โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 76-90

 Ch.76 – การทดสอบเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.76 – การทดสอบเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G


 


“วิธีการก็ง่ายๆ พวกเราแค่ไปเข้ารับการทดสอบเป็นเลเวล G จากนั้นก็ผ่านมัน –จบแล้ว!” ฉินเฟิงสตาร์ทรถ


 


โจวฮ้าวอ้าปากค้าง ในสมองขบคิด แล้วก็ตระหนักว่าข้อเสนอนี้ของฉินเฟิงมันเป็นไปได้จริงๆ แต่ว่า …


 


“พวกเราจะทำได้จริงๆน่ะหรอ?” โจวฮ่าวเริ่มสูญเสียความมั่นใจ


 


ในความเป็นจริง โจวฮ่าวเองก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล G แต่หากกล่าวถึงในเรื่องการต่อสู้แล้ว สัตว์ร้ายที่เขาเคยเผชิญหน้าก็มีแค่เขี้ยวทารกเท่านั้น


 


และช่วงเวลาดังกล่าว เขาไม่กล้าชกมันตรงๆ ยังต้องใช้ไม้เบสบอลช่วยฟาดด้วยซ้ำ!


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับการทดสอบความสามารถของเลเวล G ผู้ทดสอบจำเป็นต้องสังหารสัตว์ร้ายในเลเวล G กว่า 200 ตัวจึงจะผ่านการรับรอง!


 


“ถ้าไปกับฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้นายได้รับบาดเจ็บแน่นอน!” ฉินเฟิงปลอบโจวฮ่าว


 


โจวฮ่าวตะโกนทันที “ดูพูดเข้า! ยังกับว่าฉันมันเป็นตัวไร้ประโยชน์งั้นแหละ! … ถึงฉันจะเชื่อมือนาย แต่ก็ยังไม่มั่นใจเรื่องที่พวกเราจะสามารถสังหารสัตว์ร้ายได้ครบ 200 ตัวอยู่ดี”


 


ฉินเฟิงเพียงยิ้ม ไม่ได้โต้แย้งคำกล่าวของโจวฮ่าว


 


ในสถานชุมชนทางตอนเหนือ ฉินเฟิงและโจวฮ่าวได้เข้าไปยังโถงรับรองผู้ใช้พลัง เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยังเยาว์วัย ก็กลายเป็นเป้าสนทนาของผู้คนในโถงทันที


 


“อายุแค่นี้ก็คิดมาทดสอบเป็นผู้ใช้พลังซะแล้ว? ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆเด็กๆจะมาเดินเล่นนะ!”


 


“เหอๆ ฉันพนันได้เลยว่าพวกเขาคงไม่ผ่าน”


 


“คงไม่พ้นเอาเงินมาทิ้งที่นี่อีกรายสองรายนั่นแหละ ไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก แต่ถ้าพวกมันทำได้ เอาไว้ถึงเวลานั้นค่อยไปดึงตัวมาเป็นพวก”


 


“อันดับแรกมาดูพลังของเจ้าหนูพวกนั้นกันก่อน!”


 


คนเหล่านี้ คือผู้ที่กำลังมองหาเพื่อนร่วมทีมในโถงรับรองผู้ใช้พลัง นอกจากนี้ยังมีทีมทหารรับจ้างขนาดเล็ก และหัวหน้านักล่าจากองค์กรขนาดใหญ่


 


ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวยื่นขอลงทะเบียนรับรองผู้ใช้พลัง การทดสอบเบื้องต้นเป็นสิ่งที่ต้องตรวจทานอย่างระมัดระวัง ดังนั้นตราบใดที่ทำการลงทะเบียน ทุกครั้งจะต้องจ่าย 10,000 เหรียญ และจะไม่มีการคืนเงินใดๆหากล้มเหลว ตรงส่วนหลังนี่เอง คือความหมายที่กลุ่มคนข้างบนกล่าวว่าพวกฉินเฟิงคงนำเงินมาทิ้ง


 


“มันแพงจัง!” โจวฮ่าวเกิดความกระอักกระอ่วน ถึงแม้เงินที่ว่าฉินเฟิงจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ก็ตาม “เอาไว้กลับไป ฉันจะขอเงินพ่อมาคืนนายนะ”


 


ณ ขณะนี้ โจวฮ่าวดูเหมือนจะขาดความมั่นใจไปแล้วโดยสิ้นเชิง


 


ฉินเฟิงส่ายมืออย่างไม่ใส่ใจ “หลังจากคืนนี้ไป เชื่อฉันเถอะ ในสมองนายจะไม่ต้องมาคอยพะวงเรื่องเงินเล็กๆน้อยๆแบบนี้อีกต่อไป”


 


พอได้ฟัง โจวฮ่าวก็คิดไปว่าฉินเฟิงคงจะมั่นใจว่าจะสามารถผ่านการทดสอบในเลเวล G ได้จริงๆ เพราะหากพวกเขาได้รับการรับรองเป็นผู้ใช้พลังอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อให้จะไม่ทำอะไร หรือยังคงเรียนอยู่ในสถานที่ชุมชน แต่ก็ยังสามารถมีรายรับต่อเดือนถึง 10,000 เหรียญอยู่ดี และเมื่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นหากไปถึงเลเวล G9 พวกเขาก็จะได้รับเงิน 90,000 ในทุกๆเดือน


 


และนี่เป็นเพียงผลตอบแทนเบื้องต้นเท่านั้น มันยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย ถ้าจะให้อธิบาย มันก็คือหนึ่งในวิธีการจูงใจ เพื่อใช้รวบรวมคนที่มีความสามารถให้เข้ามาทำงานนั่นเอง


 


เพราะสถานที่ชุมชนต้องการคนเหล่านี้ มาคอยปกป้องความปลอดภัย


 


“ทดสอบพละกำลัง หมายเลข 231 โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”


 


“ถึงตาฉันแล้ว”


 


โจวฮ่าวก้าวออกไป และซัดหมัดเข้าใส่เครื่องทดสอบ


 


อันที่จริง ในการทดสอบพละกำลังครั้งล่าสุด เมื่อสามวันก่อน พลังโจมตีที่โจวฮ่าวสามารถทำได้คือ 516


 


เปรี้ยง!


 


ภายใต้หมัดซัดเปรี้ยง ตัวเลขพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างเดือดพล่าน


 


เป็น 678!


 


ในเวลาเพียงสามวัน พละกำลังของโจวฮ่าวเพิ่มขึ้นมากกว่า 150 แต้ม!


 


กระทั่งตัวโจวฮ่าวเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะช่วงสองสามวันมานี้ ตนแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเป็นพิเศษเลย เขามัวแต่เอาเวลาไปฝึกน่องวายุที่ฉินเฟิงมอบให้


 


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า โจวฮ่าวก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดต้องขอบคุณทักษะลับน่องวายุ แม้เจ้าตัวจะทราบมาก่อนว่าน่องวายุน่ะเป็นทักษะที่ทรงพลัง แต่เขาไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงเริ่มฝึกมัน จะให้ผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้ เดิมตนคิดว่าจะใช้เวลายาวนานไปซัก 1 – 2 ปีถึงจะเห็นผลซะอีก


 


หลังจากนั้น โจวฮ่าวก็ทำการทดสอบความเร็ว เขาค้นพบว่าความว่องไวของตนเร็วขึ้นเป็นสองเท่าหากเทียบกับเมื่อสามวันก่อน ซึ่งตรงจุดนี้เองคือประโยชน์ที่ดีที่สุดของการฝึกฝนน่องวายุ เพราะมันมุ่งเน้นไปกับการเพิ่มพูนความชำนาญในการใช้กำลังภายในเป็นหลัก


 


“คุณได้ผ่านการทดสอบเบื้องต้นแล้ว ขั้นต่อไป กรุณานำชิ้นส่วนของสัตว์ร้าย 200 ตัว และภาพบันทึกวิดีโอที่ใช้ต่อสู้กับมันมายื่นกับทางเราภายในระยะเวลาสามวัน ถ้าคุณไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของภารกิจนี้ได้หลังจากครบกำหนดเวลา จะถือว่าล้มเหลวโดยอัตโนมัติ และจำเป็นต้องรออีก 1 เดือน ถึงจะเข้ารับการทดสอบได้อีกครั้ง”


 


โจวฮ่าวที่เดิมทีกำลังตื่นเต้น สีหน้าหมองลงไปถนัดตา


 


เพราะการสังหารสัตว์ร้ายกว่า 200 ตัวในระยะเวลาเพียง 3 วัน การจะออกไปล่าพวกมันในทุ่งล่า เป็นอะไรที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง!


 


ในเวลานี้ ฉินเฟิงก็ได้ผ่านการทดสอบแล้วเช่นกัน ด้วยพละกำลังในปัจจุบันของเขา เพียงหนึ่งหมัด พลังโจมตีอาจพุ่งสูงไปเกิน 10,000 ดังนั้นเจ้าตัวจึงควบคุมตนเองให้ต่อยเบาๆ และแสดงความว่องไวให้พอเหมาะพอควร เอาแบบพอผ่านการทดสอบไปได้


 


“ไปกันเถอะ”


 


ฉินเฟิงตบไหล่โจวฮ่าว


 


“ไปไหนงั้นหรอ?” โจวฮ่าวเดินตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามฉินเฟิง


 


“ก็ไปล่าสัตว์ร้ายไง!”


 


“ตอนนี้เนี่ยนะ!?” โจวฮ่าวเบิกตากว้าง


 


ช่วงเวลาปัจจุบัน มันก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็นแล้ว แถมตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงอีก แสงอาทิตย์จะลาลับเร็วกว่าในฤดูร้อน เพียงทุ่มนึงท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว และพอฟ้ามืด มันคือช่วงเวลาที่สัตว์ร้ายจะออกหากิน การกระทำอย่างไปออกล่าในเวลานี้ มันไม่เท่ากับโยนตัวเองไปสู่ความตายหรอกหรือ?


 


ช่วงจังหวะเดียวกันนั้นเอง หลายคนในโถงรับรองจู่ๆก็ผุดลุกขึ้น และกรูกันเข้ามาพร้อมเอ่ยปาก “นายชื่อโจวฮ่าวใช่ไหม? พวกเราได้ดูคะแนนทดสอบของนายแล้วนะ นายเป็นคนที่มีศักยภาพสูงมากจริงๆ ต้องการเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเรารึเปล่า? ถ้าร่วมกับเรา นายวางใจได้เลยว่าภารกิจจะลุล่วงแน่นอน”


 


“เพ้ย! มาอยู่กับกลุ่มต้าเฉิงของพวกเราดีกว่า ทางเรามีเป็นองค์กรที่มีสาขาในชุมชนทางตอนเหนือด้วยนะ มากับพวกเรา แล้วนายจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี”


 


ทีมทหารรับจ้างที่เข้ามามุง และกระตือรือร้นที่จะชักชวนโจวฮ่าวในตอนแรก เพียงได้ยินชื่อกลุ่มต้าเฉิง ทั้งหมดกลืนคำพูดของตนเองกลับไปทันที และเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา


 


ต้องทราบนะว่า กลุ่มต้าเฉิงน่ะเป็นองค์กรใหญ่!


 


พวกเขาไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายก็จะเข้ามาชิงตัวหน้าใหม่คนนี้ด้วย แต่พอลองย้อนคิดถึงศักยภาพของโจวฮ่าว ทุกคนก็เห็นว่ามันสมเหตุสมผล


 


“ฮะฮ่าฮ่า ขอโทษที ขอโทษที ผมมีบางอย่างที่จะต้องไปทำก่อนในตอนนี้” โจวฮ่าวพยายามแทรกตัวผ่านวงล้อม ตะโกนเอ่ยปาก “เฮ้ฉินเฟิง รอฉันด้วย!”


 


สีหน้าของฝ่ายจัดหาบุคคลของกลุ่มต้าเฉิงกเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โจวฮ่าว อย่าโดนเพื่อนของนายหลอกเชียวนะ ถ้าไปกับเขานายอาจจะตายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะยังไงซะ พรสวรรค์ของนายน่ะดีกว่าเขามาก!”


 


โจวฮ่าวส่ายมือไปมา มุมปากยิ้มบิดเบี้ยว ‘อย่างฉันน่ะหรือมีพรสวรรค์ดีกว่าฉินเฟิง? อย่ามาล้อเล่นนะ! ฉินเฟิงน่ะ เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ที่เก่งสุดๆเลยต่างหาก!’


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อหย่อนก้นลงบนเบาะข้างคนขับ และเฝ้ามองรถศึกล่องเวหาขับเข้าไปในทุ่งล่า โจวฮ่าวก็อ้าปากไม่หยุดไปตลอดทาง


 


“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ออกไปเที่ยวในทุ่งล่า พอคิดดูฉันรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆแฮะ!”


 


“นี่ฉินเฟิง นายว่ากลุ่มต้าเฉิงต้องการตัวฉันจริงๆน่ะหรอ?”


 


“ไม่รู้สิน้า”


 


ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ ขับรถออกไปอย่างอารมณ์ดี


 


โจวฮ่าวยังมีชีวิตอยู่ นี่ทำให้เขารู้สึกโล่งในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง


 


การกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง อะไรๆก็ช่างสมบูรณ์แบบ ทุกสิ่งเป็นไปตามที่เขาปรารถนา


 


ยังไงก็ตาม หลังออกจากเมือง สีหน้าของโจวฮ่าวที่แต่เดิมเคยตื่นเต้น ก็ค่อยๆกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็หุบปากลง


 


นั่นเพราะตนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตรายที่อยู่รอบตัว


 


หลังจากรถศึกออกจากเมือง ความเร็วก็พุ่งทะยานสูงขึ้น และในที่สุดก็ขับเคลื่อนด้วยความเร็วเต็มกำลัง แต่พวกเขาไม่ได้ขับบนถนนสายหลัก หากแต่มุ่งไปตามทางสายเล็กๆเส้นหนึ่ง


 


มันเป็นเส้นทางเล็กๆ และเพราะไม่มีต้นไม้อยู่ข้างทาง เลยพอจะสามารถมองเห็นได้ในที่มืด ว่าสภาพถนนค่อนข้างเก่า ราวกับเป็นของสมัยก่อน


 


แต่หากมองในมุมของสมัยก่อน ถนนสายนี้นับว่ากว้างมากแล้ว มิฉะนั้น มันคงไม่อาจคงสภาพอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้


 


“ถนนสายนี้จะนำทางไปสู่เหมืองทองแดงที่เรียกกันว่าฉิงซาน(ภูเขาเขียว)” ฉินเฟิงกล่าว


 


ความว้าวุ่นในแววตาของโจวฮ่าว พลันเปลี่ยนเป็นตะลึงงันทันที!


 


เพราะหลังจากเข้าเรียนในสถาบันระดับสูง ในวิชาภูมิศาสตร์ มันไม่ได้สอนอะไรที่กว้างขวางอย่างพวกห้าคาบสมุร และแปดทวีปอีกต่อไป หากแต่เป็นการอธิบายถึงพื้นที่รอบๆสถานชุมชนทางตอนเหนือ


 


เพราะสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งจำเป็นที่พวกนักเรียนจะต้องใช้ในอนาคต


 


และเหมืองฉิงซาน คือสิ่งที่โจวฮ่าวเพิ่งจะได้เรียนมา!


 


จู่ๆใบหน้าของโจวฮ่าวก็กลายเป็นขาวซีด


 


“เฮ้เพื่อน นายจะไม่ไปเหมืองฉิงซานจริงๆใช่ไหม ที่นั่นน่ะ มันมีสัตว์ร้ายอย่างค้างคาวยักษ์ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเลยนะ!!”


Ch.77 – เหมืองฉิงซาน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.77 – เหมืองฉิงซาน


 


“เห? นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน?” ฉินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย


 


“ก็ฉันเพิ่งจะเรียนไปเมื่อช่วงบ่ายนี้เอง!” โจวฮ่าวกล่าว


 


ฉินเฟิงถึงบางอ้อ เพราะวิชานี้ เขาเองก็มีเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ตนโดดมันก็เท่านั้นเอง


 


“เหมืองฉิงซานมีขนาดใหญ่มาก แต่ปัจจุบันมันไม่มีความจำเป็นต้องทำเหมืองทองแดงอีกต่อไปแล้ว เลยขาดการดูแลจากสถานที่ชุมชน ดังนั้นภายในเหมืองเลยถูกยึดครองโดยพวกค้างคาวยักษ์ หากพวกเราไปที่นั่น การจะหาสัตว์ร้าย 200 ตัวมาฆ่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตรงกันข้าม หากออกไล่ล่าทั้งทุ่งล่า น่ากลัวว่า 3 วันคงไม่ทัน!” ฉินเฟิงอธิบาย


 


เดิมที การสังหารงูชายแดนแถวๆพื้นที่เพาะปลูกก็เป็นความคิดที่ดี แต่น่าเสียดายที่ฉินเฟิงกวาดล้างมันไปหมดแล้ว กระทั่งหนูยักษ์กินพืชที่เป็นอาหารหลักของมัน ก็สูญเสียไปเป็นจำนวนมากจากการบุกของกองทัพหนู


 


โจวฮ่าวกล่าวอย่างขมขื่น “อย่าพูดด้วยท่าทีใจเย็นแบบนั้นจะได้ไหม มันก็จริงว่าถ้าไปที่นั่นพวกเราจะฆ่าสัตว์ร้ายทั้ง 200 ตัวได้ทันแน่ๆ แต่นายไม่เคยได้ยินหรอ ว่าภายในเหมืองทองแดง มันมีค้างคาวยักษ์อยู่นับ 10,000 ตัว! และทุกตัวล้วนเป็นเลเวล G3 แล้วแบบนี้พวกเราจะชนะมันได้ยังไง!?”


 


ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “นายเชื่อฉันสิ ถ้ากระทั่งปัญหาแค่นี้นายยังสู้ไม่ได้ พอไปเจอกับกองทัพซากศพที่น่ากลัวยิ่งกว่า นายจะโค่นพวกมันลงได้ยังไง?”


 


พอได้ยินแบบนั้น โจวฮ่าวก็กัดฟัน สีหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นมั่นคง มุ่งมั่นดังเดิม


 


“ถูกของนาย ไปก็ไป!”


 


ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆอีก รถศึกของฉินเฟิงล่องเวหาต่อไป เนื่องจากพื้นดินมีสิ่งกีดขวางมากมาย มันเลยสามารถทำได้แค่ลอยไปข้างหน้าเท่านั้น


 


หนึ่งชั่วโมงต่อมา พระอาทิตย์ตกดินพอดี ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเหมืองฉิงซาน


 


ปรากฏให้เห็นถึงปากทางเข้าเหมืองขนาดใหญ่ บนพื้นดินมีรางรถไฟสนิมเขรอะซึ่งใช้ในการขนส่งแร่ทองแดง แต่ปัจจุบันมันอยู่ในสภาพบ้างสึกกร่อน บ้างผิดรูป


 


“รับนี่ไปซะ นายจำเป็นต้องใช้”


 


ฉินเฟิงโยนเกราะในสีเงิน และปืนพลังงานออกไป


 


นี่คือชุดเกราะในระดับราชันย์สัตว์ร้ายที่ถูกสั่งทำโดยฉินเฟิง -ด้วยความแข็งแกร่งทางกายในปัจจุบันของฉินเฟิง กล่าวได้ว่าร่างกายของเขาเทียบเคียงได้กับผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ฝึกฝนวิชาของพวกเส้าหลิน จึงเป็นธรรมดาที่ไม่ต้องการเกราะนี้


 


“นี่มันอย่าบอกนะว่า … ” โจวฮ่าวสูญสิ้นน้ำเสียง ท่าทีของเขาพอจะบอกได้เลยว่าตกใจขนาดไหน เพราะมันคืออุปกรณ์รูนที่กำลังสาดแสงสีเงิน ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นกับตาตัวเองมาก่อน


 


เป็นความรู้สึกที่ทั้งคนทั้งร่างสติหลุดลอยไปชั่วขณะ


 


“แล้วนายล่ะ ไม่ต้องใส่มันหรอ?”


 


แม้ว่าโจวฮ่าวจะตื่นเต้นสุดๆ แต่เมื่อคิดถึงฉินเฟิง เขาก็ระงับอารมณ์ทั้งหมดเหล่านั้นไปทันที


 


“ไร้สาระน่า นายนั่นแหละจำเป็นต้องใช้ อย่าลืมสิว่าค้างคาวยักษ์พวกนั้นมันทำอะไรฉันไม่ได้!”


 


“งั้นก็ขอน้อมรับด้วยความยินดี ฮี่ฮี่ ถ้ามีคนรู้ว่าฉันได้สวมชุดเกราะเงินนะ พวกเขาคงอิจฉาแทบตาย!”


 


โจวฮ่าวสวมเกราะ ในหัวใจรู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมหลายส่วน


 


จากนั้น ทั้งสองก็ก้าวเข้าไปในถ้ำมืด


 


วู้ม!


 


บังเกิดหนึ่งก้อนเปลวไฟลุกโชนขึ้น


 


-เป็นอบิลิตี้ไฟของฉินเฟิง


 


แม้เจ้าตัวจะสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมในที่มืดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโจวฮ่าวจะมองเห็นมัน เลยเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะช่วยจุดไฟ ส่องทางให้แก่สหาย


 


ต่อมา ฉินเฟิงก็หยิบหน้าไม้ และก้าวไปข้างหน้า


 


“ฉันจะนำไปก่อน แล้วจะปล่อยบางตัวให้นายฆ่าพวกมัน จำไว้ให้ดีว่าอย่าลืมใช้ทักษะลับน่องวายุ!”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


“และอย่าลืมเปิดบันทึกวิดีโอ!”


 


“เอออออ รู้แล้วน่า!”


 


มันจำเป็นต้องมีบันทึกวิดีโอในการล่า มิฉะนั้นพวกเขาจะพิสูจน์ว่าผู้ขอรับการทดสอบสามารถล่าสัตว์ร้ายครบทั้ง 200 ตัวได้อย่างไร?


 


ครั้งนี้โจวฮ่าวไม่ได้เผยรอยยิ้มแย้มขี้เล่น บนใบหน้าของเขา มันเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก กำลังภายในจากในร่างกายควบรวมไปที่สองหูและสองตา ประสาทสัมผัสในการรับรู้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก


 


ไม่นานนัก เสียงพัดกระพือของปีกก็ดังขึ้น


 


“พวกมันมาแล้ว!” โจวฮ่าวเกร็งกำปั้นด้วยความประหม่า


 


อย่างไรก็ตาม ทางฉินเฟิง เขาดูจะสงบกว่าโจวฮ่าวมากนัก


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ค้างคาวยักษ์เหล่านี้มีเลเวลแค่ G3 มันไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อเขาได้


 


วูซซซ!


 


ฉินเฟิงเหนี่ยวไก ยิงศรหน้าไม้ออกไปในความมืดมิด และโผล๊ะ! –สังหารสองสัตว์ปีกกลางอากาศในดอกเดียว!


 


ปุก!


 


สองค้างคาวยักษ์ถูกยิงเจาะเข้าที่หัวโดยตรง พวกมันร่วงตกลงกับพื้น เหลืออยู่ตัวเดียวเท่านั้นที่ยังบินอยู่ ราวกับว่ามันสามารถค้นพบถึงความผิดปกติ -เร่งโฉบเข้าหาตำแหน่งของฉินเฟิงกับโจวฮ่าวอย่างรวดเร็ว


 


“นี่สำหรับนาย”


 


ฉินเฟิงก้าวไปด้านข้าง หลีกไปให้พ้นทาง


 


ไม่นานเกินรอ ในที่สุด โจวฮ่าวก็เห็นถึงรูปลักษณ์ของค้างคาวยักษ์ในสายตา


 


แม้จะเคยเห็นมันจากวิดีโอที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่น่าตกใจเท่ากับรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองของอีกฝ่าย ที่อยู่เบื้องหน้า


 


ขนาดตัวของมันใหญ่มาก เฉพาะตรงส่วนร่างกายมีขนาดอวบอ้วน ยาวกว่าครึ่งเมตร สองฝั่งเป็นปีกที่กางออก ยาวกว่า1.5 เมตร ดูแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว


 


ดวงตาสีแดงและเขี้ยวของอีกฝ่าย ทำให้คนที่เฝ้ามองอดสั่นสะท้านไม่ได้


 


“น่องวายุ!” โจวฮ่าวถีบตัวขึ้นสูง และม้วนตัวเตะไปยังทิศทางค้างคาวยักษ์อย่างแรง


 


ฉวัดเฉวียน!


 


ทว่าค้างคาวยักษ์ก็สามารถหลบได้อย่างไม่ยากเย็น มันอาศัยจังหวะที่สวนกันโฉบวูบบบบ! กรีดกรงเล็บแหลมเข้าใส่ไหล่ข้างหนึ่งของโจวฮ่าว


 


หากไม่ใช่เพราะเกราะในที่สาดแสงสีเงิน เกรงว่าเนื้อของโจวฮ่าวคงถูกฉีดเป็นชิ้นๆไปแล้ว


 


“ใจเย็นๆ มองหาจังหวะกับมุมที่เหมาะสมก่อน แล้วค่อยเล็งเตะไปที่ปีกของมัน!” ฉินเฟิงเอ่ยแนะนำ


 


โจวฮ่าวรับฟัง เขาขยับกาย ใช้ฟุตเวิร์ควนไปรอบๆ จนในที่สุดก็ค้นพบตำแหน่งที่ดี ย่ำเท้ากับพื้น ถีบตัวลอยขึ้นเตะเข้าใส่ปีกใหญ่ค้างคาวยักษ์ เอี้ยวตัวอีกคราวกลางอากาศ ม้วนเตะเข้าใส่ด้วยขาอีกข้าง โดนไปถึงสองดอกในคราวเดียว กระดูกปีกของค้างคาวยักษ์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ


 


เมื่อกระดูกปีกแตก นั่นหมายความว่ามันไม่สามารถบินหลบหนีไปได้อีกแล้ว!


 


“ค้างคาวน้อย! แกบินหนีไม่ได้อีกแล้ว ตายซะเถอะ!” โจวฮ่าวชักปืนพลังงานตรงเอวออกมา เล็งไปทางหัวค้างคาวยักษ์และลั่นไก


 


สมองค้างคาวยักษ์ถูกเจาะเป็นรู มันจบชีวิตลงโดยสมบูรณ์


 


“อย่าลืมเก็บรวบรวมโลหิตหัวใจ , ปีก แล้วก็หางของมันด้วยนะ”


 


ฉินเฟิงสั่งคำหนึ่ง


 


ส่วนที่ดีที่สุดของค้างคาวยักษ์ก็คือโลหิตหัวใจ มันสามารถใช้ทำเป็นยาง่ายๆที่มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างร่างกายและจิตวิญญาณ ประสิทธิภาพเทียบเท่าได้กับยาเสริมแกร่งเกรด G


 


ส่วนปีกของมัน คู่หนึ่งมีมูลค่าราวๆ 2000 เหรียญ เงินจำนวนนี้มิอาจดึงดูดความสนใจจากฉินเฟิงได้ แต่สำหรับโจวฮ่าวมันคือโชคลาภก้อนใหญ่!


 


ส่วนหางค้างคาว มีขนาดเล็กที่สุด ง่ายต่อการขนย้าย เหมาสมสำหรับที่จะใช้เป็นหลักฐานในการทดสอบ


 


โจวฮ่าวหยิบมีดสั้นและเข็มสะกัดวัตถุดิบออกมา การต่อสู้ในครั้งนี้ช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับเขาได้มากโข


 


แน่นอน ว่าต้องขอบคุณพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของเกราะเงินด้วยเช่นกัน


 


หลังจากนั้น ทั้งสองก็ค่อยๆเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งลึก ก็ยิ่งมีค้างคาวยักษ์มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ ฉินเฟิงจะเหลือค้างคาวยักษ์ทิ้งไว้ตัวหนึ่งให้โจวฮ่าวจัดการ ในแต่ละครั้ง ความไวในการสังหารมันของโจวฮ่าวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


พรสวรรค์ของโจวฮ่าวเดิมก็ไม่เลวอยู่แล้ว บวกกับการใช้ทักษะลับกำลังภายในระดับ B นอกจากนี้ยังมีกระบวนท่าวรยุทธที่ใช้กระโดด ทำให้โจวฮ่าวไม่มีปัญหาในการต่อสู้กับสัตว์ร้ายในเลเวล G3 เหล่านี้


 


สามชั่วโมงต่อมา โจวฮ่าวก็หมดแรง ไม่สามารถฝืนสู้ได้อีกต่อไป


 


เพราะยังไงซะ กำลังภายในของเขาเดิมทีมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้ใช้มันตลอดเวลาก็ตาม แต่ก็มาถึงขีดจำกัดจนได้ในที่สุด


 


“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”


 


“ขอบใจ .. แล้วก็ขอโทษที ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ”


 


โจวฮ่าวไม่ขัดขืน เขาไม่พยายามแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง หลังจากยึดสินสงคราม ทั้งสองก็เตรียมเดินทางกลับ


 


พอมาถึงรถศึก โจวฮ่าวก็เริ่มกลายเป็นตื่นเต้นอีกครั้ง


 


“จากที่คำนวณดูคร่าวๆ ดูเหมือนว่าฉันเพิ่งจะสังหารค้างคาวยักษ์ไปได้มากกว่า 50 ตัว!” โจวฮ่าวรีบนับ และพบว่าภายในสามชั่วโมง เขาสามารถเก็บเกี่ยวได้ถึงขนาดนี้ แม้จะเสียเวลาไปบ้างในช่วงแรกๆก็ตาม


 


หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หมายความว่าภารกิจสัตว์หารสัตว์ร้าย 200 ตัว คงไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินกว่าจะสำเร็จใช่ไหม?


 


ณ จุดนี้ โจวฮ่าวเริ่มรู้สึกว่าการทดสอบนี้มันช่างง่ายดาย ง่ายเกินไป!


 


นี่หมายความว่าเขาครอบครองความสามารถในการเอาชีวิตรอดในทุ่งล่าอยู่แต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ตัวใช่หรือไม่?


 


ช่วงเวลานั้นเอง โจวฮ่าวรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง มุมมองของมันกว้างขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!


 


พอถึงเวลาเที่ยงคืน ทั้งสองก็กลับมายังสถานที่ชุมชน ฉินเฟิงพาโจวฮ่าวเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ของกลุ่มหวันซ่ง


 


เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าร้านของกลุ่มหวันซ่งจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง


 


ทันทีที่ฉินเฟิงเดินเข้าประตู เขาก็พบกับซุนน้อยในชุดสูท ผมบนหัวถูกหวีจนเรียบเนียน และยังมีตราสีเงินขนาดเล็กติดไว้บนหน้าอกซ้าย เขียนเอาไว้ว่า


 


‘ซุนเชี่ยน ตำแหน่งผู้จัดการ!’


 


ฉินเฟิงยกคิ้วสูง เขาไม่คาดคิดเลย ว่าซุนน้อยจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการแล้ว หลังจากที่เขาไม่ได้มาแค่ 2-3 วัน


 


“อ้าว! มิสเตอร์ฉิน! ” เมื่อเห็นฉินเฟิง ดวงตาของซุนน้อยก็เปล่งประกายสดใส เจ้าตัวก้าวออกมาทักทายฉินเฟิงอย่างเป็นกันเองทันที


 


ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงเกิดการสั่นไหว


Ch.78 – ลักพาตัว

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.78 – ลักพาตัว


 


แรงสั่นไหวที่คุ้นเคยนี้ ทำให้ฉินเฟิงกวาดมองไปรอบๆโดยไม่รู้ตัว


 


กระทั่งในตอนเที่ยงคืน ร้านค้าอุปกรณ์ของกลุ่มหวันซ่งก็ยังเปิดทำการให้ซื้อขาย อันที่จริงช่วงเวลาทำการซื้อขายส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในตอนกลางคืนซะมากกว่า เพราะช่วงเช้า มันคือเวลาที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของพวกเขาออกไปต่อสู้


 


และปัจจุบัน ในร้านขนาดใหญ่ มันมีคนอยู่ทั้งสิ้นห้ากลุ่ม


 


ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงไม่ขยับไหวหรือแสดงอาการพิรุธใดๆ เขาเหลือบตาลงมองอุปกรณ์สื่อสารอย่างใจเย็น


 


【แจ้งเตือนนักล่าเงินรางวัล , ล็อคเป้าหมาย : อาชญากรหลิวเจียหมิง!】


 


【แจ้งเตือนนักล่าเงินรางวัล , ล็อคเป้าหมาย : อาชญากรหลิวเจียซิง!】


 


【แจ้งเตือนนักล่าเงินรางวัล , ล็อคเป้าหมาย : อาชญากรหลิวเจียฝู!】


 


ไม่เพียงแต่ฉินเฟิงที่กำลังมองไปที่มัน โจวฮ่าวก็ยกข้อมือขึ้นมาเช่นนั้น จากนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นตึงเครียด


 


ตั้งแต่คราวก่อนที่ฉินเฟิงไล่ล่าและสังหารไวเปอร์ลง โจวฮ่าวก็ทำการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ของเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลมา


 


โจวฮ่าวต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฟิงก็ชิงส่งสัญญาณให้เขา โจวฮ่าวเลยหุบปากเงียบ


 


“ซุนน้อย ไม่เจอกันแค่สองสามวัน คุณก็เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการซะแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะ!” ฉินเฟิงกล่าวกับซุนเชี่ยน


 


ซุนเชี่ยนเร่งตอบรับ “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมิสเตอร์ฉินที่ช่วยดูแล! ฉันเลยสามารถทำเงินมหาศาลให้กับทางร้าน จนมีวันนี้!”


 


เหตุผลที่ซุนเชี่ยนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการนั้น แน่นอนว่าเพราะฉินเฟิงเล่นสั่งทำอุปกรณ์รูนเงิน , มีดกษัตริย์คราม ฯลฯ ที่ต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก ผ่านทางซุนเชี่ยน ทั้งหมดเลยกลายเป็นผลงานของเจ้าตัวไป


 


ทางสำนักงานใหญ่กลุ่มหวันซ่งเลยตัดสินใจให้ซุนเชี่ยนทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทันที


 


ตำแหน่งนี้ไม่เพียงเป็นการยืนยันความสามารถของซุนเชี่ยน แต่ยังเนื่องมาจากลูกค้ารายหลักอย่างฉินเฟิง


 


ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงนั้นเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นปริมาณการทำธุรกรรมของเขาย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และหากยังคงติดต่อซื้อขายผ่านพนักงานตำแหน่งเล็กๆ เกรงว่าคงไม่อาจสร้างความพึงพอใจให้แก่ฉินเฟิงได้มากพอ ผลลัพธ์คืออาจทำให้ฉินเฟิงไม่พอใจ และสูญเสียลูกค้าคนสำคัญไป


 


นี่คือความคิดของทางกลุ่มหวันซ่ง และเป็นที่มาของตำแหน่งของซุนเชี่ยน


 


สำหรับผู้จัดการร้านคนก่อนซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน เธอได้ถูกปลดจากตำแหน่งเดิมไปแล้ว เพราะทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ขณะนี้กำลังแนะนำสินค้าให้ลูกค้าคนอื่นด้วยรอยยิ้มฝืนๆอยู่ หากไม่ใช่เพราะว่าเธอมีญาติเป็นผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่งล่ะก็ เกรงว่าเธอคงถูกไล่ออกจากร้านนี้ไปแล้ว


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณไปหรอก คุณแค่ทำงานของตัวเองได้ดีต่างหาก อ้อจริงสิ คราวนี้ผมก็เอาของดีๆมาขายอีกแล้วนะ” ว่าจบ ฉินเฟิงก็หยิบห่อวัตถุดิบขนาดใหญ่ออกมา


 


แม้ว่าปีกค้างคาวยักษ์เหล่านี้จะสามารถพับได้ แต่ฉินเฟิงเล่นฆ่าพวกมันไปมากกว่าร้อยตัวในคืนเดียว ดังนั้นเลยต้องแบกกันมาในสภาพนี้


 


“โอเค ฉันจะเรียกคนมาช่วยนับสินค้าทันที!”


 


“อ๊ะ พอดีว่าเพื่อนของผมก็มีของมาขายอีกชุดนึงเหมือนกัน รบกวนช่วยนับแยกด้วยนะ”


 


“ไม่มีปัญหา!”


 


แล้วหลายคนก็เริ่มกรูกันเข้ามาวุ่นวาย ราคาของปีกค้างคาวยักษ์ไม่คงที่ หากนำไปแยกขายทีละชิ้นจะอยู่ที่ประมาณ 2400 เหรียญ แต่หากขายผ่านทางกลุ่มหวันซ่ง จะขายได้ในปริมาณเยอะๆ ทว่าราคาจะถูกลง รับซื้อแค่ชิ้นละ 2100 เหรียญเท่านั้น


 


พอมีหลายคนเข้ามาช่วยนับ งานก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว


 


“สินค้าของมิสเตอร์ฉินมีมูลค่า 275,000 เหรียญ ส่วนมิสเตอร์โจวฮ่าวมีมูลค่า 111,300 เหรียญ พวกคุณต้องการซื้ออะไรเพิ่มเติมก่อนจะรับเงินหรือเปล่า?” ซุนเชี่ยนถาม


 


ฉินเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าว “เอาเป็นชุดต่อสู้ T7 ก็แล้วกัน”


 


ชุดต่อสู้ T7 มีราคาแพงกว่าชุด T3 ที่ฉินเฟิงเคยใส่ก่อนหน้านี้ ราคาของมันอยู่ที่ราวๆ 150,000 เหรียญ แต่คุณภาพก็ดีกว่าเดิมตามราคา กล่าวได้ว่าหากสวมใส่ชุดนี้ ฉินเฟิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลยจากการต่อสู้ในห้องทดลองระหว่างเหอหลี


 


ส่วนทางโจวฮ่าว เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะใช้เงินซื้ออะไรในตอนนี้


 


“ฉันไม่ต้องการซื้ออะไร”


 


“รับทราบ”


 


ฉินเฟิงลองสวมชุดรบ เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ สั่งซุนเชี่ยนหักเงินสำหรับชุดรบใหม่ จากนั้นก็รับเงินส่วนต่างพร้อมกับโจวฮ่าว


 


“ไปกันเถอะ” ฉินเฟิงกวักมือมาทางโจวฮ่าว


 


โจวฮ่าวต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ขัดคำพูดของฉินเฟิง ทั้งสองเดินออกจากร้านไปพร้อมกัน


 


ทันทีที่พวกเขาออกมา โจวฮ่าวก็อดไม่ไหว


 


“ฉินเฟิง ทำไมนายไม่คิดจะทำอะไรเลยล่ะ? อาชญากรทั้งสามคนอยู่แค่ในเลเวล G เท่านั้นเองนะ!” โจวฮ่าวกล่าว


 


ฉินเฟิงสามารถสังหารไวเปอร์ลงได้ แล้วสามคนนี้จะนับว่าเป็นสิ่งใด?


 


ฉินเฟิงส่ายหัวและตอบ “พวกเขาไม่ทำอะไรหรอก แค่กำลังเลือกซื้อปืนอยู่เท่านั้นเอง”


 


โจวฮ่าวกำลังคิดตาม แต่ฉินเฟิงก็ชิงกล่าวซะก่อน “ต่อให้พวกเขามีความกล้ามากกว่านี้สักสิบเท่า พวกเขาก็ไม่กล้าปล้นร้านอุปกรณ์ของกลุ่มหวันซ่งหรอก แล้วก็อย่างที่บอกไป ว่าพวกเขากำลังเลือกปืนกันอยู่ ถ้าจู่ๆฉันพุ่งเข้าไปจับกุม แล้วในปืนมีกระสุนขึ้นมา พวกมันจะไม่สาดยิง จนคนบริสุทธิ์ที่อยู่รอบๆโดนลูกหลงหรอกหรอ?”


 


เพราะยังไงซะ พนักงานขายของร้านหวันซ่ง ก็เป็นเพียงคนธรรมดา มิได้มีความสามารถในการต่อสู้ใดๆ และอีกอย่าง คนที่กำลังแนะนำอาชญากรทั้งสามอยู่ ก็เป็นแค่วัยรุ่นหญิงอายุ 20 ปีเท่านั้น


 


โจวฮ่าวเหลียวหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อต้องการจะดูว่ามันจะเกิดเหตุร้ายขึ้นรึเปล่า ในหัวใจเผยถึงร่องรอยของความกังวลเล็กน้อย


 


แต่ก็เพราะการเหลียวหลังของเขานี่เอง เลยทำให้เห็นว่าอาชญากรทั้งสามไม่ได้คิดปล้นร้านจริงๆ พวกเขาก้าวฉับๆออกมา และดูเหมือนว่ากำลังตรงมาทางเขากับฉินเฟิง!


 


โจวฮ่าวตกตะลึงงันไปวูบหนึ่งกับภาพตรงหน้า


 


“เหอๆ” ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ เขาอุตส่าห์ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีแกะอ้วนรนเข้ามาหาที่เอง


 


ปัจจุบัน ฉินเฟิงสวมชุดแบรนด์เนม ในขณะที่โจวฮ่าวแต่งกายในชุดนักเรียน


 


ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงดูไม่เหมือนกับนักสู้ ในทางตรงกันข้าม คนหนึ่งดูเหมือนลูกชายผู้มีอิทธิพล อีกคนดูเหมือนคนของทหารรับจ้างที่มาเพียงลำพัง


 


หรือไม่ก็เป็นคนที่ปิดซ่อนความแข็งแกร่งแล้วมาขายของ


 


แต่แน่นอน ว่าพวกอาชญากรย่อมเชื่อในข้อแรกมากกว่า


 


เพราะเป้าหมายในข้อแรก มักจะตกเป็นเป้าหมายของสามพี่น้องตระกูลหลิว


 


-เป้าหมายในการลักพาตัว!


 


ในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล ประวัติของทั้งสามพี่น้องก็คือ พวกเขามักจะใช้วิธีการดังกล่าวในการลักพาตัวเหยื่อ จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อหลอกลวงญาติของเหยื่อ ทำทีเป็นขอเงินให้โอนมา จากนั้นก็ทำการข่มขู่พวกเขา


 


และอัตราความสำเร็จของแผนการดังกล่าวนี้ก็สูงมาก ทั้งสามคนก่ออาชญากรรมมาแล้วหลายครั้ง


 


“มาทางนี้!” ฉินเฟิงกระซิบกับโจวฮ่าว ทั้งสองไม่กลับไปที่รถล่องเวหา แต่ตรงไปยังมุมถนนด้านข้าง


 


อาชญากรทั้งสามมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นแยกตัวไปเตรียมรถ อีกสองคนไล่ติดตามฉินเฟิงกับโจวฮ่าว


 


หลังจากนั้นพี่ชายคนโตหลิวเจียหมิงก็ชักมีดออกมา ยกขึ้นง้างเตรียมจะฟันใส่โจวฮ่าว


 


โจวฮ่าวที่ตื่นตัวอยู่แล้วในที่สุดก็ทนไม่ไหว ชิงหมุนตัวกวาดเตะเป็นวงสวนกลับไป


 


เปรี้ยง!


 


กลับกลายเป็นหลิวเจียหมิงซะเองที่ถูกลอบโจมตีใส่อย่างกระทันหัน เขากระเด็นหงายหลังไถลไปสามเมตร


 


“อั๊ก! ไอ้สารเลวเอ๊ย!”


 


หลิวเจียหมิงไม่คาดคิดเลยว่าโจวฮ่าวจะต่อต้านเขา เจ้าตัวสบถสาปแช่งด้วยความโกรธ แต่โจวฮ่าวไม่คิดเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ เขาคว้าปืนพลังงานที่เอว ยกมันขึ้น และยิงออกไปทันที


 


“อ๊าาาา!” หลิวเจียหมิงกรีดร้อง ปรากฏหลุมเลือดขึ้นบนขาของเขา


 


อันที่จริง สิ่งที่อาจารย์หยางจากสถาบันระดับสูงกล่าวนั้นไม่ได้ผิดเลย เขาสั่งสอนได้ถูกต้องจริงๆ -อาวุธปืนน่ะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ระหว่างพวกเลเวลต่ำๆ


 


นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกระทั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณ ก็ยังต้องพกปืนในช่วงแรก


 


หลิวเจียซิงที่อยู่ข้างๆชักปืนออกมาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ฉินเฟิงไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น


 


ฉินเฟิงปรากฏกายขึ้นด้านข้างศัตรู วางมือลงบนไหล่ของหลิวเจียซิง


 


กร๊อบ กร๊อบ!


 


“อ๊ากกกกกก!”


 


สองไหล่ของศัตรูถูกฉินเฟิงบดขยี้จนแหลกโดยตรง!


 


เมื่อถึงจุดนี้ หลิวเจียฝูคนสุดท้ายที่อยู่ในรถเห็นท่าไม่ดี สตาร์ทเครื่องขับหนีทันที


 


“จะไปไหน? รู้ไว้ซะว่ามันสายไปซะแล้ว!”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น พลางชักเอาปืนพลังงานจากเอวขึ้นมา นี่มิใช่ปืนที่เขาได้แลกเปลี่ยนมาจากซูซิงฝู หากแต่เป็นสินสงครามที่ได้รับมาจากเหอหลี


 


ปัง!


 


เสียงปืนดังขึ้น กระสุนเจาะทุลุกระจกด้านหลังของรถ มันปริร้าว แตกระแหงเหมือนใยแมงมุม วินาทีต่อมา มันก็ทะลุเข้าหลังหัวของอาชญากรคนสุดท้าย


 


รถยนต์ที่ไร้ซึ่งคนควบคุมกระแทกเข้ากับราวบันได และหยุดลงในที่สุด


 


และเนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กันมันไม่ใช่มุมอับ ผู้คนที่ผ่านทางก็เริ่มกรีดร้อง พากันหนีกระเจิงด้วยความหวาดกลัว


 


สำหรับคนธรรมดา แม้ว่าสถานที่ชุมชนจะปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเสมอไป


 


ในสถานที่ชุมชน อาจเกิดการต่อสู้ขึ้นได้ทุกเมื่อ และมันคือการต่อสู้ระหว่างคนกับคน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันโหดร้ายยิ่งกว่า และหากไม่ระวัง คุณก็อาจจะตกเป็นเหยื่ออย่างไม่ตั้งใจ!


Ch.79 – ให้ค่ามากกว่าเพื่อน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.79 – ให้ค่ามากกว่าเพื่อน


 


อาชญากรสามคน หนึ่งถูกยิงเสียชีวิต อีกสองสูญสิ้นความสามารถในการต่อสู้ โจวฮ่าวส่งภารกิจผ่านเครือข่ายนักล่าด้วยความตื่นเต้น


 


ไม่นาน จางฮั่วหยางก็เดินทางมาถึงพร้อมกับคนของเขา


 


เดิมที การรับตัวอาชญากรผู้ใช้พลังในเลเวล G3 มันไม่จำเป็นต้องถึงมือหัวหน้าสาขาอย่างเขา แต่เนื่องจากสามพี่น้องตระกูลหลิวได้ก่ออาชญากรรมเอาไว้มากมาย ไหนจะลักพาตัวคนหนุ่มสาวที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง แม้จะรีดไถเงินจำนวนไม่มากก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผู้เสียหายโกรธแค้น และยอมทุ่มเงินตั้งค่าหัวทั้งสามไว้สูงลิ่ว


 


บางคนช่วยเสนอเงินรางวัลเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก บางคนก็เสนอน้อยๆ แต่รวมๆกันแล้ว ค่าหัวของทั้งสามพี่น้องพุ่งทะยานไปกว่า 20 ล้าน!


 


เมื่อจางฮั่วหยางเห็นฉินเฟิง เขาก็ฝืนยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง ฉินเฟิง รับทรัพย์ก้อนใหญ่เลยนะครั้งนี้”


 


“ผมก็แค่โชคดีน่ะครับ” ฉินเฟิงหัวเราะ ในหัวพลางคิดว่าคนของเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล ก็ไม่ได้ทำเงินได้เสมอไป เมื่อมองไปยังใบหน้าขมขื่นของจางฮั่วหยางที่พลาดเงินก้อนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เขาก็อดรู้สึกตลกไม่ได้


 


จางฮั่วหยางสั่งการคนของเขาเก็บกวาดสถานที่ เมื่อส่งภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ก็มอบเงินให้กับฉินเฟิงและโจวฮ่าวคนละครึ่ง เป็นจำนวนคนละ 10 ล้าน


 


“ฉินเฟิง ฉันจะโอนเงิน 5 ล้านเพิ่มให้กับนายนะ” โจวฮ่าวกล่าว


 


-จางฮั่วหยางรับฟังก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขารู้ดีว่าคงไม่พ้นฉินเฟิงที่มีส่วนร่วมมากที่สุดในวันนี้ หากไม่มีฉินเฟิง อีกคนคงไม่กล้าลงมือเพียงลำพัง


 


ในความเป็นจริง ไม่น่าสงสัยเลย ที่จางฮั่วหยางรู้สึกประหลาดใจกับฉินเฟิง เพราะเขาคล้ายรู้สึกว่า สำหรับฉินเฟิงแล้ว โลกมันแคบจริงๆ ไปที่ไหนก็เจอเหยื่อในประกาศจับ ขณะที่เขาเป็นนักล่าเงินรางวัลเต็มตัวแท้ๆ ฐานก็อยู่ใกล้ๆ แต่กลับไม่ค่อยจะได้พบกับเป้าหมายเลย


 


“ไม่ต้องหรอก นายเก็บไว้เถอะ แล้วพรุ่งนี้ก็นำเงินที่ได้มาไปซื้อรถศึกซะ!” ฉินเฟิงกล่าว


 


โจวฮ่าวผงะ “ว่าไงนะ นายจะให้ฉันซื้อรถศึกงั้นหรอ ทำไมกัน!?”


 


ฉินเฟิงชี้มาทางเสี่ยวไป๋ ที่อยู่บนไหล่เขา ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยทั้งวัน “เพราะบนรถฉัน นายนั่งทับที่ของเสี่ยวไป๋ แย่งที่นั่งไปจากมัน มันอารมณ์เสียมากเลยนะรู้ไหม”


 


ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลไม่ใช่แค่ที่พูดไป เดิมกิจวัตรของเสี่ยวไป๋หลังจากกลายเป็นราชันย์สัตว์ร้าย คือเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกในช่วงเช้า ติดตามฉินเฟิงไปโรงเรียน หลังจากช่วงเย็น เลิกเรียนมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นร่างมนุษย์ เพราะต้องการสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆงามๆ


 


แต่ผลลัพธ์ในวันนี้ กลับกลายเป็นว่าโจวฮ่าวตามฉินเฟิงมาด้วย มันเลยไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แถมยังไม่ได้นั่งที่ประจำของตัวเอง


 


เมื่อถูกคนอื่นเข้ามาแทนที่ ราชันย์สัตว์ร้ายเสี่ยวไป๋ก็เริ่มรู้สึกเดือดปุดๆในจิตใจ หากทั้งวันไม่มีฉินเฟิงคอยห้ามไว้ เกรงว่าเสี่ยวไป๋คงใช้โจวฮ่าวเป็นที่ฝนเล็บไปแล้ว!


 


โจวฮ่าวอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินเฟิง


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย! พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันรึไง? นี่สถานะของฉันเทียบไม่ได้กับเสี่ยวไป๋เลยหรอ?”


 


ฉินเฟิงคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายตอบคำทำร้ายเสียดแทงจิตใจ “ก็เทียบกันไม่ได้จริงๆนั่นแหละ”


 


ต้องไม่ลืมนะว่า สถานะของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้ คือแฟนของฉินเฟิง!


 


นับตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ผู้คนมักจะให้ความสำคัญเรื่องสาวมากกว่าสหาย ดังนั้นโจวฮ่าวจะสำคัญกว่าเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร!


 


ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ คำตอบก่อนหน้านี้เขาเพียงล้อเล่นโจวฮ่าวเท่านั้น


 


เสี่ยวไป๋กับโจวฮ่าว แน่นอนว่าทั้งสองย่อมมีความสำคัญไม่แพ้กัน


 


 


โจวฮ่าวเหมือนจะรู้ว่าถูกแซว แต่ก็อดโกรธไม่ได้


 


“เออ งั้นฉันเดินกลับเองก็ได้!”


 


ฉินเฟิงไม่รั้งตัวสหายแต่อย่างใด พยักหน้าตกลง หันหลังขึ้นรถและขับออกไป โจวฮ่าวมองตามพลางกลอกตามองบน


 


อย่างไรก็ตาม วันต่อมา โจวฮ่าวก็ไปซื้อรถศึกจริงๆ รถคันนี้แพงกว่าของฉินเฟิงด้วยซ้ำ แม้รูปลักษณ์มันจะดูไม่เท่มากเท่าไหร่ แต่ก็คงไว้ซึ่งลักษณะรถออฟโรดแบบบุกตะลุย อันที่จริงมันมีระบบล่องเวหาเช่นกัน ส่วนราคาอยู่ที่ 9 ล้าน


 


บางที อาจเป็นเพราะจำฝังใจกับคำพูดของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ รถของโจวฮ่าวเลยเป็นแบบ 5 ที่นั่ง และยังมีที่ว่างมากมายสำหรับใช้ขนสิ่งของ


 


“เป็นยังไงบ้าง? รถคันนี้ฉันกับพ่อช่วยกันเลือกด้วยตัวเองเลยนา มันคือรถศึกบึกบึน! เหมาะสมกับชายชาตรี!” โจวฮ่าวกล่าว


 


ฉินเฟิงพยักหน้า “สายตาของคุณลุงไม่เลวเลย ยังไงก็ตาม อย่าลืมมอบเงินจำนวนหนึ่งให้คุณลุงด้วย ท่านจะได้ไปสร้างบ้านสวยๆ หรือทำอะไรสักอย่างที่อยากทำ”


 


“รู้หรอกน่า เอาไว้ถ้าทำเงินได้อีก ฉันจะมอบให้พ่อมากกว่านี้”


 


แม้ว่าย่านที่โจวฮ่าวอาศัยอยู่จะเป็นพื้นที่พลเรือน แต่มันก็อยู่ใกล้กับสลัมมากเกินไป กล่าวได้ว่ายังมีอันตรายอยู่มาก


 


ยังไงก็ตาม ไม่ใช่ว่าโจวฮ่าวมีเงินแล้วจะเพิกเฉยต่อครอบครัว นอกจากเงินค่ารถแล้ว ส่วนที่เหลือโจวฮ่าวโอนให้พ่อแม่ของตนทั้งหมด


 


การต่อสู้เมื่อวานนี้ ทำให้เขารู้สึกประทับใจมาก


 


‘บางที ฉันอาจจะตายในทุ่งล่าเมื่อไหร่ก็ได้ ฉะนั้น ฉันควรจะรีบหาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วทิ้งไว้ให้กับพ่อแม่!’


 


แน่นอน คำเหล่านี้เขาไม่ได้เอ่ยกับฉินเฟิง เพราะหากเอ่ยมันไป นั่นไม่เท่ากับว่าเขาไม่ไว้ใจในตัวฉินเฟิงหรอกหรือ?


 


หลังเลิกเรียน ทั้งสองคนก็ขับรถออกสู่ทุ่งล่า


 



 


บนรถล่องเวหา ไป๋หลีหันไปมองรอบๆ เฝ้ามองสิ่งปลูกสร้างที่ค่อยๆลับสายตาไป มันไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป แปลงกายตนเป็นมนุษย์ทันใด


 


ฉินเฟิงกำพวงมาลัยแน่น เจ้าตัวเกือบจะเสียหลักขับรถตกลงไปในคลองข้างๆ


 


“นายท่าน หนูใส่ชุดนี้ดีไหม หรือว่าอันนี้ และอันนี้?”


 


ไป๋หลีนาบชุดลงกับตัว


 


ฉินเฟิง “จะใส่ตัวไหนก็ใส่ไปเถอะน่า แกกำลังจะไปประกวดนางงามรึไง?”


 


“ประกวดนางงามคืออะไร? มันมีไว้ประชันเสน่ห์ใช่ไหม? งั้นคนที่ชนะเลิศคงไม่พ้นหนู!”


 


ไป๋หลีเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ


 


“รีบๆใส่มันซักทีเถอะ!”


 


ฉินเฟิงยกมือขึ้นกุมหน้าผากของเขา


 


ไป๋หลีโยนเสื้อผ้าไปมาสักพัก สุดท้ายก็ได้ที่ถูกใจ เธอเริ่มสวมใส่มัน พร้อมกับรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง


 


เมื่อมาถึงเหมืองฉิงซาน ฉินเฟิงกับไป๋หลีก็ลงจากรถ โจวฮ่าวที่ขับตามมาข้างหลัง นึกว่าตัวเองตาฝาดเห็นผี!


 


“ฉินเฟิง ทำไมถึงมีอีกคนอยู่ในรถของนายกัน? นายไปรับเธอมาจากที่ไหน” โจวฮ่าวชี้ไปทางไป๋หลี แต่ก็รู้สึกตัวว่าการกระทำของตนไม่สุภาพ รีบถอนนิ้วกลับและหัวเราะแห้ง


 


“สวัสดีคนสวย!”


 


“ฮึ!”


 


ไป๋หลีไม่รับคำทักทายของโจวฮ่าว เพราะเขาคือคนที่เคยแย่งที่นั่งของมัน


 


“อย่าไปสร้างปัญหาให้เธอเลยนี่ เด็กคนนี้ก็คือเสี่ยวไป๋ไง แต่นับจากนี้ไปให้เรียกว่าไป๋หลีนะ” ฉินเฟิงโน้มตัวมาใกล้ๆโจวฮ่าว กระซิบบางเพิ่มเติม “เธอเป็นถึงราชันย์สัตว์ร้าย มีทักษะในการเปลี่ยนรูป ระมัดระวังให้ดี ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันช่วยนายไม่ได้แล้วนะ!”


 


โจวฮ่าวเบิกตากว้าง ปรากฏชัดถึงความไม่อยากจะเชื่อในแววตา เขามองไปทางไป๋หลี


 


สัตว์ร้ายในร่างมนุษย์อย่างงั้นหรอ?


 


ไม่คาดคิดเลย ว่าเสี่ยวไป๋จะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถเปลี่ยนรูปได้แบบนี้


 


อันที่จริง สัตว์ร้ายในร่างมนุษย์ก็ใช่ว่าจะไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากการเกิดขึ้นของรอยแยกมิติ ถือว่ามีกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นมากซะด้วยซ้ำ สัตว์ร้ายเหล่านี้จะอาศัยอยู่ท่ามกลางฝูงชน บ้างก็ก่อเหตุนองเลือด บ้างก็คอยสอนสั่งผู้คน สร้างสรรค์ผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมากมาย


 


ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงไม่พ้น ‘มังกรน้ำเงินบาร์ท’ เป็นสัตว์ร้ายที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์วัยกลางคนที่อ่อนโยน คอยสอนอบิลิตี้น้ำและกระบวนท่าวรยุทธของมังกรแก่ผู้คน!


 


แน่นอน ว่ายังมีอีกเช่นสัตว์ร้ายร่างมนุษย์ ‘งูเอเวอร์กรีน’ มันรูปลักษณ์เป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ เชี่ยวชาญในการยั่วยวนและล่อลวงผู้ชาย เมื่อเสร็จกิจก็จะกลืนกินพวกเขา เหตุการณ์เหล่านี้ ภายหลังเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวเกินกว่าจะเอ่ยถึง


 


ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแข็งแกร่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมสัตว์ร้ายที่ครอบครองพลังในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างนั้น ทั้งหมดถึงล้วนอยู่ในระดับราชันย์


 


“ไอ้เพื่อนยาก นายโชคดีโคตรๆเลย ฉันอิจฉาแทบตายแล้ว!” โจวฮ่าวสรรรเสริญ


 


“ก็ฉันมันคนวาสนาดีนี่นา!” ฉินเฟิงยิ้มมุมปากและหัวเราะ


 


ก็ถ้าไม่มีโชคแล้ว เขาจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งได้อย่างไร? จะมีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ได้อย่างไร?


 


ทั้งสามเดินเข้าไปในเหมืองฉิงซาน เริ่มต้นภารกิจล่าสังหารอีกครั้ง


 


โจวฮ่าวแข็งแกร่งกว่าเมื่อวานมาก พละกำลังของเขาก็เพิ่มพูนยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน


 


นี่ต้องขอบคุณโลหิตที่เขาเก็บรวบรวมมาเมื่อวานนี้


 


โลหิตหัวใจ คือสิ่งที่อัดกันแน่นจนกลายเป็นเลือดเพียงหยดสองหยด มันมักจะอยู่ตรงกลางใจของค้างคาวยักษ์ มีลักษณะเหนียวนืดเหมือนกับเยลลี่ จึงสามารถสกัดได้ง่าย เมื่อวานนี้ หลังจากกลับบ้าน โจวฮ่าวก็ลงไปแช่ในอ่างน้ำที่หยดโลหิตหัวใจเจือจางลงไป ส่งผลให้พละกำลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิมมาก


 


ด้วยเหตุนี้เอง มันเลยเป็นธรรมดาที่กำลังรบของโจวฮ่าวจะก้าวกระโดดยิ่งกว่าวันก่อน


 


“เข้าไปลึกกว่านี้กันเถอะ!” โจวฮ่าวกระตือรือร้นสุดๆ ในเวลานี้ เขาอยากจะเข้าไปลึกกว่าเมื่อวาน เพราะเส้นทางที่ผ่านมา มันไม่มีค้างคาวยักษ์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว!


 


“นั่นสินะ ไปกันเถอะ”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า


 


ทว่าหลังจากเดินเข้าไปไกลกว่าเดิมได้เพียง 100 เมตร ดวงตาของเสี่ยวไป๋ก็พลันสว่างวาบ


 


“หนูเจอของดีบางอย่าง!”


Ch.80 – ผลเสมหะเลือด

Translator : Muntra / Author


 โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.80 – ผลเสมหะเลือด


 


สิ้นเสียง ไป๋หลีก็หายวับไปทันที


 


โจวฮ่าวทราบว่าไป๋หลีแข็งแกร่งมาก เมื่อจู่ๆไป๋หลีก็หายไปจากสายตา เขาก็พาลคิดไปว่าความเร็วของไป๋หลีคงมากเกินกว่าที่ตนจะมองเห็นด้วยตาเปล่า


 


ในช่วงเวลาต่อมา ไป๋หลีก็โผล่กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับกุมต้นไม้เล็กๆเอาไว้ในมือ มันดูคล้ายกับต้นบอนไซ แต่มีผลไม้สีแดงเรียงกันเป็นแถว


 


ไป๋หลีดึงผลสีแดงออกมาทันที โยนมันเข้าปาก แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ


 


“อื้ม ไม่เลวเลย มันอร่อยทีเดียว เปรี้ยวนิดๆหวานหน่อยๆ”


 


นับตั้งแต่ที่ไป๋หลีเลื่อนระดับ มันก็ไม่ได้กินอะไรเลย แน่นอน ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการจะกิน แต่เป็นเพราะอาหารของมนุษย์ให้พลังงานแค่น้อยนิดเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ต่อไป๋หลีเหมือนกันแก่นพลังงาน


 


ทว่าผลไม้ที่ไป๋หลีเพิ่งกินมันไป แถมยังหาได้เองตามธรรมชาตินับว่าเป็นสิ่งที่ดี


 


ฉินเฟิงมองผลไม้เหล่านั้น พริบตาก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไร


 


“นั่นมันผลเสมหะเลือด!”


 


เมื่อกล่าวถึงผลไม้ชนิดนี้ มันอาจจะดูน่าขยะแขยงเล็กน้อย หากแต่สรรพคุณของมันคือสมุนไพรวิญญาณ ที่ถูกเพาะขึ้นมาจากเลือดของค้างคาว


 


ถึงจะเรียกว่าเสมหะ แต่จริงๆแล้ว แต่ละผล มันคือแหล่งรวมหยดโลหิตหัวใจมากมายที่ถูกคายออกมาโดยค้างคาวยักษ์ จนก่อตัวขึ้นอยู่ในรูปร่างของเยลลี่ ด้วยเหตุนี้เอง มันเลยถูกขนานนามว่าผลไม้เสมหะเลือด


 


แม้ว่าผลไม้เสมหะเลือดจะเป็นชื่อที่ไม่ดี แต่มันก็มีสรรพคุณที่ช่วยในการเติบโตทางกายภาพที่ทรงพลัง กล่าวได้ว่า สรรพคุณของมันได้ผลดีกว่าโลหิตหัวใจของค้างคาวยักษ์ถึงพันเท่า!


 


และกระทั่งเด็กอนุบาลก็ยังรู้ ว่าเจ้าสิ่งนี้ มันมิใช่สิ่งที่ค้างคาวยักษ์ธรรมดาจะสามารถเพาะได้


 


“งานเข้าแล้ว!” สีหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนไป


 


แม้แต่โจวฮ่าวเองก็ยังตระหนักได้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร เพราะยังไงซะ เขาก็เพิ่งเข้าเรียนเกี่ยวกับเหมืองฉิงซานมาเมื่อวานนี้ สถานที่ซึ่งกล่าวขวัญว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของฝูงค้างคาวยักษ์ นอกจากนี้ยังมีการดำรงอยู่ของค้างคาวระดับสูง ซึ่งสามารถเพาะพันธ์สมุนไพรวิญญาณเช่น หญ้าราตรี , ดอกไม้คลื่นเสียง หรือผลไม้เสมหะเลือดได้อีกด้วย


 


แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย ว่าจะได้เห็นมันในวันนี้!


 


ได้ยินแค่เพียงคำสอนของอาจารย์ที่ยังดังก้องอยู่ในหู “เพราะมันต้องอาศัยหยดโลหิตหัวใจของค้างคาวจำนวนมากในการสร้างผลไม้เสมหะเลือด ดังนั้น หากที่ใดมีมัน นั่นหมายความว่าจะต้องมีสัตว์ร้ายระดับสูงตัวหัวหน้าอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ตัวหัวหน้าจะสั่งการให้สัตว์ร้ายระดับล่างร่วมมือกัน เพาะเลี้ยงผลไม้ชนิดจนงอกเงย ฉะนั้น หากพบเจอกับผลไม้ที่ว่า ขอให้มั่นใจได้เลยว่าบริเวณรอบๆใกล้ตัวพวกเธอ มันจะต้องมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังอย่างนายพลสัตว์ร้าย หรือบางครั้งอาจถึงขั้นราชันย์สัตว์ร้ายอยู่อย่างแน่นอน!”


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของโจวฮ่าวก็ซีดลง บนหน้าผากผุดเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ


 


“เผ่นกันเร็ว!”


 


ฉินเฟิงตะโกนคำหนึ่ง


 


โจวฮ่าวยกขาขึ้น วิ่งตามฉินเฟิงทันที


 


เสี่ยวไป๋งง แต่ก็ยังวิ่งตาม เห็นได้ชัดว่าเธอสวมรองเท้าส้นสูง แต่ความเร็วกลับไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นๆเลย


 


ยังไงก็ตาม หากสังเกตอย่างใกล้ชิด จะพบว่ารองเท้าของเธอไม่ได้แตะพื้น!


 


“วิ่งหนีอะไรกัน?”


 


ไป๋หลีไม่เข้าใจ


 


ในเวลาเดียวกัน เริ่มปรากฏเสียงวุ่นวายดังขึ้นจากทุกทิศทาง เสียงกระพือปีกกังวานไปทั่วทั้งถ้ำ จนมิอาจคาดคำนวณจำนวนของพวกมันได้


 


สีหน้าของฉินเฟิงเริ่มจะหนักอึ้ง


 


ฉินเฟิงใช้โอกาสนี้เหลียวหลัง มองเข้าไปในถ้ำลึกที่มืดมิด และค้นพบว่ามีค้างคาวกว่าหลายร้อยตัวกำลังบินไล่ตามมา


 


หากมิใช่เพราะว่าขนาดถ้ำเล็กเกินไป น่ากลัวว่าจำนวนที่เห็นคงจะมากกว่านี้!


 


“เสี่ยวไป๋ มาอยู่ข้างหน้าฉัน!” ฉินเฟิงดึงเสี่ยวไป๋ให้หลีกทาง และเริ่มกระตุ้นพลังสมาธิอย่างบ้าคลั่ง


 


ดาวเทียมที่อยู่ถัดจากดาวเคราะห์เพชรเกิดการปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ตามด้วยรูนปริมาณมหาศาลที่ระเบิดออกมา


 


โจวฮ่าวรับรู้ได้ถึงแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง แต่ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองกลับไป และพบว่าทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงกำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยรูนลึกลับ


 


รูนเหล่านั้นมีทั้งสีดำและแดง พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง กะจำนวนด้วยสายตาคร่าวๆแล้ว น่าจะมีจำนวนหลายพัน


 


ฉินเฟิงยกมือขึ้น บอลไฟขนาดเท่ากำปั้นพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา แต่เมื่อรูนนับไม่ถ้วนอัดฉีดเข้าไปในมัน ลูกไฟก็เริ่มใหญ่ขึ้น ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว


 


ในชั่วพริวตา บอลไฟก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเปลวไฟขนาดยักษ์ มีรัศมีกว่า 3 เมตร แทบจะปิดกั้นช่องทางเดินของเหมืองทั้งหมดเอาไว้


 


“ไปเลย!”


 


ฉินเฟิงร้องคำราม ระเบิดบอลไฟออกไป ปะทะกับศัตรูที่กำลังพุ่งเข้ามา


 


ค้างคาวยักษ์ทั้งหมดที่ไล่ตามถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟ แม้ว่าพวกมันจะยังไม่ตายในทันที แต่ก็ถูกแรงปะทะผลักกระเด็นออกไป -บอลไฟสามารถหยุดยั้งสัตว์ร้ายทั้งหมดเอาไว้ได้ชั่วคราว


 


โจวฮ่าวตกตะลึง!


 


“ผู้ใช้อบิลิตี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?” โจวฮ่าวพึมพำพลางเหม่อมองฉากที่น่าหวาดกลัว


 


“มัวจ้องอะไรอยู่ รีบไปกันเร็วเข้า!”


 


ฉินเฟิงผลักโจวฮ่าว และเริ่มวิ่งอีกครั้ง


 


บอลไฟค่อยๆสลายหายไป สามารถได้ยินถึงเสียงกระพือของปีกจากเบื้องหลังอีกครั้ง และคราวนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเสียงกระพือที่ทั้งเร็วและบาดแหลม ซ่อนอยู่ท่ามกลางเสียงกระพือธรรมดาของค้างคาวยักษ์ที่กำลังไล่ตามมาปะปนอยู่ด้วย


 


เสียงบาดแหลมกรีดลึกเข้ามาในหูของโจวฮ่าว ทำให้เขารู้สึกเจ็บจี๊ด


 


“มันคือทหารสัตว์ร้าย มีเลเวลอยู่ที่ G5 ! ” นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับโจวฮ่าวเลย แม้เขาจะสามารถสังหารสัตว์ร้ายบางตัวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับมือกับสัตว์ร้ายระดับสูงได้ หากทหารสัตว์ร้ายโจวฮ่าวยังรับมือมันไม่ไหว แล้วจะนับประสาอะไรกับศัตรูเบื้องหลังที่ยกกันมาเป็นโขยง!


 


แต่นับว่าโชคยังดี ที่เบื้องหน้าของทั้งสาม ปรากฏให้เห็นถึงแสงจันทร์รำไร – ทางออกเหมืองอยู่อีกไม่ไกลแล้ว!


 


“ฉินเฟิง มันไม่ได้ผลแน่เลย ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว นั่นหมายความว่าต่อให้พวกเราออกไป มันก็ยังไล่ตามมาได้!” โจวฮ่าวตะโกนด้วยความกังวล


 


ฉินเฟิงตอบกลับอย่างใจเย็น “เชื่อมือฉันเถอะน่า!”


 


แม้ว่าบนใบหน้าของโจวฮ่าวจะเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ในเมื่อฉินเฟิงกล่าวแบบนั้น เขาก็จะเชื่อ เจ้าตัวทำแค่เพียงถ่ายเทกำลังภายในลงไปยังสองขา สับฝีเท้าวิ่งต่อไป -โชคดีจริงๆที่ฉินเฟิงได้มอบทักษะน่องวายุ ที่ช่วยเสริมกระบวนท่าวรยุทธช่วงล่างให้แก่เขา มิฉะนั้น น่ากลัวว่าโจวฮ่าวคงจะถูกค้างคาวยักษ์ไล่ตามทัน โดนรุมสูบกินเลือดไปแล้ว


 


“เสี่ยวไป๋ เอากล่องระเบิดออกมาที!” ฉินเฟิงเร่งเร้า


 


เสี่ยวไป๋ยกมือน้อยๆขึ้นๆ และกล่องใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ แม้ว่าขณะนี้จะรีบวิ่งกันอยู่ แต่ตัวกล่องกลับปลอดภัย มันสมดุล ไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงเลย


 


ภายในนี้ มันเต็มไปด้วยระเบิด!


 


เป็นระเบิดที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง!


 


นี่คือสิ่งที่ฉินเฟิงโด้มาจากอุปกรณ์รูนมิติของเหอหลี อานุภาพของมันรุนแรงเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาตั้งใจจะใช้มันในภายหลัง แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าจะต้องสูญเสียมันไปเพราะสัตว์ร้ายระดับ G5


 


แต่ฉินเฟิงตระหนักดีว่ายังไงก็ต้องใช้มัน เหตุการณ์นี้เป็นดั่งที่โจวฮ่าวกังวลเมื่อวาน ในเหมืองมีค้างคาวยักษ์อย่างน้อยก็หลายหมื่นตัว ใครจะรู้ ว่านอกจากแนวหน้าของทัพค้างคาวที่มีระดับทหารปนอยู่ด้วยแล้ว มันอาจะมีระดับนายพลสัตว์ร้าย หรือราชันย์สัตว์ร้ายไล่ติดตามมาจากเบื้องหลังอีกก็ได้


 


“นายออกไปก่อน!” ฉินเฟิงหยุดห่างจากปากทางเข้าถ้ำ 50 เมตร เขาเปิดกล่อง และติดตั้งระเบิดกว่าสิบสองลูกบนผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว ด้วยปริมาณดังกล่าว มันเพียงพอแล้วที่จะถล่มสถานที่แห่งนี้!


 


“เร็วเข้าฉินเฟิง!” โจวฮ่าวตะโกนจากปากถ้ำ


 


“ไป๋หลี!”


 


ฉินเฟิงเอ่ยคำหนึ่ง ไป๋หลีก็เทเลพอร์ตฉินเฟิงทันที เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหน้าปากทางเข้าถ้ำที่อยู่ห่างออกมา 50 เมตรในพริบตา


 


โจวฮ่าวเห็นทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ก็ตื่นตะลึงในหัวใจ


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงกระพือปีกอย่างรุนแรงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“มอบให้นาย จัดให้สาสมใจไปเลย!” ฉินเฟิงโยนรีโมทควบคุมระยะไกลไปทางโจวฮ่าว


 


โจวฮ่าวกดปุ่นสีแดงทันที


 


ตู้มมมมมมมมมม!


 


เหมืองฉินซานทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก้อนหินกลิ้งตกลงมา สัตว์ร้ายในทุ่งล่าที่อยู่ใกล้ๆตกใจ และพากันวิ่งหลบหนีไป


 


โจวฮ่าวพยายามรักษาสมดุลร่างกาย กระแอมไออย่างรุนแรง


 


ฝุ่นควันคละคลุ้งรอบตัวเขา ภายใต้แสงจันทร์ หมอกฟุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ


 


“แค่กๆ ฉินเฟิง คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกจะดีกว่านะ รู้ไหมว่าชีวิตน้อยๆของฉันยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ!” โจวฮ่าวบ่น


 


ฉินเฟิงหัวเราะ แต่ไม่ได้โต้แย้งใดๆ


 


โจวฮ่าว “สงสัยจริงๆว่าพวกค้างคาวที่อยู่ข้างใน ถ้าไม่ถูกซากหินทับตาย ก็คงจะแหลกจากแรงระเบิดไปจนหมดแล้ว”


 


ฉินเฟิงส่ายหัว “แรงระเบิดนี้ มีรัศมีทำลายอุโมงค์ถ้ำมากสุดก็แค่ไม่กี่ร้อยเมตร ถ้าจะให้พวกมันทั้งหมดตาย เกรงว่าเป็นร้อยลูกก็คงยังทำไม่ได้”


 


ณ จุดนี้ เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันคือเสียงค้างคาวยักษ์ที่กำลังบินออกจากถ้ำ!


Ch.81 – พลังธาตุมืด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.81 – พลังธาตุมืด


 


อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ท่าทีของฉินเฟิงกับโจวฮ่าว ดูจะสงบเป็นอย่างมาก


 


เพราะเสียงกระพือที่ดังมา มันมิได้หนาแน่นอีกต่อไป แต่มีเพียงหนึ่งเท่านั้น!


 


“ฮี่ฮี่ มีปลาหลุดจากตาข่ายมาได้ด้วยแฮะ นายอยู่เฉยๆเถอะ ตัวนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง!”


 


โจวฮ่าวย่ำเท้าลงกับพื้น ร่างของเขาเป็นประกายวูบไหว ทะยานออกไปสังหารค้างคาวยักษ์อย่างรวดเร็ว


 


ก่อนที่จะถูกค้างคาวยักษ์พวกนี้ไล่ตาม ฉินเฟิงก็ได้สังหารสัตว์ร้ายตามจำนวนการทดสอบผู้ใช้พลังเลเวล G ครบตามกำหนดแล้ว ขณะที่โจวฮ่าวสังหารไปได้เกือบร้อยตัว ยังคงขาดอีกจำนวนหนึ่งถึงจะทำได้ตามข้อกำหนด


 


ถ้าหากในเหมืองไม่สามารถล่าได้อีกต่อไป เกรงว่าวันพรุ่งนี้โจวฮ่าวคงจำเป็นต้องโดดเรียน!


 


หลังจากที่โจวฮ่าวสังหารค้างคาวยักษ์ตัวแรกไปแล้ว ก็มีอีกตัวหนึ่งก็บินออกมาจากถ้ำ -แต่แค่ตัวเดียว


 


คราวนี้ กระทั่งโจวฮ่าวก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ


 


“เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง” ฉินเฟิงโบกมือให้เขา และเดินเข้าไปในเหมือง


 


ปัจจุบัน ฝุ่นได้ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งปากทางเข้าเหมือง และลึกเข้าไป 50 เมตร เส้นทางก็ได้ถูกปิดกั้นด้วยหินที่พังทลายลงมา


 


อย่างไรก็ตาม กลับปรากฏรอยแยกหนึ่งตรงพื้นดิน


 


มันเป็นรอยแยกที่มีขนาดราวๆสองฝ่ามือ เป็นรอยแยกที่ค้างค้าวยักษ์ไม่สามารถบินลอดผ่านมาได้ หากแต่ถ้าพวกมันพับปีก ก็ยังพอที่จะคลานออกมาได้อย่างลำบากลำบน


 


อย่างไรก็ตาม ร่างกายของค้างคาวยักษ์อ่อนนุ่มมาก ไม่นาน อีกตัวหนึ่งก็สามารถคลานออกมาได้อย่างรวดเร็ว


 


ฉินเฟิงทุบกะโหลกอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี และกระชากทั้งตัวของค้างคาวยักษ์ที่หัวแบะออกมา


 


หลังจากที่ถูกดึงออก ก็ปรากฏค้างคาวอีกตัวผุดขึ้นมา


 


“นายท่าน เจ้าพวกนี้ก็อยากกินผลไม้งั้นหรอ?” ไป๋หลีที่เฝ้าดูการกระทำของฉินเฟิงข้างๆ เอ่ยถามออกมาด้วยความสนอกสนใจ


 


เมื่อเธออ้าปาก กลิ่นหอมอ่อนๆของผลไม้เสมหะเลือดที่กำลังเคี้ยวก็โชยออกมา กลายเป็นยิ่งกระตุ้นให้พวกค้างคาวเร่งคลานออกมาไวกว่าเดิม


 


“จี๊ด จี๊ด จี๊ด!”


 


ค้างคาวที่กำลังมุดรอยแยกส่งเสียงร้องรุนแรง


 


พวกมันกำลังคลั่งเพราะกลิ่นของผลไม้เสมหะเลือด!


 


“ฉินเฟิง เกิดอะไรขึ้นข้างในน่ะ?”


 


โจวฮ่าวจัดการค้างคาวตัวก่อนหน้าได้แล้ว ก็รีบเดินเข้ามา ไม่ช้าเขาก็พบกับฉากที่ไม่คาดคิดนี้


 


“ก๊ากฮะฮ่าฮ่า เจ้าพวกค้างคาวยักษ์ทำไมมันโง่แบบนี้ มาเร็ว มาให้ฉันฆ่าเก็บแต้มซะดีๆ ถ้าติดแหง็กอยู่ในรูแบบนี้ มีเป็นร้อยก็ไม่หวั่น ฮ่าฮ่า!”


 


โจวฮ่าวกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


ฉินเฟิงส่ายหัวของเขา


 


“นายควรจะปล่อยให้พวกมันออกมาก่อน เพราะในการบันทึกวิดีโอ การฆ่าแบบนี้จะถือว่าไม่นับ!”


 


แม้ทางฝ่ายตรวจสอบจะไม่ทราบถึงสถานการณ์ แต่พวกเขาจะตระหนักได้อย่างแน่นอนว่านี่คือการโกง ถึงการนับจำนวนสัตว์ร้ายที่สังหารจะถูกจัดการโดยจักรกล แต่ก็จะมีบ้างที่มนุษย์ลงมาตรวจสอบด้วยตัวเอง


 


โจวฮ่าวพอคิดถึงเรื่องนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของฉินเฟิง


 


หลังจากนั้น โจวฮ่าวก็ได้ต่อสู้กับค้างคาวยักษ์ที่ค่อยๆโผล่มาทีละตัว ทีละตัว ระหว่างสู้ ถ้ามีตัวอื่นมุดเข้ามาก่อนการต่อสู้จะจบลง ฉินเฟิงก็จะใช้มีดกษัตริย์ครามในมือชิงสังหารมัน


 


แม้ว่าค้างคาวยักษ์ที่รอต่อคิวมุดขึ้นมาตัวต่อไป จะทราบว่าค้างค้าวตัวก่อนหน้ามันตาย แต่มันก็ไม่คิดล่าถอย ค้างคาวยักษ์จำนวนมากยังตัดสินใจคืบคลานมาข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง พวกมันถูกกลิ่นของผลไม้เสมหะเลือดล่อลวงอย่างมิอาจต่อต้าน


 


ไม่เพียงเท่านั้น แต่ในบรรดาค้างคาวยักษ์ที่เตรียมจะมุดออกมา น่ากลัวว่าอาจจะมีระดับราชันย์ปะปนอยู่ด้วย


 


โจวฮ่าวล่าสังหารได้อย่างรวดเร็ว แต่การต่อสู้กับค้างคาวทีละตัว ผ่านไปสักพักแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง หนึ่งชั่วโมงต่อมา โจวฮ่าวก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง ทว่ายังคงเหลือสัตว์ร้ายที่ต้องสังหารตามข้อกำหนดอีก 30 ตัว


 


ยังไงก็ตาม ค่ำคืนนี้โจวฮ่าวได้มาถึงขีดกำจัดแล้ว!


 


“เสี่ยวไป๋ เอาผลไม้เสมหะเลือดไปมอบให้เขา” ฉินเฟิงสั่ง


 


ไป๋หลีแสดงท่าทีไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็มอบผลไม้ให้กับโจวฮ่าว


 


“แค่ผลเดียว ไม่ให้มากไปกว่านั้น!” ไป๋หลีกล่าว


 


“ขอบใจนะเจ้าหญิงน้อย!” โจวฮ่าวปากหวาน เขารับผลไม้มา โยนมันเข้าปาก กลืนลงสู่กระเพาะโดยตรง


 


ทันใดนั้นกระแสพลังบริสุทธิ์จากผลไม้ก็ปะทุออก มันแพร่กระจายไปตามแขนขาของโจวฮ่าว กล้ามเนื้อในส่วนที่บาดเจ็บและอ่อนแอในตอนแรก พลันเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ราวกับว่ามันสามารถใช้งานอย่างเต็มรูปแบบได้อีกครั้ง


 


ความแข็งแกร่งทางกายภาพของโจวฮ่าวทะลุขึ้นไปยังเลเวล G3 !


 


“มาต่อยกที่สองกันเลย!”


 


โจวฮ่าวเริ่มเผชิญหน้ากับค้างคาวยักษ์อีกครั้ง


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา โจวฮ่าวก็บรรลุภารกิจสังหารสัตว์ร้าย 30 ตัวสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ทั้งสองก็ยังไม่มีความคิดที่จะจากไปในทันที


 


“ฆ่าได้เท่าไหร่ ก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เท่านั้น!” โจวฮ่าวชักมีดสั้นกุมในมือ เฝ้ารอให้ค้างคาวยักษ์โผล่หัวออกมา แล้วสังหารมัน!


 


ฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจขอผลไม้อีกลูกจากไป๋หลี ให้โจวฮ่าวพกติดตัวเอาไว้


 


“นายฆ่าพวกที่กำลังมุดตรงนี้ไปนะ ฉันขอไปตรวจสอบอีกด้านหนึ่งก่อน”


 


-ฉินเฟิงตั้งใจจะไปกำจัดกลุ่มใหญ่ของค้างคาวยักษ์เพียงลำพัง!


 


สำหรับฉินเฟิง แม้ค้างคาวยักษ์เหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ G3 -5 และแทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆต่อเขา ทว่าด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาล มันก็น่าจะเพียงพอที่จะนำมาใช้เสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเองได้!


 


“ไปเถอะ ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”


 


ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ โจวฮ่าวได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของไป๋หลีแล้ว ไหนจะพลังที่ใช้เคลื่อนไหวในพริบตาของมันอีก มองยังไงพลังนั่นก็ช่างเหมาะสมที่จะใช้ลอบสังหาร และใช้หลบหนีได้เป็นอย่างดี! ดังนั้นเขาเลยไม่กังวลว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับฉินเฟิง


 


แต่เป็นธรรมดาที่โจวฮ่าวจะไม่ทันคิด ว่าการเคลื่อนไหวในพริบตาของไป๋หลี แท้จริงแล้วมันคืออบิลิตี้ที่หาได้ยากยิ่ง


 


ในเวลานี้ ฉินเฟิงกับไป๋หลีได้มาถึงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของฝั่งที่พวกค้างคาวยักษ์กำลังถูกดึงดูด ห่างออกไปราวๆสองร้อยเมตร


 


นับตั้งแต่ที่เสี่ยวไป๋กลายเป็นราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F รัศมีในการเทเลพอร์ตของมันก็ขยายออกเป็น 1000 เมตร นับประสาอะไรกับแค่ 200 เมตร!


 


ฉินเฟิงสามารถได้ยินถึงเสียงกระพือปีกของค้างค้าวยักษ์ได้อย่างชัดเจน


 


“เอาล่ะ ได้เวลาที่พวกเราจะมาทดลองใช้พลังพิเศษธาตุมืดกันแล้ว!”


 


ฉินเฟิงแช่อยู่ในห้องสมุด เก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆได้มากมายในช่วงเวลาสองวันที่ผ่านมา สังเกตุได้จากบอลไฟยักษ์ที่ปลดปล่อยออกไปเมื่อครู่


 


แน่นอน ท่านอาจจะกำลังคิดว่าก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเองก็ใช้บอลไฟสังหารไวเปอร์ลงไปเหมือนกันไม่ใช่หรอ นั่นก็ใช่ ใช้พลังไฟเหมือนกัน หากแต่ขนาดของบอลไฟในครั้งนี้ใหญ่โตกว่ามาก เนื่องจากมันถูกเสริมด้วยเทคนิคใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้มาลงไป


 


ฉินเฟิงเดินออกจากมุมหนึ่ง มาอยู่ใกล้กับด้านหลังของค้างคาวยักษ์ เนื่องจากมีโจวฮ่าวอยู่ข้างหน้า คอยล่อลวงพวกมันด้วยผลไม้เสมหะเลือด ค้างคาวยักษ์เหล่านี้เลยไม่คิดจะเหลียวมองกลับมาทางเขาและเธอ


 


ฉินเฟิงเริ่มระดมพลังสมาธิของตนเอง รูนแห่งความมืดเริ่มแผ่ขยายออกมา


 


ในช่วงเวลานี้ รอบตัวฉินเฟิงมิได้ถูกห้อมล้อมด้วยเปลวไฟแต่อย่างใด มันมิปรากฏประกายใดๆออกมา ในทางกลับกัน ทั้งคนทั้งร่างของเขากลับจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดอย่างมิอาจจินตนาการได้


 


ทรงกลมสีดำปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของฉินเฟิง จากนั้นก็เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


 


รูนถูกผสมผสานเข้าไปอย่างต่อเนื่อง บอลทมิฬเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนถึง 3 เมตร ความมืดอันน่าหวาดกลัวกลืนกินทุกสิ่งอย่าง กระทั่งวิสัยทัศน์ของฉินเฟิงก็ยังเป็นสีดำสนิท!


 


“เอาไปกินซะ!”


 


ฉินเฟิงผลักบอลทมิฬไปยังเบื้องหน้าโดยไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ


 


มันคือความเงียบอย่างแท้จริง ยามเมื่อบอลทมิฬโถมเข้าใส่กลุ่มค้างคาวยักษ์ที่อยู่หลังสุด มันไร้ซึ่งเสียงกรีดร้อง หากแต่ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกว่าเกิดระเบิดขึ้น


 


ภายใต้อำนาจของศิลานรก ส่งผลให้พลังของบอลทมิฬพุ่งทะยานไปถึงระดับที่น่าหวาดกลัว!


 


บอลทมิฬกลืนกินค้างคาวยักษ์ในพริบตา ทุกที่ที่บอลนี้เคลื่อนผ่าน ค้างคาวยักษ์จะร่วงลงกับพื้น สูญสิ้นชีวิตไป


 


บอลทมิฬลอยไปได้ราวๆ 10 เมตร


 


ในระยะสิบเมตร เนื่องจากค้างคาวยักษ์กระจุกตัวอยู่กันอย่างหนาแน่น เลยส่งผลให้เพียงการโจมตีเดียว ก็สามารถคร่าชีวิตของค้างคาวยักษ์ไปได้มากถึง 500 ตัว!


 


ฉินเฟิงเฝ้ามองฉากนี้อย่างลึกล้ำ เขาเหมือนจะเกิดความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพลังของรูนมืดขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน


 


“ที่แท้พลังของรูนมืดก็เป็นแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นพี่ถึงได้บอกว่าพลังแห่งความมืดทรงอำนาจที่สุด หนึ่งนิ้วแห่งความตาย … ผลการสังหารของมันก็มาจากรูนมืดเช่นกัน กล่าวได้ว่ารูนมืดคือสัญลักษณ์แห่งความตาย เหมือนกับที่รูนแสงคือสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่นั่นเอง!”


 


“จงกลับมา!”


 


ฉินเฟิงมิได้เกลียดชังในรูนมืดของตนเอง สำหรับเขา รูนมืดไม่ใช่ลางร้าย เขาไม่เคยมามัวสนใจคิดว่าพลังในมือของตนเองเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เพราะค่าของพลัง มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานมันแข็งแกร่งหรืออ่อนแอต่างหาก!


 


บอลทมิฬกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง


 


ท่ามกลางความเงียบงัน ฝูงค้างคาวทยอยกันถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ


Ch.82 – กวาดล้างค้างคาวยักษ์

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.82 – กวาดล้างค้างคาวยักษ์


 


อย่างไรก็ตาม พลังสมาธิของฉินเฟิงยังคงมีขีดจำกัด หลังจากปลดปล่อยบอลทมิฬไปกว่าสิบดวง พละกำลังของเขาก็อ่อนโทรมลง


 


ฉินเฟิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสังหารค้างคาวยักษ์ไปแล้วกี่ตัว แต่ในเวลานี้ กลุ่มค้างคาวยักษ์ดูเหมือนจะกำลังหวาดกลัว หลายตัวเลือกที่จะละความสนใจจากโจวฮ่าว หันหลังกลับมา ตัดสินใจวิ่งแหวกฝ่าฉินเฟิง


 


“รีบหนีกันเร็ว!” สีหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย เวลานี้เขาหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าของเขาซีดเซียว ไม่อาจเป็นคู่ต่อกรกับค้างคาวยักษ์กลุ่มนี้ได้


 


ไป๋หลีไม่รอช้า เทเลพอร์ตทั้งตัวเองและฉินเฟิงกลับมายังปากทางเข้าถ้ำที่เพิ่งพังทลายลงทันที


 


ทางฝั่งโจวฮ่าว มือที่กำลังกวัดแกว่งมีดสั้นก็ดูจะด้านชาไปเล็กน้อย


 


จ้องมองนาฬิกา ค้นพบว่ามันเป็นเวลาตี 3


 


ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผลงานสังหารของโจวฮ่าวก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก เขาสามารถสังหารค้างคาวยักษ์ไปได้มากกว่า 800 ตัว!


 


“โถ่ หมดแล้วงั้นหรอ?” โจวฮ่าวกล่าวด้วยแขนที่สั่นสะท้าน


 


“พอแค่นั้นแหละ นายทิ้งศพพวกนี้เอาไว้ แล้วไปพักผ่อนในรถก่อนเถอะ” ฉินเฟิงกล่าว


 


“โอเค งั้นฉันขอตัวโทรไปรายงานพ่อแม่ก่อนนะว่ายังปลอดภัยดี” โจวฮ่าวเห็นข้อความบนอุปกรณ์สื่อสาร จึงรีบโทรกลับ และอธิบายเพิ่มเติมว่าเขาน่าจะไม่สามารถกลับไปได้ในคืนนี้


 


“ผลไม้เสมหะเลือดที่ให้ไปก็กินมันด้วยล่ะ จากนั้นก็พักซะ พักที่ฉันหมายถึงคือให้ไปนั่งสมาธิ อย่าเผลอหลับไปเชียว!”


 


“เข้าใจแล้วน่า”


 


โจวฮ่าวกลับไปยังรถออฟโรดของเขา ในเวลานี้ ขนาดใหญ่ของตัวรถได้เผยให้เห็นถึงประโยชน์ของมันออกมา โจวฮ่าวเข้าไปปรับเบาะหลัง ที่สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้ ส่งผลให้ในรถมีพื้นที่ว่างพอสมควร เขาขึ้นไปนั่งสมาธิ และเริ่มฝึกฝนกำลังภายใน


 


สองชั่วโมงผ่านพ้นไปในพริบตา โจวฮ่าวที่กำลังฝึกฝนกำลังภายในพลันถอนหายใจยาวเหยียด ในแววตาของเขาเปล่งประกาย ความเหนื่อยล้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง เห็นได้ชัดว่าตนได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล


 


“ฮะฮ่า! ดูเหมือนว่าฉันจะสามารถยกระดับไปได้อีกขั้นแล้ว!”


 


ด้วยพลังจากฟ้าดิน ก็เพียงพอที่จะช่วยส่งเสริมให้เขาแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบัน โจวฮ่าวมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล G4 แล้ว!


 


หลังจากยกระดับไปถึง 2 ขั้นในคืนเดียว โจวฮ่าวก็เหมือนจะตระหนักได้ว่า เขาค้นพบถึงความลับของความแข็งแกร่งของฉินเฟิงเข้าให้แล้ว


 


มันก็แค่ต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และฝึกฝนตน ทำสมาธิซึมซับพลังจากธรรมชาติ ก็จะสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


 


ฉินเฟิงเองก็พักผ่อนเสร็จแล้วเหมือนกัน ทั้งสองผุดลุกขึ้น และเริ่มเก็บรวบรวมสินสงครามทั้งหมดในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าเป็นอีกครั้งที่พวกเขารับทรัพย์ก้อนใหญ่


 


ฉินเฟิงขอให้เสี่ยวไป๋พาตัวเองกลับไปยังส่วนลึกของถ้ำอีกครั้ง และเริ่มเก็บกวาดศพของสัตว์ร้าย


 


ปรากฏว่าปริมาณซากศพเป็นจำนวนที่เหนือจินตนาการ


 


ฉินเฟิงไม่ละทิ้งชิ้นส่วนใดๆ เขาแยกมันออกเป็นแต่ละประเภท และในตอนท้าย เขาก็พบกันซากของราชันย์สัตว์ร้ายที่ตายลง


 


“เมื่อวานฉันเผลอฆ่าราชันย์สัตว์ร้ายไปโดยไม่รู้ตัวเลยหรือนี่?” ฉินเฟิงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง


 


เพราะความแข็งแกร่งของราชันย์ค้างคาวยักษ์ก่อนตาย ก็เหมือนกันกับราชันย์หนูยักษ์กินพืช จะอย่างไรมันก็เป็นถึงราชันย์สัตว์ร้าย ทว่าช่างน่าสงสาร ที่มันถูกพรากชีวิตน้อยๆไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยพลังพิเศษธาตุมืดของฉินเฟิง จบชีวิตลงอย่างน่าสังเวชที่นี่


 


“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่จู่ๆเมื่อวาน พวกค้างคาวก็ตัดสินใจที่จะหลบหนีไปอย่างกระทันหัน” ฉินเฟิงนึกถึงฉากวันก่อน ก็ค้นพบถึงเหตุผล


 


ในความเป็นจริง ราชันย์สัตว์ร้ายตัวนี้นับว่าตายอย่างไม่ยุติธรรม!


 


มันพาลูกหลานบุกออกมาเป็นจำนวนมาก แต่กลับติดแหง็กอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำ และพยายามกระตุ้นค้างคาวเหล่านั้นด้วยคลื่นเสียงให้มุดแหวกรอยแยกออกไป แต่เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด มันจึงล้มเหลว และถูกหยุดเอาไว้ในที่สุด


 


อันที่จริง ในตอนที่ถูกฉินเฟิงโจมตีด้วยพลังพิเศษธาตุมืด มันก็ต้องการจะหลบหนีเช่นกัน ยังไงก็ตาม ทางเดินในเหมืองนั้นมีเพียงเส้นเดียว ข้างหน้าถูกปิดด้วยหิน ข้างหลังถูกดักไว้โดยฉินเฟิง มันเลยไม่สามารถหลบหนีดั่งใจปรารถนาได้ สุดท้ายถูกสังหารไปในที่สุด


 


“อบิลิตี้ธาตุมืดช่างเป็นอะไรที่ทรงพลังจริงๆ!”


 


ฉินเฟิงขบคิดด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข


 


ฉินเฟิงเริ่มเก็บกวาดศพบนพื้นดิน ไม่เพียงแต่ศพของราชันย์ค้างคาวยักษ์ แต่ยังรวมไปถึงนายพลค้างคาวอีก 6 ศพ รวมๆแล้วอาจมากกว่า 3000 ศพ!


 


ยิ่งเมื่อนับรวมกันกับที่โจวฮ่าวสังหารลงไปแล้ว น่ากลัวว่านี่คงจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของค้างคาวยักษ์ในเหมืองฉิงซาน!


 


การต่อสู้ใช้เวลาไม่นานนัก แต่ตอนเก็บกวาดนี่สิ มันปาเข้าไปกว่า 3 ชั่วโมง


 


ทางฝั่งโจวฮ่าวเอง ก็เก็บเกี่ยววัตถุดิบมาได้เต็มพื้นที่ข้างในรถ ขณะที่วัตถุดิบของฉินเฟิง ถูกมัดไว้เหนือรถของโจวฮ่าว มันพองโตจนเป็นจำนวนที่น่าหวาดกลัว


 


เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงภายในเมือง มันก็เป็นเวลากว่า 8 โมงเช้าแล้ว เนื่องจากบรรทุกวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงตัดสินใจนำพวกมันไปขายที่ร้านของกลุ่มหวันซ่งก่อน


 


เพราะเกรงว่าน่าจะมีเพียงร้านของกลุ่มหวันซ่งที่เดียว ที่จะสามารถรับซื้อสินค้าชุดนี้ได้


 


“เชิญทางคุณนับวัตถุดิบพวกนี้ไปก่อน ส่วนพวกเรามีบางอย่างต้องไปทำ พอเสร็จธุระแล้วพวกเราจะมารับเงินในภายหลัง!” ฉินเฟิงกล่าว


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น แม้ก่อนหน้านี้เขาจะคิดว่าสินค้าที่ฉินเฟิงนำมาขายมันมีคุณภาพต่ำเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ หากเทียบกับปริมาณมหาศาล ก็นับว่าชดเชยกันได้


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ฉินเฟิงยังทิ้งวัตถุดิบของราชันย์ค้างคาวยักษ์เอาไว้อีกด้วย โดยบอกเงื่อนไขว่า ให้ช่วยปรับแต่งมันเป็นเสื้อเกราะและมีดสั้น


 


เป็นที่ทราบกันดีว่าราชันย์ค้างคาวยักษ์นั้นซ่อนตัวอยู่ในความมืด และอุปกรณ์รูนที่ทำจากปีกของมันก็มีความสามารถบางอย่างซ่อนอยู่ แม้มันจะไม่จำเป็นสำหรับฉินเฟิง แต่น่าจะเป็นสิ่งที่โจวฮ่าวต้องการ


 


สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของโจวฮ่าว ควบคู่ไปกับความสามารถในการหลบหนีอย่างทักษะลับน่องวายุของเขา แค่สองอย่างก็น่าจะเพียงพอให้คนธรรมดาไม่สามารถเอาชีวิตโจวฮ่าวได้


 


หลังจากนั้นฉินเฟิงก็กล่าวคำอำลากับซุนเชี่ยน และกลับไปยังโถงรับรองผู้ใช้พลัง


 


ช่วงเวลา 8 โมงเช้า โถงรับรองเพิ่งเปิดก็จริง แต่ก็มีคนเข้ามาเรื่อยๆ คึกคักมีชีวิตชีวาไม่น้อย


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว โถงรับรองผู้ใช้พลังยังมีหน้าที่คอยปล่อยภารกิจพิเศษนอกพื้นที่ อย่างเช่นพวกให้สังหารมนุษย์กบ หรือหมาป่าตาแดงที่ฉินเฟงเคยล่าไปในตอนแรกเริ่ม โถงแห่งนี้เป็นจุดรับแลกคะแนนจากพวกมัน และคะแนนที่ได้มาอาจนำไปใช้ซื้อบางสิ่งที่ไม่มีขายตามปกติได้


 


เมื่อฉินเฟิงกับโจวฮ่าวปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองก็ดึงดูดความสนใจจากหัวหน้านักล่าภายในโถงทันที


 


โจวฮ่าวมาที่นี่พร้อมกับฉินเฟิงเมื่อช่วงเย็นวานนี้ และมันยากนักที่คนอายุน้อยจะมา ดังนั้นหลายๆคนจึงยังไม่ลืมเลือนพวกเขา แต่ทั้งหมดต่างก็สงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงกลับมาที่นี่อีกครั้งในเวลาอันสั้น


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทั้งสองยังแบกกระเป๋าต่อสู้คนละสองใบมาอีกด้วย


 


“อย่าบอกนะว่าจะเป็นอย่างที่ฉันคิด!”


 


“มันจะเป็นไปได้ยังไง พวกเขาเพิ่งจะสมัครการทดสอบเมื่อบ่ายวานนี้เองไม่ใช่หรอ? ถ้าดูจากเวลามันผ่านไปแค่สองวันเท่านั้นเอง!”


 


“ไม่ ไม่ใช่สองวัน แต่แค่ 40 ชั่วโมงเท่านั้น!”


 


เกิดข้อถกเถียงกันในฝูงชน แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าฉินเฟิงกับโจวฮ่าวผ่านการรับรองจริงๆ


 


โจวฮ่าวหยิบเอาหางค้างคาวออกมา 200 เส้น และมอบวิดีโอไปพร้อมๆกัน


 


【ติ๊ง! ผ่านการรับรอง! ขอแสดงความยินดีกับคุณที่ผ่านการประเมิน ได้รับตราสัญลักษณ์ โลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G!】


 


ทางด้านฉินเฟิง ก็ผ่านเช่นเดียวกัน


 


“ฉินเฟิง นายจะขอวัดพลังโจมตีอีกรอบรึเปล่า? ถ้ามันผ่านเกณฑ์ นายจะสามารถยกระดับโลโก้ผู้ใช้พลังได้นะ” โจวฮ่าวกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


หลังจากได้รับตราโลโก้เลเวล G แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ร้ายอีก ขอเพียงแค่ตราบใดที่สามารถยกระดับได้มากพอตามเงื่อนไขข้อมูลที่กำหนด ก็จะสามารถยกระดับเลเวลโลโก้ได้


 


โจวฮ่าวคิดจะเพิ่มเลเวลโลโก้ตนเองขึ้นเป็น G4 ให้เท่ากับความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน -หากต่อยออกไป มันคงจะทำให้ทุกคนที่นี่ต้องตาค้าง!


 


ยิ่งไปกว่านั้น ระดับยิ่งสูง ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะยิ่งดีขึ้น


 


“ตอนนี้ยังไม่จำเป็น!” เพราะฉินเฟิงทราบดี ว่ายิ่งเลเวลโลโก้สูงมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น


 


โจวฮ่าวอาจมีความแข็งแกร่งอยู่ในกลุ่มของเลเวล G4 หากแต่เขายังไม่มีประสบการณ์ของเลเวล G4 ฉะนั้น น่ากลัวว่าหลังจากขอทำการรับรองแล้ว โจวฮ่าวอาจจะถูกย้ายไปยังสถานที่อันตรายบางแห่งที่เขายังไม่พร้อมจะรับมือก็เป็นได้


 


แน่นอน ว่าเหตุผลข้างต้น ไม่สามารถเอ่ยอธิบายออกไป


 


“ถ้านายขอทดสอบไปเลเวล G4 เลย มันจะไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาพวกรุ่นพี่ในโรงเรียนรึไง ทำแบบนั้นหลังจากนี้พวกเขาส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นฝ่ายโค้งหัวทักทายนายน่ะสิ?” ฉินเฟิงกล่าวติดตลก


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นอย่างที่นายว่าจริงๆ แบบนั้นฉันคงปวดหัวน่าดู” พอได้ยินคำพูดของฉินเฟิง โจวฮ่าวก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม ความคิดในเรื่องขอทดสอบยกระดับเลเวลโลโก้ มันได้หายไปแล้ว


 


เมื่อทั้งสองเดินออกมา พวกเขาก็ถูกรุมล้อมไปด้วยฝูงชนอีกครั้ง บรรดาองค์กรและกลุ่มใหญ่ต่างพากันยื่นข้อเสนอให้วัยรุ่นทั้งสองอย่างกระตือรือร้น


Ch.83 – ไปยังแนวหน้า

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.83 – ไปยังแนวหน้า


 


ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ถึงจะสามารถสลัดหลุดคนเหล่านั้นได้


 


ทั้งสองปฏิเสธ ไม่คิดจะเข้าร่วมกับองค์กรใดๆ


 


กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยไปถึง 10 โมงเช้าแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้ ยังไงโจวฮ่าวก็ไปเรียนสาย


 


เมื่อฉินเฟิงมาถึงโรงเรียน คลาสของเขาก็เริ่มเรียนวิชาที่สองไปแล้ว ฉินเฟิงเคาะประตู เฉิงเฉาเมื่อเห็นอีกฝ่ายก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที


 


“ไปยืนหลังห้อง แล้วตั้งใจฟังบทเรียนให้ดี!”


 


เฉิงเฉากล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา


 


“ครับอาจารย์!”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า เขาไปยืนหลังห้องจริงๆ แม้จะถูกลงโทษโดยการไม่ให้นั่ง เจ้าตัวก็ไม่บ่นอะไร


 


ในขณะที่คนอื่นๆในคลาสต่างก็มองไปทางฉินเฟิงด้วยแววตาที่แตกต่างกันออกไป บ้างชื่นชม , บ้างดูถูก และบางคนก็แสดงออกถึงความเป็นห่วง


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงได้แสดงถึงความร้ายกาจในวิชาปืน ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์ที่สอนเลย แต่ยังไงซะ พวกเขาก็เป็นนักเรียนคลาสอบิลิตี้ และสิ่งที่พวกเขาต้องเชี่ยวชาญจริงๆก็คือ ‘การใช้พลังพิเศษ’


 


ทุกคนในชั้นเรียนต่างรู้เกี่ยวกับระดับอบิลิตี้ของกันและกัน มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่พวกเขายังไม่ทราบ


 


คนในคลาสส่วนใหญ่คาดเดาว่าในด้านการใช้อบิลิตี้ของฉินเฟิงคงไม่ดีนัก และเขาอาจจะต้องสลับอาชีพไปเป็นมือปืนในอนาคต


 


และประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉินเฟิงไม่สามารถเข้ากับคนอื่นๆในคลาสได้!


 


โชคยังดี ที่อาจารย์เริ่มสอนต่ออย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนในคลาสเลยเลิกสนใจฉินเฟิง หันมาเพ่งสมาธิไปกับการเรียนดังเดิม


 


หลังจากผ่านพ้นบทเรียนไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว เสียงประกาศบอกเวลาก็ดังขึ้น ฉินเฟิงเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของเฉิงเฉา


 


สีหน้าของเฉิงเฉาดูเคร่งเครียด เขาดุฉินเฟิงโดยไม่สนใจว่ามีนักเรียนคนอื่นอยู่รอบๆ “ฉินเฟิง เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน? คราวนี้เธอเริ่มไม่สนใจที่จะเรียนในวิชาของฉันเหมือนของอาจารย์หยางแล้วหรอ?”


 


“อาจารย์ครับ ผมมีอะไรบางอย่างจะบอกอาจารย์”


 


ฉินเฟิงเลี่ยงประเด็นของเฉิงเฉา เขาจะไม่สนใจเรียนวิชานี้ได้อย่างไร? หากไม่มีวิชาของเฉิงเฉา ฉินเฟิงอาจไม่มาโรงเรียนแล้วก็ได้


 


“มันคืออะไร? คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มาสายในวันนี้สินะ? ตั้งใจเล่ามาให้ดี ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันจะไม่ฟังคำแก้ตัวอะไรของเธออีก!”


 


อารมณ์ของเฉิงเฉาบูดบึ้ง แต่ฉินเฟิงก็ไม่ชักสีหน้าใดๆตอบโต้กลับไป


 


ใบหน้าของเขายังคงเยือกเย็นดังเดิม


 


สงบนิ่ง ไม่หวาดกลัว หรือหวั่นเกรง


 


เฉิงเฉาไม่เคยเห็นนักเรียนแบบนี้มาหลายปีแล้ว


 


ฉินเฟิงพยักหน้า พลางหยิบตราสัญลักษณ์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา มันเผยถึงตัวอักษร G ที่ใช้กันโดยทั่วไปในพันธมิตรมนุษยชาติ


 


“อาจารย์ครับ ตอนนี้ผมน่าจะสามารถเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพได้แล้วใช่ไหมครับ”


 


มองไปยังตราสัญลักษณ์ตรงหน้า ปากของเฉิงเฉาอ้ากว้างเป็นรูปตัว ‘O’


 


ในชั้นเรียน นักเรียนที่ยังไม่ได้ออกจากห้อง เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง


 


“นั่นมันตราสัญลักษณ์ของผู้ใช้พลัง! ฉินเฟิง นายผ่านการรับรองแล้วอย่างงั้นหรอ?”


 


“ว่าไงนะ?”


 


“ไหนๆ ขอฉันดูหน่อย”


 


ในพริบตา นักเรียนเกือบทั้งชั้นก็พุ่งเข้ามา มุงดูตราสัญลักษณ์ของฉินเฟิง


 


“มันจะใช่ของจริงเร้อ” หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ ในหัวใจรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงเป็นแค่นักเรียนใหม่ แถมยังเป็นนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียนอีกด้วย!


 


เวลานี้ ในหัวใจของเฉิงเฉาก็สับสนเช่นกัน ตอนแรก เขาเองก็สงสัยว่าตราสัญลักษณ์นี้เป็นของปลอมหรือไม่ แต่ด้วยประสบการณ์หลายปีของตนเอง เจ้าตัวรู้สึกว่าตรานี่ไม่เหมือนกับของปลอมเลย


 


“มันจะเป็นของจริงหรือปลอม ลองตรวจสอบดูก็จะรู้เอง!” ฉินเฟิงส่งตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังให้กับเฉิงเฉา


 


เฉิงเฉารับตราสัญลักษณ์มา เปิดอุปกรณ์สื่อสารด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเริ่มสแกนรหัสส่วนบุคคลด้านล่าง ที่ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงมันได้


 


ไม่นานนัก ข้อมูลของฉินเฟิงก็ปรากฏขึ้น และเวลาข้างต้นในการรับรองก็เป็นเมื่อราวๆ 2 ชั่วโมงที่แล้ว


 


เฉิงเฉาในเวลานี้ถึงขั้นสูดหายใจลึก


 


ในความเป็นจริง คนที่เพิ่งตื่นขึ้น แล้วมีความแข็งแกร่งไปถึงเลเวล G เลย มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ยกตัวอย่างเช่น เฉิงเฉาได้รู้มาว่า ในคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณ มีอัจฉริยะที่เรียกกันว่าโจวฮ่าวอยู่ เด็กคนนี้ยังไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆจากทางสถาบัน แต่เขากลับสามารถทำการทดสอบพลังโจมตีได้มากกว่า 500 แต้ม หรือกล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล G1 ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


 


แต่การมีความแข็งแกร่งข้างต้น กับการได้ครอบครองตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลัง ทั้งสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันจำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ร้ายกว่า 200 ตัว ในระยะเวลา 3 วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ ฉินเฟิงยังมาเข้าเรียนอยู่เลย


 


“นี่ … เธอไปเข้ารับการทดสอบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”เฉิงเฉาพูดติดๆขัดๆเล็กน้อย


 


ฉินเฟิงยังคงมีท่าทีสงบ เขาตอบกลับไป “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยถามอาจารย์แล้วหรอครับ ว่าตราบใดที่ผ่านการรับรองว่าเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G อาจารย์ก็จะอนุญาตให้ผมไปที่แนวหน้า เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการปราบปรามกองทัพซากศพตามที่สัญญากันไว้”


 


เฉิงเฉาอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่ได้สัญญาเอาไว้ซักหน่อย เพียงแต่บอกว่าถ้าฉินเฟิงครอบครองตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังเลเวล G ก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่จะได้ไป


 


“เพราะแบบนั้น เธอเลยตัดสินใจไปขอรับการทดสอบในอีกสองวันต่อมา ว่าแต่เธอเอาเวลาที่ไหนไปฆ่าสัตว์ร้าย?” เฉิงเฉาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้


 


“ในช่วงหลังเลิกเรียนตอนเย็นครับ”


 


ฉินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หากแต่เสียงนี้ สำหรับคนอื่นๆ มันสะท้อนอยู่ในหูราวกับเสียงฟ้าผ่า!


 


หลังจากช่วงเย็นในทุ่งล่า ทั้งหมดต่างทราบกันดีจากคำสอนและคำบอกเล่า ว่ามันอันตรายเพียงใด มันคือเวลาที่สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนต่างออกหากิน แต่ตอนนี้ฉินเฟิงไม่เพียงออกไปล่าในช่วงกลางคืน แต่ยังสามารถสังหารพวกสัตว์ร้ายกว่า 200 ตัวลงได้อีกด้วย


 


“เธอมันบ้าไปแล้ว!” เฉิงเฉาตกใจจนน้ำเสียงสั่นไหว แต่ไม่นาน เขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้ เจ้าตัวกระแอมไอสองสามครั้งเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดใจ “ฉินเฟิง ในเมื่อเธอครอบครองตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังเลเวล G แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะสามารถไปสู้ในแนวหน้าได้ แต่ผู้อำนวยการเติ้งได้ออกเดินทางไปก่อนแล้วนะ ฉันกลัวว่าเธออาจจะติดตามทีมของเขาไปไม่ทัน!”


 


ฉินเฟิงรับตราสัญลักษณ์กลับคืน เขาพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ


 


“เรื่องนั้นอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะผมมีรถศึกเป็นของตัวเอง ”


 


เฉิงเฉาบ่นในใจว่าฉันจะไม่เป็นห่วงเธอได้ยังไง? แต่ก็ทราบดีว่าเขาไม่สามารถหยุดฉินเฟิงได้


 


“เฮ้อ … ก็ได้ ฉันอนุมัติวันหยุดให้เธอ แต่เธอจะต้องกลับมาภายในหนึ่งเดือน และเธอห้ามพลาดการเข้าร่วมในสวนล่าใบไม้ผลิเด็ดขาด!”


 


หนึ่งเดือนต่อจากนี้ คือประเพณีร่วมทดสอบของทั้งห้าเขต เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ที่จะสำแดงออกไปต่อหน้าทุกคน เฉิงเฉาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น


 


ไอ้เด็กตรงหน้าเขา มันบ้าก็จริง แต่ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะเช่นกัน!


 


เพียงเริ่มการเรียนการสอนไปได้แค่ไม่กี่วัน ก็สามารถทะยานขึ้นไปอยู่ในเลเวล G ได้แล้ว ไหนจะผ่านการรับรองผู้ใช้พลังอีก แบบนี้ ถ้าฉินเฟิงไปยังสวนล่าใบไม้ผลิ เขาจะไม่ระเบิดพลังไล่ฆ่าทั้งสี่ทิศ และบดขยี้สถาบันอื่นๆจนราบคาบเลยหรอกหรือ?


 


ในปีนี้แหละ เขตเฉิงเป่ยจะต้องทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างมิอาจมีผู้ใดต้านทาน!


 


“เข้าใจแล้วครับอาจารย์!”


 


ต่อมา ฉินเฟิงก็ออกจากห้องเรียนไป แต่นักเรียนคนอื่นๆยังทึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ สักพัก ข่าวที่ว่าก็แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ว่ามีนักเรียนชั้นปีที่ 1 สามารถผ่านการรับรองผู้ใช้พลัง และได้รับการอนุญาติให้เดินทางไปยังแนวหน้า


 


แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าไม่ใช่ฉินเฟิงคนเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้


 


มันยังมีอีกคนหนึ่ง -เป็นโจวฮ่าวจากคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณ!


 


และบางคนยังกล่าวว่า โจวฮ่าวกับฉินเฟิงน่ะเป็นเพื่อนกัน!


 


แต่นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะอัจฉริยะก็ต้องมีเพื่อนเป็นอัจฉริยะสิ!


 



 


ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวต่อสู้มาตลอดทั้งคืน ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจพักผ่อนจนเต็มอิ่ม ก่อนจะเริ่มมุ่งหน้าสู่ทุ่งล่า


 


เนื่องจากภารกิจปราบปรามกองทัพซากศพที่กำลังก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในสถานที่ชุมชนได้ประกาศออกไปตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้ว


 


ดังนั้นในสถานที่ชุมชน เลยเต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ เขียนตัวอักษรใหญ่ๆว่ากำลังสรรหาผู้ใช้พลังเพื่อออกไปต่อสู้ในทุ่งล่า และมีรางวัลตอบแทนก้อนใหญ่ให้


 


ช่วงเวลาหกโมงเย็น รถของฉินเฟิงกับโจวฮ่าวก็เริ่มขับไปตามถนน รถคันอื่นๆต่างหลีกทางให้พวกเขา เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่สู้รบในแนวหน้า


 


เมื่อได้มาพบเจอกับสถานที่ซึ่งศิลานรกเคยร่วงตกลงมาอีกครั้ง ฉินเฟิงก็แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง!


Ch.84 – ความแข็งแกร่งของอัศวิน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.84 – ความแข็งแกร่งของอัศวิน


 


ที่นี่เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง เนินเขาน้อยๆที่แต่เดิมไม่โดดเด่นอะไร กลับกลายเป็นสีดำ ไหม้เกรียมไปเป็นระยะทางกว่าหลายลี้


 


ในวิดีโอที่ถูกถ่ายไว้โดยโดรนก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเห็นแค่เพียงซากศพจำนวนมาก หากแต่มิได้เห็นถึงอาณาเขตของพวกมันที่กว้างใหญ่ถึงขนาดนี้


 


สถานการณ์เบื้องหน้า อาจเป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางอย่างขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะวิดีโอที่ฉายให้นักเรียนใหม่ดู มันเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เผยให้เห็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น


 


สภาพการณ์ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะอันตรายกว่าที่คิด


 


แต่ก่อนที่ฉินเฟิงจะทันได้มีเวลาคร่ำครวญ เหนือขึ้นไปบนภูเขาที่ห่างไกล จู่ๆก็ปรากฏรังสีแสงทมิฬปะทุขึ้น


 


นอกจากนี้ ยังมีรังสีแสงอีกแปดดวงห้อมล้อมมัน ทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้าในทำนองเดียวกัน


 


ต่อมา ใจกลางอากาศก็บังเกิดอานุภาพทรงจานปรากฏขึ้น


 


“รอยแยก .. นั่นมันรอยแยกมิติ!”


 


ฉินเฟิงโทรแช่สายทิ้งไว้กับโจวฮ่าว เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง และติดต่อกันหากเกิดวิกฤต เวลานี้เลยมีเสียงของโจวฮ่าวดังออกมาจากอุปกรณ์สื่อสาร


 


“ไม่หรอก นั่นไม่ใช่รอยแยกมิติ แต่มันคือช่องว่างมิติที่มีเสถียรภาพต่างหาก!” ฉินเฟิงกล่าว


 


กลับมายังฉากภายนอก -ช่องว่างมิติถูกเปิดออก และไม่ช้า สัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนก็พากันกรูออกมาอย่างรวดเร็ว หากมองดีๆจะพบว่าพวกมันเป็นซากศพเน่าเปื่อย , สัตว์ร้ายเนื้อเน่าติดกระดูก ในปริมาณที่น่าตกใจ


 


ช่องว่างมิติเปิดออกแค่เพียงหนึ่งนาที ร่างมนุษย์คนหนึ่งก็พลันปรากฏให้เห็นในสายตา


 


บุคคลที่ว่าติดปีกร่อนไว้เบื้องหลัง มันเป็นอุปกรณ์ที่ดี สามารถช่วยให้บินบนท้องฟ้าได้ และความแข็งแกร่งของคนที่สวมใส่มันก็มิได้อ่อนแอเลย


 


“จงม้วนหางกลับไปให้บิดา!”


 


เขาระเบิดเสียงขู่คำรามด้วยความดุร้าย สองมือประกบเข้าหากัน พริบตานั้นพลันปรากฏฝ่ามือขนาดยักษ์ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์จนมิอาจสาดส่องลงมาถึงเบื้องล่าง


 


เปรี้ยง!


 


หลังจากระเบิดฝ่ามือนี้ออกไป เสารังสีแสงสีดำบนท้องฟ้าก็เริ่มสลายไป ช่องว่างมิติที่แต่เดิมมั่นคงเริ่มเกิดความแปรปรวน


 


แต่หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสูงใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยรูนมืดก็ปรากฏกายขึ้น เบื้องล่างของมันคือม้าศึกที่กำลังปลดปล่อยไอหมอกสีดำ ราวกับว่าทั้งตัวมันถูกสร้างขึ้นมาจากไอทมิฬ ขณะที่บนตัวของร่างสูงใหญ่ สวมใส่ไว้ด้วยเกราะอัศวิน และถือหอกไว้ในกุมมือ


 


เคร้ง เคร้ง!


 


ตูม!


 


ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันมาต่อสู้กัน


 


ฉินเฟิงหรี่ตาของเขาลง เพ่งมองไปและจดจำได้ว่าร่างที่กำลังขี่ม้าศึก คือราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F ที่เคยปรากฏมาก่อนในวิดีโอ


 


แม้ว่าระยะทางจะอยู่ห่างไกลออกไปกว่าหลายพันเมตร แต่ฉินเฟิงก็สามารถสัมผัสได้ว่า มันเป็นราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F8!


 


อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ของมันก็มิได้อ่อนแอเลย เป็นถึงตัวตนทรงพลังในเลเวล E !


 


ทั้งสองต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ปะทะกันไปกันมาจนค่อยๆถอยห่างจากภูเขาที่เกิดเสาแสง


 


ช่วงจังหวะนั้นเอง เสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นจากเส้นขอบฟ้า -กระสุนสีเหลืองแหวกฝ่าอากาศเข้ามา ก่อนจะวาดเป็นเส้นโค้งอันสมบูรณ์แบบ ร่วงตกลงบนยอดเขาพอดิบพอดี


 


ตูมมมม!


 


กระสุนเกิดการระเบิดในพริบตา แรงอัดอากาศกวาดพรึบ! กระทั่งฉินเฟิงที่อยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของมัน


 


กระสุนเมื่อครู่ คงจะถูกยิงออกมาโดยมือปืนที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก อย่างแน่นอน


 


เสาแสงสีดำที่แต่เดิมเคยมี 8 บัดนี้มีเพียง 7 ที่ยังเหลืออยู่ บนท้องฟ้าเริ่มบิดเบี้ยว ความเสถียรของช่องว่างมิติเริ่มถูกสั่นคลอน สุดท้ายก็ต้องปิดลง ส่งผลให้ซากศพและร่างเน่าเปื่อยนับไม่ถ้วนที่กำลังจะออกมา ถูกบีบกลับไป ไม่ก็ถูกมิติตัดจนขาดครึ่ง จบชีวิตลง


 


ตามต่อด้วย เสียงโห่ร้องไชโยของมนุษย์ดังขึ้น


 


“พวกเราเข้าค่ายไปรายงานตัวกันก่อนเถอะ!”


 


เสียงของฉินเฟิงดังขึ้น เรียกคืนสติของโจวฮ่าว


 


การต่อสู้ในครั้งนี้ กระตุ้นเลือดลมเขาจนเดือดพล่าน


 


สำหรับโจวฮ่าว พอได้เห็นถึงฉากต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ เจ้าตัวก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเคยประสบพบเจอก่อนหน้านี้ ทั้งหมดมันกลายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยไปเลย


 


รถของทั้งสองเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง และในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มพบกับคนอื่นๆ


 


ตัวค่ายตั้งอยู่ห่างออกไปจากตำแหน่งของกองทัพซากศพราวๆ 1 กิโลเมตร พื้นที่โดยรอบถูกติดตั้งกับดักและวางการป้องกันไว้อย่างสมบูรณ์ ภายในพื้นที่โล่งเต็มไปด้วยขยะ และมีการตั้งเต็นท์น้อยใหญ่กระจัดกระจายกันออกไป


 


ในบางครั้ง จะได้ยินถึงเสียงของปืนจักรกลแว่วเข้ามาจากแนวหน้าของค่าย ยิงสกัดป้องกันไม่ให้ซากศพใกล้เข้ามา


 


นอกจากนี้ บางส่วนของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ยังมีสีหน้าดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าติดเชื้อโรคมืด


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พลังมิใช่คนอ่อนแอ ตราบใดที่พวกเขาออกไปจากที่นี่ อาการจากโรคระบาดก็จะทุเลาขึ้นโดยอัตโนมัติ


 


“มีคนมาเข้าร่วมเยอะถึงขนาดนี้เชียว!!”


 


ขณะนี้ ทั้งคู่ไม่สามารถมองหาคนจากสถาบันระดับสูงเขตเฉิงเป่ยได้เลย


 


อย่างไรก็ตาม ไม่เจอก็ช่างหัวมัน! เพราะฉินเฟิงมิได้มาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนจากสถาบันอยู่แล้ว


 


“ไปหาเสี่ยวจิงกันก่อนเถอะ!” ฉินเฟิงกล่าว


 


ปัจจุบัน เสี่ยวจิงเป็นทหารรักษาการณ์ของสถานชุมชนทางตอนเหนือ เนื่องจากความสามารถอันยอดเยี่ยมและการทุ่มเทตั้งใจทำงานของเธอ หลังจากช่วงครึ่งเดือนแรก เธอก็สามารถกลมกลืนเข้ากับทางกองทัพได้เป็นอย่างดี และสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วยของหลี่เหวินได้แล้ว และยังมียศเป็นถึงร้อยโท!


 


โลกใบนี้ ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งเป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครสนว่าเสี่ยวจิงเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพหรือไม่ ตราบใดที่เธอแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นนายพลก็ยังต้องโค้งหัวให้เธอ!


 


ระหว่างที่ทั้งสองกำลังรอให้เสี่ยวจิงออกมารับ คนรอบข้างก็ไม่ลืมที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น


 


“มือปืนจากตะวันออก(เขตตงหลิง)แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! มือปืนเลเวล E คนนั้น สามารถยิงโดนหัวศัตรูได้จากระยะที่ห่างไกลออกไปกว่าหลายพันเมตรได้อย่างง่ายดาย! นายก็เห็นใช่ไหม ที่เสาแสงสีดำมันหายไปต้นหนึ่งน่ะ!”


 


“เหอๆ ถ้าไม่มีหลิวบาจากตะวันตก(เขตซิต๋า)คอยยื้อศัตรูเอาไว้ล่ะก็ มีหรือเขาจะสามารถยิงโดนได้ง่ายๆ อย่าลืมสิว่าปืนพลังงานแสงที่เขายิงออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ถูกราชันย์อัศวินปัดทิ้งไปอย่าไม่ใยดี เล่นเอาผู้ใช้พลังกว่าสิบคนโดนลูกหลงจนถึงแก่ความตาย!”


 


“ก็แล้วจะเถียงทำไม ฉันแค่ต้องการจะบอกถึงความแม่นยำในการยิงของมือปืนก็เท่านั้นเอง!”


 


“แล้วอีกอย่าง ใครมันจะไปรู้ว่ามีผู้ใช้พลังยืนอยู่แถวนั้น พวกมันซื่อบื้อเองที่ไปโดนลูกหลง!”


 


โจวฮ่าวที่แอบฟัง รู้สึกอิจฉาจนอดพึมพำออกมาไม่ได้


 


“สามารถรับมือกับศัตรูเพียงลำพัง หลิวบาต่างหากที่ทรงพลังอย่างแท้จริง!”


 


‘เรื่องนั้นไม่จริงหรอก’


 


ฉินเฟิงคิดในใจ


 


‘เพราะถ้าหลิวบาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจริงๆ ที่เขาทำคงไม่ใช่แค่พยายามตรึงมันเพื่อรอการโจมตีสนับสนุน แต่คงสร้างความเสียหายหนักหน่วงแก่มันได้ไปแล้ว’


 


ไม่เพียงเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังรู้อีกด้วยว่าหลิวบาอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในครั้งนี้


 


 


“ฉินเฟิง , โจวฮ่าว!” เสียงของเสี่ยวจิงดังขึ้น ทั้งสองมองไปตามทิศทาง แล้วก็พบกับเสี่ยวจิงในชุดทหารรักษาการณ์ ดูเหมือนว่าเธอจะโตขึ้นอีกเล็กน้อย ตอนนี้เจ้าตัวสูงชนิดที่ว่าผู้ชายหลายคนต้องแหงนหน้ามอง


 


“ฮะฮ่า! เสี่ยวจิง เธอดูดีมากเลยในชุดนี้ ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยนะ ว่าเธอจะสวยได้ถึงขนาดนี้!” โจวฮ่าวอดแซวไม่ได้


 


เสี่ยวจิงมองเขาด้วยแววตาว่างเปล่า “อย่าเล่นลิ้นไป ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์สู้รบ ฉันกำลังจะออกไปลาดตระเวน ฉะนั้นตอนนี้ต้องรีบจัดหาสถานที่ให้พวกนายอยู่ก่อน!”


 


และที่พักของฉินเฟิงกับโจวฮ่าว มันไม่ควรจะอยู่ในตำแหน่งที่ผู้คนพลุกพล่านจนเกินไป มิฉะนั้นยามเมื่อเกิดวิกฤต มันจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางสนับสนุนได้


 


และหากเลือกไม่ดี ก็จะส่งผลกระทบต่อการหลบหนีในทำนองเดียวกัน


 


ไม่นานนัก ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวก็ถูกจัดให้อยู่ในสถานที่ด้านหลังของค่าย รถศึกล่องเวหาสองคันจอดลงที่นั่น ประกบซ้ายขวาโดยมีเต็นท์ตั้งอยู่ตรงกลาง กลายเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของทั้งคู่


 


“พวกนายกินกันให้อิ่มซะ แล้วไม่จำเป็นต้องมีเวรยามตอนกลางคืน พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะในวันพรุ่งนี้ พวกเราจะทำการปิดล้อมครั้งใหญ่!”


 


เสี่ยวจิงแบ่งอาหารให้ฉินเฟิงกับโจวฮ่าว แม้ว่าทั้งสองจะตักมันใส่เข้าปากแบบไม่ใส่ใจ แต่อาหารที่เสี่ยวจิงทำจากสัตว์ร้ายก็ยังมีรสชาติที่ดี


 


“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”


 


“ไม่ค่อยดีเลย!”


 


เสี่ยวจิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร และส่งต่อแผนที่ระบุตำแหน่งสนามรบให้กับฉินเฟิงและโจวฮ่าว


 


“ตอนนี้กองทัพซากศพอยู่ใกล้กับทิศทางของเมืองเฉิงหยาง มันได้เข้ายึดครองเนินเขาสามลูกในแผนที่ พวกผู้นำเลยตั้งชื่อภูเขาเหล่านั้นว่า เทือกเขาพ่อแม่ลูก!”


 


ปรากฏสัญลักษณ์ภูเขาบนแผนที่ ไม่เพียงเท่านั้น บนภูเขายังมีจุดสีต่างๆทั้งใหญ่และเล็กกระจายตัวกันไป


 


จุดสีดำ – แดง ปรากฏขึ้นใจกลางภูเขาแม่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอันตรายระดับสูง ในขณะที่ด้านนอกสุดอย่างภูเขาลูกเป็นสีส้ม


 


สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของปริมาณสัตว์ร้ายในเลเวล F และ G ตามลำดับ ขนาดของจุดจะแสดงถึงความแข็งแกร่งและอ่อนแอ แต่จุดสีดำและแดงขนาดใหญ่ จะแสดงถึงระดับราชันย์ ซึ่งขณะนี้ บนแผนที่มีสัญลักษณ์ระดับราชันย์อยู่ทั้งสิ้นสองจุด


Ch.85 – สอดแนมภูเขาพ่อแม่ลูกยามค่ำคืน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.85 – สอดแนมภูเขาพ่อแม่ลูกยามค่ำคืน


 


“มีซากศพในเลเวล G มากกว่า 30,000 ศพ แต่ทางฝั่งเรา กลับมีผู้ใช้พลังเพียง 5,000 คนเท่านั้น และที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกซากศพเลเวล F มีความว่องไวอยู่ในระดับสูง บางตัวก็สามารถกลายพันธ์ จนมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป จำนวนของพวกมันอยู่ที่ประมาณ 1,000 ตัว!”


 


ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


 


โจวฮ่าวอ้าปากกว้างและเอ่ยถาม “แล้วผู้ใช้พลังเลเวล F ของทางเรา มีกันกี่คน?”


 


เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้พลังในกลุ่มเลเวล G แทบจะไม่ค่อยมีประโยชน์ เลยเน้นไปทางจำนวนที่มากเท่านั้น แต่น่าเสียดาย ที่คำตอบของเสี่ยวจิงทำให้โจวฮ่าวต้องผิดหวัง


 


“มีมากกว่า 100 คน แต่นี่คำจำนวนทั้งหมดที่เมืองเฉิงหยางและอีกสี่เขตส่งมานะ ตอนนี้พวกเขากำลังร้องขอกำลังสนับสนุนจากเขตอื่นๆเพิ่มอยู่”


 


เสี่ยวจิงถอนหายใจ


 


ส่วนฉินเฟิง เขาทราบดี ว่าจำนวนถึงขนาดนี้ก็นับว่าค่อนข้างเยอะแล้ว!


 


เพราะผู้ใช้พลังเลเวล F หลายคนล้วนมีภารกิจเดิมเป็นของตนเอง อย่างเช่น ซูซิงฝู ซึ่งต้องคอยปกป้องความปลอดภัยในสถานที่ชุมชน ในฐานะหน่วยลาดตระเวน เขาไม่สามารถปลีกตัวมาช่วยเหลือได้


 


“แล้วเลเวล E ล่ะ … ? ภารกิจปราบปรามในครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้พลังเลเวล E ใช่ไหม?” โจวฮ่าวแทบจะทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม ตอนนี้ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ตนเริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ในครั้งนี้เลวร้ายมากถึงขนาดไหน


 


เสี่ยงจิงพยักหน้า คราวนี้บอกเล่าข่าวดีออกมา “ตอนนี้มีผู้ใช้พลังเลเวล E อยู่ 10 คน ที่มาจากสถานชุมชนทางตอนเหนือของพวกเราก็มี รองผู้ว่าการ ‘หลินเซิง’ , ผู้อำนวยการสถาบันระดับสูง ‘เติ้งเหนียน’ ,จริงสิ ตอนนี้พวกนายเป็นนักเรียนของที่นั่นนี่นา ก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดิ!”


 


“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งอก ฉันก็คิดว่าพวกสัตว์ร้ายกำลังจะบุกเข้าสถานที่ชุมชนซะแล้ว!” โจวฮ่าวผ่อนคลายลง


 


ตรงกันข้าม ฉินเฟิงไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก


 


“แล้วไอ้เรื่องช่องว่างมิติ กับเสาแสงสีดำก่อนหน้าคืออะไรกัน?”


 


เสี่ยวจิงถอนหายใจอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว


 


“ฉันกำลังจะบอกเรื่องนี้ต่ออยู่พอดี ตอนนี้ราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F ไม่ได้มีแค่ ‘ราชันย์อัศวิน’ ที่พวกนายเพิ่งจะเห็นไป แต่ยังมี ‘ชุดคลุมดำกระหายเลือด’ อีกด้วย เจ้าตัวนี้มีพลังที่พิเศษมาก มันเป็นเลเวล F ในระดับราชันย์ที่สามารถเปิดช่องว่างมิติได้ เป็นมันนี่แหละที่คอยปล่อยซากศพเน่าเปื่อยออกมา จนจำนวนกองทัพซากศพเพิ่มขึ้นทุกวัน!”


 


สำหรับช่องว่างมิติ จากภายนอกจะเปิดได้ยาก แต่หากถูกเปิดจากภายในล่ะก็ ไม่นับว่ายากเย็นอะไร


 


ฉินเฟิงคิดได้แล้ว ว่าต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจเกิดขึ้นจากการที่เสี่ยวไป๋ไปตัดมือข้างหนึ่งของเจ้านายพวกมันในตอนแรก


 


และคงไม่พ้นเจ้านายของมันนี่แหละ ที่เป็นคนส่งชุดคลุมดำกระหายเลือดมา และสั่งการให้ชุดคลุมดำกระหายเลือดคอยเปิดรอยแยกมิติ ส่งพวกกองทัพซากศพจากอีกฝั่งมิติบุกเข้ามา


 


ส่วนสาเหตุที่เจ้าของมือนั่นไม่สามารถเข้ามาได้ อาจเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งเกินไป และไม่ต้องการที่จะใช้พลังของตัวเองในการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ


 


มิฉะนั้น แรงกดดันของมิติ อาจจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาถดถอยลงจนเหลือแค่หนึ่งในหมื่น


 


“ถ้าเป็นแบบนั้น หมายความว่าพวกเราต้องรีบฆ่าเจ้าชุดคลุมดำนั่นน่ะสิ!” โจวฮ่าวกล่าวด้วยความกังวล


 


เสี่ยวจิงส่ายหัวของเธอ


 


ฉินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าสามารถฆ่ามันได้ง่ายๆ หลิวบาไม่ถูกขัดขวางหรอกใช่ไหม?”


 


เสี่ยวจิงยิ้มอย่างข่มขืน พยักหน้ารับ “ใช่แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้มีผู้ใช้พลังกว่า 10 คน ที่แข็งแกร่งและมีเลเวล E รวมอยู่ด้วย ตัดสินใจบุกภูเขาพ่อแม่ลูกอย่างกระทันหัน ทุกคนคิดว่าหากจะจับโจร ต้องจับหัวหน้าก่อน ทั้งหมดตัดสินใจเข้าไปลอบสังหารชุดคลุมดำกระหายเลือดและราชันย์อัศวิน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า มี 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ในเวลานี้มีผู้ใช้พลังในเลเวล E ที่สามารถสู้ได้อยู่ไม่มากนักในตอนนี้”


 


โจวฮ่าวที่เพิ่งจะผ่อนคลายไป ราวกับได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดทั้งๆที่อากาศแจ่มใส


 


คิดจะไปงัดกับตัวหัวหน้า ผลลัพธ์เลยกลายเป็นแบบนี้!


 


ฉินเฟิงตระหนักดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงนัก!


 


ชุดคลุมดำกระหายเลือด เป็นคำอธิบายของหนึ่งในสิ่งมีชีวิตมิติที่คล้ายคลึงกันกับมนุษย์ มันเป็นเผ่าพันธ์ที่ครอบครองสติปัญญาและความแข็งแกร่งมากกว่าสัตว์ร้ายปกติ ขณะเดียวกันก็แข็งแกร่ง มิฉะนั้นคงไม่ถูกเรียกว่ากระหายเลือดแบบนี้


 


ลักษณะของพวกมัน ทั้งตัวอาบไปด้วยเลือด คอยดูดซับพลังงานผ่านเลือด เพื่อใช้ปลดปล่อยอบิลิตี้ธาตุมืดโจมตีศัตรู เป็นหนึ่งในประเภทที่สามารถต่อสู้ได้อย่างดุร้าย


 


เป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของมนุษยชาติ!


 


“แล้วนี่ทางสถานชุมชนจะดูอยู่เฉยๆ ไม่หาทางแก้เลยหรอ?” โจวฮ่าวถาม


 


เสี่ยวจิง “ทางเบื้องบนได้ประกาศแผนการรบออกมาแล้ว แต่น่าเสียดาย เพราะต่อให้ประกาศออกมา มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย!”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสี่ยวจิงก็ลดเสียงลง เหมือนว่าจะมีบางสิ่งที่เธอไม่สามารถเอ่ยอย่างโจ่งแจ้งได้


 


“เบื้องบนวางแผนที่จะติดตั้งอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติเพื่อระงับความผันผวนของมิติภายในพื้นที่นี้ มันจะช่วยป้องกันไม่ให้ช่องว่างมิติเกิดการทำลายจากภายใน แต่การจะติดติดอุปกรณ์ที่ว่า พวกเราจำเป็นต้องสังหารกองทัพซากศพเน่าเปื่อยซะก่อน ซึ่งในปัจจุบัน พันธมิตรของสถานชุมชนจากเขตต่างๆไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากถึงขนาดนั้น ถึงบอกไงว่าประกาศแผนออกมาก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าพวกเรากำลังมาถึงทางตัน!”


 


ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิตินั้นมีค่ามาก อันที่จริงแล้วในทุกสถานที่ชุมชน ไม่ว่าที่ใดก็อาจเกิดภัยคุกคามจากรอยแยกมิติได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพไว้คอยปราบปราม และจากนั้น เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มนุษย์ผู้ไม่หวังดีเข้ามาทำลายอุปกรณ์ดังกล่าว และเพื่อเป็นประหยัดทรัพยากรณ์ บริเวณที่มีอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ ก็จะเกิดสถานที่ชุมชนขึ้นในเวลาต่อมา


 


ทว่าเรื่องนี้ก็สุดจะคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะอย่างเช่นหากก่อตั้งชุมชนขึ้นบนภูเขาพ่อแม่ลูกที่เป็นภูเขาไฟ วันใดวันหนึ่งมันอาจมีลาวาปะทุขึ้นมาก็ได้


 


“ให้ตายเถอะ!” โจวฮ่าวสบถอย่างโกรธเกรี้ยว เขารู้สึกว่าเมืองเฉิงหยางทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเลย


 


ฉินเฟิงขบคิดอย่างรอบคอบ


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ ต่อให้มันเป็นทางตัน พวกเราก็ต้องปฏิบัติการบุกโจมตีอยู่ดีใช่ไหม แล้วทางฝั่งผู้ใช้พลังที่บาดเจ็บอาการดีขึ้นรึยัง?”


 


เสี่ยวจิงประหลาดใจเล็กน้อยกับการวิเคราะห์ของฉินเฟิง แต่เธอก็ยังตอบกลับไป “แน่นอน ว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาได้รับการรักษาแล้ว และพวกเขาจะพร้อมรบในวันพรุ่งนี้ พวกนายทั้งสองคนเองก็พักผ่อนให้ดี อย่าลืมรักษาทั้งกำลังกายและใจเอาไว้ให้เพียงพอรับศึกในวันพรุ่งนี้!”


 


“พูดกันซะนานเลย ฉันคงต้องขอตัวก่อน เกือบลืมไปแล้วว่ากำลังยุ่ง!”


 


เสี่ยวจิงโบกมือลา ฉินเฟิงมองไปยังใต้ตาที่สีดำคล้ำของเสี่ยวจิง และทราบว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลานานแล้ว


 


“นอนเหอะ พรุ่งนี้ดูท่าว่าพวกเราต้องเจอศึกใหญ่”


 


“เข้าใจแล้ว!”


 


ทั้งสองคนเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำภารกิจอย่างหนักทั้งวันคืน จนได้รับตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังมา พวกเขาเองก็เหนื่อยเช่นกัน โจวฮ่าวกินข้าวเสร็จ ก็มุดเข้าเต็นท์ไปนอนทันที


 


ความมืดค่อยๆปกคลุมค่ายของมนุษย์ เครื่องฉายแสงขนาดใหญ่ถูกเปิดออก กวาดไปตามพื้นที่โดยรอบ ในกรณีที่ซากศพเข้ามาใกล้ ก็ยังมีกองทหารรักษาการณ์คอยคุ้มกัน


 


ในบางครั้ง ผู้ที่หลับไหล จะได้ยินเสียงกรีดร้องของซากศพเน่าเปื่อยแว่วมากับสายลมยามค่ำคืน


 


ยามเมื่อถึงเวลาที่ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ฉินเฟิงที่หลับไหลอยู่ในเต็นท์ก็ลืมตาตื่นขึ้น


 


เขายกข้อมือขึ้นมาดู และพบว่าเป็นเวลา 4 ทุ่ม


 


ฉินเฟิงผุดลุกขึ้น เดินออกไป ใช้โอบกอดทมิฬปกคลุมร่างกาย ส่งผลให้ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการดำรงอยู่ของเขา


 


ฉินเฟิงมุ่งไปยังฝั่งซ้ายของเทือกเขาพ่อแม่ลูก ที่เรียกกันว่าภูเขาพ่อ และอีกภูเขาที่เล็กกว่าคือภูเขาลูก


 


ปัจจุบัน ไม่ว่าจะต้นไม้หรือดอกไม้บนภูเขาทั้งหมดล้วนตายเกลี้ยง กลายเป็นสีดำสนิท ยิ่งพวกมันมีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมดูน่าหวาดกลัวขึ้นเท่านั้น หลังจากเดินทะลุเข้ามาเพียงห้าสิบเมตร ก็กลายเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง ดั่งห่างไกลจากค่ายมนุษย์ของเขาหลายพันลี้


 


“ในเมื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะฉัน ฉะนั้นฉันก็จะทุ่มเทด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยแก้ไขมันเอง!”


 


ฉินเฟิงมุ่งหน้าเดินเข้าไปในภูเขา


 


กลางคืนกล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ของสัตว์ร้าย และสำหรับซากศพเดินได้ เมื่อไม่มีแสงแดดที่พวกมันแสนรังเกียจ พลังในการต่อสู้ของพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


 


ยังไงก็ตาม แม้ซากศพพวกนี้จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าฉินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่า


 


ในฐานะที่เขาเป็ผู้ใช้อบิลิตี้มืด จึงย่อมเป็นธรรมดา ที่ในเวลานี้ ฉินเฟิงรู้สึกว่ายามค่ำคืนคือโลกของเขา


 


“เสี่ยวไป๋!”


 


ฉินเฟิงตบลงบนไหล่เขา จิ้งจอกน้อยไป๋หลีกระโดดลงจากไหล่เขา เมื่อเท้าหยั่งถึงพื้น ก็แปลงกายมาอยู่ในสถานะมนุษย์แล้ว


 


แสงจากดวงจันทร์สาดส่องกระทบกับร่างของเธอ ภาพปรากฏราวกับว่าเธอเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่แสนงดงามภายใต้แสงจันทร์ เพียงมองก็รู้สึกอิ่มเอมเจริญตา ทั้งหมดดูดีไปหมด แต่ว่า … แต่ว่านะ … ตอนนี้เธอกำลังโป๊อยู่เนี่ยสิ!!


Ch.86 – สังหารเต็มรูปแบบ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.86 – สังหารเต็มรูปแบบ


 


“รีบใส่เสื้อผ้าก่อนเร็ว!” ฉินเฟิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้


 


“วันนี้อากาศดี ดังนั้น หนูว่าจะสวมเดรสยาวตัวนี้!” ไป๋หลีจุกจิก สุดท้ายตัดสินใจหยุดชุดเดรสตัวหนึ่งขึ้นมาสวม


 


จริงๆแล้วฉินเฟิงมีคำมากมายที่อยากจะเอ่ยถามกับไป๋หลี เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีโจวฮ่าวกับเสี่ยวจิงอยู่ด้วย เขาเลยไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมา


 


“เสี่ยวไป๋ ก่อนหน้านี้แกเคยจัดการตัดมือของศัตรูมาก่อนใช่ไหม เจ้าของมือมีโอกาสที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกรึเปล่า?”


 


แม้ฉินเฟิงจะทราบแก่ใจว่ามันเป็นไปได้ยากที่ตัวทรงอำนาจดังกล่าวจะเข้ามาที่นี่ แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนที่ว่าถึง คือการดำรงอยู่ของเลเวล S


 


ไป๋หลีส่ายหัว “นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก บุคคลที่ว่าแข็งแกร่งเกินไป เขาถูกผูกมัดด้วยกฏเกณฑ์แห่งมิติ เพราะฉะนั้นคราวก่อน เขาจึงสามารถยื่นออกมาได้แค่มือเท่านั้น สุดท้ายเลยถูกหนูจัดการออกไปได้อย่างง่ายดาย”


 


“ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอก!” เฉินเฟิงผ่อนลมหายใจยาว


 


แต่ไป๋หลีกลับตรงกันข้าม มันหน้ามุ่ย เอ่ยอย่างไม่พอใจ “นายท่าน หนูคิดว่านายท่านไม่ควรจะมาที่นี่ เพราะซากศพบริเวณนี้มีกลิ่นอายคล้ายกันกับมือที่พวกเราตัดมาก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่า ถ้าถูกพบ นายท่านจะต้องถูกพวกมันจับตัวกลับไปแน่นอน!”


 


ฉินเฟิงเองก็คาดเดาคล้ายๆกัน ยิ่งไป๋หลีเอ่ยออกมา เขาก็ยิ่งมั่นใจ


 


“กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ฉันคาดเดาไม่ผิด เจ้าชุดคลุมดำกระหายเลือดนั่น จริงๆแล้วคือลูกน้องของคนที่ถูกพวกเราตัดมือไป และมันกำลังร่วมมือกับราชันย์อัศวิน ถ้าฉันกับแกช่วยกันสู้ พวกเราก็ยังเป็นรองอยู่หลายขุม!”


 


ต้องรู้นะว่า ปัจจุบันฉินเฟิงก็อยู่ในเลเวล F เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่เลเวล F ธรรมดาๆ แต่เป็นเลเวล F ที่ครอบครองกำลังภายในมากกว่าปกติถึง 10 เท่า! นอกจากนี้ พลังทางกายภาพของเขาก็แข็งแกร่ง ดังนั้นฉินเฟิงมั่นใจว่าหากต่อสู้กับราชันย์สัตว์ร้ายแบบตัวต่อตัว เขาจะสามารถโค่นอีกฝ่ายลงได้


 


เพราะหากเทียบกัน ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็เปรียบได้กับราชันย์สัตว์ร้ายเช่นกัน!


 


ยังไงก็ตาม ไป๋หลีกลับตัดทอนความมั่นใจของเขาอย่างไร้ความปราณี “นายท่าน ท่านไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้”


 


ฉินเฟิงยื่นมือออกไป ใช้สองนิ้วบีบจมูกไป๋หลีเบาๆ


 


“ดูเหมือนแกจะไม่ค่อยเชื่อในตัวฉันเลยนะ”


 


“นายท่าน ตอนนี้ท่านอ่อนแอเกินไป แต่ถ้าคิดจะสู้จริงๆก็ไม่เป็นไร เพราะหนูสามารถปกป้องนายท่านและพาหนีไปได้!”


 


จากข้างต้น เป็นการบ่งบอกกลายๆว่า กระทั่งตัวเสี่ยวไป๋เองก็ยังไม่มั่นใจว่าเธอสามารถเอาชนะศัตรูทั้งสองตนได้


 


ฉินเฟิงพูดไม่ออก “เอาเถอะๆ ยังไงก็ลองไปกันดูก่อน คราวนี้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องช่วยลงมือทำอะไรก็ได้ เพราะแก่นพลังงานที่กำลังจะได้มามันไม่เหมาะกับแก!”


 


ว่าจบ ฉินเฟิงก็ชักมีดกษัตริย์ครามขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้


 


ไป๋หลีไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเฟิงถึงกีดกันอาหารของเธอ แต่แก่นพลังงานของพวกซากศพก็ไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่จริงๆ ดังนั้นเธอเลยคิดว่าไม่ได้กินมันก็คงจะไม่เป็นไร!


 


อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังย้ำเตือนนายท่านที่อ่อนแอของเธอ


 


“นายท่าน อย่าไปที่นั่นเลย พวกนี้ถูกส่งมาโดยเจ้ามือขาดไม่ผิดแน่ๆ พวกมันคงมาเพื่อจับตัวท่านโดยเฉพาะ ตราบใดที่พวกมันจับท่านได้ นายท่านจะถูกสกัดแก่นอบิลิตี้ ศิลานรกเองก็จะกลับคืนสู่เจ้าของเดิม ฉะนั้นอย่าไปเลย นายท่านไม่สมควรเดินไปหาที่ตาย!”


 


“แค่เชื่อใจฉันสักหน่อยมันไม่ได้รึไง?” ฉินเฟิงกล่าวอย่างไร้หนทาง


 


“หนูเคยเห็นคนในทีวีพูดแบบนี้ แล้วก็ไม่รอดซักราย!”


 


ฉินเฟิงหมดคำจะเถียง นี่ไป๋หลีไปดูอะไรมากันแน่นะ?


 


ไม่เชื่อใจฉัน แต่ดันไปเชื่อคำคนจากในละครซะได้ แบบนี้ดูเหมือนว่าคงต้องสั่งสอนมันบ้างซะแล้ว


 


เมื่อถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็เกิดความคิดซุกซนขึ้นมาในจิตใจ


 


“เสี่ยวไป๋ จากนี้ไปให้แกเรียกฉันว่าที่รัก อย่าเรียกว่านายท่าน เพราะมนุษย์ปกติเขาไม่ใช้คำเรียกกันแบบนั้น!”ปากของฉินเฟิงเผยรอยยิ้มชั่วร้าย


 


ในเมื่อแกไม่ยอมเชื่อฟังฉัน งั้นฉันก็จะขอเอาเปรียบแกเล็กๆน้อยๆเป็นการแก้แค้น!


 


“อา เข้าใจแล้วนาย- … ไม่สิ เข้าใจแล้วที่รัก!” ไป๋หลีพยักหน้า แต่จู่ๆดวงตาของมันก็เบิกกว้าง “ระวัง!”


 


ในความมืดมิด ซากศพเน่าเปื่อยจู่ๆก็พุ่งออกมาจากหลังซากต้นไม้อย่างกระทันหัน มันอ้าปากหวีดร้อง ตะครุบเข้าใส่ฉินเฟิง


 


มีดกษัตริย์ครามในมือฉินเฟิงเหวี่ยงสะบัดอย่างรุนแรง ตามด้วยเสียงฉับที่ดังคล้ายเสียงหั่นแตงโม หัวของร่างศพเน่าเปื่อยในเลเวล G5 ถูกตัดกระเด็นทันทีโดยฉินเฟิง


 


เมื่อต้องเผชิญกับซากศพ ฉินเฟิงกลับสามารถสังหารมันได้ในใบมีดเดียว!


 


“เอาล่ะ ฉันจะไม่เถียงกับแกแล้ว เพราะในเมื่อตอนนี้พวกเราอ่อนแอมาก แต่พวกมันแข็งแกร่ง งั้นพวกเราก็สมควรจะล่าถอยใช่ไหม เอาเป็นถอยไปถึงใจกลางฐานศัตรูเลยเป็นไง?”


 


ฉินเฟิงประชดประชัน เริ่มมุ่งสมาธิ จดจ่อไปกับการสังหารซากศพ


 


ก่อนที่เขาจะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยประสบกับช่วงชีวิตที่น่าเศร้าและยากลำบากมานับไม่ถ้วน จนสุดท้ายได้กลายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A


 


ขณะที่ในชีวิตนี้ ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างราบรื่น ฉะนั้น เขาจะมาล่าถอยกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ได้อย่างไร!?


 


ถ้าทำแบบนั้น ตัวเขาคงไม่ใช่ฉินเฟิงแล้ว!


 


ช่วงจังหวะที่ร่างศพกำลังร่วงลงกับพื้น ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า สะบัดมีดกษัตริย์คราม ตัดหน้าผากของซากศพ แล้วควักเอาแก่นพลังงานที่อยู่ภายในออกมา


 


“จงดูดกลืน!”


 


แก่นพลังงานหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว และในพริบตา มันก็ไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่อีกเลย


 


“ซากศพเน่าเปื่อยพวกนี้มีพลังงานนิดเดียวเอง!”


 


ฉินเฟิงเตะหัวของซากศพไปอีกทาง เขากลับไปอยู่ในสภาวะโอบกอดทมิฬอีกครั้ง และเริ่มมุ่งหน้าต่อไป


 


บริเวณรอบนอก มันเต็มไปด้วยซากศพระดับต่ำ แต่ยิ่งลึกเข้าไปในภูเขาพ่อมากเท่าไหร่ ซากศพก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทางลาดช่วงหลังของภูเขาพ่อ ฉินเฟิงก็สามารถมองเห็นถึงสภาพแวดล้อมของภูเขาแม่ที่อยู่ห่างไกลได้ในที่สุด


 


ฉินเฟิงรู้ว่าบนยอดภูเขาลูกนั้น มีราชันย์อัศวินและชุดคลุมดำกระหายเลือดอาศัยอยู่ สองตาจดจ้องไปยังทิศทางดังกล่าว หนึ่งปากเอ่ยสัตย์สาบาน


 


“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะฆ่าพวกแกให้จงได้!”


 


ใบหน้าของฉินเฟิงฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า


 


ในเวลานี้ เขาได้ถอนตัวโอบกอดทมิฬแล้ว เปิดเผยถึงร่างกายที่แท้จริงของตนเองออกมา ทั้งๆที่ตนอยู่กลางดงซากศพเลเวล F -เมื่อความมืดที่คอยปกคลุมหายไปจากตัวฉินเฟิง พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมนุษย์ ทั้งหมดสับฝีเท้าตรงเข้าหาอย่างไม่ลังเล


 


“ก๊าซซซซ!”


 


พวกมันสามารถได้ยินถึงเสียงของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายมนุษย์ ทั้งหมดเริ่มจะคลุ้มคลั่ง บุกเข้ามาหมายจะเพลิดเพลินไปกับอาหารค่ำที่มาเสิร์ฟถึงที่!


 


“จงตายเพื่อฉัน!”


 


มีดกษัตริย์ครามเหวี่ยงสะบัด สาดสะท้อนประกายเย็นเยียบกับแสงจันทร์


 


ฉัวะ!


 


หัวของซากศพเน่าเปื่อยตัวหนึ่งลอยคว้านไปกลางอากาศ ถูกสะบั้นแยกจากร่างในมีดเดียว


 


ซากศพตัวอื่นๆที่ตามมาทีหลังประชิดเข้ามาใกล้ ฉินเฟิงม้วนขาเตะไปอีกฝั่งหนึ่ง พลางตวัดหลังมือ ตัดหัวอีกซากศพข้างตัวเขา


 


“แก๊ซซซซ!”


 


ซากศพอีกตัวคำราม ฉกมือคว้าจับหลังของฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงบิดตัวกลับมา สับมีดกษัตริย์ครามเฉือนสวนไป


 


พรวด พรวด!!


 


ซากศพเน่าเปื่อยที่รุมล้อมฉินเฟิง ทั้งหมดถูกตัดหัวจนสิ้น


 


ในพริบตาเดียว ซากศพเน่าเปื่อยในเลเวล F กว่าเจ็ดตัวก็ถูกกวาดล้างลงโดยฉินเฟิง


 


จากนั้น เขาก็เฉือนลงตรงหน้าผากของพวกมัน นำเอาแก่นพลังงานออกมา ดูดกลืนพลังงาน -ร่างกายของฉินเฟิงได้รับการฟื้นฟู ขณะเดียวกันก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง


 


ขณะเดียวกัน ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการวิวัฒนาการทางกายภาพ!


 


ก้าวขึ้นสู่เลเวล F1!


 


ฉินเฟิงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา


 


“ในชีวิตก่อนหน้า กว่าฉันจะมีความแข็งแกร่งทางกายภาพได้ถึงขนาดนี้ มันก็ปาเข้าไปตั้งในเลเวล E แล้ว! แต่ในชีวิตนี้ น่าจะเพราะพลังพิเศษดูดกลืนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันเลยช่วยส่งเสริมให้ร่างกายของฉันทนทานยิ่งกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณในระดับเดียวกัน เหมือนกับว่าได้ฝึกวิชาป้องกันของพวกเส้าหลินเลย!”


 


เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดไฟลุกโชติช่วงในจิตใจ


 


วูซซซซซ!


 


ทว่าทันใดนั้นเอง เงาดำหนึ่งก็โฉบเข้าโจมตีเขาอย่างกระทันหัน


 


ฉินเฟิงย่ำเท้า ร่างกายพลันกระพริบไหว หลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว


 


ท่ามกลางความมืดมิด เงามืดที่ว่าแทบจะกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ


 


“ที่แท้ก็ซากศพระดับทหาร!”


 


เห็นได้ชัดว่านี่คือตัวตนระดับสูงในหมู่ซากศพ


 


ร่างของทหารซากศพตนนี้ มีขนาดตัวเล็กกว่าซากศพตัวอื่นๆทั้งตัวดำเมี่ยม เนื้อหนังมันแห้งเหี่ยวจนติดกระดูก เมื่อไม่มีเนื้อหนังเน่าเปื่อย ความว่องไวของมันจึงสูงขึ้น


 


ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงรูนมืดอันเข้มข้นจากอีกฝ่าย


 


-เห็นได้ชัดว่ามันคือซากศพที่กลายพันธ์เป็นนักฆ่าในเงามืด!


 


“การลอบฆ่าของแกเมื่อกี้ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะได้ผล แต่เสียใจด้วยนะ สำหรับฉันแล้วมันไร้ประโยชน์!”


 


ทหารซากศพใช้ความมืดเพื่อปกปิดตนเอง หากเป็นคนอื่นคงไม่มีทางค้นพบมัน แต่ฉินเฟิงเองก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดเช่นกัน ดังนั้นเทคนิคซ่อนตัวนี่จะเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้อย่างไร?


 


“จงตายเพื่อฉัน!”


 


ฉินเฟิงโฉบตัวออกไปสังหารอย่างรวดเร็ว


 


ศพแห้งเหี่ยวระดับทหารหลบฉาก ถอยเข้าไปในเงามืด ย้อนกลับมาด้านหลังของฉินเฟิงอีกครั้ง มันคิดว่าฉินเฟิงคงไม่ทราบถึงการกระทำของตนเอง มันยกฝ่ามือเหี่ยวเฉาขึ้น เล็บแหลมคมสีดำสนิทกางออกทันใด


 


ฟิ้ว!


 


กรงเล็บตะปบบลงมา ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่ศัตรูคาดคิด อาหารของมันกลับสามารถต่อต้านได้อย่างกระทันหัน


 


เคร้ง!


 


มีดกษัตริย์ครามฟาดสวนเข้าใส่กรงเล็บดำ ทันใดนั้นจู่ๆก็มีแสงระเบิดออกมา


 


“จงสับสะบั้น … !”


 


มีดกษัตริย์ครามในมือของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นพร่ามัว ความรวดเร็วของมันเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างกระทันหัน หากสังเกตดูดีๆจะคล้ายกับว่ามีใบมีดแยกออกมาเป็นสามทิศทาง


 


สะบั้นสามครั้งซ้อน!


 


-กระบวนท่าวรยุทธได้ปรากฏออกมาแล้ว!


 


ชิ้ง!


 


นิ้วมือที่เหี่ยวเฉาของซากศพระดับทหารถูกตัดขาดทันที ตามต่อด้วยคมมีดกษัตริย์คราม ที่ปักเข้าใส่ลำคอของมันโดยตรง!


Ch.87 – หอกอัศวิน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.87 – หอกอัศวิน


 


พรวด!


 


หัวกระเด็นลอยเคว้งไปบนฟากฟ้า


 


ร่างของซากศพระดับทหารสั่นสะท้าน ก่อนจะล้มลงกับพื้น ตกตายลงในที่สุด!


 


มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิงเฉือนลงตรงบริเวณหน้าผากของหัวศพระดับทหาร ยามเมื่อกะโหลกถูกเปิดออก ก็พบกับแก่นพลังงานที่ใหญ่กว่าของศพเน่าเปื่อยก่อนหน้านี้


 


“ไม่เลวนี่!”


 


ฉินเฟิงพอใจมาก เขาดูดกลืนแก่นพลังงานนี้อย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็ยังคงล่าสังหารต่อไป เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบๆ ฉินเฟิงได้สติอีกที มันก็ปาเข้าไปตี 3 แล้ว แต่ปัจจุบัน เขาถึงขั้นสามารถสังหารซากศพในเลเวล F ไปมากถึง 200 ตัว!


 


ถ้าอิงตามอัตราเร็วนี้ พูดได้เลยว่า หากให้เวลาฉินเฟิงแค่เพียงวันเดียว เขาก็จะสามารถสังหารซากศพเลเวล F ลงได้ทั้งหมด!


 


แน่นอน ว่าการกระทำบ้าดีเดือดเช่นนี้ มันมิใช่สิ่งที่ผู้ใช้พลังเลเวล F คนอื่นๆจะสามารถทำได้ เพราะพละกำลังทางกายภาพของพวกเขายังคงมีจำกัด ยังคงรู้จักเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง


 


ระหว่างที่เขากำลังจะดำเนินการล่าสังหารต่อนั้นเอง จู่ๆพลังงานที่น่าหวาดกลัวก็ผลุบขึ้นมาจากพื้นดิน


 


ฉินเฟิงหันขวับไปมองทันที!


 


อันที่จริง ตำแหน่งในปัจจุบัน ฉินเฟิงได้บุกเข้ามาเรื่อยๆจนถึงตีนเขาแม่แล้ว มันใกล้มากจนเขาสามารถมองเห็นเสาทมิฬที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดำสนิทเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน


 


รังสีทะมึนทะยานขึ้น ทำลายชั้นอากาศบนท้องฟ้าอย่างกระทันหัน ก่อร่างช่องว่างมิติขึ้นตรงใจกลาง


 


และในความมืดมิด คุณจะสามารถมองเห็นขอบของแสงสีเงินได้อย่างชัดเจน


 


นั่นคือรูนมิติที่กำลังถูกบังคับให้เปิดออก!


 


“เป็นมันอีกแล้ว!”


 


ฉินเฟิงตระหนักได้ทันทีว่านี่คือฝีมือของชุดคลุมดำกระหายเลือด!


 


“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! คำเตือน! คำเตือน!! … ”


 


เสียงแจ้งเตือนจากอุปกรณ์สื่อสารดังขึ้น


 


ไม่เพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่ได้รับมัน แต่เกรงว่าผู้คนนับไม่ถ้วน ที่อยู่ในตำแหน่งไม่ไกลจากทุ่งล่าก็ล้วนได้รับการแจ้งเตือนนี้เช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ มันไม่ใกล้เท่ากับฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงค้นพบว่า หลังจากที่เสาแสงสีดำทะยานขึ้นบนฟากฟ้า ในครั้งนี้ ก็ยังคงปรากฏเสาแสงขนาดเล็กขึ้นรอบเสาใหญ่เหมือนกับในครั้งก่อน เพียงแต่ว่าน้อยกว่าเดิม 3 เสา และช่องว่างมิติเองก็ยังมีขนาดเล็กกว่าที่เคยเห็นในช่วงบ่าย


 


หากพิจารณาจากฉากเบื้องหน้า อาจสรุปได้ว่าเสาแสงสีดำเล็กๆเหล่านี้ ไม่น่าจะถูกปลดปล่อยออกมาโดยชุดคลุมดำกระหายเลือด แต่เป็นลูกน้องของมัน ที่ปลดปล่อยเสาแสงเพื่อช่วยสนับสนุน และที่จำนวนลดน้อยลงก็เพราะพวกมันส่วนหนึ่งได้ถูกกำจัดออกไปโดยมือปืนเลเวล E ในก่อนหน้านี้


 


แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังมีเสาแสงสีดำขนาดใหญ่ และเสาเล็กอีกห้าเสา ดังนั้นช่องว่างมิติที่เกิดขึ้นนี้ ไม่สมควรที่จะประมาทมันอยู่ดี


 


ในไม่ช้า ช่องว่างก็เริ่มแหวกออก กองทัพซากศพมุดออกมาอีกครั้ง ในจำนวนนั้นมีซากศพแห้งกรังที่เหมือนกับนักฆ่าในเงามืดที่ฉินเฟิงเพิ่งสังหารไปรวมอยู่ด้วย


 


บางตัวทั้งร่างเป็นสีแดง คล้ายกับถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง อยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูก


 


–นี่คือซากศพเพลิงระดับนายพล!


 


สีหน้าของฉินเฟิงไม่เพียงหม่นทะมึนลง แต่ฉากตรงหน้าราวกับกำลังเย้ยหยันเขา ว่าความพยายามตลอดทั้งคืนที่ทำมาน่ะมันสูญเปล่า! ถึงแม้ฉินเฟิงจะสามารถใช้แก่นพลังงานของพวกระดับทหารมาเสริมแกร่งให้ได้ก็ตาม


 


แต่หากสังหารไปแล้ว ก็มีมาเสริมใหม่เรื่อยๆ แบบนี้มันน่ารำคาญเกินไป!


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วฟ้า


 


“ไอ้พวกซากศพสารเลว!”


 


เสียงคำรามดังกึกก้องราวกับพายุกระหน่ำ จากนั้นกระสุนปืนใหญ่ก็พุ่งตัดอากาศ ข้ามผ่านผืนฟ้าเข้ามา


 


บิซซซซ วู้มมมม!


 


เมื่อการโจมตีนี้ปรากฏขึ้น ฉินเฟิงก็ทราบได้ทันทีว่ามันคือฝีมือของมือปืนเลเวล E จากสถานชุมชนเขตตงหลิงฝั่งตะวันออก – ลู่เหิง!


 


อย่างไรก็ตาม กองทัพซากศพดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนที่กระสุนจะทันได้ตกถึงพื้นเพื่อทำลายเสาแสง หอกเหล็กก็พลันส่งเสียงฉวัดเฉวียนตัดอากาศ ถูกโยนออกมาจากในความมืดมิดเสียก่อน


 


“นั่นมันหอกของราชันย์อัศวิน!”


 


ฉินเฟิงตกใจ เขาเงยหน้าขึ้น และพบว่าราชันย์อัศวินยืนอยู่ระหว่างช่วงเชิงเขา หากเทียบกับตำแหน่งของฉินเฟิง มันอยู่ห่างออกไปเพียง 500 เมตรเท่านั้น


 


สีหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย


 


“ซ่อนเงา!”


 


ไม่ทราบเหมือนกันว่าราชันย์อัศวินค้นพบตนแล้วหรือไม่ แต่เจ้าตัวก็ยังคงเลือกใช้งานซ่อนเงาอย่างรวดเร็ว


 


หอกยาวพุ่งเป้าปะทะเข้าใส่กระสุนปืนใหญ่สองลูกในอากาศ เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นตรงจุดนั้นทันที


 


“มา! เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง!”


 


ปรากฏอีกเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวขึ้นจากระยะไกล เจตจำนงอันแข็งกร้าวที่มองไม่เห็นแทรกผ่านอากาศ ส่งกระสุนที่เหลือ ที่ยังลอยอยู่กลางฟากฟ้า เบี่ยงเบนทิศทางในพริบตา โฉบหลบหอกเหล็ก พุ่งเข้าปะทะเข้ากับเสาแสงสีดำบนยอดเขา


 


ยังไงก็ตาม ราชันย์อัศวินมิได้มีแค่หอก หากแต่ยังมีโล่อีกด้วย!


 


ม้าศึกของมันราวกับภูติผี ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการรวมตัวกันของรูนมืด มันทะยานออกไปด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว และใช้โล่ที่เหน็บอยู่ข้างตัว เข้าสกัดกระสุนปืนใหญ่


 


ตูมมมมมม!


 


พลันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง แสงระเบิดเจิดจ้าจนเกือบจะทำให้ยอดเขาทั้งลูกกลายเป็นกลางวัน


 


แต่โล่ของราชันย์อัศวินทนทานเกินไป แม้จะถูกกระสุนปืนใหญ่พุ่งเข้าใส่ มันก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด


 


“บัดซบ บัดซบ! ได้เลย! ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าแกจะทำแบบนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน!”


 


ลู่เหิงหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาเริ่มระดมยิงกระสุนปืนใหญ่อย่างดุเดือด แต่ก็ถูกราชันย์อัศวินขวางเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้กระสุนทะลุแนวป้องกันเข้าไปได้


 


กล่าวว่าหากในเวลานี้มีลู่เหิงที่ต้องสู้เพียงลำพัง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายช่องว่างมิติได้สำเร็จ!


 


ตรงตีนภูเขาแม่ ฉินเฟิงกำลังจะถอยกลับไปยังใจกลางของภูเขาพ่อ


 


ทว่าในขณะนั้นเอง โครม!! เขาดันไปได้ยินเสียงร่วงกระแทกดังขึ้น และในเวลาถัดมา เสียงอื้ออึงก็ดังมาจากข้างหลังเขา ห่างออกไป 100 เมตร


 


ฉินเฟิงหยุดฝีเท้าชั่วคราว และหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว!


 


แล้วเขาก็ค้นพบอะไรบางอย่างที่เพิ่งร่วงลงมาบนพื้นดิน!


 


เป็นหอกของราชันย์อัศวิน!


 


หอกอัศวินเป็นสีดำ แต่ปลายหอกเป็นสีน้ำเงินเข้ม มันกำลังเปล่งแสงคล้ายกับดวงดาราบนท้องฟ้า เพียงมองก็ทราบได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่สิ่งของธรรมดาๆ


 


“นี่มันทำมาจากเหล็กดารา!”


 


ก่อนที่ฉินเฟิงจะเกิดใหม่ เขามีความรู้เกี่ยวกับพวกบรรดาไอเท็มที่ทรงอานุภาพค่อนข้างมาก และหนึ่งในจำนวนนั้น มีบางสิ่งที่เขารู้จักมันดี แต่ไม่สามารถครอบครองได้


 


หนึ่งในนั้นคือเหล็กดาราเบื้องหน้านี้!


 


“เสี่ยวไป๋ เก็บมันมาให้ฉัน!” ฉินเฟิงสั่งโดยตรง


 


ไป๋หลีกระพริบตาและกล่าวว่า “นายท่- … ที่รัก หอกนี้คุณไม่สามารถใช้งานมันได้ ต่อให้คุณนำมันไป แต่สัญญาระหว่างมันกับราชันย์อัศวินก็ยังคงอยู่!”


 


หากมีสัญญา ตราบใดที่มันถูกเรียกขาน อย่างไรหอกก็จะถูกส่งกลับคืนสู่มือของราชันย์อัศวิน


 


แต่ในเวลานี้ อัศวินกำลังต่อสู้อยู่กับมือปืนลู่เหิง เลยไม่มีเวลาได้เรียกหอกนี้กลับไป และมันคงไม่คาดคิดเช่นกัน ว่าหอกกำลังจะถูกขโมยอย่างกระทันหัน!


 


“มันมีสัญญาทางจิตอยู่ในอาวุธอย่างงั้นหรอ?” ฉินเฟิงทราบดีเกี่ยวกับเรื่องสัญญา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าราชันย์ในเลเวล F จะครอบครองสมบัติเช่นนี้ “ถ้าอย่างงั้นสัญญาสามารถข้ามผ่านมิติได้ไหม?”


 


สัญญาทางจิต แม้จะมีจุดแข็ง แต่มันก็ย่อมมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน


 


“ถ้าเป็นพื้นที่มิติของหนูล่ะก็ มันผ่านไม่ได้แน่ๆ!” ไป๋หลียกสองมือขึ้นกอดอกอย่างมั่นใจ


 


“ยอดไปเลย! งั้นก็เก็บมันมาให้ฉัน ต่อให้ฉันจะใช้มันไม่ได้ในตอนนี้ แต่ถ้าโด้มันมา ก็เหมือนกับสามารถหักแขนราชันย์อัศวินไปได้ข้างหนึ่ง หรือในกรณีที่โชคดีที่สุด ถ้าราชันย์อัศวินถูกฆ่าตายในภายหลัง ฉันก็จะสามารถใช้มันได้” ฉินเฟิงกล่าว


 


ไป๋หลีไม่ปฏิเสธในครั้งนี้ เธอพยักหน้า และรู้สึกว่าแผนการในครั้งนี้ของนายท่านฟังดูฉลาดไม่เลวเลย


 


ทันทีที่ยกมือขึ้น หอกอัศวินก็ตกลงไปในอีกมิติหนึ่ง ทางด้านราชันย์อัศวินที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ สามารถตระหนักถึงมันได้ทันที


 


ก๊าซซซซซซ!!


 


ราชันย์อัศวินระเบิดเสียงคำรามออกมา มันยอมละทิ้งการป้องกันเสาแสงของชุดคลุมดำกระหายเลือดอย่างไม่คาดฝัน และพุ่งตรงมายังตำแหน่งของฉินเฟิงโดยตรง


 


“เสี่ยวไป๋ เผ่นกันเร็ว!”


 


เสี่ยวไป๋กับฉินเฟิงหายวับไปในทันที โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ


 


ในขณะนั้นเอง ลู่เหิงที่อยู่ในระยะไกลดูจะมีความสุขมาก


 


แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆราชันย์อัศวินถึงหนีไป แต่เห็นได้ชัดว่านี่คือโอกาสทองที่อาจพบเจอได้เพียงครั้งเดียว


 


“ตายซะเถอะ!”


 


ลู่เหิงคำรามเกรี้ยวกราด ขณะเดียวกันก็สาดกระสุนปืนใหญ่ออกไป เนื่องจากในเวลานี้ ไม่มีหลิวบาคอยเกะกะเหมือนดั่งในคราวก่อน เจ้าตัวจึงระดมยิงห่ากระสุนได้อย่างไม่จำกัด อานุภาพทำลายล้างของมันรุนแรงกว่าในช่วงบ่ายถึงสามเท่า!


 


ตูม ตูม ตูมมมมมมมม!


 


บังเกิดเสียงระเบิดกึกก้องต่อเนื่องครั้งใหญ่ ยอดเขาที่แต่เดิมสูงแหลม บัดนี้ถล่มราบเป็นหน้ากลอง


 


ช่องว่างมิติถูกขัดขวางอีกครั้ง เนื่องจากการขัดจังหวะในครั้งนี้ ส่งผลช่องว่างหุบลงอย่างรวดเร็ว ตัดสะบั้นกองทัพซากศพจำนวนมากที่กำลังมุดออกมาโดยตรง


 


อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ช่องว่างมิติปรากฏขึ้นในครั้งนี้ มันยาวนานพอสมควร ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่ากองทัพซากศพระลอกใหม่บางส่วนสามารถมุดออกมาได้สำเร็จ และกระจายกันไปในพื้นที่อื่นๆแล้ว


Ch.88 – ได้แค่ขับไล่

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.88 – ได้แค่ขับไล่


 


ในเวลานี้ ราชันย์อัศวินไล่ค้นหาบางสิ่งบางอย่างท่ามกลางภูเขาแม่อย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ไม่ค้นพบอะไรเลย


 


ด้วยความโกรธ ราชันย์อัศวินตัดสินใจวิ่งฝุ่นตลบด้วยความสิ้นหวัง ตรงไปยังทิศทางค่ายของมนุษย์


 


ในขณะที่มันใกล้เข้ามา อุปกรณ์สื่อสารของทุกคนในตำแหน่งดังกล่าวก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง


 


“อพยพ! โปรดทำการอพยพโดยด่วน!”


 


“ขอให้ผู้ใช้พลังระดับต่ำรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด!”


 


“ระดับราชันย์ … สัตว์ร้ายระดับราชันย์กำลังบุกเข้ามา!”


 


บังเกิดความโกลาหลขึ้นภายในค่าย


 


ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง แสงไสวก็พลันพุ่งทะยานขึ้นจากท่ามกลางความมืดมิด


 


“มาได้จังหวะจริงๆ!”


 


เสียงนี้แม้ชราภาพ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง รูนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมา สาดแสงจนเปลี่ยนกลางคืนให้ราวกับกลายเป็นกลางวัน


 


ร่างที่แก่ชรา แต่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นหน้าค่าย ห่างออกไปราวๆ 100 เมตร


 


“นั่นมันผู้อำนวยการของสถาบันระดับสูง! ผู้ใช้อบิลิตี้แสงเติ้งเหนียน!”


 


เติ้งเหนียนเป็นผู้ใช้อบิลิตี้แสง เขาทรงพลัง แต่ก็มีอายุมากแล้วเช่นกัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ และยังไม่เคยเข้าร่วมปฏิบัติการปิดล้อมมาก่อน ฉากนี้เลยพลอยทำให้ผู้คนเขตเฉิงเป่ยกลัวว่าเขาจะพลาดท่า และไม่อาจถอนตัวออกมาได้


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในกองทัพซากศพน่ะมีการดำรงอยู่ของนักฆ่าในเงามืดอย่างซากศพแห้งกรัง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าเติ้งเหนียนอาจถูกลอบสังหารเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ราชันย์อัศวินได้บุกมาถึงที่แล้ว ทางฝั่งเติ้งเหนียนเองก็แลดูจะมีความสุขมาก ทั้งคนทั้งร่างโถมปะทะเข้าใส่มันโดยตรง


 


แสงสว่างแปรเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งเข้าหาราชันย์อัศวิน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า มาได้จังหวะจริงๆ จงอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับฉันที่นี่ซะดีๆ!”


 


-ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ก้าวเข้าสู่สมรภูมิ เข้าเผชิญหน้ากับราชันย์อัศวินแล้ว!


 


หึ่งงงงง!


 


อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่นไหวอย่างแรง


 


เป็นโจวฮ่าวที่โทรมา


 


ฉินเฟิงกดรับสาย


 


“เจ้าบ้าเอ๊ย นายไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย?”


 


“แค่ออกมาวิ่งเล่นตอนกลางคืนน่ะ!” ฉินเฟิงได้รับหอกเหล็กดารามาในครอบครอง ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวติดตลกออกไป


 


“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ต้องกลับมาที่ค่ายนะ ตอนนี้ไอ้ราชันย์อัศวินมันกำลังวิ่งลงเขามา ทางฉันจะช่วยลากรถนายออกไปเองสบายใจได้ ขอให้มุ่งสมาธิไปกับความปลอดภัยของตัวเองซะ!”


 


“แย่หน่อยนะ แต่พอดีว่าฉันกลับมาแล้ว”


 


ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลยว่าโจวฮ่าวจะเชื่อคำพูดของเขา เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน


 


ถ้าเขาเอ่ยประโยคนี้กับคนอื่น ทั้งหมดคงคิดว่าฉินเฟิงชิงหลบหนีจากแนวหน้าไปแล้ว!


 


ฉินเฟิงเดินไปยังทิศทางเต็นท์ของทั้งสอง เขาพบว่าโจวฮ่าวใช้เชือกเกี่ยวกับรถของฉินเฟิงเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ พอเห็นฉินเฟิงเขาก็โบกมือให้


 


“เร็วเข้า เร่งมือหน่อย ถ้าหนีไม่ทันพวกเราจะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้!” โจวฮ่าวสตาร์ทรถ


 


ฉินเฟิงพาไป๋หลีเข้าไปในรถล่องเวหา ไป๋หลีในปัจจุบันยังไม่ได้เปลี่ยนกลับร่างเดิม ก็ขึ้นไปบนรถด้วยทั้งๆแบบนั้น


 


แม้ฉินเฟิงจะสามารถลวงราชันย์อัศวินลงมาจากภูเขาได้ แต่ก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นภายในค่าย แต่สถานการณ์โดยรวมนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะที่นี่คือแหล่งรวมตัวของผู้ใช้พลังในเลเวล E พวกเขาน่าจะร่วมมือกันกดดัน และสามารถสังหารมันลงได้


 


การต่อสู้เริ่มขึ้นในเวลาตี 3 ลากยาวมาจนถึงช่วงเช้า ตำแหน่งที่ตั้งค่ายในปัจจุบัน ได้กลายสภาพเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว


 


“ฟังดูเหมือนเสียงต่อสู้จะหายไปแล้วนะ”


 


“มันจบแล้วงั้นหรอ?”


 


“ข้างหน้าเป็นยังไงบ้าง?”


 


คนกลุ่มหนึ่งอดไม่ไหวต้องเอ่ยออกมา


 


ฉินเฟิงยังคงอยู่ในรถล่องเวหา แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากในค่ำคืนเดียว แต่ฉินเฟิงก็ยังไม่ลืมที่จะฝึกฝน เพราะน่ากลัวว่าตอนนี้จะไม่มีผู้ใช้วรยุทธโบราณให้เขาสังหารเล่นเพื่อช่วงชิงกำลังภายในอีกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องหันมาขยันฝึกฝนกำลังภายใน เพื่อไม่ให้คุณภาพของมันตกลง


 


ในช่วงเวลานั้นเอง กระจกรถของฉินเฟิงก็ถูกเคาะ


 


“ฉินเฟิง ออกมาหน่อยสิ!” ในน้ำเสียงของโจวฮ่าวปนไปด้วยความตื่นเต้น


 


ฉินเฟิงไม่ทราบว่าทำไม แต่เขาก็เปิดประตูออกมาโดยดี


 


“มีอะไรงั้นหรอ?”


 


“ฮะฮ่าฮ่า นายเห็นรึเปล่า ว่าฉันพบพวกเดียวกันแล้ว!”


 


โจวฮ่าวกล่าวแบบนั้น ฉินเฟิงก็สังเกตเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆโจวฮ่าวคือหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ลู่เหมิงยังติดโลโก้เลเวล G อยู่ตรงหน้าอกอีกด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับสถานะผู้ใช้พลังเป็นที่เรียบร้อย


 


“อ๊า! ฉินเฟิง นายก็มาด้วยงั้นหรอ!” ลู่เหมิงมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด “คราวก่อนเหยาเหยาบอกว่าเห็นนายที่โรงเรียน แต่ฉันกลับไม่เจอนายเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”


 


“เหมิงเหมิง!” หลี่เหยาเหยาอุทานที่เพื่อนแฉเรื่องตัวเอง แม้ว่าเธอจะมีชอบฉินเฟิงมาก แต่ยังไงซะ เธอก็ยังเป็นหญิงสาวที่ขี้อายอยู่ดี


 


“พอดีว่าฉันไม่ค่อยจะได้ไปเรียนสักเท่าไหร่น่ะ” ฉินเฟิงตอบอย่างเฉยเมย


 


“แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะด้วยความสามารถของนาย นายไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนเลยด้วยซ้ำ ขนาดกระทั่งเพื่อนนาย ก็พลอยได้รับอานิสงส์จนกลายเป็นผู้ใช้พลังไปด้วยเลย!” ลู่เหมิงกล่าวพลางมองไปทางโจวฮ่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย


 


เห็นได้ชัดว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้อายุน้อยกว่าเธอถึงหนึ่งปี แถมยังเป็นรุ่นน้องอีก แต่เขากลับได้รับสถานะผู้ใช้พลังเลเวล G มาในครอบครองซะแล้ว


 


ทราบกันหรือไม่ ว่าลู่เหมิงต้องจ่ายออกไปด้วยเงินจำนวนมหาศาล เพื่อจ้างวานคนมาช่วยเหลือเธอเป็นเวลากว่า 3 วัน จึงสามารถล่าสัตว์ร้ายครบทั้ง 200 ตัว และผ่านการทดสอบมาได้


 


โจวฮ่าวกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ผมผ่านการประเมินเลเวล G ด้วยฝีมือตัวเองนะ! ระหว่างทดสอบ พวกสัตว์ร้ายถูกฆ่าไปจนนับกันไม่ไหวด้วยซ้ำ!”


 


“นายกำลังจะด่าว่าฉันต่างหากที่โกงใช่ไหม? รุ่นน้องเอ๋ย ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนา ถ้านายยังอยากเดินท่องไปทั่วโรงเรียนอย่างสะดวกใจ นายรู้รึเปล่าว่าพี่สาวเหมิงเหมิงคนนี้ ในโรงเรียนมีชื่อเสียงน่าหวาดกลัวขนาดไหน?” ลู่เหมิงจิ้มๆเอวเขาและกล่าว


 


แม้จะถูกจั๊กจี้ แต่โจวฮ่าวก็ไม่หัวเราะออกมา ตอนนี้เขามีความสูงถึง 1.8 เมตร ขณะที่ลู่เหมิงสูงเพียง 1.5 เมตร ฉะนั้นหากมองเพียงภาพตรงหน้า มันจะดูเหมือนลู่เหมิงเป็นน้องสาวที่น่ารักของโจวฮ่าวซะมากกว่า


 


ทั้งสองคนดูเหมือนจะทะเลาะกัน ฉินเฟิงเลยชิงเอ่ยถามว่า “ทางแนวหน้าเป็นยังไงบ้าง? ผลลัพธ์เป็นใครที่ชนะ?”


 


ทันทีที่ฉินเฟิงเอ่ยถาม ทั้งคู่ก็หยุดเถียงกัน หลี่เหยาเหยาเลยมีโอกาสพูดแทรกเสียที


 


“การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลคือเลเวล E ทางฝั่งเราสามารถขับไล่ราชันย์อัศวินไปได้”


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “ขับไล่? ไม่ใช่ฆ่าหรอกหรอ?”


 


“ฆ่าเฆ่ออะไรกัน! ไอ้ตัวอัศวินมันมีโล่นะ! แถมโล่นั่นน่าจะเทียบเท่าได้เลยกับอุปกรณ์รูนสีทอง มันกระทั่งสามารถต้านทานพลังแสงของผู้อำนวยการได้ แต่สภาพมันก็ยังถูกทุกคนรุมยำเหมือนเต่าในไหอยู่ดีน่ะแหละ”


 


ฉินเฟิงพอได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี


 


ประสานงานกันถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังฆ่าไม่ได้ คนพวกนี้มันจะกากเกินไปแล้ว!


 


ยังไงก็ตาม เมื่อคิดว่าความสามารถในการต่อสู้หลักของราชันย์อัศวินในตอนนี้คือการป้องกัน ฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าในมิติของเสี่ยวไป๋มันมีหอกเหล็กดาราอยู่นี่นา!


 


ฉันเฟิงแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นของตัวเอง!


 


“ฉินเฟิง! วันนี้นายเองก็มาเข้าร่วมปฏิบัติการกับพวกเราสิ!” หลี่เหยาเหยาเชื้อเชิญ


 


ความคิดของฉินเฟิงถูกขัดจังหวะ แต่เขาก็ส่ายหัวอย่างเด็ดขาด


 


“วันนี้พวกเธอได้ลองอัปเดตแผนที่สมรภูมิกันรึยัง?” ฉินเฟิงถาม


 


เมื่อวานนี้ จู่ๆก็มีซากศพเลเวล F โผล่ออกมามากมาย ไหนจะซากศพนักฆ่าแห้งกรัง แล้วก็ซากศพสีแดงเพลิงนั่นอีก ฉินเฟิงตระหนักดีว่าหากเขายังคงเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไป เขาคงไม่สามารถสังหารพวกมันได้


 


และถ้าเขาไม่สามารถสังหารพวกมันได้ รูนแห่งความมืดบนร่างกายของพวกมันก็จะยังคงแพร่กระจายต่อไป


 


ในเวลานี้ รุ่งเช้าได้มาเยือนแล้ว แต่เมื่อมองไปยังทิศทางภูเขาแม่ คุณก็จะเห็นว่ายังคงมีเมฆทะมึนลอยปกคลุม ไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย


 


ผู้ใช้พลังทุกคนในที่นี้สามารถรอได้ แต่เด็กกำพร้าที่อ่อนแอในสถานเลี้ยงเด็กไม่สามารถรอได้!


 


“ยังไม่ได้อัปเดตเลย!” โจวฮ่าวกล่าว


 


ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน บางคนก็เห็นว่ามีโดรนบินกลับมา จากนั้นอุปกรณ์สื่อสารของทุกคนก็ดังขึ้น


 


แผนที่ได้รับการอัปเดตใหม่แล้ว


 


เมื่อฉินเฟิงมองไป ก็พบว่าสีหน้าของทุกคนดูจะไม่สู้ดีเท่าใดนัก


 


แน่นอน เพราะวิกฤติครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง!


 


เมื่อคืนนี้ ที่ช่องว่างมิติถูกเปิดออก ในช่วงแรกๆที่ยังมีราชันย์อัศวินคอยขัดขวางอยู่ ช่องว่างดังกล่าวได้นำพาซากศพเน่าเปื่อยเลเวล F จำนวนกว่า 2,000 ตัวเข้ามา และปัจจุบันซากศพที่ว่าก็กำลังรุกคืบ ตรงมายังซากปรักหักพังของค่ายที่เพิ่งถูกทำลายไป เกรงว่าพวกเขาและเธอจะต้องถอนทัพจากค่ายนี้ซะแล้ว!


 


“โจวฮ่าว วันนี้นายไปลุยกับคนในโรงเรียนนะ ส่วนฉันจะไปขัดขวางทางโซนเลเวล F!” ฉินเฟิงกล่าว


 


“อ่า เข้าใจแล้ว” โจวฮ่าวพยักหน้า เขาทราบดีถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง หากฉินเฟิงเอ่ยปากว่าจะไปโซน F นั่นหมายความว่าเขามั่นใจว่าตัวเองไหว


Ch.89 – เทพบุตรประจำโรงเรียน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.89 – เทพบุตรประจำโรงเรียน


 


เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงดูมั่นใจ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง


 


“ฉินเฟิง นายคิดจะไปที่โซน F อย่างงั้นหรอ อย่าไปเลยนะ ที่นั่นอันตรายเกินไป!” หลี่เหยาเหยารีบห้ามปราม แม้ฉินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นไปอยู่ในโซนนั้นได้


 


ลู่เหมิงชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน


 


“ฉินเฟิง นายจะไปที่นั่นจริงๆหรอ? ถ้าอย่างงั้น ฉันจะให้ยืมปืนเลเซอร์หรืออะไรซักอย่างพกติดตัวไปด้วย!” ลู่เหมิงกล่าว


 


ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ


 


“ขอบคุณนะ แต่นั่นไม่จำเป็นหรอก!” ฉินเฟิงเคาะประตูรถและเอ่ยเรียก “เสี่ยว- … เอ่อ ไป๋หลี ออกมาได้แล้ว!”


 


เมื่อคืนนี้ ไป๋หลีไม่ได้เปลี่ยนกลับไปร่างเดิม แต่หลีเหยาเหยาเคยเห็นจิ้งจอกน้อยมาก่อน และยังรู้ชื่อสัตว์เลี้ยงตัวน้อยว่าคือเสี่ยวไป๋ ถึงฉินเฟิงจะเอ่ยชื่อที่ต่างออกไป แต่เธอก็ตั้งท่าป้องกันตัวเผื่อเอาไว้อยู่ดี


 


ประตูรถล่องเวหาถูกเปิดออก พร้อมกับเด็กสาวผมยาวปรกไหล่ก้าวเดินออกมา


 


ผมยาวของเด็กสาวนุ่มสลวย แถมยังเปล่งประกายแสงสีเงิน ใบหน้าน้อยๆ ฝ่ามือเล็กๆดูละเอียดอ่อนและสมบูรณ์แบบ คู่ดวงตาดั่งจิ้งจอก เพียงถูกจ้องมอง ก็ราวกับสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้หลงเสน่ห์ จมูกเป็นสันดูประณีต ริมฝีปากสีเชอรร์รี่ให้ความรู้สึกถึงความอ่อนโยน รูปลักษณ์โดยรวมเผยถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา


 


เธอแต่งตัวในชุดเดรสยาวสีสันสดใส สวมหมวกที่ถักทอจากฟางบนศีรษะไว้กันแดด แต่งตัวเช่นนี้ดูไม่เหมือนกับว่าจะมาต่อสู้ แต่มาเที่ยวซะมากกว่า


 


ทันทีที่ไป๋หลีก้าวออกมา ดวงตาของเธอก็ตกลงบนร่างของฉินเฟิงโดยอัตโนมัติ เธอยิ้มร่าและกล่าวทักทาย


 


“ที่รัก คุณคิดว่าชุดวันนี้ของฉันดูดีไหม?”


 


มุมปากของฉินเฟิงแข็งค้าง ทันใดนั้นเขารู้สึกเสียใจที่คิดเอารัดเอาเปรียบไป๋หลีเมื่อวาน


 


โจวฮ่าวตะลึงงัน เขาจ้องมองไปทางฉินเฟิงด้วยแววตามุ่งร้าย “ไอ้บ้านี่ แกมันสัตว์ป่าขนานแท้ ขนาดเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ละเว้น!”


 


ไม่เพียงแค่เขา แต่สีหน้าของหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิงก็ยังเผยถึงความตกตะลึงเช่นกัน


 


“เอ่อ .. ไว้ค่อยอธิบาย ไปกันเถอะ!” ฉินเฟิงรีบตอบ เขาคว้าจับมือเสี่ยวไป๋ แล้าพาออกไปทันที


 


ถ้าเป็นสายตาของคนอื่นเขาคงไม่สนใจ แต่หากเป็นคนรู้จักอย่างโจวฮ่าวแล้ว เขาก็อดหน้าแดงเล็กน้อยไม่ได้


 


เพราะโจวฮ่าวรู้ตัวจริงของเสี่ยวไป๋ เขารู้ว่ามันยังเป็นเพียงเด็กน้อย!


 


ต้องไม่ลืมนะว่าเสี่ยวไป๋เพิ่งจะเกิดได้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง!


 


“ไปก็ไป!” ไป๋หลีเดินมาข้างๆฉินเฟิง แต่ก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ “แต่รองเท้าฉันมันเดินลำบากจัง ที่รักช่วยอุ้มหน่อยสิ!”


 


ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก เพราะไป๋หลีมักจะอยู่บนไหล่เขาเสมอๆ ดังนั้นมันเลยกลายเป็นตัวขี้เกียจ นานๆครั้งถึงจะยอมเดิน กระทั่งในพื้นที่ต่อสู้ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะยืนดูเฉยๆไม่ทำอะไร แต่ฉินเฟิงก็ยังอดเอามันไปด้วยไม่ได้อยู่ดี


 


“เอ้า เอาก็เอา!” ฉินเฟิงย่อตัวลง ไป๋หลีเอื้อมสองมือคล้องคอเขา ฉินเฟิงอุ้มเด็กสาวขึ้นแล้วพามุ่งหน้าสู่ทุ่งล่า


 


ในความเป็นจริง ในเวลานี้ฉินเฟิงได้กลายเป็นที่สะดุดตาพอสมควรแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตนกำลังอุ้มเด็กสาวที่งามล่มเมืองมาด้วย


 


“ฉินเฟิง!” หลี่เหยาเหยาวิ่งตามไปได้สองก้าว แต่ก็ค้นพบว่าความเร็วของฉินเฟิงนั้นว่องไวเกินไป ดูเหมือนว่าระหว่างวิ่งเขาจะปลดปล่อยกำลังภายในออกมาด้วย ดังนั้นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำอย่างเธอเลยไม่สามารถไล่ตามทันได้


 


ช่วงเวลานี้ หลี่เหยาเหยาบังเกิดความรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังแสดงถึงความหึงหวง และอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก


 


เธอไม่มีที่ให้ระบาย พอเห็นโจวฮ่าวยังมองตามหลังฉินเฟิง เธอก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าว “รุ่นน้องโจว ทำไมดูนายไม่เป็นห่วงฉินเฟิงเลย? เขากำลังจะไปในทุ่งล่าโซนอันตรายนะ แล้วการนำเด็กผู้หญิงไปด้วยแบบนั้น มันจะไม่อันตรายกว่าเดิมหรอกหรอ?”


 


โจวฮ่าวส่ายมือไปมา “ไม่หรอก จะไม่มีอันตรายแน่ๆ!”


 


ก็นั่นมันราชันย์สัตว์ร้ายเชียวนา ราชันย์ที่แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถขโมยผลเสมหะเลือดที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยราชันย์ค้างคาวได้ด้วยมือเปล่า เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมันแล้ว


 


หลี่เหยาเหยากล่าวอย่างไม่พอใจ “แต่งตัวแบบนั้น ฉันว่าเด็กนั่นคงไม่มีพลังต่อสู้ เธอจะต้องทำให้ฉินเฟิงลำบากแน่ๆ”


 


ดวงตาของโจวฮ่าวเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาเข้าใจแล้วในตอนนี้ว่าหลี่เหยาเหยาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับไป๋หลี แต่กังวลเกี่ยวกับฉินเฟิง


 


“ทำไมจู่ๆฉันสัมผัสได้กลิ่นถึงคนอกหักกันล่ะเนี่ย?”


 


ลู่เหมิงกระทุ้งศอกเข้าท้องโจวฮ่าว “รุ่นน้องโจว ระวังคำพูดหน่อย รู้ไว้ด้วยอะไรควรไม่ควรจะพูดมันออกมา!”


 


ลู่เหมิงมองไปทางโจวฮ่าวในเชิงตำหนิ


 


จู่ๆหลี่เหยาเหยาก็รู้สึกว่าเธอไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว ดวงตาของเธอแดงไปชั่วขณะ


 


แต่ในเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี แล้วเขาก็เห็นหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง


 


“อ้าวรุ่นน้องหลี่ ปฏิบัติการปราบปรามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ สนใจมาเข้าทีมกับพวกเราไหม ได้ยินมาว่าทีมที่เธอสร้างขึ้นก่อนหน้าที่โดนยุบไปแล้วนี่” เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น


 


หลี่เหยาเหยาและอีกสองคนหันไปตามเสียง ทันใดนั้นดวงตาของทั้งสามก็เปล่งประกายสดใส


 


ชายเบื้องหน้ามีความสูงถึง 1.8 เมตร แม้รูปลักษณ์จะไม่ได้ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หากแต่ก็มีท่าทีอ่อนโยน สวมใส่กรอบแว่นตาสีทอง ถ้าคนไม่รู้จักมาพบเห็น คงคิดว่าเขาเป็นหนอนหนังสือ


 


“รุ่นพี่เกา! ฉัน … ฉันจะเข้าร่วมได้จริงๆหรอ?” หลี่เหยาเหยาเริ่มประหม่า


 


ปัจจุบัน นักเรียนชายที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเทพบุตรประจำสถาบันระดับสูงทางตอนเหนือ เป็นรุ่นพี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นปีที่สาม -เกาหลิงฮาน!


 


เขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุลม แม้ตอนนี้เขาจะยังเรียนอยู่ แต่กลับตัดผ่านขึ้นสู่เลเวล F แล้ว บอกได้เลยว่าหากเพียงเขาเอ่ยปากตกลง ก็จะสามารถอยู่ในสถาบันต่อในฐานะอาจารย์ได้เลย


 


“ก็ได้อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้น ฉันจะมาถามเธอทำไมกัน” เกาหลิงฮานยิ้ม


 


เมื่อได้ยิน เป็นธรรมดาที่หลี่เหยาเหยาจะตื่นเต้น จนไม่อาจเอ่ยคำใดไปได้ชั่วขณะ


 


ต้องทราบนะว่าเกาหลิงฮานมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าหากร่วมมือกับเขา ต่อสู้กับศัตรู วัตถุดิบและผลงานที่จะได้รับย่อมสูงมากเช่นกัน


 


“แต่ว่า … ” หลี่เหยาเหยาหันมามองลู่เหมิงที่อยู่ข้างๆ


 


สถาบันระดับสูงมีการสร้างทีมผสมจากสาขาต่างๆในชั้นปีเดียวกัน เพื่อจะได้ดูแลกันและกันเวลาเดินทางสู่ทุ่งล่า เดิมทีในทีมจะมีหลี่เหยาเหยา , ลู่เหมิง , หวังไคว่ , เจียงเหวินซวน และหยูไห่


 


ยังไงก็ตาม เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทีมของเธอดันไปเผชิญอันตรายเข้า สุดท้ายเลยระหองระแหงกัน


 


ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้รับภารกิจใหม่อีกครั้ง ในทีมจึงเหลือเพียงหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิง


 


และหากหลี่เหยาเหยาจากไป ในทีมก็จะเหลือลู่เหมิงอยู่เพียงลำพัง!


 


“เหยาเหยา ยังมัวลังเลอะไรอยู่อีกล่ะ ไปเร็วเข้าสิ! โอกาสดีๆแบบนี้เธอต้องไม่สูญเสียมันไปนะ” ลู่เหมิงกระซิบอย่างเงียบๆ แต่ในความเป็นจริง ย่อมเป็นธรรมดาที่เกาหลิงฮานจะได้ยิน มุมปากของเขาผุดรอยยิ้มน้อยๆขึ้น ในสายตาบ่งบอกชัดว่าเป็นไปตามแผน


 


“รุ่นน้องลู่ จะมาเข้าร่วมกับพวกเราด้วยก็ได้นะ”


 


ลู่เหมิงโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีบางอย่างที่ต้องทำ รุ่นพี่พาเหยาเหยาไปเถอะ”


 


รอยยิ้มมุมปากของเกาหลิงฮานแข็งทื่อไปทันที


 


“ก็ได้เหมิงเหมิง แต่เธอต้องระมัดระวังตัวให้มากนะ” หลี่เหยาเหยาตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับเกาหลิงฮาน


 


แต่ในความเป็นจริง ที่เธอทำแบบนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้เธอได้เชื้อเชิญฉินเฟิงให้ไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธ คราวนี้เกาหลิงฮานเป็นฝ่ายเชิญเธอซะเอง เลยย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง


 


‘ฮึ! ฉินเฟิง ไอ้คนตาบอด คอยดูนะ ฉันจะไม่สนใจนายอีกแล้ว!’


 


เกาหลิงฮานต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นท่าทีของหลี่เหยาเหยา ที่คล้ายกำลังเดือดปุดๆ และสัญญาณมือของลู่เหมิงที่อยู่ด้านหลัง ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำเชิญซ้ำสอง และนำหลี่เหยาเหยาเดินจากไป


 


ตอนนี้ในจุดเดิม เหลือแค่ลู่เหมิงกับโจวฮ่าว


 


“รุ่นน้องโจว มาร่วมทีมกับฉัน ฉันจะปกป้องนายเอง ไม่อย่างนั้นด้วยร่างกายเล็กจ้อยแบบนี้ ถ้าไปลุยคนเดียว คงไม่พ้นโดนพวกซากศพจับไปกินแน่นอน!” ลู่เหมิงกล่าวสบประมาท


 


โจวฮ่าวไร้คำจะกล่าว “ใครกันแน่ที่จะถูกกิน! แต่ก็ช่างมันเถอะ เห็นว่าคู่หูคราวนี้ก็น่ารักไม่เลว ฉะนั้นจะลองยอมอยู่ด้วยซักครั้งก็แล้วกัน!”


 


โจวฮ่าวยังไม่รู้จักคนอื่นๆ แต่ถ้าแค่เฉพาะลู่เหมิงก็ยังพอร่วมทีมกันได้


 


ฉินเฟิงไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาพาไป๋หลีออกจากสายตาของผู้คน และมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางสนามรบอีกครั้ง


 


เพราะมีต้นไม้เหี่ยวแห้งคอยบดบัง ร่างของฉินเฟิงจึงสามารถหายไปจากสายตาของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว


Ch.90 – ชุดคลุมดำ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.90 – ชุดคลุมดำ


 


“ใช่จริงๆ จำนวนของพวกมันมีมากยิ่งกว่าเมื่อวาน!”


 


ฉินเฟิงพยายามรับรู้ถึงจำนวนซากศพเลเวล F รอบตัวเขา ขณะเดียวกันในหัวใจก็รู้สึกรำคาญ


 


“งั้นก็แค่ฆ่ามันได้มากกว่าเดิม!” ฉินเฟิงตัดสินใจเฉียบขาด พุ่งเข้าสังหารโดยไม่ลังเล


 


เพียงฉับเดียว หัวของซากศพที่กระจายตัวอยู่บริเวณโดยรอบก็ถูกตัดกระเด็น


 


ไป๋หลีเองก็ถือมีดสั้นในมือ เธอเว้นระยะห่างจากฉินเฟิงเล็กน้อย คล้ายรังเกียจที่จะต่อสู้กับซากศพเน่าเปื่อย เลยคอยรับหน้าที่เก็บรวบรวมแก่นพลังงานของพวกมัน หลังจากที่ฉินเฟิงทำการสังหารแล้ว


 


ฉินเฟิงตัดหัวศัตรูไปตลอดทาง ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ซากศพเน่าเปื่อยเลเวล F บริเวณรอบๆก็ถูกสังหารจนสิ้น


 


“เข้าไปลึกกว่านี้กัน!”


 


ฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขามีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าใครๆไหนจะพลังพิเศษดูดกลืนอีก แม้ว่าพลังงานที่ซากศพให้มานั้นจะน้อยมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะช่วยฟื้นฟูพละกำลัง!


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินเฟิงเข้าใกล้ภูเขาแม่มากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพซากศพรอบๆก็ยิ่งทวีระดับความอันตรายมากขึ้น


 


ทันใดนั้นชุดคลุมดำคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของฉินเฟิง


 


หัวใจของฉินเฟิงกระตุกวูบ เขารีบโฉบไปหลบหลังต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา


 


“ไอ้ตัวนี้ ใช่ชุดคลุมดำกระหายเลือดรึเปล่านะ?” ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในใจของฉินเฟิง


 


ยังไงก็ตาม เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายระดับราชันย์สัตว์ร้าย หรือความอันตรายจากตัวมันได้เลย


 


ฉินเฟิงลองเพ่งมองอย่างรอบคอบอีกครั้ง และพบว่าแม้ตัวตนเบื้องหน้าจะสวมใส่ชุดคลุมดำเหมือนกัน แต่ระดับของมันอยู่แค่นายพลสัตว์ร้ายเท่านั้น


 


“เดี๋ยวก่อนสิ หรือว่านี่จะเป็นผู้ช่วยของไอ้ชุดคลุมดำกระหายเลือด?”


 


ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย ในช่วงแรกๆที่ฉินเฟิงมาถึงค่ายพันธมิตรมนุษย์ เขาได้พบกับชุดคลุมดำกระหายเลือดที่ปลดปล่อยเสาพลังงานมืดออกมา ในขณะเดียวกัน ก็ยังปรากฏเสาพลังงานมืดขนาดเล็กอีกแปดต้นก็ผุดตามขึ้นไป เพื่อช่วยเสริมพลังให้แก่ช่องว่างมิติ จนมันขยายขนาดเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า!


 


ในขณะที่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา มันมีเสาแสงขนาดเล็กผุดขึ้นไปเพียงห้าเสาเท่านั้น นี่น่าจะเป็นตัวช่วยในการคาดเดาได้ว่า ไม่ตัวตนที่ปลดปล่อยเสาเล็กต้องการจะพักผ่อน พวกมันก็น่าจะถูกสังหารลงไปแล้วโดยมือปืนเลเวล E


 


แต่เห็นได้ชัดว่ากองทัพซากศพไม่มีความจำเป็นต้องพักผ่อน ฉะนั้นความเป็นไปได้คงจะมีแค่กรณีที่สองเท่านั้น


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกชุดคลุมดำธรรมดา ผู้ช่วยของชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดสู้ไม่ไหว!”


 


ไม่ว่าข้อสันนิษฐานนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ฉินเฟิงก็ตัดสินใจแล้วที่จะทดสอบมัน


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงค่อยๆย่องเข้าไปใกล้มันอย่างเงียบๆ


 


“ซ่อนเงา!”


 


ฉินเฟิงผสมผสานเข้าไปในความมืดมิด และในไม่ช้า เขาก็คืบคลานมาถึงเบื้องหลังของชุดคลุมดำ


 


ระยะห่างระหว่างเขากับชุดคลุมดำอยู่ที่ประมาณ 10 เมตร


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆชุดคลุมดำก็หันขวับกลับมาอย่างกระทันหัน!


 


และตำแหน่งที่ชุดคลุมดำหันมา มันคือทิศทางเดียวกันกับของฉินเฟิง ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงก็พบกับภาพสยองขวัญในสายตา


 


เขาค้นพบว่าภายใต้ชุดคลุมดำ แท้จริงแล้วมันคือโครงกระดูกสีดำสนิท ไม่เพียงแค่นั้น แต่ในส่วนของหัวกะโหลก ตรงเบ้าตายังมีเปลวไฟคู่หนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่


 


โชคยังดีที่ฉินเฟิงไม่ใช่คนกลัวผี เมื่อเห็นว่าโครงกระดูกชุดคลุมดำค้นพบตนเอง เขาก็พุ่งเข้าไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล


 


“จงตายซะ!”


 


มีดกษัตริย์ครามในมือเขาวาดออกเป็นเส้นโค้งที่สมบูรณ์แบบ


 


ในจังหวะเดียวกัน โครงกระดูกชุดคลุมดำก็ยกนิ้วขึ้น ชี้ออกไป ส่งลำแสงทมิฬเข้าใส่ฉินเฟิง


 


ปุ!


 


ลำแสงรวดเร็วยิ่งกว่า มันกระทบเข้าใส่ร่างของฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงรับรู้ถึงลำแสงนี้ได้อย่างชัดเจน ว่ามันคืออบิลิตี้จากรูนมืด ซึ่งมีอำนาจช่วยลดทอนพลังชีวิตของร่างกายมนุษย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนแอ ถูกรุกรานโดยไวรัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงน่ะครอบครองศิลานรก เขามีภูมิคุ้มกันที่สามารถช่วยต่อต้านอบิลิตี้ใดๆที่เป็นธาตุมืด ดังนั้น การโจมตีของอีกฝ่ายจึงไม่ส่งผลต่อเขา


 


เคร้ง!


 


มีดกษัตริย์ครามตัดเข้าที่ลำคอของโครงกระดูกชุดคลุมดำ เกิดเสียงกังวานคล้ายการปะทะกันของโลหะ


 


ทางฝั่งโครงกระดูกชุดคลุมดำ เมื่อพบว่าอบิลิตี้มืดที่ปลดปล่อยออกไปไร้ประโยชน์ มันก็ยกแขนขึ้น ฉกมือกระดูกเข้าใส่ฉินเฟิงราวกับสายฟ้าฟาด


 


ฉินเฟิงเอี้ยวตัวหลบไปด้านข้าง เบิ่งตามองนิ้วสีดำที่กรีดผ่าน รู้สึกขนลุกในจิตใจ


 


เพราะเมื่อครู่นี้ มันคือนิ้วที่เต็มไปด้วยไวรัส หากเป็นคนทั่วไปที่สัมผัสถูกนิ้วดังกล่าว พวกเขาคงมิแคล้วต้องกลายสภาพเป็นซากศพเน่าเปื่อย


 


“ครั้งแรกไม่เข้า งั้นก็ต้องลองฟันอีกครั้ง!”


 


ฉินเฟิงง้างมีดกษัตริย์ครามอีกคราว ฟันฉับลงไป เสียงโลหะกระทบดังก็อง! อีกครั้ง


 


“มีดกษัตริย์ครามไม่สามารถตัดกระดูกของมันได้หรือนี่!”


 


ฉินเฟิงหงุดหงิดในหัวใจ ต้องทราบนะว่าแม้มีดกษัตริย์ครามจะเป็นมีดที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ทำมาจากวัสดุเลเวล G และตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถสำแดงอำนาจให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของฉินเฟิงได้


 


ปุ!


 


ลำแสงทมิฬอีกเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากนิ้วของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ฉินเฟิงเอี้ยวหลบมัน ลำแสงทมิฬพุ่งเข้าชนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาที่อยู่ถัดออกไป


 


ตูมมมม!


 


ต้นไม้พลันกลายเป็นขี้เถ้าทันที


 


หัวใจของฉินเฟิงกระตุกวูบ แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงถึงความหวาดหวั่นออกมา ฝั่งตนก็ยกมือขึ้นเช่นกัน


 


“คิดว่ามีแค่แกคนเดียวรึไงที่ใช้อบิลิตี้ได้?”


 


ด้วยการกระตุ้นพลังสมาธิ รูนเปลวไฟหลายร้อยตัวพลันปรากฏขึ้นบนดาวเคราะห์เพลิงที่อยู่ถัดไปจากดาวเคราะห์เพชร


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


บอลไฟระเบิดออกจากมือของฉินเฟิง พุ่งเข้าชนโครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


และฉากต่อมา ก็คล้ายดั่งสถานการณ์ที่ถังน้ำมันถูกจุดไฟเผา -เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ทั้งตนทั้งร่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำถูกเพลิงผลาญ สาดแสงไฟสว่างไสว


 


“อ๊าาาา!” โครงกระดูกชุดคลุมดำกรีดร้อง คู่ดวงไฟในหัวกะโหลกของมันปะทุเร่าอย่างบ้าคลั่ง แสดงออกถึงความเจ็บปวด


 


สำหรับซากศพแล้ว นอกจากจะกลัวแสง ก็มีไฟนี่แหละที่พวกมันหวาดกลัวไม่แพ้กัน!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลวไฟของฉินเฟิง ที่มีรูนมืดผสานรวมอยู่ด้วย รูนมืดนี้มีพลังช่วยแผดเผาจิตวิญญาณได้ แม้แต่โครงกระดูกชุดคลุมดำก็ไม่มีละเว้น!


 


ฉินเฟิงไม่พลาดโอกาสนี้ เขาพุ่งไปสับการโจมตีซ้ำๆไม่หยุดยั้ง


 


เคร้ง! เคร้ง!! เคร้ง!!! เคร้ง!!! ฟุบบบ!!!!


 


ในที่สุด คอของโครงกระดูกชุดคลุมดำก็หักลง กระดูกทั้งร่างของมันร่วงกระจัดกระจายลงกับพื้น


 


ขณะนี้ ฉินเฟิงรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าพลังพิเศษดูดกลืนของตัวเองกำลังเริ่มขับเคลื่อน ช่วงเวลาต่อมา ก็หลงเหลือเพียงคู่เปลวไฟในเบ้าตาของโครงกระดูกชุดคลุมดำที่ยังไม่สลายหายไปโดยสิ้นเชิง แต่มันกลับถูกดึงออกมา เป็นพลังงานเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังสมาธิของเขาที่พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว!


 


“การสังหารโครงกระดูกชุดคลุมดำ ช่วยให้ดูดซับพลังสมาธิได้อย่างงั้นหรือนี่?”


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่การเพิ่มขึ้นของพลังสมาธิในครั้งนี้ไม่เลวเลย มันมากยิ่งกว่าช่วงก่อนที่เขาสังหารเหอหลีซะอีก


 


ต้องทราบนะว่าการเพิ่มพูนของพลังสมาธิเองก็ส่งผลสะท้อนกลับเช่นกัน หลังจากฉินเฟิงดูดซับพลังสมาธิของเหอหลี อบิลิตี้ของเขาสามารถยกระดับไปได้เพียง G5 เท่านั้น แต่ในเวลานี้ พลังสมาธิของฉินเฟิงพุ่งสูงขึ้น จนเกือบจะไปถึงเลเวล G7 แล้ว


 


“นี่สินะ ที่เขาพูดกันว่า ต้องการอะไร สิ่งนั้นก็จะมาหาจริงๆ!” ฉินเฟิงเม้นริมฝีปากของเขา หลังจากจัดการสินสงครามแล้ว ฉินเฟิงก็เริ่มมองหาโครงกระดูกชุดคลุมดำตัวต่อไป


 


ฉินเฟิงกำลังอิ่มเอม สนุกสนานไปกับการฆ่าทางฝั่งนี้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ตรงจุดรวมพลของผู้ใช้พลังเมืองเฉิงหยางและอีกห้าเขต ภายในรถศึกทหาร ตัวตนทรงพลังจากทางตอนเหนือหลายคนกำลังรวมตัวกันอยู่


 


ภายในรถศึกทั้งคันนี้ สภาพของมันแทบจะเหมือนกับในหนัง เป็นรถทรงสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ พอก้าวเข้าไปข้างใน จะพบกับมอนิเตอร์มากมายติดตั้งไว้อยู่บนผนัง และภาพภายในก็จะถูกสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ


 


ทั้งหมดนี้คือภาพที่ถูกถ่ายมาได้โดยโดรน


 


นอกจากเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงแล้ว ก็ยังมีอีก 4 คนอยู่ที่นี่ และทุกคนคือผู้ใช้พลังเลเวล E อันได้แก่


 


ผู้ใช้อบิลิตี้แสงเลเวล E ผู้อำนวยการสถาบันระดับสูงประจำชุมชนทางตอนเหนือ – เติ้งเหนียน


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E รองผู้ว่าการประจำชุมชนทางตอนเหนือ – หลินเซิง


 


มือปืนเลเวล E ผู้บัญชาการกองทัพรักษาการณ์ประจำชุมชนทางตอนเหนือ – ฮั่นเจียน


 


สุดท้ายเป็นผู้ฝึกสัตว์เลเวล E ผู้บัญชาการกองทัพทุ่งล่าประจำชุมชนทางตอนเหนือ – หยางซานหู


 


กล่าวได้ว่าหากทั้งสี่คนย่ำเท้าลงพร้อมกัน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเขตเฉิงเป่ย!


 


แต่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบัน ทั้งสี่คนต่างก็กำลังขมวดคิ้วมุ่น


 


“สถานการณ์เลวร้ายจริงๆ!” หยางซานหูมองไปบนจอมอนิเตอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ เขาคือคนที่สำรวจทุ่งล่ามานานหลายสิบปี เป็นกองทัพที่ต้องเผชิญกับอันตรายระดับสูงอยู่เสมอมา แต่ในครั้งนี้ เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาของเขาก็ลุกพรึบเป็นฟืนเป็นไฟ


 


มองเพียงแวบเดียว ก็ทราบได้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่ขนาดไหน


 


แน่นอนว่ามันต้องย่ำแย่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นมีหรือที่เขาจะถูกส่งมาที่นี่!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม