ได้ ดังนั้นแม้ผู้ชมมากมายจะต่อว่าเธอ ไป๋อวี๋ก็สมควรได้รับสิ่งนี้


 


 


เรื่องนี้ทำให้ไป๋อวี๋แทบจะระเบิดต่อหน้าทีมงาน ทำไมพวกเขาถึงไม่บอกเธอตั้งแต่แรกว่าทุกคนต่อต้านเธอ หลังจากเธอก้าวออกจากเฮลิคอปเตอร์ ไป๋อวี๋ก็รีบตรงเข้าห้องน้ำเพื่อระบายความโกรธ


 


 


ไม่นานผู้ช่วยของเธอได้มารับเธอกลับไป หลังจากทั้งคู่ก้าวขึ้นรถตู้ ไป๋อวี๋ขว้างทุกอย่างลงกับพื้น เธอถึงขนาดทำให้หน้าของผู้ช่วยตัวเองเป็นเพราะด้วยโทรศัพท์ของเธอ


 


 


อย่างไรก็ตามเธอไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีปาปารัสซี่กำลังสะกดรอยตามเธออยู่ไม่ห่างและการอาละวาดของเธอถูกเก็บภาพไว้ได้ทั้งหมด


 


 


หรือภาพลักษณ์ของคนที่มีอีคิวสูงส่งและรู้จักควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดีกำลังจะพังทลายลงเสียแล้ว


 


 


ไป๋อวี๋ไม่รู้ตัวถึงเรื่องนี้เลยขณะที่เธอรีบตรงดิ่งกลับไปที่บ้าน แต่เมื่อเธอเปิดประตูหน้าบ้านออก ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากห้องนอนของเธอ ไป๋อวี๋เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจก่อนที่เธอจะเปิดประตูห้องนอนออก นั่นคือตอนที่เธอได้เห็นไป๋หลินหลินและสามีของเธอกำลังนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงและกอดจูบกันอย่างลึกซึ้ง


 


 


ในเวลานั้น ไป๋อวี๋ได้แต่มองเข้าไปในห้องด้วยความช็อก โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เห็นคือร่างอันเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่ เธอไม่รู้เลยว่าเธอควรจะทำอย่างไร


 


 


“ที่รัก ทำไมคุณถึงกลับมาตอนนี้…”


 


 


“พี่…”


 


 


ราวกับสายฟ้าฟาดที่กลางใจ ในที่สุดไป๋อวี๋ก็ตระหนักได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เธอทั้งรู้สึกขยะแขยงและขายหน้า ไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนที่ใกล้ชิดทั้งสองคนของเธอจะแอบเป็นชู้กันลับหลังเธอ


 


 


“ไป๋หลินหลิน เธอนี่น่าทึ่งจริงๆ นี่เธอให้ท่าพี่เขยตัวเองสินะ!”


 


 


หลังความแตก ไป๋หลินหลินไม่คิดจะซ่อนเรื่องนี้อีกต่อไป เธอนำผ้าคลุมเตียงมาห่อตัวเองก่อนจะพูดกับไป๋อวี๋ซึ่งๆ หน้า “พี่ ฉันจะพูดกับพี่ตรงๆ นะ ฉันกำลังท้องลูกของพี่เขยแล้วเราก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บเด็กไว้!”


 


 


ผู้ช่วยของไป๋อวี๋ยังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า แต่ไป๋หลินหลินก็ยังกล้าพูดออกมาโดยไม่สนใจ


 


 


ไป๋อวี๋ผลักผู้ช่วยของเธออกไปและเดินโถมเข้าใส่ไป๋หลินหลินเพื่อตบหน้าอีกฝ่าย แต่เธอถูกชายที่อยู่ในห้องขวางเอาไว้ “ไป๋อวี๋ พอได้แล้ว! หลินหลินกำลังท้องอยู่นะ!”


 


 


“แล้วไง คุณคิดจะให้ฉันอวยพรพวกคุณสองคนงั้นเหรอ หรือหวังจะให้พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรือไง ฉันจะบอกอะไรให้นะ มันเป็นไปไม่ได้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กนั่นได้ลืมตาดูโลก ไม่งั้นเราสามคนก็ลงนรกไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”


 


 


“คุณบ้าไปแล้วเหรอ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ อย่าเอาเด็กมาเกี่ยวด้วย”


 


 


“พวกคุณสองคนเคยคิดถึงฉันบ้างไหมตอนตัดสินใจเล่นชู้กันเนี่ย” ไป๋อวี๋กรีดร้อง “ทำไม ทำไมต้องน้องสาวฉันกับผัวของตัวเองแบบนี้ ไป๋หลินหลิน เธอไม่ละอายบ้างหรือไง”


 


 


“พอได้แล้ว” สามีของไป๋อวี๋ขว้าข้อมือของเธอก่อนสะบัดเธอทิ้ง “ในเมื่อทุกอย่างมาถึงจุดนี้ เราก็หย่ากันเถอะ ผมจะกลับไปอเมริกากับหลินหลิน”


 


 


“หย่า?” ไป๋อวี๋จ้องชายตรงหน้าพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะอันเย็นชา “ไม่มีวัน ฉันยอมพังไปด้วยกันทั้งหมดดีกว่า”


 


 


“คุณนี่มันพูดไม่รู้เรื่องแล้ว” พูดจบ ชายคนนั้นก็คว้ามือของไป๋หลินหลินก่อนจะลากเธอออกจากห้องนอน ขณะเดียวกันไป๋อวี๋ถูกทิ้งไว้กันความรู้สึกอันว่างเปล่า เธอเจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออก


 


 


ผู้ช่วยของเธอได้แต่ยืนอยู่ที่ประตู หลังได้เห็นไป๋อวี๋จับหญิงชู้ชายโฉดได้คาหนังคาเขา เธอรีบเข้าไปอีกอีกฝ่ายและถามไถ่ “พี่อวี๋ พี่โอเคไหม”


 


 


“สองคนนั่นคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”


 


 


“แต่พี่อวี๋คะ ถ้าพี่เปิดเผยเรื่องนี้ พี่จะเป็นคนที่เสียหายนะคะ”


 


 


ภาพลักษณ์ของไป๋อวี๋ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว โดยเฉพาะหลังจากการออกรายการเรียลลิตี้ล่าสุด หากเธอจะเปิดเผยว่าเธอกำลังจะหย่า มันจะกลายเป็นมลทินในชีวิตเธอไปตลอดชีวิต โดยไม่สนว่าเรื่องนี้จะเป็นเพราะสามีของเธอมีชู้ก็ตาม


 


 


“คิดให้ดีก่อนเถอะค่ะ อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะคะ”


 


 


ไป๋อวี๋จับแขนของผู้ช่วยเธอไว้ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจะถึงจุดแตกหักแล้ว


 


 


“ทำไม ทำไมสวรรค์ถึงลงโทษฉันแบบนี้”


 


 


แต่กระนั้นนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหลังจากนั้น ปาปารัสซี่ได้ปล่อยวิดีโอที่ไป๋อวี๋กำลังอาละวาดและทำร้ายผู้ช่วยของตัวเองออกมา นั่นทำให้ภาพลักษณ์สาวอีคิวสูงและเป็นกันเองของเธอพังทลายลงราวกับตึกสูงที่สูญเสียเสาหลัก…


 


 



 


 


ถังหนิงยังคงสงบนิ่งเมื่อได้เห็นสถานะอันน่าสังเวชของไป๋อวี๋ นับตั้งแต่เหตุการณ์ของ ‘ชายาหนิง’ ระยะห่างระหว่างเธอกับไป๋อวี๋ก็มากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่ได้เก็บเรื่องของไป๋อวี๋มาใส่ใจอีกต่อไป


 


 


ถึงกระนั้น ผู้คนที่อยู่เคียงข้างเธอต่างรู้สึกว่าถังหนิงกำลังได้รับการชดใช้จากไป๋อวี๋


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลงเจี่ยยังได้รับข้อมูลมาด้วยว่าสถานะการแต่งงานของไป๋อวี๋กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป


 


 


แน่นอนว่าถังหนิงรู้อยู่ก่อนแล้วนับตั้งแต่วันที่อันจื่อเฮ่าเอาหลักฐานเรื่องนี้มาให้เธอ แต่ถังหนิงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร


 


 


หากมีข่าวลือว่าสถานการณ์แต่งงานของไป๋อวี๋กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ถ้าอย่างนั้น…


 


 


… เธอคงต้องหย่าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสามีของเธอกับไป๋หลินหลิน


 


 


ระเบิดลูกนี้คงเป็นดังระเบิดปรมาณูสำหรับไป๋อวี๋


 


 


“นี่ ทำไมคุณถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยตอนฉันพูดถึงเรื่องนี้ล่ะคะ” หลงเจี่ยถามพลางประคองท้องของตัวเอง


 


 


“ฉันน่าจะเป็นคนถามมากกว่านะ เธอกำลังจะคลอดอยู่แล้ว ทำไมลู่เช่อถึงยังปล่อยให้เธอเดินว่อนไปมาอยู่แบบนี้” ถังหนิงถามพลางมองไปยังหลงเจี่ย “ฉันรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเครื่องมือต่อรอง แต่ฉันไม่คิดว่าไป๋อวี๋จะถูกทำลายแบบนี้ ฉันลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วละ”


 


 


“ฉันว่าคุณไม่ลืมหรอกค่ะ คุณรู้ดีว่คุณไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเพราะไม่ช้าก็เร็วไป๋อวี๋จะต้องรู้เรื่องนี้เข้าสักวัน” หลงเจี่ยพ่นลมออกจมูก


 


 


ถ้าต้องปะทะกับศัตรูแล้วละก็ ถังหนิงไม่เคยยั้งมือ


 


 


“ตอนนี้ไป๋อวี๋คงเหมือนอยู่ในนรก ดังนั้นนับจากนี้ไปเราไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกับเธออีกต่อไปแล้ว”


 


 


ถังหนิงยังมีทางต้องเดินอีกไกล…


 


 


ในขณะที่ไป๋อวี๋นั้นมาถึงทางตันแล้ว


 


 


ผู้ชนะนั้นชัดเจนและไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรกับเรื่องนี้อีก


 


 


“ใช่แล้วค่ะ คุณเป็นตัวเกร็งของรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของเฟยเทียนปีนี้…” หลงเจี่ยยิ้ม ขณะที่เธอมองไปยังถังหนิงในตอนนี้ เธอรู้สึกราวกับถังหนิงกำลังเปล่งออร่าสว่างไสว


 


 


“แต่ว่ากั่วกั่วมีไข้มาสองวันแล้ว คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะเขามีวิวัฒนาการช้าตอนอยู่ในท้องและไม่ได้รับสารอาหารมากพอ เป็นสาเหตุให้เขาอ่อนแอกว่าถังถัง” ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไป ถังหนิงก็ไม่เคยลืมว่าเธอเป็นแม่ของเด็กน้อยสองคนด้วย


 


 


 


 


——


 


 


[1] อีหนูชาเขียว (绿茶婊) หมายถึงหญิงที่หวังกอบโกยผลประโยชน์จากผู้อื่น


 


 


[2] แม่นางบัวขาว (白莲花) เดิมทีหมายถึงคนที่มีภาพลักษณ์ขาวบริสุทธิ์ แต่ถูกนำมาใช้ในเชิงประชดประชันเพื่อเรียกคนที่มีอุปนิสัยสองหน้า เบื้องหน้าแสดงออกว่าใสซื่อ แต่แท้จริงเป็นคนชั่วร้าย จอมวางแผน 

 

 


ตอนที่ 773 ตราบใดที่มันทำให้คุณเจ็บปวด

 

“เด็กๆ ก็มักจะมีภูมิคุ้มกันต่ำแบบนี้แหละค่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก” หลงเจี่ยได้กลายเป็นผูเชี่ยวชาญด้านนี้นับตั้งแต่ตั้งท้อง “ไม่ว่ายังไงบ้านคุณก็มีคนเยอะแยะคอยช่วยดูแลเด็กๆ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกนะคะ”


 


 


ถังหนิงมองดูลูกชายทั้งสองที่กำลังหลับปุ๋ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่เข้ามาในบ้านเพื่อดูแลเด็กๆ ก็ไม่มีใครแทนที่แม่ของเด็กทั้งสองได้ ไม่ว่ายังไงถังหนิงก็ยังเป็นห่วงลูกของเธอเสมอ


 


 


หลังการถ่ายทำ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ถังหนิงได้มีโอกาสไปเยี่ยมผู้กำกับเฉินเฟิงครั้งหนึ่ง เมื่อได้เห็นขาของอีกฝ่ายกำลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถังหนิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก


 


 


“ตอนแรกฉันคิดว่าการออกอากาศของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะได้รับผลกระทบเพราะยังมีฉากสำคัญอีกหลายฉากที่ยังไม่ได้ถ่ายเลย ฉันไม่คิดเลยว่าประธานโม่จะดัดแปลงลำดับเนื้อเรื่องใหม่จนละครไปจบตอนจุดไคลแม็กซ์ที่จวินอี้หลานถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ เหลืออีกสิบที่ต้องถ่ายทำ แย่จริง” ผู้กำกับเฉินเฟิงกล่าวด้วยความเสียดาย “เพราะส่วนน้อยที่ยังไม่ได้ถ่ายทำให้เราไม่สามารถออกอากาศได้”


 


 


“ทุกคนต่างรู้สึกว่าตอนจบแบบนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี ถึงมันจะไม่จบสมบูรณ์เท่าตัวนิยาย แต่ก็ยังเป็นการถ่ายทำที่ยอดเยี่ยม” ถังหนิงตอบพร้อมรอยยิ้ม


 


 


ผู้กำกับเฉินเฟิงเองก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะมองถังหนิงอย่างจริงจัง


 


 


“ผู้กำกับเฉินอยากจะพูดอะไรอย่างนั้นหรือคะ”


 


 


ผู้กำกับเฉินเฟิงหยิบเอาบทออกมาจากใต้หมอนของเขาก่อนส่งมันให้ถังหนิง จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง “ฉันแนะนำงานนี้ให้เธอ ถ้าเธอร่วมกับหนังเรื่องนี้ฉันว่าเธอจะต้องออกมาน่าทึ่งมากแน่”


 


 


ถังหนิงมองดูบทในมือซึ่งเป็นหนังที่มีชื่อว่า ‘ผู้รอดชีพ’


 


 


“หนังเรื่องนี้อิงจากเรื่องจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบนตกที่เกิดขึ้นในปักกิ่งเมื่อยี่สิบปีก่อน ฉันได้อ่านบทพวกนั้นแล้ว ตัวละครเอกมีหลากหลายมิติแล้วก็น่าทึ่ง นั่นคือเหตุผลที่ฉันแนะนำให้เธอ กลับบ้าไปคิดเรื่องนี้ให้ละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจแล้วกัน”


 


 


“ขอบคุณค่ะผู้กำกับเฉิน”


 


 


“บางทีตลอดทั้งเรื่องเธออาจไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าที่สะอาดหรือได้กินอาหารดีๆ เลยสักมื้อก็ได้นะ ไม่ต้องพูดถึงสภาพภายนอกเลยเพราะเธอจะดูเหมือนผู้หญิงเสียสติ มีนักแสดงหญิงหลายคนกลัวบทแบบนี้เพราะกลัวว่าภาพลักษณ์ของตัวเองจะถูกทำลาย แต่ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอ”


 


 


ผู้กำกับเฉินเฟิงเชื่อมั่นว่าถังหนิงซึ่งเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนักแสดงจะไม่กังวลกับภาพลักษณ์ของตัวเองถ้าได้พบกับบทที่ดี


 


 


“ฉันจะไปอ่านบทนี้ให้ดีค่ะ”


 


 


ถังหนิงให้คำมั่นด้วยความจริงใจกับเฉินเฟิง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันทุกครั้งที่ผ่านมาเพราะความรู้สึกของการแบกบทละครนี้ช่างหนักอึ้ง


 


 


นี่เป็นหนังที่อิงจากเหตุการณ์จริง หากเธอรับบทนี้ เธอจะได้เปรียบเสมือนรับมอบหมายภารกิจใหม่ มันรู้สึกราวกับเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง


 


 


ภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติแบบนี้คล้ายกับเรื่อง ‘ฉีฟู’ แต่ก็มีหลายจุดที่แตกต่างกัน ‘ฉีฟู’ นั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและสร้างความตื่นตาเมื่อได้เห็นและสัมผัส แต่ ‘ผู้รอดชีพ’ นั้นต่างออกไป มันเป็นเรื่องจริงซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นเป้าหมายของเธอคือการทำให้มันสมจริงที่สุด


 


 


แต่กระนั้นถังหนิงไม่รู้เลยว่า ‘ผู้รอดชีพ’ กำลังจะสร้างบันทึกหน้าใหม่ให้กับยอดขายบอกซ์ออฟฟิศและเธอกำลังจะได้ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงขึ้นอีกระดับเพราะหลังเรื่องนี้ แต่แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้าหลังจากนี้


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน ถังหนิงก็ยื่นบทดังกล่าวให้โม่ถิง “คุณเฉินเอาบทนี่ให้ฉันค่ะ…”


 


 


โม่ถิงรับเอกสารดังกล่าวก่อนจะเปิดดูแบบผ่านๆ “ตาเฉินนี่เข้าใจคุณดีจริงๆ”


 


 


“งั้นคุณก็เห็นด้วยว่าฉันควรเล่น ‘ผู้รอดชีพ’ ใช่ไหมคะ”


 


 


“มีเหตุผลอะไรที่ผมควรปฏิเสธมันล่ะครับ” โม่ถิงถาม


 


 


ถังหนิงไม่รู้ว่าทำไมแต่ความคิดในการรับบทนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น เธอถึงกับเดินเข้าไปในห้องเด็กเพื่อกอดและจูบลูกทั้งสองของเธอ คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่าเธอทำแบบนี้ไปทำไม แต่โม่ถิงเข้าใจทุกความคิดของถังหนิง ‘ผู้รอดชีพ’ เป็นความท้าทายที่ดีและเป็นบทที่ดึงดูดใจมากสำหรับถังหนิง


 


 


ที่จริงแล้วโม่ถิงมีความรู้สึกว่า…


 


 


… หนังเรื่องนี้จะทำให้ถังหนิงกลายเป็นราชินีแห่งวงการภาพยนตร์โดยไม่มีใครโต้แย้งได้!


 


 



 


 


‘ผู้รอดชีพ’ จัดสร้างโดยสมาคมภาพยนตร์แห่งชาติร่วมกับรัฐบาลปักกิ่ง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคัดเลือกตัวนักแสดง พวกเขาระบุอย่างชัดเจนว่าค่าจ้างจะต่ำกว่าปกติและภาพลักษณ์ของนักแสดงนำหญิงอาจจะเกิดความเสียหายด้วย


 


 


ภายใต้หัวข้อที่กดดันและเงื่อนไขอันเข้มงวดมากมายทำให้นักแสดงหญิงหลายคนเลือกที่จะเบือนหน้าหนี แต่ถังหนิงกลับยอมรับบทนี้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อเรียกร้องอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าตอบแทนหรือภาพลักษณ์


 


 


ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าถังหนิงคือนางเอกของ ‘ผู้รอดชีพ’ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้แล้ว เมื่อพูดถึงบทที่ความท้าทายเช่นนี้ ถังหนิงมักจะกระโดดเข้าใส่โดยไม่สนว่าเธอจะต้องเล่นเป็นแก่ อัปลักษณ์ หรือไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ที่จริงเธออาจจะต้องเป็นคนจ่ายเองเสียด้วยซ้ำ


 


 


ดังนั้นประชาชนจึงได้ข้อสรุปเกี่ยวกับถังหนิง [ไม่แปลกใจเลยที่ถังหนิงจะได้รับการยอมรับจากทุกคนภายในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ เพราะตราบใดที่มันเป็นบทที่ดี เธอจะเข้าหามันโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา]


 


 


[ถังหนิงกระหายบทดีๆ แน่นอน… นี่ก็หมายความว่าเราจะได้ดูบทดีๆ จากเธอแน่นอน]


 


 


[ฮะๆๆ นักแสดงอย่างถังหนิงควรถูกจัดให้เป็นสมบัติของชาตินะ เราไม่เคยต้องกังวลเลยว่าเธอจะเล่นบทซ้ำซากจำเจ ดังนั้นหนังทุกเรื่องของเธอมักจะทำให้เราตั้งหน้าตั้งตารอเสมอ]


 


 


คนส่วนใหญ่ในวงการต่างตั้งความหวังกับการร่วมงานของถังหนิงในเรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ เอาไว้สูง แต่แน่นอนว่าก็มีคนบางส่วนที่ไม่ชอบเรื่องนี้


 


 


[ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีนักแสดงคนไหนที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง คอยดูเถอะ ฉันมั่นใจว่าถังหนิงจะต้องเสียใจ]


 


 


[หนังแบบนี้ถ้านักแสดงเล่นได้ไม่ดีละก็ มีแต่จะทำลายอาชีพของตัวเอง ไม่น่าแปลกใจถ้าสุดท้ายถังหนิงจะถูกถล่มด้วยคำตำหนิ]


 


 


[ผู้หญิงคนนั้นคิดจริงหรือว่าตัวเองเป็นนักแสดงหญิงแห่งชาติ ไม่หลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือไง]


 


 


นอกเหนือจากนั้น ข่าวเรื่องที่ถังหนิงจะแสดงใน ‘ผู้รอดชีพ’ ได้ดึงดูดความสนใจจำนวนมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน… เวลานี้ไป๋อวี๋กำลังทำอะไรอยู่


 


 


นับตั้งแต่ไป๋อวี๋ค้นพบว่าไป๋หลินหลินและสามีของเธอมีชู้กัน เธอก็ดูไม่เกลียดชังถังหนิงมากเช่นแต่ก่อน ไม่ว่าเธอจะเกลียดถังหนิงมากแค่ไหน อย่างน้อยถังหนิงก็ไม่เคยแย่งสามีของเธอหรือทำให้ครอบครัวของเธอต้องแตกหัก


 


 


แต่กลับเป็นไป๋หลินหลินซึ่งเป็นน้องสาวของเธอเอง…


 


 


เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋อวี๋ก็รู้สึกขยะแขยงอย่างที่สุด


 


 


โดยเฉพาะนับตั้งแต่เรื่องทุกอย่างแดงออกมา ทั้งไป๋หลินหลินและเจฟซึ่งเป็นสามีของเธอยิ่งไร้ความเกรงกลัวต่อหน้าเธอมากขึ้นไปอีก แต่ในฐานะบุคคลสาธารณะ เธอไม่อาจทำอะไรได้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง


 


 


“คุณควรจะเซ็นใบหย่าซะในขณะที่ทุกอย่างยังไม่ย่ำแย่มากไปกว่านี้ ไม่งั้นเราทั้งสองคนก็มีแต่จะดูแย่”


 


 


ไป๋อวี๋อยากจะไล่เจฟออกไปจากบ้านแต่บ้านหลังนี้เป็นของเขา ดังนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น แต่ถ้าหากเธอเป็นฝ่ายออกไปเอง เธอมั่นใจว่าไป๋หลินหลินจะอ้างตัวเป็นเจ้าของบ้านโดยไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น หากเป็นเช่นนั้นเธอคงได้แต่ฝันที่จะกลับมาคืนดีกันอีก…


 


 


“ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นชู้กันแล้วยังมีหน้ามาภูมิใจและหน้าด้านขนาดนี้เลย”


 


 


“ต่อให้ผมเลิกกับหลินหลิน ผมก็อยู่กับคุณต่อไปไม่ได้หรอก”


 


 


“แต่ฉันอยู่ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณเจ็บปวด ฉันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ…”

 

 

 


ตอนที่ 774 ถ้าพวกมันคิดจะเก็บเด็กไว้ล...

 

ตอนนั้นเอง ไป๋หลินหลินเดินทอดน่องออกจากห้องนอนและพูดกับไป๋อวี๋ “พี่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”


 


 


“หุบปากไปเลย! แกไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรทั้งนั้น” ไป๋อวี๋ตวาด


 


 


“เจฟอยากจะเป็นพ่อคนมาตั้งนานแล้ว แต่พี่กลับไม่เคยมีลูกให้เขาเพราะเห็นแก่อาชีพของตัวเอง แต่ยังไงตอนนี้มันก็ไม่สำคัญแล้วเพราะเขามีฉัน พี่ก็ไปทำอาชีพของพี่ส่วนฉันจะดูแลเขาเอง” ไป๋หลินหลินกล่าวพลางเอนตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเจฟและแสดงให้เห็นถึงความอาจหาญของเธอ


 


 


ไป๋อวี๋จ้องมองไป๋หลินหลินอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เธอจะตะโกนออกมาผ่านฟันที่ขบแน่น “นังโสเภณี!”


 


 


“เซ็นใบหย่าซะ!” เจฟยื่นใบหย่าใส่หน้าไป๋อวี๋อีกครั้งและบังคับมือของเธอไปยังจุดที่จำเป็นต้องเซ็น


 


 


“ไสหัวไปเลยไอ้พวกสำส่อน พวกแกสองคนมันหมาสกปรก พวกแกมันไม่ใช่คน!” ไป๋อวี๋กรีดร้องเสียงดังลั่นพลางฉีกใบหย่าออกเป็นชิ้นๆ และปาปากกาในมือทิ้ง


 


 


“ไม่ช้าก็เร็วเธอต้องเซ็นอยู่ดีนั่นแหละ” เจฟมองหน้าไป๋อวี๋อย่างใจเย็นก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนพร้อมไป๋หลินหลินในอ้อมแขนต่อหน้าต่อตาไป๋อวี๋


 


 


ไป๋อวี๋ขว้างปาสิ่งของใส่ประตูอย่างเกรี้ยวกราด ความเกลียดชังในใจเธอมันพุ่งทะลุขีดจำกัดไปแล้ว


 


 


เธอไม่เคยจินตนาการเลยว่าเรื่องราวในละครน้ำเน่าจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเธอ เมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะมองมันเป็นเรื่องตลก แต่พอเกิดขึ้นกับตัวเอง เธอกลับอยากจะฆ่าคนสองคนที่อยู่ในห้องนอนนั้นให้ตายจนใจจะขาด


 


 


พวกชั้นต่ำ!


 


 


ถ้าพวกมันคิดจะเก็บเด็กไว้ละก็ ฝันไปเถอะ!


 


 


เธอรู้จักไป๋หลินหลินดีกว่าใครทั้งนั้น เด็กนั่นยังเด็ก ทำตัวเหลวไหลและชอบเรียกร้องความสนใจ ดังนั้นการทำให้ไป๋หลินหลินแท้งจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เมื่อคิดเช่นนั้น ไป๋อวี๋หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและโทรหาคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง


 


 



 


 


ไม่นานนัก ไป๋หลินหลินก็ได้รับโทรศัพท์เชิญให้ไปร่วมการออดิชั่น


 


 


การออดิชั่น!


 


 


ไป๋หลินหลินไม่เคยคาดคิดว่าจะมีใครยังจำเธอได้อีก


 


 


ดังนั้นเธอจึงบอกกับเจฟด้วยน้ำเสียงมีความสุข “ที่รัก ฉันจะไปร่วมงานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้เพราะผู้กำกับเชิญฉันไปแสดงในหนังของเขา”


 


 


ทันทีที่เจฟได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบดุอีกฝ่ายทันที “เธอกำลังท้องอยู่นะ เธอจะไปถ่ายหนังอะไรได้ยังไง”


 


 


“ถังหนิงเองก็แสดงละครตอนท้องเหมือนกัน แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลลูกของเราอย่างดีเลย ให้ฉันไปเจอผู้กำกับเถอะนะ ถึงมันจะเป็นแค่การพบกันแบบสั้นๆ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฝันของฉันเป็นจริง” ไป๋หลินหลินพนมมืออ้อนวอนอย่างจริงใจ “ฉันสัญญา ฉันจะไม่รับงานนี้ ฉันแค่จะไปงานเลี้ยงเท่านั้น แค่ได้รู้ว่ายังมีใครจำได้ก็พอแล้ว”


 


 


“หลังจากเราย้ายไปอเมริกาแล้ว สิ่งเดียวที่เธอต้องทำคือคลอดลูกเท่านั้น หลังจากนั้นฉันจะหาอะไรให้เธอแสดงแล้วทำให้เธอดังเอง ทำไมเธอต้องมาใจร้อนตอนนี้ด้วย”


 


 


ถึงเจฟจะชอบร่างกายอันอ่อนเยาว์ของไป๋หลินหลิน แต่บ่อยครั้งที่ความคิดของเธอทำให้เจฟต้องทึ้งผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด


 


 


“ที่รัก… ให้ฉันไปเถอะนะ…”


 


 


“ตามใจ” เจฟถอดใจพลางเปิดประตูออกไปจากห้อง แต่กระนั้นไป๋หลินหลินไม่รู้เลยว่าเธอได้ตกหลุมพรางของไป๋อวี๋เข้าให้แล้ว


 


 


ดังนั้นบ่ายวันต่อมา ขณะที่ไป๋หลินหลินกำลังจะเดินทางออกจากบ้าน เธอจงใจพูดโอ้อวดต่อหน้าไป๋อวี๋ “ตอนนี้ฉันว่าคงไม่มีใครอยากทำงานกับพี่สาวของฉันหรอกจริงไหม เพราะภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบมันถูกทำลายไปแล้วนี่นา


 


 


“แต่ฉันจะทำยังไงดีล่ะพี่ ผู้กำกับฉินเชิญฉันไปออดิชั่นด้วยล่ะ ถึงจะเป็นแค่บทเล็กๆ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังมีโอกาสห้าสิบห้าสิบในขณะที่พี่ไม่มีเลยนี่นะ” ไป๋หลินหลินเดินวนไปมาต่อหน้าไป๋อวี๋ขณะที่เธอมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า “โทษทีนะพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกทุกอย่างมาจากพี่ แต่ฉันชอบพี่เขยมากเลย ฉันว่าพี่ควรจะปล่อยวางซะนะ


 


 


“ไม่งั้น… พี่จะต้องน่าสมเพชมากกว่าตอนนี้อีก ฉันรับประกันได้เลย”


 


 


พูดจบ ไป๋หลินหลินก็เดินทางออกจากบ้านไป ขณะเดียวกันสายตาของไป๋อวี๋มองตามไป๋หลินหลินไปอย่างมีนัย…


 


 


เจฟไม่มีวันหยุดไป๋หลินหลินได้ เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น ทั้งสองจะต้องทะเลาะกัน นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาไม่มีวันเข้าใจผู้หญิง แม้ไป๋หลินหลินจะกำลังตั้งท้อง เธอก็ยังอยากจะไปร่วมงานเลี้ยง


 


 


ผู้กำกับฉินชื่นชมไป๋อวี๋ ดังนั้นเขาจึงทำสิ่งนี้เพื่อเธอและเชิญไป๋หลินหลิน ซึ่งในงานนอกจากเขาแล้วยังมีทีมงานอีกจำนวนหนึ่งด้วย


 


 


ไป๋หลินหลินรู้สึกราวกับตัวเองมีคุณค่าและคิดจริงๆ ว่ามีคนบางคนต้องการเธอไปถ่ายทำในหนังของพวกเขา ดังนั้นต่อให้พวกเขาบังคับให้เธอดื่ม เธอก็รับทุกแก้วที่ยื่นให้เธอ นั่นเป็นเพราะเธอไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องที่เธอกำลังตั้งท้อง หากพวกเขารู้ ไม่เพียงแต่เธอจะเสียโอกาสในการออดิชั่น แต่พวกเขาจะหันหลังให้และเขี่ยเธอทิ้งในทันที


 


 


ด้วยเหตุนี้ ในคืนนี้ไป๋หลินหลินจึงดึ่มเหล้าไปจำนสนมากและกลับถึงบ้านพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นคลุ้ง


 


 


เจฟเดือดดาลขึ้นมาในทันทีขณะที่เขาคว้าข้อมือของไป๋หลินหลินและถาม “เธอไปกินเหล้ามางั้นเหรอ”


 


 


“ฉันดื่มไปนิดเดียวเอง…” ไป๋หลินหลินพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงรำคาญ แต่ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เจฟก็ตบเข้าที่ใบหน้าของเธอ


 


 


“ให้ตายสิยัยบ้าเอ๊ย เธอท้องแล้วยังไปกินเหล้าอีกเนี่ยนะ คิดไม่เป็นหรือยังไง”


 


 


“ฉันกินเหล้าแล้วมันยังไง เด็กก็ยังปลอดภัยดีไม่ใช่เหรอ”


 


 


เจฟหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เขาพลันตระหนักได้ว่าทั้งสองพี่น้องไป๋ไม่ว่าจะเป็นคนพี่หรือคนน้องก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น


 


 


ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจไป๋หลินหลิน แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไป๋หลินหลินพลันกุมที่ท้องของเธอและเริ่มร้องออกมา “เจฟ เจฟ… ฉันเจ็บท้อง…”


 


 


เจฟก้มลงมองไป๋หลินหลินและตระหนักได้ว่าเธอกำลังนั่งอยู่กลางกองเลือด


 


 


จากที่เห็น เด็กได้จากไปแล้ว


 


 


เด็กน้อยยังไม่ทันได้เติบโตเป็นรูปร่างแล้วยัยสารเลวนี่กลับออกไปดื่ม…


 


 


เธอสมควรได้รับความเจ็บปวดนี้แล้วไม่ใช่หรือ


 


 


“เจฟ ช่วยฉันด้วย… ฉันเจ็บ”


 


 


กระนั้นเจฟกลับไม่ทำอะไรพลางปัดมือไปมาพร้อมกล่าว “ช่วยเธองั้นเหรอ เธอจะไปโทษใครได้ที่ดันออกไปดื่มทั้งที่ตัวเองกำลังท้องอยู่ล่ะ นังสารเลวเอ๊ย เธอมันก็เหมือนกับพี่สาวของเธอ พวกเธอมันอีตัว ในเมื่อไม่ฟังที่ฉันพูด ฉันก็จะไม่ช่วยอะไรเธอทั้งนั้น ดูแลตัวเองไปก็แล้วกัน!”


 


 


หลังพูดจบเจฟเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ไป๋หลินหลินนั่งกองอยู่กับพื้นและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด


 


 


จากนั้นไป๋อวี๋ปรากฏตัวที่ประตูทางเข้า ทันทีที่ไป๋อวี๋เห็นฉากตรงหน้า รอยยิ้มก็เผยขึ้นบนใบหน้าของเธอ


 


 


“พี่… ช่วยด้วย ช่วยฉันที”


 


 


“แน่นอน ฉันจะช่วยเธอ แต่ก่อนเธอฉันต้องการให้เธอได้รับรู้รสชาติของความเจ็บปวดนี้เสียก่อน…” ไป๋อวี๋ยืนกอดอกเงียบอยู่ที่ประตูทางเข้าจนกระทั่งไป๋หลินหลินหมดสติไปเพราะความเจ็บปวด เมื่อนั้นเธอจึงโทรเรียกรถพยาบาล


 


 


หลังจากนั้น ไป๋หลินหลินถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล แน่นอนว่าไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กเอาไว้ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเธอกลับดึงดูดนักข่าวจำนวนมหาศาล


 


 


คราวนี้ไป๋อวี๋ไม่เลี่ยงที่จะตอบคำถามอีกแล้ว เธอเลือกที่จะตอบนักข่าวอย่างตรงไปตรงมา


 


 


เธอไม่เก็บทุกอย่างมาคิดและก้าวย่างอย่างระวังเหมือนดั่งในอดีต คราวนี้เธอตัดสินใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม