เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 76-96

ตอนที่ 76 โม่ฮุ่ยหลิงจงใจเกาะเขาไม่ปล่อย

 

โม่ฮุ่ยหลิงมองดูคนทั้งคู่ คนหนึ่งสูงผึ่งผายอีกคนหนึ่งผอมบาง ทั้งสองคนดูใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างมากเมื่อยืนอยู่เคียงข้างกันและกัน


 


 


หนำซ้ำกู้จิ้งเจ๋อยังถือถุงของขวัญใบเล็กๆ เอาไว้ในมืออีกต่างหาก ชื่อของร้านค้านั้นถูกเขียนเอาไว้บนถุง ในชื่อว่า ‘มาแกะสลักกันเถอะ’


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรีบปรี่เข้ามาทันที เธอดึงแขนกู้จิ้งเจ๋อทันควันและรีบสอดแขนตัวเองเข้าไปคล้องแขนเขาเงียบๆ “จิ้งเจ๋อคะ” เธอเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขาก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบถุงในมือเขา “คุณถืออะไรอยู่คะนี่ ขอฉันดูหน่อยซิ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรีบยกมือหนี “ไม่มีอะไรหรอก”


 


 


เมื่อเห็นชายหนุ่มบ่ายเบี่ยง โม่ฮุ่ยหลิงก็หน้าชา เธอมองหน้าเขาแล้วบุ้ยปากอย่างแสนงอน “คุณไม่ได้เอาคนมาด้วยเหรอคะ ทำไมถึงต้องถือเองแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยถือให้นะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลินเช่อที่ยืนอยู่ข้างๆ


 


 


เธอยืนมองเขาและโม่ฮุ่ยหลิงด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมไม่แสดงความรู้สึกใด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรีบบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ไม่ได้หนักอะไร”


 


 


เมื่อถูกปฏิเสธถึงสองครั้ง จึงเป็นการยากที่โม่ฮุ่ยหลิงจะพูดอะไรได้อีก เธอจึงทำได้แต่เพียงเอียงคอและตวัดสายตาแอบมองหลินเช่ออย่างลับๆ


 


 


หลินเช่อเองก็ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิด โม่ฮุ่ยหลิงถึงได้จงเกลียดจงชังเธอได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ แต่มาลองคิดดูแล้ว ถ้าหล่อนชอบเธอสิจะกลายเป็นเรื่องแปลกยิ่งกว่า


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองดูคนทั้งคู่แล้วถามว่า “ทำไมพวกคุณสองคนมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “อ้อ เราเพิ่งกินอาหารค่ำที่คฤหาสน์ตระกูลกู้กันมาน่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงแอบเอียงหน้ามองหลินเช่ออีกครั้ง “แล้วทำไมพวกคุณถึงเดินกลับกันแบบนี้ละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบอีกว่า “พอดีไม่มีอะไรทำน่ะก็เลยเดินเล่นกัน ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้า เธอมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าท่าทางอันน่ารักน่าใคร่ โดยไม่สนใจว่าหลินเช่อกำลังยืนดูอยู่ข้างๆ “ฉันกำลังจะออกไปหาซื้ออะไรมาทานน่ะค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอพวกคุณสองคน จิ้งเจ๋อคะ มีคาเฟ่อยู่ตรงโน้นแน่ะ บรรยากาศดี๊ดี ช่วยพาฉันไปนั่งเล่นที่นั่นหน่อยนะคะ”


 


 


เธอหยุดแล้วหันหลังมาพูดกับหลินเช่อว่า “หลินเช่อจ๊ะ นานๆ เราจะได้เจอกันที ไปนั่งเล่นด้วยกันหน่อยนะจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อ เธอไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายเวลาส่วนตัวของคนทั้งคู่


 


 


แต่อย่างไรก็ตามขณะที่เธอกำลังตั้งใจจะพูดว่า ‘ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันจะกลับบ้านก่อนแล้วกัน’ โม่ฮุ่ยหลิงก็จัดแจงคล้องแขนของหล่อนเข้ากับแขนเธอเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว “ไปเถอะจ้ะ ไปนั่งเล่นด้วยกันสักนิดเถอะนะ”


 


 


แล้วหลินเช่อก็ถูกลากไปง่ายๆ แบบนั้น เธอหันมามองกู้จิ้งเจ๋อโดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าชายหนุ่มกลับกลายเป็นเหินห่างเย็นชาอย่างที่มักจะเป็นตามปกติจนเธอไม่อาจบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


หลินเช่อจึงทำได้เพียงยอมตามไปด้วยแต่โดยดี


 


 


หลังจากนั่งลง โม่ฮุ่ยหลิงก็นั่งลงข้างกู้จิ้งเจ๋อ เธอมองหลินเช่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วพูดขึ้นว่า “คุณหลินคะ ดื่มอะไรดีคะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “อะไรก็ได้ค่ะ”


 


 


บอกตามตรงว่าเธอไม่ค่อยจะพิสมัยกาแฟสักเท่าไหร่ เธอบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากาแฟชนิดต่างๆ แตกต่างกันอย่างไร


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงจึงรับหน้าที่สั่งอาหารและเรียกพนักงานเสิร์ฟมา เธอสั่งว่า “ขอกาแฟจาไมกันบลูเมาเท่นสามแก้วค่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “จิ้งเจ๋อชอบดื่มแต่กาแฟบลูเมาเท่นเท่านั้นน่ะ กาแฟบลูเมาเท่นที่นี่เป็นของแท้เลยล่ะ ใช่มั้ยคะ จิ้งเจ๋อ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกได้เลยว่าโม่ฮุ่ยหลิงจงใจที่จะโน้มตัวเข้ามาจนใกล้เขา ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากนั่งอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบสั้นๆ เพียงแค่ว่า “อะไรก็ได้น่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าอ่อนโยนยิ่ง “จิ้งเจ๋อคะ ดูเหมือนคุณจะผอมลงนะคะ ช่วงนี้ทำงานเหนื่อยมากเหรอคะ คุณควรจะพักผ่อนมากขึ้นนะ อย่าห่วงงานมากจนเกินไปนัก สุขภาพของคุณสำคัญที่สุดนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ถึงมือของโม่ฮุ่ยหลิงที่วางทาบลงมา ทำเอาเขารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณและพยายามหลบเลี่ยงสัมผัสจากเธอด้วยการเอนหลังพิงเก้าอี้ก่อนค่อยๆ ผลักมือเธอออกอย่างแนบเนียน


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรู้สึกได้ว่าเขาพยายามจะหลบเลี่ยง หญิงสาวยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก เธอขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อที่เธอจะได้เอนร่างซบพิงเขาได้ง่ายขึ้น


 


 


คิ้วของกู้จิ้งเจ๋อยิ่งขมวดหนักขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจดีว่าโม่ฮุ่ยหลิงนั้นเอาแต่ใจเหมือนเด็ก และพยายามที่จะอวดความสนิทสนมระหว่างเธอและเขาให้หลินเช่อได้เห็นเพราะความหึงหวง แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี


 


 


เธอทำแบบนี้มันออกจะล้ำเส้นเกินไปหน่อย


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงดูเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยนอกจากเธอและกู้จิ้งเจ๋อ เธอจึงแกล้งกระแอมเบาๆ และส่งยิ้มให้หลินเช่ออย่างขัดเขิน


 


 


หลินเช่อกระตุกยิ้มเล็กน้อยแล้วมองดูอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้ในใจจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังวางท่าสงบเสงี่ยมราวกับไม่ได้ใส่ใจใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


ก็ถ้าไม่อย่างนั้นเธอจะทำอะไรได้ล่ะ โม่ฮุ่ยหลิงและกู้จิ้งเจ๋อเขาเป็นคู่รักกันมาก่อนนี่นา ไม่ต้องให้โม่ฮุ่ยหลิงมาแสดงให้เห็นตำตาแบบนี้ เธอก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มให้หลินเช่อขณะถามขึ้นด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งว่า “ดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอจะตกเป็นข่าวบ่อยเชียวนะจ๊ะ ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับเธอเลย ซีรีส์โทรทัศน์นั่นดูจะไปได้สวยทีเดียว”


 


 


หลินเช่อยิ้มรับ “ขอบคุณค่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดต่อไป “ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจงานของพวกนักแสดงอย่างเธอสักเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่าแบบนี้ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”


 


 


ระหว่างที่พูด โม่ฮุ่ยหลิงก็ก้มลงจิบกาแฟเข้าไปอึกใหญ่ เธอทำท่าราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าและสายตาของเธอก็แสดงออกถึงความเห็นใจโดยไม่ปิดบัง


 


 


หลินเช่อไม่ใส่ใจที่จะแสดงท่าทีเสแสร้งกลับไปบ้าง หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มตอบ “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นแหละค่ะ ฉันยังห่างไกลจากความสำเร็จอยู่มาก แต่ถึงยังไงฉันก็อายุยังน้อย หนทางยังอีกยาวไกลนักค่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับกู้จิ้งเจ๋อตั้งแต่ยังเด็ก อายุของเธอเองก็ใกล้เคียงกันกับเขา เพราะฉะนั้นเธอจึงอายุมากกว่าหลินเช่ออย่างช่วยไม่ได้


 


 


ไม่ว่าเธอจะดูแลตัวเองอย่างดีขนาดไหน แต่ความแตกต่างของวัยระหว่างเธอและหลินเช่อก็ยังคงมองเห็นได้ชัดอยู่นั่นเอง


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินหลินเช่อพูดแบบนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที


 


 


แต่เพราะมีกู้จิ้งเจ๋อนั่งอยู่ด้วย จึงเป็นการยากที่จะโต้ตอบอะไรกลับไป เธอทำได้เพียงเก็บความโกรธเอาไว้ในใจและส่งยิ้มให้หลินเช่อพลางพูดว่า “อย่างนั้นเหรอจ๊ะ งั้นฉันก็ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเธอล่วงหน้าเลยก็แล้วกันนะ แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะรู้จักกู้จิ้งอวี่ด้วย ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็ท่าทางจะเป็นไปด้วยดีสินะ”


 


 


หลินเช่อตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ “ใช่ค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน”


 


 


“จิ้งอวี่เป็นคนดี” โม่ฮุ่ยหลิงพูดอย่างมีเจตนา “เขาเป็นคนน่ารักกับทุกคนแล้วก็รู้วิธีที่จะดูแลคนอื่น ดูเหมือนว่าพวกเธอสองคนจะเข้าคู่กันได้ดีทีเดียวบนจอนะจ๊ะ”


 


 


มาถึงจุดนี้ กู้จิ้งเจ๋อก็ผุดลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนักว่า “พอเถอะ ฮุ่ยหลิง ได้เวลาที่เราต้องกลับบ้านกันแล้ว”


 


 


อารมณ์ของโม่ฮุ่ยหลิงกลับตาลปัตรในทันที เธอยืนขึ้น น้ำเสียงที่ใช้ถามกู้จิ้งเจ๋อเองก็เปลี่ยนไปด้วยความหัวเสีย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะจิ้งเจ๋อ”


 


 


ในจังหวะนั้นเอง โทรศัพท์ของกู้จิ้งเจ๋อก็ดังขึ้น


 


 


เขาเหลือบมองโม่ฮุ่ยหลิงอย่างมีความหมาย มันเป็นหมายเลขของกู้จิ้งหมิงนั่นเอง สงสัยว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ชายหนุ่มจึงขอตัวออกไปรับสาย


 


 


หลังจากที่โม่ฮุ่ยหลิงเห็นกู้จิ้งเจ๋อเดินออกไป เธอก็หันกลับมาหาหลินเช่อและพูดว่า “หลินเช่อ นี่เธอกำลังพยายามทำอะไรกันแน่น่ะ”


 


 


หลินเช่อยิ้มเยาะ เธอมองดูท่าทีที่เปลี่ยนไปทันตาของหญิงสาวตรงหน้าหลังจากที่กู้จิ้งเจ๋อไม่อยู่ด้วยความสมเพช ทักษะการแสดงไม่เลวเลยนี่นา


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันทำอะไรเหรอคะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพ่นลมออกทางจมูก “เธอให้เขาถือของให้เธอ กระทั่งให้เดินเป็นเพื่อนเธอตามถนนค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ เธอไม่รู้หรือไงว่าการทำแบบนี้ทำให้เขาเสี่ยงอันตรายแค่ไหนน่ะ”


 


 


“อันตรายเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ! เธอคิดว่าจิ้งเจ๋อเขาเป็นเหมือนเธองั้นเรอะ ดารากระจอกงอกง่อยที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างน่ะ ชีวิตเขามีค่ามากกว่าเธอเป็นร้อยเท่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาละก็ เธอรู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่จะตามมาคืออะไร ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าการอยู่กับคนระดับเธอ ไม่ช้าเขาจะต้องพบกับหายนะอย่างแน่นอน หลินเช่อ ถ้าเธออยากตายแล้วก็ตายไปคนเดียว อย่าดึงจิ้งเจ๋อให้พลอยเดือดร้อนไปกับเธอด้วยเลย!”


 


 


หลินเช่อยิ้มเยาะเมื่อเธอมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงข้าม “คุณหนูโม่คะ ในสายตาคุณน่ะ กู้จิ้งเจ๋อเป็นแค่สิ่งเปราะบางเวลายามต้องเจอกับอันตรายและไม่สามารถไปไหนได้เลยอย่างนั้นเหรอคะ” 

 

 


ตอนที่ 77 เธอเข้าใจเขาผิดไปแล้ว

 

“อะไรนะ” โม่ฮุ่ยหลิงไม่คาดคิดว่าหลินเช่อจะกล้าโต้ตอบเธอเช่นนี้


 


 


หลินเช่อพูดต่อไปว่า “ใช่ค่ะ ฉันออกมาเดินอยู่บนถนนกับเขาและเรากำลังจะเดินกลับบ้าน นั่นเป็นเพราะในสายตาฉันแล้ว เขาไม่ใช่ผู้ชายที่กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เขาเป็นคนที่มีสิทธิ์ที่จะสนุกสนานกับการใช้ชีวิตและมีสิทธิ์ที่จะทำตัวเหมือนคนปกติธรรมดา เขาเป็นสามีของฉัน และเราสองคนก็นอนร่วมเตียงเดียวกัน ดูจากสถานะและความสัมพันธ์ของเราแล้ว ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาว่าเราจะสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้ เขาช่วยฉันถือของและเดินมาเป็นเพื่อนฉันก็เพราะว่าเราเป็นสามีภรรยากัน!”


 


 


“นี่เธอ”


 


 


“แน่นอนว่าฉันไม่เข้าใจว่าอันตรายที่คุณกำลังพูดถึงคืออะไร เพราะในสายตาฉัน เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไรทั้งนั้น เขาเป็นสามีของฉัน!”


 


 


หน้าของโม่ฮุ่ยหลิงกลายเป็นสีม่วงด้วยความโกรธจัดจากคำพูดของหลินเช่อ


 


 


หลินเช่อหัวเราะคิก “เพราะฉะนั้นมันไม่สำคัญหรอกถามว่าคุณจะมองฉันต่ำกว่าแค่ไหน เพราะฉันเป็นภรรยาของกู้จิ้งเจ๋อค่ะ คุณหนูโม่ผู้ยิ่งใหญ่ ฉันไม่จำเป็นจะต้องให้คุณมาคอยวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตฉันกับกู้จิ้งเจ๋อหรอกนะคะ”


 


 


เมื่อเธอพูดจบก็หมุนตัวและเดินออกไปทันที


 


 


หลินเช่อระบายลมหายใจยาวเมื่อเธอก้าวออกมาข้างนอก หญิงสาวยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เรื่อเรืองด้วยแสงไฟนีออน


 


 


เธอนึกกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นภาระของกู้จิ้งเจ๋อเพราะความแตกต่างระหว่างวิถีชีวิตของเขาและเธอนั้นมากมายเหลือเกิน มีหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจและอีกหลายอย่างที่เธอรู้สึกสับสน


 


 


เธอหลับตาแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มออกเดิน


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อกลับเข้ามาจากด้านนอก เขาก็ได้เห็นเพียงโม่ฮุ่ยหลิงที่นั่งอยู่เพียงลำพังในคาเฟ่


 


 


เมื่อเห็นชายหนุ่มกลับมา โม่ฮุ่ยหลิงก็ซบหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชะงัก ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะฮุ่ยหลิง”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองเขาด้วยสีหน้าทุกข์ทรมานน่าสงสารจะขาดใจ “คุณรู้มั้ยคะว่าคราวนี้หลินเช่อทำอะไรกับฉัน”


 


 


คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน “เขาทำอะไรเหรอ”


 


 


“เธอบอกฉันว่าคุณกับเธอเป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องผิด และทุกอย่างที่ฉันทำก็ผิดทั้งหมด เธอกับคุณมีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันอยู่ในฐานะอะไรละคะ จิ้งเจ๋อ ฉันเป็นมือที่สามอย่างนั้นเหรอ แต่ก็เห็นอยู่นี่นาว่าคุณกับฉันเป็นคนรักกัน แล้วทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ ทำไมเธอถึงทำร้ายฉันแบบนี้คะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิง “เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ”


 


 


“ก็จริงน่ะสิคะ” โม่ฮุ่ยหลิงว่า “ถ้าคุณไม่เชื่อแล้วละก็ คุณลองไปถามเธอดูก็ได้ว่าเธอได้พูดหรือเปล่าว่าคุณกับเธอเป็นสามีภรรยากัน ตอนที่คุณอยู่ด้วยเธอไม่ยอมพูดอะไรสักคำ แต่พอคุณลุกไปเท่านั้นแหละ เธอก็เริ่มพูดพล่ามเรื่องแบบนี้กับฉันไม่ยอมหยุด นี่ตกลงเธอหมายความว่ายังไงกันแน่คะ!”


 


 


“พอทีเถอะ ฮุ่ยหลิง ฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจเขาผิดไป” กู้จิ้งเจ๋อว่า


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ!” โม่ฮุ่ยหลิงร้อง “ฉันไม่ได้โง่นะคะ ฉันได้ยินเธอพูดทุกคำชัดเจนเต็มสองหู ทำไมละคะจิ้งเจ๋อ นี่คุณไม่เชื่อฉันเหรอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ เขานั่งลงแล้วมองหน้าเธอ “ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่รู้สึกว่าหลินเช่อไม่ใช่คนแบบนั้น เธออาจจะเข้าใจเขาผิดก็ได้ ก็เลยแปลความหมายคำพูดของเขาผิดไป เอาล่ะ ฮุ่ยหลิง อย่าร้องไห้อีกเลย”


 


 


แต่โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปากและยิ่งหัวเสียหนักกว่าเดิม


 


 


ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ ฉันจะให้คนไปส่งเธอที่บ้าน”


 


 


“แล้วคุณไม่ไปกับฉันด้วยเหรอคะ” โม่ฮุ่ยหลิงถามอย่างใจเสียขณะเงยหน้าขึ้นมอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่เห็นหลินเช่อ เขาอยากจะออกไปตามหาว่าเธอหายไปไหนและมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขานึกกังวลขึ้นมานิดๆ ว่าเธอน่าจะโกรธ หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ เขาก็ตัดสินใจบอกโม่ฮุ่ยหลิงว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปหา แต่ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปทำ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงจำได้ว่าชายหนุ่มรีบร้อนออกไปรับโทรศัพท์ เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะมีธุระด่วนจริงๆ


 


 


หญิงสาวคิดว่าเธอต้องทำตัวให้ต่างจากหลินเช่อที่ไม่เคยใส่ใจตารางงานอันยุ่งเหยิงของเขาเลย หญิงสาวยกแขนตัวเองขึ้นคล้องกับแขนเขา พยายามระวังไม่ให้ถูกตัวเขาเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของชายหนุ่มกำเริบ เธอเงยหน้ามองใบหน้าคมสันไร้ที่ติของอีกฝ่ายแล้วพูดกับเขาเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปจัดการธุระของคุณเถอะค่ะ พยายามอย่าให้เหนื่อยเกินไปนะคะ เดี๋ยวร่างกายจะแย่ ฉันรู้ว่าคุณงานยุ่ง ฉันไม่กวนคุณหรอกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกเธอว่า “กลับบ้านเถอะ”


 


 


“ค่ะ พรุ่งนี้อย่าลืมมาหาฉันทันทีที่คุณว่างนะคะ ฉันจะคอยค่ะ”


 


 


“ตกลง” รับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงกลับไปแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็ถามบรรดาบอดี้การ์ดว่าคุณผู้หญิงหายไปไหน แล้วไม่ช้าก็มีรายงานเข้ามาว่าพวกเขาพบหลินเช่อกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ลำพังคนเดียวที่ริมถนนระหว่างทางกลับบ้าน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินตามมาจนทันแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงออกมาคนเดียวอย่างนี้ล่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดว่าเขาน่าจะอยู่ปลอบโยนคนรักอีกสักพักใหญ่ แต่มาเห็นชายหนุ่มตามมาด้วยความรวดเร็วเช่นนี้ เธอจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมคุณไม่อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูโม่แล้วพูดคุยกับเธอละคะ”


 


 


ได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงโกรธจัดขนาดนั้น หลินเช่อก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดเรื่องดีๆ ของเธอหลังจากที่ลุกออกมาอย่างแน่นอน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้วพลางมองหน้า “ทำไมล่ะ เธออยากให้เราคุยกันนานกว่านี้เหรอ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ก็ใช่น่ะสิคะ นานๆ ทีพวกคุณถึงจะมีโอกาสได้เจอกัน”


 


 


“เธอนี่ช่างคิดจริงนะ” เขาควรชื่นชมในความใจกว้างและทำตัวเป็นภรรยาที่ดีของเธอหรือเปล่านี่


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขา “แน่นอนค่ะ ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ ฉันจำสำนวนที่เขาใช้เรียกกันไม่ได้แล้ว ที่เอาไว้พูดถึงคนที่จิตใจกว้างขวางมาก ๆ น่ะค่ะ”


 


 


“ยิ่งอดทนก็ยิ่งเป็นคนยิ่งใหญ่น่ะเหรอ”


 


 


“ใช่ ใช่ค่ะ นั่นแหละ ฉันเป็นคนแบบนั้นเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าลงแล้วกวาดตามองไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย


 


 


“อืม หน้าอกของเธอก็ใหญ่จริงๆ นั่นแหละ”


 


 


หลินเช่อก้มลงแล้วรีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกตัวเอง “ไปให้พ้นเลยนะ อีตาคนนิสัยไม่ดี!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม แค่ได้เห็นเธอโมโหเขาก็รู้สึกสบายใจแล้ว


 


 


ถึงอย่างไรเขาก็ยังจำสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงพูดได้ เขาเอียงคอแล้วถามเธอว่า “เธอบอกโม่ฮุ่ยหลิงว่าเราเป็นคู่สามีภรรยากันแล้วอย่างนั้นเหรอ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็เลยไม่ผิดน่ะ”


 


 


เธอรู้อยู่แล้วว่ายัยโม่ฮุ่ยหลิงจะต้องไม่พูดถึงเธอดีๆ แน่


 


 


ดูเหมือนเธอจะไม่ได้พูดให้ออกไปในแง่นั้น แต่ปัญหาก็คือถ้าหล่อนเลือกตีความแบบนี้ มันก็ไม่ผิดอีกเหมือนกัน


 


 


“ใช่ค่ะ ก็แล้วไม่จริงเหรอคะ” หลินเช่อตั้งใจตีหน้าซื่อและเอียงคอมองเขาบ้าง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหญิงสาวที่กำลังกะพริบตาเอียงคอทำหน้าซื่อ เธอดูน่ารักเหลือเกินจนกู้จิ้งเจ๋อต้องส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


 


“ใช่ๆ คำพูดของเธอน่ะถูกต้องแล้วล่ะ”


 


 


หลินเช่อบอก “แน่นอนสิคะ ก็คุณเป็นสามี ส่วนฉันก็เป็นภรรยา คุณเองก็พูดอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะว่าเราเป็นคู่แต่งงานกัน แล้วคุณก็มีหน้าที่ที่จะต้องคอยดูแลฉัน เพราะฉะนั้นการมาเดินเป็นเพื่อนฉันริมถนนและช่วยฉันถือของแบบนี้ก็เป็นหน้าที่ที่สามีควรจะทำ ไม่ถูกเหรอคะ คุณสามีขา”


 


 


เธอเริ่มกล้ากับเขามากขึ้นทุกที เธอฉุดแขนเขาเอาไว้เมื่อเดินเข้ามาใกล้และแกว่งตัวไปมาทั้งที่โหนท่อนแขนนั้นไว้ “บอกฉันสิคะ คุณสามี ว่าฉันพูดถูกหรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะละลาย เขาไม่อาจกลั้นรอยยิ้มไว้ได้และมองดูเธอก่อนจะตอบออกไปว่า “โอเค เธอพูดถูกแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็ยิ้มออกมา เธอเห็นว่าพวกเธอเดินใกล้ถึงบ้านแล้ว ทั้งคู่จึงเดินเข้าไปพร้อมกัน


 


 


เมื่อเข้ามาถึงในตัวบ้าน หลินเช่อก็กุลีกุจอแกะห่อสบู่แฮนด์เมดที่ทั้งคู่ช่วยกันทำออกมากองเอาไว้


 


 


ถึงแม้ว่าเมื่อมาถึงบ้านแล้วหน้าตาของมันจะดูประหลาดอยู่สักหน่อย แต่สีของมันก็สวยเข้าทีอยู่เหมือนกัน เธอชักไม่อยากใช้มันเสียแล้วสิ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอยู่ด้านหลัง เขาชี้ไปยังกองสบู่ที่หลินเช่อเป็นคนทำแล้วพูดว่า “กองนี้นี่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดเลย”


 


 


“เป็นไปไม่ได้ นี่เขาเรียกว่าศิลปะต่างหากละคะ คุณไม่เข้าใจล่ะสิ เหมือนผลงานของปิกัสโซ่น่ะ เขาเรียกว่าศิลปะแนวแอบสแตรกต์ค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหัวแล้วพูดว่า “เธอนี่ไม่เก่งเรื่องใช้มือใช้เท้าเอาเลยนะ ที่แย่กว่านั้นคือยังเอาแต่คอยจะหาเรื่องแก้ตัวอยู่เรื่อยอีกต่างหาก”


 


 


หลินเช่อหันมาทำตาเขียวใส่


 


 


เมื่อได้เห็นทั้งสองคนดูมีความสุขเช่นนี้ สาวใช้ที่ยืนมองอยู่ด้านข้างของห้องก็อดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “คุณผู้หญิง ท่านคะ พวกคุณเป็นคนทำสบู่นี่เหรอคะ มันออกมาดูดีทีเดียวเลยนะคะ”


 


 


หลินเช่อรีบหันหน้าไปทันที “ใช่มั้ยล่ะ อันที่สวยๆ น่ะฉันทำเองทั้งนั้น ส่วนที่น่าเกลียดนี่กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนทำ”


 


 


เธอหยิบสบู่ที่ช่วยกันทำขึ้นมาพินิจดู “ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่กล้าเอามาใช้หรอก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลยที่เธอจะไม่ใช้มัน เรากลับไปทำมันใหม่อีกเมื่อไหร่ก็ได้น่า” พูดแล้วก็เขาก็หยิบสบู่ขึ้นมาเล่น ยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อเธออยู่บนก้อนสบู่และบอกว่า “เธอใช้ก้อนที่ฉันทำ ส่วนฉันจะใช้ก้อนที่เธอทำไงล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินเช่อก็เริ่มหน้าแดงก่ำ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าลงมาแล้วพูดต่อไปอีกว่า “แล้วเวลาที่เธอใช้ เธอจะไม่รู้สึกว่าฉันกำลังสัมผัสเธอไปทั่วทั้งตัวหรอกเหรอ” 

 

 


ตอนที่ 78 ฉันจะทำสิ่งที่ฉันอยากทำ

 

หลินเช่อกำลังนั่งหันข้าง และเธอก็รู้สึกได้ถึงความร้อนจากกายของกู้จิ้งเจ๋อที่รุนแรงขึ้นทุกที


 


 


เขายืนอยู่ที่ด้านหลังของหลินเช่อ ร่างกายเบียดแนบหลังเธอ


 


 


เขาสามารถได้กลิ่นแชมพูจากเส้นผมของเธอ แม้ว่าเธอและเขาจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกว่ากลิ่นที่ลอยออกมาจากตัวเธอนั้นแตกต่างออกไป กลิ่นของเธอดูจะผสมปนเปกับกลิ่นหอมของเนื้อตัวผู้หญิง เขารู้สึกราวกับว่ากลิ่นนั้นกำลังอบอวลอยู่รอบจมูกและแทรกลึกเข้าไปในหัวใจ


 


 


เขาขยับมาใกล้ยิ่งขึ้นอีกตามสัญชาตญาณ ก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกเกือบจะสัมผัสโดนเรือนผมของเธอ


 


 


หลินเช่อนั่งตัวตรงแน่ว เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา หญิงสาวไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิ้วเดียว


 


 


สาวใช้ของตระกูลกู้นั้นความรู้สึกว่องไวอย่างมาก เมื่อได้เห็นทั้งสองแบบนั้น บรรดาสาวใช้ทั้งหลายก็ถอยหายออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยความรวดเร็ว


 


 


จนเหลือเพียงเธอและเขาอยู่ในห้อง เมื่อมองลงมาจากมุมบน กู้จิ้งเจ๋อเห็นช่วงลำคอขาวสะอาดของเธอที่ทำให้เขานึกอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสเป็นกำลัง


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ถึงมืออุ่นจัดที่กำลังขยับเข้ามาใกล้เธอ หญิงสาวรีบหันขวับไป และเธอก็ได้เห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังยืนอยู่ด้านหลัง เธอจ้องหน้าเขาแล้วถามว่า “นี่ กู้จิ้งเจ๋อ คุณจะทำอะไรน่ะ”


 


 


เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ากำลังจะแอบแตะเนื้อต้องตัวเธอ กู้จิ้งเจ๋อก็นึกอายขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่มีเครื่องหมายคำถามของหลินเช่อแล้ว เขาก็เลิกคิ้วแล้วทำเป็นถามกลับอย่างใจเย็นว่า “ฉันทำอะไรรึ”


 


 


หลินเช่อกวาดตามองไปที่มือเขา “เลิกแอบมาจับตัวฉันจากทางด้านหลังสักทีนะ”


 


 


“หลินเช่อ เราเป็นสามีภรรยากันนะ เธอจะเรียกว่าเป็นการแอบจับได้ยังไงกัน”


 


 


“ก็มันเป็นการแอบจับนี่คะ คุณน่ะนิสัยไม่ดี!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าตึง แต่แล้วเขาก็กลับนั่งลงตรงหน้าเธอแบบใกล้ชิดเสียจนหญิงสาวต้องประหลาดใจ


 


 


เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อเบียดแนบเข้ามาและจูบเธอเข้าที่ริมฝีปากในฉับพลัน


 


 


ราวกับแมลงปอที่แล่นล้อไปบนผิวน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวราวกับโดนไฟ


 


 


หน้าของหลินเช่อกลายเป็นสีแดงแข่งกับผลแอปเปิล


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชอบเหลือเกินที่หลินเช่อเป็นคนอ่อนไหวแบบนี้ หน้าเธอเหมือนเปลี่ยนสีได้ทุกทีที่ถูกยั่วยุ ผิวของเธอบอบบางและแดงระเรื่อได้อย่างง่ายดาย หลินเช่อเอนตัวเล็กน้อยและถอยห่างออกจากใบหน้าเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นว่า “เธอเป็นภรรยาฉัน ฉันจะจูบเธอถ้าฉันอยากจะจูบ เข้าใจหรือเปล่า”


 


 


“ไปให้พ้นเลยนะ คนพาล!” เธอยกมือปิดปากแล้วตวาดแว้ด


 


 


หน้าของกู้จิ้งเจ๋อฉายแววชั่วร้าย สายตาเขามองไล่ไปตามลำคอระหงและต่ำลงไป “ถ้าฉันเป็นคนพาลจริง ฉันคงไม่หยุดแค่นี้หรอก เธออยากให้ฉันทำตัวแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่าล่ะ”


 


 


“นี่คุณ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วจูบลงมาอีก


 


 


หลินเช่อหายใจรุนแรง เธอรู้สึกได้ว่าปลายลิ้นของเขากวาดเอาอากาศออกไปจากเธอจนหมด


 


 


ด้วยอาการป่วยของเขาแล้ว การต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับกู้จิ้งเจ๋อเลย แต่มือของเขากลับป่ายปะลงไปตามหน้าอกของเธอตามสัญชาตญาณและคว้ามันเอาไว้


 


 


เขากอบประคองและคลึงเคล้นมันอย่างนุ่มนวล


 


 


ลมหายใจของเขาเริ่มหอบถี่


 


 


เนื้อตัวเธอนุ่มนิ่มเหลือเกิน จนชายหนุ่มนึกเกลียดตัวเองที่เขาไม่อาจฟอนเฟ้นมันเสียให้แหลกละเอียดคามือไปได้


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ถึงแรงมือที่หนักหน่วงขึ้น ความรู้สึกเจ็บชาที่มาพร้อมกับกระแสไฟฟ้าอันรุนแรงทำให้ร่างกายเธอเริ่มรู้สึกเสียวซ่านเกินจะทน


 


 


เธอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเธออ่อนปวกเปียกลงทุกที


 


 


ร่างเธอแทบจะอ่อนพับลงไปในอ้อมกอดของเขา มือของเธอขยับขึ้นมาวางพาดไว้บนไหล่เขา เธอรู้สึกได้ว่ามือของเขาขยับไปบนแผ่นหลังและโลมไล้เธอไปทั่วทั้งร่าง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาร้อนไหม้ราวกับไฟ ความปรารถนาที่จวนเจียนจะระเบิดออกมาจากร่างนั้นมากเกินกว่าที่เขาจะต้านทานได้ไหวแล้ว


 


 


เขาอยากจะลืมให้หมดทุกอย่างแล้วกลืนกินเธอเสียให้หมดตัวเดี๋ยวนี้


 


 


แต่ในจังหวะนั้นเอง เขาก็ได้ยินใครบางคนเคาะประตูอยู่ด้านนอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปล่อยมือจากร่างในอ้อมกอดอย่างยากเย็นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขาหันไปที่ประตูและส่งเสียงถามอย่างโกรธจัดว่า “มีอะไร”


 


 


“ท่านครับ คุณชายใหญ่มาพบครับ”


 


 


กู้จิ้งหมิงมาที่นี่งั้นเหรอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อต้องยอมวางมือจากเธอก่อนในตอนนี้ เมื่อเขาหันไปก็เห็นใบหน้าแดงจัดของหลินเช่อ ชายหนุ่มไม่อาจอดใจไหว เขาจูบเธออย่างแผ่วเบาอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน


 


 


เขาไม่กล้าหันไปมองเธออีกด้วยเกรงว่าจะไม่อาจห้ามใจตัวเองได้และเข้าไปจัดการเธอเสียให้จบ


 


 


หลินเช่อยังคงนั่งงงงัน เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อเปิดประตูและเดินออกไป ใบหน้าของเธอบัดนี้แดงก่ำและเต็มไปด้วยความกระดากอาย


 


 


เธอหยิกตัวเองอย่างแรงครั้งหนึ่ง นี่เธอฝันไปหรือเปล่านะ กู้จิ้งเจ๋อกำลังจะทำอะไรกันแน่


 


 


ชายหนุ่มก้าวลงบันไดมาทีละขั้น เขาเห็นกู้จิ้งหมิงกำลังรออยู่ที่ด้านล่าง


 


 


บริเวณด้านนอก เจ้าหน้าที่จากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติกำลังยืนเข้าแถวเรียงราย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาด้วยเรื่องงาน


 


 


“พี่ นี่ควรจะต้องเป็นเรื่องสำคัญนะ”


 


 


กู้จิ้งหมิงมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังเดินลงมาและถามว่า “ทำไมรึ นี่ฉันไปขัดจังหวะอะไรเข้าหรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้ว “ก็ธรรมดานี่ ฉันไม่ใช่คนโสดอย่างพี่นี่นา ฉันมันคนแต่งงานแล้ว แล้วฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้ อย่างน้อยคราวหน้าก็ช่วยบอกกันล่วงหน้าหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


กู้จิ้งหมิงยิ้มพลางส่ายหน้าเมื่อมองดูน้องชาย “ก็ได้ ฉันเข้าใจ ฉันลืมไปสนิทเลยว่านายแต่งงานแล้ว แต่ในเมื่อดูท่าทางนายจะมีความสุขกับชีวิตแต่งงานดี ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าฉันจะพยายามทำตัวให้ชินกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งลงกับกู้จิ้งหมิง


 


 


กู้จิ้งหมิงยื่นแท็บเล็ตในมือลงตรงหน้าอีกฝ่าย “ใครบางคนส่งนี่มาให้ฉัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงดู


 


 


ในจอเป็นรูปกู้จิ้งหมิงกำลังนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนหนึ่ง


 


 


ดูเหมือนว่าภาพนี้จะเป็นภาพที่ถูกแอบถ่าย อย่างไรก็ตาม จากภาพแล้วไม่อาจเรียกได้ว่าทั้งคู่กำลังเปลือยอยู่ เพียงแต่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ค่อนข้างจะชัดเจนว่าเป็นอะไร


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรีบเงยหน้าขึ้นทันที “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


กู้จิ้งหมิงถอนหายใจ “ฉันคิดว่าเขาน่าจะมีรูปที่แย่กว่านี้เก็บเอาไว้อีกเพราะในวันนั้น วันนั้นน่ะ…”


 


 


กู้จิ้งหมิงก้มหน้าพลางยกมือขึ้นนวดขมับ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเข้าใจได้ในทันที เพราะยังมีภาพเหตุการณ์ที่มากกว่านี้เกิดขึ้นในวันนั้นด้วยเช่นกัน


 


 


“มีเกลือเป็นหนอนอยู่ในกลุ่มพวกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานความมั่นคงนี่หรือเปล่า เพราะถ้าไม่มี แล้วใครกันที่จะถ่ายภาพพวกนี้ได้”


 


 


“เรากำลังดำเนินการสืบสวนอยู่ จนถึงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาวิธีทำให้เหตุการณ์ไม่แย่ลงไปกว่านี้”


 


 


“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน” กู้จิ้งเจ๋อถามอย่างนึกขัน “ฉันไม่คิดว่าพี่จะมีชีวิตส่วนตัวแบบนี้ด้วย”


 


 


กู้จิ้งหมิงเงยหน้าขึ้นและตอบอย่างเยือกเย็นว่า “อวี๋หมินหมิ่นน่ะ”


 


 


“…”


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อหลุบต่ำลง


 


 


หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยเรื่องสำคัญกันจนเสร็จเรียบร้อย กู้จิ้งเจ๋อก็เดินออกไปส่งผู้เป็นพี่ชาย


 


 


“ฉันจะให้คนสืบเรื่องนี้เอง”


 


 


กู้จิ้งหมิงไม่สามารถให้คนของเขาจัดการสืบสวนเรื่องนี้ได้ในขณะที่ต้องพยายามเลี่ยงไม่ให้มีคนล่วงรู้ เพราะนั่นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือของกู้จิ้งเจ๋อให้เป็นคนช่วยลงมือ


 


 


กู้จิ้งหมิงพยักหน้า


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “ถ้ามันทำอะไรไม่ได้ ทำไมพี่ถึงไม่แต่งงานกับเธอซะล่ะ ยังไงก็ไม่มีใครสามารถว่าอะไรได้อยู่แล้วถ้าท่านประธานาธิบดีจะทำอะไรแบบนี้กับภรรยาตัวเอง”


 


 


กู้จิ้งหมิงมองหน้าเขา “ไม่ได้หรอก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วถามต่อว่า “ทำไมล่ะ มีปัญหากับอาชีพของเธองั้นเหรอ การเป็นผู้จัดการดาราทำให้ชื่อเสียงไม่ดีหรือไง หรือว่าเรื่องครอบครัวของเธอที่มันซับซ้อน”


 


 


กู้จิ้งหมิงว่า “ฉันลองสืบเรื่องเธอมาก่อนแล้ว ครอบครัวของเธอก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ แต่เรื่องราวในครอบครัวของเธอมันซับซ้อนจริงๆ น้องชายเธอเอาแต่พึ่งพารายได้จากเธอเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอก ที่น่าปวดหัวก็คือพ่อของเธอที่ชอบเล่นการพนันนี่แหละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออึ้งไปทันทีเมื่อมองหน้าผู้เป็นพี่ชาย “ดูเหมือนว่าเราจะต้องมาช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้กันให้ถี่ถ้วนกว่านี้ แต่ว่าเธอก็ดูจะเป็นสาวชาวบ้านที่เข้าทีดี จำเรื่องที่ฉันแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ว่ามันจะช่วยเรื่องคะแนนเสียงได้มั้ยล่ะ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าพี่จะยอมรับหรือเปล่านะ”


 


 


“เรื่องอะไร”


 


 


“ก็แต่งงานกับสาวชาวบ้านไงล่ะ มันจะส่งผลดีอย่างมากต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้เชียวนะ”


 


 


กู้จิ้งหมิงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างมีความหมาย ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร

 

 

 


ตอนที่ 79 ไม่มีอะไรหรอก นอนซะ

 

กู้จิ้งเจ๋อพึมพำขณะเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน “อวี๋หมินหมิ่นงั้นรึ”


 


 


เขารีบพุ่งกลับไปที่ห้องนอนของหลินเช่อ เธอไม่กล้าหันมามองเขาและคอยเอาแต่หลบสายตา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอแล้วถามว่า “วันนั้น ทำไมเธอกับผู้จัดการของเธอถึงได้ไปที่โรงแรมที่พี่ชายของฉันพักอยู่ล่ะ”


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้นแล้วหยุดคิดก่อนจะตอบว่า “อ้อ คุณหมายถึงวันนั้นเหรอคะ ตอนนั้นกู้จิ้งอวี่จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับทีมงาน ทุกคนต่างก็ไปฉลองร่วมกันหลังจากปาร์ตี้ปิดกล้องน่ะค่ะ ฉันก็เลยพาพี่อวี๋ไปด้วย กู้จิ้งอวี่พาพวกเราไปที่นั่นเพราะโรงแรมนั้นเป็นของตระกูลกู้ เรารู้มาว่าท่านประธานาธิบดีเองก็ไปที่นั่นด้วยเหมือนกันน่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งครุ่นคิด


 


 


ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เห็นทีจะไม่ใช่การสมคบคิดละมั้ง ส่วนเหตุผลที่อวี๋หมินหมิ่นไปร่วมงานนั่นก็เพราะมันเป็นงานเลี้ยงของน้องชายของพวกเขาเองด้วยซ้ำ


 


 


พอรวมกับการสืบประวัติความเป็นมาของอวี๋หมินหมิ่นด้วยแล้วก็ยิ่งดูว่าหญิงสาวไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่ คงไม่ใช่แผนจารกรรมแน่


 


 


แต่ว่าอวี๋หมินหมิ่นไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ น่ะเหรอ


 


 


หลินเช่อมองดูสีหน้าสับสนครุ่นคิดของชายหนุ่มแล้วก็ถามว่า “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ”


 


 


“โอเคค่ะ”


 


 


เมื่อเขาไม่อยากพูด เธอก็ไม่ถามต่อ


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


ซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์ไปได้ครึ่งทางแล้ว ตัวละครของหลินเช่อยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้นทุกที ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้ามาที่หน้าเวยป๋อของเธอเพื่อระบายความรู้สึก


 


 


คนดูจำนวนมากรู้สึกว่าเฉินอี้หานซึ่งรับบทโดยหลินเช่อนั้นต้องผ่านความยากลำบากมากมายเหลือเกิน เธอช่างเป็นคนที่คิดถึงความรู้สึกของทุกคน เป็นคนน่ารักเข้ากับคนง่ายและมั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังไม่เคยจมอยู่กับความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเธอต้องพบกับความเจ็บปวดในตอนจบอยู่ร่ำไป


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เป็นเพราะเหตุการณ์อันโหดร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับหลินเช่อปรากฏขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้ความสนใจในตัวละครหลักของเรื่องลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว


 


 


ข้างนอกนั่น ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสและสาดโคลนใส่ชื่อของหลินเช่อ โดยบอกว่าหลินเช่อจะต้องชนะการแข่งขันระหว่างบรรดานักแสดงนำหญิงของเรื่องและกลายเป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้อย่างแน่นอน


 


 


โชคดีที่ทางฝั่งของมู่เฝ่ยหรานนั้น เธอแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นและไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ในทางตรงกันข้าม แฟนๆ ของมู่เฝ่ยหรานจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ออกมาก่นด่าหลินเช่อโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อได้อ่านคอมเมนต์ต่างๆ เหล่านี้แล้ว หลินเช่อก็อดไม่สบายใจขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน


 


 


“นี่มันประหลาดสิ้นดี เรื่องทั้งหมดนี่ถูกเขียนโดยคนเขียนบท มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย เพียงแค่เพราะเหตุการณ์สำคัญในพล็อตเรื่องดันมาเชื่อมโยงกับฉันเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ยังเป็นแค่นักแสดงสมทบเท่านั้นเองนะ พวกเขาจะมาด่าฉันเพื่ออะไรกัน” หลินเช่อบ่นกับอวี๋หมินหมิ่นในขณะที่กำลังเดินทางไปร่วมกิจกรรมการโปรโมตซีรีส์


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองดูเอกสารในมือ เนื่องจากเธอมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากกว่า ปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อเรื่องนี้จึงแฝงไปด้วยความใจเย็นกว่าหลินเช่อมาก แต่ก็จริงอยู่ว่าเธอไม่ใช่คนที่โดนแช่งชักหักกระดูก และเธอก็ไม่ใช่คนที่จะหงุดหงิดง่ายเหมือนหลินเช่อด้วย


 


 


“เพราะว่าทุกคนอยู่ในเรื่องเดียวกัน มันก็เลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีใครเกลียดที่เห็นเธอได้รับคำวิจารณ์ที่ดีกว่า เลยตั้งใจที่จะป้ายสีใส่เธอแบบนั้น ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับมือใครดมได้หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นใครก็ได้ สืบสวนไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อ “ยังไงก็ตาม อย่าลืมล่ะว่า ถ้าเธอมีชื่อเสียงขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นแหละคือวิธีตอบโต้คู่แข่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “ฉันเข้าใจค่ะพี่อวี๋”


 


 


แล้วพวกเขาก็มาถึงสถานที่จัดงานในเวลาอันสั้น


 


 


มันเป็นรายการทอล์กโชว์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดให้กิจกรรมโปรโมตครั้งนี้เป็นงานสำคัญมาก เพราะว่าตัวมู่เฝ่ยหรานเองก็จะมาร่วมงานด้วย พวกเขาหวังเอาไว้ว่ามู่เฝ่ยหรานและกู้จิ้งอวี่จะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ใครๆ พากันพูดถึง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจัดเวลาให้หลินเช่อขึ้นทีหลังเพื่อที่เธอจะได้ไม่ขโมยซีนนักแสดงนำหญิงของเรื่อง


 


 


หลินเช่อมองดูมู่เฝ่ยหรานและกู้จิ้งอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อเป็นเรื่องการทำงานแล้ว ทั้งสองคนเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง พวกเขาหว่านเสน่ห์ใส่กันและเล่นบทบาทในส่วนของตัวเองได้เป็นอย่างดี


 


 


มู่เฝ่ยหรานแสดงให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์โชกโชนโดยแท้ บนเวที เธอดูผ่อนคลายและทำให้การดำเนินรายการไหลลื่นไปได้ด้วยดี ในช่วงเวลานั้นเอง หลินลี่ก็เดินเข้ามาหาจากทางด้านหลัง เธอมองไปที่หน้าเวที หัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมฉันได้ยินมาว่าเธอโดนสั่งห้ามไม่ให้ร่วมซีนบนเวทีล่ะ”


 


 


หลินเช่อกลอกตาแล้วหันหน้าไปมอง “นี่เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”


 


 


หลินลี่หันมามองด้วยใบหน้าสุดจะไร้เดียงสา “ทำไมเหรอ ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอจ๊ะ ฉันได้ยินมาว่าเธอยืนกรานว่าอยากจะสร้างกระแสกับกู้จิ้งอวี่เพราะว่าเธออยากดัง แต่สุดท้ายความสนใจทั้งหมดกลับเป็นของมู่เฝ่ยหรานแทน หลินเช่อ ดูเหมือนว่าเธอจะกระหายที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไปหน่อยนะจ๊ะ สำหรับบรรดาคนที่อยู่ในวงการนี้มานานๆ น่ะ มีใครบ้างที่ไม่มีคนคอยหนุนหลัง และมีคนไหนบ้างที่ไม่ได้มีไม้เด็ดแบบเธอ แต่นี่เธออยากจะถีบตัวเองให้ดังกว่าดารานำของเรื่องและบทดาราสมทบของตัวเองในซีรีส์โทรทัศน์นี่นะ สงสัยว่าเธอจะได้เล่นบทสมทบในชีวิตจริงเสียแล้วละสิ”


 


 


หลินเช่อเหลือบมองหลินลี่ เธอมองอีกฝ่ายด้วยสายตามุ่งร้ายและยิ้มให้อย่างเยือกเย็นว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ดีเหลือเกินนะ”


 


 


หลินลี่หัวเราะคิก “ก็เธอไม่เห็นหรอกเหรอ แม้แต่มู่เฝ่ยหรานยังไม่อยากให้เธอขึ้นไปร่วมวงกับกู้จิ้งอวี่บนเวทีวันนี้เลย หล่อนตั้งใจที่จะจับพวกเธอแยกกันในการให้สัมภาษณ์น่ะสิ”


 


 


หลินเช่อตวัดสายตามองเธอ จนกระทั่งมู่เฝ่ยหรานเดินลงมาจากเวที


 


 


หลินหลี่รีบตรงดิ่งเข้าไปทักทาย


 


 


“พี่เฝ่ยหรานคะ การให้สัมภาษณ์เมื่อกี้นี้พี่ทำได้ดีมากเลยละค่ะ บริษัทของเราเฝ้าแต่คอยบอกฉันว่าให้หัดเรียนรู้จากพี่ พวกเขาบอกว่าพี่เฝ่ยหรานน่ะคือคนมีฝีมือตัวจริงและรู้จักวิธีรับมือกับนักข่าวเป็นอย่างดี”


 


 


มู่เฝ่ยหรานยิ้มอ่อนๆ “บอกตามตรง ฉันไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เธอชมเกินไปแล้วละ”


 


 


เมื่อได้เห็นว่ามู่เฝ่ยหรานพูดกับเธอ หลินลี่ก็รีบฉีกยิ้ม เธอหันมาจ้องหน้าหลินเช่อก่อนจะรีบขยับเข้าไปใกล้เพื่อป้อยอมู่เฝ่ยหรานให้มากขึ้นอีก


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่าเธอไม่อาจทนหลินลี่ไหวอีกแล้ว เธอปรายตามองอีกฝ่ายแล้วก็ไม่พูดอะไร


 


 


จนกระทั่งมู่เฝ่ยหรานสังเกตเห็นหลินเช่อเข้า เธอจึงยิ้มและเดินเข้ามาหา พลางพูดว่า “หลินเช่อ เมื่อกี้ไม่เห็นเธอเลยนี่จ๊ะ”


 


 


หลินเช่อรีบยิ้ม “เหรอคะ ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเลยค่ะ”


 


 


มู่เฝ่ยหรานเดินเข้ามาและพูดกับหลินเช่ออย่างอบอุ่นว่า “การแสดงของเธอในเรื่องนี้ทำได้ดีมากเลยนะ ฉันคิดว่าเธอเหมาะกับบทที่ต้องแสดงความกล้าหาญแบบนี้นี่แหละ”


 


 


“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะพี่เฝ่ยหราน”


 


 


“จริงๆ นะจ๊ะ การแสดงของเธอเป็นธรรมชาติมาก”


 


 


“ถ้าพี่เฝ่ยหรานยังจะชมต่อ หน้าฉันต้องแดงไปหมดแน่ๆ เลยค่ะ”


 


 


ในช่วงนั้นเอง นักข่าวก็บังเอิญมาเห็นทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินจึงรีบฉวยโอกาสถ่ายภาพเอาไว้จากระยะไกล


 


 


มู่เฝ่ยหรานบอกว่า “กู้จิ้งอวี่แทบจะไม่เคยชมใครเลย แต่ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ชื่นชมเธอใหญ่ จุ๊ๆ หลินเช่อจ๊ะ เธอเป็นแค่ไม่กี่คนที่เขาให้ความสนใจเลยนะเนี่ย”


 


 


“รสนิยมเขาแย่ออกขนาดนั้น ฉันควรจะดีใจหรือเปล่าคะนี่”


 


 


มู่เฝ่ยหรานหัวเราะลั่นออกมา


 


 


หลินลี่มองดูจากด้านหลังอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง


 


 


ดูเอาเถอะ มู่เฝ่ยหรานปล่อยเธอเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่กลับตรงเข้าไปพูดคุยกับหลินเช่ออย่างสนิทสนม


 


 


แน่ละว่าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวเผยแพร่ออกไปว่ามู่เฝ่ยหรานพูดคุยกับหลินเช่ออย่างสนุกสนาน เท่ากับเป็นการทำลายข่าวลือที่ว่าทั้งสองคนไม่ถูกคอกันจนหมดสิ้น


 


 


มู่เฝ่ยหรานยังยอมรับกับนักข่าวด้วยว่า เธอเองรู้สึกว่าหลินเช่อเป็นหญิงสาวที่จริงใจและไม่เสแสร้ง


 


 


ในภาพข่าวก็เป็นภาพของหลินเช่อและมู่เฝ่ยหรานกำลังยืนอยู่ใกล้กัน โดยมีหลินลี่ที่กลายสภาพมาเป็นฉากหลังของรูปแทน


 


 


เมื่อได้เห็นพาดหัวข่าวดังกล่าว หลินลี่ก็ปรี๊ดแตกเสียจนแทบจะปาแท็บเล็ตลงพื้น


 


 


“ไอ้นักข่าวพวกนี้มันมีสมองกันมั้ยนะ!”


 


 


อีกด้านหนึ่ง อวี๋หมินหมิ่นก็กำลังอ่านข่าวเดียวกันและหันไปพูดกับหลินเช่อที่ยังคงนั่งอยู่ในรถว่า “เหตุผลที่มู่เฝ่ยหรานหันมาสนับสนุนเธออาจจะเป็นเพราะกู้จิ้งอวี่ก็ได้นะ”


 


 


หลินเช่อถาม “แต่ทำไมเธอถึงได้ช่วยฉันละคะ”


 


 


“อย่างแรกเลย หล่อนไม่น่าจะเกลียดเธอหรอก ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงทำแค่นั่งสวยๆ แล้วก็รอดูใครต่อใครวิพากษ์วิจารณ์เธอกันต่อไป ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องลงมาเสียแรงยุ่งเรื่องนี้เลยสักนิด บอกได้เลยว่าหล่อนชอบเธอมากทีเดียว ดูจากที่หล่อนอุตส่าห์ยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้ อย่างที่สอง หล่อนไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหา นอกจากนี้หล่อนยังเป็นคนฉลาดมากด้วย หล่อนไม่ยอมให้คนอื่นมาฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากตัวเองโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ งานนี้เห็นได้ชัดเจนเลยนะว่าใครบางคนกำลังใช้มู่เฝ่ยหรานเพื่อป้ายสีชื่อเสียงของเธอน่ะหลินเช่อ และมู่เฝ่ยหรานก็ไม่ชอบใจเรื่องนี้เสียด้วย”


 


 


หลินเช่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

 

 


ตอนที่ 80 รู้สึกดีที่มีใครสักคนชื่นชม

 

“ช่วงนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ นอนพักผ่อนอยู่บ้านแล้วก็อ่านบทไปก็แล้วกันนะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นจัดแจงโยนบทละครปึกใหญ่ให้หลินเช่อ เมื่อมองดูแล้วหญิงสาวก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “นี่คืออะไรคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “บทที่หวังว่าเธอจะได้เล่นน่ะ เรายังดูๆ อยู่ เธอลองเปิดๆ ดูหน่อยว่ามีอะไรที่เธอสนใจหรือเปล่า แล้วช่วยบอกฉันด้วยก็แล้วกัน”


 


 


“ว้าว หนาจังเลยค่ะ” หลินเช่ออุทานด้วยความประหลาดใจ


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและตอบว่า “นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ที่เราเลือกมาให้เธอนี่เป็นบทนำหญิงทั้งหมด รับรองว่าไม่พลาดหรอก”


 


 


“บทนำหญิงเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่ยอมให้เธอเล่นบทสมทบอีกแล้วนะ ก้าวแรกน่ะต้องเล่นบทสมทบก็จริง แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องก้าวไปอีกขั้นแล้ว ก็คือการทำให้เธอกลายเป็นดารานำหญิงในซีรีส์โทรทัศน์ เพื่อให้เธอได้เฉิดฉายยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นบทนี่มีความสำคัญมาก ค่อยๆ เลือกดีๆ ล่ะ”


 


 


ทั้งสองคนเดินเคียงกันไป แล้วอยู่ๆ โทรศัพท์ของอวี๋หมินหมิ่นก็ดังขึ้น


 


 


เมื่อเธอหันไปมองหมายเลขโทรเข้าแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เธอหันไปยิ้มกับหลินเช่อแล้วเดินนำไปก่อนเพื่อที่จะรับสายโทรศัพท์


 


 


“พ่อคะ มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


[ลูกสาว ลูกสาวคนดีของพ่อ พ่อตัดสินใจที่จะกลับเนื้อกลับตัวแล้วนะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่ พ่อทำให้ลูกผิดหวังมาโดยตลอด พ่อปล่อยให้ลูกกับน้องต้องทุกข์ทรมานใจ พ่อจะเลิกเล่นการพนันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรับฟังคำสาบานอย่างเอาจริงเอาจังนั้นทางโทรศัพท์แล้วก็ต้องยิ้มออกมา “ไหนบอกมาสิคะ ว่าคราวนี้พ่อเสียไปเท่าไหร่ หนูต้องให้เงินพ่อเท่าไหร่”


 


 


[ไม่มาก ไม่มากหรอก จริงๆ นะ คราวนี้ พ่อโดนคนโกงน่ะ ตอนเล่นตาสุดท้าย]


 


 


“หนูไม่อยากจะฟังหรอกค่ะ แค่บอกมาก็แล้วกัน ว่าพ่อเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่”


 


 


[สามหมื่น]


 


 


“สามหมื่นเหรอคะ พ่อ นั่นมันเงินเดือนหนูตั้งหลายเดือนเชียวนะ!”


 


 


[ลูกสาวของพ่อ พ่อมีแต่ลูกเท่านั้นที่พึ่งได้นะ ลูกต้องช่วยพ่อ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเอาเก็บหนี้เอากับแม่ของลูก]


 


 


“พ่อ” อวี๋หมินหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก “พ่อคะ หนูทำแบบนี้ก็เพื่อแม่กับน้องเท่านั้น ได้โปรดอย่าไปยุ่งกับพวกเขาจะได้มั้ย พ่อช่วยหย่ากับแม่ได้มั้ย”


 


 


[นี่แกยังเป็นลูกฉันอยู่หรือเปล่า]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นวางสาย เมื่อหันกลับมา หลินเช่อก็สังเกตเห็นท่าทีเป็นกังวลของอีกฝ่าย จึงถามออกไปว่า “พี่อวี๋คะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้ม “ฉันไม่เป็นไร แค่มีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้น กลับไปแล้วก็ลองอ่านบทดูนะ ฉันไม่เดินไปส่งล่ะ”


 


 


หลินเช่อพยักหน้าขณะที่มองดูอวี๋หมินหมิ่น “พี่อวี๋คะ บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าพี่ดูมีเรื่องลึกลับอะไรบางอย่าง”


 


 


“อะไรกัน” อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะ


 


 


หลินเช่อพูดต่อ “ฉันทำงานกับพี่มาก็หลายปี แต่ฉันไม่เคยได้ยินพี่พูดอะไรถึงครอบครัวหรือชีวิตส่วนตัวเลย ใครๆ ก็พากันบอกว่าพี่เป็นพวกบ้างาน”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อ “แล้วฉันก็ไม่เคยบอกใครว่าเธอเป็นน้องสาวของหลินลี่และเป็นทายาทตระกูลหลินด้วยเหมือนกัน”


 


 


หลินเช่อตกใจและรีบหลบตา ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงเท่าไหร่นี่คะ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด มันน่าจะดีกว่าถ้าฉันต่อสู้ด้วยตัวเองและหนีให้ห่างจากคนพวกนั้นและอดีตของฉัน”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงชอบเธอ เธอไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ที่เธอพูดน่ะถูกแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดถึง ฉันเองก็เหมือนกันจำเอาไว้ว่าสังคมของเราไม่ได้ชื่นชมคนที่พ่ายแพ้ ฉันไม่ยกเอาปัญหาของตัวเองไปให้ใคร ฉันไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น เพราะทุกคนก็มีภาระของตัวเองมากพออยู่แล้ว และฉันก็ไม่ต้องการที่จะทำให้ตัวเองเจ็บช้ำไปมากกว่าเดิม”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นโบกมือเรียกรถของหลินเช่อให้เข้ามารับ


 


 


หลินเช่อหันไปมองอวี๋หมินหมิ่น และได้เห็นเธอกำลังเดินกลับเข้าไปในตัวอาคาร ด้านหลังของเธอดูโดดเดี่ยวอย่างน่าประหลาด แม้ว่าฉากหน้าของเธอจะดูเข้มแข็งและไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด ช่างเป็นภาพที่แตกต่างกันเหลือเกิน


 


 


เธอจัดการแบกบทละครทั้งปึกกลับบ้าน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเห็นหลินเช่อขนบางอย่างเข้าบ้านเลยบอกให้คนไปช่วย


 


 


“นั่นอะไรน่ะ” กู้จิ้งเจ๋อถาม


 


 


หลินเช่อตอบ “บริษัทให้บทฉันมาเลือกน่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสุ่มหยิบขึ้นมาปึกหนึ่ง บนหัวเรื่องเขียนเอาไว้ว่า ‘ไฟรักไฟสวาท’


 


 


ชื่อเรื่องห่วยบรม


 


 


หลินเช่อนั่งลงบนโซฟาแล้ววางบทละครทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มพลิกดูอย่างไม่จริงจังนัก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งลงตรงกันข้ามพลางเริ่มหยิบขึ้นมาดูบ้าง


 


 


“ฉันจะช่วยเธอดูเอง” กู้จิ้งเจ๋อเสนอตัว “เธอเลือกบทไหนก็ได้จากในพวกนี้เหรอ”


 


 


“ใช่ค่ะ”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาเงียบๆ “คุณรู้เหรอคะว่าควรจะดูจากอะไร”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอก “ฉันได้ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแม็คกิล”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อร้อง “วรรณกรรมกับการแสดงมันคนละเรื่องกันเลยนะคะ!”


 


 


“แต่มันก็เป็นศิลปะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีบางอย่างที่เหมือนกันนั่นแหละน่า”


 


 


หลินเช่อถือบทไว้ในมือก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยท่าทีสงสัยยิ่ง “แล้วทำไมคุณถึงกลายเป็นนักธุรกิจได้ในเมื่อเรียนวรรณกรรมมาละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดโดยไม่เงยหน้า “ฉันได้ปริญญาเอกบริหารธุรกิจจากฮาร์วาร์ดด้วย ปริญญาโทสาขาจิตวิทยาและกฎหมายจากเยล แล้วฉันก็ยังเรียนการจัดการและเศรษฐศาสตร์ที่เอ็มไอที น่าเสียดายที่ฉันมีเวลาเรียนแค่ปริญญาตรี”


 


 


หลินเช่อยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจะสรรเสริญ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม “โอ้ ท่านผู้คงแก่เรียน! ขอให้ข้าได้คารวะท่านด้วยเถิด”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมอง “ผู้คงแก่เรียนรึ”


 


 


หลินเช่อว่า “ก็พวกคนที่ชอบเรียนหนังสือไงละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “อ้อ เข้าใจแล้ว”


 


 


หลินเช่อถามต่ออย่างใคร่รู้ “ว่าแต่คุณมีเวลาเรียนตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้ภายในเวลาแค่ไม่นานได้ยังไงกันคะ การเรียนในมหาวิทยาลัยต้องใช้เวลาสี่ปีไม่ใช่เหรอ แล้วคุณเรียนทั้งหมดนี่ได้ยังไงน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออธิบาย “เธอไม่รู้เหรอ มีมหาวิทยาลัยบางแห่งที่เขาอนุญาตให้เธอเรียนพร้อมกันได้มากกว่าหนึ่งคอร์สน่ะ”


 


 


“แล้วจะเรียนไปทำไมเยอะแยะขนาดนี้คะ”


 


 


“ทุกอย่างล้วนใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น เรียนเอาไว้ก็ไม่เสียหายนี่”


 


 


“ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”


 


 


“แน่ละ ก็สมองเธอมีแค่นั้นนี่นา เธอจะไปเข้าใจอะไรล่ะ”


 


 


“นี่ กู้จิ้งเจ๋อ ฉันเรียนจบมหาวิทยาลัยมานะคะ”


 


 


“เธอเนี่ยนะเรียนจบมหาวิทยาลัย” เขามองอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


หลินเช่อถาม “ไหนคุณบอกว่าคุณตรวจสอบประวัติฉันหมดแล้วก่อนที่เราจะแต่งงานกันไงล่ะ”


 


 


“ผู้ช่วยของฉันจะไม่รายงานข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์”


 


 


“คุณหมายความว่าการศึกษาไม่มีประโยชน์งั้นเหรอคะ”


 


 


หลินเช่อพูดต่อด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องว่า “ฉันเรียนจบจากโรงเรียนการแสดง เป็นสาขาวิชาที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยนะ!”


 


 


“อ้อ จริงรึ” เขาเลิกคิ้วสูง


 


 


หลินเช่ออดรู้สึกผิดหน่อยๆ ไม่ได้ “ฉันเรียนจบจริงๆ สิคะ!”


 


 


“งั้นเหรอ แล้วทุนการศึกษาของเธอมีค่าเท่าไหร่ล่ะ”


 


 


หลินเช่อยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก เธอบุ้ยปากแล้วคิดว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าสุดท้ายเธอจะสอบไม่ผ่านล่ะสิ”


 


 


“เปล่านะ ฉันทำคะแนนได้หกสิบเอ็ดคะแนน มันผ่านนะคะ!”


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “หกสิบเอ็ดคะแนน โอ้ หลินเช่อ เธอเป็นนักเรียนที่น่าสงสารจริงๆ”


 


 


“…” เป็นครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าหลินเช่อจะรู้ว่าเขากำลังล้อเลียนเธอ


 


 


“คุณมันนักธุรกิจจอมเจ้าเล่ห์!”


 


 


“แล้วเธอไม่ชอบนักธุรกิจจอมเจ้าเล่ห์อย่างฉันเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อขยับเข้ามาใกล้ อยากจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มเธอยิ่งนัก


 


 


ความจริงก็คือเขาไม่ได้อยากจะเค้นความจริงอะไรจากเธอหรอก เขาแค่คิดว่ามันสนุกดีที่ได้แหย่เธอ


 


 


ท่าทางชื่นชมของเธอนั่นแหละที่ทำให้เขาภูมิใจจนแทบกลั้นเอาไว้ไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน 

 

 


ตอนที่ 81 เพื่ออนาคตของคนรุ่นหลัง

 

หลินเช่อทำตาขวางใส่ “ใครจะไปชอบคุณ คุณมันหลงตัวเองจะตายไป!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้ามองเธอ “แต่ตอนที่ฉันจูบเธอเมื่อวาน เธอก็ดูเหมือนจะชอบนี่”


 


 


“…” หลินเช่อร้องขึ้นทันที “ใครชอบกันยะ คะ…คะ…คุณพูดมาให้ชัดๆ นะ ตอนนั้นฉันกลัวต่างหากล่ะ โอเคมั้ย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหรี่ตา “เธอกลัวจริงๆ น่ะเหรอ ทำไมฉันคิดว่าเธอออกจะเพลิดเพลินกับมันต่างหาก”


 


 


“คุณเข้าใจผิดน่ะสิ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากเขาขยับเป็นรอยยิ้มเย้ายวน


 


 


“ต้องลองอีกครั้งถึงจะรู้” เขาพูดพลางขยับปรู๊ดเข้ามาใกล้


 


 


หลินเช่อตกใจกับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วจนต้องเอนตัวหนี แต่กู้จิ้งเจ๋อไวยิ่งกว่า มือข้างหนึ่งของเขาอยู่บนโซฟา ในขณะที่คว้ามือเธอที่กำลังพยายามผลักไสเขาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เขาจับข้อมือเธอไว้แล้วกดลงกับโซฟา


 


 


ด้วยความตกใจ หลินเช่อร้อง “ปล่อยฉันนะ กู้จิ้งเจ๋อ นี่มันห้องรับแขกนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเห็นแววช็อกในดวงตาเธอ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ยิ่งทำให้เขาพอใจยิ่งนัก


 


 


“ห้องรับแขกแล้วจะทำไมล่ะ นี่เป็นบ้านของเรา แล้วเราก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกไม่ว่าเราจะทำกันในห้องไหนน่ะ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อพยายามผลักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าออกไป มือของเธอวางทาบหน้าอกเขาจนรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อล่ำสันที่อยู่ตรงนั้น มันเต็มแน่นฝ่ามือของเธอทีเดียวแม้ว่าจะเพียงแค่แตะลงไปเท่านั้น


 


 


จะว่าไป ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายเขาก็ดูดีไปหมดทั้งนั้นนั่นแหละ


 


 


หลินเช่อทำอะไรไม่ถูก กู้จิ้งเจ๋อกำลังก้มลงมาหาเธอแล้ว มองดูเธอที่พยายามจะดิ้นรนหาทางหนี ริมฝีปากเขาแตะลงบนปลายจมูกเธอและค้างอยู่อย่างนั้น เขากำลังสนุกที่เห็นเธอสติแตก เขาค่อยๆ ทรมานเธอทีละนิด


 


 


“เอาละ ทีนี้บอกฉันหน่อยสิว่าชอบหรือเปล่า” ริมฝีปากเขาแตะไล้ไปบนปากเธอขณะที่เขากำลังยิ้มสนุก


 


 


หลินเช่อกัดริมฝีปากตัวเอง “ปล่อยฉันนะ กู้จิ้งเจ๋อ!”


 


 


“ตกลงชอบหรือเปล่า”


 


 


“ไม่ชอบ!”


 


 


“ตอบผิดแล้ว!” เขาจุ๊บลงมาอีก


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงร้อนไปหมด


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อนี่คุณกำลังล้อเลียนฉันนะ ระวังไว้ให้ดีเหอะ ฉันอาจจะถุยน้ำลายใส่คุณก็ได้”


 


 


“น้ำลายเหรอ” เขายิ้ม “ทำอย่างกับฉันไม่เคยชิมมาก่อนงั้นแหละ”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่มันรสนิยมประหลาดที่สุดเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไม่อย่างนั้นฉันจะแต่งงานกับเธอทำไมล่ะ”


 


 


“คุณ”


 


 


เขากำลังทำนิสัยไม่ดีจริงๆ เสียด้วย!


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ถ้าคุณไม่ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะเอาจริงแล้วนะ”


 


 


“ฮ่า ฉันก็อยากเห็นเธอเอาจริงเหมือนกัน”


 


 


“คุณประเมินฉันต่ำไปแล้ว กู้จิ้งเจ๋อ” หลินเช่อยิ้มแล้วทันใดนั้นเธอก็ยกเข่างั้น เล็งเป้าไปที่หว่างขาของเขาเต็มที่


 


 


“โอ๊ย” กู้จิ้งเจ๋อผงะและปล่อยเธอทันที ส่วนตัวเองนอนกลิ้งเค้เก้อยู่บนโซฟา


 


 


หลินเช่อตกใจ เธอคิดว่าเขาจะหยุดเธอได้ทันแต่กลับไม่ใช่คราวนี้


 


 


ชายหนุ่มนั่งกองอยู่บนผืนพรมราคาแพง ท่าทางเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด


 


 


หลินเช่อรีบคุกเข่าลงบนพรมข้างตัวเขาและมองดูอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง เธอพร่ำขอโทษ “ขอโทษนะคะ กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นยังไงบ้างน่ะ เจ็บมากมั้ย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหลินเช่อแล้วส่ายหน้า “ก็ไม่แย่เท่าไหร่ ฉันไม่เป็นไร”


 


 


“ถ้าเจ็บมากฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันเคยเล่นแบบนี้กับพวกเด็กผู้ชายสมัยยังเป็นเด็ก มันดูไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่สำหรับพวกเขา”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ “ก็แน่ละสิ พวกเด็กๆ ยังโตไม่เต็มที่นี่ มันก็เลยไม่เจ็บเท่าไหร่สำหรับพวกเขา เธอรู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าขนาดของฉันน่ะแตกต่างจากพวกเด็กๆ ขนาดไหน”


 


 


“…” หลินเช่อมองหน้าผู้ชายไร้ยางอายตรงหน้า นี่มันใช่เวลามาพูดอะไรแบบนี้มั้ยล่ะเนี่ย


 


 


“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เจ็บเท่าไหร่นี่คะ! ยังพูดตลกแบบนี้ได้น่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มอีกครั้ง “ฉันก็พูดตลกได้กับทุกเรื่องนั่นแหละ แต่ฉันไม่พูดตลกเรื่องขนาดหรอกนะ”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่เปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อก่อนคุณไม่ทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้สักหน่อยนี่นา”


 


 


ชายหนุ่มกวาดตามองมาที่หลินเช่อ “มันช่วยไม่ได้ ฉันอยากทำตัวหน้าไม่อายเวลาอยู่ใกล้ๆ เธอนี่นา”


 


 


นี่กลายเป็นความผิดของเธอไปแล้วเหรอ


 


 


“คะ…คะ…คุณ คุณไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหนน่ะ”


 


 


“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องสอนหรอกน่า ฉันเดาว่าผู้ชายทุกคนก็อยากมีลูกกันทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วเวลาที่เราได้พบผู้หญิงที่เราอยากให้อุ้มท้องลูกของเรา พวกเขาก็จะพูดจาแบบนี้เป็นเองโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างนี้ไงมนุษย์เราถึงสืบพันธุ์ได้”


 


 


“ไปให้พ้นเลยนะ คุณทำตัวหน้าไม่อาย ไม่ต้องมาทำเป็นพูดให้ฟังดูเข้าท่าเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม ทั้งที่ความจริงยังคงเจ็บหนัก


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเขา หลินเช่อจึงยังคงนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีอายๆ แล้วก้มหน้างุด


 


 


“เราควรไปโรงพยาบาลมั้ยคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอแล้วเข้าไปกระซิบที่ข้างหูว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่ช่วยนวดหน่อยเท่านั้นเอง”


 


 


หลินเช่อร้องลั่น “นวดงั้นเหรอ ไร้สาระน่ะ”


 


 


จะให้นวดที่อื่นก็คงนวดได้ แต่จะให้เธอนวดตรงส่วนนั้นได้ยังไงกันล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจับข้อมือเธอแล้วดึงเข้าไปใกล้ “ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดว่าเขากำลังจะดึงมือเธอลงไปตรงนั้นเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู


 


 


“จะ…จิ้งเจ๋อ นั่นคุณกำลังทำอะไรน่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมาทำอะไรเวลานี้นะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตกใจสุดขีด เขาไม่คิดว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะเดินเข้ามาในบ้านอย่างง่ายดายแบบนี้


 


 


เขารีบปล่อยมือหลินเช่อและลุกขึ้นทันที


 


 


ที่ข้างตัว หลินเช่อเองก็ผุดลุกรวดเร็วไม่แพ้กัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูโม่ฮุ่ยหลิงด้วยท่าที่ไม่ค่อยพอใจนัก “ฮุ่ยหลิง เธอเดินเข้ามาแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ” นี่เป็นบ้านของเขากับหลินเช่อ


 


 


นอกจากนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่ยังจะสามารถเดินเข้าไปในห้องของเพศตรงข้ามได้


 


 


จะเป็นยังไงถ้าเขากำลังเปลือยกายอยู่


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองดูท่าทีสนิทสนมของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้


 


 


ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิดละก็ กู้จิ้งเจ๋อกำลังดึงมือของหลินเช่อและไม่ยอมปล่อยงั้นเหรอ


 


 


พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากเสียจนแทบจะกลายเป็นคนคนเดียวกัน


 


 


อาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อดีขึ้นแล้วหรือยังไงนะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเหลือบมองหลินเช่อด้วยสายตาริษยาและชิงชัง


 


 


หลินเช่อมองดูคนทั้งคู่ก่อนจะเอื้อมไปหยิบบทละครบนโต๊ะ “พวกคุณคุยกันไปเถอะนะคะ ฉันจะเข้าไปอ่านบทก่อนล่ะ”


 


 


“หลินเช่อ” กู้จิ้งเจ๋ออยากเรียกเธอเอาไว้แต่โม่ฮุ่ยหลิงรีบตัดบทว่า “โอเค ขอบใจนะจ๊ะ หลินเช่อ”


 


 


จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาคว้าแขนเขาเอาไว้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูมือของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “ฮุ่ยหลิงปล่อยฉันก่อน มีคนรับใช้อยู่กันเต็มไปหมด ให้พวกเขาเห็นเราเข้าจะไม่ดี”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงจ้องหน้าเขาด้วยความขัดเคืองใจ “แล้วมันไม่เป็นไรที่จะเห็นคุณกับหลินเช่องั้นเหรอคะ ฉันแค่ดึงแขนคุณเท่านั้นเองนะ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”


 


 


“ฮุ่ยหลิง เขาเป็นภรรยาของฉัน ถึงใครเห็นก็ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


“คุณ” โม่ฮุ่ยหลิงยิ่งโกรธจัดเสียจนเธอกัดริมฝีปากแน่นและตะโกนลั่น “แต่ฉันก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กนะคะ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แล้วก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรด้วย แล้วทำไมมาตอนนี้มันถึงจะเป็นเรื่องไม่ดีไปได้ล่ะ”


 


 


“โอเค ปล่อยฉันก่อนก็แล้วกัน แล้วเราออกไปคุยกันข้างนอก”


 


 


สีหน้ากู้จิ้งเจ๋อบึ้งตึง เขามองหน้าโม่ฮุ่ยหลิงด้วยท่าทีดุดัน


 


 


เมื่อได้เห็นสีหน้าของชายหนุ่มแล้ว โม่ฮุ่ยหลิงก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก ได้แต่ยอมปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจ 

 

 


ตอนที่ 82 ฉันรู้สึกขยะแขยง

 

“ถ้าอย่างนั้น ไปบ้านฉันกันนะคะ” โม่ฮุ่ยหลิงบอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอแล้วพยักหน้ารับ


 


 


ทั้งสองขับรถออกจากบ้านตระกูลกู้


 


 


เมื่อมาถึงบ้านของโม่ฮุ่ยหลิง ทั้งกู้จิ้งเจ๋อและโม่ฮุ่ยหลิงก็ลงจากรถ จากนั้นหญิงสาวก็ลากตัวฝ่ายชายเข้าไปในห้องของเธอ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงบุ้ยปากอย่างแสนงอนเมื่อมองดูอีกฝ่าย “จิ้งเจ๋อคะ ฉันคิดถึงคุณมากเลยนะคะ ฉันอยากอยู่กับคุณทุกวัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธออย่างชั่งใจ “แต่ฮุ่ยหลิง ฉันแต่งงานแล้วนะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้าขึ้นมาทันควัน “คุณแต่งงานแล้วแต่คุณรักฉันนี่คะ จิ้งเจ๋อ อย่างบอกนะว่าคุณตกหลุมรักแม่นั่นน่ะ ไม่อย่างนั้นคุณจะอยากอยู่ใกล้ชิดหล่อนไปทำไม นี่คุณสองคนไปกันถึงไหนต่อไหนแล้วคะเนี่ย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่แน่ใจเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่เขาก็อยากจะอยู่ใกล้หลินเช่อตลอดเวลา


 


 


ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้เธอ มันทำให้เขาลืมทุกอย่างและทำตามความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ในใจ


 


 


มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการได้อยู่กับโม่ฮุ่ยหลิงโดยสิ้นเชิง


 


 


เขานึกสงสัยว่า มันเป็นเพราะเขาไม่เกิดอาการใดๆ ยามที่ได้แตะต้องเธอหรือเปล่านะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การได้อยู่ใกล้เธอทำให้เขารู้สึกปลอดภัย


 


 


กระนั้นเขากับโม่ฮุ่ยหลิงก็มีความผูกพันทางความรู้สึกต่อกัน มันเป็นเหมือนความรู้สึกคุ้นเคย เขาและเธอเป็นเหมือนเนื้อคู่ของกันและกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหลับตาและรู้สึกว่าเขากำลังทำให้โม่ฮุ่ยหลิงต้องผิดหวัง ชายหนุ่มถอนหายใจและปล่อยมือเธอ “ฮุ่ยหลิง ฉันคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าถ้าเราจะไม่ทำแบบนี้กันอีกต่อไป”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตกตะลึง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไป “ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันไม่อยากให้เธอต้องมาเสียเวลาในชีวิตวัยสาวของเธออีกต่อไปแล้ว ฉันทำเธอเสียเวลามาหลายปีมากแล้ว มันควรจะพอได้แล้ว ฉันแต่งงานกับเธอไม่ได้เพราะฉันไม่อาจแตะต้องตัวเธอได้ ตราบใดที่ฉันยังไม่สามารถรักษาตัวเองให้หาย ฉันก็จะไม่สามารถโดนตัวเธอได้เลย เธอจะต้องเป็นทุกข์อยู่กับฉันทุกเมื่อเชื่อวัน ครอบครัวของเธอก็ไม่มีวันยอมรับเรา เพราะฉะนั้นสำหรับเราแล้วมันแทบไม่มีอนาคตเลย และเป็นเพราะฉันที่เห็นแก่ตัวเกินไปที่ยังอยู่กับเธอมาจนถึงป่านนี้”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตัวสั่นสะท้าน


 


 


ใบหน้าเธอซีดเผือดเมื่อมองไปยังชายหนุ่มคนรักอย่างไม่อยากจะเชื่อหู


 


 


ริมฝีปากของเธอไร้สีเลือด


 


 


“ถ้าเธอยังอยู่กับฉันแม้ว่าฉันจะแต่งงานแล้ว แบบนี้มีแต่จะทำให้เธอต้องเสียเวลา ฮุ่ยหลิง เราเลิกกันเถอะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจทนมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิงได้


 


 


ถึงอย่างไรพวกเขาก็คบหากันมานานหลายปี


 


 


แม้ว่าเขาจะเลือดเย็นและไร้ความปรานีในการทำธุรกิจ แต่เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นแล้ว หัวใจของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน


 


 


ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น เตรียมตัวจะกลับ


 


 


แต่โม่ฮุ่ยหลิงคว้าแขนเขาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งฉุดทั้งดึง ไม่ยอมให้ไป


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ อย่าทิ้งฉัน อย่าทิ้งฉันไปนะ” เธอคร่ำครวญร่ำไห้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหลับตา “ปล่อยเถอะ ฮุ่ยหลิง เมื่อเธอได้พบกับคนใหม่ เธอก็จะลืมเรื่องของเราได้เองนั่นแหละ”


 


 


“ไม่นะ ฉันจะลืมได้ยังไง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่ คุณเป็นเพียงคนเดียวของฉัน คุณคือชีวิตของฉัน จิ้งเจ๋อ ฉันไม่สนหรอกค่ะว่าคุณจะป่วย ฉันไม่สนด้วยว่าฉันจะไม่สามารถสัมผัสเนื้อตัวคุณได้ ฉันแค่ต้องการมีคุณอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันไม่สนอีกเหมือนกันค่ะว่าคุณจะแต่งงานแล้ว ฉันจะรอคุณ ฉันจะรอจนกว่าทุกคนในตระกูลกู้และตระกูลโม่จะตายหมด จนกว่าจะไม่เหลือใครที่คอยขัดขวางความสัมพันธ์ของเรา นะคะ”


 


 


“ฮุ่ยหลิง นี่เธอพูดอะไรไร้สาระแบบนี้” กู้จิ้งเจ๋อห้ามเธอไม่ให้แช่งชักคนในครอบครัว แม้จะรู้ดีว่าที่หญิงสาวพูดไปเช่นนั้นก็เพราะความหวาดหวั่นกังวลใจ เขาถอนหายใจ จับตัวเธอไว้ให้สงบสติอารมณ์


 


 


“เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความจริงก็คือฉันเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว และฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะหย่า หลินเช่อกับฉัน เราไม่ได้เลิกกันง่ายๆ ขนาดนั้น เราเป็นสามีภรรยากัน เราใกล้ชิดกันก็เพราะว่าเราต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นมันไม่ยุติธรรมทั้งสำหรับเธอแล้วก็เขา”


 


 


“ฉันรู้ค่ะ แต่ถ้าไม่มีคุณ ฉันต้องตายแน่ ฉันแค่อยากที่จะเจอคุณ ได้พูดคุยกับคุณ มีคุณอยู่เป็นเพื่อน เท่านั้นเองนะคะ ฉันไม่อยากจากคุณไป ฉันจะขอรอคุณไปตลอดชีวิตค่ะ ฉันจะไม่ยอมแต่งงานหรือคบหาผู้ชายคนอื่น เพราะฉะนั้นอย่าเลิกกับฉันเลยนะคะ ฉันจะต้องตายแน่ๆ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูใบหน้าอาบน้ำตาของโม่ฮุ่ยหลิง


 


 


เขารู้ดีว่าเธอรักเขามาก รักมากจริงๆ


 


 


น่าสงสารเหลือเกิน ทำไมเขาถึงไม่สามารถสัมผัสตัวเธอได้นะ


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงสังเกตเห็นสีหน้าที่เริ่มจะอ่อนลงของชายหนุ่ม เธอก็ค่อยใจชื้นขึ้นมา


 


 


เธอคิดว่าในเมื่อหลินเช่อยังสามารถเข้าใกล้เขาได้โดยที่อาการของชายหนุ่มไม่กำเริบ งั้นบางทีอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋ออาจจะดีขึ้นแล้วก็เป็นได้


 


 


แล้วทำไมเธอจะลองโดนตัวเขาบ้างไม่ได้ล่ะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตรงเข้าไปหาเขาโดยที่ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วจูบเขาที่ริมฝีปาก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าโม่ฮุ่ยหลิงโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


เขาผลักเธอออกไป ไม่ใช่เพราะรู้สึกอึดอัด แต่เขาผลักเธอออกไปเพราะเขารู้สึกขยะแขยง


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงล้มลงบนเตียง เธอโกรธจัดทีเดียวเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกู้จิ้งเจ๋อด้วยความเสียใจ


 


 


ชายหนุ่มกำลังใช้มือของตัวเองเช็ดปากเป็นพัลวันอย่างลืมตัว จนกระทั่งเขานึกขึ้นได้ว่าโม่ฮุ่ยหลิงยังคงอยู่ตรงนั้น เขาจึงก้มหน้าลงมองเธอและพูดว่า “ฮุ่ยหลิง นี่เธอ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงอยากจะบีบคอหลินเช่อให้ตายนัก


 


 


ทำไมหลินเช่อถึงสามารถเข้าใกล้เขาได้ แต่เธอกลับทำไม่ได้ล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเองก็โกรธจัด เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า จู่ๆ โม่ฮุ่ยหลิงจะทะลึ่งมาจูบเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้


 


 


“ฮุ่ยหลิง ฉันบอกว่าฉันแต่งงานแล้วยังไงล่ะ ทำไมเธอถึงยังทำแบบนี้อีก”


 


 


เธอรู้ดีว่าเขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหน และเธอก็รู้ดีด้วยว่าการทำแบบนี้อาจจะทำให้อาการป่วยของเขากำเริบขึ้นได้ ซึ่งเขาก็เข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงได้ลุกขึ้นมาจูบเขาส่งเดชแบบนี้ แต่เขาก็บอกเธอไปแล้วว่าเขาแต่งงานแล้ว และการทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมกับทั้งสามคน แต่เธอก็ยังทำอยู่ดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อโกรธมาก เขามองหน้าโม่ฮุ่ยหลิงด้วยสายตาอันดุดันก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินออกไป


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตกใจยิ่งนักขณะมองเขาเดินออกไป แต่เธอก็กลัวเกินกว่าที่จะวิ่งไล่ตามเขา เธอเกรงว่าเขาจะโกรธเธอมากเสียจนไม่ยอมพบหน้าเธออีกเลย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมาถึงบ้านของเฉินอวี่เฉิงหลังจากนั้นเพียงไม่นาน


 


 


เขารีบแปรงฟันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัดและพะอืดพะอมในปาก


 


 


ชายหนุ่มไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะร่างกายหรือสภาพจิตใจของเขากันแน่ที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ แต่เขารู้สึกไม่ดีเอามากๆ


 


 


เขาแปรงฟันอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น แล้วก็แปรงอีกครั้ง


 


 


เฉินอวี่เฉิงได้ยินเสียงดังมาจากในห้อง เขาจึงเคาะประตู “นี่คุณล้อเล่นหรือเปล่านี่ แค่จูบเอง แต่คุณกำลังจะแปรงฟันจนยาสีฟันหมดหลอดอยู่แล้วนะ ขืนแปรงมากกว่านี้จะต้องเจ็บปากแน่ๆ ครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกระชากประตูให้เปิดออกโดยแรง


 


 


สีหน้าจริงจังของเขาทำเอาเฉินอวี่เฉิงต้องรีบหุบปาก “คุณกู้ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่กำลังจะบอกว่า ในเมื่อเธอเป็นคนที่คุณรู้จักคุ้นเคยดีอย่างนี้ มันก็ไม่น่าที่จะเป็นเรื่องน่ากลัวหรอก จริงไหมล่ะครับ ทำไมคุณไม่ลองควบคุมความคิดให้ได้ล่ะครับ แบบนั้นคุณจะได้สามารถบอกได้ว่าที่คุณรู้สึกอึดอัดไม่สบายนี่มันเป็นเพราะอาการทางใจหรือทางร่างกายกันแน่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสะกดอารมณ์เอาไว้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ แต่เขารู้สึกสกปรกและขยะแขยงเหลือเกิน ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งอยากจะแปรงฟันอีกครั้ง


 


 


แต่น่าแปลกที่เมื่อเวลาเขาจูบหลินเช่อ


 


 


เขากลับรู้สึกโหยหาและคิดถึง เขากลืนน้ำลายเธอโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยด้วยซ้ำ


ตอนที่ 83 รุนแรงมากไปหรือเปล่า

 

เฉินอวี่เฉิงตรวจดูอาการของกู้จิ้งเจ๋อ “ผมคิดว่าทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่คุณจินตนาการไปเอง ดูสิครับ ไม่มีผื่นอะไรเลย ครั้งนี้ยาอาจจะช่วยได้ แต่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเพราะคุณยังไม่คุ้นเคยกับการสัมผัสตัวผู้หญิงมากกว่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้ามองคนเป็นหมอ


 


 


“อืม อวี่เฉิง คุณช่วยโทรตามหมอประเภทอื่นมาด้วยได้มั้ย”


 


 


“หมอประเภทอื่นเหรอครับ ผมเชี่ยวชาญทุกด้าน แม้แต่ปัญหาสุขภาพเฉพาะทางแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะมีคำถามเรื่องอะไรนะครับ คุณกู้ คุณถามผมได้ทั้งนั้น”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อนัก


 


 


แต่ถึงกระนั้นเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ฉันมีคำถามเกี่ยวกับอวัยวะในพื้นที่ซ่อนเร้นน่ะ”


 


 


ความเงียบเขาปกคลุมเนิ่นนาน


 


 


เฉินอวี่เฉิงมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อเงียบๆ “คุณกู้ครับ เมื่อคืนนี้เกิดรุนแรงเกินไปหน่อยงั้นเหรอครับ ผมเข้าใจว่าพวกคุณสองคนเพิ่งแต่งงานกัน และนี่ก็เป็นความสัมพันธ์แบบโรแมนติกครั้งแรกของคุณเสียด้วย แต่ถ้ารุนแรงเกินไปมันก็ไม่ดีต่อร่างกายนะครับ บางครั้งคุณก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้บ้าง”


 


 


เฉินอวี่เฉิงแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่กู้จิ้งเจ๋อมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณนั้น นี่เขาจัดหนักไปขนาดไหนกันนี่


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อยิ่งบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก “หลินเช่อกับฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น เราไม่เคยนอนร่วมเตียงกัน!”


 


 


นายแพทย์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คุณพูดจริงเหรอครับ คุณไม่เคยลองเลยสักครั้งเลยงั้นเหรอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าเขาโดยไม่ตอบอะไร


 


 


เฉินอวี่เฉิงจึงพูดต่อไปว่า “น่าแปลกจริง ผมคิดว่าคุณสองคนเรียบร้อยไปแล้วซะอีก”


 


 


นี่เขาควบคุมตัวเองทั้งที่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้หญิงได้ยังไงกัน เขาน่าจะต้องหงุดหงิดงุ่นง่านสุดๆ ไปเลยสิ!


 


 


แล้วเฉินอวี่เฉิงก็นึกเห็นใจกู้จิ้งเจ๋อขึ้นมา ผู้ชายคนนี้คงจะต้องหักห้ามใจอย่างยากเย็นทีเดียว เขาช่างมีความอดทนอะไรอย่างนี้!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเห็นหลินเช่อแล้ว เธอทั้งสวย สะอาดสะอ้านและน่ารักเชิญชวนออกอย่างนั้น การต้องอยู่กับภรรยาสาวคนสวยแบบเธอน่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชายหนุ่มจะควบคุมตัวเองได้เลย


 


 


“คุณกู้ครับ ผมคิดว่าการที่คุณจะคอยห้ามใจตัวเองและเก็บกดเอาไว้มากๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกเหมือนกันนะครับ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมน่าจะช่วยได้มากสำหรับสุขภาพอารมณ์และโรคเดิมของคุณ”


 


 


“ตกลง ในเมื่อไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้อีกแล้ว งั้นหน้าที่ของนายก็หมดแค่นี้แหละ”


 


 


คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้กู้จิ้งเจ๋อหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


เฉินอวี่เฉิงยังพูดบางอย่างต่อ แต่กู้จิ้งเจ๋อหันหลังและเดินออกมาเสียแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้


 


 


พูดตามตรงแล้ว คนทั่วไปคงไม่แปลกใจอะไรถ้าผู้ชายอย่างเขาจะมีผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนอยู่เคียงข้าง


 


 


เขาไม่จำเป็นที่จะต้องคบหาใครเพียงคนเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ว่าเขาไม่อยากเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขาและหลินเช่อ ความรู้สึกของเธอ ตลอดจน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นให้เฉินอวี่เฉิงได้รู้


 


 


เขาแค่ไม่อยากบอก


 


 


ราวกับว่าหลินเช่อเป็นของเขาเพียงคนเดียวและเขาไม่อยากจะแบ่งปันเธอกับใครอื่น


 


 


ความลับระหว่างเขาและเธอจะต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียว เขาไม่อยากบอกให้ใครรู้ทั้งนั้น


 


 


นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกเหลือเกิน แต่มันมีบางอย่างที่ถูกสลักลึกเอาไว้ในหัวใจเขาซึ่งไม่อาจลบเลือนไปได้


 


 


เมื่อเป็นเรื่องของหลินเช่อ เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ แม้เขาจะรู้ดีว่ามันผิด แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงดู เป็นโม่ฮุ่ยหลิงนั่นเอง


 


 


เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาก็ตัดสินใจที่จะยกโทษให้โม่ฮุ่ยหลิง เขาเข้าใจว่าที่เธอทำลงไปแบบนั้นก็เป็นเพราะรักเขา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ปกติแล้วคนอย่างเธอจะทำ


 


 


เขารู้จักโม่ฮุ่ยหลิงมาตั้งแต่เด็ก แม้เธอจะหัวดื้อและอารมณ์ร้อนในบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนเลวร้าย


 


 


ชายหนุ่มรับสาย


 


 


[จิ้งเจ๋อยังโกรธอยู่หรือเปล่าคะ] เสียงนั้นน่าสงสารยิ่ง


 


 


“ไม่หรอก” เขาถอนหายใจ


 


 


[แล้วนี่คุณอยู่ที่ไหนคะ]


 


 


“ผมอยู่ที่บ้านหมอเฉิน”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรู้ดีว่าเขาจะไปหาเฉินอวี่เฉิงทุกครั้งที่มีปัญหา นายแพทย์ผู้นี้เป็นแพทย์ประจำตัวของกู้จิ้งเจ๋อมานานหลายปีแล้ว


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดขึ้นว่า [ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณอาการป่วยของคุณต้องกำเริบแบบนี้ นี่เป็นความผิดของฉันเอง ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วก็ลืมเรื่องอาการป่วยของคุณไปสนิทเลย]


 


 


“ไม่เป็นไร” กู้จิ้งเจ๋อตอบ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดต่อไปว่า [ครั้งนี้เป็นความผิดของฉันจริงๆ ค่ะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจูบคุณแบบนั้น]


 


 


“ฮุ่ยหลิง ฉันเคยบอกว่าฉันจะหย่าก็จริง แต่สำหรับตอนนี้ ฉันยังไม่ได้หย่า”


 


 


[ฉันรู้ค่ะ ฉันจะรอคุณ ฉันจะรอจนถึงวันที่คุณกับเขาแยกทางกันด้วยดี]


 


 


“เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”


 


 


[ไม่ค่ะ ฉันจะรอคุณค่ะ จิ้งเจ๋อ ฉันรักคุณ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อนคุณ!]


 


 


เมื่อเขาวางสาย ชายหนุ่มก็อดรู้สึกผิดต่อโม่ฮุ่ยหลิงขึ้นมานิดๆ ไม่ได้


 


 


แต่ถึงยังไง เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกเช่นกัน


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง


 


 


เมื่อวางสาย โม่ฮุ่ยหลิงก็ปาโทรศัพท์ลงกับพื้นและกระทืบซ้ำจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


 


 


สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงคิดอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ นังหลินเช่อนั่นสมควรตายจริงๆ


 


 


เธอต่างหากที่คู่ควรจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องของกู้จิ้งเจ๋อ เธอนี่แหละคือคุณนายกู้ผู้น่ายกย่อง


 


 


ทุกคนในวงสังคมล้วนรู้ดีว่าเธอกับกู้จิ้งเจ๋อคบหากันมานานหลายปี แต่แล้วเขากลับไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น!


 


 


ช่างน่าอับอายขายหน้าอะไรอย่างนี้


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อก็ไม่ใช่ของที่จะยอมตัดใจได้ง่ายๆ


 


 


เธอเคยคิดมาก่อนหน้านี้ว่าควรจะเลิกรากับเขาไปซะหากว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้ แต่หลังจากที่ได้รู้จักผู้ชายอีกมากมายในชีวิตแล้ว โม่ฮุ่ยหลิงก็พบว่าไม่มีใครที่ดีพอที่เธอจะทำให้ยอมทิ้งกู้จิ้งเจ๋อได้เลย ไม่มีใครที่จะเทียบได้ทั้งกับเขาและกับตระกูลกู้


 


 


ตระกูลกู้นับเป็นตระกูลผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศนี้ กู้จิ้งเจ๋อเองก็เป็นสุดยอดบุรุษของประเทศนี้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เขาแล้ว ก็ไม่มีใครอีกที่จะสามารถมอบชีวิตที่ดีที่สุดให้กับเธอและทำให้คนทั้งประเทศอิจฉาเธอได้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับมาถึงบ้าน แต่มองไม่เห็นหลินเช่อที่ปกติแล้วมักจะนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ด้วยความแปลกใจเขาจึงเอ่ยถามสาวใช้ “คุณผู้หญิงอยู่ไหนล่ะ”


 


 


สาวใช้ตอบ “คุณผู้หญิงบอกว่าเธอเหนื่อยมากและอยากเข้านอนแต่หัวค่ำค่ะ”


 


 


ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ


 


 


คนอย่างหลินเช่อเนี่ยนะจะง่วงเร็วถึงขนาดนี้ทั้งๆ ที่ปกติแล้วมักจะนั่งตาสว่างโพลงอยู่จนดึกดื่น


 


 


เมื่อเขาเปิดประตูห้องนอนแล้วก้าวเข้าไป เขาก็เห็นเธอนอนอยู่บนเตียง เหมือนจะหลับแล้วจริงๆ ตัวขดงอเป็นกุ้ง แตกต่างจากท่านอนตามปกติ


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อกวาดมองไปรอบๆ เมื่อเขาเดินเข้าไปที่เตียง


 


 


“เธอหลับแล้วเหรอ” เขาถาม


 


 


“อืม” ร่างที่นอนอยู่บนเตียงตอบ


 


 


ชายหนุ่มยิ้ม “เธอหลับแต่ก็ยังตอบคำถามได้อยู่อีกน่ะนะ นี่เธอนอนละเมอหรือไง”


 


 


ด้วยความอาย หลินเช่อจึงลืมตาขึ้น


 


 


เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังยกผ้าห่มขึ้นและสอดตัวเข้ามานอนข้างเธอ


 


 


“นี่ กู้จิ้งเจ๋อ ใครบอกว่าให้คุณเข้ามานอนได้น่ะ”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเขาออกไปกับโม่ฮุ่ยหลิง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาไปไหนมา แต่เธอก็แน่ใจว่าพวกเขาจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอย่างแน่นอน


 


 


“นี่เตียงฉันนะ ทำไมฉันจะนอนไม่ได้” มือของกู้จิ้งเจ๋อจับร่างของหลินเช่อที่พยายามดิ้นรนผลักไสเอาไว้

 

 

 


ตอนที่ 84 ฉันหวังว่านี่จะเป็นความทรงจำที่ดีนะ

 

หลินเช่ออยากจะเตะเขาออกไป “กู้จิ้งเจ๋อ อย่าให้ฉันต้องใช้กำลังบังคับนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


“ทำไมล่ะ หลินเช่อ เธอโกรธเหรอ” เขาจับมือเธอไว้ขณะที่มองหน้าเธอ “เธอโกรธนี่นา”


 


 


หลินเช่อหันหนี “ฉันไม่ได้โกรธ”


 


 


“ถ้าอย่างงั้นทำไมไม่ยอมมองหน้าฉัน”


 


 


“แล้วทำไมฉันจะต้องมองหน้าคุณด้วยล่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะ “งั้นก็แสดงว่าเธอหึงล่ะสิ”


 


 


หลินเช่อหูร้อนทันที เธอปัดมือเขาออก “ฉันต้องบ้าแน่ถ้าจะหึงคุณน่ะ! คุณนี่เป็นโรคจิตหรือไงนะ การแต่งงานของเราเป็นแค่เรื่องจอมปลอมนะคะ ไม่ใช่ว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เสียหน่อย!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะหันมามองหลินเช่อและถามว่า “นี่เธอไม่หึงจริงๆ เหรอ”


 


 


หลินเช่อพ่นลมพรืด “ก็ไม่น่ะสิคะ!”


 


 


เธอลุกขึ้นแล้วมองอีกฝ่าย “ฉันก็แค่ทำเป็นว่าหึงเท่านั้นแหละ ฉันรู้ค่ะว่าฉันแสดงเก่ง แต่อย่าคิดไปว่ามันเป็นเรื่องจริงสิคะ! ฉันเป็นนักแสดงมืออาชีพนะ แน่นอนว่าฉันจะต้องรับบทเป็นภรรยาแสนดีให้ออกมาดีที่สุดสิคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาอดที่จะรู้สึกผิดหวังขึ้นมานิดๆ ไม่ได้


 


 


“เข้าใจล่ะ” เขาผุดลุกขึ้นมาและพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอหึงและตั้งใจที่จะหลบหน้าฉันเสียอีก”


 


 


“ฮ่า คุณจะหลงตัวเองมากไปแล้วนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “แล้วการเป็นคนหลงตัวเองมันไม่ดีหรอกเหรอ”


 


 


“ก็ต้องไม่ดีสิคะ” หลินเช่อลุกขึ้นมานั่งบ้าง ทั้งสองคนนั่งเคียงกันอยู่บนเตียงนอน


 


 


เตียงนั้นกว้างใหญ่เสียจนยังมีที่ว่างอีกมากมายแม้พวกเขาจะนั่งอยู่ด้วยกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอ “การเป็นคนหลงตัวเองแปลว่าเรารักตัวเอง ถ้าเธอไม่รักแม้แต่ตัวเอง แล้วเธอจะคาดหวังให้คนอื่นมารักเธอได้ยังไงกันล่ะ”


 


 


“เหอะ เหลวไหลน่า” หลินเช่อร้อง “นายใหญ่ตระกูลกู้น่ะมีคนมาคอยรักตั้งมากมายก่ายกองไป เขาไม่จำเป็นต้องมารักตัวเองหรอกค่ะ”


 


 


“ฉันมีคนมาคอยรักมากมายก่ายกองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” กู้จิ้งเจ๋อถาม


 


 


หลินเช่อตอบ “ก็คุณหนูโม่หรืออะไรนั่นไงล่ะ ฉันเชื่อว่าต้องมีมากกว่าเธอแน่”


 


 


การพูดถึงโม่ฮุ่ยหลิงทำให้กู้จิ้งเจ๋อนึกถึงเหตุการณ์อันซับซ้อนวุ่นวายที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


แผนการเดิมนั้นเรียบง่ายมาก เขาและหลินเช่อตกลงที่จะแต่งงานกันโดยไม่เข้าไปข้องแวะกับชีวิตของอีกฝ่าย และรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้จนกระทั่งหย่าขาดจากกัน


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะเลยเถิดไปกว่าเดิมมาก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นว่า “ความสัมพันธ์ของฉันกับฮุ่ยหลิงไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรอก”


 


 


“ฉันคิดว่าอะไรละคะ” หลินเช่อเอียงคอถาม


 


 


ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “ฮุ่ยหลิงกับฉัน เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก เรารู้จักกันมาเกือบสามสิบปีแล้ว แต่เราก็ไม่เคยเกินเลยเป็นอย่างอื่น ฉันขอสัญญากับเธอว่าตราบใดที่ฉันยังแต่งงานกับเธออยู่ ฉันจะไม่ล้ำเส้นนั้นกับฮุ่ยหลิง ฉันจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเพื่อนและเหมือนน้องสาวเท่านั้น”


 


 


หลินเช่อรีบบอก “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไรกับฉันทั้งนั้น จริงๆ นะ ฉันไม่โกรธเลย ถึงยังไงคุณกับเธอก็รักกันมาตั้งแต่ต้น”


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นหลินเช่อก็อดซาบซึ้งใจไม่ได้ที่เขาอุตส่าห์อยากจะให้สัญญา


 


 


แม้ว่ามันจะเป็นคำสัญญาที่ไม่ได้มีความหมายอะไรก็ตาม แต่นั่นหมายความว่าเขายังคงให้เกียรติเธอและใส่ใจกับความรู้สึกของเธออยู่


 


 


หลินเช่อหันไปมองเขา “คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพื่อฉันหรอกค่ะ เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของกันและกันนี่คะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปหาเธอ “เราตกลงกันไว้แบบนั้นในตอนแรกก็จริง แต่ถึงยังไงตอนนี้เราก็แต่งงานกันแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันจะยุติธรรมกับเธอ เธออายุแค่ยี่สิบสามเท่านั้น แล้วนี่ยังเป็นการแต่งงานครั้งแรกของเธอด้วย เธอไม่ควรต้องมาอยู่กับเรื่องปวดหัวแบบนี้ ฉันอาจจะไม่สามารถให้ชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์กับเธอได้ แต่อย่างน้อยฉันก็จะไม่หักหลังเธอในเรื่องอื่น อย่างน้อยก็เพื่อให้ความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้เลวร้ายมากนัก”


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา หญิงสาวหัวเราะอย่างไม่สบายใจนัก “ไม่หรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะฉันเอง แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณมากนะคะ แล้วอย่างนี้คุณหนูโม่จะไม่โกรธแย่เหรอคะ”


 


 


“ตั้งแต่ที่ฉันเลือกจะแต่งงานกับเธอ เขาก็โกรธมาก ฉันรู้ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเหมือนกันแต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแต่งงานเท่านั้นนี่นา”


 


 


หลินเช่อพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่บอกเธอไปละคะ ว่าครอบครัวของคุณข่มขู่คุณว่าจะเล่นงานเธอ แล้วคุณก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับฉันเพื่อปกป้องเธอน่ะ”


 


 


“ช่างมันเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอกกับเขาแบบนั้น ฉันบอกเขามาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาสามารถทิ้งฉันไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ฉันยอมรับเรื่องนี้ได้เพราะมันก็เป็นความผิดของฉันเองทั้งหมดด้วย ถ้าฉันบอกเขาเรื่องนี้ มันก็จะยิ่งทำให้ฮุ่ยหลิงทำใจลำบากที่จะเลิกกับฉันเข้าไปอีก ฉันอยากให้เขาเป็นฝ่ายไปและได้มีชีวิตเป็นของตัวเองมากกว่า”


 


 


หลินเช่อยิ่งนึกตำหนิตัวเองหนักกว่าเดิม “ฉันขอโทษค่ะ เป็นความผิดของฉันเองทั้งหมดเลย”


 


 


“ในตอนแรกฉันก็อยากจะโทษเธอและเกลียดเธอ แต่เมื่อลองมาคิดดูดีๆ แล้ว ฉันก็ได้รู้ว่าเราสองคนต่างก็ตกกระไดพลอยโจนกับการแต่งงานครั้งนี้เหมือนๆ กัน เราต่างก็ถูกบังคับด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีอะไรที่จะต้องตำหนิเธอ” กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไปว่า “เธออายุยังน้อย เธอควรจะได้มีความรักกับผู้ชายคนอื่น แต่เพราะการแต่งงานของเรา เธอเลยต้องหมดโอกาสกับเรื่องทั้งหมดที่ว่านั่น เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องขอโทษฉันหรอก นี่ไม่ได้เป็นความผิดของเธอ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะความพลิกผันของโชคชะตานั่นแหละ ที่พาเรามาอยู่ตรงนี้ได้”


 


 


หลินเช่อก้มหน้า หาวหวอด เธอนั่งกอดเข่าและเริ่มรู้สึกง่วงงุน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูด “เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่เธอต้องการ ขอให้บอกฉัน ฉันยินดีที่จะเติมเต็มทุกอย่างที่เธอร้องขอมา”


 


 


“โอย จริงๆ นะคะ คุณไม่จำเป็นต้องมาชดเชยอะไรให้ฉันหรอกค่ะ ตอนนี้ฉันก็ได้มามากแล้ว ฉันคงไม่อาจขอชีวิตสมบูรณ์แบบที่ฉันมีทุกอย่างที่ต้องการหรอกค่ะ ฉันมีที่ให้นอน มีคนมากมายคอยดูแล มีเวลาที่จะมุ่งมั่นกับงานของตัวเอง แค่นี้ฉันก็พอใจมากแล้ว” หญิงสาวทอดตัวลงบนเตียงและยกผ้าห่มคลุมกายพลางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “คุณต้องอธิบายกับโม่ฮุ่ยหลิงให้เข้าใจนะคะ ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงเราก็แค่อยากมีคนพะเน้าพะนอเอาใจ ทั้งหมดที่คุณพูดกับฉันน่ะขอให้ทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ถ้าขืนคุณพูดกับเธอโดยมีคำว่า ‘แต่งงาน’ หลุดออกมาจากปากบ่อยๆ แบบนี้ละก็ คุณต้องตายแน่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “เวลาที่คนสองคนคบกัน พวกเขาก็ควรจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาไม่ใช่เหรอ”


 


 


“อ้อ ไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะ ถึงคุณจะทั้งหล่อทั้งรวย แต่คุณก็มีเพียงแค่คุณหนูโม่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ทิ้งคุณไปไหน คนอย่างคุณไม่มีปัญญาหาภรรยาได้แน่ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาใจผู้หญิงยังไง เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่ คุณอย่าได้เชื่อเป็นอันขาด เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าเธอไม่ได้โกรธคุณ เธอกำลังโกหกค่ะ เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าอย่าซื้อเลยเพราะมันราคาแพงเกินไป ก็แปลว่าเธอจะต้องฆ่าคุณแน่ถ้าคุณไม่ยอมซื้อให้น่ะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพึมพำ “ในชั้นเรียนจิตวิทยาของฉันก็เคยพูดถึงเรื่องนี้บ้างเหมือนกัน”


 


 


“ฮ่าๆๆ จะใช้จิตวิทยากับผู้หญิงน่ะเหรอคะ ถ้าการวิจัยเชิงจิตวิทยาสามารถเข้าใจผู้หญิงได้โดยสมบูรณ์ละก็ แสดงว่ามันไม่ใช่งานวิจัยเกี่ยวกับผู้หญิงแล้วละค่ะ ถ้าคุณใช้ทฤษฎีจิตวิทยาเพื่อเอาใจผู้หญิงแล้วละก็ คุณต้องอยู่คนเดียวห่อเ**่ยวตลอดไปแน่นอน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วเมื่อถามว่า “มันซับซ้อนขนาดนั้นเลยรึ ว่าแต่แล้วทำไมผู้หญิงถึงชอบให้เอาใจนักล่ะ”


 


 


เมื่อเขาหันไปหาหลินเช่อ เธอก็นอนหลับตาไปเสียแล้ว ลมหายใจของเธอเข้าออกอย่างช้าๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ


 


 


ช่างไร้หัวใจซะจริงเชียว


 


 


เมื่อได้เฝ้ามองใบหน้ายามหลับ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปปัดเส้นผมบนหน้าผากของเธอให้อย่างอ่อนโยน เขายกผ้าห่มขึ้น พลิกตัวด้านข้าง แล้วนอนลงข้างเธอ นอนตะแคงดูใบหน้าใสกระจ่างที่หลับอยู่ใกล้ๆ เขารู้สึกได้ถึงความสงบสงัดโดยรอบ หัวใจเขาของเขาเป็นสุขเมื่อได้นอนอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มหลับตา ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนไหลเข้าสู่ห้วงนิทรา 

 

 


ตอนที่ 85 ติดเชื้อเธอเข้าแล้ว

 

ตลอดทั้งคืน กู้จิ้งเจ๋อนอนหลับสนิทเป็นอันดี


 


 


สิ่งที่เขารับรู้ในเวลาต่อมาก็คือ แสงแดดของยามเช้าที่ส่องสว่างแล้ว


 


 


เมื่อตื่นนอนขึ้น เขาก็ได้เห็นเท้าของหลินเช่อวางเด่นอยู่ตรงหน้า ขาทั้งสองข้างของเธอพาดอยู่บนตัวเขา โรคนอนดิ้นของหลินเช่อทำให้เธออยู่ในสภาพนอนขวางเตียงเอาไว้


 


 


น่าแปลกที่เขาไม่ยักรู้สึกเลยว่าขาของเธอขยับมาพาดไว้ตอนไหนเมื่อคืนนี้


 


 


หลินเช่อที่เพลียหนักจากเมื่อวานยังคงอยู่ในสภาพง่วงงุน


 


 


“นี่…นี่กี่โมงแล้วน่ะ…” หลินเช่อเกาสะลึมสะลือเกาเท้าแกร่กๆ ขาข้างหนึ่งกระแทกเข้าที่หน้ากู้จิ้งเจ๋อ


 


 


ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีแล้วรีบลุกขึ้นนั่งทันที เขาหันไปมองหญิงสาวอย่างพูดอะไรไม่ถูกแล้วร้องขึ้นว่า “หลินเช่อ นี่เธอทำอะไรน่ะ!”


 


 


หลินเช่อหันมาเห็นคนตัวโตนั่งอยู่บนเตียง หน้าตาบูดบึ้งอย่างกับไปกินรังแตนที่ไหนมา


 


 


“อา โทษทีน่ะ…” เธอเกาหัวแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์มาดู เมื่อเห็นว่าเพิ่งจะเป็นเวลาหกโมงเช้าเท่านั้น เธอก็กางแขนล้มผึ่งลงกับเตียงอีกรอบ “พระเจ้า ยังเช้าอยู่เลย คุณตื่นขึ้นมาทำไมคะเนี่ย”


 


 


“นกที่ตื่นเช้าย่อมจับหนอนได้ก่อน อีกอย่าง การตื่นเช้าช่วยให้รู้สึกมีพลัง เหมาะกับงานใช้ความคิดยังไงล่ะ” เขาก้าวลงจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างกระฉับกระเฉง


 


 


หลินเช่อหันไปมองแล้วนึกอยากจะคารวะเขาจริงๆ


 


 


ไม่ว่ากู้จิ้งเจ๋อจะเข้านอนดึกดื่นแค่ไหน เขาก็จะตื่นขึ้นมาตอนหกโมงตรงเป๊ะทุกครั้งไม่เคยสายกว่านั้น แล้วก็สามารถลุกจากเตียงขึ้นไปทำโน่นทำนี่ได้ทันที ก่อนจะกลับมาตอนค่ำและทำงานต่อจนถึงกลางดึกจึงจะเข้านอน


 


 


หลินเช่อคิดว่าเขาไม่น่าจะได้นอนถึงเจ็ดชั่วโมง อย่างเก่งก็น่าจะหกเท่านั้น


 


 


มีเพียงเฉพาะช่วงที่เร่งถ่ายทำเท่านั้น ที่หลินเช่อจะต้องอดหลับอดนอนเป็นวันๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีโอกาส เธอก็จะหลับแบบเป็นตายชนิดปลุกไม่ตื่นเลยทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคงจะทำงานหนักมากทีเดียว


 


 


หลินเช่อจำไม่ได้แล้วว่าทำไมเมื่อคืนเธอกับเขาถึงลงเอยด้วยการนอนบนเตียงเดียวกัน แต่ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงเลือกที่จะกลับไปนอนต่อภายในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับออกมาจากห้องน้ำและได้เห็นหลินเช่อหลับปุ๋ยไปแล้วอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นในท่านอนคว่ำ


 


 


ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอา เขาคว้าผ้าห่มมาห่มให้ก่อนที่จะออกจากห้องไป


 


 


ตกบ่าย หลินเช่อนั่งมองสาวใช้ที่กำลังล้างรถ คิดว่าคงน่าสนุกดีที่จะร่วมวงด้วย


 


 


เมื่อสาวใช้เห็นเธอเดินเข้ามาก็รีบวางสายยางในมือลงเพราะเกรงว่าจะกระเซ็นโดนเข้าจนเปียก


 


 


หลินเช่อพูดหน้าตาเฉยว่า “ไม่เป็นไร ฉันอยากจะมาช่วยถูน่ะ สมัยอยู่บ้าน ฉันเคยช่วยพี่เลี้ยงล้างรถ รับรองเลยว่าทำได้เหมือนมืออาชีพแน่”


 


 


“คุณผู้หญิงคะ คุณไม่จำเป็นต้อง…”


 


 


“ไม่เป็นไรน่า ในเมื่อฉันเป็นคุณผู้หญิง ทุกคนก็ต้องเชื่อฟังสิ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สาวใช้ก็ไม่มีทางเลือก


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อกลับมาถึงบ้าน เขาถอดเสื้อนอกออกและหันไปถามว่า “คุณผู้หญิงล่ะ”


 


 


สาวใช้พยักพเยิดไปทางสวนหลังบ้านแล้วบอกว่า “คุณผู้หญิง…กำลังล้างรถอยู่ค่ะ”


 


 


“…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้าไปที่สวนหลังบ้านและได้เห็นหลินเช่อกำลังลงมือขัดถูด้านหลังของรถอย่างขมีขมัน ท่าทางราวกับพนักงานมืออาชีพก็ไม่ปาน


 


 


เมื่อได้เห็นเธอกำลังทำงานอย่างสนุกสนาน กู้จิ้งเจ๋อก็ส่ายหัว กระโปรงที่เธอสวมนั้นเปียกน้ำไปแล้วครึ่งหนึ่ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราว แต่เธอกลับไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะดูไม่ดีหรือกลัวว่าผิวจะเสีย เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ เธอกลับส่องประกายราวกับดวงอาทิตย์ ไม่ว่าใครที่ได้เห็นต่างก็พลอยรู้สึกสดชื่นไปด้วยทันตา


 


 


ดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะติดเชื้อเธอเข้าแล้วเพราะเขาเองก็พลอยรู้สึกเบิกบานไปด้วยเช่นกัน


 


 


สาวใช้เมื่อได้เห็นว่าเจ้านายไม่ได้หัวเสียอะไร หนำซ้ำยังยิ้มกริ่มทีเดียว ท่าทางเขาดูอารมณ์ดีเอามากๆ เธอจึงพูดขึ้นว่า “คุณผู้หญิงไม่เคยถือตัวกับพวกเราเลยค่ะ แถมเธอยังช่วยงานพวกเราด้วยซ้ำ เธอเป็นคนดีมากเลยนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมายิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาหลินเช่อ


 


 


“นี่เธอทำอะไรอยู่น่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย


 


 


หลินเช่อแหงนหน้ามอง “ทำงานอยู่น่ะสิคะ เรื่องใช้แรงงานนี่ฉันถนัดนักแหละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม “ไม่ยักรู้นะว่าเธอล้างรถเป็นด้วย”


 


 


หลินเช่อตอบ “ที่บ้านตระกูลหลินก็มีรถหลายคันอยู่ค่ะ สมัยก่อนฉันเคยต้องเป็นคนล้างรถ ลงแว็กซ์ก็เป็นนะคะ”


 


 


“เก่งขนาดนั้นเลยรึ”


 


 


“แน่นอนสิคะ ฉันทำได้ตั้งหลายอย่าง!” หลินเช่อยกนิ้วโป้งขึ้นเช็ดจมูกด้วยท่าทางภาคภูมิ จนทิ้งฟองสบู่เอาไว้บนปลายจมูกเล็กๆ นั่น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะและเอื้อมมือมาช่วยเช็ดให้


 


 


หลินเช่อใช้มือถูปลายจมูกไปมาอย่างน่ารักและมองหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา


 


 


หัวใจของกู้จิ้งเจ๋อเต้นระรัว


 


 


โดยไม่ทันได้คิดอะไร เพียงแค่มองหน้าเธอ เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาดอวลอยู่ในใจ


 


 


“อา นี่แหละข้อดีของรถยี่ห้อแพงๆ ล่ะ ทันทีที่ฉันทำความสะอาดเสร็จ มันก็จะดูใสปิ๊งเหมือนใหม่ทันทีเลย” หลินเช่อมองดูรถปอร์เช่ราคานับล้านหยวน


 


 


แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็พลันนึกขึ้นได้ในตอนนั้นเองว่าหลินเช่อไม่มีรถ เขาจึงถามออกไป “เธอขับรถเป็นหรือเปล่า”


 


 


“ฉันเหรอคะ ไม่เป็นหรอก…”


 


 


เขาบอกเธอว่า “จริงสินะ เธอซื่อบื้อออกอย่างนี้ ไม่น่าต้องถามเลย”


 


 


“เฮ้ ฉันมัวแต่ทำมาหากินเอาชีวิตรอดอยู่นี่นา ก็เลยไม่มีเวลาจะไปหัด โอเคมั้ยคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มและคิดว่าอย่างเธอคงดูไม่ดีนักกับการขับรถปอร์เช่คันโตแบบนี้ เธอน่าจะเหมาะกับรถเล็กๆ หน่อย


 


 


“เธอควรจะมีรถและเริ่มหัดขับได้แล้ว มันสะดวกกว่ามาก”


 


 


หลินเช่อตอบ “ใช่ค่ะ! ฉันก็ว่าจะซื้อสักคันตอนที่เก็บเงินได้มากพอ!”


 


 


อันที่จริงตอนนี้เธอก็หาเงินได้มากขึ้นแล้ว แต่ถึงจะพยายามเก็บออมยังไง ก็ยังพอจะซื้อได้แค่รถยี่ห้อธรรมดาทั่วไปเท่านั้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกระทบกระเทียบ “ก็ได้ งั้นเราคงต้องรอกันตลอดไปเลยกว่าเธอจะเก็บเงินได้มากพอ ไปซื้อรถกันเถอะ”


 


 


“หา ตอนนี้เลยเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้แหละเหมาะเลย เพราะฉันว่างอยู่ เร็วเข้าสิ”


 


 


“โอ๊ย ไม่ละค่ะ มันมากเกินไป ฉันยังต้องใช้เงินคุณอยู่เลย”


 


 


“งั้นแปลว่าเธอจะไม่ซื้องั้นเหรอ”


 


 


ดวงตาของหลินเช่อวาววาบ ซื้อสิ เธอต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้แน่ๆ ก่อนจะรีบหัวเราะออกมา “ซื้อสิคะ ซื้อๆๆ ซื้อแน่นอน ฉันจะซื้อค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดเบาๆ “นี่เธอควบคุมตัวเองหน่อยไม่ได้หรือไง”


 


 


“ไม่เอาน่า ฉันต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองหลังหย่าด้วยสิ ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะใช้เงินคุณ แต่ฉันก็ต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองด้วยนี่คะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่วหน้า เขาไม่ชอบเลยที่เธอพูดเรื่อง ‘หย่า’ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาแบบนี้


 


 


“คนหน้าเงิน”


 


 


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันคิดเรื่องเงินสักหน่อย คุณควรจะหัดทำตัวให้ชินไว้นะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อมายังร้าน 4S


 


 


ทันทีที่เจ้าของร้านเห็นชายหนุ่มมาถึง เขาก็รีบตรงเข้ามาทักทายด้วยตัวเองในทันที เขามองดูคนทั้งสองด้วยท่าทีเคารพนบนอบยิ่ง “คุณกู้ครับ มาซื้อรถให้คุณผู้หญิงเหรอครับ”


 


 


“ใช่ นี่ภรรยาฉันเอง” กู้จิ้งเจ๋อแนะนำ


 


 


เจ้าของร้านตกตะลึงทีเดียวก่อนจะรีบพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณผู้หญิงมากทีเดียวครับ”


 


 


แน่ล่ะว่าต้องคุ้นหน้า เพราะเธอเริ่มที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วในช่วงนี้น่ะสิ


 


 


เจ้าของร้านถามต่อไป “คุณนายกู้ต้องการรถประเภทไหนครับ”


 


 


หลินเช่อไม่มีตัวเลือกใดในใจ เธอจึงหันไปมองกู้จิ้งเจ๋ออย่างจะรอคำตอบ 

 

 


ตอนที่ 86 เจอศัตรูบนทางแคบจริงๆ เลย

 

กู้จิ้งเจ๋อคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะตอบว่า “คันที่ไม่แพงเกินไปนักก็แล้วกัน เพราะเป็นรถสำหรับผู้หญิง”


 


 


หลินเช่อรีบเสริม “ใช่ค่ะ ใช่เลย อย่าให้แพงนัก เดี๋ยวคนอื่นจะอิจฉา”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพลิกดูแค็ตตาล็อกแล้วพูดขึ้นว่า “คันนี้น่าจะดี ขอเป็นสีเหลืองแล้วกันจะได้สว่างหน่อย เธอจะได้ไม่หลงทางบนถนน” กู้จิ้งเจ๋อหันไปมองอย่างล้อเลียน


 


 


หลินเช่อหน้าเสีย “ฉันไม่ใช่หมูนะคะ ฉันไม่หลงทางบนถนนหรอกน่า”


 


 


ขณะที่พูด หญิงสาวก็ก้มลงมองแค็ตตาล็อกและได้เห็นรถปอร์เช่เก้าหนึ่งหนึ่ง คันที่กู้จิ้งเจ๋อพูดถึง ทำเอาเธอถึงกับช็อกสนิท


 


 


เธอคิดว่าตอนที่เขาพูดถึงรถราคาไม่แพงเกินไปนัก เขาจะหมายถึงรถที่ราคาราวๆ สักสองแสนหยวน เธอไม่คิดเลยว่าไอ้คำว่าไม่แพงเกินไปนักของเขามันจะหมายถึง…


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ มันไม่แพงไปหน่อยเหรอคะ” เธอถาม


 


 


เขาตอบว่า “ทำไมมันถึงจะต้องแพงไปด้วยล่ะ”


 


 


หลินเช่อพูดต่อ “คันนี้นี่มันสองหรือสามล้านเลยนะคะ นี่ยังไม่แพงอีกเหรอ”


 


 


เขาตอบอีกว่า “ถ้านี่เรียกแพง งั้นการจ้างโชเฟอร์ไว้คอยขับรถให้เธอคงจะแพงยิ่งกว่านี้อีก”


 


 


“หา”


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออธิบายต่อ “โชเฟอร์ของบ้านตระกูลกู้น่ะ จ้างกันปีละสามล้านหยวนนะ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อเคยคิดว่าพวกคนขับรถเหล่านี้มีชีวิตที่ยากลำบาก ต้องมีความรับผิดชอบสูงแถมยังต้องคอยดูแลเธอเป็นอย่างดีอีกต่างหาก ตอนนี้เธอได้รู้แล้ว…ว่าพวกเขาก็รวยไม่เบาทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่งสัญญาณเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งซื้อรถ


 


 


เจ้าของร้านก็รีบดำเนินการให้ด้วยความยินดียิ่ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหญิงสาวแล้วพูดว่า “เธอรออยู่นี่สักพักนะ ฉันจะไปรับรถแล้วก็ตรวจเช็กให้เอง”


 


 


“ฉันไปด้วยสิคะ” เธอร้อง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมาแตะปลายจมูกเธอเบาๆ “เป็นเด็กดีแล้วรออยู่ตรงนี้นะ รถต้องทดลองขับสักหน่อยน่ะว่าปลอดภัยหรือเปล่า เธออย่าไปเลยจะดีกว่า”


 


 


หลินเช่ออดเขินไม่ได้ที่เขาแตะจมูกเธอแบบนั้น


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำได้แต่เพียงมองตาละห้อยเมื่อเขาเดินออกไป ก่อนจะหันกลับมา


 


 


ด้วยไม่มีอะไรให้ทำ หลินเช่อจึงจัดแจงเดินสำรวจเสียทั่วร้าน นี่เป็นเครือร้านค้าจำหน่ายรถยนต์หรู นอกจากขายรถแล้ว พวกเขายังขายอะไหล่ต่างๆ ด้วย นับเป็นร้านที่มีไว้เพื่อคอยให้บริการบรรดาลูกค้าผู้มั่งคั่งทั้งหลาย ตัวร้านตกแต่งอย่างมีสไตล์จนดูเหมือนคาเฟ่เก๋ไก๋ในล็อบบี้โรงแรมไม่มีผิด มีเก้าอี้หนานุ่มวางอยู่ทุกที่ มีโต๊ะกาแฟและของประดับประดาวางเอาไว้บนนั้น


 


 


หลินเช่อมองเห็นขนมที่วางอยู่บนโต๊ะจึงรีบหยิบมาถือไว้ คิดว่าเดี๋ยวจะกินสักหน่อย บรรดาพนักงานก็คอยติดสอยห้อยตามหลินเช่อไม่ห่าง ด้วยรู้ดีว่าเธอมากับกู้จิ้งเจ๋อ พวกเขาสามสี่คนจะคอยตามติดหญิงสาวชนิดเป็นเงาตามตัว พร้อมรับใช้ทันทีที่เธอเรียกหา และมองดูหญิงสาวด้วยความริษยาไปพร้อมกัน


 


 


ถึงแม้หลินเช่อจะได้ชื่อว่าเป็นดาราแล้ว แต่เธอก็เพิ่งได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นซีรีส์ย้อนยุคที่การแต่งหน้าทำผมและเสื้อผ้าในเรื่องยิ่งทำให้จำไม่ได้ว่าเป็นเธอ ด้วยเหตุนี้พนักงานทั้งหลายจึงไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่


 


 


ขณะที่กำลังสาละวนหยิบขนมอยู่นั้นเอง หลินเช่อก็ได้ยินสุ้มเสียงสุภาพเป็นผู้ดีที่คุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง หญิงสาวรีบหันไปมองทันควัน


 


 


“หลินลี่ ที่แม่ต้องให้หนูมาเป็นเพื่อนด้วยเนี่ยก็เพราะว่าฉินชิงมัวแต่ยุ่งเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้ พอดีแม่อยากจะซื้อรถสักคันก็เลยต้องรบกวนให้หนูมาเป็นเพื่อนแทน” เฉินเหม่ยลี่ คุณนายผู้หรูหรามีระดับจากตระกูลฉินกำลังเดินผ่านเข้าประตูมาโดยมีหลินลี่คอยช่วยประคองเป็นอย่างดี และรอบตัวพวกเขายังมีพนักงานอีกจำนวนหนึ่งของห้อมล้อมดูแล


 


 


ทุกคนจำหลินลี่ได้และรู้จักเฉินเหม่ยลี่ในฐานะคุณนายตระกูลฉิน ทั้งสองจึงได้รับการเอาใจใส่และเคารพนบนอบเป็นอย่างดี


 


 


หลินเช่อไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาเจอทั้งคู่เข้าที่นี่


 


 


แม่สามีและลูกสะใภ้มาที่นี่เพื่อซื้อรถเช่นกัน…


 


 


เจอศัตรูบนทางแคบเสียจริง


 


 


ทันใดนั้นเอง เฉินเหม่ยลี่ก็เงยหน้าขึ้นและเห็นหลินเช่อยืนอยู่


 


 


“หือ นั่นหลินเช่อใช่หรือเปล่าน่ะ แม่มองไม่ค่อยถนัด ใช่มั้ย ใช่เธอรึเปล่า”


 


 


หลินลี่จึงเงยหน้าขึ้นมองบ้าง แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นหลินเช่อจริงๆ


 


 


เฉินเหม่ยลี่รู้จักหลินเช่อมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะในสมัยเป็นเด็ก ทั้งหล่อนและฉินชิงเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน


 


 


หลินเช่อมักจะเข้ามาเล่นกันฉินชิงที่บ้านเป็นประจำ แต่เฉินเหม่ยลี่ไม่เคยชอบใจเลย แล้วก็หวังว่าเด็กหญิงจะไม่มาที่บ้านอีก


 


 


เฉินเหม่ยลี่เดินตรงเข้าไปหา พนักงานหลายคนยังคงจำหลินเช่อไม่ได้


 


 


เมื่อมองจากระยะไกล หล่อนก็คือหลินเช่อนั่นเอง แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เฉินเหม่ยลี่ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปสำหรับหล่อน


 


 


หลินเช่อสวยขึ้นมากเหมือนกับดอกไม้แรกแย้ม เธอเคยเป็นเด็กหญิงอ้วนๆ เหมือนก้อนหยกที่ตั้งประดับบ้าน แต่ตอนนี้เธอกลับดูสวยบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าก็หรูหรามีราคา เนื้อตัวผ่องใสสะอาดสะอ้าน หล่อนดูดีขึ้นมาจริงๆ


 


 


แต่ถึงอย่างไร เฉินเหม่ยลี่ก็ไม่ชอบใจอยู่นั่นเอง “หลินเช่อ เธอมาทำอะไรที่นี่ มาซื้อรถงั้นเหรอ”


 


 


น้ำเสียงนั้นมีแววล้อเลียนเจืออยู่ด้วย เธอรู้ดีว่าราคาของรถที่นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเงินซื้อกันได้ง่ายๆ


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่าย ถึงอย่างไรเฉินเหม่ยลี่ก็เป็นผู้ใหญ่ เธอจึงตอบกลับไปอย่างเรียบร้อยว่า “อา คุณน้าฉิน บังเอิญอะไรอย่างนี้คะเนี่ย เชิญคุณสองคนตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวฉันไปดูตรงโน้นก่อนค่ะ”


 


 


“นี่ หลินเช่อ ฉันยังพูดกับเธอไม่จบนะ ทำไมถึงต้องหนีหน้าด้วยล่ะ” เฉินเหม่ยลี่เรียกตัวหล่อนไว้


 


 


หลินเช่อหันกลับมา


 


 


เฉินเหม่ยลี่ลองถามอีก “พักนี้ได้เจอฉินชิงบ้างหรือเปล่า”


 


 


หลินเช่อตอบ “ไม่เลยค่ะ”


 


 


“จริงเหรอ ไม่เคยเจอเลยเหรอ เธอแกล้งบอกฉันหรือเปล่า” เฉินเหม่ยลี่ทำเสียงเยาะๆ


 


 


หลินเช่อขมวดคิ้ว เธอเริ่มรู้สึกได้ถึงความชิงชังในน้ำเสียงของอีกฝ่าย “คุณน้าฉินคะ ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะค่ะ”


 


 


เฉินเหม่ยลี่ไม่สบอารมณ์ที่เห็นหลินเช่อทำท่าเย่อหยิ่งไม่ยอมลงให้ต่อหน้าเธอเช่นนี้ จึงพูดออกไปทันทีว่า


 


 


“หลินเช่อ ฉันได้ยินมาว่าเธอเกิดเรื่องขึ้นจนถูกพาตัวไปสถานีตำรวจ พวกเขาบอกว่าฉินชิงของเราเป็นคนช่วยเธอออกมาไม่ใช่รึ”


 


 


อ้อ เรื่องนี้นี่เอง


 


 


ฉินชิงก็ช่วยจริงๆ นั่นแหละ


 


 


หลินเช่อหันไปหาเฉินเหม่ยลี่และตอบว่า “ใช่ค่ะ เขาช่วยฉัน”


 


 


เฉินเหม่ยลี่ตบโต๊ะดังปังใหญ่ “หลินเช่อ อย่าหาว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ แต่ฉินชิงน่ะหมั้นหมายกับพี่สาวของเธอแล้ว และตอนนี้เขาก็เป็นพี่เขยของเธอ”


 


 


หลินเช่อมองหน้าผู้สูงวัยกว่าด้วยสายตาประหลาดใจ “แล้วการที่พี่เขยมาช่วยฉันนี่มันผิดตรงไหนหรือคะ”


 


 


“เธอ…” เฉินเหม่ยลี่มองหน้าหลินเช่ออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “ฉันรู้นะว่าเธอมีใจให้ฉินชิงมานานแล้ว แต่ฉันอยากจะขอเตือนเธอสักหน่อย ว่าเธอไม่คู่ควรกับฉินชิงของเราหรอก เขาไม่มีวันหันมาสนใจลูกนอกสมรสอย่างเธอหรอก ตอนนี้เธอเป็นยังไงน่ะเหรอ แค่ได้เป็นดาราแล้วก็มีเงินขึ้นมาหน่อย ก็จะเริ่มคิดหาทางกลับมายุ่งกับฉินชิงอีกงั้นรึ เฮอะ ฉันจะบอกเธอเอาไว้เลยนะ ว่าไม่มีทางเลยสำหรับคนอย่างเธอ”


 


 


หลินเช่อนิ่งฟังถ้อยคำเหยียดหยามก่อนจะยิ้มออกมาเงียบๆ


 


 


ที่ด้านข้าง หลินลี่กำลังทำตัวสงบเสงี่ยมต่อหน้าแม่สามี แต่ก็ไม่อาจแอบซ่อนสายตาเหยียดหยามเอาไว้ได้ เธอมองหลินเช่อพร้อมเหยียดริมฝีปากเย้ยเยาะ สนุกกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้น


 


 


“คุณน้าฉินคะ คุณน้าคงเข้าใจผิดไปแล้วละค่ะ ฉินชิงเป็นแค่เพื่อนฉันเท่านั้น และตอนนี้ก็ยิ่งมากลายเป็นญาติกันด้วย ถึงแม้ว่าฉินชิงจะเป็นคนดี แต่เขาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ผู้หญิงทุกคนอาจจะชอบเขา แต่ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว ฉันไม่ได้สนใจฉินชิงเลยสักนิดค่ะ!” 

 

 


ตอนที่ 87 เห็นเธอรู้สึกไม่ดี เขาก็รู้สึกไม่ดีไปด้วย

 

เฉินเหม่ยลี่หัวเราะเสียงเย็นพลางมองมาที่หญิงสาว “เธออาจจะหลอกคนอื่นได้นะ แต่เธอคิดว่าเธอจะหลอกฉันได้งั้นรึ ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นั่งทำการบ้านกับฉินชิงของเรามาตลอด ฉินชิงผู้ใสซื่อของเราบอกว่าเธอเป็นคนดี แต่ฉันรู้ดีนะว่าเธอมีเจตนาแอบแฝงอะไรน่ะ”


 


 


หลินเช่อตกตะลึง


 


 


การขุดเอาเรื่องราววัยเด็กขึ้นมาพูดแบบนี้ทำให้เธอทั้งเสียใจและอับอาย


 


 


แม้สถานการณ์อาจจะยังเหมือนเดิม แต่คนเราก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแล้ว ใบหน้าของหลินเช่อเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อเธอจ้องตอบเฉินเหม่ยลี่ “การที่ฉันดีกับเขานี่เป็นเพราะว่าฉันมีเจตนาแอบแฝงเหรอคะ”


 


 


“เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเธอจะไปคิดเรื่องดีๆ ได้ยังไง เธอหลอกลวงฉินชิง เธอเห็นว่าเขาเป็นคนดีแล้วก็ไร้เดียงสา เธอก็เลยคิดว่าเขาน่าจะเป็นเหยื่อให้เธอตะครุบได้ง่ายๆ เธอคิดว่าถ้าเธอจับฉินชิงอยู่แล้วเธอจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างนั้นละสิ อา ฉันรู้ทันความคิดต่ำๆ ของเธอดีหรอกน่า ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่เสียใจด้วยนะที่ตระกูลฉินไม่ได้ยอมให้ใครเข้ามาง่ายๆ”


 


 


หลินเช่อกัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น เมื่อถูกพูดถึงความรู้สึกของเธอในสมัยก่อนทำให้หญิงสาวโกรธจนแทบจะหน้าเขียว


 


 


ความรู้สึกที่เธอมีให้กับฉินชิงนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยลืมเลือนและไม่อาจเลิกใส่ใจกับมันได้ โดยเฉพาะเมื่อใครๆ ต่างก็รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร มีเพียงฉินชิงเท่านั้นที่ไม่เคยรู้เลย


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพช


 


 


เฉินเหม่ยลี่สังเกตเห็นว่าหลินเช่อกำลังนั่งดื่มกาแฟโดยไม่มีรถแม้สักคันให้ได้เห็น เธอจึงหันไปยิ้มกับพนักงานและพูดขึ้นว่า “นี่พวกเธอก็ช่างไม่รู้จักดูคนเอาเสียเลยนะ หล่อนดูเหมือนคนที่มีปัญญาซื้อรถหรูๆ หรือเปล่าเนี่ย หล่อนอาจจะแค่มากินฟรีเท่านั้นแหละ หล่อนคิดว่าหล่อนเป็นดาราแล้วก็จะมีปัญญาซื้อรถแพงๆ ได้งั้นเรอะ ลองดูสารรูปหล่อนสิ คิดว่าหล่อนขับรถดีๆ ได้หรือเปล่า คิดว่าหล่อนคู่ควรจะมีสักคันหรือเปล่า”


 


 


“คุณน้าฉินคะ กรุณาอย่าล้ำเส้นให้มากเกินไปนักนะคะ!” หลินเช่อผุดลุกขึ้น จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธจัด


 


 


เฉินเหม่ยลี่จับมือหลินลี่ไว้เพื่อพยุงตัวขณะที่เธอลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาหลินเช่ออย่างวางมาด


 


 


เธอพูดต่อไปว่า “ก็แล้วทำไมเธอไม่หัดดูสารรูปตัวเองให้ดีเสียก่อนล่ะ ไปกันเถอะหลินลี่ ร้านนี้มันเต็มไปด้วยกลิ่นสาบคนจน ถึงได้เหม็นหึ่งไปหมดแบบนี้”


 


 


“แต่อย่างน้อยก็ยังกลิ่นดีกว่าผู้หญิงแก่ๆ อย่างคุณน้านะคะ” หลินเช่อโต้เข้าให้


 


 


เฉินเหม่ยลี่ตกใจอย่างที่สุด รีบหันขวับมา หน้าตาเหยเกบิดเบี้ยวจนทำเอารอยเ**่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งชัดเจนขึ้น “แก…แกมัน…” เธอโกรธจัดเสียจนทำท่าว่าจะกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย บรรดาพนักงานต้องรีบช่วยกันรั้งตัวไว้


 


 


เฉินเหม่ยลี่เดินจากไปพร้อมทั้งบริภาษด่าทอไม่ขาดปาก


 


 


หลินเช่อทรุดตัวลงนั่งด้วยความหงุดหงิด เธอมองหลินหลี่ที่หันหลังกลับมาแสยะยิ้มเยาะๆ ให้


 


 


ถึงแม้ว่าจะสามารถจัดการเอาคืนเฉินเหม่ยลี่ได้ แต่หญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง และทันทีที่เขาเห็นหลินเช่อนั่งหน้าหมองเศร้า สีหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเป็นดุดันทันที


 


 


แววตาของเขาขุ่นมัว


 


 


“หลินเช่อ” เขาเรียกเธอจากทางด้านหลัง


 


 


หลินเช่อหันไปมองด้วยความประหลาดใจ “รถเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”


 


 


เขามองเธอ “เมื่อกี้มีเรื่องอะไรกันน่ะ”


 


 


เขามองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากระยะไกลแต่ไม่อาจได้ยินบทสนทนาได้


 


 


หลินเช่อพยายามฝืนยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกไม่สบายใจนักที่หลินเช่อพยายามทำตัวเข้มแข็ง


 


 


สีหน้าเขาเริ่มบึ้งตึงยิ่งขึ้นไปอีก เขามองหน้าเธอนิ่งนาน


 


 


หลินเช่อรีบอธิบายว่า “ฉันชินแล้วละค่ะ เขาจะพล่ามอะไรไร้สาระก็ไม่มีผลอะไรกับฉันหรอก ถ้าฉันทะเลาะกับเธอ วันรุ่งขึ้นต้องกลายเป็นข่าวพาดหัวแน่ว่าฉันรังแกคนแก่น่ะ”


 


 


เธอพูดพลางพยายามฝืนยิ้ม ซึ่งไม่ได้ทำให้ดูดีขึ้นเลย


 


 


แม้ว่าจะพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่รอยยิ้มแห้งแล้งนั้นก็ทำให้หัวใจของกู้จิ้งเจ๋ออยู่ไม่เป็นสุข


 


 


เมื่อเห็นเธอรู้สึกไม่ดี เขาก็พลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย


 


 


ชายหนุ่มเม้มปากและจับมือเธอไว้ “อยากเห็นพวกนั้นเดือดร้อนมั้ยล่ะ”


 


 


“อยากสิคะ…แต่ว่าคุณจะทำอะไรเหรอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอามือเธอวางไว้บนท่อนแขนเขาแล้วยิ้มน้อยๆ เมื่อได้เห็นสีหน้าแฝงความร้ายกาจนั่น หลินเช่อก็รู้ได้เลยว่าอารมณ์ของเขากำลังเปลี่ยนไป


 


 


เธอรู้สึกได้ว่าสีหน้าของเขาดูดุดันกว่าปกติ ดวงตาสีดำสนิทนั้นก็ลึกล้ำเกินหยั่งถึงราวกับท้องฟ้ายามราตรี


 


 


“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่จะให้เธอได้ดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น” มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชนิดที่ผู้หญิงคนไหนก็ต้องบอกว่าเซ็กซี่เป็นที่สุด มันให้ความรู้สึกซุกซนและร้ายกาจไปพร้อมกัน


 


 


ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ตอบอะไร กู้จิ้งเจ๋อก็พาเธอเดินไปมาอยู่ร่วมสิบนาทีได้ จนกระทั่งเธอได้ยินใครบางคนพูดขึ้นว่า “คนทำรถท่านเสียหายครับ”


 


 


หลินเช่อได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดของเฉินเหม่ยลี่ดังขึ้นตามมา “แกรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร เราจะไปทำรถนั่นพังได้ยังไงกัน เราไม่แตะต้องรถพรรค์นั้นหรอก มันก็แค่ของเล่นราคาไม่กี่ล้าน เรา…”


 


 


ในตอนนั้นเองกู้จิ้งเจ๋อก็ฉุดมือหลินเช่อให้ทำทีเป็นเดินผ่านเข้าไปแบบไม่ตั้งใจ เสียงทุ้มลึกเหมือนเชลโล่ของเขาถามว่า “ใครทำรถที่เราเพิ่งซื้อเสียหายงั้นเหรอ”


 


 


แล้วหลินเช่อก็มองเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของตระกูลกู้เดินตรงเข้ามา “ท่านครับ ผู้หญิงคนนี้ทำรถเราเสียหายและพยายามที่จะหนี เราโทรแจ้งตำรวจแล้วและกำลังรอให้เข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อยู่ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำเอะอะเสียงดังแล้วก็ไม่ยอมรับว่าเธอเป็นคนทำครับ”


 


 


หลินลี่และเฉินเหม่ยลี่หันมาทางกู้จิ้งเจ๋อที่อยู่ในชุดดำสนิททั้งตัว ดูสูงส่งและงามสง่าราวกับเทพเจ้า


 


 


เฉินเหม่ยลี่ตกใจ และยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นหลินเช่อที่กำลังยืนเกาะแขนเขาอยู่ข้างๆ


 


 


ดวงตาของหลินลี่เป็นประกายวาบด้วยความอิจฉาทันทีที่เห็นหลินเช่อ


 


 


นังหลินเช่อนี่มายืนอยู่ข้างกู้จิ้งเจ๋อแบบนี้ มองแล้วเสียสายตาจริงเชียว


 


 


เฉินเหม่ยลี่ที่ตกใจในตอนแรก แต่เธอก็ได้เห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อเพียงแต่ปรายตามองเธอเพียงแวบเดียวเท่านั้นราวกับไม่อยากจะสนใจเธอให้เสียเวลา และพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า “ในเมื่อตำรวจกำลังจะมา งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการสิ พวกนายจะส่งเสียงเอะอะไปทำไมกัน”


 


 


เฉินเหม่ยลี่พ่นลมพรืดเสียงดังและเอ็ดอึงขึ้นอีกครั้งว่า “ตระกูลฉินเราไม่ชายตามองรถราคาแค่ไม่กี่ล้านแบบนั้นหรอก แล้วเราจะไปเสียเวลายุ่งกับมันทำไมกัน อีกอย่าง เธอคิดว่าการเรียกตำรวจมาจะช่วยแก้ปัญหาได้งั้นรึ ฉันเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตำรวจจะมีปัญญาทำอะไรกับฉัน แต่ฉันไม่เชื่อว่าเธอยังจะสามารถโทษว่าเป็นความผิดฉันได้อีกแน่ๆ!”


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง นั่นยิ่งทำให้เฉินเหม่ยลี่ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก


 


 


เมื่ออีกฝ่ายพูดจบ กู้จิ้งเจ๋อก็คำรามเบาๆ โดยไม่มองตาเฉินเหม่ยลี่ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ของตัวเองว่า “บอกตำรวจว่าฉันไม่ค่อยชอบใจเธอคนนี้เท่าไหร่ เธอทำผิดแต่กลับไม่ยอมสำนึกผิด ให้ตำรวจจัดการให้เรียบร้อย แล้วอย่างน้อยให้ตำรวจจับเธอเข้าคุกสักสองสามวันก่อนที่จะให้เธอออกมาทำลายความสงบอีกครั้ง”


 


 


เฉินเหม่ยลี่ตกใจสุดขีด ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ


 


 


เธออยากจะตอบโต้แต่หลินลี่ห้ามไว้เสียก่อน


 


 


หลินลี่หันไปมองกู้จิ้งเจ๋ออย่างนึกริษยา แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่เธอก็รีบกระซิบบอกเฉินเหม่ยลี่ที่ข้างหูว่า “คุณแม่คะ…นี่คือกู้จิ้งเจ๋อ กู้จิ้งเจ๋อแห่งตระกูลกู้น่ะค่ะ”


 


 


เฉินเหม่ยลี่หน้าเผือดสีทันที แม้แต่รองพื้นหนาที่ทาไว้ก็ไม่อาจปกปิดอาการได้


 


 


ผู้ชายคนนี้คือกู้จิ้งเจ๋องั้นรึ


 


 


เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันควัน เธอเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาก่อน


 


 


แต่ถึงอย่างไร เมื่อหันไปมองหลินเช่อ เธอก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดีนั่นเอง


 


 


จะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน หลินลี่ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ นังผู้หญิงไร้ค่าแบบนี้จะไปรู้จักคนอย่างกู้จิ้งเจ๋อได้ยังไง

 

 

 


ตอนที่ 88 ฉันจะช่วยเธอสั่งสอนคนพวกนี้เอง

 

แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังสามารถมองเห็นบรรดาบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงรายกันอยู่ด้านหลัง เป็นภาพที่สร้างความหวาดหวั่นได้ไม่น้อยทีเดียว แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ เธอมองหลินเช่ออย่างเหยียดหยามและพูดขึ้นว่า “หลินเช่อ นังแพศยา แค่เพราะเดี๋ยวนี้แกมีเงินขึ้นมาก็เลยจะมาจัดฉากหาเรื่องฉันแบบนี้รึ ถ้าฉินชิงรู้เข้าเขาจะต้องตามมาจัดการแกแน่”


 


 


นังแพศยางั้นเหรอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่งสายตาให้บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างตัว บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็ก้าวออกไปและเงื้อมือตบเข้าที่หน้าของเฉินเหม่ยลี่ดังฉาดใหญ่ทันที


 


 


แก้มของเฉินเหม่ยลี่ร้อนผ่าว สีหน้ายิ่งบอกว่าชัดไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น


 


 


หมอนี่กล้าตบเธอเลยเชียวเหรอ


 


 


“แก…แกกล้าตบฉันรึ ขอให้จำไว้ด้วยล่ะว่าตระกูลฉินไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่”


 


 


หล่อนทำท่าจะกระโจนใส่เขา แต่ก็ถูกบอดี้การ์ดร่างใหญ่ขวางเอาไว้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาพูดโดยไม่มีความปรานีหลงเหลืออยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อยว่า “ขออภัยด้วย บอดี้การ์ดของผมออกจะใจร้อนเกินไปหน่อย บางทีอาจเป็นเพราะผมสั่งเอาไว้ว่าถ้ามีใครบังอาจดูถูกคุณหลินก็ขอให้จัดการตบซะให้ปากฉีกทันที เดี๋ยวผมจะกลับไปอบรมพวกเขาใหม่”


 


 


เฉินเหม่ยลี่สั่นไปทั้งตัว ใบหน้ายิ่งบึ้งตึง


 


 


“แก…นี่แกกล้าพูดแบบนี้กับฉันรึ แกคิดว่าจะมาหยามตระกูลฉินได้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ “คุณนายฉินครับ ผมมั่นใจว่าคนตระกูลฉินเป็นคนมีเหตุผล แต่นี่คุณทำรถที่ผมเพิ่งซื้อให้หลินเช่อพัง แถมยังพูดจาดูถูกเธอแต่กลับมาบอกว่าผมต่างหากที่กำลังดูถูกคุณอย่างนั้นหรือครับ”


 


 


“แก…แกวางแผนหลอกฉัน ฉันไม่ได้ทำรถพังซะหน่อย ฉันต้องการเรียกตำรวจ หมอนี่กำลังใส่ร้ายฉัน!”


 


 


สีหน้าของเฉินเหม่ยลี่เปลี่ยนไปในทันที


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ได้เลยครับ ว่าแต่ตำรวจมาถึงหรือยัง คุณนายต้องการที่จะแจ้งความ”


 


 


“ท่านครับ ตำรวจมาถึงแล้ว”


 


 


ทันใดนั้นเอง กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเครื่องแบบตำรวจก็รีบเร่งเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง


 


 


เมื่อเฉินเหม่ยลี่เห็นเข้า เธอก็รีบพูดขึ้นว่า “คนพวกนี้วางแผนหลอกฉันแล้วก็ไม่ยอมให้ฉันไป มีคนหนึ่งตบหน้าฉันด้วย ฉันต้องการให้ตรวจดูอาการบาดเจ็บ!”


 


 


ตำรวจมองดูเฉินเหม่ยลี่ด้วยท่าทีสับสน


 


 


เฉินเหม่ยลี่จึงพูดต่อไปอีก “ฉันเป็นคุณนายตระกูลฉิน ฉันต้องการพบหัวหน้าของพวกเธอ เขาต้องรู้จักสามีฉันแน่ๆ สามีของฉันเป็นประธานของตระกูลฉิน ฉินเม่าเซิง”


 


 


อย่างไรก็ตาม ตำรวจเพียงแค่ปรายตามองเฉินเหม่ยลี่เพียงเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินตรงเข้าไปหากู้จิ้งเจ๋อ “คุณกู้ครับ ขออภัยในความไม่สะดวก เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองไปทางเฉินเหม่ยลี่ “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนที่ฉันมาถึงผู้หญิงคนนี้ก็กำลังอาละวาดใหญ่โตแล้ว เธอบอกว่าเธอมาจากตระกูลฉินและไม่มีใครกล้าทำอะไรเธอ เธอยังทำรถคันใหม่ของฉันเป็นรอยด้วย”


 


 


ตำรวจหันไปหาเฉินเหม่ยลี่แล้วพูดว่า “คุณนายฉินครับ คุณทำผิด เราต้องทำตามกฎหมาย คุณทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นเพราะฉะนั้นเราจะต้องนำตัวคุณกลับไปกับเราเพื่อทำการสืบสวนเพิ่มเติม ได้โปรดตามเรามาด้วย”


 


 


“แก…แกนี่มัน” เมื่อเฉินเหม่ยลี่เห็นตำรวจตรงเข้ามาจะจับกุมตัว เธอก็ตื่นตระหนกสุดขีดแล้วหันไปหากู้จิ้งเจ๋อ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะสามารถพลิกโลกได้ ถึงแกจะเป็นกู้จิ้งเจ๋อแล้วยังไงล่ะ พวกแกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกกล้าแตะต้องฉันละก็ฉันไม่ปล่อยไว้พวกแกแน่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มเย็น “แต่ผมก็กำลังพลิกโลกอยู่ตอนนี้นี่ยังไงล่ะครับ ถ้าไม่เชื่อคุณนายฉินจะลองทดสอบด้วยตัวเองดูก็ได้”


 


 


เฉินเหม่ยลี่จ้องมองท่าทีไม่อนาทรร้อนใจของอีกฝ่ายก่อนจะยอมจำนนอย่างจำใจ นี่ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างที่สุด


 


 


ผู้ชายคนนี้กุมโลกทั้งใบเอาไว้ในมือได้จริงอย่างนั้นเหรอ


 


 


คนพวกนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าตระกูลฉินจะยิ่งใหญ่แค่ไหนและตรงเข้ามานำตัวเธอไปอยู่ดี


 


 


หลินลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าพูดอะไร เธอได้แต่จ้องมองกู้จิ้งเจ๋อจนลูกตาแทบถลนออกมา เธอสาละวนช่วยยื้อยุดฉุดดึงเฉินเหม่ยลี่จนเหนื่อยหอบ ดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยลงมาจนเห็นเนินไหล่ โชคยังดีที่เธอแต่งหน้ามาด้วยเครื่องสำอางอย่างดีที่สุด เธอหันไปมองกู้จิ้งเจ๋อที่ยืนสูงสง่าทรงอำนาจด้วยความรู้สึกริษยา หญิงสาวไม่อาจห้ามความชื่นชมที่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าได้ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสได้พบเจอบุคคลสูงส่งเช่นนี้ ตระกูลฉินแม้ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ระดับบีที่ไม่ใช่ใครจะแตะต้องกันได้ง่ายๆ และทุกคนก็ต้องอิจฉาเธอ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลกู้แล้ว ตระกูลฉินก็แทบจะไร้ค่าไปเลย คนธรรมดาไม่มีวันได้มาถึงจุดนี้ เขาเป็นบุคคลที่เธอทำได้เพียงแค่ฝันถึงเท่านั้น


 


 


แต่วันนี้ผู้ชายอย่างเขามาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และเขายังดูดีอย่างเหลือเชื่อ ใครกันที่จะห้ามใจไม่ให้หลงเสน่ห์เขาได้


 


 


หลินลี่กระพือขนตาและพยายามใช้น้ำเสียงยั่วยวนใจขณะเอ่ยขึ้นว่า “คุณกู้คะ ฉันหวังว่าคุณจะกรุณาปล่อยคุณน้าไปเพื่อเห็นแก่ฉันด้วยเถอะค่ะ ท่านพูดจาไม่ทันคิดแต่ท่านไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น”


 


 


เฉินเหม่ยลี่คิดว่าหลินลี่ช่างน่ารักเหลือเกินที่อุตส่าห์เสนอตัวมาช่วยเธอจากกู้จิ้งเจ๋อ เธอหันไปมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาซาบซึ้งใจ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับไม่แม้แต่จะหันไปมองหลินลี่สักวินาทีเดียว หญิงสาวอุตส่าห์รวบรวมเสน่ห์ทั้งหมดที่มีมาใช้ แต่กลับได้รับเพียงคำถามดุดันกลับมาว่า “เธอเป็นใคร”


 


 


หลินหลี่ผงะ


 


 


“ฉะ…ฉันเป็นพี่สาวของหลินเช่อค่ะ เราเคยเจอกันมาก่อนแล้ว ฉันยังเป็นดาราเหมือนกับหลินเช่อด้วย” หลินลี่รีบก้าวออกมาข้างหน้า


 


 


แต่บอดี้การ์ดกลับออกมาขวางเอาไว้ไม่ให้เธอเข้าไปใกล้กู้จิ้งเจ๋อได้


 


 


ชายหนุ่มพ่นลมออกทางจมูกแล้วมองหน้าหลินลี่ “เสียใจด้วย ฉันไม่รู้จักดารา หลินเช่อเองก็ไม่มีพี่สาว ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเธอมาก่อนเลย” เมื่อพูดจบ เขาก็คว้าข้อมือหลินเช่อเพื่อแสดงความสนิทสนมใกล้ชิดให้ได้เห็นอย่างชัดเจน


 


 


หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาตำรวจ “ฉันจะปล่อยให้พวกนายจัดการกับคนที่เหลือพวกนี้ก็แล้วกัน”


 


 


จากทางด้านหลัง พนักงานของร้านรีบถามขึ้นว่า “คุณกู้ครับ แล้วเรื่องรถจะทำยังไงดีครับ จะให้พวกเราช่วยจัดการรอยที่เกิดขึ้นให้หรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันจะเอาของที่เสียหายแล้วแบบนั้นให้ผู้หญิงของฉันได้ยังไงกันล่ะ โดยเฉพาะเมื่อมันโดนคนอื่นแตะต้องมาแล้วแบบนั้น ฉันไม่อยากให้หลินเช่อรู้สึกสกปรกเวลานั่งรถคันนี้ เอามันไปทิ้งซะ แล้วช่วยสั่งคันใหม่ที่เหมือนกับคันนี้ แล้วเอาไปส่งให้ที่บ้านฉันด้วยก็แล้วกัน”


 


 


ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันประหลาดใจและมองตามหลังกู้จิ้งเจ๋อที่เดินออกไปพร้อมหลินเช่อโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก พนักงานและคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ช่วยคุมตัวเฉินเหม่ยลี่เอาไว้ต่างก็ช่วยกันเคลียร์พื้นที่ พนักงานต่างหันมองกู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตาชื่นชม


 


 


นี่ไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงแต่อย่างใด กู้จิ้งเจ๋อช่างน่าทึ่งเหลือเกิน เขาหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง


 


 


หลินเช่อช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้อยู่เคียงข้างเขา


 


 


หลินลี่กัดฟันแน่นและจ้องมองด้านหลังของหลินเช่อด้วยความชิงชัง หล่อนอยากจะฉีกหลินเช่อออกเป็นชิ้นๆ


 


 


เมื่อมองดูกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็ต้องปั่นป่วนใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายในอารมณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากมายและทรงอำนาจมากขนาดนี้ เขาเป็นบุรุษผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศนี้อย่างไม่มีคู่แข่งเลยจริงๆ


 


 


เฉินเหม่ยลี่ยังคงฟาดงวงฟาดงา เธอยังคงตกใจที่ต้องถูกจับกุมตัวและถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างหลินเช่อเล่นงานเอาแบบนี้


 


 


ที่แย่ที่สุดก็คือหลินเช่อมีคนอย่างกู้จิ้งเจ๋อคอยเคียงข้าง ทำให้เธอไม่มีทางจะกำจัดเด็กนั่นได้เลย 

 

 


ตอนที่ 89 เขาอยากให้เธอมีความสุขขึ้น

 

กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อออกมาจากที่แห่งนั้น เธอเหลียวมามองด้านหลังและได้เห็นว่าทุกคนออกไปจากร้านกันหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเฉินเหม่ยลี่จะถูกพาตัวไปสถานีตำรวจจริงๆ หญิงสาวจึงระบายลมหายใจอย่างโล่งอกและเอียงคอมองชายหนุ่มข้างตัวด้วยความประหลาดใจ


 


 


ในสายตาของหลินเช่อแล้ว ตระกูลฉินก็เป็นตระกูลที่มั่งคั่งไม่น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วคนอย่างหลินลี่คงไม่ยอมเข้าไปใกล้ชิดจนกระทั่งได้แต่งงานกับฉินชิงในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน


 


 


หลินเช่อพูดขึ้นว่า “ว้าว แล้วรถเสียหายได้ยังไงล่ะคะ พวกเขาทำจริงๆ หรือเปล่า คุณจัดการเรื่องนี้ยังไงน่ะ” กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าลงมาแล้วพูดว่า “จะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก มันเป็นแค่เกมเล็กๆ เท่านั้นแหละ ถ้าเธออยากเล่นงานใครสักคน มันก็มีหนทางอยู่เสมอนั่นแหละ”


 


 


“จริงเหรอคะ”


 


 


“ที่สำคัญกว่านั้น ฉันยังมีความสามารถที่จะป้ายความผิดให้เขาและทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยเพราะฉันคือกู้จิ้งเจ๋อยังไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อมองคนตรงหน้าอย่างนึกสงสัย “มันก็ดีที่เป็นคนรวยหรอกนะคะ แต่ว่าทำแบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ”


 


 


เธอนึกกังวลว่าการไปล่วงเกินตระกูลฉินอาจจะสร้างปัญหาตามมาได้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหลินเช่อ “ความพยายามทุ่มเทอย่างหนักที่จะหาเงินของฉันก็ทำเพื่อสิ่งนี้นี่แหละ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่โดนใครรังแกยังไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย เธอไม่เคยคิดเลยว่าอิทธิพลของเขาจะมากมายมหาศาลแบบนี้ หัวใจเธอพองโตด้วยอย่างยกย่องชื่นชม


 


 


หลินเช่อยิ่งนึกชื่นชมเขามากขึ้นไปอีกขณะที่มองดูชายหนุ่ม ดวงตาของเธอเป็นประกายวาววับ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังประสบความสำเร็จ เมื่อได้เห็นหญิงสาวที่ทำท่าทางราวกับลูกแมวน้อยที่กำลังได้รับความรัก


 


 


ยิ่งได้รับการชื่นชมจากเธอแบบนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยกับการดูแลธุรกิจครอบครัวมากแค่ไหน ยังไงมันก็คุ้มค่าอย่างที่สุด


 


 


เขารู้สึกพอใจเหมือนสามีที่ได้รับคำชมจากภรรยาหลังจากทำงานอย่างหนักมาทั้งวัน


 


 


หลินเช่อเป็นคนแปลก แม้ว่าเธอจะทำท่าชื่นชมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน แต่เธอก็ดูจริงใจอย่างที่สุด


 


 


หลินเช่อถามต่อไปว่า “แต่คุณจะทิ้งรถนั่นจริงๆ เหรอคะ มันราคาตั้งหลายล้านนะ ถ้าคุณไม่ต้องการมันแล้ว ทำไมไม่เก็บไว้ให้ฉันล่ะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อพูดไม่ออก “นี่เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง ตอนที่ฉันบอกว่าฉันไม่ต้องการมันแล้ว ฉันหมายความว่าฉันไม่ต้องการมันแล้วจริงๆ มันก็ราคาแค่ไม่กี่ล้าน เดี๋ยวฉันซื้อคันใหม่ให้เธอเองน่า”


 


 


หลินเช่อแล่บลิ้นแผล่บ เธอรู้สึกเสียดายของขึ้นมาจับใจ เธอมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อแล้วบอกกับเขาว่า “ฉันแค่รู้สึกว่าเพราะเรื่องตบตาเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เราต้องมาเสียรถดีๆ ไปทั้งคันเลยนะคะ รถที่น่าสงสารไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยสักหน่อยนะ ฮือ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองตาอีกฝ่ายเงียบๆ เธอกำลังหาข้ออ้างเวลาที่เธอทำใจปล่อยวางกับอะไรไม่ได้อยู่นั่นเอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงบอกว่า “ก็ได้ เราไม่ทิ้งรถนั่นก็ได้ เธออยากได้ก็เอาไป จะขาย จะใช้ก็แล้วแต่ มันเป็นของเธอ”


 


 


สีหน้าของหลินเช่อแช่มชื่นขึ้นทันตา “ว้าว จริงเหรอคะ กู้จิ้งเจ๋อ คุณใจดีที่สุดเลย” หลินเช่อดึงแขนเขาแล้วเขย่าโดยแรง เธอดีใจมากถึงขนาดที่ว่าถ้าเธอมีหางละก็คงจะกระดิกซ้ายกระดิกขวาไม่หยุดแน่


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูรอยยิ้มของเธอแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอย่างเอ็นดู เขารู้สึกว่าความโกรธที่เกิดขึ้นในตัวแรกค่อยๆ มลายหายไปเมื่อได้เห็นเธอมีความสุข


 


 


“น่าเสียดายนะคะ บรรยากาศดีๆ เลยเสียหมดเลย” หลินเช่อบ่นอุบ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอก “เอารถกลับบ้านกันก่อนดีกว่า”


 


 


รถนั้นสวยมากทีเดียว หลินเช่อเฝ้าลูบคลำไม่หยุดและถามว่า “มันเหมือนกับคันเมื่อกี้เปี๊ยบเลยเหรอคะ”


 


 


“ใช่ เหมือนกันเลย”


 


 


“งั้นเราจะมีรถสองคันไปทำไมกันละคะ ฉันอาจจะขายสักคันก็ได้ แต่ฉันจะไปขายที่ไหนดีล่ะ ถ้าฉันประกาศขายออนไลน์ คนจะคิดว่าเป็นรถขโมยมาหรือเปล่าคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “เดี๋ยวฉันจะขอให้คนช่วยเธอจัดการเรื่องขายรถเอง”


 


 


“จริงเหรอคะ กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่เยี่ยมที่สุดเลย!” หลินเช่อยิ้มจนตาหยีเป็นเส้น เธอดูน่ารักเอามากๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า เขาคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่เคยให้ของขวัญแล้วก็ช่วยทำลายของขวัญนั้นเพื่อใครคนหนึ่งไปพร้อมกัน


 


 


ถ้าจะว่าเขาเป็นคนโง่ ก็คงจะเป็นผู้ชายที่โง่งมอย่างที่สุดเลยล่ะ เพราะแม้จะรู้ดีว่าหลินเช่อนั้นสนใจแต่เรื่องเงิน แต่เขาก็อดใจที่จะให้ของขวัญเธอไม่ได้จริงๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถามต่อ “จะเอาแต่พูดแค่นี้เองน่ะเหรอ”


 


 


หลินเช่อสงสัย “แล้วคุณจะคาดหวังอะไรละคะ คุณมีเงินตั้งเยอะตั้งแยะจนถึงแม้ฉันจะให้เงินคุณ คุณก็คงไม่รู้สึกอะไร”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขยับหน้าเข้ามาจนใกล้ “งั้นก็จูบแสดงความจริงใจหน่อยเป็นไงล่ะ”


 


 


“…” หลินเช่อหน้าแดง รีบถอยหนี “ไปให้พ้นเลยนะ อย่ามาล้อเล่นแบบนี้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “ถ้าเธอไม่เต็มใจ งั้นฉันจะจูบเธอเป็นค่าตอบแทนที่ซื้อรถให้ดีมั้ยล่ะ”


 


 


“ไม่เอานะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายแล้วหัวเราะร่วน เขายังคงหยอกเย้าต่อไป “งั้นเธอต้องหาทางขอบคุณฉัน”


 


 


“แต่คุณมีทุกอย่างที่คุณต้องการแล้วนี่คะ” หลินเช่อว่า


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเสนอขึ้นว่า “ทำไมเธอไม่ทำอาหารให้ฉันกินล่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองเขาอย่างชั่งใจ “คุณกล้ากินอาหารที่ฉันทำด้วยเหรอคะ”


 


 


“กล้าสิ”


 


 


“ฉันขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนเลยนะว่ามันจะออกมาห่วยแตกมาก”


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันรับได้” กู้จิ้งเจ๋อไม่เคยเห็นเลยว่าเธอเป็นยังไงเวลาที่ลงมือทำอะไรสักอย่าง เขาจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นอย่างยิ่ง


 


 


หลินเช่อห่อปากแล้วรับคำเสียงอ่อยๆ “ตกลงค่ะ ฉันจะทำอาหารให้คุณทาน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


หลินเช่อยังพยายามห้ามไม่ขาดปาก “แต่ฉันบอกแล้วนะ คุณจะต้องเสียใจกับมันแน่ๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่เชื่อว่าเธอจะทำออกมาได้แย่ถ้าทำตามตำราอาหาร


 


 


แต่เพื่อความปลอดภัย เขาตัดสินใจว่าคงเป็นการดีกว่าถ้าจะเลือกอาหารที่ปรุงง่ายให้เธอทำ


 


 


ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของหลินเช่อ เขาอาจจะต้องลงเอยด้วยการได้กินแค่น้ำร้อน ซึ่งนั่นคงไม่สนุกเลย


 


 


เมื่อตกกลางคืนหลังพวกเขาขับรถกลับบ้าน หลินเช่อก็เริ่มลงมือถ่ายรูปรถแบบชนิดที่เรียกได้ว่าทุกซอกทุกมุม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วขณะมองเธอวิ่งวนไปรอบๆ อย่างมีชีวิตชีวาแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “นั่นเธอจะถ่ายรูปไปทำไมกัน


 


 


หลินเช่อตอบ “นี่เป็นรถหรูคันแรกในชีวิตฉันเลยนะคะ แถมยังราคาตั้งหลายล้าน ฉันก็ต้องถ่ายรูปอวดคนอื่นเขาสิ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อยังสงสัยต่อ “ถ้าเธออยากอวดทำไมไม่ถ่ายรูปใบเสร็จล่ะ”


 


 


“แบบนั้นมันโจ่งแจ้งเกินไปน่ะสิคะ”


 


 


“งั้นก็ถ่ายรูปหมายเลขรุ่นรถสิ”


 


 


“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เข้าใจเรื่องการอวดแบบไม่อวดสินะคะ มันออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย แต่ถ้าคุณจะอวดแบบไม่อวดละก็คุณต้องหาทางโชว์ของแพงๆ โดยทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคุณไม่ได้ตั้งใจจะให้พวกเขาเห็น แล้วไอ้การถ่ายรูปรุ่นรถนี่มันออกจะชัดเกินไปค่ะ”


 


 


“…”


 


 


เธอเข้าใจเรื่องการอวดแบบไม่อวดจริงๆ เสียด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหญิงสาวที่ถ่ายรูปจนได้มุมที่ถูกใจในที่สุด มันดูเหมือนว่าเธอกำลังถ่ายรูปกระถางดอกไม้ตรงหน้า แต่ดันมีรูปรถทั้งคันอยู่ในภาพด้วย


 


 


ทำไมอยู่ๆ ยัยนี่ถึงเกิดฉลาดขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย


 


 


หลินเช่อมองรูปที่ถ่ายมาอย่างพอใจก่อนที่จะส่งไปลงในวีแชทพร้อมพิมพ์ว่า “เพิ่งซื้อดอกไม้มาใหม่ ต้องคอยดูแลให้ดี จะได้โตไวๆ นะจ๊ะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินมาดูบ้าง “ดอกไม้พวกนี้ก็บานแล้ว แถมยังโตแล้วด้วย ยังจะต้องคอยดูแลอีกเหรอ”


 


 


“ไปให้พ้นไป๊!”


 


 


“นี่เธอกำลังโกหกอยู่เหรอ”


 


 


“มันเป็นการโกหกที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่คะ คุณไม่เข้าใจหรอกน่า”


 


 


ในไม่ช้า หลินเช่อก็ได้เห็นผู้คนที่เริ่มทยอยกันเข้ามาคอมเมนต์ข้างใต้โพสต์ [ว้าว รถแพงนี่นา ต้องราคาหลายพันแน่ๆ เลย]


 


 


หลินเช่อบ่นอุบ “จะบ้าหรือไง หลายพันเรอะ ยัยคนนี้มองเห็นจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”


 


 


อีกคนตามมาว่า [นั่นเป็นรถที่สวยจริงๆ นะ แต่เธอถ่ายรูปนี้ในสวนนี่นา บ้านหลังนี้อยู่แถวไหนน่ะ]


 


 


อีกคนตั้งข้อสังเกต [สวนนี่ใหญ่มากทีเดียว สงสัยจะถูกหวยละสิ บ้านเสี่ยคนไหนน้า แต่ว่าบ้านสวยมากจริงๆ]


 


 


หลินเช่อไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้จะพิจารณาดูรูปแบบละเอียดลออถึงขั้นนี้


 


 


เธอยืนมองและพูดขึ้นอย่างชอบใจว่า “ดูสิ คนพวกนี้นี่ชั้นเซียนเลยนะ พวกเขาเก่งขนาดที่มองเห็นด้วยว่ามีอะไรอยู่ในสวนบ้าง ขนาดรูปไม่ได้ชัดมาก พวกเขายังบอกได้เลยว่าสวนใหญ่มากน่ะ ชิๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองสีหน้าสนุกสนานของเธอจนอดยิ้มตามไม่ได้


 


 


หลินเช่อคนนี้ดูจะมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้เสียทุกอย่าง เพียงแค่ทำให้เธอพอใจเพียงนิดหน่อย เธอก็พร้อมที่จะสดชื่นเบิกบานราวกับดอกไม้แรกแย้ม


 


 


ราวกับว่าการมีความสุขเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออยากจะทำให้เธออีก เขาอยากให้เธอมีความสุขแบบนี้ตลอดไป


ตอนที่ 90 มีความสุขล้นปรี่ไปด้วยความน่ารักของเธอ

 

หลินลี่เองก็โพสต์ลงวีแชทด้วยเช่นกัน เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็ได้เห็นหลินเช่อโพสต์รูปรถของตัวเอง ซึ่งทำให้เธอไม่สบอารมณ์เลยทีเดียว ทั้งเธอและหลินเช่อต่างก็อยู่ในแวดวงผู้คนเดียวกัน มีเพื่อนร่วมกันในวีแชทอยู่หลายคน และหลินลี่ก็ได้เห็นพวกเขาเข้าไปแสดงความเห็นที่ใต้รูปถ่ายว่าสวนหลังบ้านของหลินเช่อนั้นใหญ่แค่ไหน เธอเดาเอาว่านั่นน่าจะเป็นบ้านของกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


บ้านของเขาคงจะหลังมหึมาเลยทีเดียว


 


 


ทำไมนังเด็กแพศยาถึงได้ไปอยู่ในที่แบบนั้นได้นะ มันดีเกินไปสำหรับคนอย่างนังนั่น


 


 


หลินเช่อเฝ้าลูบคลำรถไม่วางมือ อยากจะลองขับเสียเต็มประดา แต่โชคร้ายที่เธอยังไม่มีโอกาสได้เรียนขับรถเสียที


 


 


เธอหันมาหากู้จิ้งเจ๋อแล้วถามว่า “โดยทั่วไปแล้ว เขาใช้เวลาเรียนขับรถกันนานแค่ไหนเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ถ้าเธออยากเรียน ฉันจะสอนให้ตอนนี้เลยก็ได้ มันไม่น่าจะหัดยากเท่าไหร่”


 


 


“จริงเหรอคะ”


 


 


“อันที่จริงการขับรถก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก เราแค่ต้องไปหาถนนว่างๆ ฉันจะสอนเธอหัดขับที่นั่นเอง”


 


 


“เยี่ยมเลยค่ะ” หลินเช่อกระโดดขึ้นๆ ลงๆ พลางจับมือเขาไว้


 


 


ไม่ช้าทั้งคู่ก็ออกจากบ้านโดยมีกู้จิ้งเจ๋อเป็นคนขับ รถสปอร์ตนั้นคันเล็กนิดเดียว กู้จิ้งเจ๋อจึงอึดอัดไม่น้อยทีเดียวเมื่อต้องเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น หญิงสาวนึกกระดากใจที่ได้เห็นร่างสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเขาต้องเบียดเสียดเยียดยัดตัวเองเข้าไปในรถคันเล็กๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมปกติเขาขับแต่รถซีดาน


 


 


หลินเช่อขมวดคิ้วและถามกู้จิ้งเจ๋ออีกครั้งว่า “ตกลง ไอ้การหัดขับรถมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ หลังจากที่ครูสอนขับรถอธิบายทุกอย่างให้ฉันเข้าใจเพียงครั้งเดียว ฉันก็สามารถขับไปรอบๆ ได้เลย แต่คำนวณจากระดับสติปัญญาอย่างเธอ ฉันคิดว่าคงต้องเรียนกันสักครึ่งวันละนะ”


 


 


หลินเช่อพยักหน้า รู้สึกมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง


 


 


แต่ทว่า


 


 


เมื่อเริ่มเรียนกันได้เพียงไม่กี่นาที…


 


 


“หลินเช่อ นั่นมันฝาถังน้ำมันไม่ใช้คันเร่ง”


 


 


“หลินเช่อ ปล่อยพวงมาลัยก่อนสิ!”


 


 


“หลินเช่อ นั่นนี่เธอจะเลี้ยวไปไหน อยากตายหรือยังไง”


 


 


การสอนยิ่งทวีความโหดร้ายมากขึ้นทุกขณะที่เขาตะคอกใส่เธอ แต่ยิ่งถูกตะคอกเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายหญิงสาวจึงหันไปมองหน้าคนสอนแล้วพูดว่า “กู้จิ้งเจ๋อ คุณอย่าขึ้นเสียงใส่ฉันสิ มันทำให้ฉันตกใจรู้มั้ย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วหนักมองดูผู้หญิงตรงหน้า เขาคงจะประเมินสติปัญญาของเธอสูงเกินไป


 


 


“ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่โง่เง่าเท่าเธอมาก่อนเลย!”


 


 


“ก็ถ้าฉันโง่แล้วจะทำไมล่ะ” เธอท้าทาย


 


 


“เธอนี่มัน…” กู้จิ้งเจ๋อไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ด้อยสติปัญญาเท่านี้ แล้วก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ทั้งเอะอะมะเทิ่งแถมยังไม่รู้จักอายเหมือนเธอด้วย


 


 


ชายหนุ่มคิดว่าเธอช่างเป็นคนที่ไม่เหมือนใครเสียเลยจริงๆ เธออาละวาดเกรี้ยวกราดเสียจนเขาคิดว่าบางทีน่าจะบีบคอเธอให้ตายเสียเลยน่าจะง่ายกว่า


 


 


“เธอช่วยทำให้มือกับขาทำงานประสานกันหน่อยได้มั้ย!” กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจอดทนต่อไปได้อีกแล้ว


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาอย่างสิ้นหวัง “ฉันทำไม่ได้นี่คะ จะให้ทำยังไงล่ะ ฉันบอกคุณแล้วไงว่าอย่าตะคอก คุณอาจจะเป็นอัจฉริยะแต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาจะเป็นเหมือนคุณนี่!”


 


 


“เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ…” เขาพึมพำ “ฉันคิดผิดเองนั่นแหละ อย่างเธอนี่คงต้องหัดอีกหนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย!”


 


 


“…” หลินเช่อทำตาขวางใส่ “ถ้าไม่อยากสอนฉันก็ไม่เป็นไร แต่อย่ามาตะคอกใส่ฉันนะ ฉันไม่อยากเรียนกับคุณแล้ว!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาเมื่อหลินเช่อพูดต่อไปว่า “โม่ฮุ่ยหลิงของคุณคงจะต้องฉลาดมากแน่ เธอคงจะเรียนครั้งเดียวก็เป็นเลย ทำไมคุณไม่ไปสอนเธอแทนละคะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชะงัก มองดูใบหน้าง้ำงอของอีกฝ่าย เขากัดฟันแน่นจนได้ยินเสียง


 


 


เขาจ้องหน้าเธอก่อนจะเปิดประตูรถและก้าวลงไป


 


 


และไม่หันกลับมามองอีก ชายหนุ่มกระแทกประตูปิดโครมใหญ่แล้วเดินหนีไปเสียอย่างนั้น


 


 


จบกัน เขาโกรธใหญ่แล้ว


 


 


หลินเช่อนึกโกรธตัวเอง ทำไมเธอจะต้องหาเรื่องยั่วโมโหเขาด้วยการพูดถึงโม่ฮุ่ยหลิงด้วยนะ เขาไม่ได้กำลังสอนโม่ฮุ่ยหลิงเสียหน่อย เขากำลังสอนเธอต่างหาก ถ้าเขาทำได้ เขาน่าจะเลือกยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวด้วยการเอาเวลาไปอยู่กับโม่ฮุ่ยหลิงเสียยังจะดีกว่า แล้วทำไมเขาถึงต้องมาเสียเวลากับเธอด้วย หลินเช่อคิดได้แล้วว่าเธอเป็นฝ่ายผิด เธอโง่เอง ทั้งควบคุมมือเท้าไม่ได้ แถมยังความจำแย่อีกต่างหาก โดยเฉพาะเวลาที่เธอมองดูแผงควบคุมทั้งหลายของรถ แค่นั้นก็ทำเอาเธอแทบจะเป็นลมแล้ว


 


 


เธออยากเรียนรู้ให้เร็วแต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้


 


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกได้ว่าหลินเช่อกำลังวิ่งตามมาข้างหลัง เธอคว้ามือเขาไว้แล้วพูดว่า “กู้จิ้งเจ๋อ อย่าโกรธไปเลยนะ ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คุณจะมาโกรธฉันเพราะเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


สีหน้าของชายหนุ่มยังคงมึนตึงใส่ ไร้ซึ่งอารมณ์


 


 


ใบหน้านั้นแม้จะดูดีไร้ที่ติแต่ก็เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง


 


 


หลินเช่อจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยขณะวิ่งไปดัก “อย่าไปเลยนะคะ กู้จิ้งเจ๋อ นี่ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสะบัดมือหนี “ปล่อย!”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ!”


 


 


“ปล่อยฉัน!” เขาพูดเสียงเรียบ


 


 


หลินเช่อกัดฟันแล้วพยายามดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้ “ไม่ ฉันไม่ยอมปล่อยหรอก” เธอกางแขนออกขวางทางเอาไว้แล้วพูดว่า “คุณสามีคะ ฉันผิดเอง อย่าโกรธเลยนะ ตกลงมั้ย”


 


 


หลินเช่อเปลี่ยนแผน เธอหันมาใช้จริตมารยาแทนเมื่อจับมือเขาไว้แล้วโยกตัวไปมา ทำปากยื่น มองเขาด้วยตากลมโตเป็นประกาย ริมฝีปากชุ่มฉ่ำเหมือนผลไม้สุกนั้นแย้มเป็นรอยยิ้มหวาน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่วหน้าก่อนจะหันมา “ฉันบอกให้ปล่อยไง”


 


 


“ไม่ ไม่ปล่อย ฉันไม่ยอมปล่อยหรอก จนกว่าคุณสามีจะบอกว่าไม่โกรธฉันแล้ว”


 


 


“เธอ…”


 


 


“พูดสิคะ นะ น้า คุณสามี มองหน้าฉันสิคะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อไม่มีทางเลือก เขาหันหน้ามามองหลินเช่อที่กำลังทำท่าเหมือนลูกสุนัขกระดิกหางดิกๆ และไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


โดยเฉพาะเมื่อเธอเรียกเขาว่าคุณสามีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลยวนใจเหมือนขนมสายไหมก็ไม่ปาน เป็นใครจะทำใจแข็งอยู่ได้อีกล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกและคิดว่า หลินเช่อช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ


 


 


ทำไมเขาถึงได้โชคร้ายมาแต่งงานมีเมียแบบนี้ได้นะ


 


 


“เอาเถอะ ฉันจะช่วยเอาบุญก็แล้วกัน ถึงยังไงฉันก็ตั้งใจจะทำเรื่องดีๆ อยู่แล้ว ด้วยระดับสติปัญญาที่ต่ำเตี้ยอย่างเธอ ฉันจะพยายามทำความเข้าใจก็แล้วกัน” กู้จิ้งเจ๋อยอมผ่อนคลายในที่สุด


 


 


หลินเช่อแค่นยิ้ม มองหน้ากู้จิ้งเจ๋ออย่างมีน้ำโห “คุณจะช่วยพูดให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินกลับมาที่รถ เขามองดูหลินเช่อที่กำลังจับพวงมาลัย เธอเงยหน้าขึ้นและรอฟังคำสั่งจากเขา ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันมีความคิดใหม่ที่จะช่วยให้เธอเรียนได้เร็วขึ้น”


 


 


“อะไรเหรอคะ”


 


 


“เราจะใช้วิธีให้รางวัลกับลงโทษ”


 


 


“หือ”


 


 


“ถ้าเธอทำถูก ฉันจะให้รางวัลเธอ”


 


 


“ให้รางวัลฉันด้วยอะไรคะ” ดวงตาของหลินเช่อเป็นประกายวับ เมื่อได้ยินคำว่า ‘รางวัล’ เธอมองกู้จิ้งเจ๋ออย่างกระตือรือร้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองริมฝีปากอิ่มเต็มของอีกฝ่าย ก่อนจะแตะจูบลงมาเบาๆ


 


 


หลินเช่อตกตะลึงขณะที่คนจูบยิ้มและพูดว่า “ฉันจะให้รางวัลเธอด้วยจูบ”


 


 


“…” หน้าคนโดนจูบแดงก่ำ “กู้จิ้งเจ๋อ!” 

 

 


ตอนที่ 91 ฉันทนเห็นเธอมีน้ำตาไม่ได้

 

กู้จิ้งเจ๋อพูด “ถ้าเธอทำผิดอีก ฉันจะลงโทษเธอ”


 


 


พูดจบชายหนุ่มก็แตะจูบลงบนริมฝีปากเธออีกครั้ง


 


 


“ลงโทษด้วยจูบนี่ไงล่ะ”


 


 


ใบหน้าของหลินเช่อเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อใต้แสงจันทร์ เธอมองเขาด้วยสีหน้าเง้างอ “มีใครเค้าสอนกันแบบนี้บ้างฮะ กู้จิ้งเจ๋อ! ”


 


 


สีหน้าหงุดหงิดของเธอทำเอาเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกอยู่เป็นนิจกลับยิ้มออกมาในตอนนี้ มันเป็นรอยยิ้มที่น่าดูที่สุดเลย


 


 


หลินเช่อตะลึง เขาขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นอีก “หลินเช่อ เธอจ้องหน้าฉันทำไม”


 


 


หญิงสาวสะดุ้ง “ใครจ้องคุณ! ”


 


 


“จะบอกไม่จ้องได้ยังไง ก็เห็นอยู่ชัดๆ นี่ ทำไม ฉันหล่อเหรอ” เขายังขยับเข้ามาอีกขณะที่หลินเช่อพยายามจะซ่อนสีหน้า และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว คนตัวใหญ่กว่าก็เข้ามาประชิดถึงข้างตัวเสียแล้ว


 


 


ด้วยพื้นที่อันจำกัดในรถนั้น กู้จิ้งเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัยรถ และมืออีกข้างหนึ่งโอบที่หลังเบาะนั่งของหลินเช่อ ทำให้ตำแหน่งของตัวเธอตอนนี้อยู่ตรงกลางหน้าอกเขาพอดิบพอดี เขาโน้มตัวเข้ามาให้ใกล้ใบหน้าของเธอยิ่งขึ้นพลางพิจารณาดูพวงแก้มที่เนียนละเอียด เมื่อได้เข้ามาเห็นใกล้ๆ เขาจึงได้รู้ว่าใบหน้าขาวกระจ่างนั้นไม่มีริ้วรอยจุดด่างดำใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วเมื่อได้เห็นชัดๆ แบบนี้ เธอยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ


 


 


ปกติแล้วเวลาอยู่บ้าน หลินเช่อจะไม่ค่อยแต่งหน้ามากนัก ผิวของเธอจึงดูใสกระจ่าง สะอาดสะอ้านยากจะห้ามใจไม่ให้จุมพิตเป็นอย่างยิ่ง


 


 


เขามองหน้าเธออย่างขบขัน “เอ้าบอกมาสิ ฉันหล่อรึเปล่า”


 


 


“คุณ…กู้จิ้งเจ๋อ คุณมันหน้าไม่อาย! ”


 


 


“เป็นสามีภรรยากันแบบนี้ ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบังเลย จริงมั้ยล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมาคอยดูสีหน้าคนถูกถาม


 


 


หลินเช่อมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาขยับเข้ามาใกล้เสียจนเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว


 


 


หน้าอกเธอแทบจะแนบติดกับอกเขา ทำเอาหญิงสาวชักไม่กล้าหายใจ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังซักไซ้ไม่หยุด “นี่ตกลงเธอจะยอมรับหรือเปล่าว่าที่เอาแต่จ้องหน้าฉันอยู่นี่ เป็นเพราะฉันหล่อน่ะ”


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกดดันหนักเสียจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ


 


 


ในที่สุดเธอก็โพล่งออกไปอย่างโกรธจัด “ใช่ คุณหล่อ คุณเป็นคนที่หล่อที่สุดในโลกเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่สบอารมณ์กับคำตอบที่พูดออกมาส่งๆ นั้น “ตอบแบบนี้ไม่จริงใจนี่นา”


 


 


“ฉัน…ก็ได้ คุณเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดเลยค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ เป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา คุณหล่อยิ่งกว่าผู้ชายทุกคน! ” หลินเช่อพูดพลางยกมือขึ้นมาบังหน้าอกตัวเอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยอมเลิกราเสียที่ไหน “จริงเหรอ งั้นบอกฉันมาสิว่าใครหล่อกว่ากันระหว่างฉันกับกู้จิ้งอวี่”


 


 


หลินเช่อไม่เคยพบเคยเจอใครที่หลงตัวเองจนถึงขั้นเปรียบเทียบตัวเองกับน้องชายอย่างอีตานี่เลย


 


 


“คุณหล่อกว่าค่ะ พอใจหรือยังคะ”


 


 


เธอตอบออกไปอย่างนั้นแม้ความจริงแล้วเธอจะคิดว่ากู้จิ้งเจ๋อออกจะหล่อกว่าหน่อยจริงๆ นั่นแหละ


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะกู้จิ้งอวี่ไม่ได้เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดในแบบของกู้จิ้งเจ๋อก็เป็นได้ แม้ว่ากู้จิ้งอวี่จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าก็ตาม


 


 


มันเป็นวิธีมองของเขานั่นแหละ การมองแบบดูดดื่มล้ำลึกจนดูราวกับว่าเขากำลังจะสูบเอาวิญญาณของเธอเข้าไปยังไงอย่างงั้น…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ อย่างน้อยหลินเช่อก็มีรสนิยมดี “ถ้าอย่างนั้นละก็…”


 


 


เขาก้มหน้าลง มองดูราวกับจะกลืนกิน และถามอย่างไม่แน่ใจนักว่า “บอกมาสิว่าใครดูดีกว่ากัน ฉันหรือฉินชิง”


 


 


สีหน้าของหลินเช่อเปลี่ยนไปในทันที


 


 


คนฉลาดอย่างกู้จิ้งเจ๋อรู้ได้ในทันทีที่ได้เห็น ว่าคำตอบคราวนี้คงจะแตกต่างไปจากเดิม สายตาของเขาดุดันขึ้นและกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ “บอกมาสิ”


 


 


หลินเช่อนั้นรู้ดีว่าฉินชิงไม่ใช่ผู้ชายหล่อเหลาคมคายแบบกู้จิ้งเจ๋อ เขาเหมือนเด็กหนุ่มข้างบ้านเสียมากกว่า ผู้คนมองเขาเหมือนเจ้าชายเจ้าเสน่ห์ ในขณะที่กู้จิ้งเจ๋อนั้นเป็นเหมือนอัศวินหนุ่ม ยามค่ำคืนที่คุณต้องการเขามากที่สุด เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ดูราวกับวีรบุรุษในสายตาของทุกคน


 


 


อย่างไรก็ตามมีบางอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ที่ไม่อาจดูออก มันทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกหวาดหวั่น เศร้าซึมและไม่สามารถจะขจัดความมืดดำของยามราตรีออกไปได้


 


 


หล่อเหลา เซ็กซี่ แต่แตกต่าง


 


 


“ฉัน…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้อยู่แล้ว


 


 


เขาคว้าข้อมือเธอ และด้วยการกระชากเพียงครั้งเดียว ร่างเล็กก็ถูกรั้งเข้าไปหา


 


 


หลินเช่อพยายามห้ามเสียงร้อง รู้สึกได้ถึงดวงตาดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างกว้างไกลที่เงาทะมึนของมันกำลังเข้าปกคลุมครอบงำตัวเธอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าแล้วกอดเธอไว้ หลินเช่ออยู่บนตัวเขา เธอกำลังเขินอาย อาการขัดขืนน้อยๆ นั้นปลุกไฟปรารถนาในตัวให้ปะทุขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้าลงมา


 


 


เขาตระกองกอดเธอไว้แล้วบดเบียดริมฝีปากลงมาบนปากเธอ


 


 


“อืม…อืม…” หลินเช่อคร่ำครวญพลางผลักไส


 


 


“คุณ…อืม…”


 


 


เมื่อเขาปล่อยมือจากเธอ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นว่า “ไม่คิดว่าในรถมันจะน่าตื่นเต้นดีหรอกเหรอ”


 


 


“…” หลินเช่อร้องบอกด้วยความสับสนปั่นป่วนใจ “อย่าทำแบบนี้ค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ ปล่อยฉัน! ”


 


 


ในความชุลมุนที่มือไม้เปะปะไปทั่วนั้นเอง อาภรณ์ของเธอก็ถูกเปลื้องออกจากร่าง เผยให้เห็นเนื้อตัวของเธอต่อหน้าเขา


 


 


ด้วยอารมณ์อันสับสน หลินเช่อเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะกระแทกแตรรถจนส่งเสียงดังยาวแหวกอากาศไปไกล


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรีบปล่อยข้อมือเธอให้เป็นอิสระในทันที


 


 


หลินเช่อไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้


 


 


เมื่อได้เห็นดวงตาแดงก่ำคู่นั้น หัวใจของเขาก็หล่นวูบ


 


 


เขาขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองเธอ มือใหญ่ช่วยรวบเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยนั้นกลับขึ้นไปบนร่างของหญิงสาว


 


 


หลินเช่อรู้สึกเหมือนผู้ชายตรงหน้ากลายเป็นปีศาจ น่าหวาดหวั่นเป็นที่ยิ่ง


 


 


เธอสะบัดหน้าหนี โกรธจนไม่อยากมองหน้าเขา พลางขยับจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยังคงไม่ยอมปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น


 


 


ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกและหันไปมองคนข้างตัว สายตาหลุบต่ำลงมองพื้นที่ส่วนล่างที่เพิ่งจะถูกปลุกเร้าอารมณ์ไปหมาดๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขุ่นใจ


 


 


เขาอดใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงห้วนจัดไม่ได้ว่า “ถ้าเธอยังชอบฉินชิงขนาดนั้นละก็ เธอควรจะบอกเขานะ การไม่ได้บอกใครสักคนว่าเราชอบเขาเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรได้ออก


 


 


เธอตอบกลับไปว่า “ฉันจะไม่บอกเขาหรอกค่ะ…อันที่จริง พอมาลองๆ คิดดูแล้ว ทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้น ตอนนี้ฉันไม่ได้ชอบเขาขนาดนั้นแล้วละค่ะ มันก็แค่ว่าถ้าคุณเคยชอบใครมาก่อน คุณก็ยังคงแคร์เขาเสมอไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้วแล้วหันขวับไป


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้น “คุณไม่รู้เหรอคะว่าหัวใจคนเราน่ะมีเลือดเนื้อนะ การที่เราไม่ได้อยู่กับคนที่เราชอบและตัดสินใจว่าจะไม่ชอบเขาอีกแล้วน่ะ ไม่ได้แปลว่าเราสามารถลืมเขาได้จนหมดสิ้นไม่เหลือเยื่อใยและมองเขาเป็นคนแปลกหน้าหรอกนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอแล้วส่ายหน้า


 


 


ตอนนี้อารมณ์เขาค่อยดีขึ้นหน่อยแล้ว


 


 


การสอนขับรถไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่าเดิมนัก เขาสัญญาว่าจะสอนให้ช้าลง แต่หลินเช่อไม่อยากจะเรียนกับเขาอีกต่อไป เขาเป็นครูสอนขับรถที่น่าสยองเหลือเกิน


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินเช่อก็ได้รับโทรศัพท์จากทางบริษัท


 


 


อวี๋หมินหมิ่นส่งเสียงตื่นเต้นมาตามสายว่า [เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ในงานเทศกาลแพนด้าทีวีแน่ะ เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีล่ะ! เราอาจจะต้องไปร่วมงานประกาศรางวัลกันนะ]


 


 


หลินเช่อประหลาดใจแต่ก็ยินดีเป็นที่สุด​​​​​​​ 

 

 


ตอนที่ 92 ทั้งบริษัทรู้สึกยินดีเป็นที่สุด

 

งานประกาศผลรางวัลแพนด้าทีวีนั้นเป็นพิธีการประกาศผลรางวัลที่ทรงเกียรติมากที่สุดรางวัลหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียด้วยที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง


 


 


มันเป็นงานประกาศผลรางวัลที่มีคนคอยติดตามรับชมหลายร้อยล้านคนในแต่ละปี นี่จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเองก็ดีใจอย่างมาก เธอรีบพาหลินเช่อไปที่บริษัทเพื่อช่วยกันเลือกชุดที่จะสวมไปร่วมงาน


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพยายามเลือกเฟ้นผู้สนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นของดีมีคุณภาพเพื่อที่จะได้ภาพลักษณ์ที่ดีของนักแสดงที่เธอดูแลอยู่


 


 


ในบรรดานักแสดงที่อวี๋หมินหมิ่นเป็นผู้จัดการให้นั้น ตอนนี้หลินเช่อเป็นคนที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมากที่สุด ผู้จัดการสาวจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้หลินเช่อส่องประกายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


ที่บริษัทนั้น อวี๋หมินหมิ่นต่อสู้เพื่อให้หลินเช่อได้มีห้องส่วนตัวของเธอ และในห้องส่วนตัวนั้นเอง เธอก็ยื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานส่งให้กับหลินเช่อ


 


 


“เพิ่งส่งมาวันนี้นี่เอง แม้แต่ตัวหนังสือพวกนั้นยังดูเหมือนจะดีใจไปกับเธอด้วยเลยนะ แต่ยังไงซะ คนอื่นที่ได้รับการเสนอชื่อในปีนี้ก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือไม่น้อยด้วยเหมือนกัน แล้วก็ยังมีพวกที่ใช้เต้าไต่ขึ้นไปด้วยนั่นแหละ แต่เธออย่าไปสนใจพวกนั้นเลย”


 


 


มีรายชื่อของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงแนบมาด้วย หลินเช่อเหลือบเห็นชื่อของหลินลี่อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับการเสนอเข้าชิงตำแหน่งแฟชั่นนิสต้า เห็นทีคงจะไม่พ้นต้องได้เจอหล่อนในงานนี้ด้วยสินะ


 


 


หลินเช่อพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “บอกตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการเสนอชื่อด้วยเลยนะคะ ฉันเพิ่งเคยได้แสดงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นเอง แถมยังเป็นบทสมทบอีกต่างหาก”


 


 


“ซีรีส์โทรทัศน์ของบริษัทกู้จิ้งเจ๋อน่ะโด่งดังมากทุกปีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของรายการยอดนิยมไปแล้วนะ เพราะอย่างนั้นเธอเลยได้รับการเสนอชื่อ ประการที่สองก็คือ บทที่เธอเล่นน่ะเป็นที่ชื่นชอบมากๆ และประการที่สามก็คือเธอแสดงได้ดีมากเลยล่ะ”


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตื้นตันใจ “พี่อวี๋คะ อย่าชมกันเกินไปแบบนี้สิคะ ข้อสุดท้ายที่พี่เพิ่งพูดมาน่ะ”


 


 


หลังจากที่ได้พบปะร่วมงานกันในทุกๆ วัน ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นก็ดีขึ้นตามลำดับ และบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนหรือสงวนท่าทีอีกแล้ว


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไป “ฉันพูดความจริงนี่นา แต่สิ่งที่เธอได้รับในวันนี้น่ะ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโชคเข้าข้างด้วย เพราะฉะนั้นก็อย่าได้หลงลืมตัวไปเสียล่ะ ได้ยินหรือเปล่า”


 


 


“เข้าใจแล้วค่ะ…”


 


 


“แต่ความพยายามของเธอที่สั่งสมมาตลอดก็ส่งผลให้เห็นแล้ววันนี้ เธอคู่ควรที่จะได้รับการเสนอชื่อแล้วนะ ฉันเชื่อว่าคนอื่นที่ได้รับการเสนอชื่อก็ยังแสดงได้ไม่ดีเท่าเธอเลย ฉันก็เลยคิดว่าเธอน่าจะมีโอกาสชนะอยู่ไม่น้อยทีเดียวล่ะ”


 


 


หลินเช่อยิ้มอายๆ พลางยกมือขึ้นปิดสองแก้มอย่างขัดเขิน “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ!”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นติง “ฉันพูดจริงๆ นะ เธอคิดว่าตัวเองยังเป็นแค่นักแสดงเล็กๆ หรือไงกัน ตอนนี้เธอเป็นดาราดาวรุ่งแล้วนะ ทางบริษัทกำลังเตรียมที่จะหันไปจัดการเรื่องรูปลักษณ์ของเธออย่างจริงจังน่ะ”


 


 


“อา…ถึงยังไงฉันก็ยังไม่ชินอยู่ดีนั่นแหละค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวฉันประสบความสำเร็จขนาดนี้”


 


 


“อันที่จริง ฉันเองก็เหมือนกันนั่นแหละ เธอเองก็เป็นนักแสดงคนแรกที่ฉันดูแลแล้วประสบความสำเร็จขนาดนี้” อวี๋หมินหมิ่นว่า


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ “ที่ผ่านมาพี่อวี๋เองก็มีนักแสดงดังๆ ในมือตั้งหลายคนนะคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเพราะว่าฉันทำงานที่นี่มานานแล้วน่ะสิ ฉันน่ะเริ่มงานที่นี่ด้วยการเป็นผู้ช่วยตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ จากตำแหน่งผู้ช่วยก็ขยับมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แล้วก็มาเป็นผู้จัดการทั่วไป จนกระทั่งมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว ฉันทำงานที่นี่มาแปดปีเข้าไปแล้วนะ แย่หน่อยที่ต้องอาศัยโชคกว่าจะได้มาเจอนักแสดงที่มีศักยภาพดีๆ เข้าสักคนน่ะ ฉันทำงานอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่เคยคิดเรื่องการไปแย่งดารามาจากผู้จัดการคนอื่น ผลก็คือนักแสดงในการดูแลของฉันทั้งหมดก็เลยเป็นพวกนักแสดงหน้าใหม่หรือไม่ก็ดาราแก่เจ้าอารมณ์ทั้งนั้นเลย” เธอลูบไหล่หลินเช่อ “เพราะฉะนั้นนี่เลยเป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่นั่นแหละ มาร่วมด้วยช่วยกันเถอะนะ”


 


 


“ค่ะ! มาช่วยกันเถอะค่ะ!” หลินเช่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเคยคิดว่าผู้จัดการเป็นตำแหน่งที่สูงส่งและทรงอำนาจ เพราะพวกเขาสามารถเลือกและกำหนดโชคชะตาให้กับนักแสดงทั้งหลายได้ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งได้รู้ว่าการทำงานเป็นผู้จัดการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยเหมือนกัน เมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินออกจากบริษัท กลุ่มนักแสดงรุ่นเล็กที่อยู่ด้านนอกก็เหลือบมาเห็นหลินเช่อ พวกเธอโค้งให้และทักทายว่า “สวัสดีค่ะพี่หลินเช่อ” และรอจนกระทั่งหลินเช่อเดินผ่านไปแล้วจึงเงยหน้าขึ้นดังเดิม


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าในวงการนี้ ลำดับความสำคัญและผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด เมื่อก่อนตัวเธอเองก็เป็นฝ่ายคอยหลบเวลาที่มีดาราดังๆ เดินผ่าน และรอจนกว่าเขาจะเดินไปแล้วเธอจึงค่อยเดินต่อแบบนี้เหมือนกัน


 


 


แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นตัวเธอเองที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ มันให้ความรู้สึกที่ประหลาดโดยแท้ทีเดียว


 


 


หลินเช่อรำพึงขึ้นว่า “บอกตามตรงนะคะ ฉันเพิ่งได้เล่นแค่เรื่องเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้ก็ได้”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะแล้วตอบว่า “แต่ตอนนี้เธอดังแล้วนี่จ๊ะ แล้วก็กลายเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้งด้วย แถมยังเป็นนักแสดงที่ถูกพูดถึงอย่างมากของปีนี้อีกต่างหาก ตอนนี้ทุกคนในบริษัทก็เลยรู้จักเธอกันหมดแล้ว”


 


 


หลินเช่อไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะกลายเป็นคนดังไปได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้


 


 


แต่แล้วเมื่อพวกเธอเดินมาถึงประตู…


 


 


ชายมีอายุคนหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ หลินเช่อแทบกระโดดหลบด้วยความตกใจกลัว


 


 


ทว่าชายผู้กลับไม่ได้สนใจหลินเช่อ แต่กลับหันไปหาอวี๋หมินหมิ่นและทรุดตัวลงคุกเข่า


 


 


หลินเช่อยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เธอหันไปมองอวี๋หมินหมิ่นที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยแม้ว่าจะดูตกใจเล็กน้อยก็ตาม ชายแก่ผู้นั้นกอดขาอวี๋หมินหมิ่นเอาไว้แล้วร่ำร้องขึ้นว่า “หมินหมิ่น ลูกต้องช่วยพ่อนะ พ่อต้องตายแน่ๆ คราวนี้ถ้าลูกไม่ช่วยพ่อ พ่อต้องออกจากบ้านและกลายเป็นคนเร่ร่อนแน่ๆ”


 


 


ชายที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเนื้อตัวสกปรกผู้นี้คือพ่อของอวี๋หมินหมิ่นงั้นเหรอ


 


 


หลินเช่อตกตะลึง


 


 


อวี๋หมินหมิ่นกัดริมฝีปากขณะมองดูผู้เป็นพ่อ เธอผลักเขาออกแล้วพูดห้วนๆ ว่า “หนูบอกพ่อแล้วไงว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่หนูจะช่วยพ่อน่ะ คราวนี้ไปทำอะไรเข้าอีกล่ะ เสียเงินอีกแล้วงั้นเหรอ พ่อคะ หนูไม่มีเงินอีกแล้วนะ ไม่มีแม้แต่แดงเดียว นี่เป็นที่ทำงานของหนู ได้โปรดไปให้พ้นซะด้วย ไม่อย่างนั้นหนูอาจจะตกงานได้นะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วอีกหน่อยพ่อจะไปไถเงินใครล่ะ”


 


 


ชายผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นมองทั้งที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น “หมินหมิ่น คราวนี้พ่อไม่ได้เสียเงินนะ แต่เป็นเพราะไอ้สารเลวพวกนั้นต่างหาก พวกมันบอกว่าพ่อยังให้เงินพวกมันไม่พอ มันบอกว่ายังขาดอีกสามหมื่นหยวน แล้วถ้าพ่อหามาจ่ายไม่ได้ละก็พวกมันจะมาจับตัวแม่ของลูกไปทำงานเป็นแม่ครัวใช้หนี้ พ่อกลัวมาก กะ…ก็เลย…”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นขมวดคิ้ว “อะไรนะ”


 


 


“พ่อก็เลยไปลักพาตัวผู้หญิงของนายน้อยจากบ้านตระกูลลู่มาข่มขู่พวกมัน ใครจะไปคิดล่ะว่าพ่อจะพลาดตีหัวเธอเข้าจนทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วตอนนี้พวกมันก็จะฟ้องร้องพ่ออีก งานนี้พ่อจบเห่แล้วจริงๆ …”


 


 


“อะไรนะ!” อวี๋หมินหมิ่นเปลี่ยนจากขมวดคิ้วมาเป็นยิ้มร่า เธอมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างเยาะหยัน


 


 


“พ่อนี่เหลือเกินจริงๆ นะ ตอนนี้นอกจากติดการพนันแล้ว ยังเที่ยวทำร้ายคนอื่นอีกด้วยงั้นเหรอ”


 


 


“พ่อ…”


 


 


“ปล่อยหนูเถอะค่ะ หนูไม่สนใจหรอก พ่อควรจะเข้าคุกไปซะ ไม่อย่างนั้นก็คงมีแต่จะลากแม่กับพวกหนูให้เดือดร้อนไปด้วยอยู่ตลอดแบบนี้” อวี๋หมินหมิ่นผลักไสผู้เป็นบิดาออกจากการเกาะกุม


 


 


ชายแก่ล้มลงกับพื้น ผู้คนรอบข้างต่างพากันหันมามองด้วยความใคร่รู้ เมื่อเห็นเข้าชายแก่ผู้นั้นจึงระเบิดอารมณ์อย่างเกรี้ยวกราด เขายกนิ้วขึ้นชี้หน้าอวี๋หมินหมิ่นและด่าทอเสียงดังสนั่นว่า “นี่แกเป็นคนประเภทไหนกัน ฉันเป็นพ่อแกนะ แกมาทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันเลี้ยงแกมา ให้ข้าวให้น้ำแกกิน พอตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็มาถีบหัวส่งแบบนี้น่ะรึ ฉันกลายเป็นภาระของแกไปแล้วอย่างนั้นรึ ได้ ไม่ต้องมาสนใจฉัน ในเมื่อแกไม่อยากยุ่ง ฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนี้แบบนี้นี่แหละ!”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดอะไรไม่ออก เธอจ้องหน้าคนเป็นพ่อด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหันไปโบกมือเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย “ผู้ชายคนนี้มาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ขัดขวางการทำงานของคนในบริษัท ช่วยพาตัวเขาออกไปด้วย!”


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบตรงเข้ามาจัดการลากตัวออกไปในทันที ชายชราร้องตะโกนโหยหวน เสียงของเขาสูงขึ้นและสูงขึ้นทุกที


 


 


หลินเช่อไม่กล้ามองและรีบพาอวี๋หมินหมิ่นออกมาจากตรงนั้นในทันที


 


 


คนที่ยืนอยู่โดยรอบหลายคนหันมามองอวี๋หมินหมิ่นด้วยสายตาติเตียน


 


 


นายอวี๋แม้จะถูกไล่ออกไปนอกบริษัทแล้วแต่เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมจากไป หลินเช่อเห็นแล้วจึงพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “กลับไปกับฉันก่อนเถอะนะคะ ถ้าพี่กลับบ้านไปตอนนี้ พ่อของพี่ต้องหาตัวพี่เจอแน่ๆ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่ออย่างนึกขอบคุณ “ตกลง ขอบใจมากนะ”


 


 


หลินเช่อส่งสัญญาณบอกโชเฟอร์ให้ขับรถกลับบ้านไปยังบ้านตระกูลกู้ในทันที

 

 

 


ตอนที่ 93 เธอสัญญาเอาไว้ว่าจะทำอาหารให้ฉันกินนี่

 

ขณะอยู่ในรถ หลินเช่อมองดูอวี๋หมินหมิ่นที่เอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่จะปล่อยให้พ่อพี่ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เขากลายเป็นผีพนันเต็มตัวไปแล้ว ฉันได้ยินพ่อบอกว่าจะเลิกเล่นมาตลอดทั้งชีวิตแต่เขาก็ยังเอาแต่สร้างปัญหาได้ทุกวัน ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ฉันชินแล้วล่ะ”


 


 


หลินเช่อเป็นนักแสดงในความดูแลของอวี๋หมินหมิ่นมาโดยตลอดก็จริง แต่ตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิม เพราะตอนนี้อวี๋หมินหมิ่นคือผู้จัดการส่วนตัวของเธอ พวกเธอจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน ซึ่งมันทำให้เธอได้รู้เกี่ยวกับพื้นเพครอบครัวของอวี๋หมินหมิ่น


 


 


หลินเช่อลูบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน “มันต้องมีทางสิคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่อพลางส่ายหน้า “เว้นเสียแต่ฉันจะสามารถพาแม่กับน้องชายหนีไปจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางอื่นที่จะสลัดพ่อกาฝากนั่นทิ้งได้หรอก”


 


 


หลินเช่อพยายามปลอบใจ “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้เราค่อยลองมาหาทางกันดูตอนที่ไปถึงบ้านแล้วก็แล้วกันนะคะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ เราต้องคิดออกแน่”


 


 


ทั้งสองมาถึงบ้านตระกูลกู้ภายในเวลาไม่นาน


 


 


อวี๋หมินหมิ่นไม่เคยเห็นสถานที่แห่งนี้มาก่อน จากภายนอก เธอมองเห็นการ์ดรักษาความปลอดภัยท่าทางเข้มงวดและเริ่มคิดว่าการเข้ามาที่นี่ไม่น่าจะใช่ความคิดที่เข้าท่า เธอจึงหันไปหาหลินเช่อแล้วถามขึ้นว่า “นี่ฉันเข้าไปได้หรือเปล่าน่ะ บางทีบ้านตระกูลกู้อาจไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปก็ได้ ใช่มั้ย”


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันไม่คิดแบบนั้นนะคะ…ไม่น่าจะเป็นไรหรอกค่ะ แต่ฉันก็ไม่เคยพาใครมาที่นี่เหมือนกัน”


 


 


ที่ประตูทางเข้า การ์ดรักษาความปลอดภัยเพียงแค่มองอวี๋หมินหมิ่นก่อนจะเอ่ยทักทายหลินเช่ออย่างสุภาพว่า


 


 


“คุณผู้หญิง” หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ทั้งคู่ผ่านเข้าไปได้โดยดี


 


 


อวี๋หมินหมิ่นนั่งตัวแข็งเมื่อสังเกตเห็นการทักทายอย่างนอบน้อมนั้น


 


 


เธอหันไปหาหลินเช่อ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร


 


 


เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็จริง แต่เธอก็ไม่ซักไซ้ในเรื่องส่วนตัวของนักแสดง เธอจะทำก็ต่อเมื่อมันส่งผลกระทบกับงานเท่านั้น นั่นคือจรรยาบรรณของคนเป็นผู้จัดการส่วนตัว


 


 


เมื่อทั้งสองพ้นประตูรั้วเข้ามาด้านใน อวี๋หมินหมิ่นก็ได้เห็นบ้านหลังมหึมาและการตกแต่งที่หรูหรางดงาม


 


 


เธออดพูดกับหลินเช่อเมื่อเข้ามายืนอยู่กลางห้องนั่งเล่นไม่ได้ว่า “บ้านเธอนี่อย่างกับวังเลยนะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ค่ะ ตอนแรกๆ ที่เข้ามา ฉันก็เดินหลงอยู่หลายครั้งเหมือนกัน มันมีทางเลี้ยวเต็มไปหมดเลยน่ะ แรกๆ ก็ดูเหมือนจะซับซ้อนนะคะ แต่พอผ่านไปสักพักก็คุ้นเคยไปเองนั่นแหละค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นบ้านของกู้จิ้งเจ๋อ”


 


 


“ทำไมละคะ” หลินเช่อมองอย่างสงสัย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและตอบว่า “คนทั่วไปน่ะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่หรอกนะ แต่ฉันน่ะอาศัยบารมีเธอเข้ามาไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อยิ้ม “อย่างนั้นเหรอคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่มีคนอาศัยบารมีฉันแบบนี้ด้วย”


 


 


“แน่ละสิ”


 


 


แต่แล้วโทรศัพท์ของอวี๋หมินหมิ่นก็ดังขึ้น เธอก้มลงรับสาย เป็นสายจากแม่ของเธอนั่นเอง


 


 


มารดาของอวี๋หมินหมิ่นกำลังร่ำไห้อยู่ที่ปลายสาย [ได้โปรดช่วยพ่อของลูกด้วยเถอะนะ หมินหมิ่น มีแค่ลูกคนเดียวที่จะช่วยครอบครัวเราได้ ไม่มีใครอีกแล้วล่ะ ลองดูทีเถอะว่าลูกจะรู้จักใครที่พอจะพูดกับพวกเขาได้บ้าง ลูกมีพ่อคนเดียวนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ลูกจะไม่เสียใจเหรอ]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นจิกปลายเล็บลงกับฝ่ามือ ราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้


 


 


“ก็ได้ค่ะ หนูจะลองคิดดู…” เธอพูดได้เพียงเท่านี้กับแม่ที่กำลังสะอึกสะอื้นร่ำไห้


 


 


เมื่อวางสาย หญิงสาวก็แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมองเพดานอันกว้างใหญ่ของบ้านตระกูลกู้และทอดถอนใจ


 


 


หลินเช่อพูดขึ้นว่า “พี่อวี๋คะ พวกเขาเป็นใครกัน เราลองมาช่วยกันคิดหาทางเถอะค่ะ มันจะต้องมีวิธีแน่”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ตระกูลลู่ที่ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้แล้วก็บ่อนการพนันใต้ดินในตลาดบีน่ะ พ่อฉันเข้าไปข้องแวะกับคนพวกนั้นมาหลายปีแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือพวกนั้นไม่ใช่คนดีนั่นแหละ ฉันจะลองไปคุยกับพวกเขาดูว่าเราพอจะทำอะไรได้บ้าง”


 


 


“พี่จะไปคืนนี้เลยเหรอคะ”


 


 


“ฉันจะไปพักที่โรงแรมคืนนี้ พ่อฉันจะได้ตามมารังควานไม่ได้ อย่าห่วงไปเลย ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปีแล้ว ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไง เรื่องปกป้องตัวเองนี่ฉันถนัดดีนักล่ะ”


 


 


“ก็ได้ค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นโทรจองห้องโรงแรม ก่อนที่หลินเช่อจะจัดรถไปส่งเธอถึงที่นั่น


 


 


สักครู่ต่อมาโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ชื่อของกู้จิ้งเจ๋อผุดขึ้นมาบนหน้าจอ เธอยิ้มก่อนจะกดรับสาย


 


 


[เมื่อไหร่เธอจะทำตามสัญญาที่ว่าจะทำอาหารให้ฉันกินสักทีล่ะ]


 


 


เธอเคยคิดว่าเขาแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่พอมาตอนนี้ที่เขาเอ่ยถึงมันขึ้นมา หลินเช่อก็ชักแน่ใจ


 


 


เธอตอบไปว่า “ก็ได้ค่ะ…ฉันจะรอคุณกลับมาแล้วเราจะได้ไปซื้อของกันก็แล้วกันนะคะ”


 


 


[ได้สิ รอก่อนนะ ฉันใกล้จะถึงแล้ว]


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินว่าเธอจะไปซื้อวัตถุดิบเตรียมทำอาหารให้เขา ชายหนุ่มก็แทบจะทนรอให้ถึงบ้านไม่ไหว


 


 


เขามาถึงบ้านในเวลาอันรวดเร็วและจัดการลากหลินเช่อออกจากบ้านทันที “ไปตลาดกันเถอะ”


 


 


“คุณจะไปด้วยเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ”


 


 


“แต่…” เธอจำได้ถึงสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงเตือนเธอเอาไว้เมื่อวันก่อน “ออกไปข้างนอกแบบนี้จะไม่อันตรายกับคุณเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ”


 


 


หญิงสาวตอบ “ก็เมื่อวันก่อนโม่ฮุ่ยหลิงบอกฉันว่ามันเป็นเรื่องอันตรายสำหรับคุณที่จะออกไปไหนต่อไหนตามลำพังน่ะค่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงงั้นเหรอ


 


 


สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยพอใจนัก เขาพูดกับเธอว่า “ฉันจะไปที่ไหนมันก็มีอันตรายทั้งนั้นนั่นแหละ แล้วนั่นแปลว่าฉันจะต้องคอยขังตัวเองอยู่ในกรงเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายอย่างนั้นหรือไง ไปกันเถอะ”


 


 


เขาพูดพลางจูงมือเธอออกจากบ้านไป


 


 


หลินเช่อยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าเขาแล้ว เธอก็ตัดสินใจที่จะเงียบเอาไว้ เธอก้มลงมองมือใหญ่ที่กำลังจับจูงมือเธอแล้วก็อยากจะดึงมือหนี แต่ก็ไม่ได้ทำ มือที่จับเอาไว้นั้นยิ่งดูกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม หลินเช่อเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่กำลังแอบมองอยู่จึงไม่อยากจะดิ้นรนให้เป็นที่ผิดสังเกต


 


 


ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้แออัดมากนัก หลินเช่อนึกแปลกใจดเพราะปกติแล้วที่นี่จะหนาแน่นไปด้วยผู้คนอยู่เป็นนิจ ราวกับว่ามีการทางเดินจนมีผู้คนเพียงน้อยนิดเท่านั้น แถมยังเดินกันอย่างเป็นระเบียบ


 


 


หลินเช่อผลักรถเข็นไปพลางก้มดูสูตรอาหารที่กู้จิ้งเจ๋อกำหนดให้ แล้วก็รำพึงขึ้นมาอย่างหดหู่ว่า “ต้องใช้เครื่องปรุงหลายอย่างเสียจริง สูตรอาหารนี่ดูยุ่งยากจังเลยนะคะ”


 


 


ชายหนุ่มถาม “ยุ่งยากเรอะ ก็แค่ส่วนผสมไม่กี่อย่าง หั่นๆ แล้วก็ผัดเท่านั้นเองนะ” เขาบรรจงเลือกเมนูที่ไม่ต้องใช้ของราคาแพงมาให้เธอเลยทีเดียว


 


 


หลินเช่อเข็นรถวนไปรอบกองผักชนิดต่างๆ ซูเปอร์ขนาดใหญ่แห่งนี้ให้ความรู้สึกรื่นรมย์แก่ผู้มาจับจ่าย จนหลินเช่ออดยิ้มออกมาอย่างรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้


 


 


“ฉันเอาอันนี้”


 


 


“แล้วก็อันนี้ด้วย”


 


 


“อ๋า หัวไชเท้านี่สดดีจัง”


 


 


ยิ่งหลินเช่อสาละวนหยิบของโยนลงรถเข็นมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็ชักจะดูยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น


 


 


เธอแทบไม่ได้สนใจรายการส่วนประกอบในสูตรอาหารที่เขียนเอาไว้เลยสักนิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าอย่างระอาใจ


 


 


แต่แล้วก็มีใครคนหนึ่งเข็นรถมาชนเธอโดยแรงจนหงายหลังล้มลง


 


 


หลินเช่อร้องเสียงหลง


 


 


เธอหันไปมองและได้พบว่าชายคนนั้นเพียงแต่มองหน้าเธอก่อนจะหันหลังเดินหนีไปอย่างเงียบๆ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อปราดเข้าไปคว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน


 


 


เขาจับแขนอีกฝ่ายแน่นและผลักชายผู้นั้นไปจนติดชั้นวางสินค้า ทำเอาชายคนดังกล่าวถึงกับช็อกและเริ่มสบถใส่หน้า แต่เมื่อมองเห็นแววตาล้ำลึกของกู้จิ้งเจ๋อแล้ว เขาก็รู้สึกผิดและรีบหุบปากทันควัน


 


 


“ขอโทษภรรยาฉันก่อน” เขาบอก


 


 


ชายคนนั้นหันมองหลินเช่อ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ด้วยความกลัวกู้จิ้งเจ๋อ เขาจึงเอ่ยปากขอโทษเธออย่างพินอบพิเทา “ขอโทษด้วย ฉันไม่ทันเห็นน่ะ”


 


 


หลินเช่อถูส้นเท้าเร่าๆ “ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่งเสียงเบาๆ ในลำคอก่อนที่จะยอมปล่อยมือ


 


 


ชายผู้นั้นผลุบหายไปด้วยความรวดเร็ว หลินเช่อตั้งท่าที่จะลุกขึ้นจากพื้นแต่กู้จิ้งเจ๋อกลับย่อตัวลงมาและช้อนร่างเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขนเสียก่อน


 


 


ผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันมามองด้วยความอิจฉา บุรุษร่างสูงที่ทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็นนึกหลงใหลในความดูดี


 


 


เขาค่อยๆ หย่อนร่างเธอลงในรถเข็น “ขอฉันดูขาเธอหน่อยสิว่าโอเคหรือเปล่า”


 


 


หลินเช่อสั่นหัว ยิ้มและมองหน้าเขา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ รถชนไม่แรงนักหรอก ท่าทางของอีตานั่นต่างหากละคะที่น่าโมโห” 

 

 


ตอนที่ 94 ซุ่มซ่ามจนมีดบาด

 

กู้จิ้งเจ๋อก้มลงและถอดรองเท้าของเธอออกเพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บ


 


 


หลินเช่อนึกอายที่เขาประคองฝ่าเท้าของเธอเอาไว้ในมือแบบนั้น “มันเหม็นออกค่ะ ฉันใส่รองเท้ามาทั้งวัน แล้วก็ไม่ได้ล้างเท้าเลยด้วย! ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบสายตาขึ้นมอง “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ ยังไงมันก็เคยวางอยู่บนหน้าฉันมาแล้วด้วยซ้ำ ฉันยังไม่บ่นอะไรเลย ถ้าไม่ชอบใจ ป่านนี้ฉันจับเธอโยนลงจากเตียงไปตั้งนานแล้ว”


 


 


หลินเช่อยิ้ม “แล้วทำไมถึงไม่ถือละคะ”


 


 


เขาตอบขณะลูบคลำตรวจตราเท้าเธอ “มีประโยชน์อะไรที่จะต้องถือเรื่องนี้ ในเมื่อฉันต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้หญิงไร้การอบรมอย่างเธอ ควรทำตัวให้ชินซะน่าจะง่ายกว่า”


 


 


เขาพูดพลางช่วยเธอสวมรองเท้ากลับเข้าที่เดิม


 


 


หลินเช่อจึงนั่งเอ้เต้อยู่ในรถเข็นชอปปิ้งนั่นแหละ เธอหันหลังไปยิ้มให้เขาแล้วออกคำสั่งแจ้วๆ ว่า “เข็นรถสิคะ ฉันไม่ลงไปเดินแล้วล่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหน็บแนม “ขี้เกียจตัวเป็นขน”


 


 


ถึงแม้จะฟังเสียงดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็เริ่มเข็นรถไปรอบๆ


 


 


หญิงสาวจึงทำเพียงนั่งและคอยออกคำสั่งให้เขาจัดการซื้อข้าวของต่างๆ


 


 


“ฉันอยากได้มะเขืออันโน้นด้วยค่ะ”


 


 


“อา อยากได้มันฝรั่งแผ่นจัง”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ เข็นเร็วๆ สิคะ ตรงนั้นมีของลดราคาด้วย”


 


 


หลินเช่อร่าเริงสุดขีดในขณะที่คนผลักชักจะหน้าบูดขึ้นทุกขณะ หนุ่มสาวทั้งสองไปตรงโน้นมาตรงนี้ทั่วทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเพลิดเพลิน เป็นภาพที่ทำให้หลายคนต้องถอนใจด้วยความอิจฉา


 


 


ใครบางคนบ่นขึ้นว่า “ดูสิว่าคนอื่นเขาดูแลแฟนตัวเองยังไง”


 


 


“ไปอิจฉาเขาน่ะ ก็หัดดูซะก่อนว่าพวกเขาหน้าตาเป็นยังไง เห็นรึเปล่าว่าผู้หญิงน่ะสวยขนาดไหน ถ้าแฟนฉันสวยแบบนั้น ฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ”


 


 


“ไปตายซะไป นี่ไม่เห็นหรือไงว่าผู้ชายหน้าตาเป็นยังไงน่ะ เขาก็หล่อลากดินจะแย่เหมือนกันนั่นแหละย่ะ”


 


 


“อื้ม พูดถึงผู้ชาย ฉันว่าเขาหน้าตาคุ้นๆ อยู่นะ”


 


 


“ฉันว่าผู้หญิงก็หน้าคุ้นเหมือนกัน”


 


 


“ช่างเถอะ ยังไงเขาสองคนก็หน้าตาดีกันมากๆ สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกทีเดียว”


 


 


หลินเช่อซื้อของไม่ยั้ง และในไม่ช้าทั้งสองก็ออกจากร้านไปพร้อมถุงใบโตที่มีของเต็มเอี้ยดถึงสามใบทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถือออกมาด้านนอกร้านอย่างค่อนข้างทุลักทุเล เขาจอดรถเข็นไว้ด้านนอก ก่อนจะก้มลงหยิบถุงทั้งสามใบขึ้นมาและเดินตรงไปที่รถ


 


 


หลินเช่อเสนอที่จะช่วย “ให้ฉันถือใบนึงนะคะ”


 


 


แต่เขาปฏิเสธ “แขนกับขาเล็กๆ แบบนี้น่ะนะ ลืมไปได้เลย”


 


 


เธอบุ้ยปากพลางมองดูร่างใหญ่ๆ และแข็งแรงของเขา คว้าถุงสามใบตรงไปที่รถอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มโยนของใส่ท้ายรถ หลินเช่ออดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาดูดีและสมเป็นชายชาตรีเสียเหลือเกิน


 


 


เธอนั่งยิ้มในรถไปตลอดทาง


 


 


แต่เมื่อกลับถึงบ้านและต้องลงมือทำอาหาร ความร่าเริงก็พลันหายไป


 


 


เธอจัดแจงคาดผ้ากันเปื้อนด้วยท่าทางราวกับเชฟมืออาชีพ แต่เมื่อถึงคราวต้องหั่นผัก แม่ครัวกลับท่าดีทีเหลวเสียอย่างนั้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนมองอยู่ด้านข้าง นึกอยากจะเข้าไปด้วยเต็มแก่


 


 


โดยเฉพาะเวลาที่มีดคมนั้นหั่นฉับลงมาใกล้นิ้ว ทำเอาเขาแทบจะอกสั่นขวัญบินไปหมด


 


 


“โอเคๆ ให้ฉันช่วยหั่นผักก็แล้วกันนะ” เขารีบเดินเข้ามา


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันทำได้สบายมาก ดูสิเห็นมั้ย ฉันว่าทักษะการใช้มีดของฉันเริ่มดีขึ้นแล้วนะ ความสามารถในการเรียนรู้ของฉันน่ะออกจะสูง…โอ๊ย…”


 


 


เธอร้องเสียงหลง มีดคมเฉือนเข้าไปที่นิ้วอย่างจัง


 


 


หลินเช่อทิ้งมีดลงพื้นอย่างลืมตัว โชคดีที่มีดเล่มเล็กนั่นไม่กระดอนขึ้นมา


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นภาพมีดที่หล่นลงพื้นก็ยังดูน่ากลัวอยู่นั่นเอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปรี่เข้ามายืนข้างตัวและยกมือเธอขึ้นดู เลือดสดๆ ไหลออกมาจากบาดแผล


 


 


เขาดึงนิ้วเธอ “เธอนี่มัน…ฉันบอกเธอแล้วไงว่าอย่าหั่นอีก”


 


 


ขณะพูด เขาก็ยกนิ้วเธอเข้าปากตัวเอง


 


 


หลินเช่อเจ็บแผลแปล๊บ


 


 


เธอมองดูแนวคิ้วของเขาขณะที่กู้จิ้งเจ๋อดูดนิ้วเธออยู่ มันให้ความรู้สึกอบอุ่น เธอสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นของเขาที่แตะไล้ไปมาแผ่วเบาอยู่กับนิ้วเธอ


 


 


หญิงสาวยืนนิ่งมองเขาอยู่แบบนั้น ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ก่อนที่หน้าของเธอจะเริ่มร้อนผ่าว


 


 


“สกปรก…” เธอคิดในใจ นิ้วเธอน่าจะสกปรกจากการหยิบจับผักทั้งหลายไม่น้อยทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดูดแผลอีกครั้งก่อนจะปล่อยมือเธอ เขาก้มลงมองจนแทบจะชิดบาดแผล


 


 


ร่างใหญ่หันไปคว้ากล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาล แล้วเริ่มติดปลาสเตอร์ยาให้เธอ


 


 


หลินเช่อมองปลาสเตอร์ที่บรรจงติดเอาไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะหันไปมองคนเจ้าระเบียบที่ลงมือทำแผลให้


 


 


ชายหนุ่มนิ่วหน้าแล้วผลักเธอออกไป “พอที ไปยืนข้างๆ โน่นไป๊ เธอนี่มันซุ่มซ่ามที่สุด อย่าขยับไปไหนล่ะ”


 


 


หลินเช่อท้วง “แล้วอาหาร…”


 


 


เขาพ่นลมพรืดอย่างเยาะๆ และหันไปมองสูตรอาหาร “ฉันจัดการเอง”


 


 


“อา…ฉันรู้สึกแย่จังค่ะ” แต่ความจริงแล้วเธอยิ่งกว่าดี๊ด๊าที่ไม่ต้องทำกับข้าว หลินเช่อหันไปมองชายหนุ่มอย่างประจบประแจง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคว้ามีดแล้วลงมือหั่นผักที่เหลือ เขาเหลือบมองเธอและพูดว่า “ฉันกลัวว่าถ้าขืนปล่อยให้เธอทำต่อ มีหวังเธอคงได้เผาครัวนี่วอดหมดแน่”


 


 


“…” หลินเช่อทำปากยื่น “ความผิดคุณนั่นแหละค่ะ อยากมาชวนฉันคุยทำไมล่ะ”


 


 


การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มคล่องแคล่วว่องไว เขาหั่นผักไปพลางมองดูสูตรอาหารไปพลาง และเครื่องปรุงทุกอย่างก็ถูกปั่นออกมาเหมือนกับในตำราอาหารไม่มีผิดเพี้ยน


 


 


คนตัวใหญ่ยังเทศนาต่อไปขณะลงมือทำอาหารว่า “เธอทำตามสูตรแทบไม่ถูกเลยสักนิด สมองเธอนี่มันทึ่มทื่อจริงๆ ”


 


 


หลินเช่อคอยดูการประกอบอาหารของอีกฝ่าย เขาดูราวกับเชฟมืออาชีพมากเสียจนเธอหมดสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใดๆ


 


 


หญิงสาวจึงเอนตัวพิงเคาน์เตอร์แล้วเฝ้าชื่นชมการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วรวดเร็วไร้ที่ติของอีกฝ่าย เธอพูดขึ้นว่า “ว่าแต่ คุณจำผู้จัดการของฉันได้มั้ยคะ อวี๋หมินหมิ่นน่ะค่ะ”


 


 


“ต้องจำได้สิ”


 


 


“หมายความว่ายังไงคะที่ว่าต้องจำได้”


 


 


“เธอคิดว่าใครต่อใครเขาจะความจำห่วยแตกเหมือนเธอหรือไงเล่า ความจำฉันน่ะเป็นเยี่ยมนะ”


 


 


“…” หลินเช่อรู้สึกว่าเขาเอาแต่เหยียดหยามเธอไม่หยุด


 


 


แต่เธอก็เล่าต่อไปว่า “ช่วงนี้อวี๋หมินหมิ่นมีเรื่องน่ะค่ะ”


 


 


เขาถามขณะลงมือผัดอาหารอย่างขะมักเขม้น “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่ออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงสั้นๆ ก่อนจะเสริมว่า “ฉันคิดว่าพี่อวี๋น่ะเก่งสุดๆ ไปเลยละค่ะ”


 


 


“หมายความว่ายังไง”


 


 


“ก็ทั้งๆ ที่ครอบครัวยุ่งเหยิงขนาดนั้น แต่เธอก็ยังทำงานอย่างเต็มที่ เธอทุ่มเทความพยายามอย่างดีที่สุดจนไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่าเธอมีชีวิตส่วนตัวที่แย่ขนาดนั้นน่ะค่ะ ฉันคิดว่าคนเป็นมืออาชีพคนจะต้องเป็นแบบนี้นะคะ แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ นี่ถ้าช่วงนี้ฉันไม่ได้ทำงานใกล้ชิดกับเธอละก็ ฉันเองก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอเหมือนกันนั่นแหละค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อครุ่นคิด การเคลื่อนไหวของเขาเริ่มช้าลง


 


 


ก่อนที่จะกลับมาขยับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


 


 


ในไม่ช้า เขาก็จัดอาหารลงจาน


 


 


เขาพูดขึ้นว่า “เอ้า ลองชิมสิ”


 


 


หลินเช่อหันมอง มันดูดีมากจริงๆ หญิงสาวจับตะเกียบแล้วเริ่มชิมอาหาร


 


 


เธอไม่คิดเลยว่ามันจะอร่อยขนาดนี้


 


 


หลินเช่อหันขวับไปด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณไม่บอกฉันละคะว่าทำอาหารเป็น”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอก “นี่เป็นการทำอาหารครั้งแรกของฉัน”


 


 


“เป็นไปไม่ได้น่า! ”


 


 


ชายหนุ่มเช็ดมือด้วยผ้าก่อนจะหันไปเตรียมอาหารจานต่อไป


 


 


“ก็แค่ทำตามสูตรเป๊ะๆ เท่านั้นเอง จะมีอะไรผิดพลาดไปได้ยังไงล่ะ”


 


 


“แต่ฉันเคยลองทำมาก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าฉันจะทำเมนูไหนมันก็ออกมาแย่ไปหมดทุกอย่างเลยนี่นา”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่สูตรอาหารแล้วล่ะ ปัญหาอยู่ที่เธอต่างหาก เพราะเธอซื่อบื้อเกินไป มันก็เลยไม่ช่วยอะไร” 

 

 


ตอนที่ 95 เธอรู้สึกผิดหวังหรือเปล่า

 

หลินเช่อมองกู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตาชื่นชม


 


 


เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเก่งกาจขนาดนี้


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ทำอาหารแท้ๆ แต่เขากลับทำมันออกมาได้เหมือนในตำราอาหารไม่ผิดเพี้ยน


 


 


ดูเหมือนการเป็นคนเจ้าระเบียบย้ำคิดย้ำทำนี่น่าจะเป็นข้อดีสินะ


 


 


เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อนั้นฉลาดกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันก็จะออกมาดีงามไปเสียหมดทุกอย่าง และไม่ว่าเขาจะเรียนรู้อะไร เขาก็สามารถทำมันได้อย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่อเทียบกันแล้ว เธอนั้นสมองทึบกว่ามาก


 


 


หลินเช่อคิด ไม่แปลกใจหรอกที่เขาชอบบอกว่าเธอซื่อบื้อน่ะ


 


 


เวลาที่เขายืนถือตะหลิวคาดผ้ากันเปื้อนแบบนี้ทำให้เขาดูเหมือนพ่อบ้านไม่มีผิด หนุ่มหล่อที่ทำอาหารในชุดผ้ากันเปื้อนแบบนี้ ดูมีเสน่ห์ยากจะต้านทานจริงๆ


 


 


หลินเช่อเอียงคอมองภาพชวนน้ำลายสอตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ เธอเอาคางเกยไว้บนมือแล้วจ้องมองเขาด้วยความหลงใหล


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นขณะที่ยังคงทำอาหารต่อ “อันที่จริง ปัญหาของผู้จัดการเธอน่ะจัดการไม่ได้ยากอะไรเลย”


 


 


“หือ”


 


 


“ฉันช่วยได้”


 


 


“อา งั้นเหรอคะ”


 


 


หลินเช่อรีบเอ่ยต่อ “จริงๆ นะคะ ถ้าช่วยได้แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย…กู้จิ้งเจ๋อ ขอบคุณนะคะที่เสนอความช่วยเหลือ”


 


 


เขาหันมายิ้มให้เธอ “เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่อยากได้คำขอบคุณที่เป็นแค่คำพูดน่ะ”


 


 


“…”


 


 


ชายหนุ่มตักอาหารใส่จานอย่างรวดเร็วแล้วเดินเข้ามาใกล้เธอ เขามองดูเธอและสวมกอดจากทางด้านหลัง


 


 


หลินเช่อตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เขากระซิบเข้าข้างหูว่า “อันที่จริง เธอเองก็ใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วดูดีเหมือนกันนี่นะ แล้วในเมื่อเธอทำอาหารไม่เสร็จ อย่างน้อยเธอก็น่าจะให้รางวัลฉันหน่อยนะที่อุตส่าห์ทำงานหนัก”


 


 


เขาเป่าลมใส่หูเธอเบาๆ ทำเอาหลินเช่ออึดอัดไม่เป็นสุข


 


 


เธอตอบไปว่า “นี่คุณ…คุณต้องการรางวัลอะไร”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฉันอยากเห็นเธอสวมแค่ผ้ากันเปื้อนนี่…”


 


 


“…” หลินเช่อนึกภาพตามในหัว มันคงเหมือนในนิตยสารวาบหวิวไม่มีผิด แทบปกปิดเนื้อตัวไม่มิดแบบนั้น…


 


 


เธอรีบแหวกลับทันทีว่า “ไปให้พ้นเลยนะ กู้จิ้งเจ๋อ คนอันธพาล! ”


 


 


เขาหัวเราะขณะที่เธอพยายามผลักไส ก่อนที่จะเดินหลบไป


 


 


แต่ถึงอย่างไร เขาก็แอบพิจารณาเธอในชุดผ้ากันเปื้อนนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว และเขาคิดว่าถ้าเธอเดินไปไหนต่อไหนในบ้านโดยที่สวมเฉพาะผ้ากันเปื้อนเท่านั้น คงจะเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


แม้ว่าภาพที่ว่าออกจะน่าอายไปสักหน่อย แต่เขาก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นมันอยู่ลึกๆ ในใจ


 


 


หลินเช่อนึกจินตนาการภาพตัวเธอในสภาพที่ว่า แล้วก็พลอยคิดไปว่าผู้ชายคนนี้ช่างร้ายกาจสิ้นดี


 


 


“ไปไกลๆ เลยนะ ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด! ”


 


 


“อา แล้วนั่นเธอจะวิ่งหนีไปไหน กลับมานี่ก่อนสิ” กู้จิ้งเจ๋อรั้งเธอกลับมา คว้าเอวบางเอาไว้ แล้วยกร่างเธอขึ้นวางบนโต๊ะ


 


 


หลินเช่อตะโกนลั่น แม้ว่าจะนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่หน้าเธอก็ยังคงอยู่แค่เพียงอกเขาเท่านั้น


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็ได้เห็นเพียงใต้คางของเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมามองหน้าเธอ เขาปลดผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ออก แล้วสวมให้เธอ


 


 


“โอเค” เขายิ้มขณะมองดู


 


 


นี่น่ะเหรอ


 


 


เธอก้มลงดูตัวเองในชุดผ้ากันเปื้อนโดยไม่พูดอะไร ไม่เห็นจะมีอะไรต่างจากเดิมตรงไหนเลยสักนิด


 


 


หลินเช่อมองตัวเองงงๆ มือเขายังคงเกาะอยู่ที่เอวของเธอหลวมๆ หน้าเขาก้มลงมาจนใกล้


 


 


“อา คุณอยากให้ฉันใส่ผ้ากันเปื้อน ฉันคิดว่าคุณหมายถึงแค่ผ้ากันเปื้อนอย่างเดียวเท่านั้นเสียอีก…” หลินเช่อว่า


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ใส่แค่ผ้ากันเปื้อนหมายถึงว่าฉันแค่อยากให้เธอใส่ผ้ากันเปื้อนก็เท่านั้นเอง” เขาเลิกคิ้วขณะมองหน้าเธอ “ทำไมล่ะ เธอดูผิดหวังมากเลยนะ เธอไม่ได้คิดแบบนี้หรอกเหรอ”


 


 


เมื่อเห็นเขามองมาแบบนั้น เธอก็เริ่มที่จะขัดเขิน


 


 


หญิงสาวทำตาเขียวใส่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น โดนเขาหลอกซะสนิทเลย


 


 


ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้ชักจะหนักข้อขึ้นทุกทีแล้ว ถึงตอนนี้เขาเริ่มใช้ความเจ้าเล่ห์กับเธอสารพัดอย่าง


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงก่ำทีเดียวเมื่อหันมองเขา แต่คนตัวใหญ่ยังคงทำเป็นไขสือไม่รู้ชี้ด้วย แถมยังเลิกคิ้วถามอีกต่างหากว่า “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ อย่าเพิ่งบอกฉันนะ…ว่าเธอกำลังคิดว่า…”


 


 


เขาทำทีเป็นมองเธอขึ้นๆ ลงๆ และพูดว่า “ถ้าเธออยากจะใส่แบบนั้น ฉันก็ยอมรับได้อยู่นะ”


 


 


“ไปให้พ้นเลย อย่ามาพูดนะว่าฉันอยากใส่น่ะ”


 


 


“เอาน่า ถึงเธอจะใส่ฉันก็ไม่กลัวหรอก ไหนลองหน่อยซิ”


 


 


“ไปเลยนะ นี่ยังอยากจะกินอยู่หรือเปล่าเนี่ย อาหารเย็นหมดแล้วนะคะ! ”


 


 


หลินเช่อรีบกระโดดผลุงลงจากโต๊ะ ไม่ยอมให้เขายั่วโมโหอีกต่อไป


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มขณะมองอีกฝ่ายที่พยายามหนีเอาตัวรอด


 


 


ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วคิดว่าหลินเช่อนี่แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้ประสีประสาอะไรนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องการเอาตัวรอดนี่ก็นับว่าเธอใช้ได้ทีเดียว


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อกู้จิ้งเจ๋อบอกกับเธอเอาไว้แล้วว่าเขาจะช่วยเรื่องอวี๋หมินหมิ่น เขาก็ได้ลองสืบดูเรื่องนี้จนได้เรื่องได้ราวขึ้นมาจริงๆ


 


 


วันต่อมาเขาบอกกับเธอว่า “ฉันเจอตัวผู้หญิงที่โดนทำร้ายที่เธอพูดถึงแล้วนะ เขาอยู่ที่โรงพยาบาล เราจะแวะไปดูกันก็ได้”


 


 


“จริงเหรอคะ ดีจังเลย คุณน่ารักที่สุดเลยค่ะกู้จิ้งเจ๋อ”


 


 


หลินเช่อยิ้มแล้วกระโดดกอดแขนเขาด้วยความดีใจ


 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล


 


 


อวี๋ชิ่งหลง พ่อของอวี๋หมินหมิ่นเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอก


 


 


ในวอร์ดคนไข้ คุณชายน้อยแห่งตระกูลลู่กำลังเฝ้าดูแลคนรักของเขาด้วยการบรรจงเป่าโจ๊กในชามให้เย็นเพื่อที่จะตักป้อนให้เธอ “นานะ กินนี่หน่อยนะ ระวังล่ะ มันยังร้อนอยู่”


 


 


“ที่รักคะ ทำไมหมอนั่นถึงยังวนเวียนอยู่ข้างนอกอีกล่ะ เราไล่เขาไปไม่ได้เหรอคะ ใครจะอยากเห็นหน้าเขาอีกล่ะ เขาควรจะชดใช้ให้เราไม่ใช่เหรอคะ ตาแก่น่ารังเกียจนั่นน่ะ”


 


 


ลู่ชิงหงกัดฟันแน่นแล้วเดินออกไปนอกห้อง เขายกเท้าเตะอวี๋ชิ่งหลงเข้าที่หน้าอก “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ เห็นหน้าแกแล้วมันน่าขยะแขยงที่สุด เลือกเอาว่าจะให้ลูกสาวแกมาขายตัวให้เราหรือจะยอมให้เมียแกทำงานเป็นแม่ครัวไปตลอดชีวิต มันขึ้นอยู่กับแกนะ แล้วนี่ทำไมถึงยังมาเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีก”


 


 


“ละ…ลูกสาวผมไม่ยอมมาครับ” อวี๋ชิ่งหลงทำหน้าสลดรันทดท้อ


 


 


นับตั้งแต่วันที่เขาไปหาอวี๋หมินหมิ่นถึงที่ทำงาน เธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาไม่สามารถหาตัวเธอได้และไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


 


“งั้นก็ไสหัวไปให้พ้นๆ ซะ ไม่มีใครอยากเห็นหน้าอุบาทว์ของแก รอให้ถึงวันที่ต้องติดคุกไปตลอดชีวิตก็แล้วกัน! ” ลู่ชิงหงปิดประตูโครมใส่ อวี๋ชิ่งหลงได้แต่จ้องมองบานประตูอย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


 


ประตูเปิดออกอีกครั้ง


 


 


ลู่ชิงหงหันขวับมาตะคอกด้วยเสียงอันดังว่า “ใครกัน คิดว่านี่เป็นที่ที่แกจะมาเข้าออกตามอำเภอใจแบบนี้ได้งั้นเรอะ”


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้น เขากลับได้เห็นหลินเช่อในชุดเสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงยีนสกินนี่ขาดๆ เธอดูสวยสะดุดตามากทีเดียว


 


 


ยิ่งเมื่อได้เห็นดวงหน้าสวยหวานของเธอเข้า น้ำเสียงนั้นก็อ่อนลงทันตา “เอ่อ เธอมาทำอะไรที่นี่”


 


 


หลินเช่อเดินเข้ามาและได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ข้างตัวเธอคือชายร่างสูงใหญ่


 


 


ทันทีที่นานะเห็นหลินเช่อ ดวงตาของเธอก็พลันเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่น หญิงสาวรีบลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงทันที


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินตามหลังเข้ามาสมทบอย่างเงียบๆ สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน


 


 


หลินเช่อมองดูหญิงสาวผู้ไม่ลืมที่จะแต่งหน้าจนเต็มอัตราแม้ว่าจะกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลก็ตาม หลินเช่อสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วถามว่า “เป็นเธอเองเหรอที่สร้างปัญหาให้ครอบครัวอวี๋น่ะ”


 


 


ลู่ชิงหงยิ้ม “ใช่แล้วล่ะ เธอมาที่นี่เพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ เขาทำร้ายผู้หญิงของฉัน เพราะงั้นเขาต้องจ่ายค่าเสียหายมาก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


หลินเช่อมองหาร่องรอยการถูกทำร้ายบนตัวของอีกฝ่ายแต่ไม่พบเลยแม้แต่น้อย


 


 


เธอเหลือบมองหญิงสาวบนเตียงแล้วถามว่า “คุณต้องการเท่าไหร่”


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ฉันต้องการห้าล้าน”


 


 


“ฮ่า…” นี่เธอต้องยอมจ่ายแพงถึงขนาดนั้นเลยรึ หน้าไม่อายสิ้นดี “ถ้าคุณต้องการห้าล้าน งั้นก็แปลว่าอาการบาดเจ็บของเธอคงจะสาหัสรุนแรงมาก! ”​​​​​​​ 

 

 


ตอนที่ 96 กู้จิ้งเจ๋อช่างวิเศษที่สุด

 

หญิงสาวบนเตียงร้องขึ้นมา “เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง! ”


 


 


“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ”


 


 


“นี่เธอ…”


 


 


หลินเช่อพูดต่อไป “ตอนนี้ปัญหาของครอบครัวอวี๋คือปัญหาของฉัน ฉันมีเงินมาด้วย และฉันจะชดใช้เงินส่วนที่พ่อของอวี๋หมินหมิ่นเป็นหนี้คุณเท่านั้น ส่วนหนี้อื่นที่ไม่เกี่ยวกับครอบครัวอวี๋ พวกคุณอย่าหวังเลยว่าจะได้เงินแม้แต่แดงเดียว”


 


 


นานะที่กำลังนอนอยู่บนเตียงไม่พอใจกับข้อเสนอดังกล่าวแม้แต่น้อย ส่วนต่างของเงินห้าล้านกับสองแสนนั่นมันไม่ใช่น้อยๆ เลย


 


 


หญิงสาวลุกพรวดขึ้นทันที “ไม่มีทาง ต้องห้าล้านเท่านั้น ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งเขาเข้าคุก”


 


 


หลินเช่อยิ้ม “เธอคงจะเสียสติไปแล้วละมั้งที่หวังจะได้เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นน่ะ”


 


 


ระหว่างนั้น กู้จิ้งเจ๋อที่กำลังเฝ้ามองทุกคนจากทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “เราจะจ่ายใช้หนี้ที่ติดเอาไว้ให้เพื่อที่พวกนายจะได้หุบปากซะ แต่ถ้าวิธีการง่ายๆ แบบนี้ยังทำให้พวกนายหุบปากไม่ได้ละก็ ฉันมีวิธีอื่นที่จะทำให้พวกนายพูดไม่ได้อีกเลย เพราะงั้นจะเลือกทางง่ายๆ หรืออยากจะให้เรื่องมันซับซ้อนขึ้นกว่านี้ก็แล้วแต่นะ”


 


 


ชายหญิงทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันกลับไปมองกู้จิ้งเจ๋อ แล้วสีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป


 


 


นานะยังอยากจะโต้เถียงอะไรออกมา ทว่าลู่ชิงหงกลับเป็นฝ่ายห้ามเอาไว้


 


 


เขาปรายตามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถบอกได้แล้วว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่ชายหนุ่มสามัญทั่วๆ ไป


 


 


เสื้อผ้าที่สั่งตัดอย่างประณีต ใบหน้าคมสันหมดจดและรัศมีบางอย่างที่ดูจะมีอำนาจเหนือทุกคนในห้องนี้


 


 


เขากลอกตาแล้วรู้ได้ในทันทีว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา และเขาอาจไม่มีทางเอาชนะผู้ชายคนนี้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอีกฝ่ายคงไม่กล้ามาถึงที่นี่เพียงลำพังตัวคนเดียวด้วยท่าทีอาจสงบเฉยเมยเช่นนี้แน่


 


 


สมาชิกคนอื่นของตระกูลลู่กำลังใกล้จะมาถึงแล้ว ทุกคนล้วนเป็นนักเลงหัวไม้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าจะทำให้ชายผู้นี้รู้สึกร้อนใจได้หรือเปล่าอีกนั่นแหละ


 


 


ลู่ชิงหงจึงพูดขึ้นทันทีว่า “เรื่องนี้เราคงพอจะคุยกันได้อยู่ ว่าแต่ผมขอทราบหน่อยได้ไหมว่าสุภาพบุรุษท่านนี้เป็นใครกัน”


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อกวาดมองมาอย่างไม่เอาใจใส่ “ถ้านายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใครละก็ นั่นก็แปลว่านายไม่คู่ควรที่จะได้มาเสนอหน้ายืนพูดกับฉันแบบนี้”


 


 


“แก…” สีหน้าของลู่ชิงหงบึ้งตึง


 


 


เขาอยากจะตะคอกใส่กลับไปให้สาแก่ใจ แต่ทั้งหมดที่ทำได้มีเพียงแค่ยืนมองกู้จิ้งเจ๋อและไม่อาจพูดอะไรออกไปได้อีก


 


 


“นายไม่อยากบอก หรือเพราะตัวนายเองไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงกันแน่ล่ะเนี่ย” ลู่ชิงหงยิ้มเยาะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “คำพูดประเภทนี้มันไร้ค่าสำหรับฉัน ที่ฉันตั้งใจจะบอกมีแค่ว่านายไม่สมควรที่ได้มายืนพูดกับฉัน แต่ในเมื่อนายเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาของผู้หญิงของฉันแบบนี้แล้ว ฉันก็ต้องเข้ามาช่วยจัดการ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดก่อนที่จะโยนนามบัตรของตัวเองลงตรงหน้าอีกฝ่าย


 


 


มันร่อนลงบนโต๊ะอย่างพอดิบพอดี


 


 


ลู่ชิงหงก้มลงหยิบนามบัตรขึ้นดู แล้วหน้าเขาก็ถอดสีไปในทันที


 


 


ครอบครัวนายอวี๋เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนระดับนี้ได้ยังไงกันนะ


 


 


ลู่ชิงหงหน้าซีด แต่เขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ


 


 


เขาทำเสียงเยาะๆ ขณะพูดขึ้นว่า “เงินแค่ห้าล้านดูน่าจะเป็นแค่เรื่องขี้ผงสำหรับคุณกู้ไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมล่ะ ไม่มีปัญญาจ่ายหรือยังไง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบอย่างดูแคลนว่า “ฉันหาเงินทุกเหรียญมาด้วยตัวเอง ฉันไม่อยากจะต้องเสียไปเพราะขยะไร้ค่าแบบนี้”


 


 


“แก…” อีกฝ่ายตะโกน “กู้จิ้งเจ๋อ อย่าอวดดีไปหน่อยเลย! เงินพวกนั้นก็คงจะเป็นเงินสกปรกบ้างแหละน่า หรือว่าไม่จริง! ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบเยือกเย็นว่า “ก็ตราบใดที่เงินสกปรกพวกนี้ใช้จัดการคนอย่างนายได้ มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”


 


 


ลู่ชิงหงได้แต่จ้องเขม็ง กับคนตระกูลกู้แบบนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือนได้


 


 


แต่ถ้าให้ถอยตอนนี้ก็เท่ากับเป็นฝ่ายแพ้น่ะสิ


 


 


หลินเช่อที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เสริมขึ้นว่า “เราจะยอมจ่ายให้แค่สองแสนเท่านั้น จะเอาหรือไม่เอา”


 


 


“ไม่มีทาง เฮ้ นี่เห็นพวกเราเป็นอะไรกัน ขอทานงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อตอบ “เท่าที่ดูจากการกระทำแล้ว เป็นขอทานยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”


 


 


นานะลุกพรวดขึ้นมทันทีและตะโกนใส่หลินเช่อเสียงลั่นว่า “นังสารเลว แกพูดอะไรน่ะ ฉันขอท้าให้แกลองพูดอีกครั้ง! ”


 


 


ลู่ชิงหงตกใจแทบสิ้นสติ เขารีบเอามือปิดปากนานะ


 


 


นานะดิ้นรนและถลึงตามองชายหนุ่มอย่างหัวเสีย


 


 


แต่ลู่ชิงหงก็ไม่ยอมปล่อย เขาหันไปบอกกู้จิ้งเจ๋อว่า “เธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี่ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของคนครอบครัวอวี๋ด้วยนะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “ถ้าทุกอย่างสามารถตั้งราคาได้ละก็ งั้นฉันจะบอกว่า ต่อให้เรียกเงินสิบล้านแทนค่าเสียหายที่ผู้หญิงคนนั้นด่าว่านังสารเลวก็ยังไม่พอ”


 


 


“อะไรกัน แกมีสิทธิ์อะไรฮะ! ” นานะขึ้นเสียงอีกรอบ


 


 


หน้าของลู่ชิงหงยิ่งเผือดสีหนักขึ้นไปอีก เขารีบละล่ำละลักตอบตกลง “ฉัน…ก็ได้ ฉันขอรับเงินสองแสนก็ได้” เขาพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบเช็คที่วางอยู่บนโต๊ะ


 


 


หลินเช่อมองดูอีกฝ่ายแล้วบอกว่า “แต่ฉันยังต้องขอเตือนนะว่าเงินสองแสนนี่สำหรับใช้หนี้ให้กับครอบครัวอวี๋เท่านั้น พวกนายจะต้องไม่เข้าใกล้คนของครอบครัวอวี๋อีกเป็นอันขาด ถ้านายเห็นเขาเข้าไปใกล้บ่อนการพนันอีกละก็ นายจะต้องไล่เขาไปซะ! ”


 


 


“อะไรกัน เรื่องแบบนี้มันพูดยากนะ” ลู่ชิงหงยังคงคิดหาลู่ทางที่จะหาโอกาสจัดการกับครอบครัวอวี๋ไม่เลิกรา


 


 


ลูกสาวของหมอนั่นสวยเด็ดอย่างกับนางฟ้า ถ้าได้ตัวหล่อนมาเป็นสาวบริการที่บ่อนของเขาละก็ หล่อนคงจะไปได้ไกลมากทีเดียว


 


 


เขาเฝ้าดูคนในครอบครัวนี้มาได้พักใหญ่และจัดแจงวางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอ่ยขึ้น “ถ้านายไม่ไล่เขาไปละก็ ฉันจะส่งคนของฉันมาช่วยจัดการเอง แต่มันอาจจะทำให้นายทำมาค้าขายลำบากอยู่สักหน่อยนะ”


 


 


“แก…”


 


 


ถ้าให้ตระกูลกู้มาลงมือเรื่องนี้ละก็เห็นทีจะไม่ไหวแน่


 


 


ลู่ชิงหงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่แต่ก็ทำได้เพียงตอบไปว่า “มั่นใจได้เลย คุณกู้ ว่าในอนาคตครอบครัวอวี๋จะไม่ได้เข้าใกล้บ่อนของตระกูลลู่เราอีกอย่างแน่นอน ผมให้สัญญา”


 


 


“ฉันจะรอดู” กู้จิ้งเจ๋อพูดจบก็หันหลังและลากเอาหลินเช่อออกไปพร้อมกันด้วย


 


 


หลินเช่อเหลียวหันกลับมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะเดินตามกู้จิ้งเจ๋อออกจากห้องไป


 


 


เมื่อเห็นคนทั้งสองกลับออกไปแล้ว หญิงสาวบนเตียงก็ผลักลู่ชิงหงด้วยความโมโหจัด


 


 


“เธอมันไม่ได้เรื่องเลย! ฉันโดนฟาดขนาดนั้น แต่เธอกลับยอมแลกกับเงินแค่สองแสนแค่นี้น่ะเหรอ ฉันรับไม่ได้! ”


 


 


ลู่ชิงหงตบหล่อนเสียงดังฉาดใหญ่ ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอั้นไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะโดน


 


 


“รู้หรือเปล่าว่าฉันเพิ่งช่วยชีวิตเธอเอาไว้น่ะ! ”


 


 


“ว่าไงนะ” หล่อนถามด้วยความงุนงง


 


 


ลู่ชิงหงพ่นลมพรืด “เธอจะไปหาเรื่องใครก็ได้ทั้งนั้น แต่นั่นคือกู้จิ้งเจ๋อ เธอกล้าไปมีเรื่องกับตระกูลกู้งั้นเหรอ”


 


 


“กะ…กู้จิ้งเจ๋อเหรอ” หญิงสาวตกใจสุดขีดจนยกมือขึ้นมาทาบแก้ม


 


 


ลู่ชิงหงพึมพำต่อไปว่า “ฉันเองก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่ฉันไม่ขอเอาชีวิตไปแลกกับศักดิ์ศรีหรอกนะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันเองก็โกรธขนาดไหน แต่ฉันไม่ใช่คนที่จะรับมือหมอนั่นได้เลย เราคงทำได้แค่ด่าทอไอ้พวกคนตระกูลอวี๋ที่ทำแบบนี้เท่านั้นแหละ ถ้าพวกนั้นรู้จักกับตระกูลกู้แบบนี้ ต่อไปเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากต้องอยู่ให้ห่างพวกคนบ้านนั้นเอาไว้”


 


 


หญิงสาวนิ่งฟัง เมื่อคิดถึงบุรุษที่ทรงอำนาจผู้นั้นแล้ว หัวใจเธอก็เริ่มนึกริษยาขึ้นมาทีละน้อยด้วยความปรารถนา


 


 


แต่แย่หน่อยที่ผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอคงไม่อาจเอื้อมไปได้ถึงขนาดนั้น ด้วยมาตรฐานอย่างเธอ การคว้าผู้ชายอย่างลู่ชิงหงมาได้ก็นับว่าดีมากแล้ว เธอไม่กล้าหวังจะขึ้นไปทาบครอบครัวระดับท็อปคลาสของสังคมอย่างตระกูลกู้หรอก


 


 


เมื่อหลินเช่อจัดการกับเรื่องทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เธอก็ตามไปพบกับอวี๋หมินหมิ่นที่โรงแรม


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมาพักอยู่ที่โรงแรมได้หลายวันแล้ว เธอคอยเปลี่ยนโรงแรมไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เป็นพ่อหาตัวพบได้


 


 


บางทีเธอคงจะชินกับการทำแบบนี้แล้วกระมัง เพราะดูท่าทางเธอสบายดี มีเพียงแค่ตัวอาจดูซูบผอมลงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


หลินเช่อรีบบอกว่า “จัดการปัญหาเรียบร้อยแล้วนะคะพี่อวี๋ พี่ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะตอนนี้”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเงยหน้ามองอีกฝ่าย “เป็น…กู้จิ้งเจ๋อที่ช่วยเอาไว้ใช่มั้ย”


 


 


เธอรู้ดีว่าหลินเช่อคงไม่มีทางจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพังแน่ ตระกูลลู่ไม่ใช่คนที่ใครจะไปต่อกรด้วยง่ายๆ พวกเขาไม่มีทางยอมด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำอย่างแน่นอน


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “ใช่ค่ะ กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนจัดการพวกนั้น ฉันแค่ตามไปด้วยเท่านั้นเอง”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากนะ…ว่าแต่…เธอได้ใช้เงินหรือเปล่า”


 


 


หล่อนไม่เชื่อว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรตรงไปตรงมาและไม่ต้องการเงิน


 


 


หลินเช่อตอบว่า “ไม่ได้มากอะไรค่ะ พวกเขายอมรับเงินสองแสนเป็นค่าปิดปาก แล้วก็จะไม่ยอมให้พ่อของพี่เข้าใกล้บ่อนของพวกเขาอีกต่อไปด้วย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นทำหน้าราวกับจะร้องไห้ “ฉันจะค่อยๆ เอาเงินเดือนผ่อนคืนให้เธอนะ ขอบคุณมากจริงๆ ”​​​​​​​

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม