วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 761-767

ตอนที่ 761 ดูรูปพวกนั้นสิ ถังหนิงเป็น...

 

เธอดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดไม่ผิดเพี้ยน!


 


 


ในยุคโบราณนั้นมีทรงผมอยู่หลากหลาย หนึ่งในนั้น ทรงมวยผมวิญญาณงู [1] เป็นทรงที่ทำออกมาให้ดูสวยได้ยากที่สุด แต่เมื่อมาอยู่บนศีรษะของถังหนิงแล้วมันกลับดูเข้ากันได้อย่างไร้ที่ติ และเนื่องจากเธอสวมบทเป็นนางสนมผู้ถูกลืม เธอจึงไม่สวมใส่ปิ่นปักผมที่ดูหรูหราหรือเครื่องประดับใดๆ แต่เธอก็ยังดูสูงศักดิ์สง่างาม ชุดที่เหลืองทำให้ถังหนิงดูบอบบางและอบอุ่น แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นแสนเยือกเย็นและแผ่รังสีที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ออกมา


 


 


ก่อนที่ชิงหลานจะเดินทางข้ามกาลเวลามายังยุคโบราณนั้น เธอแทบจะไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันโทนอบอุ่นเลย แต่เพราะครั้งหนึ่งจักรพรรดิองค์ก่อนเคยกล่าวกับเธอไว้ว่าสีเหลืองช่วยให้เธอดูบอบบางและอบอุ่น เธอจึงตกหลุมรักเสื้อผ้าที่มีสีสันเช่นนี้ แต่กระนั้นเรื่องราวอันน่าสลดใจของเธอได้เริ่มต้นขึ้นจากจุดนั้น เพราะนับจากนั้นองค์จักรพรรดิก็ไม่พบเจอเธออีกเลย แม้เขาจะไม่ได้ทำการเนรเทศเธอแต่เธอก็เป็นดังนางสนมที่ถูกลืม


 


 


“งดงาม… เจ้าช่างงดงามจริงๆ”


 


 


นั่นเป็นเวลาเดียวกับกันที่ชิงหลายได้พบกับองค์ชายจวินอี้หลานผู้ถูกทอดทิ้ง นางสนมผู้ถูกลืมคอยดูแลองค์ชายผู้ถูกทอดทิ้ง ทั้งสองอายุห่างกันเพียงสามปีแต่ทั้งคู่เป็นดังแม่ลูกกัน


 


 


ชิงหลานในอดีตนั้นยังไม่สามารถสั่งสอนจวินอี้หลานได้ แต่ชิงหลานที่เดินทางข้ามกาลเวลามานั้นเป็นคนมากความสามารถ


 


 


เพื่อป้องกันหญิงอันเป็นที่รักของเขาไม่ให้เผชิญชะตากรรมเหมือนเช่นคนอื่นๆ ที่ถูกเนรเทศ จวินอี้หลานจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองบัลลังก์


 


 


ถังหนิงรู้สึกปวดใจกับตัวละครหลักทั้งสอง


 


 


ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ โชคดีจริงๆ ที่เธอเกิดมาในยุคปัจจุบัน บนประเทศที่ทั้งร่ำรวย ทรงอำนาจ และมีอิสระเช่นนี้


 


 


“ถ้าเราปล่อยภาพพวกนี้ออกไป ทุกคนต้องคลั่งแน่ๆ! ถังหนิงสวยเกินไปแล้ว!” ช่างแต่งหน้าถึงกับถอนใจ


 


 


“แล้วพระเอกล่ะ” ถังหนิงอดถามไม่ได้ “ฉันยังไม่รู้เลยว่าพระเอกเป็นใคร พวกคุณต้องลองชุดให้เขาแล้วใช่ไหม”


 


 


“ไม่ค่ะ” ทีมงานทุกคนต่างพากันส่ายหน้า “พวกเรายังไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย!”


 


 


“ก็ได้ ฉันจะไม่ทำให้พวกคุณลำบากใจ” บางทีอาจมีคนเพียงคนเดียวในกองถ่ายที่รู้ว่าใครเป็นพระเอก นั่นคือผู้กำกับ


 


 


ถังหนิงให้ความร่วมมือในการลองชุดอีกสองชุดหลังจากนั้นและถ่ายภาพไว้ในขณะที่ช่างภาพกล่าวชื่นชมด้วยความตื่นเต้น ถังหนิงไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น หลังจากเสร็จงาน เธอก็กลับไปยังกองถ่ายเพื่อดูบรรดานักแสดงสมทบคนอื่นๆ ถ่ายทำ


 


 


เฉินเฟิงเป็นผู้กำกับละครเรื่องนี้และคุณภาพงานของเขานั้นเรียกได้ว่าไร้ที่ติ แต่นอกจากนั้นแล้วบรรดาทีมงานทุกคนต่างมีความมุ่งมั่นมาก เห็นได้ชัดว่าโม่ถิงได้ทุ่มเทอย่างมากในการหานักแสดงที่มีความสามารถหลากหลายในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้นถังหนิงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก


 


 


ความลับเบื้องหลังนักแสดงบทพระเอกได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาของบรรดานักแสดงคนอื่นๆ อย่างไม่จบสิ้น แต่เฉินเฟิงไม่พูดอะไรเลย เพราะถึงอย่างไรเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เขารู้ว่าทุกอย่างจะได้รับการเปิดเผยเองโดยอัตโนมัติ


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ภาพถ่ายของถังหนิงในเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ก็ได้รับการเผยสู่สาธารณะ ก่อให้เกิดกระแสความเห็นอย่างเร่าร้อนขึ้นในทันที


 


 


[ดูนี่เร็ว รูปของถังหนิงออกมาแล้ว ว้าว ถังหนิงไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ สวยเป็นบ้าเลย!]


 


 


[ในฐานะแฟนคลับของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ฉันโล่งอกที่ได้เห็นรูปพวกนี้นะ ฉันยอมรับในฝีมือการแสดงของถังหนิงเป็นพิเศษ เพราะแม้แต่รูปถ่ายยังสามารถดึงดูดคนได้ถึงขนาดนี้]


 


 


[ถังหนิงใช้ดวงตาแสดงทุกอย่างออกมา ดวงตาของเธอสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน พอเห็นรูปพวกนี้แล้วฉันมั่นใจเต็มที่เลยว่าถังหนิงเหมาะที่ตะเป็นนักแสดง]


 


 


[ถังหนิงของฉันสวยที่สุดเลย!]


 


 


จากนั้นมีใครบางคนนำภาพของถังหนิงมาไว้ข้างๆ ภาพของไป๋อวี๋และเริ่มเปรียบเทียบคนทั้งสอง นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงสองคนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนและเป็นคู่แข่งกันอยู่ ดังนั้นผู้คนจึงอยากจะเปรียบเทียบความสามารถของคนทั้งคู่


 


 


แต่ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้แฟนคลับของไป๋อวี๋จะเคยยกยอเธอไว้สูงส่งเพียงใด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับถังหนิงแล้ว เธอกลับดูเหมือนเพียงแค่คนที่เดินผ่านไปมาไร้ความโดดเด่น ที่จริงไป๋อวี๋ดูแก่กว่าด้วยซ้ำเมื่ออยู่ข้างถังหนิง


 


 


[ฉันรู้สึกเหมือนไป๋อวี๋กำลังแสดงเป็นแม่ถังหนิงเลย…]


 


 


[ฮะๆๆ ฉันรู้ ก่อนหน้านี้ตอนเห็นไป๋อวี๋ ฉันคิดว่าไป๋อวี๋ก็ดูโอเคกับการแต่งหน้าที่สวยจนอึ้งแต่หนาเตอะนั่นอยู่หรอก ไป๋อวี๋ดูทรงพลังใน ‘ชายาหนิง’ จริงๆ แต่ตอนนี้พอมาเทียบกับถังหนิง ใครๆ ก็พากันเห็นจุดด้อยของเธอกันหมด]


 


 


บรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ออกมาโต้แย้งทันที


 


 


[ตัวละครทั้งสองตัวมาจากคนละยุคสมัยกัน เอามาเทียบกันไม่ได้หรอกนะ]


 


 


[ใช่ๆ เครื่องหัวของถังหนิงน่าจะหนักพอทำให้คอหักตายได้เลยมั้ง]


 


 


[ถังหนิงดูบอบบางอย่างกับดอกบัว เทียบกับไป๋อวี๋ที่ทรงอำนาจของเราไม่ได้หรอก]


 


 


เมื่อเห็นเช่นนั้น ทีมงานของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จึงทำการปล่อยภาพถังหนิงในชุดไทเฮาออกมา คราวนี้หญิงทั้งสองจึงอยู่ในระดับเดียวกัน บรรดาแฟนๆ ไม่อาจพูดอะไรได้อีก เพราะต่อให้ไป๋อวี๋เปลี่ยนชุดและการแต่งหน้าไปเป็นอีกช่วงอายุหนึ่งของตัวละคร แววตาของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่ถังหนิงนั่นแตกต่างออกไป ในฐานะนางสนมที่ถูกลืม เธอดูเย็นชาและน่าสังเวช แต่เมื่อเป็นไทเฮา เธอดูทรงพลังแต่ไร้ที่พึ่ง ถังหนิงสามารถสื่อสารทุกอย่างออกมาได้ผ่านแววตาของเธอ


 


 


[แค่ดูรูปพวกนี้ก็รู้แล้วว่าถังหนิงเป็นฝ่ายชนะ]


 


 


[ฉันรู้สึกมาตลอดว่าถังหนิงเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ทางการแสดงเพราะเธอสามารถทำความเข้าใจตัวละครตัวนั้นได้อย่างลึกซึ้ง ถึงคนอื่นจะสามารถฝึกฝนได้แต่ก็เทียบเธอไม่ได้]


 


 


[ดูบรรดาแฟนคลับของไป๋อวี๋ที่ภูมิใจนักหนาแต่สุดท้ายก็หน้าแตกสิ เหลือเชื่อจริงๆ]


 


 


[ฉันจะรอดู ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เลย ฉันคาดหวังมากเลยนะเนี่ย…]


 


 


[ถึงฉันจะรู้เรื่องอยู่แล้ว ฉันยังอดใจรอดูถังหนิงแสดงไม่ได้เลย มันต้องออกมาสนุกมากแน่ๆ]


 


 


[ถึงบทพระเอกจะน่าเสียดายไปหน่อย แต่ฉันก็ยังหวังจะได้เห็นรูปสองคนนั้นถ่ายด้วยกันนะ]


 


 


[นั่นสิ…]


 


 


กระแสตอบรับของผู้คนเป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาคิดไปเองว่าหวงฝู่ซั่วคือพระเอกของเรื่อง แต่ถึงแม้ถังหนิงจะมายังกองถ่ายได้หลายวันแล้ว ก็ยังไม่มีใครได้ยินอะไรเกี่ยวกับพระเอกเลย ถึงแม้ถังหนิงและหวงฝู่ซั่วจะได้พบกันแล้วก็ตาม ในความเป็นจริงนั้น หวงฝู่ซั่วชอบอยู่กับผู้คน ในขณะที่ถังหนิงนั้นเลือกที่จะอยู่เงียบๆ มากกว่า ทั้งสองคนโอนอ่อนให้อีกฝ่ายแต่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากนักเนื่องจากบุคลิกที่มีความแตกต่างกันมากเกินไป


 


 


หวงฝู่ซั่วเป็นดั่งสีสันภายในกองถ่าย เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินใครซุบซิบกัน เขาจะทำตัวคล้อยตามไปกับคนพวกนั้น “ใช่แล้ว ผมนี่เป็นพระเอก ใครจะเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่าผมอีกล่ะ พวกคุณเอาแต่พูดถึงบทพระเอกอยู่ตลอดเลย ผมยังหล่อไม่พออีกงั้นเหรอ”


 


 


ที่จริง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ไม่คิดจะเปิดเผยตัวพระเอกซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพวกเขา


 


 


“พี่อวี้ ดูเหมือนอีกกองถ่ายจะมีแค่นี้แหละค่ะ ถึงยังไงคนที่เล่นเป็นพระเอกก็ไม่ได้เป็นที่นิยมอะไร” ผู้ช่วยของไป๋อวี๋พูดปลอบใจเธอ “พวกนั้นเผยไพ่ตายออกมาแล้ว มาดูกันว่าต่อไปจะยังดึงดูดความสนใจอะไรได้อีก”


 


 


บางทีจุดด้อยเพียงอย่างเดียวของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ อาจเป็นเรื่องที่หวงฝู่ซั่วไม่เหมาะสมสำหรับบทพระเอก แต่ถึงกระนั้น ในเวลานี้อยู่ๆ ได้มีแฟนคลับคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นในเว็บไซต์หลักของละครเรื่องนี้ขึ้น [ทางเว็บไซต์ยังไม่มีการประกาศตัวบทพระเอกอย่างเป็นทางการ มันยังเป็นเซอร์ไพรส์อยู่สินะ ฉันจะตั้งตารอดูวันที่ความลับนี้ถูกเปิดเผยนะคะ]


 


 


หวงฝู่ซั่วปั่นกระแสมานานเพราะเขาต้องการจะเล่นสนุกกับความสนใจของไป๋อวี๋ ดังนั้นบัดนี้เมื่อการถ่ายทำได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดได้เสียที


 


 


นั่นส่งผลให้ผู้คนต้องพากันตกใจ


 


 


[กลับกลายเป็นว่าหวงฝู่ซั่วไม่ใช่พระเอก!]


 


 


[งั้นเขาก็ไม่ใช่พระเอกสินะ ฮะๆๆ ฉันเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอกเลยนะเนี่ย]


 


 


[ถ้าอย่างนั้นแล้วเป็นใครล่ะ ฉันอยากจะรู้แล้วสิ!] 

 

 


ตอนที่ 762 จวินอี้หลานที่แท้จริง!

 

ถึงแม้ถังหนิงจะอยากรู้ว่าใครคือนักแสดงบทพระเอก แต่เธอก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า เธอรู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้าฉากร่วมกัน เธอก็จะได้พบกับคนคนนั้นเอง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


 


 


เป็นเพราะถังหนิงไม่มีผู้จัดการหรือผู้ช่วยคอยอยู่เคียงข้าง บรรดาทีมงานจึงคอยดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ที่จริงแล้วยังมีทีมงานบางคนที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่


 


 


“ดูหนูสิ ออกจะดังขนาดนี้แถมยังอยากได้อะไรก็หาได้แท้ๆ ทำไมถึงไม่หาผู้ช่วยมาสักคนหนึ่งล่ะ พวกดาราดังคนอื่นเขายังมีผู้ช่วยกันตั้งสองคนแถมยังมีบอดีการ์ดอีกตั้งสี่คนคอยอยู่ข้างๆ ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น แต่หนูกลับยังทำอะไรต่อมิอะไรเองอยู่แบบนี้”


 


 


คุณป้าซึ่งเป็นคนนำอาหารมาส่งที่กองถ่ายสังเกตเห็นว่าไม่เคยมีใครมาคอยรับอาหารให้ถังหนิงเลยสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงเป็นคนนำอาหารเหล่านั้นมาให้ถังหนิงด้วยตัวเอง


 


 


ขณะที่ถังหนิงกำลังทานอาหารเหล่านั้น เธอก็รู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก


 


 


“ฉันคิดว่าฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ ฉันไม่มีอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คุณป้าเป็นคนใจดีจังเลยนะคะ”


 


 


“เฮ้อ ทุกวันนี้หาคนแบบหนูได้ยากขึ้นทุกที เอ้า กินอีกสิ”


 


 


ไม่ใช่ว่าถังหนิงไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย แต่เพราะเหตุการณ์ของซ่งซินทำให้เธอไม่คิดว่าการมีผู้ช่วยเป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากการคลอดลูกแฝด เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ต้องการการดูแลอะไรเป็นพิเศษอีกแล้ว


 


 


ถังหนิงยิ้มและน้อมรับความใจดีของคุณป้าคนนั้น แต่ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้นจากภายในกองถ่าย “ฉันได้ยินว่าพระเอกมาที่กองถ่ายแล้ว! เขาอยู่ที่นี่!”


 


 


“เธอเห็นหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร”


 


 


“ฉันแค่ได้ยินมา ไม่ใช่ว่าเราจะได้เห็นเขาตอนบ่ายนี้นะ”


 


 


แน่นอนเพราะบ่ายวันนั้นถังหนิงและนักแสดงคนนั้นจะต้องเข้าฉากร่วมกัน ถังหนิงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมมาปรากฏตัว


 


 


“แม่เจ้า ฉันรอไม่ไหวแล้วนะ!”


 


 


หลังมื้อกลางวัน ถังหนิงนั่งอ่านบทอยู่ภายในกองถ่าย ฉากในบ่ายวันนั้นค่อนข้างมีความสำคัญ อันดับแรกเธอจะต้องเข้าฉากกับพระรองก่อน หลังจากนั้นเธอจึงจะเข้าฉากกับพระเอกซึ่งเกือบจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องร้าวฉาน ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องทุ่มเทเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์


 


 


ฉากนี้ยังเป็นฉากแรกระหว่างเธอกับหวงฝู่ซั่วอีกด้วย ที่จริงถังหนิงรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น แม้หวงฝู่ซั่วมักจะแหกคอกอยู่เสมอ แต่ความสามารถในการแสดงของเขาก็ไม่อาจละเลยได้


 


 


ดังนั้นหลังจากนั้นไม่นาน ถังหนิงและหวงฝู่ซั่วได้เริ่มถ่ายทำฉากร่วมกัน


 


 


ตัวละครของหวงฝู่ซั่วเป็นคนที่อยู่ข้างนางเอกเสมอ ในขณะที่ทุกคนคิดกันว่าเขาเป็นขันที แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นองค์ชายของอีกแคว้นหนึ่งซึ่งปลอมตัวมาอยู่เคียงข้างนางเอกอยู่นานหลายปี ความรู้สึกที่ชายผู้นี้มีต่อนางเอกนั้นซับซ้อนและผันแปรไปเรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าเขามักจะแสดงออกด้วยท่าทีร่าเริงต่อหน้าทุกคนอยู่เสมอ


 


 


ด้วยความที่ตัวละครตัวนี้มีบุคลิกที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงของหวงฝู่ซั่ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมากและการตอบโต้ระหว่างเขากับถังหนิงเป็นไปอย่างสนุกสนาน นักแสดงทั้งสองแสดงพลาดเพียงแค่สองครั้งก่อนที่จะสามารถแสดงฉากนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาของฉากระหว่างถังหนิงกับพระเอก หลังจากได้ยินว่าพระเอกได้เดินทางมาถึงกองถ่ายแล้ว หวงฝู่ซั่วก็พูดหยอกล้อออกมาเป็นแบบหน้าไม่อาย “ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีนักแสดงคนอื่นที่แสดงได้เก่งกว่าแถมยังหล่อกว่าผมอีก”


 


 


แต่ในขณะนั้นเอง…


 


 


…เงาดำปรากฏออกมาจากห้องแต่งตัว เขาทั้งสูงและหาที่เปรียบไม่ได้!


 


 


“คุณพระ!”


 


 


“ดูสิ ดูนั่น!”


 


 


“พระเจ้าช่วย…”


 


 


ทุกคนที่มองไปยังโม่ถิงทำได้เพียงตื่นเต้นจนแทบเสียอาการ


 


 


ณ อีกด้านหนึ่งของกองถ่าย หวงฝู่ซั่วกำลังพูดคุยอย่างเฮฮาและทำให้ทุกคนยิ้มและหัวเราะ แต่อีกด้านหนึ่ง ทุกคนที่มองเห็นโม่ถิงเดินผ่านไปต่างรู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังจะแตกด้วยความอึ้ง


 


 


“ผมน่ะเป็นคนที่หล่อที่สุดแล้วนะ ผมไม่เชื่อหรอกว่าพระเอกคนนั้นจะดูดีกว่าผม!”


 


 


ในขณะนั้น โม่ถิงได้ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังของเขา


 


 


ชายทั้งสองมีส่วนสูงที่แตกต่างกันอย่างมาก เมื่อทุกคนมองดูชายทั้งคู่ พวกเขาต่างก็พากันเอามือปิดปากด้วยความช็อก ขณะเดียวกันถังหนิงเองก็อึ้งจนถึงขนาดโยนบทของเธอลงข้างๆ แม้เธอจะเคยเดาไว้ว่านักแสดงบทพระเอกจะเป็นโม่ถิง เธอก็ไม่เคยเห็นเขาในชุดแบบนี้มาก่อน


 


 


เขาเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ราวราชาจริงๆ จากที่เห็น หวงฝู่ซั่วดูกลายเป็นตัวประกอบไปเลย


 


 


“นี่… นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่า นั่นมันท่านประธานโม่ไม่ใช่เหรอ”


 


 


ทีมงานซึ่งยืนอยู่ข้างถังหนิงเขย่าแขนของเธอและถาม “นั่นเขาตัวเป็นๆ ใช่ไหมคะ”


 


 


“ใช่” ถังหนิงตั้งสติและพยักหน้าให้ทีมงานคนนั้น


 


 


“ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนใส่ชุดย้อนยุคแล้วดูดีขนาดนี้เลย ฉันโชคดีจริงๆ ฉันจะเป็นลมอยู่แล้ว”


 


 


“โอย! ท่านประธานโม่มาทำงานกับภรรยาของตัวเอง!”


 


 


“นี่แหละจวินอี้หลานที่แท้จริง ไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้มากไปกว่าประธานโม่อีกแล้ว”


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังสติแตก หวงฝู่ซั่วหันเตรียมจะถอยร่นแต่เขาถูกโม่ถิงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังข่มขวัญ หวงฝู่ซั่วไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโม่ถิงคือจักรพรรดิ จักรพรรดิผู้ชิงชังโลกใบนี้ยิ่งกว่าใคร จวินอี้หลาน


 


 


“ไม่น่าเชื่อ ถังหนิง นี่คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ”


 


 


“ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้พร้อมกับทุกคนนี่แหละ” ถังหนิงตอบทีมงานคนนั้น


 


 


“เช่นนั้น เสด็จแม่พึงพอใจกับผลที่ออกมาหรือไม่” โม่ถิงถามด้วยภาษาเช่นเดียวกับตัวละครในบทของเขา


 


 


“ฉันพยายามลองเชิงคุณตั้งนานแต่คุณกลับไม่ยอมปริปาก คุณทำทั้งหมดก็เพื่อตอนนี้งั้นเหรอคะ” ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ต่อให้คุณบอก คุณก็ยังทำให้ฉันประหลาดใจอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉันไม่เคยนึกว่าคุณจะดูเจิดจรัสในชุดพวกนี้ขนาดนี้”


 


 


“ทุกคนคิดว่าไง ท่านประธานโม่อาจจะดูเจิดจ้า แต่การแสดงของเขาล่ะ เรารู้แค่ว่าเขาสามารถสร้างบทละครได้ แต่เขาแสดงละครไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ฉันไม่สนหรอกว่าเขาแสดงได้หรือเปล่า ตราบใดที่เขามาแสดง ต่อให้เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆ แล้วไม่พูดอะไรเลยฉันก็ยังฟิน”


 


 


บรรดาทีมงานต่างพากันออกความเห็น ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ซั่วพยายามแสดงตัวตนของตัวเองในฐานะผู้ที่มีอายุมากกว่าด้วยการพูดกับโม่ถิง “หลังจากคุณใส่ชุดพวกนั้นแล้วก็ถือว่าผมกับคุณเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมไม่คิดว่าคุณเป็นนายใหญ่ของพวกแก๊งอันธพาลหรอกนะ จริงไหม แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าคุณเคยมีประสบการณ์ในการแสดงมาก่อน… ในเมื่อคุณไม่มีประสบการณ์อะไร อยากให้ผมช่วยสอนให้ไหมล่ะ”


 


 


โม่ถิงอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท เขาดูน่าประทับใจและไม่เหมือนกับคนสามัญธรรมดาทั่วไป แต่ทุกคนต่างกังวลเรื่องความสามารถในการแสดงของเขา


 


 


แม้เขาจะเป็นประธานของไห่รุ่ยและเป็นผู้ลงทุนซึ่งอยู่เบื้องหลังละครเรื่องนี้ก็ตาม…


 


 


… นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะแสดงได้


 


 


หากการแสดงของเขาออกมาแย่ พวกเขาจะทำอย่างไร


 


 


โม่ถิงก้มหัวลงเล็กน้อยและเอ่ยถามหวงฝู่ซั่ว “คุณคิดจะสอนผมยังไงล่ะ”


 


 


ถังหนิงหัวเราะคิกคักกับสิ่งที่เห็น หลังจากนั้นเธอก้มหน้าลงจดต่อกับบทของตัวเองอีกครั้ง เพราะฉากที่กำลังจะถ่ายทำต่อจากนี้ค่อนข้างสำคัญทีเดียว


 


 


ขันทีซึ่งรับบทโดยหวงฝู่ซั่วถูกจวินอี้หลานล่วงรู้ความจริง ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งเปลี่ยนขันทีผู้ช่วยของเธอโดยไม่ปรึกษาชิงหลานก่อน แม้ถังหนิงจะรู้จุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ของขันทีผู้นั้น เธอก็ไม่ชอบวิธีการของจวินอี้หลาน เพราะถึงอย่างไรเธอก็มีศักดิ์เป็นมารดาของเขา


 


 


ส่งผลให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันครั้งใหญ่ ในตอนแรกนั้นจวินอี้หลานเคารพชิงหลานเพราะนางเป็น ‘มารดา’ เขา ทว่าเพราะความตึงเครียดและความโกรธเกรี้ยว เขาจึงคว้าเข้าที่ลำคอของชิงหลานและถามว่านางยังมีจิตใจอยู่หรือไม่


 


 


ฉากนี้ต้องใช้การระเบิดพลังและอารมณ์อย่างสูง…


 


 


ต่อให้เป็นนักแสดงอย่างหวงฝู่ซั่วก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะแสดงฉากนี้ให้ออกมาสมบูรณ์ อย่าว่าแต่คนอย่างโม่ถิงเลย


 


 


โม่ถิงนั้นดูราวกับสิ่งลี้ลับ เขาไม่รู้อะไรเลยแต่เขาก็ยังเลือกที่จะเล่นเป็นพระเอก


 


 


แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้กำกับเฉินเห็นชอบกับเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ


 


 


นี่เขาอยากเอาชนะคู่แข่งมากจนเสียสติไปแล้วหรือไง ถ้าพวกเขาไม่สามารถหานักแสดงนำชายได้ก็ควรจะยกบทนี้ให้หวงฝู่ซั่วสิ จำเป็นต้องใช้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยหรือ 

 

 


ตอนที่ 763 ประธานโม่ ทุกอย่างโอเคไหม

 

“ถ้ามีใครสักคนต้องสอนเขา คนคนนั้นควรจะเป็นถังหนิงมากกว่า คุณคิดว่าถังหนิงแสดงไม่ดีเท่าคุณหรือไง” ทีมงานคนหนึ่งกระซิบข้างหูของหวงฝู่ซั่ว


 


 


หวงฝู่ซั่วตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อไล่ความกระอักกระอ่วน


 


 


“ประธานโม่ ทุกอย่างโอเคไหม” ผู้กำกับฉินเดินเข้ามาหาโม่ถิงเพื่อสอบถามความเรียบร้อยด้วยตัวเอง


 


 


โม่ถิงส่ายศีรษะอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงให้ผู้กำกับรู้สึกสบายใจขึ้น


 


 


อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โม่ถิงนั้นล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักเมื่อครั้งที่เขาเข้ามาดูแลไห่รุ่ยในช่วงแรก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ เขาจึงผ่านประสบการณ์ทุกอย่างในวงการนี้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือแสดงละคร เขาบังคับให้ตัวเองต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นและคุ้นเคยกับมัน เพราะเขาเข้าใจดีว่าตราบใดที่เขาควบคุมทุกสิ่งได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น


 


 


“ดี งั้นเตรียมตัวให้พร้อมนะ ถึงเวลาถ่ายทำแล้ว” เฉินเฟิงกลับไปยังกล้องถ่ายละครและย้ำกับถังหนิง “ถังหนิง ระวังเรื่องอารมณ์ของเธอให้ดีด้วยล่ะ”


 


 


ถังหนิงมองโม่ถิงก่อนจะพยักหน้าให้ผู้กำกับ ฉากแรกคือฉากที่จวินอี้หลานสังเกตเห็นว่าตัวละครของถังหนิงกำลังตื่นเต้นกับของกระจุกกระจิกที่ดูน่าสนใจซึ่งขันทีเป็นผู้นำมาจากโลกภายนอก แต่กระนั้นเธอกลับไม่เคยเผยรอยยิ้มเช่นนั้นต่อหน้าจวินอี้หลานเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นทำให้เขาโกรธ


 


 


แรกเริ่มกล้องแสดงมุมด้านข้างที่ชิงหลานเผชิญหน้ากับจวินอี้หลาน หลังจากซูมเข้าไปยังใบหน้าของชิงหลาน กล้องได้เปลี่ยนไปโฟกัสที่จวินอี้หลาน


 


 


“ท่านประธานโม่จะทำได้จริงๆ งั้นเหรอ”


 


 


“ฉันกังวลจังเลย… ฉันว่าฉันกังวลมากกว่าตัวประธานโม่เองอีกนะ”


 


 


“ประธานโม่ไม่ใช่นักแสดงสักหน่อย ตอนที่เขาอยู่เงียบๆ เขาดูเหมือนคนที่มาจากโลกอื่นเลย ฉันหวังว่าเขาจะไม่ทำลายภาพลักษณ์ตัวเองเพราะการแสดงหรอกนะ”


 


 


ก่อนที่ฉากจะถูกเตรียมพร้อมถ่ายทำ บรรดาทีมงานที่เหลืออยู่ต่างพากันชำเลืองตามองไปยังโม่ถิง พวกเขากลัวว่าโม่ถิงจะไม่อาจแสดงได้และเป็นเรื่องน่าผิดหวัง


 


 


ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้สูงนัก ถึงขนาดปิดตาของตัวเองเพราะกลัวจะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าจะไม่น่าดูนัก


 


 


ทันทีที่กระดานสเลตคัตฉากถูกตีลง ถังหนิงนั่งหัวเราะคิกคักอยู่บนม้านั่งไม้ทรงโค้งตัวหนึ่งพลางเปิดดูอัลบั้มภาพ ขณะนั้นเอง จวินอี้หลานก็ก้าวเข้ามามองดูใบหน้าอันมีความสุขของอีกฝ่าย และพูดขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นท่านหัวเราะเช่นนั้นมาก่อน ข้าได้เห็นครั้งนี้ครั้งแรก”


 


 


ชิงหลานเงยหน้าขึ้น ทันทีที่นางเห็นจวินอี้หลาน ก็รีบซ่อนอัลบั้มนั้นไว้ด้านหลังด้วยความประหลาดใจ


 


 


จวินอี้หลานสะบัดชุดคลุมของเขาไปด้านหลังก่อนนั่งลงบนม้านั่งไม้ตัวนั้น แววตาและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ใช่แล้ว มันคือความผิดหวัง จากนั้นเขาก้มหน้าลงและพยายามจะสกัดกั้นความรู้สึกตนเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นจวินอี้หลานคนที่ชิงหลานรู้จัก แต่กระนั้นในยามเขาเอ่ย น้ำเสียงก็ยังสัมผัสได้ถึงความไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย


 


 


“ข้าคิดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ข้ากับท่านพึ่งพากันมานานแสนนาน ท่านจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่จำเป็นต้องซ่อนจากข้าอีกต่อไปแล้วเสียอีก แต่สุดท้าย ข้ากลับต้องพบกับความผิดหวัง ข้าทำให้ท่านไม่มีความสุขกระนั้นหรือ”


 


 


ชิงหลานดูเสียใจเล็กน้อย ก่อนครองสติตอบ “หากเจ้าไม่มีสิ่งใดอื่นแล้ว ได้โปรดกลับไปเสียเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”


 


 


พูดจบ ชิงหลายก็ลุกขึ้นจากม้านั่ง แต่กระนั้น ขณะนางกำลังจะก้าวออกไป จวินอี้หลานกลับคว้าข้อมือนางเอาไว้ ดึงนางกลับมากดเข้ากับบานประตูไม้ทรงโค้ง ทั้งสองมองหน้ากันและกัน เปลวไฟในดวงตาของจวินอี้หลานดูราวกับพร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ เขาดูเย็นชาและเจ็บปวด แต่ก็โกรธเกรี้ยวและหมดหนทางในขณะเดียวกัน อารมณ์อันซับซ้อนทำให้เขารู้สึกสับสนจนไม่รู้จะทำอะไร


 


 


ส่งผลให้มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเทิ่ม


 


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วให้ระวังเจ้าขันทีนั่น”


 


 


“เจ้าเป็นลูกข้า เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านแม่นะ!”


 


 


“เจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดอย่างนั้นหรือ” จวิ้นอี้หลายถามขณะที่เขาคว้าเข้าที่ลำคอของชิงหลาน


 


 


“จวินอี้หลาน อย่าลืมฐานะของเราทั้งคู่ ข้าเป็นมารดาเจ้า ข้าจะเรียกใช้ใครก็ได้ที่ข้าต้องการ มันเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า”


 


 


“แต่เจ้าจะทำอะไรล่ะ ข้าสั่งย้ายเจ้าขันทีนั่นแล้ว นับจากวันนี้ไป มันจะไม่มาเสนอหน้าที่ตำหนักไท่เฉินนี้อีก!”


 


 


ใบหน้าชิงหลานเปลี่ยนเป็นแดงก่ำจนเส้นเลือดแดงเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของนาง จากนั้นน้ำตาจำนวนมากเริ่มไหลเอ่อลงมาบนแก้มของชิงหลาน ผ่านกรอบหน้านางก่อนจะหยดลงบนมือขวาของจวินอี้หลานในที่สุด


 


 


ทว่านางยังคงมีความดื้อรั้นอยู่ภายในดวงตาทั้งสองข้าง “เอาเขากลับมาซะ!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น จวินอี้หลานก็ผ่อนแรงจากอุ้งมือที่รัดรอบคอชิงหลาน และพิศมองนางอย่างเย้ยหยัน “ข้าลืมไป ท่านแม่ไม่มีเจตนาจะทำร้ายข้าเพราะเห็นแก่คนนอกอยู่แล้ว” พูดจบ เขาก็ก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง


 


 


ชิงหลานยืนพิงประตูขณะที่เสียงสะอื้นเบาๆ จะเปลี่ยนเป็นการร้องไห้อย่างเจ็บปวด


 


 


“คัต!” ผู้กำกับเฉินเฟิงตะโกนก่อนยืนขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เยี่ยมมาก! ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประธานโม่จะมีพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่แบบนี้ ที่สำคัญที่สุด ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งสองคนจะถ่ายฉากนี้ได้ในเทกเดียว”


 


 


ทุกคนภายในกองถ่ายต่างตกตะลึง…


 


 


นี่มันเพิ่งเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


ฉากนั้นแสดงจบตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ ตอนที่โม่ถิงบีบคอถังหนิงทำเอาพวกเขารู้สึกราวกับตัวเองถูกบีบคอไปด้วย มันดูสมจริงมาก


 


 


“จวินอี้หลานรักชิงหลานมากจริงๆ …”


 


 


“โถ่… ชิงหลานต้องใจแข็งมากเลย ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองในขณะที่ต้องรับมือกับความป่าเถื่อนของจวินอี้หลาน มันน่าใจสลายที่สุด…”


 


 


“เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน โม่ถิงสุดยอดไปเลย! ไม่เห็นเคยมีใครพูดว่าประธานโม่แสดงละครได้ด้วย”


 


 


“เขาทำได้ทุกอย่าง นี่เขายังต้องการให้พวกเราทุกคนมีชีวิตอยู่อีกไหมเนี่ย”


 


 


เฉินเฟิงมองดูท่าทีสับสนที่ทุกคนแสดงออกมาทางสีหน้าและอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ “ประธานโม่ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์พวกนี้หรอกนะ เขาเคยผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนตอนที่เข้ามาดูแลไห่รุ่ยครั้งแรก”


 


 


“ทำไมไม่เห็นมีใครรู้เรื่องนี้เลย”


 


 


“ฉันคิดว่าถังหนิงเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”


 


 


โม่ถิงรู้วิธีแสดงละครจริงๆ ที่จริงการแสดงของเขานั้นไร้ที่ติ!


 


 


ทันทีที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาต่างพากันรู้สึกตื่นเต้น โลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ คนคนหนึ่งจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้อย่างไร


 


 


หลังเดินออกจากกองถ่าย โม่ถิงก็กลับมาเป็นตัวเองที่เย็นชาภายใต้ชุดสูทอันเรียบกริบพร้อมกับสีหน้าที่ดูจจริงจังอีกครั้ง แต่เมื่อเขาอยู่ในชุดโบราณ เขาพลันกลายเป็นจวินอี้หลานในทันที


 


 


“นายยังอยากจะสอนประธานโม่เรื่องการแสดงอยู่ไหม ดูการแสดงที่ลื่นไหลของเขาแล้วการแสดงของนายดูเหมือนเด็กเล่นขายของไปเลย!”


 


 


หวงฝู่ซั่วส่งเสียงไม่พอในใจลำคอก่อนจะหันหลังกลับพร้อมเอามือกอดอก “คนที่สมบูรณ์แบบเกินไปมันน่าเบื่อจะตาย!”


 


 


นักแสดงที่มีความสามารถจะสามารถชี้นำนักแสดงคนอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันได้ โดยเฉพาะคนที่แสดงอยู่ในฉากเดียวกัน


 


 


ถังหนิงคุ้นเคยกับการควบคุมอารมณ์ของเธอ แต่เมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา ตอนที่เธอแสดงร่วมกับโม่ถิง เธอลืมตัวไปโดยสมบูรณ์ว่าเธอคือถังหนิง ทุกการโต้ตอบที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบต่อท่าทีของโม่ถิงทั้งสิ้น


 


 


ดังนั้นเธอจึงไม่อาจจินตนาการถึงระดับความสามารถในการแสดงของโม่ถิงได้


 


 


ชายคนนี้สมควรโดนตี ตอนที่อยู่บ้านเขาพูดมาได้ยังไงว่าตัวเองแสดงละครไม่ได้


 


 


“เอาละ ท่านประธานโม่ คุณจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้มาได้หรือยังคะ อย่าพูดนะว่าคุณแสดงละครไม่ได้น่ะ” ถังหนิงถามพลางยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 764 เสียงเรียกร้องจากทีมงานให้...

 

“ผมแสดงละครไม่ได้จริงๆ จวินอี้หลานต่างหากที่ทำได้” โม่ถิงยิ้มอย่างอ่อนโยน


 


 


แล้วเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองสามารถถ่ายฉากดังกล่าวผ่านในเทกเดียวล่ะ นั่นเป็นเพราะโม่ถิงเคยช่วยถังหนิงซักซ้อมมาก่อนในระหว่างการเตรียมการถ่ายทำละครเรื่องนี้


 


 


“ฉันจะให้คุณต้องชดใช้พอเรากลับถึงบ้าน!” ถังหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


 


 


โม่ถิงเพียงแค่ยิ้มตอบอย่างรักใคร่


 


 


“ฮะๆๆ คราวนี้เราต้องชนะละครอีกเรื่องแน่ๆ!” ทีมงานต่างพากันรู้สึกตื่นเต้น


 


 


เมื่อบัดนี้โม่ถิงได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดง ทุกคนต่างรู้สึกฮึกเหิมและตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่นักแสดงคนอื่นๆ ถ่ายทำในส่วนของตัวเองเสร็จแล้ว พวกเขาต่างพากันมายืนออกันเพื่อดูการแสดงของโม่ถิงกับถังหนิง


 


 


ความรู้สึกที่เกิดจากการได้เห็นคนที่น่าเกรงขามสองคนสาดอารมณ์ใส่กัน ช่วยให้ทุกคนได้เรียนรู้ศิลปะในการแสดงพร้อมกับรู้สึกใจสลายไปพร้อมกัน


 


 


พวกเขาเหมือนกันผู้ชมที่ดูหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อได้เห็นฉากหวานชื่นระหว่างถังหนิงกับโม่ถิง พวกเขาจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อทั้งสองเข้าฉากบีบหัวใจ ทั้งคนต่างพบว่าตัวเองกำลังร้องไห้ราวใจสลายด้วยความเศร้า


 


 


“พระเจ้าช่วย ฉันรอให้มันตัดต่อเสร็จไม่ไหวแล้ว”


 


 


“แต่ละครอีกเรื่องถ่ายทำไปได้ครึ่งเรื่องแล้วนะ”


 


 


“แล้วไง พวกนั้นเริ่มงานก่อนพวกเรา ถ้าเราถ่ายทำด้วยความเร็วระดับนี้ ฉันมั่นใจว่าอีกไม่นานเราต้องไล่ตามทันแน่”


 


 


“การได้ดูถังหนิงกับโม่ถิงแสดงละครด้วยกันนี่มันฟินจริงๆ”


 


 


แน่นอนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกองถ่ายล้วนถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีอะไรรั่วไหลออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่โม่ถิงไม่มีฉากที่ต้องแสดง เขาจะไปปรากฏตัวที่ไห่รุ่ยและสาธารณะราวกับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการถ่ายทำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาค่อนข้างสนุกกับการแสดงละครร่วมกันถังหนิง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เป็นละครที่ค่อนข้างสนุกเพราะความรักและความเกลียดชังระหว่างจวินอี้หลานกับชิงหลานทำให้ละครเรื่องนี้ครบรส


 


 


ในระหว่างนั้น มีข่าวเกี่ยวกับ ‘ชายาหนิง’ ออกมาไม่หยุดหย่อน


 


 


ไป๋อวี๋ไม่อาจหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ได้เลย ทำให้เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ


 


 


ภาพถ่ายของเธอไม่อาจสู้ภาพของถังหนิงได้ เธอจะแพ้เรื่องอื่นไม่ได้อีก


 


 


ดังนั้นเธอจึงจ้างปาปารัสซี่มืออาชีพมาคนหนึ่ง สั่งให้เขาแอบเข้าไปในสตูดิโอถ่ายทำ เพื่อหาให้ได้ว่าใครเป็นพระเอกของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แต่พวกเธอไม่รู้เลยว่าทีมงานของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ทุกคนได้รับการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีและผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อมีใครบางคนมาหาข้อมูล ทีมงานทุกคนจะแค่ยิ้มและตอบ “เราจ้างนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่เคยแสดงละครเรื่องไหนมาก่อน”


 


 


“คุณแน่ใจนะ”


 


 


“แน่นอน คุณไม่เชื่อฉันเหรอ ทุกคนในกองถ่ายรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ”


 


 


ปาปารัสซี่คนนั้นกลับไปหาไป๋อวี๋พร้อมข้อมูลที่หามาได้ ก่อนที่ไป๋อวี๋จะตอบสนองด้วยการใช้มือทั้งสองข้างทุบโต๊ะ “เยี่ยมมาก! โม่ถิงนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ เขากลัวว่าคนจะไม่เห็นด้วยที่เขาจ้างเด็กใหม่อ่อนหัด เขาเลยปกปิดการถ่ายทำทั้งหมดไว้เป็นความลับแล้วบังคับให้คนยอมรับเรื่องนี้หลังจากถ่ายจบแล้วสินะ”


 


 


พวกเขาจ้างนักแสดงหน้าใหม่จริงๆ และเขาไม่เคยถ่ายทำละครเรื่องใดมาก่อน…


 


 


แต่..


 


 


…ไป๋อวี๋ไม่ได้รู้สึกสงสัยเลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ


 


 


ในไม่ช้า ข่าวลือเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จ้างนักแสดงมือใหม่อ่อนหัดและกลัวเกินกว่าจะเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะได้แพร่กระจายไปทั่วโลกภายนอก ซึ่งนี่สร้างกระแสคัดค้านจากบรรดาแฟนคลับนิยายอย่างชัดเจน พวกเขารักจวินอี้หลานอย่างสุดใจ ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันถูกทำให้เสียหายโดยเด็ดขาด


 


 


[ถ้าเป็นนักแสดงที่ไม่มีประสบการณ์มาแสดงจริงๆ ฉันจะไม่ดูเด็ดขาด!]


 


 


[ใช่! จวินอี้หลานของเราถึงจะน่าสงสารแต่ก็เป็นชายที่ทรงพลัง ฉันไม่อยากให้ใครมาเล่นเป็นเขาแล้วทำให้เขากลายเป็นเด็กโง่ใสซื่อหรอกนะ]


 


 


[ฉันไม่ยอมรับ! ไม่ยอมรับ! ฉันขอเรียกร้องให้ทีมงานออกมาประกาศชื่อนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอก]


 


 


“แค่ข่าวฉาวเล็กๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ต้องย่ำแย่เสียแล้ว ตลกสิ้นดี! แฟนคลับพวกนี้ไร้สมองจริงๆ” ไป๋อวี๋พูดเยาะเย้ยหลังได้อ่านความเห็นที่ปรากฏในหน้าเว็บไซต์ของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ “ประธานโม่อะไรนี่ก็โง่ ต่อให้ไม่มีทางเลือกก็ไม่ควรจะใช้วิธีนี้”


 


 


“พี่อวี๋นี่หัวใสจริงๆ ที่สามารถทำให้อีกกองถ่ายหนึ่งตกอยู่ในวิกฤตได้แบบนี้”


 


 


แต่มันไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการประกาศชื่อพระเอก พวกเขากลัวว่าหากประกาศออกไป ทุกคนจะตกใจตายต่างหาก!


 


 


ดังนั้นแม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้น ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ก็ยังคงอดทนและถ่ายทำต่อจนถึงดึก


 


 


แต่เป็นเพราะคำยุยงของไป๋อวี๋ ทำให้ทีมประชาสัมพันธ์ของไห่รุ่ยยิ่งนิ่งเฉย ดังนั้นจึงมีข่าวกระจายไปทั่วกองถ่ายว่าสถานการณ์ได้ลุกลามจนถึงขั้นที่บรรดาแฟนๆ ไปโจมตีถังเซี่ยวซึ่งเป็นผู้เขียน


 


 


โม่ถิงรีบโทรติดต่อฟังอวี้ทันที “จัดการให้พวกแฟนคลับสงบซะ”


 


 


หลังหวงฝู่ซั่วได้ยินว่าไป๋อวี๋ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเดือดดาลไปทั้งตัวด้วยความโกรธ แค่ผู้หญิงคนนั้นทำตัวอวดเบ่งก็แย่พอแล้ว นี่ยังพยายามทำร้ายคนอื่นอีก เขาอยากจะฉีกหน้ากากของผู้หญิงคนนี้ออกจริงๆ


 


 


ขณะเดียวกัน ฟังอวี้ยังไม่ได้ติดต่อไปยังบรรดาแฟนคลับของนิยายเรื่องนี้ เพราะเขาไม่มีอะไรจะไปปรามคนเหล่านั้น และต่อให้เขาทำ แฟนคลับแต่ละคนก็มีจวินอี้หลานในจินตนาการของตัวเองที่แตกต่างกันออกไป ทางเลือกเดียวที่เขามีคือการเปิดเผยความจริง ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นเรื่องยากเกินไปในการทำให้บรรดาแฟนคลับสงบลง


 


 


แต่หากเขาไม่สามารถปรามบรรดาแฟนคลับธรรมดาได้ เขาก็ไม่ใช่ฟังอวี้


 


 


ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นคนพูดถึงบทพระเอกด้วยตัวเองแต่เลือกที่จะใช้ถังเซี่ยวเป็นคนพูดกับแฟนๆ แทน “’ หวงเฟยยอดสตรี’ ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ด้วยฝีมือของใครบางคนทำให้นักแสดงที่เป็นตัวเลือกในบทพระเอกทุกคนปฏิเสธบทนี้ เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกล้มเหลวแล้ว แต่ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าแฟนคลับของฉันจะถูกศัตรูใช้เป็นเครื่องมือด้วย


 


 


“ฉันมีความเชื่อมั่นในไห่รุ่ยและทีมงาน ดังนั้นทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อมั่นในตัวฉันล่ะ


 


 


“ฉันได้สร้างจวินอี้หลานขึ้นมาจากถ้อยคำที่ละคำ พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันจะรักเขามากกว่าพวกคุณแค่ไหน ในเมื่อนี่คือนักแสดงที่แม้แต่ฉันยังยอมรับ นั่นหมายความว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือว่าไว้ ส่วนแฟนคลับของฉัน พวกคุณไม่เคยคิดถึงจุดของฉันบ้างหรือ พวกคุณคาดหวังให้ฉันทำอะไรกับความวุ่นวายที่พวกคุณสร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ เพราะทุกสิ่งที่พวกคุณทำ พวกคุณคิดว่าสุดท้ายใครกันที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องพวกนี้


 


 


“ฉันเสนอบทละครเรื่องนี้โดยไม่เรียกร้องเงินทองอะไรเลย ดังนั้นอย่ามาหาว่าฉันได้เงินจากเรื่องพวกนี้


 


 


“ส่วนถังหนิงเองก็รับบทนี้ในฐานะเพื่อน พวกเราเพียงแค่ต้องการทำให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ มีชีวิต ฉันไม่เคยคิดเลยสุดท้ายว่าแฟนคลับของตัวเองจะมาต่อต้านตัวฉันเองแบบนี้


 


 


“พวกคุณควรจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นปริปักษ์ที่แท้จริงของฉัน”


 


 


นั่นคือทีมงานของ ‘ชายาหนิง’ !


 


 


หลังการเตือนสติของถังเซี่ยว ในที่สุดแฟนคลับส่วนใหญ่ก็ได้สติและตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ควรปล่อยให้ตัวเองถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไห่รุ่ยมีเหตุผลในการกระทำอย่างแน่นอน อีกทั้งการได้รู้ว่าทุกคนทุ่มเทให้กับการสร้างละครเรื่องนี้มากแค่ไหนทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่ควรทำตัวเป็นเครื่องกีดขวางเช่นนี้หากยังเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับตัวจริงอยู่


 


 


“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ไห่รุ่ยก็จะออกมาประกาศตัวนักแสดงพระเอกเอง ฉันสามารถบอกอะไรได้นิดหน่อยว่า ผู้ชายคนนี้ดีกว่าพระเอกของละครคู่แข่งและดีกว่านักแสดงชายสองคนที่เป็นตัวเลือกในตอนแรกด้วย ถ้าผลลัพธ์ไม่ออกมาอย่างที่ฉันพูด ฉันจะถอนตัวออกจากวงการนิยายออนไลน์แล้วจะไม่เขียนนิยายอีกเลย!”


 


 


ด้วยคำรับรองของถังเซี่ยว ทำให้บรรดาแฟนคลับกลับมามีความมั่นใจในละครเรื่องนี้อีกครั้ง


 


 


ที่จริงพวกเขาเริ่มเยาะเย้ยละครอีกเรื่องด้วยซ้ำ [อีกฝ่ายนี่ชั่วร้ายแถมยังหน้าด้านจริงๆ ถึงขนาดพยายามเสี้ยมให้แฟนคลับกับทีมงานเป็นศัตรูกัน]


 


 


[ไม่ใช่ว่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ของเราทำให้พวกนั้นประสาทเสียหรอกเหรอ ถึงได้ทำเรื่องน่ารังเกียจแถมยังไร้ยางอายแบบนี้]


 


 


[ช่างมันเถอะ ฉันเชื่อมั่นในละครเรื่องนี้ ในเมื่อเซียวเซียวออกมาพูดว่าคนเล่นเป็นเพราะเอกคือชายในฝัน งั้นคนคนนี้ก็ต้องเพอร์เฟกต์แน่นอน…]

 

 

 


ตอนที่ 765 ไม่ใช่ว่ามันทำให้คุณหลงเสน...

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น กองถ่ายละครเรื่อง ‘สุดยอดแฟนเก่า’ ก็จัดงานเลี้ยงฉลองปิดกล้อง ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำ การเปลี่ยนแปลงของเฉินซิงเยียนสร้างความประทับใจให้กับผู้กำกับเป็นอย่างมาก หลังจากผ่านการฝึกฝนจากทั้งกองถ่าย บัดนี้เธอสามารถทำตัวเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่ออยู่หน้ากล้อง และไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกผิดหวังในฐานะที่เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง ราวกับเป็นโชคชะตาของเธอที่ถูกกำหนดให้เกี่ยวพันอยู่กับวงการบันเทิงเพราะความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่หลากหลายของเธอนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้


 


 


“ตั้งใจทำงานต่อไปนะซิงเยียน รักษาความมุ่งมั่นแบบตอนนี้เอาไว้ ในเมื่อทั้งครอบครัวของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง แล้วเธอเองก็ทำงานอยู่ในวงการนี้ เธอต้องสร้างชื่อให้ตัวเองให้ได้ และไม่ทำให้พี่ชายของเธอต้องเสียชื่อเสียง แล้วเธอยังมีผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมที่เธอควรจะรู้สึกยินดีไว้ด้วย…”


 


 


ในระหว่างงานเลี้ยง ผู้กำกับหวังดื่มไปค่อนข้างเยอะ ดังนั้นเขาจึงพูดมากกว่าปกติ แต่กระนั้นคำพูดของเขาล้วนแล้วแต่จริงใจและทำให้เฉินซิงเยียนซาบซึ้ง


 


 


หลังงานเลี้ยง อันจื่อเฮ่าโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูของเฉินซิงเยียน “ไปกันเถอะ เราควรกลับไปพักที่บ้านกันได้แล้ว”


 


 


เฉินซิงเยียนกล่าวลาทีมงานอย่างรวดเร็วและเดินทางออกจากโรงแรมพร้อมอันจื่อเฮ่า แต่ทันทีที่เธอก้าวออกจากลิฟต์ ก็สังเกตเห็นร่างคุ้นตาที่บริเวณเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม แม้ผู้หญิงคนนั้นจะสวมผ้าปิดปากอยู่ แต่เฉินซิงเยียนเคยปะทะกับคนคนนี้มาหลายต่อหลายครั้งจนเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือไป๋หลินหลิน และกำลังยืนอยู่ข้างผู้ชายคนหนึ่ง


 


 


“ฉันนึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าหมู่นี้ไป๋หลินหลินไม่สร้างปัญหาอะไรมาพักหนึ่งแล้ว ที่แท้ก็กำลังมีแฟนนี่เอง”


 


 


“นั่นไป๋หลินหลินงั้นเหรอ” อันจื่อเฮ่าจ้องมองคนทั้งสองอย่างละเอียด


 


 


“ฉันมั่นใจว่าใช่”


 


 


“แต่ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ผู้ชายคนนั้นมันสามีของไป๋อวี๋นี่” อันจื่อเฮ่ามองหน้าเฉินซิงเยียนพร้อมโก่งคิ้วทั้งสองข้างขึ้น


 


 


“นายกำลังจะบอกว่า…” เฉินซิงเยียนเอามือขึ้นมาปิดปากตัวเอง “นายกำลังจะบอกว่าไป๋หลินหลินกำลังคบชู้กับสามีพี่สาวตัวเองงั้นเหรอ”


 


 


“ดูจากท่าทีหลบๆ ซ่อนๆ กับความใกล้ชิดของทั้งสองคนนั้น ฉันว่าน่าจะเป็นแบบนั้น”


 


 


“มันไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอ ทำไมเราไม่ตามพวกนั้นไปแล้วถ่ายรูปไว้ล่ะ หมู่นี้ไป๋อวี๋เอาแต่ตามรังควานพี่หนิงไม่ใช่เหรอ ถ้าข่าวนี้ออกไปละก็…” เฉินซิงเยียนพยายามจะเดินตามทั้งสองคนไปทันที แต่ถูกอันจื่อเฮ่าห้ามเอาไว้


 


 


“ยัยโง่ ไม่เห็นกล้องวงจรปิดพวกนั้นหรือไง… กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง”


 


 


“โธ่เอ๊ย… แต่มันน่าตื่นเต้นชะมัด” เฉินซิงเยียนไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้


 


 


อันจื่อเฮ่ามองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ หลังพาเฉินซิงเยียนไปถึงที่รถ เขาก็ให้เธอรออยู่ที่ในรถราวครึ่งชั่วโมงก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางกลับบ้าน ทันทีที่พวกเขาเดินผ่านประตูหน้าบ้าน เฉินซิงเยียนก็กระโจนใส่อันจื่อเฮ่าทันทีและโอบแขนทั้งสองข้างของเธอรอบลำคอของอีกฝ่าย “นายได้หลักฐานมาหรือเปล่า”


 


 


“คิดว่าไงล่ะ” อันจื่อเฮ่าถามพลางหยิกเข้าที่ก้นของอีกฝ่าย


 


 


“ทำไมเราไม่มาทำอะไรที่มันน่าตื่นเต้นกันบ้างล่ะ”


 


 


อันจื่อเฮ่ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธทันที “เธอยังเด็กอยู่…”


 


 


“ฉันอายุยี่สิบแล้วนะ…”


 


 


“ไปพักผ่อนไป ฉันจะคุยกับถังหนิงว่าจะเอายังไงกับภาพกล้องวงจรปิดที่ไป๋หลินหลินเป็นชู้กับพี่เขยตัวเอง”


 


 


“ก็ได้ นายมีเรื่องเครียดต้องจัดการ ไป๋อวี๋ต้องเจ็บปวดแน่…” พูดจบ เฉินซิงเยียนก็ถูไถตัวของอันจื่อเฮ่า


 


 


อันจื่อเฮ่าลูบหัวอีกฝ่ายขณะที่รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าเขา ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เข้าใจถึงความอันตรายจากการมาถูไถตัวของเขาเอาเสียเลย แย่ไปกว่านั้นคือเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ ถ้าวันหนึ่งเขาเกิดอดทนไม่ได้ขึ้นมาแล้วหลับนอนกับเธอเข้า เขาจะทำยังไงกัน


 


 


อันจื่อเฮ่าถอนหายใจก่อนเดินกลับไปยังห้องทำงานของจัวเอง จากนั้นเขาโทรหาถังหนิง แต่คนที่รับสายกลับเป็นโม่ถิงแทน


 


 


“เออ… ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรที่โทรหาถังหนิงกลางดึกแบบนี้นะครับ แต่มีบางอย่างที่ผมอยากจะบอกให้เธอรู้”


 


 


“อือฮึ ผมเดาว่าคุณคงเป็นเพื่อนสาวที่ผ่านการพิจารณาแล้วของถังหนิง” โม่ถิงกล่าวพลางยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง


 


 


อันจื่อเฮ่าเอามือกุมหน้าผากอย่างอดไม่ได้ แม้เขาจะไม่อยากยอมรับว่าเขาดูเหมือนเพื่อนสาวของถังหนิงในความคิดของโม่ถิง แต่ต่อหน้าโม่ถิงเขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้


 


 


“แหะๆ คือ… วันนี้ซิงเยียนกับผมไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันมา แต่เราบังเอิญไปเห็นไป๋หลินหลินกับสามีของไป๋อวี๋กำลังคบชู้กันที่โรงแรม ด้วยความที่ไป๋อวี๋ตามรังควานถังหนิงมาตลอด ผมเลยคิดว่าข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกคุณ ผมเลยไปขอไฟล์ภาพวงจรปิดมาจากทางห้องควบคุมกล้อง”


 


 


“คุณไม่จำเป็นต้องโทรมาด้วยเรื่องอะไรแบบนี้” โม่ถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


อันจื่อเฮ่าจะพูดก็ได้ว่าเขามีเรื่องจะบอกถังหนิงและไม่ต้องการให้โม่ถิงรู้ด้วย แต่เขาไม่ได้บอกอย่างนั้น


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะมาคอยจับผิดเรื่องชู้สาวของคนอื่น อย่างน้อยโม่ถิงก็ควรจะขอบคุณเขาสักหน่อยไหม


 


 


หากนี่เป็นเมื่อก่อน เขาคงตั้งคำถามกับโม่ถิงไปแล้ว แต่ตอนนี้เนื่องจากความรู้สึกผิด เขาทำได้เพียงมองหน้าอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้โม่ถิงเป็นฝ่ายถูกต่อไป


 


 


“จื่อเฮ่าพูดอะไรเหรอคะ” ถังหนิงกำลังยืนให้นมเด็กๆ อยู่ข้างๆ โม่ถิง


 


 


“เขาเจอว่าไป๋หลินหลินกำลังเล่นชู้กับสามีไป๋อวี๋” โม่ถิงกล่าวพลางวางโทรศัพท์ลง


 


 


ถังหนิงอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบรับอย่างรวดเร็ว “ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไร ไป๋หลินหลินทั้งสาวทั้งสวย ในขณะที่ไป๋อวี๋ทะเยอทะยานและโหดเ**้ยม ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็เลือกไป๋หลินหลินทั้งนั้นแหละ”


 


 


“ผมไม่นะ” โม่ถิงจ้องมองถังหนิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกตัวเลือกของผมมีแต่คุณเท่านั้น”


 


 


ไม่นานมานี้ ถังหนิงค้นพบว่าตัวเองได้กลายเป็นแฟนคลับของโม่ถิงไปเสียแล้ว เธอลุ่มหลงผู้ชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม ทุกครั้งที่เธอค้นพบสิ่งใหม่ในตัวเขา เธอจะนึกสงสัยว่ายังมีอะไรในโลกนี้อีกไหมที่เขาทำไม่ได้


 


 


หลังวางลูกน้อยทั้งสองลงบนที่นอน ถังหนิงก็ดึงเสื้อเชิ้ตของโม่ถิงและดึงเขาเข้ามาใกล้ “ฉันยังมีหนี้ที่ต้องทวงอยู่นะ”


 


 


โม่ถิงยิ้มขณะเดินตามถังหนิงไปยังห้องนอนของทั้งคู่


 


 


“มีอีกกี่อย่างที่คุณยังไม่ได้บอกฉัน” ถังหนิงถามพลางกดโม่ถิงเข้ากับผนังห้อง “หลังจากแต่งงานกับคุณมานาน ฉันเพิ่งรู้ว่ายังมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับคุณที่ฉันต้องค้นหา คุณโม่ คุณนี่รู้วิธีทำให้ฉันประหลาดใจอยู่เรื่อยจริงๆ นะคะ”


 


 


“ไม่ใช่ว่า มันทำให้คุณหลงเสน่ห์ผมมากขึ้นหรอกเหรอ” โม่ถิงถามพร้อมรอยยิ้ม “แต่มันก็ไม่ถูกนะครับคุณนายโม่ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้คุณหลงเสน่ห์ผมมากที่สุดเป็นอย่างอื่นมากกว่า…”


 


 


“คุณ…” ก่อนที่ถังหนิงจะทันได้พูดจบ โม่ถิงอุ้มเธอขึ้นก่อนพาเธอไปที่เตียงนอน


 


 


“คุณนายโม่ ผมไม่ได้ยินเลยว่าตอนนี้คุณกำลังพูดอะไร ผมรู้แค่ว่า… ผมกำลังจะกินคุณ”


 


 


ตลอดวันถ่ายทำ โดยเฉพาะตอนที่ทั้งคู่แสดงร่วมกัน ฉากของทั้งสองเป็นฉากสะเทือนอารมณ์เสียส่วนใหญ่ มันเป็นองค์ประกอบของความรักและความเกลียดชัง ความรู้สึกที่ได้รักแต่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ ทุกครั้งที่เธอต้องเข้าฉากเช่นนี้ ถังหนิงจะมองสะท้อนสิ่งเหล่านั้นกับตัวเองและรู้สึกยินดีมากที่เธอมีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างและมีครอบครัวเหมือนอย่างที่เธอมีทุกวันนี้


 


 



 


 


‘หวงเฟยยอดสตรี’ ใช้เวลาถ่ายทำอยู่หลายเดือนและยังคงปิดทุกอย่างเป็นความลับมาโดยตลอด ในตอนนี้ยังคงมีฉากสำคัญอีกหลายฉากที่ยังไม่ได้ถ่ายทำ


 


 


อาจเพื่อเร่งความเร็วในการผลิต หลังจากที่ไป๋อวี๋สร้างปัญหาระหว่างไห่รุ่ยและแฟนคลับนิยายเสร็จแล้ว เธอจึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดไปพักหนึ่งและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับ ‘ชายาหนิง’ ที่จริงเมื่อเป็นเรื่องของการแสดง เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่กระนั้นเธอแสร้งทำเป็นใจดีในขณะที่ใช้อุบายเลวทรามกับคนอื่นซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างมาก


 


 


หลังอันจื่อเฮ่าส่งมอบหลักฐานที่ไป๋หลินหลินคบชู้กับสามีของไป๋อวี๋ให้โม่ถิงแล้ว โม่ถิงไม่รีบใช้หลักฐานนั้น เพราะถึงอย่างไรประธานโม่ก็เป็นคนไร้ปรานีอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าของดีควรใช้ก็ต่อเมื่อมันจะสร้างผลกระทบได้มากที่สุดเพราะนั่นคือวิธีใช้ทรัพยากรในมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด


 


 


ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว ก็ถึงเวลาที่เวทีประกาศรางวัลต่างๆ ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


 


 


เนื่องจาก ‘ชายาหนิง’ ได้ถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้ว ไป๋อวี๋จึงเริ่มออกงานอีเวนต์ต่างๆ มากมายเพื่อโปรโมตละครของเธอ แน่นอนว่าเธอยังคงปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนพร้อมรอยยิ้มจอมปลอมและถ้อยคำดีๆ อันเสแสร้ง แต่ทุกครั้งที่เธอออกไปข้างนอกเวลากลางคืน จะมี ‘ใครบางคน’ ช่วยเธอ ‘ดูแล’ สามีของเธอเป็นอย่างดีอยู่เสมอ 

 

 


ตอนที่ 766 เตรียมประกาศบทพระเอก!

 

“‘ชายาหนิง’ กำหนดเริ่มฉายตอนแรกวันที่สิบห้าหลังจากปีใหม่ วัตถุประสงค์คือตั้งใจจะเริ่มฉายก่อน ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เมื่อไหร่ก็ตามที่ละครแนวย้อนยุคสองเรื่องเริ่มฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน เรื่องที่ฉายก่อนมักจะได้เปรียบกว่าเสมอ ประการแรกเพราะผู้ชมมักจะชอบใครก็ตามที่มาก่อนเสมอ ประการที่สอง เมื่อมีสิ่งที่คล้ายกันเกิดขึ้นติดๆ กัน คนดูมักกจะเบื่อได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ‘ชายาหนิง’ ยังได้ฉายในช่องที่ดีที่สุดและได้ฉายในช่วงเวลาที่ดีที่สุดอีกด้วย เรื่องนี้ไม่ดีกับเราอย่างแน่นอน”


 


 


ระหว่างการประชุมของไห่รุ่ย เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลการเผยแพร่สื่อเริ่มแสดงความคิดเห็นของเขา


 


 


“ไป๋อวี๋มักจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อเสมอและภาพลักษณ์ของเธอก็ดีมาตลอด ต่อให้ก่อนหน้านี้เธอเคยพลาดท่าให้เรา แต่เมื่อมองในภาพใหญ่จะเห็นได้ว่าทีมงานของ ‘ชายาหนิง’ ยังสามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้


 


 


“ที่สำคัญที่สุดคือเรายังไม่ได้เปิดเผยพระเอกของเรา หลังจากการโปรโมตรอบแรกทำให้ความคาดหวังที่มีต่อ ‘ชายาหนิง’ เพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท้าเมื่อเทียบกับของเรา


 


 


“ท่านประธานโม่ครับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ยังถ่ายทำไม่เสร็จ เราควรทำยังไงกันดี หรือเราควรจะเลื่อนไปปล่อยช่วงตรุษจีนแทนดีครับ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะพลาดรางวัลเฟยเทียนของปีนี้”


 


 


“ใครพูดว่าเราจะเริ่มฉายหลังจาก ‘ชายาหนิง’ ” โม่ถิงถามไปยังทุกคนที่อยู่ภายในห้อง “’ ชายาหนิง’ ได้ช่องและช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปก็จริง แต่พวกนั้นได้แค่ช่วงวันทำธรรมดาเท่านั้น แล้ววันเสาร์อาทิตย์ล่ะ”


 


 


“วันหยุดสุดสัปดาห์มีรายการวาไรตี้ครองไว้หมดแล้ว…”


 


 


“ถ้าช่วงเวลาหลังจากรายการวาไรตี้พวกนั้นจบแล้วล่ะ”


 


 


“ท่านประธานโม่กำลังจะพูดว่าเราจะใช้ช่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างนั้นหรือครับ”


 


 


โม่ถิงจะปล่อยให้ ‘ชายาหนิง’ โปรโมตตัวเองยังไงก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีข้อมูลเด็ดอยู่ในมือ หากเขาเปิดเผยข้อมูลนั้น ‘ชายาหนิง’ ก็ไม่มีค่าอะไรอีก ที่สำคัญที่สุดคือเขามีหลักฐานเรื่องไป๋หลินหลินเป็นชู้กับสามีของไป๋อวี๋ หากประเด็นคือไป๋อวี๋เป็นเหยื่อ เขาไม่อาจเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะได้ เขาจะจัดการเรื่องในเป็นการส่วนตัว เพราะเขารู้ดีว่าหากเขาเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะ ไป๋อวี๋ก็มีแต่จะได้คะแนนความสงสารมากขึ้น


 


 


ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้กลับมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในกองถ่ายของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’


 


 


เนื่องด้วยสภาพอากาศและความหละหลวมของทีมงานถ่ายทำ ทำให้ผู้กำกับเฉินเฟิงได้รับอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที


 


 


จากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รั่วไหลออกไปและก่อให้เกิดการคาดการณ์มากมายขึ้น


 


 


[ฉันได้ยินมาว่าผู้กำกับเฉินเฟิงพลัดตกจากหน้าผาสูงและเสียชีวิตแล้ว…]


 


 


[ฉันได้ยินมาว่าสถานที่ถ่ายทำ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เป็นสถานที่ต้องสาปที่มีคนตายมาหลายคนแล้ว]


 


 


[ไม่นะ ซวยเป็นบ้า…]


 


 


[ฉันได้ยินมาด้วยว่าตอนที่ผู้กำกับเฉินเฟิงตาย หัวเขาหลุดออกจากตัวเลยนะ น่ากลัวที่สุด!]


 


 


หากไม่นับรวมข่าวลือต่างๆ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะต้องถูกเลื่อนและกระบวนการถ่ายทำจะต้องล่าช้าออกไป


 


 


ที่จริงในระหว่างเหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ไห่รุ่ยสามารถทำได้มีเพียงออกมาแถลงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและความจริงจะต้องถูกเปิดเผย แต่เรื่องน่ากังวลใจอยู่ที่ขาทั้งสองข้างของผู้กำกับเฉินเฟิง ซึ่งตอนนี้ไม่สะดวกที่จะกลับมาถ่ายทำได้อีก


 


 



 


 


“แม้แต่สวรรค์ยังอยู่ข้างฉันเลย” ไป๋อวี๋ยิ้มเยาะหลังได้อ่านข่าวดังกล่าว “มาดูกันสิว่ากองถ่ายเส็งเคร็งนั่นจะยื้อต่อไปได้อีกนานแค่ไหน”


 


 


“ที่จริงเราไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะคะพี่อวี๋ เรตติ้งจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าผู้ชนะที่แท้จริงคือใคร” ผู้ช่วยของเธอกล่าวให้กำลังใจ


 


 


“ถ้างั้นเธอช่วยฉันจับตาดูคู่แข่งไว้ให้ดีแล้วกัน ‘ชายาหนิง’ เกือบจะถึงวันฉายตอนแรกแล้ว ฉันไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น” ไป๋อวี๋ออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น


 


 


เนื่องจากถังหนิงรู้เกี่ยวกับประวัติความสัมพันธ์ระหว่างไป๋อวี๋กับหวงฝู่ซั่ว เธอจึงตัดสินใจบอกเขาเรื่องที่ไป๋หลินหลินกับสามีของไป๋อวี๋กำลังคบชู้กันเพื่อช่วยให้เขาได้บรรเทาความโกรธลง แต่หลังจากหวงฝู่ซั่วได้ฟังสิ่งที่ถังหนิงพูดจนจบ เขากลับไม่รู้สึกสะใจอย่างเช่นแต่ก่อน นั่นไม่ใช่เพราะเขาไม่เกลียดไป๋อวี๋ แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจสิ่งหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าในอดีตไป๋อวี๋จะเคยปฏิบัติกับเขาไว้เลวร้ายเพียงใด เขาก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง เขารู้ดีว่าทุกอย่างที่ไป๋อวี๋ติดค้างเขาไว้จะต้องหวนคืนกลับไปในที่สุด


 


 


เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในกองถ่าย ‘หวงเฟยยอดสตรี’ โม่ถิงจึงให้ทีมงานทั้งหมดได้พัก ในระหว่างนั้น หวงฝู่ซั่วพบเข้ากับไป๋อวี๋ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ขณะที่เขามองไปยังสามีที่ยืนอยู่ข้างอีกฝ่าย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมเพช


 


 


นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เขาจงใจปรากฏตัวที่โรงแรมแห่งนี้หลังจากหาข้อมูลว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน


 


 


ไป๋อวี๋ทำตัวราวกับเป็นใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้เฉกเช่นทุกครั้ง ดังนั้นทันทีที่เธอสังเกตเห็นหวงฝู่ซั่ว เธอจึงรีบเข้าไปยืนขวางทางอีกฝ่าย ขัดขวางไม่ให้เขาปลีกตัวออกไป “ฉันว่าฉันยังไม่เคยแนะนำสามีของฉันให้คุณรู้จักใช่ไหม”


 


 


“ผมว่าไม่จำเป็นหรอก พักหลังมานี้ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับเขาดีทีเดียว” หวงฝู่ซั่วพูดอย่างมีนัยแอบแฝง


 


 


“ในเมื่อคุณคุ้นเคยกับเขาแล้ว คุณก็ควรรู้สินะว่าฉันไม่ใช่คนที่คุณควรจะมาต่อกรด้วย” ไป๋อวี๋กล่าวเตือนที่ข้างหูของหวงฝู่ซั่ว


 


 


หวงฝู่ซั่วรู้สึกว่าไป๋อวี๋นั้นช่างน่าเวทนา แต่เขาไม่คิดว่าเธอควรได้รับความสงสาร


 


 


“อีกอย่าง ได้ยินมาว่ากองถ่ายของคุณถูกเลื่อนการถ่ายทำออกไป ก่อนหน้านี้ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานกับการหาคนแสดงเป็นพระเอก แล้วคราวนี้ผู้กำกับก็มาบาดเจ็บอีก กองถ่ายของคุณนี่เจอเรื่องยุ่งยากเยอะน่าดูเลยนะ” แววตาไป๋อวี๋แสดงออกถึงความพึงพอใจ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ไป๋อวี๋ดูราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟนีออน “คุณรู้หรือเปล่าวว่า ‘ชายาหนิง’ กำลังจะฉายตอนแรกหลังจากปีใหม่ ฉันหวังว่าคุณจะมีส่วนของเรตติ้งในฐานะผู้ชมนะ…


 


 


“ส่วนตอนที่ละครของคุณออกฉายต่อหน้าคนดู ฉันก็ได้แต่ขอให้โชคดีแล้วกัน!”


 


 


หวงฝู่ซั่วยืนกอดอกขณะที่เขาเผชิญหน้ากับคำพูดยั่วยุของไป๋อวี๋และเผยรอยยิ้มออกมา “ใส่หน้ากากต่อหน้าคนอื่นนี่ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”


 


 


“แล้วใครบอกให้ฉันมาเป็นนักแสดงล่ะ”


 


 


“ไป๋อวี๋ ผมมาที่นี่ก็เพื่อดูว่าคุณมันน่าตลกแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็ว คุณจะได้รู้ตัวเองโง่แค่ไหน” พูดจบ หวงฝู่ซั่วก็กดปุ่มลิฟต์และหายไปจากสายตาของคนทั้งคู่


 


 


ไป๋อวี๋มองไปยังทิศทางที่หวงฝู่ซั่วเดินจากไปและหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เขามาถึงจุดนี้แล้วแท้ๆ ยังจะมาวางท่าอยู่อีก”


 


 


แต่เป็นโชคร้ายของไป๋อวี๋เพราะหวงฝู่ซั่วนั้นไม่ได้กำลังวางท่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เพียงแค่ยังไม่ได้ประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองออกมาเท่านั้น


 


 


แม้พวกเขาจะยังถ่ายทำไม่เสร็จ แต่นั่นไม่ได้ส่งผลถึงการฉายของละครเรื่องนี้ มันจะเป็นละครสุดสัปดาห์ซึ่งมักจะมีหนึ่งหรือสองซีซั่นเสมอ แล้วนี่ถือว่าพวกเขากำลังเผชิญความลำบากอยู่งั้นหรือ


 


 


หวงฝู่ซั่วรู้สึกว่าเขามีหน้าที่จะต้องฉีกหน้ากากของไป๋อวี๋ต่อหน้าทุกคนเพราะมันขัดกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา แต่เขาจะรอจนกว่า ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เริ่มฉายแล้วเสียก่อน


 


 


เช่นเดียวกับเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างน้องสาวแท้ๆ กับสามีของผู้หญิงคนนี้ มันจะสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสถ้าเธอเป็นคนพบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง…


 


 


ไป๋อวี๋แค่รู้สึกว่าหวงฝู่ซั่วกับถังหนิงนั้นเหมือนกัน คือทั้งคู่รู้วิธีสร้างภาพและน่ารังเกียจ ดังนั้นในระหว่างการอีเวนต์โปรโมตละครของเธอหลังจากนั้น เธอจึงแสดงความสงสารเวทนาที่เธอมีต่อ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เธอจงใจพูดถึงละครอีกเรื่องหนึ่งราวกับเธอใจกว้างพอที่จะแบ่งความนิยมให้กับละครเรื่องนั้น


 


 


หลังจากนั้นสักพัก ไห่รุ่ยก็ออกมาให้ข่าวกับสาธารณะถึงอาการของผู้กำกับเฉินเฟิงและลบล้างข่าวลือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด


 


 


นอกจากนี้ ไห่รุ่ยยังดูเหมือนพร้อมจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อีกด้วย


 


 


ไห่รุ่ยเตรียมจะประกาศชื่อนักแสดงบทพระเอก!


 


 


[ถึงจุดนี้ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ไม่มีผลแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกนั้นต้องหยุดถ่ายทำแล้วหรอกเหรอ]


 


 


[ฉันรู้ เวลามันผ่านมานานมากจนระดับความคาดหวังของฉันมันหายไปหมดแล้ว]


 


 


[ฉันเตรียมตัวดู ‘ชายาหนิง’ แล้ว ส่วน ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ค่อยเอาไว้อ่านเป็นนิยายแทนแล้วกัน…] 

 

 


ตอนที่ 767 นักแสดงที่เล่นเป็นจวินอี้ห...

 

ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเฉยชากับ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เสียแล้ว


 


 


หลังจากการหยุดถ่ายทำและการปฏิเสธที่เปิดเผยตัวนักแสดงบทพระเอกมาเป็นระยะเวลานาน เช่นเดียวกับการเผยแพร่ข้อมูลของ ‘ชายาหนิง’ ส่งผลให้ตอนนี้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ดูกลายเป็นเพียงละครที่ถูกตัดจบและทำให้ผลงานชิ้นโบแดงของถังเซียวเสียของ


 


 


“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันว่าพวกนั้นไม่มีโอกาสได้โงหัวขึ้นมาอีกแล้วล่ะค่ะ” ผู้ช่วยของไป๋อวี๋พูดให้กำลังใจหลังเธอเปรียบเทียบระดับความคาดหวังของละครทั้งสองเรื่อง “พี่อวี๋ ละครของเรากำลังจะเริ่มฉายแล้วนะคะ ฉันมั่นใจว่าด้วยเสน่ห์ของพี่ ผลจะต้องออกมาสุดยอดแน่ๆ นั่งรอดูยอดเรตติ้งพุ่งที่จะพุ่งกระฉูดได้เลย”


 


 


“เรื่องพวกนี้ยังจำเป็นต้องใช้โชคอยู่นะ โชคดีที่ฉันมีโชคในเรื่องพวกนี้เสมอ” ไป๋อวี๋พูดกับผู้ช่วยขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัว


 


 


“ว่าแต่นี่ก็เกือบจะปีใหม่แล้ว ฉันขอกลับบ้านเร็วหน่อยได้ไหมคะ คืนนี้ที่บ้านฉันจะมีงานเลี้ยงร่วมญาติ…”


 


 


“เธอไปส่งฉันที่บ้านแล้วก็กลับไปได้เลย” ไป๋อวี๋โบกมืออย่างมีน้ำใจ แต่โชคร้ายสำหรับเธอเพราะไป๋หลินหลินเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนสามีของเธอก็กลับไปอเมริกา ใครจะคิดว่าเธอจะต้องใช้เวลาช่วงปีใหม่อยู่ที่ปักกิ่งเพียงลำพัง แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ การได้รับชัยชนะเหนือถังหนิงก็เพียงพอที่จะทำให้เธอมีความสุขแล้ว


 


 



 


 


ก่อนที่ถังหนิงจะทันได้รู้ตัว ลูกน้อยทั้งสองของเธอก็มีอายุได้หกเดือนแล้ว ถังหนิงได้รวมทั้งบ้านตระกูลถังและบ้านตระกูลโม่เข้าด้วยกันเพื่อให้ทั้งหมดได้ใช้เวลาในช่วงปีใหม่ด้วยกัน แม้แต่เป่ยเฉินตงและหันซินเอ๋อร์ก็มาร่วมงานด้วย


 


 


ทุกคนต่างแยกกันอุ้มเด็กๆ และเจ้าตัวแสบทั้งสองได้รับอั่งเปาซองแดงจำนวนมากเพราะผู้ใหญ่รักพวกเขามากและไม่อยากจะปล่อยให้พวกเขาหลุดออกจากอ้อมแขน


 


 


“พี่หนิง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ จะแพ้ ‘ชายาหนิง’ จริงๆ เหรอ ฟีดแบคที่ฉันเห็นจากข่าวบันเทิงช่วงนี้ดูไม่ค่อยดีเลย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ” สิ่งที่หันซินเอ๋อร์เป็นกังวลมากที่สุดคือประเด็นทุกคนกำลังถกเถียงกันในวงการ หากผู้คนแค่พูดกันลอยๆ เธอคงไม่ใส่ใจอะไร แต่เธอไม่ชอบที่ทุกคนต่างพากันยกย่อง ‘ชายาหนิง’ แล้วเหยียบย่ำ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ แบบนี้


 


 


“อย่าดูถูกสองคนนี้ ถ้าเธอมีเวลาว่างมาเป็นห่วงคนอื่นละก็ ทำไมไม่เอาเวลาพวกนั้นมาคิดว่าเมื่อไหร่เธอจะแต่งงานกับฉันสักทีล่ะ” เป่ยเฉินตงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหันซินเอ๋อร์ หลังจากที่คุยกับอีกฝ่ายเสร็จ เป่ยเฉินตงก็หันมาทางถังหนิงและยื่นข้อเสนอ “ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือก็โทรหาฉันได้เลย ไหนๆ ฉันเคยได้รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมมาก่อน ฉันเลยพอมีเส้นสายอยู่ในวงการอยู่บ้าง”


 


 


“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของโม่ถิงกลบน้ำเสียงกระตือรือร้นของเป่ยเฉินตงในทันที


 


 


“ทำไมนายต้องมั่นใจอะไรขนาดนั้นด้วยฮะ”


 


 


“อย่างน้อยฉันก็เป็นพ่อคน แล้วนายล่ะ”


 


 


เป่ยเฉินตงได้แต่นิ่งเงียบ


 


 


เขาล้มเหลวตั้งแต่การขอหันซินเอ๋อร์แต่งงานแล้ว ดังนั้นเป่ยเฉินตงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบตาไปมองทางอื่นเพื่อแก้ขัด


 


 


โม่ถิงหัวเราะออกมาอย่างเป็นมิตรก่อนจะโอบแขนรอบตัวถังหนิงและพาเธอไปหาเหล่าผู้อาวุโสเพื่อที่จะได้เริ่มฉลองปีใหม่ร่วมกัน แม้เขาจะอยู่ในวัยสามสิบกว่าแล้ว โม่ถิงกลับไม่เคยใช้เวลาช่วงปีใหม่กับคนจำนวนมากมากเช่นนี้มาก่อน และมันดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร


 


 



 


 


การประชุมเกิดขึ้นที่ไห่รุ่ยในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพูดถึงประเด็นของ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ขึ้นในวงประชุมอีกครั้ง เขารู้สึกว่าโม่ถิงจำเป็นต้องรีบตัดสินใจเพราะตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ‘ชายาหนิง’ ได้ไต่อันดับขึ้นไปและกลายเป็นละครที่ได้รับความคาดหวังสูงที่สุด ในขณะที่ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ไม่ติดสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ


 


 


“ถ้าท่านประธานไม่มีแผนอะไรมาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว ‘ชายาหนิง’ จะทำเราพังแน่ นี่ก็ใกล้เวลาที่ละครเรื่องนั้นจะออนแอร์แล้ว”


 


 


“ปล่อยให้มันออนแอร์ไป…” โม่ถิงตอบ


 


 


“แต่…”


 


 


“ถ้าฉันชนะปัญหาคราวนี้ไม่ได้ คุณมาเอาตำแหน่งประธานไปได้เลย” โม่ถิงกล่าวด้วยตรงไปตรงมา “จบการประชุมแค่นี้ คุณรอดูก้าวต่อไปในแผนของผมได้เลย”


 


 


ในเมื่อโม่ถิงให้คำมั่นเช่นนี้ ชายคนนั้นก็ไม่มีอะไรที่พูดได้อีก


 


 


เมื่อเห็นการทิ้งห่างของ ‘ชายาหนิง’ โม่ถิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขานิดหน่อย การฉายช่วงสุดสัปดาห์อย่างงั้นเหรอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสดงความมีเมตตาแบบนั้นหรอก…


 


 


ในเมื่อพวกนั้นกำลังติดอันดับหนึ่งในฐานะละครที่ได้รับความคาดหวังสูงสุดแล้วละก็ เขาก็จะปล่อยให้มันออนเอร์ไปแบบนั้น เขาจะปล่อยให้ไป๋อวี๋ได้ลิ้มรสความหอมหวานสักเล็กน้อยก่อนที่จะได้เผชิญกับความล้มเหลวและสิ้นหวัง


 


 


แน่นอนว่าการที่ไห่รุ่ยไม่ออกมาประกาศชื่อคนแสดงบทพระเอกเสียทีทำให้ไป๋อวี๋ทึกทักเอาเองว่าไห่รุ่ยยอมแพ้ในศึกครั้งนี้แล้ว ซึ่งนั่นเป็นข่าวดีสำหรับเธอ มันหมายความว่าเธอไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงอีกต่อไป


 


 



 


 


‘ตอนแรกของ ‘ชายาหนิง’ ได้รับเรตติ้งจากผู้ชมถึงสอง! พร้อมได้รับความเห็นจากผู้ชมอย่างล้นหลาม’


 


 


‘ตอนแรกของ ‘ชายาหนิง’ ลุกเป็นไฟ! ไป๋อวี๋สมควรได้รับสมญานาม ราชินีขวัญใจผู้ชม!’


 


 


‘‘ชายาหนิง’ ยังคงฮอตต่อเนื่องในวันที่สอง พร้อมเรตติ้งสูงสุดที่สองจุดหก’


 


 


 


 


ไม่นานนัก การเปิดตัวของ ‘ชายาหนิง’ ก็ทำลายสถิติเรตติ้งผู้ชมที่ผ่านมาทั้งหมด ช่วงเวลาเพียงสองวัน ทุกคนต่างพากันกล่าวชื่นชมละครเรื่องนี้ ขณะที่หลายคนดูละครเรื่องนี้ออนแอร์อย่างมีความสุข พวกเขายังคงจำได้ว่ามีละครเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ที่พยายามจะวางตัวเองเป็นคู่แข่ง แต่โชคร้ายที่ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน… ดังนั้นพวกเขาจึงคิดกันไปเองว่าป่านนี้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ คงหล่นลงเหวลึกเกินกว่าจะกู้กลับมาได้แล้ว


 


 


[‘ชายาหนิง’ สนุกมากเลย เป็นละครที่ดีจริงๆ]


 


 


[ละครเรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างมาก ฉันว่ามันก็สมเหตุสมผลดีนะ]


 


 


[ก่อนหน้านี้ถังหนิงออกมาอ้างว่าบทถูกปรับเปลี่ยน แต่จากที่เห็น ดูเหมือนว่าว่าถังหนิงจะโกรธเพราะตัวเองโดนขโมยบทไปมากกว่า]


 


 


[กรรมตามสนองแล้วล่ะ ดูสิ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ได้ถึงแน่นิ่งอยู่แบบนี้]


 


 


[เหอะ ฉันไม่สนใจหรอก ฉันชอบดู ‘ชายาหนิง’ แล้วฉันก็ชอบไป๋อวี๋ด้วย]


 


 


ไป๋อวี๋เตรียมเปิดแชมเปญฉลองหลังได้เห็นความเห็นออนไลน์เหล่านี้ ตราบใดที่เรตติ้งผู้ชมยังอยู่ในระดับนี้ ตำแหน่งนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของรางวัลเฟ่ยเทียนอวอร์ดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จะต้องเป็นของเธออย่างแน่นอน


 


 


“ฉันไม่คิดเลยว่าโม่ถิงจะอ่อนหัดแบบนี้”


 


 


แต่ไป๋อวี๋ไม่เคยนึกเลยว่าหลังจากคืนหิมะโปรยในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป


 


 


เช้าวันต่อมา…


 


 


ข่าวใหญ่ปรากฏขึ้นในปักกิ่ง โม่ถิงได้ออกมาประกาศว่าเขาจะแสดงละคร!


 


 


ใช่แล้ว โม่ถิงจะแสดงละคร!


 


 


นายใหญ่แห่งวงการบันเทิงได้ปั่นกระแสในวงการบันเทิงอย่างฉับพลัน บางคนข้องใจ บางคนอึ้ง บางคนแค่อยากเกาะกระแสและหลายคนจดจ่อที่จะได้เห็นอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อทุกคนได้ยินข่าวนี้ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนั้นหลากหลาย


 


 


เมื่อไป๋อวี๋ได้ยินข่าวนี้ เธอเพียงแค่ยิ้มเยาะ “คราวนี้คิดจะเล่นเกมอะไรอีกล่ะ”


 


 


แต่ในขณะที่เธอรอดูเรตติ้งที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ของตัวเอง วิดีโอที่น่าสนใจได้เริ่มแพร่ไปทั่วปักกิ่ง…


 


 


มันเป็นความร่วมมือกันระหว่างไห่รุ่ยกับเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเจ้าหนึ่ง ทันทีที่ประชาชนเปิดเว็บไซต์นี้ วิดีโอดังกล่าวจะเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เนื่องจากวิดีโอดังกล่าวเป็นแบบคุณภาพสูง จึงดึงดูดความสนใจของกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างรวดเร็ว…


 


 


เช่นเดียวกับเนื้อหาของวิดีโอนั้น มันเป็นเพียงฉากไคลแมกซ์ฉากหนึ่งของละครเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ซึ่งเป็นฉากที่จวินอี้หลานถูกบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ในคืนวันแต่งงานของเขากับชิงหลาน…


 


 


[นี่ วันนี้ฉันเห็นวิดีโอหนึ่งมา… ฉันว่ามันน่าจะมาจากเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ !]


 


 


[ฉันก็เห็น!]


 


 


[+1]


 


 


[บ้าจริง ฉันต้องเปิดเว็บนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อจะได้ดูวิดีโอนั่น พวกเธอสังเกตเห็นหรือเปล่าว่าใครแสดงเป็นจวินอี้หลาน…]


 


 


[แม่เจ้า! นั่นมันโม่ถิง! ฉันจะเป็นบ้าแล้ว! รีบบอกทุกคนเรื่องนี้กันเถอะ มันดีมากจนฉันอยากจะร้องไห้อยู่แล้ว!]


 


 


[คุณพระ นั่นโม่ถิง โม่ถิงตัวจริง โม่ถิงตัวเป็นๆ! ไม่อยากจะเชื่อ! ทุกคนได้ดูหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ดู รีบไปดูเร็วเข้า…]

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม