จำนนรักชายาตัวร้าย 76.3-80.2

ตอนที่ 76-3 การกลับมาอย่างแข็งแกร่งของซย่าโหวฉิงเทียน

อวี้เฟยเยียนเหาะทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางความมืด จนในที่สุดก็ถึงสถานที่คุมขังเจ้าสำนักหลิน


 


 


เพราะที่แห่งนี้ห่างไกล จึงไกลจากเรือนหลักของตำหนักโอสถมากทีเดียว จึงเงียบสงัด เมื่อนับดูแล้ว อวี้เฟยเยียนพบว่าการรักษาการณ์ของที่นี่ไม่ได้เข้มงวดมากนัก มีเพียงแต่ขั้นราชันรักษาการณ์อยู่เพียงคนเดียว แม้กระทั่งลูกน้องติดตามสักคนยังไม่มี


 


 


ดูแล้วในสายตาผู้อาวุโสใหญ่ มีเพียงแต่หมอเทวดาฮั่วเท่านั้นที่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขา มิเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงได้ส่งยอดฝีมือสามคนไปเฝ้าหมอเทวดาฮั่ว แต่เจ้าสำนักหลินกลับมีเพียงขั้นราชันรักษาการณ์อยู่เพียงคนเดียว


 


 


ขณะที่อี้เฟยยี่ยนเตรียมจะลงมือนั่นเอง แรงกดบางอย่างก็แผ่ซ่านมาจากทางด้านหลัง


 


 


“ใคร?”


 


 


อวี้เฟยเยียนเพิ่งจะกล่าวจบ นางก็ตกลงไปในอ้อมกอดของคนผู้นั้นเข้าให้แล้ว กลิ่นนี้มันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก คล้ายกับ……


 


 


“แมวน้อย…” ซย่าโหวฉิงเทียนโอบกอดอวี้เฟยจากทางด้านหลัง ปลายจมูกของเขาแนบชิดกับใบหูน้อยๆ ของนาง ปากก็พึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แมวน้อย คิดถึงพี่หรือไม่”


 


 


คิดถึงบ้าอะไรกัน!


 


 


อวี้เฟยเยียนใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เจ้าหมอนี่ เล่นใบหูนางจนคันยุบยิบเลย รำคาญชะมัด


 


 


“เร่าร้อนขนาดนี้ แสดงว่าคิดถึงพี่ละสิ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจับมือของอวี้เฟยเยียน แล้วรั้งให้นางนั่งในอ้อมอกของเขา “บอกมา ว่าคิดถึงพี่ไหม”


 


 


เมื่อเห็นซย่าโหวฉิง ในสภาพที่เขาปลอดภัยกลับมา ความกลัดกลุ้มกังวลที่ผ่านมาภายในใจของอวี้เฟยเยียน จึงได้เบาบางลงไป


 


 


“ธุระของท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ ถึงได้ยอมกลับมา?”


 


 


เดิมทีแล้วเป็นประโยคธรรมดาๆ ประโยคหนึ่ง แต่น้ำเสียงที่เง้างอนในคำที่กล่าวออกมา ทำให้หัวใจ ซย่าโหวฉิงเทียนยินดียิ่งนัก


 


 


“พี่อยากจะกลับมาตั้งนานแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมาอยู่ตรงหน้าอวี้เฟยเยียน ดึงรั้งผ้าปิดหน้านางลง แล้วประทับที่ริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว “พี่รู้ว่าเจ้าคิดถึงพี่ เพียงมิกล้าที่จะเอ่ยออกมา พี่เข้าใจแล้ว!”


 


 


“คิดเองเออเอง! ใครคิดถึงท่านกัน!”


 


 


ถูกซย่าโหวฉิงเทียนลอบโจมตีอีกครั้ง ทำให้อวี้เฟยเยียนหงุดหงิดใจยิ่ง


 


 


“ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านจะมาจุมพิตข้าตามอำเภอใจมิได้!”


 


 


“พี่รู้ว่านอกจากคนใกล้ชิดแล้ว คนอื่นมิอาจแตะต้องเจ้าได้ แต่ แมวน้อย พี่คือคนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุดมิใช่หรือ”


 


 


“เจ้าดูสิ ตอนนี้พวกเราพบกันอย่างเปิดเผย จุมพิตกันแล้ว พบแล้ว สัมผัสแล้ว อะไรที่ควรทำเราก็ทำหมดแล้ว เจ้ามิอาจเย็นชากับพี่เช่นนี้แล้วมิใช่หรือ!”


 


 


คำพูดทั้งหมดทั้งมวลที่เขากล่าวออกมา ทำเอาอวี้เฟยเยียนอึ้งไป


 


 


คนผู้นี้คือซย่าโหวฉิงเทียนจริงๆใช่ไหม


 


 


แล้วพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูดจริงหรือ


 


 


นางแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตนเองเลย!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพูดคำน่าขนลุกพวกนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


 


 


มองใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้ว อวี้เฟยเยียนก็กระแอมออกมาเบาๆ


 


 


“โอ้โห เขาว่ากันว่าสามวันจากลา ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน นี่ก็ไม่เจอกันนาน ทักษะกล่าวคำหวานของท่านไหลลื่นขึ้นมาก คงมิใช่ว่าไปกล่าวโอ้โลมสาวๆ คนไหนจนนางมีความสุข แล้วเอามาใช้กับข้าหรอกใช่หรือไม่”


 


 


มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าเง้างอนของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ “นี่เจ้า…เจ้ากำลังหึงใช่หรือไม่”


 


 


ใครจะไปคิด เสียงหัวเราะของซย่าโหวฉิงเทียนจะนำพาขั้นราชันที่เฝ้าอยู่ให้มาถึง


 


 


“นั่นใคร พวกเจ้าเป็นใคร”


 


 


เมื่อเห็นคนสองคนที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา ขั้นราชันผู้นั้นก็ตกใจไม่น้อย


 


 


แต่ว่า ยังมิทันที่เขาจะได้หยิบอาวุธออกมา แสงสีม่วงสว่างวาบก็เด็ดหัวเขาจนขาด


 


 


“กว่าพี่จะได้มาพบหน้าแมวน้อยไม่ง่าย ยังมีพวกอะไรก็ไม่รู้มาก่อกวนอีก รนหาที่ตาย!”


 


 


โอ้!


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนสังหารขั้นราชันผู้นั้นอย่างง่ายดาย ความดีใจของอวี้เฟยเยียนที่ตนได้เลื่อนไปถึงขั้นจอมเทวานั้นก็มลายหายไปในทันที


 


 


นี่นางยังห่างชั้นจากเขาอีกกี่ขุมกันหนอ


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเป็นคนใช่หรือไม่”


 


 


อวี้เฟยเยียนทำตัวลีบลง เพราะถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง


 


 


จู่ๆ ก็ถูกถามคำถามเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนึกไปว่าอวี้เฟยเยียนคงค้นพบอะไรเข้าเสียแล้ว จวบจนเห็นรอยยิ้มที่ผิดหวังของนาง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเดาออกได้ทันทีว่าเหตุใดนางทำท่าทางเช่นนี้ สมกับเป็นเจ้าแมวน้อยจอมเอาชนะจริงเชียว!


 


 


“แมวน้อย ถ้าหากว่าข้าไม่ใช่คน เจ้าจะกลัวข้าไหม”


 


 


การตอบกลับของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนแปลกใจเล็กน้อย


 


 


กระทั่งเห็นสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเขา แววตากลับฉายแววระแวดระวังยิ่ง อวี้เฟยเยียนไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงนึกถึงเสี่ยวฉิงฉิงขึ้นมา


 


 


ความเงียบของอวี้เฟยเยียน ทำให้ใจของซย่าโหวฉิงเทียนเย็นเยียบขึ้นมา


 


 


ที่แท้ ก็กลัวข้างั้นหรือ


 


 


แม้แต่เจ้าก็หวาดกลัวสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือหารู้ไม่ ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนคิดที่จะปล่อยมือนั้น อวี้เฟยเยียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


 


 


“เจ้าไม่ใช่คนจริงๆ นั้นแหละ! เก่งกาจขนาดนี้ จะกลายเป็นเทพอยู่แล้ว! ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าคิดว่าข้าเก่งแล้วนะ แต่หากเทียบกับเจ้าแล้ว ข้ากลายเป็นตัวอะไรไปเลย ข้าจะตามเจ้าทันได้ตรงไหนกัน!”


 


 


“เจ้าจะไล่ตามตามพี่?”


 


 


ได้ยินคำพูดนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็มีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


“พี่จะยืนอยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหน พี่เป็นของเจ้า เจ้ามิต้องไล่ตามใดๆ!”


 


 


และแล้วก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเอาเปรียบอีกครั้ง ทำเอาอวี้เฟยเยียนถึงกับหน้าแดง


 


 


“นี่ท่านทำเรื่องที่ผิดต่อข้าใช่หรือไม่ เหตุใดปากหวานราวกับทาน้ำผึ้งไว้เช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียน ตอบมาตามตรง!”


 


 


“หวานหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนทวนคำพร้อมกับเลียริมฝีปากของตนเองไปมา


 


 


“ไม่นี่นา หรือว่าสัมผัสรับรสของพี่มีปัญหา เหตุใดพี่ถึงไม่รู้สึกถึงรสหวานปานน้ำผึ้งตามที่เจ้าว่าเลยล่ะ?”


 


 


“ไม่เช่นนั้น เจ้าช่วยพี่ลิ้มรสดู?”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ ก็จุมพิตที่ริมฝีปากของอวี้เฟยเยียนอีกครั้ง


 


 


คราวนี้ เขามิได้สัมผัสเพียงเบาบางฉาบฉวยเฉกเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว แต่ครั้งนี้เขาจุมพิตแนบแน่นที่ริมฝีปากแดงดุจผลอิง[1]นั้น พร้อมกับใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไป


 


 


 หวานหรือไม่


 


 


มีรสหวานปานน้ำผึ้งหรือไม่


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนกำลังมองมาที่ตนอย่างตกตะลึง ซย่าโหวฉิงเทียนก็กะพริบตาให้ เขาใช้สายตาถามไถ่


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านมันขี้โกง!


 


 


อวี้เฟยเยียนกำลังจะเอ่ยปากด่าเขาอยู่นั้น หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เขาลุกล้ำเข้าไปครอบครองนางอีกครั้ง


 


 


ทั้งหวาน ทั้งหอมยิ่งนัก!


 


 


อีกครั้งที่ได้สัมผัสรสชาติที่คุ้นเคย ซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อได้เริ่มแล้วจึงต้องรุกให้ถึงที่สุด


 


 


มือใหญ่ประคองร่างบอบบางของอวี้เฟยเยียน รับน้ำหนักนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็ประคองกดท้ายทอยของนางเอาไว้เพื่อตัดทางถอยของนาง


 


 


แมวน้อย พี่คิดถึงเจ้า!


 


 


พี่คิดมาตลอด ว่าอยากจุมพิตเจ้าในขณะที่เจ้ามีสติครบสมบูรณ์ ว่ารู้สึกอย่างไร


 


 


ครั้งนี้ในที่สุดฝันก็เป็นจริง


 


 


ดีจริงๆ!


 


 


อวี้เฟยเยียนเบิกตากว้าง จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาและท่าทีน่าเลื่อมใสตรงหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ร่างกายนางค่อยๆอ่อนปวกเปียก นางราวกับเป็นเถาวัลย์พันเกี่ยวแนบชิดกับเขา


 


 


น่าอายชะมัด……


 


 


หัวใจเต้นระรัว ในหัวนางว่างเปล่า ทำให้อวี้เฟยเยียนหน้าแดงก่ำ


 


 


ทำไมเป็นเช่นนี้ได้


 


 


ปล่อยข้านะ!


 


 


อวี้เฟยเยียนยื่นมือออกไปผลักซย่าโหวฉิงเทียนออก แต่สองมือของนางกลับไร้เรี่ยวแรงราวกับมิได้กินข้าว เพียงมือทาบวางที่หน้าอกกำยำของเขา ก็รู้สึกได้ถึงไอร้อน อวี้เฟยเยียนลนลาน จนคิดจะชักมือกลับ แต่ทว่ามือน้อยก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนจับเอาไว้ แล้วจัดแจงเอามือซ้ายขวาไว้ที่คอของเขา ตอนนี้กลายเป็นนางกำลังโอบกอดเขาเอาไว้แทน


 


 


อวี้เฟยเยียนยังดิ้นขลุกขลัก คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนรุกหนัก เขาเข้าดูดกลืนความหอมหวานจากริมฝีปาก ทำให้นางแทบจะลมจับ จนนางหมดเรี่ยวแรงตอบโต้


 


 


จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนหายใจหอบถี่ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยอมปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ


 


 


“แมวน้อย สุขสันต์วันเกิด!”


 


 


วันเกิด?


 


 


อวี้เฟยเยียนเกือบจะเป็นลม


 


 


นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


 


 


“เด็กโง่…”


 


 


อวี้เฟยเยียนตาพร่ามัว แก้มทั้งสองข้างแดงจัด ช่างน่าหลงใหลเป็นที่สุด


 


 


“ตอนนี้เลยยามจื่อมาแล้ว เท่ากับว่าเป็นวันใหม่แล้ว! หรือเจ้าจำไม่ได้แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าอย่างไรเล่า!” ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากของอวี้เฟยเยียนอย่างอ่อนโยน


 


 


“แมวน้อย เจ้าสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว เป็นสาวแล้วนะ! ยินดีด้วย!”


 


 


เหตุใดอวี้เฟยเยียนถึงได้รู้สึกขนพองสยองเกล้ายิ่งนักนะ เวลาที่ได้ยินคำพูดนี้


 


 


นางสัมผัสได้ว่าเสียงอีกภาคหนึ่งของซย่าโหวฉิงเทียนกำลังกล่าวว่า ‘แมวน้อย เจ้าโตแล้วนะ ในที่สุดพี่ก็กินเจ้าได้เสียที!’


 


 


เซี่ยโหวฉิงเทียน เจ้าหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่


 


 


ไม่นะ!


 


 


ข้าไม่เอา!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผลอิง คือผลเชอร์รี่

 

 

 


ตอนที่ 76-4 การกลับมาอย่างแข็งแกร่งของซย่าโหวฉิงเทียน

 

ชัดเจน ในหัวของอวี้เฟยเยียนต่อเติมไปไกล ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของอวี้เฟยเยียน เขากลับหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมาแล้วสวมให้กับอวี้เฟยเยียน


 


 


“นี่เป็นของขวัญที่พี่มอบให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ห้ามถอดออกเด็ดขาด!”


 


 


อวี้เฟยเยียนจับสร้อยเส้นนั้นและพินิจมองดูอย่างละเอียด จึงพบว่ามันเป็นสร้อยเงินที่บางส่วนเริ่มลอกเป็นรอยดำ ห้อยด้วยจี้มุกสีดำสนิท ดูไม่ออกว่าเป็นไข่มุกทรงหยดน้ำที่มีส่วนประกอบอะไร


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน น่าเกลียดชะมัด!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเบะปากออกมา


 


 


อย่างไรเสียนี่เป็นของขวัญในวันที่นางเป็นผู้ใหญ่ เลือกของน่าเกลียดเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


มันช่างไม่เข้ากับลักษณะนิสัยของซย่าโหวฉิงเทียนเอาเสียเลย!


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


แตะริมฝีปากสีแดงสดที่บวมเห่อของอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลูบที่จี้ไข่มุกจากนั้นจึงยัดมันเข้าไว้ในเสื้อของอวี้เฟยเยียน กล่าวว่า


 


 


“สร้อยเส้นนี้ติดตัวพี่มาตั้งแต่เกิดไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่สำหรับพี่มัน มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสุด วันนี้พี่มอบมันให้กับเจ้า ต่อไปเจ้าทั้งสองก็จะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของพี่!”


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน เข้าใจทำการค้านักนะ! จริงๆแล้วท่านคิดว่าจะใช้สร้อยเส้นเดียวซื้อใจข้าใช่หรือไม่?”


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนได้รู้ว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญเพียงใด นางก็ไม่รีรอที่จะถอดสร้อยเส้นนั้นคืนเขาในทันที


 


 


หารู้ไม่ ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เพียงไม่ยินยอม ทั้งยังถือโอกาสปิดปากนางด้วยริมฝีปากของเขาอีกด้วย ราวกับว่าเขาได้ตกหลุมรักการจุมพิตอย่างหัวปักหัวปำไปแล้ว ตัวเขาราวกับเด็กน้อยที่หิวโหยตลอดเวลา ไม่ยอมเลิกรา


 


 


 ท้ายที่สุด ก่อนที่อวี้เฟยเยียนจะเป็นลมล้มพับไป นางละเมอออกมาประโยคหนึ่ง“เจ้าสำนักหลิน……”


 


 


ชื่อนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนแทบจะระเบิดออกมา


 


 


มีอย่างที่ไหนอยู่กับพี่ ยังมีแก่ใจคิดถึงเจ้าสำนักหลินอะไรนั่นอีก?ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนตรงเข้าไปด้านใน แล้วมองเห็นเจ้าสำนักหลินหน้าตาดำคล้ำราวกับศพแล้ว ความโกรธเกรี้ยวของเขาก็ลดลงครึ่งหนึ่ง


 


 


ดูแล้ว ที่อวี้เฟยเยียนมาที่นี่ก็เพื่อจะช่วยเหลือเขา


 


 


เรื่องนี้เขาช่วยนางจัดการเสียเลยละกัน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมือซ้ายโอบรั้งอวี้เฟยเยียนเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ลากเจ้าสำนักหลินขึ้นมา ออกไปจากเรือนนั้นทันที


 


 


แต่ว่า บทลงโทษของอวี้เฟยเยียนที่คิดเรื่องชายอื่น ในขณะที่จุมพิตอยู่กับเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงลากเจ้าสำนักหลินไปตามทางตลอดทางที่กลับมา


 


 


รอจนกระทั่งเจ้าสำนักฟื้นขึ้น ใบหน้าเขาก็เขียวช้ำปูดบวมไปหมดจนเกือบเสียโฉมทีเดียว น่าอเนจอนาถจนแทบมิอยากมอง…


 


 


เป็นการพิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง ความคิดเล็กคิดน้อยของผู้ชายบางคนนั้น เล็กเสียยิ่งกว่าเข็มเล่มหนึ่งเสียอีก!


 


 


พอถึงที่ที่อวี้เฟยเยียนพักอยู่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็จัดการทิ้งเจ้าสำนักหลินไว้ในห้องของผู้เฒ่าเจ็ด ส่วนตัวเองอุ้มร่างของอวี้เฟยเยียนกลับไปที่ห้องนาง


 


 


เมื่อวางอวี้เฟยเยียนลงบนเตียงแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถือโอกาสพินิจพิจารณานางโดยละเอียด


 


 


เมื่อก่อนเขาเป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง จึงใช้ข้อได้เปรียบในส่วนนี้กระทำสิ่งต่างๆมากมาย สิ่งที่เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ไม่มีโอกาสจะได้ทำอย่างแน่นอน


 


 


ซึ่งประสบการณ์ที่พิเศษเช่นนี้ ราวกับทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้เปิดประตูมิติใหม่อีกบานหนึ่งที่เรียกว่า ประตูไร้ยางอาย’


 


 


“เจ้าแมวน้อย เจ้าคือคนที่ใกล้ชิดพี่ที่สุด!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนใช้นิ้วลูบไล้บริเวณริมฝีปากที่บวมเจ่อของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา แล้วนั่งมองผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ


 


 


ครั้งนี้มิได้ทำให้ริมฝีปากของนางได้รับบาดเจ็บ!


 


 


จริงดังที่คาดไว้ การจุมพิตที่เร่าร้อนกับการนำทหารไปออกศึกใช้หลักการเดียวกันนั่นก็คือ ครั้งแรกไร้ซึ่งประสบการณ์ใดๆ ครั้งที่สองคลำหาทางไปเรื่อย ครั้งที่สาม คุ้นเคยแล้วทำได้อย่างคล่องแคล่ว…


 


 


เจ้าแมวน้อย พี่ช่างมีพรสวรรค์เสียจริง!


 


 


จวบจนเสียงเคาะประตูของหมอเทวดาฮั่วที่ปลุกอวี้เฟยเยียนให้ตื่นขึ้น นางกระเด้งลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจแล้ว พบว่าตนเองกลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว และไม่เห็นแม้แต่เงาของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


หากนางมิได้คลำที่ลำคอแล้วพบว่ามีสร้อยละก็ อวี้เฟยเยียนก็คงคิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่งเท่านั้น


 


 


คนเลว!


 


 


คลำริมฝีปากที่บวมเจ่อ อวี้เฟยเยียนก็ด่าซย่าโหวฉิงเทียนอย่างสาดเสียเทเสีย


 


 


ไม่รู้ว่าไปเรียนกับสวะที่ไหนมา ถึงได้ใช้ปากประกบไม่ให้คนพูดได้ พากันหลงผิดกันไปหมด!


 


 


อวี้เฟยเยียนรีบหาขี้ผึ้งทาริมฝีปากอย่างรวดเร็วก่อนไปเปิดประตู


 


 


“แม่นางน้อยอวี้ เจ้ารีบไปดูเจ้าสำนักหลินหน่อยเถิด!”


 


 


“พิษในตัวของเขาข้าถอนได้เพียงครึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่ข้าถอนไม่ได้”


 


 


หมอเทวดาฮั่วเพิ่งจะหลับตาลง ประตูห้องก็ถูกพังเข้ามา แล้วเจ้าสำนักหลินก็เหินเข้ามาตกลงบนเตียง เกือบจะทับเขาจนขาดอากาศหายใจตายเสียแล้ว หากมิเห็นว่าเป็นเจ้าสำนักหลินละก็ หมอเทวดาฮั่วก็คงไม่รีรอด่ามารดาเขาไปแล้ว!


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนไปถึง ใช้การฝังเข็มแค่ไม่กี่เล่มก็สามารถควบคุมพิษในร่างของเจ้าสำนักหลินเอาไว้ได้ กระทั่งนางหยิบยาเม็ดหนึ่งขึ้นมา ผู้เฒ่าเจ็ดและหมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับตกอกตกใจไม่น้อย


 


 


“แม่นางน้อย นี่มันยาพิษนะ!”ผู้เฒ่าเจ็ดก็พลอยเรียกอวี้เฟยเยียนตามหมอเทวดาฮั่วไปด้วย


 


 


“นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าใช้พิษสยบพิษ!”


 


 


คำตอบของอวี้เฟยเยียนทำให้ผู้เฒ่าเจ็ดและผู้อาวุโสฮั่วต้องมองสบสายตากัน ใช้พิษสยบพิษ นี่นับว่าเป็นวิธีการแก้พิษแบบใหม่เลยนะนี่ วิเศษจริงเชียว!


 


 


พยายามอยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเจ้าสำนักหลินก็หายใจสม่ำเสมอ สถานการณ์จึงนับว่าคลี่คลายไปได้


 


 


อวี้เฟยเยียนกลับมาพักผ่อนแค่เพียงไม่ถึงสองชั่วยามก็ตื่นแล้ว จึงนอนไม่หลับอีกเลย


 


 


ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น! อวี้เฟยเยียนชันกายลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำล้างหน้า จวบจนประตูห้องเปิดออก พบว่าทุกคนมาพร้อมเพรียงกันแล้ว


 


 


ผู้เฒ่าเจ็ดฟื้นตัวได้เจ็ดแปดส่วน เจ้าสำนักหลินก็ลืมตาได้แล้วทั้งยังสามารถพูดจาโต้ตอบได้ แม้กระทั่งเหลียนจิ่นก็ยิ่งสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ดูแล้วไข่มุกวารีปีศาจมีประโยชน์กับเขาเป็นอย่างมาก ความพยายามของอวี้เฟยเยียนนับว่าไม่สูญเปล่า


 


 


รอจนทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติการตามหน้าที่ ที่อวี้เฟยเยียนวางแผนไว้เมื่อวาน


 


 


“ครั้งนี้ข้าก็ไม่ขอร่วมวงด้วยละกัน! ข้ากับมั่วซางอยู่ที่นี่ดูแลเจ้าสำนักหลิน!”


 


 


 เหลียนจิ่นรู้ว่าตนเองไร้ซึ่งวรยุทธ์หากไปก็จะไปเป็นภาระ ดังนั้นจึงเลือกที่จะคอยอยู่ที่นี่


 


 


ขณะที่อวี้เฟยเยียนจะออกไปนั้น เหลียนจิ่นไปส่งนางที่หน้าประตู แล้วแอบกระซิบบอกนางว่า “เฟยเยี่ยน ศึกวันนี้จะประกาศชื่อของเจ้าในทั่วแผ่นดิน!”


 


 


“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”


 


 


ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนตอบรับ เงาสีม่วงก็ปรากฏที่ประตูหน้าเรือน


 


 


“เจ้าไม้เท้าเทพ! มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าวางใจได้เลย!”


 


 


“ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาเสียที!”


 


 


ครั้นเห็นซย่าโหวฉิงเทียนปลอดภัย เหลียนจิ่นก็ผ่อนลมหายใจออกมา


 


 


ถึงแม้ว่าแผนการของอวี้เฟยเยียนจะดีเยี่ยม แต่ก็ยังห่างไกลจากพลังของคนของศัตรูอยู่มาก ตอนนี้ยังมีดาวมรณะดวงนี้เพิ่มมาอีก พลังในการต่อสู้ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ!


 


 


แต่ครั้งนี้ เหลียนจิ่นกลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย


 


 


ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขากังวลนั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนจะเล่นสนุกจนเลยเถิด แล้วทำลายหอราชาโอสถจนราบ…


 


 


แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นก็พิสูจน์การคาดเดาของเหลียนจิ่นได้เป็นอย่างดี


 


 


แน่นอน เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยว่ากัน


 


 


“ปรากฏตัวมาตอนสำคัญ ถึงจะรับรู้ได้ถึงคุณค่าของข้า!”


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียมองเห็นอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีที่เบื้องหลังอวี้เฟยเยียน ก็รีบสำรวมความทะนงตนทันที


 


 


“ท่านลุง! ท่านป้า! อรุณสวัสดิ์”


 


 


คำเอ่ยทักทายของเขา ทำเอามู่เหนี่ยนซีถึงกับหน้าแดงยกใหญ่


 


 


นางเยาว์วัยกว่าซย่าโหวฉิงเทียน ทว่ากลับถูกเขาเรียกขานว่าป้า ไม่ต้องคิดเลย เพราะเขาเรียกอวี้เชียนเสวี่ยว่าท่านลุง แล้วนางก็กลายเป็นภรรยาของอวี้เชียนเสวี่ยไป


 


 


“ข้าไม่ใช่ ข้าจะคู่ควรกับเขาได้อย่างไร…”


 


 


“ท่านป้า เหตุใดถึงได้ดูถูกตัวเองเช่นนั้นเล่า! ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ท่านลุงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องของคนบางคนทั้งคืนเลยนะ! หัวใจเป็นที่ประจักษ์!”


 


 


ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเปิดเผยเรื่องจริง ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยทำหน้ามิถูก


 


 


เดิมทีแล้วเขาเพียงแค่ต้องการตักเตือนซย่าโหวฉิงเทียนสักหน่อย ว่าให้อยู่ให้ไกลจากหลานสาวของเขา แต่กลับถูกอีกฝ่ายเปิดโปงเช่นนี้ มันช่างยากจะรับไหวจริงๆ!


 


 


“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!”


 


 


อวี้เฟยเยียนใช้การที่ซย่าโหวฉิงเทียนแพร่งพรายเรื่องราวนี้ให้เป็นประโยชน์ นางรีบก้าวแล้วจับแขนของมู่เหนี่ยนซี ทำสีหน้าอมยิ้มล้อเลียนพร้อมกับกล่าวว่า


 


 


“พี่สาว พวกท่านคืนดีกันแล้วหรือ”


 


 


มู่เหนี่ยนซีจ้องมองมือที่จับแขนของตนเองอยู่โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้ว่าในใจของนางกำลังเข้าใจผิด จึงลากมู่เหนี่ยนซีไปอีกด้าน แล้วเข้าไปกระซิบประโยคหนึ่งที่ข้างหูของนาง


 


 


และแล้ว มู่เหนี่ยนซีก็เบิ่งตากว้าง สีหน้าตกตะลึง


 


 


“เจ้า คือหลานสาวของเสวี่ย?”


 


 


“จริงแท้แน่นอน! ดังนั้น ท่านป้าสาม ท่านยกโทษให้กับลุงสามเถอะ อย่าได้โกรธเคืองเขาอีกเลย! พี่ไม่เห็นหรือคะว่าท่านลุงเสมือนคนไร้วิญญาณก็ไม่ปาน น่าสงสารจะแย่อยู่แล้ว!”


 


 


อวี้เฟยเยียนคำก็ท่านป้าสาม สองคำก็ท่านป้าสาม ทำเอามู่เหนี่ยนซีที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก นางเหลือบมองอวี้เชียนเสวี่ยจึงพบว่าเขาก็กำลังมองตนเองอยู่เช่นกัน สายตาเขาช่างอ่อนโยน มู่เหนี่ยนซียิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่


 


 


นี่นางเป็นอะไรไป!


 


 


หึงหวงโดยไร้ซึ่งเหตุผล!


 


 


พวกเขาเป็นลุงหลานกันนะ!


 


 


ครั้งนี้ขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูล!


 


 


ตลอดทางที่มาจวบจนกระทั่งถึงสถานที่จัดงานประลอง มู่เหนี่ยนซีไม่ยอมพูดคุยกับอวี้เชียนเสวี่ยเลยเนื่องด้วยความมิกล้า จึงได้แต่ยึดอวี้เฟยเยียนไว้กับตน


 


 


ครานี้ มิเพียงแต่ลำบากอวี้เชียนเสวี่ย แม้กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนก็พลอยอึดอัดไปด้วย


 


 


ท่านป้าสาม ท่านอย่าตอบแทนผู้ที่หวังดีกับท่านด้วยการยึดแมวน้อยเอาไว้ผู้เดียวเช่นนี้เลย ได้หรือไม่


 


 


นี่มันจะไม่ใจแคบไปหน่อยหรอกหรือ


 


 


บรรยากาศชวนอึดอัดเช่นนี้แผ่ซ่านปกคลุมไปตลอดทาง จวบจนถึงสถานที่จัดงานประลองจึงสิ้นสุดลง


 


 


สถานที่จัดงานประลองปรุงโอสถดูราวกับสนามกีฬาขนาดย่อม พื้นที่สี่เหลี่ยมตรงกลางมิถือว่าใหญ่ แต่ก็กว้างขวาง ทั้งสี่ด้านล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ ส่วนที่นั่งของผู้ชมมีทั้งหมดหกชั้น


 


 


แขกที่ถูกเชิญมาเข้างานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีหน้าตาชื่อเสียงในสังคม หนึ่งในนั้นที่ขาดมิได้เลยนั่นก็คือราชนิกุลในราชสำนัก ครอบครัวขุนนางเก่าแก่ชนชั้นสูง ตระกูลที่มีชื่อเสียง ต่างก็ส่งตัวแทนมาเข้าร่วมงาน โดยมีศิษย์ของตำหนักโอสถและเด็กบดยาคอยดูแลรักษาความเรียบร้อยของงาน


 


 


เมื่อผู้เฒ่าใหญ่ในชุดดำเดินเข้ามายังกลางลาน ทั้งสนามก็ค่อยๆเงียบลง


 


 


ในครั้งนี้ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ได้เห็นใบหน้าของผู้เฒ่าใหญ่


 


 


ใบหน้าเขาดำคล้ำเล็กน้อย นัยน์ตาฉายสีแดงเล็กน้อย แลดูเ**้ยมโหดดุดัน ซึ่งแตกต่างจากที่ก่อนหน้านี้เซวียจื่ออี๋เคยกล่าวว่ามีเป็นธรรมและใจดีอย่างสิ้นเชิง


 


 


คนนี้ผู้นี้เป็นตัวปลอมจริงๆ ด้วย!


 


 


“เนื่องจากเจ้าสำนักหลินสุขภาพไม่อำนวย งานชุมนุมประลองโอสถในวันนี้จึงมีข้าเป็นผู้ดำเนินการ”


 


 


ขณะที่กล่าวนั้น ก็คอยมองสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาของเขามาหยุดลงที่อวี้เฟยเยียน แววตาเขาสว่างวาบขึ้นมา


 


 


“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อาณาจักรหลัวอวี่ได้ถือกำเนิดจักรพรรดิยาคนแรก นางก็คือ อวี้หลัวช่า……”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวแล้วก็ชี้นิ้วมาที่อวี้เฟยเยียน


 


 


“อวี้หลัวช่ามาร่วมงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ นับว่าเป็นเกียรติแก่หอราชาโอสถเรา!”


 


 


วาจาผู้อาวุโสใหญ่ทำให้สายตาทุกคู่พุ่งตรงมาที่อวี้เฟยเยียน


 


 


ถูกขานชื่อเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนจึงชันกายลุกขึ้นยิ้มเล็กน้อย พร้อมทั้งโค้งกายทำความเคารพแก่ทุกๆ คน


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ข้าเพียงแต่มาชมความสนุกสนานเท่านั้น มิได้บอกว่าจะมาเข้าร่วมการประลองเสียหน่อย” คำกล่าวของอวี้เฟยเยียนทำเอาผู้ใหญ่หน้าเปลี่ยนสี


 


 


นางมิเข้าร่วม?


 


 


เช่นนั้นจะดำเนินการตามแผนของข้าได้อย่างไรกัน?


 


 


“อวี้หลัวช่า เมื่อมาถึงหอราชาโอสถ แล้วมิเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ มิรู้สึกน่าเสียดายไปหน่อยหรือ รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศลำดับที่หนึ่งในครั้งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก!”


 


 


เมื่อผู้เฒ่าใหญ่ปรบมือ ศิษย์หอราชาโอสถสองคนก็แบกถาดใบหนึ่งเข้ามา ด้านในคือดอกบัวเจ็ดสีที่ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่ว


 


 


“ดอกบัวเจ็ดสีอายุกว่าร้อยปี ถอนพิษได้นับร้อย นี่คือรางวัลผู้ชนะการประลองจากหอราชาโอสถเรา”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวจบ ก็เกิดเสียงอื้ออึงจากผู้ชมทั่วทั้งสารทิศ


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ อย่าพูดมากอีกเลย อย่างไรเสียดอกบัวเจ็ดสีก็ต้องเป็นของสำนักหมื่นพิษของเรา!”


 


 


นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนของสำนักหมื่นพิษ?


 


 


อวี้เฟยเยียนมองไปยังผู้ที่กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมา ชายผู้นั้นรูปร่างผอมสูง ราวกับหน่อไผ่ที่ลีบผอม แต่ทว่าสองมือเขาเป็นสีดำ เพียงมองก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษ

 

 

 


ตอนที่ 77-1 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

 

“จักรพรรดิโอสถอะไรกัน! ในเมื่อไม่เข้าร่วมการประลอง ก็อย่ามาสิ้นเปลืองเวลาของเราอีกเลย!”


 


 


“เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งเป็นจักรพรรดิโอสถบอกใครๆ จะเชื่อ! ใครจะรู้ว่าเจ้ามิได้รับผลประโยชน์ของผู้อื่นมา ถึงได้เปิดประตูให้เขาตามสะดวกกันหา!”


 


 


ขณะที่กล่าว คนผู้นั้นยังเจตนาเหลือบมองมายังอวี้เฟยเยียนด้วยสายตาดูแคลน


 


 


คนของสำนักหมื่นพิษนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แสดงละครให้ใครดูกันหรือ


 


 


อวี้เฟยเยียนยังรักษาสีหน้าและรอยยิ้มที่อ่อนโยนเอาไว้ได้ดี ไม่โกรธเคืองไม่หงุดหงิด แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา


 


 


ตรงกันข้าม เป็นผู้เฒ่าใหญ่ที่ได้ยินคำกล่าวนั้นแล้ว ก็รีบทวงความยุติธรรมให้กับอวี้เฟยเยียนทันที


 


 


“เลี่ยเชวีย เจ้าอย่าพูดจาให้ร้ายผู้อื่น! หอราชาโอสถเรายึดหลักเที่ยงธรรม จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!”


 


 


ได้ฟังคำโต้ตอบของผู้เฒ่าใหญ่แล้ว เลี่ยเชวียก็ยังคงกัดไม่ปล่อย


 


 


“พวกเจ้าทำเป็นพูดจาน่าฟัง ใครจะรู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร แม้แต่หมอเทวดาฮั่ว เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ยังลงมือสังหารเจ้าสำนักหลินได้ หอราชาโอสถของพวกเจ้ายังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกเล่า!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วลอบสังหารเจ้าสำนักหลิน เดิมทีแล้วเป็นเรื่องภายในของหอราชาโอสถ มาตอนนี้กลับถูกเลี่ยเชวียยกมาพูดต่อหน้าธารกำนัล ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่โกรธเกรี้ยวหน้าดำหน้าแดง พูดไม่ออกราวกับกลายเป็นใบ้ไป เฉกเช่นว่าถูกเปิดโปงเรื่องจริงเข้าให้แล้ว


 


 


ซึ่งอากัปกิริยาของผู้เฒ่าใหญ่ คล้ายกับเป็นการพิสูจน์ข้อกล่าวหาของเลี่ยเชวียว่าเป็นจริง ทำให้แขกผู้มาร่วมงานเริ่มถกเถียงกันขึ้นมา


 


 


“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน หมอเทวดาฮั่วที่ใครๆ ต่างก็พากันสรรเสริญว่าเป็นคนดี ไม่เหมือนกับคนที่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้!”


 


 


“ก็ใช่นะสิ! หมอเทวดาฮั่วเป็นถึงจักรพรรดิโอสถแล้ว แล้วจะมาสนใจตำแหน่งเจ้าสำนักอีกทำไมกัน!”


 


 


“เรื่องนี้อาจจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นก็เป็นได้กระมัง”


 


 


ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มิเชื่อคำพูดของเลี่ยเชวีย เพราะอย่างไรเสีย หลายปีมานี้หมอเทวดาฮั่วก็ใช้วิชาแพทย์รักษาผู้คนมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งที่ทำก็ล้วนแต่เป็นการทำความดีช่วยชีวิตผู้คน ชาวบ้านทั่วไปต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญว่าสูงส่ง ไหนเลยที่คำพูดเพียงสองสามประโยคของเลี่ยเชวียจะมาทำลายลงได้


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียนึกมิถึงเลยว่า พวกเขาถึงกับสร้างข่าวลือที่น่าเชื่อถือเช่นนี้ขึ้นมา ทว่าแขกเหรื่อกลับมิเชื่อ ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียสบสายตากัน แล้วก็เป็นเลี่ยเชวีย ที่เอ่ยขึ้น


 


 


“สิบปากว่ามิเท่าตาเห็น”


 


 


“หากว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่เป็นเท็จละก็ เหตุใดเจ้าสำนักหลินมิออกมาควบคุมการจัดงานในครั้งนี้กันเล่า หมอเทวาฮั่วไปจากหอราชาโอสถสิบกว่าปี หากว่าเขากลับมาเข้าร่วมงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาเลยเล่า”


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านเชิญเจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่วออกมา คำกล่าวหาของข้าก็จะเป็นเท็จไปโดยปริยาย! แต่หากว่าท่านเชิญบุคคลทั้งสองออกมามิได้ นั่นก็แสดงว่าคำกล่าวของข้าเป็นเรื่องจริง!”


 


 


“หอราชาโอสถของพวกท่านเป็นที่ที่ปิดบังอำพรางเรื่องชั่วร้ายเอาไว้ ยังมีหน้าเรียกตนเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะ ถุย!”


 


 


เลี่ยเชวียยิ่งพูดสถานการณ์ยิ่งกดดัน แม้กระทั่งศิษย์สำนักหมื่นพิษที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็โบกธงสำนักหมื่นพิษปลิวไสวไปมาด้วยความฮึกเหิม โบกธงกู่ร้อง สนับสนุนเลี่ยเชวียกันยกใหญ่


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ หยิบหลักฐานขึ้นมาแสดงสิ แสดงว่าพวกเราคือสำนักฝ่ายธรรมะ”


 


 


“หลักฐานเล่า”


 


 


เพียงชั่วครู่ พลังอำนาจสำนักหมื่นพิษก็ดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าหอราชาโอสถมากนัก อีกทั้งเมื่อผู้เฒ่าคนอื่นๆ ต้องการออกหน้า ก็ถูกผู้เฒ่าใหญ่ยับยั้งไว้ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว ‘คราวเคราะห์ของสำนักเรา’ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่เลี่ยเชวียกล่าวมา


 


 


คราวนี้ แขกเหรื่อผู้ร่วมงานตกใจไม่น้อย พวกเขาแทบมิกล้าจะยอมรับความจริงนี้


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร หมอเทวดาฮั่วมิใช่คนเช่นนั้น!”


 


 


“ใช่ ข้าเชื่อหมอเทวดาฮั่ว! ท่านเคยช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้ ท่านเป็นคนดี”


 


 


“เรื่องนี้ต้องเป็นการใส่ร้าย!”


 


 


“ใส่ร้ายหรือไม่ ผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถก็ยอมรับแล้ว”


 


 


เลี่ยเชวียยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ที่สุดท้ายก็กล่าวพาดพิงไปที่อวี้เฟยเยียนอีกว่า


 


 


“ในเมื่อหอราชาโอสถมีผู้ที่ชั่วร้ายฆ่าได้แม้กระทั่งศิษย์สำนักเดียวกันเช่นนี้ จึงยากที่จะรับรองว่ารุ่นต่อไปจะมิมีใจที่ละโมบในผลประโยชน์เช่นเขาได้ เพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิดแล้ว ยินยอมรับใครเป็นจักรพรรดิโอสถก็ได้เช่นนี้ มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้! มิฉะนั้น เหตุใดจักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวในแผ่นดินของเราจึงมิยอมเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถกันเล่า เป็นเพราะว่าคนบางคน แท้ที่จริงแล้วมิมีความสามารถจริงน่ะสิ!”


 


 


“สามหาว! “


 


 


มู่เหนี่ยนซีก้าวออกมา ชี้นิ้วไปที่เลี่ยเชวียพร้อมกับตะโกนด่า


 


 


“น้องอวี้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถแท้จริง ไม่เหมือนกับคนบางจำพวกที่เป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง รู้จักแต่การสาดโคลนใส่ผู้อื่น ต่อให้เจ้าอิจฉาริษยาแค้นเคืองผู้อื่นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะแม้กระทั่งให้พวกเจ้าผูกเชือกรองเท้าให้กับน้องอวี้ก็ยังมิคู่ควร!”


 


 


เมื่อเห็นมู่เหนี่ยนซี ใบหน้าเลี่ยเชวียก็มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มก็ยิ่งชั่วร้ายมากขึ้น


 


 


“ข้ายังคิดว่าใคร ที่แท้ก็คือแม่พริกน้อยนั่นเอง!”


 


 


“เมื่อก่อนข้าเคยเห็นเจ้าเพียงครู่เดียว จากระยะไกลเท่านั้น วันนี้ได้เห็นชัดๆ ข้าพึ่งจะเข้าใจ เหตุใดถึงได้มีคนอาลัยอาวรณ์เจ้านักหนา! ผิวพรรณเนียนละเอียด หากเป็นข้า ก็คงรักหัวปักหัวปำทีเดียว เนื้อตัวเต็มไม้เต็มมือเช่นนี้ เป็นผู้ชายคนไหนก็ต้องชอบ!”


 


 


คำพูดเลี่ยเชวีย ทำให้มู่เหนี่ยนซีหน้าซีดเผือด


 


 


ในวาจาเขาบ่งบอกชัดเจนว่า เขารู้ว่าใครที่คิดทำมิดีมิร้ายมู่เหนี่ยนซีเมื่อคืนวาน


 


 


“มันเป็นใคร”


 


 


มู่เหนี่ยนซีกัดริมฝีปากแน่น แววตาฉายแววโหดเ**้ยม


 


 


“เป็นใครงั้นหรือ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”


 


 


“ทว่า ข้าให้เขายืมผงหอมเล็กน้อย คิดว่าเมื่อคืนเจ้าคงจะใช้ชีวิตด้วยความสนุกตื่นเต้นมากล่ะสิ  ฮ่าๆ หากรู้ว่าเจ้าคือสิ่งพิเศษแต่กำเนิดละก็ ข้าคงออกโรงเองแล้ว!  เสียดายจริงๆ…”


 


 


“เจ้ามันสมควรตาย!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีทนไม่ไหวชักกระบี่ออกมา หันไปทางเลี่ยเชวีย


 


 


“โอ้โห อารมณ์ร้ายไม่เบาเลยนะ แม้จะเป็นรองเท้าที่ผุพังแล้ว แต่ข้าก็มิถือสา! ข้าชอบนักแม่นางที่ยั่วยวนเผ็ดร้อนเช่นนี้!”


 


 


เลี่ยเชวียยิ้มชั่วร้ายออกมา นิ้วมือทั้งสิบนิ้วของเขาคลายออก เล็บทั้งสิบที่ยาวและเป็นสีดำสนิท กลายร่างเป็นอาวุธ โจมตีไปที่มู่เหนี่ยนซี


 


 


รังแกท่านป้าสามงั้นหรือ


 


 


รนหาที่ตาย!


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าคนที่ชั่วร้ายต่ำช้าเช่นเลี่ยเชวียมักจะใช้พิษเป็นอาวุธ นางจึงรีบเหาะทะยานออกไป ดึงให้มู่เหนี่ยนซีไปอยู่ที่ด้านหลังตนเพื่อบังนางเอาไว้ แล้วยกมือขึ้นโปรยผงสีฟ้าชมพูออกไป แก้พิษของเลี่ยเชวียเชวีย


 


 


“แค่กๆ!”


 


 


เลี่ยเชวียเซถลาไปด้านหลังสองสามก้าว ดวงตาราวนกเหยี่ยวจ้องมองมาที่อวี้เฟยเยียน


 


 


ในฐานะที่เป็นทูตขวาสำนักหมื่นพิษ เลี่ยเชวียจึงคิดว่าตนเองเชี่ยวชาญการใช้พิษมาโดยตลอด


 


 


ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ พิษที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดถูกอวี้เฟยเยียนขจัดได้ ทำให้เขาอับอายขายหน้าเป็นที่สุด


 


 


“พี่ซี อย่าวู่วาม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนจับมือมู่เหนี่ยนซีเอาไว้


 


 


“มันใช้วิธียั่วยุ พี่อย่าหลงกลมัน ทุกสิ่งที่มันติดค้างพวกเรา ข้าจะต้องทวงมันคืนกลับมาให้จงได้ หากว่าพี่ตอบโต้คำมัน ก็เท่ากับยอมรับคำใส่ร้ายป้ายสีที่มันกล่าวอ้างก็จะติดกับดักมันทันที!”


 


 


ได้ฟังคำเตือนสติของอวี้เฟยเยียนแล้ว มู่เหนี่ยนซีถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ นางเหลือบมองเลี่ยเชวียด้วยสายตาแค้นเคืองครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับไปที่นั่งตนเอง


 


 


“เป็นอะไรไป อวี้หลัวช่า เจ้าคิดที่จะเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถแล้วหรือยัง หากเจ้ามีความกล้า ก็เข้าร่วมการประลองตัดสินแพ้ชนะกับข้าในงานชุมนุมนี้สิ ข้ามิเชื่อหรอกว่าจักรพรรดิโอสถเช่นเจ้าจะมีความสามารถจริง!”


 


 


“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเล่า”


 


 


อวี้เฟยเยียนอมยิ้มขณะนั่งลงบนรั้วกั้น เท้าทั้งสองข้างของนางแกว่งไปมาเป็นจังหวะ เผยให้เห็นความขี้เล่นที่เป็นวิสัยของเด็กสาวแรกรุ่นออกมา


 


 


“เจ้าเชื่อข้าก็ไม่ได้เนื้อเพิ่มขึ้นมา เจ้าไม่เชื่อ เนื้อข้าก็มิได้ลดลงไป”


 


 


“สำหรับข้าแล้ว เรื่องที่ไม่มีประโยชน์กับข้า เหตุใดข้าต้องเข้าร่วมด้วยเล่า”


 


 


ยังมีอีกนะ อย่าได้คิดที่จะใช้บัวเจ็ดสีมาหลอกล่อข้าเสียให้ยาก! ข้ารึก็มิใช่คนบ้านนอกคอกนาที่มิเคยเจอโลกภายนอกเสียหน่อย แค่ดอกไม้เ**่ยวๆ ดอกหนึ่ง ยังกล้านำมาเป็นของรางวัลให้กับผู้ชนะในการประลองโอสถ ช่างน่าขำให้ฟันหลุดเสียจริง หอราชาโอสถของพวกท่านนี่ช่างยากจนข้นแค้นเสียจริงนะ!”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร”


 


 


เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม ผู้เฒ่าใหญ่รีบออกปากถามขึ้นทันที


 


 


“ข้าหรือ”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มเริงร่าในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


“คนอย่างข้าชอบเล่นการละเล่นเป็นหรือตายมากที่สุด หากว่าข้าชนะ พวกท่านตัดหัวมาให้ข้าทำเป็นลูกยางเล่น เป็นไงเล่า”

 

 

 


ตอนที่ 77-2 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

 

วาจาอวี้เฟยยียนทำให้ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียชักสีหน้าพร้อมกัน


 


 


“แม่นางน้อยปากดีไม่น้อย ต้องการจะเอาชีวิตข้า เจ้ายังเด็กเกินไปหน่อยนะ!”


 


 


ว่าแล้วเลี่ยเชวียก็แค่นเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา


 


 


“ไม่กล้าเล่น เช่นนั้นก็อย่ามาเล่นกับข้าสิ! ข้ารู้ดีว่าคนบางจำพวกรักตัวกลัวตายยิ่งนัก”


 


 


อวี้เฟยเยียน ‘เฮอะ’ คำหนึ่งหันไปทางผู้เฒ่าใหญ่


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ คนของสำนักหมื่นพิษไม่มีความกล้าหาญและพละกำลัง แล้วท่านเล่ามีหรือไม่ หากข้าเข้าร่วมการประลองโอสถแล้ว หากท้ายที่สุดข้าเป็นผู้ชนะละก็…ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านตัดหัวท่าน มาทำเป็นลูกยางให้ข้า ดีหรือไม่”


 


 


“ข้าว่าหัวท่านกลมเกลี้ยงดีนัก หากนำมาทำเป็นลูกยางละก็ คงจะกลิ้งได้ไกลทีเดียว!”


 


 


“เด็กเมื่อวานซืน เจ้าว่าอันใดนะ!”


 


 


ไม่รอให้ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวอะไรต่อ ผู้เฒ่าหกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ก้าวออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด


 


 


“หอราชาโอสถของเราไม่ต้อนรับผู้ที่ไร้การอบรมเช่นเจ้า เจ้าออกไปเสีย!”


 


 


“ใช่ เจ้าออกไปเสีย!”


 


 


ผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าห้าไม่พอใจอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก


 


 


ในสายตาพวกเขา ฝีปากที่สามหาวอวี้เฟยเยียน มิได้เจาะจงเฉพาะกับผู้เฒ่าใหญ่เท่านั้น แต่มันเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามไปถึงหอราชาโอสถ


 


 


ต่อให้นางเป็นจักรพรรดิโอสถ แล้วอย่างไรเล่า!


 


 


หอราชาโอสถจะมิยอมให้ใครมารังแกถึงที่เป็นแน่!


 


 


มองดูผู้เฒ่าทั้งสามที่ออกมาโต้แย้งการกระทำและคำพูดของตนเองแล้ว อวี้เฟยเยียนก็นึกถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในหอราชาโอสถของผู้เฒ่าเจ็ดเมื่อเช้านี้


 


 


หอราชาโอสถ มีผู้เฒ่าทั้งหมดเจ็ดคน


 


 


ผู้เฒ่าสองและผู้เฒ่าสามมิรู้ว่าทำผิดเรื่องอะไร ในวันก่อนเริ่มงานชุมนุมประลองโอสถนี้ถึงได้ถูกผู้เฒ่าใหญ่จับขังเอาไว้


 


 


ดังนั้นผู้เฒ่าที่ออกมาตอบโต้นางนี้ก็คงจะเป็นผู้เฒ่าสี่ ผู้เฒ่าห้าและผู้เฒ่าหก


 


 


ในบรรดาผู้เฒ่าทั้งสาม ผู้เฒ่าหกซื่อตรงที่สุด ผู้เฒ่าห้าปลิ้นปล้อนที่สุด ส่วนผู้เฒ่าสี่มีความสามารถในการปรุงยามากที่สุด แต่เขาก็เป็นพวกหัวโบราณเป็นไม้แก่อยู่บ้าง


 


 


สำหรับเรื่องที่ว่าในบรรดาผู้เฒ่าทั้งหลาย มีใครเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้เฒ่าใหญ่บ้างนั้น หรือ ผู้เฒ่าทั้งสามล้วนถูกปิดหูปิดตา จนมิรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของผู้เฒ่าใหญ่กันแน่


 


 


เรื่องนี้ผู้เฒ่าเจ็ดไม่รู้ อวี้เฟยเยียนจึงต้องแยกแยะด้วยตัวเอง


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ยังมิพูดอะไรเลย! พวกท่านร้อนรนอะไรกันหรือ”


 


 


“อีกอย่าง ข้าเดิมพันกับท่านผู้เฒ่าใหญ่ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกท่านสักหน่อย พวกท่านวางใจได้เลย ต่อให้ข้าชนะหอราชาโอสถ ผู้ที่เดิมพันแล้วยอมรับความพ่ายแพ้นั่นก็คือผู้เฒ่าใหญ่ ข้าไม่ได้ฆ่าพวกท่านทั้งหมดเสียหน่อย!”


 


 


คำพูดพิลึกพิลั่นของอวี้เฟยเยียน ทำเอาผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง


 


 


ผู้เฒ่าทั้งสองไปตรงหน้าผู้เฒ่าใหญ่เพื่อขอร้อง ให้ไล่อวี้เฟยเยียนไป อย่าให้นางเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถได้


 


 


เดิมทีแล้วพวกเขาก็เป็นหนึ่งในกรรมการในการประลองครั้งนี้ การเสนอข้อเรียกร้องนี้ขึ้นมาก็มิถือว่าเกินไป


 


 


ทว่า ผู้เฒ่าใหญ่มิใช่ผู้เฒ่าใหญ่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งตอนนี้อวี้เฟยเยียนก็กำลังจะติดกับ แล้วเขาจะฟังในสิ่งที่ผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหกเรียกร้องมางั้นหรือ


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่อยากจะเอาอวี้เฟยเยียนมาทำยาจนแทบจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว!


 


 


เห็นผู้เฒ่าใหญ่ไม่ยินยอม ผู้เฒ่าหกก็โกรธจนทนไม่ไหว


 


 


“ได้! ในเมื่อผู้เฒ่าใหญ่ตัดสินใจที่จะให้อวี้หลัวช่าเข้าร่วมงานชุมนุมประลองปรุงโอสถ เช่นนั้นข้าก็ถอนตัว อย่างไรเสียมีนางไม่มีข้า มีข้าไม่มีนาง!”


 


 


“ผู้เฒ่าเจ็ดพูดถูกต้อง! หอราชาโอสถเราตกต่ำถึงขนาดให้เด็กเมื่อวานซืนมาชี้นิ้วสั่งได้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ในเมื่อนางจะเข้าร่วมงาน ข้าก็ไม่เป็นแล้วกรรมการ ข้าไม่เป็นแล้ว!”


 


 


ผู้เฒ่าทั้งสองกล่าวจบก็จะเดินออกไป ทำเอาผู้อาวุโสห้าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะขึ้นมา


 


 


“ตาแก่สี่ ตาแก่หก อย่าเพิ่งวู่วาม อย่าเพิ่งวู่วาม!”


 


 


“ตาแก่ห้า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกหญ้าน้อยพลิ้วที่ไหวตามลม!”


 


 


ประโยคต่อมาผู้เฒ่าสี่กล่าวแทงใจดำผู้เฒ่าห้าอย่างจัง


 


 


“ความอัปยศนี้เจ้ากลืนมันลงไปได้ แต่ข้ากลืนไม่ลง เจ้าบอกมา ว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ทนถูกรังแกต่อไป หรือจะไปกับพวกเรา!”


 


 


“ข้า ข้า…”


 


 


ผู้เฒ่าห้าสับสนลังเลอยู่นาน เหลือบมองไปที่ผู้เฒ่าใหญ่ที แล้วหันไปมองผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหกที สุดท้ายจึงมองมาที่อวี้เฟยเยียน


 


 


“ผู้เฒ่าห้า ท่านอยู่ให้กำลังใจผู้เฒ่าใหญ่เถอะ”


 


 


“เผื่อว่าผู้เฒ่าใหญ่ไม่มีผู้ช่วย ท่านก็จะได้เป็นตัวแทนดูแลจัดการหอราชาโอสถแทนอย่างไรเล่า! หนึ่งหัว ก็ลูกบอล สองหัว ก็ลูกบอลอยู่ดี ข้าไม่ถือว่าเยอะเกินไปหรอก”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวยิ้มๆ


 


 


ได้ฟังเช่นนั้น ผู้เฒ่าห้าก็รีบส่ายหัวทันที ข้ากลัวตายมากนะ!


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ข้าสละสิทธิ์! ข้าเอ่อท้องไม่ค่อยจะดี! ขอตัวก่อน…”


 


 


ว่าแล้วผู้เฒ่าห้าก็เผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหมอกควันที่มลายหายไป รวดเร็วยิ่งกว่าหนูวิ่งเสียอีก


 


 


ส่วนที่ตามเขาออกไปนันก็คือผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหก


 


 


“ท่านสี่ ท่านห้า ท่านหก! พวกเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปเพื่อห้ามปรามผู้เฒ่าทั้งสาม หารู้ไม่ว่าพวกเขาทั้งสามตัดสินใจแน่วแน่ อย่างไรเสียก็ไม่ยอมกลับมาเป็นกรรมการอีก


 


 


คราวนี้ หอราชาโอสถจึงเหลือเพียงผู้เฒ่าใหญ่เพียงคนเดียว ซึ่งนี่นับว่าเหนือความคาดหมายของผู้เฒ่าใหญ่จริงๆ


 


 


อวี้เฟยเยียนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็แน่ใจทันทีว่า


 


 


ผู้เฒ่าสี่และผู้เฒ่าหกมิใช่ผู้ร่วมขบวนการกับผู้เฒ่าใหญ่อย่างแน่นอน ส่วนผู้เฒ่าห้านั้น ถึงแม้ว่าจะรักตัวกลัวตายไปสักหน่อย แต่ก็น่าจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผู้เฒ่าใหญ่เช่นกัน


 


 


มิเสียแรงที่อวี้เฟยเยียนยอมลงทุนทำลายภาพลักษณ์ตนเองถึงเพียงนี้ ยอมกล่าววาจาโอหังเพื่อให้พวกเขาโกรธแล้วจากไป


 


 


ทำเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรักษาผู้อาวุโสที่มีอำนาจทั้งคำพูดยังมีน้ำหนักต่อหอราชาโอสถ เอาไว้ได้ หวังว่าผู้เฒ่าเจ็ดและหมอเทวดาฮั่วจะตามหาพวกเขาเจอ ผู้เฒ่าทั้งหลายร่วมมือกันรักษาหอราชาโอสถเอาไว้


 


 


แต่ทว่า การแสดงออกของผู้เฒ่าทั้งสาม เป็นสิ่งที่บอกได้ชัดเจนว่าผู้เฒ่าใหญ่ก็มีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก!


 


 


หลายปีที่ผ่านมา ผู้เฒ่าหอราชาโอสถมิได้ถูกควบคุมเอาไว้ ทูตขวาสำนักหมื่นพิษก็มิได้เก่งกาจเท่าไหร่


 


 


สิ่งที่อวี้เฟยเยียนไม่รู้นั่นก็คือ ผู้เฒ่าหลายคนของหอราโอสถล้วนแล้วแต่ เป็นมนุษย์จำพวกบัณฑิตทั้งนั้น สิ่งชื่นชอบเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการปรุงยา มิสนใจสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้ หากคิดที่จะซื้อตัวพวกเขาละก็จึงยากเสียยิ่งกว่าไปสวรรค์


 


 


แต่ทว่า เขาซื้อตัวเหล่าผู้เฒ่าไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อตัวพวกเด็กปรุงยาและศิษย์คนอื่นมิได้


 


 


ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าทั้งหลายมีจะศิษย์เป็นของตนเอง แต่ ศิษย์ที่ใช้การปรุงยาเป็นอาชีพจริงๆ มิได้ใช้สถานะนักปรุงยานี้เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตนนั้นมีจำนวนน้อยนัก


 


 


มีคนมากมายที่ใช้วิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมาแสวงหาชื่อเสียงและเงินตราเข้าหาตน คนเหล่านี้กลับมีจำนวนมากมาย


 


 


และคนเช่นนี้ ก็จะถูกซื้อตัวได้ง่าย


 


 


ยิ่งกว่านั้นถึงแม้ว่าผู้เฒ่าใหญ่จะมิสามารถสั่งลงโทษผู้เฒ่าคนอื่นๆ โดยซึ่งหน้าได้ก็ตามที แต่ก็สามารถหาเหตุผลต่างๆ นานา มาจัดการพวกศิษย์ที่ไม่ยอมศิโรราบได้อย่างง่ายดาย


 


 


ดังนั้น ถึงแม้ว่านอกจากผู้เฒ่าใหญ่แล้วจะไม่มีมีผู้เฒ่าคนอื่นเข้าร่วมงานประลองโอสถในครั้งนี้ แต่ทว่านักปรุงยาและศิษย์ของหอราชาโอสถก็ยังมาเข้าร่วมงานกันมากมาย


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ข้อเสนอข้าเมื่อครู่ ท่านยอมรับหรือไม่”


 


 


อวี้เฟยเยียนลอยตัวลงมาที่ใจกลางสนาม


 


 


นางใช้ผ้าแพรผืนบางปกปิดใบหน้า สวมชุดกระโปรงสีอ่อนทั้งชุด ท่วงท่าขณะที่ร่างนางกำลังลงสู่พื้นนั้นช่างงดงามราวกับเทพเซียน แลคล้ายกับเทพธิดาลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน


 


 


“เฮอะ! อวี้หลัวช่า ช่างปากกล้ายิ่งนัก”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่สีหน้าเย็นชากล่าวขึ้นว่า


 


 


“เจ้าพูดเพียงแต่ว่าหากเจ้าชนะแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วหากเจ้าแพ้เล่า”


 


 


“เหอะๆ แพ้”


 


 


อวี้เฟยเยียน ‘เหอะ’ ขึ้นมาหนึ่งคำ


 


 


“ข้าจะแพ้ได้อย่างไรกัน แม้แต่หมอเทวดาฮั่วยังพ่ายแพ้ให้กับข้า ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านเก่งกาจกว่าหมอเทวดาฮั่วอีกอย่างนั้นหรือ หรือว่า ลำดับขั้นท่านอยู่เหนือกว่าเจ้าจักรพรรดิโอสถหรือ”


 


 


คำพูดอวี้เฟยเยียนปิดปากผู้เฒ่าใหญ่ได้ชะงัดนัก


 


 


เขาพยายามแทบตาย จนในที่สุดก็เป็นเจ้าโอสถได้ แต่อวี้เฟยเยียนกลับเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ เมื่อเทียบแล้วยังห่างไกลจากนางอีกหนึ่งขั้นเต็มๆ


 


 


เปรียบเทียบคนกับคน ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่วางใจได้เลย!”


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ลอยเข้ามา หูซาแบกดาบพาดบ่าปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชม


 


 


ถ้าหากว่านางแพ้แล้วคิดจะหลบหลีก ต้องถามดาบข้าก่อนว่ายินยอมหรือไม่!

 

 

 


ตอนที่ 77-3 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

 

จู่ๆ หูซาก็โผล่ออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเขายืนอยู่ด้านผู้เฒ่าใหญ่ ทำให้อวี้เฟยเยียนเข้าใจบางอย่างขึ้นมาในทันที ไม่ว่าอย่างไร เจ้าหมอนี่ก็มิคิดที่จะปล่อยนางไปอยู่แล้ว!


 


 


อีกทั้ง แม้แต่ข้ออ้างที่จะสังหารนางหูซาก็ยังคิดไว้เรียบร้อยเสร็จสรรพ!


 


 


ยอมเดิมพันรับความพ่ายแพ้ เข้าใจหาข้ออ้างที่สวยงามนักนะ!


 


 


เมื่อเห็นการมาหูซา เลี่ยเชวียก็ยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันเหลืองซี่ใหญ่ภายในช่องปาก


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


“สิ่งที่ข้าและผู้เฒ่าใหญ่กังวลนั้นเหมือนกัน! ได้ยินว่าอวี้หลัวช่าสำเร็จถึงขั้นราชันแล้ว! ข้ากังวลว่าหากนางพ่ายแพ้จะมิยอมปลิดชีพตนเองน่ะสิ”


 


 


“ตอนนี้ จอมเทวายอมออกหน้าเพื่อความเป็นธรรม ข้าก็คลายกังวลไปได้มาก! การประลองครั้งนี้ ข้าตอบรับ!”


 


 


ลำพังแต่ผู้เฒ่าใหญ่มิเพียงพอที่จะไขข้อข้องใจอวี้เฟยเยียนได้ แต่ครั้งนี้เลี่ยเชวียก็ออกหน้าเช่นกัน นั่นก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่า เลี่ยเชวียและหูซารู้จักคุ้นเคยกันดีอย่างแน่นอน


 


 


ทำให้อวี้เฟยเยียนคิดถึงเหตุการณ์หน้าประตูหอราชาโอสถขึ้นมาทันที มู่เหนี่ยนซีเคยหัวเราะเยาะหูซาเอาไว้


 


 


ตามหลักแล้ว มู่เหนี่ยนซีมาที่หุบเขาลั่วสยาในช่วงเวลาสั้นๆ มิอาจล่วงเกินใครได้


 


 


คนเดียวที่นางล่วงเกิน ก็มีเพียงหูซา


 


 


อีกทั้งหูซาคนนี้ก็มีความบาดหมางรุนแรงกับอวี้เฟยเยียนอีกด้วย


 


 


ตอนนี้หูซาและเลี่ยเชวียทักทายกันด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย นั่นก็เป็นพิสูจน์คำพูดของเลี่ยเชวียก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน เขามอบผงหอมให้กับหูซา ดังนั้นคนที่บุกมารังแกมู่เหนี่ยนซีเมื่อคืนนี้ก็คือหูซา!


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดได้ มู่เหนี่ยนซีมู่เหนี่ยนซีก็เดาได้เช่นเดียวกัน


 


 


ยิ่งมองรอยข่วนบนใบหน้าหูซา ซึ่งถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษามาอย่างดี ทำให้ร่องรอยบาดแผลบรรเทาลงเป็นอย่างมาก แต่ทว่ามู่เหนี่ยนซีก็ยังจำได้ มันนี่เองที่ทำเรื่องไม่ดีกับนาง!


 


 


ขณะที่มู่เหนี่ยนซีดิ้นรนต่อสู้นั้น นางเคยข่วนที่แก้มคนผู้นั้น


 


 


วันนี้ หลักฐานพร้อมมูล คนผู้นั้นก็คือหูซา!


 


 


“เป็นอะไรไป”


 


 


เห็นมู่เหนี่ยนซีกำมือแน่น โกรธแค้นจนทั่วร่างสั่นเทาไป อวี้เชียนเสวี่ยจึงรีบกุมมือนาง พบว่า มือทั้งสองข้างของมู่เหนี่ยนซีเย็นราวน้ำแข็ง


 


 


“เหนี่ยนซี…”


 


 


“เป็นมัน! ไอ้คนเมื่อคืนนี้คือมัน!”


 


 


เพียงไม่กี่คำที่มู่เหนี่ยนซีกล่าวลอดไรฟันออกมา


 


 


“เขา”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยมองไปที่หูซา


 


 


น่าขยะแขยงที่สุด เป็นถึงจอมเทวาจอมเทวา แต่กระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ออกมาได้!


 


 


สีหน้าอวี้เชียนเสวี่ยดุดันขึ้นมา


 


 


“เหนี่ยนซี เจ้าไม่ต้องกลัว วันนี้มันหนีไปไม่รอดแน่!”


 


 


อากัปกิริยามู่เหนี่ยนซีบวกกับความมั่นใจของอวี้เฟยเยียน ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่นางคาดเดาเป็นความจริง


 


 


หูซา


 


 


จะรังแกท่านป้าสามข้าอย่างนั้นหรือ


 


 


เกรงว่าครั้งนี้เจ้ามาได้แต่กลับไม่ได้!


 


 


หลัวช่า เราเจอกันอีกแล้ว!


 


 


หลัวช่าจ้องมองอวี้เฟยเยียน รอยบาดบนใบหน้าทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก


 


 


“วาจาข้าเมื่อครู่ เจ้าคงมิมีอะไรขัดข้องใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าเสนอการเดิมพันด้วยชีวิตขึ้นมา ก็ต้องเตรียมตัวในเรื่องนี้”


 


 


“เหอะๆ ข้าไม่มีปัญหา แต่เกรงว่าเจ้าจะแพ้ไม่เป็นน่ะสิ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มเยือกเย็นออกมา


 


 


หูซา สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูกลับดึงดันจะมา!


 


 


วันนี้บัญชีเก่าบัญชีใหม่คิดรวมกันเลยเสียทีเดียว!


 


 


หากไม่กระชากหน้ากากสุนัขเจ้าออกมา ขอมิใช้ชื่ออวี้เฟยเยียน!


 


 


“อวี้หลัวช่า เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด! ข้าเพียงมาเป็นกรรมการที่เป็นธรรมเท่านั้น หากท่านชนะ ก็ย่อมฟังที่ท่านพูด! ข้ายืนอยู่ข้างความถูกต้อง จะมิช่วยคนกันเองอย่างแน่นอน!”


 


 


“ยืนอยู่ข้างความถูกต้อง จะมิช่วยคนกันเองอย่างแน่นอน! พูดได้ดี!”


 


 


เมื่อมองไปบนเวที ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปรบมือขึ้น


 


 


“เรื่องสนุกๆ เช่นนี้ จะขาดข้าไปได้อย่างไรกัน!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหยัดกายยืนขึ้น ชุดสีม่วงเขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คน


 


 


ก่อนหน้านี้ทีความสนใจของทุกคนพุ่งตรงไปยังอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถูกฮันจื่อยับยั้งเอาไว้


 


 


มาตอนนี้เขายืนขึ้น เมื่อมองดูชุดสีม่วงเข้มที่คุ้นเคยรับกับลวดลายดอกยวนเหว่ย[1]สีม่วงบนผ้าแล้ว บนเวทีก็เริ่มร้อนระอุขึ้นมา


 


 


“นั่นหลินเจียงอ๋อง!”


 


 


“สวรรค์! ดาวหายนะมาได้อย่างไรกัน”


 


 


“เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย”


 


 


“เขามาทำไมกัน”


 


 


การปรากฏกายของซย่าโหวฉิงเทียน อยู่นอกเหนือความคาดหมายทุกคน รวมทั้งผู้อาวุโสใหญ่คนของสำนักหมื่นพิษ และหูซาด้วย


 


 


“หลินเจียงอ๋อง นี่คืองานประลองปรุงโอสถ แล้วท่านก็ไม่ใช่นักปรุงยา เช่นนั้นเกี่ยวอันใดกับท่านด้วย!”


 


 


คนอื่นหวาดกลัวซย่าโหวฉิงเทียน แต่ข้าหูซาคือจอมเทวาจอมเทวา เขาจึงไม่กลัวเลยสักนิด


 


 


“เจ้าก็ไม่ใช่นักปรุงยา ยังมีหน้ามาชี้มือชี้ไม้สั่งการ แล้วเหตุใดข้าจะมาไม่ได้เล่า”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มราวมิรู้เรื่องรู้ราวใดๆ


 


 


จู่ๆ ก็มีหลินเจียงอ๋องโผล่ขึ้นมาอีก ทำให้ผู้เฒ่าใหญ่ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก


 


 


ถึงแม้ว่าสำนักหมื่นพิษและซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่รู้จักมักจี่อะไรกันเลย แต่เขาก็รู้ว่า ซย่าโหวฉิงเทียนคนนี้เป็นบุคคลที่ไม่ควรข้องแวะยุ่งเกี่ยวเป็นที่สุด จุดจบของอาณาจักรซีเย่ว์ พิสูจน์ให้เห็นถึงความเ**้ยมโหดของอ๋องผู้นี้ได้เป็นอย่างดี


 


 


บนแผ่นดินนี้มักจะมีคนบางกลุ่มที่เป็นดั่งพญาต่อที่บ้าคลั่งก็มิปาน มิอาจไปหาเรื่องได้ มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิต


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก็คือคนบ้าคลั่งในบ้าคลั่ง!


 


 


ทว่าตอนนี้เขาบีบบังคับกันเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องยืนขึ้นมา


 


 


“จอมเทวาหูซาเป็นสหายของข้า ข้าเชิญเขามาเอง!”


 


 


“เช่นนั้นหรือ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบคางตนเองไปพลางกล่าวว่า


 


 


“นั่นมันไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย!”


 


 


“แค่งานประลองปรุงโอสถเล็กๆ พวกเจ้าก็เชิญจอมเทวามา จะข่มใครกัน!”


 


 


“หากว่าอวี้หลัวช่าชนะ แล้วพวกเจ้ามิยอมรับจะว่าอย่างไร มิใช่ทุกคนที่จะหาญกล้ายอมรับว่าตนอ่อนแอ รับเดิมพันย่อมยอมรับความพ่ายแพ้หรอกนะ! นี่มันเห็นได้ชัดว่าต้องการรังแกสาวน้อยที่ไร้ซึ่งที่พึ่ง!”


 


 


เซี่ยโหวฉิงเทียนตอแยไม่เลิก ทำให้เลี่ยเชวียเริ่มโกรธจนทนไม่ไหว


 


 


“หลินเจียงอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน”


 


 


“ความหมายข้า เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ โง่เขลาเสียจริง!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน ‘เฮอะ’ ด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วกล่าวว่า


 


 


“ในเมื่อพวกเจ้าเชิญจอมเทวามาเพื่อให้เป็นที่พึ่ง เช่นนั้นข้าก็จะยอมฝืนใจ เป็นที่พึ่งให้กับแม่นางน้อยเช่นกัน! หากนางเกิดชนะขึ้นมา อาจจะถูกพวกหน้าไม่อายกลับผิดเป็นถูก ถูกรังแกเอาได้!”


 


 


ครานี้ ผู้อาวุโสใหญ่ เลี่ยเชวียและหูซาก็เข้าใจในทันที


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมาทำให้เรื่องมันยุ่งวุ่นวายนี่เอง!


 


 


“เฮอะ! หลินเจียงอ๋อง ท่านคงจะลืมเรื่องราวเมื่อครั้งที่ท่านไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉินจื้อไปแล้วกระมัง!”


 


 


หูซาดูถูกซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก


 


 


อย่างไรเสีย เขาก็เคยเป็นตัวประกันมา ทั้งยังต้องอยู่ในฐานะตัวประกันที่ แคว้นฉินจื้อมานับสิบปี


 


 


หลังเหตุการณ์นั้นไม่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเก่งกาจ แข็งแกร่งขนาดไหนหรือโหดร้ายเพียงใดก็ตาม ก็ล้างความอัปยศที่ตนเองเคยเป็นตัวประกันไปไม่ได้


 


 


“ประสบการณ์ช่วงนั้น ข้าจะลืมได้อย่างไรกัน!”


 


 


“ดังนั้น ข้าถึงทนดูมิได้ที่ท่านทั้งสี่ ใช้ความเป็นจอมเทวารังแกผู้อื่น นี่ต่างหากที่เรียกว่าอยุติธรรม!”


 


 


“พูดให้ถูกต้องก็คือ ข้าเห็นเจ้าแล้วขัดตา จึงเจตนามาหาเรื่อง! เรื่องนี้ ข้าต้องยุ่ง เจ้าจะว่าอย่างไร!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องมองไปที่หูซา จุดชาดตรงหว่างคิ้ว แดงราวโลหิตสด


 


 


ยอมเสียดีๆ!


 


 


เมื่อเห็นสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนปฏิบัติกับจอมเทวาหูซาบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็พากันหัวหดไปตามๆ กัน


 


 


อีกฝ่ายเป็นถึงจอมเทวาเชียวนะ!


 


 


เจียงหลินอ๋องผู้นี้กล้าหาญชาญชัยไม่น้อยเลย!


 


 


แต่ สิ่งที่เขาพูดก็ยอดไปเลย!


 


 


‘ข้าเห็นพวกเจ้าแล้วขัดตา จึงได้มาหาเรื่อง พวกเจ้ามีอะไรหรือไม่’


 


 


วาจาเผด็จการและทรงอำนาจเช่นนี้ ในใต้หล้า คงมีเพียงซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นที่กล้าพูดออกมาได้!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกไอริส

 

 

 


ตอนที่ 77-4 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

 

“เด็กน้อยซย่าโหว อย่าได้เสียมารยาท!”


 


 


ภายหลังจากที่หูซาได้เป็นจอมเทวา ก่อนหน้านั้นนอกจากถูกขั้นจุนซั่งลบหลู่ที่หน้าหอราชาโอสถแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนที่สอง!


 


 


หูซาชักดาบขึ้นมา ตวัดไปทางซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ชิ! แค่เสือกระดาษตัวเดียวเท่านั้น! วันนี้ข้าจะเสียมารยาท เจ้าจะทำไม ยังมีอีกนะ ข้าไม่ชอบให้ใครมาชี้ ข้าขอเตือนให้เจ้าวางดาบลงเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้น ข้าจะตัดกรงเล็บสุนัขเจ้าซะ!”


 


 


 “บ๊อก…อู้…”


 


 


ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูดอยู่นั้น ฮันจื่อก็นั่งสองขา แหงนหน้ามองฟ้าพร้อมกับร้องคำรามเสียงดัง ทำให้ผู้คนตกใจจนกระโดดหนีไปตามๆกัน


 


 


เจ้านาย อย่าใช้สุนัขบรรยายลักษณะเจ้าหมอนี่ ได้หรือไม่


 


 


ข้าก็เป็นสุนัขเช่นกันนะ


 


 


“ข้ากับหมอนี่เดินกันคนละเส้นทาง!


 


 


พูดเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นข้านะ!


 


 


ไม่เอานะ!


 


 


“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอโทษด้วย! กรงเล็บสุนัขนับเป็นการยกยอหมอนั่นต่างหาก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบหัวฮันจื่อแผ่วเบา


 


 


ข้าจะตัดกรงเล็บไก่ของมัน!


 


 


“บ๊อก…อู้…”


 


 


“ถูกต้องแล้ว! กรงเล็บไก่!”


 


 


หนึ่งคนหนึ่งสุนัข เล่นกันอย่างสนุกสนาน ซย่าโหวฉิงเทียนมองข้ามหูซาไปโดยสิ้นเชิง มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ทำเอาหูซาโกรธเกรี้ยวชักดาบจะตอบโต้เขา ทว่ากลับถูกผู้เฒ่าใหญ่ห้ามปรามเอาไว้


 


 


“ทุกท่าน ทุกท่าน ค่อยพูดค่อยจา ค่อยพูดค่อยจากัน!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่ไม่ปรารถนาให้ซย่าโหวฉิงเทียนและหูซาต่อสู้กัน เพราะนั่นเป็นการทำลายแผนที่เขาวางเอาไว้


 


 


“วันนี้เป็นวันประลองปรุงโอสถ พวกเรากลับมาที่เรื่องของเรากัน ดีหรือไม่”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่รีบออกตัวเป็นกลาง แล้วให้หูซาและเซี่ยโหวฉิงเทียนเป็นกรรมการด้วยกัน


 


 


“เหอะ อย่างนี้ค่อยน่าคุยด้วย!”


 


 


ครั้งเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนมานั้น อวี้เฟยเยียนได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหอราชาโอสถให้เขาฟังแล้วรอบหนึ่ง


 


 


เขาเองก็ไม่ได้โง่ ผู้เฒ่าใหญ่และเลี่ยเชวียเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้ เพราะต้องการให้อวี้เฟยเยียนเข้าร่วมการประลอง เบื้องหลังจะต้องมีความลับที่มิอาจบอกใครได้เป็นแน่


 


 


แต่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ตาม หากเกี่ยวข้องกับแมวน้อยเขาล่ะก็ พวกมันก็สมควรตาย!


 


 


ในใจซย่าโหวฉิงเทียน ได้ตัดสินโทษตายให้กับพวกเขาทั้งสองไปแล้ว


 


 


ตอนนี้เพิ่มหูซาเข้าไปอีกคนหนึ่ง


 


 


ที่ประตูหอราชาโอสถ ซย่าโหวฉิงเทียนเคยเตือนหูซาไปแล้ว อวี้เฟยเยียนเป็นคนของเขา ตอนนั้นหูซาก็โขกศีรษะรับปากเป็นอย่างดี แลดูสำนึกได้แล้ว ทว่าแค่เขาหันหลัง หูซากลับเบนเข็มแล้วผลักต้นตอความขัดแย้งไปที่อวี้เฟยเยียนเสียแล้ว คนสองหน้าเช่นเขา น่าให้โดนห้าม้าแยกร่างนัก!


 


 


เมื่อไม่ฟังคำเตือน เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!


 


 


หูซากลับมิได้ล่วงรู้เลยว่า ซย่าโหวฉิงเทียนได้ตระเตรียมโทษตายไว้ให้เขาแล้ว เขาถลึงตาจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนทำท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจขณะตวัดดาบลง


 


 


สำหรับหูซาแล้ว เขาเป็นถึงจอมเทวา แต่กลับต้องมาถูกจัดให้อยู่กับซย่าโหวฉิงเทียน น่าขายหน้าจริงๆ!


 


 


หากเป็นแต่ก่อนละก็ หูซาถลึงตาจ้องมองตนเองเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะควักลูกตาของเขาออกมานานแล้ว


 


 


แต่วันนี้เวทีเป็นของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิอยากสลับแขกเป็นเจ้าบ้าน ดังนั้นจึงอดกลั้นเอาไว้ชั่วคราว มีรอยยิ้มหล่อเหลาประดับใบหน้าเอาไว้


 


 


สงสารก็แต่หูซา เกรงว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังมิรู้ว่าตนเองได้ล่วงเกินบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินไปเสียแล้ว


 


 


มองรอยยิ้มบนใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ได้แต่สวดภาวนาให้กับหูซา


 


 


เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ในที่สุดงานประลองก็เริ่มขึ้น


 


 


ผู้เฒ่าให้ปรบมือหนึ่งครั้ง เด็กน้อยสิบสองคนก็ถูกนำขึ้นมา


 


 


เด็กน้อยทั้งสิบสองคน โตที่สุดก็ไม่เกินเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น เล็กสุดก็สามถึงสี่ขวบ อีกทั้งเสื้อผ้าที่เด็กๆ สวมใส่ก็ขาดเก่ารุ่งริ่ง ผอมโซแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เพียงมองดูก็รู้ได้ว่าที่บ้านคงยากจนข้นแค้นเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อเด็กๆ เหล่านี้ แขกเหรื่อที่มาก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา


 


 


“นำพวกเด็กๆ มาที่งานประลองปรุงโอสถนี้ทำไมกัน”


 


 


“เด็กๆ เหล่านี้ยังเล็กนัก”


 


 


ราวกับล่วงรู้ว่าทุกคนต่างก็สงสัยและตั้งคำถาม ผู้เฒ่าใหญ่หัวเราะขึ้นมา


 


 


“กติกาการแข่งขันในครั้งนี้ง่ายนัก ฝ่ายหนึ่งวางยาพิษ อีกฝ่ายถอนพิษ ฝ่ายที่ถอนพิษได้มากกว่าถือเป็นฝ่ายชนะ!”


 


 


“ใช้เด็กน้อยมาเป็นสิ่งทดลอง มันมิโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ”


 


 


หนึ่งคนกล่าวขึ้น ผู้อื่นก็รีบกล่าวขึ้นมาไม่หยุด


 


 


เพราะอย่างไรก็ยังเป็นหนึ่งชีวิต อีกทั้งยังเป็นเด็กอายุน้อย การกระทำเช่นนี้มันไม่นับว่าเป็นคน!


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่รู้ดีว่าผู้ที่มาร่วมงานจักต้องกล่าวเช่นนี้ จึงรีบอธิบายทันที


 


 


“เด็กพวกนี้ได้ลงลายมือชื่อในสัญญายอมตายแล้ว และหอราชาโอสถก็ได้มอบเงินให้กับพ่อแม่เขาอย่างเพียงพอซื้อพวกเขามา ก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับการประลองปรุงโอสถในครั้งนี้”


 


 


“กระเพาะเด็กๆอ่อนไหวเป็นอย่างมาก ร่างกายอ่อนแอ เช่นนี้ก็จะยิ่งเป็นการทดสอบความสามารถของนักปรุงยา ดังนั้น เลือกพวกเขามาทดลองยา เหมาะสมที่สุดแล้ว!”


 


 


กล่าวจบผู้เฒ่าใหญ่ก็เจตนามองไปที่เลี่ยเชวีย


 


 


“ทูตขวาเลี่ย สำนักหมื่นพิษของพวกท่านถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญการวางยาพิษ แต่ในการประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ ท่านสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นฝ่ายวางยาพิษ หรือจะเป็นฝ่ายแก้พิษ”


 


 


“วางยาพิษ!”


 


 


เลี่ยเชวียกล่าวเสียงเลือดเย็น


 


 


“หรือท่านจะให้ข้าเป็นเหมือนพวกท่าน หอราชาโอสถที่คอยทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นกัน เช่นนั้นพวกเราก็ไม่เรียกว่าสำนักหมื่นพิษแล้ว ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้ายาแล้วละ!”


 


 


“ในเมื่อท่านเลือกที่จะเป็นฝ่ายวางยาพิษ เช่นนั้นพวกเราหอราชาโอสถก็จะเป็นฝ่ายแก้พิษ อวี้หลัวช่า ท่านละ”


 


 


“ข้า”


 


 


อวี้เฟยเยียนแสร้งทำเป็นครุ่นคิด แต่เลี่ยเชวียกลับเลือกแทนนางเสียแล้ว


 


 


“นางย่อมต้องเป็นฝ่ายแก้พิษอยู่แล้ว! หากนางเป็นฝ่ายวางยา เช่นนั้นมิเท่ากับข้ากับนางร่วมมือกันเล่นงานหอราชาโอสถหรือ”


 


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะขัดหูขัดตาหอราชาโอสถยิ่งนัก แต่ก็จะไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นเป็นแน่”


 


 


ความนัยวาจาของเลี่ยเชวียเมื่อครู่คือ หากอวี้เฟยเยียนเลือกที่จะเป็นฝ่ายวางยาพิษ นั่นก็คือเล่นงานหอราชาโอสถ เป็นการกระทำที่ต่ำช้ายิ่งนัก


 


 


ได้ยินเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มบางๆ ออกมา


 


 


“ครั้งนี้ที่ข้าต้องการจะแข่งขันด้วยมิใช่หอราชาโอสถ แต่เป็นทูตขวาแห่งสำนักหมื่นพิษ ท่านคงมิได้ความจำเสื่อมไปแล้วกระมัง!”


 


 


“เมื่อครู่มิใช่พูดกันไว้เสียดิบดี ว่าหากว่าข้าชนะพวกท่านละก็ ท่านทั้งสองจะตัดหัวเอาไว้ให้ข้า มาตอนนี้ความหมายท่านคือให้ความร่วมมือกับหอราชาโอสถต่อกรกับสำนักหมื่นพิษอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ข้ามิรู้เลยจริงว่า สำนักหมื่นพิษที่เรียกตนเองว่าต่ำช้าโหดเ**้ยม เปลี่ยนไปเป็นมิตรและใจกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! นี่ถึงขนาดช่วยเหลือหอราชาโอสถ โดยการให้ข้าร่วมมือกับเขามาต่อกรกับพวกท่านสำนักหมื่นพิษหรือ”


 


 


“พวกท่านกับหอราชาโอสถเป็นเช่นน้ำกับไฟที่มิอาจอยู่ร่วมกัน คิดอยากจะให้อีกฝ่ายตายตลอดเวลามิใช่หรือ ทำไม ตอนนี้คิดที่จะสมานฉันท์กันแล้วเล่า”


 


 


“หรือว่าเบื้องหลัง มีเรื่องอะไรซ่อนอยู่กันแน่”


 

 

 


ตอนที่ 77-5 ข้ามาหาเรื่อง ไม่ยินยอมหรือ

 

วาจาอวี้เฟยเยียนทำเลี่ยเชวียและผู้เฒ่าใหญ่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี


 


 


หรือว่านางเด็กเมื่อวานซืนนี่รู้อะไรเข้าแล้ว


 


 


คิดไปคิดมา ทั้งสองก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ความสัมพันธ์พวกเขา อวี้เฟยเยียนมิมีทางรู้ได้อย่างแน่นอน


 


 


“ในเมื่อท่านไม่เต็มใจ เช่นนั้นท่านว่าควรจะเป็นอย่างไร”


 


 


เลี่ยเชวียโกรธฮึดฮัด เขาสะบัดมือสีดำคล้ำของเขาเป็นการระบาย


 


 


“มีอะไรก็รีบว่ามา เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว!”


 


 


“วิธีการข้าง่ายนิดเดียว ให้เวลาหนึ่งวัน เด็กห้าคน ตัดสินแพ้ชนะ”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวต่อว่า


 


 


“เด็กสิบสองคนสิ้นเปลืองเวลาเกินไป ขอเพียงแค่ห้าคน”


 


 


“สำนักหมื่นพิษวางยาพิษ หากว่าหอราชาโอสถถอนพิษไม่ได้ภายในสองชั่วยาม ก็ให้เป็นหน้าที่ข้า หากภายในวันนี้ข้าสามารถช่วยชีวิตเด็กทั้งห้าคนได้ ก็ถือว่าข้าชนะ!”


 


 


“ห้าคน อวี้หลัวช่า นี่เจ้าเอ่ยปากมาก็ลดลงสามส่วนสี่เชียวหรือ!”


 


 


“ยิ่งกว่านั้นหอราชาโอสถมีเวลาเพียงสองชั่วยาม ที่เหลือเป็นเวลาของเจ้า นี่เจ้ายังกล้าเอ่ยปากออกมาอีกงั้นหรือ!”


 


 


เลี่ยเชวียไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนางเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้แล้ว


 


 


“เหอะ ทูตขวา ท่านและข้าล้วนแล้วมิใช่นักปรุงยาธรรมดา จึงมิจำเป็นจะต้องลีลามากความกระมัง”


 


 


“สองชั่วยามคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตคน หากภายในสองชั่วยามหอราชาโอสถยังช่วยคนไม่ได้ เมื่อมาถึงข้า ท่านคิดว่ายังมีความหวังอีกเท่าไหร่กัน ในการที่จะดึงพวกเขาจากเงื้อมมือมัจจุราชกลับมากัน”


 


 


“ท่านทั้งสองล้วนแต่เป็นทูตซ้ายขวาของแห่งสำนักหมื่นพิษ แล้วยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยทำไมอีก”


 


 


“อีกอย่างหนึ่ง ความร้ายแรงของพิษมิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณหากแต่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นต่างหาก หรือว่าพวกท่านสำนักหมื่นพิษ มิมีวิชาเฉพาะตัวบ้างเลยหรือไร”


 


 


“ยี่สิบคน ให้ข้าถอนพิษคนเดียว หรือท่านคิดว่าข้าเป็นเทพเซียนงั้นหรือ หรือว่า งานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้เป็นกับดักที่ท่านและหอราชาโอสถร่วมมือกัน เจตนาวางไว้ แล้วให้ข้าเดินไปติดกับกันเล่า”


 


 


“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่รีบร้อนออกปากปฏิเสธคำกล่าวหาอวี้เฟยเยียนทันที


 


 


“ท่านคิดมากไปแล้ว!”


 


 


คารมคมคายของอวี้เฟยเยียน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนอดลูบคางของตนเองอย่างครุ่นคิดไม่ได้


 


 


มิเสียแรงที่เป็นแมวน้อยของพี่!


 


 


ศัตรูอยู่ตรงหน้า กลับมิร้อนรนเลยแม้แต่น้อย หัวจิตหัวใจเช่นนี้ มีความเป็นพี่อยู่มากทีเดียว


 


 


ครุ่นคิดอยู่นาน ผู้เฒ่าใหญ่ถึงเอ่ยปาก


 


 


“แต่ หากภายในสองชั่วยามเด็กพวกนี้ตายล่ะ จะทำอย่างไรเล่า”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่ต้องคิดให้รอบด้าน เพราะรู้สึกว่าในวาจาอวี้เฟยเยียนมักจะมีกับดักเสมอ เขาจำต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ เช่นนั้นก็แสดงว่าหอราชาโอสถไร้น้ำยาน่ะสิ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนบีบนวดนิ้วมือตนเอง สีหน้าเตรียมพร้อมรับมือ


 


 


“ไม่เช่นนั้น ท่านยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยดีกว่า! แล้วให้ข้ากับสำนักหมื่นพิษแข่งขันกันให้เต็มที่สักรอบหนึ่ง รอจนข้าทรมานเจ้าพวกคนเลวนี้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วท่านกับสำนักหมื่นพิษค่อยเอาหัวมามอบให้กับข้าทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว!”


 


 


ข้อเสนออวี้เฟยเยียนวิธีที่ดี ผู้เฒ่าใหญ่ต้องตกลงทำเช่นนี้แน่นอน


 


 


หลังจากผู้เฒ่าใหญ่กัดฟัน ตอบรับข้อเสนอนั้นแล้ว เขาและเลี่ยเชวียก็สบสายตากันเพื่อสื่อสาร ครั้งนี้จะต้องใช้พิษร้ายแรงเ**้ยมโหดที่สุด!


 


 


เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในงานชุมนุม ผู้เฒ่าใหญ่ได้จัดคนเฝ้าหมอเทวดาฮั่วและผู้เฒ่าเจ็ดเอาไว้ นอกจากนั้นยังตระเตรียมนักรบระดับสูงอีกสามสี่คน สามในสี่คนเป็นขั้นหลอมรวม อีกสองคนอยู่ในขั้นราชัน


 


 


ในเมื่ออวี้เฟยเยียนยื่นข้อเสนอเช่นนี้ ถึงตอนนั้นก็ให้คนถ่ายทอดพลังเสวียนให้แก่เด็กทดลองยาเพื่อรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาเอาไว้ มิให้ตายในทันที เรื่องง่ายๆเช่นนี้ แค่ขั้นราชันทำได้อย่างแน่นอน


 


 


รอจนกระทั่งผ่านสองชั่วยามไปแล้ว หยุดถ่ายทอดพลัง ถึงตอนนั้นเมื่อไม่มีพลังเสวียนรักษาชีพจรเอาไว้ เด็กนั่นก็ต้องตายอย่างแน่นอน!


 


 


แล้วคอยดูว่าอวี้เฟยเยียนจะช่วยชีวิตเด็กห้าคนอย่างไร!


 


 


ขอเพียงนางพ่ายแพ้ จะฆ่าจะแกงนางอย่างไรก็ได้


 


 


ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าใหญ่จะรู้ว่าอวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นจอมเทวาแล้ว แต่ว่าคนที่เพิ่งสำเร็จขั้นเทวา ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของหูซาที่สำเร็จขั้นจอมเทวามานานได้หรอก!


 


 


จนถึงตอนนี้ อวี้เฟยเยียนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เฒ่าใหญ่จะใช้มาทำยามนุษย์ได้


 


 


เป็นถึงจอมเทวาแล้วยังเป็นจักรพรรดิโอสถ หากเอามาทำเป็นยามนุษย์ละก็ หุ่นเชิดเช่นนี้ เพียงแค่คิดก็รู้สึกได้ถึงความเก่งกาจแล้ว


 


 


เดิมทีใช้เด็กยี่สิบคนในการทดลองยาในครั้งนี้ แต่อวี้เฟยเยียนกลับผ่อนผัน จนสามารถช่วยเด็กสิบห้าในยี่สิบคนเอาไว้ได้ แขกที่มาร่วมงานชุมนุมประทับใจกับการกระทำอวี้หลัวช่าเป็นอย่างมาก


 


 


เพราะไม่ว่าอย่างไร นั่นก็คือชีวิตคน!


 


 


ต่อให้เป็นการใช้เงินซื้อมาก็ตามที แต่พวกเขาก็เป็นคน ไม่ใช่สุนัขหรือแมว!


 


 


ใช้คนเป็นๆ มาทดลองยา วิธีการนี้ออกจะโหดเ**้ยมเกินไปหน่อย


 


 


พฤติกรรมนี้ขัดกับภาพลักษณ์หอราชาโอสถที่มีคุณธรรมทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเป็นอย่างมาก


 


 


ด้วยเหตุนี้ในใจใครหลายคนเริ่มเต้นขึ้นมา รู้สึกว่างานชุมนุมในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา


 


 


ขณะเดียวกันในเวลานี้ อวี้เชียนเสวี่ย เซวียเฉียงและเซวียจื่ออี๋เข้าไปที่ผู้ชมอย่างเงียบๆ เพื่อไปหาบุคคลที่พวกเขารู้จัก แล้วบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้พวกเขาฟัง


 


 


ถึงแม้จะมีคนบางส่วนมิเชื่อคำบอกเล่าเหล่านั้น แต่ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นแล้วแน่นอน ทำให้หลายคนเริ่มเพิ่มความระมัดระวัง รู้สึกขอบคุณต่อคำเตือนของอวี้เชียนเสวี่ยและพวกเป็นอย่างมาก


 


 


เมื่อทำภารกิจที่อวี้เฟยเยียนมอบหมายให้สำเร็จ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ลุกขึ้นยืนแล้วโบกไม้โบกมือให้กับอวี้เฟยเยียน


 


 


“ช่าช่า! สู้ๆ! ทรมานพวกสุนัขแก่นั้นให้สาสม อย่ายั้งมือเด็ดขาด!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเข้าใจความหมายเชียนเยี่ยเสวี่ยดี


 


 


ก่อนหน้านี้ทั้งสองปรึกษาเคยหารือเรื่องการรับมือหูซาแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยบอกกับอวี้เฟยเยียนแล้วครั้งแล้วว่าจะฆ่าหูซา พี่น้องทุกคนต่างก็เห็นด้วย!


 


 


เสียงตะโกนเชียนเยี่ยเสวี่ยนี้ ทำให้ความสนใจทั้งหมดพุ่งตรงมาที่นาง


 


 


มีเสียงเล่าลือว่า เยี่ยนอ๋องรักหลัวช่ามากขนาดทุ่มเทถวายหัวให้ ครั้งนี้เขากล้าที่จะก้าวออกมาให้กำลังใจอวี้เฟยเยียน จึงเห็นได้ชัดเจนว่ารักจริง!


 


 


แต่ทว่า เมื่อเสียงเล่าลือนี้เข้าหูซย่าโหวฉิงเทียนเข้า สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


ใช่!


 


 


เจ้างี่เง่านี่ นี่แหละ!


 


 


เมื่อคิดถึงว่าหอราชาโอสถตามตอแยแมวน้อยไม่เลิก จนถึงขนาดทำให้แมวน้อยต้องสลัดเขาไว้เบื้องหลัง นั่นให้อภัยมิได้เลยจริงๆ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเกือบลืมไป เมื่อวานเขายืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ได้ยินเชียนเยี่ยเสวี่ยมาไล่ถามอวี้เฟยเยียนว่า ระหว่างตัวเขากับซย่าโหวฉิงเทียนใครรูปงามกว่ากัน


 


 


คำตอบอวี้เฟยเยียนคือ ทั้งสองต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป


 


 


นี่มันคำตอบบ้าอะไรกัน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคิดมาโดยตลอดว่า ในใจอวี้เฟยเยียนเขาควรจะเป็นคนที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม


 


 


แต่จู่ๆ กลับมีเชียนเยี่ยเสวี่ยโผล่มาจากไหนไม่รู้ ซึ่งดีพอๆ กับเขา มันช่างน่าโมโหจริงๆ!


 


 


ดูแล้ว ในใจอวี้เฟยเยียน เชียนเยี่ยเสวี่ยมีความสำคัญมากทีเดียว!


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาที่เย็นชาและไม่เป็นมิตรมายังที่ตนเอง เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงมองตอบ เมื่อเห็นว่าเป็นซย่าโหวฉิงเทียน เชียนเยี่ยเสวี่ย เฮอะ ออกมาคำหนึ่ง แล้วลูบจมูกของตนเองเบาๆ


 


 


“มองอะไร ไม่เคยเห็นชายรูปงามหรืออย่างไรหา! ข้ารูปงามกว่าเจ้า ไม่ยอมรับหรือ”


 


 


“ฮือ… “


 


 


อวี้เฟยเยียนได้ฟังประโยคนั้น ก็หัวเราะออกมา


 


 


ไม่เพียงแต่อวี้เฟยเยียนเท่านั้น แม้กระทั่งบรรดาแขกผู้มาร่วมงานล้วนหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน


 


 


“เยี่ยนอ๋องปะทะหลินเจียงอ๋อง คนหนึ่งมารร้าย อีกคนราชนิกุลสูงส่ง”


 


 


บุรุษรูปงามสองคนแข่งขันตัดสิน นับว่าเป็นละครฉากเด็ดทีเดียว!


 


 


เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่หลินเจียงอ๋องออกมาปกป้องอวี้หลัวช่า และระหว่างเยี่ยนอ๋องกับอวี้หลัวช่าก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนอีกด้วย นี่ถือเป็นเอ่อ…รักสามเส้าที่แสนซับซ้อนใช่หรือไม่


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยหาได้สนใจว่าท่าทางซย่าโหวฉิงเทียนไม่ นางก้าวฉับๆ เข้าไปหาอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีทันที


 


 


คำก็ลุงสาม สองคำก็ป้าสาม เรียกเสียจนคนทั้งสองหน้าร้อนแก้มแดง ท่าทีอึดอัด


 


 


“ท่านเยี่ยนอ๋อง ข้ายังเป็นแม่นางน้อยอยู่นะ!”


 


 


ผิวพรรณสีน้ำตาลข้าวสาลีของมู่เหนี่ยนซี แดงเปล่งปลั่งขึ้นมา


 


 


“ท่านป้าสาม ท่านอย่าถ่อมตัวอีกต่อไปเลย ในใจข้ายอมรับว่าท่านเป็นท่านป้าสามเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็คาดหวังและเชื่อ ใช่หรือไม่ ลุงสาม!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่อวี้เชียนเสวี่ย


 


 


“ใครเป็นลุงสามของเจ้ากัน!”


 


 


ต้องเผชิญหน้ากับ เยี่ยนอ๋อง ที่ตอแยไม่เลิก อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา


 


 


เสี่ยวเยียนเยียนละก็เรื่องส่วนตัวขนาดนี้ก็ไปบอกเชียนเยี่ยเสวี่ยเสียได้ หรือว่าระหว่างพวกเขามีอะไรที่ลึกซึ้งจริงๆงั้นหรือ


 


 


“ลุงสาม ท่านกล่าวเช่นนี้ ผิดแล้ว ท่านคือลุงสามช่าช่า ก็เป็นลุงสามของข้าด้วย! ของนางก็เหมือนของข้า ไม่แตกต่างกัน!”


 


 


กล่าวจบก็ตบที่อกของตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ


 


 


“ช่าช่าต่อกรกับคนชั่วพวกนั้น ข้าจะเป็นคนปกป้องพวกท่านเอง!”


 


 


“ใครต้องการกัน”


 


 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวงชัดเจนลอยมา


 


 


“ข้าจะเป็นผู้ปกป้องพวกเขาเอง!”

 

 

 


ตอนที่ 78-1 เส้นทางชีวิตเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย

 

เหตุใดหมอนี่ถึงได้อยู่ไปเสียทุกที่เลยเล่า


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยมองเห็นการมาของซย่าโหวฉิงเทียนก็ขมวดคิ้ว


 


 


คนผู้นี้เฉกเช่นวิญญาณร้ายที่คอยตามติดไปทุกที่จริงๆเชียว…


 


 


หากมิใช่เมื่อครู่หมอนี่ปกป้องอวี้เฟยเยียนไว้ละก็ เชียนเยี่ยเสวี่ยคงจะชักดาบเข้าห้ำหั่นกับซย่าโหวฉิงเทียนไปแล้ว!


 


 


ในฐานะเพื่อนสนิทอวี้เฟยเยียนและพี่น้องของนาง เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงรู้ว่าตนมีหน้าที่ ตรวจตราและคัดกรองคู่ครองดีๆ ให้กับนางด้วย


 


 


เพราะอย่างไรเสียอวี้เฟยเยียนอายุยังน้อย พบผู้ชายมาก็ไม่มาก จึงอาจจะถูกผู้ชายหลอกให้ลุ่มหลงได้


 


 


เช่นเดียวกับมารดาเขา ตอนนั้นท่านแม่อายุยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จึงได้ถูกฮ่องเต้ที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงองค์ชาย ใช้วาจาคารมหวานล่อหลอกให้ลุ่มหลง ยอมแต่งงานด้วย ด้วยเพราะตระกูลท่านแม่มีอำนาจมาก สามารถช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์สมใจ ผลลัพธ์ก็คือ…


 


 


เสด็จพ่อเขาสนใจแต่เพียงชาติกำเนิดที่สูงส่งของท่านแม่เท่านั้น จึงแค่หลอกใช้นาง จนกระทั่งเสด็จแม่ขึ้นเป็นฮองเฮา เสด็จพ่อก็แต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรักแล้วแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟยทันที ในวังหลวงฮองเฮาเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ส่วนตระกูลหลิวกุ้ยเฟยก็ได้ฮองเฮาอุ้มชูขึ้นมาเช่นกัน กระทั่งมาคานอำนาจฮองเฮาในที่สุด


 


 


ดังนั้น นางยินยอมเชื่อว่าในโลกนี้มีผี ก็จะไม่ยอมเชื่อลมปากผู้ชายหน้าไหน!


 


 


ชื่อเสียงซย่าโหวฉิงเทียนก็ย่ำแย่ ดังนั้นจะยอมให้อวี้เฟยเยียนหลงกลไม่ได้!


 


 


เมื่อสัญชาตญาณอันแรงกล้าของเชียนเยี่ยเสวี่ยพบว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังสนใจในตัวอวี้เฟยเยียนเข้า แล้วนางจึงจับตามองเขามากกว่าเดิม


 


 


“ที่ตรงนี้เดิมทีก็เป็นที่นั่งของข้า จู่ๆ ท่านก็โผล่มาแทรก แล้วเหตุใดจึงยังมาโทษข้าอีกเล่า!”


 


 


ตอนนี้ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน มีบุคคลที่เขาไม่ชอบหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน นั่นก็คือเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


ตอนที่เขาเป็นตัวประกันที่แคว้นฉินจื้อ ความทรมานที่ได้รับ เขายังมิได้ตอบแทนกลับไปด้วยซ้ำ


 


 


หลายปีมานี้ แคว้นต้าโจวรวบรวมไพร่พล สะสมพละกำลังมาโดยตลอด จึงถึงเวลาแล้วที่จะคิดบัญชีกับแคว้นฉินจื้อ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนวางแผนไว้ว่าเมื่อกลับเมืองหลวง จะหาโอกาสโจมตีแคว้นฉินจื้อ  เพราะอย่างไรเสียแคว้นฉินจื้อก็ไม่ใช่พวกดีอะไร จอมเทวาก็เป็นเพียงชายเลวๆคนหนึ่ง ส่วนเจ้าหนุ่มหน้าขาวตรงหน้านี่ก็ยิ่งขัดลูกตาเป็นอย่างยิ่งด้วย!


 


 


ล้มแคว้นฉินจื้อได้ เหยียบย่ำไอ้หนุ่มหน้าขาว นี่ต่างหากจึงเป็นวิธีการเอาคืนแบบฉบับซย่าโหวฉิงเทียน!


 


 


มู่เหนี่ยนซีเห็นบุรุษรูปงามสองคนพากันหึงหวงกันไปมาเพียงเพราะอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็ให้อิจฉายิ่งนัก


 


 


คนหนุ่มคนสาวนี่ช่างดีจริงๆ!


 


 


เลือดหนุ่มสาวเดือดพล่าน!


 


 


แต่การแย่งชิงสตรีในขณะที่บรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนหนุ่มสาวควรจะทำกระมัง!


 


 


ว่าแล้วนางก็เหลือบมองเชียนเยี่ยเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีถอนใจออกมา น่าเสียดายที่ตนเองไปชอบลุงเข้าให้! ทำให้ไม่ว่ามู่เหนี่ยนซีพยายามจุดไฟอย่างไร เจ้าหินทึ่มก้อนนี้ก็จุดไม่ติดเสียที


 


 


หรือว่านางจะต้องยอมแพ้กันนะ?


 


 


“พวกเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ ตกลงจะให้ข้าดูการแข่งขันหรือไม่หา!”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยคอยจับตาดูมู่เหนี่ยนซีตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าจู่ๆสีหน้านางก็แสดงความผิดหวังออกมา เขาก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาทันที


 


 


อีกทั้งเมื่อเห็นว่าอ๋องทั้งสองมิได้อยู่ในรายชื่อหลานเขยของเขาเลย เพียงเพราะอวี้เฟยเยียนทั้งสองหนุ่มถึงกลับทะเลาะเบาะแว้งกันเสียจนมองหน้ากันไม่ติดเช่นนี้ ‘ซู่’ ไฟในใจอวี้เชียนเสวี่ยก็ลุกโชนขึ้น


 


 


แค่ลุงสามเอ่ยปาก คนทั้งสองที่เดิมทีกำลังจะชักกระบี่เข้าห้ำหั่นกันอยู่แล้วก็สงบลงในพริบตา


 


 


ไม่มีทางเลือก นี่คือผู้อาวุโสโดยสายเลือดของอวี้เฟยเยียนเชียวนะ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนมิอยากจะเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโส


 


 


ที่ลานประลอง ผู้เฒ่าใหญ่ทำการเลือกเด็กทดลองยาเรียบร้อยแล้ว


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ! เผื่อว่าร่างกายเด็กย่ำแย่แล้วทนมิถึงสองชั่วยามละก็ ท่านก็ต้องพ่ายแพ้!”


 


 


อวี้เฟยเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนออกมาด้วยความ ‘ปรารถนาดี ‘


 


 


“ข้ารู้น่า!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่รำคาญอวี้เฟยเยียนจะตายอยู่แล้ว


 


 


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า การที่ตนเองคิดจะใช้การประลองปรุงโอสถครั้งนี้จัดการอวี้เฟยเยียน นับเป็นเรื่องที่โง่เง่าอย่างที่สุด


 


 


หากรู้ตั้งแต่แรกว่ามันจะวุ่นวายถึงขนาดนี้ มิสู้ให้คนล้อมกรอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วเข้าโจมตี ก็คงหมดเรื่องไปแล้ว! เขาไม่เชื่อหรอกว่า จอมยุทธ์สามขั้น ทั้งขั้นราชัน ขั้นจักรพรรดิ และขั้นราชันจักรพรรดิ จะร่วมมือกันจัดการเด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งสำเร็จจอมเทวาไม่ได้


 


 


ตัวเขาเองที่ทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก!


 


 


สุดท้าย ผู้เฒ่าใหญ่ก็เลือกเด็กที่มองดูแล้วร่างกายแข็งแรงมาห้าคน ส่วนเด็กที่เหลือก็ถูกปล่อยลงจากลานประลองไป


 


 


เด็กทั้งห้าที่ถูกเลือกมานั้นถึงแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ก็พอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาตื่นตระหนกหวาดกลัวจนร่างสั่นเทิ้ม ส่วนเด็กที่ขี้ขลาดมากหน่อยก็ถึงกับร้องไห้ออกมา


 


 


“ฮึกๆ…ท่านแม่…ฮึกๆ…ข้าอยากกลับบ้าน!”


 


 


“อย่าร้องไห้!”


 


 


เลี่ยเชวียเกลียดเด็กร้องไห้ที่สุด เมื่อเห็นเช่นนั้นก็จัดแจงหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วยัดเข้าปากเด็กน้อยทันที


 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน เด็กผู้นั้นก็กระอักเลือดสีดำออกมาแล้วล้มลงบนพื้นเริ่มชักเกร็ง


 


 


“อ๊ากกก!”


 


 


ต้องมาเห็นภาพที่น่าสลดหดหู่เช่นนี้ แขกหญิงที่มาร่วมงานต่างก็ตกอกตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดตา


 


 


เห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว เลี่ยเชวียกลับยิ่งหัวเราะชอบใจอย่างบ้าคลั่ง แล้วสั่งการให้ลูกน้องตนจัดการยัดยาอีกสี่เม็ดใส่ปากเด็กสี่คนที่เหลือทันที


 


 


เพียงไม่กี่วินาที เด็กที่เมื่อครู่กำลังหอบ กำลังร้องไห้ ก็ล้มลง


 


 


มีเด็กบางคนเลือดออกเจ็ดทวาร บางคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ บ้างมีฟองออกมาจากปาก บ้างร่างเริ่มบวมออกมาอย่างน่ากลัว และไม่นานก็บวมจนกลายเป็นลูกยางลูกหนึ่ง


 


 


“เริ่มต้นจับเวลา ผู้เฒ่าใหญ่ เชิญ ท่านต้องระวังหน่อยนะ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งหมดตายละก็ ท่านก็พ่ายแพ้…”


 


 


อวี้เฟยเยียนผายมือเป็นทำนองเชิญ แต่ในใจกลับหวาดวิตกขึ้นมาจับใจ


 


 


คนของสำนักหมื่นพิษ น้ำมือเ**้ยมโหดจริงๆ


 


 


กับเด็กๆ ยังลงมือเ**้ยมโหดถึงเพียงนี้ หากเป็นคนทั่วไปละก็ ยิ่งมิเลือกวิธีการเลยกระมัง!


 


 


“ฮ่าๆ ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตารับชมความสามารถที่แท้จริงของหอราชาโอสถหน่อยเถอะ!”


 


 


เลี่ยเชวียยืนยิ้มชั่วร้ายอยู่อีกด้าน


 


 


“การประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ สำนักหมื่นพิษของเราต่างหาก จะเป็นผู้กำชัยชนะ”


 


 


ยิ่งเลี่ยเชวียเป็นเช่นนี้ อารมณ์อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งดิ่งลง


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่เป็นคนของสำนักหมื่นพิษ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิงหมิงก็เป็นสำนักหมื่นพิษที่ทำแล้วถือธงหอราชาโอสถเพื่อแอบอ้าง!


 


 


สำนักหมื่นพิษ เสียสติไปแล้ว โหดเ**้ยมเกินมนุษย์ ไร้ซึ่งมโนธรรม!


 


 


หากพวกเขาเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ละก็ คงยังมิเป็นอันตรายกับผู้คนทั่วไป แต่ตอนนี้แม้แต่หอราชาโอสถสำนักหมื่นพิษก็ยังสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ เขาขวัญกล้าเช่นนี้ ทั้งยังทำร้ายคนโดยไม่เกรงกลัว เกรงว่าอำนาจของมันมิอาจมองข้ามได้


 


 


มิอาจยอมให้สำนักหมื่นพิษทำร้ายคนได้อีกแล้ว!


 


 


มิฉะนั้น หากรอจนกระทั่งสำนักหมื่นพิษเรืองอำนาจและมีชัยชนะเหนือหอราชาโอสถละก็ ถึงตอนนั้นประชาชนตาดำๆ จะต้องเป็นผู้รับเคราะห์!


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่โบกมือเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นขั้นราชันสองคน ขั้นวีรชนสามคน รวมห้าคนก็ช่วยกันถ่ายพลังเสวียนให้กับเด็กทั้งห้า


 


 


อีกด้านของลานประลอง นักปรุงยาห้าคนของตำหนักโอสถก็ขึ้นมาเพื่อถอนพิษให้กับเด็กๆ


 


 


ไม่นาน บรรยากาศทั้งลานประลองก็เงียบลง อวี้เฟยเยียนก็ถอยร่นกลับไปยังที่นั่งตน แล้วคอยจับตาดูเด็กทั้งห้าไม่วางตา เพื่อวินิจฉัยอาการของพวกเขา แล้วก็จริงดังที่คาดไว้ อาการพวกเขามิสู้ดีนัก!


 


 


สำนักหมื่นพิษสามารถคิดค้นพิษที่โหดเ**้ยมร้ายแรงเช่นนี้ได้ นับว่ามีความอดทนไม่น้อย


 


 


แต่ใช้พิษทำร้ายคน นั้นไม่ถูกต้อง!


 


 


ในใจอวี้เฟยเยียนมีวิธีที่จะแก้พิษเบื้องต้นแล้ว ซึ่งบนลานประลองเหล่านักปรุงยาก็กำลังพยายามถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าคน


 


 


“ตกลงพวกท่านถอนพิษได้หรือไม่เล่า”


 


 


ว่าแล้วเลี่ยเชวียก็สั่งให้ศิษย์ยกเก้าอี้ขึ้นมาแล้วนั่งพาดขาขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ที่ด้านหลังเขามีศิษย์สาวรูปร่างหน้าตางดงามราวดอกไม้แรกแย้มสองคน คนหนึ่งคอยรินชาให้ อีกคนคอยบีบนวดให้ ดูแล้วรื่นเริงมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


“ข้าว่านะ ผู้เฒ่าใหญ่ หากว่าตำหนักโอสถไม่มีน้ำยาละก็ ก็อย่าได้เสียแรงเปล่าอีกเลย!”


 


 


“ขอเพียงแต่ถ่ายทอดพลังเสวียนต่อลมหายใจให้กับเด็กเหล่านี้ได้สองชั่วยาม ก็เรียบร้อยแล้ว! ขอเพียงแต่เด็กพวกนี้ไม่ตายในมือพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่แพ้ ถึงตอนนั้น ก็จะมีคนที่ต้องรับรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ซึ่งเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับตำหนักโอสถแต่อย่างใด!”


 


 


เลี่ยเชวียจิบชาหนึ่งจอก พลางเอื้อมมือไปลูบไล้มือขาวเนียนละเอียดของศิษย์น้องไปด้วย


 


 


“เฮ้อ ตอนข้าจะมาที่นี่ ประมุขยังตั้งใจมอบยาที่ท่านเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาให้กับข้าเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุการณ์มิคาดฝัน คิดไม่ถึงเลยว่า มันจะได้ใช้ประโยชน์จริงๆ ความเก่งกาจของประมุขเรา บอกไปพวกเจ้าก็คงจะไม่รู้หรอก สรุปแล้วก็คือ ยาพิษท่าน ถึงตอนนี้ยังคงไม่วิธีแก้!”


 


 


เห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเลี่ยเชวียแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยมองแล้วขัดสายตาเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“เฮ้อ เหนือภูเขายังมีทิวเขาเขียว เหนือหอยังมีหอที่สูงกว่า วีรบุรุษมากมายไม่หยุดยั้งที่จะช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ทว่ากลับยังมีนักปราชญ์อยู่เบื้องหน้า!”


 


 


“หนังวัวมิใช่แค่ใช้ปากเป่ามันก็จะลอย ส่วนขนไก่ต่อให้เป่าอย่างไรมันก็ลอยขึ้นฟ้าไม่ได้! คนบางคนก็อย่าคุยโวโอ้อวดให้มันมากนักเลย มิฉะนั้นขายหน้าน่ะเรื่องเล็ก ถึงตายน่ะสิเรื่องใหญ่!”


 


 


เห็นอวี้เชียนเสวี่ยออกหน้าแทนอวี้เฟยเยียน เลี่ยเชวียก็เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้เห็นเชียนเยี่ยเสวี่ยในสายตา


 


 


“จอมเทวาหูซา นี่นะหรืออ๋องที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นฉินจื้อ?”


 


 


“ข้าว่า ก็ไม่เท่าไหร่กระมัง โบราณว่าไว้ ผู้รู้สถานการณ์เป็นยอดคน แต่เขาไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้จักใครเป็นใครเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นใหญ่ไม่ได้น่ะสิ!”


 


 


หูซาเองก็ไม่พอใจการกระทำเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นอย่างมาก


 


 


“เยี่ยนอ๋อง นี่คือการแข่งขัน!”


 


 


“ข้ารู้ดีกว่านี่คือการแข่งขัน แต่ก็ไม่มีใครกำหนดนี่นาว่าในงานประลองปรุงโอสถ ห้ามพูดคุย!”


 


 


“อ้อ ข้าจะบอกให้อีกอย่าง วันนี้ที่หูซาเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ เป็นเรื่องส่วนบุคคลของเขา มิเกี่ยวข้องอะไรกับแคว้นฉินจื้อ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา หวังว่าทุกคนจะแยกแยะด้วย!”


 


 


“อย่างไรเสีย เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้…”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยหาได้เกรงกลัวหูซาไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไรหมอนี่ก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำอยู่แล้ว จะเพิ่มอีกสักกระทง ก็คงไม่เป็นไร


 


 


อีกอย่าง วันนี้หูซาจะมีชีวิตรอดออกไปจากหุบเขาลั่วสยาหรือไม่ ยังไม่รู้เลย!

 

 

 


ตอนที่ 78-2 เส้นทางชีวิตเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความน่าหลงใหลฉายแววระยับ ทว่ากลับมีไอสังหารแผ่ออกมาอย่างหนักหน่วง


 


 


คนหนึ่งแก่อีกคนหนึ่งเด็ก อยู่บนลานประลองนั้น แต่ไอสังหารกลับคละคลุ้งรุนแรงในดวงตาทั้งสองฝ่ายมุ่งสังหารฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพวกเขาทั้งสองต่างก็รู้สึกได้


 


 


หูซายิ้มเยือกเย็น


 


 


ดูแล้ว เรื่องวันนี้คงมิมีทางที่จะจบลงแบบสงบได้ คงต้องสู้กันจนตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น!


 


 


ยังดีที่เขาและหลิวกุ้ยเฟยมีการส่งข่าวกันโดยตลอด กำจัดเยี่ยนอ๋อง ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยก็มารนหาที่ตายเองเสียด้วย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจล่ะ!


 


 


ความคิดหลัวซา มีหรือที่เชียนเยี่ยเสวี่ยจะไม่รู้


 


 


สองปีมานี้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินจื้อสุขภาพมิสู้ดี หลิวกุ้ยเฟยก็วิ่งเต้นขึ้นมา เพื่อปูทางให้เยี่ยอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ต่อ


 


 


ดังนั้นเชียนเยี่ยเสวี่ยที่เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งวังหลวง ย่อมต้องเป็นหนามยอกอกของหลิวกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน นางอยากจะสังหารตนให้ตายเสียด้วยซ้ำ!


 


 


เพราะอย่างไรเสีย ในราชสำนักก็ยังมีกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนองค์หญิงใหญ่อยู่ โดยเฉพาะพวกขุนนางเก่าแก่ ล้วนแต่ยืนอยู่ข้างฮองเฮาและเยี่ยนอ๋องอยู่แล้ว จึงทำให้หลิวกุ้ยเฟยไม่พอใจและแค้นเคือง


 


 


เพียงแต่เชียนเยี่ยเสวี่ยคิดไม่ถึงว่า หูซาที่เป็นถึงจอมเทวา ในแคว้นฉินจื้อเขามีตำแหน่งสูงส่งอยู่แล้ว แต่เขายังคิดที่จะขึ้นให้สูงกว่านี้อีก


 


 


เหอะ ยิ่งปีนขึ้นสูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น!


 


 


หึ หูซา ปีหน้าในวันนี้จะเป็นวันเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของเจ้า!


 


 


เพียงแค่นึกถึงเรื่อง เพื่อที่จะกำจัดเขาแล้ว หลิวกุ้ยเฟยถึงกับลอบใส่ฝิ่นลงในใบชาที่เสด็จแม่ประทานให้กับนาง เพื่อให้ตนเสพติดมันแล้วจะได้อยู่ไม่สู้ตาย เชียนเยี่ยเสวี่ยก็แค้นเคืองจนแทบอยากจะสับหลิวกุ้ยเฟยให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนสุนัขกินเลยทีเดียว


 


 


หากมิใช่อวี้เฟยเยียนทำทุกวิถีทางช่วยเหลือนางเอาไว้ละก็ ไหนเลยจะมีเชียนเยี่ยเสวี่ยในวันนี้!


 


 


ดังนั้น ถึงแม้ว่าหูซาจะเป็นถึงจอมเทวาแห่งแคว้นฉินจื้อ แต่เขากลับมีตาแต่ไร้แวว คิดปองร้ายอวี้เฟยเยียน เช่นนั้นก็สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยยิ้มร้ายออกมา แต่มันกลับชวนให้ลุ่มหลง นิ้วมือเรียวยาวของนางกุมดาบเล่มใหญ่ที่แขวนไว้ที่เอว


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งกอดอกมองไปที่ลานประลอง


 


 


แม้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยคอยจ้องแย่งแมวน้อยกับเขา จะน่ารำคาญไปบ้าง แต่สิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ก็สามารถระบายความเจ็บแค้นได้มากทีเดียว!


 


 


จุดนี้ ซย่าโหวฉิงทียนรู้สึกชื่นชมนางเป็นอย่างมาก


 


 


มองดูหูซายิ้มจนใบหน้าขัดเกร็งเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมา ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่ล่วงเกินผู้คนเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว! แต่ หูซาคือเหยื่อของเขา! กล้าแตะต้องแมวน้อยของข้า ข้าจะให้เจ้าตักตวงความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิตให้เต็มที่!


 


 


อวี้เฟยไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังนาง ซย่าโหวฉิงเทียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยล้วนแต่กำลังคิดค้นแผนการที่จะจัดการกับหูซา คิดว่าจะทรมานหมอนั่นอย่างไร


 


 


ตอนนี้ความสนใจของนางพุ่งตรงไปที่เด็กทั้งห้าคน


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ พิษนี้ศิษย์แก้มิได้!”


 


 


นักปรุงยาคนหนึ่งกล่าวขึ้น


 


 


แล้วนักปรุงยาคนข้างๆ ก็รีบส่ายหน้าตามมาติดๆ


 


 


มิใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถ แต่ยาพิษครั้งนี้ของสำนักหมื่นพิษมันร้ายกาจเกินไป! ดูแล้วพวกมันคงจะเตรียมการมา เพื่อที่จะทำลายหอราชาโอสถให้ราบ!


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องได้รับคำตอบเช่นนี้ ถึงแม้ว่าในใจเขาจะดีใจแค่ไหน แต่ภายนอกก็ต้องแสร้งทำเป็นหนักใจ


 


 


“พวกเจ้าถอยไปเถอะ เป็นเพราะความสามารถเราสู้เขามิได้”


 


 


ต่อให้พ่ายแพ้ ก็ขอทำเต็มที่จะมิให้ใครมาดูถูกได้ ในฐานะผู้เฒ่าใหญ่ของหอราชาโอสถแต่กลับกล่าวคำพูดเชิงยอมแพ้เช่นนี้ ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย


 


 


ผู้ที่มาร่วมงานชุมนุมล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีฐานะทั้งสิ้น และมีจำนวนไม่น้อยที่เคยมาร่วมงานชุมนุมประลองโอสถหลายต่อหลายครั้ง


 


 


โดยครั้งที่แล้ว สำนักหมื่นพิษก็กลั่นแกล้งตำหนักโอสถสารพัด


 


 


แต่ตอนนั้นผู้เฒ่าใหญ่พูดจาเปี่ยมด้วยคุณธรรม พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพลิกขึ้นนำชัยชนะ ทำให้ทุกคนที่มาร่วมงานประทับใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างกับครั้งนี้โดยสิ้นเชิง


 


 


หากเปรียบเทียบผู้เฒ่าใหญ่เมื่อห้าปีก่อนกับผู้เฒ่าใหญ่ตอนนี้ละก็ ไม่นับเรื่องหน้าตาที่เหมือนกัน ผู้คนก็อดมิได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาได้ว่า ในร่างนี้ยังมีผู้เฒ่าใหญ่อยู่อีกคน


 


 


ทันใดนั้น คนบางคนก็คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ที่หนุ่มสาวสามคนกล่าวเตือน ก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขากล่าวถูกต้อง


 


 


งานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ มีปัญหาจริงๆ!


 


 


ฮ่าๆ !


 


 


เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าใหญ่ยอมแพ้ เลี่ยเชวียก็ยิ้มเยาะจนเห็นฟันสีเหลืองน่าเกลียด


 


 


“ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า พวกท่านหอราชาโอสถมีดีแต่ชื่อ เอาแต่กินบุญเก่าบรรพบุรุษที่ท่านเหลือไว้ให้ใช้ชีวิตไปวันๆ”


 


 


“ดูสิเห็นหรือไม่ ข้าพูดไว้ไม่ผิด การประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ผู้ชนะต้องเป็นสำนักหมื่นพิษเป็นแน่!”


 


 


เลี่ยเชวียพูดจาเยาะเย้ยจนนักปรุงยาและศิษย์ของหอราชาโอสถอดรนทนไม่ไหว


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเหล่าบรรดานักปรุงยาแล้ว เลี่ยเชวียก็ชี้ไปที่เด็กทั้งห้าบนเวทีอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า


 


 


“พวกเจ้ามันก็เก่งแต่ปาก หากพวกเจ้ามีความสามารถจริง ก็ถอนพิษข้าให้ได้สิ! มิเช่นนั้นก็หุบปากเสีย!”


 


 


เรื่องจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า อีกทั้งเมื่อเห็นเด็กทั้งห้าคนมิมีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำบรรดาศิษย์และนักปรุงยาของตำหนักโอสถอีกหลายเท่าตัว บางคนน้ำตารื้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา


 


 


เพราะพวกเขาไร้ความสามารถ ทำให้สำนักหมื่นพิษมาลบหลู่ถึงสำนัก ลบหลู่หอราชาโอสถ!


 


 


“ข้าจะบอกให้ว่าคนบางคนอย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเห็นเลี่ยเชวียเหยียบย่ำหอราชาโอสถเช่นนั้น ก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก จะชั่วดีอย่างไรพวกเขาก็มีจิตใจอาสา อยากจะช่วยชีวิตผู้อื่น ไม่เหมือนกับคนของสำนักหมื่นพิษ ที่วันทั้งวันเอาแต่คิดว่าจะทรมานผู้อื่น สังหารผู้อื่นอย่างไร!


 


 


“คู่แข่งของพวกเจ้าคือข้า เพียงชั่วครู่ก็ดีใจถึงเพียงนี้ ดีใจถึงขนาดเก็บอาการไม่อยู่เชียวหรือ”


 


 


วาจาอวี้เฟยเยียนเอ่ยออกไป ทำให้นักปรุงยาและศิษย์ของหอราชาโอสถเรียกความมั่นใจกลับมาได้


 


 


“จริงด้วย!”


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแก้พิษของสำนักหมื่นพิษไม่ได้ แต่เราก็ยังมีอวี้หลัวช่านี่นา!


 


 


นางคือจักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวของแผ่นดินเชียวนะ!


 


 


ทันใดนั้นก็มีศิษย์คนหนึ่งเสนอว่าไม่ต้องรอให้ระยะเวลาครบสองชั่วยาม ให้อวี้หลัวช่าเริ่มถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าตั้งแต่ตอนนี้ไปเลย


 


 


ข้อเสนอที่ศิษย์ผู้นี้เสนอมา ศิษย์และผู้ปรุงยาทั้งหลายต่างก็เห็นด้วยอย่างรวดเร็ว เพราะหากหอราชาโอสถพ่ายแพ้ ความปราชัยของหอราชาโอสถก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมิได้ ไม่สู้มอบโอกาสให้กับอวี้เฟยเยียน ให้นางช่วยชีวิตเด็กเหล่านั้นแทนเล่า


 


 


“โอ้!”


 


 


เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เลี่ยเชวียก็ถึงกับหัวเราะออกมา


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ดูแล้วท่านอยู่ในหอราชาโอสถคงจะปฏิบัติกับพวกเขาไม่ดีเท่าไหร่ ดูสิ ศิษย์ทั้งหลายของท่าน! จ้องจะให้อวี้หลัวช่าชนะ และหวังจะให้ท่านตายนะ!”


 


 


เลี่ยเชวียกล่าวเช่นนี้ เหล่านักปรุงยาของตำหนักโอสถจึงเพิ่งนึกขึ้นได้เรื่องสัญญาประลองเมื่อครู่


 


 


หากพวกเขาสนับสนุนให้อวี้หลัวช่าแก้พิษได้มิเท่ากลับผลักไสผู้เฒ่าใหญ่ไปตายอย่างนั้นหรือ


 


 


จริงดังที่คาดเอาไว้ เมื่อฟังคำยุแหย่หวังแตกแยกของเลี่ยเชวียแล้ว ผู้เฒ่าใหญ่ก็ถลึงตาแค้นเคืองให้กับศิษย์คนที่เสนอความคิดเห็นเมื่อครู่


 


 


“ตกลงแล้วว่าสองชั่วยาม ก็ต้องสองชั่วยาม!”


 


 


“ต่อให้ข้าต้องพ่ายแพ้ ก็มิอาจละเมิดข้อตกลงได้!”


 


 


ใครจะรู้ว่าศิษย์คนเมื่อครู่นั่นช่างใสซื่อเสียเหลือเกิน เขาไม่เข้าใจความหมายสายตาพิฆาตของผู้เฒ่าใหญ่เมื่อครู่แม้แต่น้อย


 


 


เมื่อเขามองไปที่ผู้เฒ่าใหญ่ ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วกล่าวถามตามสิ่งที่คิดในใจของตนว่า


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ชีวิตคนสำคัญเทียมฟ้าพวกเรามิใช่ควรจะช่วยชีวิตคนก่อนหรอกหรือ การช่วยชีวิตคน เป็นสิ่งที่หอราชาโอสถของเราควรทำมิใช่หรือ!”


 


 


โง่เง่า!


 


 


น่าโมโหนัก!


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาตวัดฝ่ามือฟาดไปที่ทรวงอกของศิษย์ผู้นั้นทันที


 


 


นาทีนั้น ศิษย์หนุ่มลอยกระเด็นออกไปไกลกระแทกกับกำแพงแล้วกระอักเลือดออกมา


 


 


ขณะที่ผู้เฒ่าใหญ่ลงมือซ้ำสองนั้นเอง ใครบางคนในชุดสีอ่อนก็ปรากฏตัวขึ้น ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน ผู้เฒ่าใหญ่เป็นฝ่ายถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าว แล้วกระอักเลือดออกจากปาก


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านปฏิบัติเช่นนี้กับศิษย์ที่ซื่อตรงพูดตามในสิ่งที่คิดเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ใครหลายคนต้องผิดหวังเสียแล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 78-3 เส้นทางชีวิตเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย

 

ผ้าคลุมหน้าของอวี้เฟยเยียนพลิ้วไหว เผยให้เห็นใบหน้าบางส่วนของนาง


 


 


“อวี้หลัวช่า ท่านทำเช่นนี้ความหมายว่าอย่างไรกัน?”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่ยกมือชี้หน้าอวี้เฟยเยียน นิ้วที่ยื่นขึ้นมานั้นสั่นเทา ฝ่ามือเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย ขณะนี้ยังชาไปทั่วทั้งฝ่ามือ


 


 


“อวี้หลัวช่า! นี่ท่านกำลังโจมตีข้าหรือ ท่านต้องการจะละเมิดข้อตกลงการแข่งขันใช่หรือไม่”


 


 


“เหอะ เหอะ…”


 


 


ได้ฟังคำกล่าวหาผู้เฒ่าใหญ่ อวี้เฟยเยียนถึงกับหัวเราะออกมา รอยยิ้มนางช่างสดใสบริสุทธิ์ ทั้งยังไพเราะน่าฟัง


 


 


“กติกาการแข่งขันมีระบุไว้ด้วยหรือว่า หากเห็นความอยุติธรรม ห้ามมิให้ยื่นมือเข้าช่วย”


 


 


“ข้าเพียงแค่เห็นว่าเด็กคนนั้นน่าสงสาร เพียงเพราะว่าเขาพูดความจริงล่วงเกินผู้เฒ่าใหญ่เข้า จึงนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิต จึงได้ช่วยเหลือเขาเท่านั้นเอง”


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ การที่ท่านทำร้ายคน เดิมทีแล้วก็มิเกี่ยวข้องกับการแข่งขันแต่อย่างใด ต่อให้เป็นการละเมิดกติกา ก็เป็นท่านที่ละเมิดกติกาก่อน เป็นท่านที่เริ่มเรื่องนี้”


 


 


“ข้ายังมีอีกเรื่องจะเตือนท่าน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้ท่านรอให้การแข่งขันจบลงก่อนแล้วค่อยจัดการ”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ก็เดินไปที่ศิษย์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเมื่อครู่ แล้วป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากเขา ทั้งยังจับกระดูกที่หักไปเมื่อครู่ ต่อให้เขาด้วยตัวเอง แล้วทิ้งท้ายกล่าวชมเชยเขาว่า


 


 


“เจ้าพูดถูกทุกอย่าง!”


 


 


“ไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม ช่วยชีวิตคนเป็นความรับผิดชอบของนักปรุงยา คนที่ตั้งใจแน่วแน่ในจุดนี้นับว่ามีน้อยนัก ขอให้เจ้าตั้งใจแน่วแน่ต่อไป ต่อไปเจ้าจะต้องกลายเป็นนักปรุงยาชั้นเลิศอย่างแน่นอน!”


 


 


ศิษย์น้อยที่บาดเจ็บเห็นอวี้เฟยเยียนที่แสนอ่อนโยน ทั้งยังชมเชยตนเอง ก็เขินอายจนหน้าแดง คำพูดคำจาติดขัดไปหมด


 


 


“ท่านอวี้หลัวช่า ข้า…เอ่อ ข้าคิดอย่างไร…ก็พูดออกไปอย่างนั้น!”


 


 


“พูดได้ดี ทำต่อไปนะ แน่วแน่ในอุดมการณ์ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ!”


 


 


“ขอบคุณขอรับ!”


 


 


จนกระทั่งศิษย์ที่บาดเจ็บถูกห้ามออกไป ก็ยังคอยหันกลับมามองสาวน้อยในชุดสีอ่อนอย่างไม่วางตา


 


 


“ท่านอวี้หลัวช่า ข้าจะพยายามต่อไป!”


 


 


อวี้เฟยเยียนคงไม่รู้เลยว่า ประโยคง่ายๆเพียงประโยคเดียวของนางทำให้ศิษย์ที่บาดเจ็บ คนเมื่อครู่มุมานะพยายามมากขึ้นในภายภาคหน้า เพื่อที่จะเป็นจักรพรรดิโอสถคนที่สามของหอราชาโอสถให้จงได้


 


 


เวลาแต่ละนาทีแต่ละวินาทีผ่านไปทั้งขั้นราชันและขั้นวีรชนเริ่มมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาบริเวณไรผม


 


 


พวกเขาทำตามที่ผู้เฒ่าใหญ่สั่ง ถ่ายพลังเสวียนทั้งหมดให้กับเด็กทั้งห้าคนเพื่อรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกเขาเอาไว้


 


 


แต่สองชั่วยามมันผ่านไปไม่ง่ายเลยจริงๆ


 


 


หากใช้เพียงพลังเสวียนละก็ จะต้องสิ้นเปลืองพลังเสวียนจำนวนมาก


 


 


เด็กทั้งห้าคนนอนอยู่บนพื้น ราวกับคนที่ตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น หน้าอกน้อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแผ่วเบา หากไม่ตั้งใจมองดูละก็ แทบจะไม่รู้เลยว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่


 


 


การกระทำเมื่อสักครู่ของผู้เฒ่าใหญ่ทำให้แขกเหรื่อหลายคนผิดหวัง


 


 


บางคนได้ไปเชิญพวกเชียนเยี่ยเสวี่ยทั้งสามคนมา เพื่อสอบถามพวกเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาถึงได้เข้าใจ


 


 


ที่แท้แล้วผู้เฒ่าใหญ่คนนี้เป็นตัวปลอม! เขาเป็นคนของสำนักหมื่นพิษนี่เอง!


 


 


แขกที่มาร่วมงานวันนี้ ล้วนแต่เป็นพวกฉลาดเป็นกรด!


 


 


ต่อให้พวกเขารู้ความจริงแล้ว ก็มิยอมแสดงออก


 


 


เพียงแต่ทุกคนเริ่มป้องกันตนเองมากขึ้น ทุกคนสั่งให้ยอดฝีมือของตนประกบข้างกายตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น


 


 


เพราะอย่างไรเสีย วิธีการของสำนักหมื่นพิษก็ต่ำช้าและไร้ยางอายยิ่งนัก!


 


 


พวกเขาเล่นสกปรกก่อน จนทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


เพราะอวี้เฟยเยียนดึงความสนใจของผู้เฒ่าใหญ่ให้พุ่งมาที่ตน เขาจึงมิได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมงาน


 


 


ถึงแม้ว่าจะมีคนออกมาขอร้องเฉกเช่นศิษย์น้อยที่บาดเจ็บไปเมื่อครู่ก็ตาม แต่ผู้เฒ่าใหญ่ก็ยังยืนยันว่าต้องสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรก็มิยอมผ่อนปรน


 


 


อวี้เฟยเยียนเองก็หมดปัญญา ทำได้เพียงรอเวลาให้หมดไปเรื่อยๆ


 


 


โอ้! เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว!


 


 


ตอนนั้นเองที่เลี่ยเชวียลุกขึ้น มองดูเด็กทั้งห้าคนอย่างละเอียด แล้วก็พอใจในสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก


 


 


“ไอ้หยา เวลานี่เดินเร็วจริงๆ เลยเชียว! นี่ก็ครบสองชั่วยามแล้ว! เพียงแต่ว่ายมทูตขาวดำของท่านพญายมราชมารออยู่ข้างๆแล้วกระมัง เอ๊ะ ไม่รู้ว่าพวกเขามาดึงวิญญาณรวดเร็วกว่าหรือว่าฝีมืออวี้หลัวช่าจะเร็วกว่ากันเล่า!”


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านยืนหยัดในหลักการขนาดนี้ น่าให้ผู้คนได้เรียนรู้เป็นแบบอย่างเสียจริงๆ!”


 


 


“นี่เท่ากับท่านช่วยงานใหญ่ข้าเลยทีเดียว รอให้จัดการเก็บอวี้หลัวช่าให้ได้ก่อน พวกเราไปดื่มกันสักแก้วสองแก้ว ฮ่าๆ!”


 


 


เลี่ยเชวียกล่าวคำพูดกระทบกระเทียบเสียดสี ทั้งยังหัวเราะเสียงดังอย่างอวดดี


 


 


ทว่าการกระทำเขาไม่กระทบต่ออารมณ์ของอวี้เฟยเยียนเลยแม้แต่น้อย


 


 


แย่งคนจากเงื้อมมือพญามัจจุราช ใช่ว่านางมิเคยทำ


 


 


เพียงแต่ว่า คราวนี้นางจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาน่ะสิ


 


 


ไม่เป็นไร! สั่งสอนให้พวกมันรู้เสียบ้าง มิเช่นนั้นพวกมันจะคิดว่าจะรังแกนางอย่างไรก็ได้


 


 


ไม่ว่าเช่นไร อวี้เฟยเยียนตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเริ่มทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่ปล่อยคนของสำนักหมื่นพิษเอาไว้แม้แต่คนเดียว พวกเขาจะต้องเอาหัวทิ้งไว้ที่นี่


 


 


สำหรับรังของสำนักหมื่นพิษ อวี้เฟยเยียนก็ไม่มีปัญหาหากจะต้องถล่มรังของพวกมัน!


 


 


ในเมื่อล้วนแต่เป็นคนเลว ก็เผามันให้ราบในครั้งเดียว มิให้ไปทำร้ายผู้คนได้อีก!


 


 


“หมดเวลา!”


 


 


เมื่อทรายในนาฬิกาทรายหล่นลงมาจนหมด จอมยุทธ์ทั้งห้าคนก็วางมือพร้อมๆกัน


 


 


ในตอนนั้น พลังเสวียนพวกเขาถูกใช้ไปจนหมดไม่มีเหลือ ทำให้จอมยุทธ์แต่ละคนเหงื่อโทรมกาย อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเป็นอย่างมาก


 


 


“ลำบากทุกท่านแล้ว!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่รีบกุลีกุจอยกมือคารวะขอบคุณพวกเขาทันที


 


 


“เชิญทุกท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน หลังการแข่งขันข้าจะไปขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่หารู้ไม่ว่า เมื่อจอมยุทธ์ทั้งห้าคนเดินออกไปจากสนาม กระบี่ลำแสงห้าแฉกก็ตวัดลงมาเด็ดศีรษะพวกเขาให้ร่วงหล่นบนพื้น


 


 


“มั่ว ทำได้ดีมาก!”


 


 


เหลียนจิ่นเดินเข้ามา แล้วเทผงยาลงบนร่างของพวกเขาเล็กน้อย


 


 


ไม่นาน ร่างพวกเขาก็ละลายกลายเป็นน้ำเมือกสีเหลืองกองหนึ่ง หมอเทวดาฮั่ว เจ้าสำนักหลินและผู้เฒ่าเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างกายมองดูด้วยอาการตกตะลึง


 


 


“นี่คืออะไรกัน?”


 


 


ผู้เฒ่าเจ็ดพุ่งตรงไปตรงหน้าเหลียนจิ่น คว้าเอาขวดยาในมือเขาไปแล้วถามว่า


 


 


“อะไรกัน ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”


 


 


 “นี่คือผงละลายศพ!”


 


 


“สาวน้อยนั่นเก่งกาจยิ่งนัก!”


 


 


ผู้เฒ่าเจ็ดไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดแจงยัดขวดยานั้นลงในเสื้อของตนเองทันที


 


 


“เจ้าหนุ่ม สิ่งนี้อันตรายเกินไป เจ้าอาจเผลอทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ เก็บไว้ที่ข้าดีกว่า!”


 


 


แค่มองก็รู้เลยว่าอาการ ‘โลภ’ ของผู้เฒ่าเจ็ดกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว หมอเทวดาฮั่วหมดคำพูด ทำได้เพียงแค่ให้สัญญากับเหลียนจิ่นว่า จะขอยาขวดใหม่ที่ดีกว่านี้จากอวี้เฟยเยียนมาให้


 


 


“เจ้าสำนัก พวกเราจะเข้าไปเมื่อไหร่กัน?”


 


 


ผู้เฒ่ารองถูกคุมขังมาหลายวัน และเพิ่งถูกช่วยออกมาอดรนทนไม่ไหว


 


 


ข้าจะไปกระชากหน้ากากมันให้ได้!


 


 


“เรื่องนี้…”


 


 


เจ้าสำนักหลินมองไปที่หมอเทวาฮั่วและเหลียนจิ่นทำนองขอความคิดเห็น


 


 


ครั้งนี้ เจ้าสำนักหลินรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ใต้จมูกของเขา ผู้อาวุโสใหญ่ถูกคนสลับตัวไป ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่ก็มิได้ค้นพบความจริง เขาบกพร่องจริงๆ


 


 


“ผู้เฒ่าทุกท่าน โปรดอยู่ในความสงบ”


 


 


น้ำเสียงเหลียนจิ่นนุ่มนวล การช่วยเหลือผู้เฒ่ารองและผู้เฒ่าสามเขาลงแรงไปไม่น้อย ดังนั้นคำพูดของเขาจึงมีน้ำหนัก


 


 


“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่แม่นางอวี้หลัวช่ากำลังถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าคน หากพวกเราทะเล่อทะล่าเข้าไป จะยิ่งเพิ่มความวุ่นวาย กระทบกับการช่วยเหลือเด็กๆ ไม่ว่าอย่างไร เด็กคือผู้บริสุทธิ์! ช่วยพวกเขาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำอย่างไร?”


 


 


ผู้เฒ่าสี่เคร่งขรึม ท่าทางเข้มงวด


 


 


เมื่อครู่ถูกอวี้เฟยเยียนกระตุ้นด้วยคำพูดรุนแรงขนาดนั้น ผู้เฒ่าสี่ยังรู้สึกโกรธอยู่มาก!


 


 


ทว่าเมื่อออกมาด้านนอกก็พบกับหมอเทวดาฮั่วและเจ้าสำนักหลิน พวกเขาถึงได้รู้เจตนาที่แท้จริงของ อวี้เฟยเยียน มาถึงตอนนี้ใจยังรู้สึกผิดอยู่เลย เมื่อครู่มิควรดุแม่นางน้อยถึงเพียงนั้น นางคือผู้มีพระคุณของหอราชาโอสถเชียวนะ!


 


 


“รอ”


 


 


เหลียนจิ่นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนสง่างาม


 


 


“รอจนนางถอนพิษสำเร็จ สำนักหมื่นพิษและผู้เฒ่าใหญ่จะต้องดำเนินการแผนขั้นต่อไป ถึงตอนนั้นเราค่อยปรากฏตัว กระชากหน้ากากที่แท้จริงของเขาออกมา!”


 


 


“ข้าเห็นด้วยกับเหลียนจิ่น!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วเห็นด้วยกับเหลียนจิ่นเป็นคนแรก


 


 


“พวกเราใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง รอให้แม่นางน้อยอวี้แสดงความสามารถออกมาเสียก่อน พวกเราค่อยใช้สถานการณ์ กำจัดสำนักหมื่นพิษ!”


 


 


“ศิษย์น้องฮั่ว อวี้หลัวช่า จะจัดการทุกอย่างได้ใช่หรือไม่?”


 


 


เจ้าสำนักหลินกังวลใจขึ้นมา เพราะแม้กระทั่งผู้เฒ่าใหญ่ยังถูกเปลี่ยนตัว หลายปีที่ผ่านมาอำนาจของสำนักหมื่นพิษแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง หากว่าอวี้หลัวช่าเสียเปรียบจะทำอย่างไร?


 


 


“เจ้าสำนักหลินโปรดวางใจ! นางจะไม่ทำศึกที่ไม่มั่นใจ!”


 


 


ผู้อาวุโสฮั่ว ชื่นชมอวี้เฟยเยียนมิหยุดปาก


 


 


ส่วนผู้เฒ่าเจ็ดที่อยู่ด้านข้างก็คอยเป็นลูกคู่รับพยักหน้าสนับสนุนทุกครั้งไป


 


 


“เจ้าสำนัก นางเป็นถึงจักรพรรดิโอสถ ข้าเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวเอง ข้ารู้สึกว่าความสามารถนางยังไปได้ไกลกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ…ไม่แน่ว่าวันนี้ พวกเราจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วและผู้เฒ่าเจ็ดสองคนพูดชมเชยความเก่งกาจอวี้เฟยเยียนไม่หยุดปาก ส่วนผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็ยังไม่ค่อยยอมรับบ้าง ตั้งหน้าตั้งตาอยากจะไปที่ลานประลองเพื่อดูว่าอวี้เฟยเยียนจะแก้พิษอย่างไรกัน


 


 


เหลียนจิ่นรู้ดี หากมิให้พวกเขาได้ประจักษ์ในความสามารถนางกับตาสักครั้ง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเป็นแน่


 


 


ยังดีที่ เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 78-4 เส้นทางชีวิตเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย

 

“มั่ว…”


 


 


เหลียนจิ่นเอ่ยปาก มั่วซางก็รีบหยิบหน้ากากมนุษย์ออกมา แล้วแจกให้คนละอัน


 


 


“หน้ากากหนังมนุษย์! ประณีตงดงามยิ่งนัก!”


 


 


ผู้เฒ่าเจ็ดเป็นคนแรกที่หยิบมันขึ้นมา แล้วค่อยๆบรรจงแปะลงบนใบหน้า ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นอีกคนทันที


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น ผู้เฒ่าคนอื่นๆ รวมทั้งเจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่ว ต่างก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์


 


 


ทุกคนเปลี่ยนใบหน้าเป็นคนละคน จนแทบจะจำไม่ได้


 


 


ดังนั้น กลุ่มผู้อาวุโสก็เดินเข้าไปร่วมงานอย่างผ่าเผยเพื่อเข้าไปชมเวทีประลอง


 


 


และในตอนนั้นเอง อวี้เฟยเยียนกำลังเริ่มลงมือรักษาเด็กทั้งห้าคน


 


 


เมื่อครู่ ครั้นเมื่อจอมยุทธ์ทั้งห้าวางมือ หยุดถ่ายทอดพลังเสวียนแล้ว ลมหายใจเด็กทั้งห้าก็อ่อนลงไปอีก เหลือเพียงลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา แม้กระทั่งลมหายใจเข้าก็ไม่มี


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่รีบร้อน นางขึ้นไปบนเวทีประลอง แล้วจัดแจงป้อนยาอายุวัฒนะให้กับเด็กแต่ละคน ใช้พลังเสวียนทำให้ยาเม็ดนั้นละลาย เพื่อรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกเขาเอาไว้ชั่วคราว


 


 


ต่อจากนั้น ฉากมหัศจรรย์กำลังจะเริ่มปรากฏแก่สายตาของทุกคน


 


 


อวี้เฟยเยียนนั่งลงตรงกลาง นางกางนิ้วทั้งสิบให้แยกออก แล้วนิ้วแต่ละนิ้วปล่อยเส้นไหมเงินซึ่งแต่ละเส้นจะพันเข็มเงินเอาไว้อยู่


 


 


เด็กหนึ่งคนสำหรับเข็มสองเล่ม เข็มทั้งสิบเล่มราวกับมีตา มันพุ่งปักลงบนร่างของเด็กๆ อย่างรวดเร็ว


 


 


“โอ้ว! ใครบอกข้าได้บ้างว่านี่คืออะไรกัน?”


 


 


ผู้เฒ่ารองนอนคว่ำทั้งร่างพาดบนเวที จับตาดูวิธีการที่อวี้เฟยเยียนใช้อย่างใกล้ชิด ชื่นชมไม่หยุดปาก


 


 


“วิชาแพทย์สูงส่งเช่นนี้ ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ! ตาฮั่ว นี่มันคล้ายกับวิธีฝังเข็มของหมอสมัยโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้วนี่นา!”


 


 


ผู้เฒ่ารองกล่าวถามขึ้น เมื่อรู้ว่าหมอเทวดาฮั่วมีเวลาอยู่กับอวี้เฟยเยียนนานกว่าคนอื่น


 


 


“อะแฮ่ม!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่ตะลึงพรึงเพริดของคนอื่นๆ หมอเทวดาฮั่วก็เอ่ยด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ


 


 


“ข้าเคยเห็นนางฝังเข็มอยู่บ้าง รวดเร็วกว่าวิธีการที่นางใช้อยู่นี้ ข้ากล้ารับประกัน แม่นางน้อยอวี้ต้องเป็นทายาทวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน! วิชาฝังเข็มนี้ จะต้องเป็นการฝังเข็มโบราณที่สาบสูญไปนานแสนนานอย่างแน่นอน!”


 


 


ได้ฟังคำพูดหมอเทวดาฮั่วแล้ว ผู้เฒ่าทั้งหลายก็ยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น ด้วยเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดที่สำคัญไป


 


 


ยิ่งดูพวกเขาก็ยิ่งนับถืออวี้เฟยเยียนมากเท่านั้น และยิ่งเชื่อในคำพูดของหมอเทวดาฮั่วมากขึ้นอีกด้วย


 


 


วิชาแพทย์สูงส่งเช่นนี้ มนุษย์และสวรรค์ต้องพิโรธ!


 


 


ผู้คนที่อยู่ในงานต่างก็กำลังจับตาดูอวี้เฟยเยียน พวกแขกที่ร่วมงานก็ยิ่งมิวางตา นี่ล้อเล่นใช่หรือไม่ จักรพรรดิโอสถลงมือเอง ร้อยปียากที่จะพบสักครั้ง เหตุการณ์เช่นนี้ หากมิจับตาดูโดยตลอดละก็จะไปคุยโม้กับผู้คนได้อย่างไร!


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่รู้เลยว่า การฝังเข็มครั้งนี้ของนาง ได้พิชิตใจบรรดาผู้เฒ่าที่อายุมากกว่าคุณปู่ของเธออย่างราบคาบ ยิ่งไม่รู้อีกว่า ท่าทางนางในตอนนี้งดงามอย่างที่สุด ทำเอาคนรับชมแสบตาไปตามๆกัน


 


 


นางจิตใจจดจ่อกับการแย่งชิงชีวิตเด็กทั้งห้าจากเงื้อมมือพญายมราชกลับมาให้จงได้


 


 


เด็กห้าคน อวี้เฟยเยียนจะต้องแบ่งสมองเป็นห้าส่วน และต้องแบ่งพละกำลังเป็นส่วนๆเพื่อจัดการพิษแต่ละชนิดรวมทั้งกำหนดวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ คราวนี้พวกเราวางแผนผิดพลาด”


 


 


เลี่ยเชวียจ้องมองไปที่อวี้เฟยเยียน หน้าเคร่งขรึม


 


 


เขาสู้อุตส่าห์ครุ่นคิดวางแผนสลับซับซ้อน แต่ที่พลาดไปนั่นก็คือคิดไม่ถึงว่าวิชาแพทย์ของอวี้เฟยเยียนจะสูงส่งปานนี้!


 


 


นางใช้เข็มเงินปิดจุดชีพจรของเด็กๆไว้ แล้วบังคับให้พิษไหลไปที่แขนขาพวกเขา


 


 


วิธีการแก้พิษนี้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยจริงๆ


 


 


เลี่ยเชวียรู้สึกโหวงเหวงในใจ ถ้าหากอวี้เฟยเยียนเกิดถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าได้ละก็ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรดี?


 


 


ตามกติกา พวกเขาจะต้องจ่ายด้วยชีวิต


 


 


ถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนอาจมิมีความสามารถขนาดนั้น แต่ครั้งนี้ต้องเสียหน้า กลับไปแล้ว รายงานประมุขอย่างไรกัน


 


 


 เปรียบเทียบกันแล้ว อารมณ์ผู้เฒ่าใหญ่มิได้หมดหวังหรือแค้นเคืองเท่าเลี่ยเชวีย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ


 


 


เมื่อคิดถึงไปถึงยอดเขาเมืองเฟิงหมิง ใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งของอวี้เฟยเยียนนั้น ร่างผู้เฒ่าใหญ่ก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาในทันที


 


 


แม่นางที่งามขนาดนี้ วิชาแพทย์ก็สูงส่ง ยังเป็นถึงจอมเทวา…


 


 


เกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ยาโดยแท้จริง!


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่วางแผนไว้ในใจ ก่อนที่จะนำอวี้เฟยเยียนไปทำยามนุษย์นั้น เขาจะต้องควบคุมสมองของนางเสียก่อน แล้วทำให้นางกลายเป็นเนื้อชั้นดีของเขาเพียงผู้เดียว แล้วเล่นสนุกกับนางให้สาแก่ใจ


 


 


ตุ๊กตาตัวหนึ่ง หุ่นเชิดตัวหนึ่ง ไม่มีความคิดความรู้สึก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำตามคำสั่งเจ้านายเท่านั้น


 


 


เอวเล็กๆ นั่นโอนอ่อน ท่าไหนก็น่าจะทำได้!


 


 


ยิ่งมองอวี้เฟยเยียน ผู้เฒ่าใหญ่ยิ่งพอใจ มือขวาเขาลูบคลำแหวนบนมือข้างซ้ายตลอดเวลา ในขณะที่ตาก็กวาดมองเรือนร่างอวี้เฟยเยียนไปด้วย


 


 


สัดส่วนเรือนร่างอวี้หลัวช่าดีจริงๆ สวมใส่ชุดอะไรก็งาม! เขาจะต้องซื้อชุดสวยๆ มากมาย เขาจะแต่งตัวให้นางสวยงาม! ยังมีอีก นางยังไม่เป็นสาวเต็มตัว นั่นก็ยิ่งน่าสนุกเข้าไปอีก…


 


 


เห็นผู้เฒ่าใหญ่ไม่พูดไม่จาท่าทางมัวเมาอยู่ในกามอารมณ์ เลี่ยเชวียก็สบถออกมา


 


 


‘เฮอะ’


 


 


นี่มันเวลาอะไรแล้ว สมองคนผู้นี้คิดเรื่องเหลวไหลอยู่ได้! เหตุใดประมุขถึงให้เขามาช่วยเหลือเจ้าโง่เง่านี่ด้วยนะ!


 


 


ถึงแม้ว่าในใจเลี่ยเชวียจะไม่พอใจผู้เฒ่าใหญ่อย่างยิ่ง แต่ชั่วดีอย่างไรคนทั้งสองก็เป็นทูตของสำนักหมื่นพิษ ดังนั้นเขาจึงมิได้แสดงออกต่อหน้าเขา


 


 


“ผู้เฒ่าใหญ่ หากนางชนะละก็ พวกเราจะทำอย่างไรกัน?”


 


 


ได้ยินคำที่เลี่ยเชวียกล่าว ผู้เฒ่าใหญ่ถึงได้ดึงสติกลับมาจากกามอารมณ์นั้น


 


 


เขาไอเบาๆ สองครั้ง ก่อนจัดเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่


 


 


“ครั้งนี้เจ้านำยอดฝีมือมากี่คน?”


 


 


“มีเพียงขั้นราชันเพียงคนเดียว”


 


 


เลี่ยเชวียคิดอยู่ครู่แล้วจึงเอ่ยตอบ


 


 


“นายท่านบอกว่ายอดฝีมือจัดให้ท่านไปแล้ว!”


 


 


ว่าแล้วผู้เฒ่าใหญ่ก็นับจำนวนยอดฝีมือในมือตนดู น่าจะเพียงพอที่จะรับมืออวี้เฟยเยียนและพวกของนางแล้ว พวกนางเขาเคยพบมาแล้ว ไม่น่าเกรงกลัว


 


 


“วางใจเถอะ! ข้าคิดแผนรับมือเอาไว้แล้ว! ตำรายาของหอราชาโอสถเราหายไป พบในห้องนาง วันนี้นางอาศัยวิชาแพทย์ของเรารักษาเด็กทั้งห้าคน หึหึ…”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวขึ้น เลี่ยเชวียก็ยิ้มออกมา


 


 


“นั่นสินะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนแอบเรียนวิชาแพทย์ของหอราชาโอสถ ใช้วิชาแพทย์ของหอราชาโอสถรักษาเด็กทั้งห้าคน เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นความสามารถนางเสียหน่อย หากจะนับละก็ หอราชาโอสถต้องเป็นฝ่ายชนะ!


 


 


“ท่านนี่ชั่วร้ายจริงๆ!”


 


 


เลี่ยเชวียยกนิ้วผู้เฒ่าใหญ่


 


 


“มิน่านายท่านถึงได้ให้ความสำคัญกับท่านนัก!”


 


 


เลี่ยเชวียเอ่ยชมขนาดนี้ ผู้เฒ่าใหญ่ถึงได้ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ


 


 


“สรุปก็คือ ครั้งนี้พวกเราทำลายหอราชาโอสถได้ กลับไปนายท่านจะต้องพอใจมากอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นนายท่านก็จะให้รางวัลเราอย่างงาม!”


 


 


ผู้เฒ่าใหญ่พูดถึงรางวัลที่จะได้รับ เลี่ยเชวียก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา


 


 


ต้องรู้ว่า สำนักหมื่นพิษก้าวหน้ามาไม่ถึงสิบปี สามารถแข็งแกร่งได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ จนกระทั่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหอราชาโอสถได้ หนึ่งในส่วนที่เป็นเหตุผลสำคัญนั่นก็คือผู้ก่อตั้ง ประมุขของพวกเขานั่นเอง


 


 


ผู้ที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง!


 


 


คนของสำนักหมื่นพิษ ล้วนแต่เป็นคนที่ประมุขใช้ยาชั้นเลิศมากมายเสริมสร้างร่างกายของพวกเขาขึ้นมา


 


 


หากมิใช่ความเอื้ออาทรของประมุข ทูตซ้ายทูตขวาในตอนนี้คงเป็นเพียงแค่หมอยาธรรมดาๆที่รักษาคนไปวันๆ เท่านั้นเอง ไหนเลยจะมีชื่อเกียรติยศเช่นวันนี้กัน!


 


 


ต้องรู้ว่า ก่อนหน้านี้เลี่ยเชวียเป็นเพียงแค่หมอรักษาสัตว์ในหมู่บ้าน ส่วนผู้เฒ่าใหญ่ก่อนที่จะเข้ามาเป็นคนของสำนักหมื่นพิษก็เคยรักษาคนตาย ถูกประกาศจับ สุดท้ายท่านประมุขช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ พาพวกเขาไปสู่เส้นทางที่สวยงาม!


 


 


สรุปก็คือ ทำงานให้กับประมุข รางวัลที่ได้นั้นสูงค่ายิ่งนัก!


 


 


อีกด้าน เหงื่อค่อยๆ ซึมออกมาบนใบหน้าของอวี้เฟยเยียน


 


 


พิษทั้งห้าชนิดนี้ อวี้เฟยเยียนได้ทำความเข้าใจกับมันอย่างลึกซึ้งแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าบนแผ่นดินยังมียอดฝีมือที่สามารถปรุงยาพิษร้ายเช่นนี้ได้อีก ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริงๆ


 


 


ยังดีที่ช่วงแรก จอมยุทธ์ทั้งห้าใช้พลังเสวียนช่วยต่อชีวิตของพวกเขา รักษาเส้นชีพจรพวกเขาเอาไว้ มิฉะนั้นอวี้เฟยเยียนก็คงลำบากเช่นกัน


 


 


เข็มเงินยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างของเด็กน้อย อวี้เฟยเยียนใช้พลังเสวียนบีบให้เข็มเงินไหลไปที่แขนและข้าทั้งสองข้าง ตอนนั้น เวลาได้ล่วงเลยไปถึงช่วงบ่าย


 


 


สีหน้าเด็กค่อยๆ ดีขึ้นเฉกเช่นดังเดิม รอยเลือดที่ซีดจางบริเวณริมฝีปากก็กลับมาเป็นสีแดงสด ตรงกันข้ามกันบริเวณมือและเท้าของเด็กๆ กลายเป็นสีดำเข้ม สีม่วง หรือไม่ก็เขียวดำ…ตอนนี้สิ่งที่อวี้เฟยเยียนต้องทำนั่นก็คือทำให้ธาตุพิษในร่างของเด็กๆ แข็งตัว


 


 


จึงจะเห็นว่า เข็มเงินในมือของนางเพิ่มเป็นยี่สิบเล่ม


 


 


บนร่างเด็กแต่ละคนจะมีเข็มสี่เล่มปักอยู่ แบ่งเป็นมือสองข้าง และเท้าสองข้าง


 


 


ในช่วงท้าย ความแปลกใจและประหลาดใจที่อวี้เฟยเยียนมอบให้ทุกคนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เหล่านักปรุงยาและศิษย์ทั้งหลายของหอราชาโอสถมองดูด้วยอาการตกตะลึง แววตาเคารพนับถืออย่างภักดีจ้องมองไปยังสาวน้อยบนเวทีนั่น


 


 


“นางอายุยังน้อย เหตุใดวิชาแพทย์ถึงได้สูงส่งเช่นนี้”


 


 


“ในใจทุกคนทั้งนับถือและอยากรู้จักเกี่ยวกับอวี้เฟยเยียนทั้งนั้น”


 


 


“สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิโอสถ!”


 


 


ก่อนหน้านี้ยังมีคนบางกลุ่มยังรู้สึกสงสัยที่อวี้เฟยเยียนเป็นถึงจักรพรรดิโอสถทั้งที่อายุยังน้อย บวกกับการยุแหย่ของเลี่ยเชวีย ทำให้มีคนบางกลุ่มคิดว่าอวี้เฟยเยียนคงจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เฒ่าเจ็ด จึงได้ตำแหน่งจักรพรรดิโอสถนี้มา


 


 


ครั้งนี้ความจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้า ทำให้พวกเขาต้องยอมรับในที่สุด


 


 


“ใช่นะสิ! ข้ามิเคยเห็นวิธีการฝังเข็มที่มหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนเลย!”


 


 


“ใต้เท้าจักรพรรดิโอสถ ข้านับถือท่าน ใต้เท้าจักรพรรดิโอสถ ท่านจะต้องช่วยชีวิตเด็กให้ได้นะ!”


 


 


ศิษย์คนหนึ่งวู่วามร้องออกมา


 


 


เมื่อมีคนที่หนึ่ง ก็ย่อมมีคนที่สอง อวี้เฟยเยียนทำให้จิตวิญาณพวกเขาสั่นสะเทือน โดยมิรู้จะสรรหาคำใดๆ มาอธิบายได้


 


 


ทันใดนั้น เสียงอื้ออึงต่างๆดังขึ้น


 


 


“ใต้เท้าจักรพรรดิโอสถ สู้!”


 


 


“ใต้เท้าจักรพรรดิโอสถ! พวกเราสนับสนุนท่าน!”


 


 


“ใต้เท้าหลัวช่า ท่านคือแบบอย่างของเรา ข้าขอติดตามท่าน!”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนมีแรงดึงดูดผู้คนถึงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกอึดอัดจนต้องลูบหัวฮันจื่อเบาๆ


 


 


ทำอย่างไรดี?


 


 


จำนวนคนที่พบข้อดีอวี้เฟยเยียนกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


คนมากมายนับถือนาง ข้ารู้สึกว่ามีแรงกดดันมหาศาล!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลองนับดูเล่นๆ เมื่อกล่าวถึงเขาทุกคนดูราวกับหวาดกลัว ตื่นตระหนก คนที่นับถือเขามีไม่มาก ในทางกลับกันคนที่ต้องการเอาชีวิตเขากลับมีมากมายเหลือเกิน…


 


 


เขามองไปยังอวี้เฟยเยียนอีกครั้ง รู้สึกราวกับมองดูรูปสลักที่ทำให้ผู้ที่มองเกิดความรู้สึกมุมานะพยายาม อีกทั้งมีพรสวรรค์และพลังดึงดูดผู้คนสูงส่งยิ่งนัก


 


 


ในทุกครั้งที่แสดงความสามารถของตนเองออกมา ก็มักจะได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย


 


 


ในฐานะท่านพี่ของนางอย่างซย่าโหวฮิงเทียน รับรู้ได้ถึงความอันตราย


 


 


สมบัติล้ำค่าของเขา ถูกผู้อื่นเชยชม ความรู้สึกนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย ซย่าโหวฉิงเทียนอยากจะซ่อนอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วค่อยๆ ชื่นชม ค่อยๆ ลิ้มรส สรุปก็คือ ให้เขารู้เพียงคนเดียวว่านางดีก็พอแล้ว!


 


 


นายท่าน สายตาท่านช่างเฉียบคมจริงๆ!


 


 


สายตาแหลมคมดุจเปลวเทียน!


 


 


มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีเลยว่าแม่นางน้อยคนดีต่างจากคนอื่นๆ!


 


 


ฮันจื่อรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นก็จะไม่ไปแตะจุดเดือดของนายท่านเด็ดขาด


 


 


มันยื่นอุ้งมืออวบแน่นออกมา แล้วพยายามทำท่ายกนิ้วหัวแม่โป้งให้


 


 


ข้านับถือนายท่านที่สุด!


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


 ท่าทางของฮันจื่องุ่มง่ามใสซื่อ แต่สีหน้าจริงจังดุดัน เรียกเสียงหัวเราะจากซย่าโหวฉิงเทียน เขาหยิกแก้มยุ้ยๆ ของฮันจื่อ มันเรียกพลังให้กับซย่าโหวฉิงเทียนได้เป็นอย่างดี


 


 


“เมื่อพบนางครั้งแรกก็รู้ได้เลยว่านางแตกต่างจากคนอื่น! นางเป็นของข้า ใครก็แย่งไปไม่ได้!”

 

 

 


ตอนที่ 79-1 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

 

“เจ๋งชะมัด!”


 


 


ฮันจื่อจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาเลื่อมใส


 


 


นายท่าน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางน้อยแตกต่างจากคนอื่นกัน?


 


 


“ความรู้สึกแรกของสัตว์ป่า…”


 


 


เมื่อเห็นว่าฮันจื่อมุมานะที่จะเรียนรู้อย่างมาก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอธิบายต่อว่า


 


 


“ความรู้สึกแรกของสัตว์ป่านี้ ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด!”


 


 


เพียงแค่แรกพบนาง เขาก็มีความรู้สึกว่านางและเขาคือคนประเภทเดียวกัน…


 


 


ลานประลอง


 


 


มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญธาตุพิษทั้งหมดถูกกดไว้ที่แขนและขาของเด็กๆ เนื่องด้วยอวี้เฟยเยียนใช้พลังเสวียนแยกมันออกจากกัน สุดท้ายพิษก็กลายเป็นวัตถุกลมที่มีขนาดราวกับไข่มุก โดยฝังตัวอยู่ที่นิ้วหัวแม่มือและเท้าของเด็กแต่ละคน


 


 


“นางคงจะไม่ตัดนิ้วหัวแม่มือและเท้าของเด็กกระมัง”


 


 


ผู้เฒ่าสี่ลูบเคราไปพลางกล่าวขึ้น สายตาก็จับจ้องอวี้เฟยเยียนโดยมิวางตา


 


 


“เป็นวิธีที่ไม่เลว!”


 


 


การที่อวี้เฟยเยียนทำให้พิษเกาะตัวกันเอาไว้ได้ ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตามากแล้ว ถึงตอนนี้ หากอวี้เฟยเยียนจะตัดนิ้วหัวแม่มือและเท้า เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา นั่นก็พอจะเข้าใจได้


 


 


อย่างไรเสีย ขาดไปเพียงนิ้วเดียวก็ยังดีกว่าเสียชีวิตเป็นไหนๆ


 


 


“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”


 


 


ผู้เฒ่าสามหรี่ตามองแล้วกล่าวขึ้น


 


 


“ข้าว่าแม่นางน้อยยังมีความสามารถที่ล้ำลึกกว่านี้อีก! นางลงแรงไปตั้งมากมาย สุดท้ายแล้วยังต้องตัดนิ้วเด็กๆ ข้าเกรงว่านางคงมิยินยอมให้เกิดขึ้นเป็นแน่!”


 


 


พวกผู้เฒ่าถกเถียงกันไปพลางจับตาดูอวี้เฟยเยียนไปพลาง


 


 


เจ้าสำนักหลินยืนตรงหน้าหมอเทวดาฮั่ว สีหน้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก


 


 


“ศิษย์น้อง ครั้งนี้หากมิได้เจ้า หอราชาโอสถเราเกรงว่าจะต้องพบกับคราวเคราะห์ล้างสำนักเป็นแน่ ขอบคุณเจ้ามากนะ!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วเป็นผู้ที่เปิดเผยใจคอกว้างขวางอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเจ้าสำนักหลินกล่าวเช่นนี้ ก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที


 


 


“ศิษย์พี่ ข้าและท่านล้วนแต่เติบโตที่หอราชาโอสถแห่งนี้ ที่นี่ก็คือบ้านของเรา ทำเพื่อบ้านเรา เดิมทีก็เป็นหน้าที่ข้า แล้วจะขอบคุณไปทำไมกัน”


 


 


“หากว่าต้องการจะขอบคุณละก็ ท่านและข้าควรจะไปขอบคุณแม่นางน้อยผู้นั้นด้วยกัน ยังมีเหล่าสหายของนางอีกด้วย”


 


 


“ใช่ๆ!”


 


 


เจ้าสำนักหลินรู้ดีว่า หากมิใช่อวี้เฟยเยียนล่ะก็ เขาคงกลายเป็นวิญญาณไร้ญาติไปนานแล้ว


 


 


เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในพื้นที่ปกครองของตน แต่เขากลับมิรู้เรื่องอะไรเลย เจ้าสำนักหลินรู้สึกผิดยิ่งนัก


 


 


หากว่าในยามปกติเขาคอยระแวดระวังผู้เฒ่าใหญ่สักหน่อย ก็คงจะพบว่าผู้เฒ่าใหญ่ผู้นี้เป็นตัวปลอมไปแล้ว ก็คงมิเกิดเรื่องราวภายหลังเหล่านี้ขึ้นมาอีกด้วย


 


 


หมอเทวดาฮั่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิงหมิงให้กับเจ้าสำนักหลินฟัง


 


 


เพียงแค่ได้ยินว่าผู้เฒ่าใหญ่ใช้ชื่อหอราชาโอสถก่อกรรมทำเข็ญข้างนอก เจ้าสำนักหลินก็แทบกระอักเลือดออกมา


 


 


ยังดีที่อวี้เฟยเยียนพบแผนชั่วของเขาเข้าและทำลายมันไปแล้ว


 


 


ต้องขอบคุณอวี้เฟยเยียนจริงๆ!


 


 


“ศิษย์น้อง หากเรื่องนี้จบลงแล้ว เจ้ากลับหอราชาโอสถของเราเถอะ…ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ เดิมทีก็เป็นของเจ้า ถึงเวลาที่มันควรจะกลับสู่เจ้าของเดิมของมันแล้ว!”


 


 


ร่องรอยบวมแดงบนใบหน้าเจ้าสำนักหลินยังมิหายขาด แต่สีหน้าเขาแสดงออกถึงความหนักแน่นจริงจัง มิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด


 


 


ก่อนหน้าที่เจ้าสำนักหลินได้ยินว่า หมอเทวดาฮั่วจะมาเข้าร่วมงานประลองปรุงโอสถ ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


 


ในตอนนั้น หมอเทวดาฮั่วต่างหากคือตัวเลือกที่อาจารย์ยอมรับว่าจะให้เป็นเจ้าสำนักต่อไป แต่เจ้าสำนักหลินใช้วิธีการที่ไม่น่าภาคภูมิ โดยการที่ให้หญิงผู้หนึ่งใส่ร้ายหมอเทวดาฮั่ว ตนเองถึงได้ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้มา…


 


 


ครั้งนี้หอราชาโอสถมีภัย หมอเทวดาฮั่วก็ไม่รีรอที่จะกลับมาช่วยเหลือ ทั้งยังต้องเผชิญความลำบากมากมาย


 


 


คนที่ใจคอกว้างขวาง สง่าผ่าเผยเช่นเขา ถึงจะคู่ควรเป็นผู้นำให้กับหอราชาโอสถให้ก้าวหน้าต่อไป!


 


 


อยู่ดีๆ กล่าวถึงเรื่องดีขึ้นมาทำไมกัน!


 


 


หมอเทวดาฮั่วจ้องมองมาที่เจ้าสำนักหลินด้วยความตกใจ


 


 


ถึงแม้ว่าตอนนั้นหมอเทวดาฮั่วจะเคยแค้นเคืองเจ้าสำนักหลินที่กลั่นแกล้งจนตนเองมิได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ลืมมันไปตั้งนานแล้ว


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นในครานี้ หอราชาโอสถตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาและเจ้าสำนักหลินศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องร่วมมือกันอีกครั้ง ยิ่งทำให้หมอเทวดาฮั่วนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กที่ทั้งสองร่ำเรียนวิชาแพทย์ด้วยกันมา


 


 


ปีนั้น ศิษย์พี่หลินคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน จึงมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่แน่นแฟ้นมาหลายปี


 


 


ดังนั้นสิ่งไม่สบายใจที่ผ่านมา หมอเทวดาฮั่วจึงปล่อยวางลงอย่างสิ้นเชิง


 


 


“ศิษย์พี่ จริงๆ แล้วท่านเหมาะสมเป็นเจ้าสำนักใหญ่มากกว่าข้า”


 


 


“ข้านั้นนิสัยอิสรเสรี มิชอบถูกจำกัดผูกมัดใดๆ อีกทั้งไม่สันทัดการดูแลจัดการคน เรื่องนี้ท่านแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก”


 


 


“หลายปีมานี้ หอราชาโอสถภายใต้การปกครองของท่านชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งใหญ่เกรียงไกร ช่วงเวลาที่ข้าอยู่กับชาวบ้าน พวกเขาต่างก็กล่าวชมเชยหอราชาโอสถไม่หยุดปาก ล้วนแต่เป็นความดีความชอบของท่านทั้งสิ้น! ท่านต่างหากที่เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนัก!”


 


 


“แต่ ข้าทำผิดต่อเจ้าจริงๆ…”


 


 


ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าตนเองให้เฉิงก้วนจงคอยจับตาดูหมอเทวดาฮั่วเอาไว้ ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจจนแทบมิมีหน้าอยู่บนแผ่นดินต่อไป


 


 


“ฮ่าๆ! ศิษย์พี่ ท่านก็สงสารข้าเถอะ!”


 


 


ตอนนี้ข้าชินเสียแล้วกับชีวิตที่อิสรเสรี! ท่องไปทั่วยุทธภพ ช่วยเหลือชีวิตคน นี่ต่างหากจึงเป็นชีวิตที่ข้าชื่นชอบที่สุด สำหรับการดูแลหอราชาโอสถ หน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ อย่างไรศิษย์พี่ก็แบกเอาไว้ให้หน่อยละกัน!…


 


 


อย่างไรเสียท่านเป็นศิษย์พี่ นี่คือความรับผิดชอบของท่าน ข้ายังจำได้ตอนที่พวกเราเป็นเด็ก ศิษย์พี่มักจะคอยรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ท่านก็ช่วยข้าอีกสักครั้ง!”


 


 


เป็นตายอย่างไรหมอเทวดาฮั่วก็มิยอมรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ส่วนเจ้าสำนักหลินก็พยายามสุดฤทธิ์ที่จะชดใช้คืนในสิ่งที่เขาติดค้างศิษย์น้องเอาไว้


 


 


ขณะที่ทั้งสองถกเถียงกันมิเลิกรานั่นเอง ผู้เฒ่ารองก็ร้องเรียก


 


 


“มาดูเร็วเข้า นางจะถอนพิษแล้ว!”


 


 


คำพูดผู้เฒ่ารอง เบี่ยงเบนสายตาของเจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่วไปในทันที คนทั้งจับตาดูอวี้เฟยเยียนอย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


สิ่งที่เห็นคือ นางชักเข็มเงินกลับ แล้วหยิบงูห้าตัวออกมาจากห่อผ้า


 


 


นี่นางหมายความว่า?


 


 


ผู้เฒ่าคนอื่นๆยังคงมิเข้าใจความหมาย แต่หมอเทวดาฮั่วและผู้เฒ่าเจ็ดหันมาสบสายตากัน แล้วยิ้ม


 


 


ใช้พิษสยบพิษ!


 


 


ความหมายนี้แหละ!


 


 


อวี้เฟยเยียนปล่อยงูทั้งห้าตัวไว้บนร่างของเด็กๆ ทันใดนั้นเจ้างูก็เลื้อยไปที่นิ้วหัวแม่โป้งของเด็กๆทันทีมันอ้าปากแล้วฉกไปที่นิ้วนั้น


 


 


มู่เหนี่ยนซีหวาดกลัวงูสัตว์จำพวกเนื้อตัวนิ่มหยุ่นเช่นนี้เป็นที่สุด เมื่อมองเห็นงูอีกครั้ง นางตกใจเสียจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดตา


 


 


“เสวี่ย หากว่าเรียบร้อยแล้วเจ้าเรียกข้าด้วย!”


 


 


หญิงสาวที่ปกติแข็งแกร่งไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นมู่เหนี่ยนซี คราวนี้กลับแสดงอาการหวาดกลัวที่หญิงสาวทั่วไปมีออกมา ทำให้อวี้เชียนเสวี่ยถึงกับหัวเราะออกมา


 


 


“ท่านหัวเราะอะไร!”


 


 


มู่เหนี่ยนซีมองลอดไปที่อวี้เชียนเสวี่ยผ่านช่องระหว่างนิ้วมือ


 


 


ดวงตาเขาคล้ายกับดวงดาว เปล่งประกายสุกใสระยิบระยับ จ้องมองอยู่นานจนมู่เหนี่ยนซีหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย หัวใจเต้น ‘ตึกตัก’ ขึ้นมาทันใด


 


 


“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”


 


 


อวี้เชียนเสวี่ยอารมณ์แจ่มใส หายากนักที่จะหยอกล้อกับมู่เหนี่ยนซี เขาไม่บอกนางว่าตนหัวเราะอะไร ทำให้มู่เหนี่ยนซีร้อนรนจนด่าทอเขาว่าเป็นคนขี้โกง


 


 


แต่ทว่า ต่อให้ถูกด่าทอ แต่สีหน้าท่าทางของอวี้เชียนเสวี่ยก็สุขใจยิ่งนัก


 


 


ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองค่อยๆ ใกล้ชิดมากขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว


 


 


งูน้อยดูดพิษจากหัวแม่มือจนหมดสิ้น จากนั้นก็เลื้อยต่อไปที่นิ้วหัวแม่เท้าของเด็กเพื่อดูดพิษต่อ


 


 


ช่วงเวลา ณ ขณะนั้น ลานประลองเงียบสงัด ทุกคนต่างก็จับตาดูที่งูทั้งห้าตัวนั้น


 


 


ขณะนั้นเลี่ยเชวียและผู้เฒ่าใหญ่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เมื่อครู่พวกเขาสำรวจดูงูพวกนั้นอย่างละเอียด ทั้งหมดเป็นงูสามเหลี่ยมอีกทั้งยังเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท


 


 


หากเป็นเวลาปกติละก็ ถูกงูชนิดนี้กัดเข้าเพียงหนึ่งครั้ง ภายในไม่กี่วินาทีก็จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดขาดใจตาย


 


 


อวี้เฟยเยียนกลับใช้งูชนิดนี้มารักษาคน นี่มันเหลวไหลไปใหญ่แล้ว!


 

 

 


ตอนที่ 79-2 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

 

ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์


ทว่า ผลลัพธ์กลับทำให้คนทั้งสองตกตะลึง


เด็กทั้งห้าคนมิเพียงแต่ไม่เป็นไร กลับกันสีหน้าพวกเขาค่อยๆ ดีขึ้น แม้แต่ธาตุพิษที่บริเวณนิ้วหัวแม่มือนิ้วหัวแม่เท้าของพวกเขาก็ค่อยเจือจางลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกงูนั้นดูออกไปจนหมด


“ลำบากพวกเจ้าแล้ว!”


จวบจนกระทั่งจำนวนธาตุพิษบริเวณนิ้วหัวแม่โป้งเท้ามีจำนวนน้อยกว่าที่งูน้อยดูดออกไปแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงหยิบงูเหล่านั้นใส่เข้าไปในย่ามดังเดิม


หลังจากนั้น อวี้เฟยเยียนจึงป้อนยาแก้พิษให้กับเด็กๆ เพื่อกำจัดพิษร้ายที่หลงเหลือในร่างกายออกไปให้หมด ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างร่างกาย เพิ่มพูนความแข็งแรงอีกด้วย


รอจนอวี้เฟยเยียนทำแผลที่นิ้วมือและนิ้วเท้าของเด็กทั้งห้าเรียบร้อย ภารกิจนางก็สำเร็จลุล่วง


รอไม่นาน เด็กคนแรกก็ฟื้นขึ้น


อีกเพียงครู่ เด็กที่เหลือก็ทยอยฟื้นขึ้น


“ดีจังเลย! นางชนะแล้ว!”


หมอเทวดาฮั่วตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก


ความวิตกกังวลเมื่อครู่มลายหายไปหมดสิ้น กลายเป็นความปลื้มปีติยินดีเข้ามาแทนที่


“ชนะแล้ว!”


“ชนะแล้ว!”


“อวี้หลัวช่ายอดเยี่ยมที่สุดเลย!”


“ใต้เท้าอวี้หลัวช่าเกรียงไกร!”


ทั่วทั้งลานประลองตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี ผู้คนต่างตะโกนเรียกขานชื่อของอวี้เฟยเยียน ทุกคนยืนขึ้นปรบมือให้กำลังใจชื่นชม ในดวงตาผู้คนเหล่านั้นฉายแสงแห่งความเคารพนับถือลุกโชนขึ้นมา


นับแต่นี้ ในใจพวกเขาเกิดความศรัทธาครั้งใหม่


“กลับตาลปัตรไปหมดแล้ว!”


เมื่อเห็นว่าเหล่านักปรุงยาและศิษย์หอราชาโอสถล้วนออกมาโห่ร้องไชโยให้กับอวี้เฟยเยียน ผู้เฒ่าใหญ่ก็โกรธเกรี้ยวจนแทบกระอัก


นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?


หากว่าอวี้เฟยเยียนชนะ ตามกติกา เขาก็ต้องตายสถานเดียว


เจ้าศิษย์พวกนี้หวังให้เขาไปตายหรืออย่างไรกัน?!


“หึหึๆ ดูแล้วท่านมิค่อยเป็นที่ชื่นชอบสำหรับหอราชาโอสถเท่าไหร่นัก!”


เลี่ยเชวียที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวทับถม ดวงตาเขาราวกับอาบด้วยยาพิษก็ไม่ปาน มันคอยจ้องมอง อวี้เฟยเยียนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อตลอดเวลา


อัปยศ!


นี่เขาถึงกับพ่ายแพ้ให้กับเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งหรือนี่ น่าอัปยศที่สุด!


เดิมทีสำนักหมื่นพิษ คิดจะอาศัยงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองให้มาก เพื่อที่ได้อยู่เหนือกว่าหอราชาโอสถ เป็นหนึ่งในแผ่นดิน


ใครจะคิดเล่าว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!


ผิดแผนไปหมด!


“ผู้เฒ่าใหญ่ หัวเราใกล้จะรักษาไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ทำเช่นไรกันดี?”


เห็นผู้คนที่ลานประลองต่างก็กู่ร้องด้วยความปีติยินดี เลี่ยเชวียก็แค้นเคืองอวี้เฟยเยียนอย่างที่สุด


เดิมทีแล้วเสียงตบมือเหล่านี้ควรจะเป็นของสำนักหมื่นพิษต่างหาก!


ผลลัพธ์ที่ได้คือพวกเขาเหนื่อยยากครั้งใหญ่ กลับกลายเป็นยกผลประโยชน์ให้นางไปเสียนี่ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!


“เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำอะไรมีแผนสำรองเสมอ!”


ในขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่กำลังกล่าวนั่นเอง ผู้เฒ่าสี่ ผู้เฒ่าห้าและผู้เฒ่าหกที่เดิมทีควรจะถอนตัวออกจากงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา


“พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน?”


พวกเขาควรจะออกไปจากที่นี่แล้วมิใช่หรือ?


แล้วเหตุถึงได้ปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้?


ผู้เฒ่าใหญ่เกิดสังหรณ์ใจไม่ดี


“พวกเราก็จะมาตรวจสอบน่ะสิว่า เด็กทั้งห้าคนถูกช่วยชีวิตแล้วจริงหรือไม่”


ผู้เฒ่าสี่ เหอะ ออกมาคำหนึ่ง แล้วก้าวขึ้นไปตรวจชีพจรของเด็กคนหนึ่ง


“อื้ม!”


ไม่นานผู้เฒ่าสี่ก็พยักหน้ากล่าวว่า


“พิษที่อยู่ภายในร่างถูกขจัดออกไปจนหมดแล้ว!”


ในตอนนั้นขณะเดียวกัน ผู้เฒ่าห้าและผู้เฒ่าหกก็จับชีพจรให้กับเด็กที่เหลือ


เมื่อพวกเขาประกาศผลที่ออกมา ผู้คนที่เดาผลออกตั้งแต่แรกนั้นต่างก็พากันโห่ร้องอีกครั้งอย่างยินดี


ได้คำยืนยันของเหล่าผู้เฒ่าแห่งหอราชาโอสถเช่นนี้ เด็กๆ ต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน


“พวกเจ้า…”


ทำเอาผู้เฒ่าใหญ่แทบกระอัก!


ก่อนหน้านี้ เขาเตรียมหาโอกาสลงมือเล่นนอกกติกา แต่ถูกเจ้าสามคนนี้ปรากฏตัวมาตัดตอนเสียนี่ น่าโมโหนัก!


“เช่นนี้แล้ว การประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ หอราชาโอสถของเราพ่ายแพ้แล้ว แต่สำนักหมื่นพิษก็ไม่ชนะเช่นกัน! ผู้ที่ชนะจริงๆนั่นก็คือใต้เท้าอวี้หลัวช่า! คู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิโอสถของนาง!”


ในครั้งนี้คำว่า ‘ใต้เท้าอวี้หลัวช่า’ ของผู้เฒ่าสี่ เอ่ยด้วยยอมรับนับถือทั้งกายและใจ!


ส่วนผู้เฒ่าห้าและผู้เฒ่าหกเองก็กล่าวต่อเช่นเดียวกัน


พวกเขาทำเช่นนี้ เป็นการตบหน้าผู้เฒ่าใหญ่อย่างแรง


ซึ่งต่อให้ผู้เฒ่าใหญ่อยากจะเสแสร้งต่อ ก็ทำมิได้อีกต่อไป


“เงียบสักครู่!”


ผู้เฒ่าใหญ่ตะโกนออกมาเสียง


แต่ใครจะรู้ว่า เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีกลับดังขึ้นมาอีกระลอก จนกลบเสียงของผู้เฒ่าใหญ่เสียสนิท


เห็นภาพเช่นนี้แล้ว หูซาจึงก้าวออกมา


“เงียบ! ผู้เฒ่าใหญ่มีเรื่องจะกล่าว!”


จอมเทวาเอ่ยปาก ผู้คนก็ค่อยเบาเสียงลงเหลือเพียงเสียงอื้ออึงเบาๆเท่านั้น


เมื่อเห็นเสียงเริ่มสงบลง ผู้เฒ่าใหญ่ก็กระแอมเล็กน้อยก่อนกล่าว


“ถึงแม้ว่าใต้เท้าอวี้หลัวช่าจะช่วยชีวิตของเด็กทั้งห้าต่อหน้าทุกคนก็จริง แต่ว่า…”


ผู้เฒ่าใหญ่ยอกย้อน แล้วชี้มือไปที่อวี้เฟยเยียน


“แต่นางแอบศึกษาวิชาแพทย์หอราชาโอสถ!”


“นางเป็นขโมย นี่มิใช่ความสามารถนางจริงๆ สักหน่อย!”


ผู้เฒ่าใหญ่โวยวายออกมาเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าแขกเหรื่อจะเชื่อคำพูดของเขา แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของเชียนเยี่ยเสวี่ย เซวียจื่ออี๋และเซวียเฉียงทั้งสามคน บวกกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้เฒ่าใหญ่ก่อนหน้านี้ทำให้ผู้คนสงสัย ทำให้มิมีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลย


“ยินยอมเดิมพันน้อมรับความพ่ายแพ้!”


“ใช่ แพ้ไม่เป็นแล้วมาแข่งขันทำไมกัน!”


“ก็ใช่น่ะสิ แม้แต่ความกล้าที่จะยอมรับว่าแพ้ยังไม่มี!”


“ข้าเชื่อในคุณธรรมของใต้เท้าหลัวช่า!”


“ใช่! พวกเราสนับสนุนใต้เท้าหลัวช่า!”


ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหนือความคาดหมายของผู้เฒ่าใหญ่มากนัก


เมื่อเขาเปิดเผย’ความจริง’ออกไป ทุกคนควรจะร่วมมือกันโค่นล้มอวี้เฟยเยียนมิใช่หรือ?


เหตุใดจึงกลายเป็นมาโจมตีผู้เฒ่าใหญ่ได้นะ?


“ข้าพูดเรื่องจริง! เมื่อสองสามวันก่อนหอซ่อนสมุดของเรามีขโมยบุกเข้ามา ‘ตำราแพทย์โบราณ’ ของหอราชาโอสถถูกขโมยไป! มาวันนี้ วิชาฝังเข็มที่อวี้หลัวช่าใช้ เป็นวิธีฝังเข็มที่อยู่ใน ‘ตำราแพทย์โบราณ’ เขียนเอาไว้!”


“คนที่ขโมยไปก็คืออวี้หลัวช่า! นางใช้วิชาแพทย์หอราชาโอสถเรา การประลองในครั้งนี้นางชนะโดยมิได้ใช้ความสามารถตนเอง!”


ถูกผู้เฒ่าใหญ่ใส่ร้ายเช่นนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนได้เปิดหูเปิดตาเห็นความไร้ยางอายของสำนักหมื่นพิษ


“เหอะๆ ผู้เฒ่าใหญ่! ความสามารถในการกลับผิดเป็นถูก กลับขาวเป็นดำของท่านช่างยอดเยี่ยมนัก! หากว่าหอราชาโอสถของท่านมีตำราแพทย์เช่นนี้อยู่ แล้วเหตุใดเมื่อครู่ถึงได้มิมีใครใช้มันออกมาเลยเล่า?”


คำถามอวี้เฟยเยียน ผู้เฒ่าใหญ่คิดหาคำตอบไว้ตั้งนานแล้ว


“นั่นเป็นเพราะตำราเล่มนั้นสำคัญมากอย่างไรเล่า มีเพียงแต่เจ้าสำนักเท่านั้นจึงสามารถฝึกฝนได้ น่าเสียดาย…เจ้าสำนักหลินตายด้วยน้ำมือของหมอเทวดาฮั่วเสียแล้ว”


“มิฉะนั้นงานประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ จะให้เจ้าคนต่ำช้าเช่นเจ้าสมใจได้อย่างไรกัน!”


“ท่านโกหก!”


เชียนเยี่ยเสวี่ยนั่งไม่ติด ถึงกับยืนขึ้นมา


“ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้เฒ่าใหญ่แห่งหอราชาโอสถเป็นผู้ที่กล้าทำกล้ารับ วันนี้ดูแล้ว เหตุใดราวกับคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ท่านคือผู้เฒ่าใหญ่ตัวจริงแน่หรือ? หรือว่า งานประลองโอสถในครั้งนี้ ถูกใครบางคนแอบอ้างมาสวมรอย ท่านเป็นตัวปลอมใช่หรือไม่?”


“เยี่ยนอ๋อง อย่าได้พูดจาเหลวไหล!”


ผู้เฒ่าใหญ่แสร้งทำเป็นโมโห แต่ในใจกลับตื่นตระหนก เยี่ยนอ๋องจะรู้ได้อย่างไรกัน!

 

 

 


ตอนที่ 79-3 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

 

ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์


แม้ความตายมาอยู่ตรงหน้า แต่ผู้เฒ่าใหญ่ก็ยังมิหยุดที่จะใส่ร้ายอวี้เฟยเยียน


“หากว่าอวี้หลัวช่าบริสุทธิ์ใจจริงๆ เช่นนั้นก็ให้ข้าค้นที่อยู่ของนาง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง”


สิ่งที่ผู้เฒ่าใหญ่กล่าวออกมา ทำให้อวี้เฟยเยียนยิ่งยิ้มกว้าง


“น่าขำ!”


“ที่พักที่นี่ท่านเป็นผู้จัดการ หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นคนของท่านนั่นแหละที่ยัดมันเข้าไป เจตนาให้ข้าติดกับ”


“อีกอย่าง ท่านเอาแต่บอกว่าหมอเทวดาฮั่วสังหารเจ้าสำนักหลิน ท่านดูสิ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้ยืนอยู่ตงนั้นอย่างปลอดภัยเล่า?”


อวี้เฟยเยียนชี้ไม้ชี้มือไป มิเพียงแต่เจ้าสำนักหลินและหมอเทวดาฮั่วเท่านั้น ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็เข้ามาอยู่ในลานประลองเช่นกัน


“เกิดอะไรขึ้น?”


“ไหนบอกว่าเจ้าสำนักหลินตายแล้วมิใช่หรือ?”


“ดูแล้ว ผู้เฒ่าใหญ่นี้แอบอ้างมาเป็นแน่!”


เสียงถกเถียงดังไปทั่วลานประลอง


ผู้เฒ่าใหญ่มองดูเจ้าสำนักหลินและผู้เฒ่าเจ็ดที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ยังมีหมอเทวดาฮั่วที่ปลอดภัยไร้อาการบาดเจ็บ และผู้เฒ่าคนอื่นๆก็ตระหนกตกใจจนทนไม่ไหว


“แท้ที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ผู้เฒ่าใหญ่ของพวกเรา อีกทั้งยังเป็นทูตแห่งสำนักหมื่นพิษ!”


เมื่อเจ้าสำนักหลินกล่าวจบทุกคนต่างพากันลุกขึ้น


“จริงหรือนี่”


“หมอนี่คือคนของสำนักหมื่นพิษจริงๆ!”


“สำนักหมื่นพิษช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ปลอมตัวมาแอบอ้างเป็นผู้เฒ่าใหญ่ ทั้งยังใส่ร้ายอวี้หลัวช่า เรื่องนี้จะต้องมีแผนการร้ายที่มิอาจบอกใครเป็นแน่!”


เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวออกมา ซึ่งเป็นคำพูดในใจของใครหลายคน


“เจ้าต่างหากที่เป็นตัวปลอม เจ้าสำนักตายไปแล้ว…”


ผู้เฒ่าใหญ่อึกๆ อักๆ


“ทูตซ้าย เจ้าก็ไม่ต้องกลับกลอกอีกต่อไปแล้ว!”


ผู้เฒ่าเจ็ดเหินทะยานขึ้นมาด้านหน้า แล้วกระชากหน้ากากผู้เฒ่าใหญ่ออก


เมื่อเห็นใบหน้าของทูตขวาเป็นหลุมเป็นบ่อไม่เรียบสม่ำเสมอเข้า มู่เหนี่ยนซีถึงกับหัวเราะออกมา


ที่แท้ก็คนอัปลักษณ์นั่นเอง! ถึงว่าข้าถึงได้รู้สึกทะแม่งๆ ที่แท้ก็ใส่หน้ากากหนังมนุษย์นี่เอง คงเป็นเพราะตนเองหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เกินไป ถึงต้องใช่วิธีนี้เพื่อที่จะปกปิดใบหน้าตนเองเอาไว้!


ผมยาวสีน้ำไหม้ของมู่เหนี่ยนซีโดดเด่นท่ามกลางผู้คน


“ในเมื่อความจริงกระจ่างแล้ว ยังจะมาเสียเวลากับเจ้านี่อีกทำไมกัน!”


วินาทีนั้น มู่เหนี่ยนซีก็ชักกระบี่ออกมาแล้วกระโดดพุ่งขึ้นไปบนเวทีด้วยท่วงท่าสง่างาม


เมื่อมู่เหนียนเริ่ม เชียนเยี่ยเสวี่ย เซวียเฉียงต่างก็กระโดดตามขึ้น มีเพียงเซวียจื่ออี๋ที่วรยุทธ์ยังไม่เข้าขั้นรับผิดชอบดูแลเด็กๆที่เพิ่งถูกช่วยชีวิตเอาไว้อยู่ด้านล่าง


“ช่าช่า ลงมือเถอะ!”


ส่วนเชียนเยี่ยเสวี่ยก็เป็นพวกเน้นปฏิบัติอยู่แล้ว กล่าวจบ ก็โจมตีผู้เฒ่าใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก่อน ส่วนมู่เหนี่ยนซีเลือกจัดการเลี่ยเชวีย


ถึงแม้ว่ามู่เหนี่ยนซีอยากที่จะจัดการหูซาด้วยมือของนางเอง แต่เขาเป็นถึงจอมเทวา มู่เหนี่ยนซีรู้ดีว่านางยังห่างชั้นกับเขาอีกไกล หากทะเล่อทะล่าออกมา ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความวุ่นวายให้กับทุกคนเสียมากกว่า


ดังนั้นมู่เหนี่ยนซีเลือกจัดการเลี่ยเชวีย เพื่อนร่วมขบวนการของหูซาแทน


เมื่อมีคนนำร่องถึงสองคน ผู้เฒ่าคนอื่นๆของหอราชาโอสถก็เริ่มเคลื่อนไหวบ้าง


เหล่านักปรุงยาและศิษย์ต้องพยายามอพยพแขกเหรื่อที่มาร่วมงานไปพลาง ต่อสู้กับศิษย์ของสำนักหมื่นพิษไปพลาง


หูซามองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า ก็ชักกระบี่เข้าร่วมวงด้วยทันที โดยเลือกโจมตีอวี้เฟยเยียน


“เหอะ…วิถีสุนัข”


ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งมองเหตุการณ์บนเวทีประลองนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้ยังมิถึงเวลาที่เขาจะลงมือ อวี้เฟยเยียนอดทนอดกลั้นมานานต้องการระบายออก หูซาดันมาโจมตีอวี้เฟยเยียนตอนนี้ มิกลายเป็นกระสอบทรายระบายอารมณ์หรอกหรือ!


แมวน้อย ให้หมอนี่เป็นที่รองมือรองเท้าเจ้าคนที่สองเถอะ!


ขอให้เจ้าเล่นให้สนุกนะ!


“ใต้เท้าหลัวช่าระวัง!”


“ไร้ยางอาย นี่ถึงขนาดลอบโจมตี!”


ผู้คนที่เดิมทีกำลังจะหลบหลีกไปจากสถานการณ์วุ่นวายนี้ ทว่าเมื่อเห็นหูซาที่ลอบโจมตีมู่เหนี่ยนซีจากทางด้านหลังแล้ว ก็หันมาตะโกนด่าทอเขาไปตามๆ กัน


คำด่ามากมายพรั่งพรูออกมา ล้วนแต่ตำหนิว่ากล่าวหูซาหน้าไม่อาย ลอบโจมตีผู้อื่น มิคู่ควรเป็นจอมเทวา


ทว่า สิ่งที่ทุกคนกังวลก็มิได้แปรเปลี่ยนเป็นความจริง ซึ่งราวกับว่าอวี้เฟยเยียนคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหูซาจะต้องใช้ไม้นี้ จึงกระโดดทะยานขึ้นไปบนฟ้าโดยมิรอให้ดาบของเขามาถึงตัว


“โจรชั่วหูซา นายแม่รอเจ้าอยู่ข้างบนนี้!”


อวี้เฟยเยียนมิสนใจใดๆ อีกแล้ว นางใช้คำเรียกตนเองว่า ‘นายแม่’ กับหูซาทำให้หูโกรธเกรี้ยวจนกัดฟันกรอด


“นังเด็กเมื่อวานซืน รอก่อนเถอะ!”


หูซาเหาะทะยานขึ้นตามไป แล้วชักกระบี่ออกมา


เขาเหลือบมองดู ในมืออวี้เฟยเยียนถือพู่กันชำระความเป็นอาวุธ เหมือนกับเสียงที่เขาเล่าลือกันไม่ผิดเพี้ยน


“ใต้เท้าหลัว ฆ่าไอ้โจรหน้าไม่อายนั่นให้จงได้!”


ผู้ที่อยู่ด้านล่างต่างก็ตะโกนกู่ร้องให้กำลังใจอวี้เฟยเยียน


“ใช่! ฆ่ามัน!”


เสียงสนับสนุนดังก้อง เมื่อหูซาได้ยินก็หัวเราะออกมา


“พวกเจ้ามันพวกหน้าโง่ โง่เง่าจริงๆ นางเป็นเพียงแค่ขั้นราชัน ข้าเป็นถึงจอมเทวาแล้ว! ขั้นราชันกำจัดจอมเทวา นี่พวกเจ้ากำลังฝันเฟื่องอยู่หรืออย่างไรเล่า เจ้าพวกโง่!”


ผู้คนที่สนับสนุนให้กำลังใจอวี้เฟยเยียนต่างก็ถูกหูซาด่าทอโดยทั่วกัน


ทันใดนั้นก็มีผู้ที่ไม่ยอมรับ ร้องขึ้น


“ใต้เท้าหลัวช่าเป็นถึงจักรพรรดิโอสถแล้ว ยังจะมีอะไรไม่ได้อีก! ถึงแม้ว่าใต้เท้าหลัวช่าอายุยังน้อย แต่นางก็ไม่ด้อยกว่าใต้เท้าอวี้แห่งอาณาจักรต้าโจวเป็นแน่!”


“ใช่! สิ่งที่ใต้เท้าอวี้ทำได้! ใต้เท้าหลัวช่าย่อมทำได้เช่นกัน!”


“ใต้เท้าหลัวช่า สู้ๆ พวกเราสนับสนุนท่าน!”


ว่าไม่ได้ พลังแห่งวีรสตรีนั้นไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ


ทุกคนต่างพากันยกย่องอวี้เฟยเยียนว่าเป็นร่างผู้ทรงคุณธรรม อย่างไรก็มิเชื่อว่าวีรสตรีของตนเองจะพ่ายแพ้ ผู้คนที่เดิมจะตั้งจะหลีกหนีไปก็หยุดอยู่ที่นี เพื่อคอยสนับสนุนอวี้เฟยเยียนอยู่เบื้องหลัง


มิใช่ว่าทุกคนจะมีพรสวรรค์ที่เก่งกาจเช่นนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสที่ดีๆ เช่นกัน!


ทว่าหูซากลับมิสนใจในสิ่งที่พวกเขาพูด


“วันนี้ข้าจะฆ่าอวี้หลัวช่าต่อหน้าพวกเจ้าเอง!”


“ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่า ที่นี่เป็นที่ที่ ใช้พลังพูดจา มิใช่ที่ร้องตะโกนแหกปาก ก็สำเร็จได้!”


หากก่อนหน้านี้ ความคิดที่หูซาอยากจะฆ่าอวี้เฟยเยียนมีเพียงเจ็ดส่วนล่ะก็ เมื่อเขาเห็นวิชาแพทย์ที่สูงส่งของอวี้เฟยเยียนซึ่งอยู่เหนือหอราชาโอสถและสำนักหมื่นพิษแล้ว ความคิดที่อยากจะฆ่าอวี้เฟยเยียนจึงแปรเปลี่ยนเป็นสิบส่วนไปทันที


เด็กสาวที่อายุยังน้อย ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ อนาคตนางจะต้องเติบโตอีกมากเป็นแน่ ความสำเร็จจะต้องอยู่เหนือเขามากอีกด้วย


สำหรับผู้ที่จะเป็นภัยต่อตำแหน่งเขา หูซาล้วนแค้นเคืองทั้งสิ้น


ยิ่งกว่านั้นอวี้เฟยเยียนโอหัง ทั้งยังมีอิทธิพลในหมู่ประชาชนมากเช่นนี้


ยิ่งทำให้หูซาหวั่นวิตก เกรงว่าสักวันหนึ่งจะถูกอวี้เฟยเยียนมาแทนที่


เขาจะยอมได้อย่างไร!


เขามิยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!


ฉวยโอกาสตอนนางยังไม่เติบโตขึ้นมากำจัดนางเสีย!


ถอนรากถอนโคน! ขุดบัวอย่าให้เหลือใย!


แววตาที่ต้องกำจัดนางให้พ้นทางของหูซา มีหรือที่อวี้เฟยเยียนจะไม่เข้าใจ


จะฆ่าข้า?


นี่หมอนั่นกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่หรือ


“โจรชั่วหูซา ใครบอกเจ้า ว่าข้าคือขั้นราชันกัน?”


อวี้เฟยเยียนกางมือทั้งสองข้างออก ลำแสงสีทองปรากฏขึ้น


“ใต้เท้าหลัวช่าคือจอมเทวา!”


“สวรรค์ จอมเทวาที่สำเร็จขั้นก่อนหน้านี้ที่แท้แล้วคือใต้เท้าหลัวช่าหรือนี่!”


“หัวใจข้าจะวาย! ใต้เท้าอวี้หลัวช่าสองสามวันก่อนยังเป็นขั้นราชันอยู่มิใช่หรือ ไม่กี่วันก็สำเร็จขั้นเป็นจอมเทวาแล้วหรือนี่ นี่ถึงกับสำเร็จข้ามขั้น ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าจะเป็นลม!”


เสียงโห่ร้องยินดีกึกก้องถึงขั้นสุด อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


เพราะว่า พวกเขาได้พบเห็นปาฏิหาริย์!


“จอมเทวาที่อายุยังน้อยเช่นนี้! ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถอีกด้วย!”


“บนแผ่นดินนี้มิเคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน”


สาวน้อยผู้นี้ถูกสลักไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ เรื่องราววันนี้ ก็จะถูกบันทึกเอาไว้เช่นกัน!

 

 

 


ตอนที่ 79-4 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

 

“ที่แท้ก็คือเจ้า!”


เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า หูซาก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขากลับไปในเมืองเพื่อค้นหาอีกหลายวันเพียงเพื่อต้องการตามหาผู้ที่สำเร็จขั้นจอมเทวา


คิดไม่ถึงว่า คนคนนั้นจะเป็นอวี้เฟยเยียน!


ร้ายกาจ!


ตอนนี้หูซาเสียใจยิ่งนัก


เมื่อครั้งอยู่ที่ด้านหน้าหอราชาโอสถ เขาน่าจะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ฆ่าอวี้เฟยเยียนเสีย


มิฉะนั้น ก็คงไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงดังเช่นวันนี้!


น่าเสียดายยิ่งนัก!


“หูซา เจ้าอยากตายแบบไหนกัน?”


ผงละเอียดสีชมพูในมือของอวี้เฟยเยียน ดูสวยงาม แต่ความรู้สึกของหูซากำลังบอกว่า นั่นคือยาพิษ


“อวี้หลัวช่า เจ้าคือจอมเทวา ฉะนั้นพวกเราจึงควรใช้วรยุทธ์มาประลองเพื่อตัดสินแพ้ชนะ!”


หูซาถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าวพร้อมทั้งกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นตระหนก


ครั้งนี้เขาคาดการณ์ผิดไปจริงๆ!


คิดไม่ถึงเลยว่า อวี้เฟยเยียนจะเป็นจอมเทวาด้วย!


นางสามารถแก้พิษของสำนักหมื่นพิษได้ เช่นนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือพิษอย่างแน่นอน!


พูดคุยหลักเหตุผลกับจอมเทวาที่เป็นจักรพรรดิโอสถ อีกฝ่ายย่อมสามารถทำให้เขาไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ ในการตอบโต้


“โอ้ มาตอนนี้เจ้ามาพูดเรื่องวรยุทธ์กับข้างั้นหรือ ใครกันที่บอกข้าว่าจะใช้สถานะจอมเทวาประลองกับข้ากัน ข้าคือจักรพรรดิโอสถก็ต้องใช้วิธีการเช่นเดียวกับนักปรุงโอสถในการประลองกับเจ้าน่ะสิ!”


อวี้เฟยเยียนมิอยากตอแยกับหูซาให้มากความ


เมื่อครู่ช่วยชีวิตเด็กทั้งห้าคน นางก็ใช้พลังไปไม่น้อย ครั้งนี้อยากจะจบมันให้เร็วที่สุด


เมื่อคิดได้ดังนั้น อวี้เฟยเยียนก็สาดผงพิษสีชมพูออกไป หูซาตกใจแล้วก้าวเท้าวิ่งหนีไปทันที


“อวี้หลัวช่า เจ้ามันต่ำช้า!”


หูซา เจ้ากำลังทดสอบอำนาจของจักรพรรดิโอสถงั้นหรือ


อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมา แล้วสาดผงพิษออกไปอีกครั้ง ในตัวนางราวกับมีผงพิษไปทั่วร่าง หยิบได้ไม่หมด ใช้ได้ไร้สิ้นสุด


หูซาวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว อวี้เฟยเยียนไล่ตามหลังเขามาเป็นระยะไม่ชักช้าและไม่รีบร้อน


แม้ว่านางจะไล่ตามอย่างไม่ช้าไม่เร็วก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดอวี้เฟยเยียนก็รักษาระยะห่างจากหูซาอยู่ที่ห้าเมตร ไม่ว่าหูซาจะวิ่งเร็วเท่าใดก็ตาม อวี้เฟยเยียนก็ตามอยู่เบื้องหลังของเขาห้าเมตร แรงกดดันที่มิเคยมีมาก่อนสร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับหูซาเป็นอย่างมาก


“เจ้ารีบวิ่งสิ! รีบวิ่งเร็วๆสิ!”


“ใช่แล้ว ข้าลืมบอกเจ้าไว้อย่างหนึ่ง ตอนนี้ลมใต้กำลังพัดไปยังทิศทางที่เจ้าวิ่งไปอยู่นะ!”


อวี้เฟยเยียนฉีกยิ้มเริงร่าแล้วแบมือออก ผงสีชมพูปลิวไสวไปตามแรงลม ตรงไปยังทิศทางที่หูซาอยู่


“อวี้หลัวช่า เจ้ามันโหดเ**้ยม!”


หูซาจ้องมองอวี้เฟยเยียนด้วยสายตาแค้นเคือง ท้ายที่สุดก็กัดฟัน มองไปยังกลุ่มผู้บริสุทธิ์


“อวี้หลัวช่า ในเมื่อพวกมันเทิดทูนบูชาเจ้านัก แล้วเจ้าก็อยากให้ข้าตาย เช่นนั้นข้าก็จะให้คนพวกนี้เป็นเกราะกำบังให้กับข้า!”


“ข้าจะดูซิว่า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงเจ้าจะยังดีอยู่หรือไม่!”


“ต่อให้เจ้ามิได้ฆ่าพวกมัน แต่พวกมันก็ตายเพราะเจ้า”


“เรื่องนี้อย่างไรเจ้าก็ปัดความรับผิดชอบไปไม่พ้น!”


เมื่อเห็นว่าหูซาพุ่งตัวเข้าไปที่ที่มีคนหมู่มากอยู่ อวี้เฟยเยียนก็ชี้นิ้วไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวว่า


“เฮ้! ท่านจะนั่งดูเฉยๆเช่นนี้ถึงเมื่อไหร่กัน!”


นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนเอ่ยปากกับซย่าโหวฉิงเทียน ถึงแม้ว่าคำพูดของนางจะไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเจือไว้ด้วยน้ำเสียงต่อว่าต่อขาน แต่ซย่าโหวฉิงเทียนได้ฟังแล้วก็สุขใจอย่างบอกไม่ถูก


“แมวน้อย ในที่สุดเจ้าก็คิดถึงพี่ สุดท้ายเจ้าก็รู้เสียทีว่าพี่คือที่พึ่งของเจ้า!”


“ครั้งนี้ถือว่าทำได้ดี มีความก้าวหน้า!”


รอบกายของซย่าโหวฉิงเทียนเต็มไปด้วยสีชมพู แม้แต่ฮันจื่อยังรับรู้ได้ถึงความสุขเจ้านาย


“สวรรค์!”


ฮันจื่อเหลือบมองไปที่ลานประลอง ทุกคนต่อสู้กันจนเละเทะไปหมด


ที่แท้แล้วนายท่านก็ชอบให้แม่นางน้อยเรียกใช้นั่นเอง


“นี่มัน…ชอบความรุนแรงใช่หรือไม่?”


ฮันจื่อยังมิทันคิดเสร็จ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยกเท้าขึ้นมาแตะฮันจื่อจนกระเด็นออกไป


“เจ้านาย เหตุใดท่านถึงทำร้ายผู้น้อยเช่นนี้!”


“ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”


“แล้วเหตุใดคนที่เจ็บตัวจะต้องเป็นข้าน้อยทุกครั้งไป!”


ก้นน้อยๆ ของข้า…


ฮันจื่อที่ลอยกระเด็นออกมาร้องไห้คร่ำครวญกลางอากาศ เมื่อเหลือบเห็นหูซาที่กำลังโกรธเกรี้ยวดุดันเข้า ความโกรธฮันจื่อก็ปะทุออกมา


ต้องโทษเจ้า เจ้าคนชั่ว!


เดิมทีข้าอยู่ของข้าสบายๆ ตอนนี้กลับต้องถูกนายท่านเตะเอา!


ข้าจะต้องแก้แค้น!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮันจื่อก็ตวัดกรงเล็บอวบๆออกไป เฉกเช่นตบยุงอย่างไรอย่างนั้น ฟาดถูกหูซาร่วงลงที่พื้น


บรู๊ว…


เมื่อทำสำเร็จ ฮันจื่อก็คำรามออกมา เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำเอาผู้คนตกอกตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดหูไปตามๆกัน นี่มันตัวอะไรกัน? ดูแล้วคล้ายกับสุนัขตัวหนึ่ง แต่ว่าสุนัขที่ไหนจะรูปร่างกำยำใหญ่โตถึงเพียงนี้?


เมื่อคิดกลับไปอีกครั้ง เมื่อครู่เจ้าหมานั้นอยู่กับซย่าโหวฉิงเทียน คลับคล้ายคับคลาว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา


ดังนั้นผู้คนมากมายจึงเริ่มคร่ำครวญขึ้นมา


สุนัขที่ดุร้ายเช่นนี้!


นิสัยเจ้านายของมัน ลามไปถึงสุนัขของเขาจริงๆด้วย


ซย่าโหวฉิงเทียนดุดันโหดร้าย สุนัขที่เขาเลี้ยงก็ดุร้ายเช่นเดียวกัน น่าหวาดกลัวจริงๆ


“ฝั่งตรงข้ามเป็นถึงจอมเทวานะสิ”


“จอมเทวาเลยนะ!”


“สุนัขเพียงตัวเดียวก็ตวัดจอมเทวากระเด็นไปไกลอย่างง่ายดาย แล้วนายของมันจะโหดร้ายเพียงใดกัน!”


ฮันจื่อหารู้ไม่ว่าการปรากฏตัวของตน ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของซย่าโหวฉิงเทียนภายในจิตใจของผู้คน


มันเดินเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนอย่างภาคภูมิใจ แล้วใช้ศีรษะคลอเคลียนาง


แม่นางน้อย ฝีมือของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?


“ฮันจื่อเยี่ยมไปเลย!”


บรู๊ว…


ได้รับคำชื่นชมจากอวี้เฟยเยียนฮันจื่อก็ยิ่งได้ใจ ขูดข่วนลับอุ้งมือกับพื้นอีกหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็พยายามหยัดยืนขึ้น คำรามเสียงดังสนั่น


หูซาถูกโจมตีจนกระเด็นตกลงที่พื้น เขาแทบมิเชื่อเลยว่า ตนเองจะพ่ายแพ้ภายใต้กรงเล็บของสุนัขตัวหนึ่ง


นี่คือการเหยียดหยาม!


การเหยียดหยามครั้งยิ่งใหญ่!


หูซากระอักเลือดออกมาอีกสองครั้ง หูซามองดูอวี้เฟยเยียนและฮันจื่อด้วยสายตาอย่างไม่ยอมจำนน


จะยอมแพ้เช่นนี้มิได้ ยอมมิได้!


หูซาเดินพลังเสวียนทั้งหมดที่มีทั่วร่าง ตวัดกระบี่พุ่งตรงไปยังตำแหน่งหัวใจบนแผ่นหลังอวี้เฟยเยียน


เพล้งงง


ยังมิทันที่คมกระบี่จะถึงตัวอวี้เฟยเยียน ร่างในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏตัว ซย่าโหวฉิงเทียนตวัดเท้ากลับหลังเสยปลายคางของหูซาเข้าอย่างจัง


“กร๊อบ”


เสียงกระดูกกรามล่างหูซาแตกละเอียด นอนกองอยู่บนพื้น สองมือกุมที่ปลายคางตน ร่างสั่นเทา


“ข้าเกลียดคนที่ใช้วิธีการต่ำๆ ลอบโจมตีผู้อื่นที่สุด! เมื่อครูเจ้าทำผิดไปครั้งหนึ่งแล้ว นี่เป็นครั้งที่สอง!”


ชุดสีม่วงของซย่าโหวฉิงเทียนปลิวไสว ลวดลายดอกยวนเหว่ยบนเสื้อผ้าล่องลอยดุจมีชีวิตท่ามกลางสายลม เขาก้าวเข้าไปหาหูซา ท่วงท่าสง่างาม บังคับให้หูซาถอยร่นไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง


“เจ้าจะทำอะไร”


หูซาเริ่มพูดจาติดขัด มิอาจปกปิดความกลัวในจิตใจเขาได้


เขาเป็นถึงจอมเทวา แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่อ๋องคนหนึ่งเท่านั้น เขามิควรหวาดกลัวซย่าโหวฉิงเทียนสิ!


ถึงแม้หูซาจะเข้าใจเหตุผลดี ทว่ามิรู้เพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกว่าซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก…ราวกับยมทูตที่คอยควบคุมดวงวิญญาณในนรก!

 

 

 


ตอนที่ 79-5 ประจักษ์พยานของปาฏิหาริย์

 

 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่มีอารมณ์จะมาอธิบายให้หูซาฟังว่าตนคิดทำอะไร เขาใช้การกระทำเป็นตัวบอกหูซา ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!


“อ๊าก!”


เสียงร้องโหยหวนทั้งยาวนานน่าอเนจอนาถ ดังลอยมาจากมุมหนึ่งของลานประลอง


เสียงร้องที่โหยหวนเช่นนี้ ทำให้จิตใจคนสั่นไหว


กระทั่งทุกคนสงบสติอารมณ์ลงได้ และเมื่อเห็นภาพที่น่าสลดหดหู่ตรงหน้า หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง


หา หักขาจอมเทวาทั้งเป็นเลยหรือ


คนขี้ขลาดต่างกลืนน้ำลายลงคอ หดหัวถอยร่นไปด้านหลัง พร้อมทั้งขยับคอเสื้อตน แต่ต่อให้ทำเช่นนี้ก็หลีกไม่พ้นบรรยากาศเย็นยะเยือก


หลินเจียงอ๋องผู้นี้ ยังโหดเ**้ยมเฉกเช่นในอดีตไม่มีผิด!


แต่ ดูคล้ายเขาทารุณโหดร้ายยิ่งว่าแต่ก่อนเสียอีก!


ฝีเท้าซย่าโหวฉิงเทียนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาค่อยๆ เหยียบไปที่นิ้วมือด้านขวาของหูซาที่คิดลอบทำร้ายอวี้เฟยเยียนจนกระดูกหักทีละนิ้ว สุดท้ายจึงหยิบดาบหูซาขึ้นมา


“ไอ้หยา ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก! นิ้วมือแหลกเหลว ต่อไปคงมิมีโอกาสจับดาบได้อีก หากว่าบาดแผลติดเชื้อล่ะก็ มือข้างนั้นก็ต้องตัดทิ้งไปเสีย มิสู้ ข้าสงเคราะห์เจ้าดีกว่า!”


ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มกว้าง แสงสว่างวาบจากดาบ ตวัดลงตัดแขนขวาหูซาจนขาด สุดท้ายใช้ดาบแทงลงไปที่แขนที่ขาดวิ่นแล้วโยนให้กับฮันจื่อ


“ฮันจื่อ นี่เนื้อจอมเทวาเชียวนะ เจ้าลองชิมดูสิ ว่ารสชาติจะเหมือนกับเนื้อคนธรรมดาหรือไม่?”


ฮันจื่อดมไปดมมา แล้วส่ายหน้าไปมา ใช้อุ้งมือมันตวัดจนเละ สุดท้ายยังฉี่รดอีกหนึ่งรอบ


เจ้านาย ข้าก็เลือกนะ!


ข้าไม่อยากกินเจ้าเนื้อหมอนี่สักหน่อย!


สกปรกจะตาย!


“ไม่เลว! มีหลักการดี!”


ซย่าโหวฉิงเทียนชื่นชม แล้วทิ้งดาบลงเบื้องหน้าหูซา


“เจ้าเคยถามข้ามิใช่หรือว่า ข้ายังจดจำความรู้สึกเมื่อครั้งที่ข้าต้องไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉินจื้อได้หรือไม่ ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้ามิเคยลืม! ข้ายังจดจำมันได้ตลอด!”


น้ำเสียงซย่าโหวฉิงเทียนชัดถ้อยชัดคำ จุดสีแดงตรงหว่างคิ้วเขาทำให้เขาดูหล่อเหลาราวกับเทพเซียนมาจุติ


หากละเลยการกระทำของเขาเมื่อครู่ล่ะก็ นี่ก็คือชายรูปงามชวนหลงใหล…


“เจ้าวางใจเถอะ ข้ามิฆ่าเจ้าหรอก! ข้าจะส่งเจ้ากลับแคว้นฉินจื้อด้วยตัวเอง!”


“ไม่ ไม่…“


หูซาหวาดกลัวเสียจนใบหน้าซีดขาว เขากุมแผลที่บาดเจ็บเอาไว้ แล้วส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง


เขายอมตาย ก็มิยอมให้ซย่าโหวฉิงเทียนดูหมิ่นเช่นนี้!


ซย่าโหวฉิงเทียนหรือจะใจดี ส่งเขากลับแคว้นฉินจื้อ


นอกเสียจากว่า…แคว้นต้าโจวยกทัพบุกแคว้นฉินจื้อ


หูซารู้จักฮ่องเต้ององค์ปัจจุบันของแคว้นฉินจื้อดี เขามิใช่ผู้ที่หวนนึกถึงมิตรภาพเก่าก่อน หรือมีคุณธรรมแต่อย่างใด


หากหูซาถูกทำร้ายจนพิการ แล้วยังถูกส่งกลับแคว้นฉินจื้ออีกล่ะก็ เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นแคว้นฉินจื้อ ฮ่องเต้มิเพียงพิโรธเท่านั้น จะทรงสังหารหูซาทั้งตระกูลเพื่อระบายความพิโรธอีกด้วย


“เยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋อง!”


“เยี่ยนอ๋องช่ วยชีวิตด้วย!”


ตอนนี้หูซานึกถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยขึ้นมา เวลานี้เขามิมีทางเลือกอื่น


“เรียกข้าทำไมกัน?”


เชียนเยี่ยเสวี่ยจัดการผู้เฒ่าใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว


วิธีการเขาก็ช่างง่ายดาย อวี้เฟยเยียนให้ผงพิษแก่เขา เขาก็สาดมันออกไป ผู้เฒ่าใหญ่ก็สลบไปทันที


จากนั้นเชียนเยี่ยเสวี่ยและเหล่าผู้เฒ่าหอราชาโอสถก็ช่วยกันมัดผู้เฒ่าใหญ่เอาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนศิษย์สำนักหมื่นพิษก็ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยกำจัดไปมากมาย!


“ช่วยข้า…”


หูซาอ้อนวอนขอร้องเชียนเยี่ยเสวี่ย


“ช่วย…”


“เจ้ากำลังฝันไปหรือ ตอนนี้ยังไม่ตื่นอีกหรือ เจ้าจะฆ่าช่าช่า จะฆ่าข้า ตอนนี้มาบอกให้ข้าช่วยเจ้า นี่เจ้าคงจะเลอะเลือนไปแล้วกระมัง! ตอนนี้แคว้นฉินจื้อมิต้องการเจ้าอีกต่อไป!”


คำพูดเชียนเยี่ยเสวี่ย ทำให้หูซาสิ้นหวัง


เขาจะตายไม่ได้!


อย่างน้อย ก็จะมิยอมตายอย่างน่าอดสูเช่นนี้!


หูซายื่นมือซ้ายออกไปคว้าดาบที่อยู่บนพื้น ทันใดนั้นดาบก็ถูกเท้าใครบางคนเตะกระเด็นออกไป


เงยหน้ามอง ผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็คือมู่เหนี่ยนซี


“โจรชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ดวงตาทั้งสองข้างมู่เหนี่ยนซีแดงก่ำ แทบอยากจะกินเนื้อหูซาแล้วดื่มเลือดของมัน


แต่เมื่อครู่ที่นางเห็นวิธีการจัดการหูซาของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ก็เรียนรู้ได้ว่า ทำอย่างไรให้มันตายทั้งเป็น


นางหยิบดาบขึ้นมา ค่อยๆ แล่เนื้อบริเวณขาของหูซาออกมาทีละชิ้นทีละชิ้น


น้ำหนักดาบมู่เหนี่ยนซีนั้นยอดเยี่ยม เนื้อทุกแผ่นเท่ากัน ไม่นานร่างหูซาก็เต็มไปด้วยแผล เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง


“ท่านป้าสาม ทำได้ดีมาก! แต่ว่าท่านลืมอีกคนหนึ่งไป!”


เชียนเยี่ยเสวี่ยลากเลี่ยเชวียที่ถูกมัดไว้เข้ามา แล้วโยนไปรวมกับหูซา


“มันสองคนนี้ ปล่อยไปไม่ได้สักคน!”


เชียนเยี่ยเสวี่ยก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง จึงเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกมู่เหนี่ยนซีดี


ถึงแม้ว่าเวลานี้สังคมจะเปิดกว้าง แต่หากว่าหญิงใดสูญเสียความบริสุทธิ์ ยังถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีงามเป็นอย่างยิ่ง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นประสบการณ์ที่หดหู่เลวร้าย ก็จะนำมาซึ่งเงามืดในจิตใจที่แสนสาหัสให้กับสตรีผู้นั้น ดังนั้น มันทั้งสองคนจะต้องให้มู่เหนี่ยนซีเป็นผู้จัดการด้วยตัวของนางเอง


“อย่าฆ่าข้า เขาขอผงหอมจากข้าเท่านั้น เรื่องนี้มิเกี่ยวอะไรกับข้าเลย!”


เลี่ยเชวียในตอนนี้ไม่เหลือเค้าวางอำนาจบาตรใหญ่อีกแล้ว เขานอนคว่ำบนพื้นแล้วโขกศีรษะไม่หยุด


“คุณหนู ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้ายินยอมทำทุอย่างเพื่อท่าน! นายหญิง บรรพบุรุษของผู้น้อย! ข้าขอร้องละ!”


คำพูดเลี่ยเชวียมิอาจทำให้มู่เหนี่ยนซีใจอ่อนได้


เพราะอวี้เฟยเยียน ทำให้แผนการของหูซาและเลี่ยเชวียมิสำเร็จ


หากไม่มีอวี้เฟยเยียน วันนี้นางคงต้องกลายเป็นผู้ถูกกระทำ คนที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าก็คือนาง!


เผชิญหน้ากับศัตรูห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!


มู่เหนี่ยนซีมือขวาจับดาบตวัดลงไปจนเป็นแผลที่ร่างของเลี่ยเชวียและหูซาอย่างรวดเร็ว นางทำเช่นนี้ อารมณ์นางก็ยิ่งแปรปรวนอย่างรุนแรง สุดท้ายหงายหลังล้มตึงลงไป


“เหนี่ยนซี!”


อวี้เชียนเสวี่ยวิ่งมาจากด้านหลังรับร่างมู่เหนี่ยนซีเอาไว้ ส่วนอวี้เฟยเยียนก็รีบเดินเข้ามาจับชีพจรตรวจอาการของนาง


“กลับไป ข้าจะจ่ายยาชุดหนึ่งช่วยให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ให้ความอึดอัดในใจของนางได้ปลดปล่อยออกมา ไม่เป็นอันใดแล้ว!”


อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานจะกระทบกระเทือนจิตใจมู่เหนี่ยนซีมากถึงเพียงนี้ นางจะต้องเก็ดกดความอัดอั้นตันใจและความเจ็บปวดเอาไว้มิมีทางระบายออกมา ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้


“ลุงสาม ท่านวางใจเถอะ!”


ถึงแม้ว่าจะมีการรับรองจากอวี้เฟยเยียน อวี้เชียนเสวี่ยก็ยังคงไม่วางใจ


ในสายตาเขา มู่เหนี่ยนซีเป็นคนที่ร่าเริงสดใสเปิดกว้างตรงไปตรงมา ใครจะรู้ว่านางจะคิดไม่ตกถึงเพียงนี้ เด็กโง่คนหนึ่งจริงๆ!


จนกระทั่งมู่เหนี่ยนซีตื่นขึ้น เมื่อนางเห็นสายตาห่วงใยของอวี้เชียนเสวี่ยที่จ้องมองมา นางก็ร้อง ‘ฮึก’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วโผเข้าหาอวี้เชียนเสวี่ยร้องไห้ออกมาอย่างหนัก


“ไม่ต้องกลัวนะ! เหนี่ยนซี มีข้าอยู่ ข้าจะปกป้องเจ้า!”


เมื่อได้ยินคำพูดนั้น มู่เหนี่ยนซีกลับรีบปล่อยมือ แล้วค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอวี้เชียนเสวี่ยด้วยความขลาดกลัว


“เป็นอะไรไป”


ร่างอบอุ่นในอ้อมอกเมื่อครู่ผละออกไปอย่างรวดเร็ว อวี้เชียนเสวี่ยไม่คุ้นชินเลย


“ข้าไม่เป็นไร ข้าจะเข้มแข็งให้ได้ ขอโทษนะ ที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง!”


มู่เหนี่ยนซีปาดน้ำตา เตรียมจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกอวี้เชียนเสวี่ยดึงแขนเอาไว้


“เหนี่ยนซี ความอัดอั้นตันอะไรอย่าเก็บเอาไว้ในใจ! บอกข้า ข้าจะช่วยเจ้าคลายความกลัดกลุ้มใจเอง”


คำพูดของอวี้เชียนเสวี่ย ทำให้มู่เหนี่ยนซีแน่นจมูก ตาร้อนผ่าวน้ำตาไหลออกมา


“ไม่ต้อง! ท่านพูดถูก สถานะพวกเราแตกต่างกัน ท่านเป็นทหาร ข้าเป็นโจร เมื่อก่อนเป็นข้าที่คิดมากไปเอง คาดหวังมากเกินไป ข้าคิดมิถึงว่า โลกภายนอกมันจะโหดร้ายถึงเพียงนี้! รอให้งานประลองปรุงโอสถเสร็จสิ้น ข้าก็จะกลับทะเลหมอก อยู่กับครอบครัวดีที่สุด…”


จู่ๆ มู่เหนี่ยนซีก็บอกว่าจะจากไป อวี้เชียนเสวี่ยราวกับถูกมีดกรีดลงกลางใจ


เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้


มิใช่ว่าขีดเส้นแบ่งระหว่างเขากับนางแล้วหรือ


เหตุใดเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ หัวใจของเขาถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้


เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ยอึ้งเงียบไป มู่เหนี่ยนซีก็ลุกขึ้น หันกายเดินออกไป โดยมิรู้ว่าอวี้เชียนเสวี่ยตามมา และเข้าโอบกอดนางจากทางด้านหลัง


“เหนี่ยนซี อย่าไป!”


อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวแต่ละคำออกมาด้วยความยากลำบาก


“อย่าจากข้าไป เหนี่ยนซี!”


ในที่สุดอวี้เชียนเสวี่ยก็เข้าใจเสียทีว่า เจ็บปวดใจคืออะไร นางคือส่วนหนึ่งของเขา ที่เขาตามหาด้วยความยากลำบาก ดังนั้นถึงได้เจ็บปวด ถึงได้ทรมาน เมื่อเห็นนางต้องเสียน้ำตา หัวใจเขาราวกับถูกมีดกรีด


“เสวี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”


ร่างมู่เหนี่ยนซีสั่นเทา

 

 

 


ตอนที่ 80-1 ข้าวสาร ข้าวสุก หุงอย่างไร

 

 


อวี้เฟยเยียนยิ้มบางๆ แต่หวานหยดย้อย นางพูดขึ้นมาเช่นนี้ทำให้มู่เหนียนซียิ่งเขินอายเข้าไปอีก


ตอนนั้นเป็นมู่เหนี่ยนซีเองที่ดึงดันจะรับอวี้เฟยเยียนเป็นน้องสาว ทั้งยังบอกอีกว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต ตอนนี้กลับต้องมาเป็นป้าของนาง!


“เจ้าตัวแสบ! แม้แต่เจ้าก็หัวเราะเยาะข้า!”


มู่เหนี่ยนซี ‘บ่น’ ขึ้นมาเบาๆ


ตอนนี้มู่เหนี่ยนซีแน่ใจแล้วว่า ตอนนั้นที่โรงเตี๊ยม อวี้เฟยเยียนจำอวี้เชียนเสวี่ยได้ ดังนั้นขณะที่นางกำลังจะเรียกนางเป็นน้องสาวนั้น อวี้เฟยเยียนยิ้มประหลาดๆ ออกมา ยังถามนางกลับอีกว่านางจะมิเสียใจใช่หรือไม่


ตัวแสบเจ้าแผนการนักนะ!


ตอนนั้นก็วางกับดักไว้ รอคอยให้นางเข้าไปติดกับ!


“ไม่มีอะไร ข้าดีใจต่างหาก!”


ด้วยรู้ว่ามู่เหนี่ยนซีกำลังกังวลในสิ่งใด อวี้เฟยเยียนจึงรีบปลอบว่า


“ท่านป้าสาม ที่จริงแล้วท่านปู่ข้าใจดีมาก ท่านไม่ต้องกังวลไป! ท่านปู่ฟังข้าทุกอย่าง ดังนั้นเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ข้า ท่านวางใจได้เลย!”


มีคำพูดนี้ของอวี้เฟยเยียน ในที่สุดมู่เหนี่ยนซีก็คลายกังวลไปได้ ทันใดนั้นนางก็คิดถึงคิดถึงหูซาและเลี่ยเชวียขึ้นมา


“จะจัดการอย่างไรกับพวกมัน”


มู่เหนี่ยนซีชี้ไปที่ร่างโชกเลือดทั้งสอง


“ตาย!”


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ปรานีต่อคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขากล่าวคำเมื่อครู่ออกมา ทันใดนั้นเลี่ยเชวียที่ได้ยินก็เนื้อตัวสั่นเทิ้มแล้วก็เริ่มพองตัวจนกลายเป็นลูกยางลูกบอลกลมๆขึ้นมา


“แย่แล้ว หมอนั่นจะระเบิดตัวเอง! ทุกคนระวังตัว!”


อวี้เชียนเสวี่ยรีบตรงเข้าปกป้องมู่เหนี่ยนซี


ใครจะรู้ อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวจบ เลี่ยเชวียก็กลายเป็นลูกบอลขนาดมหึมา กลิ้งตรงไปยังกลางลานในตำแหน่งที่มีผู้คนมากที่สุด


“ฮ่าๆ! พวกเจ้าไปตายซะ! สำนักหมื่นพิษจะไม่มีวันพ่ายแพ้!”


เลี่ยเชวียร้องตะโกนออกมา เสียงดังสนั่น ผู้คนยังมิทันจะหาที่หลบซ่อนตัว ยิ่งไปกว่านั้นมีคนมากมายยังยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ไม่แม้กระทั่งนั่งยองๆ ลงยกมือกุมศีรษะ


“บึ้ม—”


ชั่วอึดใจขณะที่ทุกคนกำลังรีบร้อนนั่นเอง แสงสีม่วงก็แผ่เป็นวงโอบล้อมร่างกลมๆ ของเลี่ยเชวียเอาไว้ ระเบิดภายใต้วงล้อมแสงสีม่วงนั้น ทำให้ไม่มีอันตรายใดๆมาถึงผู้บริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย


และเมื่อเหตุการณ์สงบลงก่อนที่ใครจะตั้งสติได้ แสงสีม่วงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแต่กองเศษเนื้อเละเทะที่มองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นเลี่ยเชวีย


“เจ้า เจ้า…”


หูซาพิงกำแพง แล้วยื่นมือสั่นๆของตนเองชี้ไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!


นี่คือ…ม่านพลัง!


ตามตำนานบอกไว้ว่ามีเพียงขั้นเทพจักรพรรดิเท่านั้น จึงสามารถสร้างม่านพลังเป็นของตนเองได้ นี่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ขั้นเทพจักรพรรดิหรือนี่!


จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!


หากว่าเขามิเห็นด้วยตาตนเองละก็ ให้ตายอย่างไรหูซาก็จะมิยอมเชื่อเด็ดขาดว่าตัวประกันที่เขาเคยดูถูกจะเก่งกาจเพียงนี้


เล่นกับเหยี่ยวมาตลอดชีวิต สุดท้ายถูกเหยี่ยวจิกบอด!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หูซาก็กระอักเลือดออกมาอีก


เมื่อครู่ทุกคนมัวแต่ตกใจการระเบิดตัวเองของเลี่ยเชวีย จึงมิทันเห็นซย่าโหวฉิงเทียนลงมือ มีเพียงแต่หูซาที่หมดทางรอด ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ได้เห็นฉากที่น่าตื่นตะลึงนี้เข้า


นี่เขาใช่องค์ชายที่น่าสงสารที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันที่แคว้นแคว้นฉินจื้อเมื่อปีนั้นจริงหรือ


เขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด


หูซาข้องใจ แต่ก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นอีกไป


ก่อนตาย ในที่สุดหูซาก็เข้าใจเสียทีว่าจุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรมของตนเองคืออะไร!


มีซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำร้ายอวี้เฟยเยียนได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเป็นเพียงตะพาบในอ่าง ไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้ โดยที่ด้านล่างอ่างสุมด้วยกองไฟที่ลุกโชน รอให้เขากระโดดเข้าไปเอง


“หึ หึๆ”


หูซาส่ายหัวไปมา ปากก็พร่ำว่า


“ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว!”


เดินทางผิด เลือกคู่ต่อสู้ผิด ผลสุดท้ายตนตายโดยไร้ที่ฝัง!


หูซามิเคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องมาตายที่หุบเขาลั่วสยา ทั้งยังต้องมาตายเช่นนี้


คำที่หูซาพูดเองเออเองลอยไปเข้าหูซย่าโหวฉิงเทียน เขายิ้มเยือกเย็น แสงสีม่วงในมือสว่างวาววับ หัวหูซาถูกตัดจนขาด กลิ้งลงไปบนพื้น


ก่อนตายตาหูซาเบิกกว้าง ทั้งไม่ยินยอมและทั้งปลื้มใจ


อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้ตายด้วยน้ำมือของขั้นเทพจักรพรรดิก็ถือว่าสมใจแล้ว!


การที่เลี่ยเชวียระเบิดตนเอง สร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชน


แขกเหรื่อมากมายหลั่งไหลเข้าในลานประลอง พวกเขาประเคนทั้งมือเท้าให้กับศิษย์ของสำนักหมื่นพิษที่ถูกมัดเอาไว้เพื่อระบายความกลัวและโกรธแค้น


ความโกรธแค้นมหาศาล มิมีใครจะหยุดยั้งได้


จวบจนแขกเหรื่อออกไปกันหมดแล้ว บรรดาศิษย์ของสำนักหมื่นพิษก็แทบตายกันเลยทีเดียว


นอกจากผู้เฒ่าใหญ่ที่ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยวางยาพิษจนสลบไปและถูกเจ้าสำนักหลินคุมขังเอาไว้แล้ว แผนชั่วครั้งนี้ของสำนักหมื่นพิษก็ถูกทำลายลงราบคาบ มีทั้งที่มาแล้วไม่ได้กลับไป มีทั้งบาดเจ็บพิการด้วย


“ขอบคุณพวกท่าน! ขอบคุณ!”


เจ้าสำนักหลินออกมารับช่วงดูแลจัดการงานที่วุ่นวายนี้ เริ่มแรกจึงขอบคุณอวี้เฟยเยียนและพวกนางทุกคน


หากมิใช่พวกเขากล้าหาญมีคุณธรรม หอราชาโอสถจะต้องย่อยยับทั้งชื่อเสียงและสูญเสียทั้งชีวิตเป็นแน่!


โดยเฉพาะอวี้เฟยเยียน เป็นเพราะนางดึงดูดความสนใจพวกสำนักหมื่นพิษ ยับยั้งแผนชั่วของพวกมัน ทำให้แผนการดำเนินไปด้วยความราบรื่น


“เจ้าสำนักหลิน ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว!”


มองดูลานประลองที่เละเทะวุ่นวายตรงหน้า อวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ทันทีเลยว่า งานทำความสะอาดหลังจากนี้ไม่เพียงแต่มากมายทั้งยังละเอียดยิบย่อยอีกด้วย


ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่อธิบายอะไรเล็กน้อยให้เจ้าสำนักหลินฟัง แล้วก็ขอตัวไปจากลานประลองพร้อมกับคนอื่นๆ


เจ้าสำนักหลินเอารู้ว่าวันนี้อวี้เฟยเยียนสูญเสียพลังไปมาก ต้องการพักผ่อน จึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพียงแต่กำชับว่าหากนางต้องการสิ่งใดก็ให้บอกกล่าวตรงๆได้เลย


เมื่อกลับมาถึงห้องพักเรือนเล็กของตน เพียงก้าวย่างเข้าประตู อวี้เฟยเยียนก็ทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง


เมื่อคืนวานไปช่วยหมอเทวดาฮั่ว มู่เหนี่ยนซีก็เกิดเรื่อง ต่อมาก็ถอนพิษให้เจ้าสำนักหลินอีก ทำให้อวี้เฟยเยียนแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ


วันนี้ก็เริ่มตั้งแต่เช้า ต้องรักษาท่าทีตึงเครียดพร้อมรบตลอดเวลา นางเกร็งจนเหนื่อยอ่อน ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ อวี้เฟยเยียนทั้งเหนื่อยทั้งง่วง นอนเล่นไม่นานก็ผล็อยหลับไป


นางเหนื่อยมาก!


เมื่อตรวจดูว่าอวี้เฟยเยียนปลอดภัยสบายดี มู่เหนี่ยนซีก็ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้อง แล้วจัดการปิดประตูลงกลอน


“ให้นางพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ!”


“ไอ้หยา!”


ในตอนนั้นเองที่อวี้เชียนเสวี่ยตบหน้าผากตนแล้วร้องว่า


“แย่แล้วๆ ! ข้าดันลืมเรื่องใหญ่ไปเสียได้!”


ท่าทางตื่นตระหนกตกใจของอวี้เชียนเสวี่ย ทำเอาทุกคนตกอกตกใจไปตามๆ กัน


“ลุงสาม มีเรื่องอะไรกัน”


ตอนนี้เซวียเฉียงก็รู้แล้วว่า อวี้เชียนเสวี่ยเป็นลุงแท้ๆ ของอวี้เฟยเยียน


ถึงแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนจากรักนางเชิงหญิงชายกลายเป็นชื่นชมและนับถือนางแล้ว แต่บุคคลที่อยู่ด้านหน้าของเขาก็อาวุโสกว่า เช่นนั้นก็ต้องให้ความเคารพนับถือด้วย!


“วันนี้เป็นวันเกิดของอวี้หลัวช่า! นางอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้ากลับลืมไปเสียได้ข้าสมควรตายจริงๆ!”


อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวออกมา คนอื่นๆ ต่างก็พากันอึ้งไป


“สิบห้าปี!”


เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า!


“ลุงสามท่านว่าช่าช่าเพิ่งจะสิบห้าปีเต็ม นางเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ ท่านแน่ใจหรือ”


คางที่เชียนเยี่ยเสวี่ยเท้าอยู่เกือบหล่นไปที่พื้นเลยทีเดียว!


ถึงแม้เขาจะรู้อยู่ว่าอวี้เฟยเยียนอายุยังไม่มาก แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ


จักรพรรดิโอสถและจอมเทวาอายุสิบสี่ปี!


นี่มันฝืนกฎสวรรค์ชัดๆ!

 

 

 


ตอนที่ 80-2 ข้าวสาร ข้าวสุก หุงอย่างไร

 

 


อวี้เฟยเยียนยิ้มบางๆ แต่หวานหยดย้อย นางพูดขึ้นมาเช่นนี้ทำให้มู่เหนียนซียิ่งเขินอายเข้าไปอีก


ตอนนั้นเป็นมู่เหนี่ยนซีเองที่ดึงดันจะรับอวี้เฟยเยียนเป็นน้องสาว ทั้งยังบอกอีกว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต ตอนนี้กลับต้องมาเป็นป้าของนาง!


“เจ้าตัวแสบ! แม้แต่เจ้าก็หัวเราะเยาะข้า!”


มู่เหนี่ยนซี ‘บ่น’ ขึ้นมาเบาๆ


ตอนนี้มู่เหนี่ยนซีแน่ใจแล้วว่า ตอนนั้นที่โรงเตี๊ยม อวี้เฟยเยียนจำอวี้เชียนเสวี่ยได้ ดังนั้นขณะที่นางกำลังจะเรียกนางเป็นน้องสาวนั้น อวี้เฟยเยียนยิ้มประหลาดๆ ออกมา ยังถามนางกลับอีกว่านางจะมิเสียใจใช่หรือไม่


ตัวแสบเจ้าแผนการนักนะ!


ตอนนั้นก็วางกับดักไว้ รอคอยให้นางเข้าไปติดกับ!


“ไม่มีอะไร ข้าดีใจต่างหาก!”


ด้วยรู้ว่ามู่เหนี่ยนซีกำลังกังวลในสิ่งใด อวี้เฟยเยียนจึงรีบปลอบว่า


“ท่านป้าสาม ที่จริงแล้วท่านปู่ข้าใจดีมาก ท่านไม่ต้องกังวลไป! ท่านปู่ฟังข้าทุกอย่าง ดังนั้นเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ข้า ท่านวางใจได้เลย!”


มีคำพูดนี้ของอวี้เฟยเยียน ในที่สุดมู่เหนี่ยนซีก็คลายกังวลไปได้ ทันใดนั้นนางก็คิดถึงคิดถึงหูซาและเลี่ยเชวียขึ้นมา


“จะจัดการอย่างไรกับพวกมัน”


มู่เหนี่ยนซีชี้ไปที่ร่างโชกเลือดทั้งสอง


“ตาย!”


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ปรานีต่อคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขากล่าวคำเมื่อครู่ออกมา ทันใดนั้นเลี่ยเชวียที่ได้ยินก็เนื้อตัวสั่นเทิ้มแล้วก็เริ่มพองตัวจนกลายเป็นลูกยางลูกบอลกลมๆขึ้นมา


“แย่แล้ว หมอนั่นจะระเบิดตัวเอง! ทุกคนระวังตัว!”


อวี้เชียนเสวี่ยรีบตรงเข้าปกป้องมู่เหนี่ยนซี


ใครจะรู้ อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวจบ เลี่ยเชวียก็กลายเป็นลูกบอลขนาดมหึมา กลิ้งตรงไปยังกลางลานในตำแหน่งที่มีผู้คนมากที่สุด


“ฮ่าๆ! พวกเจ้าไปตายซะ! สำนักหมื่นพิษจะไม่มีวันพ่ายแพ้!”


เลี่ยเชวียร้องตะโกนออกมา เสียงดังสนั่น ผู้คนยังมิทันจะหาที่หลบซ่อนตัว ยิ่งไปกว่านั้นมีคนมากมายยังยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ไม่แม้กระทั่งนั่งยองๆ ลงยกมือกุมศีรษะ


“บึ้ม—”


ชั่วอึดใจขณะที่ทุกคนกำลังรีบร้อนนั่นเอง แสงสีม่วงก็แผ่เป็นวงโอบล้อมร่างกลมๆ ของเลี่ยเชวียเอาไว้ ระเบิดภายใต้วงล้อมแสงสีม่วงนั้น ทำให้ไม่มีอันตรายใดๆมาถึงผู้บริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย


และเมื่อเหตุการณ์สงบลงก่อนที่ใครจะตั้งสติได้ แสงสีม่วงนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแต่กองเศษเนื้อเละเทะที่มองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นเลี่ยเชวีย


“เจ้า เจ้า…”


หูซาพิงกำแพง แล้วยื่นมือสั่นๆของตนเองชี้ไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน


น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!


นี่คือ…ม่านพลัง!


ตามตำนานบอกไว้ว่ามีเพียงขั้นเทพจักรพรรดิเท่านั้น จึงสามารถสร้างม่านพลังเป็นของตนเองได้ นี่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ขั้นเทพจักรพรรดิหรือนี่!


จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!


หากว่าเขามิเห็นด้วยตาตนเองละก็ ให้ตายอย่างไรหูซาก็จะมิยอมเชื่อเด็ดขาดว่าตัวประกันที่เขาเคยดูถูกจะเก่งกาจเพียงนี้


เล่นกับเหยี่ยวมาตลอดชีวิต สุดท้ายถูกเหยี่ยวจิกบอด!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หูซาก็กระอักเลือดออกมาอีก


เมื่อครู่ทุกคนมัวแต่ตกใจการระเบิดตัวเองของเลี่ยเชวีย จึงมิทันเห็นซย่าโหวฉิงเทียนลงมือ มีเพียงแต่หูซาที่หมดทางรอด ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ได้เห็นฉากที่น่าตื่นตะลึงนี้เข้า


นี่เขาใช่องค์ชายที่น่าสงสารที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันที่แคว้นแคว้นฉินจื้อเมื่อปีนั้นจริงหรือ


เขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด


หูซาข้องใจ แต่ก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นอีกไป


ก่อนตาย ในที่สุดหูซาก็เข้าใจเสียทีว่าจุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรมของตนเองคืออะไร!


มีซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำร้ายอวี้เฟยเยียนได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเป็นเพียงตะพาบในอ่าง ไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้ โดยที่ด้านล่างอ่างสุมด้วยกองไฟที่ลุกโชน รอให้เขากระโดดเข้าไปเอง


“หึ หึๆ”


หูซาส่ายหัวไปมา ปากก็พร่ำว่า


“ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว!”


เดินทางผิด เลือกคู่ต่อสู้ผิด ผลสุดท้ายตนตายโดยไร้ที่ฝัง!


หูซามิเคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องมาตายที่หุบเขาลั่วสยา ทั้งยังต้องมาตายเช่นนี้


คำที่หูซาพูดเองเออเองลอยไปเข้าหูซย่าโหวฉิงเทียน เขายิ้มเยือกเย็น แสงสีม่วงในมือสว่างวาววับ หัวหูซาถูกตัดจนขาด กลิ้งลงไปบนพื้น


ก่อนตายตาหูซาเบิกกว้าง ทั้งไม่ยินยอมและทั้งปลื้มใจ


อย่างน้อยที่สุดเขาก็ได้ตายด้วยน้ำมือของขั้นเทพจักรพรรดิก็ถือว่าสมใจแล้ว!


การที่เลี่ยเชวียระเบิดตนเอง สร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชน


แขกเหรื่อมากมายหลั่งไหลเข้าในลานประลอง พวกเขาประเคนทั้งมือเท้าให้กับศิษย์ของสำนักหมื่นพิษที่ถูกมัดเอาไว้เพื่อระบายความกลัวและโกรธแค้น


ความโกรธแค้นมหาศาล มิมีใครจะหยุดยั้งได้


จวบจนแขกเหรื่อออกไปกันหมดแล้ว บรรดาศิษย์ของสำนักหมื่นพิษก็แทบตายกันเลยทีเดียว


นอกจากผู้เฒ่าใหญ่ที่ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยวางยาพิษจนสลบไปและถูกเจ้าสำนักหลินคุมขังเอาไว้แล้ว แผนชั่วครั้งนี้ของสำนักหมื่นพิษก็ถูกทำลายลงราบคาบ มีทั้งที่มาแล้วไม่ได้กลับไป มีทั้งบาดเจ็บพิการด้วย


“ขอบคุณพวกท่าน! ขอบคุณ!”


เจ้าสำนักหลินออกมารับช่วงดูแลจัดการงานที่วุ่นวายนี้ เริ่มแรกจึงขอบคุณอวี้เฟยเยียนและพวกนางทุกคน


หากมิใช่พวกเขากล้าหาญมีคุณธรรม หอราชาโอสถจะต้องย่อยยับทั้งชื่อเสียงและสูญเสียทั้งชีวิตเป็นแน่!


โดยเฉพาะอวี้เฟยเยียน เป็นเพราะนางดึงดูดความสนใจพวกสำนักหมื่นพิษ ยับยั้งแผนชั่วของพวกมัน ทำให้แผนการดำเนินไปด้วยความราบรื่น


“เจ้าสำนักหลิน ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว!”


มองดูลานประลองที่เละเทะวุ่นวายตรงหน้า อวี้เฟยเยียนก็รู้ได้ทันทีเลยว่า งานทำความสะอาดหลังจากนี้ไม่เพียงแต่มากมายทั้งยังละเอียดยิบย่อยอีกด้วย


ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่อธิบายอะไรเล็กน้อยให้เจ้าสำนักหลินฟัง แล้วก็ขอตัวไปจากลานประลองพร้อมกับคนอื่นๆ


เจ้าสำนักหลินเอารู้ว่าวันนี้อวี้เฟยเยียนสูญเสียพลังไปมาก ต้องการพักผ่อน จึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพียงแต่กำชับว่าหากนางต้องการสิ่งใดก็ให้บอกกล่าวตรงๆได้เลย


เมื่อกลับมาถึงห้องพักเรือนเล็กของตน เพียงก้าวย่างเข้าประตู อวี้เฟยเยียนก็ทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง


เมื่อคืนวานไปช่วยหมอเทวดาฮั่ว มู่เหนี่ยนซีก็เกิดเรื่อง ต่อมาก็ถอนพิษให้เจ้าสำนักหลินอีก ทำให้อวี้เฟยเยียนแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ


วันนี้ก็เริ่มตั้งแต่เช้า ต้องรักษาท่าทีตึงเครียดพร้อมรบตลอดเวลา นางเกร็งจนเหนื่อยอ่อน ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ อวี้เฟยเยียนทั้งเหนื่อยทั้งง่วง นอนเล่นไม่นานก็ผล็อยหลับไป


นางเหนื่อยมาก!


เมื่อตรวจดูว่าอวี้เฟยเยียนปลอดภัยสบายดี มู่เหนี่ยนซีก็ค่อยๆ ย่องออกมาจากห้อง แล้วจัดการปิดประตูลงกลอน


“ให้นางพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ!”


“ไอ้หยา!”


ในตอนนั้นเองที่อวี้เชียนเสวี่ยตบหน้าผากตนแล้วร้องว่า


“แย่แล้วๆ ! ข้าดันลืมเรื่องใหญ่ไปเสียได้!”


ท่าทางตื่นตระหนกตกใจของอวี้เชียนเสวี่ย ทำเอาทุกคนตกอกตกใจไปตามๆ กัน


“ลุงสาม มีเรื่องอะไรกัน”


ตอนนี้เซวียเฉียงก็รู้แล้วว่า อวี้เชียนเสวี่ยเป็นลุงแท้ๆ ของอวี้เฟยเยียน


ถึงแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนจากรักนางเชิงหญิงชายกลายเป็นชื่นชมและนับถือนางแล้ว แต่บุคคลที่อยู่ด้านหน้าของเขาก็อาวุโสกว่า เช่นนั้นก็ต้องให้ความเคารพนับถือด้วย!


“วันนี้เป็นวันเกิดของอวี้หลัวช่า! นางอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้ากลับลืมไปเสียได้ข้าสมควรตายจริงๆ!”


อวี้เชียนเสวี่ยกล่าวออกมา คนอื่นๆ ต่างก็พากันอึ้งไป


“สิบห้าปี!”


เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า!


“ลุงสามท่านว่าช่าช่าเพิ่งจะสิบห้าปีเต็ม นางเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ ท่านแน่ใจหรือ”


คางที่เชียนเยี่ยเสวี่ยเท้าอยู่เกือบหล่นไปที่พื้นเลยทีเดียว!


ถึงแม้เขาจะรู้อยู่ว่าอวี้เฟยเยียนอายุยังไม่มาก แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ


จักรพรรดิโอสถและจอมเทวาอายุสิบสี่ปี!


นี่มันฝืนกฎสวรรค์ชัดๆ!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม